Stay-Go-Day-Day Vol1

Page 1

หนังสือสำ�หรับผู้ไม่ต้องการใช้ชีวิตแบบ อยู่-ไป-วัน-วัน

ฉบับที่ 1 กลางเดือนกรกฎาคม 2555

What you (should) know in Euro 2012


ความจริง ในสังคมทุกวันนี้ก็เหมือนผลไม้ที่วางขายตามท้อง ตลาด แม้ผลไม้จะดูผลสวยน่ากิน แต่ก็แฝงไปด้วยสารเคมีที่เคลือบไว้ ควรเอาด่างทับทิมล้างก่อน ความจริงก็เช่นเดียวกัน อย่าเพิ่งเสพย์ความจริงที่สังคม หรือ สื่อชนิดต่างๆหยิบยื่นให้มาในทันที เพราะคุณอาจกินสารเคมีเข้าไป สะสมในร่างกาย และซักวันคุณจะเป็นมะเร็ง ค่อยๆเอาความจริงไปล้างในด่างทับทิมแห่งความคิด ร่อนสาร เคมีร้ายๆที่เคลือบไว้ออกมาก่อน แล้วคุณจะกินผลไม้ลูกนั้นได้อย่าง ปลอดภัย


อิดิทอเรี่ยล จากประสบการณ์ชีวิตไม่มากก็น้อย 20 ขวบปีกว่าๆ สอนผมอย่างหนึ่งว่าไม่ว่าสิ่งใด ก็ตามที่เราคิดจะทำ� จุดเริ่มต้นคือส่วนที่ยากที่สุด หากเราก้าวผ่านจุดเริ่มต้นไปได้แล้ว ก็เหมือน จองความสำ�เร็จไว้ได้ครึ่งหนึ่ง บ่อยครั้งที่ความคิดนี้ตอกย้ำ�ความเป็นจริงเสมอๆในการทำ�งานแต่ละอย่างของผมว่า ไม่มีจุดเริ่มต้นครั้งใดที่ง่ายเลย แม้กับการเริ่มต้นที่ผมคุ้นเคย มีประสบการณ์มามากแค่ไหนก็ตาม เช่นเดียวกับหนังสือเล่มนี้ ครับคุณผู้อ่านที่เคารพ สิ่งที่กำ�ลังประจักษ์แก่สายตาของท่านๆทั้งหลายก็คือ Stay-GoDay-Day หนังสือทำ�มือเล่มใหม่.... เอ่อ จะว่าใหม่ก็ได้ เก่าก็ได้เหมือนกัน เดี๋ยวเรื่องนี้จะอธิบาย อีกที แต่จุดๆนี้ถือว่าใหม่ไปก่อนล่ะกัน ด้วยการรวมตัวกันของเหล่านัก(อยาก)เขียนมือสมัครเล่น คนต่างๆ วัยยี่สิบต้นๆ ยังไม่แก่เกินไปที่จะบ้าพลังทำ�หนังสือ แต่ละคนอาจมีที่มา ความคิดความ อ่าน ประสบการณ์ต่างกัน แต่ความตั้งใจปั้นแต่งงานเขียนของตนขึ้นมาผ่านพื้นที่นี้มีสูง อยาก บอกเล่าเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต อยากเล่าอะไรก็เล่า เขียนให้ทุกท่านได้จินตนาการผ่านทุ่ง ตัวอักษร เสมือนนักวาดภาพละเลงสีสันต่างๆลงบนแผ่นเฟรมสีขาวสะอาดของตน เพื่อนำ�ไป แขวนให้ผู้เสพย์ศิลปะได้ดื่มด่ำ�ไปกับรสชาติของศิลปะบนผืนผ้าแผ่นนั้น ซึ่งเรื่องราวต่างๆที่นำ�มา เล่าก็พยายามทำ�ให้ครบรอบด้าน ทั้งปรากฎการณ์ต่างๆในสังคม การตั้งคำ�ถามกับสิ่งต่างๆที่เรา เองอาจคาดไม่ถึง หรือเรื่องราวในชีวิตประจำ�วันที่จะเอามาขยายความให้เห็นข้อเท็จจริง เนื้อหา ก็ซีเรียสบ้างตลกบ้าง คลุกเคล้ากันไปตามรสชาติต่างๆให้เกิดความกลมกล่อม ซึ่งผม หนึ่งในนัก(อยาก)เขียน ผู้ก่อการในครั้งนี้ ก็ตั้งใจไว้เหมือนกันว่า จะพยายามทำ� หนังสือเล่มนี้ เพื่อพัฒนาฝีมือตัวเองให้ดียิ่งขึ้น เผื่อซักวันหนึ่งจะได้เอาคำ�ว่าอยากออก แล้วจะ เป็นนักเขียนเต็มตัวไปเลย นอกจากนี้เรายังเปิดโอกาสให้ผู้อ่านที่สนใจจะหาที่ระบายความคิด ผ่านตัวอักษรได้ปล่อยของกันเต็มที่ โดยสามารถส่งงานเขียนหรือการ์ตูนแล้วแต่ถนัด มาที่ทีมงาน ทางเราจะลองดูต้นฉบับ และถ้าอ่านแล้วเข้าใจว่าจะสื่ออะไร เราก็จะลงให้ทันที คือไม่จำ�เป็นเรา ไม่อยากคัดออกหรอกครับ เพราะทางเราต้องการให้หนังสือเล่มนี้ได้เป็นเวทีสำ�หรับคน(อยาก) เขียนท่านอื่นๆได้มีโอกาสแสดงออก เช่นเดียวกับที่พวกเราพยายามโดยสร้างหนังสือเล่มนี้ขึ้นมา เอาล่ะ แนะนำ�ตัวกันไปพอสมควรแล้ว ต่อไปผมอยากจะมาเล่าประวัติศาสตร์ของ หนังสือเล่มนี้ให้ฟัง อ่ะ...คงสงสัยว่าประวัติศาสตร์บ้าบออะไร พลิกกลับไปดูที่หน้าปก มันก็เขียน ว่าฉบับที่ 1 เพิ่งเริ่มทำ�เอง แต่ในความเป็นจริงแล้ว หากนับรวมทั้งหมด นี่ไม่ใช่ Stay-Go-DayDay เล่มแรกหรอกครับ


จุดเริ่มต้น ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 2 ปี ที่แล้ว เมื่อปี 2553

ภาพสีซีเปียซีดๆค่อยๆปรากฎ เป็นภาพนิสิตหนุ่มปีสามตัวเล็กๆคนในมหาวิทยาลัย รัฐบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งก็คงเหมือนนิสิตนักศึกษาอีกเป็นหลายหมื่นหลายแสนที่กำ�ลังอยู่ในวัยไต่ถาม ตัวเองว่า ฉันคือใคร ฉันจะทำ�อะไร และฉันอยากเป็นอะไร โชคดีของไอ้นิสิตหนุ่มคนนี้ที่มันตอบ คำ�ถามข้างต้นได้ตั้งแต่ปีหนึ่งว่า ฉันคือคนหนุ่ม ที่อยากเขียนหนังสือ ฉะนั้นฉันจึงอยากเป็นนัก เขียน คำ�ตอบในใจที่ฉะฉานเหล่านั้นได้นำ�พาให้เขาเริ่มพยายามหาทางปล่อยของๆตนให้ได้ใน แต่ละลู่ทาง ซึ่งก็สำ�เร็จบ้าง ล้มเหลวเยอะบ้าง แต่ก็ไม่ได้ทำ�ให้นิสิตคนนั้นหยุดเดิน จนกระทั่งวันหนึ่ง ขณะที่เขากำ�ลังคิดว่าจะทำ�อย่างไรให้สิ่งที่เขาเขียนตามที่ต่างๆ มี คนเห็นและจดจำ�มากขึ้น เขาหยิบหนังสือเล่มต่างๆขึ้นมาอ่านอย่างเหม่อลอย จนกระทั่งไปหยิบ หนังสือ “มัชชิมนิเทศ” ของ โหน่ง วงศ์ทนง ชัยณรงค์สิงห์ขึ้นมาอ่าน ซึ่งเนื้อความบางอย่างใน หนังสือเล่มนั้นได้ทำ�ให้นิสิตหนุ่มพบหนทางใหม่ ซึ่งก็คือ การทำ�หนังสือทำ�มือแจกในมหาวิทยาลัย พี่โหน่งบอกว่า สมัยที่พี่โหน่งเริ่มทำ�หนังสือ พี่โหน่งเริ่มจากทำ�หนังสือทำ�มือขนาด 16 หน้า วางแจกในโรงอาหาร รอลุ้นให้คนหยิบอ่าน บางคนหยิบบ้างไม่หยิบบ้าง แต่ก็สบายใจที่ได้ ทำ� เมื่อสายตาของนิสิตหนุ่มเลื่อนผ่านเนื้อความเหล่านั้นไป ดูเหมือนว่าเชื้อไฟบางอย่างในตัว มันเริ่มพุ่งพล่านขึ้นอย่างหนักหน่วง มันลุกโชนมากพอให้เขานั่งไม่ติดเก้าอี้ และเริ่มต้นทำ�อะไรซัก อย่าง นำ�มาสู่เหตุการณ์ต่อมาคือ คำ�ว่า Stay-Go-Day-Day มาจากการที่นิสิตหนุ่มคิดว่า คน มากมายที่ไม่มีฝันก็ไม่รู้จะทำ�อะไรกับชีวิต บางคนมีฝันมีความหวังแต่ก็ไม่ทำ�อะไร ได้แต่ “อยู่ไป-วัน-วัน” ไอ้คีย์เวิร์ด 4 คำ�นี้เองที่นำ�ไปสู่คำ�ว่า Stay-Go-Day-Day และทำ�ให้เขาไม่ อยู่-ไปวัน-วัน อีกต่อไป เขาจึงเริ่มต้นวางแผนทำ�เนื้อหา จัดเลย์เอาต์(ห่วยๆ) และนำ�ต้นฉบับไปปริ นต์อกมาเป็นเล่ม ด้วยตัวเองทั้งหมด และหนังสือทำ�มือหัวใหม่ ซึ่งกลายเป็นหนังสือทำ�มือหัว แรกในประวัติศาสตร์ของมหาวิทยาลัยรัฐบาลแห่งนั้นก็ได้ฤกษ์ประเดิมชัยวางที่หอสมุดประจำ� มหาวิทยาลัย เมื่อเดือน กรกฎาคม 2553 ด้วยจำ�นวนแจกล็อตแรก 50 เล่ม ปรากฎว่าหมดภายใน ไม่ถึงสองชั่วโมง เป็นแรงบันดาลใจต่อมาให้นิสิตหนุ่มคนนั้นทำ�หนังสือหัวนี้ต่อไป ค่าที่มันแจกฟรี เมื่อ เอาไปวางก็มีคนหยิบเรื่อยๆ สร้างความหวังส่วนตัวที่จะขยับขยายชิ้นงานให้กว้างขึ้น แต่แม้จะมี ความตั้งใจแค่ไหน อุปสรรคย่อมไม่ปราณีใครอยู่แล้ว โดยเฉพาะปัญหาใหญ่คือเรื่องเงินทุน ที่จะ นำ�มาปริท์ต้นฉบับซึ่งหมดเงินไปเล่มละเป็นพันบาท ในฐานะของผู้ยังไม่มีรายได้จากน้ำ�พักน้ำ�แรง ตัวเองจึงมองว่า มันเสียค่าใช้จ่ายเยอะมา ประกอบกับขณะนั้นติดภารกิจต้องทำ�กิจกรรมค่ายและ ละครเวที ซึ่งต้องให้เวลาไปเยอะ ทำ�ให้ “อยู่-ไป-วัน-วัน” ดำ�เนินมาได้ถึงเล่มที่ 3 ก็ต้องปิดฉากลง ในช่วงปลายปี 2553


จากฉากซีเปียในวันนั้น ตัดสลับกัลบมายังฉากสีสดใสใน พ.ศ. นี้ กว่า 2 ปีจากเหตุการณ์ ในวันนั้น นิสิตหนุ่มปีสามเติบโตจนเรียนจบมาได้หมาดๆ แต่ก้อนความฝันชิ้นนั้นเหมือนมันยัง ค้างคาประหนึ่งขี้ติดตูด เขาเชื่อว่าเขาน่าจะทำ�ได้กว่านั้น ซึ่งปรากฎเป็นความโชคดีที่ว่า พ.ศ.นี้ วิทยาการหนังสือดิจิตอลจำ�พวก PDF หรือ E-Pub กำ�ลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดย เฉพาะกลุ่มนักเขียนมือใหม่ๆ ก็สนใจมาทำ�หนังสือทำ�มือแจกในโลกดิจิตอลนี้มากขึ้น เพราะ ประหยัดค่าใช้จ่ายแถมว่าถ้างานดี ก็มีคนแชร์ไปรวดเร็ว แทบไม่ต้องเสียเวลาตามแจกให้เหนื่อย นี่จึงเป็นโอกาสฟื้นคืนชีพ สิ่งที่ขาดหายไปให้คืนกลับมาอีกครั้ง ก็อย่างที่ผมบอกตั้งแต่ต้นแหล่ะครับ จุดเริ่มต้นของทุกสิ่งมันยากเสมอ ผมยังไม่รู้ว่าการ กลับมาเริ่มต้นใหม่ครั้งนี้ มันจะมีปัญหาอะไรมากน้อยแค่ไหน กว่าที่จะเริ่มประคับประคองตัวได้ใน ภายหลัง การกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งในครานี้ ถ้าเป็นไปได้ คงไม่มีบทสรุปด้วยการต้องพบ จุดจบอีกครั้งหรอกนะครับ

ขอบคุณที่ใช้บริการ ดามันสกี้

Stay-Go-Day-Day แปลว่า มาทุกๆ บรรณาธิการ ทีมงานนัก(อยาก)เขียน โปรแกรม ข้อมูล สถานที่ผลิต เพจเฟซบุ๊ก Feedback

อยู่-ไป-วัน-วัน หนึ่งเดือน หรือ เดือนครึ่ง สรพงศ์ อ่องแสงคุณ สรพงศ์ อ่องแสงคุณ สมศักดิ์ จันทวิชชประภา Adobe Indesign CS4 เรื่องราวรอบๆตัว ห้องนอน Stay-Go-Day-Day สำ�คัญมากๆ


สาระบาน ประเด็นใหญ่ What you (should) know in Euro 2012 เมื่อยูโร 2012 ไม่ใช่เรื่องของฟุ ตบอลเท่านั้น แต่มันมีทั้งธุรกิจ เงินทอง การพนัน และ ความตาย

ประวัติศาสตร์ ไทยไม่เคยตกเป็น เมืองขึ้นของใคร? ตั้ ง คำ � ถามกั บ ความเข้ า ใจที่ ว่ า ตามกันมานานนม ที่สรรเสริญความ บริ สุ ท ธิ์ ข องชนชาติ ไ ทยที่ ไ ม่ เ คยเป็ น เมืองขึ้นของใคร แล้วที่ประวัติศาสตร์ บันทึกการเสียกรุงให้พม่า 2 ครั้ง การ โดนญี่ปุ่นยกพลขึ้นบก คุณจะอธิบายว่า ยังไง?


เหงาท่ามกลางผู้คน อยู่ท่ามกลางคนหมู่มาก แต่เหงา? ความย้อนแย้งนี้มีที่มาอย่างไร น่าสนใจ เป็นอย่างยิ่ง พร้อมวิธีแก้อาการที่ง่ายซะ จนคาดไม่ถึง

คอลัมน์ประจำ�

Little Bike in the big city บ้านนี้เมืองนี กรรมกรตัวอักษร เขียนก่อนเช้า เล่าก่อนสาง เพจสัมพันธ์

อยากเขียนอะไรก็เขียน

ชูวิทย์ - นักเลงต้องจัดการด้วยนักเลง จิตใจขาวดำ� กับคนธรรมดาหนึ่งคน STAY-GO-DAY-DAY เป็นหนังสือแนวอยากเขียนอะไรก็เขียน มีอะไร อยากเล่าก็เขียนให้ฟัง ไม่จำ�กัดตัวเองว่าจะเป็นหนังสือแนวทางใดทางหนึ่ง ฉะนั้น นัก(อยาก)เขียนทั้งหลาย ที่กำ�ลังหาที่ลงงานเขียนของตน หรือ เห็นหนังสือเล่มนี้แล้วสนใจ สามารถส่งงานเขียนพร้อมชื่อผู้เขียน(ชื่อจริงหรือ นามปากกาก็ได้) มาที่ ivan.damansky@gmail.com ถ้าผลงานอ่านแล้วเข้าใจ ประเด้นที่จะสื่อ ไม่ว่าจะน่าสนใจเพียงใด เราจะลงให้ทันที เพราะเราเชื่อในเรื่อง ของ “การสร้างโอกาสด้วยตนเอง และการให้โอกาสแก่ผู้ที่ควรจะได้รับ”


Little bike in the big city ยานพาหนะคันแรก

ในบรรดายานพาหนะที่สัญจรกันขวักไขว่ ในท้องถนนเมืองไทย รถยนต์คือยานพาหนะอันดับ หนึ่งที่ครอบครองเลนถนนไว้มากที่สุด รองลงมาคือ มอเตอร์ไซค์ ตามมาด้วยรถสาธารณะจำ�พวกรถเมล์ หรือแท็กซี่ ส่วนทีม่ ปี ริมาณตามมาห่างๆคือรถเกินกว่า 4 ล้อ จำ�พวกรถบรรทุก ทีน่ านๆทีจะเห็นหลุดเข้ามาใน เมือง แต่คุณลืมอะไรไปหรือเปล่าครับ ยังมียาน พาหนะอีกประเภทหนึง่ ทีน่ า่ จะติดอันดับเหล่านีไ้ ปด้วย แต่กลับไม่มชี อื่ อยูใ่ นลิสต์ดงั กล่าว นัน่ ก็คอื จักรยานครับ พาหนะสองล้ อ ขั บ เคลื่ อ นด้ ว ยแรงถี บ ของ มนุษย์ ไม่มบี ทบาทในท้องถนนเมืองไทยเลย ย้�ำ ว่าเมือง ไทยนะครับ เป็นอย่างนีม้ าเนิน่ นานแล้ว แม้กระทัง่ ในยุค ปัจจุบันที่โลกเริ่มหันมาพูดถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กันมากขึ้น ซึ่งพี่ไทยก็พยายามปรับตัวตามโลก(หรือ ตามกระแส?) แต่ไม่รู้ปรับตัวทีท่าไหน บทบาทของ จักรยานผู้ผลิตมลภาวะออกมาเป็นภาระของโลกน้อย ที่สุด บทบาทเคยเป็นมายังไงทุกวันนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น

คือ แทบไม่มตี วั ตนอะไรเลย และไม่ใช่ยาน พาหนะชนิดแรกที่คนส่วนใหญ่คิดจะใช้ขับขี่ ยาม ออกไปข้างนอกบ้าน ทัง้ ทีม่ นั เป็นยานพาหนะชนิดแรกทีค่ ณ ุ เริม่ ต้นขับ ครั้งเมื่อยังจำ�ความได้ ลองย้อนกลับไปซิครับ สมัยคุณยังเป็นเด็ก ชนิดหมาเลียตูดถึง คุณต้องเคยเห็นเคยสัมผัสกับ จักรยานมาบ้างไม่มากก็น้อย บางคนเริ่มจากการใช้ จักรยานสี่ล้อ คือมีล้อเพิ่มเพื่อพยุงด้านข้างอีกสอง ล้อ บางคนก็เริ่มหัดจากจักรยานสองล้อได้เลย หลัง จากนั้นความทรงจำ�ที่พอจะนึกออกคือ คุณคงเคยขี่ จักรยานไปหน้าปากซอยเพือ่ ไปซือ้ น้�ำ ปลาให้แม่ ขีไ่ ป ซอยข้างๆเพื่อไปเล่นเกมส์บ้านเพื่อน หรือขี่วนรอบ หมู่บ้านยามไม่มีอะไรจะทำ� ผมจึงเชื่อว่าถ้าซักร้อย คน คงมีเก้าสิบคนเป็นอย่างต่ำ�ที่เติบโตมาพร้อมๆ กับจักรยาน แล้ววันหนึ่งคุณก็ปล่อยให้จักรยานจอด อยู่อย่างเดียวดาย


เมื่อคุณโตขึ้น แล้วไปเจอพาหนะที่ สะดวกสบายกว่าอย่างรถยนต์ เราใช้รถยนต์เพื่อความสะดวกสบาย จนเคยตัว เมื่อทุกคนคิดอย่างนี้ก็ต่างซื้อรถออก มาใช้กันคนละคัน พอเอารถออกมาวิ่งมากๆเข้า ก็กลายเป็นรถติด ส่งผลต่อมลภาวะทางอากาศ จำ�นวนมาก รถที่จอดแช่แน่นิ่งตามสี่แยกก็ ปล่อยควันเสีย เผาน้ำ�มันไปอย่างเปล่าประโยชน์ น้ำ�มันก็แพงขึ้นทุกวัน คุณก็ประสาทเสียกับรถ ติด เป็นอย่างนี้วนเวียนยังกะวงเวียนชีวิต แต่ก็น่าแปลกที่ปัญหารถติดมันเด่นชัด ขนาดนี้ หลายคนก็ยังคงทนกับมันต่อไป โดยลืม ไปว่ายังมีวิธีแก้ที่ง่ายๆ ซึ่งคุณก็ซึมซับกับมันมา ตั้งแต่เด็ก นั่นคือการขี่จักรยาน คุณสามารถขี่ จักรยานจากบ้านลัดเลาะไปตามบาทวิถีได้ หรือ อย่างเดี๋ยวนี้มีจักรยานแบบพับได้ คุณก็สามารถ ขี่ ไ ปจนถึ ง สถานี ร ถไฟฟ้ า ใต้ ดิ น หรื อ บนฟ้ า แล้วก็พับจักรยานพกพาลงสถานีไปอย่างง่าย ประหยัดเวลาที่ต้องเผาไปเปล่าๆบนท้องถนนได้ อย่างดี แม้ ล่ า สุ ด จะเริ่ ม มี คนใช้จักรยานแบบ พับได้กันมากขึ้น แต่ก็ยังถือว่าเป็นส่วนน้อยมาก เมื่อเทียบกับคนที่ไม่เคยคิดจะแก้ปัญหาด้วยการ หันมาใช้จักรยานแทนรถยนต์ มันก็ไม่ต่างจาก สัดส่วนของมดกับช้างหรอกครับ

เหตุ ผ ลของคนที่ ไ ม่ ช อบใช้ จั ก รยานก็ มี หลายเหตุผล เช่น สภาพอากาศในประเทศเราไม่ เหมาะกับการขี่จักรยาน เพราะมันร้อน ขี่ไปก็เหงื่อ ออก เหนื่อย ซึ่งตรงนี้ผมก็ไม่เถียง เพราะไทยตั้งอยู่ เหนือเส้นศูนย์สูตรไปไม่เท่าไหร่ แต่ก็ต้องมองในมุม กลับว่า หากคุณยังตะบี้ตะบันใช้รถยนต์ต่อไป ให้ มันปล่อยควันเสียออกมามากขึ้นอย่างนี้ อากาศ มันจะร้อนขึ้นเรื่อยๆตามหลักของโลกร้อนที่หลาย คนน่าจะพอทราบ ซึ่งผมถามว่าการไปหลบเข้าไป ในรถยนต์แล้วเปิดแอร์หนีอากาศร้อน ผมว่ามันคือ การหนีปัญหามากกว่าแก้ปัญหานะครับ เราไม่มี ทางทำ�ให้อากาศในบ้านเมืองเราเย็นลงได้ แต่เราก็ สามารถชะลอไม่ให้มันร้อนไปมากกว่านี้ได้นิครับ อีกอย่าง เมื่อเราหันมาขี่จักรยานมากขึ้น มันจะช่วยให้เราเห็นสภาพความเป็นจริงของสังคม เราได้มากขึ้น ลมที่พัดปะทะเข้าหน้าของเรายามส ปรินต์จักรยานด้วยความเร็ว จะทำ�ให้เราเข้าใจมาก ขึ้นว่าอากาศบ้านเมืองเราเป็นยังไง และควรแก้ยัง ไง เมื่อเราเข้าใจปัญหาที่กำ�ลังเกิดได้ดี เราก็จะยิ่ง เข้าใจมากขึ้นว่าเราควรแก้ปัญหาอย่างไร เมื่อเรารู้ ว่าอากาศในเมืองไม่ค่อยสะอาด เราก็จะเข้าใจมาก ขึ้นว่าเราควรแก้ด้วยการใช้รถให้น้อยลง ปลูกต้นไม้ ในเมืองให้มากขึ้น หากต้นไม้มันโตจนไปพันสาย ไฟบนเสาไฟฟ้า เราก็ต้องหาทางเอาสายไฟฟ้าลง ดิน ซึ่งเมืองใหญ่ๆในหลายประเทศก็เริ่มทำ�กันแล้ว เห็นมั้ยครับว่า เมื่อเข้าใจปัญหา เราจะเห็นวิธีการ แก้ปัญหาเป็นขั้นตอนไปเรื่อยๆ


ต่อมาที่คนชอบอ้างบ่อยๆคือเรื่องอันตราย หลายคนไม่มั่นใจว่าการขี่จักรยานระยะไกลๆ โดยเฉพาะนอกเหนือจากเขตซอยหมู่บ้านตัวเอง จะเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้มากแค่ไหน ซึ่ง ผมเองก็เคยประสบปัญหาดังกล่าวมาพอสมควร เพราะคนขับรถในไทย ไม่ค่อยให้ความใส่ใจกับ จักรยานที่ขับอยู่เลนด้านข้าง คิดว่าจักรยานขับช้าและกะจะเร่งเครื่องแซงอย่างเดียว รวมทั้งการที่ ท้องถนนของไทย นอกเหนือจากถนนใหญ่ ยังไม่ค่อยมีไบค์เลน หรือทางขับขี่จักรยานโดยเฉพาะให้ ถึงมีก็ไม่ต่อเนื่อง ขาดเป็นระยะๆ ซึ่งถนนบางสายอย่าว่าแต่ไบค์เลนเลย ทางเดินเท้าก็ไม่ค่อยจะมี อยู่แล้ว เนื่องจากบ้านเรือนปลูกแนวรั้วล้ำ�เขตทางเดินเท้าเข้ามา หรือพวกหาบเร่แผงลอยมาตั้งขวาง ทางเดินเท้า ซึ่งเรื่องนี้เป็นสามัญสำ�นึกของคนในสังคมล้วนๆ แต่ถึงจะอันตราย ผมก็เชื่อว่าเรื่องนี้แก้ได้ ด้วยการหันมาขี่จักรยานกันเยอะเนี่ยแหล่ะครับ เพราะเมื่อคนหันมาขี่จักรยานเยอะขึ้น รถจะน้อยลง ช่วยลดความเสี่ยงได้ อีกทั้งการขี่จักรยานทำ�ให้ เราขับขี่พาหนะด้วยความระมัดระวังมากขึ้น เมื่อเราหันมาขับรถบ้าง เราก็จะมีความระมัดระวังและ สนใจรถที่ขับอยู่ข้างๆมากขึ้น อีกทั้งต้องปรับนิสัยการขับรถ ให้นึกถึงคนอื่นเขาบ้าง ไม่ใช่ข้าจะรีบ จะไปอยู่คนเดียว เพราะทุกวันนี้มารยาทบนท้องถนนของรถยนต์ด้วยกันยังไม่ค่อยจะมี แล้วจะเอา อะไรกับการให้เกียรติพาหนะเชื่องช้าอย่างจักรยาน ผมจึงเชื่อว่าสิ่งที่คุณๆทั้งหลายใช้เป็นเหตุผลเพื่อที่จะไม่ขี่จักรยาน ฟังดูเหมือนเป็นข้ออ้าง มากกว่า เพราะคุณยังติดความสบาย ความรวดเร็วตามวัฒธรรมของสังคมโลกาภิวัฒน์ที่ทุกอย่างมา เร็ว ไปเร็ว และมาถึงตัวโดยไม่ต้องเสียเวลาเดินไปหา ผมยังเชื่อว่า จักรยานคือยานพาหนะที่เอื้อต่อสิ่งแวดล้อม เพราะแทบไม่ปล่อยมลพิษใดๆ และยังประหยัดเงิน เสียค่าบำ�รุงเฉลี่ยปีละไม่ถึงหนึ่งพันบาท(ยกเว้นคุณจะขี่ไปบี้ท้ายรถสิบล้อ พัง ยับอย่างนั้นก็อีกเรื่องหนึ่ง) อาจจะพาคุณไปถึงจุดหมายปลายทางช้ากว่ายานพาหนะติดเครื่องยนต์ แต่อย่างน้อยมองในแง่ดีว่า คุณไปด้ยพลังงานของคุณเอง เป็นการออกกำ�ลังกายไปอีกทางหนึ่งด้วย ขี่จักรยานให้อะไรดีๆกับตัวเราเอง และคนรอบข้าง สังคมรอบตัวเยอะนะครับ จาก บรรทัดนี้ลองนึกกลับไปซิครับว่าคุณขี่จักรยานครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แล้วจักรยานคันล่าสุดของคุณ ตอนนี้จอดไว้ที่ไหน เผื่อจะลองไปหยิบจับมันขึ้นขับขี่ดูบ้าง

รูปจักรยานจาก www.schuai.net


บ้านนี้ เมืองนี้ บันไดเลื่อน บันไดเลื่อน บ้านนี้เมืองนี้ ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพ ที่จะบรรจงวางเท้า ลงบนส่วนไหนก็ได้ของขั้นบันไดเลื่อน จะยืนพิงซ้ายพิงขวาก็ได้ ถ้าใครมันจะรีบลง แล้วเรายืนขวางทาง ไม่ต้องไปสนใจ บันไดเลื่อนเขาไม่ได้เอาไว้ให้วิ่งขึ้นวิ่งลงนะจ๊ะ เขามีไว้ให้ยืน คุณจะมาทำ�เร่งรีบเพื่อให้ฉันเปิดทาง จะมาละเมิดสิทธิเหนือขั้นบันไดของฉันไม่ได้ ถ้ารีบนักก็ไปอยู่บ้านเมืองของพวกฝรั่งมังค่าก็แล้วกัน บ้านเขาเมืองเขา บันไดเลื่อนสาธารณะ แต่กลับต้องถูกบังคับให้ยืนชิดขวา เพื่อเปิดช่องซ้ายให้ว่างเอาไว้ เผื่อมีใครเร่งรีบ จะได้วิ่งลงบันไดเลื่อนตามช่องว่างนั้นไป ทำ�อย่างนี้มันละเมิดสิทธิที่จะยืนตามอำ�เภอใจชัดๆ เป็นพวกเราคงทำ�ใจไม่ได้เป็นแน่ ช่างไร้อารยธรรมเสียจริงๆเลย ว่ามั้ย?

สิทธิ เสรีภาพ...... พูดถึงหลักประชาธิปไตย อันเป็นระบอบการปกครองของบ้านนี้เมืองนี้ ภาพจาก smilelyphoto.blogspot.com พวกเราทุกคนท่องจำ�กันได้เป็นอย่างดี ว่าภายใต้พานรัฐธรรมนูญอันศักดิ์สิทธิ์ ทุกคนล้วนมีสิทธิ เสรีภาพ และ...... เอ๊ะ! และอะไรอีกอย่างหนึ่งนะ เหมือนวันก่อนยังจำ�ได้อยู่เลย สิทธิ.... เสรีภาพ..... และ..... และ..... โอ๊ย! ช่างมันเหอะ อะไรอีกอย่างหนึ่งช่างมัน ไม่ต้องไปใส่ใจหรอก รู้แค่ว่าประชาธิปไตยทำ�ให้ฉันมีสิทธิ เสรีภาพ ก็พอ จะทำ�อะไรก็ได้ ไม่ต้องแคร์คนอื่น คนอื่นต่างหากที่ต้องมาแคร์ฉัน เพราะฉันมีสิทธิและเสรีภาพของฉันเข้าใจป่ะ


ประเด็นใหญ่

What you (should) know in Euro 2012

ฟุตบอลยูโร 2012 ได้จบลงไปแล้ว แต่หลังจากควันหลงได้ลอยละลิ่วไปไหนต่อไหน พร้อมกับการสร้างประวัติศาสตร์ ทริปเปิ้ลเมเจอร์ ชาติแรกในโลกของสเปนนั้น ยังมีประเด็นอีกมากมายที่เราอยากจะกล่าวถึง ที่อยากพูดถึง คงไม่ใช่ประเด็นของเกมลูกหนังเป็นหลัก เพราะมันจบลงไปแล้วตั้งแต่วันแรกของเดือน กรกฎาคม แต่ด้วยค่าของความเป็นฟุตบอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดรายการหนึ่งของโลก มันย่อมมีประเด็นที่เกี่ยวเนื่องกัน อย่างมากมายทั้งในและนอกสนาม ซึ่งบางเรื่อง คนไทยก็ได้รับผลกระทบที่สั่นสะเทือนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ลองมาดูกันซิว่า ยูโร 2012 สร้างแรงกระเพื่อมอะไรเอาไว้บ้าง


สมรภูมิจอดำ�

กับอนาคตการถ่ายทอสดกีฬาของไทย

“แกรมมี่ยอมให้สัญญาณถ่ายฟุตบอลยูโร 2012 สดๆแก่ทรูวิชั่นส์แล้วครับ”

ประโยคนี้ใครได้เห็นตอนแรก ก็คงคิดว่าเป็นข่าวดีอย่างมาก หลังจากที่แกรมมี่กับทรู ต่อสู้กันในคดีจอ ดำ�กันมานาน นี่คงเป็นสัญญาณแห่งการสมานฉันท์ของทั้งสองฝ่ายได้อย่างแท้จริง แต่ประเด็นสำ�คัญคือ ประโยค ดังกล่าว เกิดขึ้นในวันที่ 2 กรกฎาคม ซึ่งฟุตบอลยูโร 2012 จบลงไปแล้ว นี่คือตลกร้ายที่แพร่หลายพอสมควรในโซเชี่ยล เน็ตเวิร์ก ซึ่งจนแล้วจนรอดทรูก็ไม่ได้สัญญาณยูโรมา จากแกรมมี่ แถมยังต้องเสียค่าปรับวันละสองหมื่นบาทแก่ กสทช. ซึ่งตลอดหนึ่งเดือนกว่าๆ ตั้งแต่ยูโรยังไม่เริ่ม เตะ ซึ่งทรูได้ออกมาเรียกร้องสิทธิในการได้สัญญาณยูโรเพื่อฉายในช่องฟรีทีวีของตนมาจากแกรมมี่ โดยอ้างว่า “นี่คือสิทธิที่คนไทยทุกคนควรได้รับ” ค่าที่การถ่ายทอดสดเกิดขึ้นช่องฟรีทีวี แม้แกรมมี่จะได้สิทธิมาจากยูฟ่า เพื่อถ่ายทอดสดผ่านกล่องดาวเทียม “จีเอ็มเอ็มแซด” รวมทั้งดาวเทียมดีทีวีที่เป็นพันธมิตรร่วมกันก็ตาม แต่เมื่อ มันถ่ายในฟรีทีวี ลูกค้าทรูก็ต้องได้ดูฟรีทีวีผ่านดาวเทียมของทรูด้วย จะมาล็อกสัญญาณทำ�จอดำ�ไม่ได้ แต่แกรมมี่ผู้ถือลิขสิทธิ์ก็บอกว่า ทรูไม่เคยมาเจรจาขอซื้อสิทธิเลย แล้วเรื่องอะไรจะให้ฟรีๆ เสมือนท รูมาปล้นเอาดื้อๆแล้วอ้างสิทธิของคนไทย การเถียงทะเลาะกันก็ดำ�เนินไปเรื่อยๆ ท่ามกลางผู้บริโภคของทั้งสอง ฝ่ายที่ไม่ยอมกัน ฝั่งลูกค้าทรูที่จอดำ�ตลอดทัวร์นาเมนต์ก็ออกมาก่นด่าแกรมมี่ ส่วนคนที่ติดกล่องจีเอ็มเอ็ม หรือ หาหนทางดูยูโรได้อย่างไม่ลำ�บากใจ ก็ด่าทรูว่าจะปล้นเอาดื้อๆ ทีตอนที่ได้ลิขสิทธิ์พรีเมียร์ลีกอังกฤษ ก็ไม่เคย แบ่งภาพข่าวมาให้ฟรีทีวีได้ใช้ แล้วก็เอาเปรียบผู้บริโภคต่างๆนานา และสุดท้ายคือไม่ยอมเสียเงินเพื่อซื้อสิทธิ์ต่อ จากแกรมมี่ แล้วมาอ้างสิทธิของคนไทยทั้งประเทศ


ขณะที่ทั้งสองฝ่ายกำ�ลังทะเลาะกัน ออกสื่อไม่เว้นแต่ละวัน ก็มีตัวละครที่สามออกมาในชื่อว่า อาร์เอส ซึ่งเคยได้ลิขสิทธิ์ยูโร 2008 กับ ฟุตบอลโลก 2010 ก็ออกมาวิจารณ์แกรมมี่ว่า ควรยืดหยุ่นมากกว่านี้ การดื้อดึง ดังกล่าวสุดท้ายก็ไม่มีใครชนะ แกรมมี่อาจมีรายได้จากการขายกล่องในตอนแรก แต่ก็จะสูญเสียผู้บริโภคในภาย หลัง ถึงกระนั้นเมื่ออาร์เอสออกมาวิจารณ์ ก็มีกระแสตอกกลับว่า อาร์เอสก็ใช่ย่อย สมัยยูโร 2008 ก็ไล่ล่า จับร้านข้าวต้ม ร้านอาหารรอบดึกเล็กๆต่างๆ โทษฐานเปิดฟุตบอลยูโร ให้ผู้บริโภคในร้านดู ซึ่งอาร์เอสอ้างว่า เป็นการนำ�ฟุตบอลยูโรมาเผยแพร่ในเชิงพานิชย์โดยไม่ได้รับอนุญาต แถมฟุตบอลโลก 2010 ก็เคยจอดำ�มาแล้ว เหมือนกัน ดังนั้นการที่อาร์เอสออกมาวิจารณ์ก็เหมือนไม่ได้ดูสิ่งที่ตัวเองเคยทำ�ไว้เลย อาร์เอสเลยแก้ลำ�อีกรอบ ด้วยการออกมาเปิดตัวกล่องซันบอกซ์ ซึ่งมีทีเด็ดอยู่ที่ฟุตบอลลา ลีกา สเปน แต่ทีเด็ดยิ่งกว่าคือการออกมาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนว่า “จุด เด่นของกล่องซันบอกซ์คือ ไม่มีทางจอดำ�ครับ” เหมือนจะ แขวะสองเจ้าที่กำ�ลังมีปัญหากันอยู่ ทีนี้ฟุตบอลยูโร 2012 จบไปแล้ว ก็เกิดคำ�ถามตามมาว่า แล้วต่อจากนี้ไปทิศทางของลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดจะเป็นอย่างไร และผู้บริโภคควรปรับตัวอย่างไร ต่อจากนี้ไป เหตุการณ์จอดำ�คงตามมาอีกแน่ หากไม่มีการ เจรจาธุรกิจที่แน่นอน อย่างล่าสุดในกีฬาโอลิมปิก ก็มีกระแส ว่าลูกค้าทรูอาจไม่ได้ดูโอลิมปิก เพราะไม่ได้ไปเจรจากับทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ขณะที่ ฟรีทีวีที่จะถ่ายทอดสดทั้งช่อง 3 5 7 9 ต่างเจรจาหมดแล้ว รวมทั้งดาวเทียมบางค่าย ส่วนฟุตบอลโลก ฟุตบอล ยูโรในอนาคต ไม่ว่าจะได้ลิขสิทธิ์ ก็ต้องจัดการสิทธิ์ของตนให้ดี ทำ�ความเข้าใจให้ชัดเจนแต่เนิ่นๆว่าลิขสิทธิ์ที่ได้ เป้ฯการเผยแพร่สัญญาณภาพแบบไหน และดาวเทียมที่ถูกล้อคสัญญาณจะต้องมาเจรจาอย่างไร ในส่วนของผู้บริโภค จากตลอด 30 วัน ที่ผมฟังคำ�วิจารณ์ด่ากันไปมาสารพัด ซึ่งผมบอกได้เลยว่าผู้ บริโภคไม่ต้องไปเดือดร้อนแทนค่ายดาวเทียมเจ้าไหนๆ แค่คุณเสียเวลาออกจากบ้านเล็กน้อย ไปซื้อหนวดกุ้งก้างปลามาติด มันไม่ได้ยากเย็นอะไร มีขายอยู่ทั่วไป หรือถ้าคุณอยู่คอนโดก็ชื้อแค่หนวดกุ้งก็ได้อันละไม่กี่ร้อย เอง เพราะบ้าน-คอนโดสมัยนี้กว่า 70 เปอร์เซนต์ติดเฉพาะดาวเทียมอย่างเดียว บางแห่งเคยมีเสาก้างปลา ก็ไป ดึงออก แล้วเอาดาวเทียมมาใส่แทน ทั้งที่หนวดกุ้ง-ก้างปลาถือเป็นของสามัญประจำ�บ้านที่ใช้ได้ตลอดทุกยุคทุก สมัย แต่คนส่วนใหญ่มักอ้างว่า ขี้เกียจออกไปซื้อ หรือเสียตังค์ชื้อเพื่อดูบอลเดือนเดียวมันไม่คุ้ม ก็สุดแล้วแต่จะ อ้าง ไม่งั้นอีก 2 ปีข้างหน้าในฟุตบอลโลกที่บราซิล จะมาวิ่งแจ้นหาหนวดกุ้งอีกที่ไม่รู้ด้วยนะ

หลายคนไปซื้อหนวดกุ้งแบบนี้ ซึ่งผิดนะครับ

เสาก้างปลา


จับพนันยูโร 2012 ก็แค่ยอดภูเขาน้ำ�แข็ง

คนไทยกับการพนันเป็นขอคู่กัน ไม่มีวันขาด จะพนันถูกกฎหมายหรือใต้ดิน แต่มันเหมือนพิธีกรรม อะไรซักอย่างที่ทุกคนอยากมีส่วนร่วม เพราะหวังสิ่งที่เรียกว่า “รวย” ไม่รู้ว่าโง่หรืออุทธาหรณ์สอนไม่จำ� สาบานต่อหน้า คีย์บอร์ดที่กระแทกแป้นพิมพ์อยู่นี่เลยครับว่า ผมยังไม่เคยเห็นใครร่ำ�รวยจากการพนันเลยซักคน ยกเว้น “เจ้ามือ” แต่ก็นั่นแหล่ะที่ยังมีคนถลำ�ตัวเข้าไป เล่น จากผลวิจัยหลายสำ�นักล่าสุดชี้ว่า เด็กและเยาวชนเริ่มมีเปอร์เซนต์การเล่นพนัน โดยเฉพาะพนัน ฟุตบอลมากขึ้น เพราะคิดว่ามันน่าจะได้เงินมาง่ายๆ โดยลืมคิดไปว่าไอ้ตอนเสียน่ะ ง่ายกว่ากันเยอะ ยิ่งช่วงไม่กี่ปีมานี้ ดูเหมือนการพนันฟุตบอลของไทยจะยิ่งตอบโจทย์ความกระหายของผีพนันไทย มากขึ้น จากที่เคยมีแต่พนันบอลลีกดังๆที่เรารู้จัก พรีเมียร์ลีก ลา ลีกา กัลโช่ อะไรก็ว่ากันไป มาหลังๆเริ่มี การขยายสาขา ไปยังฟุตบอลลีกในประเทศที่เราสาบานได้ว่า ยังไม่รู้จะติดตามชมด้วยช่องทางไหน อย่าง บอลตุรกี ฟินแลนด์ นอร์เวย์ สวีเดน เคยได้ยินมาว่ามีการเล่นพนันบอลลีกอิหร่านด้วย ซึ่งถามง่ายๆว่าคุณ รู้จักทีมบอลลีกอิหร่านซักกี่ทีม มันใส่เสื้อสีอะไร คุณรู้บ้างหรือเปล่า ฉะนั้นโอกาสเสียย่อมมากกว่าธรรมดา


แต่ขึ้นชื่อว่าพี่ไทย ก็ยังคงเล่นให้เจ้ามือมันกินเงินสบายๆเรื่อยไป

ในช่วงฟุตบอลยูโร 2012 ทางตำ�รวจก็ไม่ได้นิ่งนอนใจกับกระแสการพนัน พยายามตั้งศูนย์ปราบ ปรามการเล่นพนันฟุตบอลยูโร 2012 ขึ้นเพื่อป้องกันและปราบปรามการเล่นพนันฟุตบอลในช่วงยูโร 2012 ที่ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจไทยประเมินเงินหมุนเวียนในวงพนันช่วงยูโรไว้ที่ 40,000-60,000 ล้านบาท ซึ่งตลอด เวลากว่า 1 เดือนของทัวร์นาเมนต์ ทางตำ�รวจสามารถรวบรวมผู้ต้องหาได้ 2,064 คน แบ่งเป็นเจ้ามือ 58 คน ผู้เล่น 2,006 คน รวมทั้งยึดเงินสดของกลางได้ทั้งหมด 174,220 บาท โดยมูลค่าเงินในโพยบอล 6,170,000 บาท นอกจากนี้ยังจับกุมเว็บไซต์ทายผลการพนันฟุตบอลออนไลน์ จำ�นวน 4 ราย มูลค่าในโพย 6 ล้านกว่าบาท เมื่อเทียบกับ 4 หมื่นกว่าล้าน ยังถือว่าน้อยเหลือเกิน อีกทั้งผม เชื่อว่าตำ�รวจยังไม่สามารถปราบปรามได้หมด เพราะสถานที่บางแห่งอย่างร้านโต๊ะสนุ๊กฯ ตรอกเล็กๆทั่ว กรุงเทพ แม้กระทั่งตามสลัมริมคลอง ริมทางรถไฟ เชื่อว่าตำ�รวจยังไปไม่ถึง ส่วนเว็บไซต์พนันบอลออนไลน์ ผมก็ไม่เชื่อว่ามีแค่ 4 ราย เพราะทุกวันนี้ผมฟังคลื่นกีฬา ก็มีสปอตโฆษณาเว็บพนันออนไลน์เหล่านี้ออกมา เรื่อยๆหลากหลายยี่ห้อ แล้วเว็บเขามีเซิร์ฟเวอร์อยู่ต่างประเทศ ก็เพิ่มความลำ�บากให้ตำ�รวจเข้าไปอีก แต่ถึงอย่างไร ตลอดหนึ่งเดือนที่เจ้าหน้าที่ตำ�รวจได้เริ่มแสดงออกว่า ต้องการปราบปรามการพนัน ให้หมดไป แม้จะยังทำ�ได้เพียงยอดภูเขาน้ำ�แข็ง แถมบ่อนการพนันใหญ่ๆ ตำ�รวจยังไม่มีศักยภาพเข้าไปจับ ได้มากนัก (อย่างกรณีชูวิทย์แฉบ่อนกิ่งเพชร) แต่ผมเชื่อว่า ถ้าตำ�รวจลองเข้าตรวจตามสถานที่เล็กๆแคบๆอโคจรๆมากกว่านี้ ผมเชื่อว่ามันมีให้ จับอีกเยอะ และผมเชื่อว่าน่าจะเป็นจุดเริ่มที่ดีให้ประชาชนร่วมมือกับตำ�รวจมากขึ้นในการปราบการพนัน ให้หมดไป


เชียร์บอลจนตัวตาย ฟุตบอลทีมชาติแบบทัวร์นาเมนต์จำ�พวกยูโร หรือ ฟุตบอลโลก มีความแตกต่างจากฟุตบอล สโมสรที่เตะกันทั้งฤดูกาลอย่างหนึ่งคือ ฟุตบอลทัวร์นาเมนต์จะเตะกันต่อเนื่องหนึ่งเดือนเต็มๆ ส่วนฟุตบอล สโมสรเล่นตลอดปี แต่เล่นสัปดาห์ละเกมถึงสองเกมให้ได้หยุดพักหายใจหายคอกันบ้าง ซึ่งจากฟุตบอลยูโร 2012 ที่ผ่านมา มีแฟนบอลพันธุ์แท้หลายคนที่มีวิธีการเลือกชมเกมฟุตบอลตามจำ�นวนและแนวคิดที่ต่าง กันออกไป บ้างก็เลือกชมเกมที่ทีมเชียร์ตัวเองลงสนามเท่านั้น มีบ้างที่เลือกชมเกมที่อยากดู ส่วนจำ�พวกหมู กัดกัน ก็ช่างมันเถิด แต่ยังมีหลายคนที่ตะบี้ตะบันดูมันทั้งทัวร์นาเมนต์ ไม่เว้นแม้แต่คู่เดียว ความที่ทวีปยุโรปกับเอเชียมันอยู่เกือบคนละซีกโลก เวลามาตรฐานจึงต่างกันร่วม 7-8 ชั่วโมง ฟุตบอลเตะที่ยุโรปตอนเย็นๆ แต่ช่วงเวลาเดียวกันก็เป็นดึกสงัดของคนเอเชีย ดังนั้นการอดหลับอดนอนเป็น เวลาติดๆกัน แถมบางคนยังต้องรีบตื่นแต่เช้าไปทำ�งนอีกต่างหาก ย่อมทำ�ให้เสียสุขภาพในระยะยาวได้ง่าย ก็เหมือนเครื่องจักรล่ะครับ ให้มีศักยภาพการผลิตแค่ไหน แต่คุณเล่นเปิดเดินเครื่องติดๆกันเป็น เดือน เครื่องก็เจ๊งซิครับ แถมร่างกายเราก็เป็นก้อนเนื้อมารวมๆกัน ไม่ได้แข็งแกร่งเหมือนเครื่องจักร จึงสุ่ม เสี่ยงต่อโรคภัยไข้เจ็บ อาจถึงขั้นเสียชีวิตเลยด้วยซ้ำ� อุทธาหรณ์สำ�คัญเกิดขึ้นชาวจีนรายหนึ่งที่ติดตามดูฟุตบอลยูโร 2012 มาได้ครึ่งค่อนทัวร์นาเมนต์ แล้ว ข่าวรายงานว่าเขาเป็นแฟนบอลของอังกฤษและฝรั่งเศส แต่ก็ตามดูเกมการแข่งขันเกือบทุกคู่ คงจะกะ เก็งว่าอังกฤษกับฝรั่งเศสจะได้เจอใคร จนกระทั่งวันหนึ่งเขาก็หมดสติไปกระทันหัน และเสียชีวิตในเวลาต่อ มา เนื่องจากร่างกายอ่อนแรง ส่งผลต่อการเต้นของหัวใจที่ทำ�งานหนักมาตลอดหลายสัปดาห์ ในช่วงที่ยูโรกำ�ลังลงเตะกันโครมๆ มีนายแพทย์หลายท่านออกมาแนะนำ�ว่า หากคุณคิดจะติดตาม ชมเกมฟุตบอลดึกๆ ควรกินข้าวเย็นแต่เนิ่นๆ หลีกเลี่ยงอาหารมื้อดึกโดยเฉพาะของกินหนักๆจำ�พวกข้าว หรือถ้าเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ให้บริโภคจำ�พวกถั่ว และเมื่อตื่นนอนมาตอนเช้าให้ดื่มน้ำ�เข้าไปเยอะๆ เพื่อฟื้น สมดุลของร่างกาย ไม่ควรออกกำ�ลังหักโหม เพราะหัวใจผ่านการทำ�งานอย่างหนักมาแล้วในช่วงเวลาที่ควร จะได้พักผ่อน (คือช่วงดึกๆที่คุณดูบอลน่ะแหล่ะ) หลังจากยูโรจบลง ปลายเดือนนี้ก็มีมหกรรมโอลิมปิกตามมา รวมทั้งอนาคตที่โลกไม่แตกก็คงมี ฟุตบอลโลกกับฟุตบอลยูโร ร่วมทั้งเกมสโมสรนู้นนี่ให้ได้นอนดึกกันอีกหลายอีเวนต์ ยังไงก็รักษาสุขภาพให้ ได้อยู่ดูบอลกันนานๆนะครับ


ดาร์บี้แมตช์ ยูโรโซน

ก่อนที่เกมยูโร 2012 รอบ 8 ทีมสุดท้ายระหว่างเยอรมันกับกรีซจะเริ่มต้นขึ้น สื่อมวลชนและแฟน บอลทั่วยุโรปต่างขนานนามเกมนี้ว่าเป็น “ศึกเจ้าหนี้ปะทะลูกหนี้” อันสืบเนื่องมาจากวิกฤตการณ์ยูโรโซน แม้ทางโยอาคิม เลิฟ เทรนเนอร์ของเยอรมันจะกล่าวว่า นี่ก็เป็นเพียงเกมๆหนึ่งเท่านั้น ผมแค่มีหน้าที่คุมทีม ฟุตบอล ไม่ได้มีอำ�นาจไปร่างแผนรัฐบาลให้แองเกล่า เมอร์เคิล (ผู้นำ�เยอรมัน) ซะหน่อย แต่หลายคนก็ยัง มุ่งจุดประเด็นเจ้าหนี้-ลูกหนี้ต่อไป แถมเมื่อเกมการแข่งขันมาถึง กล้องในสนามจับภาพไปเจอ แองเกล่า เม อร์เคิล มานั่งชมเกมนี้ด้วย หลายคนก็ได้ทีแซวว่า เมอร์เคิลมานั่งขนาดนี้ กรีซคงไม่กล้าชนะเยอรมันหรอก ไม่งั้นโดนตัดเงินกู้ยืมเป็นแน่ และก็น่าเสียดายเหมือนกันที่กรีซไม่สามารถชนะเยอรมันได้ ไม่งั้นในรอบรองชนะเลิศ ก็คงกลาย เป็นการดวลกันระหว่างชาติหนี้สินบานตะไท ทั้งสเปน อิตาลี โปรตุเกส และ กรีซ ซึ่งทั้ง 4 ประเทศมี วิกฤตการณ์หนี้สินมานานแล้ว จนเคยได้รับการขนานนามว่าเป็นประเทศกลุ่มหมูหลายตัว (PIGS - มาจาก อักษรตัวหน้าของทั้ง 4 ประเทศ)

Portugal Italy Greece Spain


ท่ามกลางบรรยากาศมาคุถู่ถังของวิกฤตการณ์หนี้สินยูโรโซน ซึ่งมีโอกาสสั่นสะเทือนการเงินทั่ว โลกได้เลยทีเดียว เมื่อมีฟุตบอลยูโร 2012 มาคั่น จึงเหมือนเป็นน้ำ�ทิพย์ชโลมใจให้ผู้คนในชาติที่ยังมีหนี้สิน และต้องรัดเข็มขัดกันสุดชีวิต ได้หยุดพักหายใจและสร้างเสริมกำ�ลังใจสู้ต่อไป อย่างกรณีของกรีซ ซึ่งหนี้สิน บานตะไทที่สุด การพลิกนรกผ่านรอบแรกมาได้หวุดหวิดในเกมสุดท้ายที่ชนะรัสเซีย 1-0 แม้รอบต่อมาจะ ต้องตกรอบด้วยน้ำ�มือของเยอรมัน แต่ประชาชนชาวกรีซที่ออกมานั่งดูเกมทีมชาติของตนที่จตุรัสกลางกรุง เอเธนส์ นครหลวงของกรีซ ก็บอกว่านี่คือความภาคภูมิใจของเรา และพวกเขาคือวีรบุรุษที่จะทำ�ให้เรามี กำ�ลังใจสู้ต่อไป

ส่วนการคว้าแชมป์ยูโรของสเปน ก็ถือว่าเป็นกำ�ลังใจใหญ่หลวงเช่นกัน เพราะสเปนที่มีศักดินา เป็นถึงประเทศเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของยุโรป แต่ธนาคารสเปนแต่ละแห่งเริ่มแบกหนี้เน่าจำ�นวน มากไม่ไหว สุ่มเสี่ยงต่อการล้มละลาย จึงทำ�ให้ประชาชนสเปนกลัวว่าจะมีชะตาชีวิตเหมือนกรีซ แต่หลัง จากเกมที่เคียฟ และถ้วยแชมป์ถุกหิ้วกลับกรุงมาดริด นั่นทำ�ให้ชาวสเปนลืมช่วงเวลาที่โศกเศร้าไปได้ระยะ หนึ่ง แต่ถึงกระนั้นเงินรางวัลที่สเปนได้จากการคว้าแชมป์ยูโรร่วมร้อยล้านยูโร ก็ไม่รู้ว่าจะถูกผ่องถ่ายออก มาช่วยชาติ หรือแบ่งเป็นโบนัสระหว่างเจ้าหนาที่และนักเตะกันเอง ซึ่งก็คงน่าแปลกที่เศรษฐกิจสเปน ซบเซาแต่นักเตะสเปนกำ�ลังร่ำ�รวยมหาศาล


เหงาท่ามกลางผูค้ น

มีเพื่อนผมคนหนึ่ง อยู่ดีๆก็บ่นขึ้นมาว่า “พวกมึง เคยเหงาท่ามกลางผู้คนบ้างมั้ย”

พลันสิ้นเสียงบ่น เพื่อนคนอื่นๆก็ต่างหันหน้าไปยังเพื่อนผมคนนี้ และก็เริ่มเข้าไปปลอบ

“มึงเป็นอะไร ใจเย็นๆ มีอะไรพูดกับกูดิ” “ไม่อยากเหงาก็อยู่กับพวกกูดิ” “เอาน่า อย่าคิดมาก ช่วงนี้ มึงคงเบื่อๆ มึงก็หาอะไรทำ�ดิวะ”

ต่างคนก็ต่างปลอบเพื่อนผมกันไป

ส่วนผม ซึ่งกำ�ลังดูพิธีกรรมเพื่อนปลอบเพื่อนอยู่นั่น กลับไม่พูดอะไรเลย และไม่คิดจะไปปลอบ ใจอะไรทั้งนั้น เพราะไม่รู้จะปลอบไปทำ�ไม ในเมื่อการเข้าไปปลอบ ใครซักคนที่ตั้งคำ�ถามว่าเคยเหงา ท่ามกลางผู้คนมั้ยเนี่ย มันไม่ใช่วิธีแก้ที่ตรงจุดเลย เพราะอาการเหงาท่ามกลางผู้คน มันเป็นโรคติดต่อชนิดหนึ่ง ที่มีเชื้อที่แรงมาก แค่คำ�ปลอบใจ บางเบาก็เอาไม่อยู่ และโรคนี้มันกำ�ลังระบาดอยู่ในหมู่วัยรุ่นไทย


ไอ้โรคเหงาท่ามกลางผู้คน พอฟังชื่อแล้วมันดูย้อนแย้งพิกล จนชวนจิ้มแทงหัวใจให้คันบ้างมั้ย ครับ ก็อยู่ท่ามกลางผู้คนตั้งเยอะ แต่ทำ�ไมยังเหงาได้ เออ มันก็ประหลาดดี จริงๆมันไม่น่าจะเหงาด้วยซ้ำ� มีคนตั้งมากอยู่รอบกาย ไม่ให้รู้สึกว่าอยู่คนเดียว แต่ทำ�ไมเรายัง รู้สึกว่าว่างเปล่า โดดเดี่ยวอยู่ ผมว่า มันเป็นเพราะเราเชื่อมาโดยตลอดว่าไม่ว่าเราจะทำ�อะไร เราต้องมีเพื่อนอยู่ร่วมด้วยทุก ครั้ง ไม่ว่าจะไปกินข้าว ดูหนัง ทำ�งาน หรือแม้แต่เข้าห้องน้ำ� โดยเฉพาะผู้หญิง ซึ่งเคยทำ�ให้ผมสงสัยว่า ถ้า ผู้หญิงไปเข้าห้องน้ำ� แล้วไม่สามารถหาเพื่อนไปเข้าห้องน้ำ�ด้วยได้ มันจะหลงทางหาห้องน้ำ�ไม่เจอ หรือฉี่ไม่ ออกอย่างนั้นหรือ ตัวอย่างของการใช้ชีวิตโดยขึ้นอยู่กับการมีเพื่อนก็คือ การทำ�งาน คนที่ผ่านชีวิตในวัยเรียน จะ คิดคล้ายๆกันอยู่อย่างคือ การทำ�งานกลุ่ม มีความเสี่ยงน้อยกว่าทำ�งานเดี่ยว เหคุผลส่วนหนึ่ง (และส่วน ใหญ่) คือจะได้แบ่งภาระงานให้คนอื่นมันทำ� เพราะถ้าเป็นงานเดี่ยว แล้วเราขี้เกียจทำ� ถึงเวลาก็ไม่มีงาน ส่ง แต่หากเป็นงานกลุ่ม เราขี้เกียจก็ยังมีงานส่งเพราะคนอื่นทำ� (แต่ถ้ามันคิดอย่างนี้กันทั้งกลุ่ม ก็ต้องมา นั่งปั่นกระจายเอาวันสุดท้ายก่อนส่งทุกที) ทว่าในเหตุใหญ่ตรงนี้ ก็มีเหตุผลเล็กๆที่ซ่ออยู่ก็คือ เราไม่อยาก ทำ�อะไรคนเดียว อย่างน้อยการได้ทำ�งานร่วมกับเพื่อนมันสบายใจและปลอดภัยกว่า (และทำ�ให้ขี้เกียจได้ มากกว่า) ผมมีเพื่อนอยู่คนหนึ่ง มันมีโรคประจำ�ตัวลักษณะนี้เหมือนกัน คือ ไปไหนมาไหนคนเดียวไม่ได้ มันจะไปไหนต้องชวนคนนั้นคนนี้ไปด้วยตลอด ไม่ว่าคนอื่นเขาจะอยากไปด้วยหรือไม่ แล้วเวลาที่มันมา ชวนผมไปกับมัน แล้วผมไม่ว่าง ปฏิเสธมันไป มันก็จะเคือง ถามหาความชอบธรรมว่า ผมยัง “เป็นเพื่อน มัน” อยู่หรือเปล่า ผมเลยเตือนสติมันว่า กูเป็นเพื่อนมึง แต่กูไม่ใช่เซเว่น ที่พร้อมให้มึงตลอด 24 ชั่วโมง แล้วที่กูไม่ ไปกับมึงไม่ใช่ไม่รักมึง แต่กูไม่ว่างจริงๆ และอยากบอกว่า ในชีวิตมึงน่ะ มันต้องมีจังหวะที่มึงต้องทำ�อะไร คนเดียว ต่อสู้คนเดียว ถ้ามึงมัวแต่เอาชีวิตไปขึ้นอยู่กับคนอื่น ต้องมีคนอื่นด้วยอย่างนี้ มันจะดีเหรอ ผมว่า วัยรุ่นไทยสมัยนี้อยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องมีเพื่อนตลอดเวลา เพราะไม่กล้าที่จะออกไปเผชิญ หน้าอะไรด้วยตัวคนเดียว ต้องการปลอดภัยไว้ก่อน ยังคิดว่าตัวเองไม่โตพอที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งใหญ่ๆ ท้าทายเหล่านั้น ไม่กล้าจะเดินไปหาโดยลำ�พัง เลยต้องหาใครซักคนมาอยู่ข้างๆเป็นที่พึ่ง ซึ่งนอกจากพ่อ แม่แล้ว ก็หนีไม่พ้นเพื่อน ทำ�ให้เวลาจะไปไหนทำ�อะไรก็ต้องมีเพื่อนไปด้วยให้อุ่นใจ แม้บางทีเพื่อนจะไม่อยู่ แต่อย่างน้อยเพื่อนกูก็ยังสถิตในเฟซ ในบีบี ยังกดปุ่มหากันได้ ก็ยังดีวะ


ทำ�ให้เวลาที่ต้องอยู่คนเดียวจริงๆ ก็เลยไม่เคยชิน จึงเกิดเป็นอาการเหงาขึ้นมาอย่างง่ายได้ เสมือนคนเป็นหวัดง่าย เพราะไม่มีภูมิคุ้มกันที่ดีพอ หรือร่างกายไม่แข็งแรงเพราะไม่เคยออกกำ�ลังกาย นี่ล่ะมั้ง อาการป่วยคร่าวๆของ “โรคเหงาท่ามกลางผู้คน” อยู่คนเดียวในที่คนมากมาย แต่คน มากมายเหล่านั้นไม่ได้มาอยู่ข้างๆเรา เราก็เลยโดนเชื้อเหงาเล่นงาน แล้วจะรักษาโรคอย่างไร อันนี้ผมไม่ใช่หมอ ก็ไม่อาจลงพื้นที่ไปแก้”เหงา”ให้ได้หรอก (ยกเว้น ว่าคุณต้องการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีสถานะเพศ “หญิง” อิอิ) แต่มีข่าวดีก็คือ โรคนี้แต่ละคนสามารถ รักษาเองได้ ไม่ต้องใช้ยา แต่จะหายช้าหายเร็วขึ้นอยู่กับตัวคุณเอง ก็คงคล้ายกับหวัดน่แหล่ะ ไม่อยากเป็น หวัดอีกก็เพิ่มภูมิคุ้มกัน ทำ�ร่างกายให้แข็งแรง และที่สำ�คัญก็คือคุณต้อง “เหงาให้เป็น” ประมาณว่าเกลือจิ้มเกลือน่ะแหล่ะ ถ้าอยากหายเหงาก็ต้องเหงาให้เป็น ไม่ใช่หลีกเลี่ยงการเหงา เพราะเหงาเป็นอาการหนึ่งของมนุษย์ที่ทุกคนก็เป็นกันได้ แม้แต่คนที่จิตใจแข็งแกร่ง ก็ยังมีเหงากับเขา เลย ฉะนั้นอย่าหลีกเลี่ยงที่จะเหงา เพราะเท่ากับการหลีกเลี่ยงความจริงไปในตัว การเหงาให้เป็นก็คือการ ทำ�ความรู้จักกับความเหงา เสมือนจับตัวเหงามาจับเข่าคุยกัน ทำ�ความรู้จักกันไปเลย และเมื่อพอจะเข้าใจ บ้างแล้ว เมื่อไหร่ที่คุณเหงาอีกจะได้รู้ว่า อ๋อ เหงาแล้วไงอ่ะ ก็ธรรมดามนุษย์นี่ ฉันเหงาไม่ได้แปลว่า ชีวิตฉัน ย่ำ�แย่สุดขีดแล้ว แต่มันเป็นอะไรที่ใครก็เป็นกันได้ นี่ล่ะเข้าใจและยอมรับที่จะเหงา ที่สำ�คัญ ต้องอยู่คนเดียวให้เป็นด้วย เพราะแม้จะเข้าใจความเหงามากแค่ไหน แต่ถ้ายังเรียกร้อง หาเพื่อนอยู่ มันก็ใช่เรื่อง เราต้องรู้สึกว่าการอยู่คนเดียวไม่ใช่เรื่องน่าสิ้นหวัง มันไม่ใช่เรื่องแย่ แต่เป็นเรื่องที่ เกิดขึ้นได้ในชีวิต ถ้าเรายังผ่านช่วงวลานี้ไปไม่ได้ แล้วเรื่องท่ใหญ่กว่ในชีวิตจะเป็นอย่างไร เช่น หากคุณอยู่ คนเดียวโดยไม่มีใครอยู่ข้างๆในตอนนี้ไม่ได้ แล้วถ้าสมมติว่าในอนาคต พวกเขาเหล่านั้นไม่มีชีวิตเหลือ แล้ว คุณต้องมาอยู่คนเดียวจริงๆจังๆ คุณไม่น้ำ�ตาแตกทั้งวันทั้งคืนเลยเหรอ ผมหวังจริงๆนะ อยากให้วัยรุ่นไทยทุกคน หายจากโรคป่วยนี้ซักที เพราะผมไม่อยากให้พวกคุณ มานั่งคอตกมองพื้นอยู่อย่างนี้ เอาเวลาเหงามาลุกขึ้นทำ�อะไรที่อยากทำ�ดีกว่า แม้จะทำ�โดยไม่มีใครร่วมทำ� ด้วย แต่อย่างน้อยมันก็ทำ�ให้คุณมีความสุข หายเหงา ชีวิตดูมีคุณค่า ดูมีอะไร และเอาเวลาแทนที่จะมานั่ง เหงาเปล่าๆมาทำ�สิ่งที่ตั้งใจ สิ่งที่เป็นประโยชน์ เห็นมั้ย ลุกขึ้นมาจากกองทุกข์แห่งเหงา (โดยไม่ต้องมีเพื่อน มาช่วยพยุง)ได้อะไรดีๆให้ชีวิตเยอะเลย


กรรมกรตัวอักษร

แน่ใจแล้วเหรอ?

ผมเหลียวตามองไปรอบห้องนอนของผม แล้วเกิดฉงนใจขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า “นี่หรือคือห้อง นอนกู” เพราะนอกจากที่นอนแบบพับได้ พร้อมหมอนและหมอนข้างที่วางแผ่อยู่บนพื้นห้องแล้ว สิ่ง อื่นๆที่วางระเกะระกะอยู่ทั่วห้อง ก็เป็นกองกระดาษต่างๆ ทั้งแบบที่ผ่านการเข้าเล่มหรือที่เข้าใจได้ง่าย กว่าว่าหนังสือ หรือจะเป็นเศษกระดาษมากมายที่มีลายมือยุกยิกเต็มแผ่นไปหมด กระจายอยู่ทั่วห้อง ซึ่งมีจำ�นวนมากพอที่จะบดบังพื้นที่โล่งที่สามารถจะวางเท้าเพื่อเดินไปมาในห้องได้ หลังจากหมุนสายตาครบ 360 องศาแล้ว ผมเริ่มคิดว่า หากนี้คือห้องนอนของผม ผมก็ควร จะทำ�ให้มันเป็นห้องนอนอย่างแท้จริง ด้วยการขนย้ายกองหนังสือกองกระดาษทั้งหลายเหล่านี้ไป จัดไว้เป็นที่เป็นทางให้เรียบร้อย หรือไม่ก็เอาไปทิ้งเสียบ้าง โดยเฉพาะพวกเศษกระดาษจำ�นวนมาก เหล่านั้นที่เชื้อเชิญคำ�ขอร้องแกมบังคับของพ่อแม่ผมให้ช่วยจัดการนำ�ไปทิ้งให้เรียบร้อย ไม่ใช่ปล่อย กระจัดกระจายดูสกปรกซกมกเป็นสลัมข้างคลองอย่างนี้ แต่ด้วยความสัตย์จริง หากผมเริ่มต้นที่จะจัดการกับกองกระดาษเหล่านี้ นี่ก็คงเป็นการจัดการ ครั้งที่สามแสนกว่าๆเห็นจะได้ เดิมทีห้องของผมมันก็เคยโล่ง จนกระทั่งเริ่มมีหนังสือเข้ามาในห้อง เรื่อยๆในแต่ละวัน ผ่านการซื้อบ้าง เพื่อนให้มาบ้าง ผสมกับสมุดจดและกระดาษเป็นแผ่นๆเต็มไปด้วย ลายมือสุดจะน้ำ�มูกไหล(หวัด)ของผม ซึ่งมีต้นเหตุมาจากการจดบันทึกเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นในแต่ละ วันของชีวิต มีสาระบ้างไม่มีสาระบ้าง บางทีหยิบมานั่งอ่านดูอีกที อาจมีรำ�พันว่า จดมาทำ�ไมให้เปลือง หมึกปากกา ไม่มีประโยชน์อะไรเลย แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ยังผลิตเศษกระดาษเปื้อนหมึกอย่างนี้เรื่อยๆ จนห้องนอนของผมกลายเป็นห้องบรรจุกระดาษอย่างที่เป็นอยู่นี่ล่ะครับ ทุกครั้งที่จัดห้องใหม่ ผมก็แอบรำ�คาญตัวเองว่า จะเก็บไว้ทำ�ไมมากมาย ทำ�ไมไม่เอาไปทิ้ง เสียที จัดใหม่ที ห้องเละอีกที ไม่ต้องมาทำ�ใหม่อยู่อย่างนี้จนแก่เฒ่าเลยหรือ แต่ครั้นจะยกเอาไปทิ้ง ทั้งหมดก็ทำ�ไม่ได้ ส่วนหนึ่งก็เสียดายโดยเฉพาะหนังสือ แต่อีกส่วนหนึ่งผมทิ้งไม่ได้จริงๆ ผมจะเอาวัตถุดิบพวกนี้ไว้เขียนหนังสือ


จากที่ได้พูดคุยกับพี่ๆในวงการหนังสือหลายคน พวกเขาสรุปไปในทางเดียวกันว่า ช่วงระยะ หลังมานี้ เริ่มมีกลุ่มวัยรุ่นมากมายที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนักเขียนกันมากขึ้น โดยเฉพาะในด้านการเขียน วรรณกรรมและนิยาย แต่จะประสบความสำ�เร็จหรือเปล่ามันก็อีกเรื่องหนึ่ง มีหลายคนวาดภาพไว้สวย หรูว่า นักเขียนเป็นอาชีพที่โคตรจะเท่ มีอิสระ วันๆนั่งเขียนหนังสืออยู่ที่บ้าน เสร็จก็ส่งต้นฉบับ คราไหน ไอเดียหมด ก็ออกเดินทางไปเที่ยวเพิ่มเติมไอเดีย แล้วเอาไอเดียเหล่านั้นกลับมานั่งเขียนหนังสือใหม่ ดู เป็นอิสระสิ้นดีเลยทีเดียว เด็กๆหลายคนก็เลยอยากจะเป็นนักเขียนกันด้วยเหตุผลส่วนใหญ่คือประเด็น ดังกล่าว ซึ่งหากจะมองอย่างนั้นมันก็ถูกส่วนหนึ่งครับ แต่การที่คุณจะไปถึงขั้นตอนนั้นได้ หากคุณไม่ เป็นนักเขียนระดับประเทศที่เอ่ยแค่ชื่อเล่น คนก็อ๋ออย่างพร้อมเพรียง หากคุณไม่มีพ่อที่รวยในระดับกิน เท่าไหร่ก็ไม่หมด คุณก็ต้องเพ้อฝันเป็นอย่างมาก ใครที่กำ�ลังใฝ่ฝันไปไกล ผมขออนุญาตฉุดคุณลงมาสู่โลกแห่งความจริงกันก่อนนะครับ การ เป็นนักเขียน จริงๆมันไม่ได้ง่ายและไม่ได้อิสระอะไรขนาดนั้น ผมเองก็เป็นนัก(อยาก)เขียนที่หลังจาก พยายามเขียนหนังสือมาได้ซักพัก ผมก็ตระหนัได้ว่า หากจะดำ�รงชีพด้วยการเป็นนักเขียนจริงๆ มันไม่ ได้เป็นงานที่สบายกว่างานจำ�พวกมนุษย์เงินเดือนซักเท่าไหร่ เผลอๆอาจจะลำ�บากกว่าด้วยซ้ำ� เพราะ ถึงแม้คุณจะมีอิสระในการควบคุมเวลาทำ�งานของตัวเองว่า จะเริ่มเขียนต้นฉบับตอนไหน โดยไม่ต้อง สนใจเวลาการทำ�งานตายตัวแบบทำ�งานสำ�นักงาน แต่งานเขียนหนังสือเป้นเรื่องของการเรียบเรียง ความคิด ไอเดียต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่คุณคิดปั๊บแล้วได้เลย มันอาจต้องผ่านการกลั่นกรองอะไร มากมาย ต้องมีความรู้รอบด้าน มีความสนใจรอบตัว กระตือรือร้นหาเรื่องราวใหม่ เอามาประยุกต์ใช้ใน งานของต้น ไม่ให้ซ้ำ�เดิมๆ กว่าที่จะเกิดเป็นก้อนความคิดที่นำ�ไปต่อยอดในงานเขียนได้ และกว่าจะเรียบเรียง กว่าจะตกแต่งสำ�นวนให้ออกมาน่าพอใจ อาจต้องใช้เวลาเป็นวัน กว่า จะเขียนออกมาได้หนึ่งชิ้น แถมค่าเรื่องต่อชิ้นก็ไม่ได้มากมายซักเท่าไหร่ อย่าไปหวังค่าเรื่องชินละเป็น พันเลยครับ บางคนเป็นนักเขียนระดับประเทศยังได้ค่าเรื่องแค่พันกว่าๆเอง แน่นอนว่ายิ่งคุณไม่ใช่นัก เขียนที่มีชื่อเสียง ค่าเรื่องก็ได้น้อย และอาจไม่ค่อยมีหนังสือที่ไหนให้โอกาสคุณเขียนมากนักด้วย จุดๆนี้ จึงเป็นเรื่องที่ลำ�บากกว่าพนักงานออฟฟิศ ที่ถึงแม้จะต้องทำ�งานหนักหน่วง แต่ก็มั่นใจได้ว่าสิ้นเดือนเงิน ออก อีกทั้งกว่าที่คุณจะเริ่มเป็นนักเขียนที่เป็นที่นิยมได้ คุณต้องสร้าง “กุญแจไขประตู” ให้ได้เสีย ก่อน นั่นก็คือต้นฉบับดีๆซักเรื่องที่ส่งไปยังสำ�นักพิมพ์แล้วได้รับการอนุมัติให้ตีพิมพ์ได้ เมื่อไหร่ที่คำ�ว่า อนุมัติมีผล คุณจะได้รับกุญแจไขประตูเพื่อเปิดประตูสู่โลกของนักเขียนอย่างแท้จริง ซึ่งกับหลายคนอีก ที่ต้นฉบับของเขาถูกตีกลับไม่ต่ำ�กว่าสิบรอบ


ประการสุดท้าย เป็นนักเขียนมีอิสระ ดูเท่ แต่เหงาโคตรๆ ใครที่ไม่มีภูมิต้านทานด้านความ เหงา เตรียมตัวเฉาตายได้เลย เพราะเขียนหนังสือแต่ละครั้ง คุณต้องการความเงียบสงบสูงมาก ต้องมี สมาธิ อีกทั้งต้องใช้เวลาเกือบทั้งวันในการปั่นต้นฉบับเงียบๆคนเดียว ไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปพบเจอใคร ยิ่งเป็นนักเขียนที่เปนที่นิยม มีงานเขียนตามคอลั่มน์ในนิตยสารต่างๆมารอให้เขียนแล้ว ยิ่งมากคอลั่มน์ ยิ่งต้องใช้เวลากับงานเขียนมาก แต่เวลากับสิ่งมีชีวิตอื่นๆยิ่งน้อยลง เชื่อว่าคุณอาจเหงาตายก่อนเฉา ตายเพราะโหมงาน(เขียน)หนัก ก็เป็นได้.... (ยังกะเสียงในรายการคนอวดผี) จริงๆแล้วยังมีรายละเอียดอีกเยอะ แต่เพียงเท่านี้ นักอยากเขียนทั้งหลาย...ถอยกรูดกันไปบ้าง หรือยังล่ะ สำ�หรับหลายๆคนที่ยังไม่ถอยกรูดตามคนอื่นไป และยังเชื่อว่าตนอยากเขียนหนังสือ และ อยากเป็นนักเขียนให้จงได้ ลองถามตัวเองอีกซักครั้งหนึ่งว่า ในวันที่คุณยังเป็นใครก็ไม่รู้ ยังไม่มีโอกาส แม้แต่จะได้รับวีซ่าเพื่อเข้าสู่มหานครแห่งหนังสือ เพื่อเข้าไปเป็นกรรมกรตัวอักษร ทำ�งานกับตัวอักษร อย่างหนัก เพื่อเคี่ยวกรำ�ฝึกตนให้มีทักษะ และสร้างสรรค์ชุดอักษรอันกลมกล่อมออกมาให้ได้เป็นที่ ประจักษ์แก่สังคมหนังสือ จนกลายเป็นกรรมกรตัวอักษรผู้ยิ่งใหญ่ในตำ�นาน คุณพร้อมที่จะรับศึกหนัก เพื่อสิ่งเหล่านี้หรือไม่ หากคุณพร้อม ผมก็ขอแสดงความยินดีด้วยที่คุณได้ค้นพบตัวเองแล้วว่าคุณอยาก เป็นกรรมกรตัวอักษรอย่างเต็มตัว และเตรียมตัวจัดห้องบ่อยๆอย่างที่ผมทำ�ได้เลย เพราะยังมีอะไรอีกมากที่เราต้องทำ�ก่อนที่จะ ก้าวไปสู่การเป็นนักเขียนอย่างเต็มตัว


ประวัตศิ าสตร์ ไทยไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร? แต่ไหนแต่ไรมา คำ�กล่าวอ้างที่ว่า ประเทศไทยนี่ดีหนักหนา เพราะไม่เคยตกเป็นเมืองขึ้นของใคร ย่อมเป็นองค์ความรู้ลำ�ดับต้นๆ ที่เราเคยเรียนรู้กันมาตั้งแต่สมัยยังเป็นเด็กนักเรียน ซึ่งขณะนั้นเราก็ได้แต่ กันไปโดยไม่คิดสงสัยอะไรกับเนื้อความดังกล่าว เพราะยังไม่มีความรู้มากพอที่จะมางัดมาค้านอะไรได้ ครูก็ พยายามบอกเล่าเหลือเกินโดยเฉพาะเหตุการณ์ที่อังกฤษกับฝรั่งเศสล่องเรือปืนเข้ามายังดินแดนสุวรรณภูมิ เพื่อเสาะแสวงหาเมืองขึ้นมาเป็นของตน เพื่อการแย่งชิงอิทธิพลเหนือดินแดนเหล่านั้น ซึ่งจะตามมาด้วย ทรัพยากร ของมีค่าต่างๆ เพื่อขนกลับประเทศ ในขณะที่ชนชาติเพื่อนบ้านต้องยอมศิโรราบต่อฝรั่งหัวทองกัน ไปหมด แต่ด้วยพระปรีชาสามารถของกษัตริย์ไทย โดยเฉพาะวิกฤตการณ์ ร.ศ.112 ที่เรือปืนฝรั่งเศสมาเกย ปากแม่น้ำ�เจ้าพระยาแล้ว ซึ่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงรับมือกับแผนการของฝรั่ง จำ�ต้องให้แผ่นดินสยามแขนขาดไปข้างหนึ่ง เพื่อดำ�รงดินแดนส่วนใหญ่เอาไว้ ซึ่งก็ทำ�ให้ชาติไทยยังคงมีความ เป็นเอกราชมาจนถึงทุกวันนี้ นี่เป็นเนื้อหาโดยสรุปที่ครูสอนวิชาสังคมศึกษาก็ดี แบบเรียนประวัติศาสตร์ไทยก็ดี บอกเล่าเรื่อง ราวในลักษณะดังกล่าว นั่นทำ�ให้เด็กนักเรียนผู้ยังหัดเดินในแวดวงความรู้ ก็เข้าใจไปอย่างนั้น เพื่อเอาไปใช้ สอบปลายภาค และก็เป็นความรู้ติดหัวมาจนถึงปัจจุบัน ตอนโตมา ถึงจะเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น เมื่อศึกษาประวัติศาสตร์ชาติไทย แบบพื้นฐาน อย่างจริงจัง เชื่อว่าหลายคน เมื่อได้อ่านประวัติศาสตร์ของชนชาติไทยแบบกว้างๆ จะเริ่มสงสัยว่า ตกลงชาติ ไทยเราบริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่เคยถูกใครมาตีแตกพ่ายไปงั้นหรือ ในเมื่อตั้งแต่ชนชาติไทยมาตั้งรกราก ตั้งเมืองจน กลายเป็นอาณาจักรเรื่อยมา ที่เห็นเด่นชัดที่สุดก็คือ สมัยกรุงศรีอยุธยา ที่โดยชนชาติพม่า ที่ขณะนั้นเป็นกลุ่ม หงสาวดีที่เป็นใหญ่ มาตีแตกพ่ายไปถึงสองครั้งสองครา โดยเฉพาะครั้งที่สองที่บุกเข้าเผากรุงศรีฯเสียวอดวาย ไฟไหม้ 7 วัน 7 คืนติดต่อกัน จนอยุธยาไม่สามารถกลับฟื้นคืนมาได้อีก เมื่อพระเจ้าตากกู้ชาติ รวบรวมแผ่น ดินได้อีกครั้ง จึงต้องย้ายไปลงอยู่ที่กรุงธนบุรี พม่ายึดเมืองหลวงของชนชาติไทยได้ตั้งสองครั้ง นี่แปลว่าเราเคยเป็นเมืองขึ้นพม่าหรือเปล่าครับ


แล้วต่อมา หลังจากสมัย 15 ปี แห่งกรุงธนบุรี ก็เข้าสู่ยุครัตนโกสินทร์ ข้ามผ่านยุคสมัยของรัชกาล ที่ 5 ที่ฝรั่งเศสกับอังกฤษเข้ามาเย้วๆอยู่ขอบชายแดน ข้ามยาวไปจนถึงยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งหลายคนก็ พอทราบว่า ญี่ปุ่น ได้ยกพลขึ้นบกไทย บริเวณชายฝั่งทะเลอ่าวไทย โดยอ้างว่าจะขึ้นบกเพื่อยกทัพไปตีกองทัพ อังกฤษที่อยู่ในพม่า เพื่อปลดปล่อยพม่าออกจากเงื้อมมือฝรั่ง (แต่แอบพูดในใจว่าแล้วพอฝรั่งไป เอเชียด้วยกัน อย่างเราจะเข้าไปยึดต่อ) จึงต้องการใช้ไทยเป็นทางผ่าน ทางรัฐบาลไทยนำ�โดย จอมพล ป. พิบูลสงคราม ก็ยอม ให้ญี่ปุ่นผ่านแดนได้ หมายถึงการเข้ากับฝ่ายญี่ปุ่น และยอมให้ญี่ปุ่นตั้งกองทัพในไทยได้ เดินไปไหนมาไหนในทุก หัวเขตแดนเมืองของไทยได้ อย่างนี้เขาเรียกว่าการถูกยึดครองหรือเปล่าครับ นั่นแสดงว่าไทยเคยเสียดินแดน 3 ครั้ง 2 วาระ ให้กองทัพนุ่งโสร่งและกองพันซามูไรหรือเปล่าครับ ---------------------------------------------------------------------------- ทุกวันนี้ การตีความคำ�ว่า เสียดินแดนก็ดี ตกเป็นเมืองขึ้นก็ดี ยังมีความ เห็นที่ไม่ค่อยตรงกันเท่าไหร่ หากไม่นับในหมู่นักวิชาการ (ซึ่งไม่ขออ้างอิงถึงใน บทความนี้ เพราะต้องการให้เห็นภาพความคิดของคนไทยที่ทำ�มาหากินทั่วๆไป เป็นหลัก) พ่อค้าแม่ค้า พนักงานออฟฟิศ ครู นักเรียนหรือนักศึกษา ก็ยังตีความไม่ เหมือนกัน เช่น มีคนอธิบายว่า การตกเป็นเมืองขึ้นนับเฉพาะสมัยฝรั่งล่าอาณานิคม เท่านั้น ส่วนพม่าตีกรุงศรีได้ ยุคนั้นยังไม่มีคำ�ว่าพม่า ไม่มีคำ�ว่าไทย ไม่นับนะจ๊ะ ส่วนญี่ปุ่นเขาเข้ามายึดครองกันในช่วงสงครามกำ�ลังเกิด มาแค่ชั่วคราวเอง ไม่ได้มา ตั้งรัฐบาลของเขาในประเทศเราซะหน่อย ซึ่งหากอ้างแบบนี้ ในบางแง่มันก็ถูกครับ อย่างเรื่องที่เมื่อก่อนไม่มีคำ�ว่าพม่า ไม่มีคำ�ว่าไทย ก็ถูกอีกแหล่ะ สมัย โบราณสำ�นึกเกี่ยวกับประเทศชาติยังไม่ชัดเจนนัก แต่ละอาณาจักรไม่มีอาณาเขต ที่แน่นอน ยุคนั้นกรุงศรีอยุธยากับพม่าไม่มีการมานั่งคุยกันเพื่อกำ�หนดเส้นแบ่งอาณาเขตที่ชัดเจนหรอกครับ เขาใช้วิธีดูขอบเขตอำ�นาจของแต่ละอาณาจักร (ซึ่งไม่ค่อยเหมือนกับอาณาเขตในโลกยุคปัจจุบัน) คือเขาจะไป สำ�รวจหัวเมืองชั้นนอกต่างๆ แล้วถามว่าอยู่ในอำ�นาจของใคร สมมติถ้าตอบว่าอยุธยา ก็ถือว่าอำ�นาจของอยุธยา แผ่มาถึงบริเวณนั้น พวกเขาไม่มีความรู้สึกนึกคิดว่าตนเป็นคนชาติไหน เขารู้แค่ว่าตนอยู่ในพระราชอำ�นาจของ กษัตริย์เมืองใด จึงพอจะพูดได้ว่าสมัยนั้นไม่มีคำ�ว่าชาติ ว่าเป็นพม่าหรือไทยที่ชัดเจน (รวมทั้งยังเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ภูมิภาคนี้ไม่ค่อยนิยมทำ�แผนที่ จนเป็นสาเหตุหนึ่งให้พวกฝรั่งเอาแผนที่ของตนที่ละเอียดกว่า มาอ้างในการยึด ดินแดนไปฟรีๆ) แต่ประเด็นคือว่า พอพูดถึงประเด็นเสียดินแดน ก็ทำ�เป็นกล้อมแกล้มไม่นับว่า กรุงศรีอยุธยาเป็นส่วน หนึ่งของชาติไทยเต็มตัว แต่พอจะกล่าวอ้างถึงความเจริญรุ่งเรืองของความเป็นชาติ ก็ชอบไปเหมารวมสุโขทัย อยุธยาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย แล้วอ้างว่า ไทยเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ทั้งที่ในความเป็นจริง การ สถาปนาชาติไทย ที่มีประชากร การปกครอง อาณาเขต ที่ครบถ้วนสมบูรณ์ เพิ่งจะเริ่มในสมัยรัตนโกสินทร์นี่เอง ประเทศเรามีความเป็นชาติจริงก็เพียง 230 ปี (อัพเดตล่าสุด ปี พ.ศ. 2555) อายุพอๆกับประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งก็ยังถือว่าเป็นประเทศอายุน้อยอยู่ดี ก็เลยน่าประหลาดว่า พออ้างถึงเรื่องไม่ดีก็ตัดส่วนเกินออก พอพูดถึง เรื่องดีก็เอามาโปะๆให้ดูยิ่งใหญ่


ส่วนเรื่องญี่ปุ่น ที่บอกว่ามายึดช่วงสงครามถือว่าไม่นับ จริงอยู่ว่ากับชาติไทยอาจจะไม่นับ แต่ของ ชาติอื่นเขานับ เพียงแต่พวกเขาก็พูดออกมาได้ไม่เต็มปากพอๆกับเรา แต่ถึงอย่างไร การที่ทหารญี่ปุ่นเข้ามาอยู่ ในประเทศไทย และใช้อำ�นาจบางอย่างสั่งการให้เจ้าหน้าที่ไทยปฏิบัติตามได้ ก็ถือว่าเราเสียเอกราชทางการ ปกครองไปส่วนหนึ่งแล้ว ซึ่งจริงๆมันก็ไม่ต่างอะไรไปกว่าการที่ญี่ปุ่นมายึดครองไทยไว้เป็นอาณานิคม แล้ว พยายามปิดบังจุดประสงค์ที่แท้จริง โดยใช้คำ�ว่า “วงศ์ไพบูลย์แห่งเอเชีย” เข้ามาแทน ก็เหมือนที่ญี่ปุ่นบุกยึด ครองเกาหลี ยึดครองดินแดนฝั่งตะวันออกของจีน ซึ่งทำ�มาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเริ่มเสียอีก อย่างนี้มัน ไม่เรียกว่าล่าดินแดน ล่าเมืองขึ้นเหรอครับ ที่สำ�คัญในสมัยสงครามโลกนี้ คำ�ว่ารัฐ คำ�ว่าชาติ มันปรากฎขึ้น อย่างเต็มตัวในทุกประเทศทั่วโลกแล้วนะครับ ไทยจะมาอ้างเรื่องความเป็นประเทศอะไรแบบตอนอยูธยาไม่ได้ แล้ว ยังมีคนเสนอว่า แต่ไทยก็ไม่ได้ยอมญี่ปุ่นหมดนี่หน่า มีขบวนการเสรีไทยที่ต่อต้านญี่ปุ่นด้วย ซึ่งแทบ ไม่ต้องคิดเลยว่ามันคนละประเด็นกัน การถูกยึกครอง กับการมีคนไม่เห็นด้วยกับการถูกยึกครองมันคนละ เรื่อง ไม่ใช่ทุกคนเห็นด้วยที่ชาติตัวเองโดนยึด มันถึง จะเรียกว่าตกเป็นเมืองขึ้นเสียเมื่อไหร่ นี่ถือว่าเป็นประเด็นคร่าวๆ ที่มีการพูดถึงกัน เพื่อ ทำ�ความเข้าใจให้ถูกต้องเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของ ประเทศไทย ซึ่งแค่นี้มันก็พอให้คิดจนปวดหัวไปสาม วันเจ็ดวันแล้วแหล่ะครับ

สรุปแล้ว ไทยเคยตกเป็นเมืองขึ้นของใครหรือเปล่า ถ้าในความเห็นผม ผมเชื่อว่าเป็นเมืองขึ้น แน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าเราอ้างอิงถึงอะไร ถ้าอ้างอิงเรื่องความเป็นรัฐ ความเป็น ชาติ เราอาจหลีกเลี่ยงเรื่องกรุงแตก 2 หนได้ แต่เรา คงไม่สามารถหลีกหนีประเด็นญี่ปุ่นไปได้ ยังไงเสีย การที่มีชนชาติอื่นมายึดครอง มาใช้อำ�นาจระดับสูง ในบ้านเมืองของเราได้ มันก็ไม่ต่างจากการตกอยู่ใน อำ�นาจของเขาแหล่ะครับ มันก็คือเมืองขึ้นดีๆนี่เอง ไม่เกี่ยวด้วยว่าจะอยู่ในภาวะสงครามหรือไม่ แผนที่การบุกไทยของญี่ปุ่น โดยอาศัยจังหวะที่แนว ชายฝั่งทะเลอ่าวไทยไม่มีกำ�ลังพลของไทยป้องกัน มากนัก จึงเป็นที่มาของวีรกรรม ยุวชนทหาร


เพียงแต่สิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือ ผมไม่อยากให้คนไทยเอาเรื่องเมืองขึ้น ไป เยาะเย้ยประเทศเพื่อนบ้านน่ะครับ ผมเห็นคนไทยใจแคบหลายคน ชอบอ้างว่าเพื่อนบ้านรอบตัวเราถูก ฝรั่งมันยึดครองหมดเลย มีแต่ชาติเราเท่านั้นที่รอดมาได้ สรุปแล้วชาติไทยเรามันโคตรเจริญที่สุดในแถบ นี้เลยว่ะ พวกเอ็งที่เคยเป็นทาสฝรั่งมันก็ยากจน ประวัติศาสตร์ด่างพร้อยด้วยกันทั้งนั้นแหล่ะ แย่าหาว่า เว่อร์เลย แต่คนจำ�พวกนี้มันมีอยู่จริง แถมเยอะด้วย ไม่รู้ว่าเรียนประวัติศาสตร์เฉพาะสมัยเป็นเด็กนักเรียน แบบที่เกริ่นนำ�ไว้หัวเรื่องหรือเปล่า ก็เลยคิดอะไรได้แคบๆแบบนี้ เพราะเอาเข้าจริง อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ ในสมัยล่าอาณานิคมนี่แหล่ะ อังกฤษกับฝรั่งเศส เคยคิดจะแบ่งดินแดนไทยตามแนวแม่น้ำ�เจ้าพระยา แต่ต่อมาก็ได้ทำ�สัญญาตกลงกันว่า จะให้ไทยเป็นรัฐ กันชนระหว่างกลาง เพื่อไม่ให้อาณานิคมของทั้งสองฝ่ายมาชนกัน ซึ่งอาจเกิดปัญหาชายแดนจุกจิก เสีย เงิน เสียเวลามาก เลยปล่อยให้ไทยมีดินแดนไว้ส่วนหนึ่ง เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำ�ให้ไทยรอดจากวิกฤตการณ์ นั้นไปได้ จะคิดว่าไทยโชคดีหรือเปล่ามันก็ส่วนหนึ่ง แต่ก็ต้องให้เครดิตแก่พระปรีชาสามารถของกษัตริย์ ไทยและคณะผู้เจรจาการฑูตในสมัยนั้นด้วย ฉะนั้นผมจึงอยากเขียนประเด็นนี้ เพื่อให้เกิดความเข้าใจว่าชาติไทยไม่ได้สูงส่งอะไรขนาดนั้น หรอก ก็เป็นชนชาติหนึ่งเหมือนชาติอื่นๆที่อุบัติขึ้นมาในโลก มีเกิดมีเสื่อมตามยุคสมัยกันไป ก็หวังว่าเรา จะพยายามทำ�ความเข้าใจมากขึ้นว่าชาติไทยไม่ได้บริสุทธ์ขนาดนั้น ก็มีการเสียดินแดนในวาระต่างๆกันไป ไม่อยากให้เราไปเกรียนแตกใส่เพื่อนบ้าน ถ้าอยากอยู่กันสงบๆเราก็ไม่ควรก่อความไม่สงบใส่คนอื่น ไม่งั้นเขาจะบอกว่า ทำ�เป็นปากดี ไทยเรานี่แหล่ะเสียเอกราชมันทุกรูปแบบเลย ตั้งแต่เสียดิน แดน เสียเอกราชทางศาลให้ต่างชาติ(สิทธิสภาพนอกอาณาเขต) เสียเอกราชการค้า(สนธิสัญญาเบาว์ริง) แถมยุคปัจจุบันยังเคยเสียเอกราชทางเศรษฐกิจให้ไอเอ็มเอฟ อีกด้วย

เชร็ดโด้ว ตกลงไทยเราเสียเอกราชเป็นหางว่าวเลยหรือนี่

ยุทธหัตถีครั้งสุดท้ายในสมัยพระนเรศวรมหาราช ซึ่งเป็นหนึ่งในการรบที่พระเนรศวรสู้กับพม่าเพื่อ กอบกู้เอกราชคืน หลังอยุธยาตกเป็นของพม่าครั้ง แรก


เขียนก่อนเช้า เล่าก่อนสาง นายสายลม

มืดสงบ เงียบสงัด ความเงียบกับเมืองใหญ่ เป็นอะไรที่ค่อนข้างสวนทางกันซะมากในปัจจุบัน หากจะหาสถานที่ที่ความ เงียบดังกึกก้องในกรุงเทพนั้น แทบเป็นไปไม่ได้เลย ยิ่งโดยเฉพาะในเวลาที่พระอาทิตย์ยังทำ�งานอยู่ ผมเป็นคน หนึ่งที่เวลาทำ�งานต้องอาศัยความเงียบ เพราะมันจะทำ�ให้ความคิดโลดแล่นได้ดีขึ้น ในเมื่อยามที่พระอาทิตย์ ทำ�งาน ไร้ซึ่งความเงียบ ผมก็คงต้องพึ่งพายามค่ำ�แบบ(ตอน)นี้ หากจะหาเหตุผลที่ทำ�ให้คนกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน นอนดึก ผมคิดว่าความเงียบน่าจะเป็นปัจจัยหนึ่ง ที่ทำ�ให้หลายคนเลือกที่จะไม่รีบนอนในเวลาหัวคำ�มากนัก เพราะในยามนั้นเรามีโอกาสให้เราเสพย์ความเงียบที่ มักจะหาไม่ได้ในเวลากลางวัน อันที่จริงแล้ว กรุงเทพฯ ก็ไม่ได้เงียบลงในทุกพื้นที่เมื่อพระจันทร์ทำ�หน้าที่หรอก ซ้ำ�ร้าย ในบางพื้นที่ หากเป็นเวลากลางคืน ความเงียบก็จะถูกทำ�ลายโดยสิ้นเชิงก็มี เพียงแต่ คนในพื้นที่นั้น คงเลือกเวลาที่จะเสพย์ ความเงียบในช่วงเวลาอื่นแทน หรือไม่ บางคนก็คงเลือกที่จะหนีออกจากตรงนั้น ไม่ใช่เรื่องผิดหากจะมีเสียงดังแซงแซ่ในเมืองใหญ่ แต่ความเงียบก็เป็นอะไรที่เราจะขาดไปเสียมิได้ เฮ้ย! ทั้งนี้ผมไม่ได้จะชวนพวกคุณมาหูหนวก หรือเป็นใบ้ เพื่อไม่ให้มีเสียงกันหรอกนะ อย่าเข้าใจผิด เพียงแค่ผมอยากให้คุณตั้งคำ�ถามกับตัวเองบ้างว่า คุณเสพย์ความเงียบครั้งสุดท้ายกันเมื่อไหร่ ความเงียบในที่นี้อาจจะไม่ได้หมายถึงการที่ไม่มีเสียงอะไรเลย แต่มันอาจจะหมายถึง การที่คุณอาจ จะได้ยินเสียงธรรมชาติบ้าง ไม่ใช่จะได้ยินแต่เสียงรถติด เสียงเพลง หรือเสียงความวุ่นวายในเมืองใหญ่ เสียงอื่น เช่น เสียงฝนที่โปรยปราย เสียงลมที่พัดผ่าน เสียงจิ้งหรีดที่กรีดร้อง หากคุณรับฟังไม่ใช่แค่ได้ยิน คุณอาจจะรู้สึก ดีขึ้นก็ได้อาจจะเป็นเพราะ ความเงียบมันทำ�ให้เราได้อยู่กับตัวเอง ได้ทบทวนสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น และความเงียบ จะทำ�ให้เรารู้จักกับตัวเองมากขึ้น และในขณะเดียวกัน ผมเชื่อว่าความเงียบทำ�ให้เรามีความคิดที่โลดแล่นขึ้น เพราะหูของเราไม่ต้องทำ�งาน สมองจึงไม่ต้องประมวลผลอะไรทำ�ให้การทำ�งานของสมองดีขึ้นไปด้วย สุดท้ายนี้ ผมไม่ได้อยากจะชวนคุณมานอนดึกเพื่อเสพย์ความเงียบกับผมหรอกครับ เดี๋ยวจะเสียระบบ ร่างกายและสุขภาพกันหมด ผมแค่อยากจะให้คุณลองหาเวลาเสพย์ความเงียบดูบ้าง ไม่แน่นะครับ คุณอาจจะ ติดใจความเงียบก็ได้ เหมือนที่ผมกำ�ลังเสพย์ความเงียบในยามราตรีอยู่นี่ไงครับ


บุคคล

ชูวิทย์ นักเลงต้องจัดการด้วยนักเลง

เคยมีตำ�รวจท่านหนึ่งกล่าวกับผมว่า บางครั้งตำ�รวจอาจมีอำ�นาจในการจับกุมผู้ร้าย แต่ก็ใช่ว่าจะมีความสามารถ ในการจับกุมได้เสมอไป บางครั้งตำ�รวจอาจไม่รู้ทันเล่ห์เหลี่ยมของผู้ร้าย และอาจเสียทีให้ผู้ร้ายบ่อยครั้ง ฉะนั้นคนที่จะจัดการ กับคนร้ายได้ดีที่สุดอาจไม่ใช่ตำ�รวจ แต่เป็นผู้ร้ายเสียเอง ผมเคยอ่านหนังสือ”แฟรงก์ อบาเนล ยอดนักต้มตุ๋น” ซึ่งต่อมาถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ที่ชื่อ “catch me if you can” ว่าด้วยเรื่องของแฟรงค์ อบาเนล หนุ่มนักต้มตุ๋นสารพัดทั้งการปลอมตัวเป็นนักบินสายการบินแพนแอม อาจารย์ หมอ และนักกฎหมาย รวมทั้งออกเดินทางไปทั่วสหรัฐอเมริกาเพื่อทำ�เช็คปลอมกวาดเงินไปกว่า 2 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ (ค่าเงินเมื่อ กว่า 30 ปีที่แล้ว) จนกระทั่งถูกเอฟบีไอจับตัวได้ แต่ก็ยังอุตส่าห์หลบหนีได้หลายครั้ง จนการจับกุมครั้งล่าสุดที่ทำ�ให้แฟรงค์ ต้องจำ�คุกนานร่วมสิบปี เมื่อออกจากคุกมาได้ ก็หางานลำ�บากเพราะเคยเป็นคนขี้คุกมาก่อน แต่สุดท้ายเขาก็ได้ใช้วิชามารที่ เขาสั่งสมมาเมื่ออดีต นำ�ไปบรรยายให้นักการธนาคารทั่วประเทศที่เขาเคยหลอกเอาเงิน ได้ฟังถึงอันตรายจากการไม่ระวังเช็ค ปลอม จนเขามีรายได้จากการบรรยายตามที่ต่างๆถึงปีละ 3 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ บางครั้งจะจับนักต้มตุ๋น ก็ต้องใช้นักต้มตุ๋นจัดการนั่นเอง ฉะนั้นการที่ คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ได้ออกมาแสดงบทบาทในการจัดการกับบ่อนการพนันต่างๆ โดยเฉพาะกรณี ล่าสุดที่คุณชูวิทย์ไปบุกบ่อนย่านกิ่งเพชร แม้จะไม่สามารถเข้าไปในพื้นที่ได้ แต่การปรากฎตัวเพียงลำ�พังจนเป็นข่าวไปทั่ว นั้น ทำ�ให้ผู้ชมข่าวหลายคนคงเริ่มตระหนักได้ว่า บ่อนเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมและมันมีอยู่จริง รวมทั้งอำ�นาจรัฐและอำ�นาจ ตำ�รวจยังไม่สามารถจัดการให้หมดไปได้อย่างราบคาบ ต้องใช้นักเลงใหญ่อย่างชูวิทย์เข้าไปจัดการ คุณชูวิทย์มีนิสัยกล้าได้กล้าเสีย เคยทำ�ธุรกิจอาบ อบ นวด ซึ่งก็มีอัตราของความอโคจร พอๆกับบ่อนการพนัน ใน วันนี้ที่คุณชูวิทย์ออกมาประกาศว่าเลิกทำ�อาบ อบ นวด พร้อมกับการทุบอ่างโชว์ รวมทั้งเข้ามาเป็น ส.ส. เพื่อจัดการกับสิ่งที่ตนเคยอยู่วงในมาก่อน ก็ถือว่าเหมาะสม เพราะอย่างน้อยก็รู้ว่า วงการนี้มันเป็นอย่างไร มีใครอยู่บ้าง และจะมีจุดอ่อน ให้จัดการอย่างไร ในขณะที่ตำ�รวจผู้มีอำ�นาจ กลับทำ�อะไรไม่ได้มากไปกว่าเชิญให้ คุณชูวิทย์กลับบ้าน การลุยบ่อนของคุณชูวิทย์ แม้จะยังไม่สามารถ ดำ�เนินคดีได้อย่างเป็นรูปธรรม เพราะตำ�รวจมาจับ ไม่ทัน เจ้าของบ่อนขนของหนีไปเสียก่อน แต่ก็ทำ� ให้คะแนนนิยมในตัวคุณชูวิทยคงเพิ่มขึ้นอย่างมาก เพราะผลงานดูเป็นรูปเป็นร่างมากกว่า นักการเมืองหลายๆคน รวมทั้ง ตอกย้ำ�ความคิดที่ว่า นักเลงต้อง จัดการด้วยนักเลง มันถึงจะสมน้ำ�สมเนื้อ


เพจสัมพันธ์ ศาสดา น่าแปลกใจเหมือนกันที่ความจริงบางอย่างในสังคม มักไม่ค่อยมีคน กล้าพูด กล้าวิจารณ์กันเต็มปากเต็มคำ�มากนัก ทั้งเรื่องศาสนา การเมือง รวมทั้ง เรื่องเพศ โดยเฉพาะสองเรื่องแรกที่ถือว่าเป็นเรื่องต้องห้ามในการโต้วาที เรื่องที่ ควรหลีกเลี่ยงในวงเหล้า รวมทั้งเรื่องที่ควรเหยียบไว้หากไม่อยากเผชิญกับดราม่า แต่ ศาสดา กล้าที่จะพูด แล้วศาสดาเป็นใคร ผมก็ไม่ทราบหรอก ครับ แต่เขาคือคนที่จะบอกเล่าสิ่งที่เขาคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ให้ฟัง ทั้งเรื่อง การเมือง เรื่องเพศที่ดูคนไทยจะดีดดิ้นเสียเหลือเกิน เป็นการให้ความเห็นต่างๆ ที่ชวนให้คิดตาม แต่ก็เป็นความคิดเห็นซึ่งก็มีผิดมีถูก ใช่จะเป็นศาสดาแล้วพูดถูก ทุกอย่าง ซึ่งก็เป็นข้อดี เพราะจะได้เห็นการวิเคราะห์วิจารณ์กันภายในเพจอย่าง ทั่วไป ไม่มีใครตีตนไปก่อนว่าตัวเองถูก แล้วที่สำ�คัญคือสำ�เนียงการเขียนที่ใช้ก็เป็นถ้อยคำ�ที่ดูจริงใจ เพราะเป็น คำ�หยาบแบบบ้านๆที่เราทุกคนมักใช้กับเพื่อน คนสนิทคนรู้จัก แต่น่าแปลกที่เป้ นคำ�ที่น่ารังเกียจในสังคม ทั้งที่พวกเราก็พูดเหี้ยกันทุกคน เหมือนศาสดาต้องการ จะเล่าเรื่องแบบสนิทสนมกับคนติดตามเพจ ไม่ได้ต้องการจะเป็นนักวิชาการ วางมาด แล้วก็พูดให้มีศัพท์แสงดูมีความรู้ แต่ชาวบ้านไม่เข้าใจ ส่วนเรื่องเพศ ก็บอกได้เลยว่าศาสดาเล่นสุดมากๆ โดยเฉพาะศัพท์ จำ�พวก ค. ห. พวกนี้มาเต็ม ซึ่งบ่อยครั้งสิ่งที่ศาสดาให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องเพศ ของสังคมไทย ก็เหมือนหมัดเด็ดปล่อยเข้าคางผู้อ่านอย่างจัง เพราะมันคือความ จริงที่ทุกคนไม่อยากรับรู้ หรือไม่กล้าพูดออกมา ถือว่าเป็นเพจที่น่าสนใจ หากคุณมีจริตที่ขี้สงสัย และออกจะซีเรียสอยู่ บ้าง ก็ลองเสพย์เพจนี้ดูได้


ความในใจของไอ้นนั่ ในเฟซบุ๊กตอนนี้ มีเพจการ์ตูนรูปแบบต่างๆกระโดลงมาให้พวกเราได้ กดไลค์กันเป็นจำ�นวนมาก ซึ่งหนึ่งในเพจการ์ตูนทั้งหลาย ผมคิดว่าเพจ “ความใน ใจของไอ้นั่น” น่าจะเป็นหนึ่งในเพจที่สื่อสารข้อความผ่านการ์ตูนได้เด็ดขาดที่สุด เพจหนึ่งเลยก็ว่าได้ ความในใจของไอ้นั่น ไอ้นั่นที่ว่านี้คืออะไรก็ได้รอบๆตัว ที่เจ้าของ เพจหยิบมาวาดแล้วแฝงด้วยมุขตลกร้ายๆ ทันกับสถานการณ์ ใส่คำ�พูดเข้าไป ประโยคเดียว ทุกคนร้องอ๋อทันทีว่าจะสื่ออะไร เป็นการนำ�เสนอที่สั้นๆง่ายๆได้ใจ ความ ไม่ต้องว่าความยาวสาวความยืดมากนัก และทำ�ให้คุณได้หันมาสนใจใน สิ่งๆนั้นมากขึ้น ทั้งที่ละเลยมาตลอด เช่น ความในใจของนาฬิกา - ใส่กูทุกวัน แต่ก็สายทุกวัน ความในใจ ของล็อตเตอรี่ กูว่าพวกมึงตั้งใจทำ�งานจะรวยเร็วกว่าเอาเวลามาซื้อกูนะ เป็นต้น ถ้าหากคุณซีเรียสกับศาสดาไปแล้ว ก็มบำ�บัดจิตกับการ์ตูนตลกร้าย ช่องเดียว โดย ความในใจของไอ้นั่น กันได้


จิตใจขาว-ดำ� กับ คนธรรมดาหนึ่งคน พระพทุธเจ้าเคยตรัสสอนว่า ไม่มีใครในโลกหล้านี้ รอดพ้นจากการถูกนินทา แม้ว่าผู้นั้น จะทำ�ความดีไว้มากเพียงใดก็ตาม แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น คนที่ดูดีเลิศมากมายยังถูกนินทา แล้วคนที่ภาพลักษณ์ดูย่ำ�แย่ จะโดนวิจารณ์เละเทะ แค่ไหน ผู้คนในสังคมไทย มีลักษณะเฉพาะประการหนึ่งที่ก่อให้เกิดปัญหามานานแล้ว นั่นคือ การมองคนอื่นแบบ ขาวกับดำ� ขาวกับดำ�ในที่นี้ เป็นการแยกขาวกับดำ�ชัดเจน ไม่มีตรงกลาง ไม่มีผสม ใครที่อยู่ฝั่งขาว เขาก็จะขาวไปตลอดชีวิต แต่หากใครจมอยู่กับฝั่งดำ� ให้เขาพยายามสลัดความดำ�หลุด ออกไปแค่ไหน แต่สังคมภายนอกก็ยังจะหาเรื่องมาตัดสินเขาให้กลายเป็นดำ�แบบเข้มคลั่กอยู่ดี ชัดเจน

แต่คนเรา ก็ใช่ว่าจะเป็นสัตว์จำ�พวกที่แสดงออกหรือมีพฤติกรรมที่เป็นไปในข้างใดข้างหนึ่ง ผมเชื่อว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่ ใช้ชีวิตแบบ “ขาว” ตลอดเวลา หรือ “ดำ�” ตลอดชีวิต คนดีก็ใช่ว่าจะไม่เคยทำ�เลว คนเลวใช่จะไม่เคยสำ�นึกทำ�ดี การทำ�ประโยชน์ของคนดี ใช่จะไม่เคยแฝงผลประโยชน์เลยซักครั้ง ส่วนคำ�พูดของโจร ใช่จะเป็นคำ�โกหกเสมอไป

คนที่เรามองว่า เขาภาพลักษณ์ไม่ดี เราอาจเห็นเฉพาะตอนที่เขาทำ�ไม่ดี ซึ่งก็จริงอยู่ที่เขาทำ�ไม่ ดีแต่เราไม่ได้เห็นเขา 24 ชั่วโมง เราไม่รู้ว่าตอนที่เราไม่เห็นเขา เขาอาจจะไปทำ�สิ่งดีๆ ทำ�บุญทำ�ทานก็ เป็นได้ เรื่องนี้ก็เป็นในทางเดียว กับเวลาที่เรามองเห็นคนที่ภาพลักษณ์เขาดีเลิศเช่นกัน เราไม่ได้ตามดูเขา ตลอดเวลา แบบบ้านเอเอฟ แล้วเราจะรู้ได้ไงว่า เขาไม่เคยทำ�เลวอะไรไว้เลย ไม่แน่หรอก ที่เราคิดว่าเรารู้ ดีเกี่ยวกับคนอื่น 24 ชั่วโมง ที่เรารับรู้เรื่องของเขา มากกว่าครึ่งอาจมาจากคำ�บอกเล่าซึ่งไม่รู้ที่มาก็เป็น ได้ สิ่งที่คุณคิดว่ารู้จากการตามดูเฟซบุ๊กของเขา อาจมีเรื่องมากกว่าครึ่งที่เขาไม่เอามาแชร์ให้คนกดไลค์ก็ เป็นได้ มองดูคน พิจารณาให้ดีๆ เขามีดีอะไร เลวอะไร ควรมองให้เห็นทั้งสองด้าน เหมือนการมอง เหรียญที่มีหัวกับก้อย อย่างที่บอก ไม่มีใครเลวไปซะทุกอย่าง ดีไปซะทุกเรื่อง แต่หากมีคนแบบนั้นจริงๆ ก็ถือว่าละไว้ในฐานที่เข้าใจ คนเราก็เป็นอย่างนี้แหล่ะ ไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่ปีศาจ จะได้ทำ�ดีหรือทำ�เลวอยู่ข้างเดียว มันก็ต้อง ผสมปนเปกันไป

ไม่งั้นเราจะถูกเรียกว่า “คน” ได้อย่างไร


ติดต่อเรา Fan Page : Stay-Go-Day-Day ติ ชม วิจารณ์ เสนอแนะ ขากถุย กันได้ รวมทั้งติดตามความเคลื่อนไหวของ Stay-Go-Day-Day โพสต์แนวคิดเด็ดๆ ไอเดียเจ๋งๆ มาให้ชมกัน และโปรเจกต์หนังสือ อื่นๆในอนาคต ที่ทางเราจะจัดทำ�ขึ้น ระหว่างรอ Stay-Go-Day-Day เล่มใหม่ ก็ไปเสพย์เพจพันธมิตร ของเราได้ดังนี้ History in brief - ประวัติศาสตร์โลกฉบับย่อ เกร็ดความรู้ด้านประวัติศาสตร์จากทั่วทุกมุม โลก แบบไม่ท่องจำ� พร้อมโปรเจกต์หนังสือประวัติ ศาสตร์ และการเมืองโลก รีวิวประเทศทั่วโลก แจกฟรี ในอนาคต Football Hardcore อัพเดตข่าวสารฟุตบอล พร้อมโปรเจกต์ทำ� หนังสือฟุตบอลแจกหรีในอนาคต รอคนมากดไลค์ เยอะๆก่อน ค่อยจัดหนัก คลังเสื้อฟุตบอล อัพเดตข่าวสารของเสื้อฟุตบอล พร้อมทั้งย้อน อดีต ข้อมูลเสื้อฟุตบอลในอดีต อัพเดตเรื่อยๆ พร้อมทั้งช่องทางใหม่ๆ ที่เราจะสร้างขึ้นในอนาคต เพื่อรอง รับารเติบโตของ Stay-Go-Day-Day และพันธมิ​ิตร (ถ้ามันโตนะ) เร็วๆนี้...



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.