กฎหมายน่ารู้ 2
¡®ËÁÒ¹‹ÒÃÙŒ
MONTHLY JOURNAL
Êíҹѡ¡®ËÁÒ Êíҹѡ§Ò¹àÈÃÉ°¡Ô¨¡ÒäÅѧ
MAY 2012 : VOL. 1
“ระยะเวลาในการปฏิบัติงานนั้นสําคัญไฉน” กฎหมายตางๆ นอกจากจะกําหนดอํานาจและหนาที่ของหนวยงานทาง ปกครองหรื อ เจ า หน า ที ่ข องรั ฐ ไว แ ล ว กฎหมายยั ง กํ า หนดกรอบ “ระยะเวลา” ให ห น ว ยงานทางปกครองหรื อ เจ า หน า ที ่ข องรั ฐ จะต อ ง ดํ า เนิ น การในเรื ่อ งต า งๆ ไว ด ว ย ทั ้ง นี ้ เพราะการปฏิ บั ติ ร าชการของ หนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาที่ของรัฐจะตองรีบดําเนินการโดยทันที หากมีกฎหมายกําหนดระยะเวลาไวเทาใดก็ตองดําเนินการใหแลวเสร็จ ภายในระยะเวลานั้น แตการที่จะกําหนดระยะเวลาการดําเนินการในเรื่อง ตางๆ ไวทุกเรื่องทุกขั้นตอนก็ไมใชเรื่องง ายนัก กฎหมายจึงมักกําหนด ระยะเวลาไวเฉพาะในเรื่องที่สําคัญๆ เทานั้น สวนการดําเนินการในเรือ่ ง อื น่ นอกจากนั น้ ย อ มเป น ที เ่ ข า ใจได ว า หน ว ยงานทางปกครองหรื อ เจาหนาทีข่ องรัฐจะตองรีบดําเนินการใหแลวเสร็จภายใน “ระยะเวลาอัน สมควร” ระยะเวลาอันสมควรนี้เปนหลักทั่วไปของการปฏิบัติราชการ กฎหมาย เกี่ยวกั บหลักของการปฏิบัติ ราชการโดยทั่วไปก็ คือ พระราชบั ญญัติวิ ธี ปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 เปนหลักเทียบเคียง ในกรณีที่ไมมี กฎหมายกําหนดระยะเวลาในการพิจารณาคําขอหรือการกระทําใดๆของ หน ว ยงานปกครองหรื อ เจ าหน า ที ่ข องรั ฐ สํ า หรั บ เรื ่อ งนั ้น ๆ ไวเ ป น การ เฉพาะ หนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาที่ของรัฐควรดําเนินการใหแลว เสร็จภายใน 90 วันนับแตวันทีไ่ ดรับเรือ่ ง (คําสั่งของศาลปกครองสูงสุดที่ 260/2546 ประชุมใหญ) การที่หนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาที่ของรัฐไมรีบดําเนินการในเรื่อง ตางๆ ใหแลวเสร็จดังกลาวนี้ ผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากความ ล า ช า อาจนํ า คดี ฟ อ งต อ ศาลปกครอง เพื ่อ ให ศ าลปกครองมี คํ า สั ่ง ให หนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาที่ของรัฐดําเนินการในเรื่องนั้นๆ ให แลวเสร็จภายในปฏิบัติ ผูเสียหายอาจะเรียกรองคาเสียหายจากหนวยงาน ตนสังกัดไดอีกเชนกัน
ศัพทกฎหมาย Preferential right
บุริมสิทธิ
General preferential right
บุริมสิทธิสามัญ
Special preferential right
บุริมสิทธิพิเศษ
Void act
โมฆะกรรม
Voidable act
โมฆียะกรรม
Êíҹѡ¡®ËÁÒ Êíҹѡ§Ò¹àÈÃÉ°¡Ô¨¡ÒäÅѧ ¡ÃзÃǧ¡ÒäÅѧ | â·Ã. 0-2273-9020 # 3262-3269 | á¿¡« 0-2618-3371
¡®ËÁÒ¹‹ÒÃÙŒ
MONTHLY JOURNAL
Êíҹѡ¡®ËÁÒ Êíҹѡ§Ò¹àÈÃÉ°¡Ô¨¡ÒäÅѧ
MAY 2012 VOL.1
กฎหมายที่อยูในความรับผิดชอบของ สศค. ขัดรัฐธรรมนูญ??
ภาษากฎหมายไทย บุริมสิทธิ คือ เจาหนี้มีสิทธิทีจ่ ะไดรับชําระหนีจ้ ากทรัพยสินของ ลูกหนี้กอนเจาหนี้คนอื่นๆ บุริมสิทธิสามัญ คือ เจาหนีม้ ีสิทธิเหนือเจาหนี้อ่ืนทีจ่ ะไดรับชําระ หนี้ในมูลหนี้ เชน คาภาษีอากร คาปลงศพ เปนตน บุริมสิทธิพิเศษ คือ เจาหนีม้ ีสิทธิเหนือเจาหนื้อื่นที่จะไดรับชําระ หนี้ ในมูล หนี้ ที่มีอ ยูเ หนือ อสั งหาริ มทธัพ ย หรือ สัง หาริม ทรั พ ย ตามที่มีกฎหมายกําหนด โมฆะกรรม คือ นิติกรรมที่เมื่อทําขึ้นแลว ไมมผี ลผูกพันกันในทาง กฎหมาย สูญเปลา เสียเปลาไป ไมอาจตกลงใหมีผลขึ้นมาได โมฆี ย ะกรรม คื อ นิ ติ ก รรมนั ้น ยั ง มี ผ ลบั ง คั บ ได โ ดยชอบด ว ย กฎหมาย แตอาจถูกบอกลาง ทําใหนิติกรรมตกเปนโมฆะมาแต เริ ่ม แรก หรื อ อาจมี ก ารยอมรั บ ว า นิ ติ ก รรมนั ้น มี ผ ลสมบู ร ณ ใ ช บังคับได
พรบ.ขายตรงและตลาดแบบตรง มาตรา 54 บั ญ ญั ติ ว า “ในกรณี ที่ ผูก ระทําความผิดซึ่งตองรับโทษตามพระราชบัญญัตินี้เปนนิติบุคคล ให กรรมการผูจัดการ ผูจัดการ หรือบุคคลใดซึ่งรับผิดชอบในการดําเนินงาน ของนิติบุคคลนัน้ ตองรับโทษตามที่กฎหมายกําหนดไวสําหรับความผิด นั้นๆ ดวย เวนแตจะพิสูจนไดวาตนมิไดมีสวนในการกระทําความผิดของ นิติบุคคลนั้น” เปนขอสันนิษฐานตามกฎหมายที่มีผลเปนการสันนิษฐาน ความผิดของจําเลย โดยโจทกไมจําตองพิสูจนใหเห็นถึงการกระทําหรือ เจตนาอย างใดอย างหนึ่ งของจํ าเลยก อน นั ้น ศาลรั ฐธรรมนู ญได มี คํ า วินิจฉัยที่ 12/2555 วาการนําการกระทําความผิดของบุคคลอื่นมาเปน เงื่อนไขของการสันนิษฐานใหจําเลยมีความผิดและตองรับโทษทางอาญา และเปนการผลักภาระในการพิสูจนวาหากนิติบุคคลกระทําความผิด ให ถือวาบุคคลที่รับผิดชอบในการดําเนินงานของนิติบุคคลนั้นตองรับโทษ ตามที่กฎหมายกําหนดไวสําหรับความผิดนั้นดวย เปนการสันนิษฐาน ความผิดของผูตองหาและจําเลยในคดีอาญาโดยอาศัยสถานะของบุคคล เปนเงื่อนไข โดยไมปรากฏวาผูตองหาหรือจําเลยไดกระทําการหรือมี เจตนาประการใดเกีย่ วกั บความผิ ดนัน้ เลย จึงเปน การขัดต อหลักนิ ติ ธรรมและขัดหรือแยงตอรัฐธรรมนูญ มาตรา 39 วรรคสอง (ในคดีอาญา ตองสันนิษฐานไวกอนวาผูตองหาหรือจําเลยไมมีความผิด) จากคําวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญดังกลาว ปรากฎวากฎหมายทีอ่ ยูใ น ความรับผิดชอบของ สศค. มีบทบัญญัติในลักษณะเชนเดียวกับมาตรา 54 ของ พรบ.ขายตรงและตลาดแบบตรงฯ อยูหลายฉบับเชน มาตรา 132 ของกฎหมายว า ด ว ยธุ ร กิ จ สถาบั น การเงิ น ฯ มาตรา 283 ของ กฎหมายวาดวยหลักทรัพยฯ หรือมาตรา 64 ของกฎหมายวาดวยการ ประกอบธุรกิจขอมูลเครดิตฯ ซึง่ ผลหลังจากนี้ภาระการพิสูจนความผิด หนวยงานที่กํากับดูแลจะตองพิสูจนใหไดดวยวา กรรมการ ผูจัดการ เปนผูกระทําความผิดดวย มิอาจอาศัยบทสันนิษฐานของกฎหมายไดอีก แล ว รวมทั ้ง ร า งกฎหมายที ่อ ยู ร ะหว า งดํ า เนิ น การก็ ค งไม ส ามารถมี บทบัญญัติในลักษณะดังกลาวไดอีกเชนกัน
Êíҹѡ¡®ËÁÒ Êíҹѡ§Ò¹àÈÃÉ°¡Ô¨¡ÒäÅѧ ¡ÃзÃǧ¡ÒäÅѧ | â·Ã. 0-2273-9020 # 3262-3269 | á¿¡« . 0-2618-3371
¡®ËÁÒ¹‹ÒÃÙŒ Êíҹѡ¡®ËÁÒ Êíҹѡ§Ò¹àÈÃÉ°¡Ô¨¡ÒäÅѧ
MONTHLY JOURNAL MAY 2012 VOL.1
ระบบการเงินและการธนาคารในประเทศพมา หลังจากที่นางฮิลแลรี คลินตัน ไดเดินทางไปเยือนพมาอยางเปนทางการ ในชวงวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554 ถึง 2 ธันวาคม พ.ศ. 2554 และ เหตุการณที่นางอองซาน ซู จี ไดชนะการเลือกตั้งเปน ส.ส เมื่อ 1 เมษายน พ.ศ. 2555 อาจถื อ ว า เป น เป น สั ญ ญาณบ ง บอกว า พม า จะเป ด ประเทศ หลังจากปดประเทศมานานกวา 20 ป ยามนี้พมามีประชากรประมาณ 60 ลานคน มีเขตแดนติดตอ 5 ประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีนทีม่ ีประชากรกวา 1,300 ลานคนรวมกับเพือ่ นบาน อาเซียนอีกประมาณ 550 ลานคน รวมแลวประมาณ 2,000 ลานคนซึ่ง ถือ วาเปนตลาดที่มีจํานวนผูบริโภคหนาแนนที่สุดในโลกแหงหนึ่ง ระบบธนาคาร ของพม า แบ ง เป น 2 ภาค คื อ ภาคเอกชนกั บ ภาครั ฐ โดยภาคเอกชนมี ธนาคารพาณิชย 19 แหง และภาครัฐ 4 แหงโดยมีธนาคารกลาง (Central Bank of Myanmar) เปนผูดูแลระบบธนาคารทั้งหมด รัฐบาลพมามีความตองการเงินตราตางประเทศเปนอยางมากเพือ่ จะนําเขา คลังของประเทศ โดยรัฐบาลพมาจะออก Foreign Exchange Certificate หรื อเรีย กย อ ๆ ว า บั ตร FEC โดยราคาของบั ตร FEC จะถูก ตั้ง ให อ ยู ใกลเคียงกับเงินสกุลดอลลารสหรัฐ และสําหรับบัตรเครดิตนัน้ ยังไมนิยมใช แพรหลายในแหลงทองเทีย่ ว เนือ่ งจากในหลายทศวรรษที่ผานมาอเมริกาได คว่ําบาตรการคาขาย และดําเนินธุรกรรมการคากับประเทศพมาสงผลใหเกิด ความไม ส ะดวกต อ นั ก ธุ ร กิ จ ชาวพม า และนั ก ธุ ร กิ จ ชาวต า งชาติ ป จ จุ บั น ประเทศพมายังไมมีกฎหมายในการควบคุมการใหบัตรเครดิตเปนการเฉพาะ และหากเปรียบเทียบกับประเทศไทยแลวประเทศไทยมีกฎหมายที่ควบคุม การประกอบธุ ร กิ จ บั ต รเครดิ ต แต ก ฎหมายดั ง กล า วยั ง ไม เ ป น มาตรฐาน เดียวกัน กลาวคือ ผูประกอบธุรกิจบัตรเครดิตที่เปนสถาบันการเงินจะถูก กํากับดูแลโดยพระราชบัญญัติธุรกิจสถาบันการเงินฯ ในขณะที่ผูประกอบ ธุ ร กิ จ บั ต รเครดิ ต ที ่ไ ม ใ ช ส ถาบั น การเงิ น จะถู ก กํ า กั บ ดู แ ลโดยประกาศ กระทรวงการคลังทีอ่ อกตามขอ 5 ของ ป.ว. 58 และปจจุบันไดมีการยกราง กฎหมายบัตรเครดิตขึน้ มา ผานการพิจารณาของกฤษฎีกาแลวและอยูใน ระหวางการนําเสนอคณะรัฐมนตรี
Êíҹѡ¡®ËÁÒ Êíҹѡ§Ò¹àÈÃÉ°¡Ô¨¡ÒäÅѧ ¡ÃзÃǧ¡ÒäÅѧ | â·Ã. 0-2273-9020 # 3262-3269 | á¿¡« . 0-2618-3371
กฎหมำยน่ำรู้ MONTHLY JOURNAL
JULY 2013 : 3
ลงชื่อในเช็คแต่ไม่ต้องรับผิด
*
เช็คเป็นตั๋วเงินประเภทหนึ่งซึ่งเป็นสื่อกลำงในกำรชำระหนี้ ในทำงธุรกิจที่ต้องกำรควำมรวดเร็วและควำมเชื่อใจระหว่ำง คู่สัญญำเพื่อให้กำรดำเนินธุรกิจมีควำมคล่องตัวมำกที่สุด โดยหลักแล้วเมื่อผู้ใดลงลำยมือชื่อ ในเช็คแล้วย่อมจะต้องผูกพันตน ที่จะชำระหนี้ตำมเนื้อควำมในเช็คนั้น และส่งมอบชำระหนี้แก่เจ้ำหนี้ ซึ่งผู้ที่ลงลำยมือชื่อย่อมต้องรับผิดต่อผู้ทรงเช็คคนปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม มีข้อยกเว้นในกรณีผู้ที่ลงลำยมือชื่อในเช็คไม่ต้องรับผิด 4 กรณีดังนี้ ประการแรก ผู้ที่ลงลำยมือชื่อแทน ผู้อื่นในลักษณะตัว แทน ซึ่งผู้ที่ต้องผูกพัน ตำมเช็คที่แท้จริง คือ ตัว กำร ประการที่สอง ผู้ที่ล งนำมในฐำนะผู้ แทนนิติบุคคล โดยมีกำรประทับตรำนิติบุคคลอย่ำงถูกต้องตำมที่ระบุในหนังสือบริคณห์สนธิ จะไม่ต้องรับผิดเป็นกำรส่วนตัว เนื่องจำกถือว่ำ เป็นกำรลงนำมผูกพันโดยนิติบุ คคลซึ่งมีสภำพบุคคลต่ำงหำกจำกผู้แทนนิติบุคคล ประการที่สาม ผู้ ที่ถูกปลอมลำยมือชื่อ เมื่อผู้ใดมิได้เป็นผู้ลงลำยมือชื่อในเช็ค แม้ในเช็คจะปรำกฏชื่อบุคคลดังกล่ำวก็ไม่ต้องรับผิดตำมเช็คนั้น แต่ทั้งนี้ บุคคลที่ถูกปลอม ลำยมือชื่อนั้น จะต้องมิได้มีส่ ว นรู้ เห็ น ในกำรปลอมลำยมือชื่อ ตนลงในเช็คด้ว ย ประการสุดท้าย ผู้ ที่แสดงเจตนำโดยวิปริต ได้แก่ ลงลำยมือชื่อโดยถูกกลฉ้อฉล ข่มขู่ หรือหลอกลวง ซึ่งผู้นั้นได้บอกล้ำงกำรแสดงเจตนำแล้ว เนื่องจำกกำรแสดงเจตนำ ดังกล่ำวมิได้เกิดจำกเจตนำที่จะผูกพันตำมเช็คอย่ำงแท้จริง แต่เกิดจำกปัจจัยอันมิชอบด้วยกฎหมำย ดั ง นั้ น เมื่ อ พิ จ ำรณำจำกข้ อ ยกเว้ น กรณี ต่ ำ งๆ ดั ง ที่ ก ล่ ำ วมำแล้ ว ผู้ ที่ ต้ อ งรั บ ผิ ด ตำมเช็ ค กฎหมำยจะพิ จ ำรณำ จำกเจตนำรมณ์ที่แท้จริงของผู้ลงลำยมือชื่อในเช็ค และกฎหมำยเป็นกลไกทำหน้ำที่ให้ควำมคุ้มครองกับบุคคลต่ำง ๆ ซึ่งเป็น ผู้เกี่ยวข้องในกำรดำเนินธุรกิจ อันจะทำให้กำรดำเนินธุรกิจ เป็นไปอย่ำงสะดวก รวดเร็ว ในขณะเดียวกันก็รักษำควำมยุติธรรม เช่นกัน
*เรียบเรียงโดย นางสาววรปรานี สิทธิสรวง นิติกรชานาญการ สำนักกฎหมำย สำนักงำนเศรษฐกิจกำรคลัง กระทรวงกำรคลัง | โทร. 0-2273-9020 # 3262-3269 | แฟกซ์ 0-2618-3371 https://www.facebook.com/pages/สำนักกฎหมำย-สำนักงำนเศรษฐกิจกำรคลัง
กฎหมำยน่ำรู้ MONTHLY JOURNAL
JULY 2013 : 5 ดอกเบี้ยผิดนัด ไม่จบง่ำยๆ*
ในสังคมปัจจุบันที่มีความต้องการในการบริโภคตามค่านิยม แต่เมื่อรายจ่ายนั้นสวนทางกับรายได้ที่เข้ามาอย่างสิ้นเชิงแล้ว ทางเลือกหรือความหวังสุดท้ายที่คิดว่าช่วยให้รอดพ้นจากความอัตคัดทางการเงินได้ คือ การกู้ยืมเงิน ไม่ว่าจะเป็นการกู้ยืมเงิน กับสถาบั น ทางการเงิน ธนาคารพาณิช ย์ หรื อการกู้ยืมเงินนอกระบบซึ่งในกรณีสุ ดท้ายนั้นหลายครั้งที่มีเจ้าหนี้ห น้าเลื อด ที่ฉวยโอกาสจากความเดือดร้อนของลูกหนี้ของตนเรียกดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราที่สูงกว่าปกติควบคู่ไปกับการทวงหนี้แบบผิด กฎหมายจนเป็นข่าวตามที่ปรากฎในสื่อต่างๆ ทั้งนี้ในส่วนของกฎหมายกาหนดเพดานอัตราดอกเบี้ยไว้ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มีความผิดทางอาญาหากเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกาหนดตามพระราชบัญญัติ ห้าม เรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3 ที่บัญญัติให้มีบทลงโทษทางอาญาว่า “บุคคลใดให้บุคคลอื่นยืมเงินโดยคิด ดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกาหนดไว้มีความผิดฐานเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 1,000 บาท หรือทั้งจาทั้งปรับ ” เว้นแต่ถ้าเป็นการทาสัญญากู้ยืมเงินจากธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันการเงินอื่นแล้ว จะได้รับ ยกเว้นไม่ให้อยู่ภายใต้บังคับของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะมี พ.ร.บ.ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523 ให้สามารถเรียก ดอกเบี้ยกู้ยืมเงินได้เกินกว่าร้อยละ 15 ต่อปี มีกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นว่าประเภทของดอกเบี้ยที่เกิดจากสัญญากู้ยืมเงินอาจต้องแยกพิจารณาเป็น 2 กรณี คือ ดอกเบี้ย ที่เกิดจากการกู้ยืมเงินกับ ดอกเบี้ยผิดนัดชาระหนี้ กรณีถ้ามีการเรียกดอกเบี้ยกู้ยืม เงินเกินอัตราที่กฎหมายกาหนด คือ ร้อยละ 15 ต่อปี ในส่วนของข้อตกลงเรื่องดอกเบี้ยจะเป็นโมฆะทั้งหมด ไม่ใช่แค่บางส่วน สมมุติว่าถ้ามีการเรียกดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 20 ต่อปี ข้อตกลงดังกล่าวจะตกเป็นโมฆะทั้งสิ้น คือลูกหนี้ไม่จาต้องจ่ายดอกเบี้ยกู้ยืมเงินทั้งหมดนั้น ไม่ใช่ว่า เป็นโมฆะเฉพาะ ส่ ว นที่เกิน ร้ อยละ 15 เท่านั้ น แต่ถึงอย่ างไรก็ตาม ถ้าลู ก หนี้กระทาการผิ ดนัดช าระหนี้ต ามสั ญญากู้ยืมเงินทั้งที่มีกาหนด ระยะเวลาและไม่มีกาหนดระยะเวลาถึงแม้ว่าในส่วนของข้อตกลงที่เป็นอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมเงินนั้นจะเกินอัตราที่กฎหมายกาหนด ส่งผลให้ดอกเบี้ยส่วนนั้นตกเป็นโมฆะทั้งสิ้นไปแล้วก็ตาม แต่ในส่วนของดอกเบี้ยผิดนัดการชาระหนี้ยังคงมีอยู่ เจ้าหนี้มีสิทธิเรียก ดอกเบี้ย ในระหว่างเวลาที่ลู กหนี้ ผิดนัดร้ อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง (คาพิพากษาฎีกาที่ 2577/2535) และสามารถคิ ด ดอกเบี้ ย ผิ ด นั ด ได้ เ สมอ ไม่ ว่ า จะมี ข้ อ ตกลงให้ ด อกเบี้ ย กั น หรื อ ไม่ ก็ ต าม เพราะเป็ น การก าหนดอั ต รา โดยผลของกฎหมาย (คาพิพากษาฎีกาที่ 460/2550) จึ งจะเห็ น ได้ว่า ถึง แม้จ ะมี บ ทกฎหมายออกมาคุ้มครองลู ก หนี้ เพีย งไร แต่อย่างน้อยที่สุดแล้วก็ย่อมต้องคุ้มครองเจ้าหนี้ หากลูกหนี้ผิดนัดชาระหนี้ด้วย เพื่อให้ทั้งสองฝ่ายเคารพในสิทธิและหน้าที่ซึ่งกันและกัน แม้ลูกหนี้จะถูกกระทา จากเจ้าหนี้ในเรื่องของการชาระดอกเบี้ยเกินอัตราตามที่กฎหมายกาหนดและ ได้รับความคุ้มครองไปแล้วก็ตาม แต่ถ้าหากไม่ปฏิบัติตนเป็นลูกหนี้ที่ดี ไม่รู้จัก หน้าที่ของตนเองแล้วก็ ... ดอกเบี้ยผิดนัด ก็ยังต้องเสียอยู่ดี
*เรียบเรียงโดย นางสาวนภภัสสร สอนคม นิติกร สำนักกฎหมำย สำนักงำนเศรษฐกิจกำรคลัง กระทรวงกำรคลัง | โทร. 0-2273-9020 # 3262-3269 | แฟกซ์ 0-2618-3371 https://www.facebook.com/pages/สำนักกฎหมำย-สำนักงำนเศรษฐกิจกำรคลัง
กฎหมำยน่ำรู้ MONTHLY JOURNAL
August 2013 : 3
กำรจัดกำรทรัพย์สินของรัฐ “ร่วมทุนกับเอกชน” กระทรวงการคลัง ได้ให้ความสาคั ญกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การจัดเก็บรายได้ และสถานการณ์ทางการคลัง การบริหารทรัพย์สินของประเทศ ภายใต้การดาเนินงานของกรมธนารักษ์ในการบริหารจัดการทรัพย์สินโดยเฉพาะที่ราชพัสดุ ให้ ก่ อ ให้ เ กิ ด ประโยชน์ กั บ ประเทศมากยิ่ ง ขึ้ น นอกจากนี้ ยั ง รวมถึ ง การประสานความร่ ว มมื อ ในการบริ ห ารจั ด การ จากภาคเอกชน ภาครั ฐ และหน่ ว ยงานรั ฐ วิ ส าหกิ จ ในการใช้ ที่ ราชพั ส ดุ ใ ห้ เ กิ ด ประโยชน์ ม ากขึ้ น โดยด าเนิ น การ ผ่านพระราชบัญญัติ การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2556 (พรบ.ร่วมทุนฯ) ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2556 ดังนั้น ก่อนอื่นก็ต้องทาความเข้าใจก่อนว่าพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวมีสาระสาคัญอย่างไร และจะมีผลบังคับ ใช้กับกิจการใดบ้างนั้น ต้องพิจารณาก่อนว่า 1) เป็นการดาเนินงานของเอกชนโดยการร่วมทุนกับรัฐ 2) ในกิจการของรัฐที่มี มูลค่าตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป หรือไม่ และเมื่อพิจารณาองค์ประกอบดังกล่าวข้างต้นแล้วหลายท่านอาจเกิดความสงสัยว่า การให้เอกชน “ร่วมงานหรือดาเนินการ” ในกิจการของรัฐนั้นหมายถึงกิจการใดบ้าง เพื่อให้ทุกท่านเข้าใจมากยิ่งขึ้นผู้เขียน จึงขอยกตัวอย่างบางกรณีจากการตีความขอให้คณะกรรมการกฤษฎีกาที่ได้ตีความเกี่ยวกับการบังคับใช้ พระราชบัญญัติฉบับ ดังกล่าว 1. โครงการที่จะอยู่ภายใต้บังคับของ พรบ.ร่วมทุนฯ นั้นจะต้องเป็นโครงการที่ หน่วยงานของรัฐ ประสงค์ให้เอกชน เข้าร่วมงานหรือดาเนินการในกิจการของรัฐ แต่กรณีที่การดาเนินการตามโครงการนั้นเป็นเรื่องที่เอกชนจะต้องรับผิดชอบ ในผลกาไรหรือขาดทุนเองโดยลาพัง โดยที่หน่วยงานราชการไม่ได้มีส่วนร่วมเกี่ยวกับการดาเนินกิจการ หรือมีส่วนได้เสียใน ผลก าไรหรื อ ขาดทุ น แต่ อ ย่ า งใด จึ ง ไม่ ใ ช่ เ ป็ น การให้ สิ ท ธิ แ ก่ เ อกชนในการใช้ ท รั พ ยากรของรั ฐ แต่ อ ย่ า งใด (ความเห็ น คณะกรรมการกฤษฎีกาเรื่องเสร็จที่ 725/2537) 2. การซื้ อ ขายหุ้ น ที่ ห น่ ว ยงานของรั ฐ ถื อ ในรั ฐ วิ ส าหกิ จ ให้ แ ก่ เ อกชนจะถื อ ว่ า เป็ น การร่ ว มทุ น หรื อ ไม่ นั้ น กรณี ที่กระทรวงการคลังขายหุ้นในบริ ษัทการบินไทยให้แก่เอกชน ทาให้เอกชนได้สิทธิในการเข้าร่วมบริหารกิจการของบริ ษัท การบินไทย และหากการซื้อขายหุ้นดังกล่าวมีมูลค่าตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป ก็ย่ อมถือได้ว่ามีการให้เอกชนเข้าร่วมทุนใน กิจการของรัฐ (ความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกาเรื่องเสร็จที่ 130/2543) แนวทางการตีความของคณะกรรมการกฤษฎีกา ดังกล่าวแสดงให้ เห็นว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาตีความคาว่า “ร่วมงานหรือดาเนินการ” ว่ารัฐ กับเอกชนจะต้องมี ส่ว นได้ส่ วนเสี ย ด้ว ยกัน ทั้งสองฝ่ ายในโครงการ ที่ลงทุนร่วมกัน รวมถึงเอกชนที่เข้าร่วมลงทุนนั้นจะต้องได้สิทธิในการเข้า ร่วมบริหารกิจการของโครงการที่เข้าร่วมลงทุนด้วย ซึ่งหากเข้าลักษณะ ดั ง กล่ า วแล้ ว จะต้ อ งด าเนิ น กระบวนการตามที่ ก าหนดไว้ ต าม พระราชบัญญัติการให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ พ.ศ.2542 *เรียบเรียงโดย นายพุฒพิ งศ์ นิลสุ่ม นิติกรปฎิบัติการ สำนักกฎหมำย สำนักงำนเศรษฐกิจกำรคลัง กระทรวงกำรคลัง | โทร. 0-2273-9020 # 3262-3269 | แฟกซ์ 0-2618-3371 https://www.facebook.com/pages/สำนักกฎหมำย-สำนักงำนเศรษฐกิจกำรคลัง
กฎหมำยน่ำรู้ MONTHLY JOURNAL
September 2013 : 3 แค่ไหนถือว่ำเป็นควำมผิดสำเร็จ*
ท่านที่เป็นนักกฎหมายอาจจคุ้นเคยกับคาว่า “การพยายามกระทาความผิด ” หรือ “การกระทาที่เป็นความผิดสาเร็จแล้ว ” แต่การที่จ ะชี้ ชัดลงไปว่า กรณีใ ดแค่อยู่ ในขั้น พยายามกระทาผิ ด และขั้นใดถือว่า ความผิ ดส าเร็จคงต้องพิ จารณาข้อเท็จจริ ง เป็นรายกรณี เพราะมีผลต่อการลงโทษผู้กระทาความผิดอยู่พอสมควร จะขอยกตัวอย่างกรณีความผิดฐานลักทรัพย์ ที่มีข้อเท็จจริง เกิดขึ้นในปัจจุบัน คือ มอเตอร์ไซค์หาย ถ้าใครที่เคยมีประสบการณ์แบบนี้คงรู้ซึ้งดีว่ามัน ทั้งเจ็บใจ เสียใจขนาดไหนและถ้ายังติด สัญญาลิสซิ่ง เพราะเงินก็ต้องจ่ายรถก็ไม่ได้ใช้ ความผิดฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญาตามมาตรา 334 บัญญัติไว้ว่าผู้ใด เอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยไปโดยทุจริต ผู้นั้นกระทาความผิดฐานลักทรัพย์ต้องระวางโทษจาคุกไม่เกิน สามปีและปรับไม่เกินหนึ่งพันบาท ซึ่งคาว่า “เอำไป” ก็คือการเอาทรัพย์เคลื่อนที่ไปจากที่เดิมในลักษณะที่จะพาทรัพย์ นั้นไปได้ และทรัพย์นั้นเข้ามาอยู่ในความยึดถือครอบครองเพื่อตนแล้ว แม้ทรัพย์นั้นเคลื่อนที่เพียงเล็กน้อยก็ถือว่าเป็นการเอาไปแล้ว ถึงแม้ ผู้กระทาจะยังไม่ได้เอาทรัพย์นั้นไปหรือถูกขัดขวางในภายหลังและเอาทรัพย์นั้นไปไม่ได้ก็ตามต้องถือว่าเป็นความผิดฐานลักทรัพย์ สาเร็จ แล้วถ้าหากเป็นการขโมยจักรยานยนต์ล่ะ อย่างไรจึงจะถือได้ว่ามีความผิดฐานลักทรัพย์แล้ว คาพิพากษาศาลฎีกาที่ 3011/2551 เกี่ยวกับการลักจักรยานยนต์วางหลักไว้ ว่า จาเลยขึ้นนั่งคร่อมและเข็นรถจักรยานยนต์ ของผู้เสียหายมาจากจุดที่จอดเดิมประมาณ 1 เมตร แต่จาเลยยังไม่ทันติดเครื่องรถขับเอาไป เพราะผู้เสียหายมาพบเห็นเสียก่อน จาเลยจึงทิ้งรถวิ่งหนีไป ถือได้ว่าจาเลยเข้ายึดถือครอบครองและเอาทรัพย์เคลื่อนไปในลักษณะที่พาเอาไปได้เป็นการลักทรัพย์ สาเร็จแล้ว และยังมีคาพิพากษาศาลฎีกาที่ 121/2537 วางหลักไว้ว่า จาเลยเพียงแต่นั่งคร่อมรถจักรยานยนต์ยังไม่ได้เอารถ ออกเป็นการลงมือลักทรัพย์แล้ว เมื่อกระทาไปไม่ตลอดเพราะผู้เสียหายเข้ามากอดเอาไว้ทาให้จาเลยเอารถจักรยานยนต์ของ ผู้เสียหายไปไม่ได้เป็นความผิดฐานพยายามลักทรัพย์ จึงจะเห็นได้ว่าการนั่งคร่อมรถจักรยานยนต์และเข็นออกจากจุดที่จอดเดิม เป็นการเข้ายึดถือครอบครองแล้ว แม้ยังไม่ทันติดเครื่องก็เป็นความผิดสาเร็จ แต่ถ้ายังไม่ได้เคลื่อนที่จะเป็นการพยายามลักทรัพย์ ดังนั้น เจ้าของจักรยานยนต์จึงต้องใช้ความระมัดระวังที่จะต้องหาที่จอดที่ปลอดภัยและป้องกันด้วยตนเอง เพราะคนร้าย สมัยนี้เก่งกันเหลือเกินใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็สามารถลักจักรยานยนต์ได้แล้ว
*เรียบเรียงโดย นางสาวรินทร์ธยิ า เธียรธิติกุล นิติกรชานาญการ สำนักกฎหมำย สำนักงำนเศรษฐกิจกำรคลัง กระทรวงกำรคลัง | โทร. 0-2273-9020 # 3262-3269 | แฟกซ์ 0-2618-3371 https://www.facebook.com/pages/สำนักกฎหมำย-สำนักงำนเศรษฐกิจกำรคลัง