ภูมินามของหมู่บ้านในอาเภอเมือง
จังหวัดนครพนม
พ.จ.อ.วัลลภ บุญทานัง สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยนครพนม
ปกหน้า
ภาพวาดพระพุทธรูปบนต้นมะขาม ในบริเวณวัดธาตุสาราญใต้ ตาบลอาจสามารถ อาเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม (วัลลภ บุญทานัง : ถ่ายภาพ) ปกหลัง
ภาพตลิ่งริมฝั่งแม่นาโขงบริเวณบ้านใต้ (พ.ศ. 2449) (ที่มา : https://www.facebook.com/groups/375554179243657/)
สตรีผู้ดี ชาวกะเลิง ที่กุรุคุ (ที่มา : ภาพลงสีอ้างอิงจากเพจสยามพหุรงค์ : https://www.facebook.com/pg/noomrattana3)
~ก~
รายงานการวิจยั เรือ่ ง ภูมนิ ามของหมูบํ า๎ นในอําเภอเมือง จังหวัดนครพนม Toponyms in Amphur Muang, Nakhonphanom Province: Village Names.
พ.จ.อ.วัลลภ บุญทานัง
สถาบันวิจยั และพัฒนา มหาวิทยาลัยนครพนม
โครงการจัดตัง้ สถาบันศรีโคตรบูรณ๑ศึกษา ประจําปี 2560
~ข~
กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยฉบับนี้ไมํอาจสําเร็จลุลํวงไปได๎ หากปราศจากความชํวยเหลือและความรํวมมือจากเจ๎าหน๎าที่หลาย ฝุาย โดยเฉพาะอยํางยิ่ง ผู๎เฒําผู๎แกํทั้งหลายในชุมชนหมูํบ๎านตําง ๆ ในเขตอําเภอเมืองนครพนม ที่กรุณาเมตตาให๎ ข๎อมูลอันเป็นประโยชน๑ ให๎ความรู๎และให๎คําสัมภาษณ๑อันมีคํายิ่งตํอการศึกษาประวัติศาสตร๑หมูํบ๎าน ตลอดจนให๎ความ รํวมมือ ชํวยเหลือในการติดตามหาข๎อมูลบางสํวนที่ขาดหายไป ให๎ครบถ๎วนอยํางเต็มใจและไมํยํอท๎อ ผู๎วิจัยรู๎สึก ประทับใจและซาบซึ้งในน้ําใจของเหลําทํานเป็นอยํางยิ่ง ผู๎วิจัยไมํอาจละเลยที่จะกลําวคําขอบคุณไว๎ ณ ที่นี้ ผู๎วิจัยขอขอบคุณ อาจารย๑ ดร.เกรียงไกร ผาสุตะ เป็นอยํางยิ่งที่ได๎กรุณาให๎ความอนุเคราะห๑ติด ตํอข๎อมูล และได๎เสียสละเวลาในการตรวจทานข๎อมูล เพื่อให๎ได๎ข๎อมูลที่สมบูรณ๑และเชื่อถือได๎ ขอขอบคุณเจ๎าหน๎าที่ห๎องสมุดสถาบันตําง ๆ ที่ผู๎วิจัยได๎ไปศึกษาค๎นคว๎าข๎อมูลและได๎รับความสะดวก ได๎รับ ความชํวยเหลือแนะนําตําง ๆ ด๎วยดีตลอดงานวิจัย ขอขอบคุณ สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยนครพนม ที่ให๎การสนับสนุนมาโดยตลอดระยะเวลาการ ศึกษาวิจัย และให๎คําปรึกษาแนะนํา อนึ่ง ผู๎วิจัยหวังวํา รายงานการวิจัยฉบับนี้จะมีประโยชน๑อยูํไมํน๎อ ย จึงขอมอบสํวนดีทั้งหมดนี้ ให๎แกํเหลํา คณาจารย๑ ที่ได๎ประสิทธิประสาทวิชาจนทําให๎ผลงานวิจัยเป็นประโยชน๑ตํอผู๎ที่เกี่ยวข๎อง และขอมอบความกตัญ๒ู กตเวทิตาคุณ แดํบิดา มารดา และผู๎มีพระคุณทุกทําน สําหรับข๎อบกพรํองตําง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นนั้น ผู๎วิจัยขอน๎อมรับ ผิดเพียงผู๎เดียว และยินดีที่จะรับฟ๓งคําแนะนําจากทุกทํานที่ได๎เข๎ามาศึกษา เพื่อเป็นประโยชน๑ในการพัฒนางานวิจัย ตํอไป พ.จ.อ.วัลลภ บุญทานัง ผู๎วิจัย
~ค~ บทคัดยํอ งานวิจัยชิ้นนี้มีจุดมุํงหมายที่จะศึกษาลักษณะการตั้งชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม และ ศึกษาลักษณะความเชื่อ คํานิยม วัฒนธรรม ประเพณี และสภาพภูมิศาสตร๑ ของอําเภอเมืองนครพนม ที่ปรากฏในชื่อ หมูํบ๎านเหลํานั้น ผลการวิจัยสรุปได๎วํา จํานวนชื่อหมูํบ๎านทั้งหมด 165 ชื่อ สามารถนํามาจัดหมวดหมูํตามประเภท ของคําที่นํามาประกอบกันได๎ 4 ประเภท คือ ชื่อหมูํบ๎านที่ประกอบด๎วยคําเพียงคําเดียว สองคํา สามคํา และสี่คํา ตามลําดับ และหากนํามาจัดหมวดหมูํตามความหมายของคําคําแรก สามารถจัดแบํงได๎เป็น 4 ประเภท คือ ประเภทที่ บอกลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร๑ ประเภทที่ไมํใชํลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร๑ ประเภทที่สํวนประกอบหลักของชื่อ หมูบํ ๎านมีลักษณะเฉพาะด๎านอื่น ๆ และประเภทที่สํวนประกอบหลักของชื่อหมูํบ๎านไมํสามารถจัดหมวดหมูํได๎ ในจํานวน ชื่อหมูํบ๎านทั้งหมดนั้น ชื่อหมูํบ๎านประเภทที่เป็นลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร๑มีจํานวนมากที่สุด คือร๎อยละ 64.85 และ ชื่อหมูํบ๎านประเภทที่สํวนประกอบหลักของชื่อหมูํบ๎านไมํสามารถจัดหมวดหมูํได๎มีจํานวนน๎อยที่สุด คือร๎อยละ 3.03 นอกจากนี้การศึกษาชื่อหมูํบ๎านทําให๎เห็นภาพของหมูํบ๎านได๎อยํางชัดเจนทั้งทางด๎านภูมิศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑ สังคมวัฒนธรรม ดังนี้ ในด๎านภูมิศาสตร๑นั้น ชื่อหมูํบ๎านสะท๎อนให๎เห็นวํา อําเภอเมืองนครพนมนั้นเป็นพื้นที่อุด ม สมบูรณ๑ มีลําน้ํา ลําห๎วย แยกออกมาจากแมํน้ําสายใหญํ มีที่ดอนและปุาโปรํงจํานวนมาก เหมาะสําหรับการทําการ เกษตรกรรม ในด๎านประวัติศาสตร๑ตามหลักฐานเอกสารใบบอกนั้น ชื่อหมูํบ๎านทําให๎ทราบข๎อมูลที่มาและรากเหง๎าของ หมูํบ๎านวํา ได๎อพยพมาจากประเทศลาวเข๎ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟูาจุฬา โลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แหํงกรุงรัตนโกสินทร๑ เหตุการณ๑กบฏเจ๎าอนุวงศ๑ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล๎าเจ๎าอยูํหัว และเหตุการณ๑สงครามระหวํางไทยกับญวน ระหวํางปี พ.ศ. 2371 – 2376 สํวนในด๎านสังคมและวัฒนธรรมนั้น ชื่ อ หมูํบ๎านในฐานะที่เป็นเครื่องมือรักษาวัฒนธรรมของกลุํมชาติพันธุ๑ ได๎แสดงออกถึงลักษณะความคิด ความเชื่อ ในวิถี การดํารงชีวิตของชาวบ๎านในลั กษณะที่สําคัญบางประการอยูํ 7 ประเด็น กลําวคือ วัฒนธรรมการเลือกทําเลที่ตั้ง หมูํบ๎าน วัฒนธรรมการเกษตร วัฒนธรรมน้ํา วัฒนธรรมการทํามาหากิน วัฒนธรรมการดํารงชีวิต วัฒนธรรมเครือญาติ และวัฒนธรรมความเชือ่ สํวนในเรื่องของการเปลี่ยนแปลงชื่อหมูํบ๎านนั้น จากการศึกษาพบวํา ชื่อหมูํบ๎านที่เปลี่ยนใหมํมีจํานวนไมํ มากนัก แตํมีการเปลี่ยนแปลงในลักษณะสําคัญ คือ การใช๎ชื่อหมูํบ๎านดั้งเดิมและการเปลี่ยนไปเป็นชื่อใหมํเพิ่มเติมจาก ท๎ายชื่อหมูํบ๎านเดิม ซึ่งเป็นไปในลักษณะของการขยายตัวของชุมชนดั้งเดิมในอาณาบริเวณใกล๎เคียงกับชุมชนหมูํบ๎าน เดิม ชื่อหมูํบ๎านที่มีการเปลี่ยนแปลงดังกลําวสํวนใหญํยังคงใช๎ชื่อเดิมตามที่บรรพบุรุษได๎ตั้งไว๎ ไมํนิยมเปลี่ยนไปใช๎ชื่อที่ เป็นภาษาบาลี-สันสกฤต คําสําคัญ : ภูมินาม, หมูํบ๎าน, อําเภอเมือง, จังหวัดนครพนม
~ง~
สารบัญ กิตติกรรมประกาศ บทคัดยํอ สารบัญ สารบัญตาราง สารบัญภาพ
หน๎า ข ค ง ช ซ
บทที่ 1 บทนํา 1.1 ที่มาและความสําคัญของป๓ญหา 1.2 วัตถุประสงค๑ 1.3 สมมุติฐานการวิจัย 1.4 ขอบเขตของการวิจัย 1.5 นิยามศัพท๑เฉพาะ 1.6 วิธีดําเนินการวิจัย 1.7 ประโยชน๑ที่คาดวําจะได๎รับ
1 3 3 3 4 5 5
บทที่ 2 ทบทวนวรรณกรรม 2.1 งานวิจัยที่เกี่ยวกับ ชื่อหมูํบ๎าน หรือภูมินามของหมูํบ๎าน 2.2 วิธีดําเนินการวิจัยเกี่ยวกับชื่อหมูํบ๎าน 2.3 ชุมชนและหมูํบ๎านในอําเภอเมือง จังหวัดนครพนม 2.4 วรรณกรรมที่เกี่ยวข๎อง 2.5 หมูํบ๎าน 2.6 ทฤษฎี สมมติฐาน หรือกรอบแนวความคิด 2.7 การศึกษาเกี่ยวกับภูมินาม
7 9 10 13 16 17 20
บทที่ 3 ระเบียบวิธีวิจัย 3.1 ขอบเขตของการวิจัย 3.2 ข๎อมูล 3.3 การวิเคราะห๑ข๎อมูล
25 25 26
~จ~
สารบัญ (ตํอ) หน๎า บทที่ 4 ผลการศึกษาชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม ตามรูปภาษาและความหมาย 4.1 ตําบลนาทราย 4.2 ตําบลนาราชควาย 4.3 ตําบลกุรุคุ 4.4 ตําบลบ๎านผึ้ง 4.5 ตําบลอาจสามารถ 4.6 ตําบลขามเฒํา 4.7 ตําบลบ๎านกลาง 4.8 ตําบลทําค๎อ 4.9 ตําบลคําเตย 4.10 ตําบลหนองญาติ 4.11 ตําบลดงขวาง 4.12 ตําบลวังตามัว 4.13 ตําบลโพธิ์ตาก
28 31 34 38 40 42 44 45 49 53 56 59 62
บทที่ 5 วิเคราะห๑ชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม 5.1 การตั้งถิ่นฐานของประชาชนในอําเภอเมืองนครพนมจังหวัดนครพนม 5.2 การจัดหมวดหมูํชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม 5.3 วิเคราะห๑ชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม 5.4 แนวการตั้งชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม
64 70 78 79
บทที่ 6 สรุปผลการศึกษาค๎นคว๎า อภิปลายผล และข๎อเสนอแนะ 6.1 ความมุํงหมายของการศึกษาค๎นคว๎า 6.2 ขอบเขตของการศึกษาค๎นคว๎า 6.3 วิธีดําเนินการศึกษาค๎นคว๎า 6.4 สรุปผลการศึกษาค๎นคว๎า 6.5 ข๎อเสนอแนะ
99 99 100 100 102
~ฉ~
สารบัญ (ตํอ) บรรณานุกรม ภาคผนวก ภาคผนวก ก แผนที่หมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ปี พ.ศ. 2510 ภาคผนวก ข ภาพวิถีชีวิตชาวเมืองนครพนม ปี พ.ศ. 2509-2510
หน๎า 103 109 171
~ช~
สารบัญตาราง ตารางที่ ตารางที่ ตารางที่ ตารางที่ ตารางที่ ตารางที่ ตารางที่
1 2 3 4 5 6
แสดงรูปแบบการศึกษาชื่อบ๎านนามเมือง จําแนกตามปี พ.ศ. ของการศึกษา แสดงชื่อหมูํบ๎าน จําแนกตามตําบลที่ตั้ง แสดงชื่อหมูํบ๎าน จําแนกตามตําบลที่ตั้ง แสดงชื่อหมูํบ๎าน จําแนกตามตําบลที่ตั้ง แสดงจํานวนและร๎อยละของชื่อหมูํบ๎าน จําแนกตามประเภทของหมวดหมูํ แสดงสํวนประกอบของชื่อหมูํบ๎านแยกตามจํานวนของคําที่ปรากฏ
หน๎า 21 65 67 68 74 75
~ซ~
สารบัญภาพ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 16 17 18 19 20 21 22 23 24 25 26
สวนทานตะวันริมฝ๓่งโขงจังหวดนครพนม ทิวทัศน๑ภูเขาฝ๓่งซ๎ายแมํน้ําโขง แผนที่จังหวัดนครพนม แผนที่แสดงพื้นที่อาณาเขตของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ๑เกํา ซากดึกดําบรรพ๑หรือฟอสซิล (fossil) พบในแมํน้ําโขงหน๎าวัดสําราญใต๎ พระธาตุเมืองเกํา บ๎านเมืองเกํา ตําบลทําค๎อ อําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม จารึกวัดแกํงเมือง บ๎านหนาด ตําบลบ๎านกลาง อําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม พระธาตุแกํงเมือง บ๎านหนาด ตําบลบ๎านกลาง อําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม คนพื้นเมืองชาติพันธุ๑ตําง ๆ แถบลุํมน้ําโขง แผนที่ ต.กุรุคุ อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.หนองบัว ต.กุรุคุ อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.วังตามัว ต.กุรุคุ อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.กุรุคุ ต.กุรุคุ อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.นาโปุง ต.กุรุคุ อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.ทุํงควาย ต.กุรุคุ อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.คําสวําง ต.กุรุคุ อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.หนองหญ๎าไซ ต.กุรุคุ อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.หนองแซง ต.กุรุคุ อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.หนองบัว ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.นามูลฮิ้น ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.โคกกุง ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.นาคํากลาง ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.อํางคํา ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.หัวโพน ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.สุขเกษม ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม
หน๎า 6 7 8 10 12 12 12 12 15 110 110 111 111 112 112 113 113 114 114 115 115 116 116 117 117 118
~ฌ~
สารบัญภาพ (ตํอ) ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่
27 28 29 30 31 32 33 34 35 36 37 38 39 40 41 42 43 44 45 46 47 48 49 50 51 52
แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่
บ.ดอนยานาง ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม บ.โพธิ์ตาก ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม บ.โคกกํอง ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม บ.หนองค๎า ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม บ.โพนงาม ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม ต.บ๎านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม ม.1 บ.ผึ้ง ต.บ๎านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม ม.2 บ.ผึ้ง ต.บ๎านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม ม.3 บ.วังกระแส ต.บ๎านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม ม.4 บ.วังกระแส ต.บ๎านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม บ.นาโพธิ์ ต.บ๎านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม บ.นามน ต.บ๎านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม บ.ดงสวําง ต.บ๎านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม บ.ดอนมํวง ต.บ๎านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม บ.เทพพนม ต.บ๎านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม ต.ดงขวาง อ.เมือง จ.นครพนม บ.โพนทา ต.ดงขวาง อ.เมือง จ.นครพนม บ.นาคอกควาย ต.ดงขวาง อ.เมือง จ.นครพนม ม.3 บ.บัว ต.ดงขวาง อ.เมือง จ.นครพนม ม.4 บ.บัว ต.ดงขวาง อ.เมือง จ.นครพนม บ.ดงขวาง ต.ดงขวาง อ.เมือง จ.นครพนม บ.บึงหลํม ต.ดงขวาง อ.เมือง จ.นครพนม ม.7 บ.ดงต๎อง ต.ดงขวาง อ.เมือง จ.นครพนม ม.8 บ.ดงต๎อง ต.ดงขวาง อ.เมือง จ.นครพนม บ.หนองสระพัง ต.ดงขวาง อ.เมือง จ.นครพนม บ.กกไฮ ต.ดงขวาง อ.เมือง จ.นครพนม
หน๎า 118 119 119 120 120 121 121 122 122 123 123 124 124 125 125 126 126 127 127 128 128 129 129 130 130 131
~ญ~
สารบัญภาพ (ตํอ) ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่
53 54 55 56 57 58 59 60 61 62 63 64 65 66 67 68 69 70 71 72 73 74 75 76 77 78
แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่
ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม บ.หนองบัว ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม บ.โพนบก ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม บ.น๎อยหนองเค็ม ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม บ.น๎อยใต๎ ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม บ.นาจอก ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม บ.หนองญาติ ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม บ.เหลําภูมี ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม บ.คําธาตุ ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม บ.คําพอก ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม บ.ดอนโมง ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม บ.ภูเขาทอง ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม ต.ขามเฒํา อ.เมือง จ.นครพนม ม.1 บ.ขามเฒํา ต.ขามเฒํา อ.เมือง จ.นครพนม ม.2 บ.ขามเฒํา ต.ขามเฒํา อ.เมือง จ.นครพนม บ.กุดข๎าวปุูน ต.ขามเฒํา อ.เมือง จ.นครพนม บ.นาโดน ต.ขามเฒํา อ.เมือง จ.นครพนม ม.5 บ.ชะโงม ต.ขามเฒํา อ.เมือง จ.นครพนม ม.6 บ.ชะโงม ต.ขามเฒํา อ.เมือง จ.นครพนม บ.กล๎วย ต.ขามเฒํา อ.เมือง จ.นครพนม บ.ชะโนด ต.ขามเฒํา อ.เมือง จ.นครพนม ต.นาราชควาย อ.เมือง จ.นครพนม บ.หนองบัว ต.นาราชควาย อ.เมือง จ.นครพนม บ.นาคู ต.นาราชควาย อ.เมือง จ.นครพนม บ.สร๎างหิน ต.นาราชควาย อ.เมือง จ.นครพนม บ.ซอง ต.นาราชควาย อ.เมือง จ.นครพนม
หน๎า 131 132 132 133 133 134 134 135 135 136 136 137 137 138 138 139 139 140 140 141 141 142 142 143 143 144
~ฎ~
สารบัญภาพ (ตํอ) ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่
79 80 81 82 83 84 85 86 87 88 89 90 91 92 93 94 95 96 97 98 99 100 101 102 103 104
แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่ แผนที่
ม.5 บ.นาราชควาย ต.นาราชควาย อ.เมือง จ.นครพนม ม.6 บ.นาราชควาย ต.นาราชควาย อ.เมือง จ.นครพนม ม.7 บ.นาราชควาย ต.นาราชควาย อ.เมือง จ.นครพนม บ.เนินสะอาด ต.นาราชควาย อ.เมือง จ.นครพนม ต.ทําค๎อ อ.เมือง จ.นครพนม บ.หนองจันทร๑ ต.ทําค๎อ อ.เมือง จ.นครพนม บ.เมืองเกํา ต.ทําค๎อ อ.เมือง จ.นครพนม ม.3 บ.ทําค๎อ ต.ทําค๎อ อ.เมือง จ.นครพนม ม.4 บ.ทําค๎อ ต.ทําค๎อ อ.เมือง จ.นครพนม บ.หนองเซา ต.ทําค๎อ อ.เมือง จ.นครพนม บ.หนองไกํเซํา ต.ทําค๎อ อ.เมือง จ.นครพนม บ.ดอนมํวง ต.ทําค๎อ อ.เมือง จ.นครพนม บ.นาหลวง ต.ทําค๎อ อ.เมือง จ.นครพนม บ.บุํงเวียน ต.ทําค๎อ อ.เมือง จ.นครพนม บ.ดงหมู ต.ทําค๎อ อ.เมือง จ.นครพนม ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม บ.ห๎อม ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม บ.สําราญเหนือ ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม บ.สําราญใต๎ ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม บ.ไผํล๎อม ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม บ.อาจสามารถเหนือ ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม บ.อาจสามารถ ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม บ.ทําควาย ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม บ.กกต๎อง ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม บ.นาสมดี ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม บ.นาหัวบํอ ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม
หน๎า 144 145 145 146 146 147 148 148 149 149 150 150 151 152 152 153 153 154 154 155 155 156 156 157 157 158
~ฏ~
สารบัญภาพ (ตํอ) ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่
105 106 107 108 109 110 111 112 113 114 115 116 117 118 119 120 121 122 123 124 125 126 127 128 129 130
แผนที่ บ.คําเกิ้ม ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.หนองดินแดง ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.โพนสวรรค๑ ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.วังไฮ ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ ม.4 บ.คําเตย ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ ม.5 บ.คําเตย ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ ม.6 บ.คําเตย ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.โพนปุาหว๎าน ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.ทุํงมน ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.ดอนแดง ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.โพนค๎อ ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.หนองยาว ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.หนองกุง ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ ต.บ๎านกลาง อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ ม.1 บ.หนาด ต.บ๎านกลาง อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ ม.2 บ.หนาด ต.บ๎านกลาง อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ ม.3 บ.กลาง ต.บ๎านกลาง อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ ม.4 บ.กลาง ต.บ๎านกลาง อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ ม.5 บ.ดงติ้ว ต.บ๎านกลาง อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ ม.6 บ.ดงติ้ว ต.บ๎านกลาง อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.กลางน๎อย ต.บ๎านกลาง อ.เมือง จ.นครพนม แผนที่ บ.หนาดน๎อย ต.บ๎านกลาง อ.เมือง จ.นครพนม การผลิตเครื่องป๓้นดินเผา ตําบลบ๎านกลาง อําเภอทําอุเทน ก.พ. 2510 ร๎านทําและจําหนํายของใช๎ภายในบ๎าน อ.คําชะอี ม.ค. 2510 ผู๎อพยพจากจังหวัดอื่นเข๎าไปในจังหวัดนครพนม ปี พ.ศ. 2498-2503
หน๎า 158 159 159 160 160 161 161 162 162 163 163 164 164 165 165 166 166 167 168 168 169 169 170 172 172 173
~ฐ~
สารบัญภาพ (ตํอ) ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่
131 132 133 134 135 136 137 138 139 140 141 142 143 144 145 146 147 148 149 150 151 152 153 154 155 156
การรื่นเริงในวันสงกรานต๑ อําเภอเมือง เม.ย. 2510 สํวนหนึ่งของงานสงกรานต๑ อําเภอเมือง เม.ย. 2510 ถนนไปสูํใจกลางกิ่งอําเภอดอนตาล ธ.ค. 2509 สํวนหนึ่งของถนนสายเอก อําเภอบ๎านแพง ม.ค. 2510 ถนนสายหนึ่งในกิ่งอําเภอดอนตาล ธ.ค. 2509 ถนนสายหนึ่งในอําเภอทําอุเทน ธ.ค. 2509 สถานีรถประจําทาง อําเภอเมือง ธ.ค. 2509 สํวนหนึ่งของหมูํบ๎าน กิ่งอําเภอดอนตาล ธ.ค. 2509 ร๎านขายยา อําเภอศรีสงคราม ธ.ค. 2509 ร๎านค๎าและร๎านซํอมจักรยาน อําเภอศรีสงคราม ธ.ค. 2509 โรงภาพยนตร๑ อําเภอเมือง ธันวาคาม 2509 ร๎านตัดผม ร๎านจําหนํายเครื่องนอน ร๎านจําหนํายรองเท๎า อําเภอเมือง ร๎านขายอาหาร อําเภอเมือง เมษายน 2510 ร๎านตัดเสื้อกางเกง อําเภอศรีสงคราม เมษายน 2510 บ๎านหลังหนึ่งในหมูํบ๎าน “บ๎านบัว” อําเภอเมือง กุมภาพันธ๑ 2510 บ๎านหลังหนึ่งในหมูํบ๎าน “บ๎านกลาง” อําเภอทําอุเทน กุมภาพันธ๑ 2510 สํวนหนึ่งของหมูํบ๎านที่บ๎านกลาง อําเภอทําอุเทน กุมภาพันธ๑ 2510 บ๎านหลังหนึ่งในหมูํบ๎าน “บ๎านบัว” อําเภอเมือง กุมภาพันธ๑ 2510 โบสถ๑ในวัดกลาง บ๎านกลาง อําเภอทําอุเทน กุมภาพันธ๑ 2510 โบสถ๑ในบ๎านบัว อําเภอเมือง กุมภาพันธ๑ 2510 ภายในบริเวณวัด อําเภอคําชะอี ธันวาคม 2509 ศาลพระภูมิในหมูํบ๎านอาจสามารถ อําเภอเมือง กุมภาพันธ๑ 2510 ทางเข๎าวัดโพธิ์ศรี อําเภอคําชะอี ธันวาคม 2509 กุฏิในบริเวณวัดที่หมูํบ๎าน “บ๎านกลาง” อําเภอทําอุเทน กุมภาพันธ๑ 2510 พระภิกษุบิณฑบาตในตอนเช๎า อําเภอเมือง มีนาคม 2510 จํานวนพระภิกษุที่รอรถโดยสารประจําทาง อําเภอศรีสงคราม เมษายน 2510
หน๎า 173 174 174 175 175 176 176 177 177 178 178 179 179 180 180 181 181 182 182 183 183 184 184 185 185 186
~ฑ~
สารบัญภาพ (ตํอ) ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่
157 158 159 160 161 162 163 164 165 166 167 168 169 170 171 172 173 174 175 176 177 178 179 180 181 182
โบสถ๑คาธอลิก อําเภอทําอุเทน กุมภาพันธ๑ 2510 ที่ทําการและบ๎านพักของผู๎สอนศาสนาคาธอลิก อําเภอทําอุเทน กุมภาพันธ๑ 2510 “หมอลํา” เป็นการละเลํนในงานสงกรานต๑ อําเภอเมือง 2510 โรงพยาบาลนครพนม อําเภอเมือง จังหวัดนครพนม ธันวาคม 2509 โรงพยาบาลมุกดาหาร อําเภอมุกดาหาร จังหวัดนครพนม ธันวาคม 2509 ที่ทําการอนามัยชั้น ๒ อําเภอบ๎านแพง จังหวัดนครพนม มกราคม 2510 ที่ทําการอนามัยชั้น ๒ อําเภอมุกดาหาร จังหวัดนครพนม มกราคม 2510 หนํวยมาลาเรีย อําเภอมุกดาหาร จังหวัดนครพนม ธันวาคม 2509 บํอน้ําสาธารณะ กิ่งอําเภอดอนตาล จังหวัดนครพนม ธันวาคม 2509 ห๎องอาบน้ําในบริเวณวัดกลาง อําเภอทําอุเทน จังหวัดนครพนม กุมภาพันธ๑ 2510 บํอน้ําสาธารณะ อําเภอคําชะอี ธันวาคม 2509 โรงเรียนมัธยมศึกษา อําเภอเมือง กุมภาพันธ๑ 2510 โรงเรียนสตรีมัธยมศึกษา อําเภอเมือง ธันวาคม 2509 โรงเรียนประถมศึกษา อําเภอบ๎านแพง มกราคม 2510 โรงเรียนประถมศึกษา อําเภอทําอุเทน กุมภาพันธ๑ 2510 โรงเรียนศรีเทพ อําเภอเมือง ธันวาคม 2509 โรงเรียนบ๎านมุกดาหาร อําเภอมุกดาหาร ธันวาคม 2509 โรงเรียนน้ําก่ําใต๎ อําเภอธาตุพนม มีนาคม 2510 ห๎องสมุดโรงเรียนน้ําก่ําใต๎ อําเภอธาตุพนม มีนาคม 2510 ทางเกวียนทิศตะวันตกของ อําเภอทําอุเทน ขบวนวัวเทียมเกวียนบนถนนสายมุกดาหาร-คําชะอี การซํอมสร๎างถนนสายมุกดาหาร-คําชะอี ถนนสายหนึ่งในเขตอําเภอบ๎านแพง 2509 ทางเดินในกิ่งอําเภอดอนตาล อํางเก็บน้ํา บ๎านหนองญาติ อําเภอเมือง มีนาคม 2510 สภาพถนนชานเมืองนครพนม ระหวํางฤดูฝน
หน๎า 186 187 187 188 188 189 189 190 190 191 191 192 192 193 193 194 194 195 195 196 196 197 197 198 198 199
~ฒ~
สารบัญภาพ (ตํอ) ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่
183 184 185 186 187 188 189 190 191 192 193 194 195 196 197 198 199 200 201 202 203 204 205 206 207 208 209
ถนนออกจากคําชะอี รถบรรทุกสินค๎า อําเภอเมืองนครพนม กุมภาพันธ๑ 2510 รถโดยสารประจําทางระหวํางจังหวัดนครพนม-สกลนคร รถประจําทางขนสงสินค๎าและผู๎โดยสาร เดินทางระหวํางอําเภอ
สถานีบริการน้ํามัน อําเภอเมือง เมษายน 2510 อูํซํอมรถ อําเภอเมือง เมษายน 2510 เรือสินค๎าที่ทําเรือทําอุเทน ทําเทียบเรือตามลําแมํน้ํา อํางน้ําชลประทานที่ ต.หนองญาติ วิดน้ําเข๎านา อ.ธาตุพนม ธันวาคม 2509 ทางระบายน้ําเพื่อการเพาะปลูกที่ ต.อาจสามารถ มีนาคม 2510ที่ เพาะปลูกซึ่งมีการชลประทานใกล๎ ต.หนองญาติ กุมภาพันธ๑ 2510 เรือสูบน้ํากําลังสูบน้ําจากแมํน้ําโขงขึ้นไปสูํตลิ่งที่ ต.อาจสามารถ ชาวนากําลังไถนา เมษายน 2510 ยุ๎งข๎าว เครื่องมือนวดข๎าว อ.เมือง พฤษภาคม 2510 ชาวนากําลังแสดงวิธีนวดข๎าว อ.เมือง พฤษภาคม 2510 การนวดข๎าวด๎วยมือ อ.ธาตุพนม พฤศจิกายน 2509 พิธีการนวดข๎าว อ.ธาตุพนม พฤศจิกายน 2509 การฝ๓ดข๎าว อ.ธาตุพนม พฤศจิกายน 2509 เคียวเกี่ยวข๎าว อ.เมือง พฤษภาคม 2510 ชาวนากําลังแบกจอบที่ทําขึ้นเอง อ.เมือง พฤษภาคม 2510 เครื่องมือวิดน้ําเข๎านาซึ่งทําขึ้นเอง อ.เมือง พฤษภาคม 2510 คราดที่ทําขึ้นเอง อ.เมือง พฤษภาคม 2510
ชาวนากําลังไถนา ในท๎องนา อ.เมือง เมษายน 2510 นาข๎าวในภาพจะมองเห็นต๎นกล๎า ชาวนากําลังขนข๎าวเปลือกไปสี กิ่ง อ.ดอนตาล ธันวาคม 2509 ชาวนากําลังขนข๎าวไปนวด อ.ธาตุพนม พฤศจิกายน 2509
หน๎า 199 200 200 201 201 202 202 203 203 204 204 205 205 206 206 207 207 208 208 209 209 210 210 211 211 212 212
~ณ~
สารบัญภาพ (ตํอ) ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่
210 211 212 213 214 215 216 217 218 219 220 221 222 223 224 225 226 227 228 229 230 231 232 233 234 235 236 237
ไรํยาสูบ อ.บ๎านแพง มกราคม 2510 โรงบํมยาสูบ อ.ธาตุพนม มกราคม 2510 พวกพืชผักที่ปลูกตามแมํน้ําโขง อ.เมือง มกราคม 2510 ไรํข๎าวโพด อ.บ๎านแพง มกราคม 2510 เกวียนใช๎ควายลากจูง อ.มุกดาหาร ธันวาคม 2509 วัวลากเกวียนบรรทุกข๎าว อ.คําชะอี ธันวาคม 2509 ขบวนเกวียนเปลําเดินทางกลับบ๎าน อ.คําชะอี ธันวาคม 2509 การไถนา อ.เมือง พฤษภาคม 2510 โพงพางไม๎ไผํ บ๎านไชยบุรี อ.ทําอุเทน มกราคม 2510 แพจับปลาทําด๎วยไม๎ไผํ อ.ศรีสงคราม เมษายน 2510 แพยกยอ แมํน้ําสงคราม อ.ศรีสงคราม เมษายน 2510 การผลิตเครื่องป๓้นดินเผาบ๎านกลาง อ.ทําอุเทน กุมภาพันธ๑ 2510 เตาอบเครื่องป๓้นดินเผาบ๎านกลาง อ.ทําอุเทน กุมภาพันธ๑ 2510 การทอผ๎าฝูาย บ๎านกลาง อ.ทําอุเทน กุมภาพันธ๑ 2510 ชาวบ๎านบัวกําลังสานตะกร๎าขนาดใหญํด๎วยไม๎ไผํ เด็ก ๆ ชาวบ๎านกําลังสานตะกร๎า บ๎านบัว อําเภอเมืองนครพนม กระติบใสํข๎าวเหนียวที่เกือบเสร็จ บ๎านบัว อ.เมืองนครพนม กุมภาพันธ๑ 2510 กระติบใสํข๎าวที่สานเสร็จเรียบร๎อยพร๎อมที่จะสํงไปจําหนํายที่ตลาดบ๎านบัว โรงฆําสัตว๑ อําเภอเมืองนครพนม ธันวาคม 2509 การทุบกรวด อําเภอเมืองนครพนม มีนาคม 2510 การทุบกรวด อําเภอเมืองนครพนม มีนาคม 2510 โรงเลื่อย อําเภอเมืองนครพนม ธันวาคม 2509 โรงเลื่อยบ๎านนาโป อําเภอเมืองนครพนม ธันวาคม 2509 โรงเลื่อย อําเภอเมืองนครพนม ธันวาคม 2509 โรงสีข๎าว กิ่งอําเภอดอนตาล ธันวาคม 2509 โรงสีข๎าว บริษัทสหสันต๑นครพนมจํากัด อําเภอเมืองนครพนม โรงสีข๎าวยูเส็ง อําเภอมุกดาหาร เมษายน 2510 โรงสีข๎าวขนาดเล็กตามหมูํบ๎าน บ๎านกลาง อําเภอทําอุเทน
หน๎า 213 213 214 214 215 215 216 216 217 217 218 218 219 219 220 220 221 221 222 222 223 223 224 224 225 225 226 226
~ด~
สารบัญภาพ (ตํอ) ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่
238 239 240 241 242 243 244 245 246 247 248 249 250 251 252 253 254 255 256 257 258 259 260 261 262 263 264 265
เครื่องสีข๎าวขนาดเล็ก บ๎านกลาง อําเภอทําอุเทน กุมภาพันธ๑ 2510 เครื่องจักรไอน้ําใช๎เป็นพลังงานในโรงสีข๎าว อําเภอธาตุพนม เครื่องจักรกลโรงสีข๎าวขนาดใหญํ อําเภอมุกดาหาร การผลิตปูนขาวบ๎านอาจสามารถ อําเภอเมืองนครพนม ปูนขาวที่ผลิตสําเร็จแล๎ว บ๎านอาจสามารถ อําเภอเมืองนครพนม ปูนขาวที่สํงมาจากลาว ถํานที่เผาเสร็จแล๎วในโรงเก็บ อําเภอเมืองนครพน เตาเผาถําน อําเภอเมืองนครพนม กุมภาพันธ๑ 2510 ภาพถํายระยะใกล๎ของเตาเผาถําน อําเภอเมืองนครพนม โรงปอ อําเภอธาตุพนม เมษายน 2510 โรงกลั่นสุรา อําเภอเมืองนครพนม ธันวาคม 2509 เหมืองขุดเกลือ หนองญาติ อําเภอเมืองนครพนม มีนาคม 2510 เหมืองขุดเกลือ หนองญาติ อําเภอเมืองนครพนม มีนาคม 2510 กระบะสําหรับตากเกลือ หนองญาติ อําเภอเมืองนครพนม มีนาคม 2510 โรงเก็บเกลือตําบลหนองญาติ อําเภอเมืองนครพนม มีนาคม 2510 โรงทําอิฐ อําเภอมุกดาหาร ธันวาคม 2509 วิธีการทําอิฐ อําเภอเมือง มีนาคม 2510 การทําอิฐด๎วยมือ อําเภอเมือง มีนาคม 2510 โรงน้ําแข็ง อําเภอเมืองนครพนม ธันวาคม 2509 โรงกลึง อําเภอเมือง เมษายน 2510 ภายในโรงกลึง อําเภอมุกดาหาร ธันวาคม 2509 การสํงข๎าวไปขายยังประเทศลาวโดยทางเรือ อําเภอมุกดาหาร รถบรรทุกขณะข๎ามแพยนต๑ ระหวํางมุกดาหารและสุวรรณเขต ลาว ร๎านขายเครื่องจักรสาน อําเภอเมืองนครพนม มีนาคม 2510 ร๎านจําหนํายสินค๎าเบ็ดเตล็ด อ.ทําอุเทน มกราคม 2510 ร๎านเสริมสวย ร๎านขายผ๎านวมและที่นอน และร๎านรองเท๎า อ.เมืองนครพนม ร๎านขายของตามชนบททั่ว ๆ ไป บ๎านบัว อ.เมืองนครพนม โรงแรมเล็ก ๆ อ.บ๎านแพง มกราคม 2510
หน๎า 227 227 228 228 229 229 230 230 231 231 232 232 233 233 234 234 235 235 236 236 237 237 238 238 239 239 240 240
~1~ บทที่ 1 บทนํา ความสําคัญและที่มาของประเด็นป๓ญหาการวิจัย ภาษาเป็นวัฒนธรรมแขนงหนึ่งที่รวมอยูํในขนบธรรมเนียมประเพณี หลาย ๆ อยํางของมนุษย๑ ที่ถํายทอดกัน ทางสังคม และด๎วยเหตุผลที่ภาษาเป็นวัฒนธรรม ขณะเดียวกันก็ทําหน๎าที่ถํายทอดวัฒนธรรมด๎วย ภาษาแตํละชาติจึง แสดงวัฒนธรรมของชาตินั้นให๎ปรากฏ เรีย กวํา วัฒนธรรมภาษา อาทิเชํน คอนลิน ได๎ศึกษาและพบวํา หมูํเกาะแหํง หนึ่ง ในฟิลิ ป ปิ นส๑ ไมํมีคําเกี่ย วกับ อาวุธ เพราะในประวั ติศาสตร๑ชนเผําอยูํกันอยํางสุข สงบ ไมํเคยมีศึกสงคราม (Conklin, 1954, หน๎า 52. อ๎างถึงใน รุํงอรุณ ทีฆชุณหถียร, 2536, บทนํา) ดังนั้น วัฒนธรรมความเป็นอยูํ ที่สงบสุขก็แสดงออกให๎เห็นทางด๎านภาษาได๎อยํางชัดเจน ด๎วยเหตุผลประการสําคัญนี้ จึงอาจศึกษาวัฒนธรรมภาษา ของชาติใดชาติหนึ่งได๎จากถ๎อยคําภาษาของคนในชาตินั้น ชื่อหมูํบ๎านนับได๎วําเป็นข๎อมูลสําคัญในคําอธิบายที่เป็นคําสามัญธรรมดา (Basic Words) ที่มีมาแตํดั้งเดิม และใช๎กันอยูํอยํางเป็นปกติวิสัย ในการศึกษาของ เบญจวรรณ สุนทรากูล (2505, หน๎า 6-7) ได๎จัดแบํงคําสามัญ ออกเป็น 13 หมวด และจัดให๎ชื่อหมูํบ๎านอยูํในหมวดภูมิประเทศบ๎านเมือง ซึ่งสามารถนํามาศึกษาวัฒนธรรมทาง ภาษาได๎ เพราะชื่อหมูํบ๎านเป็นตัวแทนของภาษาอยํางหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะใช๎เป็นเครื่องหมายบํงบอกหรือกําหนดแหลํง ที่อยูํ เพื่ออ๎างอิงหรือรับรู๎รํวมกันแล๎ว ยังให๎ข๎อมูลด๎านอื่น ๆ ที่นําสนใจด๎วย เชํน ชื่อโนนสูง บอกลักษณะภูมิประเทศ ของหมูํบ๎ านวําที่ตั้ งของหมูํบ๎ านตั้ง อยูํ บนเนิน หรือบ๎านหม๎อ บอกเรื่องราวเกี่ยวกับ ผู๎ที่ อยูํอาศัยอยูํ ในแงํข องอาชีพ นอกจากนี้การตั้งชื่อสถานที่อาจไมํตั้งตามลักษณะภูมิประเทศ หรือลักษณะอาชีพของคนในสถานที่นั้น แตํอาจชี้บอกภูมิ หลังของผู๎ที่อาศัยอยูํในแหลํงเหลํานั้น เชํน ชื่อหมูํบ๎าน อาจสามารถ ซึ่งเป็นชื่อเมืองแตํเดิมที่ชื่อ “อาทมาต” และได๎ เปลี่ยนเป็น “อาษามารถ” โดยชาวเมืองเหลํานี้มีหน๎าที่เป็นกองอาทมาตคอยลาดตระเวนชายแดน ชาวบ๎านอาจ สามารถเป็นชาวไทแสกที่อพยพมาจากฝ๓่งซ๎ายแมํน้ําโขง ดังนั้นอาจกลําวได๎วําการศึกษาสถานที่ยังอาจทําให๎เราทราบ ถึงเรื่องการเคลื่อนย๎ายของกลุํมชน ที่เคยอาศัยอยูํบริเวณนั้นได๎ ด๎วยเหตุนี้จึงอาจกลําวโดยสรุปได๎วํา การศึกษาชื่อ สถานที่เป็นการศึกษาที่อาจทําให๎ผู๎ศึกษาได๎รู๎เรื่องราวเกี่ยวกับกลุํมชาติพันธุ๑ที่อาศัยอยูํในพื้นที่เหลํานั้น หรือเคยอยูํในที่ เหลํานั้นได๎อีกทางหนึ่ง ตามความนิยมของคนไทยเชื่อวํา การตั้งชื่อเป็นเรื่องสําคัญเนื่องจากเชื่อวํา หากตั้ งชื่อเป็นสิริมงคล จะทําให๎ เจ๎าของชื่อนั้นเจริญก๎าวหน๎าในหน๎าที่การงาน มีความสุข มีคนนับหน๎าถือตา แตํถ๎าชื่อไมํเป็นสิริมงคล จะทําให๎ เจ๎าของชื่อโชคร๎ายในทุก ๆ ด๎าน การตั้งชื่อสถานที่มักมีความสัมพันธ๑กับสภาพภูมิอากาศ ดังเชํน สุวิไล เปรมศรีรัตน๑ และสุขุมาวดี ขําหิรัญ (2531, คํานํา) กลําวไว๎วํา
~2~
“ชื่อมักจะเป็นสิ่งแรกที่สะดุดความสนใจ เมื่อมีเหตุที่เราต๎องเข๎าไปเกี่ยวข๎องกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ทั้งนี้เพราะมี ความคิดวํา ชื่อจะต๎องมีลักษณะที่เป็นตัวแทนของสิ่งนั้น หรือบอกอะไรบางอยํางที่เกี่ยวข๎องกับสิ่งนั้น การศึกษาสถานที่ เชํน ชื่อหมูํบ๎านในเขตท๎องที่ใดท๎องที่หนึ่ง จึงนําสนใจและนําจะได๎เห็นลักษณะบางประการของท๎องถิ่นนั้น ๆ ที่จะ สะท๎อนออกมาจากการใช๎ ชื่อ ซึ่งอาจเป็นข๎อมูลทางประวัติศาสตร๑ ภูมิศาสตร๑ ตลอดจนความเชื่อหรือวัฒนธรรมบาง ประการของท๎องที่ ทําให๎เห็นภาพรวม ๆ ของท๎องถิ่นนั้นได๎”
สําหรับชื่อหมูํบ๎านในภาคอีสานนั้น นับวํานําสนใจศึกษาทางวัฒนธรรมเป็นอยํางยิ่ง เพราะมีการเปลี่ยนแปลง วัฒนธรรมทางภาษาที่เห็นได๎ชัดกวําชื่อหมูํบ๎านในท๎องถิ่นอื่น ๆ ของไทย เนื่องจากมีการตั้งชื่อเมืองใหมํขึ้นในภาค อีสานเป็นจํานวนมาก ชื่อเมืองที่ตั้งใหมํเหลํานี้ จะเป็นชื่อภาษาบาลี-สันสกฤต ซึ่งตั้งโดยเทียบความหมายจากชื่อเดิม เชํน พันลํา เป็น สหัสขันธ๑ ทําเสาธง เป็น ธวัสบุรี บึงหม๎อ เป็น กุมภวาปี เมืองเสือ เป็น พยัคฆภูมิพิสัย ลาดกุด ยางใหญํ เป็ น มหาสารคาม เป็ นต๎ น (วิบั ณฑิตา ชํวยชูวงษ๑ , 2532, หน๎า 2) จึง สะท๎ อ นให๎เห็น ลักษณะทาง วัฒนธรรมภาษาไทยได๎วํา เป็นภาษาที่มีระดับของคํา ดังที่ จินดา งามสุทธิ (2523, หน๎า 116) ได๎กลําวไว๎วํา
“เมื่อภาษาบาลี -สันสกฤต เข๎ามามีอิทธิพลตํอภาษาไทย ผู๎ใช๎ภาษาจะมีความรู๎สึกวํา คําไทยแท๎ไมํคํอย เพราะ และลดฐานะลงไปมีความหมายด๎อยกวําคําภาษาตํางประเทศที่ ไทยรับเข๎ามา เชํน คําวํา ผัวและเมีย แตํกํอน ใช๎กันตามปกติสามัญ เมื่อรับคําวํา สามี สวามี ภรรยา หรือ มเหสี เข๎ามา คําเหลํานี้ได๎รับการยกยํองให๎ใช๎ใน ฐานะสูงกวํา ผัว และ เมีย ที่เป็นคําไทยแท๎ สํวนคําไทยแท๎กลับเป็นคําที่ไมํสุภาพไปเสียอีก ฉะนั้นภาษาไทยจึง กลายเป็นภาษาที่มีระดับของคํา”
นอกจากนี้ก ารศึ ก ษาชื่ อ หมูํ บ๎ า นยั ง ชํ ว ยให๎ม องเห็ น การเปลี่ ย นแปลงทางภาษา อั นมี ส าเหตุ มาจากการ เปลี่ยนแปลงทางสังคมและวัฒนธรรมอีกด๎วย ผู๎วิจัยเห็นความสําคัญและประโยชน๑ของการศึกษาดังกลําว จึงเลือกชื่อ หมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม เพื่อให๎ ทราบลักษณะการตั้งชื่อหมูํบ๎าน ตลอดจนศึกษาวําการตั้งชื่อ จะสะท๎อนให๎เห็นความเชื่อ คํานิยม วัฒนธรรม ประเพณี และสภาพทางภูมิศาสตร๑ของอําเภอเมืองนครพนม จังหวัด นครพนม อยํางไรบ๎าง เหตุผลประการสําคัญอีกประการหนึ่งที่ผู๎วิจัยเลือกศึกษาชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังวัดนครพนม เนื่องจากอําเภอเมืองนครพนม เป็นอําเภอที่ มีค วามสําคัญยิ่ง เป็ นพื้ นที่ สํวนหนึ่ง ในแผนพั ฒนาเขตเศรษฐกิจพิ เศษ นครพนม เป็นอําเภอที่มีความหลากหลายทางกลุํมเชื้อชาติชาติพันธุ๑ และเป็นชุมชนหมูํบ๎านที่ยังคงมีการรักษาวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ของตนเองไว๎ได๎ มาก ดังนั้น วัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี วิถีปฏิบัติ จึงมีความ หลากหลาย โดยเฉพาะอยํางยิ่งภาษาพูดอันเป็นเอกลักษณ๑ของกลุํมชาติพันธุ๑ตําง ๆ เมื่อภาษาพูดมีความแตกตํางจาก ภาษาท๎องถิ่นอื่น ๆ การตั้งชื่อหมูํบ๎านจึงเป็นสิ่งที่นําสนใจ สมควรจะได๎ศึกษาให๎ละเอียด ลึกซึ้ ง อันจะเป็นประโยชน๑ ตํอการศึกษาทางด๎านคติชนวิทยา ภาษาศาสตร๑ มานุษยวิทยา และสังคมวิทยา ตํอไป
~3~ วัตถุประสงค๑ของการวิจัย 1) เพื่อศึกษาแนวทางการตั้งชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม 2) เพื่อศึกษาวัฒนธรรมภาษาจากชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม สมมุติฐานของการวิจัย 1) ชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมือง จังหวัดนครพนม มีลักษณะทางภาษาที่คล๎ายคลึงกับชื่อหมูํบ๎านในบริเวณอื่น ๆ ของประเทศไทย 2) ที่มาหรือเหตุผลหลักในการตั้งชื่อหมูํบ๎าน มีความสัมพันธ๑กับสภาพทางภูมิศาสตร๑หรือที่ตั้งของหมูํบ๎าน 3) การตั้งชื่อหมูํบ๎านสะท๎อนให๎เห็นถึงประวัติศาสตร๑ วิถีชีวิต ความเชื่อ และวัฒนธรรมท๎องถิ่น ขอบเขตของการวิจัย ผู๎วิจัยได๎กําหนดขอบเขตที่จะศึกษาไว๎ดังนี้ 1) เป็นการศึกษาชื่อหมูํบ๎านโดยนําหลักการทางภาษาศาสตร๑ 4 สาขา มาประยุกต๑ใช๎ คือ 1.1) ภาษาศาสตร๑พรรณนา (Descriptive Linguistics) ศึกษาคําและความหมายของ ชื่อหมูํบ๎าน นํามาจัดเป็นหมวดหมูํและวิเคราะห๑สํวนประกอบของความหมายของชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม 1.2) ภาษาศาสตร๑เชิงประวัติ (Historical Linguistics) ศึกษาประวัติของคําและ ความหมายของชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม เพื่อใช๎เป็นพื้นฐานในการวิเคราะห๑ชื่อหมูํบ๎าน 1.3) ภาษาศาสตร๑เชิงสังคม (Socio Linguistics) ศึกษาวิเคราะห๑ลักษณะทางภาษา ที่ แสดงภาพทางสังคมของชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม 1.4) ภาษาศาสตร๑เ ชิง มานุษยวิทยา (Anthropological Linguistics) ศึกษา ความสัมพันธ๑ของภาษากับขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม โดยการศึกษาวัฒนธรรมภาษาที่ปรากฏในชื่อหมูํบ๎าน ในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม 2) ศึกษาเฉพาะชื่อหมูํบ๎ านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัด นครพนม รายชื่อหมูํบ๎ านทั้ง หมดนํามาจาก ทําเนียบหมูํบ๎านของสํานักงานจังหวัดนครพนม ตามสถิติหมูํบ๎านในปี พ.ศ. 2559 3) ศึกษาโดยรวบรวมชื่อหมูํบ๎านมาจัดประเภทให๎เป็นหมวดหมูํ วิเคราะห๑ลักษณะทางภาษาของชื่อหมูํบ๎าน และวิเคราะห๑วัฒนธรรมภาษาจากชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม
~4~ คํานิยามศัพท๑เฉพาะ 1) วัฒนธรรมภาษา หมายถึง ถ๎อยคําที่แสดงวัฒนธรรมอยํางใดอยํางหนึ่งของกลุํมชนผู๎เป็นเจ๎าของในแตํละ ภาษา 2) คําสามัญ (Basic words) หมายถึง คําศัพท๑พื้นฐานซึ่งมีแตํเดิมและใช๎กันอยูํอยํางสามัญ เชํน คํา ในหมวดเครือญาติ หมวดรํางกาย หมวดอาหารการกิน และคําในหมวดภูมิประเทศบ๎านเมือง เป็นต๎น 3) อรรถลักษณ๑ หมายถึง คําที่แสดงความหมายทางรูปรํางลักษณะตามสภาพภูมิศาสตร๑ เชํน คําวํา กุด โนน โคก ดอน หนอง บึง ที่เป็นสํวนประกอบของชื่อหมูํบ๎านในความหมายที่บ อกลักษณะพื้นที่ ทางภูมิศาสตร๑ที่ แตกตํางกันออกไป 4) ภาษาศาสตร๑พรรณนา (Descriptive Linguistics) หมายถึง การศึกษาโดยใช๎ข๎อมูลทาง ภาษาเป็ นหลั ก และนํามาวิเ คราะห๑จัด เป็ นหมวดหมูํและตั้ง เป็ นกฎเกณฑ๑ตามแนวทางการศึกษาภาษาศาสตร๑ ใน การศึกษาครั้ง นี้ข๎อมูลทางภาษาที่นํามาวิเคราะห๑และจัดหมวดหมูํ คือชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัด นครพนม และมุํงศึกษาวิเคราะห๑ความหมายของคําที่เป็นชื่อหมูํบ๎าน เพื่อนําไปจัดหมวดหมูํและนําเสนอกฎเกณฑ๑ที่ใช๎ใน การแบํงประเภทชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม 5) ภาษาศาสตร๑เชิงประวัติ (Historical Linguistics) หมายถึง การศึกษาความแตกตํางของ ภาษาใดภาษาหนึ่ง ในระยะเวลาที่แตกตํางกัน ซึ่งจะทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของภาษานั้นในด๎านตําง ๆ เชํน เสี ย ง ความหมาย หรื อตั วอั กษร อาทิ เ ชํน การศึก ษาประวั ติที่ มาของคํ า ประวั ติก ารเปลี่ย นแปลงของคํา และ ความหมาย ศึกษาเปรียบเทียบภาษาที่มีความสัมพันธ๑กัน เปรียบเทียบให๎เห็นคําที่นําจะมาจากคําดั้งเดิมเดียวกัน เป็น ต๎น (จินดา งามสุทธิ, 2524, หน๎า 27-28) 6) ภาษาศาสตร๑เชิงสังคม (Socio Linguistics) หมายถึงการศึกษาภาษาศาสตร๑ที่เกี่ยวข๎องกับสังคม เชํน การศึกษาลักษณะความเปลี่ยนแปลงของภาษา ลักษณะหน๎าที่ของภาษา และลักษณะของการใช๎ภาษา ลักษณะ ดังกลําวนี้มีความเกี่ยวข๎องกัน ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงในแตํละสภาพของสังคม และวิเคราะห๑ภาษาในด๎านความหมาย ทั้งนี้ เพราะการศึกษาด๎านความหมายจะต๎องพิจารณาในแงํภาษาศาสตร๑เชิงสังคมด๎วย (จินดา งามสุทธิ , 2524, หน๎า 31) 7) ภาษาศาสตร๑เชิงมานุษยวิทยา (Anthropological Linguistics) หมายถึง การศึกษา ความสัมพันธ๑ของภาษากับขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม หรือลักษณะคล๎ายการศึกษาภาษาศาสตร๑เปรียบเทียบ แตํแทนที่จะนําภาษาตําง ๆ มาเปรียบเทียบกัน กลับนําเอาภาษาและขนบธรรมเนียมวัฒนธรรมตําง ๆ มาเปรียบเทียบ กัน (จินดา งามสุทธิ, 2524, หน๎า 33-34)
~5~ วิธีดําเนินการวิจัย ในการศึกษาวิจัยครั้ งนี้ผู๎วิจัยได๎ใช๎วิธีการวิจัยทางเอกสาร และการวิจัยภาคสนาม โดยดําเนินการตาม ขั้นตอนตําง ๆ ตํอไปนี้ 1) ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวกับชื่อหมูํบ๎าน เพื่อให๎มีความรู๎พื้นฐานเกี่ยวกับที่มาและความหมายของชื่อหมูํบ๎าน โดยมีเอกสารหลักคือ ทําเนียบชื่อหมูํบ๎านของอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ปี พ.ศ. 2559 2) ศึกษาเอกสารและงานวิจัยตําง ๆ ที่เกี่ยวข๎อง เพื่อใช๎เป็นแนวทางในการศึกษาวิเคราะห๑ชื่อหมูํบ๎านใน อําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม 3) ศึกษาแนวคิดและทฤษฎี ท างภาษาศาสตร๑ ทางวัฒ นธรรม และทฤษฎี การตั้ง ถิ่นฐานทางภูมิศาสตร๑ วัฒนธรรม เพื่อใช๎วิเคราะห๑ชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม 4) ศึกษาข๎อมูลภาคสนามเกี่ยวกับการสํารวจชุมชนอยํางเรํงดํวน เพื่อศึกษาข๎อมูลทางด๎านภูมิศาสตร๑ของ หมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม 5) จัดลําดับข๎อมูล และแบํงหมวดหมูํ โดยใช๎เกณฑ๑การแบํงกลุํมหมูํ บ๎านตามความหมายของชื่อ และลักษณะ การตั้งชื่อ 6) นําข๎อมูลทางภาษาชื่อหมูํบ๎านทั้งหมดมาพิจารณารํวมกับหลักฐานอื่น ๆ ที่หาได๎ และศึกษาวัฒนธรรม ท๎องถิ่นที่สะท๎อนข๎อมูลภาษาชื่อหมูํบ๎าน 7) วิเคราะห๑ข๎อมูลและสรุปผล 8) เรียบเรียงและรายงานผลการวิจัย ประโยชน๑ที่คาดวําจะได๎รับ และหนํวยงานที่นําผลการวิจัยไปใช๎ประโยชน๑ 1) เข๎าใจลักษณะทางภาษาและที่มาของชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมือง จังหวัดนครพนม 2) เข๎าใจประวัติศาสตร๑ วิถีชีวิต ความเชื่อ และวัฒนธรรมท๎องถิ่นของคนในอําเภอเมือง จังหวัดนครพนม ได๎ชัดเจนยิ่งขึ้น 3) สามารถนําความรูท๎ ี่ได๎ไปประยุกต๑ใช๎ในการทํองเที่ยวเชิงอนุรักษ๑ เพื่อให๎นักทํองเที่ยวได๎เล็งเห็นถึงคุณคํา ของสถานที่ หรือนําไปสูํการศึกษาในแงํอื่น ๆ ซึ่งเป็นการอนุรักษ๑วัฒนธรรมภาษาทางหนึ่ง 4) ใช๎เป็นกรณีศึกษาซึ่งจะนําไปสูํการสร๎างสังคมให๎เกิดความเป็นเอกภาพ จากความเข๎าใจซึ่งกันและกัน
~6~ บทที่ 2 ทบทวนวรรณกรรม อําเภอเมืองนครพนม เมืองแหํงขุนเขาริมฝ๓่งแมํน้ําโขงสุดชายแดนสยาม ฝ๓่งตรงกันข๎ามคือเมืองทําแขก แขวง คํามํวน สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เมื่อมองไปทางฝ๓่งประเทศลาวข๎ามแมํน้ําโขงจะมองเห็นเทือกเขายาว ซึ่งเป็นปราการระหวํางประเทศลาวและเวียดนาม ชื่อวําเทือกเขาอันนัม เป็นที่มาของชื่อเมืองนครพนม นครแปลวํา เมือง พนมแปลวําภูเขา นครพนม หมายถึง เมืองแหํงขุนเขา นคร แปลวํา เมืองใหญํ เป็นคํายืมจากบาลี-สันสกฤต พนม แปลวํา ภูเขา เป็นคํายืมจากภาษาเขมร
ภาพที่ 1 สวนทานตะวันริมฝ๓่งโขงจังหวดนครพนม นครพนม มีความเป็นมาทั้งของผู๎คนและดินแดน อยํางแยกไมํได๎จากประวัติศาสตร๑อุษาคเนย๑ (Southeast Asia) ที่บริเวณผืนแผํนดินใหญํ มีชื่อเรียกเกําแกํมาตั้งแตํยุคดึกดําบรรพ๑วํา “สุพรรณภูมิ” ทั้งนี้ เพราะนครพนมเป็นสํวนหนึ่งของลุํมน้ําโขงทางภาคอีสาน หรือตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย และประเทศไทยมีประวัติความเป็นมาทั้งของผู๎คนและดินแดน เป็นสํวนหนึ่งของสุวรรณภูมิในอุษาคเนย๑อยํางแยกออก จากกันไมํได๎เลย (สุจิตต๑ วงษ๑เทศ, 2556, หน๎า 17) ที่มาและความสําคัญของป๓ญหาในการทําวิจัยเรื่อง “ภูมินามของหมูํบ๎านในอําเภอเมือง จังหวัด นครพนม” ประกอบด๎วยประเด็นสําคัญหลักที่สนใจใครํศึกษาในสามด๎าน ได๎แกํ ประเด็นแรก ประเด็นที่มีการศึกษาในงานวิจัย เกี่ยวกับ “ชื่อหมูํบ๎าน” หรือ “ภูมินามของหมูํบ๎าน” ประเด็นที่สอง วิธีดําเนินการวิจัยเกี่ยวกับชื่อหมูํบ๎าน และประเด็น สุดท๎าย การเกิดใหมํของชุมชนและหมูํบ๎านในอําเภอเมือง จังหวัดนครพนม
~7~
ภาพที่ 2 ทิวทัศน๑ภูเขาฝ๓่งซ๎ายแมํน้ําโขง 1) ประเด็นที่มีการศึกษาในงานวิจัยเกี่ยวกับ “ชื่อหมูํบ๎าน หรือภูมินามของหมูํบ๎าน” “ชื่อหมูํบ๎าน และหรือภูมินามของหมูํบ๎าน” เป็นหัวข๎อวิจัยที่ได๎รับความสนใจศึกษาตั้งแตํอดีตจนถึงป๓จจุ บัน จากนักวิชาการด๎านตํ าง ๆ ที่ ให๎ค วามสนใจใครํศึกษาในประเด็นหัวข๎อของการวิจัยดัง กลําวข๎างต๎น อาทิ เชํน นักภาษาศาสตร๑ (จินตนา ยอดยิ่ง 2519, วิบัณฑิตา ชํวยชูวงษ๑ 2532, ปราณี กุลละวณิชย๑ 2535, รุํงอรุณ ทีฆ ชุณหเถียร และมะลิวัลย๑ บูรณพัฒนา 2536, ประภาศรี พวงจันทร๑หอม 2539, น๎องนุช มณีอินทร๑ 2543, สุจริต ลักษณ๑ ดีผดุง 2547) นักวิชาการสาขาอื่น ๆ (ปรานี บานชื่น 2527, นคร สารสมุทร 2532) สําหรับขอบเขตใน การศึกษาด๎านพื้นที่ศึกษา การศึกษาเกี่ยวกับชื่อหมูํบ๎านสามารถแบํงระดับของการศึกษาได๎ดังนี้ ระดับอําเภอ (จินตนา ยอดยิ่ง 2519, พูนศรี คัมภีร๑ปกรณ๑ 2520, อัมมร ธุระเจน 2521, พูนจิตร บิดร 2521, สุวิไล เปรมศรีรัตน๑ และ สุขุมาวดี ขําหิรัญ 2531, มยุรี สีชมพู 2532, วนิดา ตรีสินธุรส 2534, โฉมสุภางค๑ ทองปลิว 2534, กนกวรรณ อารีย๑พัฒนไพบูลย๑ 2534, รุํงอรุณ ทีฆชุณหเถียร และมะลิวัลย๑ บูรณพั ฒนา 2536, อรพินท๑ ศิริพงษ๑ 2538, ประภา ศรี พวงจันทร๑หอม 2539, ปรัศนี ธํารงโสตถิสกุล 2550, วิภาวดี ริบุญมี 2555, นลินี อําพินธ๑ 2557) ระดับ จังหวัด (ปรานี บานชื่น 2527, ไพฑูรย๑ ปิยะปกรณ๑ 2532, วิบัณฑิตา ชํวยชูวงศ๑ 2532, นคร สารสมุทร 2532, สมศักดิ์ เส็งสาย 2534, กรรณกา ธรรมวัติ 2534, อิงอร สุพันธุ๑วณิช และอาณัติ หมานสนิท 2535, นฤมล เก๎า เอี้ยน 2536, ศันสนีย๑ วีระศิลป์ชัย 2538, 2541, น๎องนุช มณีอินทร๑ 2543, วรรณา นาวิกมูล และคณะ 2537, สุพัตรา จิรนันทนาภรณ๑ และอัญชลี สิงห๑น๎อย 2548, 2550, สุจิตร วงษ๑เทศ 2549, 2550, โอฬาร รัตนภักดี และวิมลศิริ กลิ่นบุปผา 2550, 2551, มาโนช ดินลานสกูล 2552, ปภัสรา คําวชิรพิทักษ๑ 2553) ระดับภูมิภาค (สุธิวงศ๑ พงศ๑ไพบูลย๑ 2529, สุจริตลักษณ๑ ดีผดุงและวชิราภรณ๑ วรรณดี 2544, ประพนธ๑ เรืองณรงค๑ 2559) นอก นอกเหนือจากนั้นยังมีการศึกษาเปรียบเทียบชื่ อหมูํบ๎านระหวํางถิ่นตําง ๆ ได๎แกํ ชื่อหมูํบ๎านในมณฑลกวางสีและภาค ตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย (ปราณี กุลละวณิชย๑, 2535)
~8~
ภาพที่ 3 แผนที่จังหวัดนครพนม
~9~ ในขณะที่ขอบเขตด๎านเนื้อหาของการศึกษา “ชื่อหมูํบ๎าน และหรือภูมินามของหมูํบ๎าน” ได๎รับการศึกษา ค๎นคว๎าและอธิบายในหลากหลายแงํมุม ทั้งด๎านภาษาและสังคม ซึ่งสามารถจําแนกได๎ ดังนี้ ประการแรก ในด๎านภาษา งานวิจัยเทําที่สํารวจพบได๎พยายามแสดงให๎เห็นถึงลักษณะโครงสร๎างทางภาษา ของชื่อหมูํบ๎าน เนื่องจากนักวิจัย สํวนใหญํมุํง เน๎นให๎ค วามสําคัญเกี่ยวกับลักษณะของคํา การเปลี่ยนแปลงของคํา โครงสร๎างและหน๎าที่ของคํา ดังนี้ 1) ชนิดของคําที่ใช๎ในการตั้งชื่อหมูํบ๎านและลักษณะของการสร๎างคํา เชํน ในงานของ ปราณีกุล ละวณิชย๑ (2535) ซึ่งได๎อธิบายถึงโครงสร๎างชื่อหมูํบ๎านจ๎วงในมณฑลกวางสี ประเทศจีน ประกอบด๎วย คํานาม+ คํานาม หรือ คํานาม+คําคุณศัพท๑ แนวทางของผลการศึกษานี้พบได๎ในลักษณะคล๎ายคลึงกันในงานจินตนา ยอดยิ่ง (2519) 2) ลักษณะทางความหมายของคําที่ใช๎ในการตั้งชื่อหมูํบ๎าน เชํน ผลการศึกษาของ รุํงอรุณ ทีฆชุณ หเถียร และมะลิวัลย๑ บูรณพัฒนา (2536) ที่พบวํา คําแรกของชื่อหมูํบ๎านที่อําเภอทําอุเทน จังหวัดนครพนม สํ วน ใหญํเป็นลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร๑ เชํนแหลํงน้ํา (วัง ทํา ห๎วย หาด หนอง) ที่สูง (ดอน โคก โนน) ปุาดง (เหลํา ดง บะ พนอม) ซึ่งผลการศึกษาดังกลําวพบได๎ในผลการศึกษาของสุจริตลักษณ๑ ดีผดุง และวชิราภรณ๑ วรรณดี (2544) ที่มีผลของการศึกษาไปในทิศทางเดียวกัน 3) องค๑ประกอบทางความหมายของคําที่ใช๎ในการตั้งชื่อหมูํบ๎าน เชํน การแสดงองค๑ประกอบทาง ความหมาย (อรรถลักษณ๑) ของคํานามทั่วไป ที่มีอรรถลักษณ๑ตําง ๆ รํวมกัน 4) การปรับเปลี่ยนชื่อหมูํบ๎าน โดยการศึกษาวิเคราะห๑การปรับเปลี่ยนด๎านเสียง โครงสร๎าง และ ศัพท๑ รวมถึงวิเคราะห๑ป๓จจัยของการปรับเปลี่ยนด๎วย ผลการศึกษาในลักษณะดังกลําวนี้พบได๎ในผลการศึกษาของ น๎อง นุช มณีอินทร๑ (2543) ประการที่สอง ในด๎านสังคม จากการทบทวนวรรณกรรม พบวํา แนวทางของการศึกษาในบางชิ้นงานได๎ พยายามแสดงให๎เห็นความสัมพันธ๑ที่สอดคล๎องกันระหวํางคําที่ใช๎ในการตั้งชื่อหมูํบ๎ านกับลักษณะทางสังคม เชํน ชื่อ หมูํบ๎านกับสภาพภูมิประเทศและชีวิตความเป็นอยูํของชาวจ๎วง (ปราณี กุลละวณิชย๑, 2535) 2) วิธีดําเนินการวิจัยเกี่ยวกับชื่อหมูํบ๎าน หากพิ จารณาถึง วิ ธีการศึก ษาค๎นคว๎ าเกี่ยวกั บ ชื่อหมูํ บ๎ านจะพบวํา มีวิ ธีการดํา เนินการวิจัยที่ หลากหลาย กลําวคือ งานวิจัยบางชิ้นเก็บข๎อมูลจากเอกสารราชการเพียงอยํางเดียว (ปราณี กุลละวณิชย๑ 2535, สุจริตลักษณ๑ ดี ผดุงและวชิราภรณ๑ วรรณดี 2544, วิบัณฑิตา ชํวยชูวงษ๑ 2532, รุํงอรุณ ทีฆชุณหเถียร และมะลิวัลย๑ บูรณพัฒนา 2536) ในขณะที่งานวิจัยบางชิ้นมีการเก็บข๎อมูลโดยใช๎แบบสอบถาม (ปรานี บานชื่น 2527) สัมภาษณ๑ผู๎บอกภาษา (จินตนา ยอดยิ่ง 2519, ประภาศรี พวงจันทร๑หอม 2539) และแบบผสมคือ ใช๎ข๎อมูลเอกสารราชการ และ สัมภาษณ๑ผู๎บอกภาษา (น๎องนุช มณีอินทร๑ 2543)
~ 10 ~ การใช๎ข๎อมูลเอกสารราชการทําให๎ได๎ข๎อมูลที่เป็นทางการ มีความถูกต๎องสูง แตํข าดรายละเอียดปลีกยํอย เกี่ยวกับหมูํบ๎าน เชํนประวัติความเป็นมา ความหมายของชื่อหมูํบ๎าน นอกจากนี้ งานวิจัยบางชิ้นยังใช๎เอกสารทาง ราชการที่คํอนข๎างเกํา จึงอาจทําให๎การอธิบายและตีความไมํสอดคล๎องกับสภาพการเปลี่ยนแปลงตามความจริง ใน ด๎านการวิเคราะห๑โครงสร๎างภาษา อาจทํา ได๎แตํหากต๎องการเชื่อมโยงให๎เห็นความสัมพันธ๑กับสังคม อาจทําให๎เกิด คําถามเรื่องพลวัตของชุมชน ซึ่งไมํสามารถสะท๎อนให๎เห็นได๎อยํางถูกต๎องและเป็นจริงตามพลวัตของการเปลี่ยนแปลง เป็นต๎น ในบางประเด็น สภาพความเป็นจริงมีชุมชนหมูํบ๎านตั้งขึ้นใหมํๆ เกิดขึ้นอยํางตํอเนื่อ ง ทั้งนี้เนื่องจากจํานวน ประชากรที่เพิ่มขึ้นตลอดเวลา มีการตั้งหมูํบ๎านใหมํ แยกหมูํบ๎าน ชุมชนบ๎านจัดสรรทั้งของภาครัฐและเอกชน ซึ่งสภาพ ความเป็นจริงดังกลําวเป็นประเด็นที่นําสนใจวําการตั้งชื่อหมูํบ๎านในยุคป๓จจุบันมีความเหมือนหรือตํางจากในอดีต อยํางไร การศึกษาในประเด็นดังกลําว อาจนําไปสูํการตั้งคําถาม สูํการอธิบายเรื่องรูปแบบการขยายตัวของชุมชน รวมถึงโลกทัศน๑หรือวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปของชุมชนผํานการตั้งชื่อหมูํบ๎านอีกด๎วย จากวิ ธีดําเนินการวิจั ย ที่ กลํ าวมาแล๎ ว ในข๎า งต๎น อาจกลําวได๎วํา การกําหนดวิธี การดําเนิ นการวิจัย ที่ เหมาะสมกับงานวิจัยแตํละประเภทนั้นจะต๎องพิจารณาถึงลักษณะข๎อมูลที่ใช๎ในการวิเคราะห๑เป็นสําคัญ 3) การเกิดใหมํของชุมชนและหมูํบ๎านในอําเภอเมือง จังหวัดนครพนม อําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม เดิมเป็นที่ตั้งของอาณาจักรโบราณชื่อ อาณาจักรศรีโคตรบูรณ๑ (The Kingdom of Sri Khotrabrun) เป็นแคว๎นหนึ่งในลุํมแมํน้ําโขง มีงานเอกสารหลายชิ้นที่กลําวถึงประวัติ ของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ๑ (พระเทพโมลี 2516, ชลี สัมโพธิป๓ญญา 2518, สุจริต ถาวรสุข 2519, พิเศษ เจีย จันทร๑พงษ๑ 2521, มหาสิลา วีระวงส๑ 2535, บวร บุพศิริ 2537, สมัย สุทธิธรรม 2539, การทํองเที่ยวแหํง ประเทศไทย 2542, สมิธ เอธ วาริงตัน 2544, สุรศักดิ์ ศรีสําอาง 2545, สํานักวัฒนธรรมจังหวัดนครพนม 2551, กําพล จําปาพันธ๑ และคณะ 2552, สุจิตต๑ วงษ๑เทศ 2554, กรมศิลปากร 2557, สุพร สิริพัฒน๑ ม.ป.ป., สุรจิตต๑ จันทรสาขา ม.ป.ป.)
ภาพที่ 4 แผนที่แสดงพื้นที่อาณาเขตของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ๑เกํา
ที่มา : http://www.nakhonphanom.go.th/nakhonphanom/protectking/webdetail/tab4.php.
~ 11 ~ จังหวัดนครพนม ในดินแดนที่ราบสูง อดีตเป็นศูนย๑กลางของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ๑อันรุํงเรือง แรกทีเดียวตัว เมืองตั้งอยูํทางฝ๓่งซ๎าย ของลําน้ําโขง (ฝ๓่งลาว) บริเวณทางใต๎ปากเซบั้งไฟ ตรงข๎ามกับอําเภอพระธาตุพนมใน ป๓จจุบัน ตามอุรังคนิทานหรือตํานานพระธาตุพนม (พิสดาร) ของพระธรรมราชานุวัตรอดีตเจ๎าอาวาสวัดพระธาตุพนม ได๎เรียบเรียงไว๎ตอนหนึ่งวํา สมัยพุทธกาลพระพุทธเจ๎าได๎เสด็จมาโปรดสัตว๑ที่แคว๎นศรีโคตรบูรณ๑ มีพุ ทธทํานายวําเมื่อ พระองค๑ปรินิพพานไปแล๎วเมืองศรีโคตรบูรณ๑จักย๎ายไปตั้งที่ “ปุาไม๎รวก” มีนามวํา “เมืองมรุกขนคร” ซึ่งสันนิษฐาน กันวําหมายถึง เมืองที่อยูํในดงไม๎รวก ตามสภาพภูมิประเทศที่สร๎างบ๎านแปงเมืองนั้นเองประมาณ พ.ศ. 500 สมัย พญาสุมิตรธรรม ผู๎ครองเมืองมรุกขนคร เป็นกษัตริย๑ผู๎มีจิตศรัทธาตํอพระพุทธศาสนาอยํางแรงกล๎า มีการบูรณะพระธาตุ พนมขึ้นเป็นครั้งแรก โดยกํอพระลานอูบมุง ชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 แล๎วสร๎างกําแพงล๎อมรอบมีงานฉลองสมโภชอยําง มโหฬาร ซึ่งพระอุรังคธาตุได๎แสดงปาฏิหาริย๑ อัศจรรย๑ยิ่ง ทําให๎พญาสุมิตรธรรมบังเกิดความปิติโสมนัสมาก นอกจาก ถวายทรัพย๑สินมีคํามากมายเป็นพุทธบูชาแล๎ว ยังมอบหมายให๎หมูํบ๎านทั้ง 7 แหํงในเขตแดนนั้น เป็นผู๎ดูแลรักษาองค๑ พระธาตุ หลังจากพญาสุมิตรธรรม มีผู๎ครองนครตํอมาอีก 2 พระองค๑ ก็เกิดเหตุอาเพศแกํอาณาจักรศรีโคตรบูรณ๑ จน กลายเป็นเมืองร๎าง กระทั่งถึง พ.ศ. 1800 เจ๎าศรีโคตรบูรณ๑ได๎สร๎างเมืองมรุกขนครขึ้นใหมํใต๎เมืองทําแขกบนฝ๓่งซ๎าย แมํน้ําโขง ใน พ.ศ. 2057 สมัยพระเจ๎านครหลวงพิชิตทศพิศราชธานีศรีโคตรบูรณ๑ได๎เปลี่ยนชื่อเมืองใหมํกลายเป็น เมืองศรีโคตรบรูณ๑ ตรงตามชื่ออาณาจักรเดิม ในสมัยนี้ยังมีการบูรณปฎิสังขรณ๑พระธาตุพนมเรื่อยมาจนถึง พ.ศ. 2280 พระธรรมราชาเจ๎าเมืองศรีโคตรบูรณ๑องค๑สุดท๎าย ได๎ย๎ายเมืองมาตั้งบนฝ๓่งขวา (ฝ๓่งไทย) เยื้องเมืองเกําไปทางเหนือแล๎ว ขนานนามเมืองใหมํวํา เมืองนคร จากนั้นมีการโยกย๎ายชุมชนเมืองอีกหลายครั้ง พ.ศ. 2321 ในรัชกาลสมเด็จพระ เจ๎าตากสินมหาราช ได๎มีการย๎ายเมืองมาตั้งที่บ๎านหนองจันทร๑ หํางขึ้นไปทางเหนือ 52 กิโลเมตร ในปี พ.ศ. 2333 รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟูาจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 แหํงกรุงรัตนโกสินทร๑ เมืองนครก็ได๎ ขอขึ้นตรงตํอกรุงเทพมหานคร โดยพระองค๑ทรงพระราชทานนามใหมํขึ้นวํา นครพนม ชื่อนครพนมนั้น มีข๎อสันนิษฐาน ประการหนึ่งวํา เมืองนครเคยเป็นเมืองลูกหลวงมากํอน และมีความสําคัญทางประวัติศาสตร๑ จึงได๎ใช๎ชื่อวํา นคร สํวน คําวํา พนม ก็มาจากพระธาตุพนม ปูชนียสถานที่อยูํคูํบ๎านคูํเมืองมาช๎านาน หรืออีกนัยหนึ่งคือ เดิมเมืองมรุกขนคร ตั้งอยูํทางฝ๓่งซ๎ายแมํน้ําโขงในบริเวณที่มีภูเขาสลับซับซ๎อน จึงนําคําวํา พนม ซึ่งแปลวําภูเขามาใช๎ นครพนม จึง หมายความถึง เมืองแหํงภูเขา นั้นเอง จากประวัติความเป็นมาของอําเภอเมือง จังหวัดนครพนมโดยสังเขป จะเห็นได๎วําอําเภอเมืองนครพนมมี พัฒนาการที่มีความเป็นพลวัตคํอนข๎างสูง กลําวคือ ตั้งแตํมีความเจริญสูงสุดเป็นศูนย๑กลางของอาณาจักรศรีโคตรบูรณ๑ จนกระทั่งกลายเป็นเมืองร๎าง การเกิดใหมํของชุมชนในเขตอําเภอเมืองในสมัยรัชกาลที่ 1 ตํอเนื่องถึงรัชกาลที่ 5 นับเป็นจุดเวลาที่สําคัญและนําสนใจศึกษาถึงรูปแบบการขยายตัวของชุมชน และความสัมพันธ๑ที่มีตํอประวั ติศาสตร๑ใน อดีต แนวคิดการปกครองที่ให๎หมูํบ๎านเป็นหนํวยการปกครองนั้น นําจะเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไมํนานมานี้กอปรกับแนวคิดการ ปกครองสํวนภูมิ ภาคและการปกครองสํวนท๎ องถิ่ นที่ เพิ่ ง มีใช๎เมื่อ ไมํนานมานี้ จากมุมมองของการศึกษาทางด๎า น
~ 12 ~ ประวัติศาสตร๑สังคมดังกลําว ผู๎ศึกษาได๎กําหนดที่จะศึกษาลักษณะทางด๎านสังคม ภาษาและวัฒนธรรม จากชื่อหมูํบ๎าน ในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม
ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่ ภาพที่
5 6 7 8
บนซ๎าย ซากดึกดําบรรพ๑หรือฟอสซิล (fossil) พบในแมํน้ําโขงหน๎าวัดสําราญใต๎ บนขวา พระธาตุเมืองเกํา บ๎านเมืองเกํา ตําบลทําค๎อ อําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม จารึกวัดแกํงเมือง บ๎านหนาด ตําบลบ๎านกลาง อําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม พระธาตุแกํงเมือง บ๎านหนาด ตําบลบ๎านกลาง อําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม
~ 13 ~ วรรณกรรมที่เกี่ยวข๎อง มนุษ ย๑ เ ป็ น สัต ว๑สั ง คม ในวิถี การดํ าเนิน ชีวิ ตต๎ องปะทะสั ง สรรค๑กั บ สิ่ ง แวดล๎อ มที่ อยูํ รอบตั ว ไมํ วํา จะเป็ น ธรรมชาติ มนุษย๑ด๎วยกันเอง สิ่งของหรือแม๎แตํธรรมชาติที่อยูํรายรอบ แม๎กระนั้นก็ตามสิ่งแวดล๎อมรอบข๎างจําต๎องมีชื่อ เรียกขาน ไมํวําจะเป็นชื่อคน สัตว๑ สิ่งของ หรือแม๎แตํสถานที่ตําง ๆ ก็จะมีชื่อเรียกขานที่แตกตํางกันไปตามชนิด ขนาด การใช๎ประโยชน๑ หรือชื่อเฉพาะ นามเรียกขานที่ใช๎เรียกชื่อตําง ๆ ในแตํละสังคม ชุมชน ท๎องถิ่นนั้น จะ สะท๎อนให๎เห็นถึงวัฒนธรรม ความรู๎สึกนึกคิด ความเชื่อ ความเป็นอยูํของเจ๎าของภาษานั้น ๆ ซึ่งจะสามารถสืบค๎น และปรากฏได๎ในเรื่องตําง ๆ อาทิเชํน นิทานพื้นบ๎าน สุภาษิต คําพังเพย เพลงพื้นบ๎าน การตั้งชื่อหมูํบ๎าน เป็นต๎น ชื่อหมูํบ๎านนับวํามีความสําคัญ เพราะสามารถทําให๎เห็นภาพสะท๎อนเกี่ยวกับพื้นที่นั้น ๆ ทําให๎ทราบสภาพ ทั่วไปของหมูํบ๎าน สถานที่ตั้งหมูํบ๎านวํา ตั้งอยูํใกล๎เคียงกับอะไรเป็นพิเศษ ลักษณะและความเป็นไปของท๎องที่ ท๎ องถิ่น นั้น ๆ เป็นต๎นวํา ลักษณะของผู๎คน กลุํมชาติพันธุ๑ ลักษณะภูมิประเทศ ประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่น อาชีพของประชาชนใน ท๎องถิ่น หรือลักษณะอื่น ๆ สิ่งตําง ๆ เหลํานี้ทําให๎เราสามารถมองเห็นแนวทางการตั้งชื่อหมูํบ๎านได๎ในลักษณะตําง ๆ จะเห็นได๎จาก เชํน ชื่อหมูํบ๎านในภาคใต๎ของประเทศไทย ที่สํวนใหญํเป็นชื่อที่มีความหมายเกี่ยวข๎องกับน้ํา และแหลํง น้ํานําหน๎าชื่อเสมอ เชํา ทํา ปาก อําว บาง หาด พัง หนอง ห๎วย มาบ พรุ ฯลฯ ทั้งนี้เนื่องจากภูมิประเทศใน ภาคใต๎สํวนใหญํ อยูํใกล๎และติดกับทะเล อุดมไปด๎วย ลําคลอง หนอง บึง ซึ่งในลักษณะนี้ ทําให๎เ ราทราบถึงแนว ทางการตั้งชื่อหมูํบ๎านในภาคใต๎วํา สํวนใหญํนิยมตั้งชื่อหมูํบ๎านตามลักษณะภูมิประเทศที่เกี่ยวกับน้ํา และแหลํงน้ํา นอกจากนี้แล๎วชื่อหมูํบ๎านยังแสดงให๎เห็นถึงลักษณะของคํา ซึ่งอาจจะเป็นคําพยางค๑เดียว หรือคําหลายพยางค๑ และประเภทของภาษาที่ใช๎ในการตั้งชื่อหมูํบ๎าน ซึ่งอาจจะเป็นคําไทยแท๎ หรือคําที่ไมํใชํไทยแท๎ นอกจากนี้ยังแสดง ให๎เห็นถึงภาษาพูดของประชาชนในท๎องถิ่นนั้น ๆ ที่ใช๎ในการตั้งชื่อหมูํบ๎าน โดยเฉพาะอยํางยิ่งภาษาของกลุํมชาติ พันธุ๑ที่บุคคลทั่วไปไมํทราบความหมายที่แท๎จริง เชํน บ๎านนามูลฮี้น บ๎านกุรุคุ บ๎านอาจสามารถ เป็นต๎น การศึกษาชื่อหมูํบ๎านเป็นสิ่งที่มีคุณคําอยํางยิ่ง เพราะนอกจากจะแสดงให๎เห็นถึงลักษณะดังที่กลําวมาแล๎ว ชื่อ หมูํบ๎านยังมีคุณคําในการศึกษาภาษา (จารุวรรณ ธรรมวัตร, 2530, หน๎า 166–167) เพราะสํวนใหญํใช๎ถ๎อยคํา ภาษาถิ่น ภาษาของกลุํมชาติพันธุ๑ โดยเฉพาะอยํางยิ่งในจังหวัดนครพนมที่มีความหลายกหลายทางเชื้อชาติและชาติ พันธุ๑ นอกจากนี้การศึกษาชื่อหมูํบ๎านยังชี้ให๎เห็นถึงภาษาดั้งเดิม ภาษาสมัยใหมํที่มีการเปลี่ยนแปลงอีกด๎วย การ เปลี่ยนแปลงของภาษานั้นมีทั้งการกลายเสียงและการกลายของความหมาย ดังคํากลําวของพระยาอนุมานราชธน ที่วํา “ภาษายํอมมีเสียงและความหมายที่แนํนอน มีใช๎อยูํในถิ่นหนึ่งและระยะเวลาหนึ่งเทํานั้น เพราะถ๎าผิดสถานที่หรือผิด ระยะเวลาคือ ยุคสมัย เสียงและความหมายของคําที่วําแนํนอนอาจเพี้ยนหรือกลายไปได๎ ” (พระยาอนุมานราชธน, 2516, หน๎า 23) เชํนคําวํา บ๎านรุง บุคคลโดยทั่ วไปอาจเข๎าใจวํา นําจะมาจากคําวํา ลุง หรือรุํงเรือง แตํแท๎ที่ จริงแล๎ว รุง คํานี้ มาจากคําวํา รุง ในภาษาเขมร หมายถึง ลักษณะของธารน้ําที่ไหลออกมาจากถ้ํา สุจิตต๑ วงษ๑ เทศ (2550) ได๎กลําวถึงการตั้งชื่อหมูํบ๎านไว๎วํา “ชื่อบ๎านนามเมือง เป็นเรื่องสําคัญ เพราะชื่อเหลํานี้ บํงบอกถึงความ
~ 14 ~ เป็นชุมชนท๎องถิ่นนั้น ๆ รวมทั้งบอกสภาพแวดล๎อมที่เกี่ยวข๎องกับความหลากหลายทางชีวภาพของบริเวณนั้นด๎วย ข๎อด๎อยของเราคือไมํให๎ความสําคัญตํอชื่อบ๎านนามเมือง เลยไมํรํวมกันศึกษาหาความหมายที่แท๎จริง” ในการศึกษาชื่อหมูํบ๎านนั้น ได๎มีผู๎สนใจศึกษากันแทบทุกภาค เชํน ในภาคเหนือ หวน พินธุพันธ๑ (2529) ได๎ศึกษาชื่อหมูํบ๎านของจังหวัดอุตรดิตถ๑ ภาคใต๎ อมร ทวีศักดิ์ (2531) ได๎ศึกษาชื่อหมูํบ๎านของอําเภอเมือง จังหวัด ภูเก็ต ในภาษาชาวเล ภาคตะวันออก เกนีย๑ (Gainey, 2527) ได๎ศึกษาชื่อหมูํบ๎านในจังหวัดชลบุรี จันทบรี ระยอง และตราด ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วิบัณฑิตา ชํวยชูวงศ๑ (2531) ได๎ศึกษาชื่อหมูํบ๎านในจังหวัด มหาสารคาม ภาคตะวันตก ชื่อหมูํบ๎านที่ได๎มีการศึกษามาแล๎วในข๎างต๎น มีลักษณะและแนวทางการตั้งชื่อ ในลักษณะ ที่แตกตํางกัน ตามสภาพแวดล๎อมที่แตกตํางกัน ในภาคอีสาน มีชื่อหมูํบ๎ านที่นําสนใจศึกษาเป็นอยํางยิ่ง เนื่องจากมีการยกฐานะของบ๎านขึ้นมาเป็นเมือง จํานวนมาก เชํน ในสมัยกรุงธนบุรี มีการตั้งชื่อเมืองสุวรรณภูมิ เมืองร๎อยเอ็ด สมัยกรุงรัตน๑โกสินทร๑ รัชกาลที่ 1 มี การตั้งเมืองกาฬสินธุ๑ เมืองอุบลราชธานี เมืองศรีสะเกษ (สมภพ ภิรมย๑, 2516, หน๎า 1-2) ชื่อเมืองที่ตั้งขึ้นมาใหมํ โดยใช๎ภาษาบาลี-สันกฤต ที่ไพเราะ เชํน คูปะทายสมันต๑ ตั้งเป็น เมืองสุรินทร๑ ลําพุก ตั้งเป็น กันทรารมย๑ ห๎วยแจะ ระแม ตั้งเป็น อุบลราชธานี ชํองนาง ตั้งเป็น เสรางคนิคม ทําเสาธง ตั้งเป็น ธวัชบุรี โพนสามขา ตั้งเป็น ศรีสะ เกษ เป็นต๎น (เติม วิภาคพจนกิจ, 2531, หน๎า 404-421) หรือในกรณีของจังหวัดมหาสารคาม ธีรชัย บุญมา ธรรม นักวิชาการด๎านประวัติศาสตร๑ มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม ให๎ข๎อมูลวํา เทําที่พอจะมีหลักฐาน จังหวัด มหาสารคาม เมื่อแรกตั้งนั้น ตั้งชื่อตาม "กุดยางใหญํ โดยเปลี่ยนเป็นภาษาบาลี กลําวคือ ใหญํ = มหา , ยาง = มาจากคําวํา สาละ ซึ่งในพจนานุกรมฉบับเกํา ๆ บอกวํา คือต๎นไม๎ยืนต๎นประเภทยาง ต๎นรัง สํวนคําวํา กุด ทาง กรุงเทพฯ เข๎าใจวํา มาจาก กุฏิ หรือ ที่อยูํอาศัย จึงเปลี่ยนเป็น คาม แปลวํา ที่อยูํ หรือหมูํบ๎าน อาจกลําวได๎วํา ชื่อบ๎านนามเมืองในแตํละภาค สํวนใหญํมักมีลักษณะตรงกัน บางชื่อตั้งตามสภาพภูมิประเทศ ของที่ตั้งถิ่นฐาน เชํน มีคําวํา ทํา ปาก อําว คลอง หนอง บึง ห๎วย กุด ดอน เขา เนิน และ โคก นําหน๎า บาง ชื่อตั้งตามสภาพภูมิประเทศผสมกับจินตนาการจนปรากฏเป็นเค๎าหรือรูปรําง เชํน บ๎านเขารูปช๎าง บ๎านผานกเค๎า เป็น ต๎น บางชื่อตั้งตามเหตุการณ๑สําคัญทางประวัติศาสตร๑ หรือตั้งเป็นอนุสรณ๑สําหรับบุคคลสําคัญของท๎องถิ่น เชํน บ๎านเขา มหาชัย บ๎านหัวคําย เป็นต๎น บางชื่อตั้งตามพันธุ๑ไม๎หรือสัตว๑ที่มีอยูํในชุมชน เชํน บ๎านมํวงหวาน บ๎านขาม หมูํบ๎าน เตํา เป็นต๎น และบางชื่อตั้ งตามความรู๎ความเข๎าใจในภาษาบาลีและสันสกฤตที่เข๎ามามีอิทธิพลตํอภาษาไทยเป็น เวลานานหลายศตวรรษ เชํน บ๎านเทพราช อําเภอวานรนิวาส เป็นต๎น ดังนั้น การศึกษาชื่อบ๎านนามเมืองหรือนามสถาน นับวํามีประโยชน๑ไมํน๎อย เพราะนอกจากจะทําให๎ทราบ ความหมายและที่มาของชื่อชุมชนแล๎วยัง ชํวยให๎เข๎าใจวิถีการดําเนินชีวิต ตลอดจนความเป็นอยูํของชาวบ๎านหรือผู๎คน ในชุมชนนั้นอีกด๎วย แม๎สภาพสังคมและสภาพภูมิประเทศจะเปลี่ยนแปลงไป ชื่อเหลํานั้นก็ยังสะท๎อนภาพความเป็นอยูํ ของสังคมยุคเดิมได๎ ยิ่งถ๎าได๎ศึกษาวิเคราะห๑โครงสร๎างของชื่อบ๎านนามเมืองด๎วยก็ยิ่งทําให๎เห็นลักษณะของคําที่ใช๎ใน การตั้งชื่อได๎ชัดเจนขึ้น ไมํวําชื่อนั้นจะเป็นคําพยางค๑เดียว คําประสม หรือกลุํมคําที่นํามาเรียงกัน นอกจากนั้นยังทํา
~ 15 ~ ให๎เห็นถึงรากหรือที่มาของคําที่นํามาใช๎ตั้งชื่อได๎อีกวําเป็นคําไทยแท๎ คําประสม หรือคําที่ยืมมาจากภาษาอื่น เชํน ภาษาบาลี สันสกฤต เขมร เป็นต๎น สิ่งเหลํานี้ล๎วนสะท๎อนให๎เห็นภูมิป๓ญญาของชาวบ๎านรุํนแรก ๆ ที่ตั้งชื่อบ๎านนาม เมืองได๎อีกโสดหนึ่ง ซึ่งป๓จจุบันเราถือเป็นสารสนเทศท๎องถิ่นที่มีคําอยํางยิ่งในสังคมยุคโลกาภิวัตน๑
ภาพที่ 9 คนพื้นเมืองชาติพันธุ๑ตําง ๆ แถบลุํมน้ําโขง (ภาพจากหนังสือ A Pictorial Journey on the old Mekong, Cambodia, Laos and Yunan by Louis Delaporte and Francis Garnier)
~ 16 ~ หมูํบ๎าน หมูํบ๎าน คือ กลุํมของบ๎านเกิดจากการรวมกันของกลุํมคนที่ตั้งบ๎านเรือนอยูํในบริเวณเดียวกัน ซึ่งอาจเป็นญาติ พี่น๎องโดยสายเลือดหรือไมํใชํก็ได๎ (สรบุศย๑ รุํงโรจน๑สุวรรณ และคณะ, 2550, หน๎า 9) ลักษณะการตั้งถิ่นฐานเชํนนี้ มีมาตั้งแตํในสมัยโบราณ เนื่องจากมนุษย๑อยูํรํวมกันเป็นกลุํมเป็นสังคมอยํางไรก็ดี แนวคิดของ “หมูํบ๎าน” เริ่มมีขึ้นไมํ นานนั ก ในรั ช สมัย รั ช กาลที่ 5 เป็ น รู ป แบบการปกครองที่ นํ า มาจากชาติ ต ะวั น ตก ดั ง นั้ น “หมูํ บ๎ า น” จึ ง มิ ไ ด๎ หมายความถึงเพียงกลุํมของบ๎านที่อยูํในอาณาบริเวณเดียวกัน หากแตํยังรวมถึงอาณาเขตปกครองระดับเล็กที่สุด ซึ่ง จําแนกโดยราชการ มีบุคคลในชุมชนซึ่งได๎รับการแตํงตั้งจากทางการเป็นผู๎ดูแล เรียกวํา กํานันหรือผู๎ใหญํบ๎าน และ ผู๎ชํวยผู๎ใหญํบ๎าน “หมูบํ ๎าน” เป็นรูปแบบการกระจายอํานาจทางการปกครอง โดยได๎รับงบประมาณในการบริหารสํวน หนึ่งมาจากทางราชการ (พระราชบัญญัติสภาตําบลและองค๑การบริหารสํวนตําบล, 2542) หมูํบ๎านแตํละหมูํบ๎านมีชื่อเป็นเอกลักษณ๑ อยํางไรก็ดี จากการสํารวจข๎อมูลเบื้องต๎นเกี่ยวกับชื่อหมูํบ๎านใน จังหวัดนครพนมพบวํา หมูํบ๎านที่อยูํตํางตําบล อําเภอ ในจังหวัดเดียวกันอาจมีชื่อเหมือนกัน เชํน หมูํบ๎าน กลาง กลาง นาบัว นาบัว นาโพธิ์ นาโพธิ์ ดอนแดง ดอนแดง
ตําบล กลาง โนนตาล เรณูใต๎ โคกหินแหํ ไผํล๎อม บ๎านผึ้ง นาทม บ๎านเสียว
อําเภอ เมือง ทําอุเทน เรณูนคร เรณูนคร บ๎านแพง เมือง นาทม นาหว๎า
จังหวัด นครพนม นครพนม นครพนม นครพนม นครพนม นครพนม นครพนม นครพนม
ตัวอยํางข๎างต๎นแสดงชื่อหมูํบ๎านที่ซ้ํากันในตําบล อําเภอ จังหวัดนครพนม สะท๎อนให๎เห็นวํา ถึงแม๎ชื่อ หมูํบ๎านจะมีลักษณะเฉพาะ แตํก็อาจมีชื่อซ้ําได๎ เพราะเงื่อนไขในการตั้งชื่อหมูํบ๎านสํวนหนึ่งเกิดจากลักษณะธรรมชาติ และภูมิประเทศ ดังนั้นหากสภาพแวดล๎อมหรือภูมิประเทศของหมูํบ๎านใดมีความคล๎ายคลึงกันก็อาจเกิดชื่อซ้ํากันได๎ เชํน ในกรณี บ๎านกลาง บ๎านนาบัว บ๎านนาโพธิ์ บ๎านดอนแดง ดังกลํ าวข๎างต๎น ประเด็นการซ้ําของชื่อนี้อาจเป็นกรณีที่ นําศึกษาตํอไป เนื่องจากอาจแสดงให๎เห็นความสัมพันธ๑ใกล๎ชิดในเชิงภูมิศาสตร๑ระหวํางพื้นที่
~ 17 ~ ทฤษฎี สมมติฐาน หรือกรอบแนวความคิด (Conceptual Framework) ของการวิจัย ภูมินาม (Toponym) หมายถึง การศึกษาชื่อสถานที่ จัดเป็นสํวนหนึ่งของศาสตร๑ที่วําด๎วยการศึกษา เกี่ยวกับชื่อของสิ่งตําง ๆ ที่มีอยูํในภาษา (Onomastics) สํวนมากภูมินามมักมุํงเน๎นการศึกษาประวัติความเป็นมา และความสําคัญของชื่อเรียกสถานที่นั้น ๆ หรือไมํก็มุํงเน๎นการศึกษาเพื่อให๎ประชาชนในท๎องถิ่นเกิดความสนใจและ ตระหนักถึงคุณคําของถิ่นฐานที่อยูํ ขนบธรรมเนียม วิถีชีวิต สภาพแวดล๎อมของท๎องถิ่นตน (สุจริตลักษณ๑ ดีผดุง, 2543, หน๎า 51) ชื่อของสถานที่ที่จะนํามาศึกษาได๎นั้นมีหลายประเภท เชํน ชื่อเมือง ชื่อจังหวัด ชื่ออําเภอ ชื่อหมูํบ๎าน ชื่อ ภูเขา ชื่อแมํน้ํา ชื่อถนนหนทางตําง ๆ เป็นต๎น แตํในที่นี้ชื่อหมูํบ๎านนับวํามีความใกล๎ชิดกับประชาชนมากที่สุด เนื่องจากเป็นชื่อที่กําหนดขึ้นโดยคนกลุํมเล็ก ๆ ในสังคมที่อาศัยอยูํในสถานที่เดียวกัน ได๎ตกลงและมีความเข๎าใจ ตรงกันเกี่ยวกับลักษณะ ความหมาย และที่มาของชื่อหมูํบ๎านนั้น ๆ การศึกษาเกี่ยวกับภูมินามของหมูํบ๎านนับวํามี ความสําคัญอยํางมากเพราะชํวยให๎เข๎าใจลักษณะด๎านตําง ๆ ของท๎องถิ่น เนื่องจากภูมินามของหมูํบ๎านสามารถแสดง ให๎เห็นลักษณะทางกายภาพเป็นต๎นวํา ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ พรรณพืช และพรรณสัตว๑ รวมไปถึงวิถีชีวิตของคนใน ท๎องถิ่นนั้น ๆ ได๎ เชํน สภาพสังคม ความเชื่อ คํานิยม และการประกอบอาชีพ เป็นต๎น ดังที่ อิงอร สุพันธุ๑วณิชย๑ (2543, หน๎า 108) กลําวไว๎วํา “การตั้งชื่อหมูํบ๎าน ตําบล และอําเภอในจังหวัดตําง ๆ นําสนใจมาก เพราะการ ตั้งชื่อสะท๎อนให๎เห็นความเชื่อและสภาพภูมิศาสตร๑ของท๎องถิ่นได๎เป็นอยํางดี บางแหํงจะเป็นชื่อคน (อาจจะเป็นคน สําคัญของหมูํบ๎าน คนที่มาตั้งรกรากเป็นคนแรก) ชื่อต๎นไม๎ สัตว๑ บาง โคก ดอน เนิน มาบ ฯลฯ” ตัวอยํางภูมินามของหมูํบ๎านที่แสดงให๎เห็นลักษณะทางกายภาพและวิถีชีวิตของคนในท๎องถิ่น อาทิ ชื่อหมูํบ๎าน “คลองลึก” แสดงให๎เห็นสภาพภูมิประเทศที่มีคลองธรรมชาติลึกมาก ชื่อหมูํบ๎าน “ดงขํอย” แสดงให๎เห็นลักษณะพรรณ ไม๎คือ ต๎นขํอย ที่มีอยูํมาก ชื่อหมูํบ๎าน “บางบ๎า” แสดงให๎เห็นลักษณะพรรณสัตว๑คือ ปลาบ๎าที่มีอยูํชุกชุม หรือชื่อ หมูํบ๎าน “ทําสวนยา” แสดงให๎เห็นอาชีพของคนในท๎องถิ่นที่ปลูกยาสูบเป็นจํานวนมาก เป็นต๎น (เสนํหา บุณยรักษ๑ และทิพย๑สุดา นัยทรัพย๑, 2542, หน๎า 281 – 303) ภูมินามของหมูํบ๎านยังมีความสําคัญอยํางยิ่งในการศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร๑ของท๎องถิ่น ดังที่ เรืองเดช ป๓นเขื่อนขัติย๑ (2538,หน๎า 20) กลําวไว๎วํา ชื่อของสถานที่ตําง ๆ มีความสําคัญตํอการศึกษาประวัติศาสตร๑ค วาม เป็ นมาของมนุษยชาติ เนื่องจากชื่อ สถานที่ เหลํานั้นมีค วามสัมพั นธ๑อยํางใกล๎ชิด กับลักษณะทางสังคมวิท ยา มานุษยวิทยาและวัฒนธรรม จึงเป็นหลักฐานประการหนึ่งที่บํงบอกความเป็นมาของท๎องถิ่นตําง ๆ ได๎เป็นอยํางดี ดังนั้นถ๎าอยากจะรู๎เรื่องราวประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่นใดท๎องถิ่นหนึ่ง จึงจําเป็นต๎องศึกษาค๎นคว๎าวิจัย ชื่อสถานที่ของท๎องถิ่น นั้น ๆ ในแงํมุมตําง ๆ อยํางลึกซึงและกว๎างขวาง ตัวอยํางภูมินามของหมูํบ๎านที่แสดงให๎เห็นประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่น เชํน หมูํบ๎าน “ทําพลับพลา” ในตําบลพาน ทอง อําเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี เป็นหลักฐานแสดงวําแตํเดิมในหมูํบ๎านนี้เป็นที่ตั้งพลับพลาที่พักของเจ๎านาย หรือ
~ 18 ~ ขุนนางที่เดินทางมาตรวจราชการตามหัวเมือง เนื่องจากบริเวณนี้มีเส๎นทางคมนาคม ทางน้ําที่สะดวกมาแตํโบราณ เป็นต๎น (ไพพรรณ อินทนิล, 2542, หน๎า 147) นอกจากนี้ภูมินามของหมูํบ๎านยังมีความสําคัญในการแสดงให๎เห็ นลักษณะการใช๎ภาษาของคนในท๎องถิ่นซึ่ง สามารถศึกษาในเชิงภาษาศาสตร๑ได๎ กลําวคือ ภูมินามของหมูํบ๎านจะแสดงให๎เห็นโครงสร๎างของคํา ซึ่งอาจเป็นคํา พยางค๑เดียวหรือคําหลายพยางค๑ก็ได๎ ทั้งยังแสดงให๎เห็นโครงสร๎างทางความหมายที่สัมพันธ๑กับระบบความคิด รวมไป ถึงแสดงให๎เห็นความนิยมเกี่ยวกับการเลือกใช๎คําในการตั้งชื่อสถานที่ตําง ๆ ซึ่งอาจเป็นคําไทยแท๎ หรือคํายืมจาก ภาษาตํางประเทศ ตลอดจนแสดงให๎เห็นภาษาถิ่น และภาษาของกลุํมชาติพันธุ๑ตําง ๆ ด๎วย เชํน การใช๎ภาษาถิ่นตั้ง ชื่อหมูํบ๎านในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การใช๎ภาษาของชาวเขาเผําตํ าง ๆ ในการตั้งชื่อหมูํบ๎านใน ภาคเหนือ การใช๎ภาษาเขมรตั้งชื่อหมูํบ๎านในแถบอีสานใต๎ และการใช๎ภาษามลายู ตั้งชื่อหมูํบ๎านในแถบจังหวัด ชายแดนภาคใต๎ เป็นต๎น ซึ่งวิธีการตั้งชื่อเหลํานี้ล๎วนสะท๎อนให๎เห็นภูมิป๓ญญาชาวบ๎านที่สามารถเลือกใช๎คําในการตั้ง ชื่อได๎อยํางเหมาะสม ถือเป็นตัวอยํางที่ แสดงถึงความสัมพันธ๑ระหวํางภาษากับสังคมและวัฒนธรรมได๎เป็นอยํางดี (จําปา สุขสวําง, 2547, หน๎า 2) นอกจากนั้นภูมินามของหมูํบ๎านยังแสดงให๎เห็นลักษณะการเปลี่ยนแปลงของภาษาได๎อีกด๎วย กลําวคือ หมูํบ๎านบางแหํงจะมีการเปลี่ยนชื่อหมูํบ๎านให๎เป็นภาษาสมัยใหมํ การเปลี่ยนแปลงนี้อาจเป็นการเปลี่ยนแปลงเรื่องการ กลายเสียงหรือการกลายความหมายก็ได๎ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงด๎านความหมายนั้นอาจจะอิงกับความเชื่อวําหากหมูํบ๎าน ใดมีชื่อเป็นสิริมงคลก็จะพาให๎ผู๎ที่อยูํอาศัยในหมูํบ๎านนั้นมีความสุข ความเจริญตามไปด๎วย จึงมีการเปลี่ยนแปลงภูมิ นามของหมูํบ๎านเดิมให๎เป็นถ๎อยคําที่เป็นมงคล โดยมักใช๎คําที่มคี วามหมายแสดงความเจริญรุํงเรือง ความสมบูรณ๑พูนสุข เชํน ชื่อหมูํบ๎านราษฎร๑สําราญ ชื่อหมูํบ๎านอุดมทรัพย๑ เป็นต๎น (มณีปิ่น พรหมสุทธิรักษ๑, 2539, หน๎า 120) การ เปลี่ยนแปลงความหมายของชื่อหมูํบ๎านในบางกรณีจะสํงผลให๎คนรุํนหลังไมํทราบที่มาและความหมายเดิมของชื่อหมูํบ๎าน จึงจําเป็นต๎องศึกษาค๎นคว๎าเพิ่มเติมจากตํานานหรือเรื่องราวทางประวัติศาสตร๑จึงจะทําให๎ทราบที่มาและความหมายของ ชื่อหมูํบ๎านได๎อยํางถูกต๎อง ทั้งนี้ภูมินามมีความสัมพันธ๑กับวัฒนธรรมและสภาพแวดล๎อมของกลุํมชนในแงํมุมตําง ๆ ดังตํอไปนี้ 1) ภูมินามกับภาษา กลําวคือ ในบางภาษา ภูมินามได๎ผํานกระบวนการการเกิดไวยากรณ๑ภาษา (Grammaticalization) กลายเป็นสํวนหนึ่งของไวยากรณ๑ภาษานั้น ดังเชํนที่ สุจริตลักษณ๑ ดีผดุง (2543, หน๎า 51) ได๎กลําวอ๎างถึงผลการศึกษาของ Franz Boas ซึ่งศึกษาชื่อเรียกทางภูมิศาสตร๑ของสถานที่ในภาษา อเมริกันอินเดียน เผํา Kwakiutl ปรากฏวําลักษณะโครงสร๎างภาษาของชนกลุํม นี้เป็นภาษาที่มีการใช๎วิภัตติป๓จจัย (Affixes) ทั้งการใช๎คําอุปสรรคหรือคําเติมหน๎า (prdfix) และการใช๎ป๓จจัยหรือคําเติมหลัง (suffix) ประกอบกับชื่อเรียกทางภูมิศาสตร๑ ป๓จจัยที่เติมกับชื่อทางภูมิศาสตร๑ซึ่งเป็นชื่อภูเขา ทะเล เกาะ และชายหาด ฯลฯ เหลํานี้แสดงให๎เห็นถึงความเชื่อมโยงหรือแสดงจุดประสงค๑ของชื่อทําให๎สามารถรู๎ได๎วํา ชื่อทางภูมิศาสตร๑นั้นมีลักษณะ ทางกายภาพของแตํละสถานที่เชํนไรมีลักษณะเฉพาะหรือลักษณะเดํนอะไร เป็นต๎น
~ 19 ~ นอกจากนี้ภูมินามยังแสดงให๎เห็นลักษณะการใช๎ภาษาของคนในท๎องถิ่นได๎ กลําวคือ ภูมินามแสดงให๎เห็น โครงสร๎างของคํา ทั้งยังแสดงให๎เห็นโครงสร๎างทางความหมายที่สัมพันธ๑กับระบบความคิด รวมไปถึงแสดงให๎เห็น ความนิยมเกี่ยวกับการเลือกใช๎คําในการตั้งชื่อสถานที่ตําง ๆ ซึ่งอาจเป็นคําไทยแท๎ หรือคํายืมจากภาษาตํางประเทศ ตลอดจนแสดงให๎เห็นภาษาถิ่น และภาษาของกลุํมชาติพันธ๑ตําง ๆ ด๎วย เชํน การใช๎ภาษาถิ่นตั้งชื่อหมูํบ๎านใน ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ การใช๎ภาษาของชาวเขาเผําตําง ๆ ในการตั้งชื่อหมูํบ๎านในภาคเหนือ การ ใช๎ภาษาเขมรตั้งชื่อหมูํบ๎านในแถบอีสานใต๎และการใช๎ภาษามลายู ตั้งชื่อหมูํบ๎านในแถบจังหวัดชายแดนภาคใต๎ เป็น ต๎น (จําปา สุขสวําง, 2547, หน๎า 2) 2) ภูมินามกับประวัติศาสตร๑ท๎องถิ่น กลําวคือ ชื่อของสถานที่มีความสัมพันธ๑อยํางใกล๎ชิดกับลักษณะทาง สังคมวิทยา มานุษยวิทยา และวัฒนธรรมของกลุํมชน จึงเป็นหลักฐานประการหนึ่งที่บํงบอกความเป็นมาของท๎องถิ่น ตําง ๆ ได๎เป็นอยํางดี ดังนั้น การศึกษาชื่อสถานที่ของท๎องถิ่นใดท๎องถิ่นหนึ่งในแงํมุมตําง ๆ อยํางลึกซึ้งและ กว๎างขวาง จึงทําให๎รเู๎ รื่องราวประวัติศาสตร๑ของท๎องถิ่นนั้น ๆ ได๎ (เรืองเดช ป๓นเขื่อนขัติย๑, 2538, หน๎า 20) เชํน ชื่อหมูํบ๎าน “สมศักดิ์พัฒนา” ตั้งตามชื่อของนายสมศักดิ์ แจ๎งสูงเนิน ผู๎ริเริ่มกํอตั้งถิ่นฐานในท๎องถิ่นนั้น ๆ ซึ่งนับเป็น บุคคลสําคัญของท๎องถิ่น (มณีปิ่น พรหมสุทธิรักษ๑, 2539, หน๎า 116) ภูมินามนี้จึงเป็นการแสดงให๎เห็นถึง ประวัติศาสตร๑การตั้งถิ่นฐานของกลุํมชนได๎เป็นอยํางดี ดังนี้เป็นต๎น 3) ภูมินามกับนิทานพื้นบ๎าน กลําวคือ ภูมินามของสถานที่บางแหํงตั้งตามนิทานพื้นบ๎าน (Folktales) จําพวกตํานานท๎องถิ่น (Local Legends) ซึ่งเป็นเรื่องเลําที่เกี่ยวกับสถานที่เฉพาะอาจจะเป็นชื่อลักษณะเดํนทาง ภูมิศาสตร๑ หรือประวัติของสถานที่นั้น ๆ ซึ่งตํานานท๎องถิ่นนี้จะเป็นการสะท๎อนให๎เห็นความเชื่อและโลกทัศน๑ของกลุํม ชนนั้นได๎ (เสาวลักษณ๑ อนันตศานต๑, 2548, หน๎า 101- 103) เชํน ตําบล “ดอนยายหอม” ในอําเภอเมือง จังหวัดนครปฐม มีที่มาจากตํานานเรื่องพญากงพญาพาน ซึ่งเป็นตํานานท๎องถิ่นเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของการ สร๎างองค๑พระปฐมเจดีย๑ (มนู วัลยะเพ็ชร๑ และคณะ, 2522, หน๎า 12) 4) ภูมินามกับวิถีชีวิต กลําวคือ ชื่อของสถานที่หรือภูมินามบางแหํงอาจเกี่ยวข๎องกับวิถีชีวิตของผู๎คนซึ่งตั้งถิ่น ฐานในท๎องถิ่นนั้น ๆ ได๎ เป็นต๎นวํา การประกอบอาชีพ และการคมนาคมขนสํง เชํน บ๎าน “คุ๎งเตาเหล๎า” แสดงถึง อาชีพการต๎มเหล๎าขายของคนในท๎องถิ่น หรือบ๎าน “สกัดน้ํามัน” แสดงถึงอาชีพการสกัดน้ํามันยางขายของชาวบ๎าน เป็นต๎น (เสนํหา บุณยรักษ๑ และทิพย๑สุดา นัยทรัพย๑, 2542, หน๎า 302) 5) ภูมินามกับความเชือ่ และคํานิยม กลําวคือ ลักษณะการตั้งชื่อสถานที่บางแหํงอาจสะท๎อนให๎เห็นความเชื่อ และคํานิยมบางประการของกลุํมชนได๎ เป็นต๎นวํา ความเชื่อเรื่องสิริมงคลของถ๎อยคําอันจะสํงผลตํอผู๎คนที่อาศัยอยูํใน ท๎องถิ่นนั้น ๆ นํามาซึ่งการตั้งภูมินามด๎วยคําที่มีความหมายในทางดี เชํน บ๎าน “ทรัพย๑เจริญ” บ๎าน “อุดมทรัพย๑” แสดงความอุดมสมบูรณ๑ของท๎องที่ หรือบ๎าน “สันติสุข” บ๎าน “สันติธรรม” แสดงถึงความสงบรํมเย็นของท๎องที่ เป็น ต๎น (มณีปิ่น พรหมสุทธิรักษ๑, 2540, หน๎า 116)
~ 20 ~ 6) ภูมินามกับภูมิศาสตร๑ กลําวคือ ภูมินามหรือการตั้งชื่อท๎องถิ่นตําง ๆ สามารถสะท๎อนให๎เห็นลักษณะที่ สัมพันธ๑กับภูมิศาสตร๑ของท๎องถิ่นนั้น ๆ ได๎เป็นอยํางดี เป็นต๎นวํา ลักษณะภูมิประเทศ ภูมิอากาศ พรรณพืช พรรณสัตว๑ และทรัพยากรธรรมชาติ ที่ปรากฏอยูํในท๎องที่ เป็นต๎นวํา ภูมินามที่ประกอบด๎วยคําวํา “บาง” แสดงให๎เห็นลักษณะภูมิ ประเทศซึ่งเป็นพื้นที่ราบอยูํติดกับลําน้ํา (ไพฑูรย๑ พงศะบุตร, 2531, หน๎า 6) โดยอาจมีชื่อพืชหรือสัตว๑ประจําถิ่นมา ประกอบ เชํน บางจาก บางรัก บางกระดี่ และบางปลาม๎า เป็นต๎น การศึกษาภูมินามของหมูํบ๎านนับเป็นสิ่งที่มีประโยชน๑อยํางยิ่งตํอการพัฒนาท๎องถิ่น เพราะจะชํวยให๎ประชาชน เข๎าใจสภาพภูมิศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑ ภาษา วัฒนธรรมและวิถีชีวิตของท๎องถิ่นมากยิ่งขึ้น อีกทั้งเป็นประโยชน๑ในการ ปกครองและอุตสาหกรรมการทํองเที่ยวเพราะจะทําให๎ประชาชนเกิดความภาคภูมิใจในท๎องถิ่นของตน และสามารถ อธิบายรายละเอียดตําง ๆ เกี่ยวกับท๎องถิ่นได๎อยํางชัดเจน ตลอดจนอาจทําให๎เกิดการฟื้นฟูอนุรักษ๑สิ่งตําง ๆ ให๎ สัมพันธ๑กับสถานที่เดิม เชํน อาจมีการปลูกต๎นไม๎ที่เป็นที่มาของภูมินามของหมูํบ๎านขึ้นใหมํ ซึ่งป๓จจุบันอาจไมํมี หลงเหลืออยูํแล๎วเพื่อให๎คงอยูํเป็นสัญลักษณ๑ของท๎องถิ่นสืบไป เป็นต๎น ทั้งนี้การศึกษาภูมินามของหมูํบ๎านนอกจากจะมี ประโยชน๑สําหรับคนในท๎องถิ่นนั้นแล๎วยังเป็นประโยชน๑แกํคนทั่วไป เนื่องจากการศึกษาภูมินามของหมูํบ๎านจะทําให๎คน ภายนอกเข๎าใจถึงระบบความคิดและโลกทัศน๑ของคนในท๎องถิ่นได๎ลึกซึ้งยิ่งขึ้นด๎วย การศึกษาเกี่ยวกับภูมินาม ปราณี กุลละวณิชย๑ (2535) ได๎ศึกษาเรื่อง “ชื่อหมูํบ๎านในมณฑลกวางสีและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของ ประเทศไทย” โดยมีวัตถุประสงค๑เพื่อศึกษาชื่อหมูํบ๎านจ๎วงในเขตมณฑลกวางสีและหมูํบ๎านในจังหวัดทางตอนเหนือของ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือวํามีลักษณะการตั้งชื่ออยํางไร และชื่อหมูํบ๎านเหลํานั้นแสดงให๎เห็นภูมิประเทศ ชีวิตความ เป็นอยูํของคนในหมูํบ๎านอยํางไร ผลการศึกษาพบวําวิธีการตั้งชื่อหมูํบ๎านของคนทั้งสองกลุํมซึ่งพูดภาษาตระกูลไท ด๎วยกันมีความเหมือนกัน กลําวคือลักษณะโครงสร๎างภาษาจะใช๎ชื่อที่เป็นคําสองคําเป็นสํวนใหญํ มีการใช๎คําหลังขยาย ความหมายของคําหน๎า ทําให๎สามารถจําแนกกลุํมชือ่ หมูํบ๎านที่มีคําแรกเหมือนกันออกเป็นกลุํมยํอย ๆ ได๎ และหากชื่อ หมูํบ๎านเป็นคําสามคํา คําที่สามจะบอกทิศทางเป็นสําคัญ นอกจากนี้คนทั้งสองกลุํมจะใช๎ลักษณะการประกอบอาชีพคือ การทํานาและลักษณะภูมิประเทศในท๎องถิ่นมาเรียกชื่อหมูํบ๎านของตน ลักษณะดังกลําวจะปรากฏในคําแรกของชื่อ หมูํบ๎านเสมอ วิทยานิพนธ๑ของ น๎องนุช มณีอินทร๑ (2543) เรื่อง “การปรับเปลี่ยนของชื่อหมูํบ๎านในจังหวัดเชียงใหมํ” โดยมีวัตถุประสงค๑เพื่อศึกษาลักษณะการปรับเปลี่ยนชื่อหมูํบ๎านรวมทั้งลักษณะทางวัฒนธรรมที่สะท๎อนจากชื่อหมูํบ๎านใน จังหวัดเชียงใหมํ ผลการศึกษาพบวําการปรับเปลี่ยนชื่อหมูํบ๎านในจังหวัดเชียงใหมํนั้นมีการปรับเปลี่ยนโดยการแทนที่ ด๎วยชื่ออื่นมากที่สุด ทั้งนี้ลักษณะการปรับเปลี่ยนมีทั้งการปรับเปลี่ยนด๎านคําศัพท๑ ด๎านตัวสะกด และด๎านโครงสร๎าง โดยป๓จจัยของการปรับเปลี่ยน ได๎แกํ ป๓จจัยด๎านภาษา ป๓จจัยด๎านภูมิประเทศ ป๓จจัยด๎านสังคม และป๓จจัยด๎าน
~ 21 ~ การเมืองการปกครอง การปรับเปลี่ยนดังกลําวแสดงให๎เห็นวัฒนธรรมและคํานิยมที่เปลี่ยนแปลงไป เชํน ภาษาถิ่นเริ่มลด บทบาทลงและหันมาใช๎ภาษามาตรฐานมากขึ้น มีการให๎ความสําคัญของคําที่นํามาใช๎ตั้งชื่อสถานที่ โดยมักใช๎คําที่ ไพเราะและมีความหมายเป็นมงคลเพิ่มขึ้น วิทยานิพนธ๑เรื่อง “การตั้งชื่อวัดในพุทธศาสนาในกรุงเทพมหานคร” ของ นฤมล ตุงคะโหตร (2547) มี วัตถุประสงค๑เพื่อศึกษาที่มา ความหมาย และลักษณะภาษาที่ใช๎ตั้งชื่อวัดในกรุงเทพมหานครจํานวน 440 วัด ซึ่ง การศึกษาดังกลําวเป็นการศึกษาเอกสารด๎านประวัติศาสตร๑ควบคูํกับการสัมภาษณ๑บุคคลในพื้นที่ ผลการศึกษาพบวํา ชื่อ วัดแบํงออกเป็นชื่อพื้นบ๎าน และชื่อราชการ โดยชื่อพื้นบ๎านนิยมตั้งด๎วยภาษาไทยและใช๎ชื่อที่ แสดงถึงสภาพแวดล๎อม บริเวณวัดหรือสิ่งที่มีอยูํในวัด ในขณะที่การตั้งชื่อราชการนิยมใช๎ภาษาบาลี สันสกฤตและใช๎ความหมายที่เกี่ยวข๎องกับ บุคคลในการสร๎างวัด สําหรับการศึกษาความสัมพันธ๑ของชื่ อพื้นบ๎านพบวํา ชื่อพื้นบ๎านเมื่อเปลี่ยนเป็นชื่อราชการนั้น จะ มีความหมายเกี่ยวกับชื่อบุคคลมากที่สุดซึ่งสะท๎อนให๎เห็นความสําคัญของบุคคล โดยเป็นการประกาศคุณงามความดีให๎ บุคคลอื่นได๎รับทราบ ในป๓จจุบันเริ่มมีการศึกษาการเปลี่ยนแปลงของชื่อสถานที่กันมากขึ้น ซึ่งการศึกษาการเปลี่ยนแปลงดังกลําวจะ ทําให๎เห็นการเปลี่ยนแปลงทั้งทางด๎านภาษาและความหมาย อันจะทําให๎เห็น ความคิด ความเชื่อและคํานิยมที่ เปลี่ยนแปลงไปของคนในชุมชนหรือคนในท๎องถิ่นนั้น ๆ ตารางที่ 1 รูปแบบการศึกษาชื่อบ๎านนามเมือง จําแนกตามปี พ.ศ. ของการศึกษา ชือ่ ผูแ๎ ตํง
จินตนา ยอดยิ่ง
พูนศรี คัมภีร๑ปกรณ๑
อัมมร ธุระเจน
พูนจิตร บิดร
ปรานี บานชื่น
ชือ่ เรือ่ ง ประวัติชื่อตําบลและหมูํบ๎าน ในเขตอําเภอเมืองแพรํ จังหวัดแพรํ ภูมินามของชื่อหมูํบ๎านและ ตําบลในเขตอําเภอเมือง จังหวัดขอนแกํน ประวัติของชื่อตําบลและ หมูํบ๎านในอําเภอเมือง นครศรีธรรมราช การศึกษาชื่อหมูํบ๎านและ ตําบลในอําเภอเมือง จังหวัดขอนแกํน ความหมาย และประวัติ ความเป็นมาของการตั้งชื่อ ตําบล หมูํบ๎าน สถานที่สํา สําคัญตําง ๆในเขตเลย
ปี พ.ศ.
ระดับพืน้ ทีข่ อง การศึกษา
ข๎อมูลมิตขิ องการศึกษา
ผลของการศึกษา
2519
ระดับอําเภอ
ภาษาศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑สังคม
โครงสร๎างและประเภทของคํา ประวัติศาสตร๑สังคม
2520
ระดับอําเภอ
ภาษาศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑สังคม
โครงสร๎างและประเภทของคํา ประวัติศาสตร๑สังคม
2521
ระดับอําเภอ
ภาษาศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑สังคม
โครงสร๎างและประเภทของคํา ประวัติศาสตร๑สังคม
2521
ระดับอําเภอ
ภาษาศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑สังคม
โครงสร๎างและประเภทของคํา ประวัติศาสตร๑สังคม
2527
ระดับจังหวัด
ภาษาศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑สังคม
โครงสร๎างและประเภทของคํา ประวัติศาสตร๑สังคม
~ 22 ~ ชือ่ ผูแ๎ ตํง
ชือ่ เรือ่ ง
ปี พ.ศ.
ระดับพืน้ ทีข่ อง การศึกษา
ข๎อมูลมิตขิ องการศึกษา
ผลของการศึกษา
สุธิวงศ๑ พงศ๑ไพบูลย๑
ชื่อบ๎านนามเมืองในภาคใต๎ สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต๎ พ.ศ. 2529 เลํม 3
2529
ระดับภาค
ประวัติศาสตร๑ ภาษาศาสตร๑
สุวิไล เปรมศรีรัตน๑ และ สุขุมาวดี ขําหิรญั
ชื่อหมูํบ๎านของอําเภอเมือง สุรินทร๑
2531
ระดับอําเภอ
ประวัติศาสตร๑ ภาษาศาสตร๑
2532
ระดับจังหวัด
ภาษาศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑สังคม
ประวัติศาสตร๑เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ลักษณะของคํา โครงสร๎างหน๎าที่ของคํา การเปลี่ยนแปลงความหมาย ของคํา ประวัติศาสตร๑เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ลักษณะของคํา โครงสร๎างหน๎าที่ของคํา การเปลี่ยนแปลงความหมาย ของคํา โครงสร๎างและประเภทของคํา ประวัติศาสตร๑สังคม
2532
ระดับจังหวัด
ภาษาศาสตร๑
โครงสร๎างและประเภทของคํา
2532
ระดับอําเภอ
ภาษาศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑สังคม
โครงสร๎างและประเภทของคํา ประวัติศาสตร๑สังคม
2532
ระดับจังหวัด
ภูมิศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑ สังคม และวัฒนธรรม
2534
ระดับจังหวัด
ภูมิศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑สังคม ภาษาศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑สังคม และการ เปลี่ยนแปลงทางสังคม ภาษาศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑สังคม
ภูมิศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑ สังคม และวัฒนธรรม วรรณกรรมท๎องถิ่น ภูมิศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑ สังคม ลักษณะของคํา ประวัติศาสตร๑ชุมชนและ วัฒนธรรม โครงสร๎างและประเภทของคํา ประวัติศาสตร๑สังคม
ภาษาศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑สังคม
โครงสร๎างและประเภทของคํา ประวัติศาสตร๑สังคม
ไพฑูรย๑ ปิยะปกรณ๑ นคร สารสมุทร มยุรี สีชมพู
วิบัณฑิตา ชํวยชูวงศ๑
สมศักดิ์ เส็งสาย
วนิดา ตรีสินธุรส กรรณกา ธรรมวัติ โฉมสุภางค๑ ทอง ปลิว
กนกวรรณ อารีย๑พัฒน ไพบูลย๑
ภูมินามของชื่อหมูํบ๎าน ในจังหวัดชัยภูมิ ภูมินามวิทยาเขตจังหวัด เชียงราย วิเคราะห๑การตั้งชื่อหมูํบ๎าน ในเขตอําเภอเมือง จังหวัด ยโสธร วัฒนธรรมภาษาชื่อหมูํบ๎าน ในจังหวัดมหาสารคาม ชื่อบ๎านนามเมืองที่ปรากฏ ในวรรณกรรมเรื่องผาแดง นางไอํ ชื่อบ๎านนามเมืองในเขต อําเภอโชคชัย จังหวัด นครราชสีมา การวิเคราะห๑ชื่อหมูบํ ๎าน ในจังหวัดศรีสะเกษ ความหมายของชื่อหมูํบ๎าน และตําบลในเขตอําเภอเมือง เลย จังหวัดเลย การวิเคราะห๑ชื่อหมูบํ ๎าน ในเขตอําเภอทําบํอ จังหวัด หนองคาย
2534
ระดับอําเภอ
2534
ระดับจังหวัด
2534
ระดับอําเภอ
2534
ระดับอําเภอ
ภาษาศาสตร๑
ลักษณะของคํา โครงสร๎างหน๎าที่ของคํา การเปลี่ยนแปลงความหมาย ของคํา
~ 23 ~ ชือ่ ผูแ๎ ตํง ปราณี กุลละวณิชย๑ อิงอร สุพันธุ๑วณิช และ อาณัติ หมานสนิท รุํงอรุณ ทีฆชุณหเถียร และ มะลิวัลย๑ บูรณพัฒนา นฤมล เก๎าเอี้ยน อรพินท๑ ศิริพงษ๑ ศันสนีย๑ วีระศิลป์ชัย ประภาศรี พวงจันทร๑ หอม น๎องนุช มณีอินทร๑ สุจริตลักษณ๑ ดีผดุง และ วชิราภรณ๑ วรรณดี วรรณา นาวิกมูล และคณะ สุพัตรา จิรนันทนา ภรณ๑ และ อัญชลี สิงห๑น๎อย
สุจิตร วงษ๑เทศ
ชือ่ เรือ่ ง ชื่อหมูํบ๎านในมณฑลกวางสี และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของประเทศไทย ชื่อบ๎านในสี่จังหวัดภาคใต๎: ยะลา ป๓ตตานี นราธิวาส สตูล ชื่อหมูํบ๎านในอําเภอทําอุ เทน จังหวัดนครพนม วัฒนธรรมที่เกี่ยวข๎องกับชื่อ หมูํบ๎านในจังหวัดสตูล ชื่อหมูํบ๎านในเขตอําเภอ เมือง จังหวัดบุรีรัมย๑ ชื่อบ๎านนามเมือง ชื่อหมูํบ๎านและตําบลใน อําเภอเมือง จังหวัด เพชรบูรณ๑ การปรับเปลี่ยนของชื่อ หมูํบ๎านในจังหวัดเชียงใหมํ ชื่อหมูํบ๎านในภูมิภาค ตะวันตกของประเทศไทย: กรณีศึกษาเบื้องต๎น ชื่อบ๎านนามเมืองจังหวัดตรัง โครงสร๎างทางภาษาภูมินาม ของหมูํบ๎านในจังหวัด อุตรดิตถ๑ ภูมินามของหมูํบ๎านในเขต ภาคเหนือตอนลํางจังหวัด อุทัยธานี ชื่อบ๎านนามเมือง สมุทรสงคราม ชื่อบ๎านนามเมืองจังหวัด อํานาจเจริญ ชื่อบ๎านนามเมือง จังหวัด นครพนม
ปี พ.ศ.
ระดับพืน้ ทีข่ อง การศึกษา
ข๎อมูลมิตขิ องการศึกษา
ผลของการศึกษา
2535
ระดับชาติ และ นานาชาติ
ภาษาศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑สังคม
โครงสร๎างและประเภทของคํา ประวัติศาสตร๑สังคม
2535
ระดับจังหวัด
ภาษาศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑สังคม
โครงสร๎างและประเภทของคํา ประวัติศาสตร๑สังคม ลักษณะของคํา โครงสร๎างหน๎าที่ของคํา การเปลี่ยนแปลงความหมาย ของคํา โครงสร๎างและประเภทของคํา ประวัติศาสตร๑สังคม ภูมิศาสตร๑ ตํานานและนิทานพื้นบ๎าน ประวัติศาสตร๑เศรษฐกิจชุมชน ท๎องถิ่น
2536
ระดับอําเภอ
ภาษาศาสตร๑ และภูมิศาสตร๑
2536
ระดับจังหวัด
ภาษาศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑สังคม
2538
ระดับอําเภอ
ภูมิศาสตร๑
2538 2541
ระดับจังหวัด
ประวัติศาสตร๑ชุมชนท๎องถิ่น
2539
ระดับอําเภอ
ภาษาศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑สังคม
โครงสร๎างและประเภทของคํา ประวัติศาสตร๑สังคม
2543
ระดับจังหวัด
ภาษาศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑สังคม
โครงสร๎างและประเภทของคํา ประวัติศาสตร๑สังคม
2544
ระดับภาค
ภาษาศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑สังคม
โครงสร๎างและประเภทของคํา ประวัติศาสตร๑สังคม
2547
ระดับจังหวัด
ภาษาศาสตร๑
ลักษณะของคํา โครงสร๎างหน๎าที่ของคํา
ระดับจังหวัด
ภาษาศาสตร๑
การวิเคราะห๑โครงสร๎างทาง ภาษา
ระดับจังหวัด
ประวัติศาสตร๑
ประวัติศาสตร๑สังคม
2548 2550
2549 2549 2556
~ 24 ~ ชือ่ ผูแ๎ ตํง ปรัศนี ธํารงโสตถิ สกุล โอฬาร รัตนภักดี และ วิมลศิริ กลิ่นบุปผา มาโนช ดินลานสกูล วรรณภา บุญประทีป ปภัสรา คําวชิรพิทักษ๑
วิภาวดี ริบุญมี
นลินี อําพินธ๑
ประพนธ๑ เรืองณรงค๑
ชือ่ เรือ่ ง การศึกษาชื่อหมูํบ๎านใน อําเภอกงไกรลาส จังหวัด สุโขทัย ภูมินามของหมูํบ๎านใน จังหวัดลําพูน ภูมินามของหมูํบ๎านใน จังหวัดลําปาง ชื่อบ๎านนามเมือง : เรื่อง เลําชีวิตคน และชุมชนลุํม ทะเลสาบสงขลา การศึกษาชื่อหมูํบ๎านในเขต อําเภอเมืองจังหวัดลพบุรี ชื่อหมูํบ๎านในจังหวัดชัยภูมิ การศึกษาเปรียบเทียบชื่อ หมูํบ๎านในเขตอําเภอเมือง กับอําเภอวังมํวง จังหวัด สระบุรี ชื่อบ๎านนามเมืองจังหวัด บุรีรัมย๑ กรณีศึกษาอําเภอพุท ไธสง นาโพธิ์ และบ๎าน ใหมํชัยพจน๑ ชื่อบ๎านนามเมืองภาษา มาลายูในคาบสมุทรภาคใต๎ ของไทย ชื่อบ๎านนามเมืองภาคใต๎
ปี พ.ศ.
ระดับพืน้ ทีข่ อง การศึกษา
ข๎อมูลมิตขิ องการศึกษา
ผลของการศึกษา
2550
ระดับอําเภอ
ภาษาศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑สังคม
โครงสร๎างและประเภทของคํา ประวัติศาสตร๑สังคม
2550 2551
ระดับจังหวัด
ภาษาศาสตร๑ และ ประวัติศาสตร๑
โครงสร๎างทางภาษา การเปลี่ยนแปลงทางสังคม วัฒนธรรม
2552
ระดับจังหวัด
ประวัติศาสตร๑ชุมชนท๎องถิ่น
ประวัติศาสตร๑เศรษฐกิจชุมชน ท๎องถิ่น
2553
ระดับอําเภอ
ภาษาศาสตร๑
2553
ระดับจังหวัด
ภาษาศาสตร๑
2555
ระดับอําเภอ
ภาษาศาสตร๑
2557
ระดับอําเภอ
ประวัติศาสตร๑สังคมและ วัฒนธรรม
ประวัติศาสตร๑สังคมและ วัฒนธรรม
2559
ระดับภาค
2551
ระดับภาค
ภาษาศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑สังคมวัฒนธรรม
ภาษาศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑สังคมวัฒนธรรม
ลักษณะของคํา โครงสร๎างหน๎าที่ของคํา ลักษณะของคํา โครงสร๎างหน๎าที่ของคํา ลักษณะของคํา โครงสร๎างหน๎าที่ของคํา การเปลี่ยนแปลงความหมาย ของคํา
~ 25 ~ บทที่ 3 ระเบียบวิธวี ิจยั ขอบเขตของการวิจัย งานวิจัยนี้ศึกษาเชิงภาษาและประวัติศาสตร๑ วัฒนธรรมของชื่อหมูํบ๎าน 165 หมูํบ๎าน ในอําเภอเมืองจังหวัด นครพนม ตามข๎อมูลจากเว็ปไซต๑ขององค๑การบริหารสํวนตําบลจังหวัดนครพนมในปี พ.ศ. 2559 และทําเนียบชื่อ หมูํบ๎านของอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ปี พ.ศ. 2559 ข๎อมูล ข๎อมูลที่ใช๎ในการศึกษาครั้งนี้ ได๎แกํ ข๎อมูลหมูํบ๎านในอําเภอเมือง จังหวัดนครพนม จํานวน 165 หมูํบ๎าน ข๎อมูลที่ใช๎ในการศึกษามี 2 ประเภทได๎แกํ ข๎อมูลเอกสารและข๎อมูลสนาม ดังนี้ 1) ข๎อมูลเอกสาร ข๎อมูลเอกสาร ได๎จากการสืบค๎นเอกสารที่เป็นหนังสือ งานวิจัย และวิทยานิพนธ๑ที่เกี่ยวข๎องกับ การศึกษาชื่อหมูํบ๎าน ทําเนียบชื่อหมูํบ๎านของอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ปี พ.ศ. 2559 รวมถึงข๎อมูล หมูํบ๎านจากเว็บไซต๑ขององค๑การบริหารสํวนตําบลทั้ง 13 แหํงในอําเภอเมืองจังหวัดนครพนม ได๎แกํ องค๑การบริหาร สํวนตําบลนาทราย องค๑การบริหารสํวนตําบลนาราชควาย องค๑การบริหารสํวนตําบลกุรุคุ องค๑การบริหารสํวนตําบล บ๎านผึ้ง องค๑การบริหารสํวนตําบลอาจสามารถ องค๑การบริหารสํวนตําบลขามเฒํา องค๑การบริหารสํวนตําบลบ๎านกลาง องค๑การบริหารสํวนตําบลทําค๎อ องค๑การบริหารสํวนตําบลคําเตย องค๑การบริหารสํวนตําบลหนองญาติ องค๑การบริหาร สํวนตําบลดงขวาง องค๑การบริหารสํวนตําบลวังตามัว และองค๑การบริหารสํวนตําบลโพธิ์ตาก 2) ข๎อมูลภาคสนาม ผู๎วิจัยจะทําการติดตํอขอข๎อมูลทั่วไปเกี่ยวกับอําเภอเมืองนครพนมที่ที่วําการอําเภอเมือง จังหวัด นครพนม ในขั้นต๎น หลังจากทําการศึกษาข๎อมูลที่ได๎ พร๎อมกับสภาพภูมิประเทศและเส๎นทางการเดินทางแล๎ว จะ ดําเนินการเก็บข๎อมูลทั้ง 165 หมูํบ๎าน โดยการสัมภาษณ๑ผู๎ให๎ข๎อมูลหลัก ได๎แกํ กํานัน ผู๎ใหญํบ๎าน ผู๎ชํวยผู๎ใหญํบ๎าน สมาชิกองค๑การบริหารสํวนตําบล และผู๎เฒํ าผู๎แกํที่อาศัยอยูํในหมูํบ๎านมาเป็นระยะเวลานาน โดยมีกรอบประเด็นที่ สัมภาษณ๑ดังตํอไปนี้ ก. ลักษณะรูปเขียนและเสียงอํานชื่อหมูบ๎าน
~ 26 ~ ข. ประวัติการกํอตั้งหมูํบ๎าน (ปี พ.ศ. และเหตุการณ๑สําคัญตําง ๆ) ค. ความเป็นมาของชื่อหมูํบ๎าน ง. อาณาเขตและสภาพภูมิประเทศของหมูํบ๎าน จ. จํานวนประชากร และกลุํมชาติพันธุ๑ ฉ. ข๎อมูลอื่น ๆ เชํน การประกอบอาชีพของชาวบ๎าน การวิเคราะห๑ข๎อมูล ข๎อมูลเอกสารที่ได๎ จะถูกนํามาประมวลและวิเคราะห๑เป็นหลักการและเหตุผลของงานวิจัย รวมถึงการทบทวน วรรณกรรมและการออกแบบการเก็บและวิเคราะห๑ข๎ อมูล สําหรับข๎อมูลภาคสนามที่ได๎มานั้น ผู๎วิจัยจะนํามาวิเคราะห๑ใน สองประเด็นหลักโดยใช๎ตาราง แผนภาพ และข๎อมูลแผนที่ประกอบ ซึ่งได๎แกํ ก. ประเด็นทางภาษาประกอบกับเหตุผลในการตั้งชื่อ การวิเคราะห๑ชื่อหมูํบ๎านในทางภาษาแบํงออกเป็น การวิเคราะห๑ทางโครงสร๎าง และความหมายของ ชื่อ ในทางโครงสร๎างจะพิจารณาจํานวนคํา การสร๎างความสัมพั นธ๑ และชนิดของคําที่นํามาประกอบกันเป็นชื่อ หมูํบ๎าน ในการวิเคราะห๑ความหมายจะพิจารณาวงความหมายของคําที่ได๎จากการวิเคราะห๑โครงสร๎าง ข. ประเด็นทางวัฒนธรรม วิเคราะห๑ประวัติศาสตร๑ วิถีชีวิต ความเชื่อ และวัฒนธรรมที่สะท๎อนออกมาจากการตั้งชื่อ หมูํบ๎าน แสดงความสัมพันธ๑ระหวํางชื่อหมูํบ๎านกับการกระจายตัวของชุมชน(หมูํบ๎าน) ในอําเภอ เมือง จังหวัดนครพนม ในทางประวัติศาสตร๑ และภูมิศาสตร๑โดยใช๎แผนที่ประกอบ แหลํงที่มาของคําศัพท๑ และอักษรยํอบอกชนิดของคําตามหลักไวยากรณ๑และอักษรศาสตร๑ในวงเล็บ ดังนี้ 1) อักษรยํอบอกชนิดของคําตามหลักไวยากรณ๑ ก. คํากริยา น. คํานาม บ. คําบุรพบท ว. คําวิเศษณ๑ ส. คําสรรพนาม สัน. คําสันธาน อ. คําอุทาน
~ 27 ~ 2) อักษรยํอในวงเล็บ (พ.) (ล.) (ลว.) (อ.) (อภ.)
คําในภาษาลาวพวน คําในภาษาลาวลานนาและพายัพ คําในภาษาลาวเวียงจันทน๑และประเทศลาวป๓จจุบัน คําในภาษาลาวอีสานคือลาวภาคอีสานของประเทศไทยป๓จจุบัน คําในอักขราภิธานศรับท๑ (ค.ศ. 1873, พ.ศ. 2416)
3) แหลํงที่มาของคํา (การะศัพท๑.) (พจน๑.) (พจน๑. ลาว.) (พจน๑. อีสาน.) (ภาษา.) (มหาชาติ.) (มูล.) (สารา.) (หนังสือพรรณไม๎.) (หลัก.) (อภิ. พวน.) (อภิ. พายัพ.) (อภิ. ลาว.)
การระศัพท๑อีสานฉบับปณิธานสมเด็จ พจนานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2493 พจนานุกรมสมัยภาษาลาวของกระทรวงศึกษาธิการลาว พจนานุกรมภาคอีสาน-ภาคกลาง ภาษาถิ่น มหาชาติ มูลศาสนา สารานุกรมภาษาอีสาน หนังสือชื่อพรรณไม๎แหํงประเทศไทย หลักภาษาไทยพายัพ อภิธานภาษาลาวพวนในจังหวัดสระบุรี และลพบุรี อภิธานภาษาพื้นเมืองมณฑลพายัพ อภิธานภาษาลาว
~ 28 ~ บทที่ 4 ผลการศึกษาชื่อหมูํบา๎ นในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ตามรูปภาษาและความหมาย การศึกษารูปภาษาและความหมาย 1. ตําบลนาทราย บ๎านดอนยานาง รูปภาษาและความหมาย ดอน (ล. อ.) (ลว.) (อ.) ยา 1. ยา 2.
(อ.) (ลว.)
ยา 3. ยา 4.
(ลว.) (ลว.)
ยานาง กลุํมชาติพันธุ๑
(ลว.)
บ๎านนามูลฮิ้น รูปภาษาและความหมาย นา (อ.) มูน (มูล)
(ลว.)
น. ที่ดอน , เกาะ, เกาะในแมํน้ํา ก. ฟูาขึ้น, เดํนขึ้น น. ปุาไม๎ที่มีน้ําอ๎อมอยูํ, ปุาน๎อยที่มีอยูํในระหวํางปุาใหญํ, จุกขวด ก. กระดอน, สะท๎อน (การะศัพท๑. พจน๑. พจน๑. ลาว.) ก. อยํา ใช๎เป็นคําห๎าม (พจน๑., อีสาน) น. ยาสําหรับแก๎พยาธิตําง ๆ , ต๎นไม๎ชนิดหนึ่งใช๎ใบวอยเป็นเส๎น ตากให๎แห๎งเอามามวนจุดไฟสูด ก. รักษาให๎หายพยาธิ, ทําให๎หายรัว่ (พจน๑. ลาว.) ตัดมาจากคําวํา อาขยา (-ญา) ใช๎นําหน๎านามของผู๎มียศศักดิ์สูง เชํน ยาพํอ, ยาแมํ เป็นต๎น (พจน๑. ลาว.) น. (เครือ) ไม๎เลื้อยชนิดหนึ่ง ใช๎ใบเป็นสํวนผสมในแกงลาว ไทยอีสาน
น. นา นาแซง = นาปรัง, นาทาม = นาลุํม, นาโคก = นาดอน นาทม = นาที่ราบลุํมในที่ดอน (การะศัพท๑) น. ราก, เหง๎า, เค๎า, ที่ดั้งเดิม, สมบัติเดิม, สมบัติที่ได๎มาจากพํอแมํ ราคา, ต๎นทุน
~ 29 ~
กลุํมชาติพันธุ๑
ก. เอาข๎าวเหนียวนึ่งผสมกับน้ํากะทิสด (พจน๑. ลาว.) น. รากต๎น, เค๎า, ที่ตั้ง, เดิม (พจน๑. ลาว.) น. แมลงขนาดเล็กคล๎ายแมลงหวี่ชอบกัดกินเลือดคน = ริน้ ฮิ้น ก็วํา (พจน๑. ลาว., พจน๑. อีสาน.) น. ริ้น แมลงตัวเล็ก ๆ คล๎ายแมลงหวี่ชอบกัดกินเลือดคนเป็น อาหาร เรียก ฮิ้น อยํางวํา คันวํายํากลําวแล๎วหลานเลําเลยจา ยํานี้ป๓ญญาเล็กสํองเห็นตับฮิ้น ยําโลดกินแตํอ๎อยปล๎องถี่ลําหวาน บอกให๎ฝูงหลานกินแตํเลาตางอ๎อย ญ๎อ/กะเลิง
บ๎านโพนงาม รูปภาษาและความหมาย โพน (อ.) (พ., ลว.) งาม 1 (ลว.) งาม 2 (ล.) กลุํมชาติพันธุ๑
น. จอมปลวก, เนินดิน (พจน๑) น. กองดินสูง, มูลดิน, จอมปลวก (อภิ. พวน.) ว. จบ, ดี, เป็นที่นํารัก, สวย (พจน๑. ลาว.) ว. สวย (หลัก.) ไทยอีสาน
มูละ (มูล) ฮิ้น
(ลว.) (ลว.) (อ.)
ฮิ้น
(สารา.)
บ๎านนาคํากลาง รูปภาษาและความหมาย นา (อ.) คํา
กาง
น. นา นาแซง = นาปรัง, นาทาม = นาลุํม, นาโคก = นาดอน นาทม = นาที่ราบลุํมในที่ดอน (การะศัพท๑) (ลว.) (ล.) (อ.) น. ทองคํา, คําพูด, ความ เชํน คําเคิงเคียด = ความขึ้งเคียด ขันคํา = ขันทองคํา (ก.) ลูบคลํา, คา หมายถึง คาไว๎แนํน, เลย เชํน บํได๎สักคํา = ไมํได๎เลย ที เชํน เขี้ยนสองคํา = เฆี่ยนสองที (อภิ. มูล. พจน๑.ลาว.) (ล.) น. คาง, จามจุรีปุา, จามจุรีดง (ต๎นไม๎) , คาง, สํวนที่อยูํใต๎ปาก (อวัยวะ) (อ.) น. ใจกลาง, สํวนกลาง, ชื่อโรคชนิดหนึ่งมักเป็นแผลที่ลิ้นหรือที่
~ 30 ~
(อ.) (อ.) กลุํมชาติพันธุ๑
ปากเรียกวํา ลิ้นเป็นกลางหรือปากเป็นกลาง ก. ถํางออก, เหยียดออก, ขึงออก ว. กําง, แบะ (หนังสือพรรณไม๎, หลัก., พจน๑.อีสาน.) ไทยอีสาน
บ๎านอํางคํา รูปภาษาและความหมาย อําง (พ.)
คํา
กลุํมชาติพันธุ๑
น. ภาชนะสําหรับใสํน้ําเป็นต๎น มักมีลักษณะกลม ปากผายก๎นตื้น โดยปริยายใช๎เรียกสิ่งที่มีลักษณะคล๎ายคลึงเชํนนั้น เชํน อําง อาบน้ํา ว. อาการที่พูดไมํใครํออกทันใจ คือกวําจะพูดได๎แตํละคําต๎องย้ํา เป็นอําง หรือ พูดติดอําง (ลว.) (ล.) (อ.) น. ทองคํา, คําพูด, ความ เชํน คําเคิงเคียด = ความขึ้งเคียด ขันคํา = ขันทองคํา (ก.) ลูบคลํา, คา หมายถึง คาไว๎แนํน, เลย เชํน บํได๎สักคํา = ไมํได๎เลย ที เชํน เขี้ยนสองคํา = เฆี่ยนสองที (อภิ. มูล. พจน๑.ลาว.) ไทยอีสาน
บ๎านหัวโพน รูปภาษาและความหมาย หัว (ล.)
กลุํมชาติพันธุ๑
ก. หัวเราะ น. เลํม (หนังสือ) (ภาษา., หลัก.) น. จอมปลวก, เนินดิน (พจน๑) น. กองดินสูง, มูลดิน, จอมปลวก (อภิ. พวน.) กะเลิง
บ๎านโนนขาม รูปภาษาและความหมาย โนน (พ.)
น. เนิน ที่สูง.(โบ) ก. นอน. (จารึกสยาม)
โพน
(อ.) (พ., ลว.)
~ 31 ~ ขาม
(ล.) (ลว.อ.)
กลุํมชาติพันธุ๑
ก. กลัว, เกรง, แอบ, ซํอน น. ชื่อต๎นไม๎ชนิดหนึ่ง น. มะขาม (หลัก, การะศัพท๑, พจน๑.ลาว.) ไทยอีสาน
บ๎านโคกทรายคํา รูปภาษาและความหมาย โคก (ลว.) น. ที่ดินสูงและมีปุาไม๎หําง, เนินสูง (พจน๑.ลาว) โคก, โทก (อ.) น. ที่โคกปุาโปรํง, โคก (ล.) น. กองดิน, กองหิน (การะศัพท๑. หลัก) ทราย (อํานวํา ทะราย) (ล.) น. ทราย (สัตว๑) (หลัก.) ทรายเดํน (อ.) น. พรรณไม๎ชนิดหนึ่ง (ต๎นไม๎) (หนังสือพรรณไม๎) ซาย (พ.) น. ชาย, ผู๎ชาย (ล.) น. ทราย (แรํ) (อภิ.พวน.หลัก) คํา (ลว.) (ล.) (อ.) น. ทองคํา, คําพูด, ความ เชํน คําเคิงเคียด = ความขึ้งเคียด ขันคํา = ขันทองคํา (ก.) ลูบคลํา, คา หมายถึง คาไว๎แนํน, เลย เชํน บํได๎สักคํา = ไมํได๎เลย ที เชํน เขี้ยนสองคํา = เฆี่ยนสองที (อภิ. มูล. พจน๑.ลาว.) กลุํมชาติพันธุ๑ ไทยอีสาน 2. ตําบลนาราชควาย บ๎านหนองบัว รูปแบบภาษาและความหมาย หนอง (พ.)
บัว บัวขาว กลุํมชาติพันธุ๑
(ลว.) (อ.)
น. แอํงน้ํา น. น้ําเลือดเสียกลายเป็นสีขาวข๎นที่กลัดอยูํตามแผล และฝีน้ําหนองก็วํา น. ชื่อรวมของพืชจําพวกหนึ่งมีหลายชนิด (พจน๑.ลาว.) น. บุณฑริก (การะศัพท๑) ไทยอีสาน
~ 32 ~ บ๎านนาคู รูปแบบภาษาและความหมาย นา (อ.) คู
(อ.ล.) (ลว.)
กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านสร๎างหิน รูปแบบภาษาและความหมาย สร๎าง (ลว.)
ส๎าง ซําง
(ล.) (ล.) (พ.) (อ.)
ชําง
(ลว.)
หิน 1
(ลว.) (อ.)
น. นา นาแซง = นาปรัง, นาทาม = นาลุํม, นาโคก = นาดอน นาทม = นาที่ราบลุํมในที่ดอน (การะศัพท๑) น. ครู, อาจารย๑ น. ดินที่ป๓้นขึ้นเป็นคันใหญํและสูงกวําคันนา (คูกั้นน้ํา) ก. กริยาที่นกเขาร๎อง เรียกวํา นกเขาคู (พจน๑.ลาว.) ไทยอีสาน
ก. (ส๎าง) เนรมิต บันดาลให๎มีให๎เป็นขึ้นด๎วยฤทธิ์อํานาจ เชํน พระ พรหมสร๎างโลก ทําให๎มีให๎เป็นขึ้นด๎วยวิธีตําง ๆ กัน (ใช๎ทั้งทาง รูปธรรมและนามธรรม) เชํน สร๎างบ๎าน สร๎างเมือง สร๎างศัตรูสร๎าง ชื่อเสียง น. (ส๎าง) โรงขนาดเล็กมียกพื้นข๎างใน สําหรับพระสงฆ๑นั่งสวดพระ อภิธรรม อยูํ 4 มุมพระเมรุ ซําง คดซําง คดสร๎าง สําซําง หรือสําสร๎าง ก็เรียก น. บํอน้ําใต๎ดิน ขุดไว๎เพื่อตักน้ําไว๎ดื่ม หรือใช๎ (พจน๑.ลาว.) น. (ต๎นไม๎) น. ชํางตําง ๆ น. ช๎าง (หนังสือพรรณไม๎. อภิ. พวน. ภาษา.) เชํน ซํางคํา (อ.) น. ชํางทองคํา ก. มีความชํานาญในศิลป, ในการฝีมือ, ปะ, วาง, หยํา (ชํางเคาะ) (พจน๑.ลาว.) เชํน ชํางแต๎ม (อ., ล.) น. ชํางเขียน, ชํางวาดเขียน (มูล) น. ธาตุแข็งชนิดหนึ่งที่ประกอบเป็นภูเขา หินอํอน น. ดินชนิดหนึ่งมีสีขาวใช๎ทําดินสอเพื่อทาตัวตํางแปูง =ดินสอพอง น. หินแฮํ ก๎อนหินเล็ก, เขื่องกวําเมล็ดทราย = กรวด (พจน๑.ลาว, พจน๑.อีสาน)
~ 33 ~ หิน 2
(อ.)
กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านซอง รูปแบบภาษาและความหมาย ซอง (ลว.)
ซอง ซองพู ซองแมว กลุํมชาติพันธุ๑
(ลว.) (ลว.) (ลว.)
บ๎านนาราชควาย รูปแบบภาพภาษาและความหมาย นา (อ.) ราช
(อ.)
ควาย
(ลว.)
ว. เลว, ทราม, ต่ําช๎า หินชาติ ว. มีกําเนิดต่ํา, เลวทราม หินยาน น. เป็นคําที่ฝุายมหายานเรียกชื่อนิกายฝุายหนึ่งใน พระพุทธศาสนาที่นับถือกันในประเทศไทย พมํา และลังกา (พจน๑.อีสาน.) ไทยอีสาน
น. ซอกหรือชํองแคบ เชํน ซองหัวเรือท๎ายเรือ เรียกวํา ซองเรือ ซอกหรือชํองแคบที่ทําขึ้นสําหรับเอาช๎างม๎าวัวควายเข๎าไปไว๎ในที่ บังคับ น. เครื่องใช๎ที่มีลักษณะแคบสําหรับสอดใสํสิ่งของ เชํน ซองธูป ซองพลู ซองจดหมาย ซองบุหรี่ น. เครื่องจับปลาชนิดหนึ่ง รูปรํางคล๎ายกระบอก แตํมีปากบาน กว๎าง มีงาแซงใสํ ก๎นมีฝาทําด๎วยไม๎ไผํเจาะรูปิด น. เรียกไหชนิดหนึ่ง รูปรํางสูง ๆ ปากเล็กแคบ สําหรับใสํหัว ผักกาดเค็มเป็นต๎น น. เตียง, เตียงนอน, ไม๎มีงํามระหวํางไม๎สองอัน (พจน๑.ลาว) น. แจกันดอกไม๎ (พจน๑.ลาว.) น. ไม๎พุํมชนิดหนึ่งตามแขนงมีนาม (พจน๑.ลาว.) ไทยอีสาน
น. นา นาแซง = นาปรัง, นาทาม = นาลุํม, นาโคก = นาดอน นาทม = นาที่ราบลุํมในที่ดอน (การะศัพท๑) น. พระเจ๎าแผํนดินม, พญา ใช๎สําหรับสัตว๑ เชํน นาคราช, สิงหราช เป็นต๎น คํานี้มักใช๎ประกบคําอื่น ถ๎าคําเดียว ใช๎ ราชา (พจน๑.ลาว.) น. ชื่อสัตว๑เคี้ยวเอื้องชนิดหนึ่ง เป็นสัตว๑กีบคูํ รูปรํางใหญํ สําดํา
~ 34 ~
(ลว.) ควายผู๎ ควายแมํ นาลาดควาย กลุํมชาติพันธุ๑
(ล.) (ล.) (ลง.)
ไทยอีสาน
บ๎านเนินสะอาด รูปแบบภาษาและความหมาย เนิน (ลว.) สะอาด
หรือเทา เขาโค๎งยาง ที่ใต๎คางและหน๎าอกมีขนขาวเป็นรูปงาม ก. โดยปริยายมักหมายความวํา คนโงํ คนเซํอ ฃ หรือคนตัวใหญํแตํไมํฉลาด น. ควายตัวผู๎ (หลัก.) น. ควายตัวเมีย (หลัก.)
(ลว.) (อ.)
กลุํมชาติพันธุ๑
น. ที่สูงขึ้น, ที่ระหวํางสูงกับต่ํา ว. นาน (พจน๑.ลาว.) ว. หมดจด, ผํองใส, ไมํสกปรก, บริสุทธิ์ (พจน๑.ลาว., พจน๑.อีสาน.) ไทยอีสาน
3. ตําบลกุรุคุ บ๎านหนองบัว รูปแบบภาษาและวัฒนธรรม หนอง (ลว.) บัว บัวขาว กลุํมชาติพันธุ๑
(ลว.) (อ.)
บ๎านดํานเกํา รูปแบบภาษาและความหมาย ดําน (ล.) (ลว.)
น. แอํงน้ํา, หนองน้ํา น. ที่ลุํมที่มีน้ําขังอยูํตามทุํงนาและปุา น. ชื่อรวมของพืชจําพวกหนึ่งมีหลายชนิด (พจน๑.ลาว.) น. บุณฑริก (การะศัพท๑) กะเลิง
น. ที่ตั้งรักษาการณ๑ปลายเขตแดน, ดําน, แดน, ทาง น. แดน, เขต, ถิ่นที่อยูํ ดังดํานช๎าง (พจน๑.ลาว)
~ 35 ~ ดํานด๎าว เกํา
(ล.) (ล.)
เกําเกื้อ กลุํมชาติพันธุ๑
(ล.)
น. ปุาดง (พจน๑.ลาว.) น. ของที่ใช๎มานาน, เกํา ว. ไหม เป็นคําถาม เชํน มีเกํา = มีไหม (หลัก.) ว. ดึกดําบรรพ๑, เกํากํอน, แตํกํอน (หลัก.) กะเลิง
บ๎านกุรุคุ รูปแบบภาษาและความหมาย กุ (ลว.) รุ
คุ
คุตักน้ํา กลุํมชาติพันธุ๑
ก. สร๎างให๎เป็นเรื่องเป็นขําวขึ้นโดยไมํมีมูล เดา น. ชื่อกล๎วยพันธุ๑หนึ่ง กล๎วยสั้น ก็เรียก (ลว.) ก. ระบายสิ่งที่ไมํต๎องการออกไป เชํน บริษัทรุคนงานเกําออก พี่รุเสื้อผ๎าให๎น๎อง ก. ถําย, ไลํ, ทิ้ง (พ.อ. ลว. ล.) ก. จํอม (ฟุบ) เชํน ควายคุ = ควายจํอม, โซม (บอกช๎าง) คุกเขําเมื่อจะนั่ง น. ครุ (ภาชนะสานด๎วยไม๎ไผํ มีรูปคล๎ายตะกร๎า ยาด๎วยขี้ชัน ใช๎ตักน้ํา) (อภิ. พวน. หลัก. ภาษา. พจน๑ลาว.) (ล.) น. ถังตักน้ํา (พจน๑.ลาว.) กะเลิง
บ๎านนาปุง รูปแบบภาษาและความหมาย นา (อ.) ปุง 1
(อ.)
ปุง 2 กลุํมชาติพันธุ๑
(ล.) (อ.)
น. นา นาแซง = นาปรัง, นาทาม = นาลุํม, นาโคก = นาดอน นาทม = นาที่ราบลุํมในที่ดอน (การะศัพท๑) น. ดินที่มีรสเค็มตามชายปุา ซึ่งสัตว๑ปุาชอบกินดินชนิดนี้ งอกได๎ด๎วยธาตุเกลือ จึงได๎ชื่อวําปุง, โปุง (พจน๑.อีสาน.) ก. ผลิ, งอก เชํน ไม๎ปุงใบ = ไม๎ผลิใบ (อภิ. พจน๑.อีสาน.) กะเลิง
~ 36 ~ บ๎านไทยสามัคคี รูปแบบภาษาและความหมาย ไทย (พ.)
สามัคคี กลุํมชาติพันธุ๑
(พ.)
บ๎านหนองหญ๎าไซ รูปแบบภาษาและความหมาย หนอง (ลว.) หญ๎า 1 หญ๎า 2
(ล.) (ลว.) (อ.)
ไซ กลุํมชาติพันธุ๑
(ล.)
บ๎านสุขเจริญ รูปแบบภาษาและความหมาย สุขา, สุขี (ลว.) เจริญ (ลว.) กลุํมชาติพันธุ๑
น. ชื่อประเทศและชนชาติที่อยูํในเอเชียตะวันออกเฉียงใต๎มี พรมแดนติดตํอกับลาว เขมร มาเลเซีย และพมํา ชนเชื้อชาติไทยมี หลายสาขาด๎วยกัน เชํน ไทยใหญํ ไทยดํา ไทยขาว ความมีอิสระใน ตัว ความไมํเป็นทาส คน เชํน ไทยบ๎านนอก วํา คนบ๎านนอกไทย ว. ควรให๎ ใช๎ประกอบเป็นคํานําหน๎าสมาส น. ความพร๎อมเพียงกัน ความปรองดองกัน กะเลิง
น. แอํงน้ํา, หนองน้ํา น. ที่ลุํมที่มีน้ําขังอยูํตามทุํงนาและปุา น. ลูกเคล๎า (หลัก. พายัพ.) น. พืชที่เกิดตามพื้นดินพวกหนึ่ง ใบเป็นเส๎นตรง มีชื่อตําง ๆ กัน ใช๎เรียกชื่อพืชอื่น ๆ บ๎าง หญ๎าข๎าวนก น. หญ๎าชนิดหนึ่งจําพวกต๎น ข๎าว มีใบและรวงคล๎ายข๎าวขึ้นอยูํตามน้ํา หญ๎าขิว น. พืชล๎มลุก ชนิดหนึ่งใบกลิ่นฉุน ลําต๎นเปราะ ต๎นสาบเสือก็วํา หญ๎างวงช๎าง น. ชื่อพรรณไม๎ชนิดหนึ่งใบเป็นขนออกสีขาว เป็นชํอค๎อมลงคล๎าย งวงช๎าง (พจน๑. ลาว., พจน๑. อีสาน.) น. เครื่องมือดักปลา, ลอบ (อู๎) กะเลิง
น. ผู๎มีความสุข, ว. สบาย (ป., ส.) (พจน๑. ลาว.) ก. เติบโต งอกงาม ทําให๎งอกงาม กะเลิง
~ 37 ~ บ๎านหนองปลาดุก รูปแบบภาษาและความหมาย หนอง (ลว.) ปา
(ล.)
ดุก 1 ดุก 2
(ลว.) (ลว.)
กลุํมชาติพันธุ๑
น. แอํงน้ํา, หนองน้ํา น. ที่ลุํมที่มีน้ําขังอยูํตามทุํงนาและปุา น. ปลา (พวน.) / ปาดุก (ปลา-) (ลว.) น. ปลาชนิดหนึ่งไมํมีเกล็ด ตากลมหําง และมีเงี่ยงอยูํที่หูทั้งสองข๎าง, ปลาดุก น. ปลาดุก (พจน๑. ลาว.) น. โครงรํางกายของคนและสัตว๑ (กระดูก), ไม๎ดุก ผลสุก แล๎วมีสี เหลือง แล๎วภายในมีแกํนแข็ง รสหวาน (พจน๑. ลาว.) กะเลิง
บ๎านนาคํา รูปแบบภาษาและความหมาย นา (อ.) คํา
กลุํมชาติพันธุ๑
น. นา นาแซง = นาปรัง, นาทาม = นาลุํม, นาโคก = นาดอน นาทม = นาที่ราบลุํมในที่ดอน (การะศัพท๑) (ลว.) (ล.) (อ.) น. ทองคํา, คําพูด, ความ เชํน คําเคิงเคียด = ความขึ้งเคียด ขันคํา = ขันทองคํา (ก.) ลูบคลํา, คา หมายถึง คาไว๎แนํน, เลย เชํน บํได๎สักคํา = ไมํได๎เลย ที เชํน เขี้ยนสองคํา = เฆี่ยนสองที (อภิ. มูล. พจน๑.ลาว.) กะเลิง
บ๎านหนองเดิ่น รูปแบบภาษาและความหมาย หนอง (ลว.) เดิ่น
(อ. ลว. ล.)
เดิ่นบ๎าน กลุํมชาติพันธุ๑
(อ.)
น. แอํงน้ํา, หนองน้ํา น. ที่ลุํมที่มีน้ําขังอยูํตามทุํงนาและปุา น. ลาน, สนาม, ที่ เดิ่นวัด = ลานวัด เดิ่นบ๎าน = ลานบ๎าน (การะศัพท๑ พจน๑. ลาว. อภิ. ลาว.) น. ลานบ๎าน (ภาษา.) กะเลิง
~ 38 ~ 4. ตําบลบ๎านผึ้ง บ๎านผึ้ง รูปแบบภาษาและความหมาย เผิ้ง (ผึ้ง) (อ., ล.) (ลว.)
กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านวังกระแส รูปแบบภาษาและความหมาย วัง 1 (อ.) (ลว.) วัง 2 (ลว.) (อ.)
กระแส กะแส กลุํมชาติพันธุ๑
(ลว.) (ลว.)
บ๎านนาโพธิ์ รูปแบบภาษาและความหมาย นา (อ.)
น. ผึ้ง (ฮังเผิ้ง = รังผึ้ง) น. แมลงจําพวกเอาละอองเกสรดอกไม๎มาทําน้ําหวาน เรียกวํา น้ําผึ้ง, ไม๎มีดอกจําพวกหนึ่งเกิดตามต๎นไม๎ใหญํเรียกดอกผึ้ง (พจน๑. ลาว. การะศัพท๑. หลัก.) กะเลิง
น. บ๎าน ที่อยูํของเจ๎านาย (พจน๑. ลาว., พจน๑. อีสาน.) น. บริเวณบางตอนของลําน้ําที่เป็นแหลํงกว๎างและลึก วังเวิน น. บริเวณลําน้ํากว๎างที่มีกระแสน้ําวน = วังวน (พจน๑. ลาว., พจน๑. อีสาน.) น. น้ํา, แมํน้ํา, หาง, สาย เชํน กระแสลม = สายลม น. ผ๎าแพรอยํางบาง ๆ (พจน๑. ลาว.) กะเลิง
กลุํมชาติพันธุ๑
น. นา นาแซง = นาปรัง, นาทาม = นาลุํม, นาโคก = นาดอน นาทม = นาที่ราบลุํมในที่ดอน (การะศัพท๑) น. ต๎นไม๎ที่พระพุทธเจ๎าพึ่งอยูํใต๎รํมแล๎วได๎ตรัสรู๎เป็นพระพุทธเจ๎า เรียกวําต๎นโพธิ์ (โพธิ์นี้ลาวเรียกวําต๎นปุาแปู) (พจน๑. ลาว.) กะเลิง
บ๎านนามน รูปแบบภาษาและความหมาย นา (อ.)
น. นา นาแซง = นาปรัง, นาทาม = นาลุํม, นาโคก = นาดอน
โพธิ์
(ลว.)
~ 39 ~
มน
(อ., ล.)
มน.
(ลว.)
มน (มนต๑) กลุํมชาติพันธุ๑
(ลว.)
นาทม = นาที่ราบลุํมในที่ดอน (การะศัพท๑) ว. กลม เชํน มนอุ๎มลุ๎ม = กลมใหญํ, กลมดิก (หลัก., อภิ. พายัพ., อู.๎ , นิทานกําพร๎า.) ว. กลมไมํมีเหลี่ยม, ชื่อผ๎าผืนเล็ก ๆ สําหรับใช๎เช็ดหน๎า (พจน๑. ลาว.) น. คําศักดิ์สิทธิ์, คําสําหรับสวด (พนจ๑. ลาว.) กะเลิง
บ๎านดงสวําง รูปแบบภาษาและความหมาย ดง (ลว.) สวําง 1 (อํานควบ) (ล.) สวําง 2 (ลว.) สวําง 3 (อ.) กลุํมชาติพันธุ๑
น. ปุา, ปุาไม๎ (พจน๑. ลาว.) ก. สรําง(หลัก. พายัพ.) ว. แจ๎ง, สวําง, แจํม, มีแสง, แลเห็นชัด (พจน๑. ลาว.) ว. คลาย, ถอย, บรรเทา (พจน๑. อีสาน) กะเลิง
บ๎านเทพพนม รูปแบบภาษาและความหมาย เทพา (ลว.) พะนม (ลว.) กลุํมชาติพันธุ๑
น. เทวดา, ผู๎ประเสริฐ (พจน๑. ลาว.) น. ภูเขา (พจน๑. ลาว.) กะเลิง
บ๎านดอนมํวง รูปแบบภาษาและความหมาย ดอน (ล.อ.) มํวง (มะมํวง) (ลว.) มํวงก๎อม มํวงปุา กลุํมชาติพันธุ๑
(ล.) (อ.)
น. ที่ดอน น. ชื่อต๎นไม๎ชนิดหนึ่ง เป็นต๎น มีผล ใช๎ผลเป็นอาหาร และมีหลายชนิด (พจน๑. ลาว.) น. ชื่อพรรณไม๎ (ต๎นไม๎) (หนังสือพรรณไม๎.) น. มํวงกะลํอน (การะศัพท๑.) กะเลิง
~ 40 ~ 5. ตําบลอาจสามารถ บ๎านห๎อม รูปแบบภาษาและความหมาย ห๎อม 1 (อ.) ห๎อม 2 (ล.) ห๎อม 3 (ลว.) กลุํมชาติพันธุ๑
น. ชื่องูเหําชนิดหนึ่ง เรียกงูเหําห๎อม (พจน๑. อีสาน.) น. คราม (ต๎นไม๎) (หนังสือพรรณไม๎.) น. ชื่อต๎นไม๎ชนิดหนึ่ง ใช๎ทําสีดําได๎ ก. ห๎อมล๎อม, แหํแหน, เฝูาแหน, ล๎อม (พจน๑. ลาว.) ไทยลาว
บ๎านสําราญ รูปแบบภาษาและความหมาย สําราน (ลว.) กลุํมชาติพันธุ๑
สบายกายสบายใจ, เบาใจ, เย็นใจ (พจน๑. ลาว.) ไทยลาว
บ๎านไผํล๎อม รูปแบบภาษาและความหมาย ไผํ (ล.) ไผํบ๎าน (อ.) ไผํปุา (ล., อ.) ล๎อม 1 ล๎อม 2 กลุํมชาติพันธุ๑
(ล.) (ลว.)
บ๎านอาจสามารถ รูปแบบภาษาและความหมาย อาทมาต (ลว.) กลุํมชาติพันธุ๑
น. ไผํปุา (ต๎น) (หลัก.) น. ไผํสีสุก (การะศัพท๑) น. ไผํ, ไผํหนาม, ไม๎ไผํ (ต๎นไม๎) ไผํปุา (หนังสือพรรณไม๎. การะศัพท๑.) น. กะเม็ง (พืช) (หนังสือไม๎เทศเมืองไทย) (อ.) วงรอบ, กั้นรอบ (พจน๑. ลาว., พจน๑. อีสาน.) ไทยลาว
น. กองทหารหนํวยลาดตระเวนหาขําว น. กองลาดตะเวนชายแดน ไทยแสก
~ 41 ~ บ๎านนาหัวบํ รูปแบบภาษาและความหมาย นา (อ.) หัว
(ลว.)
บํอ
(ล.)
บํอ
กลุํมชาติพันธุ๑
(ลว.)
น. นา นาแซง = นาปรัง, นาทาม = นาลุํม, นาโคก = นาดอน นาทม = นาที่ราบลุํมในที่ดอน (การะศัพท๑) น. สํวนบนสุดของรํางกายของคนหรือสัตว๑ สํวนของพืชพันธุ๑ บางอยํางตอนที่อยูํใต๎ดิน เชํน หัวหอม หัวผักกาด สํวนที่อยูํใต๎ดิน ของพืชบางชนิดเป็นที่เกิดต๎นอํอน สํวนเริ่มต๎นที่เป็นวงของ ตัวหนังสือ สํวนแหํงสิ่งของบางอยํางที่อยูํข๎างหน๎า หรือข๎างต๎น หรื อ แรกเริ่ ม เรี ยกวํ า หัว ของสิ่ ง นั้ น ๆ เชํน หั วเรื อ หั ว ถนน หั ว ที ชํวงแรกเริ่มของเวลา เชํน หัวปี หัววัน หัวคํ่า หัวดึก สํวนแหํง สิ่ง ของที่ เป็ นยอด เชํน หัวฝี สํว นแหํง สิ่ง ของที่ ยื่นเดํนออกไป เชํ น หัวแหลม หัวสะพาน ในการเลํนป๓่นแปะหรือโยนหัวโยนก๎อย เรียก สมมุติด๎านหนึ่งของเงินปลีกวํา ด๎านหัว คูํกับ ด๎านก๎อย สํวนที่ตรง ข๎ามกับหางหรือท๎าย เชํน หัวแถวหางแถว หัวเรือ สํวนที่ตรงข๎าม กับ ก๎น ในความวํา หัวหวานก๎น เปรี้ย ว สํวนที่ เป็ น แกํนสาร เชํ น หัวยา หัวเหล๎า น. สติป๓ญญา ความสามารถพิเศษ ความคิดริเริ่ม เชํน เด็กคนนี้มี หัวทางดนตรี ผู๎ที่มีความคิดหนักไปทางใดทางหนึ่ง เชํน หัว กฎหมาย ป๓ญญา ความคิด เชํน หัวดี หัวไว.(โบ) ก. เปลํงเสียงแสดงความขบขัน ดีใจ ชอบใจ เป็นต๎น หัวเราะ หรือ หัวรํอ ก็วํา ใช๎วํา หวัว หวัวเราะ หรือ หวัวรํอ ก็มี. ว. ไมํ, ไมํมี
น. หลุม ว. เป็นคําปฏิเสธความหมายของคําที่ใช๎กีดกันไป เชํน บํอดี บํอมี บํอได๎ = ไมํดี ไมํมี ไมํได๎ เป็นต๎น เป็นคําตํอท๎ายคํากิริยาให๎เป็นคําถาม เชํน ได๎บํอ, มีบํอ = ได๎ไหม มีไหม เป็นต๎น น. ที่เกิดเหตุเชํน บํอเงิน, บํอทอง, บํอแก๎ว เป็นต๎น (อภิ. พายัพ., พจน๑. ลาว.) ไทยลาว
~ 42 ~ บ๎านคําเกิ้ม รูปแบบภาษาและความหมาย คํา (ลว.) (ล.) (อ.) น. ทองคํา, คําพูด, ความ เชํน คําเคิงเคียด = ความขึ้งเคียด ขันคํา = ขันทองคํา เกิ้ม (ล.) น. มะกอกเลื่อม, มะกอกเกลื้อน (ต๎นไม๎) กล๎ามเนื้อ. (หนังสือพรรณไม๎., หลัก.) กลุํมชาติพันธุ๑ ไทยลาว บ๎านนาสมดี รูปแบบภาษาและความหมาย นา (อ.) สมพอดี ส๎มพอดี
(อ.) (ลว.) (อ.)
กลุํมชาติพันธุ๑
น. นา นาแซง = นาปรัง, นาทาม = นาลุํม, นาโคก = นาดอน นาทม = นาที่ราบลุํมในที่ดอน (การะศัพท๑) ว. เหมาะสม (การะศัพท๑., อีสาน.) น. ไม๎ชนิดหนึ่ง จําพวกกระเจีย๊ บ ลําต๎นคล๎ายต๎นปอ มีรสเปรี้ยว (พจน๑. ลาว., ไม๎เทศ, การะศัพท๑. อีสาน.) ไทยลาว
6. ตําบลขามเฒํา บ๎านขามเฒํา รูปแบบภาษาและความหมาย ขาม (ล.)
กลุํมชาติพันธุ๑
ก. กลัว, เกรง, แอบ, ซํอน น. ไม๎ชนิดหนึ่ง น. มะขาม (หลัก., การะศัพท๑., อภิ.พายัพ., อู.๎ , พจน๑. ลาว.) ว. แกํ มีอายุมาก เถ๎า ก็ใช๎ น. คนแกํ, คนมีอายุมาก. ว. แกํ, มีอายุมาก กะเลิง
บ๎านกุดข๎าวปุูน รูปแบบภาษาและความหมาย กุด (ลว.)
น. หนองน้ําที่กว๎างและยาว ตํอมาตื้นเขินขาดเป็นห๎วง ๆ ห๎วงที่
เฒํา
(ลว. อ.) (ลว.)
~ 43 ~
เข๎าปุูน เข๎าปุูน กลุํมชาติพันธุ๑
(ล.) (พ.)
บ๎านนาโดน รูปแบบภาษาและความหมาย นา (อ.) โดน
(อ.) (ลว.)
กระโดน
(ลว.)
กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านชะโงม รูปแบบภาษาและความหมาย ชะ (ล.) ชะ
(อภ.)
โงม กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านกล๎วย รูปแบบภาษาและความหมาย
ขาดนี้แหละเรียก กุด เชํน กุดตอ กุดโดน กุดจับ กุดปลาขาว กุดศรีมังคละ น. ขนมจีน, ขนมเส๎นก็วํา (พจน๑. อีสาน.) น. ขนมจีน (อภิ.พวน.) ไทยลาว
น. นา นาแซง = นาปรัง, นาทาม = นาลุํม, นาโคก = นาดอน นาทม = นาที่ราบลุํมในที่ดอน (การะศัพท๑) ว. นาน ก. ตํา, ชนโดยแรง น. คํายทหาร (ภาษา. พจน๑. ลาว.) น. ชื่อต๎นไม๎ชนิดหนึ่ง น. ต๎นไม๎ที่ใช๎ใบกินเป็นอาหารได๎ เรียก ต๎นกระโดน มีสามชนิด คือ ชนิดที่เกิดตามที่ดอน เรียกกระโดนโคก ชนิดที่เกิดในที่ลุํมหรือ ริมน้ําลําธาร เรียก กระโดนน้ํา ชนิดต๎นเล็ก ๆ เกิดตามทุํงนาหรือ ปุาละเมาะ เรียก กระโดนเปลี้ย กระโดนเตี้ยก็วํา ไทยลาว
ก. แขยง เชํน ของชะ = ของนําแขยง, สะอิดสะเอียน สกปรก. (หลัก.) ก. ชําระล๎าง คืออาการที่ชําระหรือล๎างนั้น เหมือนอยํางคนเจ็บล๎าง บาดแผลด๎วยน้ําชะ เป็นต๎น (หน๎า 172) ก. งาม ไทยลาว
~ 44 ~ กล๎วย
(ล.) (อภ.)
กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านชะโนด รูปแบบภาษาและความหมาย ชะโนด
กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านใหมํศรีปทุม รูปแบบภาษาและความหมาย ปะทุม (อภ.) ปทุม (พ.)
ใหมํศรีปทุม กลุํมชาติพันธุ๑
กล๎วยตานี (ต๎นไม๎) (หลัก.) น. สิ่งที่เป็นต๎น เป็นกาบ ๆ ใบยาวใหญํ ตกเครือเป็นปลี ลูกยาว ๆ สุกกินหวานดี (หน๎า 66) ไทยลาว
น. พืชจําพวกหนึ่งตระกูลปาล๑ม ความสูงของต๎นประมาณ 20 เมตร มีใบเหมือนใบตาล ลําต๎นเหมือนต๎นมะพร๎าว ลูกเป็นเม็ดเล็ก ๆ คล๎ายหมาก ไทยลาว
น. ดอกบัวหลวง (หน๎า 387) น. บัวหลวง, ที่เรียกวําปทุมนั้นเป็นชื่อมาแตํโบราณ หมายเฉพาะ เอาดอกสีแดงหรือชมพูแกํ กลีบไมํซ๎อน, สํวนสีขาวเรียกวํา ปุณฑริก, และชนิดสีแดงดอกซ๎อนปูอมนั้น เรียกวํา สัตตบงกช ดอกบานเวลาเช๎า ๆ มักจะสํงกลิ่นหอมเนือย ๆ ชื่อหมูํบ๎านตั้งขึ้นใหมํตามชื่อของ นายทุม ดาพรม ไทยลาว
7. ตําบลบ๎านกลาง บ๎านหนาด รูปแบบภาษาและความหมาย หนาด (ลว.) (อ.) กลุํมชาติพันธุ๑
น. ชื่อพรรณไม๎ชนิดหนึ่ง ใบใหญํเป็นขน มีกลิ่นฉุนใช๎ทํายา (พจน๑. ลาว. พจน๑. อีสาน.) ไทยญ๎อ
~ 45 ~ บ๎านกลาง รูปแบบภาษาและความหมาย กลาง กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านดงติ้ว รูปแบบภาษาและความหมาย ดง (ลว.) ติ้ว 1 (ลว.) ติ้ว 2 (ล.) (อ.) กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านดงยอ รูปแบบภาษาและความหมาย ดง (ลว.) ยอ 1 (ลว.) ยอ 2 (ลว.) (อ.)
กลุํมชาติพันธุ๑
น. สํวนที่ไมํคํอนไปข๎างใดข๎างหนึ่ง, ภายใน, ระหวําง ที่รวม เชํน สํานักงานกลาง (พจน๑.) ผู๎ไท
น. ปุา ปุาไม๎ (พจน๑. ลาว.) น. ชื่อต๎นไม๎ชนิดหนึ่ง ตามต๎นมีหนามหําง ๆ (พจน๑. ลาว.) น. ปลาที่ร๎อยเป็นพวง เรียกวํา ติ้วหนึ่ง = ติ้วปลาเหมาดปลา ก็เรียก ก. หิ้ว ถือไป (ติ้วครัว = หิ้วของ) น. ไม๎แต๎ว (อภิ.พายัพ การะศัพท๑. อีสาน. หลัก. พายัพ.) -
น. ปุา ปุาไม๎ (พจน๑. ลาว.) ก. ยอมือขึ้นให๎พ๎น ชูไว๎ ทําให๎สูงขึ้น สรรเสริญ (พจน๑. ลาว.) น. ชื่อพรรณไม๎ชนิดหนึ่ง แกํนและรากใช๎ย๎อมผ๎าได๎ บางอยํางลูกใช๎ทํายาและใบใช๎เป็นผัก มี 2 ชนิด คือ ยอปุาและยอบ๎าน (พจน๑. ลาว. พจน๑. อีสาน) -
8. ตําบลทําค๎อ บ๎านหนองจันทร๑ รูปแบบภาษาและความหมาย หนอง (ลว.) จัน
(ล.)
น. แอํงน้ํา, หนองน้ํา น. ที่ลํมุ ที่มีน้ําขังอยูํตามทุํงนาและปุา ค. ชั้น ที่ชัน
~ 46 ~ จันทน จันท จันทร กลุํมชาติพันธุ๑
(ลว.) (ลว.)
บ๎านเมืองเกํา รูปแบบภาษาและความหมาย เมือง (พ.) เกํา
(พ.)
เมืองเกํา กรุงเกํา (อภ.) กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านทําค๎อ รูปแบบภาษาและความหมาย ทํา (ลว.) ค๎อ (อ.) กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านหนองเซา รูปแบบภาษาและความหมาย หนอง (ลว.) เซา
(ล., อ.)
น. ไม๎จันทร๑ (พจน๑. ลาว.) น. พระจันทร๑ (พจน๑. ลาว) -
น. แดน เชํน เมืองมนุษย๑ เมืองสวรรค๑ เมืองบาดาล ประเทศ เชํน เมืองไทย เมืองจีน เมืองลาว ว. กํอน เชํน ครูคนเกํากรรมเกํา ไมํใหมํ เชํน ผ๎าเกํา ของเกํา คํานี้เมื่อใช๎ประกอบกับคําอื่น ๆ มี ความหมายตําง ๆ กัน แล๎วแตํคําที่นํามาประกอบ เชํน มือเกํา หมายถึง ชํานาญ หัวเกํา หมายถึง ครึ ไมํทันสมัย รถเกํา หมายถึง รถที่ใช๎แล๎ว น. คือเมืองเขาสร๎างไว๎นานหลายปี คนเป็นกษัตริย๑สั่งให๎เสนาบดี กํอสร๎างนั้น -
น. ฝ๓่งน้ําที่ขึ้นลงหรือที่จอดเรือ แบบแผน (พจน๑. ลาว.) น. ตะค๎อ ตะค๎อไขํ (ต๎นไม๎) (หนังสือพรรณไม๎. การะศัพท๑. อีสาน.) -
น. แอํงน้ํา, หนองน้ํา น. ที่ลุํมที่มีน้ําขังอยูํตามทุํงนาและปุา ก. หยุด พัก เลิกรา ขาดตอน เหงา (เฮานั่งเซากํอนน๎อ = เราหยุดพักกันกํอนนะ) (การะศัพท๑. อภิ. พวน.)
~ 47 ~ เซามีแฮง(อ.) กลุํมชาติพันธุ๑
ก. พักเหนื่อย (การะศัพท๑) -
บ๎านโคกไกํเซา รูปแบบภาษาและความหมาย โคก (ลว.) โคก, โทก (อ.) (ล.) ไกํ (อ.) ไกํกานาฮุ๎ง (ล.) เซา (ล., อ.)
เซา
(อภ.)
เซํา หมอง
(อภ.)
กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านดอนมํวง รูปแบบภาษาและความหมาย ดอน (ล.อ.) มํวง (พ.)
น. ที่ดินสูงและมีปุาไม๎หําง, เนินสูง (พจน๑.ลาว) น. ที่โคกปุาโปรํง, โคก น. กองดิน, กองหิน (การะศัพท๑. หลัก) น. สัตว๑ (พจน๑. อีสาน) น. เป็ดไกํ (ภาษา) ก. หยุด พัก เลิกรา ขาดตอน เหงา (เฮานั่งเซากํอนน๎อ = เราหยุดพักกันกํอนนะ) (การะศัพท๑. อภิ. พวน.) ก. คืออาการที่งํวงซึมอยูํ เหมือนอยํางคนมัวนอน เป็นเซาซบ คืออาการที่เซื่องงํวงอยูํแล๎ว เอาหัวซบลงกับหมอนเป็นต๎น เหมือนอยํางคนเป็นทุกข๑เกินขนาดนั้น คืออาการที่มัวหมองไมํผํองไส เหมือนอยํางคนที่เป็นทุกข๑ ถึงลูกแลผัว อันเป็นที่รักตายจากกันนั้น (หน๎า 191) -
น. ที่ดอน ว. สีน้ําเงินปนแดง ถ๎าออกครามเรียก สีมํวงคราม ถ๎าออกแดงเรียก สีมํวงชาด ถ๎าเจือขาวเรียก สีมํวงอํอน เรียกผ๎าไหมสําหรับผู๎ชายนุํง ที่มีสีอยํางนั้นหรือสีอยํางอื่นวํา ผ๎ามํวง น. มะมํวง น. ชื่อเรือขุดรูปคล๎ายเรือมาด แตํยาวกวํา รูปรํางเพรียว หัวงอน ท๎ายสั้น เป็นเรือที่คหบดีนิยมใช๎กันในสมัยกํอน ว. เรียกผ๎าไหมสําหรับนุํงที่มีสีอยํางนั้น สีอยํางหนึ่งซึ่งประสมด๎วยสี
~ 48 ~ แดงกับน้ําเงิน สีคล๎ายเมล็ดมะปราง -
กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านนาหลวง รูปแบบภาษาและความหมาย นา (อ.) หลวง
(พ.)
หลวง (ล.) (ลว.) (อ.) กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านบุํงเวียน รูปแบบภาษาและความหมาย บุํง (อ.)
บุ๎ง
(ล.) (ล.)
เวียน
(ลว.) (อ.)
กลุํมชาติพันธุ๑
น. นา นาแซง = นาปรัง, นาทาม = นาลุํม, นาโคก = นาดอน นาทม = นาที่ราบลุํมในที่ดอน (การะศัพท๑) ว. ที่เป็นของพระเจ๎าแผํนดิน เชํน ศาลหลวง วังหลวง เป็นใหญํ เชํน ภรรยาหลวง ใหญํ เชํน เขาหลวง ผึ้งหลวง สาธารณะ เชํน ทางหลวง น. บรรดาศักดิ์ข๎าราชการ สูงกวําขุน ต่ํากวําพระ เชํน หลวงวิจิตรวาทการ ก. คําเรียกพระภิกษุโดยความเคารพ เชํน หลวงปูุ หลวงพี่ หลวงน๎า คําเรียกพระจีน พระญวน วํา หลวงจีน หลวงญวน ว. ใหญํ โต ของสํวนรวมของประเทศ สาธารณะ (หลัก. พายัพ. พจน๑. ลาว. พจน๑. อีสาน.) -
น. หุบห๎วยที่มีหญ๎าปกคลุมมืดครึ้ม ปุาที่ปกคลุมด๎วยเถาวัลย๑ ว. บาง (หมูํ) เชํน บางกะปิ เป็นต๎น น. กระบุง (การะศัพท๑) สัตว๑จําพวกหนอนชนิดหนึ่ง ตัวเป็นขนถูกเข๎าคัน เหล็กตะไบ (หลัก.) ก. วน หมุน หมุนไปโดยรอบ (พจน๑. ลาว พจน๑. อีสาน) -
~ 49 ~ บ๎านดงหมู รูปแบบภาษาและความหมาย ดง (ลว.) ดง ไพร ปุา (อภ.) หมู (ลว.) (อ.)
ดงแรด ดงเสือ กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านใหมํแสงอรุณ รูปแบบภาษาและความหมาย แสง (พ.) อรุณ (พ.) กลุํมชาติพันธุ๑
น. ปุา ปุาไม๎ (พจน๑. ลาว.) น. ปุาใหญํที่มีต๎นไม๎สูง ๆ หลายชั้น น. สัตว๑สี่เท๎าชนิดมีกีบชนิดหนึ่ง เป็นทั้งสัตว๑เลี้ยง และสัตว๑ปุา หาอาหารโดยใช๎จมูกดุน (พจน๑. ลาว. พจน๑. อีสาน.) คือดงที่มีแรดชุกชุมนักนั้น เป็นชื่อปุาที่มีเสือมากหนักนั้น (หน๎า 212) -
น. กางเกง อาวุธ ศัสตรา ความสวําง ความโพลง น. เวลาใกล๎พระอาทิตย๑จะขึ้น มี 2 ระยะ คือ มีแสงขาวเรื่อ ๆ (แสงเงิน) และแสงแดงเรื่อ ๆ (แสงทอง) เวลาย่ํารุํง -
9. ตําบลคําเตย บ๎านหนองดินแดง รูปแบบภาษาและความหมาย หนอง (ลว.) ดิน ดินกี่ ดินเอียด แดง
กลุํมชาติพันธุ๑
(อ.) (ล.) (อ.) (ล.) (อ.)
น. แอํงน้ํา, หนองน้ํา น. ที่ลุํมที่มีน้ําขังอยูํตามทุํงนาและปุา น. ดิน แผํนดิน ดินขอ = กระเบื้องมุง ดินจี่ = อิฐ (การะศัพท๑) น. อิฐ ดินเผา (อภิ.) น. ดินโปุง (ดินที่มีรสเค็ม) น. แดง (ต๎นไม๎) ว. แดง แดงฮีน ๆ = แดงริบหรี่ แดงฮูน ๆ = แดงโชน แดงปิดหลิด = แดงแจ๐ (หนังสือพรรณไม๎. การะศัพท๑.) -
~ 50 ~ บ๎านโพนสวรรค๑ รูปแบบภาษาและความหมาย โพน (อ.) (พ., ลว.) สวัน (ลว.) สวัรคต (สะหวัน-) (ลว.) กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านวังไฮ รูปแบบภาษาและความหมาย วัง 1 (อ.) (ลว.) วัง 2 (ลว.) (อ.)
ไฮ 1
(ลว.) (อ.)
ไฮ 2
(ลว.) (อ.)
ไฮ 3 กลุํมชาตันธุ๑
(ลว.) (อ.)
น. จอมปลวก, เนินดิน (พจน๑) น. กองดินสูง, มูลดิน, จอมปลวก (อภิ. พวน.) น. เมืองฟูา โลกของเทวดา สวรรค๑ (พจน๑. ลาว.) ก. ตายไปสวรรค๑ ใช๎ในราชาศัพท๑สําหรับพระเจ๎าแผํนดินและ พระราชินี (พจน๑. ลาว.) -
น. บ๎าน ที่อยูํของเจ๎านาย (พจน๑. ลาว., พจน๑. อีสาน.) น. บริเวณบางตอนของลําน้ําที่เป็นแหลํงกว๎างและลึก วังเวิน น. บริเวณลําน้ํากว๎างที่มีกระแสน้ําวน = วังวน (พจน๑. ลาว., พจน๑. อีสาน.) ทองคํา (มาจากอุไร) สีสันวรรณะ เชํน หน๎าบํมีไฮ = หน๎าไมํมีเลือด ปากบํมีสีมีวรรณก็วํา (พจน๑.ลาว., พจน๑.อีสาน) น. ต๎นไม๎ประเภทหนึ่ง = ไทร มีหลายชนิด เชํน ไฮยํอง ไฮดํา ไฮหิน เป็นต๎น (พจน๑.ลาว., พจน๑.อีสาน) น. สัตว๑เล็ก ๆ ชนิดหนึ่ง = ไร (พจน๑.ลาว., พจน๑.อีสาน) -
บ๎านคําเตย รูปแบบภาษาและความหมาย คํา (ลว.) (ล.) (อ.) น. ทองคํา, คําพูด, ความ เชํน คําเคิงเคียด = ความขึ้งเคียด ขันคํา = ขันทองคํา (ก.) ลูบคลํา, คา หมายถึง คาไว๎แนํน, เลย เชํน บํได๎สักคํา = ไมํได๎เลย ที เชํน เขี้ยนสองคํา = เฆี่ยนสองที (อภิ. มูล. พจน๑.ลาว.) เตย (อ.) น. ชื่อพรรณไม๎จําพวกหนึ่งมี 2 ชนิด ชนิดใบยาวมีหนามคล๎ายต๎น
~ 51 ~ ลําเจียก ใช๎ใบทําเสื่อ เรียก เตยหนาม อีกชนิดหนึ่ง ใบเล็กไมํมี หนาม มีกลิ่นหอมเรียก เตยหอม (พจน๑.อีสาน.) กะเลิง
กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านโพนปุาหว๎าน รูปแบบภาษาและความหมาย โพน (อ.) (พ., ลว.) ปุา (พ.)
หว๎าน (วําน) (ล., ลว., อ.)
กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านทุํงมน รูปแบบภาษาและความหมาย ทุํง (พ.) มน
(พ.)
มน
(อ., ล.)
น. จอมปลวก, เนินดิน (พจน๑) น. กองดินสูง, มูลดิน, จอมปลวก (อภิ. พวน.) น. ที่ที่มีต๎นไม๎ตําง ๆ ขึ้นมา ถ๎าเป็นต๎นสัก เรียกวํา ปุาสัก ถ๎าเป็น ต๎นรัง เรียกวํา ปุารัง ถ๎ามีพรรณไม๎ชนิดใดชนิดหนึ่งขึ้นอยูํมาก ก็เรียกตามพรรณไม๎นั้นเชํน ปุาไผํ ปุาคา ปุาหญ๎า น. พืชจําพวกหนึ่งทั้งที่มีหัวและไมํมีหัว ใช๎เป็นยาและอยูํยงคง กระพันชาตรี = วําน มีหลายชนิด เชํน หว๎านชน = พลับพลึง หว๎านค้ําฟูาก็เรียก หว๎านจอด = ใบเป็นฝอยใช๎บดปิดแผลสด หว๎านตูบหมูบ = เปราะปุา หว๎านนางคํา = ขมิ้นนกยูง หว๎านไฟ = ไพล หว๎านม๎า = หัวมีลักษณะเหมือนรูปม๎าใช๎รักษา แก๎เมื่อยขบ หว๎านหอม = เปราะหอม เป็นต๎น (พจน๑.ลาว., พจน๑.อีสาน, หลัก.พายัพ.) -
น. ที่ราบ ก. อุจจาระ ตามหลังคําวํา ไป เชํน ไปทุํง หมายถึง ถํายอุจจาระ ก. อยูํกับที่ ว. กลม ๆ โค๎ง ๆ ไมํเป็นเหลี่ยม เชํน ทองหลางใบมน ขอบโต๏ะมน ปกเสื้อมน น. ใจ ว. กลม เชํน มนอุ๎มลุ๎ม = กลมใหญํ, กลมดิก (หลัก., อภิ. พายัพ., นิทานกําพร๎า.)
~ 52 ~ มน.
(ลว.)
มน (มนต๑) กลุํมชาติพันธุ๑
(ลว.)
บ๎านดอนแดง รูปแบบภาษาและความหมาย ดอน (ล. อ.) (ลว.) (อ.) แดง
(ลว.)
กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านโพนค๎อ รูปแบบภาษาและความหมาย โพน (อ.) (พ., ลว.) ค๎อ (อ.) กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านหนองยาว หนอง (ลว.) ยาว กลุํมชาติพันธุ๑
(ลว.) (อ.)
ว. กลมไมํมีเหลี่ยม, ชื่อผ๎าผืนเล็ก ๆ สําหรับใช๎เช็ดหน๎า (พจน๑. ลาว.) น. คําศักดิ์สิทธิ,์ คําสําหรับสวด (พนจ๑. ลาว.) กะเลิง
น. ที่ดอน , เกาะ, เกาะในแมํน้ํา ก. ฟูาขึ้น, เดํนขึ้น น. ปุาไม๎ที่มีน้ําอ๎อมอยูํ, ปุาน๎อยที่มีอยูํในระหวํางปุาใหญํ, จุกขวด ก. กระดอน, สะท๎อน (การะศัพท๑. พจน๑. พจน๑. ลาว.) น. มดแดง ตาแดง แมวแดง ไม๎แดง แดงมา = อําแดง ว. เรียกเงินปลอมวําเงินแดง (พจน๑.ลาว.) -
น. จอมปลวก, เนินดิน (พจน๑) น. กองดินสูง, มูลดิน, จอมปลวก (อภิ. พวน.) น. ตะค๎อ ตะค๎อไขํ (ต๎นไม๎) (หนังสือพรรณไม๎. การะศัพท๑. อีสาน.) -
น. น. ว. ว. -
แอํงน้ํา, หนองน้ํา ที่ลุํมที่มีน้ําขังอยูํตามทุํงนาและปุา ไมํสั้น ยืน นาน ยาวรี ยาวแหลม หรือเรียวไปดั่งใบข๎าว (พจน๑.อีสาน., พจน๑.ลาว.)
~ 53 ~ บ๎านโพนกุง รูปแบบภาษาและความหมาย โพน (อ.) (พ., ลว.) กุง (อ.) กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านเจริญทอง รูปแบบภาษาและความหมาย เจริญ (พ.) ทอง (พ.)
กลุํมชาติพันธุ๑
น. จอมปลวก, เนินดิน (พจน๑) น. กองดินสูง, มูลดิน, จอมปลวก (อภิ. พวน.) น. พลวง (ต๎นไม๎) – หนังสือพรรณไม๎.การะศัพท๑. (พจน๑.อีสาน.) -
ก. จําเริญ, เติบโต, งอกงาม, มากขึ้น, สมบูรณ๑ น. ธาตุแท๎อยํางหนึ่ง สีเหลืองสุก เนื้อเหนียว ใช๎ทํารูปพรรณตําง ๆ ทองคํา ก็เรียก ชื่อต๎นไม๎ชนิดหนึ่งใบแดงดําง ๆ คล๎ายต๎นเงิน ชื่อขนมชนิดหนึ่ง รูปเป็นวงกลมมีน้ําตาลหยอดข๎างบน เป็นคํา กลางสําหรับเรียกแรํบางชนิดที่หลอมได๎ เชํน ทองเหลือง ทองแดง -
10. ตําบลหนองญาติ บ๎านดงโชค รูปแบบภาษาและความหมาย ดง (ลว.) โชค (ล.) กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านหนองญาติ รูปแบบภาษาและความหมาย หนอง (ลว.) ยาด 1
(ล.)
น. ปุา, ปุาไม๎ (พจน๑. ลาว.) น. สําโรง (ต๎นไม๎) (หลัก.) -
น. แอํงน้ํา, หนองน้ํา น. ที่ลุํมที่มีน้ําขังอยูํตามทุํงนาและปุา ก. ขํวน เชํน แมวยาด = แมวขํวน (หลัก.พายัพ., อภิ.พายัพ.)
~ 54 ~ ยาด 2 ยาด 3 ยาด 4 ยาด 5 กลุํมชาติพันธุ๑
(ลว.) (ลว.) (ลว.) (อ.)
บ๎านภูเขาทอง รูปแบบภาษาและความหมาย ภู (ภูเขา) (อ.) ทอง
(พ.)
กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านดอนโมง รูปแบบภาษาและความหมาย ดอน (ล. อ.) (ลว.) (อ.) โมง
(ลว.) (ลว.)
กลุํมชาติพันธุ๑
น. ก. น. ก. -
ชื่อเครื่องผสมยาชนิดหนึ่ง สีดํา (พจน๑.ลาว.) ชิงเอา แบํงเอาไปจากคนอื่นโดยเขาไมํอนุญาต (พจน๑.ลาว.) พื่น๎อง ญาติ (พจน๑.ลาว.) แยํง ชิง (พจน๑.อีสาน.)
น. ภูเขา อยํางวํา ไปภู = ไปเที่ยวภูเขา ภูธง ภูวนาถ ภูบาล ผู๎เป็นใหญํ (การะศัพท๑., คัทธ.) น. ธาตุแท๎อยํางหนึ่ง สีเหลืองสุก เนื้อเหนียว ใช๎ทํารูปพรรณตําง ๆ ทองคํา ก็เรียก ชื่อต๎นไม๎ชนิดหนึ่งใบแดงดําง ๆ คล๎ายต๎นเงิน ชื่อขนมชนิดหนึ่ง รูปเป็นวงกลมมีน้ําตาลหยอดข๎างบน เป็นคํา กลางสําหรับเรียกแรํบางชนิดที่หลอมได๎ เชํน ทองเหลือง ทองแดง -
น. ที่ดอน , เกาะ, เกาะในแมํน้ํา ก. ฟูาขึ้น, เดํนขึ้น น. ปุาไม๎ที่มีน้ําอ๎อมอยูํ, ปุาน๎อยที่มีอยูํในระหวํางปุาใหญํ, จุกขวด ก. กระดอน, สะท๎อน (การะศัพท๑. พจน๑. พจน๑. ลาว.) น. ชื่อต๎นไม๎ชนิดหนึ่งอยูํตามปุา ผลคล๎ายมังคุดแตํเปลือกสีเหลือง นวล กินได๎มีรสเปรี้ยว เปลือกต๎นแชํปูนขาว ทําให๎ปูนแข็งได๎ น. นาฬิกา อัตรากําหนดเวลาเทํากับ 60 นาที เป็น 1 ชั่วโมง (พจน๑.ลาว.) -
~ 55 ~ บ๎านนาจอก รูปแบบภาษาและความหมาย นา (อ.) จอก
กลุํมชาติพันธุ๑
(อ.)
น. นา นาแซง = นาปรัง, นาทาม = นาลุํม, นาโคก = นาดอน นาทม = นาที่ราบลุํมในที่ดอน (การะศัพท๑) น. แก๎วน้ํา (เล็ก ๆ) น. ชื่อปลาอยํางหนึ่งมีเกล็ดตัวเล็กวําปลาโจก จอก (พืชลอยอยูํตามน้ํา) (ภาษา.พจน๑.ลาว.) -
บ๎านเหลําภูมี รูปแบบภาษาและความหมาย เหลํา (ล., ลว., อ.) น. ปุา เชํน เหลําใหญํ = ปุาใหญํ ปุาดง เชํน ไปไลํเหลํา = ไปลํา สัตว๑ ไรํหรือสวนที่ถูกทิ้งร๎างจนเกิดหญ๎าหรือต๎นไม๎ขึ้นรกรุงรัง (อภิ.พายัพ., พจน๑.ลาว., พจน๑.อีสาน.) ภูมี (พ.) น. แผํนดิน กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านคําธาตุ รูปแบบภาษาและความหมาย คํา (ลว.) (ล.) (อ.) น. ทองคํา, คําพูด, ความ เชํน คําเคิงเคียด = ความขึ้งเคียด ขันคํา = ขันทองคํา (ก.) ลูบคลํา, คา หมายถึง คาไว๎แนํน, เลย เชํน บํได๎สักคํา = ไมํได๎เลย ที เชํน เขี้ยนสองคํา = เฆี่ยนสองที (อภิ. มูล. พจน๑.ลาว.) ธาตุ (อ.) น. เจดีย๑ที่บรรจุกระดูกคนที่เผาแล๎ว (ล.) น. เจดีย๑ (พจน๑.ลาว.) ทาด (ทาส) 1 (ลว.) น. คนใช๎ผู๎ชาย ข๎อย = ข๎าผู๎ชาย (พจน๑.ลาว) ทาด (ธาตุ) 2 (ลว.) น. ธาตุ (พจน๑.ลาว.) กลุํมชาติพันธุ๑ -
~ 56 ~ บ๎านคําพอก รูปแบบภาษาและความหมาย คํา (ลว.) (ล.) (อ.) น. ทองคํา, คําพูด, ความ เชํน คําเคิงเคียด = ความขึ้งเคียด ขันคํา = ขันทองคํา (ก.) ลูบคลํา, คา หมายถึง คาไว๎แนํน, เลย เชํน บํได๎สักคํา = ไมํได๎เลย ที เชํน เขี้ยนสองคํา = เฆี่ยนสองที (อภิ. มูล. พจน๑.ลาว.) พอก (ล.) ก. เสริม (อ.) น. กระบอกที่มีด๎ามสําหรับตักของที่เป็นน้ํา ประดงเลือด ประดงไฟ มะพอก (ต๎นไม๎) (ลว.) ก. เอาสีทา หรือเอาทองคําเปลวทาสิ่งตําง ๆ ชื่อต๎นไม๎ชนิดหนึ่ง ต๎นเป็นเกล็ด ผลสีนวลมีรสเมา เรียกต๎นพอก เขตแดนหรือหลุมที่ตั้งเลํนการพนันของเด็ก หรือเลํนหมากเก็บ (หลัก., พจน๑.อีสาน., พจน๑.ลาว.) พอกคํา (อ.) ก. ปิดทอง (มูล.) กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านหนองบัว รูปแบบภาษาและความหมาย หนอง (ลว.) บัว บัวขาว กลุํมชาติพันธุ๑
(ลว.) (อ.)
น. น. น. น. -
แอํงน้ํา, หนองน้ํา ที่ลุํมที่มีน้ําขังอยูํตามทุํงนาและปุา ชื่อรวมของพืชจําพวกหนึ่งมีหลายชนิด (พจน๑.ลาว.) บุณฑริก (การะศัพท๑)
11. ตําบลดงขวาง บ๎านโพนทา รูปแบบภาษาและความหมาย โพน (อ.)
น. จอมปลวก, เนินดิน (พจน๑)
~ 57 ~
ทา
(พ., ลว.) (ลว.) (ล.) (ลว.อ.) (ลว.)
กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านนาคอกควาย รูปแบบภาษาและความหมาย นา (อ.) คอก
(ล.) (ลว.) (อ.)
ควาย
(ลว.) (ลว.)
ควายผู๎ ควายแมํ กลุํมชาติพันธุ๑
(ล.) (ล.)
บ๎านดงขวาง รูปแบบภาษาและความหมาย ดง (ลว.)
น. กองดินสูง, มูลดิน, จอมปลวก (อภิ. พวน.) ก. ลูบไล๎ เอาของตําง ๆ ลูบไล๎ ผัด (ทาแปูง = ผัดแปูง) น. นกกระทา น. ชื่อเห็นอยํางหนึ่ง ดอกเล็กเกิดตามดิน เรียกเห็ดทา (พจน๑.ลาว., หลัก., การะศัพท๑.) -
น. นา นาแซง = นาปรัง, นาทาม = นาลุํม, นาโคก = นาดอน นาทม = นาที่ราบลุํมในที่ดอน (การะศัพท๑) น. เรือนจํา คุก (คอกใสํไว๎ = ขังคุกไว๎) คอกสัตว๑ เล๎า น. ที่สําหรับขังสัตว๑ ก. ทําให๎สะเทือน ไกวไปไกวมา น. ที่ล๎อมขังสัตว๑อยํางคอกควาย เป็นต๎น วัว ควาย ที่เกิดในคอก ไมํได๎ซื้อมาจากที่อื่นเรียกวําลูกคอก ควายลูกคอก ตองขัง น. คุก เรือนจํา คอก ก. สั่น คลอน เขยํา (พจน๑.ลาว., อภิ.พายัพ., หลัก.พายัพ., พจน๑.อีสาน.) น. ชื่อสัตว๑เคี้ยวเอื้องชนิดหนึ่ง เป็นสัตว๑กีบคูํ รูปรํางใหญํ สําดํา หรือเทา เขาโค๎งยาง ที่ใต๎คางและหน๎าอกมีขนขาวเป็นรูปงาม ก. โดยปริยายมักหมายความวํา คนโงํ คนเซํอ ฃ หรือคนตัวใหญํแตํไมํฉลาด น. ควายตัวผู๎ (หลัก.) น. ควายตัวเมีย (หลัก.) -
น. ปุา ปุาไม๎ (พจน๑. ลาว.)
~ 58 ~ ขวาง
(ล.) (อ.)
กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านบึงหลํม รูปแบบภาษาและความหมาย บึง (ล.) (อ.) หลํม 1 (ล.) หลํม 2 (อ.) หลํม 3 หลํม 4
(ล.) (ลว.) (อ.)
กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านดงต๎อง รูปแบบภาษาและความหมาย ดง (ลว.) ต๎อง (พ.)
กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านหนองสระพัง รูปแบบภาษาและความหมาย หนอง (ลว.) สระ
(ล.)
ก. กั้น กีดกั้น ว. กว๎างขวาง (กลอน) (ทางขวางสองศอก = ด๎านกว๎างสองศอก) (การะศัพท๑.หลัก.) กะเลิง
น. บุํง น. แอํงน้ําขนาดใหญํ มีน้ําขังตลอดปี (หลัก.) ว. พรุ เชํน ดินหลํม = ดินพรุ (หลัก.พายัพ.) น. ที่มีโคลนลึก เชํน ตกหลํม หลํมตีน น. รอยตีน ขนาดยาวของรอยเท๎า (พจน๑.อีสาน.) ก. ถลํม เชํน แผํนดินหลํม = แผํนดินถลํม (หลัก.พายัพ.) ก. ตก ถลําลงไป (เฉพาะหน๎า) เชํน หลํมปลํอง = ตกรํอง (พจน๑.ลาว., พจน๑.อีสาน.) -
น. ปุา ปุาไม๎ (พจน๑. ลาว.) ก. ถูกเป็นกริยาชํวยบอกลักษณะของกริยาอื่นให๎รู๎แนํ เชํน ต๎องกิน ต๎องนอน น. ชื่อต๎นสะท๎อน บางทีเรียก มะต๎อง กกต๎อง -
น. แอํงน้ํา, หนองน้ํา น. ที่ลํมุ ที่มีน้ําขังอยูํตามทุํงนาและปุา ก. สละ ดี ดีมาก (ตํานานสิงห๑)
~ 59 ~
พัง
(ลว.)
กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านโพนทอง รูปแบบภาษาและความหมาย โพน (อ.) (พ., ลว.) ทอง (พ.)
กลุํมชาติพันธุ๑
น. ก. ก. น. -
บํอที่ขุดลงในพื้นดิน อํางน้ําที่อยูํตามระหวํางผา ชําระ ฟอก ล๎าง ทลายลง แตกลงจากกัน ช๎างตัวเมีย (พจน๑.ลาว.)
น. จอมปลวก, เนินดิน (พจน๑) น. กองดินสูง, มูลดิน, จอมปลวก (อภิ. พวน.) น. ธาตุแท๎อยํางหนึ่ง สีเหลืองสุก เนื้อเหนียว ใช๎ทํารูปพรรณตําง ๆ ทองคํา ก็เรียก ชื่อต๎นไม๎ชนิดหนึ่งใบแดงดําง ๆ คล๎ายต๎นเงิน ชื่อขนมชนิดหนึ่ง รูปเป็นวงกลมมีน้ําตาลหยอดข๎างบน เป็นคํา กลางสําหรับเรียกแรํบางชนิดที่หลอมได๎ เชํน ทองเหลือง ทองแดง -
12. ตําบลวังตามัว บ๎านหนองแซง รูปแบบภาษาและความหมาย หนอง (ลว.) แซง 1
(ล.) (อ.) (อ.) (พ.)
น. แอํงน้ํา, หนองน้ํา น. ที่ลุํมที่มีน้ําขังอยูํตามทุํงนาและปุา น. แบบ ตัวอยําง (ลายแซง = ลายตัวอยําง) ว. สลับกัน คั่นกัน น. ทะลาย เชํน แซงหมาก = ทะลายหมาก (ภาษา., การระศัพท๑., หลัก.) น. ต๎นไม๎ชนิดหนึ่งคล๎ายต๎นปรือ น. เรียกม๎าที่มีหน๎าที่แทรกขนานไปข๎าง ๆ ในกระบวนแหํหรือ กองทัพวํา ม๎าแซง ชื่อช๎างศึกพวกหนึ่ง มีหน๎าที่สอดแทรกเข๎าไป ข๎างกระบวนทัพคอยชํวยระวังรักษาทัพ ช๎างแทรก ก็เรียก
~ 60 ~ เรียกเรือกราบซึ่งจัดเข๎ารํวมไปในกระบวนเรือหลวง มีหน๎าที่ ปูองกันภัยกระบวนเรือ พระที่นั่งโดยแซงขนาบอยูํ 2 ข๎างและปิด ท๎ายกระบวน วํา เรือแซง ก. เบียดหรือเฉียดเพื่อจะขึ้นหน๎า เชํน เดินแซง ขับรถแซง แซงคิว -
กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านวังตามัว รูปแบบภาษาและความหมาย วัง 1 (อ.) (ลว.) วัง 2 (ลว.) (อ.)
ตา
(พ.)
มัว
(พ.)
น. บ๎าน ที่อยูํของเจ๎านาย (พจน๑. ลาว., พจน๑. อีสาน.) น. บริเวณบางตอนของลําน้ําที่เป็นแหลํงกว๎างและลึก วังเวิน น. บริเวณลําน้ํากว๎างที่มีกระแสน้ําวน = วังวน (พจน๑. ลาว., พจน๑. อีสาน.) น. พํอของแมํ ผัวของยาย ชายที่เป็นญาติชั้นเดียวกับพํอของแมํ หรือที่อายุรุํนราวคราวเดียวกับตา น. คําเรียกชายสูงอายุที่ตนไมํคํอยเคารพนับถือเชํน ตาเถร ตาแกํ หรือเรียกชายรุํนราวคราวเดียวกันอยํางเป็นกันเอง เชํน ตาเกิ้น ตาโยํง หรือเรียกเด็กชายที่ตนเอ็นดูรักใครํ เชํน ตาหนู น. สํวนหนึ่งของรํางกายคนและสัตว๑ ทําหน๎าที่เป็นเครื่องดูรูปสํวน หนึ่งของต๎นไม๎ตรงที่แตกกิ่ง รอยของต๎นไม๎ตรงที่เคยแตกกิ่ง ชํองที่เกิดจากการถัก สาน หรือลากเส๎นผํานกัน เชํน ตารํางแห ตา ตะแกรง ว. คราว เชํน ตานี้ ถึงตาฉันบ๎างละนะ ว. ไมํแจํม เชํน พระจันทร๑มัว ไมํกระจําง เชํน ข๎อความมัว ฝูา เชํน กระจกมัว ฟาง เชํน นัยน๑ตามัว ขมุกขมัว เชํน มืดมัว ไมํมืด
ไมํ กลุํมชาติพันธุ๑
สวําง เชํน แสงมัว ๆ หมํน เชํน สีมัว ๆ ขุํน ไมํผํอง เชํน ใจมัว โส๎หรือ กะโซํ
~ 61 ~ บ๎านโชคอํานวย รูปแบบภาษาและความหมาย โชค (พ.) อํานวย กลุํมชาติพันธุ๑
(พ.)
บ๎านโนนชมภู รูปแบบภาษาและความหมาย โนน (พ.) ชมพู
(พ.)
ชมพูํปุา ชมพูํนก กลุํมชาติพันธุ๑
(ล.) (ล.)
น. สิ่งที่นําผลมาให๎โดยคาดหมายได๎ยาก เชํน โชคดี โชคร๎าย มักนิยมใช๎ในทางดี เชํน นายแดงเป็นคนมีโชค ก. ให๎ (แผลงมาจาก อวย) -
น. ก. น. ว. น. น. -
เนิน ที่สูง นอน ไม๎หว๎า สีแดงอํอน สีแดงเจือขาว ชมพูํนก (ต๎นไม๎) (หนังสือพรรณไม๎) ชมพูํปุา (ต๎นไม๎) (หนังสือพรรณไม๎)
บ๎านคําสวําง รูปแบบภาษาและความหมาย คํา (ลว.) (ล.) (อ.) น. ทองคํา, คําพูด, ความ เชํน คําเคิงเคียด = ความขึ้งเคียด ขันคํา = ขันทองคํา (ก.) ลูบคลํา, คา หมายถึง คาไว๎แนํน, เลย เชํน บํได๎สักคํา = ไมํได๎เลย ที เชํน เขี้ยนสองคํา = เฆี่ยนสองที (อภิ. มูล. พจน๑.ลาว.) สํวง, สวําง (ลว.) ก. อาการที่หายจากไข๎ สบาย หายจากความทุกข๑ (พจน๑.ลาว.) (พ.) ว. มีแสง กระจําง แจ๎ง แจํม แลเห็นชัดเจน กลุํมชาติพันธุ๑ กะเลิง
~ 62 ~ บ๎านพรเจริญ รูปแบบภาษาและความหมาย พร (พ.) เจริญ กลุํมชาติพันธุ๑
(พ.)
น. คําแสดงความปรารถนาให๎ประสบสิ่งที่เป็นสิริมงคล เชํน ให๎พร ถวายพระพร สิ่งที่ขอเลือกเอาตามประสงค๑ เชํน ขอพร ก. เติบโต งอกงาม ทําให๎งอกงาม จําเริญ มากขึ้น สมบูรณ๑ -
13. ตําบลโพธิ์ตาก บ๎านโพธิ์ตาก รูปแบบภาษาและความหมาย โพธิ์ (พ.)
ความตรัสรู๎ ชื่อต๎นไม๎ที่พระพุทธเจ๎าได๎ประทับ แล๎วได๎ตรัสรู๎เป็นพระพุทธเจ๎า หําง แบะออก ผึ่งแดดจนแห๎ง แผํรับ ผึ่ง
กลุํมชาติพันธุ๑
น. น. ว. ก. -
บ๎านโคกกุง รูปแบบภาษาและความหมาย โคก (ลว.) โคก, โทก (อ.) (ล.) กุง (อ.) กลุํมชาติพันธุ๑
น. น. น. น. -
ที่ดินสูงและมีปุาไม๎หําง, เนินสูง (พจน๑.ลาว) ที่โคกปุาโปรํง, โคก กองดิน, กองหิน (การะศัพท๑. หลัก) พลวง (ต๎นไม๎) – หนังสือพรรณไม๎.การะศัพท๑. (พจน๑.อีสาน.)
บ๎านโคกกํอง รูปแบบภาษาและความหมาย โคก (ลว.) โคก, โทก (อ.) (ล.)
น. ที่ดินสูงและมีปุาไม๎หําง, เนินสูง (พจน๑.ลาว) น. ทีโ่ คกปุาโปรํง, โคก น. กองดิน, กองหิน (การะศัพท๑. หลัก)
ตาก
(พ.)
~ 63 ~ กํอง
(ล.อ.) (ล.)
กลุํมชาติพันธุ๑
ก. อ๎อม โค๎ง โกํง โน๎มลง ทําให๎ค๎อมลง ทําให๎โค๎ง ห๎อย ย๎อย ว. สุกไส สวําง งาม โกง ไมํตรง งอนงาม (พจน๑.อีสาน., การระศัพท๑) -
บ๎านหนองค๎า รูปแบบภาษาและความหมาย หนอง (ลว.) ค๎า
กลุํมชาติพันธุ๑
น. แอํงน้ํา, หนองน้ํา น. ที่ลุํมที่มีน้ําขังอยูํตามทุํงนาและปุา (ลว.) (ล.) (อ.) น. คล๎า ชื่อหวายชนิดหนึ่ง ก. การค๎าขาย ว. ค๎าขาย กระมัง เชํน ไปแล๎วค๎า = ไปแล๎วกระมัง (หลัก.พายัพ., พจน๑.ลาว.) -
บ๎านฐานบิน รูปแบบภาษาและความหมาย ฐาน (พ.) บิน (พ.) กลุํมชาติพันธุ๑ บ๎านสุขเกษม รูปแบบภาษาและความหมาย สุข (พ.) เกษม กลุํมชาติพันธุ๑
(พ.)
น. ที่ ที่ตั้ง เหตุ ตําแหนํง หลักแหลํง ก. ไปในอากาศด๎วยกําลังปีก เดินอากาศ ไปในอากาศด๎วยกําลังเครื่องยนต๑ -
น. ความสะดวก ความสบาย ความสําราญ ว. สะดวก สบาย นํายินดี เป็นที่พอใจ เจริญดี น. ความปลอดภัย ปราศภัย ความพ๎นภัย ความสุขสบาย -
~ 64 ~ บทที่ 5 วิเคราะห๑ชอื่ หมูบํ ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม การวิ เ คราะห๑ ภู มิ น ามชื่ อ หมูํ บ๎ า นในอํ า เภอเมื อ งนครพนม จั ง หวั ด นครพนมนั้ น เป็ น การศึ ก ษาในเชิ ง ภาษาศาสตร๑พรรณนา ที่ใช๎ข๎อมูลทางภาษาของชื่อหมูํบ๎านเป็นหลักในการศึกษาด๎านความหมายของคํา แล๎ววิเคราะห๑ โดยการแบํงกลุํมชื่อหมูํบ๎านออกเป็นกลุํมใหญํ ๆ 4 กลุํม โดยยึดความหมายในคําแรกของชื่อหมูํบ๎านเป็ นหลักในการ จัดชื่อหมูํบ๎านเข๎าเป็นหมวดหมูํ ผลการแบํงกลุํมชื่อหมูํบ๎านจะนํามาซึ่งการวิเคราะห๑ แนวทางการตั้งชื่อหมูํบ๎านในอําเภอ เมืองนครพนม จังหวัดนครพนม และในบทนี้จะศึกษาในหัวข๎อตํอไปนี้ 1) การตั้งถิ่นฐานของประชาชนในอําเภอเมืองนครพนมจังหวัดนครพนม 2) การจัดหมวดหมูํชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม 3) วิเคราะห๑ชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม และ 4) แนวการตั้งชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม การตั้งถิ่นฐานของประชาชนในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม จากข๎อมูลในหนังสือ “นครพนม มาจากไหน” ของสุจิตต๑ วงษ๑เทศ (2556) ได๎ระบุที่มาของเมืองนครพนม ไว๎อยํางนําสนใจ แตํหากจะนําข๎ อมูลมาประกอบในการศึกษาเรื่องภูมินามของหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนมนั้น เพียงบางสํวน กลําวคือ ภายหลังเสียกรุง พ.ศ. 2310 บริเวณนครพนมและสองฝ๓่งโขง เป็นหลักแหลํงของคนหลายกลุํมชาติพันธุ๑ เชํน ขํา ผู๎ไทย ไทแสก โส๎ ฯ ที่ยังชีพด๎วยการหาของปุา เพื่อนําไปแลกเปลี่ยนสิ่ งของมีคํากับท๎องถิ่นอื่น ๆ ครั้นหลังการ เสียกรุงศรีอยุทธยา พ.ศ. 2310 อํานาจของพมําได๎แพรํอิทธิพลเข๎าไปสูํอาณาจักรล๎านช๎าง-เวียงจัน ทําให๎เกิดความ ขัดแย๎งภายในราชสํานักลาวกันเองจนลุกลามออกภายนอกถึงกรุงธนบุรีตํอเนื่องจนถึงกรุงรัตนโกสินทร๑ ทําให๎กลุํมชาติ พันธุ๑ตําง ๆ ตํางหาหลักแหลํงใหมํที่หํางไกลความขัดแย๎งเหลํานั้น จนเกิดกลุํมชนตั้งหมูํบ๎านขึ้นใหมํ แล๎วจะเติบโตขึ้น เป็นเมืองนครพนมตํอไปในภายภาคหน๎า พ.ศ. 2329 ภายหลังการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร๑ รัชกาลที่ 1 โปรดให๎เปลี่ยนนามจากเมือง มรุกขนคร เป็นเมืองนครพนม ซึ่งหมายถึงเมืองแหํงขุนเขา เมืองนครพนม ที่บ๎านหนองจันทร๑ กลําวถึงเมืองมรุกขนคร ที่ตั้งอยูํบ๎านธาตุน๎อยศรีบุญเรือง ริมห๎วยบังฮวก เมื่อตั้งได๎ 20 ปีแล๎วนั้น นับวันที่จะถูกน้ําเซาะตลิ่งโขงพัง และบ๎านเรือนก็พังทลายลงแมํน้ําโขงเป็นจํานวนมาก จึง
~ 65 ~ ได๎ย๎ายเมืองขึ้นมาทางเหนือ โดยไปตั้งเมืองที่บ๎านหนองจันทร๑ (หํางจากตัวเมืองนครพนมป๓จจุบันลงไปทางทิศใต๎ ประมาณ 3 กิโลเมตร) พ.ศ. 2340 ย๎ายเมืองนครพนมจากบ๎านหนองจันทน๑ มาตั้งอยูํบ๎านโพธิ์คํา จนถึงป๓จจุบัน เมื่อปี พ.ศ. 2437 ในรัชสมัยสมเด็จพระจุลจอมเกล๎าเจ๎าอยูํหัว รัชกาลที่ 5 ได๎ทรงปรับปรุงระเบียบการ ปกครอง โดยแบํงหัวเมืองตําง ๆ ตั้งเป็นมณฑลเมือง (จังหวัด) และอําเภอเมืองนครพนมได๎รับการจัดตั้งเป็นอําเภอ ชื่อ "อําเภอเมืองนครพนม" ตํอมาในปี พ.ศ. 2460 ได๎เปลี่ยนเป็น "อําเภอหนองบึก" ตามชื่อหนองที่เจ๎าเมืองใน สมัยกํอนเคยนําเอาปลาบึกมาปลํอยเลี้ยงไว๎ ครั้นเมื่อปี พ.ศ. 2481 ทางราชการได๎เปลี่ยนชื่ออําเภอที่เป็นที่ตั้งศาลา กลางจังหวัด เป็นอําเภอเมืองทั้ง หมด จึงได๎กลับมาใช๎ชื่อ "อําเภอเมืองนครพนม" ตั้งแตํนั้นเป็ นต๎นมาจนถึง ป๓จจุบัน โดยมีพระราชกิจภักดี เป็นนายอําเภอเมืองนครพนมคนแรก (พ.ศ. 2437-2441) อําเภอเมืองนครพนมแบํงเขตการปกครองออกเป็น 15 ตําบล มีจํานวนหมูํบ๎านทั้งสิ้น 190 ชุมชน/หมูํบ๎าน ดังรายละเอียดตํอไปนี้ (นํามาพิจารณาเพียง 13 ตําบลรอบนอก จํานวน 165 หมูํบ๎าน) ตารางที่ 2 แสดงชื่อหมูํบ๎าน จําแนกตามตําบลที่ตั้ง นาราชควาย นาทราย Na Rat หมูทํ /ี่ ตําบล Na sai Khwai (1,402) (1,914) บ๎านดอนยานาง บ๎านหนองบัว 1. (294) (298) บ๎านนามูลฮิ้น 2. บ๎านนาคู (58) (174) บ๎านโพนงาม บ๎านสร๎างหิน 3. (156) (207) บ๎านนาคํากลาง 4. บ๎านซอง (79) (104) บ๎านอํางคํา บ๎านนาราชควาย 5. (141) น๎อย (242) 6.
บ๎านหัวโพน (170)
กุรคุ ุ Kurukhu (2,047)
บ๎านผึง้ Ban Phueng (3,586) บ๎านผึ้ง (103)
อาจสามารถ At Samat (1,918)
บ๎านหนองบัว บ๎านห๎อม (153) (194) บ๎านดํานเกํา บ๎านสาราญ บ๎านผึ้ง (203) (107) เหนือ (192) บ๎านกุรุคุ บ๎านวังกระแส บ๎านสาราญใต๎ (231) (199) (147) บ๎านนาปุง บ๎านวังกระแส บ๎านไผํล๎อม (152) (127) (126) บ๎านไทยสามัคคี บ๎านนาโพธิ์ บ๎านอาจ (222) (145) สามารถ (159) บ๎านอาจ บ๎านนาราชควาย บ๎านกุรุคุ บ๎านนามน สามารถ กลาง (48) (278) (183) (186)
~ 66 ~ 7. 8. 9. 10. 11.
บ๎านโนนขาม บ๎านนาราชควาย บ๎านหนองหญ๎า (98) ใหญํ (247) ไซ (179) บ๎านโคกทรายคํา บ๎านเนินสะอาด บ๎านกุรุคุ (98) (79) (559) บ๎านนามูลฮิ้น บ๎านหนองแวง บ๎านกุรุคุ (186) (180) (160) บ๎านพระยอด บ๎านนาราชควาย เมืองขวาง (168) (467) บ๎านนาราชควาย (282)
12. 13. 14. 15. 16. 17. 18. 19. 20. 21. 22. 23. หมายเหตุ : ตัวเลขในวงเล็บหมายถึง จํานวนของหลังคาเรือน ที่มา : การสํารวจภาคสนาม พ.ย.59 – ม.ค.60
บ๎านดงสวําง (163) บ๎านเทพพนม (140) บ๎านดอนมํวง (224)
บ๎านนาหัวบํอ (173) บ๎านคําเกิ้ม (132) บ๎านนาสมดี (244)
บ๎านสุขเจริญ (183)
บ๎านไผํล๎อม เหนือ (121)
บ๎านหนองปลา บ๎านห๎อม ดุก (81) (244) บ๎านนาโพธิ์ (172) บ๎านผึ้ง (283) บ๎านเทพพนม (90) บ๎านผึ้ง (197) บ๎านวังกระแส (134) บ๎านนาโพธิ์ (146) บ๎านหนองปลาดุก (139) บ๎านนาคํา (170) บ๎านหนองปลา ดุก (120) บ๎านหนองปลา ดุก (114) บ๎านหนองปลา ดุก (144) บ๎านหนองเดิ่น พัฒนา (126)
~ 67 ~ ตารางที่.3 แสดงชื่อหมูํบ๎าน จําแนกตามตําบลที่ตั้ง ตําบลขามเฒํา ตําบลบ๎านกลาง หมูทํ /ี่ ตําบล Kham Thao Ban Klang 2,218 2,147 บ๎านขามเฒํา บ๎านหนาด 1. (169) (158) บ๎านขามเฒํา บ๎านหนาด 2. (149) (230) บ๎านกุดข๎าวปุูน บ๎านกลางใหญํ 3. (324) (136) บ๎านนาโดน บ๎านกลางใหญํ 4. (182) (177) บ๎านชะโงม บ๎านดงติ้ว 5. (217) (172) บ๎านชะโงม บ๎านดงติ้ว 6. (182) (161) บ๎านกล๎วย บ๎านกลางน๎อย 7. (325) (187) บ๎านชะโนดใหญํ 8. บ๎านดงยอ (92) (308) บ๎านชะโนดน๎อย บ๎านดงติ้ว 9. (99) (153) บ๎านใหมํศรีปทุม บ๎านกลางใหญํ 10. (97) (228) บ๎านนาโดน บ๎านหนาด 11. (166) (134) บ๎านดงติ้ว 12. (161) บ๎านกลางใหญํ 13. (158)
ตําบลทําค๎อ ตําบลคําเตย ตําบลหนองญาติ Tha Kho Kham Toei Nong Yat 2,295 2,752 2,850 บ๎านหนองจันทร๑ บ๎านหนองดิน บ๎านดงโชค (202) แดง (134) (213) บ๎านเมืองเกํา บ๎านโพนสวรรค๑ บ๎านหนองญาติ (170) (150) (311) บ๎านทําค๎อเหนือ บ๎านวังไฮ บ๎านภูเขาทอง (135) (147) (207) บ๎านทําค๎อใต๎ บ๎านคําเตย บ๎านดอนโมง (149) (210) (218) บ๎านหนองเซา บ๎านคําเตย บ๎านนาจอก (147) (212) (158) บ๎านโคกไกํเซา บ๎านคําเตย บ๎านหนองญาติ (170) (136) (413) บ๎านดอนมํวง บ๎านโพนปุา บ๎านเหลําภูมี (154) หว๎าน (125) (196) บ๎านนาหลวง บ๎านทุํงมน บ๎านคําธาตุ (220) (200) (289) บ๎านบุํงเวียน บ๎านดอนแดง บ๎านคําพอก (30) (157) (224) บ๎านดงหมู บ๎านโพนค๎อ บ๎านหนองบัว (219) (215) (89) บ๎านใหมํแสง บ๎านหนองยาว บ๎านคําพอก อรุณ (190) (146) (211) บ๎านนาหลวง บ๎านโพนกุง บ๎านภูเขาทอง (210) (52) (99) บ๎านหนองจันทร๑ บ๎านดอนแดง บ๎านเหลําภูมี (152) (157) (222)
~ 68 ~ 14. บ๎านหนองจันทร๑ (147) 15. 16. 17. 18. หมายเหตุ : ตัวเลขในวงเล็บหมายถึง จํานวนของหลังคาเรือน ที่มา : การสํารวจภาคสนาม พ.ย.59 – ม.ค.60
บ๎านเจริญทอง (164) บ๎านดอนแดง (185) บ๎านคําเตย (76) บ๎านทุํงมน (124) บ๎านโพนสวรรค๑ (162)
ตารางที่.4.แสดงชื่อหมูํบ๎าน จําแนกตามตําบลที่ตั้ง
หมูทํ /ี่ ตําบล
ดงขวาง Dong Khwang (1,720)
วังตามัว Wang Ta Mua (2,006)
1.
บ๎านโพนทา (88)
บ๎านหนองแซง (144)
2.
บ๎านนาคอกควาย (233)
บ๎านวังตามัว (200)
3.
บ๎านบัว (171)
บ๎านโชคอํานวย (170)
4.
บ๎านบัว (186)
บ๎านโนนชมภู (144)
5.
บ๎านดงขวาง (242)
บ๎านคําสวํางน๎อย (308)
เทศบาลเมือง นครพนม (ต.หนองแสง, ตําบลโพธิต์ าก ต.ในเมือง) Pho Tak 25 ชุมชน 1,557 Nai Mueang 9,986 ชุมชนวัดศิริ บ๎านหนองบัว พุทราราม (193) (141) ชุมชนวัดทุํง บ๎านโพธิ์ตาก ประชานาถ (143) (175) บ๎านโคกกุง ชุมชนกกต๎อง (241) (608) ชุมชนวัดสวําง บ๎านโคกกํอง สุวรรณาราม (162) (457) บ๎านหนองค๎า ชุมชนหนองแสง (210) 01 (314)
~ 69 ~ บ๎านคําสวําง บ๎านหน๎าฐานบิน ชุมชนหนองแสง (208) (40) 02 (296) บ๎านพรเจริญ บ๎านสุขเกษม ชุมชนหนองบึก 7. (177) (127) (459) บ๎านหนองแซง บ๎านสุขเกษม ชุมชนหนองบึก 8. (175) (146) ทํา (329) บ๎านวังตามัว บ๎านโพธิ์ตาก ชุมชนโพนบก 9. (148) (161) (257) บ๎านคําสวําง บ๎านโคกกํอง ชุมชนดอนเมือง 10. (164) (134) (679) บ๎านโชคอํานวย ชุมชนวัดโอกาส 11. (168) (689) 12. ชุมชนวัดโอกาส02 (708) 13. ชุมชนวัดโพธิ์ศรี (360) 14. ชุมชนวัดศรีเทพประดิษฐาราม (286) 15. ชุมชนวัดกลาง (315) 16. ชุมชนวัดมหาธาตุ (251) 17. ชุมชนวัดพระอินทร๑แปลง (265) 18. ชุมชนวัดอรัญญิกาวาส (828) 19. ชุมชนวัดปุาศรีสมพร (150) 20. ชุมชนวัดสารภาณนิมิต (808) 21. ชุมชนน๎อยใต๎ (349) 22. ชุมชนศรีเทพทุํง (211) 23. ชุมชนอัมพร02 (269) 24. ชุมชมเอื้ออาทร (342) 25. บ๎านชุมชนดอนเมือง02 (440) หมายเหตุ : ตัวเลขในวงเล็บหมายถึง จํานวนของหลังคาเรือน ที่มา : การสํารวจภาคสนาม พ.ย.59 – ม.ค.60 6.
บ๎านบึงหลํม (113) บ๎านดงต๎อง (177) บ๎านดงต๎อง (124) บ๎านหนองสระพัง (145) บ๎านกกไฮ (144) บ๎านโพนทอง (97)
~ 70 ~ ในจํานวนชื่อหมูํบ๎านทั้งหมด 165 หมูํบ๎าน มีชื่อซ้ํากันจํานวน 80 ชื่อ มีชื่อไมํซ้ํากัน จํานวน 85 ชื่อ และสามารถนํามาจัดหมวดหมูํได๎ดังนี้ 1. ชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนมตามกลุํมความหมาย ประเภทที่สํวนประกอบหลักของชื่อหมูํบ๎านมี ลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร๑ แบํงเป็นประเภทยํอยได๎ ดังนี้ 1.1 แหลํงน้ํา มี 7 ประเภท ได๎แกํ หนอง วัง คํา กุด ทํา บุํง บึง 1.2 ที่สูง มี 4 ประเภท ได๎แกํ ดอน โคก โนน เนิน 1.3 ปุาดง มี 2 ประเภท ได๎แกํ เหลํา ดง 1.4 พื้นที่ทํากิน มี 2 ประเภท ได๎แกํ นา ทุํง 1.5 ลักษณะพื้นดินและหิน มี 1 ประเภท ได๎แกํ โพน 2. ชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนมตามกลุํมความหมาย ประเภทที่สํวนประกอบหลักของชื่อหมูํบ๎านไมํใชํ ลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร๑ แบํงเป็นประเภทยํอยได๎ดังนี้ 2.1 พืช และสํวนตําง ๆ ของพืช มี 9 ประเภท ได๎แกํ ห๎อม ไผํ ขาม กล๎วย ชะโนด หนาด บัว ไฮ โพธิ์ 2.2 สิ่งที่มนุษย๑สร๎างขึ้น มี 2 ประเภท ได๎แกํ เมือง และอําง 2.3 ตําแหนํงที่ตั้งหรือทิศทาง มี 3 ประเภท ได๎แกํ หัว หน๎า กลาง 2.4 บุคคล สถานภาพ และคุณลักษณะของบุคคล มี 1 ประเภท ได๎แกํ พระยอดเมืองขวาง 2.5 มงคลนาม มี 8 ประเภท ได๎แกํ เจริญทอง ภูเขาทอง โชคอํานวย สุขเจริญ พรเจริญ สุข เกษม ใหมํศรีปทุม ใหมํแสงอรุณ 2.6 สัตว๑และสํวนตําง ๆ ของสัตว๑ มี 1 ประเภท ได๎แกํ ผึ้ง 2.7 ความเชื่อหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มี 1 ประเภท ได๎แกํ เทพพนม 2.8 ชํองทางหรือทางผําน มี 1 ประเภท ได๎แกํ ดําน 3. ชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนมตามกลุํมความหมาย ประเภทที่สํวนประกอบหลักของชื่อหมูํบ๎านมี ลักษณะเฉพาะด๎านอื่น ๆ ได๎แกํ สร๎างหิน ซอง ไทยสามัคคี อาจสามารถ สําราญเหนือ สําราญใต๎ 4. ประเภทที่สํวนประกอบหลักของชื่อหมูํบ๎านไมํสามารถจัดหมวดหมูํได๎ 4.1 คําที่ความหมายไมํเข๎าพวก มี 1 ประเภท ได๎แกํ กุรุคุ 4.2 คําที่ไมํทราบความหมาย มี 1 ประเภท ได๎แกํ ชะโงม
~ 71 ~ ชื่อหมูํบ๎านทั้งหมดจํานวน 165 หมูํบ๎านนั้น เมื่อจัดหมวดหมูํตามเกณฑ๑ดังกลําวข๎างต๎นแล๎ว ได๎จํานวนหมูํบ๎านในแตํ ละประเภท ดังนี้ 1. ประเภทที่มีสํวนประกอบหลักของชื่อหมูํบ๎านเป็นลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร๑มีทั้งหมด 107 หมูํบ๎าน คิด เป็นร๎อยละ 64.85 1.1 แหลํงน้ํา มี 7 ประเภท จํานวน 46 หมูํบ๎าน คิดเป็นร๎อยละ 27.87 หนอง หมายถึง ที่ลุํมตามทุํงนาหรือปุาที่มีน้ําขังอยูํ (สมเด็จพระมหาวีรวงค๑, 2515, หน๎า 431) ชื่อหมูํบ๎านที่ขึ้นต๎นด๎วยคําวํา หนอง มี 23 หมูํบ๎าน คือ หนองบัว หนองหญ๎าไซ หนองปลาดุก หนองเดิ่น หนองจันทร๑ หนองเซา หนองดินแดง หนองยาว หนองญาติ หนองสระพัง หนองแซง และหนองค๎า คิดเป็นร๎อยละ 13.93 วัง หมายถึง ห๎วงน้ํา ลึก (พจนานุก รมอีสาน-กลาง ฉบั บ มข.สวอ., 2532, หน๎ า 208) หรือหมายถึง บริเวณบางตอนของลําน้ําที่เป็นแอํงกว๎างลึก หรือบริเวณลําน้ํากว๎างที่มีกระแสน้ําวน (สมเด็จพระ มหาวีรวงค๑ , 2515, หน๎า 363) ชื่อหมูํบ๎านที่ขึ้นต๎นด๎วยคําวํ า วัง มี 6 หมูํบ๎าน คือ วังตามัว วังไฮ และวัง กระแส คิดเป็นร๎อยละ 3.63 คํา หมายถึง แหลํงน้ําซับ (พจนานุกรมอีสาน-กลาง ฉบับ มข.สวอ., 2532, หน๎า 53) ชื่อหมูํบ๎านที่ขึ้นต๎นด๎วยคําวํา คํา มี 10 หมูํบ๎าน คือ คําเกิ้ม คําเตย คําธาตุ คําพอก คําสวําง คําสวํางน๎อย คิดเป็นร๎อยละ 6.06 กุด หมายถึง ลําน้ําซึ่งมีลักษณะยาวเหมือนห๎วยหรือคลองขาดเป็นห๎วง โดยที่ข๎างต๎น ข๎าง ปลาย ตื้นเขินหรือตัน หรือลําน้ําหรือสายน้ําที่เคยเป็นห๎วยหรือคลองมากํอน ตํอมาได๎เปลี่ยนแปลงทางเดิน ตอนที่น้ํา ไมํเดินนี้ ข๎างต๎นข๎างปลายตื้นเขิน น้ําลึกอยูํระหวํางกลางเรียกวํา กุด (สมเด็จพระมหาวีรวงค๑ , 2515, หน๎า 398) ชื่อหมูํบ๎านที่ขึ้นต๎นด๎วยคําวํา กุด มี 1 หมูํบ๎าน คือ กุดข๎าวปุูน คิดเป็นร๎อยละ 0.60 ทํา หมายถึง ฝ๓่งสําหรับขึ้นลงหรือจอดเรือ เป็นที่สําหรับขึ้นลงริมน้ํา (สมเด็จพระมหาวี รวงค๑, 2515, หน๎า 201) ชื่อหมูํบ๎านที่ขึ้นต๎นด๎วยคําวํา ทํา มี 2 หมูํบ๎าน คือ ทําค๎อเหนือ ทําค๎อใต๎ คิดเป็นร๎อย ละ 1.21 บุํง หมายถึง ที่ดินที่ลุํมอยูํติดกับลําน้ํา ฤดูฝนมีน้ําขังคล๎ายบึงหรือหนอง (สมเด็จพระมหาวี รวงค๑, 2515, หน๎า 238) ชื่อหมูํบ๎านที่ขึ้นต๎นด๎วยคําวํา บุํง มี 1 หมูํบ๎าน คือ บุํงเวียน คิดเป็นร๎อยละ 0.60 บึง หมายถึง แอํงน้ําขนาดใหญํ มีน้ําขังตลอดปี ชื่อหมูํบ๎านที่ขึ้นต๎นด๎วยคําวํา บึง มี 1 หมูํบ๎าน คือ บึงหลํม คิดเป็นร๎อยละ 0.60
~ 72 ~ 1.2 ที่สูง มี 4 ประเภท จํานวน 15 หมูํบ๎าน คิดเป็นร๎อยละ 9.09 ดอน หมายถึง ที่ สู ง เนิ น หรื อ ปุ า ที่ มี ลั ก ษณะเหมือ นเกาะ คือ มี ที่ เ ตี ยนอยูํโ ดยรอบ (สมเด็จพระมหาวีรวงค๑ , 2515, หน๎า 159) ชื่อหมูํบ๎านที่ขึ้นต๎นด๎วยคําวํา ดอน มี 7 หมูํบ๎าน คือ ดอนยานาง ดอนมํวง ดอนแดง ดอนโมง คิดเป็นร๎อยละ 4.24 โคก หมายถึง ที่เนิน ที่สูง ปุาโปรํง (สมเด็จพระมหาวีรวงค๑ , 2515, หน๎า 96) ชื่อ หมูํบ๎านที่ขึ้นต๎นด๎วยคําวํา โคก มี 5 หมูํบ๎าน คือ โคกทรายคํา โคกไกํเซา โคกกุง โคกก๎อง คิดเป็นร๎อยละ 3.03 โนน หมายถึง เนิน หรือที่สูง (สมเด็จพระมหาวีรวงค๑ , 2515, หน๎า 226) ชื่อหมูํบ๎าน ที่ขึ้นต๎นด๎วยคําวํา โนน มี 2 หมูํบ๎าน คือ โนนขาม โนนชมภู คิดเป็นร๎อยละ 1.21 เนิน หมายถึง โนนหรือที่สูง ชื่อหมูํบ๎านที่ขึ้นต๎นด๎วยคําวํา เนิน มีเพียง 1 หมูํบ๎าน คือ เนินสะอาด คิดเป็นร๎อยละ 0.60 1.3 ปุาดง มี 2 ประเภท จํานวน 13 หมูํบ๎าน คิดเป็นร๎อยละ 7.87 ดง หมายถึง ปุา ปุาสูง หรือปุาทึบ (สมเด็จพระมหาวีรวงค๑ , 2515, หน๎า 253) ชื่อ หมูํบ๎านที่ขึ้นต๎นด๎วยคําวํา ดง มี 11 หมูํบ๎าน คือ ดงสวําง ดงติ้ว ดงยอ ดงโชค ดงต๎อง คิดเป็นร๎อยละ 6.66 เหลํา หมายถึง ไรํหรือสวนที่ทิ้งร๎างจนเกิดหญ๎าหรือต๎นไม๎ขึ้นรกรุงรัง (สมเด็จพระมหาวี รวงค๑, 2515, หน๎า 461) ชื่อหมูํบ๎านที่ขึ้นต๎นด๎วยคําวํา เหลํา มี 2 หมูํบ๎าน คือ เหลําภูมี คิดเป็นร๎อยละ 1.21 1.4 พื้นที่ทํากิน มี 2 ประเภท จํานวน 25 หมูํบ๎าน คิดเป็นร๎อยละ 15.15 นา หมายถึง พื้นที่ราบทําเป็นคันกั้นน้ําเป็นแปลง ๆ สําหรับปลูกข๎าว เป็นต๎น พื้นที่มี ลักษณะคล๎ายนาสําหรับทําประโยชน๑อื่น ๆ เรียกตามสิ่งที่ทํา เชํน นาเกลือ นากุ๎ง (ราชบัณฑิตยสถาน, 2525, 429) ชื่อหมูํบ๎านที่ขึ้นต๎นด๎วยคําวํา นา มี 23 หมูํบ๎าน คือ นาคอกควาย นาจอก นาหลวง นาโดน นาสมดี นา หัวบํอ นาคํา นาโพธิ์ นามน นาปุง นาราชควาย นาคู นามูลฮิ้น นาคํากลาง คิดเป็นร๎อยละ 13.93 ทุํง หมายถึง ที่ราบ ชื่อหมูํบ๎านที่ขึ้นต๎นด๎วยคําวํา ทุํง มี 2 หมูํบ๎าน คือ ทุํงมน คิดเป็น ร๎อยละ 1.21 1.5 ลักษณะพื้นดินและหิน มี 1 ประเภท จํานวน 8 หมูํบ๎าน คิดเป็นร๎อยละ 4.84 โพน หมายถึง จอมปลวก เนินดิน (ราชบัณฑิตยสถาน, 2525, 597) ชื่อหมูํบ๎านที่ ขึ้นต๎นด๎วยคําวํา โพน มี 8 หมูํบ๎าน คือ โพนงาม โพนสวรรค๑ โพนปุาหว๎าน โพนค๎อ โพนกุง โพนทา โพน ทอง คิดเป็นร๎อยละ 4.84 2. ชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนมตามกลุํมความหมาย ประเภทที่สํวนประกอบหลักของชื่อหมูํบ๎านไมํใชํ ลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร๑ มีทั้งหมด 45 หมูํบ๎าน คิดเป็นร๎อยละ 27.27 2.1 พื ช และสํ วนตํ าง ๆ ของพืช มี 9 ประเภท จํานวน 17 หมูํบ๎ าน คือ ห๎อม ไผํ ขาม กล๎วย ชะโนด หนาด บัว ไฮ โพธิ์ คิดเป็นร๎อยละ 10.30
~ 73 ~ 2.2 สิ่งที่มนุษย๑สร๎างขึ้น มี 2 ประเภท จํานวน 2 หมูํบ๎าน คือ อํางคํา และเมืองเกํา คิดเป็น ร๎อยละ 1.21 2.3 ตําแหนํงที่ตั้งหรือทิศทาง มี 3 ประเภท จํานวน 7 หมูํบ๎าน คือ หัวโพน กลางใหญํ กลาง น๎อย หน๎าฐานบิน คิดเป็นร๎อยละ 4.24 2.4 บุคคล สถานภาพ และคุณลักษณะของบุคคล มี 1 ประเภท จํานวน 1 หมูํบ๎าน คือ พระ ยอดเมืองขวาง คิดเป็นร๎อยละ 0.60 2.5 มงคลนาม มี 8 ประเภท จํานวน 11 หมูํบ๎าน คือ เจริญทอง ภูเขาทอง โชคอํานวย สุข เจริญ พรเจริญ สุขเกษม ใหมํศรีปทุม ใหมํแสงอรุณ คิดเป็นร๎อยละ 6.66 2.6 สัตว๑และสํวนตําง ๆ ของสัตว๑ มี 1 ประเภท จํานวน 4 หมูํบ๎าน คือ ผึ้ง คิดเป็นร๎อยละ 2.42 2.7 ความเชื่อหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มี 1 ประเภท จํานวน 2 หมูํบ๎าน คือ เทพพนม คิดเป็นร๎อยละ 1.21 2.8 ชํองทางหรือทางผําน มี 1 ประเภท จํานวน 1 หมูํบ๎าน คือ ดํานเกํา คิดเป็นร๎อยละ 0.60 3. ชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนมตามกลุํมความหมาย ประเภทที่สํวนประกอบหลักของชื่อหมูํบ๎านมี ลักษณะเฉพาะด๎านอื่น ๆ มีทั้งหมด 7 หมูํบ๎าน คือ สร๎างหิน ซอง ไทยสามัคคี อาจสามารถ สําราญเหนือ สําราญ ใต๎ คิดเป็นร๎อยละ 4.24 4. ประเภทที่สํวนประกอบหลักของชื่อหมูํบ๎านไมํสามารถจัดหมวดหมูํได๎ มีทั้งหมด 6 หมูํบ๎าน คิดเป็นร๎อยละ 3.36 4.1 คําที่ความหมายไมํเข๎าพวก มี 1 ประเภท จํานวน 4 หมูํบ๎าน คือ กุรุคุ คิดเป็นร๎อยละ 2.42 4.2 คําที่ไมํทราบความหมาย มี 1 ประเภท จํานวน 2 หมูํบ๎าน คือ ชะโงม คิดเป็นร๎อยละ 1.21
~ 74 ~ ตารางที่.5.แสดงจํานวนและร๎อยละของชื่อหมูํบ๎าน จําแนกตามประเภทของหมวดหมูํ เลขที่ ประเภท จํานวนหมูบํ ๎าน 1. องค๑ประกอบหลักของชื่อหมูํบ๎านเป็นลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร๑ 107 - แหลํงน้ํา 46 - ที่สูง 15 - ปุาดง 13 - พื้นที่ทํากิน 25 - ลักษณะพื้นดินและหิน 8 2. องค๑ประกอบหลักของชื่อหมูํบา๎ นไมํใชํลกั ษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร๑ 45 - พืช และสํวนตําง ๆ ของพืช 17 - สิ่งที่มนุษย๑สร๎างขึ้น 2 - ตําแหนํงที่ตั้งหรือทิศทาง 7 - บุคคล สถานภาพ และคุณลักษณะของบุคคล 1 - มงคลนาม 11 - สัตว๑และสํวนตําง ๆ ของสัตว๑ 4 - ความเชื่อหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ 2 - ชํองทางหรือทางผําน 1 3. องค๑ประกอบหลักของชื่อหมูํบ๎านมีลักษณะเฉพาะด๎านอื่น ๆ 7 4. องค๑ประกอบหลักของชื่อหมูํบ๎านไมํสามารถจัดหมวดหมูํได๎ 6 - คําที่ความหมายไมํเข๎าพวก 4 - คําที่ไมํทราบความหมาย 2 165
ร๎อยละ 65 27.87 9.09 7.87 15.15 4.84 28.00 10.30 1.21 4.24 0.60 6.66 2.42 1.21 0.60 4.00 3.00 2.42 1.21 100
จากตารางสรุปได๎วํา ชื่อหมูํบ๎านที่เป็นลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร๑ มีจํานวนมากที่ สุดคือร๎อยละ 65.00 และชื่อหมูํบ๎านที่ไมํสามารถจัดหมวดหมูํได๎ มีจํานวนน๎อยที่สุด คือร๎อยละ 3.00
~ 75 ~ ตารางที่.6.แสดงสํวนประกอบของชื่อหมูํบ๎านแยกตามจํานวนของคําที่ปรากฏ ลําดับที/่ ชือ่ หมูบํ ๎าน 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8. 9. 10. 11. 12. 13. 14. 15. 16. 17. 18. 19. 20. 21. 22. 23. 24. 25.
ชื่อหมูบํ า๎ นที่ ประกอบด๎วยคํา 1 คํา ซอง ผึ้ง ผึ้ง ผึ้ง ผึ้ง ห๎อม ห๎อม กล๎วย หนาด หนาด หนาด บัว บัว
ชื่อหมูบํ า๎ นที่ ประกอบด๎วยคํา 2 คํา โพนงาม อํางคํา หัวโพน โนนขาม หนองบัว นาคู สร๎างหิน หนองบัว หนองบัว ดํานเกํา นาปุง นาโพธิ์ นามน ดอนมํวง นาโพธิ์ นาโพธิ์ นาคํา ไผํล๎อม คําเกิ้ม ขามเฒํา ขามเฒํา นาโดน ชะโงม ชะโงม นาโดน
ชื่อหมูบํ า๎ นที่ ประกอบด๎วยคํา 3 คํา ดอนยานาง นามูลฮิ้น นาคํากลาง โคกทรายคํา นามูลฮิ้น นาราชควาย นาราชควาย เนินสะอาด นาราชควาย นาราชควาย กุรุคุ กุรุคุ หนองหญ๎าไซ กุรุคุ กุรุคุ วังกระแส วังกระแส ดงสวําง เทพพนม สุขเจริญ หนองปลาดุก เทพพนม วังกระแส หนองปลาดุก หนองปลาดุก
ชื่อหมูบํ า๎ นที่ ประกอบด๎วยคํา 4 คํา นาราชควายใหญํ ไทยสามัคคี พระยอดเมืองขวาง หนองเดิ่นพัฒนา ใหมํศรีปทุม ใหมํแสงอรุณ คําสวํางน๎อย
~ 76 ~ 26. 27. 28. 29. 30. 31. 32. 33. 34. 35. 36. 37. 38. 39. 40. 41. 42. 43. 44. 45. 46. 47. 48. 49. 50. 51. 52. 53. 54. 55.
กลางใหญํ กลางใหญํ ดงติ้ว ดงติ้ว กลางน๎อย ดงยอ ดงติ้ว กลางใหญํ ดงติ้ว กลางใหญํ หนองจันทร๑ เมืองเกํา หนองเซา ดอนมํวง นาหลวง บุํงเวียน ดงหมู นาหลวง หนองจันทร๑ หนองจันทร๑ วังไฮ คําเตย คําเตย คําเตย ทุํงมน ดอนแดง โพนค๎อ หนองยาว โพนกุง ดอนแดง
หนองปลาดุก หนองปลาดุก สําราญเหนือ สําราญใต๎ อาจสามารถ อาจสามารถ นาหัวบํอ นาสมดี ไผํล๎อมเหนือ กุดข๎าวปุูน ชะโนดใหญํ ชะโนดน๎อย ทําค๎อเหนือ ทําค๎อใต๎ โคกไกํเซา หนองดินแดง โพนสวรรค๑ โพนปุาหว๎าน เจริญทอง โพนสวรรค๑ ภูเขาทอง เหลําภูมี ภูเขาทอง เหลําภูมี นาคอกควาย หนองสระพัง โชคอํานวย คําสวําง วังตามัว พรเจริญ
~ 77 ~ 56. 57. 58. 59. 60. 61. 62. 63. 64. 65. 66. 67. 68. 69. 70. 71. 72. 73. 74. 75. 76. 77. 78. 79. 80. 81. 82. 83. รวม
13 (7.87)
ดอนแดง คําเตย ทุํงมน ดงโชค หนองญาติ ดอนโมง นาจอก หนองญาติ คําธาตุ คําพอก หนองบัว คําพอก โพนทา ดงขวาง บึงหลํม ดงต๎อง ดงต๎อง กกไฮ โพนทอง หนองแซง หนองแซง หนองบัว โพธิ์ตาก โคกกุง โคกกํอง หนองค๎า โพธิ์ตาก โคกกํอง 83 (50ฬ30)
คําสวําง โนนชมภู โชคอํานวย วังตามัว หน๎าฐานบิน สุขเกษม สุขเกษม
62 (37.57)
7 (4.24)
~ 78 ~ การวิเคราะห๑ลักษณะทางภาษาของชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม การวิเคราะห๑ลักษณะทางภาษาของชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม เป็นการศึกษาโดย ใช๎ความรู๎ด๎านภาษาศาสตร๑เชิงสังคม และภาษาศาสตร๑เชิงประวัติประกอบกัน โดยใช๎ในการศึกษาชื่อหมูํบ๎า น ใน 3 ลักษณะ คือ ลักษณะของการใช๎ภาษา ลักษณะความเปลี่ยนแปลงของภาษา และลักษณะหน๎าที่ของภาษา ซึ่งพบวํา ภาษาที่ใช๎ในการตั้งชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนนั้น สํวนใหญํเป็นชื่อสั้น ๆ มีทั้งที่ประกอบด๎วยคํา 1 คํา 2 คํา 3 คํา และ 4 คํา คําแตํละคํามีความสําคัญและมีความหมายในตัวเองทั้งสิ้น ชื่อหมูํบ๎านที่ประกอบด๎วยคําหลายคํานั้น แตํละคําจะมีความสัมพันธ๑กันโดยที่ชื่อหมูํบ๎านคําหลังมักจะทําหน๎าที่ขยายความหมายของคําหน๎าให๎ชัดเจนมากยิ่งขึ้น เชํน บอกรายละเอียดของทิศทางที่ตั้งหมูํบ๎าน บอกทําเลที่เป็นลักษณะเดํน หรือบอกรายละเอียดปลีกยํอยอื่ น ๆ แตกตําง กันไป เชํน ห๎อม นามน กลางใหญํ กุดข๎าวปุูน และพระยอดเมืองขวาง เป็นต๎น ห๎อม คําวํา “ห๎อม” เป็นคํานามพยางค๑เดียวและเป็นคําไทยแท๎ ที่บอกให๎ทราบวําทําเลที่ตั้งของหมูํบ๎านมี ลักษณะทางภูมิศาสตร๑เป็นปุา เมื่อตั้งถิ่นฐานที่เป็นปุาห๎อมนั้นแล๎ว อาจจะมีการนําต๎น ห๎อมมาย๎อมผ๎า ซึ่งในป๓จจุบันไมํ เหลือต๎นห๎อมในธรรมชาติของบ๎านห๎อมอีกตํอไป เหลือเพียงชื่อหมูํบ๎านที่พอจะทําให๎ทราบวํา บริเวณบ๎านดังกลําวใน อดีตเคยเป็นปุาห๎อม เพียงเทํานั้น นามน คําวํา “นา” เป็นคํานามพยางค๑เดียวและเป็นคําไทยแท๎ที่บอกให๎ทราบวําทําเลที่ตั้งหมูํบ๎านมี ลักษณะ ทางภูมิศาสตร๑เป็นพื้นที่ทํากิน สํวนคําวํา “มน” ชํวยขยายความให๎ทราบถึงสภาพแวดล๎อมที่เป็นนาวํามีลักษณะมน กลม หรือ โค๎ง จึงได๎ตั้งหมูํบ๎านตามลักษณะสภาพแวดล๎อมดังกลําว กลางใหญํ คําวํา “กลาง” เป็นคํานามพยางค๑เดียวและเป็นคําไทยแท๎ที่บอกให๎ทราบวําทําเลที่ตั้งหมูํ บ๎านบอก ทิศทางหรือระยะทาง (ระหวํางกลางของาตุพนมถึงเมืองนครพนม) สํวนคําวํา “ใหญํ” ขอกให๎ทราบถึงขนาดของ ชุมชนดั้งเดิมวําประกอบด๎วยจํานวนครัวเรือนจํานวนมาก กุดข๎าวปุูน คําวํา “กุด” เป็นคํานามพยางค๑เดียวและเป็นคําไทยแท๎ที่บอกให๎ทราบวําทําเลที่ตั้งหมูํบ๎านมี ลักษณะทางภูมิศาสตร๑เป็นแหลํงน้ําลึก นอกจากนี้คําวํา “ข๎าวปุูน” จะชํวยขยายความหมายของคําหน๎าวํา เมื่อตั้งถิ่น ฐานนั้นแล๎ว ทําให๎ทราบวําชาวบ๎านทีอาชีพทําขนมจีน หรือข๎าวปุูน ในภาษาอีสาน หรือเป็นลักษณะเดํนของหมูํบ๎าน พระยอดเมืองขวาง คําวํา “พระยอดเมืองขวาง” เป็นคํานามสี่พยางค๑และเป็นคําไทยแท๎ที่บอกให๎ทราบวํา ชื่อ หมูํบ๎านนํามาจากบรรดาศักดิ์ของเจ๎าเมืองที่ชื่อพระยอดเมืองขวาง ทั้งนี้เพื่อเป็นเกียรติและการยกยํองในฐานะวีรบุรุษผู๎ รักชาติ ทั้งนี้ได๎มีการนําชื่อวีรบุรุษดังกลําวไปตั้งเป็นชื่อคํายทหารและคํายตํารวจตระเวนชายแดน คือ คํายพระยอด เมืองขวาง กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 3 ตั้งอยูํที่บ๎านพระยอดเมืองขวาง ตําบลกุรุคุ อําเภอเมือง นครพนม จังหวัดนครพนม และคํายพระยอดเมืองขวาง กองกํากับการ 3 กองบังคับการฝึกพิเศษ กองบัญชาการ ตํารวจตระเวนชายแดน ตั้งอยูํที่บ๎านหนองหอย ตําบลแจระแม อําเภอเมืองอุบลราชธานี จังหวัดอุบลราชธานี
~ 79 ~ ผลการศึกษาวิเคราะห๑ทําให๎เห็นแนวทางการตั้งชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ดังนี้ คือ 1. ชื่อหมูบํ ๎านตั้งตามลักษณะภูมิประเทศ หรือลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร๑ของสถานที่ตั้งหมูํบ๎าน เชํน หนอง วัง คํา กุด ทํา บุํง บึง ดอน โคก โนน เนิน ดง เหลํา โพน นา ทุํง เป็นต๎น เพื่อใช๎เป็นเครื่องสังเกตและมี ความหมายในการแนะภาพวํา สภาพทําเลที่ตั้งของหมูํบ๎านมีลักษณะอยํางไร เชํน เป็นแหลํงน้ํา ที่สูง ปุา ที่ทํากิน ฯ เปูนต๎น 2. ชื่อหมูํบ๎านตั้งตามชื่อพืช และสํวนตําง ๆ ของพืชที่พบในบริเวณที่ตั้งหมูํบ๎าน เพื่อเป็นเครื่องชี้ชัดให๎มาก ขึ้น ชัดเจนขึ้น สามารถแบํง แยกได๎วําหมูํบ๎านใดเป็นหมูํบ๎านใด เชํน บ๎ านห๎อม ได๎แกํหมูํบ๎านที่ มีต๎นห๎อมขึ้ นอยูํ หนาแนํน หรือเป็นที่สังเกตได๎ชัดวํา มีต๎นห๎อมที่หมูํบ๎านนี้มากกวําหมูํบ๎านอื่น หรือ บ๎านกล๎วย ได๎แกํหมูํบ๎านที่มีต๎น กล๎วยขึ้นอยูํในบริเวณนั้นเป็นอันมาก 3. ชื่อหมูํบ๎านตั้งตามสิ่งที่มนุษย๑สร๎างขึ้น เชํน อํางคํา และเมืองเกํา 4. ชื่อหมูํบ๎านที่ตั้งโดยใช๎คําบํงบอกตําแหนํงหรือชี้ทิศทางที่หมูํบ๎านนั้ นตั้งอยูํ เชํน บ๎านหัวโพน มีคําวํา “หัว” บอกให๎ทราบวําหมูํบ๎านตั้งอยูํในบริเวณหัวเนิน หรือบ๎านกลาง แสดงความหมายวําหมูํบ๎านตั้งอยูํระหวํางกลาง ของอีกสองหมูํบ๎าน บ๎านหน๎าฐานบิน แสดงให๎ทราบถึงที่ตั้งหมูํบ๎านวําอยูํหน๎าสนามบิน เป็นต๎น 5. ชื่อหมูํบ๎านเป็นชื่อคนที่มีบทบาทสําคัญในอดีต เชํน บ๎านพระยอดเมืองขวาง 6. ชื่อหมูํบ๎านตั้งขึ้นเพื่อเป็นสิริมงคลแกํผู๎อยูํอาศัยในหมูํบ๎าน เชํน บ๎านเจริญทอง บ๎านภูเขาทอง บ๎านโชค อํานวย บ๎านสุขเจริญ บ๎านพรเจริญ บ๎านสุขเกษม บ๎านใหมํศรีปทุม บ๎านใหมํแสงอรุณ เป็นต๎น 7. ชื่อหมูํบ๎านที่ตั้งตามชื่อแมลงที่มีมากในบริเวณนั้น เชํน บ๎านผึ้ง 8. ชื่อหมูํบ๎านตั้งตามความเชื่อหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชํน บ๎านเทพพนม 9. ชื่อหมูํบ๎านที่ตั้งตามชํองทางหรือทางผําน เชํน บ๎านดํานเกํา 10. ชื่อหมูํบ๎านที่ตั้งตามลักษณะเฉพาะบางประการ เชํน บ๎านสร๎างหิน บ๎านซอง บ๎านไทยสามัคคี บ๎าน อาจสามารถ สําราญเหนือ สําราญใต๎ 11. ชื่อหมูํบ๎านที่มีความหมายเฉพาะบางประการ เชํน บ๎านกุรุคุ บ๎านชะโงม เป็นต๎น
~ 80 ~ ดังนั้นจากชื่อหมูํบา๎ น จึงสะท๎อนให๎เห็นภาพของหมูํบา๎ นทั้งในด๎านภูมิศาสตร๑ ประวั ติศาสตร๑ และสภาพสังคม วัฒนธรรม ดังตํอไปนี้ 1. ด๎านภูมิศาสตร๑ ชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม สะท๎อนให๎เห็นวํา สภาพภูมิศาสตร๑สํวนใหญํนั้นประกอบ ไปด๎วยแหลํงน้ําที่อุดมสมบูรณ๑ ซึ่งแหลํงน้ําตําง ๆ เหลํานี้มักจะเป็นลําน้ําหรือห๎วย หนอง ที่ไหลแยกออกมาจากแมํน้ํา สายใหญํ เพราะพบข๎อสังเกตวําในจํานวนชื่อหมูํบ๎านที่ขึ้นต๎นด๎วยคําที่บอกแหลํงน้ํานั้น คําวํา “หนอง” มีจํานวนมาก ที่สุด หมายความวําชาวบ๎านนิยมตั้งบ๎านเรือนอยูํริมลําห๎วย หนองน้ํา ในบริเวณที่เหมาะสมจะทําการเกษตรกรรมโดย พึ่งพาอาศัยแหลํงน้ําจากธรรมชาติเป็นหลัก สํวนแหลํงน้ําอื่น ๆ ที่ปรากฏก็ไมํใชํแอํงน้ําลึกขนาดใหญํ แตํเป็ นพื้นที่ลุํม ตามทุํงนาที่มีน้ําขังอยูํ แหลํงน้ําสํวนหนึ่งเป็นแหลํงน้ําซับ จากการวิเคราะห๑ชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัด นครพนม พบวํามีลักษณะทางภูมิศาสตร๑สอดคล๎องกับสภาพความเป็นจริง คือตัวอําเภอเมืองนครพนมตั้งอยูํริมฝ๓่งแมํน้ํา โขง จึงมีลําห๎วยขนาดใหญํและขนาดเล็กไหลผํานไปตามพื้นที่ตําง ๆ จํานวนมาก ชื่อหมูํบ๎านประเภทแหลํงน้ํามี จํานวนมากที่สุด คือร๎อยละ 43.00 ของชื่อหมูํบ๎านที่จําแนกตามลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร๑ รองลงมาเป็นประเภทที่ นา คือร๎อยละ 23.36 และประเภทที่สูงกับปุาดงมีจํานวนใกล๎เคียงกันคือ ร๎อยละ 14.01 และ 12.14 ตามลําดับ สรุปได๎วํา โดยภาพรวมแล๎วสภาพภูมิประเทศของอําเภอเมืองนครพนม นั้นสํวนใหญํเป็นที่ลุํม มีลําน้ําไหลผํานหลาย สาย ทางตอนเหนือสํวนใหญํเป็นที่ดอน นอกนั้นเป็นพื้นที่นาและปุา เมื่อฝนตกลงมา พื้นที่ที่อยูํระหวํางโคกหรือที่ดอนก็ จะกลายเป็นแอํงน้ําขังตามธรรมชาติ ทําให๎มีหมูํบ๎านที่มีคําวํา หนอง คํา วัง อยูํเป็นจํานวนหนึ่ง เป็นต๎น นอกจากนี้หากวิเคราะห๑ดูชื่อหมูํบ๎านที่จําแนกตามลักษณะเฉพาะอื่น ๆ ที่ไมํใชํลักษณะทางภูมิศาสตร๑แล๎วจะ พบวํา ชื่อหมูํบ๎านที่ขึ้นต๎นด๎วยชื่อต๎นไม๎หรือชื่อพืชมีจํานวนมากที่สุดคือ ร๎อยละ 37.77 เชํน บ๎านห๎อม บ๎านไผํล๎อม บ๎านขามเฒํา บ๎านกล๎วย บ๎านชะโนด บ๎านหนาด บ๎านบัว บ๎านกกไฮ บ๎านโพธิ์ตาก นอกจากนี้ยังมีชื่อหมูํบ๎านที่ แม๎วําจะไมํได๎ขึ้นต๎นหรือชื่อพืช แตํก็มีชื่อหมูํบ๎านที่แสดงวํามีต๎นไม๎และพืชหลายชนิ ดขึ้นอยูํในพื้นที่แถบอําเภอเมือง นครพนม จํานวนมาก เชํน โนนขาม ดอนมํวง ดงติ้ว ดงยอ ทําค๎อ โคกกุง ดงต๎อง ดอนแดง เป็นต๎น แตํพบข๎อ นําสังเกตวํา ชื่อพืชที่ปรากฏตามชื่อหมูํบ๎านเหลํานี้ไมํใชํพืชที่ขึ้นอยูํตามปุาทึบ แตํเป็นพืชเมืองร๎อนที่ขึ้นตามปุาโปรํง หรือเขตหัวไรํปลายนา เป็นสํวนใหญํ ซึ่งตรงกับข๎อมูลทางสภาพภูมิศาสตร๑ของจังหวัดนครพนมวํา เขตปุาทึบนั้นจะอยูํ แถบอําเภอตอนใน คือ อําเภอนาแก ที่อยูํหํางจากแมํน้ําโขง และมีสัตว๑ปุาชุกชุม ดังนั้นอําเภอเมืองนครพนมซึ่ง ไมํใชํอําเภอตอนในจึงไมํมีปุาไม๎ทึบซึ่งสะท๎อนให๎เห็นได๎ชัดเจน จากชื่อหมูํบ๎านดังกลําว 2. ด๎านประวัติศาสตร๑ ชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนมหลายหมูํบ๎านเป็นชื่อดั้งเดิม ซึ่งบอกที่มา ความหมาย และประวัติความ เป็นมาของหมูํบ๎าน เชํน บ๎านอาจสามารถ บ๎านคําเตย บ๎านกุรุคุ บ๎านนามูลฮิ้น บ๎านใหมํศรีปทุม เป็นต๎น
~ 81 ~ 1) บ๎านอาจสามารถ (อาทมาต) ชาวตําบลอาจสามารถเป็นชนเผําไทแสกอพยพมาจากแถบสิบสองป๓นนา ตํอมาได๎อพยพมาอาศัยอยูํ ทางเมืองวินห๑ เมืองรอง ณ ประเทศเวียดนามและตํอมาได๎อพยพลงมาตามแนวแมํน้ําโขง โดยบางกลุํมอาศัยอยูํใน ประเทศสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว และบางกลุํมได๎อพยพมาตั้งอยูํที่บ๎านโคกยาว (ป๓จจุบันคือบ๎านไผํล๎อม ตําบลอาจสามารถ อําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนคพนม) สมัยกํอนมีอาณาเขตอยูํใกล๎เคียงกับบ๎านนาลาดควาย (ป๓จจุบันบ๎านนาราชควาย) จํานวนชาวไทแสกที่ย๎ายมาในขณะนั้นมีจํานวน 1,170 คนตํอมาชาวไทแสกได๎ย๎ายถิ่น ฐานจากบ๎านโคกยาวมาอยูํที่บ๎าน “ปุาหายโคก” (ป๓จจุบันคือบ๎านอาจสามารถ) พระสุนทร ราชวงษา (ฝูาย) ได๎ พิจารณาเห็นวํา ชาวไทแสก มีความสามารถ มีความสามัคคี ความเข๎มแข็ง สามารถปกครองตนเองได๎ จึงยกฐานะ ชาวไทแสกที่อยูํที่ “ปุาหายโคก” ให๎เป็นกองอาทมาตคอยลาดตระเวนชายแดน พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล๎าเจ๎าอยูํหัว รัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล๎าฯ แตํงตั้ง ชาวไทแสก ให๎เป็นเมืองที่ชื่อวํา “อาทมาต” โดยขึ้นกับเมือง นครพนม ให๎ฆานบุดดี เป็น “หลวงเอกอาษา” ทําหน๎าที่เป็นเจ๎าเมืองอาทมาต ตั้งแตํ พ.ศ. 2387 (หลักฐานจาก เอกสารจดหมายเหตุ ร.3 จ.ศ. 1191 เลขที่ 3 หอสมุดแหํงชาติ จนถึง พ.ศ. 2450) และเมือง “อาทมาต” ได๎ เปลี่ยนเป็น “เมืองอาษามารถ” ตามลําดับ ตํอมาในการปฏิรูปการปกครองสํวนภูมิภาค ให๎เหมือนกันหมดทั่วราชอาณาจัก รและให๎ยกเลิกการ ปกครองแบบโบราณ ของเมืองตําง ๆ ในภาคอีสาน ซึ่งเคยปกครองแบบมีเจ๎าเมือง อุปฮาต ราชวงษ๑ และราชบุตร ทั้งหมดให๎เปลี่ยนตําแหนํง ผู๎วําราชการ เมือง ปลัด เมือง ยกบั ตรเมือง ให๎เหมือนกันทั่วราชอาณาจักร โดยเมือง นครพนมมีพญาพนมนครนุรักษ๑ฯ เป็นผู๎วําราชการเมือง แบํงการปกครองออกเป็น 6 อําเภอ คือ อําเภอเมืองนครพนม อําเภอเรณูนคร อําเภออาจสามารถ อําเภออากาศอํานวย อําเภอกุสุมาลย๑ อําเภอโพธิ ไพศาล ป๓จจุบันสามอําเภอ หลังโอนไปขึ้นกับจังหวัดสกลนครและอําเภออาษามารถ ยุบเป็นตําบลอาจสามารถขึ้นกับอําเภอเมืองนครนพนม จนถึ ง ป๓จจุบัน สํวนชาวบ๎านอื่นในตําบลอาจสามารถก็มาจากหลายกลุํมชาติพันธุ๑ เชํน บ๎านห๎อม บ๎านสําราญ เป็นกลุํมชาติ พันธุล๑ าวที่อพยพมาจากเมืองโพนบก เมืองมหาชัย ของ สปป.ลาว อีกบางสํวนก็อพยพมาจากหมูํบ๎านใกล๎เคียงเพื่อมา ตั้งหมูํบ๎านใหมํ เชํน บ๎านนาหัวบํอ บ๎านนาสมดี บ๎านคําเกิ้ม เป็นต๎น 2) บ๎านคําเตย เดิมทีประวัติความเป็นมาของชาวบ๎านคําเตยนั้น ได๎อพยพมาจากบ๎านพีทกวนพัน (ประเทศลาว) ได๎ข๎ามฝ๓่งแมํน้ําของ (แมํน้ําโขง) ป๓จจุบันมาทางด๎านทิศตะวันตก โดยหํางจากเมืองนครพนม 25 กิโลเมตร โดย สาเหตุที่อพยพข๎ามฝ๓่งแมํน้ําของมา เนื่องจากสมันกํอนนั้นบ๎านเมืองเกิดการสู๎รบ ตามหัวเมืองตําง ๆ (ภาษาท๎องถิ่น โบราณจะเรียกวําแตํงศึกแตํงเสือจึงทําให๎ราษฎรที่อยูํตามหัวเมืองตําง ๆ ไมํมั่นใจในชีวิตและไมํปลอดภัย พํอ -แมํ ผู๎นํา ทางผู๎เฒําผู๎อาวุโสจึงอพยพลูกหลานมาตั้งบ๎านเรือนอยูํบ๎านฮ๎างโพธิ์ศรี และบ๎านเกําหัวบึง (ป๓จจุบันคือพื้นที่ หมูํที่ 5 บ๎านคําเตย) โดยสันนิษฐานวําระหวํางบ๎านฮ๎างโพธิ์ศรี และบ๎านเกําหัวบึงนั้น ดูจากสภาพทั่วไปแล๎ว บ๎านเกําหัว บึงจะมีพื้นฐานที่เกาแกํคือ การสร๎างวัด และมีองค๑พระประธานตั้งประดิษฐานอยูํ พร๎อมพระธาตุเจดีย๑ ยังปรากฏให๎เห็น
~ 82 ~ จนถึงป๓จจุบัน สํวนบ๎านฮ๎างโพธิ์ศรีนั้นองค๑ประกอบพื้นฐานนั้นไมํเกําแกํเหมือนวัดบ๎านเกําหัวบึง จึงสรุปได๎วําบ๎านเกํา หัวบึงนั้นเป็นบ๎านกําเนิดกํอนที่จะได๎กํอตั้งบ๎านคําเตย ราวปี 2338 รวม 222 ปี ที่ผํานมา กํอนที่หมูํบ๎านตําง ๆ ในเขตตําบลคําเตยนั้นผู๎เฒําผู๎แกํได๎เลําประวัติไว๎นั้นสํวนหนึ่งได๎ย๎ายออกจากบ๎านฮ๎างโพธิ์ศรี ไปตั้งบ๎านเรือนอยูํบ๎าน ดอนแดง-บ๎านโพนปุาหว๎าน-บ๎านดอนดูํ-ตําบลกุตาไก๎-บ๎านหนองบัวคํา ตําบลนามะเขือ สํวนบ๎านโพนค๎อ-บ๎านหนอง ดินแดง-บ๎านทุํงมน เป็นชุมชนที่อพยพย๎ายออกจากบ๎านคําเตยทั้งหมด สํวนบ๎านคําเตยนั้น กํอนที่จะมากํอตั้งได๎ป๓กหลัก อยูํบ๎านเกําหัวบึงประมาณ 100 ปี เพราะดูจากหลักฐานมีโบราณวัตถุเกําแกํที่สุด สาเหตุที่ย๎ายออกจากบ๎านเกําหัวบึง บรรพบุรุษได๎เลําไว๎วําเกิดจากสาเหตุ ”มดตาโป” สันนิษฐานวําคือมดงําม มากัดตอมกินลูกเล็กเด็กแดงที่เกิดมาใหมํ เนื่องจากเป็นพื้นที่ปุาไม๎อุดมสมบูรณ๑และเป็นพื้นที่ราบลุํม ปุาทึบแนํนหนาและเกิดโรคอหิวา (โรคหํา) สมัยกํอนผู๎คน จํานวนมากล๎มตาย จึงจําเป็นต๎องย๎ายออก และอีกสาเหตุหนึ่ ง อยูํใกล๎ดอนปูุตาบึงคําเตย เพราะตามประวัติบางสํวน ทํานเลําไว๎วํา อยูํมาวันหนึ่งมีสุภาพสตรีแตํงกายชุดโบราณผ๎าถุงมัดหมี่ เสื้อแขนกลางยาวย๎อมหม๎อสีดํา ได๎นิมิตให๎เห็น เป็นชาวบ๎านทั่วไป ได๎มายืมฟืมต่ําฮูกโดยนัดหมายเจ๎าของฟืมที่ยืมนั้นจะนํามาสํงภายในสามวัน หลังจากได๎ ฟืมแล๎วก็ หันหลังออกจากบ๎านลงบันไดไปชั่วพริบตาเดียว เจ๎าของฟืมที่ให๎ยืมมองมาก็ไมํเห็นหญิงคนนั้นแล๎ว พอครบ 3 วันหญิง คนนั้นก็นําฟืมมาสํงถึงบ๎าน พอหันหลังไปก็ไมํเห็น จึงได๎อพยพไปตั้งบ๎านใหมํชื่อวําบ๎านคําเตย ชื่อนี้ได๎ตั้งขึ้นให๎ถูก หลักภูมิศาสตร๑และประวัติศาสตร๑ โดยใช๎คําวําคําเตยนั้นมาจาก น้ําคําซึมที่ไมํเหือดแห๎ง สํวนเตยนั้นเป็นพืชชนิด ประเภทพืชเลื่อยคลานไปตามโคลนตม ซึ่งเรียกวําต๎ นเตย ซึ่งเกิดขึ้นบริเวณบึงคําเตยอยูํในดอนปูุตา แตํกํอนนั้นตําบล คําเตยหรือบ๎านคําเตย ชื่อบ๎านทางโค๎ง ชื่อนี้ไมํเหมาะสมก็เลยเปลี่ยนใหมํเป็นชื่อ บ๎านคําเตยจนถึงป๓จจุบัน ตํอมาใน ด๎านการปกครองสมัยรัชกาลที่ 5 ได๎เริ่มกํอตั้งตําบลหมูํบ๎านขึ้นโดยแบํงการปกครองในเขตพื้นที่ตําบลคําเตย โดยมีดังนี้ บ๎านคําเตยแตํกํอนนั้นมีหมูํบ๎านเดียวปกครองแบบพํอปกครองลูก โดยอาศัยผู๎เฒําผู๎แกํเป็นหลักปกครองในแตํละบ๎าน และ มาจัด ตั้ง หมูํบ๎านขึ้น มีบ๎านคําเตย-บ๎านดอนแดง-บ๎านทุํงมน-บ๎านโพนค๎อ -บ๎านโพนปุาหว๎าน โดยขยายหมูํบ๎าน ออกไป บ๎านคําเตยนั้นเป็นบ๎านหลักตํอมาก็ย๎ายออกไป มีบ๎านหนองดินแดง บ๎านทุํงมน ได๎ย๎ายออกไปจากบ๎านคําเตย และบ๎านโพนค๎อ สํวนบ๎านโพนปุาหว๎านได๎ออกไปจากบ๎านฮ๎างโพธิ์ศรี บ๎านหนองยาวได๎อพยพออกไปจากบ๎านทุํงมน และบ๎านหนองกุงก็ย๎ายมาจากบ๎านทุํงมน สํวนบ๎านวังไฮนั้น ก็ย๎ายมาจากบ๎านกุตาไก๎ เพราะมีบ๎านดอนดูํที่ย๎ายออกไป จากบ๎านคําเตย และบ๎านหนองบัวคําก็ย๎ายออกไปจากบ๎านคําเตยทั้งหมด และมาตั้งเป็นหมูํบ๎านเมื่อปี พ.ศ. 2457 มี จํานวน 12 หมูํบ๎านดังนี้ หมูํที่ 1 บ๎านหนองดินแดง หมูํที่ 2 บ๎านโพนสวรรค๑ หมูํที่ 3 บ๎านวังไฮ หมูํที่ 4 บ๎าน คําเตย หมูํที่ 5 บ๎านคําเตย หมูํที่ 6 บ๎านคําเตย หมูํที่ 7 บ๎านโพนปุาหว๎าน หมูํที่ 8 บ๎านทุํงมน หมูํที่ 9 บ๎าน ดอนแดง หมูํที่ 10 บ๎านโพนค๎อ หมูํที่ 11 บ๎านหนองยาว หมูํที่ 12 บ๎านหนองถุง ตํอมาปี 2525 ได๎จัดตั้ง หมูํบ๎านเพิ่มอีก โดยแยกออกจากบ๎านดอนแดงหมูํที่ 9 จัดตั้งหมูํที่ 13 อยูํบ๎านดอนแดง และปี 2536 ก็ได๎จัดตั้ง หมูํบ๎านขึ้นอีกโดยแยกออกจากหมูํที่ 9 เป็นหมูํที่ 14 อยูํบ๎านดอนแดง และมาจัดตั้งหมูํบ๎านอีกเมื่อปี พ.ศ. 2537 เป็นหมูํที่ 15 และตํอมาปี 2538 ได๎จัดตั้งหมูํบ๎านใหมํเป็นหมูํที่ 16 โดยแยกออกจากหมูํที่ 6 บ๎านคําเตย ตํอมาปี
~ 83 ~ พ.ศ. 2540 ได๎จัดตั้งหมูํบ๎านเพิ่มอีกเป็นหมูํที่ 17 โดยแยกออกจากบ๎านทุํงมนหมูํที่ 8 และจัดตั้งพร๎อมกันกับหมูํที่ 18 บ๎านโพนสวรรค๑ โดยแยกออกจากหมูํที่ 2 บ๎านโพนสวรรค๑จนถึงป๓จจุบัน 3) บ๎านกุรุคุ หมูํบ๎านบ๎านกุรุคุ ตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2327 มีความเดิมอยูํวําเดิมตั้งอยูํที่บ๎านดอนบักก๏อก (ทางแยก ไปอําเภอปลาปาก) เนื่องจากชาวบ๎านปุวยเป็นโรคระบาด คือ โรคเรื้อนกันมาก จึงได๎พากันอพยพมาและอีกสํวนหนึ่ง ได๎อพยพมาจาก บ๎านหัวนาน๎อย เพราะหนีโรคฝีดาษย๎ายมาสมทบกันจึงจัดตั้งขึ้นที่ตั้งของหมูํบ๎านเป็นเนินสูงและโลํงมี ต๎นหว๎าอยูํเป็นจํานวนมากจึงเรียกชื่อหมูํบ๎านวํา บ๎านบะหว๎า ซึ่งรวมเนื้อที่ไปถึงตําบลบ๎านผึ้งและตําบลวังตามัว ตํอมาเมื่อปี พ.ศ. 2330 ได๎เกิดเหตุการณ๑แปลกประหลาดขึ้น คือได๎มีควาญช๎างนําช๎างมาเพื่อ รับจ๎างให๎คนขี่แล๎วนําช๎างไปเลี้ยงที่ทุํงนาใกล๎บํอน้ําของหมูํบ๎าน ควาญช๎างคนหนึ่งได๎นําคุถังไปตักน้ําเพื่อนําน้ํามาไว๎ ดื่มกิน พอหยํอนคุถังลงไปถึงน้ํา ปรากฎวําคุถังได๎หลุดออกจากไม๎ขอจมหายไปในบํอ ควาญช๎างหาเทําไรก็ไมํเจอ อีก 3 วันตํอมาคุถังที่จมหายไปในบํอนั้นก็ลอยปรากฏให๎เห็นที่ห๎วยกุดชึ่งอยูํหํางจากบํอน้ําประมาณ 500 เมตร ชาวบ๎านจึงพากันเรียกวํา บ๎านกุดลักคุ ตํอมาเมื่อปี พ.ศ.2490 ก็ได๎เปลี่ยนชื่อหมูํบ๎านเป็น บ๎านกุรุคุ ตราบเทําทุกวันนี้ 4) บ๎านนามูลฮิ้น บ๎านนามูลฮิ้น หมูํที่ 9 ตั้งขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 2300 เศษ ตั้งหมูํบ๎านครั้งแรกประกอบไปด๎วย เพียง 3 ครอบครัว คือ 1. ครอบครัวนายชม ไมํมีนามสกุล 2. ครอบครัวนายช๎อน ไมํมีนามสกุล 3. ครอบครัว นายสาย ไมํมีนามสกุล คนทั้ง 3 ครอบครัวนี้ได๎อพยพมาจากเมืองมหาชัย แหํงประเทศลาว เพราะถูกจีนฮํอเข๎า รุกราน จึงพากันย๎ายถิ่นฐานจากทางฝ๓่งลาวข๎ามแมํน๎าโขงมาตั้งหลักแหลํงที่ที่ตั้งหมูํบ๎านนามูลฮิ้นป๓จจุบัน โดยได๎ตั้งชื่อ หมูํบ๎านวํา “ บ๎านสร๎างคาพอ” หรือ“ บ๎านสร๎างคาปอ ” สาเหตุที่ให๎ตั้งชื่อหมูํบ๎านวํา“ บ๎านสร๎างคาพอ” หรือ“ บ๎านสร๎างคาปอ” สันนิษฐานวําได๎จากชื่อของบํอน๎าที่อยูํทางทิศตะวันออกของหมูํบ๎าน ซึ่งมีชื่อเรียกวํา “หนองคาปอ” ภาษาอีสาน “สร๎าง” แปลวํา บํอน๎า และคาวํา “พอ” ก็แผลงมาจากคาวํา “ปอ” ซึ่งหมายถึงหนองน๎าที่มีน้ําไหล ซึมตลอดเวลา ไมํมีวันเหือดแห๎งแม๎จะเป็นฤดูแล๎งก็ตาม ชาวบ๎านสร๎างคาพอจึงใช๎หนองน๎าแหํ งนี้ เป็นแหลํงอุปโภค บริโภค สืบตํอชีวิตลูกหลานจนตํอมาถึงยุคป๓จจุบันตํอมามีชายแกํ 2 คนชื่อ นายกัตติยะ และพระวิสุทธิ์ เดินทางมา จากบ๎านรามราช(บ๎านรามราช ต.รามราชป๓จจุบัน) มาวิดเอาปลาที่หนองโน ซึ่งอยูํทางทิศเหนือของหมูํบ๎าน ในขณะ ที่วิดปลาอยูํนั้นได๎มีฝูงฮิ้น หรือ ริน้ จานวนมากมารุมกัดชายทั้ง 2 คน จึงให๎ตั้งชื่อวํา “ บ๎านนาขี้ฮิ้น” ตํอมาก็มีคน อพยพเข๎ามาตั้งถิ่นฐานที่บ๎านนาขี้ฮิ้นเป็นจํานวนมากขึ้นจึงได๎มีการเลือกตั้งผู๎ปกครองมูํบ๎านหรือผู๎ใหญํบ๎าน คือ นาย แสงโสม ไมํมีนามสกุล ตํอมาภายหลังทางการจึงได๎พิจารณาเห็นวําบ๎านนาขี้ฮิ้นเป็นชื่อไมํไพเราะและเหมาะสม จึงให๎ เปลี่ยนชื่อหมูํบ๎านเสียใหมํเป็น“ บ๎านนามูลฮิ้น” โดยแยกออกจากหมูํ 2 มาเป็นหมูํ 9 จนถึงป๓จจุบัน
~ 84 ~ 5) บ๎านใหมํศรีปทุม ประวัติความเป็นมาของบ๎านใหมํศรีปทุม หมูํที่ 10 ตําบลขามเฒํา แตํเดิมเป็นชุมชนของชาวขํา มาตั้งหมูํบ๎านทําไรํรวมกันเป็นกลุํมใหญํพอสมควร ตํอมาชาวขําก็ตั้งวัดอยูํที่บริเวณหนองสิมตามหลักฐานยังเห็นเสา กลางหนองน้ํา คาดวําคงเป็นสิมน้ํา เพราะตามคติโบราณนิยมทําสิมอุโบสถ เพื่อปูองกันมดปลวกกัดแทะพระไตรปิฎก คัมภีร๑ตําง ๆ ทุกวันนี้ยังเรียกชื่อวํา หนองสิม และในบริเวณใกล๎ ๆ จะมีต๎นมะมํวงอยูํหลายต๎น และมีต๎นขํา ต๎นวําน ตําง ๆ อยูํมากมาย แตํแล๎วพวกเขาก็ได๎ย๎ายไปอยูํที่อื่น ตํอมาอีกไมํนานก็มีตาปะขาวคนสมัยกํอนเรียกวํา เถร มา จากไหนไมํทราบ มาอยูํวัดหนองสิม นานประมาณ 6 ปี แล๎วจึงได๎ย๎ายไปที่อื่น จากนั้นก็ได๎มีชาวบ๎านกล๎วยย๎ายถิ่ น ฐานตามออกมา สาเหตุที่ชาวบ๎านกล๎วยย๎ายถิ่นฐานสมัยกํอนนั้น เพราะเกิดโรคระบาดหรือแตํกํอนเรียกกันวํา โรคหํา ในปี พ.ศ.2492 ปีฉลู ตรงกับเดือน 12 พํอเฒําจารย๑ทุม แมํเฒําคา ดาพรม และครอบครัวของพํอเฒําล๎าน แมํเฒํา พันธ๑ บุตรตะ และครอบครัว พํอเฒําจารย๑เบี่ยง แมํเฒําเขียน ลาทํา อยูํตํอมาก็มีครอบครัว พํอเฒําเกียน แมํเฒําติก ชามาตร พํอเฒําจารย๑ตุ๎ม แมํเฒําเตียน พรมชัย พํอเฒํ าทิดพรม แมํเฒํากรม สีดาวงค๑ คนในกลุํมนี้ ล๎วนแตํเป็ น ลูกหลานพํอเฒําจารย๑ ทุม ดาพรม ทั้ง หมด เมื่อมีหลายครัวเรือนจึง พากันเรียกชื่อวําบ๎านกล๎วยน๎อย และตํอ มาก็มี ชาวบ๎านย๎ายมาสมทบอีกมากในเวลาตํ อมา เพราะเป็นพื้นที่ใกล๎แหลํงน้ํา ใกล๎ลําห๎วยมีชื่อวําลําห๎วยหนองแซง อีก อยํางคือพํอเฒําจารย๑ทุม ดาพรม เป็นคนอัธยาศัยดีและเป็นคนมีศี ลธรรม เป็นที่เคารพรักใครํของชาวบ๎านทุก ๆ คน ตํอมาชุมชนได๎มีการขยายใหญํขึ้นอยํางรวดเร็ว เวลาตํอมา 26 ปี ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 2518 เจ๎าคณะตําบลขามเฒํา คือ พระครูวิมล หรือหลวงพํอแก๎ว ได๎มาเผยแพรํ และได๎ประชุมหารือกับชาวบ๎านวําอยากจะตั้งวัดในหมูํบ๎านนี้ และได๎ มีผู๎ใจบุญบริจาคที่ดินเพื่อสร๎างวัด คือ นายพล นวลตา และผู๎ใหญํบ๎านกล๎วยในสมัยนั้น บริจาคที่ดินเพิ่ มอีก จาก ชาวบ๎านอีก 4 ไรํ และได๎พากันจัดตั้งวัดในเดือน 12 แรม 1 คํา พ.ศ. 2518 ตั้งชื่อวัดวํา วัดวิมลรัตนศิริเพื่อเป็น เกียรติในการนําพาชาวบ๎านให๎มีที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและจรรโลงพระศาสนา เลยตั้งฉายาของทํานเป็นชื่อวัด ตั้งแตํบัดนั้น เป็นต๎นมา ในปีพ.ศ. 2540 หลังจากตั้งวัดมาได๎ 22 ปีได๎ตั้งชื่อหมูํบ๎านใหมํวํา “บ๎านใหมํศรีปทุม” เมื่อ วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2540 เพื่อเป็นเกียรติให๎พํอเฒําจารย๑ทุม ดาพรม ที่ได๎พาลูกหลานมาตั้งถิ่นฐานในที่นี้ เลยตั้งชื่อหมูํบ๎านให๎มีนามของทํานด๎วย 3. ด๎านสังคมวัฒนธรรม ชื่อหมูํบ๎านในอํา เภอเมืองนครพนมแตํละชื่อนั้นมีค วามคิด ความเชื่อ ลักษณะสัง คมและวัฒ นธรรม การ ดํารงชีวิตของผู๎คนในหมูํบ๎านสอดแทรกอยูํ การวิเคราะห๑ในสํวนนี้ ได๎นําคําทุกคําที่เป็นชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมือง นครพนม จังหวัดนครพนม มาศึกษาในหัวข๎อตํอไปนี้ คือ 1) ภาษาและกลุํมชาติพันธุ๑ 2) วัฒนธรรมที่ปรากฏในชื่อหมูํบ๎าน 3) สาเหตุการเปลี่ยนแปลงชื่อหมูํบ๎าน
~ 85 ~ ภาษาและกลุํมชาติพันธุ๑ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมในจังหวัดนครพนม การศึกษาความหลากหลายทางวัฒนธรรม นอกจากจะเป็นการสร๎างแนวความคิดที่แตกตํางแล๎ว ยังชํวยให๎เข๎าใจและยอมรับความแตกตํางด๎วย โดยเฉพาะความ แตกตํางทางชาติพันธุ๑ ภาษา ศาสนา ฯลฯ ในหัวข๎อนี้จะวําด๎วยเรื่องของภาษาและชาติพันธุ๑ที่ปรากฏในลักษณะกว๎าง ๆ ของจัง หวัด นครพนม ไมํไ ด๎เ น๎นเฉพาะอําเภอเมืองนครพนม ซึ่ง มีลักษณะเดํนเฉพาะ กลําวคือบริเวณมีค วาม หลากหลายของกลุํมชาติพันธุ๑ และภาษา ความหลากหลายของกลุํมชาติพันธุ๑และภาษา กลุํมชาติพันธุ๑ (Ethnic group) หมายถึงกลุํมคนที่มีวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียม ประเพณี ภาษาพูดเดียวกันและเชื่อวําสืบเชื้อสายจากบรรพบุรุษกลุํมเดียวกัน ดังนั้นกลุํมชาติพันธุ๑จึงเป็นกลุํมยํอยของเชื้อชาติ (อมรา พงศาพิชญ๑, 2549,หน๎า 28) บริเวณจังหวัดนครพนมมีกลุํมชาติพันธุ๑หลากหลายที่อพยพมาจากเมืองตําง ๆ ทางฝ๓่งซ๎ายของแมํน้ําโขง มีภาษาพูดที่แตกตํางกัน มีกลุํมชาติพันธุ๑ที่สําคัญ 7 กลุํม ดังนี้ กลุํมชาติพันธุ๑และภาษาผู๎ไท ผู๎ไทย หรือ ผู๎ไท เป็นชนชาติไทกลุํมหนึ่งที่อพยพมาจากเมืองนาน๎อยอ๎อยหนูหรือเมืองแถง (เดียน เบียนฟู) ประเทศเวียดนาม มีการขยายบ๎านเมืองแล๎วเรียกชื่อวําแคว๎นสิบสองจุไทหรือสิบสองเจ๎าไท ประกอบด๎วยเมือง 12 เมือง มีเมืองที่เป็นศูนย๑กลางการปกครอง 2 เมือง คือเมืองแถง มีเมืองบริวาร 7 เมือง และเมืองไล มีเมือง บริวาร 3 เมือง ตํอมามีการแบํงแยกความแตกตํางทางวัฒนธรรมออกเป็น 2 กลุํม คือ กลุํมไทดําและกลุํมไทขาว หากแตํกลุํมเมืองสิบสองจุไทตํางก็ตกอยูํภายใต๎อํานาจของสยาม ลาว เวียดนาม (มีลักษณะเป็นเมืองสองฝุายฟูา) (ศรีศักร วัลลิโภดม, 2535, หน๎า 22) เมื่อมีศึกสงครามก็มีการกวาดต๎อนเชลยศึก บางคนก็อพยพหนีภัยสงคราม ทํา ให๎บางกลุํมอพยพเข๎ามาอยูํในประเทศลาว เมื่อสมัยกรุงธนบุรีมีการกวาดต๎อนพวกไทดํา พวนเมืองไทยบางกลุํมถูก กวาดต๎อนไปไว๎ที่เพชรบุรี ราชบุรี เรียกวํา “ลาวโซํง” สํวนผู๎ไทที่อยูํในภาคตะวันออกเฉียงเหนือก็เป็นกลุํมที่อพยพมา จากฝ๓่งซ๎ายของแมํน้ําโขงแถบเมืองคําเกิด คํามํวน เมืองวังอํางคํา แล๎วเข๎ามาตั้งถิ่นฐานบ๎านเรือนในหลายจังหวัดทาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได๎แกํ สกลนคร นครพนม มุกดาหารและกาฬสินธุ๑ พวกผู๎ไทจากที่กลําวมาแล๎วนั้นยังแสดง ให๎เห็นลักษณะของกลุํมชาติพันธุ๑ (Ethnicity) อยํางชัดเจน โดยเฉพาะอยํางยิ่งภาษาผู๎ไทยซึ่งใช๎พูดกันใน หมูํบ๎านตําง ๆ ในพื้ นที่ จังหวัด นครพนมและใกล๎เคียง ได๎แกํ อําเภอพรรณานิคม อําเภอวาริชภูมิ อําเภอเมือง จัง หวัดสกลนคร อําเภอเรณูนคร จัง หวัดนครพนม อําเภอคําชะอี อําเภอหนองสูง จังหวัด มุกดาหาร อําเภอกุฉิ นารายณ๑ อําเภอเขาวง อําเภอคํามํวง จังหวัดกาฬสินธุ๑ (เรืองเดช ป๓นเขื่อนขัติย๑, 2531, หน๎า 68) สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพ ได๎เขียนบรรยายเกี่ยวกับกลุํมชาติพันธุ๑ผู๎ไท ในคราวที่เสด็จไป ตรวจราชการที่มณฑลอุดรและมณฑลอีสานเมื่อปี พ.ศ. 2449 ได๎ทรงบรรยายไว๎วํา
~ 86 ~ “พวกผู๎ไทย วําถิ่นเดิมอยูํทางเมืองพวนฝุายข๎างเหนือ พูดภาษาไทย ใช๎ถ๎อยคําผิดกับไทยล๎านช๎าง บ๎าง เสียงแปรํงไปอยํางหนึ่ง ฉันพบในเมืองตําง ๆ สองมณฑลนั้นหลายแหํง แตํที่เมืองเรณูนครขึ้นสกลนครดูเหมือนจะ มีมากกวําที่อื่น สังเกตดูผิวพรรณผํองกวําจําพวกอื่น ผู๎หญิงหน๎าตาอยูํข๎างหมดจด เคยมีการฟูอนรําให๎ฉันดูเป็นคูํ ๆ คล๎ายกับจับระบําตามภาษาของเขา” (ดํารงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ๎าบรมวงศ๑เธอ กรมพระยา, 2509, หน๎า 343) ภาษาผู๎ไทยมีความคล๎ายคลึงกับภาษาท๎องถิ่นอีสาน ผู๎พูดภาษาถิ่นพื้นเมือง (อีสาน) และผู๎พูดภาษา ผู๎ไทยสามารถที่จะสื่อสารกันได๎รู๎เรื่องด๎วยภาษาพูดของตนเองได๎ แตํภาษาผู๎ไทยก็ มีลักษณะเฉพาะของตนเองหลาย ประการ ซึ่งมีความแตกตํางดังกลําวมีทั้งเรื่องเสียงของพยัญชนะและสระ วรรณยุกต๑ คําและประโยค เสียงพยัญชนะในภาษาผู๎ไทยมี 23 หนํวยเสียง ออกเสียงคล๎ายกับภาษาไทยในภาคกลางแตํมีบาง หนํวยเสียงที่แตกตําง ได๎แกํ /ญ/ เป็นเสียงที่ไมํมีในภาษาไทยกลาง สํวนเสียงสระของภาษาผู๎ไทยมี 18 เสียง ความแตกตํางของเสียงเมื่อเทียบกับภาษาไทยกลางมีเพียงเล็กน๎อย คือ สระ /โอะ/ และ /โอ/ เพราะระดับของลิ้น อยูํสูงวําเสียงสระเดียวกันในภาษาไทยกลาง สําหรับเสียงวรรณยุกต๑ในภาษาผู๎ไทยมีหนํวยเสียงวรรรยุกต๑ 6 เสียง (ชัย บดินทร๑ สาลีพันธ๑, 2546, หน๎า 3298) คําและประโยคในภาษาผู๎ไทยมีลักษณะพิเศษที่สัมพันธ๑กับหนํวยเสียงที่กลําวมาแล๎วข๎างต๎น ในที่นี้จะ กลําวถึงคําพื้นฐานที่ใช๎ในชีวิตประจําวันของชาวผู๎ไทย ได๎แกํ คําเรียกเครือญาติ คําสรรพนาม คําลักษณะนาม และ ประโยคคําถาม ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ คําเรียกเครือญาติ ภาษาไทยมาตรฐาน ภาษาผู๎ไทย พํอ , แมํ ผ๎อ , แหม๎ , โพ๏ะ , เบ๏ะ ปูุ , ยํา , ตา , ยาย ปูู , ญ๎า , ผ๎อเฒํา , แหม๎เฒํา ลูกเขย , ลูกสะใภ๎ ลุเขย , ลุไพ๎ , ลุเพ๎อ ลูก ลุ คําสรรพนาม ในภาษาผู๎ไทยมีคําสรรพนามบุรุษที่ 1 2 และ 3 ข๎าน๎อย เป็นคําสรรพนามแทนตัวผู๎พูดใช๎พูดกรณีต๎องการแสดงความสุภาพ ใช๎กับผู๎พูดที่มีอาวุโสกวํา ค๎อย เป็นคําแทนผู๎พูด ใช๎ในกรณีที่ผู๎พูดต๎องการแสดงความสนิทสนมกัน ใช๎กับผู๎พูดที่มีความ สนิทสนมกันและวัยใกล๎เคียงกัน เจ๏า เป็นคําแทนตัวผู๎ฟ๓ง แสดงความสุภาพ ใช๎ในกรณีที่ผู๎มีอายุมากกวําหรือคนที่ไมํคุ๎นเคยกัน เพิ้น ใช๎แทนผู๎ที่ถูกพูดถึง ในกรณีที่ถูกยกยํองเป็นผู๎มีความอาวุโสสูงกวํา คําลักษณะนาม สามารถแบํงได๎เป็น 2 ประเภท คือ ลักษณะนามที่ใช๎กับคน ลักษณะนามที่ใช๎กับ สัตว๑และสิ่งของ
~ 87 ~ ลักษณะนามที่ใช๎กับคนได๎แกํ พระสองรูป เป็น อ๎ายญาคูสองอ๐ง เพื่อห๎าคน เป็น มูํฮ๎าคํน พี่ชาย สองคน เป็น อ๎ายสองคํน ลักษณะนามที่ใช๎กับสัตว๑และสิ่งของ ได๎แกํ ไหสองใบ เป็น ไหสองโหนํย มะมํวงสิบผล เป็น มะ โม๎งสิบโหนํย กระเป๋าสองใบ เป็น กะเป๋าสองเบ๐อ กางเกงสามตัว เป็น ซํงสามโต๐ เสื้อห๎าตัว เป็น เส๎อห๎าโต๐ สํวน ประโยคในภาษาผู๎ไทยจะขอกลําวถึงเฉพาะประโยคคําถาม ซึ่งเปรียบเทียบกับภาษาไทยมาตรฐาน ภาษาไทยมาตรฐาน ภาษาผู๎ไทย ใคร ผู๎เล๎อ, แมํนเผอ ทําอะไร เอ็ดผะเหลอ, เอ็ดเผอ ที่ไหน ซิเล๎อ, อยูํสิเล๎อ อยํางไร แนวเล๎อ คุณจะไปที่ไหน เจ๎าลํะไปซิเล๎อ แตงโมขายเทําไหรํ มะโมขายท๎อเล๎อ, มะโมขายแนวเล๎อ กลุํมชาติพันธุ๑และภาษาญ๎อ กลุํมชาติพันธุ๑ย๎อ ยอ โย๎ หรือญํอ เดิมจะอยูํมี่ใดและมีเชื้อชาติติดตํอมาจากที่ใดไมํปรากฏ เมื่อขุน บรมชาวเวียงจันทน๑ได๎แยกตัวออกเป็นก๏กที่เมืองคําเกิด ซึ่งมีกลุํมญ๎ออาศัยอยูํ เมื่อเวียงจันทน๑เสียแกํกรุงเทพฯ เจ๎าเมือง คําเกิดก็สวามิภักดิ์ตํอกรุงเทพฯ และให๎อพยพราษฎรจากเมืองคําเกิดมาที่บ๎านทําขอนยาง และพระราชทานพระคําก๎อน เป็นพระสุวรรณภักดีปกครองเมืองทําขอนยาง แตํยังคงขึ้นกับเมืองกาฬสินธุ๑ ตํอมาพระสุวรรณภักดี (บุตร) อพยพ ครอบครัวและราษฎรไปรับราชการที่เมืองทําอุเทน จังหวัดนครพนม ป๓จจุบันกลุํมญ๎อมีภูมิลําเนาอยูํที่บ๎านนายูง อําเภอกุมภวาปี จังหวัดอุดรธานี บ๎านทําขอนยาง บ๎าน กุดน้ําใส บ๎านยาง บ๎านเหลํากลาง บ๎านโพน บ๎านคันธารราษฎร๑ อําเภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม บ๎านสิม บ๎านหนองแวง บ๎านสา อําเภอยางตลาด บ๎านหนองไม๎ตาย อําเภอสหัสขันธ๑ จังหวัดกาฬสินธุ๑ บ๎านหนามแทํง บ๎าน จําปา บ๎านดอกนอ บ๎านบุํงเปูา บ๎านนาสีนวล อําเภอวานรนิวาส บ๎านพังขว๎าง บ๎านธาตุ บ๎านดงขุมข๎าว อําเภอ เมือง จังหวัดสกลนคร บ๎านทําอุเทน บ๎านแพง บ๎านนาทม อําเภอบ๎านแพง บ๎านศรีส งคราม อําเภอศรีสงคราม บ๎าน นาเดื่อ บ๎านนาหว๎า บ๎านเสียว จังหวัดนครพนม บ๎ านซํง อําเภอคําชะอี จังหวัด มุกดาหาร (บุ ญยงค๑ เกศเทศ, 2536, หน๎า 115) ภาษาไทยญ๎อ (Nyaw) เป็นภาษากลุํมไท – ลาว พูดกันในหมูํชาวไทญ๎อในจังหวัดสกลนคร นครพนม หนองคาย มหาสารคาม ปราจีนบุรีและสระบุรี ซึ่งกลุํมนี้อพยพมาจากประเทศลาว บางกลุํมสามารถพูด ภาษาไทยอีสานได๎ด๎วย ภาษาไทญ๎อจัดอยูํในตระกูลภาษาไท – กะได เป็นภาษากลุํมคําไท สาขาเบ – ไท สาขา ยํอยไตแสก มีลักษณะคล๎ายคลึงกับภาษาไทยถิ่นอีสานและภาษาลาว เรืองเดช ป๓นเขื่อนขัติย๑ กลําวไว๎วํา ภาษา
~ 88 ~ ไทยญ๎อ หรือภาษาย๎อ เป็นภาษาที่นิยมพูดกันในกลุํมจังหวัดหนองคาย อุดรธานี สกลนคร นครพนม ซึ่งจะพูดกันใน ท๎องที่อําเภอตําง ๆ โดยภาษาญ๎อจะใช๎พูดในเขตอําเภอเมืองและรอบ ๆ อําเภอเมือง (เรืองเดช ป๓นเขื่อนขัติย๑, 2531, หน๎า 69) ภาษาญ๎อมีพยัญชนะ 19 เสียง สระเดี่ยว 18 เสียง สระประสม 3 เสียง เสียงวรรณยุกต๑ 4 เสียง มีพยัญชนะควบกล้ํา 6 เสียง ซึ่งจะเปรียบเทียบกับภาษาไทยมาตรฐานเพื่อให๎เห็นความแตกตํางของภาษาถิ่นดังกลําว ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ภาษาญ๎อมีสร๎อยคําคล๎ายประโยคคําถามและคําตอบ ซึ่งเป็นเอกลักษณ๑เฉพาะตัว ได๎แกํคําวํา “ละเบ๐อ” “เบ๏าะ” ภาษาไทยมาตรฐาน ภาษาญ๎อ หัวใจ หัวเจอ ฉัน เฮา ไปทําอะไร ไปเฮ็ดเผอ , ไปเฮ็ดหยัง กินข๎าวกับอะไร กินเข๎ากับพิสัง กลุํมชาติพันธุ๑และภาษากะเลิง กะเลิง เป็นกลุํมขําพวกหนึ่ง บางทีเรียกวํา “ขําเลิง” อยูํกระจัดกระจายไปตามเชิงเขาภูเขาภูพาน ในจังหวัดสกลนครและนครพนม เป็นกลุํมขําโซํกลุํมหนึ่ง กลําวกันวําถิ่นเดิมของกะเลิงอยูํแขวงสุวรรณเขต แขวงคํา มํวน และแขวงสาละวันในประเทศลาว สมเด็จพระเจ๎าบรมวงศ๑เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ทรงกลําวไว๎ใน หนังสือนิทานโบราณคดีเกี่ยวกับพวกกะเลิงวํา “พวกกะเลิงพบในแขวงสกลนครมีมาก วําถิ่นเดิมอยูํเมืองกะตากแตํไมํรู๎วําเมืองกะตากอยูํที่ไหน เพราะอพยพมาอยูํในแดนล๎านช๎างหลายชั่วคนแล๎วพูดภาษาหนึ่งตํางหาก ผู๎ชายไว๎ผมประบําและมักสักเป็นรูปนกที่แก๎ม ” (ดํารงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ๎าบรมวงศ๑เธอ กรมพระยา, 2509, หน๎า 343) กะเลิง เป็นชาวกลุํมน๎อยที่เป็นชาติพันธุ๑ทางภาษากลุํมหนึ่งเชํนเดียวกับชนกลุํมญ๎อ โส๎ แสก และผู๎ ไทย ซึ่งมีอยูํในพื้นที่จังหวัดสกลนคร นครพนม กะเลิงมีถิ่นฐานเดิมอยูํทางฝ๓่งซ๎ายแมํน้ําโขง ชนกลุํมกะเลิงได๎อพยพมา ตั้งแหลํงอยูํในประเทศไทยเมื่อประมาณ 100 ปีเศษ ตั้งแตํมีการปราบเจ๎าอนุวงศ๑ในราชกาลที่ 3 และมีการอพยพครั้ง ใหญํ ในสมัยรัชกาลที่ 5 เมื่อเกิดศึกกบฏฮํอในปี พ.ศ. 2416 ป๓จจุบันมีชนกลุํมชาติพันธุ๑กะเลิงในประเทศไทย ที่ จังหวัด สกลนคร นครพนม กาฬสินธุ๑และมุกดาหาร ป๓จจุบันกลุํมกะเลิงมีภูมิลําเนาอยูํที่ บ๎านบัว อําเภอกุดบาก บ๎านเชิงชุม อําเภอพรรณานิคม จังหวัด สกลนคร บ๎านกุรุคุ หนองหญ๎าไซ นาปง ไทสามัคคี ตําบลกุรุคุ บ๎านนาโพธิ์ บ๎านผึ้ง วังกะแส นามน เทพนม ดง สวําง บ๎านผึ้ง บ๎านขามเฒํา ตําบลขามเฒํา บ๎านดงขวาง บ๎านคําเตย หัวโพน ตําบลนาทรายบ๎านเวินพระบาท บ๎าน ยางนกเหาะ บ๎านนาโสกใต๎ บ๎านนาโสกเหนือ บ๎านมํวง อําเภอนาแก บ๎านโพนสวําง บ๎านโพนแดง บ๎านพระซอง
~ 89 ~ อําเภอธาตุพนม บ๎านนาถํอน ตําบลนาถํอน บ๎านดอนนาหงส๑ อําเภอเรณูนครตําบลเรณูนคร ตําบลนางาม ตําบล นายอ อําเภอปลาปาก บ๎านปลาปาก ตําบลปลาปาก บ๎านโนนทัน บ๎านผักอีตูํ บ๎านนองกกคูณ บ๎านนาสะเดา บ๎าน โนนทันกลาง ตําบลหนองฮี บ๎านนาเชือก ตํา บลหนองเพาใหญํ บ๎านวังมํวง ตําบลมหาชัย บ๎านดงเย็น จังหวัด มุกดาหาร วิถีการดําเนินชีวิตของชาวกะเลิง เหมือนกับชาวอีสานทั่วไป คือ ยึดถือฮึดสิบสอง คลองสิบสี่ เป็น หลักในการดําเนินชีวิต และมีคติความเชื่อถือในเรื่องผี นับถือผีเหลักหลักบ๎าน วิญญาณบรรพบุรุษ ผีตาแฮก ผี ปุา ผีเขา ประเพณีที่ชาวกะเลิง บ๎านกุรุคุ จัดทําเป็นงานบุญยิ่งใหญํ คือ บุญเผวส (เทศน๑มหาชาติ) ซึ่ง 3 ปี จะจัดให๎มีขึ้นครั้ง หนึ่ง เพราะสิ้นเปลืองคําใชํจํายมากนอกจากนี้ก็มีประเพณีเลี้ยงผีซึ่งจัดเป็นประจําทุกปี (สุรัตน๑ วรางครัตน๑, 2542, หน๎า 144 – 145) ภาษากะเลิงจัดอยูํในตระกูลภาษาไท เชํนเดียวกับภาษาผู๎ไทย ภาษาญ๎อ ภาษากะเลิงไมํมีหนํวย เสียง ฟ ใช๎ พ แทน เชํน ไพพ๎า (ไฟฟูา) ไมํมี ฝ ใช๎ ผ แทน เชํน ผาด (ฝาด) ไมํมี ร ใช๎ ล แทน ฮ แทน เชํน ลํา (รํา) ฮกเฮื้อ (รกเรื้อ) ไมํมี ช ใช๎ ซ แทน เชํน ซม (ชม) มีอักษรควบใช๎เป็นบางคํา เชํน ขว๎าม (ข๎าม) สวาบ (สวบ) กินอยํางมูมมาม เชํน หมูสวาท ฮําทวาย (ทวย) กลุํมชาติพันธุ๑และภาษาแสก แสก เป็ น ชนกลุํ ม น๎ อ ยภาคอี ส านกลุํ ม หนึ่ ง ในจํ า นวนหลาย ๆ กลุํ ม ชาติ พั น ธุ๑ เดิ ม ชาวแสกมี ภูมิลําเนาอยูํที่เมืองรองขึ้นกับกรุงเว๎ อยูํทางตอนกลางของประเทศเวียดนาม เมื่อเห็นภูมิลําเนาเดิมไมํเหมาะสมจึงได๎ รวมสมัครพรรคพวกอพยพหาที่อยูํใหมํ โดยอพยพลงมาจาลําน้ําโขงแล๎วมาตั้งถิ่นฐานชั่วคราวอยูํระหวํางประเทศ เวียดนามกับประเทศลาว โดยมีท๎าวกายซุ และท๎าวกายชา เป็นหัวหน๎าในการอพยพ โดยอพยพมาอยูํที่แขวงคํามํวน ประเทศลาว ตํอมาพวกแสกได๎อพยพข๎ ามแมํน้ําโขงมาอยูํฝ๓่งไทยในสมัยพระเจ๎าปราสาททอง พวกแรกที่ข๎ามมาไปตั้ง ถิ่นฐานที่บ๎านอาจสามารถ มีเจ๎าเมืองปกครองและไมํได๎ขึ้นตํอหัวเมืองตําง ๆ อพยพแยกย๎ายกระจัดกระจายไปอยูํ หลายหมูํบ๎านในจังหวัดนครพนม (ทองคูณ หงส๑พันธุ๑, 2522, หน๎า 257) ป๓ญหาเรื่องถิ่นฐานเดิมของพวกแสกนี้ยังมีข๎อขัดแย๎งกันอยูํมาก เติม วิภาคย๑พจนกิจ ได๎กลําวถึงพวก แสกไว๎ในประวัติศาสตร๑อีสานวํา “พลเมืองคําเกิด คํามํวน 2 เมืองนี้มีหลายจําพวกปนกัน คือ ลาวพวนบ๎าง ผู๎ไทยบ๎าง นอกจากนี้ ยังมีกะโซํ แสก ญ๎อและญวน พวกกะโซํกับพวกญํอพูดภาษาลาวได๎ดี คงเป็นผู๎ ไทยสาขาหนึ่ง ซึ่งถูกเรียกชื่อแปลกไป ตามสําเนียง คือ สําเนียงแปรํง สํวนพวกแสกนั้นพูดภาษาเวียดนามได๎ ไมํใชํไทยหรือลาว เข๎ามาแทรกอยูํแทนที่จะ เรียก “พวกแซก” ก็เลยกลายมาเป็น “แสก” พวกแสกมีมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย อพยพเข๎ามาเมื่อ ราว พ.ศ. 2398 อยูํที่ตําบลอาจสามารถ อําเภอเมือง จังหวัดนครพนม (เติม วิภาคย๑พจนกิจ, 2513, หน๎า 257)
~ 90 ~ สมเด็จพระเจ๎าบรมวงศ๑เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ กลําวถึงพวกแสก ไว๎ในหนังสือ นิทาน โบราณคดีวํา “พวกแสกที่อยูํเมืองอาจสามารถขึ้นเมืองนครพนม วําถิ่นเดิมอยูํเมืองแสกทางฝ๓่งซ๎ายใกล๎เชิงเขา บรรทัดตํอแดนญวน แตํฉันสงสัยวําที่จริงจะมิได๎มาจากทางแดนญวน เพราะพวกแสกพูดภาษาไทย ผิวพรรณก็เป็นคน ไทย เขาพาพวกผู๎หญิงแสกมามีการเลํนให๎ฉันดูอยํางหนึ่งเรียกวํา “เต๎นสาก” (ดํารงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ๎าบรม วงศ๑เธอ กรมพระยา, 2509, หน๎า 343) ภาษาแสก เป็นภาษาตระกูลไท-กะได ที่ใช๎พูดในลาวและจังหวัดนครพนม ประเทศไทย บริเวณ สองฝ๓่งแมํน้ําโขง ไมํมีภาษาเขียน แตํจัดเป็นกลุํมภาษาแขยงทางภาคเหนือและจะคํอย ๆ สูญหายไปในที่สุดเพราะไมํ มีผู๎ใช๎ ผู๎พูดภาษานี้เหลือน๎อยเพราะคนรุํนใหมํหันไปพูด ภาษาลาวหรือภาษาไทยถิ่นอีสานมากขึ้น แม๎วําภาษาแสกจะ อยูํในตระกูลภาษาไท-กะได แตํก็ได๎มีการปะปนกับ ภาษาเวียดนามบางคําจึงมีลักษณะแตกตํางไปจากภาษาอีสาน ทั่วไป เชํน ภาษาไทยมาตรฐาน ภาษาแสก จู๎ น้ํานม หอก สามี พา ภรรยา เค๎า สะพาน ดังแง๎น กลางวัน หลํอน อรํอย หํอยผลั่ม หวีผม กลุํมชาติพันธุ๑และภาษาโซํ หรือกะโส๎ โซํ หรือกะโส๎เ ป็ นขําอี กพวกหนึ่ง อยูํแถบเทื อ กเขาภูพ านและบริเวณหนองหานในเขต จัง หวั ด สกลนคร และนครพนม สมเด็จพระเจ๎าบรมวงศ๑เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ ทรงเลําเกี่ยวกับพวกโซํไว๎ในหนังสือ นิทานโบราณคดีไว๎วํา “พวกกะโซ๎ เป็นขําผิวคล้ํามากกวําชาวเมืองอื่นและพูดภาษาของตนตํางหาก มีในมณฑลอุดรหลาย แหํง แตํรวมกันอยูํมากเป็นปึกแผํนที่เมืองกุสุมาลย๑ มณฑล ขึ้นจังหวัดสกลนคร เจ๎าเมืองกรมการและราษฎรล๎วนเป็นขํา อันที่จริงพวกกะโซ๎เป็นขําจําพวกหนึ่งยังมีชนชาติขําหลายจําพวก ทางฝ๓่งซ๎ายของแมํน้ําโขงตั้งแตํแขวงหลวงพระบาง ตลอดไปจนตํอแดนเขมร” นอกจากนี้เติม วิภาคย๑พจนกิจ ได๎กลําวไว๎ในประวัติศาสตร๑อีสานวํา
~ 91 ~ “พวกขํากะโส๎เมืองกุสุมาลย๑มณฑลเกิดวิวาทชิงตําแหนํงราชการ โดยมีท๎าวขันติยะ ไทยชาวกะโซํ เป็นหัวหน๎าร๎องขอเป็นเมืองขึ้นเมืองสกลนคร ขอแยกออกจากเมืองกุสุมาลย๑ จึงโปรดเกล๎าฯ ตั้งให๎ท๎าวขันติยะเป็นพระ ไพศาลสิมานุรักษ๑ เจ๎าเมือง ยกบ๎านนาโพธิในแขวงเมืองสกลนครเป็นเมืองโพธิไพศาลนิคล ขึ้นเมืองสกลนคร” (เติม วิภาคย๑พจนกิจ, 2513, หน๎า318) ชาวกะโส๎มีภาษาพูดและพิธีกรรมที่แตกตํางไปจากกลุํมวัฒนธรรมไทย-ลาว โดยเฉพาะพิธีปลงศพ ของชาวโส๎นั้นเป็นพิธีกรรมทางภูติผี ปรากฏในพิธีกรรมเซํนผีที่เรียกวํา “โส๎ทั่งบั้ง” ดังที่สมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุ ภาพเขียนไว๎เมื่อครั้งตรวจราชการมณฑลอุดรเมื่อ พ.ศ. 2449 วํา “ฉันได๎เห็นการเลํนอยํางหนึ่ง ซึ่งพระอรัญอาสา เจ๎าเมืองกุสุมาลย๑มณฑล เอามาให๎ดูเรียกวํา “สะ ลา” คนเลํนล๎วนแตํเป็นผู๎ชายเปลือยตัวเปลํา นุํงผ๎าขัดเตี่ยวมีชายห๎อยอยูํข๎างหน๎าและข๎างหลัง อยํางเดียวกับชาวเงาะ นุํง “เลาะเตี้ย ” ลักษณะที่เลํนมีหม๎ออุตั้งอยูํกลางหม๎อหนึ่ง คนเลํนเดินเป็นวงรอบหม๎ออุ มีต๎นบทนําขับร๎องคนหนึ่ง สะพายหน๎าไม๎คนหนึ่งตีฆ๎องเรียกวํา “พเนาะ” คนหนึ่งถือชามติดเทียนสองมือคนหนึ่ง ถือตะแกรงคนหนึ่ง ถือมีดกับสิ่ง เคาะกันเป็นจังหวะคนหนึ่งรวมแปดคนด๎วยกัน กระบวนการเลํนก็ไมํมีอะไรนอกจากเดินร๎องรําเวียนเป็นวง เลํนพักหนึ่ง แล๎วก็นั่งลงกินอุ แล๎วก็ร๎องรําไปอีกอยํางนั้น เห็นได๎วําเป็นของพวกขําตั้งแตํเป็นคนปุา” กลุํมชาติพันธุ๑โซํนอกจากจะตั้งถิ่นฐานอยูํที่เมืองกุสุมาลย๑ จังหวัดสกลนครยังมีอยูํในหมูํบ๎านและ อําเภอตํางๆ ของจังหวัดนครพนมด๎วย ได๎แกํ บ๎านพะทาย บ๎านค๎อ บ๎านนาขมิ้น อําเภอโพนสวรรค๑ อําเภอปลาปาก อําเภอทําอุเทน และอยูํในอําเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหารด๎วย ภาษาโซํบางทีเรียกขําโซํ (Kahso) เป็นภาษาถิ่นหนึ่งของภาษาตระกูลออสโตรเอเซียติก กลุํม ภาษามอญ – เขมร สาขากะตุ (Katuic) (เรืองเดช ป๓นเขื่อนขัติย๑, 2531, หน๎า 220) ภาษาของชาวโซํมีแตํ ภาษาพูดไมํมีภาษาเขียน ตามตํานานกลําววําเคยมีภาษาเขียน แตํเขียนไว๎บนหนังควายแห๎ง แตํเมื่อไมํมีอะไรกินก็ เอาหนังควายมาเผา “จี่” ไฟกิน จนในที่สุดหนังความก็หมด ทําให๎ตัวอักษรของโซํก็หมดไปด๎วย ลั กษณะของภาษา โซํคล๎ายกับภาษาสํวยและภาษาเขมร กลําวคือ ออกเสียงควบกล้ํา ร และ ล ชัดเจน การออกเสียงคําตําง ๆ มักจะ มีเสียง “หึง่ ๆ” ที่หน๎าคําจะออกเสียงเป็น “อะ อัง หรือ อัน” สํวนสระเอียมักจะออกเสียงลากยาวเป็น ”เอีย – อา” (บุญยงค๑ เกศเทศ, 2536, หน๎า 119) กลุํมชาติพันธุ๑ขํา ไทยขําเป็นชาวไทยอีกกลุํมหนึ่งที่ยังพอมีหลงเหลือบ๎างในพื้นที่จังหวัดนครพนม แตํไมํปรากฏให๎เป็น ชุมชนชัดเจน จะมีเพียงครอบครัวที่แทรกอยูํในชุมชนอยูํในพื้นที่อําเภอนาแก ตามหมูํบ๎านแถบเทือกเขาภูพาน ซึ่งเป็น รอยตํอกับอําเภอดงหลวง จังหวัดมุกดาหาร อําเภอดงหลวง จะมีชาวขําอาศัยอยูํมาก ในอดีตจังหวัดมุกดาหารเป็นอีก อําเภอหนึ่งที่ขึ้นตํอจังหวัดนครพนมรวมถึงอําเภอดงหลวงด๎วย ป๓จจุบันอําเภอมุกดาหารได๎เลื่อนเป็นจังหวัด และอําเภอ
~ 92 ~ ดงหลงก็ไปขึ้นเป็นสังกัดมุกดาหารด๎วย ชุมชนไทยขําในจังหวัดนครพนมจึงไมํปรากฏให๎เห็นเดํนชัด จึงมีเพี ยงกระจัด กระจายเป็นบางครอบครัวในชุมชนตําง ๆ ดังกลําวมาแล๎ว ไทยขํามีถิ่นดั้งเดิมอยูํแขวงสุวรรณเขตสาละวัน และอัตปือ ของสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชน ลาว และได๎อพยพเข๎ามาอยูํในพื้นที่ประเทศไทยตั้งแตํสมัยรัชกาลที่ 3 เป็นต๎นมา นักมานุษยวิทยาถือวํา ชาวไทยขําเป็นเผําดั้งเดิมในแถบกลุํมแมํน้ําโขง สืบเชื้อสายมาจากขอม โบราณภายหลังขอมเสื่อมอํานาจลง ภาษาของชาวไทยขําเป็นภาษาในตระกูลออสโตรอาเชียติก ในสมัยมอญเขมร ชาวไทยขํามิได๎เรียกตัวเองวําชาวไทยขํา แตํจะเรียกตัวเองวําพวกบรู คําวํา ขํา อาจมาจาก ข๎าทาส ซึ่งสําเนียงอีสานจะออกเสียง ขําทาส เนื่องจากในสมัยรัชกาลที่ 5 มีการจัดพวกบรูมาเป็นข๎าทาสรับใช๎กันมาก จึงเรียกกันมาวําไทยขํา จารีตประเพณีของชาวขําที่นําศึกษา (การแตํงงาน) การสูํขอฝุายชายมีลําม 4 คน (ชาย 2 คน หญิง 2 คน) เทียน 4 เลํม และเงินหนัก 5 บาท การแตํงงานมีเหล๎าอุ 2 ไห ไกํ 2 ตัว ไขํ 8 ฟอง เงินหนัก สองบาท หมูหนึ่งตัว และกําลัยเงิน 1 คูํ การกระทําผิดจารีตประเพณี (ผิดผี) เชํน ห๎ามลูกสะใภ๎เข๎าห๎องนอนพํอผัว ห๎ามลูกสะใภ๎รับของจาก พํอผัว ห๎ามลูกเขยเข๎าออกภายในบ๎านจากห๎องหนึ่งไปยังอีกห๎องหนึ่ง หรือลูกเขยพกมีดพร๎า สวมหมวกขึ้นบ๎านพํอตา หรือกินข๎าวรํวมกับแมํยาย หรือรับของจากแมํยาย การผิดผีหรือผิดจารีตประเพณีเชํนนี้ลูกเขยจะต๎องใช๎เงิน 5 บาท หมู 1 ตัว ดอกไม๎ธูปเทียน 2 คูํ หากเป็นลูกสะใภ๎ ต๎องใช๎ผ๎าขาวม๎า 1 ผืน ผ๎าซิ่น 1 ผืน และแก๎การผิดผีโดยใช๎บุหรี่ ซึ่งม๎วนด๎วยใบตอง 2 ม๎วน หมากพลู 2 คํา นําไปขอคารวะตํอผีของบรรพบุรุษที่มุมเรือนด๎านทิศตะวันออกหรือที่เตา ไฟ กลุํมชาติพันธุ๑และภาษาไทยลาว ลาวเป็นพลเมืองพวกใหญํที่สุดตามประวัติศาสตร๑เรียกวํา "ไทล๎านช๎าง" ชนกลุํมนี้ถือกันวําเป็นชาติ พันธุไ๑ ทกลุํมหนึ่ง สํวนมากอาศัยอยูํในประเทศลาวและประเทศไทย นับถือพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท และบางสํวน ยั ง นั บ ถื อลั ท ธิ ภู ติ ผีวิ ญ ญาณและพราหมณ๑ แม๎ช าวลาวจะตกอยูํ ภ ายใต๎อํ า นาจของชาติตํ า งตํ า ง ๆ แตํ ก็ยั ง รั ก ษา ขนบธรรมเนียมประเพณีของตนได๎เป็นอยํางดี การตั้งชุมชนกลุํมวัฒนธรรมไทย-ลาวในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปรากฏชัดในพุทธศตวรรษที่ 19 ซึ่ง รํวมสมัย กับ กรุง สุโ ขทั ย เพราะมีการกลํ าวถึง ชุมชนลุํม แมํน้ําโขงตอนเหนือ ในศิลาจารึกหลักที่ 1 และจาก พงศาวดารล๎านช๎างที่กลําววํา อาณาจักรล๎านช๎างได๎ครอบคลุมไปถึงบริเวณที่ราบสูงโคราชด๎วย สํวนพงศาวดารไทยได๎ กลําวถึงเมืองสําคัญ ๆ ของอาณาจักรล๎านช๎างในสมัยอยุธยา การขยายวัฒนธรรมไทย-ลาว เข๎าสูํดินแดนแอํงโคราช ในพงศาวดารหัวเมืองมณฑลอีสานกลําววํา พื้นที่เขตมณฑลลาว เมื่อปี พ.ศ. 2181 เป็นทําเลปุาดง เป็นที่อาศัยของ
~ 93 ~ คนเชื้อสายขอม ตํอมาเรียกกันวํา พวกขํา สํวย กวย โดยเฉพาะบริเวณเมืองจําปาศักดิ์นั้นเป็นชุมชนคํอนข๎างใหญํ เป็นเอกราชกํอนกลุํมไทยลาวเคลื่อนย๎ายเข๎าไปเขตแดนเมืองจําปาศักดิ์ กลุํมวัฒนธรรมไทยลาวอพยพในสมัยธนบุรี เกิดขึ้นจากการกวาดต๎อนครัวเรือนของชาวลาวเข๎ามามี ป๓จจัยหลายประการ ประการแรกพระเจ๎ากรุงธนบุรีมีนโยบายตัดกําลังเมืองเวียงจันทน๑ให๎อํอนแอลง โดยกวาดต๎อนผู๎คน หลายหมื่นคน แล๎วให๎ทําลายเสบียงอาหาร เรือกสวนไรํนาในเมืองเวียงจันทน๑มิให๎พระเจ๎าสิริบุญสารกลับม ายึดเมือง เวียงจันทน๑เป็นที่มั่นได๎อีก ประการที่สอง มีความต๎องการกําลังคนเพื่อมาทดแทนพลเมืองที่เสียชีวิตเนื่องจากสงคราม แม๎จะเป็นพลเมืองลาวแตํถ๎าสามารถควบคุมให๎เป็นระบบได๎ก็สามารถที่จะใช๎ประโยชน๑ได๎ทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ ได๎ด๎วย (บังอร ปิยะพันธุ๑, 2529, หน๎า 27) สํ า เนี ย งภาษาถิ่ น ของภาษาลาวสามารถแบํ ง ได๎ 6 สํ า เนี ย ง ได๎ แ กํ ภาษาลาวเวี ย งจั น ทน๑ (เวียงจันทน๑ บอลิคําไซ) ภาษาลาวเหนือ (หลวงพระบาง ไซยะบู ลี อุดมไซ) ภาษาลาวตะวันออกเฉียงเหนือ (เซียงขวาง หัวพัน) ภาษาลาวกลาง (คํามํวน สะหวันนะเขด) ภาษาลาวใต๎ (จําปาสัก สาละวัน เซกอง อัตตะ ปือ) ภาษาลาวตะวันตก (ไมํมีใช๎ในประเทศลาว) ภาษาลาวอีกสําเนียงหนึ่งที่ไมํมีในประเทศลาวคือ ภาษาลาวตะวันตก เป็นภาษาลาวท๎องถิ่นที่ใช๎ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย หรือเรียกอีกอยํางหนึ่งวํา ภาษาอีสาน สําเนียงนี้ใช๎พูดกันมากในแถบ ตอนกลางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย เชํน จังหวัดร๎อยเอ็ด ขอนแกํน มหาสารคาม กาฬสินธุ๑ อุดรธานี นครราชสีมา สุรินทร๑ และบุรีรัมย๑ นอกจากนี้ยังมีพูดปะปนกับภาษาอื่น ๆ ในบางจังหวัดของไทย ภาษาลาวตะวันออกเฉียงเหนือ ไมํคํอยมีผู๎พูดในประเทศไทยสํวนใหญํจะเป็นชุมชนลาวพวนที่อพยพ มาจากแขวงเซียงขวาง ประเทศลาว เชํน ที่บ๎านเชียง หนองหาน บ๎านผือ จังหวัดอุดรธานี และบางหมูํบ๎านใน จังหวัดสกลนคร จังหวัดหนองคาย และยังมีชุมชนลาวพวนในภาคเหนือบางแหํงในจังหวัดสุโขทัย อุตรดิตถ๑ และแพรํ ภาษาลาวเวี ย งจั น ทน๑ ที่ ใ ช๎ พู ด ในประเทศไทย เชํ น จั ง หวั ด ชั ย ภู มิ หนองบั ว ลํ า ภู หนองคาย ขอนแกํน ยโสธรและอุดรธานี ภาษาลาวกลาง แยกออกเป็ นสําเนียงถิ่น 2 สําเนียง คือ ภาษาลาวกลางถิ่นคํามํวน และถิ่น สะหวันนะเขด ถิ่นคํามํวน จังหวัดที่พูดในประเทศไทย เชํน จังหวัดนครพนม สกลนคร หนองคาย (อําเภอเซกา บึง โขงหลง บางหมูํบ๎าน) ถิ่นสะหวันนะเขด จังหวัดที่พูดมีจังหวัดเดียว คือ จังหวัดมุกดาหาร ภาษาลาวใต๎ ที่ใช๎พูดในประเทศไทยอยูํที่จังหวัดอุบลราชธานี อํานาจเจริญ ศรีสะเกษ ยโสธร แตํ ในป๓จจุบันภาษาลาวตะวันตกหรือภาษาอีสาน ในประเทศไทยไมํได๎รับการพัฒนาให๎ใช๎เป็นภาษาทางการ รัฐบาลไทย ได๎กําหนดให๎ ใช๎ภาษาไทย เป็ นภาษาทางการแทน จึ ง ทํ าให๎ ภาษาลาวตะวันตกได๎รั บ อิท ธิพ ลจากภาษาไทย คํอนข๎างมาก และมีการใช๎คําศัพท๑ภาษาไทยปะปนคํอนข๎างมาก รวมทั้งไมํมีการใช๎ตัวอักษรภาษาลาวในการเขียน ด๎วย จึงทําให๎ภาษาลาวตะวันตก ในป๓จจุบันแตกตํางจากภาษาลาวในประเทศลาว ฉะนั้นจึงทําให๎ประชาชนในภาค ตะวันออกเฉียงเหนือของไทยที่ไมํได๎เรียนภาษาลาวแบบ สปป.ลาว บางครั้งฟ๓งภาษาลาวในแบบทางการลาวไมํ
~ 94 ~ เข๎าใจโดยตลอด โดยจะเข๎าใจแบบจับใจความรู๎เรื่องเทํานั้น แตํไมํเข๎าใจคําศัพท๑ความหมายหรือประโยคได๎ เพราะ คําศัพท๑บางคําบัญญัติขึ้นใหมํ ทําให๎ภาษาขาดการติดตํอกันและอาจถือได๎วําภาษาลาวตะวันตกในประเทศไทยกับ ภาษาลาวในประเทศลาวเป็นคนละภาษาก็ได๎ในป๓จจุบัน (สีเวียงแขก กอนนิวง, 1999, หน๎า 45) กลําวโดยสรุปแล๎ว จังหวัดนครพนมและจังหวัดใกล๎เคียง เป็นบริเวณที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม ทั้ง ภาษาศาสตร๑และชาติพันธุ๑ แตํละกลุํมชาติพันธุ๑ก็มีภาษาพูดเป็ นของตนเอง ได๎แกํ ผู๎ไท ญ๎อ ลาว กะเลิง ขํา โซํและ แสก ซึ่งในทํามกลางความหลากหลาย ก็ยังคงมีความคล๎ายคลึง กลําวคือ การดํารงอยูํของชาติพันธุ๑ตําง ๆ ใน บริเวณจังหวัดนครพนมเป็นไปในลักษณะถ๎อยทีถ๎อยอาศัยและพึ่งพา แตํละกลุํมชาติพันธุ๑ก็มีเอกลักษณ๑เฉพาะตัว ทั้งใน เรื่องขนบธรรมเนียม ประเพณี พิธีกรรม หากแตํวัฒนธรรมดังกลําวมรดกทางวัฒนธรรมดังกลําวมีการปรับ เปลี่ยนและ ถํายทอดและหยิบยืมกันอยูํอยํางไมํขาดสาย นับเป็นการถํายโยงทางวัฒนธรรมระหวํางกันของกลุํมชน ทางด๎านภาษา แม๎จะมีความแตกตํางที่หลากหลาย ก็ไมํเป็นป๓ญหาของความขัดแย๎งเพราะแตํละกลุํมชาติพันธุ๑ สามารถที่จะใช๎ภาษาของตนเองในการสื่อสารข๎ามกลุํมได๎อยํางเข๎าใจ และไมํมีป๓ญหาหรือความขัดแย๎งที่เกิดขึ้นจาก ภาษา การกีดกันทางภาษา การเหยียดภาษา เพราะแตํละกลุํมชาติพันธุ๑สามารถที่จะใช๎ภาษาของกลุํมชาติพันธุ๑ตนเอง เพื่อการสื่อสาร หากแตํกระแสโลกาภิวัตน๑กําลังมีผลตํอการเปลี่ยนแปลงด๎านภาษาของแตํละกลุํมชาติพันธุ๑บริเวณจังหวัด นครพนม วัฒนธรรมที่ปรากฏจากชื่อหมูํบ๎าน เป็นที่ทราบกันดีแล๎ววํา วัฒนธรรมนั้นสอดแทรกอยูํในภาษาโดยทั่วไป เพราะภาษาไมํเพียงแตํจะ เป็นวัฒนธรรมและเครื่องถํายทอดวัฒนธรรมเทํานั้น ยังเป็นคําเก็บรักษาวัฒนธรรมอีกด๎วย ดังนั้นชื่อหมูํบ๎านในฐานะที่ เป็นตัวแทนของภาษาอยํางหนึ่ง ยํอมมีวัฒนธรรมปรากฏให๎เห็นอยํางชัดเจน การศึกษาชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมือง นครพนม จังหวัดนครพนม จํานวน 165 หมูํบ๎าน จึงสะท๎อนให๎เห็นวัฒนธรรมลักษณะตําง ๆ ดังนี้ คือ วัฒนธรรมการเลือกทําเลที่ตั้งหมูํบ๎าน จากการวิเคราะห๑ชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม พบวํา โดยมากมักมีชื่อต๎นไม๎ปรากฏอยูํในชื่อ หมูํบ๎าน ทัง้ ที่เป็นชื่อต๎นไม๎โดยเฉพาะ และชื่อหมูํบ๎านที่เป็นลักษณะภูมิศาสตร๑กับชื่อต๎นไม๎ เชํน ทําค๎อ ดอนมํวง ดอน แดง ดอนโมง โคกกุง โนนขาม ดงติ้ว ดงยอ ดงต๎อง นาโดน นาโพธิ์ โพนปุาหว๎าน โพนค๎อ โพนกุง ไผํ ขาม ชะโนด ไฮ โพธิ์ เป็นต๎น เหตุที่ชื่อหมูํบ๎านสํวยใหญํมีชื่อต๎นไม๎อยูํด๎วยนั้น จารุบุตร เรืองสุวรรณ (2520, หน๎า 8) ได๎ให๎ ความเห็นวํา วิธีการสังเกตเลือกที่ตั้งบ๎านเรือนของคนไทยโบราณอีกอยํางหนึ่งคือ เขาจะดูลักษณะของต๎นไม๎หรือพืช บางอยํางบนพื้นดินบริเวณนั้นด๎วย เชํน จะไมํยอมไปตั้งบ๎านเมืองบนโคกหรือเนินที่มีไม๎เนื้อแข็ง (Hard Wood) เพราะบริเวณนั้นจะไมํคํอยมีน้ําใต๎ดินจึงเป็นแหลํงกําเนิดของไม๎เนื้อแข็ง เชํน ไม๎เต็ง รัง เป็นต๎น ถึงจะมีน้ําใต๎ดินอยูํ บ๎างก็ลึกมากจนขุดบํอน้ําไมํได๎ คนโบราณจึงเลือกบริเวณปุาที่มีไม๎เนื้ออํอน (Soft Wood) เชํน ต๎นยาง ต๎นกุง
~ 95 ~ (พลวง) ฯ เพราะมีน้ําใต๎ดินมาก และอยูํในระดับตื้น จึงมีต๎นไม๎เนื้ออํอน ดังนั้นการตั้งชื่อหมูํบ๎านมักจะมีชื่อต๎นไม๎ ตําง ๆ ด๎วย และหากศึกษาในเชิงประวัติของชื่ อหมูํบ๎านที่มีชื่อต๎นไม๎จะพบวํา ชื่อต๎นไม๎นั้นจะปรากฏความสําคัญตํอ ทําเลที่ตั้งหมูํบ๎าน 3 ลักษณะ คือ 1) เป็นต๎นไม๎ขนาดใหญํที่บํงชี้ให๎ทราบที่ตั้งหมูํบ๎านชัดเจนยิ่งขึ้น เชํน ประวัติหมูํบ๎านดอน แดงกลําวไว๎วํา มีผู๎เฒํากลุํมหนึ่งได๎พาลูกหลานอพยพมาตั้งหมูํบ๎านโดยอาศัยต๎นไม๎ใหญํซึ่งอยูํที่ดอนปูุตา คือ ต๎นไม๎ “แดง” เป็นเครื่องสังเกต จึงตั้งชื่อหมูํบ๎านขึ้น เรียกวํา “บ๎านดอนแดง” ตามสําเนียงเรียกในภาษาถิ่นของอีสาน ซึ่งก็ หมายถึงหมูํบ๎านที่มีต๎นแดงใหญํเป็นที่สังเกตนั่นเอง 2) เป็นต๎นไม๎ที่มีลักษณะพิเศษแปลกไปกวําต๎นไม๎ อื่น ในบริเวณนั้น เมื่อแยกชื่อหมูํบ๎าน นั้นเป็นพิเศษกวําชื่อหมูํบ๎านอื่นที่เป็นชื่อต๎นไม๎ชนิดเดียวกัน เชํน ขามเฒํา ไผํล๎อมเหนือ ฯ เป็นต๎น 3) เป็นต๎นไม๎ที่มีจํานวนมากในบริเวณนั้น ชื่อหมูํบ๎านประเภทนี้มักมีชื่อภูมิศาสตร๑บํงบอก สถานที่ไว๎ด๎วย เชํน บ๎านดอนมํวง เดิมบริเวณนี้เป็นที่ดอนใกล๎หนองน้ํา มีปุารกเต็มไปด๎วยพันธุ๑ไม๎นานาชนิด แตํมีต๎น มะมํวงมากที่สุด เมื่อมาตั้งหมูํบ๎านจึงให๎ชื่อตามต๎นไม๎ที่มีจํานวนมาก หรือบ๎านไผํล๎อม ก็ให๎ชื่อนี้เนื่องจากตั้งอยูํในดง กอไผํ นอกจากนี้ยังมี บ๎านหนองจันทร๑ บ๎านวังไฮ บ๎านคําเตย บ๎านดงติ้ว ฯ เป็นต๎น วัฒนธรรมการเกษตร ชื่อหมูํบ๎านสํวนใหญํจะบอกทําเลที่ตั้งใกล๎แหลํงน้ํา ใกล๎ปุา และบอกความอุดมสมบูรณ๑ของพื้นดิน เชํน บ๎านโพนงาม หนองบัว หนองปลาดุก หนองหญ๎าไซ นาสมดี วังตามัว คําสวําง นาจอก ฯ ชื่อเหลํานี้ยํอม บอกถึงวัฒนธรรมการเกษตรที่ต๎องพึ่งพาอาศัยดิน น้ํา ที่มีความอุดมสมบูรณ๑ของปุาไม๎ พืชพันธุ๑ธัญญาหาร ข๎าวปลาที่ อุดมสมบูรณ๑ จึงมีคําเปรียบของชาวอีสานที่กลําวถึงทําเลที่ตั้งบ๎านเมืองที่อยูํอาศัยไว๎วํา บํอนหั่นดินดําน้ําซุํม ปลากุํมบ๎อนคือแข๎แกวํงหาง ปลานางบ๎อนคือขางฟูาลั่น จักจั่นฮ๎องคือฆ๎องลั่นยาม ดินมีน้ํา บํหํอนขาดเขินบก ฝูงหมูํสกุณานก บินซวนซมปลายไม๎ ถอดความได๎วํา ณ ดินแดนที่อุดมสมบูรณ๑ เสียงปลากุํม (ปลาสร๎อยเกล็ดถี่) ผุดเหมือนจระเข๎แกวํง หาง เสียงปลานาง (ปลาเนื้ออํอนชนิดหนึ่ง) ผุดดังราวกับเสียงคานฟูาลั่น เสียงจักจั่นร๎องดังเหมือนเสียง ฆ๎องตีบอก เวลา ดินมีน้ําชุํมฉ่ําตลอดเวลา ฝูงหมูํมวลนกตํางบินชวนให๎ชื่นชม และที่เห็นได๎อยํางชัดเจนเกี่ยวกับชื่อหมูํบ๎านที่บํงบอกความเป็นวัฒนธรรมการเกษตรได๎แกํ ชื่อหมูํบ๎าน ที่บอกทําเลที่ตั้งเป็น นา เชํน นาสมดี นามน นาปุง เป็นต๎น วัฒนธรรมน้ํา ในบริเวณรอบ ๆ แหลํงน้ําตามธรรมชาติ จะมีชาวบ๎านไปตั้งถิ่นฐานกันอยูํโดยทั่วไป ดังจะเห็นได๎ วําชื่อหมูํบ๎ านมักจะเป็ นชื่อบอกแหลํ ง น้ําธรรมชาติมากที่ สุด เชํน มีคําวํา หนอง วัง คํา กุด ทํ า บุํ ง บึ ง เป็ น องค๑ประกอบหลักในชื่อหมูํบ๎าน ทั้งนี้เพราะน้ําเป็นบํอเกิดของวัฒนธรรมไทย ดังจะเห็นได๎ วําเรามีประเพณีและพิธีกรรมที่
~ 96 ~ จําเป็นต๎องใช๎น้ํา และเกี่ยวกับน้ํามากมาย เชํน การประพรมน้ํามนต๑เพื่อให๎เกิดสิริมงคล การรดน้ําดําหัว ประเพณีสาด น้ําสงกรานต๑ การแขํงเรือ การไหลเรือไฟ ลอยกระทง ประเพณีฮดสรง การสาดน้ํานางแมว แหํบั้งไฟขอฝน และอื่น ๆ ชาวบ๎านไมํเพียงแตํใช๎น้ําในการดํารงชีวิตตามปกติสามัญเทํานั้น แตํยังใช๎น้ําในประเพณีและพิธีกรรมตําง ๆ อีก ด๎วย จึงอาจกลําวได๎อีกประการหนึ่งวํา ที่มีชื่อหมูํบ๎านบอกแหลํงน้ํามากก็เพราะเราเป็นวัฒนธรรมน้ํานั่นเอง วัฒนธรรมการทํามาหากิน ชื่อหมูํบ๎านที่บอกวัฒนธรรมการทํามาหากิน จะเป็นชื่อที่ บอกอาชีพตําง ๆ เชํน ทํานา ทําสวน ทํา ไรํ ก็มีชื่อหมูํบ๎านวํา นาคอกควาย นาจอก นาหลวง นาโดน นาสมดี นาหัวบํอ นาคํา นาโพธิ์ นามน นาปุง นาราชควาย นาคู นาคํากลาง บ๎านกล๎วย เป็นต๎น อีกนัยยะหนึ่งชื่อหมูํบ๎านที่มิได๎ตรงกับอาชีพของชาวบ๎าน กลําวคือ อาจเป็นที่รู๎จักกันในนามของ หมูํบ๎านที่ทําอาชีพที่ขึ้นชื่อที่รู๎จักกันโดยทั่ว ๆ ไป เชํน บ๎านหนองญาติ ในอดีตเป็นแหลํงผลิตเกลือสินเธาว๑ บ๎านห๎อม บ๎านอาจสามารถ เป็นแหลํงผลิตปูนขาว บ๎านนามูลฮิ้นเป็นแหลํงผลิตหัตถกรรมเครื่องจักสานหวาย เป็นต๎น วัฒนธรรมการดํารงชีวิต ชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม อาจแสดงให๎เห็นภาพรวมของวัฒนธรรมใน การดํารงชีวิตของชาวอีสานได๎ เชํน “บ๎ านหนองญาติ ” สะท๎อนให๎เห็นวัฒนธรรมการใช๎แหลํง น้ําให๎เป็ นประโยชน๑ในการดํารงชีวิต เพราะแหลํง น้ําที่ เรียกวํา “หนอง” ในภาคอีสานนั้นเป็ นแอํง น้ําธรรมชาติที่ เกิด ตามปุ าและทุํ ง (ปราณี บานชื่น , 2527, หน๎า 47) มีลักษณะเป็นที่ลุํมตามทุํงหรือปุาที่มีน้ําขัง พื้นที่หนองจะคํอยลาดต่ําลงไป มีบริเวณที่เป็นแอํงน้ํา สามารถเก็บกักน้ําไว๎ได๎จํานวนมาก แตํในขณะเดียวกันพื้นที่ลาดเทรอบ ๆ ขอบหนองนั้นเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ๑และตื้น เขินจนสามารถทํานารอบ ๆ ขอบหนองได๎ผลดี นับเป็นทําเลที่ตั้งหมูํบ๎านที่ให๎ผลประโยชน๑หลายอยําง อาศัยปลูกพืชผัก ทํานาข๎าวรอบ ๆ ขอบหนองด๎วย รวมทั้งอาหารจากหนองน้ําที่เป็นพืชน้ําและสัตว๑น้ําอีกด๎วยเชํนกัน วัฒนธรรมเครือญาติ ชื่อหมูํบ๎านที่บอกถึงวัฒนธรรมเครือญาติ เชํน บ๎านกลาง บ๎านกลางใหญํ บ๎านกลางน๎อย ฯ เป็นต๎น ในอดีตอยูํอาศัยกันเป็นคุ๎มบ๎าน แตํเมื่อประชากรเพิ่มมากขึ้นจึงขยายออกไปเป็นหมูํบ๎านตําง ๆ คุ๎มบ๎านในอดีตเป็น บริเวณที่อยูํอาศัยของชาวบ๎าน ซึ่งจะตั้งบ๎านเรือนอยูํกันเป็นกลุํม ผู๎ที่อยูํอาศัยในคุ๎มเดียวกันสํวนใหญํจะเป็นเครือญาติ กันหรือบริวารของผู๎นําคุ๎ม (จารุวรรณ ธรรมวัตร, 2529, หน๎า 56) เนื่องจากความจําเป็นที่ต๎องพึ่งพาอาศัยกันใน การงานตําง ๆ ที่จําเป็นตํอการดํารงชีวิต เชํน การดํานา เกี่ยวข๎าว ยิงนก ลําสัตว๑ เดินทางไปค๎าขายตํางถิ่น ฯ หรืองานทางสังคมรํวมกัน มีงานประเพณี และการเคารพนับถือผี บรรพบุรุษ เชํน ผีของหมูํบ๎าน ผีปูุตา รํวมกัน มีการ ชํวยปูองกันภัยอันตรายตําง ๆ ที่จะเข๎ามาในหมูํบ๎าน ดังเชํน ชุมชนโบราณในอีสานมีการรํวมกันขุดคูน้ําคันดินถึงสอง สามชั้นเพื่อปูองกันอันตรายที่จะมาถึงหมูํบ๎าน (ฉัตรทิพย๑ นาถสุภา, 2529, หน๎า 94) ทําให๎ชาวบ๎านต๎องอยูํรํวมกัน เป็นกลุํม การรวมกลุํมนี้กํอให๎เกิดเป็นหมูํบ๎านขึ้น แรกทีเดียวการตั้งหมูํบ๎านใหมํอาจมีเพียงไมํกี่หลังคาเรือน ครั้งนาน
~ 97 ~ ไปมีญาติพี่น๎องอพยพมาอาศัยอยูํด๎วย หรือครอบครัวขยายมีลูกหลานมากมาย พื้นที่ประกอบการเกษตรเพื่อเลี้ยงชีพไมํ เพียงพอ ต๎องแยกย๎ายออกไปตั้งหมูํบ๎านใหมํ เกิดเป็นบ๎าน คุ๎มนอก คุ๎มใน คุ๎มเหนือ คุ๎มใต๎ หรือ บ๎านบ๎านเกํา บ๎าน ใหมํ บ๎านน๎อย บ๎านใหญํขึ้น ประเพณีที่รองรับวัฒนธรรมเครือญาติอยํางเห็นได๎ชัด เชํน การลงแขก การเลี้ยงผีปูุตา และประเพณีการผู๎เสี่ยว เชํน ในอดีตปีใดฝนแล๎งชาวบ๎านที่ดอนปลูกได๎แตํ ฝูาย แตํอดข๎าว ก็หาบฝูายไปแลกข๎าวใน หมูํบ๎านที่เป็นที่ลุํม หรือปีใดเกิดน้ําทํวมที่ลุํมก็จะเอาสัตว๑เลี้ยงของตนไปฝากไว๎กับชาวบ๎านบนที่ดอน การเดินทางไปตําง บ๎านตํางเมืองนี้หากพบคนถูกอัธยาศัยได๎พักพิงก็จะขอผูกเสี่ยวกันไว๎เป็นเครือญาติตํอไป เพื่อชํวยเหลือพึ่งพาอาศั ยกัน สืบไปในภายภาคหน๎า สํวนการเลี้ยงผีปูุตานั้นเป็นประเพณีที่ทําให๎ตระหนักวํามีบรรพบุรุษรํวมกัน การทําความเคารพ บรรพบุรุษเดียวกันทําให๎เกิดความรู๎สึกเป็น “พวกเรา” ดังนั้นชาวอีสานจึงมีคําวํา “ผีโตเดียวกัน” หมายถึง เป็นเครือ ญาติกัน เวลาเจ็บปุวยก็สามารถ “ฮ๎องผีให๎กันได๎” หมายความวํา อาจไหว๎วอนวิญญาณบรรพบุรุษชํวยขจัดโรคภัยไข๎ เจ็บให๎กันได๎ (ประมวล ดิกคินสัน, 2521, หน๎า 143) ผีปูุตาของชาวอีสาน ก็คือผีบรรพบุรุษรุํนแรกที่นําลูกหลานมา ตั้งถิ่นฐาน ครั้นลํวงลับไปแล๎วก็กลายเป็นผีคุ๎มครองหมูํบ๎านและลูกหลานให๎อยูํเย็นเป็นสุขนั่นเอง วัฒนธรรมความเชื่อ ฉัตรทิพย๑ นาถสุภา (2529, หน๎า 61) กลําวถึงวัฒนธรรมความเชื่อแบบดั้งเดิมที่สืบทอดกันมา เชํน ความเชื่อในผีบรรพบุรุษ ความเชื่อในระบบญาติมิตร ความเชื่อในระบบครอบครัว เป็นต๎น และการศึกษาชื่อ หมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ได๎พ บชื่อหมูํบ๎านที่บอกความเชื่อในเรื่องตําง ๆ เชํน ความเชื่อใน เรื่องของทิศ ทิศสําคัญที่ชาวบ๎านเชื่อวําจะนําความเจริญรุํงเรืองมาสูํตนและพวกพ๎อง คือทิศตะวันออก เนื่องจากเป็นทิศ ที่ดวงอาทิตย๑ขึ้น นําแสงสวํางมาให๎ได๎ ประกอบกิจการงานการตําง ๆ จึงมีชื่อหมูํบ๎านที่เป็นทิ ศตะวันออก เชํน บ๎าน ใหมํแสงอรุณ เป็นต๎น อาจกลําวได๎วําทิศตะวันออกเป็นทิศที่มีความสําคัญตามความเชื่อของชาวบ๎าน นอจากนี้ยังมีทิศ เหนือ เพราะชาวบ๎านมีความเชื่อในเรื่องของคํา และความหมายของคํา ถ๎ามีคําวํา “เหนือ” แล๎ว อะไรตํอมิอะไรก็ จะเหนือใครไปหมดทุกสิ่งอยําง สํวนชื่อหมูํบ๎านที่เป็นทิศตะวันตกนั้นไมํมีปรากฏ เพราะเรามีความเชื่อวําเป็นทิศของคน ตาย ตามธรรมเนียมที่ปฏิบัติคือหันศีรษะคนตายไปทางทิศตะวันตก สําหรับทิศใต๎นั้นเป็นทิศที่ไมํมีความเชื่อในทางที่ดี หรือร๎าย มีชื่อเพียงบํงบอกให๎ทราบถึงทิศทางแสดงวัฒนธรรมเครือญาติดังที่กลําวมาแล๎ว เชํน บ๎านน๎อยใต๎ เป็นต๎น อนึ่ง ในการศึกษาชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม เกี่ยวกับวัฒนธรรมความ เชื่อในเรื่องของทิศกับการตั้งชื่อหมูํบ๎านอาจจะไมํเห็นภาพเดํนชัดเทําที่ควร ประเด็นที่ผู๎ศึกษาได๎ค๎นพบหรือทราบถึงใน วัฒนธรรมความเชื่อดังกลําวนั้น แสดงออกมาผํานทิศทางของการตั้งวัดประจําหมูํบ๎านหรือชุมชนเป็นสําคัญ อาจกลําว ได๎วํา วัฒนธรรมความเชื่อดังกลําวมาแล๎วนั้นสํงผํานระบบความเชื่อในมุมมองของพระพุทธศาสนาเป็นสําคัญ ความเชื่อในเรื่องความหมายของคํา ซึ่งเป็นความเชื่อดั้งเดิมของคนไทย ก็แสดงให๎เห็นชื่ อหมูํบ๎าน ตําง ๆ ที่เป็นมงคลนาม เชํน เจริญทอง ภูเขาทอง โชคอํานวย สุขเจริญ พรเจริญ สุขเกษม ใหมํศรีปทุม เพราะเชื่อ วําเป็นชื่อที่มีความหมายอันเป็นมงคล ซึ่งจะสํงผลให๎ผู๎ที่อยูํในหมูํบ๎านนั้นมีความสุขสวัสดี มีความเจริญรุํงเรือง อุดมไป
~ 98 ~ ด๎วยทรัพย๑สิน และมีโชคชัยไปตามความหมายของชื่อ ซึ่งวัฒนธรรมความเชื่อที่ปรากฏจากชื่อหมูํบ๎าน สะท๎อนให๎เห็น ความสําคัญของถ๎อยคําและภาษาที่มีตํอจิตใจของคนในสังคมภาคอีสานได๎อีกประการหนึ่ง ชื่อหมูํบ๎านจึงไมํเพียงแตํเป็นชื่อที่ตั้งโดยมหาชนให๎มีความหมายและภาพเพื่อใช๎เป็นเครื่องสังเกตถิ่นที่ อยูํอาศัยของชุมชนหนึ่ง ๆ เทํานั้น แตํยังเป็นภาษาที่สะท๎อนภาพวัฒนธรรมความเป็นอยูํและการดํารงชีวิตของคนใน สังคมนั้นได๎อยํางงดงามอีกด๎วย สาเหตุการเปลี่ยนแปลงชื่อหมูํบ๎าน ภาษายํอมมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ชื่อหมูํบ๎านในฐานะที่เป็นตัวแทนของภาษาอยํางหนึ่ง จึงมีการเปลี่ยนแปลงไปเชํนกัน จากการศึกษาในเชิงประวัติพบวํา ชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนมโดยมากจะเป็น ชื่อในภาษาอีสานที่บํงบอกลักษณะทางภูมิศาสตร๑และต๎นไม๎เป็นสํวนใหญํ ชื่อในภาษาอื่นจะมีปรากฏน๎อยมาก ที่มีก็ เพราะเป็นการเปลี่ยนแปลงในภายหลัง เนื่องจากสาเหตุตําง ๆ ดังตํอไปนี้ 1. การรับอิทธิพลภาษาถิ่นภาคกลาง ซึ่งเข๎ามาพร๎อม ๆ กับงานปกครองสํวนท๎องถิ่น สํวนภูมิภาค และการเข๎ามามีบทบาทในการเรํงรัดพัฒนาชนบท ชื่อที่เปลี่ยนแปลงใหมํมักจะเป็นมงคลนามเป็นสํวนใหญํ เชํน เจริญ ทอง ภูเขาทอง โชคอํานวย สุขเจริญ พรเจริญ สุขเกษม ใหมํศรีปทุม ใหมํแสงอรุณ เป็นต๎น 2. เปลี่ยนเพื่อความไพเราะ สาเหตุที่ต๎องเปลี่ยนแปลงชื่อหมูํบ๎านก็เพราะ ชื่อในภาษาถิ่นอีสานบาง ชื่อฟ๓งแล๎วไมํไพเราะ เชํน บ๎านนาลาดควาย เปลี่ยนเป็น บ๎านนาราชควาย 3. ชื่อนั้นเป็นคําต๎องห๎ามในภาษา ชื่อหมูํบ๎านบางชื่อเปลี่ยนแปลงใหมํเพราะเห็นวําหยาบคาย เนื่องจากเสียงในภาษาถิ่นอีสาน เมื่อออกเสียงเป็นสําเนียงในภาษาถิ่นภาคกลางแล๎วความหมายเปลี่ยนไป เชํน ชื่อ เดิมเป็น “นาขี้ฮิ้น” แตํเมื่อออกเสียงเป็นภาษาถิ่นอีสานซึ่งฟ๓งดูหยาบคายในภาษาถิ่นภาคกลาง และจะมีความหมายถึง อุจาระ สํวนกลางจึงเปลี่ยนชื่อบ๎านเสียใหมํเป็น “บ๎านนามูลฮิ้น” เป็นต๎น 4. เปลี่ยนเพราะการกรํอนคํา ในกรณีที่ชื่อของหมูํบ๎านมีประวัติมาอยํางยาวนาน เมื่อผํานกาลเวลา จึงมีการกรํอนของเสียง เชํน “บ๎านกุดลักคุ” เกิดการกรํอนคํากลายเป็น “บ๎านกุรุคุ” เป็นต๎น แตํอยํางไรก็ดี ชื่อหมูํบ๎านที่เปลี่ยนใหมํก็มีจํานวนไมํมากนัก ชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม สํวนใหญํยังคงเป็นชื่อดั้งเดิมที่บอกที่มา ความหมาย และประวัติความเป็นมาของหมูํบ๎าน และเป็นชื่อ ที่ตั้งโดยบุคคลในท๎องถิ่นตั้งจากลักษณะทางภูมิศาสตร๑ที่แวดล๎อมบริเวณที่ตั้งหมูํบ๎าน ชื่อต๎นไม๎ ชื่ อสัตว๑ ชื่อคน และชื่อ ที่พบเห็นเดํนชัดเป็นพิเศษในที่นั้นหรือจากตํานานเรื่องเลํา ที่ชาวบ๎านเชื่อถือตามโลกทัศน๑ของชาวบ๎านในท๎องถิ่นที่เป็น ผู๎กํอตั้งหมูํบ๎านขึ้น ผลการศึกษาเรื่องภูมินามชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ทําให๎ทราบลักษณะ พื้นที่ ลักษณะภูมิประเทศ และวัฒนธรรมของชาวบ๎านที่ซํอนอยูํในภาษา ทําให๎ทราบที่ที่ชาวบ๎านมักเลือกเป็นทําเลที่ตั้ง ถิ่นฐานบ๎านเรือนอยูํอาศัยอยํางถาวร ทําให๎ทราบวําสิ่งใดเป็นป๓จจัยสําคัญในการดํารงชีพของประชาชนในอําเภอเมือง นครพนม จังหวัดนครพนม เมื่อครั้งเริ่มสร๎างบ๎านแปงเมือง
~ 99 ~ บทที่ 6 สรุปผลการศึกษาค๎นคว๎า อภิปลายผล และข๎อเสนอแนะ ความมุํงหมายของการศึกษาค๎นคว๎า 1. เพื่อศึกษาแนวทางการตั้งชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ซึ่งเชื่อวําจะสะท๎อนให๎เห็น ภาพของหมูํบ๎านทั้งในแงํประวัติศาสตร๑ ภูมิศาสตร๑ และสภาพสังคมวัฒนธรรม 2. เพื่อศึกษาวัฒนธรรมภาษาจากชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม ขอบเขตของการศึกษาค๎นคว๎า ผู๎วิจัยได๎กําหนดขอบเขตที่จะศึกษาไว๎ดังนี้ 1. เป็นการศึกษาชื่อหมูํบ๎านโดยนําหลักการทางภาษาศาสตร๑ 4 สาขา มาประยุกต๑ใช๎ คือ 1.1) ภาษาศาสตร๑พรรณนา (Descriptive Linguistics) ศึกษาคําและความหมายของ ชื่อหมูํบ๎าน นํามาจัดเป็นหมวดหมูํและวิเคราะห๑สํวนประกอบของความหมายของชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม 1.2) ภาษาศาสตร๑เชิงประวัติ (Historical Linguistics) ศึกษาประวัติของคําและ ความหมายของชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม เพื่อใช๎เป็นพื้นฐานในการวิเคราะห๑ชื่อหมูํบ๎าน 1.3) ภาษาศาสตร๑เชิงสังคม (Socio Linguistics) ศึกษาวิเคราะห๑ลักษณะทางภาษา ที่ แสดงภาพทางสังคมของชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม 1.4) ภาษาศาสตร๑เ ชิง มานุษยวิทยา (Anthropological Linguistics) ศึกษา ความสัมพันธ๑ของภาษากับขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม โดยการศึกษาวัฒนธรรมภาษาที่ปรากฏในชื่อหมูํบ๎าน ในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม 2. ศึกษาเฉพาะชื่อหมูํบ๎ านในอําเภอเมืองนครพนม จัง หวัด นครพนม รายชื่อหมูํบ๎านทั้ ง หมดนํามาจาก ทําเนียบหมูํบ๎านของสํานักงานจังหวัดนครพนม ตามสถิติหมูํบ๎านในปี พ.ศ. 2559 3. ศึกษาโดยรวบรวมชื่อหมูํบ๎านมาจัดประเภทให๎เป็นหมวดหมูํ วิเคราะห๑ลักษณะทางภาษาของชื่อหมูํบ๎าน และวิเคราะห๑วัฒนธรรมภาษาจากชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม
~ 100 ~ วิธีดําเนินการศึกษาค๎นคว๎า ในการศึกษาวิจัยครั้งนี้ ผู๎วิจัยได๎ใช๎วิธีการศึกษาค๎นคว๎า 2 วิธีประกอบกัน คือ วิธีวิจัยเอกสาร และการ วิจัยภาคสนาม แตํสํวนใหญํจะเป็นการศึกษาจากเอกสาร โดยใช๎ทําเนียบชื่อหมูํบ๎านของอําเภอเมืองนครพนม จังหวัด นครพนม พ.ศ. 2559 และเอกสารประกาศแตํงตั้งหมูํบ๎านของจังหวัดนครพนม เป็นเอกสารหลัก และเอกสารที่เกี่ยวกับ ประวัติ ความหมายของการตั้งชื่อหมูํบ๎านที่มีผู๎ศึกษาไว๎แล๎วเป็นเอกสารรอง ศึกษาแนวคิดและทฤษฎีทางภาษาศาสตร๑ และทฤษฎีการตั้งถิ่นฐานทางภูมิศาสตร๑ วัฒนธรรม เพื่อใช๎วิเคราะห๑ ชื่อหมูํบ๎านทั้ง 165 ชื่อ จัดลําดับข๎อมูล แยกแยะข๎อมูล โดยปรั บปรุงจากเกณฑ๑การจัดชื่อหมูํบ๎านของ เกนีย๑ (Gainey, 1984, หน๎า 73) แบํงชื่อหมูํบ๎านทั้ง 165 หมูํบ๎าน ออกเป็นกลุํม ๆ เพื่อจัดหมวดหมูํชื่อหมูํบ๎าน นําข๎อมูลทางภาษาชื่อหมูํบ๎านทั้งหมดมาพิจารณารํวมกับหลักฐานอื่น ๆ เพื่อศึกษาวัฒนธรรมของชาวอีสานที่ สะท๎อนออกมาจากชือ่ หมูํบ๎าน วิเคราะห๑ข๎อมูล สรุปและอภิปลายผล เรียบเรียงรายงานผลการวิจัย สรุปผลการศึกษาค๎นคว๎า จากการศึกษาวัฒ นธรรมภาษาจากชื่อหมูํบ๎ านในอําเภอเมืองนครพนม จัง หวัด นครพนม จํานวน 165 หมูํบ๎าน ตามสถิติทําเนียบท๎องที่อําเภอเมืองนครพนม ปี พ.ศ. 2559 ผลการวิจัยสรุปได๎ดังนี้ ชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม เป็นชื่อที่เกิดขึ้นเพื่อใช๎เป็นที่สังเกต มีความหมายแนะ ภาพ ทําให๎ทราบที่ตั้งหมูํบ๎าน โดยเพียงแตํฟ๓งชื่อก็เกิดความเข๎าใจตรงกัน ดังนั้นแนวการตั้งชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมือง นครพนม จึงสะท๎อนให๎เห็นภาพหมูํบ๎านทั้งในแงํภูมิศาสตร๑ ประวัติศาสตร๑ และสภาพสังคมวัฒนธรรม ดังตํอไปนี้ คือ 1. ด๎านภูมิศาสตร๑ ชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม เป็นชื่อที่ตั้งจากลักษณะภูมิศาสตร๑และสิ่งแวดล๎อม บริเวณที่ตั้งหมูํบ๎าน ซึ่งพบเห็นเป็นเดํนชัดพิเศษ เชํน เป็นบริเวณหนองน้ํา เป็นโคก เป็นปุา หรื อมีพืช มีสัตว๑สําคัญให๎ เป็นที่สังเกต เชํน ดอนยานาง ดอนแดง หนองจันทร๑ หนองปลาดุก ดงต๎อง ฯ เป็นต๎น ฉะนั้นจากชื่อหมูํบ๎านจึงทํา ให๎ทราบลักษณะพื้นที่ ลักษณะภูมิประเทศที่ตั้งหมูํบ๎านได๎ และที่สําคัญคือ สะท๎อนให๎เห็นสภาพภูมิศาสตร๑ของอําเภอเมือง นครพนม จังหวัดนครพนม วํามีลักษณะภูมิประเทศเป็นลูกคลื่นไมํราบเรียบ ประกอบด๎วยเนินหรือที่ลุํมอยูํทั่วไป แตํไมํมี ภูเขา มีทุํงนาสลับกับปุาโปรํง ซึ่งเป็นปุาไม๎ในเขตร๎อนหรือที่เรียกวํา “ปุาโคก” ขึ้นอยูํประปลาย ดังที่ได๎เสนอไว๎ใน ข๎อมูลเกี่ยวกับสภาพภูมิศาสตร๑ของอําเภอเมืองนครพนม ซึ่งเป็ นข๎อยืนยันผลการศึกษาวํา ชื่อหมูํบ๎านนั้นสะท๎อนให๎เห็น สภาพทางภูมิศาสตร๑ของอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ได๎ตามที่ตั้งจุดมุํงหมายในการศึกษาไว๎
~ 101 ~ 2. ด๎านประวัติศาสตร๑ ชื่อหมูํบ๎านสามารถบอกประวัติศาสตร๑บางตอนของเมืองและประวัติศาสตร๑ของหมูํบ๎าน ได๎ เชํน บ๎านอาจสามารถ ได๎ชื่อเชํนนี้เพราะ ชาวบ๎านอาจสามารถซึ่งเป็นชาวไทแสก มีความสามารถ ความ เข๎มแข็ง ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล๎าเจ๎าอยูํหัว รัชกาลที่ 3 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล๎าฯ แตํงตั้ง ชาวไทแสก ให๎เป็นเมืองที่ชื่อวํา “อาทมาต” โดยขึ้นกับเมืองนครพนม ให๎ฆานบุดดี เป็น “หลวงเอกอาษา” ทํา หน๎าที่เป็นเจ๎าเมืองอาทมาต ตั้งแตํ พ.ศ. 2387 (กองอาทมาตมีหน๎าที่คอยลาดตระเวนชายแดน ) นอกจากนี้ยังมีชื่อ เมืองอื่นที่ให๎ภาพทางประวัติศาสตร๑ เชํน บ๎านหนองจันทร๑ บ๎านเมืองเกํา เป็นต๎น จึงสรุปได๎วํา ผลการศึกษาชื่อ หมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม สะท๎อนให๎เห็นภาพทางประวัติศาสตร๑ของหมูํบ๎านได๎ 3. ด๎านวัฒนธรรมภาษา ในด๎านวัฒนธรรมภาษาพบวําชื่อหมูํบ๎านแตํละชื่อนั้นมีมโนทัศน๑ (Concept) ความคิด ความเชื่อ ลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรมการดํารงชีวิตของคนในหมูํบ๎านสอดแทรกอยูํ เพราะคํายํอมสะท๎อน การดํารงอยูํของสิ่งของ สถาบัน ชนชั้น ระดับเทคโนโลยี และความเจริญ ตลอดจนกิจกรรมที่ปฏิบัติและความคิดความ เชื่อของคนในสังคมนั้น ๆ ซึ่งชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนมได๎สะท๎อนวัฒนธรรมดังตํอไปนี้อยํางชัดเจน คือ 3.1 วัฒนธรรมการเลือกทํ าเลที่ ตั้ง หมูํบ๎าน ชื่อหมูํบ๎ านในอําเภอเมืองนครพนมมักเป็นชื่อต๎นไม๎ โดยมาก และคําบอกภูมิศาสตร๑กับชื่อต๎นไม๎ เชํน หนองจันทร๑ วังไฮ ทําค๎อ ดอนแดง โคกกุง โนนขาม ดงติ้ว นา โพธิ์ เป็นต๎น จากการศึกษาเชิงประวัติศาสตร๑ของชื่อหมูํบ๎าน พบวํา ชื่อต๎นไม๎จะปรากฏความสําคัญตํอทําเลที่ตั้ง หมูํบ๎าน 3 ลักษณะ คือ 1) เป็นต๎นไม๎ขนาดใหญํ บํงชี้ให๎ทราบที่ตั้งหมูํบ๎านได๎ชัดเจนขึ้น 2) เป็นต๎นไม๎ที่มีลักษณะ พิเศษ แปลกไปกวําต๎นอื่นในอาณาบริเวณนั้น และ 3) เป็นต๎นไม๎ที่มีจํานวนมากในบริเวณนั้น 3.2 วัฒนธรรมการเกษตร ได๎แกํ ชื่อหมูํบ๎านที่บอกทําเลที่ตั้งเป็น นา และความอุดมสมบูรณ๑ของ พื้นดิน เชํน บ๎านโพนงาม หนองบัว หนองปลาดุก หนองหญ๎าไซ นาสมดี วังตามัว คําสวําง นาจอก เป็นต๎น 3.3 วัฒนธรรมน้ํา จะเห็นได๎วําชื่อหมูํบ๎านจะมีคําบอกแหลํงน้ํามากที่สุด เพราะวัฒนธรรมไทยนั้น พึ่งพาอาศัยน้ําเรามีประเพณีและพิธีกรรม รวมทั้งการดํารงชีวิตที่เกี่ยวกับน้ํามากมาย เชํน ประเพณีฮดสรง สงกรานต๑ แหํนางแมว รดน้ําดําหัว ฯ เป็นต๎น จึงจําเป็นต๎องเลือกทําเลที่ตั้งหมูํบ๎านโดยยึดแหลํงน้ําเป็นสําคัญ 3.4 วัฒนธรรมการทํามาหากิน ชื่อหมูํบ๎านเหลํานี้มักเป็นชื่อที่บอกอาชีพตําง ๆ เชํน ทํานา ทําไรํ ทําสวน จับสัตว๑ปุา เชํน นาคอกควาย นาจอก นาหลวง นาโดน นาสมดี นาหัวบํอ นาคํา นาโพธิ์ นามน นา ปุง นาราชควาย นาคู นาคํากลาง บ๎านกล๎วย เป็นต๎น 3.5 วัฒนธรรมการดํารงชีวิต เชํน “บ๎านโคกกุง” ให๎ภาพรวมของการปลูกทับในปุากุง (พลวง) ในระยะที่กํอตั้งหมูํบ๎าน โดยอาศัยทรัพยากรธรรมชาติ คือ “ไม๎กุง” เป็นป๓จจัยในการดํารงชีพ หรื อ “บ๎านโพนงาม” เป็นชื่อที่บอกทําเลอันเหมาะสมสําหรับตั้งถิ่นฐาน สํวน “บ๎านหนองปลาดุก” ก็สะท๎อนให๎เห็นความอุดมสมบูรณ๑ด๎วย อาหาร การใช๎แหลํงน้ําธรรมชาติให๎เป็นประโยชน๑ในการผลิตข๎าว นั่นคือ การทํานานั่นเอง 3.6 วัฒนธรรมเครือญาติ ชื่อหมูํบ๎าน เชํน บ๎านกลาง แบํงเป็น กลางคุ๎มใหญํ กลางคุ๎มน๎อย แล๎ว ขยายเป็นบ๎านกลางใหญํ บ๎านกลางน๎อย สะท๎อนภาพการขยายตัวของหมูํบ๎านวํา เมื่อแรกที่เดียวการตั้งหมูํบ๎านใหมํ
~ 102 ~ อาจมีเพียงไมํกี่หลังคาเรือน นานไปญาติพี่น๎องอพยพมาอยูํด๎วยหรือครอบครัวขยายมีลูกหลานเพิ่มมากขึ้น ต๎องขยาย หมูํบ๎านออกไปแตํยังคงชื่อให๎ทราบวํามีความสัมพันธ๑ผูกพันกันอยูํ ชื่อหมูํบ๎านที่บอกวัฒนธรรมประเภทนี้มักจะมีคําวํา เหนือ กลาง ใต๎ เกํา ใหมํ หรือบ๎านใหมํ บ๎านเกํา บ๎านน๎อย ชี้ให๎เห็นอยูํ 3.7 วัฒนธรรมความเชื่อ การศึกษาชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครพนม สะท๎อนให๎เห็นความเชื่อใน เรื่องตําง ๆ เชํน ความเชื่อในเรื่องทิศ วําทิศมีความเจริญรุํงเรืองคือทิศตะวันออก จึงมีชื่อหมูํบ๎านเป็นทิศตะวันออกอยูํ ความเชื่อในเรื่องมงคลนาม มีการเปลี่ยนชื่อหมูํบ๎านเพื่อเป็นสิริมงคลแกํผู๎ที่อยูํอาศัยในหมูํบ๎าน ความเชื่อในเรื่องไม๎ ใหญํ ชื่อหมูํบ๎านมักจะเป็นชือ่ ต๎นไม๎เป็นสํวนใหญํ ทั้งนี้เพราะเห็นความสําคัญของต๎นไม๎ โดยเฉพาะต๎นไม๎ใหญํกวําต๎น อื่นในบริเวณนั้นมักจะนํามาตั้งเป็นชื่อหมูํบ๎าน การศึกษาวัฒนธรรมภาษาจากชื่อหมูํบ๎าน จะสะท๎อนสภาพสังคมและวัฒนธรรมจากการวิเคราะห๑ภาษา ซึ่ง ชี้ให๎เห็นได๎ 3 ประการ คือ 1) คําที่เป็นชื่อหมูํบ๎าน ยํอมสะท๎อนการดํารงอยูํของสิ่งของ สถาบัน ชนชั้นระดับ เทคโนโลยี ความเจริญ กิจกรรม และความคิดความเชื่อของสังคมนั้น ๆ เชํน หมูํบ๎านหนองญาติ ให๎เห็นระบบ ชลประทานในสังคมชาวบ๎าน หรือเทคโนโลยีการผลิตเกลือ บ๎านคําเตย บ๎านอาจสามารถ สามารถมองให๎เห็นภาพ สถาบัน ความเชื่อ และวิถีการดํารงชีวิตที่อิงแอบกับความเชื่อเรื่องผีบรรพบุรุษ เป็นต๎น 2) ชื่อหมูํบ๎านเป็นสิ่งที่แสดงให๎ เห็นถึงสิ่งของ กิจกรรม สถาบัน ความคิด ความเชื่อ ไว๎เป็นรูปธรรมอยํางชัดเจน เพราะภาษามีคุณสมบัติคงทน สืบ ทอด ไมํสูญหายไปตามกาลเวลา หากมีการเปลี่ยนแปลงก็อาจสืบค๎นได๎โดยงํ าย การค๎นคว๎าสําหรับสภาพสังคม วัฒนธรรมจากชื่อหมูํบ๎านจึงเป็นวิธีการหนึ่งที่เหมาะสมในการศึกษาชุมชนและวัฒนธรรมไทยพื้นบ๎านชนบท และ 3) การเปลี่ยนแปลงในชื่อหมูํบ๎านสะท๎อนให๎เห็นความเปลี่ยนแปลงในระดับ เทคโนโลยี สถาบันทางสังคม และวัฒนธรรม เชํน หมูบํ ๎านเดิมชื่อ “หนองเดิ่น” เพราะเป็นหนองที่มีพื้นที่ราบเรียบ ตํอมารัฐบาลเรํงรัดพัฒนาชนบท นําความเจริญเข๎า มาสูํหมูํบ๎าน ก็มีการเปลี่ยนชื่อหมูํบ๎านเสียใหมํเป็นบ๎าน “หนองเดิ่นพัฒนา” หรือชื่อหมูํบ๎านแตํเดิมเป็นคําไทยล๎วน ๆ ตํอมามีคําภาษาบาลี-สันสกฤต ปนเข๎ามา สะท๎อนให๎เห็นการรับเอาพุทธศาสนาเข๎ามาในสังคม เชํน บ๎านโพนสวรรค๑ บ๎านเทพพนม เป็นต๎น ดังนั้น การศึกษาชื่อหมูํบ๎านจึงทําให๎เข๎าใจพื้นฐานทางความคิด ความเชื่อ การจัดองค๑การชุมชนพื้นฐาน ระดับท๎องถิ่นดีขึ้นอีกด๎วย ข๎อเสนอแนะ 1. ศึกษาภูมินามที่ปรากฏจากชื่อหมูํบ๎านในจังหวัดนครพนม 2. ศึกษาประวัติของหมูํบ๎านในจังหวัดนครพนม และนํามาวิเคราะห๑ในด๎านคติชนวิทยา 3. ควรศึกษาเป็นกรณีพิเศษในเรื่องของการกลายเสียง และการกลายความหมายของคําที่เป็นชื่อหมูํบ๎าน
~ 103 ~ บรรณานุกรม กาญจนา แก๎วเทพ. (2530). มรดกทางวัฒนธรรมและศาสนา : พัฒนาสร๎างสรรค๑ในชุมชนชนบท. กรุงเทพฯ : สมาคมคาทอลิคประเทศไทย. กนกวรรณ อารีย๑พัฒนไพบูลย๑. (2534). การวิเคราะห๑ชื่อหมูํบ๎านในเขตอําเภอทําบํอ จังหวัดหนองคาย. วิทยานิพนธ๑ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม, คณะบัณฑิตวิทยาลัย, สาขาการศึกษามหาบัณฑิต วิชาเอกภาษาไทย. กรรณกา ธรรมวัติ. (2534). การวิเคราะห๑ชื่อหมูํบ๎านในจังหวัดศรีสะเกษ. วิทยานิพนธ๑ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, คณะบัณฑิตวิทยาลัย, สาขาการศึกษามหาบัณฑิต วิชาเอกภาษาไทย. กําพล จําปาพันธ๑. (2552). ขําเจือง : กบฏผู๎มีบุญในพระราชอาณาเขตสยาม พ.ศ. 2415-2436. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลัย. จินดา งามสุทธิ. (2524). “การศึกษาภาษาในสมัยโบราณ,” ใน ภาษาและวรรณคดี. หน๎า 27-28, 31, 33-34. จินตนา ยอดยิ่ง. (2519). ประวัติชื่อตําบลและหมูํบ๎านในเขตอําเภอเมืองแพรํ จังหวัดแพรํ. วิทยานิพนธ๑ปริญญา มหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, คณะบัณฑิตวิทยาลัย, สาขาการศึกษามหาบัณฑิต วิชาเอกภาษาไทย. จารุบุตร เรืองสุวรรณ. (2520). ของดีอีสาน. กรุงเทพฯ : การศาสนา. จารุวรรณ ธรรมวัตร. (2522). ลักษณะวรรณกรรมอีสาน. กรุงเทพฯ : จินตภัณฑ๑การพิมพ๑. ......................... (2530). คติชาวบ๎าน. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม. จําปา สุขสวําง. (2547). “การตั้งชื่อหมูํบ๎านในอําเภอแกลง จังหวัดระยอง”. สารนิพนธ๑ปริญญาอักษร ศาสตร๑บัณฑิต, ภาควิชาภาษาไทย, คณะอักษรศาสตร๑, มหาวิทยาลัยศิลปากร. โฉมสุภางค๑ ทองปลิว. (2534). การศึกษาความหมายของชื่อหมูํบ๎านและตําบลในเขตอําเภอเมืองเลย จังหวัด เลย. วิทยานิพนธ๑ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, คณะบัณฑิตวิทยาลัย, สาขา การศึกษา มหาบัณฑิต วิชาเอกภาษาไทย. ฉัตรทิพย๑ นาถสุภา. (2529). บ๎านกับเมือง. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลัย. ชลี สัมโพธิป๓ญญา. (2518). เมืองไทยแผํนดินศักดิ์สิทธิ์พญานาคทั้งเจ็ดที่พระธาตุพนม. กรุงเทพฯ : ศูนย๑วรรณกรรม. เติม วิภาคพจนกิจ. (2513). ประวัติศาสตร๑อีสาน. กรุงเทพฯ : สมาคมสังคมศาสตร๑. ทิพย๑สุดา นัยทรัพย๑. (2535). ภาษากับวัฒนธรรม. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ๑การศาสนา. ธวัช ปุณโณทก. (2522). วรรณกรรมอีสาน. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร๑. ......................... (2531). วรรณกรรมท๎องถิ่น. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร๑.
~ 104 ~ นคร สารสมุทร. (2532). ภูมินามวิทยาเขตจังหวัดเชียงราย. ชียงราย : ศูนย๑วัฒนธรรมจังหวัดเชียงราย วิทยาลัยครูเชียงราย. นลินี อําพินธ๑. (2557). ชื่อบ๎านนามเมืองจังหวัดบุรีรัมย๑ กรณีศึกษาอําเภอพุทไธสง นาโพธิ์ และบ๎านใหมํชัย พจน๑. บุรีรัมย๑ : คณะมนุษยศาสตร๑และสังคมศาสตร๑ มหาวิทยาลัยราชภัฏบุรีรัมย๑. นฤมล เก๎าเอี้ยน. (2536). วัฒนธรรมที่เกี่ยวข๎องกับชื่อหมูํบ๎านในจังหวัดสตูล. วิทยานิพนธ๑ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ภาคใต๎, คณะบัณฑิตวิทยาลัย, สาขาการศึกษามหาบัณฑิต วิชาเอกไทยคดีศึกษา. น๎องนุช มณีอินทร๑. (2543). การปรับเปลี่ยนของชื่อหมูํบ๎านในจังหวัดเชียงใหมํ. วิทยานิพนธ๑ปริญญามหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลัย, คณะอักษรศาสตร๑, ภาควิชาภาษาศาสตร๑. นฤมล ตุงคะโหตร. (2547). การตั้งชื่อวัดในในพุทธศาสนาในกรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ๑ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยมหิดล, บัณฑิตวิทยาลัย, สาขาวิชาภาษาศาสตร๑. เบญจวรรณ สุนทรากูล. (2505). หนํวยเสียงภาษาเชียงใหมํ. วิทยานิพนธ๑ปริญญามหาบัณฑิต, จุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลัย, บัณฑิตวิทยลัย. บวร บุพศิริ. (2537). เอกสารคําสอนวิชาสังคมศึกษา ส 071 ท๎องถิ่นของเรา. นครพนม : โรงเรียนปิยะมหาราชาลัย. บุญยงค๑ เกศเทศ. (2536). วัฒนธรรมชาวไทยย๎อศึกษากรณีบ๎านทําขอนยาง อําเภอกันทรวิชัย จังหวัด มหาสารคาม. มหาสารคาม : ฝุายวิจัยและประเมินผล มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม. บังอร ปิยะพันธุ๑. (2529). ประวัติศาสตร๑ของชุมชนชาวลาวในหัวเมืองชั้นในสมัยรัตนโกสินทร๑ตอนต๎น. วิทยานิพนธ๑ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศิลปากร, คณะอักษรศาสตร๑, สาขาประวัติศาสตร๑เอเชีย ตะวันออกเฉียงใต๎. ประภาศรี พวงจันทร๑หอม. (2539). การวิเคราะห๑ชื่อหมูํบ๎านและตําบลในอําเภอเมือง จังหวัดเพชรบูรณ๑. วิทยานิพนธ๑ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, บัณฑิตวิทยาลัย, สาขา การศึกษามหาบัณฑิต วิชาเอกภาษาไทย. ปราณี กุลละวณิชย๑. (2535). ชื่อหมูํบ๎านในมณฑลกวางสีและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย. ภาควิชาภาษาศาสตร๑, คณะอักษรศาสตร๑, จุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลัย. ปรานี บานชื่น. (2527). ความหมายและประวัติความเป็นมาของการตั้งชื่อตําบล หมูํบ๎าน สถานที่สําคัญตําง ๆ ใน เขตจังหวัดเลย. กรุงเทพฯ : โอเอสพริ้นติ้ง เฮ๎าส๑. ปรัศนี ธํารงโสตถิสกุล. (2550). การศึกษาชื่อหมูํบ๎านในอําเภอกงไกรลาส จังหวัดสุโขทัย. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร๑. ปภัสรา คําวชิรพิทักษ๑. (2553). ชื่อหมูํบ๎านในจังหวัดชัยภูมิ. วารสารชํอพะยอม ปีที่ 21(1) : 3 – 16.
~ 105 ~ ประพนธ๑ เรืองณรงค๑. (2559). ชื่อบ๎านนามเมืองภาษามาลายูในคาบสมุทรภาคใต๎ของไทย. กรุงเทพฯ : สถาพรบุ๏คส๑. ปราณี กุลละวณิชย๑. (2535). ชื่อหมูํบ๎านในมณฑลกวางสีและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ๑จุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลัย. ประมวล ดิกคินสัน. (2521). คติชาวบ๎านการศึกษาในด๎านมานุษยวิทยา. กรุงเทพฯ : แพรํวิทยา. พูนศรี คัมภีร๑ปกรณ๑. (2520). ภูมินามของชื่อหมูํบ๎านและตําบลในเขตอําเภอเมือง จังหวัดขอนแกํน. วิทยานิพนธ๑ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, บัณฑิตวิทยาลัย, สาขาการศึกษามหาบัณฑิต วิชาเอกภาษาไทย. พูนจิตร บิดร. (2521). การศึกษาชื่อหมูํบ๎านและตําบลในอําเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร. วิทยานิพนธ๑ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, บัณฑิตวิทยาลัย, สาขาการศึกษามหาบัณฑิต วิชาเอกภาษาไทย. ไพฑูรย๑ ปิยะปกรณ๑. (2532). ภูมินามของชื่อหมูํบ๎านในจังหวัดชัยภูมิ. วารสารภูมิศาสตร๑ 14,3 (พ.ย.2532) 177-182. ไพพรรณ อินทนิล. (2542). การศึกษาประวัติชื่ออําเภอ ตําบล และหมูํบ๎าน จังหวัดชลบุรี. ชลบุรี : โครงการบริการสารนิเทศทางวัฒนธรรม สถาบันศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยบูรพา. พิเศษ เจียจันทร๑พงษ๑. (2521). “บทนําเสนอ,” ใน อุรังคนิทาน ตํานานพระธาตุพนม. หน๎า 4 - 24. กรุงเทพฯ : เรือนแก๎วการพิมพ๑. มยุรี สีชมพู. (2532). วิเคราะห๑การตั้งชื่อหมูํบ๎านในเขตอําเภอเมือง จังหวัดยโสธร. วิทยานิพนธ๑ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม, บัณฑิตวิทยาลัย, สาขาการศึกษามหาบัณฑิต วิชาเอกภาษาไทย. มาโนช ดินลานสกูล. (2552). ชื่อบ๎านนามเมือง : เรื่องเลําชีวิตคน และชุมชนลุํมทะเลสาบสงขลา. กรุงเทพฯ : สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแหํงชาติ. มหาสิลา วีระวงส๑. (2515). พจนานุกรมภาคอีสาน-ภาคกลาง. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช. ..................... (2535). ประวัติศาสตร๑ลาว แปลโดย สมหมาย เปรมจิตต๑. เชียงใหมํ : สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหมํ. มณีปิ่น พรหมสุทธิรักษ๑. (2539). รวมบทความด๎านภาษา วรรณคดี และวัฒนธรรมไทย. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ๑มหาวิทยาลัย. ........................... (2540). “การตั้งชื่อท๎องถิ่นของไทย.” วารสารอักษรศาสตร๑ มหาวิทยาลัย ศิลปากร 19, 1-2 (2539 – 2540) น.114-120.
~ 106 ~ มนู วัลยะเพ็ชร๑ และคณะ. (2522). การศึกษาทางภูมิศาสตร๑เกี่ยวกับชื่อภูมิประเทศของจังหวัดนครปฐม. นครปฐม : โรงพิมพ๑มหาวิทยาลัยศิลปากร. ราชบัณฑิตยสถาน. (2546). พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. กรุงเทพมหานคร : นานมีบุ๏คพับลิเคชั่นส๑. รุํงอรุณ ทีฆชุณหเถียร และมะลิวัลย๑ บูรณพัฒนา. (2536). ชื่อหมูํบ๎านในอําเภอทําอุเทน จังหวัดนครพนม. กรุงเทพฯ : สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแหํงชาติ. เรืองเดช ป๓นเขื่อนขัติย๑. (2531). ภาษาถิ่นตระกูลไทย. นครปฐม : สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนา ชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล. วิบัณฑิตา ชํวยชูวงษ๑. (2532). วัฒนธรรมภาษาชื่อหมูํบ๎านในจังหวัดมหาสารคาม. วิทยานิพนธ๑ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม, บัณฑิตวิทยาลัย, สาขาการศึกษามหาบัณฑิต วิชาเอกภาษาไทย. วนิดา ตรีสินธุรส. (2534). ชื่อบ๎านนามเมืองในเขตอําเภอโชคชัย จังหวัดนครราชสีมา. วิทยานิพนธ๑ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม, บัณฑิตวิทยาลัย, สาขาการศึกษามหาบัณฑิต วิชาเอกภาษาไทย. วิภาวดี ริบุญมี. (2555). การศึกษาเปรียบเทียบชื่อหมูํบ๎านในเขตอําเภอเมืองกับอําเภอวังมํวง จังหวัดสระบุรี. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร๑. วรรณา นาวิกมูล และคณะ. (2537). ชื่อบ๎านนามเมืองจังหวัดตรัง. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร๑. วรรณภา บุญประทีป. (2553). การศึกษาชื่อหมูํบ๎านในเขตอําเภอเมืองจังหวัดลพบุรี. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร๑. ศันสนีย๑ วีระศิลป์ชัย. (2538). ชื่อบ๎านนามเมือง. กรุงเทพฯ : มติชน. ศรีศักร วัลลิโภดม. (2533). “อีสานในตํานานอุรังคธาตุ”. ใน แอํงอารยธรรมอีสาน หน๎า 8 - 57. กรุงเทพฯ : มติชน. สมเด็จพระเจ๎าบรมวงศ๑เธอ กรมพระยาดํารงราชานุภาพ. 2514. ประชุมพระนิพนธ๑เกี่ยวกับตํานานทางพุทธ ศาสนา. พระนคร : โรงพิมพ๑รุํงเรืองธรรม. .................................................................2518. ตํานานพุทธเจดีย๑. กรุงเทพฯ : คุรุสภา. สุวิไล เปรมศรีรัตน๑ และสุขุมาวดี ขําหิรัญ. (2531). ชื่อหมูํบ๎านของอําเภอเมืองสุรินทร๑. นครปฐม: สถาบันวิจัย ภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล. สุจิตต๑ วงษ๑เทศ. (2556). ชื่อบ๎านนามเมือง จังหวัดนครพนม. กรุงเทพฯ : มติชน.
~ 107 ~ สุจริตลักษณ๑ ดีผดุง. (2547). ชื่อหมูํบ๎านในภูมิภาคตะวันตกของประเทศไทย : กาญจนบุรี นครปฐม ประจวบคีรีขันธ๑ เพชรบุรี ราชบุรี สุพรรณบุรี สมุทรสงคราม และสมุทรสาคร. นครปฐม : สถาบันวิจัย ภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล. สมศักดิ์ เส็งสาย. (2534). ชื่อบ๎านนามเมืองที่ปรากฏในวรรณกรรมเรื่องผาแดงนางไอํ. วิทยานิพนธ๑ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม, บัณฑิตวิทยาลัย, สาขาไทยคดีศึกษา. สุพัตรา จิรนันทนาภรณ๑ และอัญชลี สิงห๑น๎อย. 2548 “ภูมินามของหมูํบ๎านในเขตภาคเหนือตอนลําง จังหวัด อุตรดิตถ๑”. วารสารมนุษยศาสตร๑ ปีที่ 1 ฉบับที่ 2. มหาวิทยาลัยนเรศวร. 29-44. สุธิวงศ๑ พงศ๑ไพบูลย๑. (2529). ชื่อบ๎านนามเมืองในภาคใต๎ สารานุกรมวัฒนธรรมภาคใต๎. สงขลา : สถาบันทักษิณคดีศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ. สุจริต ถาวรสุข. (2519). วรรณกรรมไทยเรื่อง คดีพระยอดเมืองขวาง เจ๎าเมืองคํามวน. กรุงเทพฯ : ธนาคารกรุงเทพฯ. สมัย สุทธิธรรม. (2539). นครปฐม. กรุงเทพฯ : โอ.เอส. พริ้นติ้ง เฮ๎าส๑. สมภพ ภิรมย๑. (2516). เมืองในภาคอีสาน. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ๑ชวนพิมพ๑. สมิธ เอธ วาริงตัน. (2544). บันทึกการเดินทางสูํแมํน้ําโขงตอนบน ประเทศสยาม ; พรพรรณ ทองตัน แปลและ เรียบเรียง. กรุงเทพฯ : สํานักวรรณกรรมและประวัติศาสตร๑ กรมศิลปากร. สุรศักดิ์ ศรีสําอาง. (2545). ลําดับกษัตริย๑ลาว. กรุงเทพฯ : สํานักโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแหํงชาติ. สํานักวัฒนธรรมจังหวัดนครพนม. (2551). เอกสารเผยแพรํทางด๎านศิลปะและวัฒนธรรม. นครพนม : สํานัก วัฒนธรรมจังหวัดนครพนม. สุพร สิริพัฒน๑. (ม.ป.ป.). อาณาจักรศรีโคตรบูรณ๑. นครพนม : โรงพิมพ๑ ส.วัฒนา. สุรจิตต๑ จันทรสาขา. (ม.ป.ป.). จังหวัดนครพนมในอดีต. นครพนม : โรงพิมพ๑ ส.วัฒนา. สรบุศย๑ รุํงโรจน๑สุวรรณ และคณะ. (2550). ชื่อหมูํบ๎านในอําเภอเชียงแสนจังหวัดเชียงราย. เชียงราย : สํานัก วิชาศิลปศาสตร๑ มหาวิทยาลัยแมํฟูาหลวง. เสนํหา บุณยรักษ๑ และทิพย๑สุดา นัยทรัพย๑. (2542). ภูมินามจังหวัดพิษณุโลก. พิษณุโลก : สถาบันราชภัฏพิบูลสงคราม. เสาวลักษณ๑ อนันตศานต๑. (2548). นิทานพื้นบ๎านเปรียบเทียบ. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคําแหง. สุรัตน๑ วรางครัตน๑. (2542). การศึกษาเชิงเปรียบเทียบประเพณีวัฒนธรรมของชาวผู๎ไทย – ชาวโซํ. สกลนคร : วิทยาลัยครูสกลนคร.
~ 108 ~ อัมมร ธุระเจน. (2521). ประวัติของชื่อตําบลและหมูํบ๎านในอําเภอเมืองนครศรีธรรมราช. วิทยานิพนธ๑ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร, บัณฑิตวิทยาลัย, สาขาการศึกษามหาบัณฑิต วิชาเอกภาษาไทย. อรพินท๑ ศิริพงษ๑. (2538). ชื่อหมูํบ๎านในเขตอําเภอเมือง จังหวัดบุรีรัมย๑. วิทยานิพนธ๑ปริญญามหาบัณฑิต, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, บัณฑิตวิทยาลัย, สาขาไทยคดีศึกษา. อิงอร สุพันธุ๑วณิช และอาณัติ หมานสนิท. (2535). ชื่อบ๎านในสี่จังหวัดภาคใต๎: ยะลา ป๓ตตานี นราธิวาส สตูล. ภาษาและวรรณคดีไทย ปีที่ 17 (ธันวาคม 2543): 108-119. โอฬาร รัตนภักดี และวิมลศิริ กลิ่นบุปผา. (2550). ภูมินามของหมูํบ๎านในจัดหวัดลําพูน. ลําปาง : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร๑. อมร ทวีศักดิ์. (2531). ภาษามาลายูในประเทศไทย. กรุงเทพฯ : สถาบันวิจัยภาษาและวัฒนธรรมเพื่อพัฒนา ชนบท มหาวิทยาลัยมหิดล. Gainey. Jerry W. (1984). “Toponyms in Eastern and Southeastern Thai ; A Preliminary Study of village Names in Chonburi, Rayong, Chantaburi and Trat”. PASSA. 2(9) : 73, 40-44 ; December.
~ 109 ~
ภาคผนวก ภาคผนวก ก แผนทีห่ มูบํ า๎ นในอําเภอเมืองนครพนม จังหวัดนครพนม ปี พ.ศ. 2510
~ 110 ~
ภาพที่ 10 ต.กุรุคุ อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 11 บ.หนองบัว ต.กุรุคุ อ.เมือง จ.นครพนม
~ 111 ~
ภาพที่ 12 บ.วังตามัว ต.กุรุคุ อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 13 บ.กุรุคุ ต.กุรุคุ อ.เมือง จ.นครพนม
~ 112 ~
ภาพที่ 14 บ.นาโปุง ต.กุรุคุ อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 15 บ.ทุํงควาย ต.กุรุคุ อ.เมือง จ.นครพนม
~ 113 ~
ภาพที่ 16 บ.คําสวําง ต.กุรุคุ อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 17 บ.หนองหญ๎าไซ ต.กุรุคุ อ.เมือง จ.นครพนม
~ 114 ~
ภาพที่ 18 บ.หนองแซง ต.กุรุคุ อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 19 ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม
~ 115 ~
ภาพที่ 20 บ.หนองบัว ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 21 บ.นามูลฮิ้น ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม
~ 116 ~
ภาพที่ 22 บ.โคกกุง ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 23 บ.นาคํากลาง ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม
~ 117 ~
ภาพที่ 24 บ.อํางคํา ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 25 บ.หัวโพน ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม
~ 118 ~
ภาพที่ 26 บ.สุขเกษม ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 27 บ.ดอนยานาง ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม
~ 119 ~
ภาพที่ 28 บ.โพธิ์ตาก ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 29 บ.โคกกํอง ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม
~ 120 ~
ภาพที่ 30 บ.หนองค๎า ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 31 บ.โพนงาม ต.นาทราย อ.เมือง จ.นครพนม
~ 121 ~
ภาพที่ 32 ต.บ๎านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 33 ม.1 บ.ผึ้ง ต.บ๎านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม
~ 122 ~
ภาพที่ 34 ม.2 บ.ผึ้ง ต.บ๎านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 35 ม.3 บ.วังกระแส ต.บ๎านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม
~ 123 ~
ภาพที่ 36 ม.4 บ.วังกระแส ต.บ๎านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 37 บ.นาโพธิ์ ต.บ๎านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม
~ 124 ~
ภาพที่ 38 บ.นามน ต.บ๎านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 39 บ.ดงสวําง ต.บ๎านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม
~ 125 ~
ภาพที่ 40 บ.ดอนมํวง ต.บ๎านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 41 บ.เทพพนม ต.บ๎านผึ้ง อ.เมือง จ.นครพนม
~ 126 ~
ภาพที่ 42 ต.ดงขวาง อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 43 บ.โพนทา ต.ดงขวาง อ.เมือง จ.นครพนม
~ 127 ~
ภาพที่ 44 บ.นาคอกควาย ต.ดงขวาง อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 45 ม.3 บ.บัว ต.ดงขวาง อ.เมือง จ.นครพนม
~ 128 ~
ภาพที่ 46 ม.4 บ.บัว ต.ดงขวาง อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 47 บ.ดงขวาง ต.ดงขวาง อ.เมือง จ.นครพนม
~ 129 ~
ภาพที่ 48 บ.บึงหลํม ต.ดงขวาง อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 49 ม.7 บ.ดงต๎อง ต.ดงขวาง อ.เมือง จ.นครพนม
~ 130 ~
ภาพที่ 50 ม.8 บ.ดงต๎อง ต.ดงขวาง อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 51 บ.หนองสระพัง ต.ดงขวาง อ.เมือง จ.นครพนม
~ 131 ~
ภาพที่ 52 บ.กกไฮ ต.ดงขวาง อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 53 ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม
~ 132 ~
ภาพที่ 54 บ.หนองบัว ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 55 บ.โพนบก ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม
~ 133 ~
ภาพที่ 56 บ.น๎อยหนองเค็ม ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 57 บ.น๎อยใต๎ ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม
~ 134 ~
ภาพที่ 58 บ.นาจอก ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 59 บ.หนองญาติ ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม
~ 135 ~
ภาพที่ 60 บ.เหลําภูมี ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 61 บ.คําธาตุ ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม
~ 136 ~
ภาพที่ 62 บ.คําพอก ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 63 บ.ดอนโมง ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม
~ 137 ~
ภาพที่ 64 บ.ภูเขาทอง ต.หนองญาติ อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 65 ต.ขามเฒํา อ.เมือง จ.นครพนม
~ 138 ~
ภาพที่ 66 ม.1 บ.ขามเฒํา ต.ขามเฒํา อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 67 ม.2 บ.ขามเฒํา ต.ขามเฒํา อ.เมือง จ.นครพนม
~ 139 ~
ภาพที่ 68 บ.กุดข๎าวปุูน ต.ขามเฒํา อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 69 บ.นาโดน ต.ขามเฒํา อ.เมือง จ.นครพนม
~ 140 ~
ภาพที่ 70 ม.5 บ.ชะโงม ต.ขามเฒํา อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 71 ม.6 บ.ชะโงม ต.ขามเฒํา อ.เมือง จ.นครพนม
~ 141 ~
ภาพที่ 72 บ.กล๎วย ต.ขามเฒํา อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 73 บ.ชะโนด ต.ขามเฒํา อ.เมือง จ.นครพนม
~ 142 ~
ภาพที่ 74 ต.นาราชควาย อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 75 บ.หนองบัว ต.นาราชควาย อ.เมือง จ.นครพนม
~ 143 ~
ภาพที่ 76 บ.นาคู ต.นาราชควาย อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 77 บ.สร๎างหิน ต.นาราชควาย อ.เมือง จ.นครพนม
~ 144 ~
ภาพที่ 78 บ.ซอง ต.นาราชควาย อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 79 ม.5 บ.นาราชควาย ต.นาราชควาย อ.เมือง จ.นครพนม
~ 145 ~
ภาพที่ 80 ม.6 บ.นาราชควาย ต.นาราชควาย อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 81 ม.7 บ.นาราชควาย ต.นาราชควาย อ.เมือง จ.นครพนม
~ 146 ~
ภาพที่ 82 บ.เนินสะอาด ต.นาราชควาย อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 83 ต.ทําค๎อ อ.เมือง จ.นครพนม
~ 147 ~
ภาพที่ 84 บ.หนองจันทร๑ ต.ทําค๎อ อ.เมือง จ.นครพนม
~ 148 ~
ภาพที่ 85 บ.เมืองเกํา ต.ทําค๎อ อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 86 ม.3 บ.ทําค๎อ ต.ทําค๎อ อ.เมือง จ.นครพนม
~ 149 ~
ภาพที่ 87 ม.4 บ.ทําค๎อ ต.ทําค๎อ อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 88 บ.หนองเซา ต.ทําค๎อ อ.เมือง จ.นครพนม
~ 150 ~
ภาพที่ 89 บ.หนองไกํเซํา ต.ทําค๎อ อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 90 บ.ดอนมํวง ต.ทําค๎อ อ.เมือง จ.นครพนม
~ 151 ~
ภาพที่ 91 บ.นาหลวง ต.ทําค๎อ อ.เมือง จ.นครพนม
~ 152 ~
ภาพที่ 92 บ.บุํงเวียน ต.ทําค๎อ อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 93 บ.ดงหมู ต.ทําค๎อ อ.เมือง จ.นครพนม
~ 153 ~
ภาพที่ 94 ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 95 บ.ห๎อม ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม
~ 154 ~
ภาพที่ 96 บ.สําราญเหนือ ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 97 บ.สําราญใต๎ ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม
~ 155 ~
ภาพที่ 98 บ.ไผํล๎อม ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 99 บ.อาจสามารถเหนือ ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม
~ 156 ~
ภาพที่ 100 บ.อาจสามารถ ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 101 บ.ทําควาย ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม
~ 157 ~
ภาพที่ 102 บ.กกต๎อง ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 103 บ.นาสมดี ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม
~ 158 ~
ภาพที่ 104 บ.นาหัวบํอ ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 105 บ.คําเกิ้ม ต.อาจสามารถ อ.เมือง จ.นครพนม
~ 159 ~
ภาพที่ 106 ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 107 บ.หนองดินแดง ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม
~ 160 ~
ภาพที่ 108 บ.โพนสวรรค๑ ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 109 บ.วังไฮ ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม
~ 161 ~
ภาพที่ 110 ม.4 บ.คําเตย ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 111 ม.5 บ.คําเตย ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม
~ 162 ~
ภาพที่ 112 ม.6 บ.คําเตย ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 113 บ.โพนปุาหว๎าน ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม
~ 163 ~
ภาพที่ 114 บ.ทุํงมน ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 115 บ.ดอนแดง ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม
~ 164 ~
ภาพที่ 116 บ.โพนค๎อ ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 117 บ.หนองยาว ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม
~ 165 ~
ภาพที่ 118 บ.หนองกุง ต.คําเตย อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 119 ต.บ๎านกลาง อ.เมือง จ.นครพนม
~ 166 ~
ภาพที่ 120 ม.1 บ.หนาด ต.บ๎านกลาง อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 121 ม.2 บ.หนาด ต.บ๎านกลาง อ.เมือง จ.นครพนม
~ 167 ~
ภาพที่ 122 ม.3 บ.กลาง ต.บ๎านกลาง อ.เมือง จ.นครพนม
~ 168 ~
ภาพที่ 123 ม.4 บ.กลาง ต.บ๎านกลาง อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 124 ม.5 บ.ดงติ้ว ต.บ๎านกลาง อ.เมือง จ.นครพนม
~ 169 ~
ภาพที่ 125 ม.6 บ.ดงติ้ว ต.บ๎านกลาง อ.เมือง จ.นครพนม
ภาพที่ 126 บ.กลางน๎อย ต.บ๎านกลาง อ.เมือง จ.นครพนม
~ 170 ~
ภาพที่ 127 บ.หนาดน๎อย ต.บ๎านกลาง อ.เมือง จ.นครพนม
~ 171 ~ ภาคผนวก ข ภาพวิถชี ีวติ ชาวเมืองนครพนม ปี พ.ศ. 2509-2510
~ 172 ~
ภาพที่ 128 การผลิตเครื่องป๓้นดินเผา เป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนประเภทหนึ่งที่ตําบลบ๎านกลาง อําเภอทําอุเทน ก.พ. 2510 A family home handicraft, pottery industry in tambon ban klang. Amphoe tha uthen. Febbruary 1967.
ภาพที่ 129 ร๎านทําและจําหนํายของใช๎ภายในบ๎าน อ.คําชะอี ม.ค. 2510
A workshop producing and selling household furniture. Amphoe Klamcha-i. January 1967
~ 173 ~
ภาพที่ 130 ผู๎อพยพจากจังหวัดอื่นเข๎าไปในจังหวัดนครพนม ปี พ.ศ. 2498-2503 Percentage of total migrants into nakhon phanom from other changwat 1955-1960
ภาพที่ 131 การรื่นเริงในวันสงกรานต๑ อําเภอเมือง เม.ย. 2510 Townspeople celebrating the songkran festival, amphoe muang, april 1967
~ 174 ~
ภาพที่ 132 สํวนหนึ่งของงานสงกรานต๑ อําเภอเมือง เม.ย. 2510 Part of the shongkran festival celebrations, amphoe muang, april 1976
ภาพที่ 133 ถนนไปสูํใจกลางกิ่งอําเภอดอนตาล ธ.ค. 2509 A street leading to town center, king a. don tan. December 1966
~ 175 ~
ภาพที่ 134 สํวนหนึ่งของถนนสายเอก อําเภอบ๎านแพง ม.ค. 2510 Main street in amphoe ban phaeng, January 1967.
ภาพที่ 135 ถนนสายหนึ่งในกิ่งอําเภอดอนตาล ธ.ค. 2509 Main street, don tan, king amphoe don tan, December 1966
~ 176 ~
ภาพที่ 136 ถนนสายหนึ่งในอําเภอทําอุเทน ธ.ค. 2509 Main street, Tha, uthen, amphoe tha uthen, December 1966
ภาพที่ 137 สถานีรถประจําทาง อําเภอเมือง ธ.ค. 2509 Bus depot, amphoe muang, December 1966.
~ 177 ~
ภาพที่ 138 สํวนหนึ่งของหมูํบ๎าน กิ่งอําเภอดอนตาล ธ.ค. 2509 Village housing, king amphoe don tan, December 1966.
ภาพที่ 139 ร๎านขายยา อําเภอศรีสงคราม ธ.ค. 2509 Drug store, amphoe si songkhram, December 1966.
~ 178 ~
ภาพที่ 140 ร๎านค๎าและร๎านซํอมจักรยาน อําเภอศรีสงคราม ธ.ค. 2509 Store and repair shop, amphoe si songkhram, December, 1966.
ภาพที่ 141 โรงภาพยนตร๑ อําเภอเมือง ธันวาคาม 2509 Movie theatre, amphoe muang, December, 1966.
~ 179 ~
ภาพที่ 142 ร๎านตัดผม ร๎านจําหนํายเครื่องนอน ร๎านจําหนํายรองเท๎า อําเภอเมือง ธันวาคม 2509 Beauty parlor, mattress store, shoe store, amphoe muang, December 1966.
ภาพที่ 143 ร๎านขายอาหาร อําเภอเมือง เมษายน 2510 Outdoor food-stand, amphoe muang, april 1967
~ 180 ~
ภาพที่ 144 ร๎านตัดเสื้อกางเกง อําเภอศรีสงคราม เมษายน 2510 Tailor’s shop, amphoe si songkhram, april, 1967.
ภาพที่ 145 บ๎านหลังหนึ่งในหมูํบ๎าน “บ๎านบัว” อําเภอเมือง กุมภาพันธ๑ 2510 Typical house, ban bua village, amphoe muang, February 1967.
~ 181 ~
ภาพที่ 146 บ๎านหลังหนึ่งในหมูํบ๎าน “บ๎านกลาง” อําเภอทําอุเทน กุมภาพันธ๑ 2510 Typical house, ban klang, amphoe tha uthen, February 1967.
ภาพที่ 147 สํวนหนึ่งของหมูํบ๎านที่บ๎านกลาง อําเภอทําอุเทน กุมภาพันธ๑ 2510 Typical house, ban klang, amphoe tha uthen, February 1967.
~ 182 ~
ภาพที่ 148 บ๎านหลังหนึ่งในหมูํบ๎าน “บ๎านบัว” อําเภอเมือง กุมภาพันธ๑ 2510 Typical house, ban bua village, amphoe muang, February 1967.
ภาพที่ 149 โบสถ๑ในวัดกลาง บ๎านกลาง อําเภอทําอุเทน กุมภาพันธ๑ 2510 A temple in wat klang, ban klang village, amphoe tha uthen, February 1967.
~ 183 ~
ภาพที่ 150 โบสถ๑ในบ๎านบัว อําเภอเมือง กุมภาพันธ๑ 2510 View of a temple in ban bua, amphoe muang, February 1967.
ภาพที่ 151 ภายในบริเวณวัด อําเภอคําชะอี ธันวาคม 2509 A typical scene within a wat in amphoe khamcha-i, December, 1966.
~ 184 ~
ภาพที่ 152 ศาลพระภูมิในหมูํบ๎านอาจสามารถ อําเภอเมือง กุมภาพันธ๑ 2510 Spirit house, at samat village, amphoe muang, February 1967.
ภาพที่ 153 ทางเข๎าวัดโพธิ์ศรี อําเภอคําชะอี ธันวาคม 2509 Entrance to wat phoh si, amphoe khamchi-i, December 1966.
~ 185 ~
ภาพที่ 154 กุฏิในบริเวณวัดที่หมูํบา๎ น “บ๎านกลาง” อําเภอทําอุเทน กุมภาพันธ๑ 2510 Monks’ living quarters, ban klang village, amphoe tha uthen, February 1967.
ภาพที่ 155 พระภิกษุบิณฑบาตในตอนเช๎า อําเภอเมือง มีนาคม 2510 Monks walking to receive offerings of food at dawn, amphoe muang, march 1967.
~ 186 ~
ภาพที่ 156 จํานวนพระภิกษุที่รอรถโดยสารประจําทาง อําเภอศรีสงคราม เมษายน 2510 Group of monks waiting for local bus, amphoe si songkhram, april 1967.
ภาพที่ 157 โบสถ๑คาธอลิก อําเภอทําอุเทน กุมภาพันธ๑ 2510 Catholic church, amphoe tha uthen, February 1967.
~ 187 ~
ภาพที่ 158 ทีท่ าํ การและบ๎านพักของผูส๎ อนศาสนาคาธอลิก อําเภอทําอุเทน กุมภาพันธ๑ 2510 Catholic missionary office and residence, amphoe tha uthen, February 1967
ภาพที่ 159 “หมอลํา” เป็นการละเลํนในงานสงกรานต๑ อําเภอเมือง 2510 “Mohlam” dance in songkhran festival, amphoe muang, april 1967.
~ 188 ~
ภาพที่ 160 โรงพยาบาลนครพนม อําเภอเมือง จังหวัดนครพนม ธันวาคม 2509 Nakhon phanom hospital, amphoe muang, changwat nakhon phanom, December, 1966.
ภาพที่ 161 โรงพยาบาลมุกดาหาร อําเภอมุกดาหาร จังหวัดนครพนม ธันวาคม 2509 Mukdahan hospital, amphoe mukdahan, changwat nakhon phanom, December, 1966.
~ 189 ~
ภาพที่ 162 ทีท่ าํ การอนามัยชัน้ ๒ อําเภอบ๎านแพง จังหวัดนครพนม มกราคม 2510 Second class health center, amphoe ban phaeng, changwat nakhon phanom, January, 1967.
ภาพที่ 163 ทีท่ าํ การอนามัยชั้น ๒ อําเภอมุกดาหาร จังหวัดนครพนม มกราคม 2510 Second class health center, amphoe mukdahan, changwat nakhon phanom, January, 1967.
~ 190 ~
ภาพที่ 164 หนํวยมาลาเรีย อําเภอมุกดาหาร จังหวัดนครพนม ธันวาคม 2509 Malaria center, amphoe mukdahan, changwat nakhon phanom, December, 1966.
ภาพที่ 165 บํอน้ําสาธารณะ กิ่งอําเภอดอนตาล จังหวัดนครพนม ธันวาคม 2509 A public well in king a. don tan, changwat nakhon phanom, December, 1966.
~ 191 ~
ภาพที่ 166 ห๎องอาบน้ําในบริเวณวัดกลาง อําเภอทําอุเทน จังหวัดนครพนม กุมภาพันธ๑ 2510 Typical bath room in wat klang, amphoe tha uthen, nakhon phanom, February, 1967.
ภาพที่ 167 บํอน้ําสาธารณะ อําเภอคําชะอี ธันวาคม 2509 A public well in town square, amphoe khamcha-i, December. 1966.
~ 192 ~
ภาพที่ 168 โรงเรียนมัธยมศึกษา อําเภอเมือง กุมภาพันธ๑ 2510 “Piya maha rachalai school” secondary school, amphoe muang, February, 1967.
ภาพที่ 169 โรงเรียนสตรีมัธยมศึกษา อําเภอเมือง ธันวาคม 2509 Secondary school for girls, amphoe muang, December, 1966.
~ 193 ~
ภาพที่ 170 โรงเรียนประถมศึกษา อําเภอบ๎านแพง มกราคม 2510 Primary school, amphoe ban phaeng, January, 1967.
ภาพที่ 171 โรงเรียนประถมศึกษา อําเภอทําอุเทน กุมภาพันธ๑ 2510 Primary school, amphoe tha uthen, February, 1967.
~ 194 ~
ภาพที่ 172 โรงเรียนศรีเทพ อําเภอเมือง ธันวาคม 2509 Si thep school, amphoe muang, December, 1966.
ภาพที่ 173 โรงเรียนบ๎านมุกดาหาร อําเภอมุกดาหาร ธันวาคม 2509 Ban mukdahan school, amphoe mukdahan, December, 1966.
~ 195 ~
ภาพที่ 174 โรงเรียนน้ําก่ําใต๎ อําเภอธาตุพนม มีนาคม 2510 Open school-room and privies at south nam kam school, amphoe that phanom, march, 1967.
ภาพที่ 175 ห๎องสมุดโรงเรียนน้ําก่าํ ใต๎ อําเภอธาตุพนม มีนาคม 2510 Library at south nam kam school, amphoe that phanom, march, 1967.
~ 196 ~
ภาพที่ 176 ทางเกวียนทิศตะวันตกของ อําเภอทําอุเทน จะเห็นพื้นถนนยกขึ้นสูงกวําระดับพื้นดิน ทําให๎เกิดประโยชน๑อีกประการหนึ่ง คือ เป็นคันกั้นน้ําได๎เป็นอยํางดี กุมภาพันธ๑ 2510 Cart track west of tha uthen. The road is elevated above surrounding land, taking advantage of the narrow levees characteristic of the northern area. February, 1967.
ภาพที่ 177 ขบวนวัวเทียมเกวียนบนถนนสายมุกดาหาร-คําชะอี ถนนเขตเดิมนั้นสํวนมากสร๎างด๎วยการขุดดินจากข๎างถนนขึ้นมาทําเป็น พื้นถนน การขุดดินก็ใช๎เครื่องมือประเภทจอบ เสียม และใช๎ปุูงกี๋ขนดินขึ้นเท การสร๎างเชํนนี้ทําให๎พื้นฐานของถนนไมํดีพอ เพราะเมื่อ ถูกน้าํ แล๎วมักจะแยกเป็นรู ๆ ถนนพืน้ ผิวลูกรังตอนนีอ้ ยูํในสภาพที่ดีมาก แม๎วําบางตอนจะสังเกตเห็นเป็นลูกคลื่นอยูํบ๎างก็ตาม ธันวาคม 2509 Ox carts on the mukdahan-khamcha-i road. Most of the older roads were constructed by borrowing materials from the roadside. Excavation was by hand tools, and placement was by overturning woven baskets. This frequently led to a poorly compacted foundation which tends to honeycomb after saturation. The laterite surface of this section is in excellent condition although some wash-board is noticeable. December, 1966.
~ 197 ~
ภาพที่ 178 การซํอมสร๎างถนนสายมุกดาหาร-คําชะอี การระบายน้ําที่ใช๎ไมํได๎เมื่อถึงฤดูน้ําทํวม และพื้นฐานที่ไมํแนํนหนาทําให๎เกิด ความยุํงยากเรื่องการซํอมสร๎าง ในภาพจะเห็นกองหินลูกรังอยูํริมทาง การซํอมสร๎างสํวนมากมักไมํได๎ขุดเอาสํวนที่อํอนข๎างพื้นผิวถนน ออกเสียกํอน ได๎แตํถมหินลูกรังทับไป จึงต๎องการการซํอมสร๎างอยูํเสมอ เพื่อให๎ระดับถนนสูงกวําระดับน้ําทํวม ธันวาคม 2509 Road improvement between mukdahan-khamcha-i, poor drainage, seasonal flooding, and unstable base create problems in road construction and maintenance. Laterite has been piled, typically, alongside the roadway, to be spread. Often the soft spots are not dug out, but merely covered over, thus maintenance is required continually to maintain the level of roads above noumal flood levels. December, 1966.
ภาพที่ 179 ถนนสายหนึ่งในเขตอําเภอบ๎านแพง อําเภอนี้ไมํมีถนนติดตํอกับจังหวัดนครพนม มกราคม 2509 One of the local roads in amphoe ban phaeng. This amphoe now has no serviceable road connection with nakhon phanom. January 1967.
~ 198 ~
ภาพที่ 180 ทางเดินในกิ่งอําเภอดอนตาล ทางเดินแบบนี้มีอยูํทั่วไปในจั งหวัด และจะเห็นได๎ในแผนที่หรือจากเครื่องบิน ธันวาคม 2509 Footpath in amphoe don tan. This type of footpath is common throughout the changwat, and can be observed on maps or from the air, December 1966.
ภาพที่ 181 อํางเก็บน้ํา บ๎านหนองญาติ อําเภอเมือง มีนาคม 2510 Irrigation tank, ban nong yat, amphoe muang, march 1967.
~ 199 ~
ภาพที่ 182 สภาพถนนชานเมืองนครพนม ระหวํางฤดูฝน Road on outskirts of nakhon phanom during rainy season.
ภาพที่ 183 ถนนออกจากคําชะอี Road leading out of khamcha-i
~ 200 ~
ภาพที่ 184 รถบรรทุกสินค๎า อําเภอเมืองนครพนม กุมภาพันธ๑ 2510 Truck carrying goods to market, amphoe muang, February 1967.
ภาพที่ 185 รถโดยสารประจําทางระหวํางจังหวัดนครพนม-สกลนคร เมษายน 2510 Bus to mukdahan, amphoe muang, changwat nakhon phanom, april, 1967.
~ 201 ~
ภาพที่ 186 รถประจําทางขนสงสินค๎าและผู๎โดยสาร เดินทางระหวํางอําเภอ กุมภาพันธ๑ 2510 Semi-bus serving villages and amphoe, carrying goods as well as passengers, February, 1967.
ภาพที่ 187 สถานีบริการน้ํามัน อําเภอเมือง เมษายน 2510 Gas station, amphoe muang, april, 1967.
~ 202 ~
ภาพที่ 188 อูํซํอมรถ อําเภอเมือง เมษายน 2510 Garage-amphoe muang, april, 1967.
ภาพที่ 189 เรือสินค๎าที่ทําเรือทําอุเทน ทําเทียบเรือตามลําแมํน้ําโขง ดังเห็นในภาพนี้สร๎างขึ้นอยํางงําย ๆ และโดยปกติประกอบด๎วย บันไดทางขึ้นลงชันและแคบ ฝ๓่งแมํน้ํานั้นมีการทําสวนผักระหวํางฤดูแล๎ง Cargo boat at tha uthen landing, landing at the main centers along the Mekong River are simple, and normally reached by narrow and steep stairways. The steep banks are terraced and cultivated with vegetable crops during the dry season, January, 1967.
~ 203 ~
ภาพที่ 190 อํางน้ําชลประทานที่ ต.หนองญาติ ลึกเพียง ๓.๔ เมตร ในยามน้ําขึ้นสูงสุด กุมภาพันธ๑ 2510 Irrigation reservoir, amphoe muang-ban nong yat. This reservoir is only 3.4 meters deep in the rainy season, February 1967.
ภาพที่ 191 วิดน้ําเข๎านา อ.ธาตุพนม ธันวาคม 2509 Irrigation by means of water scoop. Amphoe that phanom, December 1966.
~ 204 ~
ภาพที่ 192 ทางระบายน้ําเพื่อการเพาะปลูกที่ ต.อาจสามารถ อ.เมืองนครพนม มีนาคม 2510 Irrigation ditches and irrigation plots, tambon at samat, amphoe muang. March 1967.
ภาพที่ 193 ที่เพาะปลูกซึ่งมีการชลประทานใกล๎ ต.หนองญาติ อ.เมืองนครพนม กุมภาพันธ๑ 2510 Irrigation land near nong yat, amphoe muang, February 1967.
~ 205 ~
ภาพที่ 194 เรือสูบน้ํากําลังสูบน้ําจากแมํน้ําโขงขึ้นไปสูํตลิ่งที่ ต.อาจสามารถ อ.เมืองนครพนม Irrigation pump barge at tambon at samat, amphoe muang. Water from the Mekong River is pumped to the top of the bank. January 1967.
ภาพที่ 195 ชาวนากําลังไถนา เมษายน 2510 Farmer plowing rice paddy, April, 1967.
~ 206 ~
ภาพที่ 196 ยุ๎งข๎าว Rice storage house.
ภาพที่ 197 เครื่องมือนวดข๎าว อ.เมือง พฤษภาคม 2510 Rice threshing device, amphoe muang, may, 1967.
~ 207 ~
ภาพที่ 198 ชาวนากําลังแสดงวิธีนวดข๎าว อ.เมือง พฤษภาคม 2510 Farmer illustrating hand rice threshing technique, amphoe muang, may, 1967.
ภาพที่ 199 การนวดข๎าวด๎วยมือ อ.ธาตุพนม พฤศจิกายน 2509 Rice threshing by hand. Amphoe That Phanom, November, 1966.
~ 208 ~
ภาพที่ 200 พิธีการนวดข๎าว อ.ธาตุพนม พฤศจิกายน 2509 Rice threshing. Amphoe That Phanom, November, 1966.
ภาพที่ 201 การฝ๓ดข๎าว อ.ธาตุพนม พฤศจิกายน 2509 Winnowing rice. Amphoe That Phanom., November, 1966.
~ 209 ~
ภาพที่ 202 เคียวเกี่ยวข๎าว อ.เมือง พฤษภาคม 2510 Sickle used to cut rice, Amphoe Muang, May, 1967.
ภาพที่ 203 ชาวนากําลังแบกจอบทีท่ ําขึ้นเอง อ.เมือง พฤษภาคม 2510 Famer carrying handmade hoe. Amphoe Muang, May, 1967.
~ 210 ~
ภาพที่ 204 เครื่องมือวิดน้ําเข๎านาซึ่งทําขึ้นเอง อ.เมือง พฤษภาคม 2510 Handmade water scoop used for irrigation, Amphoe Muang, May, 1967.
ภาพที่ 205 คราดที่ทําขึ้นเอง อ.เมือง พฤษภาคม 2510 Handmade harrow, Amphoe Muang, May, 1967.
~ 211 ~
ภาพที่ 206 ชาวนากําลังไถนา ในท๎องนา อ.เมือง เมษายน 2510 Farmer Plowing rice field, Amphoe Muang, Apirl, 1967.
ภาพที่ 207 นาข๎าวในภาพจะมองเห็นต๎นกล๎า Flooded rice paddies showing young rice stalks.
~ 212 ~
ภาพที่ 208 ชาวนากําลังขนข๎าวเปลือกไปสี กิ่ง อ.ดอนตาล ธันวาคม 2509 Villager transporting harvested rice to the mill. King Amphoe Don Tan, December, 1966.
ภาพที่ 209 ชาวนากําลังขนข๎าวไปนวด อ.ธาตุพนม พฤศจิกายน 2509 Villager transporting rice stalks to store for fodder Amphoe That Phanom, November, 1966.
~ 213 ~
ภาพที่ 210 ไรํยาสูบ อ.บ๎านแพง มกราคม 2510 Tobacco plantation, Amphoe Ban Phaeng, January, 1967.
ภาพที่ 211 โรงบํมยาสูบ อ.ธาตุพนม มกราคม 2510 Tobacco drying sheds, Amphoe Tht Phanom, January, 1967.
~ 214 ~
ภาพที่ 212 พวกพืชผักที่ปลูกตามแมํน้ําโขง อ.เมือง มกราคม 2510 Vegetables growing along Mekong River, Amphoe Muang, January, 1967.
ภาพที่ 213 ไรํข๎าวโพด อ.บ๎านแพง มกราคม 2510 Maize field, Amphoe Ban Phaeng, January, 1967.
~ 215 ~
ภาพที่ 214 เกวียนใช๎ควายลากจูง อ.มุกดาหาร ธันวาคม 2509 Water buffalo cart, Amphoe Mukdahan, December, 1966.
ภาพที่ 215 วัวลากเกวียนบรรทุกข๎าว อ.คําชะอี ธันวาคม 2509 Ox cart loaded with rice stalks, Amphoe Khamcha-i, December, 1966.
~ 216 ~
ภาพที่ 216 ขบวนเกวียนเปลําเดินทางกลับบ๎าน อ.คําชะอี ธันวาคม 2509 Ox carts, Amphoe Khamcha-i, December, 1966.
ภาพที่ 217 การไถนา อ.เมือง พฤษภาคม 2510 Water buffalo used as prime mover for plowing, Amphoe Muang, May, 1967.
~ 217 ~
ภาพที่ 218 โพงพางไม๎ไผํ บ๎านไชยบุรี อ.ทําอุเทน มกราคม 2510 Bamboo fishing trap, Ban Chai Buri, Amphoe Tha uthen, January, 1967.
ภาพที่ 219 แพจับปลาทําด๎วยไม๎ไผํ อ.ศรีสงคราม เมษายน 2510 Bamboo fishing raft, Amphoe Si Songkhram, April, 1967.
~ 218 ~
ภาพที่ 220 แพยกยอ แมํน้ําสงคราม อ.ศรีสงคราม เมษายน 2510 Bamboo fishing raft with boom raised in operating position, Songkharm River, Amphoe Si Songkhram, April, 1967.
ภาพที่ 221 การผลิตเครื่องป๓้นดินเผาบ๎านกลาง อ.ทําอุเทน กุมภาพันธ๑ 2510 Pottery Making. Ban Klang Village, Amphoe Tha Uthen, February, 1967.
~ 219 ~
ภาพที่ 222 เตาอบเครื่องป๓้นดินเผาบ๎านกลาง อ.ทําอุเทน กุมภาพันธ๑ 2510 Pottery Kiln. Ban Klang Village, Amphoe Tha Uthen, February, 1967.
ภาพที่ 223 การทอผ๎าฝูาย บ๎านกลาง อ.ทําอุเทน กุมภาพันธ๑ 2510 Cotton cloth weaving. Ban Klang Village Amphoe Tha Uthen, February, 1967.
~ 220 ~
ภาพที่ 224 ชาวบ๎านบัวกําลังสานตะกร๎าขนาดใหญํด๎วยไม๎ไผํ ไม๎ไผํจักตอกมักใช๎สําหรับการผูกมัด กุมภาพันธ๑ 2510 Man of Ban Bua Village starts a large bamboo basket. Split bamboo is frequently used in lashing and bindings. February, 1967.
ภาพที่ 225 เด็ก ๆ ชาวบ๎านกําลังสานตะกร๎า บ๎านบัว อําเภอเมืองนครพนม กุมภาพันธ๑ 2510 Children weaving baskets. Ban Bua, Amphoe Muang, Nakhon Phanom, February, 1967.
~ 221 ~
ภาพที่ 226 กระติบใสํข๎าวเหนียวที่เกือบเสร็จ บ๎านบัว อ.เมืองนครพนม กุมภาพันธ๑ 2510 Finishing touches being placed on a glutinous rice container, Ban Bua Amphoe Muang, February, 1967.
ภาพที่ 227 กระติบใสํข๎าวทีส่ านเสร็จเรียบร๎อยพร๎อมที่จะสํงไปจําหนํายทีต่ ลาดบ๎านบัว อ.เมืองนครพนม กุมภาพันธ๑ 2510 Completed Glutinous rice containers ready for shipment to market. Ban Bua Village, Amphoe Muang Nakhon Phanom, February, 1967.
~ 222 ~
ภาพที่ 228 โรงฆําสัตว๑ อําเภอเมืองนครพนม ธันวาคม 2509 Municipal Slaughter house, Amphoe Muang Nakhon Phanom, December, 1966.
ภาพที่ 229 การทุบกรวด อําเภอเมืองนครพนม มีนาคม 2510 Gravel crushing operations. Amphoe Muang Nakhon Phanom, March 1967.
~ 223 ~
ภาพที่ 230 การทุบกรวด อําเภอเมืองนครพนม มีนาคม 2510 Gravel crushing operations. Amphoe Muang Nakhon Phanom, March 1967.
ภาพที่ 231 โรงเลื่อย อําเภอเมืองนครพนม ธันวาคม 2509 Inside of Nakhon Phanom saw mill. December, 1966.
~ 224 ~
ภาพที่ 232 โรงเลื่อยบ๎านนาโป อําเภอเมืองนครพนม ธันวาคม 2509 Saw mill in Na Po, Amphoe Muang Nakhon Phanom, December, 1966.
ภาพที่ 233 โรงเลื่อย อําเภอเมืองนครพนม ธันวาคม 2509 Large saw mill. Amphoe Muang Nakhon Phanom, December, 1966.
~ 225 ~
ภาพที่ 234 โรงสีข๎าว กิ่งอําเภอดอนตาล ธันวาคม 2509 Rice Mill King. Amphoe Don Tan, December, 1966.
ภาพที่ 235 โรงสีข๎าว บริษัทสหสันต๑นครพนมจํากัด อําเภอเมืองนครพนม ธันวาคม 2509 Large rice mill. Saha Santa Nakhon Phanom Company, Ltd. Amphoe Muang Nakhon Phanom, December, 1966.
~ 226 ~
ภาพที่ 236 โรงสีข๎าวยูเส็ง อําเภอมุกดาหาร เมษายน 2510 Large rice mill. Amphoe Mukdahan, April, 1967.
ภาพที่ 237 โรงสีข๎าวขนาดเล็กตามหมูํบ๎าน บ๎านกลาง อําเภอทําอุเทน กุมภาพันธ๑ 2510 Village rice mill. Ban Klang village, Amphoe Tha Uthen, February, 1967.
~ 227 ~
ภาพที่ 238 เครื่องสีข๎าวขนาดเล็ก บ๎านกลาง อําเภอทําอุเทน กุมภาพันธ๑ 2510 Rice Milling Machine. Ban Klang Village, Amphoe Tha Uthen, February, 1967.
ภาพที่ 239 เครื่องจักรไอน้ําใช๎เป็นพลังงานในโรงสีข๎าว อําเภอธาตุพนม เมษายน 2510 Steam engine used to power rice mill in Amphoe That Phanom, April, 1967.
~ 228 ~
ภาพที่ 240 เครื่องจักรกลโรงสีข๎าวขนาดใหญํ อําเภอมุกดาหาร เมษายน 2510 Rice milling machinery, large rice mill, Amphoe Mukdahan, April, 1967.
ภาพที่ 241 การผลิตปูนขาวบ๎านอาจสามารถ อําเภอเมืองนครพนม กุมภาพันธ๑ 2510 Lime processing operation At Samat Village, Amphoe Muang Nakhon Phanom, February, 1967.
~ 229 ~
ภาพที่ 242 ปูนขาวที่ผลิตสําเร็จแล๎ว บ๎านอาจสามารถ อําเภอเมืองนครพนม กุมภาพันธ๑ 2510 Processed lime in storage hut. At Samat Village, Amphoe Muang Nakhon Phanom, February, 1967.
ภาพที่ 243 ปูนขาวที่สํงมาจากลาว ที่เตรียมจะเอาไปใช๎ในการทําปูนขาว บ๎านอาจสามารถ อําเภอเมืองนครพนม กุมภาพันธ๑ 2510 Limestone transported from Laos, ready for processing. At Samat Village, Amphoe Muang Nakhon Phanom, February, 1967.
~ 230 ~
ภาพที่ 244 ถํานทีเ่ ผาเสร็จแล๎วในโรงเก็บ อําเภอเมืองนครพนม กุมภาพันธ๑ 2510 Processed charcoal in storage hut. Amphoe Muang Nakhon Phanom, February 1967.
ภาพที่ 245 เตาเผาถําน อําเภอเมืองนครพนม กุมภาพันธ๑ 2510 Charcoal kiln. Amphoe Muang Nakhon Phanom, February, 1967.
~ 231 ~
ภาพที่ 246 ภาพถํายระยะใกล๎ของเตาเผาถําน อําเภอเมืองนครพนม กุมภาพันธ๑ 2510 Close-up of charcoal kiln. Amphoe Muang Nakhon Phanom, February, 1967.
ภาพที่ 247 โรงปอ อําเภอธาตุพนม เมษายน 2510 Kanaf processing operation, Amphoe Muang Nakhon Phanom, April, 1967.
~ 232 ~
ภาพที่ 248 โรงกลั่นสุรา อําเภอเมืองนครพนม ธันวาคม 2509 Liquor Distillery, Amphoe Muang Nakhon Phanom, December, 1966.
ภาพที่ 249 เหมืองขุดเกลือ หนองญาติ อําเภอเมืองนครพนม มีนาคม 2510 Salt mining operation, Nong Yat, Amphoe Muang Nakhon Phanom, March, 1967.
~ 233 ~
ภาพที่ 250 เหมืองขุดเกลือ หนองญาติ อําเภอเมืองนครพนม มีนาคม 2510 Salt mining operation, Nong Yat, Amphoe Muang Nakhon Phanom, March, 1967.
ภาพที่ 251 กระบะสําหรับตากเกลือ หนองญาติ อําเภอเมืองนครพนม มีนาคม 2510 Salt evaporation trough, Nong Yat, Amphoe Muang Nakhon Phanom, March, 1967.
~ 234 ~
ภาพที่ 252 โรงเก็บเกลือตําบลหนองญาติ อําเภอเมืองนครพนม มีนาคม 2510 Salt storage hut, Tambon Nong Yat, Amphoe Muang Nakhon Phanom, March, 1967.
ภาพที่ 253 โรงทําอิฐ อําเภอมุกดาหาร ธันวาคม 2509 Brick manufacturing operation, Amphoe Mukdahan, December, 1966.
~ 235 ~
ภาพที่ 254 วิธีการทําอิฐ อําเภอเมือง มีนาคม 2510 Brick manufacturing operation, Amphoe Muang Nakhon Phanom, March, 1967.
ภาพที่ 255 การทําอิฐด๎วยมือ อําเภอเมือง มีนาคม 2510 Hand moldings of bricks, Amphoe Muang Nakhon Phanom, March, 1967.
~ 236 ~
ภาพที่ 256 โรงน้ําแข็ง อําเภอเมืองนครพนม ธันวาคม 2509 Ice Plant, Amphoe Muang Nakhon Phanom, December, 1966.
ภาพที่ 257 โรงกลึง อําเภอเมือง เมษายน 2510 Machine shop, Amphoe Muang, April, 1967.
~ 237 ~
ภาพที่ 258 ภายในโรงกลึง อําเภอมุกดาหาร ธันวาคม 2509 Lathe in operation, Amphoe Mukdahan, December, 1966.
ภาพที่ 259 การสํงข๎าวไปขายยังประเทศลาวโดยทางเรือ อําเภอมุกดาหาร เมษายน 2510 Rice being shipped to Laos, Amphoe Mukdahan, April, 1967.
~ 238 ~
ภาพที่ 260 รถบรรทุกขณะข๎ามแพยนต๑ ระหวํางมุกดาหารและสุวรรณเขต ลาว เมษายน 2510 Truck ferry between Mukdahan and Savanakhet, Loas, April, 1967.
ภาพที่ 261 ร๎านขายเครื่องจักรสาน อําเภอเมืองนครพนม มีนาคม 2510 Basket Shop. Amphoe Muang, Nakhon Phanom, March, 1967.
~ 239 ~
ภาพที่ 262 ร๎านจําหนํายสินค๎าเบ็ดเตล็ด อ.ทําอุเทน มกราคม 2510 General merchandise store. Amphoe Tha Uthen, January, 1967.
ภาพที่ 263 ร๎านเสริมสวย ร๎านขายผ๎านวมและที่นอน และร๎านรองเท๎า อ.เมืองนครพนม มีนาคม 2510 Beauty Shop, Quilt and Mattress Shop, and Shoe maker. Amphoe Muang Nakhon Phanom, March, 1967.
~ 240 ~
ภาพที่ 264 ร๎านขายของตามชนบททั่ว ๆ ไป บ๎านบัว อ.เมืองนครพนม กุมภาพันธ๑ 2510 Typical village shop. Ban bua, Amphoe Muang Nakhon Phanom, February, 1967.
ภาพที่ 265 โรงแรมเล็ก ๆ อ.บ๎านแพง มกราคม 2510 Small hotel. Amphoe Ban Phaeng, January, 1967.
~ 241 ~ ประวัตผิ ู๎วิจยั ชื่อ – นามสกุล หมายเลขบัตรประชาชน ตําแหนํงป๓จจุบัน E – mail โทรศัพท๑มือถือ โทรศัพท๑ที่ทํางาน โทรสาร ที่อยูํ ประวัติการศึกษา
พ.จ.อ.วัลลภ บุญทานัง COP 1 WANLOP BOONTANANG 3401400123136 นักวิจัย สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยนครพนม wanlopee_boon@hotmail.com 086 902 6220 042 587291-2 042-587290 สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยนครพนม 167 หมูํ 8 บ๎านเนินสะอาด ต.นาราชควาย อ.เมือง จ.นครพนม 48000 ปี พ.ศ. 2541 พยาบาลศาสตร๑ระดับต๎น (การพยาบาลและผดุงครรภ๑) โรงเรียนพยาบาล กองการศึกษา กรมแพทย๑ทหารเรือ ปี พ.ศ. 2548 ปริญญาตรี ศิลปศาสตร๑บัณฑิต (ประวัติศาสตร๑) มหาวิทยาลัยรามคําแหง ปี พ.ศ. 2550 ปริญญาตรี ศิลปศาสตร๑บัณฑิต (ปรัชญา) มหาวิทยาลัยรามคําแหง ปี พ.ศ. 2556 ปริญญาโท ศิลปศาสตร๑มหาบัณฑิต (ชนบทศึกษาและการพัฒนา) สํานักบัณฑิตอาสาสมัคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร๑
ดวงดาวโดดเด่น
ย่าเย็นย่างเยือน
รองเรืองรุ่มร้อน
ยอกย้อนยุ่งเหยิง
เยือนเหย้าโย้เย้
โซเซซมซาน
ร้างรานร่าไร
จิตใจจองจ่า
ความค่าคร่าครวญ เห่ให้ห้องหับ
โหยหวนหึงหา ลาลับลางเลือน