PORTFOLIO PHOTOGRAPH X WRITER
I do what I love every day. I did not feel like working anymore.
2013 2015
Try to turn me out!
SATAPORN SATSANAPITAK
S
MODEL : DARIKA RODPHAIPUANG
PHOTOGRAPHY : SATAPORN SATSANAPITAK
SCREAM
PHOTOGRAPHER : SATAPORN SATSANAPITAK ASST.PHOTOGRAPHER : NONTAWAT TANTITAM MODEL : SUDARAT LATULEE NICHANUN SMANARUNRUK
I WROTE IT
ฝนหลงฤดู นี่คงเป็บ นคุ ครัณ้งป้ แรกที ่ทำ�ให้เราเข้ �ว่า “ฝนหลงฤดู เราเจอกั าพยาบาลที ่ไม่าวใจกั ่าเสีบยคำงของฟ้ าฝนจะดัง”แค่ไหนก็ไม่อาจ มันคงเกิด ้นไม่บ ยนั ก ที่อยู่ๆฝนก็เลย โหมกระหน่ำ�เทลงมาในช่วงเที่ยง กลบรอยยิ ้มขึ และเสี ย่อ งหั วเราะของแกได้ ของวั ้อนอบอ้้อาผลไม้ ว เพราะหิวแต่ก็ไม่ลืมที่จะเรียกคนรอบกินกับแก คุณ ป้าทีน่วทีิ่ง่รออกไปซื นี่คป้งเป็ ่งที ่คนเมืองอย่างเราไม่ ได้คาดคิ อน คุณ าที่ทนำ�สิให้ เราสามารถตอบคำ �ถามที ่เกิดขึด้นมาก่ ในสมอง นและนัณ ้นก็หตอนนั มายถึ้นงได้ ้น่เราไม่ ก็หมายถึ การที ยสิ มพร้ อ้อ มรั บมือกับสิ่งที่ต้องเจอ อย่และนั การที างหมดจด ได้เตรีงย มพร้่เอราไม่ มรับได้มืเอตรี กับ ่งที่ต งเจอ ภายใต้ สภาพอากาศอั นเลวร้ ายที ่ได้เจอในตอนนั คงเป็ นเพราะสิ ่งที่สองคนนี ้มีเหมื อนกั นหละมั้งที่ท้นำ�ให้เราสัมผัสถึงความ ่อว่าแทบจะทุ กคนที่ยืนหลบฝนอยู่ริมถนนรอบๆตัวเราก็คงรู้สึก สุขเราเชื ที่พวกเขาส่ งออกมา และมี อารมณ์่งไม่ ่างกันเท่้ม าไรนั คงเป็ นเพราะสิ ทีต ่สองคนนี ีเหมืกอนกันหละมั้งที่ทำ�ให้เค้ายังยิ้มได้ภายใต้ าทอท้ ท้อด่งฟ้ าสีหอม่งฟ้ น า กล่าวโทษหยดน้ำ�ฝนที่ตกไม่รู้เวลา ภายในจิ ตใจเธอคงจะหมองหม่ างที่มี คงเป็ นเพราะสิ ่งที่สองคนนี้มีเหมืนอนกัอารมณ์ นหละมัข ้งองเธอคงจะเทาๆไม่ ที่ทำ�ให้เค้ายอมเสียต สิ่ง บสีท้อ าเท่ าไรนัก ได้กั โดยไม่ ตงฟ้ ้องคิ ดนาน เราว่าพวกเธอคงรู้แล้วใช่ไหมว่าสิ่งที่สองคนนี้มีเหมือนกันคืออะไร ในตอนแรกเราก็คงไม่ต่างจากพวกเธอสักเท่าไร ไม่ได้ทำ�่กในสิ ่งที่ตั้งใจจะออกมาทำ � าย ใช่นั แล้้นวคงเป็ ...มันนคืเพราะเราคงยั อการที่แกไม่ยงอมจอยู ับสภาพแวดล้ อมอันเลวร้ ออกมาก็ มาเจอกั าหยดน้ำ�จากฟากฟ้ ้ยแหละ่ยนมันให้เป็นเรื่อง เราเชื ่อว่าแกคงเชื ่อว่บาเจ้ แกจะสามารถอยู ่กับมัานเนี และเปลี ที่ดแต่ ีได้แล้วความคิดเราก็เปลี่ยนไป อีกอย่างนึงที่แกมีคือการเสีย ไม่ว่าจะเป็นแรงกายหรือรอยยิ้ม มันคือสิ่งที่แกมีและแกก็จ่ายมันออกไปแล้วแกก็ได้มันกลับคืนมา เราเห็นคุณลุงขายก๋วยเตี๋ยวที่สละทั้งแรงกายและรอยยิ้มให้กับทุกคน ที่เข้ามาหลบฝน คุณ ลุงผู้เสียสละชายคาของเพิ ร้า่งนก๋ วของตั ผู้ค จงจ่ ายออกไปซึ ่งสิ่งที่พวกท่ามี ซึ่งสิ นั่นวยิยเตี ่งจ่า๋ยยจะยิ ่งได้วคเองให้ ืน ยิ่งให้ จนได้ ะยิ่งได้ กลัหลบกั บมา น คุณลุงที่ยอมวิ่งฝ่าสายฝนที่เทลงมาไปช่วยคุณป้าขายผลไม้ คุณลุงที่เดินแบกร่มคันใหญ่เดินไปส่งทุกคนยืนรอกลับเข้าไปทำ�งาน ยกโชก สิ่งโดยที นั้นคื่ต อัว...แกเปี “รอยยิ ้ม”
เราเจอกับคุณป้าพยาบาลที่ไม่ว่าเสียงของฟ้าฝนจะดังแค่ไหน ก็ไม่อาจกลบรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของแกได้เลย คุณป้าที่วิ่งออกไปซื้อผลไม้เพราะหิวแต่ก็ไม่ลืมที่จะเรียกคนรอบกินกับแก คุณป้าที่ทำ�ให้เราสามารถตอบคำ�ถามที่เกิดขึ้นในสมอง ณ ตอนนั้นได้อย่าง หมดจด คงเป็นเพราะสิ่งที่สองคนนี้มีเหมือนกันหละมั้งที่ทำ�ให้เราสัมผัสถึงความสุขที่ พวกเขาส่งออกมา คงเป็ น เพราะสิ่ ง ที่ ส องคนนี้ มี เ หมื อ นกั น หละมั้ ง ที่ ทำ � ให้ เ ค้ า ยั ง ยิ้ ม ได้ ภ ายใต้ ท้องฟ้าสีหม่น คงเป็นเพราะสิ่งที่สองคนนี้มีเหมือนกันหละมั้งที่ทำ�ให้เค้ายอมเสียสิ่งที่มีได้ โดยไม่ต้องคิดนาน เราว่าพวกเธอคงรู้แล้วใช่ไหมว่าสิ่งที่สองคนนี้มีเหมือนกันคืออะไร ใช่แล้ว...มันคือการที่แกไม่ยอมจอยู่กับสภาพแวดล้อมอันเลวร้าย เราเชื่อว่าแกคงเชื่อว่าแกจะสามารถอยู่กับมันและเปลี่ยนมันให้เป็นเรื่องที่ดีได้ อีกอย่างนึงที่แกมีคือการเสีย ไม่ว่าจะเป็นแรงกายหรือรอยยิ้ม มันคือสิ่งที่แกมีและแกก็จ่ายมันออกไปแล้วแกก็ได้มันกลับคืนมา จงจ่ายออกไปซึ่งสิ่งที่พวกท่ามี ซึ่งสิ่งนั่นยิ่งจ่ายจะยิ่งได้คืน ยิ่งให้จะยิ่งได้ กลับมา สิ่งนั้นคือ... “รอยยิ้ม”
ที่วิ่งไล่กันอยู่นั้น มันฝันของใคร ของใครกัน หลายๆครั้งเรามักตั้งคำ�ถามว่า จริงๆแล้ คนเราอยู ่ได้ด้ว่ได้ยอะไร จริงวๆแล้ วคนเราอยู ด้วย คำ �ตอยที รามักจะได้ เป็นอย่ างแรกๆก็ คงหนีไค ม่งหนี พ้น ไม่พอาหารหรื อ อะไร คำ�่เตอยที ่เรามัรกับจะได้ รับเป็ นอย่างแรกๆก็ ้น อาหาร ปั จัปั ยจ4 อยูง่ทอยู ี่คนเราอยู ่ได้เพราะปั จจัยจจั4ย ที4่เราจำ �เป็�นเป็ ต้น อต้ งใช้ มัน หรืจอ จัยจริ 4งจริ ่ที่คนเราอยู ่ได้เพราะปั ที่เราจำ องใช้ เพื หล่ เลีอ้ยเลี งร่้ยางร่ งกายให้ อยู่รออดและปลอดภั ย แล้ าเป็ นของ มัน่อเพื ่ออ หล่ างกายให้ ยู่รอดและปลอดภั ย วถ้แล้ วถ้นาในด้ เป็นาในด้ าน นามธรรมหละ คนเราอยู ่ได้ด้ว่ได้ ยอะไร ของนามธรรมหละ คนเราอยู ด้วยอะไร “คนเราอยู่ได้ด้วยความฝัน” มันคงเป็นคำ�พูดเท่ๆที่เราเชื่อว่า หลายคนก็คงจะเคยได้ยินกันมา หรือแม้แต่คำ�ถามเบสิกที่เราใช้ถาม เด็กๆหรือแม้กระทั้งเราเองก็คงจะเคยถูกถามกันทุกคนอย่าง “โตขึ้น อยากเป็นอะไร” คนเป็ นคำ�นถามบอดฮิ ตที่เราเชื ่อว่า่อทุว่กาคนต้ องเคยโดน คนเป็ คำ�ถามบอดฮิ ตที่เราเชื ทุกคนต้ องเคย โดน ถ้าจะให้พูดว่าทำ�ไมคนเราถึงอยู่ได้เพราะความฝัน มันคงเป็จ เพราะว่ ถ้าคุ มีฝันแล้ ว ชี่ได้วเิต คุณจะมีอะไรให้ คุณ ถ้าจะให้ พณ ูดว่อยู าทำ่โ�ดยไม่ ไมคนเราถึ งอยู พราะความฝั น ตื่นมัเต้ นน คงเป็ น จะใช้ อะไรเป็ กดันม ให้ีฝคันุ ณ ขึ้ นจะมี มาตอนเช้ ้น เพราะว่ า ถ้านคุแรงผลั ณอยู่โดยไม่ แล้ลืวม ตาตื ชีวิต่ น คุณ อะไรให้ตาื่นแล้ เต้วนลุ กคุขึณ จากเตี ยงเพืน่อแรงผลั นไปทำ�อะไรสั กอย่ างถ้ ไม่ใช่่ฝ อะไรที่จะปลอบประโลม จะใช้ อะไรเป็ กดันให้ คุณ ลื มาตาตื นัน ขึ้ น มาตอนเช้ า แล้ ว ลุ ก ขึ้น คุ ณในยามที ุณอ่อ�นแอและคอยกระซิ ว่า แกต้ องสู้ แกต้อง จากเตี ยงเพื่อ่คนไปทำ อะไรสักอย่างถ้าไม่บใบอกคุ ช่ฝัน ณ อะไรที ่จะปลอบประโลม อดทนนะ ดีก่ควุ่ณ านัอ่่งอจมลงอยู ่ในความเศร้ าในวันณ ที่ควุ่ณ ไม่เหลื ออะไร คุณในยามที นแอและคอยกระซิ บบอกคุ า แกต้ องสู ้ แกต้อง อดทนนะ ดีกว่านั่งจมลงอยู่ในความเศร้าในวันที่คุณไม่เหลืออะไร หากย้อนกลับไปในครั้งแรกที่เราโดนถามคำ�ถามว่า “โตขึ้น อยากเป็ นอะไร” ตอนนั ้นทำ�้งไมเราไม่ เห็นต้องคิดอะไรมากเลย มั นคง หากย้ อนกลั บไปในครั แรกที่เราโดนถามคำ �ถามว่า “โตขึ ้น เป็ นคำ�ถามที ่เรารูตอนนั ้สึกว่า้น มัทำ น�ไม่ไมเราไม่ ยากเท่เาห็ไรที อยากเป็ นอะไร” นต้่จอะบอกพวกเขาไปว่ งคิดอะไรมากเลยา มันหนู คง อยากเป็ นหมอ เป็้สนึกคุว่ณ ทหาร เป็น พยาบาลหรือแม้การะทั้งเป็ น เป็นคำ�ถามที ่เรารู ามัครู นไม่เป็ยนากเท่ าไรที ่จะบอกพวกเขาไปว่ หนู ซุ ปเปอร์น แมนหรื อแบทแมนตามแต่ ที่สมองจะนึ กออกได้อแม้ ณกระทั ตอนนั อยากเป็ หมอ เป็ นคุณครู เป็นทหาร เป็นพยาบาลหรื ้งเป็้น แต่ อเวลาผ่ านไป ทำ�ไมคำ�ถามเดี วกันนี้ถึงกดู ยากขึ้น ณทำ�ตอนนั ไมเราใช้ ซุปพ เปอร์ แมนหรื อแบทแมนตามแต่ ที่สยมองจะนึ ออกได้ ้น เวลาคิ ดเยอะขึานไป ้นเวลาที แต่พอเวลาผ่ ทำ่เ�ราจะตอบคำ ไมคำ�ถามเดี�ถามนี ยวกัน้ นี้ถมัึงนดูเพราะอะไร ยากขึ้น ทำ�ใครคาด ไมเราใช้ หลั งอะไรบนความฝั นเราหรื อป่าว �ถามนี มีใครตอบตั วเองได้บ้างไหมว่ าที่ เวลาคิ ดเยอะขึ้นเวลาที ่เราจะตอบคำ ้ มันเพราะอะไร ใครคาด ทุ กงวัอะไรบนความฝั นนี้คุณวิ่งตามความฝั ณวิ่งตามความฝั ของคุาณ หลั นเราหรืนออยู ป่า่น ว ั้น มีใคุ ครตอบตั วเองได้บ้านงไหมว่ ที่ หรื ่งตามความฝั นของใคร ทุกอวัคุ นณ นี้ควิุณ วิ่งตามความฝั นอยู่นั้น คุณวิ่งตามความฝันของคุณ หรือคุณวิ่งตามความฝันของใคร
นักเขียนแบบไหนนะ ที่ฉันฝันไว้ ถ้ า ถามตั ว เองว่ า เรามี ภ าพฝั น ในอาชี พ นั ก เขี ย นเป็ น แบบไหน ภาพแรกที่โผล่เข้ามาในห้วงความคิดของเรา มันคงเป็นภาพที่เรา นั่งเอนกายหลังพิงอยู่บนเก้าอี้สักตัว พร้อมสมุดเล่มเล็กๆในมือ และ ปากกาดำ�แท่งโปรด พันธนาการตัวเองอยู่ตรงนั้นไม่ไปไหนด้วยดำ� ตอบของข้อสงสัยต่างๆที่เคยเป็นคำ�ถามวนเวียนอยู่ในหัว ถ่ายทอด มันออกไปอย่างที่มันความจะเป็น ให้จริงที่สุดเท่าที่มันจะเป็นได้ แล้ว บำ�เรอตัวเองด้วยชาเย็นสักแก้วเพื่อให้สมองได้รับน้ำ�ตาลเป็นรางวัล ตอบแทน หากจะให้เรานิยามงานเขียนของเราว่าเป็นอย่างไร เราคงนิบาม มันได้ด้วยคำ�สั้นๆว่า มันคือป็นการคุยกับตัวเอง คุยกับฉันอีกคนนึง ที่เต็มไปด้วยความสงสัย ใคร่รู้ ขัดแย้งกันในตัวเองอย่างสุดๆ ให้เรา สองคนในร่างเดียวกันนี้ได้ถกเถียงกัน ได้ทะเลาะกันทางความคิด จน หาสิ่งที่ดีที่สุดในปัญหานั้นๆมาตอบกับตัวเรา เราไม่ได้บอกว่าสิ่งที่คิดนั้นถูกที่สุด ดีที่สุดหรือใช่ที่สุดสำ�หรับ ทุกคน แต่มันคือสิ่งที่เราคิดแล้วว่ามันดีที่สุดสำ�หรับเราที่จะตอบกับ ตัวเอง และเพื่อแพร่ออกไปบอกกับใครๆได้บ้างว่า ความคิดแบบเรา อาจจะเป็นคำ�ตอบให้กับข้อสงสัยของคุณแบบที่เราเคยสงสัยก็ได้ เรามองว่านักเขียนในแบบของเรา ก็คงไม่ได้ต่างอะไรกับศิลปิน ที่วาดรูปหรือประพันธ์บทเพลงขึ้นมาสักหนึ่งบทเพลง เพื่อที่จะเล่า ในสิ่งที่ตนเองคิด สำ�หรับเรามันก็เป็นเครื่องมือหนึ่งในการสื่อสาน ความคิด ความเชื่อและสิ่งที่เราประสบออกไปจากภายในสมองของ เรา โดยหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่นบ้าง อย่างน้อยถ้าหนึ่ง ประโยคจากความคิ ด ของเราเผื่ อ มั น จะเป็ น ประโยชน์ แ ล้ ว ทำ � ให้ เ ขา ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้บ้าง
เราจะสามารถอยู่คนเดียวได้ไหม หลายครั้งฉันเฝ้าบอกตัวเองมาโดยตลอดว่า ฉันอยู่คนเดียวได้หนิ ฉันไม่เห็นว่ามันจะยากอะไรกับอิแค่การอยู่คนเดียว หลายๆครั้งฉันนั่งงงกับคนที่ติดเพื่อน กับเพื่อนที่ติดแฟนว่าเห้ยอะไรมันจะขนาดนั้นว่ะ “ตอนอยู่ในท้องแม่ก็อยู่คนเดียวได้หนิหว่าไม่เห็นจะบ่นเหงา ออกมาก็ออกมาคนเดียวไม่เห็นมีใครออกมาด้วย อยู่คนเดียวแค่นี้ทำ�ไม่ได้หรือไงว่ะ” ฉันพร่ำ�บอกกับตัวเองแบบนี้มาโดยตลอด ทั้งๆที่ฉันก็ยังเชื่อว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม ไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวคนเดียวได้หรอก ฟังดูอาจจะงงๆ “ฉันหมายถึงว่าเราไม่เห็นจำ�เป็นต้องยึดติดกับตัวบุคคล หรือความสัมพันธ์รูปแบบใดๆสักรูปแบบเลยก็ได้หนิ” ยกเว้นครอบครัวอะนะที่เราไม่สามารถตัดขาดกันได้ จนวันนึงที่ฉันลองไม่เป็นสัตว์สังคมเลยจริงๆ ไม่มีปฎิสัมพันธ์กับใคร แม้ว่าฉันจะถูกรายล้อมด้วยผู้คนมากมาย รอบกายฉันดูวุ่นวาย ตัวฉันเองสงบนิ่ง จมหายอยู่กับตัวเอง ลึกลงไป แล้วฉันก็ตอบคำ�ถามตัวเองได้ว่า ฉันอยุ่แบบนี้ไม่ได้จริงๆ
THANK YOU SATAPORN SATSANAPITAK +6680 445 0404 s.satsanapitak@gmail.com