หนังสือสำ�หรับผู้ไม่ต้องการใช้ชีวิตแบบ อยู่-ไป-วัน-วัน
ฉบับที่ 2 ปลายเดือนตุลาคม 2555
โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน
The Holy Ghost was working through me on this film, and I was just direction traffic. Mel Gibson
อิดิทอเรี่ยล
Stay-go-day-day ในเล่มนี้ เราทำ�ประเด็นหลักเป็นเรื่องผีกันครับ ผมไม่แน่ใจว่า ในประเทศไทยไชโยของเรา เคยมีนิตยสารหัวไหน ที่เคยทำ�ประเด็นหลักในเล่มนั้นเป็นเรื่องผีมาก่อนบ้าง หรือเปล่า แต่เท่าที่พยายามค้นหาคำ�ตอบ ผมพบว่าไม่เคยมีมาก่อนเลย ทั้งที่เรื่องผี วิญญาณ เป็นเรื่องราวที่อยู่คู่กับคนไทย ไม่ต่างจาก มะม่วงที่ขาดพริกเกลือไม่ได้ ทั้งที่การดำ�เนินชีวิต หรือคติความเชื่อต่างๆของคนไทย ก๊มีพื้นฐานมาจากเรื่องสสารที่พิสูจน์ไม่ได้ในยามก ลางคินนี้ทั้งนั้น อย่าว่าแต่คนชาติเราเลย ทั่วทั้งโลกเขาก็มีเรื่องราวของผีเข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิต ไม่มากก็น้อย จึงน่าแปลกว่า ไม่เคยเห็นนิตยสารหัวไหนเลยที่เอาเรื่องผีมาตีแผ่ให้กระจ่างชัด แต่มองในอีกมุมหนึ่งก็เป็นโอาสให้พวกเรา ได้ทำ�เรื่องที่ไม่เคยมีใครทำ�มาก่อน ซึ่งก็ดีเหมือนกัน เพราะช่วงที่เราตั้งใจจะนำ�เผยแพร่ คือช่วงปลายเดือนตุลาคม ซึ่งเข้าใกล้เทศกาล ฮัลโลวีน พอดี ในขณะเดียวกัน หากใครที่เคยติดตาม Stay-go-day-day ตั้งแต่สมัยเป็นหนังสือแจกฟรีใต้ดินในมหาลัย อาจสะดุดใจกับ คำ�บางคำ�ในก้อนคำ�ข้างบน เพราะผมอธิบายการทำ�ฉบับนี้ว่า “เรา” คำ�ว่าเรา ควรเป็นการระบุถึงจำ�นวนคนที่มากกว่าหนึ่งคน ในขณะที่หลายคนอาจจำ�ได้ว่า หนังสือหัวนี้เกิดจากตัวผม ที่ ริเริ่มทำ�หนังสือแบบคนเดียวทุกขั้นตอน (อาจชวนเพื่อนนักอยากเขียนมาร่วมเขียนบ้างในบางเล่ม ไม่เกินเล่มละคน) แต่ที่คราวนี้ ผม ระบุว่า เรา เป็นเพราะใน Stay-go-day-day ฉบับนี้ ผมได้กลุ่มนักอยากเขียนจำ�นวนไม่น้อยมาร่วมแจมในคราวนี้ไม่น้อย คือ ประมาณ 5-6 คนเลยทีเดียว เนื่องจาก เมื่อช่วงเดือนกันยายน ผมไปเข้าร่วมโครงการ TK Young Writer 2012 ของ อุทยานการเรียนรู้ (TK Park) ร่วมกับนิตยสารแฮฟเปนนิ่ง ทำ�โครงการร่วมกัน โดยชวนนักอยากเขียนที่กำ�ลังหาโอกาสทำ�หนังสือ ได้เข้าโครงการมาทำ�เวิร์คช้อป กับนักเขียนมืออาชีพหลายท่าน ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในผู้เข้าร่วมโครงการนี้ด้วย และจากโครงการนี้เอง ที่ทำ�ให้ผมได้พบกับนักอยากเขียน อีกมากมาย ช่วงอายุไล่เรี่ยกัน บวกลบไม่เกินห้าปี ที่สำ�คัญคือมีแนวทางการเขียนที่ต่างกัน และหลากหลาย ซึ่งกระตุกต่อมคิดผมไป หลายต่อมว่า ในบ้านนี้เมืองนี้ ยังมีวัยรุ่นอีกมากมายที่อยากเป็นนักเขียน ท่ามกลางวัฒนธรรมบริโภคนิยมที่เราเร่งรีบใฝ่หาความสุข เข้าตัวอย่างตะกละตะกราม ทำ�ให้การอ่าน การเขียน ซึ่งเป็นวัฒนธรรมเนิบช้า ต้องใช้สมาธิขึ้นสูง ทำ�ได้ยากขึ้น แต่ยังมีวัยรุ่นยุคใหม่ จำ�นวนไม่น้อยที่ยังเชื่อว่า ตนสามารถเขียนหนังสือได้ และจะใช้ชีวิตอยู่กับมันไปจนตายได้ด้วย เมื่อเห็นฝีมือและแนวทางแต่ละคนที่น่าสนใจ ในวันสุดท้ายของโครงการ เมื่อแต่ละคนเสร็จสิ้นภารกิจทุกอย่าง เตรียมจะ กลับบ้าน ผมเลยงัดแผนที่เตรียมมาตั้งแต่ที่บ้านไว้ ด้วยการเข้าไปทาบทาม(ยังกับเป็นแมวมอง) มาทำ�หนังสือหัวนี้ด้วยกัน ทั้งที่แอบ หวั่นใจไม่น้อยว่า เขาจะสนใจเรอะ หนังสือเรามันยังต๊อกต๋อยมากๆ ขนาดชื่อหัวหนังสือยังเรียกยาก หลายคนเกาหัวสงสัยเมื่อได้ยินชื่อ ไม่เก็ตมุกที่เราใส่ไว้ในชื่อหนังสือซะนี่ แต่ไม่น่าเชื่อว่า ทันทีที่ทาบทามน้องๆเหล่านี้ไป ปรากฎว่าแทบทุกคนสนใจในทันที ทั้งที่ยังไม่เห็นฉบับที่ผ่านๆมาเลยด้วย ซ้ำ� ซึ่งการมาของน้องๆเหล่านี้ จะทำ�ให้ Stay-go-day-day มีอรรถรสที่เพิ่มขึ้นมากมายหลายมิติ หลังจากที่ผ่านๆมาทั้งในเวอร์ชั่นแจก ฟรีที่มหาลัย รวมไปถึงเวอร์ชั่นอีบุ๊คที่ผมกำ�ลังปลุกปั้นขึ้นมาใหม่นี้ ส่วนใหญ่จะเป็นงานเขียนจากปลายปากกาและก้านสมองของผม เสียมาก ทำ�ให้เนื้อหาอาจจืดชืดไปหน่อย ผมขอสาบานต่อหน้าคีย์บอร์ดที่กำ�ลังกระแทกแป้นอยู่ตอนนี้เลยว่า คุณผู้อ่านจะไม่มีผิดหวัง อย่างแน่นอน ส่วนกลุ่มนักอยากเขียนที่ว่านี้ ใครเป็นใครบ้าง ในเล่มจะมีการแนะนำ�ให้ได้รู้จักกันด้วย เผื่อคุณผู้อ่านชอบงานเขียนของ ใคร จะได้มีโอกาสรู้จักและติดตามงานเข้าไปได้เรื่อยๆ และนอกจากกลุ่มนักเขียนหน้าใหม่ที่มีงานเขียนสดใหม่ให้คุณๆได้เสพย์กันแล้ว เนื้อหาต่างๆในหนังสือฉบับนี้ ก็มีการปรับ ให้หลากอรรถรสมากยิ่งขึ้น มีทั้งบทความดีๆ เรื่องสั้น และมุมมองต่างๆ ที่ขาดไม่ได้คือเรื่องผี ที่เราคัดแง่มุมที่น่าสนใจ ที่ไม่ใช่แค่อะไร บางอย่างที่ยังพิสูจน์ไม่ได้ในแวดวงวิทยาศาสตร์ มาฝากคุณผู้อ่านทุกท่าน ก็ลองติดตามกันได้ นับจากหน้านี้เป็นต้นไป ชนิดที่ไม่ต้องปิด ไฟ นอนคลุมโป่งอ่าน แต่อย่างใด
ขอบคุณที่ใช้บริการ สรพงศ์ อ่องแสงคุณ (ดามันสกี้) damansky.exteen.com และกองบรรณาธิการทุกท่าน
3
ทีมผู้ก่อการ
ดามันสกี้
นักอยากเขียน ที่เชื่อว่าถ้าโลกนี้ไม่มีหนังสือ โลกก็ คงหยุดหมุนไปนานแล้ว พบรักกับหนังสือเมื่อตอนเรียนอยู่ มหาลัย ปีหนึ่ง หลังจากนั้นก็พยายามคลุกคลีด้วยเรื่อยมา ทั้งอ่าน เขียน และทำ� ปัจจุบัน ยังคงเป็นแค่นักอยากเขียน ที่ยังทำ�หนังสือใต้ดินต่อไป เรื่อยๆ หลายเล่ม รวมถึง Stay-Go-Day-Day ซึ่งเป็นโครงการที่ทำ�มา ตั้งแต่มหาลัยปีสาม จวบจนปัจจุบัน ไปติดตามหนังสือที่เขาทำ� งานเขียนที่เขาสร้าง และความคิดความอ่านที่เขารู้สึกได้ที่ www.issuu.com/noteunderdog-damansky/docs/ www.facebook.com/damansky ศุภวิทย์ น้อมเกียรติกุล damansky.exteen.com บาส จากมนุษยศาสตร์ ภาควิชาภาษาไทย เกษตรศาสตร์ ปัจจุบันฝึกงานอยู่ที่นิตยสาร แฮพเพนนิ่ง ถนัดงานแคนโต้ จนหลายคนเอ่ยถึงเขาว่าเป็น “ผู้ชายสามบรรทัด” ถึงขั้นทำ�เพจแคนโต้ ซึ่งมีคนติดตามจำ� นวนไม่น้อย แต่ในเล่มนี้ บาสมาพร้อมกับเรื่องสั้นหักมุม ที่เจ้าตัว ตั้งใจจะหัดเขียนไว้เป็นอีกหนึ่งแนวทาง ติดตามและพูดคุยกับบาสได้ที่ ฮะหวาย
www.facebook.com/bastetcanto หวาย เรียนอยู่คณะมนุษยศาสตร์ ภาควิชาภาษาไทย www.twitter.com/bastet_canto ชั้นปีที่3 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ขณะนี้เป็นบรรณาธิการ indybastet.exteen.com บริหาร วารสารเกษตรสาร(วารสารประจำ�มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์) ติดตามความเคลื่อนไหวของเกษตรสานได้ที่ www.facebook.com/kasetsarn ผลงานเขียนอื่นๆ - นิยาย “อภินิหารย์คัมภีร์ชนะฟ้า” writer.dek-d.com/ Lookwhai/writer บล็อค - hawaiiku70.exteen.com/ , blog.eduzones.com /hawaiiku70 , Twitter : @hawaiihum29 และกำ�ลังทำ�หนังสือรวมเรื่องสั้นของตัวเองอยู่(ใกล้จะเสร็จแล้ว) ชื่อเรื่อง “ปลาที่ว่ายทวนน้ำ�”
ทีมผู้ก่อการ
สุพิชชา จินดา
เธอแนะนำ�กับทางเราว่า เธอคือสุพิชชา จินดา (ปาล์ม) เป็นผู้ หญิงกลัวแมว อยากหมวย ชอบทาเล็บ เบื่อหวีผม หลงเสียงเบส ร้องเพลงเพี้ยน ไม่ชอบกินชอกโกแลต เชื่อว่าก็อบลินมีจริง เสพติดมุขแป้ก การนอนคือความสุข และมีข้อดีคือหัวเราะ ง่ายส่วนข้อเสียไม่รักเด็ก! จัดเต็มซะขนาดนี้ ลองเข้าไปอ่าน งานของเธอในเล่ม และไปแอดคุยกันได้ที่ www.facebook.com/palmthesnail
นายสายลม
นายสายลม หรือ มิ้ว ผู้ร่วมก่อการขาประจำ�ของเรา อดีต เด็กฝึกงานของ บี แม็กกาซีน หนุ่มใหญ่ผู้ใช้ชีวิตคล้ายค้างคาว กลาง วันหลับไม่ตื่น กลางคืนยืนตาแป๋ว ดูบอลเป็นกิจวัตร โดยเฉพาะ ฟุตบอลอิตาลี มาพร้อมกับงานบทความ ซึ่งเขาถนัด “เขียนก่อน เช้า เล่าก่อนสาง” โดยมิ้วเริ่มเขียนส่งมาตั้งแต่เล่มก่อนๆ จน กลายเป็นนักเขียนประจำ�ไปในที่สุด
พุทธิพงศ์ อึงคนึงเวช แก้วบอกว่า แก้วเป็นคนร่าเริงคนหนึ่งที่ยังคงเขียนหนังสือ อย่าง ต่อเนื่อง แก้วถนัดการเขียนเรื่องสั้น มีอรรถรสที่น่าสนใจ และกระตุกต่อม คิดได้เสมอ รวมทั้งเรื่องสั้นที่รวมอยู่ใน Stay-Go-Day-Day ฉบับนี้
สาระบาน
เขียนก่อนเช้า เล่าก่อนสาง นายสายลม
หน้า 8 เรื่องสั้น คาว
ศุภวิทย์ น้อมเกียรติกุล
หน้า 10
ประเด็นใหญ่ ผี หน้า 14
โกสต์ ไรท์เตอร์ ดามันสกี้
หน้า 14
สาระบาน
บ้านนี้ เมืองนี้ ดามันสกี้
หน้า 33 ประวัติศาสตร์ ฟลายอิ้ง ดัตช์แมน
ดามันสกี้
หน้า 34 เรื่องสั้น กลับกัน
พุทธิพงศ์ อึงคนึงเวช
หน้า 38 ผีีะเล
สุพิชชา จินดา
หน้า 42
เพจสัมพันธ์ หน้า 44
เขียนก่อนเช้า เล่าก่อนสาง
นายสายลม
“มาร์เซโล่ ได้บอลส้มหล่นที่กราบขวาครับ ลูกนี้ ปาดเข้ากลาง มาที่โรนัลโด้ โรนัลโด้ซัดด้วยขวา บอลผ่านมือผู้รักษาประตูเข้าไปอย่าง สวยงามมมมม”
สิ่งหนึ่งที่ดึงดูดให้ผู้คนจำ�นวนไม่น้อยอดตามหลับขับตานอน ต้องดูก่อนถึงจะนอนหลับตา ลงก็คือสุดยอดกีฬาของมวลมนุษยชาติ ที่คน 22 คนวิ่งลงสู่สนามไล่แย่ง ไล่ชิงลูกกลมๆ เพื่อยิงเข้า ประตูของฝ่ายตรงข้าม กีฬาที่ว่าคงรู้จักกันดีนะครับ ใช่ครับ ฟุตบอล ทำ�ไมเราต้องดูบอล? มันก็คงเป็นเหตุผลเดียวกับที่คุณสุภาพสตรีดูแรงเงา คุณหนูๆดูไอ้ มดแดง หรือวัยรุ่นดูเดอะ วอยซ์แหละครับ เพราะว่ามันสนุก หลายๆคนก็เลยเลือกจะเสพย์กีฬาชนิด นี้ แต่ด้วยความที่เส้นเวลาที่กรีนิช กับแบงค็อกซิตี้ ห่างกัน 6 ชั่วโมงจึงทำ�ให้ผู้ที่เสพย์กีฬาชนิดนี้ต้อง กลายมาเป็นคนนอนดึกไปโดยปริยาย
8
ผมเชื่อว่าฟุตบอลเป็นกีฬาที่สนุกมากชนิดหนึ่ง เพราะถึงแม้ว่าเวลาที่ทำ�การแข่งขันของมัน ค่อนข้างค่ำ�ไปถึงดึกแต่ก็มีคนหลายๆคนเฝ้าคอย มันมีพลังอำ�นาจมากพอที่ทำ�ให้คนเสพย์มันอดนอน เพื่อดู และไปเรียนหรือทำ�งานด้วยสภาพซอมบี้เดินได้ แต่อย่ามองนะครับว่า ฟุตบอลทำ�ให้เสียการเรียน หรือเสียการงาน รู้ไหมครับว่าเดี๋ยวนี้ ฟุตบอลเป็นแรงบันดาลใจให้เยาวชนไทยอายุต่ำ�กว่า 15 ปีราว 62% ในผู้ชาย และ 33% ในผู้หญิง สนใจในกีฬา และราว 54% จาก 62% ของเยาวชนชายไทยอายุต่ำ�กว่า 15 ปีที่สนใจฟุตบอลนั้น อยากโตขึ้นมาเป็นนักฟุตบอล คนที่ไม่ได้ดู ไม่ได้เสพย์กีฬาชนิดนี้ก็ไม่รู้หรอกครับว่าศักยภาพของกีฬาชนิดนี้มันมากขนาด ไหน แต่ที่แน่ๆมันสนุก แล้วรู้ไหมครับว่า การที่เยาวชนไทยจำ�นวนมากขนาดนั้นอยากโตขึ้นมาเป็น นักฟุตบอล ทำ�ให้วงการฟุตบอลอาชีพในประเทศไทยตื่นตัว จนมีอคาเดมี่ฟุตบอลผุดขึ้นมามากมาย ในปัจจุบัน และยิ่งเป็นยุคที่นักฟุตบอลสามารถหาเลี้ยงชีพโดยการเล่นฟุตบอลเพียงอย่างเดียวแบบนี้ ด้วยแล้ว คนไทยบ้าบอลมาแต่ไหนแต่ไรแล้วครับ อาจจะมีการดูบอลต่างประเทศบ้างในยามดึกก่อน เช้า แต่ผมก็เชื่อว่าคนไทยไม่ลืมที่จะดูบอลไทยแน่นอน เร็วนี้ก็จะมีฟุตซอลโลก ที่ประเทศไทยเป็นเจ้า ภาพ ต่อจากนั้นก็จะมีฟุตบอล อาเซี่ยน ซูซูกิคัพ ที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพร่วมกับมาเลเซียในรอบแรก ด้วย ยังไงดูบอลนอกรอบดึก ก็อย่าลืมมาดูบอลไทยในรอบกลางวันกันด้วยนะครับ
ยังมีพื้นที่อีกมาก ให้คุณได้ปล่อยของ
เพียงคุณเป็นใครซักคนที่เขียนหนังสือ งานภาพกราฟฟิค รูปภาพ หรือ รูปถ่าย และกำ�ลัง มองหาพื้นที่ เพื่อให้คุณได้ปล่อยตัวอักษรของคุณ มาเพ่นพ่านอย่างสนุกสนาน เรายังมีพื้นที่เหล่า นั้นให้คุณเสมอ ส่งงานเขียนหรืองานภาพรูปแบบใด เนื้อหาอะไรก็ได้ จะเป็นงานเดี่ยวหรือคอลัมน์ประจำ� ก็ได้ พร้อมแนะนำ�ตัวเองคร่าวๆ ส่งมาที่ ivan.damansky@gmail.com หรือที่ www.facebook. com/staygodaydaypage หากงานของคุณน่าสนใจ จะได้ลงในนิตยสาร Stay-go-day-day ทันที เพราะโอกาสควรเป็นของคนที่ต้องการมันอย่างแท้จริง
เรือ ่ งสัน ้
ศุภวิทย์ น้อมเกียรติกุล
10
คาว
เราทุ ก คนต่ า งมี เ รื่ อ งที่ ไ ม่ สามารถลืมเลือนได้ เขาซื้อบุหรี่จากร้านสะดวกซื้อ คาบมันไว้ที่ปากหนึ่งมวน จุดไฟแช็ก เดินสูบมันอยู่ริมถนนใหญ่ ครุ่นคิด ถึงเรื่องๆ หนึ่งในชีวิตที่เคยประสบ เหมือนมัดมือชก เขาไม่สามารถร้อง ขอใดๆ ในชะตาชีวิตของเขาได้ แม้ จะผ่านไปกี่ปี เรื่องนี้เป็นเรื่องเดียวที่ เขาสลัดออกจากหัวไม่ได้สักที เขาเป็นเด็กกำ�พร้ามาตั้งแต่กำ�เนิด ได้รับการเลี้ยงดูจากญาติห่างๆ ตั้งแต่จำ� ความได้ แม้จะไม่ใช่บุคคลที่ผูกพันกันทาง สายเลือด แต่ญาติของเขาก็ทำ�หน้าที่แทน ได้อย่างดีในระดับหนึ่ง แต่ถึงกระนั้น ความ อบอุ่นที่เขาควรจะได้รับตั้งแต่กำ�เนิด ยังคง เป็นสิ่งที่เขาต้องการ เป็นเวลา 18 ปีแล้วที่เขาออก ตามหามวลความอบอุ่นก้อนนี้ เขามีเพียง เบาะแสเดี ย วที่ ไ ด้ จากญาติผู้เลียงดูเขามา เบาะแสชิ้นนี้มีเพียงแค่ชื่อเล่นสั้นๆว่า ‘นก’ เท่านั้น นอกนั้นยังคงเป็นปริศนา ญาติได้เล่าให้ฟังว่า หลังจากที่ ‘นก’ ได้คลอดเขาเสร็จก็พักฟื้น และฝากเขา ไว้ที่ญาติในทันที โดยที่ไม่ได้สนใจเด็กน้อย คนหนึ่งที่ขึ้นชื่อว่า ‘ลูก’ แม้แต่นิดเดียว อย่า ว่าอย่างนั้นอย่างนี้ แม้แต่ใบหน้าของลูกตัว เองยามลืมตาดูโลกในวินาทีแรก ผู้หญิงคน นั้นยังไม่ได้เห็นด้วยซ้ำ� แม้ จ ะไม่ ไ ด้ ค าดหวั ง อะไรมากนั ก แต่ภายในใจลึกๆแล้ว เขายังคงต้องการเห็น คนๆ นั้นที่ทิ้งเขา ภายในใจของเขามีความ สับสนทุกครั้ง เมื่อคิดว่าหากชีวิตนี้มีโอกาส
ได้พบหน้าคนเป็นแม่จริงๆ เขาไม่สามารถ บอกตัวเองได้เลยว่าจะยิ้มและมีความสุขกับ การพบเจอสิ่งที่ค้นหารึเปล่า หรือจะระบาย โทสะ ด่าทอด้วยถ้อยคำ�ที่อัดอั้นในใจมา ตลอดทั้งชีวิต อีกทั้งคำ�ถามมากมายที่ถาโถม เข้ามาจากความสงสัยผสมผสานไปกับความ โกรธเคือง “มาใช้บริการรึเปล่าคะ” เสียง หนึ่งทำ�บรรยากาศในห้วงความคิดมลายลง เขาเพิ่งรู้สึกตัวเองว่า ตอนนี้เขาเดิน มาหยุดอยู่หน้า ‘ซ่อง’ เจ้าของน้ำ�เสียงเป็นผู้หญิง วัย สามสิบ ต้นๆ รูปร่างเล็ก หน้าเรียวบาง ผมยาวประบ่า ผิวสีน้ำ�ผึ้ง มีเสน่ห์ดึงดูด อยู่ ในชุดเกาะอกสีดำ� บีบรัดอกให้เห็นเป็นแนว เนิน กางเกงสีแดงขาสั้น ยาวประมาณคืบ โชว์เรียวขาอ่อนและนวล “ปะ.. เปล่าครับ แค่บังเอิญผ่าน มา” เขามีน้ำ�เสียงที่เขินอาย แม้จะเป็นวัย รุ่นกร้านโลกด้วยอายุและภูมิหลัง แต่การที่ เขาได้มาเจอผู้หญิงแต่งกายยั่วยวนขนาดนี้ และในสถานที่แบบนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เลยที่จะเกิดอาการเช่นนี้ “บังเอิญ? แถวนี้ไม่ใช่ที่ๆ ควร บังเอิญผ่านมานะ” หญิงสาวหัวเราะคิกคัก กับความประหม่าของเขา “ยังหนุ่ม ยังแน่น ของพวกนี้ไม่อยากลองบ้างเหรอจ๊ะ?” แค่เพียงฟัง เขาก็รู้ว่ากำ�ลังถูกเชื่อ เชิญ มีหรือที่เขาต้องยอมถอย “เท่าไหร่” เขาถามลองเชิ ง กลั บ ไปแก่ ผู้ ที่ ท้ า ทายเขา หญิงสาวเสนอราคาสินค้ากลับมาอย่างถูก แสนถูก เรือนร่างสาธารณะนี้ผ่านลูกค้ามา
11
แล้วนับไม่ถ้วน หากว่ากันตามราคาแล้ว คงไม่เท่ากับของสด ของใหม่เป็นแน่แท้ ราคาอยู่ในเกณฑ์เหมาะสม เขาตกลงแลก เปลี่ยน ในเวลานี้ไม่มีสิ่งใดผิดถูกอีกต่อไป สถานการณ์ในตอนนี้มีเพียงอารมณ์เท่านั้น ที่ ผ ลั ก ดั น เขาให้ ต่ อ ความยาวกั บ หญิ ง ขาย บริการคนนี้ หลังจากเจรจาซื้อขายกันเสร็จสิ้น หญิง สาวพาเขาลัดเลาะซอกตึกไปเรื่อยๆ เขา เดินตามอย่างเงียบสงบ บริเวณนั้นมีแสงไฟ หรี่ๆ จากไฟถนนตลอดทาง พื้นแฉะๆ ตาม ถนน เศษบุหรี่ เศษขยะเกลื่อนตามพื้น เดิน ได้ประมาณครึ่งทางเริ่มมีผู้หญิงนุ่งน้อย ห่ม น้อย นั่งเป็นกลุ่มๆ เพ่งมองมาที่เขาและ หญิงนำ�ทาง บ้างก็มีฉากรักสดๆ ริมกำ�แพง เสียงครวญครางของตัวเอกในฉากทั้งสอง บรรเลงร่วมรักอย่างโจ่งครึ้ม เขาเริ่มหวาดวั่น หลังจากได้เห็น สภาพแวดล้อมระหว่างทาง สติเริ่มไม่อยู่กับ เนื้อกับตัว แสงไฟหรี่ๆ บวกกับม่านหมอก ควัน นี่หรือคืออีกโลกหนึ่งที่ผู้คนเรียกขาน ว่าเป็นสวรรค์ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ชิน” หญิงสาวคู่ เจรจาปลอบประโลม ไม่พูดเปล่า หญิงสาว ค่อยๆเอามือลูบคลำ�ไปทั่วๆ ตัวเขา ฝ่ามือ เรียวบางกระทบซอกคอ เขาสะดุ้งเล็กน้อย จากนั้นมือเรียวบางค่อยๆลากลงล่างทีละ ส่วน จากซอกคอ มาหน้าอก วนลงมาหน้า ท้อง เขาเสียวซ่านในความรู้สึก หน้าร้อน ผ่าว หายใจแรง อาวุธประจำ�กายได้อยู่ใน สภาพพร้อมถึงขีดสุด เหมือนหญิงสาวรู้ด้วย ประสบการณ์ ไม่รอช้า มือเรียวๆ ลูบไปที่ หน้าขาลูบๆ ขึ้นมากลางเป้ากางเกงของเขา “พร้อมแล้วสินะ รออีกแปปนึง จะถึงสวรรค์ของเราแล้ว”
12
เลี้ยวซ้ายสุดทาง ถึงที่หมาย เป็น หอพักเล็กๆ ซอมซ่อ แต่ที่นี่ก็คือสวรรค์ของ เหล่าบรรดานักล่าสวาท หญิงสาวทำ�หน้าที่ จองห้องตามระเบียบ ไม่เกินอึดใจหญิงสาว เดินออกมาพร้อมกุญแจ จูงมือเขาขึ้นบันได เข้าห้องตามที่ลูกกุญแจระบุพิกัดเลข สภาพ ห้องเป็นห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสเล็กๆ ภายใน ห้องมีเตียงหนึ่งตัว พัดลมเพดาน โต๊ะเครื่อง แป้ง ห้องน้ำ�โทรมๆ บ่งบอกถึงความซอมซ่อ ได้อย่างดี ทุกคนต่างรู้ว่าที่นี่ไม่ใช่ที่พักข้าม คืน ที่นี่เป็นเพียงที่พักชั่วคราวไว้ทำ�ธุระ-กิจ ร่วมกันเพียงเท่านั้น เขานั่ ง อยู่ หั ว เตี ย งด้ ว ยความเกร็ ง ทำ�ตัวไม่ถูก ได้แต่นั่งมองหญิงสาวที่กำ�ลัง วางกระเป๋าแบรนด์เนมของปลอมไว้บนโต๊ะ เครื่องแป้ง รวบผม จากนั้นหญิงสาวค่อยๆ บรรจงถอดเครื่องนุ่งหุ่มทีละชิ้นๆ ไวเท่า สายตา เขาตะลึงในร่างเปลือยของหญิงสาว ที่นั่งอยู่อีกมุมห้อง ความเกร็งเป็นทวีคูณ หญิงสาวเดินเข้ามาใกล้ๆ มายืนอยู่ตรงหน้า เขา “ถอดเสื้อผ้าสิ” “ผม.. ยังไม่เคย” “ไม่ใช่ปัญหา ของอย่างนี้เดี๋ยวก็ เป็นเอง” หญิงสาวตรงเข้าไปถอดเสื้อผ้าให้ เขา บรรจงเล้าโลมข้างหู ไซร้รอบๆ หูของ เขาด้วยความกระหายในรสกาม หายใจแรง ถี่ๆ มือหนึ่งลูบน้าอกของเขาเป็นระยะๆ อีก มือหนึ่งลงต่ำ� คว้าจับวัตถุสำ�คัญของชาย หนุ่มเขย่าอย่างรวดเร็ว ผลักตัวเขาให้ลงไป นอนหงายบนเตียง เพื่อที่จะทำ�ภารกิจ-กาม ให้สะดวกยิ่งขึ้น จากที่เกร็ง เขาเริ่มปรับตัวเข้ากับ สถานการณ์ได้ อารมณ์เสียวซ่านพลุ่งพล่าน
วิ่งวนไปทั้งตัว จากที่เคยรับ มาเป็นแบ่งรับ แบ่งสู้ สองมือของเขาโอบหญิงสาว จูบอย่าง เร่าร้อน แลกลิ้นกันไม่มีใครยอมใคร เขาเป็น ฝ่ายไซร้หูทั้งสองข้างของหญิงสาวบ้าง หญิง สาวร้องครางเบาๆ รับกับอารมณ์ในขณะ นี้ มือเขาเลื่อนมาคว้าเนินอกของหญิงสาว นวดคลึงเบาๆ สัมผัสความนุ่มนวลอย่างเต็ม ทุกอณู “อาห์.. ต่อเลย ไม่ไหวแล้ว” หญิง สาวกล่าวด้วยเสียงกระเส่า สร้างอารมณ์ให้ เขาอย่างถึงที่สุด แต่ติดอยู่นิดเดียว “ผม.. ไม่เป็น” “ค่อยๆ สิ เห็นทางเข้าของเจ้า นี่ที่เธอมีมั้ย ใส่เข้ามาเลย .. นั่นแหละ ใช่ ค่อยๆ เข้ามา” ที่เหลือเหมือนเป็นสัญชาตญาณที่ ผู้ชายทุกคนพึงมี เอวที่อยู่นิ่งมาตลอด เขา เริ่มส่ายมันอย่างช้าๆ ช้าๆ พอเริ่มคล่องตัว จึงส่ายถี่ขึ้น เขาร้องออกมาด้วยความเสียว ซ่าน มีเสียงหญิงสาวครางรองรับ เหมือน เป็นยาฟื้นกำ�ลังวังชาขึ้นมาโดยทันที เขา ส่ายแล้วส่ายอีก ไม่หยุดนิ่ง อารมณ์กระสัน มีความสุขแบบนี้นี่เอง มิน่าล่ะ ผู้คนมากมาย ถึงเลือกที่จะเดินทางสู่สรวงสวรรค์ด้วยเส้น ทางนี้ หญิงสาวไม่ยอมแพ้ เด้งรับอย่าง เป็นระบบ เข้า-ออก อย่างเมามัน หญิงสาว ทำ�หน้าบ่งบอกถึงความสุขที่สุดอย่างหาที่ เปรียบไม่ได้ หญิงสาวผลักตัวเขาออก กดให้ เขานอนลง คราวนี้หญิงสาวเป็นฝ่ายทำ�ให้ “เดี๋ยวพี่ทำ�เอง จัดให้พิเศษเลย” สิ้นเสียง หญิงสาวร่ายรำ�กระบวน ท่า เขา-ซึ่งเป็นครั้งแรก มีหรือจะทนไหว ไม่นานเกินไป ภารกิจ-กามระหว่าง ทั้งสองคนได้สิ้นสุดลง
“ไม่ส่งนะ ขอบคุณที่บริการนะ จ๊ะ” หญิงสาวส่งเขาหน้าหอ หลัง จากจัดแจงทุกอย่างเสร็จ เขาเดินออก มาเพียงคนเดียวในซอกตึกอย่างสงบ มี เพียงบรรยากาศรอบข้างเท่านั้นที่ส่งเสียง บรรยากาศตอนขาออก เหมือนขาที่เข้ามา ทุกอย่าง ต่างเพียงอย่างเดียว คือความรู้สึก ของเขาที่มีต่อเรื่องพวกนี้ บุ ห รี่ อี ก มวนถู ก จุ ด ขึ้ น และสู บ ระหว่างทางเดิน ความเร่าร้อนจากปลาย บุหรี่ที่เผาไหม้ตัวเชื้อ ดูกี่ทีก็ยังคงไม่ถึงครึ่ง หนึ่งที่ ‘หญิงสาว’ คนสักครู่ให้กับเขา บาง เรื่องที่ไม่มีคำ�ตอบ เขาคิดว่าควรจะปล่อย มันไป หากแต่เก็บมันไว้ก็มีแต่ปริศนาคาใจ เสียเปล่าๆ ความอบอุ่นในอดีตที่อยากตาม หาคงไม่มีค่าอะไรอีก ไม่มีความหมายอีก ต่อไปที่จะต้องจมปลัก เขาได้เจอความสุข ที่อยู่กับปัจจุบันแล้ว รสกามที่หอมหวาน ท่วงทำ�นองที่สอดคล้องกับความเสียวซ่าน ในร่างกาย ช่วงเวลาที่เสียงครางปะทะกับ อารมณ์กระสัน สิ่งเหล่านี้ตอบคำ�ถามเขาได้ เป็นอย่างดี “ลีลาเด็ดจริงๆ ไว้เจอกันอีกนะพี่ สาว” หญิงสาวเดินขึ้นบันได กลับไปห้อง เดิมที่เพิ่งร่วมรักกับ ‘ลูกค้า’ นั่งหน้าโต๊ะ เครื่องแป้ง มัดผมให้เข้าที่ แต่งหน้า หยิบ กระเป๋าสะพาย ปิดประตูล๊อคห้อง ลงบันได มาคืนกุญแจที่หน้าล๊อบบี้เก่าๆ เดินออกมา ข้างหน้าหอพัก มีเพื่อนร่วมอาชีพเรียกขาน “อีนก ไปรับลูกค้าคนใหม่มาสิ
ยะ เขาถามหามึงอยู่น่ะ”
13
13
14
โปรดใช้วิจารณญานในการอ่าน
โลกเรามักจะมีสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติ เหนือการเข้าใจของมนุษย์ ให้ได้ค้างคาใจอยู่เสมอ ไม่ว่าเทคโนโลยีจะพัฒนาไปเร็วแค่ ไหน แต่เรื่องบางเรื่องก็ยังพิสูจน์อะไรให้เด่นชัดไม่ได้ กับเรื่องผีก็เช่นเดียวกัน มวลพลังงานวิญญาณซึ่งไม่มีรูปร่าง แต่ปรากฎให้เห็น เป็นเรื่องเล่าต่อๆ กันอยู่เรื่อยๆ ได้สร้างความฉงนให้กับมนุษย์มาทุกยุคทุกสมัย ก่อเกิดเป็นความเชื่อ ความเข้าใจต่างๆ สู่วัฒนธรรม และการทำ�ธุรกิจ ผี แท้ที่จริงแล้วคืออะไร มันมีอยู่จริง หรือมันเป็นแค่จินตนาการในม่านตาของแต่ละคน ในเล่มนี้เราจะมาเปิดประเด็นกันให้ เข้าใจมากขึ้น
ประเด็นใหญ่
ผีคืออะไร
สิ่งแรกที่ควรทำ�ความกระจ่างเลย ผีคือ อะไรกันแน่ ถ้าเราจะบอกว่ามันคือสิ่งที่มองไม่ เห็น แล้วรู้ได้ไงว่ามีจริง ในเมื่อมองไม่เห็น แต่ ถ้าเพิ่มเติมว่า มองไม่เห็น แต่สัมผัสได้ ตรงนี้ล่ะ ค่อยน่าสนใจ ผีจะเหมือนอากาศหรือเปล่า ที่ลม พัดผ่านมา ไม่เห็นลม แต่รู้ว่ามี ขณะเดียวกัน ถ้าผีมีจริง อะไรคือสิ่งที่ มีผีขึ้นมา มีการอธิบายว่าเมื่อสัตว์โลกไม่ว่าคน หรือสัตว์ไหนๆ เมื่อความตายมาเยือน วิญญาณ ออกจากร่างที่ผุพัง แต่ยังไม่มีจุดหมายว่าจะไป ไหน เช่น ไปรับคำ�พิพากษาชีวิตจากยมฑูต ก็จะ วนเวียนอยู่บนโลก หรือหากมีจิตยึดมั่น ถือมั่นต่อสถานที่ เพราะมีเหตุบาง อย่างให้ยังไปเกิดใหม่ไม่ได้ ก็จะยังไม่ไปไหน สิ่ง นั้นก็จะเรียกว่าผี สรุปง่ายๆได้ว่า ผีคือสิ่งมีชีวิต หลังความตายนั่นเอง
ผีหน้าตาเป็นอย่างไร
ในเมื่อผีมีที่มาจากสิ่งที่เคยมีชีวิต แล้วเราก็อาจแยก ออกได้อย่างไรว่าอะไรคือผี อะไรคือสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะคน ซึ่งในเรื่องเล่าเกี่ยวกับผี จะให้ความกระจ่างเกี่ยวกับหน้าตา ของผีที่ต่างอออกไป ส่วนใหญ่จะแต่งชุดประจำ�ชาติ ถ้าแต่ง ชุดไทยมาซะราชประแตนเต็มยศ ก็คงพอบอกยุคราชการที่ผี ตนนี้มีชีวิตอยู่ได้ หรือ ชุดขาวธรรมดา ดั่งชุดนอนซีทรูบางๆ (ผีเอาเวลาที่ไหนไปซื้อ) หากกรณีมาขอความช่วยเหลือ จะมา ในสภาพที่ต้องการให้ช่วย เช่น หากต้องการให้รู้ว่า ตนถูกฆ่าหมกศพอยู่ห้องใต้ บันได ก็จะมายืนจมกองเลือดอยู่ตรงหน้าห้องนั่นเอง ผีจะมี ลักษณะเหมือนคนทุกประการ เดินเหินปกติ ดูไม่ออกว่าเป็น ผี เช่น เจอผีคนไข้เดินใส่ชุดคนไข้ในโรงพยาบาล เหมือนคนไข้ ธรรมดาทั่วไป จนกระทั่งไปรู้ความจริงทีหลังว่า ไอ้ที่เดินสวน กันเมื่อกี้ เขาตายไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
15
ทำ�ไมบางคนเห็น บางคนไม่เห็นผี
ข้อถกเถียงที่ทำ�ให้หลายคนไม่เชื่อว่าผีมีจริงคือ ผีใช่ว่าจะเห็นกันได้ทุกคน การที่บาง คนไม่เคยเห็นผีมาเลยทั้งชีวิต ย่อมทำ�ให้เกิดข้อคลางแคลงใจว่า ไอ้คนที่เห็น มันเห็นจริงๆ หรืออุปาทานไปเอง เป็นข้อถกเถียงไม่สิ้นสุด คำ�อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ยังไม่ชัดเจนนัก บ้าง ก็ว่าเป็นกรรมของแต่ละคน บางก็อ้างไปถึงราศีต่างๆว่า คนบางราศีก็มองไม่เห็น บางราสีมี ดาวประจำ�ตัวไปโคจรนู้นนี่ ทำ�ให้มองเห็น บ้างก็อ้างไปถึงกรุ๊ปเลือดเลยก็มี (กรุ๊ปเลือดแม่ง ยิ่งกว่าความลับจักรวาล บอกได้ทุกเรื่องอ่ะ) แต่ยังไม่มีข้ออธิบายไหนที่ไขความกระจ่างใน เรื่องดังกล่าวได้
กลางคืน เวลาของผี
มีหลายคนเคยถามว่า ทำ�ไมผีต้อง ออกมาตอนหลางคืน ตอนกลางวันหายไป ไหน ซึ่งก็ได้แต่นิ่งเงียบ ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะไม่เคยเป็นผี ถึงเคยเป็นเมื่อชาติก่อน ก็จำ�ไม่ได้ แต่ถ้าจะอ้างจากคำ�สอนในพุทธ ศาสนา การที่ผีออกมาปรากฎตัวเฉพาะ ตอนกลางคืน เพราะเป็นกฎธรรมชาติที่จะ ปล่ อ ยให้ ผี อ อกมาในเวลาที่ สิ่ ง มี ชี วิ ต ส่ ว น ใหญ่หลับไปแล้วเท่านั้น เพื่อป้องกันการ เข้าไปวุ่นวายต่อกันและกัน ผีกับสิ่งมีชีวิต ถือว่าอยู่กันคนละโลก ถึงกระนั้น ก็ยังมีเรื่องเล่าหลายๆ เรื่องที่ระบุเวลาการเห็นผีในตอนกลางวัน ส่วนใหญ่จะเป็นเวลาโผล้เผล้ ใกล้มืด ตั้งแต่ หกโมงเย็นเป็นต้นไป ทั้งนี้ยังไม่เคยปราก ฎเรื่องที่ว่า เห็นผีตอนกลางวันแสกๆ ยืน หัวขาดตรงป้ายรถเมล์ ที่คนกำ�ลังแย่งกันขึ้น รถร่วมฯ แต่อย่างใด
16
บุกบ้านผี
อาจไม่มีการบันทึกอย่างเป็นลายลักษณ์อักษรว่า มนุษย์เริ่มอุตริทำ�กิจกรรม “บุกบ้าน ผี” ครั้งแรกในสมัยใด หากแต่เชื่อกันว่า เมื่อประมาณเกือบยี่สิบปีที่แล้ว ซึ่งรายการโทรทัศน์เกี่ยว กับผี ถือกำ�เนิดขึ้นใหม่ๆ ทั้งชมรมขนหัวลุก หรือมิติลี้ลับ ที่มีการเข้าไปสำ�รวจอาคารร้างที่เชื่อว่า มีวิญญาณวนเวียนอยู่ แม้กระทั่งรายการวิทยุ เดอะช็อค ที่จัด “เดินสาย” ให้เข้าไปสำ�รวจบ้าน ร้างตามที่ต่างๆ แล้วรายงานสดกลับมาที่ห้องส่ง เหล่านี้ล้วนเป็นแบบอย่างให้มีผู้กล้า อยากรู้อยากลองจำ�นวนมาก เข้าไปสำ�รวจบ้านผี กันอย่างต่อเนื่อง บ้างก็เข้าไปสำ�รวจแบบรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง บางทีเห้นเป็นบ้านร้างก็เข้าไป โดยไม่รู้ว่ามีผีจริงๆหรือไม่ หรือบางทีก็เข้าไปตามลำ�พัง ซึ่งก็มีการเตือนอยู่บ่อยครั้งว่า ไม่ควร เข้าไปเองโดยพลกาล เพราะอาจเป็นอันตราย ทั้งนี้ International Ghost Hunting Society ซึ่งเป็นสมาคมล่าผีระดับโลก ก็ได้กำ�น หดมาตรฐานในการไปสำ�รวจบ้านผี โดยเฉพาะหากจะเอากล้องเข้าไปถ่ายผีเก็บไว้เป็นหลักฐาน โดยมาตรฐานเหล่านี้เขียนขึ้นจากประสบการณ์ที่พวกเขาเคยไปล่าผีมาแล้วทั่วโลก (ขยันและช่าง สรรหาเป็นอย่างมาก) โดยกฎประมาณหลายสิบข้อ มีข้อที่น่าสนใจเช่น บอกกล่าวดวงวิญญาณก่อนเพื่อขอ อนุญาตถ่ายภาพพวกเขา (ซึ่งส่วนใหญ่มักไม่ทำ�) เวลาถ่ายภาพให้ระวังนิ้วที่อาจบังเลนส์ได้ (เพราะอาจได้ผีนิ้วกลางกลับบ้านไปเชยชม) ไม่ควรวิ่งเล่นหรือส่งเสียงดังในสุสานหรือสถานที่ โบราณ รวมทั้งหากภาพที่ถ่ายได้พบสิ่งผิดปกติ ควรตรวจสอบกับฟิล์มอีกครั้ง เพราะบางทีอาจ เกิดจากความผิดพลาดตอนล้างอัดภาพ เป็นต้น
17
9 สถานที่หลักๆ ที่เรามักเจอผี โัรงพยาบาล ป่า บ้านตัวเอง บ้านเพื่อน
ริมถนน วัด/ป่าช้า 18
โรงแรม
อพาร์ทเมนต์
สถานศึกษา บ้านร้าง
19
ผี ในเชิงธุรกิจ
หากคุณมีหัวการค้า คุณก็นำ�พาธุรกิจไปได้ทุกที่ แม้กระทั่งเรื่องผีๆ หากเราสังเกตดีๆ เราจะพบว่า ของซื้อของ ขาย หรือบริการที่เกี่ยวข้งกับผีนั้น มีมากมายรอบตัว จน เรานึกไม่ถึง เพราะมันเป้นส่วนหนึ่งของชีวิตไปแล้ว ใน นิทรรศการ “ผี: ความกลัว…จัดการได้ด้วยจินตนาการ สร้างสรรค์” ของ ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) ได้หยิบยกประเด็นการทำ�ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ผี วิญญาณ หรือชีวิตหลังความตายได้ละเอียด ไล่ตั้งแต่ เมื่อมีคนตาย ก็ต้องมีการทำ�ศพ หากเป็นในสมัยโบราณ ก็อาจมีการ เคารพศพเล็กน้อย แล้วก็เผาได้เลย แต่สมัยนี้ การจัดงานศพแต่ละครั้ง ว่ากันตามมาตรฐาน ทั่วไป อย่างน้อยที่สุด คุณต้องซื้อโลงศพ มีทั้งแบบ ธรรมดา และสมัยนี้มีติดแอร์ให้โลงศพด้วย กะให้ผู้ตาย ร่มเย็นไปถึงชาติหน้า ต่อมาต้องจองศาลาวัดเพื่อทำ�พิธี สวด กี่วันก็แล้วแต่ ซึ่งจำ�นวนวันก็เป็นตัวคูณค่าใช้จ่าย ในการสวดศพแต่ละวัน เช่น ค่าน้ำ� อาหาร แจกผู้มาร่วม พิธี ค่าตั้งศพ ในกรณีที่เป็นครอบครัวเชื้อสายจีน ก็จะ มีชุดกงเต็กที่เป็นบ้าน รถยนต์ เครื่องใช้ไม้สอยจำ�ลอง ต่างๆ ตั้งไว้ข้างศพด้วย บางครั้งก็มีค่าใช้จ่ายในการทำ� บางสิ่งบางอย่างที่หากนึกดีๆแล้ว อาจไม่จำ�เป้นต้องทำ�ให้ คนตายด้วยซ้ำ�เช่น ค่าแต่งหน้าศพ แต่ทั้งหดทั้งมวลเหล่า นี้ ล้วนเป็นการทำ�ธุรกิจแบบให้บริการความสะดวกแก่ คนตายและญาติคนตาย ขณะที่ผู้ให้บริการก็รับรายได้ ไป สบายใจทั้งสองฝ่าย ทาง TCDC ได้สรุปว่า ธุรกิจด้าน ความตายเหล่านี้ ทำ�ให้เกิดรายได้หมุนเวียนในกลุ่มธุรกิจ เหล่านี้กว่าปีละ 35,000 ล้านบาท นอกจากงานศพที่เห็นได้เด่นชัดแล้ว การดูดวง การเข้าทรงเจ้า และหมอรับปราบผี ก็จัดอยู่ในกลุ่มธุรกิจ ที่เกี่ยวข้องกับชีวิตหลังความตายด้วยเช่นกัน
20
ผีสัตว์
ตั้งแต่มีเรื่องราวเกี่ยวกับผี ให้ได้ฟังกันนั้น สิ่งที่น่าสงสัยอีกประการคือ นอกจากผีคน ที่มีเรื่องเล่ากันมากมายแล้ว เคยมีผีสัตว์อื่นๆให้ได้มองเห็นบ้างมั้ย ถ้าสัตว์ชนิดอื่นๆมีสถานะ ของความเป็นสัตว์เหมือนคนจริงๆ ทำ�ไมไม่เคยมีใครเห็นผีแมว มาขอปลาย่างเป็น ส่วนบุญ หรือผีหมามาขอให้ช่วยขุดกระดูที่มันซ่อนไว้ ในสวนหลังบ้านขึ้นมา เท่าที่เคยฟังเรื่องราวเกี่ยวกับผี ไม่เคยมีเรื่องผีสัตว์เลยแม้แต่ครั้งเดียว หรือสัตว์อาจ ไม่มีความจำ�เป็นอะไรที่จะมาปรากฎให้คนได้เห็น หรือาจไปปรากฎให้เห็นกันเอง ผีหมาอาจไปโผล่ใน หมู่หมา ผีแมวอาจไปไล่หลอกแมวด้วยกันเอง
ผีกระชากหัว
เมื่อปี พ.ศ. 2550 มีภาพยนตร์ผีจากฮอลลิวู้ดเรื่องหนึ่ง นำ�เข้ามาฉายในประเทศไทย ชื่อ เรื่อง RISE: BLOOD HUNTER และเป็นธรรมดาที่จะต้องมีการตั้งชื่อเป็นภาษาไทย ทางผู้นำ�เข้า จึงได้ตั้งชื่อภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นถาษาไทยว่า “ผีกระชากหัว” อืม... ผีกระชากหัว เมื่อดูจากเนื้อเรื่องย่อก็น่าจะเข้ากับชื่อเรื่องเป็นอย่างดี ต่อมาได้มีการทำ�สื่อโฆษณาภาพยนตร์ออกไปทั้งโปสเตอร์ขนาดใหญ่หน้าโรงภาพยนตร์ รวมทั้งในสื่อโทรทัศน์ ซึ่งก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไร จนกระทั่งเริ่มมีสื่อมวลชนออกมาแสดงความเห็น ให้เปลี่ยนชื่อภาพยนตร์ภาษาไทยเสีย เพราะชื่อส่อไปในทางลามกอนาจาร ถามว่าลามกอนาจาร... อย่างไร ก็ตรงที่ชื่อนี้สามารถผวนคำ�ได้เป็นคำ�อีกคำ�หนึ่ง ซึ่งมีความหมายลามกอย่างชัดเจน ต่อมาก็มีกระทรวงที่เกี่ยวข้องออกมารับลูกในเรื่องนี้ด้วย โดยบอกว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะ สม ท่ามกลางความมึนงงของผู้นำ�เข้า ว่ามันส่อไปในทางลามกขนาดนั้นได้อย่างไร ถ้าคุณไม่ผวน คำ�ซะอย่าง ทำ�ให้ภาพยนตร์เรื่อง ผีกระชากหัว จึงถูกปรับเป็น Rise...กระชากหัว ในการโฆษณาต่อไป เรื่องนี้อาจไม่เกี่ยวกับผี หรือวิญญาณโดยตรง แต่บางครั้งของแบบนี้ก็คล้ายๆเวลาคนเรา กลัวผี การที่เรากลัวผี ไม่ได้แปลว่าคนอื่นต้องมากลัวเหมือนเรา หรือคิดเหมือนเรา 21
รายการโทรทัศน์ผี ในประเทศไทย
ชมรมขนหัวลุก
ต้ น กำ � เนิ ด รายการผี ติ ด อั น ดั บ ความคลาสสิค โดยพิธีกร ตั๊ก-มยุรา และ ธงชัย ประสงค์สันติ น่ากลัวตั้งแต่ เพลงประกอบรายการยั น เรื่ อ งเล่ า ต่างๆ เป็นจุดเริ่มต้นให้รายการผีอื่นๆ
ชั่วโมงพิศวง
รายการผี ที่ เริ่ ม เอาอาคารรก ร้างมาเล่น โดยมีการตั้งกล้องถ่ายจับ วิญญาณ และการเดินสำ�รวจ ซึ่งด้วย ความใหม่ในยุคนั้น ทำ�ให้ผู้ร่วมรายการ หลายคนถึงกับช็อคระหว่างสำ�รวจเลย ทีเดียว
คนอวดผี
22
หลังชั่วโมงพิศวง รายการผี หาย ไปจากจอโทรทัศน์นานกว่าสิบปี กลับมา ยุคใหม่ด้วยรายการ คนอวดผี ซึ่งสร้าง กระแสรายการผีได้อีกครั้ง โดยเฉพาะ ช่วงล่าท้าผี ซึ่งทำ�ให้เจน ญาณทิพย์ แจ้ง เกิดอย่างเต็มตัว คู่กับริว จิตสัมผัส
คนสวยวัดดอน รายการผีที่ทำ�หลังคนอวดผีได้ไม่ นาน โดยจับพิธีกรสาวสวยมานั่งคุยกับ แขกรับเชิญ แต่ไม่ประสบความสำ�เร็จนัก และถูกถอดออกจากผังช่อง 9 ไปอย่าง รวดเร็ว
คนล่าผี รายการผี ล่ า สุ ด ที่ ม าแทนคน สวยวัดดอน ด้วยทีมงานเดอะช็อคที่มี ประสบการณ์ ทำ�ให้รายการนี้ ซึ่งเน้นล่า ผีตามอาคารร้าง ยังคงความเป็นรายการ ผีได้ดีอยู่เช่นเดิม
วิทยุ ขบวนการลูกนกฮูก (ละครผีวิทยุ) เดอะช็อค กฎการฟังเรื่องผี จาก รายการวิทยุเดอะ ช็อค อยู่คนเดียว ปิดไฟ มีสมาธิ มีจินตนาการ
23
ที่สุดโทรทัศน์ไทยมิอาจพันรายการผี
การกลับมาอีกครั้งของรายการ คนอวดผี ซึ่งเป็นรายการโทรทัศน์เกี่ยวกับผีครั้งแรกในรอบเกือบ 10 ปี นับตั้งแต่สมัยที่รายการมิติลี้ลับ ชั่วโมงพิศวง หรือชมรมขนหัวลุก ได้สร้างปรากฎการณ์ความสนใจเรื่อง ลี้ลับแก่ผู้บริโภคชาวไทยมาช้านาน และเมื่อคนอวดผีเริ่มฉาย ก็มีรายการผีตามมาไม่ขาดสาย สิ่งเหล่านี้ได้ สะท้อนถึงพฤติกรรมของคนไทยอย่างไร ในบทความของเว็บไซต์มติชนออนไลน์เรื่อง สยองขวัญ สั่นประสาท! ทีวีไทย...ทำ�ไมไม่พ้นรายการ ผี ได้อธิบายไว้โดยยกคำ�พูดของผู้เชี่ยวชาญหลายท่าน เช่น กพล ทองพลับ ผู้เชี่ยวชาญด้านวิญญาณ ซึ่งทำ� สื่อเกี่ยวกับผีมาอย่างยาวนาน ก็กล่่าวว่า “จุดประสงค์ที่แท้จริงของรายการ คือตอบสนองและกระตุ้นต่อมคน ชอบความน่ากลัว ชอบเรื่องตื่นเต้นและท้าทาย ขณะเดียวกัน ก็เป็นการท้าทายความกล้าของบุคคลเท่านั้น หากไม่คิดอะไร หากสังเกตให้ดี จะรู้ว่าทุกช่วงของรายการจะสอดแทรกข้อคิด คติสอนใจคือ ต้องการให้คน ทำ�ดี ขณะเดียวกัน ก็สอนให้คนรู้จักเกรงกลัวต่อบาป ไม่เช่นนั้น คนเราอาจเข่นฆ่ากันได้โดยไม่คำ�นึงถึงอะไรทั้ง สิ้น” หรืออย่าง ฉลองรัฐ เฌอมาลย์ชลมารค รองคณบดีคณะนิเทศศาสตร์ ม.รังสิต ก็มองว่ารายการผี มีการเข้าไปทำ�ภารกิจในบ้านร้าง ทำ�ให้เหมือนเป็นการเล่นเกมอย่างหนึ่ง และทำ�ให้เรื่องผี กลายเป็นความ บันเทิง ซึ่งต่อยอดให้คนเสพย์สื่อเกี่ยวกับวิญญาณในช่องทางอื่นๆควบคู่ไป เช่น หนังสือจำ�พวกแก้กรรม สแกน กรรมต่างๆ แต่ก็อาจทำ�ใหผู้เสพย์ขาดวิจารณยานง่่ายขึ้น จนแยกแยะความเชื่อกับความเป็นจริงไม่ออก
ทำ�ไมต้องกลัวผี
ขณะที่ภาพของผีที่เราเข้าใจคือ สิ่งน่าลัวในยามกลางคืน แต่น้าเน็ก เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา กลับไม่คิดเช่นนั้น น้าเน็ก ได้เขียนบทความเรื่อง “เหตุผลที่มนุษย์ไม่ควรกลัวผี” ในเว็บไซต์ของไทยรัฐออนไลน์ ไว้ ด้วยประเด็นที่น่าสนใจว่า ทำ�ไมคนเราต้องกลัวผี ด้วยความเข้าใจไปเองต่างๆนานา เช่น หากได้กลิ่นธูปแสดง ว่าผีต้องมาอย่างนั้นหรือเปล่า ทำ�ไมผีต้องกลัวพระ แล้วถ้าพระตายไปเป็นผี ผีพระจะต้องกลัวพระหรือไม่ ทั้งที่ตนเคยเป็นพระมาก่อน รวมทั้งการที่หมาหอน อาจไม่ได้แปลว่าเห็นผี มันอาจคุยกับหมาตัวอื่นก็ได้ แต่ เราเข้าใจไปเองทั้งสิ้น ขณะเดียวกัน นอกจากเหตุผลที่ไม่ควรกลัวผีแล้ว น้าเน็กยังเคยพูดถึงประเด็นเกี่ยวกีบผี ใน รายการวิทยุ “สามแยกปากหวาน” ไว้ว่า เรามักบอกว่าเรื่องผี เป็นเรื่องที่คนยังพิสูจน์ไม่ได้ แต่ถ้าผีมีอยู่ จริงๆ ทำ�ไมไม่เคยมีใครกล้าไปคุยกับผีตรงๆ ถามผีว่า มาจากไหน ทำ�ไมถึงต้องมาเป็นผี หลังจากตายต้องไป ไหน ทำ�อะไรบ้าง แต่ทุกคนจะชิงกลัว วิ่งหนีไปเสียทุกคน แล้วมาบอกว่าผีเป็นสิ่งลี้ลับ
24
แม้สิ่งที่น้านเน็กพูดมาจะน่าเห็นด้วย แต่ส่วนตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าหากเจอผีขึ้นมาจริงๆ ความสงสัย เกี่ยวกับความเป้นอยู่ของพวกเขา จะถูกฉุกคิดขึ้นมาได้ก่อนที่จะวิ่งป่าราบหรือไม่
หนังผี น่ากลัวตรงไหน
นอกจากตัวอย่างของน้าเน็กที่สงสัยว่าคนเราจะกลัวผีไปทำ�ไมแล้ว ยังมีอีกหนึ่งแนวความคิดที่น่า สนใจ ที่ถูกบอกเล่าโดยชายที่มีพรสวรรค์ด้านการพูดเหมือนกับน้าเน็ก และดูจากประเด็นที่เขาต้องการจะ บอกแล้ว เขาคงเป็นคนขี้สงสัย ไม่ต่างจากน้าเน็กเลยทีเดียว โน้ต อุดม แต้พานิช เคยตั้งคำ�ถามไว้ในการแสดงเดี่ยวไมโครโฟน ครั้งที่ 6 ว่า ทำ�ไมเราถึงกลัวหนัง ผี ทั้งที่ผีมันก็ปรากฎแค่ในจอภาพ แต่ทำ�ไมเราถึงสะดุ้งโหยงทุกครั้ง เมื่อถึงฉากกระตุกขวัญ อุดมอธิบายว่า ที่จริงแล้ว ความน่ากลัวของหนังผีอาจเกิดขึ้นจากเสียงเอฟเฟกต์ที่ใส่เข้าไป เพราะ ถ้าลองดูหนังผี ด้วยการปิดเสียงแล้ว ฉากผีโผล่มา พร้อมเอามีดไล่แทงเหยื่อ ก็คงไม่ต่างจากภาพป้าตำ�ส้มตำ� ดีๆนี่เอง หรือในทางกลับกัน ลองหลับตา นั่งนิ่งๆ แล้วฟังแต่เสียง ด้วยเอฟเฟกต์หนักผีที่มักจะมิกซ์เสียงให้ เงียบซักระยะ แล้วอยู่ดีๆ ก้ดังขึ้นมาฉับพลัน ก็ทำ�ให้เกิดอาการตกใจได้ เมื่อประกอบกับภาพผี น่าตาเละๆ ชวนสยองแล้ว โน้ต อุดม จึงสรุปว่า หนังผีน่ากลัวเพราะเราตกใจเสียง มากกว่าภาพที่เห็นในจอ
อ้างอิง นิทรรศการ “ผี: ความกลัว…จัดการได้ด้วยจินตนาการสร้างสรรค์” โดย ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) http://www.tcdc.or.th/whaton/2010/ghost-test/TH/index.html หนังผี น่ากลัวตรงไหน โดย อุดม แต่พานิช VCD เดี่ยวหก unseen เหตุผลที่เราไม่ควรกลัวผี โดย น้าเน็ก เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาลกะวงศ์ ณ อยุธยา โลกหมุนรอบตัวงู : เหตุผลที่มนุษย์ไม่ควรกลัว “ผี” www.thairath.co.th/content/life/220991 ย้อนตำ�นาน ‘สื่อสยองขวัญ’ สั่นประสาท อดีตถึงปัจจุบัน..! www.thairath.co.th/content/life/302358 สยองขวัญ สั่นประสาท! ทีวีไทย...ทำ�ไมไม่พ้นรายการผี ? www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1346300778&grpid=01&catid=01 อื่นๆ หนังสือแวมไพร์ ภูติผี ปีศาจ ซาตาน แม่มด และศาสนา โอเพ่น บุ๊คส์ (ไม่ได้ใช้อ้างอิง แต่ส่วนตัวชอบเล่มนี้มาก เลยแนะนำ�มาให้ลองหาอ่านกัน)
25
ถ้าโลกนี้ไม่มี... ฮะหวาย
26
ในปัจจุบันนี้ โลกของเรา “มี” สิ่ง ต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย และสิ่งเหล่านั้นก่อ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เกิดผลกรทบ หรือ เป็นการสร้างวิถีชีวิตใหม่ๆ และการสร้าง ชีวิตใหม่สำ�หรับใครหลายคนก็เป็นได้ แล้วถ้าหากวันหนึ่ง สิ่งเหล่านั้น “ไม่มี” อยู่ล่ะ จะ เกิดอะไรขึ้น? ทุกๆ คนคงรู้จัก “ผี” กันดีอยู่แล้วผ่านทางสื่อ ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นละคร ภาพยนต์ หนังสือ หรือเรื่องเล่า ต่างๆ มากมาย บางคนบอกว่าผีมีอยู่จริง บ้างก็บอกว่า ไม่มีอยู่จริง สิ่งเหล่านี้ยังไม่สามารถพิสูจน์ออกมาในทาง วิทยาศาสตร์ได้ แม้ว่าเรายังไม่เคยเจอ(และไม่อยากเจอ) ก็ คงได้แต่พูดตามคำ�ผู้ใหญ่กันว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” กันต่อ ไป
ถ้าหากโลกนี้ไม่มีผีล่ะ มันจะเป็นยังไงบ้างนะ? ถ้าหากโลกนี้ไม่มีผี มนุษย์เราอาจจะไม่เกิดความ กลัว และอาจจะไม่เกิดเป็นองค์ความรู้ และวิทยาการที่ สามารถนำ�เอามาต่อยอดจนถึงปัจจุบัน ถ้าหากโลกนี้ไม่มีผี ความเชื่อต่างๆ ของ มนุษยศาสตร์คงเปลี่ยนแปลงไป ไม่มีลัทธิบูชาไฟ ไม่มีลัทธิ ที่เชื่อในภูติผีปีศาจ ไม่มีแนวความคิดต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลง และถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น(คุณอาจเห็นลัทธิเหล่านี้ได้ นิยายผจญภัย หรือแม้กระทั่งในชนเผ่าลี้ลับต่างๆ ที่ซ่อน เร้นอยู่ทุกมุมโลก”
27
ถ้าหากโลกนี้ไม่มีผี ก็คงไม่มีวัน Halloween ฟักทองคงไม่มีความจำ�เป็นถึงขนาดนั้น ผู้คนมากมายคง ไม่จำ�เป็นต้องแต่งหน้าแต่งตาน่าเกลียดหน้ากลัวแล้วอัพ รูปประชันความหลอนกันบน facebook หรือ instagram ถ้าหากโลกนี้ไม่มีผี เราคงขาดอุตสาหรกรรมหนัง ทำ�เงินขนาดใหญ่ไปอีกมากมาย ผู้กำ�กับ หนังผีหลอนๆ ไม่ ว่าจะเป็น แม่นาค ลัดดาแลนด์ เดอะริง พารานอมอล แอค ทิวิตี้ส์ คงไม่มีโอกาสได้ร่วมแบ่งปันประสบการณ์หลอนกับ คุณเป็นแน่ ถ้าหากโลกนี้ไม่มีผี เราคงไม่มีโอกาสได้ล้อมวงคุย เรื่องผีกันตอนดึกในค่ายลูกเสืออย่างแน่นอน ถ้าหากโลกนี้ไม่มีผี เราคงไม่กล้าชวนกันบุกบ้าน ร้างต่างๆ ในยามวิกาลกันโดยไม่มีแรงจูงใจ ถ้าหากโลกนี้ไม่มีผี เราคงไม่ได้เข้าไปเดินเล่นใน บ้านผีสิง(เทียม) ที่คอยมีภูติผีแสนน่ารักคอยออกมาหลอก เรา และคุณสุภาพบุรุษทั้งหลายก็คงไม่ได้โชว์ความแมน พิชิตใจสาวอย่างแน่นอน(ถ้าสาวแตกเป็นอีกเรื่องนึงนะ ครับ) ถ้าหากโลกนี้ไม่มีผี เราจะได้รู้จักบุรุษผู้บุกเบิก วงการผีไทยอย่าง กมล ทองพลับ หรือเปล่า? ถ้าหากโลกนี้ไม่มีผี เราจะมีโอกาสได้ฟังรายการ เดอะช็อค ได้ดูรายการคน(นม)อวดผีทุกคืนวันพุธอยู่หรือ เปล่า
28
ถ้าหากโลกนี้ไม่มีผี เราจะได้รู้จักกับวลี “พลังงาน อะไรบางอย่าง” หรือไม่? ถ้าหากโลกนี้ไม่มีผี ริว จิตสัมผัส กับ เจน ญาณ ทิพย์ จะมีงานทำ�ไหม? ถ้าหากโลกนี้ไม่มีผี เราก็ไม่รู้ว่าจะกลัวอะไร เรา อาจจะไปกลัวอย่างอื่น กลัวสิ่งของ กลัวธรรมชาติ หรือ กลัวมนุษย์ด้วยกันเอง(แน่นอนว่าผียังไม่น่ากลัวเท่ามนุษย์ เลย) ถ้าหากโลกนี้ไม่มีผี ก็คงจะแปลกๆ เพราะชีวิต ของเราผูกติดกับผีมานานนมแล้ว และคงจะเป็นเช่นนี้ต่อ ไปเรื่อยๆ เราคงตอบไม่ได้ว่าผีมีจริงหรือเปล่า จริงๆ แล้วผี รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร ผี สร้างปรากฏการณ์ต่างๆ ให้ กับมนุษย์ สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างชีวิต สร้างความสุข สร้างความหวาดกลัว หรือสร้างความยำ�เกรง หลายคนกลัวผี หลายคนไม่กลัวผี แตกต่างกันไป ตามแต่ความเชื่อ และประสบการณ์ของคุณ
ไม่แน่นะครับ ข้างๆ คุณในตอนนี้ อาจจะมี พลังงานบางอย่างอ่านบทความนี้อยู่ด้วยก็เป็นได้
29
โกสต์ ไรท์เตอร์
30
ดามันสกี้
ขึ้นชื่อว่าผี หรือจิตวิญญาณ สสารบางอย่างที่ควรจะมี หรือก่อนจะเป็นผีเคยมีรุปร่า งที่แน่ชัด แต่พอมาเป็นผีกลับพิสูจน์รูปร่างที่ควรจะมีอยู่ไม่ได้ คือสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมมนุษย์มา นานแล้ว ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่อยู่ ณ ซอกหลืบไหนของโลก และนับวันก็ยิ่งแทรกซึมเข้าไป ในวงการต่างๆมากขึ้นทุกที ทั้งที่บางวงการ ก็ไม่น่าจะเข้ามาเกี่ยวข้องได้ อย่างเช่นวงการนัก เขียนนี่แหล่ะครับ เวลาคุณไปเดินดูหนังสือตามแผงหนังสือชั้นนำ�และชั้นตามทั่วไป หนังสือประเภท หนึ่งที่คุณจะพบเห็นได้เป็นประจำ�คือ พ็อกเก็ตบุ๊กดารา จำ�พวกดาราอยากเล่าเรื่อง เลย ออกมาเขียนหนังสือ ส่วนดาราจะเล่าเรื่องอะไรก็สุดแท้แต่ บางทีไม่ใช่ดารา แต่ออกมาเขียน หนังสือแฉก็มี ไม่ว่าจะแฉตัวเองหรือแฉชาวบ้าน โดยเฉพาะเรื่องอะไรที่ฉาวๆ เข้าทางชาว ไทยกันอยู่แล้ว ทั้งที่อ่านไปทั้งเล่ม ก็รู้สึกไม่ได้คุณค่าทางสารอาหารใดๆกับหนังสือเหล่านี้ ซ้ำ�ร้ายต้นไม้เจ้าของเนื้อกระดาษที่เอามาพิมพ์หนังสือเหล่านี้ จะพาลน้อยใจเอาเปล่าๆ โทษ ฐานอุตส่าห์เอาเนื้อเราไปใช้ จะเอาไปใช้ให้เกิดประโยชน์กับสติปัญญามนุาย์ก็ไม่ได้ เวลาที่เราเห็นพ็อกเก็ตบุ๊กเหล่านี้ เคยเอะใจบ้างมั้ยครับว่า ดารา หรือนักแฉต่างๆ เขาเขียนหนังสือได้ดีขนาดนี้เลยเหรอ ถึงเขียนออกมาเป็นเล่มได้ขนาดนี้ เพราะถึงแม้คุณจะ มีเรื่องราวอยู่ในหัวอยู่แล้ว แต่การจะเรียบเรียงเนื้อหาต่างๆให้ไหลลื่นออกมาเป็นตัวอักษร ไปได้ตลอดรอดฝั่ง ตั้งแต่ต้นจนจบเล่มนั้น ไม่ใช่ทุกคนจะทำ�ได้ดี มันก็เหมือนการเล่าเรื่อง ด้วยปากเปล่าน่ะแหล่ะครับ ทุกคนล้วนมีเรื่องของตัวเองให้เล่า แต่ตอนเล่าออกมา จะน่าฟัง หรือน่าเบื่อยืดเยื้อ ก็ขึ้นอยู่กับวิธีการเล่าเรื่องของแต่ละคน ดังนั้น สำ�หรับดาราคนดังที่อยากเล่าเรื่องตัวเองด้วยหนังสือแต่ไม่รู้จะเขียนให้ดีได้ ยังไง หรือตอนนั้นกระแสความดังกำ�ลังได้ เข้ากับสำ�นวนไทยที่ว่า น้ำ�ขึ้นต้องขนของขึ้นชั้น สอง เอ็ย! ต้องรีบตัก แต่ตัวเองไม่รู้จะเขียนเรื่องตัวเองยังไง ปัญหาเลห่านี้ โลกมักมีทางออก
ให้เสมอ นั่นก็คือ ไปจ้างโกสต์ ไรท์เตอร์มาเขียนหนังสือแทนเราเลยซิครับ โกสต์ ไรท์เตอร์ คือกลุ่มนักเขียนกลุ่มหนึ่งที่เราไม่เคยได้ยินชื่อของพวกเขามา ก่อน แทบไม่เคยรับรู้ว่าพวกเขาเป็นใคร เขียนหนังสือที่ไหน เหมือนเป็นอีกด้านหนึ่งของ นักเขียนที่เราคุ้นเคยชื่อเสียงเรียงนาม ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาไม่อยากเปิดเผยให้ใครรับรู้ หรอกครับ เป็นปริศนาดำ�มืดสำ�หรับคนทั่วไป แต่จะเป็นที่รับรู้กันในวงการเบื้องหลัง ซึ่ง หน้าที่หลักก็คือ เขียนหนังสือให้กับดาราคนดัง ตามเหตุผลที่ว่าไว้ในย่อหน้าที่แล้ว โดย หนังสือเหล่านั้นจะมีชื่อดาราคนดังกล่าวเด่นชัด ชนิด จส.ร้อยขับ ฮ. ผ่านร้านหนังสือยัง มองเห็นเลย แต่ในส่วนของชื่อคนเขียนหนังสือที่แท้จริงเหล่านี้จะไปแอบซ่อนอยู่ในบร รณานุกรมเล็กๆ หรือไม่ก็อยู่ในหน้าปกเหมือนกัน แต่จะเล็กมากๆ และถูกต่อท้ายไว้ว่า ‘ผู้เรียบเรียง’ คือเป็นนักเขียน แต่เขียนหนังสืออยู่เบื้องหลัง ไม่มีชื่อ ไม่มีใครรู้จัก ให้ดารา เจ้าของเรื่องได้หน้าไปแทน ดังนั้นวงการโกสต์ ไรท์เตอร์จึงเป็นวงการที่แคบและยังมีบุคลากรน้อย คงไม่ ค่อยมีนักอยากเขียนคนไหน ก้าวไปเป็นนักเขียนที่ไม่มีใครรู้จักหรอก ทั้งที่หากศึกษากัน จริงๆ อาชีพนี้สร้างรายได้ไม่ใช่เล่นๆ เพราะการเขียนหนังสือให้ดาราซักคนที่ชื่อเสียง กำ�ลังพุ่งกระฉูด แน่นอนว่าพ็อกเก็ตบุ๊คที่เธอๆเหล่านั้นจะทำ�ออกมา ย่อมการันตีรายได้ เป็นกอบเป็นกำ�อยู่แล้ว ขณะที่เป้นโกสต์ให้แต่ละเล่มนั้น รับรายได้เป็นเปอร์เซนต์ แล้ว แต่จะตกลงกัน ซึ่งอย่างน้อยๆต่อเล่ม ต้องไม่ต่ำ�กว่าหมื่น บางเล่มได้กันเป็นแสนๆ แถม ยังได้ไปใช้ชีวิตใกล้ชิดดาราเหล่านั้น ชนิดดาราเหน็บโกสต์ ไรท์เตอร์เข้ากับเอวได้ คงทำ� ไปแล้ว เพราะโกสต์ต้องตามไปดูชีวิตดาราคนดังเหล่านั้น เพื่อเอามาเขียนให้ตรงกับชีวิต จริง(ชีวิตที่ต้องการพรีเซนต์?)ของดารามากที่สุด เพราะหากไปเขียนมั่วซั่ว เกิดดาราไม่ พอใจ มีการฟ้องร้องขึ้นมา จะซวยเข้าตัวไม่รู้ด้วย ดังนั้นโกสต์ ไรทเตอร์ จึงเป็นอาชีพที่มีส่วนคล้ายกับดาราบางอย่างคือ ขณะที่ ดารารับรายได้มหาศาล เพื่อขายความเป็นส่วนตัว ส่วนโกสต์ ไรท์เตอร์ รับรายได้จำ�นวน มาก เพื่อขายโอกาสในการมีชื่อเสียงในวงการหนังสือเบื้องหน้า ช่วงหลังๆมานี้ โกสต์ ไรท์เตอร์ได้แตกแขนงออกปอีก นอกจากจะเขียนหนังสือ ให้ดาราแล้ว บางทียังเขียนให้กับนักเขียนด้วยกันเองด้วย โดยเฉพาะนักเขียนชื่อดัง(บาง คน บางสถานการณ์) ที่มีงานเขียนลงหนังสือต่างๆ ส่วนใหญ่จะเป็นนิยายในหนังสือสุด สัปดาห์ต่างๆ ไม่ต่ำ�กว่า 6-7 เล่มต่อสัปดาห์ ซึ่งต่อให้คุณมีฝีมือในการเขียนที่ไม่เป้นรอง ใครแค่ไหนในยุทธภพ แต่อาการ “ตัน” หรือไอเดียหมดสต็อก ก็เกิดขึ้นได้เสมอ ดังนั้นนัก เขียนเหล่านี้ก็จะมีศิษย์หรือลูกน้องที่เป้นนักเขียนด้วยกันมาช่วยเขียนให้ เป็นครั้งคราว ส่วนใหย่ในเวลาที่จำ�เป็นจริงๆ ส่วนตนจะเอาต้นฉบับมาปรับให้มีสำ�นวนตัวเองเพิ่มเข้าไป ด้วย ไม่ให้ดูมีพิรุธจนเกินไป หรือบางคนก็ตั้งตัวเป็นบรรณาธิการโกสต์ ไรท์เตอร์เลยก็ มี คือรับงานมาแล้วแจกจ่ายให้โกสต์รายอื่นๆเอาไปทำ� โดยตนได้เพียงเงินเดือนเท่านั้น ส่วนใหญ่จะเป็นโกสต์ที่ร่ำ�รวยจากอาชีพมาในระดับหนึ่งแล้ว ด้วยความมืดดำ�และหมอกควันที่บดบังความเป็นอยู่ของโกสต์ ไรท์เตอร์ ทำ�ให้
31
หลายต่อหลายคนตั้งข้อรังเกียจอาชีพนี้อย่างรุนแรง บางคนบอกว่า นี่คือมะเร็งร้ายในวงการนักเขียน ซึ่ง โดยส่วนตัวแล้ว ผมว่ามันไม่ถึงขนาดนั้น เพียงแต่ การไม่เปิดเผยชื่อ มันไปกระตุ้นความรู้สึกให้ดูน่าไม่ ไว้วางใจได้เสมอ ซึ่งหากมองในอีกมุมหนึ่ง สมมติ ว่าดาราซักคน หาญกล้าเขียนหนังสือออกมา ทั้งที่ ตัวเองเขียนหนังสือไม่เป็น (ไม่เป็นในที่นี้คือ เขียน ให้มีสำ�นวนน่าอ่านไม่เป็น) แล้วพยายามใช้ความดัง ของตัวเองในการขายหนังสืออย่างเดียว ถามว่ามัน น่าเสียดายเนื้อกระดาษที่เสียไปในการพิมพ์หนังสือ ออกมา มากกว่ามั้ยครับ อย่างน้อยที่สุดให้โกสต์ ไรท์ เตอร์มาช่วยเขียนให้เรื่องราวน่าสนใจ แต่ไม่ผิดไป จากความต้องการเดิมที่เจ้าของเรื่องต้องการ ก็น่าจะ ยังดีกว่าบ้าง เพราะบางทีก็แอบคันปากแทนโกสต์ ไรท์ เตอร์ทั้งหลายเหมือนกัน เวลาที่ดาราเหล่านี้ให้ สัมภาษณ์เวลาเปิดตัวหนังสือ แล้วให้สัมภาษณ์ว่า กลับจากทำ�งานก็นั่งเขียนไปเรื่อย ทีละเล็กน้อย จน วันหนึ่งได้ออกมาเป็นเล่มเฉยเลย ซึ่งแทบทุกคนที่ โดนสัมภาษณ์ก็พูดอย่างนี้แทบทุกคน จนสงสัยว่า ไอ้ ก่อนหน้านี้ที่เคยสัมภาษณ์ว่า ทำ�งานจนไม่มีเวลา นี่ มันหมายความว่ายังไง ช่างดูย้อนแย้งพิกล ก็ตราบใดที่ยังมีคนดังที่มองเห็นช่องทางใน การโหมกระแสตัวเองผ่านสื่อหนังสืออยู่อย่างนี้ต่อไป ไม่รู้จักจบจักสิ้น อาชีพโกสต์ ไรท์เตอร์ ก็จะยังอยู่คู่ สังคมไปอีกนานเท่านาน ปล จะดารา จะโกสต์ ไรท์เตอร์ หรืออาชีพ ไหน ก็มีดีมีเลวคลุกเคล้ากันไปเหมือนๆกันทั้งนั้น
32
www.oknation.net www.dek-d.com/writer
จริ ง ๆแล้ ว อาชี พ โกสต์ ไรท์เตอร์ มีมานานแล้วนะครับ ตั้งแต่สมัยโบราณ คือตราบใดที่ โลกนี้มีหนังสือกับความนิยมในคน ดังควบคู่กัน โกสต์ ไรท์เตอร์ ก็อยู่ คู่พิภพฉันนั้น ตัวอย่างเช่น หนังสือ การเดินทางของมาร์โค โปโล ที่ มาร์โค โปโล เล่าเรื่องการเดินทาง ไปตะวันออกไกล ซึ่งก็คือจีนใน ปัจจุบัน โดยเขาไม่ได้เขียนเอง แต่ หลังกลับจากเมืองจีน มาร์โคไป เป็ น ทหารเรื อ ให้ เ มื อ งเวนิ ส บ้ า น เกิด ทำ�สงครามกับเมืองเจนัว คู่รัก คู่แค้นทางทะเล แล้วเวนิสเกิดแพ้ มาร์โคถูกจับเข้าคุก ไอ้ตอนอยู่คุก นี่แหล่ะที่มาร์โค ให้เพื่อนร่วมคุก อย่าง รุสติเชลโล่ ดา ปิซ่า (Rustichello da Pisa) ซึ่งเดิมเป็นนัก เขียนนิยายมาก่อน เขียนคำ�บอก เล่าของมาร์โค ลงเป็นหนังสือดัง กล่าว จนเป็นที่ฮือฮาในยุคนั้น จะว่ า ไปนี่ ก็ คื อ หลั ก ฐาน ของการมีอยู่ของโกสต์ ไรท์เตอร์ ในสมัยโบราณ เพียงแต่กรณีมีการ เปิดเผยชื่อก็เท่านั้นเอง
บ้านนี้ เมืองนี้
ดามันสกี้
ทางเดินเท้าของ บ้านนี้ เมืองนี้...
ใช้สร้างทางเดินคนตาบอด (ทางสีเหลือง มีปุ่ม นูนๆ) แล้วไม่ได้ใช้ เช่นเดียวกับเฉือนทางเท้า ครึ่งหนึ่งเพื่อสร้างจุดจอดแท็กซี่(โคตร)อัจฉริยะ
ให้มอเตอร์ไซค์ใช้สัญจร
ตั้งร้านแผงลอย เอารถมาจอด เอาอะไรก็ได้มาวาง
ให้ร้านอาหารเอาโต๊ะมาตั้ง
ภาพจาก: www.chumphon.go.th www.oknation.net morning-news.bectero.com
ใช้สอยได้หลายอย่าง ยกเว้น...ใช้เดินให้สะดวก 33
ประวัติศาสตร์
ดามันสกี้
ตำ�นานเรือผี ฟลายอิ้ง ดัตช์ แมน
มันคือเรือที่ออกจากท่าเรือไปโดยไม่มีวันได้กลับมาเทียบท่าอีก มันยังคง ล่องลอยอยู่ในน่านน้ำ�ที่เกรี้ยวกราด ฉุดกระชากลากดึงกองเรือที่ผ่านมา ให้จม บาดาลไปด้วยกัน มันคือฝันร้ายที่ถูกเล่าขานในบรรดานักเดินเรือระยะไกล มัน คือสร้างความขวัญผวาอยู่ตลอดสองศตวรรษท่ามกลางความรุ่งเรืองของยุคพา นิชยนิยม
มันคือเรือผี ฟลายอิ้ง ดัตช์ แมน
ศตวรรษที่ 17 ยุคสมัยแห่งพานิชยนิยม การค้าเฟื่องฟู เนื่องจากการบุกเบิกเส้น ทางเดินเรือใหม่ๆ เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ดในสมัยนี้ แรงบันดาลใจจากการค้นพบทวีปอเมริกา ที่
คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เข้าใจไปชั่วชีวิตจน ตายตาหลับว่า ทวีปใหม่ที่เขาค้นพบคือ จีน และญี่ปุ่น อันร่ำ�รวย ประกอบกับวีรกรรม ดั้งเดิมของมาร์โค โปโล ที่ทำ�ให้ความรุ่งเรือง ของจีนถูกเปิดเผย จนเย้ายวนใจนักผจญภัย และแสวงหาโชคจำ�นวนมาก ศูนย์กลางการ เดิ น เรื อ ในยุ ค นั้ น อย่ า งสเปนและโปรตุ เ กส แข่งขันกันบุกเบิกเส้นทางเดินเรือ จนเกิดเส้น ทางการค้าใหม่ๆในโลกที่ชาวยุโรปยังเดินทาง ไปไม่ถึงมากมาย หนึ่งในนั้นคือการเดินทาง อ้อมทวีปแอฟริกา จริงๆแล้วจุดประสงค์ของการอ้อม แอฟริกาคือ ไปให้ถึงอาณาจักรของชาว อินเดีย และจักรวรรดิจีน อันร่ำ�รวยเงินทอง รวมไปถึงหมู่เกาะเครื่องเทศ อันร่ำ�รวยเครื่อง เทศหายากอย่าง กานพลู พริกไทย ซึ่งหาก กางแผนที่โลกดูจะพบว่า ชาวยุโรปสามารถ เดินทางภาคพื้นดินผ่านตะวันออกกลาง เข้า เส้นทางสายไหมที่มาร์โค โปโลเคยบุกเบิก ไว้ได้สบาย แต่เนื่องจากความบาดหมาง ของชาวยุ โรปผู้ นั บ ถื อ คริ ส ต์ กั บ ชาวอิ ส ลาม เจ้าของคาบสมุทรอาหรับ ซึ่งเคยบู๊กันใน สงครามครูเสดมาร่วมร้อยปี ภาคพื้นดินสู่ ตะวันออกไกลจึงถูกปิดตายลงอย่างสิ้นเชิง ความจำ�เป็นในการล่องเรือจากยุโรปตะวันตก พาดผ่านมหาสมุทรแอตแลนติก สู่ตอนใต้สุด ของทวีปแอฟริกาจึงเกิดขึ้น เพื่อเป็นเส้นทางเดียวที่จะเข้าสู่เขต ของทวีปเอเชีย สู่อินเดีย สู่จีน สู่เครื่องเทศ สู่ ความรุ่งเรือง แต่ทางใต้สุดของแอฟริกา เป็น เขตลมมรสุมรุนแรง มีคลื่นสูง ถ้าเป็นข่าว พยากรณ์อากาศสมัยนี้ คงเตือนด้วยความ หวังดีว่า เรือกเล็กไม่ควรออกจากชายฝั่ง ทว่า
เรื อ สิ น ค้ า ที่ ม าถึ ง จุ ด ๆนี้ ไ ม่ ส ามารถเลี่ ย งได้ เพราะลมมรสุมเหล่านี้พัดไปทางทวีปเอเชีย เรื อ สมั ย โบราณซึ่ ง ใช้ แรงพายและ แรงลมเป็นหลักจึงจำ�เป็นต้องเสี่ยง ด้วย ความสามารถในการเผชิญกับสถานการณ์ที่ เลวร้ายที่สุด กัปตันเรือได้บังคับหางเสือให้ รอดพ้นมาได้ แม้จะสะบักสะบอมเต็มทนที่ จะมีสภาพสมบูรณ์พอในการขนสินค้ากลับ มาขายที่ยุโรป บริ เ วณตอนใต้ ข องแอฟริ ก าอั น เกรี้ยวกราดแห่งนั้นจึงมีการตั้งชื่อว่า “แหลม กู๊ดโฮป” อันเป็นการแก้เคล็ดให้เรือทุกลำ�ที่ ผ่านแหลมแห่งนี้ โชคดีมีชัย ไปถึงฝั่ง แต่บ่อย ครั้งที่ แหลมแห่งความโชคดี ก็ไม่ได้มอบโชค ให้เรือมากมาย ที่ต้องมาจบการเดินทางลง ณ ที่แห่งนี้ อันเป็นต้นกำ�เนิดของตำ�นานเรือที่ ลี้ลับที่สุดในประวัติศาสตร์การเดินเรือ จากบันทึกตอนหนึ่งของ จอร์จ แบร์ริงตัน เกี่ยวกับการเดินทางสู่อ่าวโบตา นี่ (อ่าวที่ชาวอังกฤษเดินเรือไปถึง และได้ ยกพลขึ้นบก อันเป็นประเทศออสเตรเลียใน ปัจจุบัน) เมื่อปี 1795 กล่าวไว้ว่า “ฉันได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเรือลี้ลับลำ� นั้นอยู่บ่อยๆ แต่ไม่มีใครที่มีแหล่งอ้างอิงที่ แน่ชัดเกี่ยวกับรายงานที่ได้รับมา ดูเหมือน ว่ า จะเป็ น เวลาหลายปี แ ล้ ว ที่ เรื อ สั ญ ชาติ ดัตช์ลำ�หนึ่งได้จมลง ณ แหลมกู๊ดโฮป เนื่อง ด้วยสภาพอากาศที่เลวร้าย และทุกชีวิต บนเรือลำ�นั้นก็ได้จมลงสู่เบื้องล่างของทะเล ด้วย มีเรื่องราวที่เรือสินค้าหลายต่อหลาย ลำ� เดินทางมายังจุดที่มีการอ้างว่าเรือลำ� นั้นจมลง และในยามค่ำ�คืน ลุกเรือสินค้า เหล่านั้นก็พบเงาทะมึนของเรือที่ว่านั่น อาจ
ลักษณะการตายแบบตายโหงเช่นนี้เอง ที่อาจทำ�ให้ วิญญาณของผีลูกเรือดัตช์ที่ไม่ได้กลับไปเหยียบแผ่นดินอีกเลย ยังวนเวียนเหมือนรอคอยโอกาสจะได้กลับบ้านอีกครั้ง หรือไม่ก็ อยากให้เรือลำ�อื่นมาอยู่ด้วยกันในเหวลึกของทะเลคลั่ง
จะเป็นการจินตนาการไปเองก็ได้ แต่ ก็ มี ห ลายคนให้ คำ � ยื น ยั น ว่ า พบ เห็นจริงๆ แน่นอนว่าเรื่องราวแบบนี้ ย่อมถูก ขยายออกไปในวงกว้าง และมีการตั้งชื่อให้ ว่า ‘ฟลายอิ้ง ดัตช์แมน’ เพราะถ้ามองไกลๆ เหมือนเรือลำ�นั้นมันลอยอยู่บนอากาศ”
นี่คือบันทึกชิ้นแรกที่มีการกล่าวอ้างถึง ฟลายอิ้ง ดัตช์แมน เรือผีสิงในตำ�นานที่ถูกเล่า ขานอย่างแพร่หลาย ไม่มีใครรู้ที่มาอย่างแน่ชัด ต่อการปรากฎตัวของเรือลำ�นี้ แต่เท่าที่รู้คือ เป็น เรือสัญชาติดัตช์ ซึ่งพยายามจะตีตลาดการค้า เครื่องเทศกับสเปนและโปรตุเกส และเรือสินค้า ของดั ต ช์ ไ ด้ ชื่ อ ว่ า มี ข นาดใหญ่ ก ว่ า และบรรทุ ก สินค้าได้ดีกว่าอีกสองประเทศ จึงมีข้อสันนิษฐาน ว่า เมื่อมาเจอลมมรสุมโจมตีระลอกใหญ่ ทำ�ให้ เรือขนาดใหญ่อุ้ยอ้าย จมลงโดยทันที ยังผลให้ลูก เรือหนีออกมาจากเรือไม่ทัน และเสียชีวิตแบบ ยกลำ� ลักษณะการตายแบบตายโหงเช่นนี้เอง ที่อาจทำ�ให้วิญญาณของผีลูกเรือดัตช์ที่ไม่ได้กลับ ไปเหยียบแผ่นดินอีกเลย ยังวนเวียนเหมือนรอ คอยโอกาสจะได้กลับบ้านอีกครั้ง หรือไม่ก็อยาก ให้เรือลำ�อื่นมาอยู่ด้วยกันในเหวลึกของทะเลคลั่ง แรกๆ เรื่องราวของฟลายอิ้ง ดัตช์แมน ดูเลื่อนลอย และเอาไว้ขู่เวลาเรือลำ�ไหนเดินทาง สู่แหลมกู๊ดโฮป แบบที่แบร์ริงตันสันนิษฐาน ทว่า หลังจากนั้น ก็มีการเขียนบันทึกถึงเรือปริศนา ลำ�นี้อีกมากมาย ทั้งโธมัส มัวร์ ที่เขียนกวีชื่อ
ยาวเหยียด Written on passing Deadman’s Island in the Gulf of St. Lawrence, Late in the evening, September, 1804 ได้ระบุถึงเรือที่วิ่งเร็ว เดินทาง เต็มกำ�ลัง และเหมือนมีความลึกลับ ใครๆก็ เรียกกันว่าเรือผี ฉันคิดว่า มันคือ ฟลายอิ้ง ดัตช์แมน รวมไปถึงเซอร์วอลเตอร์ สก๊อต ต์ ระบุในงานเขียนของเขาว่า “ภาพที่เห็น เดิมทีมันเหมือนชามอ่างที่บรรจุทองคำ�ไว้ มากมาย แต่บนท้องเรือมันมีความหดหู่ กลิ่นอายของการตาย และการปล้นชิง มัน เหมือนเป็นลางบอกเหตุที่เลวร้ายสุดๆ” ต่อมาเรื่องราวที่ไม่ค่อยมีใครทราบ โดยแน่ชัดนี้ เริ่มมีการระบุตัวละครกัน เป็นเรื่องเป็นราว โดยกัปตันเรือผีดังกล่าว สั น นิ ษ ฐานว่ า น่ า จะมี น ามว่ า เบอร์ น าร์ ด โฟคค์ มีหน้าที่ล่องเรือจากเนเธอร์แลนด์ เพื่อ ไปยังเกาะชวา ของอินโดนีเซียในปัจจุบัน ถูกสงสัยว่าขายวิญญาณให้ปีศาจ ขณะ ที่นิตยสาร แบล็กวู้ดส์ เอดินเบิร์ก ฉบับ พฤษภาคม 1821 ได้ระบุชื่อตัวกัปตันเรือ นามว่า เฮนดริด ฟาน เดอเดคเค้น และเล่า เรื่องตอนที่ฟาน เดอ เดคเค้นล่องเรือไปยัง แหลมกู้ดโฮป และได้ประสบเหตุอันโชค ร้าย จนกัปตันกล่าวสาปแช่งออกมา ราวกับ ต้องการให้เรือลำ�อื่น มาประสบชะตากรรม เช่นนี้บ้าง ท่ามกลางข้อมูลและเรื่องเล่าต่างๆ
มากมาย จนไม่รู้จะเชื่อถือใครดี ท่ามกลางเหตุเรือล่มไปแล้วหลายลำ� และมีการกล่าวขวัญ ถึงอาถรรพ์ของฟลายอิ้ง ดัช์แมนว่าเป็นตัวต้นเหตุ เมื่อโลกเข้าสู่ศตวรรษที่ 18 ซึ่งเริ่มมีการใช้ เหตุผลทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น จึงมีความพยายามที่จะพิสูจน์ข้อเท็จจริงดังกล่าว ข้อสันนิษฐานชิ้นแรกที่อธิบายการเห็นเรือฟลายอิ้ง ดัตช์แมนคือ ภาพสะท้อนบนผืน น้ำ� โดยอ้างว่าเวลาที่เรือเดินทางสวนกันในระยะที่ไม่ไกลนัก ก็อาจมีภาพสะท้อนจากผืนน้ำ� ไปปะทะกับมวลอากาศที่มีความผันผวน อาจก่อให้เกิดเป็นภาพเรือที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ เกิดขึ้น เมื่อภาพที่เป็นเงาตะคุ่มๆ ผสมกับความกลัวในอาถรรพ์เป็นทุนเดิมของมนุษย์ ทำ�ให้ เกิดความคิดตะเลิดเปิดเปิงว่า สิ่งที่เห็นคือเรือผี ข้อสันนิษฐานต่อมาคือแสงอาทิตย์ตกกระทบกับชั้นบรรยากาศสะท้อนลงมาบนโลก เกิดปรากฎการณ์ภาพลวงตา คล้ายๆเวลาเราเห็นโอเอซิสในทะเลทราย แต่พอเดินไปถึงกลับ ไม่พบอะไร เพราะภาพลวงตา เช่นเดียวกันกับข้อสันนิษฐานแรก เมื่อภาพลวงตาผสมความ กลัว จึงอาจมองเห็นเรือผีได้ด้วยมโนภาพตัวเอง
ข้อสันนิษฐานสุดท้าย อาจเกิดจากทัศนวิสัยที่ย่ำ�แย่ขณะมองเห็น ทำ�ให้เกิดม่าน หมอก และผสมกับภาพสะท้อนบนพื้นน้ำ� จึงมองเห็นว่าเรือเหมือนลอยได้ ทั้งที่มันแหวก หมอกมาต่างหาก ในทางวิทยาศาสตร์จึงไม่เชื่อว่า มีวิญญาณเรือเฮี้ยนล่องลอยเอาชีวิตคนใน แหลมกู๊ดโฮปนั้นเป็นอันขาด เมื่อโลกเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 การค้าขายทางเรือเริ่มซบเซา โลกเริ่มติดต่อหากัน ได้กว้างขวางมากขึ้น รวมทั้งการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก ซึ่งทำ�ให้ได้ทรัพยากรที่ ต้องการมาเลย โดยไม่ต้องไปหาซื้อ บทบาทของเรือสินค้าแบบเก่าๆจึงลดน้อยลง ทำ�ให้การ จราจรผ่านแหลมกู๊ดโฮปเบาบางลงด้วย ตำ�นานของฟลายอิ้ง ดัตช์แมนจึงค่อยถอยเข้ากลีบ เมฆอย่างช้าๆ ฟลายอิ้ง ดัตช์แมน ลดความน่ากลัวลง พร้อมกับการเดินเรือที่ทันสมัยขึ้น ไม่ต้อง พึ่งลมทะเลเหล่านั้นอีกแล้ว เรือที่เดินทางได้ด้วยพลังงานฟอสซิล ได้ปิดตำ�นานความน่ากลัว ของแหลมกู๊ดโฮปไปด้วย เหลือเป็นเรื่องเล่าขาน ผ่านฉากละครอันจืดจางไปตามกาลเวลา
เรือ ่ งสัน ้
กลับกัน 38
พุทธิพงศ์ อึงคนึงเวช
1.
…มี อี ก หลายอย่ า งที่ พ จน์ อ ยากบอกให้ เจนรับรู้ เขาอยากนั่งคุยกับเจนเหมือนทุกคืนที่ผ่าน มา ภายใต้แสง สลัวเรืองรองที่โอบรับเข้ ากันกับบรรยากาศผ่อน คลาย ขณะที่พจน์นั่งพร่ำ�เกี่ยวกับชีวิตการทำ�งาน อันซ้ำ�ซาก และพฤติกรรมหลายหลากของของ เพื่อนร่วมงานในออฟฟิศของเขา เขาอยากเล่ า การมาถึ ง ของเพื่ อ นร่ ว ม งานคนใหม่ชาวสิงคโปร์ที่ชื่อ ลอร่า เธอเป็นผู้หญิง หน้าตาดี หุ่นเพรียวงามได้สัดส่วน อาจไม่ใช่รูปร่าง ในอุดมคติเหมือนนางแบบที่ปรากฏอยู่ตามหน้า นิตยสาร แต่เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในบางจังหวะที่ ชายตามองหล่อน ก้อนของความรู้สึกอยากบอก ลาสิ่งเก่าๆมักหวนคืนห้วงความคิดให้ตรึกตรองอยู่ เสมอ จนบางครั้งพจน์ถึงขั้นหยิบโทรศัพท์มือถือ ออกมาจากกระเป๋า กางเกงโดยขาดสั ม ปชั ญ ญะ หวังเพียงอยากกดเบอร์ของแฟนสาวแล้วบอกเลิก กันเสียเดี๋ยวนั้น เพื่อเริ่มต้นใหม่กับลอร่า แต่ไม่รู้ เป็นเพราะความผูกพันหรืออย่างไร ที่ทำ�ให้พจน์ยัง คบหากับเจนแบบคู่รักมาจนถึงวันนี้ วันที่เขาพาตัว เองมานั่งคุกเข่าต่อหน้าภาพถ่ายสีดำ�ของแฟนสาว คนเดียวในชีวิต รายล้อมด้วยพวงหรีดจากคนรู้จัก มากหน้าหลายตาที่ส่วนใหญ่อาจไม่ได้รู้จักตัวตน ที่แท้จริงของเจนมากเท่าไหร่นัก นอกจากครอบครัว ญาติ และเพื่อนสนิท ของเจนอีกสองสามคน ไม่มีใครรักและเข้าใจตัวตน ของเจนดีเท่าเขาอีกแล้ว… พจน์สรุปเอาเองในใจ เขาเชื่อเช่นนี้มา ตลอด คนเรามักผูกพันกันตามหน้าที่การงานและ สถานะทางสังคม ถ้ามิเช่นนั้นก็เป็นเรื่องของผล ประโยชน์ ไม่มีใครเต็มใจที่จะเสียเวลาบางส่วนใน ชีวิตเพื่อทำ�ความเข้าใจกับนิสัยของคนอื่นจริงจัง เท่าไหร่นักหรอก ถ้ามันเป็นไปได้จริง ประโยคที่ กล่าวว่า “เราควรเลือกมองแต่ส่วนที่ดีของผู้อื่น” คงไม่จำ�เป็นอีกต่อไป
พจน์ยิ้มไปกับความคิดของตนเอง รู้สึก พึงใจที่ได้ทำ�ตัวเหมือนผู้ค้นพบและเข้าใจสิ่งต่างๆ อย่างถ่องแท้ เขาหัวเราะในลำ�คอ พลางคิดต่อไป ว่า เจนช่างเป็นผู้หญิงที่โชคดีอะไรเช่นนี้ ที่มีโอกาส ได้คบกับคนอย่างเขา เมื่อดูจากคุณสมบัติหลายๆ อย่างที่เขามี เขาคิดว่าตัวเองเหนือกว่าผู้ชายคนอื่น อยู่มากทีเดียว แขกเรื่ อ ในงานเริ่ ม ทยอยเข้ า มาจน หนาตา บ้างจับกลุ่มกันคุยเรื่องราวสัพเพเหระ มี บางส่วนที่นั่งร้องไห้เสียใจกับการจากไปก่อนเวลา อันควรของเจน ขณะที่มีแขกผู้หญิงอายุราวๆห้า สิบกว่าหลายคนนั่งเป็นกลุ่มใหญ่หัวเราะและพูด คุ ย เกี่ ย วกั บ เรื่ อ งราวในอดี ต ที่ ไ ม่ มี ส่ ว นเกี่ ย วข้ อ ง กับเจนแม้แต่น้อย พจน์เดินไปด้านหลังของศาลา หยิบถาดโลหะที่วางซ้อนอยู่ใกล้ๆกับหม้อข้าวต้มที่ เตรียมไว้สำ�หรับแขกหลังเสร็จพิธีสวด เขาวางแก้ว น้ำ�พลาสติกลงในถาด เพื่อนำ�ไปแจกจ่ายแก่ผู้มา ร่วมงาน พจน์ถอนหายใจเบาๆ รู้สึกอ่อนล้าจาก การอดนอนหลายวันเพื่อจัดการกับพิธีศพของเจน แต่คิดอีกแง่มุมหนึ่ง ความเหนื่อยล้าก็มีข้อดีอยู่บ้าง เพราะมันสามารถปัดเป่าความเสียใจออกจากใจ เขาได้ในระยะเวลาอันสั้น จนบางครั้งที่ยืนมองหน้า ตัวเองในกระจก พจน์อดตั้งคำ�ถามไม่ได้ว่า ความ วุ่นวาย สับสนที่มีต้นเหตุจากการเสียชีวิตของเจน นั้น เป็นสาเหตุที่ทำ�ให้ความเศร้าโบกมือลาจากเขา ไปโดยไม่ทันตั้งตัว หรือเป็นเพราะความรักที่เขามี ให้เจนถูกทำ�ให้เจือจางลงด้วยกฎแห่งกาลเวลา แขกที่ พู ด คุ ย กั น เรื่ อ งต่ า งๆมั ก จะเงี ย บ เสียงลงเมื่อพจน์เดินเข้าใกล้วงสนทนา หรืออยู่ใน ระยะใกล้มากพอที่จะจับใจความเรื่องราวต่างๆได้ มันถูกแทนที่ด้วยสายตาแสดงอารมณ์เศร้าหมอง ฉับพลัน ผสมปนเปไปกับการแสดงความรู้สึกผิด เสแสร้ง ปกปิดความรู้สึกไร้เดียงสาที่ถูกซุกซ่อน มิดชิดอยู่เบื้องหลัง พจน์ไม่ถือสากับท่าทีดังกล่าว…แต่มันก็ ทำ�ให้เขารู้สึกขุ่นเคืองอยู่ไม่น้อย
39
หลังจากนั้นไม่นาน พระสงฆ์เดินเข้า สู่บริเวณศาลา นั่งขัดสมาธิบนอาสน์สงฆ์แล้ว ยกตาลปัดขึ้นบังระดับสายตา เริ่มสวดเป็น ทำ�นองร้อยเรียงคล้ายเสียงของวงคอรัสที่ถูกลด เสียงให้ต่ำ�ลง พจน์เคยรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่งยวด กับเสียงสวดของพระสงฆ์ และท่วงทำ�นอง สรภัญญะ แต่ในวันนี้เขารู้สึกว่าเป็นเสียง สวรรค์ที่ไพเราะจับใจเมื่อมันถูกขับขาน กังวาน ไปทั่วทั้งศาลา กระทบโสตของผู้มาร่วมงาน ทำ�ให้พวกเขาจำ�ต้องอยู่ในอริยาบถสำ�รวมโดย พร้อมเพรียง พจน์ต้องเอามือปาดหยาดน้ำ�ตาเป็น บางครั้ ง เมื่ อ รู้ สึ ก ว่ า มั น ไหลเล็ ด ลอดออกจาก เบ้าตาร้อนผ่าว มีบ้างที่เขาปล่อยให้มันไหลผ่าน ขอบตาลงมาสู่ปีกจมูกทั้งสองข้าง ชโลมผ่าน ขอบริมฝีปากและร่วงหล่นสู่ผืนเสื่อ เขารู้ดีว่า เขาจะร้องไห้เป็นวันสุดท้าย หลังจากนี้เป็นชีวิต ที่เขาต้องดำ�รงอยู่เพียงลำ�พัง หลั ง จากพิ ธี ส วดวั น แรกเสร็ จ สิ้ น ลง แขกบางส่วนขอตัวลากลับ ขณะที่บางส่วนอยู่ เพื่อรอกินข้าวต้ม พจน์สังเกตเห็นกลุ่มเพื่อน ของเจนยังคงนั่งรวมกลุ่มกัน ผู้ชายสองคนกำ�ลัง ปลอบเพื่อนสนิทของเจนที่ชื่อพลอย พลอย ร้องไห้ไม่หยุด ตั้งแต่เข้ามาที่ศาลา กระทั่งเสียง สวดจบลง น้ำ�ตาของพลอยไหลอาบแก้มทั้งสอง ข้างอยู่ตลอดเวลา จนเพื่อนที่ชื่อก้อง ต้องคอย พร่ำ�บอกเป็นระยะด้วยน้ำ�เสียงแผ่วเบาว่า “เจน ไปดีแล้ว” พจน์ยืนมองพลอยอยู่นาน ราวกับ ต้องการมีส่วนร่วมและซึมซับความอาลัยโศก เศร้านั้นไว้ทั้งหมด เขาเกรงว่าจะหลงลืมมัน ไปในวันหนึ่ง คงมีเพียงความโศกบริสุทธิ์เช่น นี้กระมังที่จะบ่งบอกถึงการมีอยู่ของเจน หาก วันใดเขาชินชาเสียแล้วกับการใช้ชีวิตด้วยตัว คนเดียว อาจหมายความว่าเจนจากเขาไปแล้ว
40
ตลอดกาล เพื่อนกลุ่มสุดท้ายของเจนกลับไปแล้ว เหลือเพียงพจน์และความเงียบสงัดที่โอบล้อม ศาลายามค่ำ�คืน ถ้าเจนยังอยู่ พจน์อาจชวนเจน ออกไปกินมื้อดึกด้วยกัน อาจเป็นร้านก๋วยเตี๋ยว ริมทางที่เจนชอบ เธอเคยบอกเขาด้วยแววตา ตื้นเต้นเหมือนเด็กสาวค้นพบสิ่งแปลกใหม่ว่า “กินบะหมี่แห้งร้านนี้แล้ว เหมือนได้ขึ้นสวรรค์ เลย” เขาคิดต่อไปว่า หากเจนได้ขึ้นไปอยู่บน สวรรค์จริง เธอคงกำ�ลังนั่งกินบะหมี่แห้ง และ มองเขาลงมาจากเบื้องบน
เจนจะคิดถึงพจน์บ้างไหมนะ?
น้ำ � ต า ข อ ง เ ข า พ รั่ ง พ รู อี ก ค รั้ ง ปราศจากความอดกลั้นเช่นครั้งก่อน เขาปล่อย เสียงสะอื้นคลอเคลียไปกับกับท่วงทำ�นองขับ กล่อมของความวังเวง
2.
ค ลั บ ค ล้ า ย ว่ า ฉั น ไ ม่ ไ ด้ เ ป็ น ส่ ว น หนึ่งของโลกนี้อีกต่อไป ทุกสิ่งเหมือนหยุด เคลื่อนไหว ไม่ใช่สิ ทุกสิ่งยังคงเป็นไปและ ผันแปร แต่ฉันกลับไม่รู้สึกรู้สากับอะไรอีก แม้ว่า จะได้ยินเสียงร้องไห้ระงม และเห็นภาพผู้คน มากมายแสดงความเสียใจต่อการพลัดพรากสูญ เสีย มันยากที่จะยอมรับว่าพจน์ตายจากฉันไป ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อวันก่อน มันเร็วเกิน ไปที่จะรับมือได้ทัน ฉันเห็นภาพพระสงฆ์เดินเข้ามาอย่าง เป็นระเบียบ ขึ้นนั่งบนอาสน์สงฆ์ ก่อนยก ตาลปัตรขึ้นบังระดับสายตา แขกที่มาร่วมงาน ส่วนใหญ่เป็นเพื่อนของฉัน มีเพื่อนของพจน์ บ้างประปราย ส่วนใหญ่มาจากออฟฟิศของเขา
ฉันเดินทักทายแขกที่มาร่วมงานทุกคน และ ขอบคุณที่พวกเขาให้เกียรติมาร่วมงานศพในวัน นี้ ไม่ว่าจะเต็มใจมาหรือไม่ก็ตาม ฉันไม่สนใจ หรอก การจะแต่งตัวสีดำ�ทมึนมาร่วมงานที่ ปราศจากความรื่นรมย์โดยสิ้นเชิงคงไม่ใช่เรื่อง ง่ายนัก หลังคิดทบทวนไปมาอยู่หลายรอบ ใน ช่วงสามสี่วันมานี้ ฉันคิดว่าบางทีการตายของ พจน์ อ าจเป็ น ทางออกที่ ดี ที่ สุ ด สำ � หรั บ ชี วิ ต คู่ ของเราก็เป็นได้ เราทะเลาะกันถี่ขึ้นช่วงสอง สามเดือนก่อนหน้านี้ มีหลายอย่างที่เราเพิ่งค้น พบ บางอย่างที่เราเก็บงำ�และซุกซ่อนเพื่อรักษา ภาพลักษณ์ของแต่ละคนเอาไว้ จนสุดท้ายเรา เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่เข้ากันได้ดีเท่าไหร่นัก และเราไม่พร้อมที่จะเปลี่ยนตัวเองเพื่อใครอีก คน พลอยพูดกับฉันเสมอว่าเราควรหาคน ที่ใช่ที่สุดสำ�หรับเรา หากไม่ใช่ก็หาต่อไป ฉัน เห็นด้วยกับพลอยมากขึ้นเรื่อยๆ และต้องการ ให้ความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่สิ้นสุดลงเสียที… ความตายไม่ ใช่ สิ่ ง สวยงามเท่ า ไหร่ แต่สำ�หรับฉัน มันคือสิ่งที่ควรค่าที่สุดในเวลา นี้ อย่างน้อยก็สำ�หรับคนสองคนที่เดินมาเผชิญ หน้ากับทางตันของความรัก ที่เป็นกำ�แพงสูงไร้ ทางออก และยากที่จะก้าวข้าม ขอโทษนะพจน์ ฉันไม่ได้ตั้งใจให้ความ ตายพรากเราจากกัน หากฉันรักคุณมากเกิน กว่าจะเอ่ยคำ�ลาต่างหาก
ขจัดอารมณ์ขุ่นหมองของตนเอง ยามสบสายตา กับแขกที่ส่งผ่านอารมณ์โศกเศร้าผิวเปลือกมา ให้ พจน์ลุกยืนเสมือนคนไร้เรี่ยวแรง เขาค่อยๆ ประคองร่ า งที่ ป ราศจากความหวั ง ออกจาก ศาลา
เจนจะคิดถึงพจน์บ้างไหมนะ?
เขาพูดกับตัวเอง น้ำ�ตาเอ่อท้นรอบ ดวงตาอีกครั้ง พลางหันกลับไปมองรูปขาวดำ� ของชายและหญิงที่วางอยู่คู่กันด้านหน้าโลงศพ ผู้ชายหน้าตาเหมือนเขาไม่ผิดเพี้ยน ส่วนผู้หญิง คือคนที่เขาจะไม่มีวันลืม จนถึงตอนนี้
เจนเคยคิดถึงพจน์บ้างไหมนะ.
3.
พจน์ ป าดน้ำ � ตาที่ ยั ง เอ่ อ อยู่ ที่ ข อบ ตา รู้สึกโดดเดี่ยวจับใจที่ต้องกลับบ้านคนเดียว โดยไม่มีเจนเคียงข้างอีกต่อไป มันเป็นค่ำ�คืน ที่ทรมานและยาวนาน เขาเหนื่อยล้าจากการ
41
ผีทะเล
สุพิชชา จินดา
ละครไทยที่เราคุ้นเคยมักจะมีฉากนางเอกผู้ใสซื่อ ต่อว่าพระเอกด้วยถ้อยคำ�ที่ ดูรุนแรง แรงจนบางครั้งเราก็งงว่านี่นางเอกมันโกรธจริงๆหรือเปล่า(วะ) ส่วนใหญ่ที่เรา มักได้ยินก็คือ “คนบ้า” “คนผีทะเล” พอได้ฟังหลายๆเรื่องหลายครั้งๆเข้า มันทำ�ให้เรา เริ่มสงสัยว่าตกลงแล้วไอ้คำ�ว่า “ผีทะเล” นางเอกเนี่ยมันต้องการจะด่าพระเอกว่าอะไร กันแน่ ดูจากสถานการณ์แล้วคงไม่ได้ด่าว่า ไอ้งก เปรียบเทียบกับความเค็มของทะเลแน่ๆ ด้วยความอยากรู้ เราก็เลยพาตัวเองไปหยิบพจนานุกรม มาเปิดหาคำ�ว่า ผีทะเล อย่าง จริงจังแล้วก็พบว่าราชบัณฑิตยสถานก็ได้ให้ความหมายของผีทะเลไว้ดังนี้
ผีทะเล (ปาก) ว. เลวมาก เช่น คนผีทะเล
42
ทันทีที่รู้ความหมายของราชบัณฑิตฯ ถึงกับทำ�เราอึ้งไปหลายวินาที อยากถาม ราชบัณฑิตฯว่าทะเลมัน “เลวมาก” ตรงไหนคะ หลังจากมึนๆงงๆกับความหมายในพจนานุกรมไปแล้วข้อสันนิษฐานใหม่ก็วิ่งเข้า มาในหัวจากตำ�นานโบราณที่เราเคยได้ฟัง ใครบางคนเคยบอกไว้ว่าชาวประมงที่ออกเดิน เรือตอนกลางคืนเชื่อว่า มีผีที่อยู่ในทะเล พวกเราเรียกว่าผีทะเล ซึ่งผีทะเลในความเชื่อ ของชาวประมงจะมาในรูปแบบดวงไฟสว่างอยู่บนเสากระโดงเรือ และถ้าผีทะเลได้เกาะ บนเสากระโดงเรือแล้ว จะทำ�ให้เรือลำ�นั้นอับปางลง ฟังดูเหลือเชื่อใช่ไหมคะ เรามีคำ�อธิบายสั้นๆเกี่ยวกับปรากฏการณ์ผีทะเลอย่างนี้ แท้จริงแล้วมันคือ ปรากฏการณ์ที่ไฟฟ้าสถิตย์ในอากาศไหลลงสู่ที่ต่ำ�โดยผ่านวัตถุต่างๆ เช่นเสากระโดงเรือ มักจะเกิดในวันที่มีพายุฝนฟ้าคะนอง และนั่นก็คงเป็นที่มาของการอัปปางของเรือนั่นเอง ซึ่งชาวตะวันตกเรียกชื่อปรากฏการณ์ให้เท่ๆว่า เปลวเพลิงแห่งเซนต์เอลโม (St. Elmo’s Fire) คำ�ว่าผีทะเลยังถูกบางคนวิเคราะห์ไปต่างๆนาๆว่า อาจจะมาจากวรรณคดีไทย เรื่องพระอภัยมณี มีผีเสื้อสมุทรเป็นหัวหน้าของผีมากมายที่อยู่ในท้องทะเล บ้างก็ว่ามา จากคนที่ถูกปลาในทะเลจับกินแล้วกลายเป็นผี ใช้เรียกคนที่น่าเกลียดน่ากลัว เพราะผี ทะเลพวกนี้มีรูปร่างน่ากลัว ก็แล้วแต่ใครจินตนาการกันไป จนถึงตอนนี้เราก็ยังมีความคิดแย้งกันในความรู้สึกอยู่ว่าผีทะเลมันไม่ได้แปลว่า คนเจ้าชู้ ไม่จริงใจ กะล่อน หลอกลวง หรืออะไรประมาณนี้หรอกเหรอ แบบนั้นมันจะสื่อ ความหมายของนางเอกได้ตรงกว่าหรือเปล่า
อืม...ถ้านางเอกตั้งใจด่าพระเอก พร้อมกับทุบเบาๆด้วยท่าทีขวยเขินว่า “เลวมาก” ก็นับว่าเป็นนางเอกที่โหดจริงๆ
43
เพจสัมพันธ์ ลูกค้าผู้น่ารัก “ลูกค้าคือพระเจ้า” ประโยคนี้ผมได้ยินครั้งแรกจากโฆษณาตัวหนึ่ง เมื่อประมาณเกือบสิบปีที่แล้ว ตอนนั้นผมยังเป็นเด็กมัธยมต้น (ทายซิตอนนี้ ผมกี่ขวบแล้ว) ที่ไม่เข้าใจหรอกว่า ลูกค้าคือพระเจ้าตรงไหน ลูกค้าก็คือลูกค้า ซิวะ ต้องรอให้โตมาจนปูนนี้จึงเริ่มเข้าใจอะไรมากขึ้น บางครั้งความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับผู้ให้บริการ ก็มีอะไรซับซ้อน กว่าการซื้อขาย มันมีเงื่อนงำ�อะไรที่น่าสนใจ ทั้งการต่อรอง การเรียกร้องต่างๆ ซึ่งสุดท้ายลูกค้าก็คือพระเจ้าเสมอ และข้าทาสอย่างผู้ให้บริการก็ต้องยอม อย่างเสียไม่ได้ ไม่งั้นคงได้กินแกลบกันจนเบื่อเป็นแน่ แต่บางที บัญชาจากพระเจ้า ก็ช่างโหดร้ายซะจนข้อทาส อยากจะ บ่นออกมาว่า “ขอขนาดนี้ ไม่ทำ�เองเลยล่ะ(วะ)” เพจ “ลูกค้าผู้น่ารัก” จึงเปรียบเสมือนสถานบำ�บัดอารมณ์ของข้า ทาสหลากบริษัท หลากอาชีพ ที่มีพระเจ้าเป็นผู้กุมชะตาชีวิตและรายได้ ให้ เข้ามาเมาท์มอยพระเจ้าได้อย่างเต็มที่ ใครเจออะไรมา ผ่านอะไรมา ก็เข้ามาระ บายในเพจนี้ โดยมีแอดมินเพจที่สนองความ้องการให้อย่างเต็มที่ โพสต์เรื่อง ราวมาให้ได้คอมเมนต์และเป็นกรณีศึกษา รวมทั้งจะมีช่วง สาระนานๆที ที่แอดมินจะนำ�เทคนิคน่ารู้ต่างๆใน การทำ�งานที่พระเจ้าควรทราบ แต่ยังไม่ค่อยจะทราบกัน เช่น ประเภทของ ไฟล์งานต่างๆ ข้อควรทำ�และไม่ควรทำ�ในการส่งไฟล์ ข้อตกลงต่างๆในการ จ้างงาน เป็นต้น หากคุณเป็นคนหนึ่งที่ต้องทำ�หน้าที่สนองพระเจ้า เพจนี้คือคุณค่าที่ คุณคู่ควรอย่างแท้จริง www.facebook.com/ilovemyclient
44
สิบบรรทัด ‘คนไทยอ่านหนังสือปีละเจ็ดบรรทัด’ วลีคลาสสิคที่เอาไว้แขวะ ความไม่รักการอ่านของคนไทย ซึ่งนับวันจะยิ่งเก่าและน่าเบื่อมากขึ้นทุกที พร้อมกับการตั้งคำ�ถามกับวลีดังกล่าวว่า รู้ได้ยังไง ไม่ทราบว่ามันผู้ใดเป็น คนวิจัย หรือนี่เป็นเพียงก้อนคำ�พูดลอยๆที่ไร้ที่มาที่น่าเชื่อถือ แต่คนเอาไปใช้ อย่างแพร่หลายในการแขวะชาวบ้านชาวช่อง โดยส่วนตัว แม้จะเป็นอีกคนที่ไม่เคยเชื่อว่าคนไทยมีคุณภาพในการ อ่านที่ดีพอ ทั้งเวลาที่ใช้ และการนำ�สิ่งที่ได้จากการอ่านไปใช้ประโยชน์ได้มาก นัก แต่อย่างน้อยก็ยังเชื่อว่า ไม่มีทางที่คนไทยจะอ่านหนังสือแ่ปีละเจ็ดบรรทัด แน่นอน เพราะเพจเฟซบุ๊กแห่งหนึ่ง ทำ�ให้คนไทยได้อ่านหนังสือวันละอย่าง น้อยสิบบรรทัดเลยทีเดียว “สิบบรรทัด” คือชื่อของเพจดังกล่าว เป็นเพจที่นำ�เรื่องราวจากทั่ว ทุกมุมโลก สาระที่น่าสนใจต่างๆ ครอบคลุมอรรถรสที่คุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน ทั้งเรื่องที่ว่าโค้กกับแป๊บซี่อะไรอร่อยกว่ากัน หรือเรื่องที่มาของโลโก้กระต่าย เพลย์บอย เป็นต้น โดยการที่ย่อลงมาให้เหลือสิบบรรทัด เพื่อไม่ให้เนื้อหายืด ยาวจนน่าเบื่อ แต่ไม่ย่อจนอ่านไม่รู้เรื่อง จำ�นวนสิบบรรทัดจึงมีความพอดิบ พอดีในตัว อีกทั้งเจ้าของเพจยังให้ความเห็นเรื่องเจ็ดบรรทัดด้วยว่า เพราะเบื่อ กับวลีนี้เช่นกัน คอนเซปต์ของเพจจึงมาลงตัวที่สิบบรรทัดอย่างง่ายดาย ก็เอาเป็นว่า ลองเข้าไปเยี่ยมชมเพจดังกล่าวนี้ รับสาระดีๆกลับออก ไป แล้วโปรดลืมประโยคเจ็ดบรรทัดสุดเห่ยได้แล้ว www.facebook.com/10lines
45
Advertorial ติดต่อสอบถาม ติดตามความเคลื่อนไหว และ พูดคุย ติชม ได้ที่
นิตยสาร Stay-go-day-day www.facebook.com/StayGoDayDayPage ivan.damansky@gmail.com ฉบับที่ 1 กรกฎาคม 2555 ดาวน์โหลดได้ที่ www.mediafire.com/view/?xic5dizxkoie8os และ www.issuu. com/noteunderdog-damansky/docs/stay-go-day-day__ newage__vol1
Facebook Page
46
Football hardcore www.facebook.com/Footballhardcore History in brief - ประวัติศาสตร์โลกฉบับย่อ www.facebook.com/historyinbrief คลังเสื้อฟุตบอล www.facebook.com/footballjerseyvault
New Arrival
พรีวิวการแข่งขันฟุตซอลโลก 2012 พบ 24 ทีม จากทั่วทุกมุมโลก รายชื่อผู้เล่น โปรแกรมการแข่งขัน และ อื่นๆอีกมากมาย เพื่อรับการแข่งฟุตซอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดใน โลก ที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทย มีให้โหลดฟรีได้ที่ www.mediafire.com/ view/?70ub372wsb495s2 และ www.issuu. com/noteunderdog-damansky/docs/fifa_futsal_2012_unofficial_guide
สนใจหาพื้นที่งลงานเขียน ทั้งบทความ เรื่องสั้น กราฟฟิคโนเวล และอื่นๆ ติดต่อได้ที่... (จั่วหัวมาว่า เขียนบทความลง stay-go-day-day) www.facebook.com/damanskypage www.facebook.com/StayGoDayDayPage ivan.damansky@gmail.com
EXteen Blog
damansky.exteen.com damansky-football.exteen.com damansky-world.exteen.com
มุมมอง เรื่องราวทั่วไปในสังคม ฟุตบอล ต่างประเทศ และประวัติศาสตร์
47
คลิกเลยที่นี่ www.facebook.com/StayGoDayDayPage