1
CITIZEN REPORTERS มิติใหม่ในยุค CONVERGENCE
จัดท�ำโดย
1. นาย ทศพล ตุงคะเสน 1550307860 2. นาย อัครเดช วิเวโก 1550308074 3. นางสาว นาตยา รัตนมณี 1550303760 4. นางสาว อภิสรา ก�ำศร 1550312837 5. นางสาว ช้องมาศ วิกรมเกษม 1550312787 6. นางสาว รจน์รพี พุกชาญค้า 1550312068 7. นางสาว ปริม ไกรยูรเสน 1550306169 8. นางสาว จิดาภา กล่อมวาจา 1550300253 9. นาย อานนท์ ปักครึก 1550305195 10. นางสาว ชนานันท์ บุพนิมิตร 1550317414 11. เยาวรินทร์ วงศ์เทียนทอง 1550323834
เสนอ อาจารย์ ณรงค์ศักดิ์ ศรีทานันท์ เป็นส่วนหนึ่งของวิชา COM107 : Mass Media & Society คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ
2
ค�ำน�ำ
ค�ำน�ำ ในยุคการสื่อสารปัจจุบันมีช่องทางในการน�ำเสนอข่าวสารหลากหลายมากขึ้นเพื่อความเข้าถึงของ ผูร้ บั สาร ซึง่ จากเดิมสือ่ เก่าเช่น หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ ทีเ่ ป็นช่องทางการสือ่ สารในรูปแบบ one-way ผลิตโดยผู้สื่อข่าววิชาชีพที่ค่อนข้างเที่ยงตรงอยู่ในจรรยาบรรณและตรวจสอบได้ แต่มีข้อเสียนั่นคือค่อน ข้างมีความล่าช้าในการน�ำเสนอข่าวสาร ปัจจุบนั สือ่ อินเตอร์เน็ตมีบทบาทในสังคมไทยเป็นอย่างมาก เนือ่ ง ด้วยการบริการของโซเชียลมีเดียที่หลายหน่วยงานพยายามท�ำให้ประชาชนสามารถเข้าถึงได้ง่าย ส่งผล ให้การติดต่อสือ่ สารข้อมูลข่าวสารระหว่างบุคคลหรือองค์กรทาได้สะดวกและรวดเร็วมากยิง่ ขึน้ สถิตลิ า่ สุด จากบริษัท Zocial Inc.ได้เผยข้อมูลเกี่ยวกับการใช้สื่อโซเชียลมีเดียในปีที่ผ่านมาประชาชนคนไทยใช้ Facebook 28 ล้านคน ใช้ Twitter 4.5 ล้านคน ใช้Instagram 1.7 ล้านคน รวมถึงการเข้าดูYoutube ของคนไทยที่เข้าชมร่วม ล้านชั่วโมงต่อวัน พฤติกรรมของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยส่วนใหญ่เริ่มเข้า สู่เครือข่ายทางสังคม มีการติดต่อและสร้างความสัมพันธ์กับบุคลในโลกออนไลน์ผ่านทางชุมชนออนไลน์ ที่มีลักษณะเป็นสังคมเสมือน ท�ำให้ผู้คนสามารถรู้จัก พูดคุย แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร และสามารถเชื่อม โยงกันได้อย่างรวดเร็วและตลอดเวลาผ่านสื่อสังคมออนไลน์ อีกทั้งคุณสมบัติของเครือข่ายออนไลน์ที่มี ลักษณะเป็นชุมชน สามารถกระจายข้อมูลข่าวสารได้อย่างรวดเร็วกว่าสื่อที่มีอยู่ทั่วไป ซึ่งข้อมูลข่าวสาร เหล่านีส้ ามารถสือ่ สะท้อนได้ถงึ ความสนใจและความคิดเห็นของผูค้ นในสังคมออนไลน์ทมี่ ตี อ่ เหตุการณ์ใน สังคมแต่ละช่วงเวลา ทัง้ นีผ้ ศู้ กึ ษาจึงได้รวบรวมสาระเกีย่ วกับการสือ่ สาร วิวฒ ั นาการ พัฒนาการของการสือ่ สาร การเขียน ข่าวในรูปแบบต่างๆ และรวมถึงประเด็นหลักคือ นักั ข่าวพลเมือง เพือ่ ให้ผทู้ สี่ นใจได้ศกึ ษาและเป็นประโยชน์ ต่อการศึกษาในศาสตร์ของการสื่อสาร รวมถึงทัศนคติของผู้ที่เป็นนักข่าววิชาชีพ ท้ายนีค้ ณะผูจ้ ดั ท�ำหวังเป็นอย่างยิง่ ว่า รายงานฉบับนีจ้ ะเป็นประโยชน์ไม่มากก็นอ้ ยส�ำหรับผูท้ สี่ นใจ ศึกษาในเรือ่ งของการสือ่ สาร และนักข่าวพลเมือง โดยผูจ้ ดั ท�ำคาดว่าจะเป็นส่วนหนึง่ ในการขับเคลือ่ นการ สื่อสาร และวงการสื่อมวลชนได้ และหากมีข้อผิดพลาดประการใด ขอน้อมรับค�ำติชม เพื่อน�ำไปปรับปรุง ในการท�ำรายงานครั้งต่อไป คณะผู้จัดท�ำ 13 เมษายน 2558
3
สC
ารบัญ | ontents
5 บทน�ำ ทฤษฎีเกี่ยวกับการสื่อสาร9 39 ทฤษฎีเกี่ยวกับการท�ำข่าว สื่อใหม่ 56 63 นักข่าวพลเมือง จรรยาบรรณผู้สื่อข่าว 84 96 กฎหมายสื่อ สัมภาษณ์คนท�ำข่าว101 108 สิ่งที่ได้รับ บรรณานุกรม113 4
“ใครๆก็สามารถรายงานข่าวได้” 5
บทน�ำ
บทน�ำ ใ
นสังคมปัจจุบันนั้นเปรียบได้ว่าการสื่อสารบนโลกออนไลน์มีอัตราการใช้งานเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สังเกตได้ จากจ�ำนวนของผู้ใช้งานเว็บไซต์สังคมออนไลน์เฟซบุ๊ค (Facebook) ที่มีผู้ใช้งานเกินกว่า 800 ล้านคน ทั่วโลก ทวิตเตอร์ (Twitter) มีผู้ใช้งานมากกว่า250 ล้านคนทั่วโลก และเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาก้าวหน้าขึ้น ส่งผลให้เกิดเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัยมากขึ้น อาทิเช่น สมาร์ทโฟน (Smartphone) แท็บเล็ต (Tablet) เป็นต้น ซึง่ เครือ่ งมือสือ่ สารยิง่ ทันสมัยมากแค่ไหน ก็ยงิ่ ท�ำให้การสือ่ สารบนโลกออนไลน์สะดวกรวดเร็วมาก ขึ้นเครื่องมือสื่อสารมีการพัฒนามาเรื่อย ๆ จนเรียกได้ว่าเป็น โซเชียลมีเดีย (Social Media) เพราะสร้าง ให้เกิดโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่มนุษย์ติดต่อสื่อสารกันด้วย เทคโนโลยีอันทันสมัยต่าง ๆ ซึ่งเกิดเป็นการสื่อสารสองทางที่ฉับไว สู่การแบ่งปันข้อมูลทุกประเภทอย่าง รวดเร็วเครือข่ายสังคมออนไลน์ทอี่ าศัยโซเชียลมีเดียนัน้ ยิง่ ทวีบทบาทส�ำคัญในการสือ่ สารแลกเปลีย่ นข้อมูล มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อสังคมต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตสภาพแวดล้อมในสังคมมีการเปลี่ยนแปลง หรือเกิด ความขัดแย้งระดับสูงขึ้นในสังคมสภาวการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวนั้น ล้วนแต่เป็นสาเหตุที่ท�ำให้ผู้คนในสังคม ต้องการข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็วทันเหตุการณ์ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าส�ำนักข่าวหลายๆ เจ้าทั้งไทยและต่าง ประเทศก็เริ่มให้ความส�ำคัญกับการน�ำเสนอข่าวผ่านสังคมออนไลน์กันมากขึ้นฉะนั้น โซเชียลมีเดียที่มี คุณสมบัติทั้งความสะดวกและรวดเร็วในการติดต่อสื่อสาร จึงเข้ามามีบทบาทส�ำคัญ กระทั่งกลายเป็นทาง เลือกใหม่ของนักข่าวในการน�ำเสนอข้อมูลสูป่ ระชาชน เพราะนอกจากจะสะดวกและรวดเร็วในการใช้งาน แล้ว ยังสามารถสร้างปฏิสมั พันธ์ระหว่างผูส้ ง่ สารและผูร้ บั สาร ท�ำให้การรายงานข่าวมีมมุ มองทีห่ ลากหลาย มากขึ้น อย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าโซเชียลมีเดียที่มีความโดดเด่นในเรื่องความรวดเร็วของการน�ำเสนอ เหตุการณ์เพื่อตอบสนองความต้องการข้อมูลข่าวสารของผู้คนได้อย่างทันท่วงที แต่ในขณะเดียวกันนั้นก็ ยังมีข้อบกพร่องทั้งในเรื่องความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของข้อมูลเช่นกัน ‘นักข่าวพลเมือง’ คือ ปรากฏการณ์ที่ประชาชนจากหลายกลุ่ม หันมาจับกล้องสวมบทบาทเป็นนัก ข่าว บอกเล่าเรื่องราวในท้องถิ่นของตน แนวคิดนี้ซึ่งก�ำลังอยู่ในกระแสความสนใจ โดยมีการขยายแนวคิด นี้ไปยังภูมิภาคต่างๆ ให้คนธรรมดาที่สนใจได้เปลี่ยนบทบาทเป็นนักข่าวพลเมือง ด้วยเหตุนี้จึงท�ำให้เกิดความสนใจที่จะศึกษาในเรื่องของการน�ำเสนอข้อมูลข่าวสารที่เกิดขึ้นผ่านสื่อ โซเชียลมีเดียโดยผู้ที่เผยแพร่เป็นเพียงประชาชนทั่วไป ในประเทศไทย จะน�ำมาซึ่งความเข้าใจเกี่ยวกับ ข้อมูลทั่วไปและเนื้อหาของข้อมูลข่าวสารที่สอดแทรกในเฟสบุ๊คแฟนเพจ ซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ส�ำคัญยิ่ง ของสาร ที่ผู้ใช้บริการเฟสบุ๊คแฟนเพจได้รับรู้เป็นประจ�ำจากโลกสังคมออนไลน์ในยุคปัจจุบัน ด้วยเหตุผล เหล่านี้ท�ำให้ผู้รับสารหันมาบริโภคข่าวทางด้าน สื่อโซเชียลมีเดีย กันมากขึ้น แต่ด้วยความรวดเร็ว เข้าถึง
6
บทน�ำ ง่ายและแพร่หลายท�ำให้การควบคุมความถูกต้องเหมาะสมและยึดจรรยาบรรณของผูส้ อื่ ข่าวลดลงไปด้วย โดยมีค�ำพูดที่ว่า ‘ใครๆ ก็เป็นนักข่าวได้’ เริ่มมีความเป็นจริงในยุคสมัยปัจจุบัน ด้วยความที่อุปกรณ์การ สื่อสารทุกวันนี้ถูกออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้หลากหลายหน้าที่ และสามารถพกพาติดตัวได้ตลอด ประกอบกั บ ทิ ศ ทางของข่ า วในกระแสหลั ก นั่ น คื อ ข่ า วสารที่ เ ผยแพร่ ต ามสื่ อ เดิ ม เช่ น โทรทั ศ น์ ห รื อ หนังสือพิมพ์ มักจะน�ำเสนอเพียงด้านเดียว ข่าวของคนธรรมดาหรือเรื่องเล่าจากชุมชน จึงไม่ถูกน�ำเสนอ มากนัก วัตถุประสงค์ 1.เพื่อศึกษาการเปลี่ยนแปลงของการน�ำเสนอข่าวในโลกปัจจุบัน 2.เพื่อศึกษาเกี่ยวกับทฤษฏีต่างๆในด้านการสื่อสารและการน�ำเสนอข่าวสาร 3.เพื่อศึกษาทัศนคติของผู้ที่ร่วมบริโภคข่าวสารภาพสื่อโซเชียลมีเดียร์ 4.เพื่อศึกษาเกี่ยวกับจรรยาบรรณและการควบคุมสื่อในการน�ำเสนอข้อมูลข่าวสาร ประโยชน์ที่ได้รับ 1.ได้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของการน�ำเสนอข่าวในโลกปัจจุบัน 2.ได้ทราบเกี่ยวกับทฤษฏีต่างๆในด้านการสื่อสารและการน�ำเสนอข่าวสาร 3.ได้ทราบทัศนคติของผู้ที่ร่วมบริโภคข่าวสารภาพสื่อโซเชียลมีเดียร์ 4.ได้ทราบเกี่ยวกับจรรยาบรรณและการควบคุมสื่อในการน�ำเสนอข้อมูลข่าวสาร
7
แนวคิดและทฤษฏี 8
ทฤษฎีการสื่อสาร
ทฤษฏีเกี่ยวกับการสื่อสาร “การสื่อสาร” ตรงกับค�ำในภาษาอังกฤษว่า “Communication” ซึ่งได้มีผู้ ให้ความหมายไว้ต่าง ๆ กัน ดังนี้ จอร์จ เอ มิลเลอร์ (George A. Miller) กล่าวว่า “การสื่อสาร หมายถึงการถ่ายทอดข่าวสารจากที่หนึ่ง ไปยังอีกที่หนึ่ง” คาร์ลไอ โฮฟแลนด์ (Carl I. Hoveland) และคณะให้ความเห็นว่า”การสือ่ สาร คือกระบวนการทีบ่ คุ คล หนึ่ง (ผู้ส่งสาร) ส่งสิ่งเร้า (โดยปกติจะเป็นภาษาพูดหรือภาษาเขียน) เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรมของบุคคลอื่น ๆ (ผู้รับ สาร) วอร์เรน ดับเบิลยู วีเวอร์ (Warren W. Weaver) ให้ค�ำอธิบายเกี่ยวกับการสื่อสารว่า “การสื่อสารมี ความหมายกว้าง ครอบคลุมถึงกระบวนการทุกอย่างที่จิตใจของคน ๆ หนึ่ง อาจมีผลต่อจิตใจของคนอีกคนหนึ่ง การสื่อสารจึงไม่หมายความแต่เพียงการเขียนและการพูดเท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึงดนตรี ภาพ การแสดง บัล เล่ต์ และพฤติกรรมทุกพฤติกรรมของมนุษย์อีกด้วย” เจอร์เกน รอยซ์ และเกรกอรี เบทสัน (Jurgen Ruesch and Gregory Bateson) ให้ความเห็นว่า “การสื่อสารไม่ได้หมายถึงการถ่ายทอดสารด้วยภาษาพูดและภาษาเขียนที่ชัดแจ้งและแสดงเจตนารมณ์เท่านั้น แต่การสื่อสารยังรวมไปถึงกระบวนการทั้งหลายที่คนมีอิทธิพลต่อกันด้วย ซึ่งค�ำนิยามนี้ยึดหลักที่ว่าการกระท�ำ และเหตุการณ์ทงั้ หลาย มีลกั ษณะเป็นการสือ่ สาร หากมีผเู้ ข้าใจการกระท�ำและเหตุการณ์เหล่านัน้ นัน่ ก็หมายความ ว่าความเข้าใจที่เกิดขึ้นแก่คน ๆ หนึ่งนั้นได้เปลี่ยนแปลงข่าวสารที่คน ๆ นั้นมีอยู่และมีอิทธิพลต่อบุคคลผู้นั้น” วิลเบอร์ ชแรมม์ (Wilbur Schramm) อธิบายว่า “การสือ่ สารคือการมีความเข้าใจร่วมกันต่อเครือ่ งหมาย ที่แสดงข่าวสาร (information signs) ชาร์ลส์ อี ออสกูด (Charles E. Osgood) กล่าวว่า “ความหมายโดยทั่วไปการสื่อสารจะเกิดขึ้นเมื่อฝ่าย หนึ่ง คือ ผู้ส่งสาร มีอิทธิพลต่ออีกฝ่ายหนึ่ง คือ ผู้รับสารโดยใช้สัญญลักษณ์ต่าง ๆ ซึ่งถูกส่งผ่านสื่อที่เชื่อมระหว่าง สองฝ่าย” เอเวอเร็ต เอ็ม โรเจอร์ส และเอฟ ฟลอยด์ ชูเมคเกอร์ (Everett M.Rogersand F. Floyd Shoemaker) ให้ความหมายว่า “การสื่อสาร คือ กระบวนการซึ่งสารถูกส่งจากผู้ส่งสารไปยังผู้รับสาร”บางท่านก็ว่า “การสื่อสาร” คือ การมีส่วนร่วมในข่าวสารร่วมกันระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร ส่วนจอร์จ เกิร์บเนอร์ ให้ความ หมายของการสือ่ สารไว้วา่ “การสือ่ สาร คือกระบวนการทีผ่ สู้ ง่ สารและผูร้ บั สารมีปฏิสมั พันธ์กนั ในสภาพแวดล้อม ทางสังคมเฉพาะ” จากความหมายข้างต้น จะเห็นได้วา่ สิง่ หนึง่ ทีค่ วามหมายเหล่านีม้ รี ว่ มกันก็คอื การสือ่ สารของมนุษย์ตงั้ แต่ อยู่บนหลักของความสัมพันธ์ (relationship) กล่าวคือในการสื่อสารนั้นจะต้องมีผู้เกี่ยวข้องอยู่ 2 ฝ่าย โดยฝ่าย หนึ่งท�ำหน้าที่เป็นผู้ส่งสาร และอีกฝ่าย หนึ่งท�ำหน้าที่เป็นผู้รับสาร ซึ่งทั้งสองฝ่ายมีความเกี่ยวกันหรือสัมพันธ์กัน 9
ทฤษฎีการสื่อสาร โดยสรุป “การสื่อสาร คือ กระบวนการของการถ่ายทอดสาร (message) จากบุคคลฝ่ายหนึ่งซึ่งเรียกว่า ผู้ส่งสาร (source) ไปยังบุคคลอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า ผู้รับสาร (receiver) โดยผ่านสื่อ (channel)”แต่ถ้าหากเรามามอ งกันในอีกมุมมองหนึ่ง ที่มองว่าการสื่อสารระหว่างมนุษย์ ไม่ใช่เป็นเพียงการส่งสารเพื่อก่อให้เกิดผลตาม เจตนารมณ์ของผูส้ ง่ สารตามความหมายทีม่ กั ใช้กนั อยูโ่ ดยทัว่ ไปเท่านัน้ แต่การสือ่ สารยังหมายความรวมไปถึงการ รับสารปฏิกิริยาตอบกลับ หรือ feedback นอกจากนั้นก็ยังรวมถึงอันตรกิริยา หรือปฏิกิริยาที่มีต่อกันระหว่างผู้ สื่อสารทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งฝ่ายผู้ส่งสารและฝ่ายผู้รับสาร ปฏิกิริยาที่มีต่อกันนี้เรียกว่า Interaction ปฏิกิริยาที่มีต่อกัน นี้จะเป็นตัวน�ำไปสู่ความรู้ความเข้าใจร่วมกันในเรื่องของความหมาย (meaning) อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลาย ๆ อย่าง ดังนั้นการสื่อสารในความหมายนี้จึงนับเป็นกระบวนการ 2 วิถี หรือ Two - way Communication อยู่ ในตัวของมันเอง เสมือนหนึ่งเป็นวงจรของความสัมพันธ์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อแลกเปลี่ยนความหมายที่มีอยู่ในสมอง ของบุคคลที่สื่อสารกัน (ติดต่อกัน) วงจรอันนี้อาจจะเกิดขึ้นเพียงวงจรเดียวก็ได้ ถ้าหากบุคคลที่ท�ำการสื่อสารกัน นั้นมีความสนิทสนมชิดเชื้อกันมาก รู้ใจซึ่งกันและกัน หรือมีความสัมพันธ์ส่วนตัวอย่างใกล้ชิด เช่น สามี - ภรรยา พ่อแม่ญาติพี่น้อง เพื่อนสนิท คู่รัก บุคคล เหล่านี้เวลาท�ำการสื่อสารกัน วงจรของการแลกเปลี่ยนความหมายที่มี อยู่ในสมองอาจจะเกิดขึ้นเพียงวงจรเดียว เช่น ช. กับ น. เป็นสามีภรรยากัน อยู่มาวันหนึ่งตอนเย็น ช. ก็พูดกับน. ว่า “วันนี้ออกไปกินข้าวนอกบ้านกันเถอะ” ซึ่ง น. ก็สามารถแปลความหมายได้ทันทีและอาจตอบกลับไปอย่าง รวดเร็วว่า “ดีจังเลยพี่” หรือ น. อาจจะไม่พูดแต่ใช้อากัปกิริยาตอบกลับไป เช่น ส่งสายตาเป็นท�ำนองดีใจและ ขอบคุณ หรือหอมแก้ม ช. 1 ฟอด แสดงความขอบคุณ อันนี้วงจรก็จะเกิดขึ้นเพียงวงจรเดียว (ซึ่งกรณีแบบนี้อาจ เกิดขึน้ บ่อยจน น. ไม่ตอ้ งถามกลับแล้วก็ได้วา่ ท�ำไม) แต่ถา้ หาก น. โต้ตอบกลับไปด้วยค�ำพูดทีว่ า่ “เนือ่ งในโอกาส พิเศษอะไรหรือพี่” ก็จะท�ำให้มีการโต้ตอบแลกเปลี่ยนความหมายที่มีอยู่ในสมองของบุคคล 2 คนแล้วกลายเป็น วงจร 2 วงจรเกิดขึ้น โดย ช. อาจจะตอบกลับว่า “วันนี้พี่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการ เราไปฉลองกันเถอะ”
10
ทฤษฎีการสื่อสาร ทฤษฎีการสื่อสาร
ทฤษฎีการสื่อสาร คือ การอธิบายการสื่อสารในด้านความหมาย กระบวนการองค์ประกอบ วิธีการ บทบาทหน้าที่ ผล อิทธิพล การใช้ การควบคุม แนวคิดของศาสตร์ต่าง ๆ แนวโน้มอนาคต และปรากฏการณ์ เกี่ยวกับการสื่อสาร แต่การอธิบายต้องมีการอ้างอิงอย่างมีเหตุผลที่ได้จากหลักฐาน เอกสาร หรือปากค�ำของ มนุษย์เราแปลค�ำนีม้ าจากภาษาอังกฤษทีว่ า่ communication theory ซึง่ มีความหมายครอบคลุมกว้างขวาง รวมไปถึง theory of communication (ทฤษฎีของการสื่อสาร) theories in communication (ทฤษฎีใน การสื่อสาร) theories for communication (ทฤษฎีเพื่อการสื่อสาร) และ theories about communication (ทฤษฎีเกี่ยวกับการสื่อสาร)
ทฤษฎีเพื่อการสื่อสาร
เกิดขึ้นมานานก่อนที่จะมีการศึกษาในสาขาวิชานิเทศศาสตร์ เริ่มด้วยปรัชญาพุทธและปรัชญากรีก ที่ ว่าด้วยการคิดและการพูด หลักวิธีการเผยแพร่ศรัทธาของศาสนาคริสต์ ทฤษฎีเศรษฐกิจการเมืองต่าง ๆ ว่า ด้วยเสรีภาพของการแสดงออกตั้งแต่ก่อนการปฏิวัติฝรั่งเศส ทฤษฎีทางการแพทย์และสรีรวิทยาที่ว่าด้วย ประสาทกับการรับสารและสมรรถภาพในการส่งสารของมนุษย์ ทฤษฎีจติ วิเคราะห์และจิตบ�ำบัดของฟรอยด์ รวมไปถึงหลักและทฤษฎีต่าง ๆ ว่าด้วยภาษา สังคม และวัฒนธรรม ล้วนแล้วแต่เป็นทฤษฎีของสาขาต่าง ๆ ที่ท�ำหน้าที่เป็นทฤษฎีแนวปฏิบัติ เพื่อการสื่อสารภายในบุคคล ระหว่างบุคคล การสื่อสารในกลุ่มหรือการ สื่อสารในสังคมใหญ่ แม้แต่ภายในสาขานิเทศศาสตร์ก่อนที่จะมีการสถาปนาเป็นสาขาการศึกษาในยุโรปและ อเมริกาตอนต้นศตวรรษที่ 20ความรูท้ ไี่ ด้มาจากการปฏิบตั งิ านวิชาชีพวารสารศาสตร์ ก็ยงั มีบทบาทเป็นทฤษฎี หลักเพือ่ การปฏิบตั เิ รือ่ ยมา จนกระทัง่ กลายเป็นหลักสูตรระดับปริญญาตรีทสี่ หรัฐอเมริกาขยายไปเจริญเติบโต ที่เอเชียตะวันออก เอเชียใต้ อังกฤษ และออสเตรเลีย ในช่วง 20 ปี ก่อนศตวรรษที่ 21 การศึกษาทางด้านวารสารศาสตร์ที่แยกเป็นเอกเทศในระดับมหาวิทยาลัย เริ่มต้นเป็นครั้งแรกที่ มหาวิทยาลัยมิสซูรี่ และมหาวิทยาลัยโคลัมเบียที่นิวยอร์ค จนในปัจจุบันมีวิทยาลัยหรือภาควิชานิเทศศาสตร์ ในสหรัฐอเมริกาประมาณ 1,500 แห่ง ในประเทศไทยเกิดขึน้ แล้วประมาณ 50 แห่ง โดยเริม่ ต้นทีม่ หาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แล้วขยายออกไปสู่สถาบันการศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน ในตอนต้น ๆ การศึกษานิเทศก์ศาสตร์จะมุ่งเน้นในด้านการใช้ทฤษฎีเพื่อการสื่อสารมาประยุกต์เป็น เทคนิควิธี และทักษะในการประกอบอาชีพทางด้านการสื่อสารมวลชนในระบบการเมืองต่าง ๆ โดยเฉพาะ แบบเสรีประชาธิปไตย และระบบตลาดเสรีบนพืน้ ฐานลัทธิทนุ นิยมโดยสรุปทฤษฎีเพือ่ การสือ่ สารก็คอื ทฤษฎี แนวปฏิบัติ (operational theory)หรือหลักวิชาทั้งมวลในการปฏิบัติงานด้านการสื่อสาร โดยเฉพาะการ สือ่ สารมวลชนทีอ่ าศัยหนังสือพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ ภาพยนตร์ และการสือ่ สารธุรกิจทีม่ กี ารโฆษณา และการประชาสัมพันธ์เป็นหลักส�ำคัญ
ทฤษฎีของการสื่อสาร (Theory of communication)
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มหาวิทยาลัยในสหรัฐได้พัฒนาการศึกษานิเทศศาสตร์ที่เน้นสอนการปฏิบัติ งานทางวิชาชีพ (professional practice) ไปสู่การศึกษาวิจัยเพื่อสร้างทฤษฎีแนวปรัชญาวิทยาศาสตร์ โดย แรงผลักดันส่วนหนึ่งจากอิทธิพลทางปัญญา (intellectual influence) ของนักวิชาการที่อพยพมาจากยุโรป 11
ทฤษฎีการสื่อสาร อาทิ ลูอิน และลาซาร์สเฟลด์ ทฤษฎีของการสื่อสารจึงเริ่มก่อตั้งขึ้น โดยค่อย ๆ แยกจากทฤษฎีทางสังคมวิทยา จิตวิทยา และภาษา กลาย มาเป็นศาสตร์ไหม่ในตัวของมันเองที่เรียกว่า การสื่อสารมวลชน (mass communication study) มุ่งวิจัย ผลของสื่อมวลชนที่มีต่อการเมืองสังคม และวัฒนธรรม เราเรียกทฤษฎีแนวปรัชญาวิทยาศาสตร์ในระยะเริ่ม แรกนี้ว่า ทฤษฎีการสื่อสารมวลชน (Mass Communication Theory) ซึ่งจะเห็นได้ชัดจากผลงานของวิล เบอร์ ชรามม์ เมลวิน เดอเฟอร์ และเดนิส แมคเควล แต่กลุ่มทฤษฎีระบบ (Systems Theories) ของวีเนอร์ แชนนอน และวีเวอร์(Wiener – Shannon – Weaver) และในเชิงการสื่อสารของมนุษย์ (Human Communication) ของเบอร์โล (Berlo) รวมทั้งใน เชิงการสื่อสารระหว่างบุคคล (InterpersonalCommunication) ของไฮเดอร์ นิวคอมบ์ เฟสติงเกอร์ และ ออสกูด (Heider-Newcomb-Festiger-Osgood) ส่งผลให้การศึกษาด้านสื่อสารมวลชนขยายตัวออกไป ครอบคลุมอาณาบริเวณของการสื่อสาร (communication spheres) ที่กว้างขวางขึ้น วิชาการสื่อสารมวลชนจึงได้ปรับปรุงตนเอง และขยายตัวจากความเป็นเพียงนิเทศศิลป์ (communication art) มาเป็นนิเทศศาสตร์ (Communication art andscience หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า communication arts) สมบูรณ์ในสองทศวรรษสุดท้ายของศตวรรษที่ 20 ทฤษฎีของการสือ่ สารมิได้จำ� กัดอยูเ่ ฉพาะทีเ่ กีย่ ว กับสื่อมวลชนเท่านั้นแต่จะครอบคลุมการสื่อสารทุกประเภทและในทุกปริบท (cintext) นับตั้งแต่การสื่อสาร ภายในบุคคล (intrapersonal communication) จนไปถึงการสื่อสารของโลก (globalcommunication) สร้างเป็นองค์ความรูท้ อี่ ธิบายการสือ่ สารทัว่ ไป ในแง่ขององค์ประกอบโครงสร้าง กระบวนการ บทบาทหน้าที่ จุดประสงค์ (purposes) ประสิทธิผล (effectiveness) ประสิทธิภาพ (efficiency) และค่าประสิทธิภาพ (cost-efficiency) ทฤษฎีของการสื่อสารดังกล่าว อาจจ�ำแนกแยกย่อยออกเป็นทฤษฎีต่าง ๆ ในการสื่อสาร (theories in communication) เมื่อองค์ความรู้เข้าไปเกี่ยวข้องกับการสื่อสารประเภทใดประเภทหนึ่งโดยเฉพาะ เช่น ทฤษฎีต่าง ๆ ในการสื่อสารระหว่างบุคคล หรือในการสื่อสารมวลชน เป็นต้น
ทฤษฎีเกี่ยวกับการสื่อสาร (Theories about communication)
ทฤษฎีแนวปฏิบตั ใิ นนิเทศศิลป์ และทฤษฎีแนวปรัชญาวิทยาศาสตร์ในนิเทศศาสตร์ ได้รว่ มกันสร้างความเจริญ ก้าวหน้าให้แก่ทฤษฎีการสื่อสารเป็นอย่างยิ่งสามารถผลิตบัณฑิตออกไปท�ำงานในวิชาชีพปีละมาก ๆ เฉพาะ ในประเทศไทย ซึง่ มีนกั ศึกษาในสาขานีร้ วมทัง้ สิน้ ไม่ตำ�่ กว่าห้าหมืน่ คน มีบณ ั ฑิตทีจ่ บออกไปปีละหลายพันคน ปัญหาทีบ่ ณ ั ฑิตส่วนใหญ่ในประเทศต่าง ๆ ต้องเผชิญมีความคล้ายคลึงกัน คือไม่สามารถ น�ำทฤษฎีไปใช้ปฏิบตั ิ ได้ในวงการวิชาชีพทีส่ ว่ นมากยังมีลกั ษณะอนุรกั ษ์นยิ ม (conservatism)... อนุรกั ษ์นยิ มในแง่ทนี่ กั วิชาชีพส่วน ใหญ่ยังมิได้ศึกษาเล่าเรียนมาโดยตรง และในแง่ที่ยังจะต้องผูกพันกับผลประโยชน์ของธุรกิจที่เป็นเจ้าของสื่อ หรือเป็นผู้อุปถัมภ์สื่อโดยการให้โฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ ช่องว่างระหว่างวิชาการและการปฏิบัติในวิชาชีพยิ่งขยายวงกว้างออกไป การศึกษาวิจัยส่วนใหญ่ใน มหาวิทยาลัยผลักดันให้ทฤษฎีโน้มเอียงไปในทางผลประโยชน์ของประชาชน และในทางการสร้างสรรค์ประชา สังคม (civil society) มากขึ้น ในขณะที่การปฏิบัติในวิชาชีพส่วนใหญ่ยังเน้นส่งเสริมธุรกิจและอุตสาหกรรม ในระบบทุนนิยมเป็นเสมือนหนึ่งพาณิชยศิลป์อันเป็นกลไกของตลาดเสรีที่มีทุนเป็นปัจจัยหลัก
12
ทฤษฎีการสื่อสาร ช่องว่างที่กว้างใหญ่กลายเป็นความขัดแย้งของอุดมการณ์สองขั้ว (bipolarideoloty) และนี่เองที่เป็น จุดเริ่มต้นความเติบโตของทฤษฎีสื่อสารแนววิพากษ์ ทฤษฎีเศรษฐกิจการเมือง เศรษฐกิจสังคม สังคมจิตวิทยา มานุษยวิทยา จริยศาสตร์ นิเวศวิทยา และสุนทรียศาสตร์ ได้ถูกน�ำมาเป็นหลักและแนวในการมองการสื่อสารมวลชน สร้าง ขึ้นเป็นกลุ่มทฤษฎีต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการสื่อสาร จัดว่าเป็นกลุ่มทฤษฎีที่พยายามอธิบายเชิงวิพากษ์ต่อการ สื่อสารที่มีผลกระทบต่อชีวิตและสังคม โดยสรุป ทฤษฎีการสื่อสารก็คือการอธิบายการสื่อสารในด้านความหมายกระบวนการ องค์ประกอบ หลักการ วิธีการ บทบาทหน้าที่ ผล อิทธิพล การใช้ การควบคุม ปรากฏการณ์ที่เกี่ยวกับการสื่อสาร สภาพ ปัญหา และแนวโน้มในอนาคต รวมทั้งการอธิบายแนวคิดของศาสตร์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการสื่อสารเราอาจ จ�ำแนกทฤษฎีการสื่อสารออกได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ คือ (1) ทฤษฎีการสื่อสารแนวปฏิบัติ ที่พัฒนามาจากทฤษฎีเพื่อการสื่อสาร (2) ทฤษฎีการสื่อสารแนวปรัชญาวิทยาศาสตร์ ที่พัฒนามาจากทฤษฎีของการสื่อสาร และ (3) ทฤษฎีการสือ่ สารแนววิพากษ์ ทีพ่ ฒ ั นามาจากทฤษฎีเกีย่ วกับการสือ่ สารความส�ำคัญของทฤษฎีการ สื่อสารทฤษฎีการสื่อสารโดยรวมจัดว่าเป็นแก่นหรือองค์ความรู้ในทางนิเทศศาสตร์ที่ใช้เป็นหลัก ในการศึกษาวิจัย และการปฏิบัติงานทางด้านนิเทศศาสตร์โดยทางตรง หรือโดยทางอ้อม... โดยทางตรง อาทิ การสื่อสารมวลชน การโฆษณา การประชาสัมพันธ์... โดยทางอ้อม อาทิ การสื่อสารภายในบุคคล (จิตวิทยา) การสือ่ สารระหว่างบุคคล (จิตวิทยาและสังคมวิทยา) การสือ่ สารภายในองค์กร (การบริหารองค์กร) การสือ่ สาร ของประเทศ(รัฐศาสตร์) เราอาจแยกแยะให้เห็นความส�ำคัญของทฤษฎีการสื่อสารแนวต่าง ๆ ได้ดังนี้
ทฤษฎีแนวปฏิบัติ (Operational theory)
ใช้เป็นหลักในการบริหารและปฏิบัติงานสื่อสารทุกประเภทในสาขานิเทศศาสตร์ และสาขาอื่นที่ เกี่ยวข้อง สามารถน�ำมาสร้างเป็นกลยุทธ์ เพื่อการเพิ่มประสิทธิผลและประสิทธิภาพของการสื่อสารมวลชน การสื่อสารพัฒนาการ การสื่อสารการเมืองหรือการสื่อสารธุรกิจ ทฤษฎีการสือ่ สารแนวปฏิบตั สิ ามารถน�ำมาใช้ในการพัฒนาคุณภาพชีวติ ทัง้ ในด้านการศึกษา การพัฒนา อารมณ์ และจิตใจ รวมทั้งการพัฒนาพฤติกรรม อาทิ การใช้สื่อเพื่อการเรียนรู้ ความเพลิดเพลิน ความบันเทิง หรือจิตบ�ำบัด นอกจากนั้นยังจะเป็นประโยชน์ต่อการสื่อสาร เพื่อการพัฒนาการเมือง เศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม วิชาต่าง ๆ ในหลักสูตรปริญญาตรี สาขานิเทศศาสตร์ จัดว่าเป็นการรวมทฤษฎีแนวปฏิบตั ไิ ว้ เพือ่ สะดวก แก่การศึกษาทั้งในเชิงองค์รวมและเชิงแยกส่วน... เชิงองค์รวมอยู่ในวิชาแกนบังคับร่วมเชิงแยกส่วนอยู่ในวิชา เอกบังคับสาขาต่าง ๆ อาทิ สือ่ สิง่ พิมพ์ วิทยุกระจายเสียง โทรทัศน์ ภาพยนตร์ การโฆษณา การประชาสัมพันธ์ ทฤษฎีแนววิพากษ์ (Critical theory) ใช้เป็นหลักในการศึกษาวิจัย และวิพากษ์วิจารณ์การสื่อสารภายในองค์กร การสื่อสารสาธารณะ การ สื่อสารมวลชน การสื่อสารระหว่างประเทศ หรือการสื่อสารของ
13
ทฤษฎีการสื่อสาร โลก สามารถใช้เป็นพืน้ ฐานความคิดของการสร้างสมมติฐานในงานวิจยั และการแสวงหาแนวหรือประเด็นใน การวิพากษ์วิจารณ์สื่อหรือการสื่อสารโดยนักวิชาการ หรือนักวิจารณ์สื่อ (media critics) การศึกษาทฤษฎีแนววิพากษ์ ควรอยู่ในวิชาปีสูงของระดับปริญญาตรี หรือในวิชาส่วนใหญ่ของระดับ ปริญญาโท
ทฤษฎีแนวปรัชญาวิทยาศาสตร์ (Scientific-philosophical theory)
ใช้เป็นหลักในการแสวงหา (searching) หรือพิสจู น์ (proving) ข้อเท็จจริง หรือสัจจะ ในเชิงวิทยาศาสตร์ เพือ่ น�ำไปเป็นพืน้ ฐานหลักเพือ่ การพัฒนาการบริหารหรือการปฏิบตั งิ านการสือ่ สารทุกประเภท รวมทัง้ ใช้เป็น หลักในการปรับปรุงวิพากษ์วจิ ารณ์สอื่ หรือการสือ่ สารให้มคี ณ ุ ค่าในเชิงสร้างสรรค์ ปรัชญาในทีน่ มี้ ไิ ด้หมายถึง วิชาปรัชญาทั่วไป(general philosophy) แต่หมายถึงแนวคิดลึกซึ้งและกว้างขวางบนพื้นฐานการวิจัยเชิง วิทยาศาสตร์ สามารถน�ำมาใช้เป็นพืน้ ฐานในการสร้างสมมติฐานของการวิจยั และการอ้างอิงในการศึกษาวิจยั ทางนิเทศศาสตร์ ทฤษฎีการสือ่ สารแนวปรัชญาวิทยาศาสตร์เปิดโอกาสให้เพิม่ ขยายขอบเขตของนิเทศศาสตร์ออกไปทัง้ ในแนวดิ่งและแนวราบ แนวดิ่ง ได้แก่ การศึกษาค้นคว้าลึกซึ้งในความหมายปรัชญา วัตถุประสงค์บทบาท หน้าที่ สิทธิเสรีภาพ และความรับผิดชอบของการสื่อสารประเภทต่าง ๆ แนวราบ ได้แก่ การศึกษาความสัมพันธ์เกี่ยวโยงระหว่างนิเทศศาสตร์กับศาสตร์อื่น ๆ อาทิ จิตวิทยา สังคมวิทยา สังคมศาสตร์แขนงต่าง ๆ รวมทัง้ วิทยาศาสตร์กายภาพวิทยาศาสตร์ชวี ภาพ (Life sciences) พิภพ ศาสตร์ (Earth sciences) นอกจากนัน้ ยังอาจน�ำไปสูก่ ารปฏิรปู หรือการปฏิวตั วิ ชิ าการและวิชาชีพนิเทศศาสตร์ ให้มคี ณ ุ ประโยชน์ ยิ่งขึ้นต่อชีวิตและโลก ก่อให้เกิดความคุ้มค่าคุ้มทุนในการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารในประเทศต่าง ๆ และใน โลกมนุษย์โดยรวม ทฤษฎีไซเบอร์เนติกส์ของนอร์เบิร์ต วีเนอร์ และทฤษฎีสารเวลาขาองสมควรกวียะ (เสนอที่ประชุม ราชบัณฑิตยสถาน เมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2545) เป็นตัวอย่างของ ทฤษฎีแนวปรัชญาวิทยาศาสตร์ท่ีขยาย ขอบเขตของนิเทศศาสตร์ออกไปบูรณาการกับศาสตร์ทุกแขนงทั้งในทางมนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์ ส่วนทฤษฎีปทัสถานซึ่งเริ่มต้นโดยวิลเบอร์ชรามม์แสดงให้เห็นถึงการศึกษาเจาะลึกลงไปในบทบาท หน้าที่หรือภารกิจของสื่อในปริบทของประเทศต่าง ๆ ที่มีปทัสถานทางการเมืองและเศรษฐกิจแตกต่างกัน ได้แก่ เสรีนิยม อ�ำนาจนิยม เบ็ดเสร็จนิยมและทฤษฎีความรับผิดชอบทางสังคม โดยสรุป ทฤษฎีการสื่อสารทุกแนวและทุกระดับมีความส�ำคัญอย่างยิ่งต่อการศึกษา ทางนิเทศศาสตร์ ที่จ�ำเป็นต่อการท�ำงานและการวิจัยที่เกี่ยวกับการสื่อสาร เช่นเดียวกับทฤษฎีในศาสตร์ทุกแขนงทฤษฎีการ สื่อสารมีประโยชน์ต่อชีวิต องค์กร สังคม และโลก ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม การศึกษาหรือการท�ำงานที่ ปราศจากหลักการหรือทฤษฎี ย่อมเปรียบเสมือนการแล่นเรือออกไปสู่จุดหมายปลายทางอีกฝั่งหนึ่งของ มหาสมุทร โดยปราศจากความรูท้ างภูมศิ าสตร์ อุตนุ ยิ ม ดาราศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ นอกจากจะขาดประสิทธิผล (คือแล่นเรือไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง) หรือขาดประสิทธิภาพ (คือแล่นเรือไปถึงช้ากว่าก�ำหนด) แล้วยังมี ความเสีย่ งต่อความเสียหาทีส่ ำ� คัญสองประการคือ ความเสียหายจากภัยอันตราย (เช่นเรือเกยหินโสโครกหรือ
14
ทฤษฎีการสื่อสาร เรือแตกเพราะพายุ) และความเสียหายจากการพลาดโอกาส (เช่นท้องเรือว่าง ยังบรรทุกสินค้าบางประเภท ได้อีก แต่ไม่รู้ไม่สนใจความต้องการ ของตลาด) ในทางนิเทศศาสตร์ ความเสียหายจากภัยอันตราย (risk cost) เห็นได้ชดั จากการสือ่ สารโดยไม่รกู้ ฎหมาย หรือจริยธรรมและการสื่อสารโดยไม่รู้หลักจิตวิทยา ความเสียหายจากการพลาดโอกาส (opportunity cost) อาจได้แก่ การบริหารสถานีวทิ ยุหรือโทรทัศน์ โดยขาดความรูห้ รือไม่คำ� นึงถึงศักยภาพของเครือ่ งส่งหรือของบุคลากร การไม่ถอื โอกาสสือ่ สารท�ำความเข้าใจ เมือ่ เราได้พบบุคคลทีม่ ปี ญ ั หาขัดแย้งกับเราทัง้ นีเ้ พราะเราไม่รไู้ ม่เข้าใจทฤษฎีความโน้มเอียงร่วมของนิวคอมบ์ ซึ่งบอกว่าการสื่อสารระหว่างบุคคลเป็นโอกาสส�ำคัญของการประนีประนอมความคิดความเข้าใจซึ่งกันและ กันความเสียหายอันเกิดจากการพลาดโอกาสในทางนิเทศศาสตร์ อาจมีผลกระทบรุนแรงต่อชีวติ และทรัพย์สนิ อาทิ การมิได้รายงานหรือเตือนภัยเกีย่ วกับสภาพอากาศให้ชาวประมงทราบ อาจท�ำให้เกิดความเสียหายอย่าง มหาศาลต่อชีวิตและเรือประมง ดังเช่น กรณีพายุที่ขึ้นฝั่งภาคใต้ของไทย หลายครั้งการมิได้สื่อสารสร้างความ อบอุ่นในครอบครัว อาจน�ำไปสู่การติดยาของลูกหลาน หรือแม้แต่การฆ่าตัวตายตามทฤษฏีของเอมิลดูรแกง (Émile Durkheim) นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส ผู้เขียน “Le Suicide” (การฆ่าตัวตาย) ในปี ค.ศ. 1897 ซึ่ง ได้เสนอว่าสาเหตุส�ำาคัญอย่างหนึ่งของการฆ่าตัวตาย คือความวิปริตผิดปกติ (anomaly) ที่มิได้มีการระบาย ถ่ายเทด้วยการสื่อสารกับบุคคลอื่น
วิวัฒนาการของทฤษฎีการสื่อสาร
ยุคก่อนทฤษฎีการสื่อสาร ยุคก่อนทฤษฎี (pre-theoritical period) อาจย้อนหลังไปหลายล้านปี เมื่อสัตว์ประเภทหนึ่งได้มี วิวัฒนาการมาสู่ความเป็นมนุษย์นับกลับมาจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 20 วิวัฒนาการสามพันห้าร้อยล้านปีของสมองชีวิต (brain of life) ได้สร้างเสริมให้สมองของมนุษย์มี สมรรถนะหลายพันล้านเท่าของสมองแบคทีเรีย และนี่เองที่ทำ� ให้มนุษย์วานรได้วิวัฒนาการมาเป็นมนุษย์ผู้ ช�ำนาญในการใช้มือ (homo habills) มนุษย์ผู้ลุกขึ้นยืนตัวตรง (homo erectus) มนุษย์ผู้ฉลาด (homo sapiens) และมนุษย์ผู้ฉลาดแสนฉลาด (homo sapiens sapiens) อย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ตลอดช่วงระยะเวลาของวิวัฒนาการสมองได้ท�ำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของการสื่อสาร 2 ระบบ คือ (1) การสื่อสารภายในร่างกาย และ (2) การสื่อสารระหว่างร่างกายกับภายนอก ระหว่างสิ่งมีชีวิตในสปีชีส์ (species) เดียวกัน และกับสิ่งภายนอกที่รับรู้ได้โดยอาศัยช่องทางหรือประสาทการสื่อสาร 1. การสื่อสารภายในร่างกายเป็นไปทั้งโดยมีจิตส�ำนึก (conscious) จิตใต้ส�ำนึก(subconscious) และ จิตไร้ส�ำนึก (unconscious)จิตส�ำนึกและจิตใต้ส�ำนึกอยู่เฉพาะภายในสมอง จิตส�ำนึกอยู่ในรูปแบบของการ ส�ำนึกรูแ้ ละการคิด จิตใต้สำ� นึกส่วนใหญ่ “ซ่อนเร้น” อยูใ่ นส่วนเล็ก ๆ ของสมองทีท่ ำ� หน้าทีเ่ ป็นศูนย์เก็บความ จ�ำ คือ ฮิปโปแคมปัส (hippocampus) ส่วนจิตไร้ส�ำนึก หมายถึง การสื่อสารระหว่างสมองกับทุกเซลล์และ ทุกอวัยวะภายในร่างกาย 2. การสื่อสารระหว่างสิ่งมีชีวิตกับภายนอกร่างกายของตนเอง หรือกับสิ่งแวดล้อม ส่วนใหญ่กระท�ำ โดยจิตส�ำนึกทีเ่ กิดจากการส่งสาร และรับสารผ่านประสาทการรับรู้ แต่กม็ กี ารสือ่ สารกับภายนอกอีกส่วนหนึง่ ทีเ่ กิดขึน้ ในระดับจิตใต้สำ� นึก เพราะในบรรดารูป รส กลิน่ เสียง หรือสัมผัส ทีผ่ า่ นตาม ลิน้ จมูก หู หรือผิวหนัง 15
ทฤษฎีการสื่อสาร เข้าสู่สมองของเรานั้น จะมีเพียงส่วนเดียวที่เรารับรู้ในระบบจิตส�ำนึกของเรา นอกจากนั้นอาจจะผ่านเข้าทาง ระบบจิตใต้สำ� นึก เช่น เสียงของท�ำนองเพลง (melody) ทีข่ ับร้องโดยนักร้องเพียงคนเดียว มักจะผ่านเข้าทาง ระบบจิตส�ำนึกแต่เสียงประสาน (harmony) ของเครื่องดนตรีนับร้อยชิ้นมักจะผ่านเข้าทางระบบจิตใต้ส�ำนึก กระบวนการสื่อสารทั้งภายในและภายนอกเกิดขึ้นมาพร้อมกับสิ่งมีชีวิต แต่เมื่อสิ่งมีชีวิตได้วิวัฒนามา เป็นมนุษย์ กระบวนการสื่อสารก็ยิ่งมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น มีพลัง สมรรถภาพและสมรรถนะเพิ่มมากขึ้น เฉพาะภายในร่างกายก็ได้มีพัฒนาการของเนื้อเยื่อใหม่ (neocortex) ของสมองส่วนบน ที่ท�ำให้มีการเรียนรู้ การคิด เกิดปัญญา(intellignce) และภูมปิ ญ ั ญา (wisdom) ทีเ่ หนือกว่าสัตว์อนื่ ๆ แม้ในหมูส่ ปีชสี ท์ คี่ ล้ายคลึง กับมนุษย์ อาทิ ลิงชิมแปนซี หรือลิงโบโนโบ ส่วนด้านภายนอกร่างกาย มนุษย์ก็ได้อาศัยสมองปัญญาและมือซึ่งเป็นมรดกของมนุษย์ผู้ลุกขึ้นยืนตัว ตรง (homo erectus) สร้างเครื่องมือหรือส่วนขยายของมือ(extension of hands) นับตั้งแต่ก้อนหินไป จนถึงสถานีอวกาศ อย่างไรก็ตาม กระบวนการสื่อสารของมนุษย์ตั้งแต่จุดแรกเริ่มก�ำเนิดมนุษย์จนถึงเอประมาณห้าแสนปี ก็ยังเป็นไปตามธรรมชาติ เช่นเดียวกับสัตว์ทั้งหลาย นั่นคือเป็นสิ่งที่เกิดมาพร้อมกับชีวิต และต้องด�ำเนินไป เพื่อตอบสนองความต้องการของชีวิต เป็นสิ่งที่ต้องมีเพื่อชีวิต (communication for life) และเป็นสิ่งที่ต้อง ท�ำโดยอัตโนมัติ และไม่สามารถหลีกเลี่ยงหรือละเลยได้ (compulsory communication) การสือ่ สารโดยธรรมชาติตอบสนองความต้องการทางเพศและความต้องการทางสังคม เพือ่ ท�ำให้อตั ตา (self) ชาติพันธุ์ (race) และสปีชีส์ (species) ของตนอยู่รอดปลอดภัย นั่นคือ บทบาทหน้าที่ (function) ที่ เป็นเหตุผลหลักของการทีม่ นุษย์จะต้องมีการสือ่ สาร ส่วนบทบาทหน้าทีอ่ นื่ ก็เพิม่ เสริมเข้ามาเป็นส่วนประกอบ เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐานที่ขยายออกมาถึงระดับชื่อเสียง ความภาคภูมิใจและอ�ำนาจเหนือผู้อื่น กระนัน้ ก็ตาม บทบาทหน้าทีใ่ นการอยูร่ อดปลอดภัยของชีวติ และสังคมก็ยงั มีความส�ำคัญเป็นอันดับแรกเรือ่ ย มา ยิง่ มีอนั ตรายหรืออุปสรรคต่อการอยูร่ อดปลอดภัยมาก มนุษย์กย็ งิ่ มีความจ�ำเป็นทีจ่ ะต้องพัฒนาการสือ่ สาร ให้มปี ระสิทธิผลมากขึน้ และนีเ่ องทีท่ ำ� ให้สมองของมนุษย์มพี ฒ ั นาการขึน้ ในส่วนหน้าด้านซ้ายของเนือ้ เยือ่ ใหม่ จนสามารถท�ำให้มนุษย์พูดเป็นค�ำได้เมื่อประมาณ 5 แสนปีก่อน การสื่อสารเป็นค�ำ (verval communication) หรือการพูดท�ำให้สื่อสารกันได้เร็วจนสามารถ ที่จะลด หรือป้องกันอันตรายจากสัตว์รา้ ยหรือมนุษย์กลุม่ อืน่ เพราะมันเป็นความจ�ำเป็นทีจ่ ะต้องต่อสูเ้ พือ่ ความอยูร่ อด ปลอดภัย และนี่เองที่เป็นจุดเริ่มต้นของภาษาจากภาษาพูดมาสู่ภาษาภาพ และภาษาเขียน หลักฐานภาษาภาพที่ได้พบที่ถ�้ำลาสโกส์และถ�้ำโซเวต์ในฝรั่งเศส ถ�้ำอัลตามิราในสเปน รวมทั้งหลาย แห่งในออสเตรเลีย ส่วนใหญ่มีความหมายเกี่ยวกับอ�ำนาจลึกลับเหนือธรรมชาติ ท�ำให้เราต้องสันนิษฐานว่า ภาษาพูดอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการลดหรือขจัดอันตรายต่อความอยูร่ อดปลอดภัยของมนุษย์เสียแล้ว ไม่วา่ เขาจะอยูใ่ นท้องถิน่ ทวีปใดภัยอันตรายจากสัตว์หรือมนุษย์กลุม่ อืน่ อาจลดได้ ป้องกันได้โดยการรวมตัวกันอย่าง รวดเร็ว ด้วยการใช้ภาษาพูด แต่ยังมีภัยอันตรายอีกมากมายหลายอย่างที่มนุษย์ต้องตกอยู่ในสภาพจนตรอก จนใจ จนท�ำอะไรไม่ได้ แม้จะมีการรวมตัวรวมกลุ่มช่วยเหลือกันเข้มแข็งเพียงใดก็ตาม ภัยอันตรายจากพายุ น�้ำท่วม แผ่นดินไหว ภูเขาไฟ ฟ้าผ่า เชื้อโรค และความกลัวอันตรายที่เกิดจาก อวิชชา เมื่อได้เห็นปรากฏการณ์ธรรมชาติ เช่น สุริยุปราคา จันทรุปราคาดาวหาง ดาวตก ภัยอันตรายและความกลัวอันตรายนี่เองที่อาจท�ำให้มนุษย์ต้องท�ำอะไรบางอย่างเพื่อระบายความรู้สึก
16
ทฤษฎีการสื่อสาร กลัว หรือพยายามติดต่อสื่อสารขอความเห็นใจจากอ�ำนาจ “ลึกลับ” ที่อาจอยู่เบื้องหลังอาจจะต้องร้อง เต้น เขียนภาพ ฆ่าสัตว์ หรือฆ่ามนุษย์ด้วยกันเองเพื่อบูชายันต์ การพยายามสื่อสารกับ “อ�ำนาจลึกลับ” ก่อให้เกิดศาสนาโบราณและไสยศาสตร์ของชนเผ่าต่าง ๆ ใน ทุกทวีป แต่เมื่อประมาณสามพันปีศาสดาผู้เปรื่องปราชญ์และทรงปัญญา ได้เสนอหลักศีลธรรมเพื่อการอยู่ ร่วมกันอย่างสุขสันติของเผ่าพันธุ์มนุษย์ท�ำให้เกิดศาสนาต่าง ๆ ต่อเนื่องกันมาในประวัติศาสตร์ ได้แก่ ฮินดู ขงจื้อ พุทธ คริสต์อิสลาม สิกข์ (sikn) และบาไฮ การสือ่ สารกลายเป็นองค์ประกอบส�ำคัญของศาสนาและไสยศาสตร์ ทัง้ ในด้านการสถาปนาและในด้าน การเผยแพร่ลัทธิความเชื่อหรือค�ำสอน การสถาปนาลัทธิความเชื่อ ได้แก่ การสร้างเรื่อง (story-making) การเล่าเรื่อง(story-telling) เกี่ยว กับอ�ำนาจลึกลับ เทพเจ้า พระเจ้าหรือภูตผีปีศาจ แม้ศาสนาพุทธนิกายมหายาน ก็ยงั มุง่ ใช้จติ วิทยาการสร้างเรือ่ ง สร้างสมมติเทพ และนิทานชาดก เกีย่ ว กับการประสูตใิ นชาติและรูปลักษณ์ตา่ ง ๆ ของพระพุทธองค์ทงั้ นีเ้ พือ่ ชักจูงโน้มน้าวประชาชนให้ตนื่ เต้น สนใจ และเลื่อมใสศรัทธา อาทิ ลัทธิดินแดนบริสุทธิ์ของจีนเชื่อว่าถ้ามีศรัทธาในอ�ำนาจของอมิตาภา ซึ่งเป็น พระพุทธเจ้าของเขตปัจฉิมจะได้ไปเกิดใหม่ในแดนสุขาวดี ซึ่งปราศจากความทุกข์โดยสิ้นเชิง มีพระโพธิสัตว์ หลายองค์ที่กลับมาเกิดในหลายชาติ เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ก่อนที่จะบรรลุการตรัสรู้สูงสุดและกลายเป็น พระพุทธเจ้าอีกพระองค์หนึ่ง อวโลกิตศวร ก็ถอื กันว่าเป็นพระโพธิสตั ว์แห่งความเมตตา สงสาร ซึง่ คนจีนเชือ่ ว่าปรากฏออกมาในร่าง เจ้าแม่กวนอิม ผู้ทรงเมตตาและให้ทานแก่เด็กคอยช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก และนักเดินทางในแดนกันดาร ส่วนในจักรวรรดิเขมร พระเจ้าชัยวรมันที่ 7ก็ได้สลักเป็นจตุรพักตร์ขนึ้ ไว้ทงั้ 54 ปรางค์ ในบริเวณปราสาทบาย น (ไพชยนต์) ในด้านการเผยแพร่ลัทธิความเชื่อหรือค�ำสอนได้มีการใช้ปัจจัยกลยุทธ์ ทั้งในการสร้างสื่อและในการ สร้างสาร ศาสนาพุทธสื่อสารเผยแพร่ด้วยภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษาที่ชาวบ้านอินเดียในยุคนั้นเข้าใจง่ายจน สามารถเข้าถึงหลักการสื่อสารภายในบุคคล ระหว่างบุคคลและการสื่อสารสังคมเป็นอย่างดี ทุกศาสนามีการ ใช้ค�ำอุปมาอุปไมย (metaphor)ที่ท�ำให้เข้าใจค�ำสอนได้อย่างลึกซึ้ง ศาสนาคริสต์ นิกายโปรเตสแตนต์ ใช้สื่อสิ่งพิมพ์เผยแพร่ลัทธิลูเธอร์อย่างจริงจังมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1536 โดยนักปฏิรูปศาสนา ฌอง กัลแวง (Jean Calvin) เริ่มต้นด้วยหนังสือ เรื่อง สถาบันศาสนาคริสต์ (“L’ Institution de la Religion Chrétianne”) ศาสนาคริสต์นิกายคาทอลิก ตั้งวิทยาลัยเผยแพร่ศรัทธา (propaganda fide)ในปี ค.ศ. 1622 เพื่อผลิ ตมิชชันนารีเป็นสื่อบุคคลออกไปสอนศาสนาในต่างประเทศ นับว่าเป็นสถาบันการศึกษาแห่งแรกที่สอนวิชา นิเทศศาสตร์ แต่ก็ยังไม่มีองค์ความรู้ที่พอจะนับเป็นหลักทฤษฎีได้ ในยุคก่อนทฤษฎีนี้ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 ทางด้านวิทยาศาสตร์ก็ได้มีการศึกษาเรื่องการสื่อสาร โดยมีหลักฐานแน่ชัดว่า ชาร์ล ดาร์วิน (Charle Darwin) เจ้าของทฤษฎีวิวัฒนาการ ได้เขียนหนังสือรายงาน การศึกษาเล่มใหญ่ เรื่อง “The Expressionof Emotions in Man And Animals” (การแสดงอารมณ์ของ มนุษย์และสัตว์) ในปี ค.3ศ. 1872
17
ทฤษฎีการสื่อสาร โดยสรุป ในช่วงก่อนทฤษฎีนี้ ยังมิได้มกี ารศึกษาการสือ่ สารอย่างจริงจัง ทัง้ ในระดับวิชาชีพและวิชาการ ทีเ่ ห็นได้ชดั คือยังไม่มกี ารเปิดสอนหลักสูตรการสือ่ สารหรือนิเทศศาสตร์เป็นสาขา (discipline) ในมหาวิทยาลัย แม้ว่าได้มีความพยายามที่จะเรียนรู้เพื่อพัฒนาการปฏิบัติงานสื่อสารบ้างแล้วก็ตาม
ทฤษฎีการสื่อสารยุคต้น
อาจเรียกได้ว่าเป็นยุคที่ได้มีการพัฒนาวิชาการทางด้านการสื่อสาร สร้างเป็นทฤษฎีแนวปฏิบัติส�ำหรับ สถานศึกษาในสถาบันชั้นสูง เป็นการน�ำวิชาการสื่อสารเข้าสู่ยุคทฤษฎีช่วงแรก ก่อนที่จะวิวัฒนาการไปสู่ยุค สมัยนิยม จึงอาจเรียกยุคนี้อีกอย่างหนึ่งว่า ยุคก่อนสมัยนิยม (pre-modern age) มีแนวโน้มพัฒนาหลักการ รายงานข่าวสารในชีวิตประจ�ำวันให้เป็นศิลปะศาสตร์แขนงใหม่ที่เรียกว่า วารสารศาสตร์ (journalism) ยุคนี้อาจแบ่งได้เป็น 2 ช่วงคือ ช่วงแรกประมาณทศวรรษ 1890 ถึงประมาณทศวรรษ 1920 และช่วง ที่สองทศวรรษที่ 1920 ถึงประมาณทศวรรษที่ 1940 1. มีการพัฒนาวิชาการสื่อสาร ใน 6 ด้าน คือ 1.1 วารสารศาสตร์ทางสื่อสิ่งพิมพ์ (print journalism) มีการก่อตั้งโรงเรียนหรือสถาบันวารสารศาสตร์ในสหรัฐอเมริกา โดยเริ่มต้นที่มหาวิทยาลัยมิสซูรี และ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย (นครนิวยอร์ค) วิชาการวารสารศาสตร์คอ่ ย ๆ ขยายออกไปครอบคลุมการโฆษณา (advertising) และการประชาสัมพันธ์ (public relations) โดยเฉพาะเมื่อนักหนังสือพิมพ์ต้องมีส่วนร่วมหรือสัมผัสกับงานการสื่อสารทั้งสองแขนง เอ็ดเวิร์ด แบร์เนส์ (Edward Bernays) หลานของซิกมุนด์ฟรอยด์ (SigmundFreud) เริ่มสร้างทฤษฎี การประชาสัมพันธ์เป็นก้าวแรก หลังจากที่ไอวีลีตั้งส�ำนักงานประชาสัมพันธ์แห่งแรก ที่นิวยอร์ก ในปี 1903 1.2 วิชาการภาพยนตร์ ค่อย ๆ เริม่ เจริญเติบโตในสหรัฐอเมริกา ฝรัง่ เศส และเยอรมนี โดยเฉพาะเมือ่ มีการสถาปนาระบบดารา (star system) ขึ้นในฮอลลีวูด ในปี 1910 และภาพยนตร์อเมริกันประสบความส�ำเร็จในการขยายอิทธิพล ของฮอลลีวูดออกไปทั่วโลกตั้งแต่ปี 1919 1.3 การปฏิวัติทางโทรคมนาคม ก่อให้เกิดการพัฒนาวารสารศาสตร์ทางวิทยุและ โทรทัศน์ (Broadcast journalism) การประดิษฐ์ เครือ่ งส่งสัญญาด้วยคลืน่ วิทยุของไฮน์รคิ เฮิรต์ ส์ (Heinrich Hertz)น�ำมาสูก่ ารก�ำเนิดสือ่ ใหม่ คือวิทยุกระจาย เสียงส�ำหรับนักวารสารศาสตร์สมัยใหม่ จะได้ใช้ในการรายงานข่าวสารเป็นประจ�ำวัน เริ่มตั้งแต่ปี 1920 ที่ สถานีเชล์มฟอร์ดในประเทศอังกฤษและปี 1921 ที่สถานีหอไอเฟล ประเทศฝรั่งเศส 1.4 ทางด้านหนังสือ เริ่มเกิดมีวรรณกรรมมวลชน (Mass Literature) โดยการบุกเบิกของนักเขียนอเมริกัน ชื่อ เอช จี เวลส์ (H.G. Wells) นักเขียนอังกฤษชื่อ ดี เอ็ช ลอเรนซ์ (D.H.Lawrence) และนักเขียนฝรั่งเศส ชื่อ จูลส์ เวร์น (Jules Verne) มีการเขียนเรื่องแนววิทยาศาสตร์เพื่อป้อนสถานีวิทยุกระจายเสียงและภาพยนตร์ หนังสือ กลายเป็นสื่อมวลชนประเภทช้า (slower media) ที่เป็นพื้นฐานส�ำคัญของการพัฒนาสื่อมวลชนประเภทเร็ว (faster media) ที่ใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์
18
ทฤษฎีการสื่อสาร 1.5 ทางด้านสังคมวิทยาการสื่อสาร (Sociology of Communication) เอมีล ดูรแกง (Émile Durkheim) นักสังคมวิทยาชาวฝรัง่ เศสท�ำการวิจยั เกีย่ วกับความสัมพันธ์ระหว่าง การสื่อสารกับการฆ่าตัวตาย สร้างเป็นทฤษฎีอัตวินิบาตกรรม(Théorie de Suicide 1897) ที่เสนอว่าสังคม ที่มีระดับการสื่อสารระหว่างบุคคลต�่ำจะมีอัตราการฆ่าตัวตายสูง ทฤษฎีนี้ย�้ำให้เห็นบทบาทและความส�ำคัญ ของการสื่อสารที่มีต่อการแก้ปัญหาสังคม 1.6 ทางด้านจิตวิทยาการสื่อสาร (Psychology of Communication) ซิกมุนด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) เขียนหนังสือเกีย่ วกับการตีความหมายหรือการท�ำนายฝัน (1900) และเรียงความสามเรื่องเกี่ยวกับเรื่องเพศ (1905) อาจถือได้ว่าเป็นบุคคลแรกที่ได้ศึกษาเกี่ยวกับการสื่อสาร ภายในบุคคล (intrapersonal communication) อย่างลึกซึ้งจริงจัง ทั้งในด้านทฤษฎีและการปฏิบตั ิ ซึง่ รู้จกั กันทั่วไปในนามของจิตวิเคราะห์ (psychoanalysis) และจิตบ�ำบัด (psychotherapy) 2. ในช่วงที่สอง (ทศวรรษ 1920 ถึงทศวรรษ 1940) เป็นช่วงที่โลกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาเผชิญกับวิกฤตการณ์ร้าย แรง คือภาวะเศรษฐกิจตกต�่ำ (Depression) ในปี 1929 ผนวกกับความเติบโตของลัทธินาซีในเยอรมนี และ ลัทธิฟาสชิสต์ในอิตาลี ที่น�ำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สอง (1939 – 1945)ในช่วงที่สองนี้ อาณาเขตของทฤษฎี การสื่อสารได้ขยายออกไปครอบคลุมรัฐศาสตร์ของการสื่อสาร (Politics of Communication) เกิด ปรากฏการณ์ที่อาจ วิเคราะห์เชิงทฤษฎีออกได้เป็น 3 ปทัสถาน คือ ทฤษฎีเสรีนิยมแบบตะวันตก (WesternLibertarianism) ทฤษฎีอ�ำนาจนิยมนาซีและฟาสชิสต์ (Nazi-Fascist Authoritarianism) และทฤษฎีเบ็ดเสร็จนิยมมาร์กซิสต์-เลนินิสต์ (Marxist-Leninist Totalitarianism) 2.1 ทฤษฎีอ�ำนาจนิยมนาซีและฟาสชิสต์ หลักการและกลยุทธ์การสือ่ สารได้ถกู น�ำมาใช้ทงั้ เชิงรุกและเชิงรับ เยอรมนียคุ ฮิตเลอร์และอิตาลียคุ มุสโส ลินี พัฒนากลไกการโฆษณาชวนเชื่อ (propaganda machine)ตั้งแต่ระดับแผนกขึ้นไปสู่ระดับกระทรวง ใช้ สือ่ สิง่ พิมพ์ วิทยุกระจายเสียง ละครและภาพยนตร์ ในการปฏิบตั กิ ารทางจิตวิทยา (psychological actions) โน้มน้าวจูงใจให้หลงเชื่อในลัทธิถือเชื้อชาติผิวพรรณ (racism) และการก�ำจัดศัตรูของสังคม โจเซฟ เกิบเบลส์ (Joseph Goebbels) ประสบความส�ำเร็จสูงในการแปรกลยุทธ์จิตวิทยาการสื่อสาร ออกมาเป็นโครงสร้างของรัฐทีม่ ปี ระสิทธิภาพในการปลุกระดมคนเยอรมันให้ทำ� ตามความคิดของผูน้ ำ� (Führer) อย่างมัวเมา จนถึงกับร่วมกันสังหารยิวหลายล้านคนด้วยวิธีการโหดร้ายทารุณ แซร์จ ชาโกตีน (Serge Tchakhotine) ศาสตราจารย์จิตวิทยาสังคมแห่งมหาวิทยาลัยปารีส ศึกษา ยุทธการการโฆษณาชวนเชื่อของเยอรมนี เขียนเป็นหนังสือเล่มส�ำคัญประกอบการบรรยายเรื่อง “Le Viol des Foules par la PropagandePolitique” (การข่มขืนฝูงชนด้วยการโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง) ตี พิมพ์ในปี 1940ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองเพียงสองเดือน อีกเรือ่ งหนึง่ คือ “ปรัชญาและโครงสร้างของฟาสซิสต์เยอรมัน” โดยโรเบิรต์ เอแบรดี (Robert A. Brady) ศาสตราจารย์วิชาเศรษฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียตีพิมพ์ในอังกฤษปี 1937 ยุทธการการโฆษณาชวนเชื่อของเยอรมนี เป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองและสังคมที่ผลักดันให้เห็น
19
ทฤษฎีการสื่อสาร ความส�ำคัญของการศึกษาวิชาการรณรงค์ทางการเมืองและสาธารณมติ (Political Campaign and Public Opinion) ในสาขาจิตวิทยาสังคม รัฐศาสตร์ และนิเทศศาสตร์ ยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง วอลเตอร์ ลิปมันน์ (Walter Lipmann) นักวารสารศาสตร์อเมริกันเขียนเรื่อง“สาธารณมติ” (1922) แฮโรลด์ ดี ลาสเวลล์ (Harold D. Lasswell) ศาสตราจารย์รัฐศาสตร์อเมริกันเขียนเรื่อง “เทคนิคการ โฆษณาชวนเชื่อในสงครามโลก” (1927) และ“การโฆษณาชวนเชื่อและเผด็จการ” (1936) ทั้งสองนับว่าเป็น ผู้บุกเบิกคนส�ำคัญให้สาขาวิชาการสื่อสารการเมืองขึ้นมาเคียงข้างสาขาวิชาการสื่อสารองค์กรที่มีการ ประชาสัมพันธ์เป็นแกนหลัก ในช่วงทีส่ องของยุคต้นนี้ นักวิชาการหลายคนได้รบั มอบหมายจากรัฐบาลให้ทำ� หน้าทีว่ จิ ยั เกีย่ วกับการ โฆษณาชวนเชือ่ และข่าวสารสรงคราม เพือ่ ใช้เป็นกลยุทธ์การสือ่ สารต่อต้านการโฆษณาชวนเชือ่ ของฝ่ายอักษะ ในช่วงก่อนและระหว่างสงครามโลกครัง้ ทีส่ อง นักคณิตศาสตร์ พอล เอฟ ลาซาร์สเฟลด์ (Paul F. Lazarsfeld) เป็นคนหนึง่ ทีไ่ ด้รบั การแต่งตัง้ เป็นหัวหน้าส�ำนักงานวิจยั วิทยุของมูลนิธริ อคกีเ้ ฟลเลอร์ และต่อมาเป็น นักวิจยั ที่ปรึกษาของส�ำนักงานสารนิเทศสงคราม เขาได้ผลิตผลงานวิจัยที่ส�ำคัญหลายชิ้นรวมทั้งการสร้างสมมติฐาน การไหลสองทอดของข่าวสาร (Two-step flow hypothesis)หลายเป็นคนหนึ่งที่ร่วมวางรากฐานการวิจัย เพื่อสร้างทฤษฎีการสื่อสารในสหรัฐอเมริกาทั้ง ๆ ที่เขาเคยเป็นเพียงผู้ได้รับทุนร๊อกกีเฟลเลอร์ผ่านทาง มหาวิทยาลัยเวียนนาที่เขาได้รับปริญญาเอกทางคณิตศาสตร์ 2.2 ทฤษฎีเสรีนิยมแบบตะวันตก จากการทีจ่ ะต้องเข้าร่วมรบกับฝ่ายพันธมิตรทัง้ ในแนวหน้าและแนวหลัง รวมทัง้ การแก้ปญ ั หาเศรษฐกิจ ตกต�่ ำ ภายในประเทศ ท� ำ ให้ ป ระธานาธิ บ ดี แฟรงคลิ น ดี โรสเวลต์ เ องก็ ต ้ อ งหั น มาพึ่ ง พากลยุ ท ธ์ ก าร ประชาสัมพันธ์ ทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ เขาได้สร้างลัทธินวิ ดีล (New Deal) เพือ่ แก้ปญ ั หาความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง และระหว่าง เศรษฐีนายทุนกับคนจน ได้ใช้บคุ ลิกเฉพาะตนทีเ่ ต็มเปีย่ มไปด้วยความมีมนุษยสัมพันธ์ รวมทัง้ สือ่ สิง่ พิมพ์และ วิทยุกระจายเสียงในการจูงใจคนอเมริกนั ให้เห็นความจ�ำเป็นทีจ่ ะต้องเข้าร่วมรบกับฝ่ายพันธมิตร นับว่าเป็นการ น�ำหลักการและทฤษฎีการประชาสัมพันธ์ของภาคเอกชนไปใช้ในภาครัฐได้อย่างผล หลังสงครามจึงได้มีการ เปิดสอนวิชาการสื่อสารสาธารณะ (Public Communication) และบริการข่าวสารสาธารณะ (Public information Service) ทั้งในอเมริกาและยุโรปกลายเป็นแขนงวิชาหนึ่งของการประชาสัมพันธ์ในประเทศไทย ที่เรียกว่า “การประชาสัมพันธ์ภาครัฐ” หรือ“การประชาสัมพันธ์ของรัฐบาล” ถือได้ว่าเป็นทฤษฎีการสื่อสาร ภายในกรอบปทัสถานการเมืองแบบเสรีประชาธิปไตย 2.3. ทฤษฎีเบ็ดเสร็จนิยมแบบมาร์กซิสต์-เลนินิสต์ส�ำหรับในสหภาพโซเวียต ตั้งแต่การปฏิวัติรัสเซีย ในปี 1920 เลนินเขียนทฤษฎีการเมืองแนวสังคมนิยมหลายเล่ม ในส่วนที่เกี่ยว กับการสื่อสารมวลชน เขาได้เสนอแนวคิดส�ำคัญที่ว่า สื่อมวลชนจะต้องเป็นของรัฐโดยการควบคุมของพรรค มีหน้าทีใ่ นการให้การศึกษาแก่ชนชัน้ กรรมาชีพ มิใช่ทำ� ธุรกิจขายข่าวเช่นในประเทศเสรีนยิ ม ซึง่ สือ่ มวลชนมัก จะกลายเป็นเพียงเครื่องมือของนายทุน ทฤษฎีพื้นฐานอุดมทัศน์มาจากทฤษฎีมาร์กซิสต์ผสมผสานกันออกมาเป็นทฤษฎีมาร์กซิสต์-เลนินิสต์ (Marxism-Leninism) ซึ่งจะมีอิทธิพลอย่างมากต่อประเทศ
20
ทฤษฎีการสื่อสาร คอมมิวนิสต์หลังสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในจีนและเวียตนาม มองในแง่ทฤษฎีปทัสถาน (normative theory) ทฤษฎีมาร์กซิสต์-เลนินิสต์สร้างรัฐเบ็ดเสร็จนิยม (totalitarian state) ทีร่ ฐั มีอำ� นาจเต็มในการด�ำเนินงานการสือ่ สารมวลชน เพือ่ ให้เป็นกลไกการโฆษณาชวนเชือ่ (propaganda machine) ที่จะปลุกระดมมวลชนและผลักดันประเทศไปสู่ความเป็นสังคมนิยมที่สมบูรณ์ การศึกษาวารสารศาสตร์สังคมนิยม (socialist journalism) ในประเทศคอมมิวนิสต์จึงได้มุ่งเน้นไปที่ เป้าหมายอุดมการณ์นี้นับตั้งแต่ทศวรรษ 1920 เรื่อยมาจนถึงครึ่งหลังของศตวรรษ 20 คู่ขนานมากับ วารสารศาสตร์นิยม (liberal journalism)ในประเทศตะวันตกและที่นิยมตะวันตก ทฤษฎีการสื่อสารยุคกลาง ยุคนี้เริ่มตั้งแต่ประมาณปี 1945 หลังสงครามโลกครั้งที่สองจนมาถึงทศวรรษ1970 อาจเรียกได้ว่าเป็น ยุคโมเดิร์นนิสต์ (modernism) มีแนวโน้มส�ำคัญสามประการคือ 1. การวิพากษ์ทฤษฎีการสื่อสารของกลุ่มอ�ำนาจนิยม และเบ็ดเสร็จนิยม 2. การก่อเกิดทฤษฎีสื่อสารเพื่อการพัฒนา หรือนิเทศศาสตร์พัฒนาการ (Development Communication Theory 3. การวิพากษ์ลัทธิสมัยนิยม (modernism) ที่เป็นจุดเริ่มต้นของลัทธิหลังสมัยนิยม (postmod ernism) 4. การพัฒนาเทคนิคและเทคโนโลยีอันเป็นที่มาของศาสตร์แห่งการสื่อสารมวลชน 1. ในภาพรวม การวิพากษ์ทฤษฎีของกลุ่มอ�ำนาจนิยมและเบ็ดเสร็จนิยม ก็คือการวิเคราะห์เชิง มานุษยวิทยาว่าเป็นแนวคิดทีข่ ดั ต่อหลักสิทธิมนุษยชน ปิดกัน้ เสรีภาพทางการเมืองของปัจเจกชน ใช้สอื่ มวลชน ปฏิบัติการทางจิตวิทยาอย่างเข้มข้นเพื่อผลทางการเมืองของฝ่ายเผด็จการ สื่อมวลชนมีประสิทธิผลสูงในเชิง การเมือง แต่ขาดคุณค่า ในเชิงมนุษยธรรม การวิพากษ์ได้ก่อให้เกิดทฤษฎีหลากหลายที่เกี่ยวกับผลและอิทธิพลของสื่อในเชิงลบ อาทิ กลุ่มทฤษฎีผลอันไม่จ�ำกัดของสื่อ (unlimited effects) ได้แก่ ทฤษฎีกระสุนปืน(magic bullet theory) และทฤษฎีกระสุนเงิน (silver bullet theory) ซึง่ เชือ่ ว่าการโฆษณาชวนเชือ่ ของสือ่ มวลชนมีอทิ ธิพลต่อ ความเชื่อและพฤติกรรมของมวลชนอย่างมหาศาล เช่น ในกรณีที่ฮิตเลอร์กระท�ำต่อประชาชนชาวเยอรมัน ก่อนสงครามโลกครัง้ ที2่ ทฤษฎีเข็มฉีดยา (hypodermic needle theory) ทีพ่ ยายามแสดงให้เห็นว่าสือ่ มวลชน สามารถอัดฉีด “สารอย่างเดียวกัน” แก่สมาชิกทั้งหมดของสังคมมวลชนอย่างได้ผล กลุ่มทฤษฎีนี้ต่อมาถูก “ลบล้าง” ด้วยกลุ่มทฤษฎีผลที่จ�ำกัดของสื่อ (limitedeffects) ที่อ้างปัจจัย ตัวแปรต่าง ๆทางด้านจิตวิทยา สังคมวิทยา หรือรัฐศาสตร์ทสี่ ามารถจ�ำกัดผลของสือ่ ได้ ทางด้านจิตวิทยา เช่น กระบวนการเลือกสรร (selective process) ความน่าเชือ่ ถือของแหล่งสาร (source credibility) กระบวนการ ยอมรับนวัตกรรม (innovation adoptionprocess) ทฤษฎีแรงเสริม (reinforcement theory) ทางด้านสังคมวิทยา เช่น แบบจ�ำลองการเกี่ยวโยงพึ่งพากันของผลจากสื่อมวลชน (dependency model of media effects) สมมติฐานการไหลสองทอดของการสื่อสาร (two-step flow of communication) แบบจ�ำลองสังคมวัฒนธรรมและกลุ่มประเภททางสังคมในกระบวนการโน้มน้าวใจ (sociocultural and social categoriesmodels of the persuasion process)
21
ทฤษฎีการสื่อสาร ทางด้านรัฐศาสตร์ เช่น ทฤษฎีปทัสถานของการปฏิบัติงานสื่อสารมวลชน(normative theories of media performance)อย่างไรก็ตาม การวิพากษ์ผลและอิทธิพลของสือ่ มิได้จำ� กัดอยูเ่ ฉพาะผลทางตรงเท่านัน้ หากมุ่งมองไปที่ผลทางอ้อมด้วย ทฤษฎีส�ำคัญที่ยังศึกษากันจนถึงปัจจุบันได้แก่ ทฤษฎีคนเฝ้าประตู (gatekeeper theory) ซึ่งเคิร์ท ลูอิน (Kurt Lewin) เป็นผู้เริ่มเสนอในปี 1947 ว่าสื่อมวลชนเป็นผู้กลั่นกรองคัด เลือกข่าวให้เหลือน้อยลงเพื่อการเสนอต่อประชาชน แสดงให้เห็นอ�ำนาจเด็ดขาดของสื่อมวลชนที่ไม่มีใคร เข้าไปเกี่ยวข้อง ได้ ทฤษฎีบทบาทหน้าที่ในการก�ำหนดวาระ (agend-setting function) โดยลาซาร์สเฟลด์ (Lazarsfeld) เริ่มชี้ให้เห็นตั้งแต่ปี 1944 ว่านักการเมืองพยายามโน้มน�ำประชามติให้สนใจแต่วาระเรื่องราวที่ สอดคล้องสนับสนุนจุดยืนของพรรคตน ซึ่งต่อมาแม็คคอมบ์และชอว์ (McCombs and Shaws) ในปี 1972 ได้เสนอเป็นทฤษฎีทแี่ สดงอิทธิพลทางอ้อมของสือ่ ในการชีน้ ำ� วาระทางสังคม หรือเรือ่ งราวทีต่ อ้ งให้ความสนใจ แบบจ�ำลองการขยายวงของความเงียบ (spiral of silence) ซึง่ โนแอล-นอยมันน์ (Noelle-Neumann) เริ่มเสนอตั้งแต่ปี 1974 ว่าสื่อมวลชนเป็นผู้สร้างบรรยากาศของความคิดเห็น (climate of opinion) ที่ท�ำให้ ปัจเจกชนรู้แนวโน้มของประชามติ และมักจะปิดปากเงียบเมื่อรู้สึกว่าประชามติไม่ตรงกับความคิดเห็นของ ตน จ�ำนวนปัจเจกชนที่ปิดปากเงียบจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตามสัดส่วนความเข้มข้นของประชามตินั้น 2. นอกจากแนวโน้มในการวิพากษ์ผลและอิทธิพลของสื่อแล้ว ยุคกลางของทฤษฎีการสื่อสารยังมีแนว โน้มในการเสนอแนวคิดและแนวทางใหม่เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชน เพราะมีแรงผลักดันจากผล ของสงคราม สงครามท�ำให้เห็นความส�ำคัญของการบูรณะฟื้นฟูพัฒนายุโรปตะวันตก การขยายขอบเขตการ พัฒนาออกไปสู่ประเทศที่ยังด้อยพัฒนาในโลกที่สาม รวมทั้งความส�ำคัญที่จะต้องปรับเปลี่ยนบทบาทของ สื่อมวลชนให้หันมาเน้นสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในประเทศ ต่าง ๆ ทุกทวีป ได้เกิดมีกลุม่ ทฤษฎีทร่ี วมเรียกว่า ทฤษฎีการสือ่ สารเพือ่ การพัฒนา หรือนิเทศศาสตร์พฒ ั นาการ ซึง่ ส่วน ใหญ่มาจากนักวิชาการอเมริกนั ทีต่ ระหนักในอ�ำนาจอิทธิพลของสือ่ และประสงค์จะใช้สอื่ ในแนวทางใหม่ทจี่ ะ ช่วยแก้ไขปัญหาของโลก โดยเฉพาะในส่วนที่ยังยากจนและมองเห็นว่าล้าสมัย แดเนียล เลอร์เนอร์ (Daniel Lerner) เขียนหนังสือเรื่อง :”The Passing ofTraditional Society, Modernization of the Middle East” (การผ่านไปของสังคมประเพณีดั้งเดิม การท�ำให้ตะวันออกกลางทัน สมัย) ในปี 1958 เสนอความคิดให้เปลี่ยนตะวันออกกลางจากสภาพสังคมประเพณีดั้งเดิมไปสู่ความทันสมัย เป็นหนังสือเล่มส�ำคัญที่ชูธงทฤษฎีการสื่อสารเพื่อการพัฒนาอย่างกล้าหาญ ทฤษฎีของเขาได้รบั การสนับสนุนโดยทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ของรอสตอฟ(Rostow) ทีเ่ สนอในปี 1960 ว่า ประเทศที่ด้อยพัฒนาจะเจริญเติบโตได้ก็ด้วยการท�ำให้ เป็นประเทศอุตสาหกรรม (industrialization) มิ ฉะนั้นก็ไม่สามารถที่จะบินเหิน (takeoff) ขึ้นไปสู่ความทันสมัยได้ หลังจากนั้นอีกสองปี เอเวอเร็ตต์ รอเจอร์ส (Everett Rogers) ทุมเทงานวิจัยและเปิดฉากเสนอทฤษฎี สื่อสารนวัตกรรม (communication of innovation) ไปทั่วโลกแนวความคิดของเขามีอิทธิพลเป็นอันมาก ต่อนักนิเทศศาสตร์ในประเทศทีก่ ำ� ลังพัฒนาโดยเฉพาะแบบจ�ำลองการยอมรับของชาวบ้าน (adoption process model of thepeasants) ที่ยังน�ำมาประยุกต์ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ลูเซียนพาย (Ludien Pye) ในปีเดียวกันเขียนเรื่อง “บทบาทของทหารในประเทศก�ำลังพัฒนา”แต่ที่ ตอกย�้ำความส�ำคัญของสื่อมวลชนในการพัฒนามากเป็นพิเศษจนพูดได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของนิเทศศาสตร์ พัฒนาการทีแ่ ท้จริงก็คอื หนังสือเรือ่ ง “สือ่ มวลชนกับการพัฒนาประเทศ” (1964) ของวิลเบอร์ชรามบ์ (Wilbur
22
ทฤษฎีการสื่อสาร Schramm) นักสังคมวิทยาทีต่ อ่ มาได้รบั การยกย่องว่าเป็นนักวิชาการสือ่ สารมวลชนทีส่ ำ� คัญทีส่ ดุ คนหนึง่ ของ โลก ทฤษฎีเหล่านี้มุ่งเสนอให้สื่อช่วยส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะทีย่ งั ล้าหลัง โดยมองเห็นว่า “การพัฒนาก็คอื การท�ำให้ทนั สมัย” (เลอร์เนอร์) “การพัฒนาคือความ มัน่ คง” (แม็คนามารา) “การพัฒนาคือเสรีภาพ” (ฌ็องมาเออ ผูอ้ ำ� นวยการยูเนสโก) “การพัฒนาคือการปฏิวตั ิ ด้วยเสรีภาพ” (เฮอร์เบิร์ต มาร์แชล รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ) แต่ก็ถูกย้อนวิพากษ์ (reverse criticism) ว่าการท�ำให้ทันสมัย (modernization) ก็คือการท�ำให้เป็น ตะวันตก (westernization) ท�ำให้เป็นอเมริกัน (Americanization) เป็นการหล่อหลอมโน้มน้าวให้เชื่อใน ลัทธินิยม (modernism) เป็นเสรีภาพที่น�ำไปสู่ความเป็นทาสความคิดและวัฒนธรรมตะวันตก 3. การวิพากษ์ลทั ธิสมัยนิยม (modernism) เป็นจุดเริม่ ต้นของลัทธิหลังสมัยนิยม (postmodernism) นักทฤษฎีแนววิพากษ์จำ� นวนมิใช่นอ้ ยได้ทมุ่ เทศึกษาวิจยั เพือ่ โต้แย้งหรือตักเตือนให้ประเทศก�ำลังพัฒนายัง้ คิด ไตร่ตรองก่อนที่จะทุ่มตัวยอมรับลัทธิสมัยนิยมจากนักวิชาการชาวอเมริกันเฮอร์เบอร์ต มาค์คูเซ (Herbert Marcuse) ได้วางรากฐานการวิพากษ์สังคม ไว้ในหนังสือเรื่อง มนุษย์มิติเดียว (One-dimensional Man) ซึ่ง เสนอในปี 1964 ว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้ถูกน�ำมาเป็นบรรทัดฐานความคิดและเครื่องมือสร้างความ ทันสมัย ท้ายทีส่ ดุ ก็ได้ลดระดับการพูดและการคิดของมนุษย์ให้เหลือเพียงมิตเิ ดียว อาทิการรวบความจริงกับ การปรากฏความจริงไว้ด้วยกัน การรวบสิ่งของกับบทบาทหน้าที่ของมันไว้ด้วยกัน การรวบธนบัตรกับความ สุขไว้ด้วยกัน ทฤษฎีของเขาสร้างขึ้นตั้งแต่สอนอยู่ที่สาขาปรัชญาในมหาวิทยาลัยฟรังเฟิร์ตซึ่งรู้จักกันในนามของส�ำ นักแฟรงเฟิร์ต (Frankfurt School) มีส่วนเป็นชนวนให้นักศึกษาลุกฮือต่อต้านสถาบันทุนนิยม (capitalist establishment) และสังคมบริโภค (societyof consumption) ทั้งในปารีส และแคลิฟอร์เนีย ในปี 1968 ชื่อของเขาถูกกล่าอ้างว่าอยู่ในกลุ่มสามเอ็ม (3 M’s) ผู้ปฏิวัติสังคม คือ Marx, Mao และ Marcuse เฮอร์เบิร์ต ชิลเลอร์ (Herbert Schillet) แห่งมหาวิทยาลัยซานดิเอโกมลรัฐแคลิฟอร์เนีย เป็นผู้ผลักดัน ทฤษฎีวพิ ากษ์ออกไปสูท่ ฤษฎีใหม่ทอี่ าจเรียกว่าลัทธิจกั รวรรดินยิ มทางการสือ่ สาร (communication imperialism) โดยการเขียนเรื่องจักรวรรดิ์อเมริกันกับการสื่อสาร “American Empire and Communicaiton”(1969) ตามมาด้วยหนังสืออีกหลายเล่มที่เป็นศูนย์รวมความคิดต่อต้าน “การรุกรานทางวัฒนธรรม” ของสหรัฐอเมริกา ติดตามสนับสนุนด้วยงานวิจัยของ คาร์ล นอร์เด็นสเตร็ง(Karl Nordenstreng) ตาปิโอ วา รีส (Tapio Varis) จากประเทศฟินแลนด์ สมควร กวียะ, บุญรักษ์ บุญญะเขตมาลา จากประเทศไทยและนัก คิดนักวิชาการอีกหลายคนจากตะวันออกกลางและอเมริกาใต้ในช่วงทศวรรษ 1970 ในบทความเรือ่ ง “La Morale des Objects” (วัตถุธรรม) ตีพมิ พ์ในวารสารนิทเทศศาสตร์ของฝรัง่ เศส (1969) ฌ็อง โบดริยาร์ด (Jean Baudrillard) มีสว่ นริเริม่ อย่างส�ำคัญในการสถาปนาทฤษฎีการบริโภคสัญญะ (consumption of signs) ที่ประสมประสานแนวคิดลัทธินิยมบริโภคของมาร์คูเซและลัทธิจักรวรรดินิยม ทางการสื่อสารของชิลเลอร์ทฤษฎีบริโภคสัญญะอธิบายว่า ในประเทศที่มั่งคั่งฟุ่มเฟือย (Pays de Cocagne) ด้วยลัทธิบริโภค มนุษย์มคี วามสุขความหวังของชีวติ อยูท่ คี่ วามเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจทีจ่ ะท�ำให้เขา ได้บริโภควัตถุอย่างฟุ่มเฟือย แต่ในความเป็นจริงเขาต้องบริโภค “สัญญะของวัตถุ” ที่มาจากสื่อมวลชนด้วย และโดยทั่วไป “สัญญะ” ก็มักจะไม่ตรงกับ “วัตถุ” หรือผลิตภัณฑ์
23
ทฤษฎีการสื่อสาร ทฤษฎีทวี่ พิ ากษ์การบริโภคสัญญะ วิเคราะห์ลทั ธิบริโภคและวิจารณ์ลทั ธิจกั รวรรดินยิ มทางการสือ่ สาร ได้ร่วมกันกระตุ้นเตือนอย่างรุนแรงให้โลกของนิเทศศาสตร์ผ่านจากยุคสมัยนิยม (modernism) มาสู่ยุคหลัง สมัยนิยม (postmodernism) ในทศวรรษ 1980 4. การพั ฒ นาเทคนิ ค และเทคโนโลยี ก ลายเป็ น ที่ ม าของวิ ช าการสื่ อ สารมวลชนย้ อ นกลั บ มาที่ สหรัฐอเมริกาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นักคิดนักวิชาการไม่เพียงแต่จะได้เสนอแนวคิดทฤษฎีการสื่อสารเพื่อ การพัฒนาโลกที่สาม (ประเทศด้อยพัฒนาและก�ำลังพัฒนา) เท่านั้น หากยังได้พยายามศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนา เทคนิคและเทคโนโลยีการสื่อสารของตนเองให้เพิ่มพูนคุณค่าและประสิทธิภาพอยู่โดยตลอด อาจเรียกรวม แนวคิดทฤษฎีเหล่านี้อยู่ในกลุ่มพัฒนาการสื่อสาร (communication development) ซึ่งต่อมายูเนสโกก็ได้ น�ำไปเป็นพื้นฐานในการตั้งโครงการนานาชาติ เพื่อการพัฒนาการสื่อสาร (International Program for Communication Development) และญี่ปุ่นก็ได้น�ำแนวคิดไปสร้างแผนพัฒนาระบบเครือข่ายสารสนเทศ (Information Network System) ที่เริ่มต้นตั้งแต่ปี 1985-2000 ท�ำให้ญี่ปุ่นก้าวเข้ามาสู่สภาพสังคมสื่อสาร (cybersociety) ในต้นศตวรรษที่ 21 ทฤษฎีที่ส�ำคัญและเป็นรากฐานของการพัฒนาสังคมสื่อสารเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันก็คือ ไซเบอร์เนติกส์ (Cybernetics) ซึ่งหมายถึงศาสตร์ที่ว่าด้วยการสื่อสารและการควบคุมภายในสัตว์และในเครื่องจักร ซึ่งน�ำ เสนอโดยนอร์เบิร์ต วีเนอร์ (NorberWiener) เมื่อปี 1948 แสดงให้เห็นบทบาทส�ำคัญของสารสนเทศในการ เสริมสร้างและด�ำรงสังคมมนุษย์ โดยอาศัยกลไกการป้อนไปและป้อนกลับ (feedforward-feedbackmechanism) ภายในระบบชีวิตและระบบสังคม ซึ่งถือว่ามีชีวิตเช่นเดียวกัน ชีวิตและสังคมจะเจริญพัฒนาไปได้ก็ โดยการพัฒนาระบบการสื่อสารที่สามารถถ่ายทอดแลกเปลี่ยนสารสนเทศกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในปีเดียวกัน ฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold Lasswell) เสนอทฤษฎีบทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชน (functionalism) เสนอให้เห็นชัดเจนเป็นครัง้ แรกว่าบทบาทหน้าทีข่ องสือ่ มวลชน คือการด�ำรงรักษาและบูรณาการ สังคม (social integration) จึงจะต้องมี การปรับปรุงพัฒนาสือ่ มวลชนมิให้เกิดความล้มเหลว (dysfunction) ในการปฏิบัติหน้าที่ของตนคือ การเฝ้าระวังสภาพแวดล้อม การประสานส่วนต่าง ๆ ของสังคมให้ตอบสนอง ต่อสภาพแวดล้อม และการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรม อีกทฤษฎีหนึง่ แม้ในตอนเริม่ ต้นมิได้เกีย่ วกับการสือ่ สารมวลชนโดยตรง แต่กถ็ กู น�ำมาประยุกต์ใช้ในการ พัฒนาสื่อมวลชน นั่นคือ ทฤษฎีสารสนเทศ (informationtheory) ของ แชนนอน และวีเวอร์ (Shannon and Weaver) ซึ่งพัฒนาขึ้นในปี 1949เสนอเป็นแบบจ�ำลองที่วิเคราะห์การถ่ายทอดสารนิเทศ และแสดงให้ เห็นการสื่อสารเป็นกระบวนการที่เริ่มต้นจากแหล่งสาร (source) เลือกสาร (message) ถ่ายทอดไป(transmitted) ในรูปแบบของสัญญาณ (signal) ผ่านช่องทางการสื่อสาร (channel) ไปยังเครื่องรับ (receive) ซึ่ง แปลงสัญญาณเป็นสารส�ำหรับจุดหมายปลายทาง (destination)ในกระบวนการนี้อาจมีสิ่งรบกวนหรือ แทรกแซง (noise or interference) ซึ่งท�ำให้สารที่ส่งกับสารที่รับแตกต่างกันได้ แบบจ�ำลองของทฤษฎีสารสนเทศนี้ มีส่วนเป็นแรงบันดาลใจให้ เดวิด เค เบอร์โล (David K. Berlo) พัฒนาไปเป็นแบบจ�ำลองทางจิตวิทยาว่าด้วยองค์ประกอบของการสื่อสารระหว่างบุคคลที่รู้จักกันดีในนาม ของ S M C R (Source, Message, Channel,Receiver) พิมพ์ในหนังสือ ชื่อ “The Process of Communication” (กระบวนการสื่อสาร” ในปี 1960
24
ทฤษฎีการสื่อสาร แต่องค์ประกอบของกระบวนการการสื่อสารที่เสนอเพิ่มเติมอย่างมีความส�ำคัญจากทฤษฎีสารสนเทศ ของแชนนอน-วิเวอร์ ก็คอื การเข้ารหัสและการถอดรหัส (encoding-decoding) ของผูส้ ง่ สารและผูร้ บั สารใน แบบจ�ำลองเชิงวงกลมของ วิลเบอร์ ชรามม์ และ ชาร์ลส์ ออสกูด (Wilbur Schramm and Charles osgood) ท�ำให้เห็นว่าการสื่อสารของมนุษย์และของสื่อมวลชนจะมีประสิทธิผลสูงก็ต่อเมื่อการเข้ารหัสถอดรหัสที่ดีผู้ สื่อสารทั้งสองฝ่ายจะต้องมีความรู้ความสามารถในการแปลสารสนเทศ (information)เป็นสาร (messgae) และแปลงสารเป็นสารสนเทศได้ทั้งสองทิศทาง ทฤษฎีอีกกลุ่มหนึ่งที่น�ำมาประยุกต์ใช้บ่อยครั้งในการเพิ่มประสิทธิภาพของการสื่อสารมวลชนก็คือ แนวคิดของแบบจ�ำลองการใช้ประโยชน์และการไดรับความพึงพอใจ(uses and gratifications) โดยเฉพาะ ของเอลิฮูคัทซ์ (Elihu Katz) และคณะ (1974) ซึ่งเสนอว่า “การใช้ประโยชน์และการได้รับความพึงพอใจของ ผูร้ บั สารมาจากการเปิดรับสารจากสือ่ มวลชนทีเ่ ขาคาดหวังว่าจะให้สารสนเทศตามความต้องการ อันเกิดจาก สภาวะทางจิตใจและทางสังคม” จากทฤษฎีนี้ท�ำให้เริ่มตระหนักว่าสื่อมวลชนที่ประสบความส�ำเร็จจะต้องมีการวิเคราะห์วิจัยให้รู้ความ ต้องการสารสนเทศของประชาชน รวมทั้งสภาวะทางจิตใจและสังคมอันเป็นที่มาของความต้องการนั้นอยู่ ตลอดเวลา ทฤษฎีที่กล่าวข้างต้นมีประโยชน์อย่างยิ่งต่อการสื่อสารมวลชน ซึ่งถือว่าเป็นการสื่อสารที่ส�ำคัญที่สุด ของสังคมสมัยใหม่ (modern society) ในที่สุดก็ก่อให้เกิดศาสตร์ใหม่ที่ขยายตัวมาจากวารสารศาสตร์ เรียก ว่า วิชาการสื่อสารมวลชนสถาบันการศึกษาหลายแหล่งในสหรัฐอเมริกาได้ต่อเติมชื่อคณะหรือสถาบัน วารสารศาสตร์ เรียกเป็น “วารสารศาสตร์และสื่อสารมวชชน” (Journalism and MassCommunication) ซึง่ ในประเทศไทยก็จะเห็นได้ชดั เจนจากกรณีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทีก่ อ่ ตัง้ ขึน้ เป็นคณะวารสารศาสตร์ และสื่อสารมวลชนในช่วงทศวรรษ 1970เช่นเดียวกัน แต่สถาบันการศึกษาอีกส่วนหนึง่ ก็ขยายขอบเขตหลักสูตรการศึกษาออกไปครอบคลุมวาทะวิทยา และ ศิลปะการแสดง แล้วเรียกรวมว่านิเทศศาสตร์ (Communication Arts) ซึ่งต้องการให้หมายถึงทั้งศิลปะและ ศาสตร์ของการสื่อสาร (Art and Scienceof Communication) ดังเช่นในกรณีของคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปัจจุบันสถาบันการศึกษาส่วนใหญ่ในประเทศไทยนิยมใช้ค�ำว่า “นิเทศศาสตร์” ยกเว้นมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง และมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึง่ ต้องเน้นความส�ำคัญ ของวิชาการที่เกี่ยวกับสื่อมวลชน ซึ่งถือว่าเป็นสื่อหลักของสังคมมวลชน
25
ทฤษฎีการสื่อสาร ทฤษฎีการสื่อสารยุคปัจจุบัน ยุคนี้อาจแบ่งได้เป็น 2 ช่วง คือ ช่วงแรกตั้งแต่ประมาณปี 1980 ถึงประมาณปี1995 และช่วงที่สอง ประมาณปี 1990 จนถึงปัจจุบัน คือปี 2002 1. ในช่วงแรก มีแนวโน้มการพัฒนาแนวคิดทฤษฎีการสื่อสารมาใน 2 ทิศทาง คือ 1.การวิพากษ์เชิงองค์รวม (holistic approach criticism) ทีน่ ำ� โลกการสือ่ สารเข้าสูย่ คุ หลัง สมัยนิยม และ 2.การปฏิรูปแนวคิดและแนวทางการพัฒนาการสื่อสารในสังคมใหม่ 1.1 การวิพากษ์เชิงองค์รวม หมายถึง การที่นักคิด นักวิจัย จากสาขาวิชาต่างๆ หันมาใช้ความคิดเชิง องค์รวม วิเคราะห์และวิพากษ์การสื่อสารในระบบทุนนิยมเสรีของสังคมเศรษฐกิจการตลาด (liberal capitalism in market economy) ในเชิงเศรษฐกิจการเมือง เกิดกลุ่มทฤษฎีการครอบง�ำก�ำหนด (determinism)ที่วิพากษ์ว่าเทคโนโลยี ลัทธิสมัยนิยม และลัทธิการแพร่กระจายของรอเจอร์ส (Rogers’sDiffusionism) มีอำ� นาจในการก�ำหนดชะตา กรรมของประเทศ (fatalism) เทคโนโลยีสร้างสื่อให้เป็นพระเจ้า (dei ex machina) และ “เปิดโอกาสให้ ชนชั้นน�ำมีอ�ำนาจเหนือความรู้และการตัดสินใจของประชาชน” ตามทัศนะของ ฌ็อง ฟร็องซัวส์ ลีโอตาร์ด (JeanFrancois Lyotard) ในหนังสือเรื่อง “La Condition Postmoderne” (1979) มองลึกและกว้างไปในปรัชญาเชิงองค์รวม ฌาคส์แดริดา (Jacques Derrida)และมิแชล ฟูโกลต์ (Michel Foucault) สนับสนุนแนวคิดเชิงวิพากษ์ของลีโอตาร์ด และเสริมต่อว่าในยุคสือ่ หลากหลาย รัฐบาลและชนชัน้ น�ำยังได้ใช้เทคโนโลยีการสื่อสารควบคุมพฤติกรรมสังคมแบบตามจ�ำลอง “กวาดดูโดยรอบ” (panopticon) ซึ่งถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิและคุณค่าความเป็นมนุษย์ของประชาชน ทั้งสามนักวิชาการจึงได้เสนอแนวคิด ใหม่ที่เรียกว่า ลัทธิหลังสมัยนิยม (postmodernism) ถือว่าในสังคมใหม่ เอกชนต้องเข้ามามีบทบาทในการ สร้างระบบสารสนเทศเสรี (free flow of information) ทั้งในองค์กรและในสังคม สมควร กวียะ เสนอแนวคิดไว้เมื่อปี 1986 ว่า มองในแง่อ�ำนาจอิทธิพลของเทคโนโลยี เราอาจแบ่ง ประเทศในโลกออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มประเทศที่ก�ำหนดเทคโนโลยี และกลุ่มประเทศที่ถูกก�ำหนดโดย เทคโนโลยี กลุ่มแรกสร้างเทคโนโลยีเพื่อตอบสนองความต้องการของสังคม กลุ่มที่สองถูกเทคโนโลยีจากกลุ่ม แรกเข้ามาก�ำหนดวิถชี ีวิต และระบบเศรษฐกิจสังคมของประเทศ ก่อให้เกิดความเสียเปรียบทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมวัฒนธรรม ประเทศจะต้องใช้เงินมหาศาล เป็นต้นทุนของการท�ำเผือ่ ท�ำเกินอย่างฟุม่ เฟือย โดยไม่จ�ำเป็น (redundancy cost) รวมทั้งต้นทุนของการสูญเสียโอกาสในการผลิตเทคโนโลยีของตนเอง (opportunities cost) วิสาหกิจหรือการประกอบการ (entreprise) ในทศวรรษ 1980 มีลักษณะเป็นนามธรรม และหลาก หลายรูปแบบเต็มไปด้วยภาษาสัญลักษณ์ และกระแสการสื่อสารที่เป็นบ่อเกิดของการปรับโครงสร้าง และ ล�ำดับชั้นของการพึ่งพาอาศัยกันในระดับโลก แต่การต่อสู้แข่งขันที่ขยายขอบเขตและเพิ่มความเข้มข้นได้บีบ บังคับให้เจ้าของกิจการและผู้บริหารต้องน�ำความรุนแรง และความวิจิตรวิตถาร (violence and hardcore fantasy)ของศิลปะประยุกต์มาใช้ในการสื่อสารและวิทยายุทธ์การบริหารองค์กร
26
ทฤษฎีการสื่อสาร วัฒนธรรมการโฆษณาและการโฆษณาชวนเชื่อแอบแฝงตามแบบฮอลลีวูด(Hollywoodian hidden propaganda) แทรกซึมเข้าไปสูว่ ถิ แี ละวิธกี ารสือ่ สารของมนุษย์ในสังคมหลังสมัยใหม่ จนถึงขนาดทีอ่ าจมีสว่ น ในการสร้างวัฒนธรรมสงครามเย็นหรือแม้สงครามยิง 1.2 แนวโน้มที่สองในช่วงแรกของทฤษฎีการสื่อสารยุคปัจจุบัน คือการปฏิรูปแนวคิดและแนวทางของ การพัฒนาการสื่อสารในสังคมใหม่ สังคมใหม่ต้องอาศัยสารสนเทศเป็นปัจจัยหลักของการสร้างและธ�ำรงพัฒนาสังคม จึงต้องสร้างและ พัฒนาระบบสารสนเทศ ทั้งในองค์กรและในสังคม บนพืน้ ฐานแนวคิดจากรายงานเรือ่ ง L’ Informatisation de la Societe (การสร้างสังคมให้เป็นระบบ สารสนเทศ) ของซิมองโนรา และอะแลงแมงก์ (Simon Nora และAlain Minc) ที่เสนอต่อรัฐบาลฝรั่งเศส ใน ปี 1978 องค์กรกลายเป็นองค์กรสารสนเทศ(Information Organization) สังคมกลายเป็นสังคมสารสนเทศ (Information Society)ต้องอาศัยการสนับสนุนทางเทคโนโลยีจากระบบคอมพิวเตอร์ ซึง่ เป็นปัจจัยหลักของ การสร้างระบบสารสนเทศ (Informationization) สหรัฐอเมริกา ยุโรปตะวันตก และญี่ปุ่น จึงเริ่มวางแผนพัฒนานิทศทางนี้มาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 แผนของญี่ปุ่นด�ำเนินงานโดยบรรษัทโทรเลขและโทรศัพท์แห่งชาติ (NTT) ภายใต้โครงการ 15 ปี เพื่อพัฒนา ระบบเครือข่ายสารสนเทศ (InformationNetwork System) กลายเป็นแม่แบบส�ำคัญส�ำหรับสาธารณรัฐ เกาหลี มาเลเซีย และ ประเทศก�ำลังพัฒนาอีกหลายประเทศ จุดมุ่งหมายก็เพื่อน�ำเทคโนโลยีของชาติมาสร้าง สังคมสารสนเทศที่พึ่งตนเองได้ ต่อมาภายหลังความหมายของค�ำ “สังคมสารสนเทศ” ได้ขยายครอบคลุมมาถึงค�ำ “สังคมความรู้” (Knowledge Society) และ “สังคมสื่อสาร” (Cyber หรือCommunication Soiety) สังคมความรู้ หมายถึง สังคมสารสนเทศทีเ่ น้นสารสนเทศประเภทความรูส้ ำ� คัญกว่าประเภทอืน่ เพราะ เชื่อว่าความรู้คือสารสนเทศที่พิสูจน์สรุปแล้วว่าเป็นความจริง และมีสาระพร้อมจะน�ำไปใช้เป็นประโยชน์ต่อ ชีวิตและสังคมสังคมสื่อสาร คือ สังคมสารสนเทศที่ประชากรส่วนใหญ่มีเครื่องมือสื่อสารหรือเทคโนโลยี สารสนเทศ (Information Technology) พร้อมที่จะสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง อาณาบริเวณ ของการสื่อสาร ครอบคลุมทุกท้องถิ่นของสังคม และสามารถขยายออกไปได้ทั่วโลกในยุคโลกาภิวัตน์ (globalisation) ทฤษฎีโลกาภิวตั น์ถอื ก�ำเนิดขึน้ ในบทความเรือ่ ง Globalization ทีศ่ าสตราจารย์ธโี อดอร์ เววิตต์ (Theoder Levitt) เสนอในวารสาร “Harvard Business Review”เมื่อปี 1983 แม้ว่าก่อนหน้านั้นในช่วงหลัง สงครามโลกครั้งที่สอง มีการใช้ค�ำนี้กันแล้วในทางด้านการเงิน (financial globalization) มีความหมายถึง การค้าข้ามพรมแดนในระบบการเงินระหว่างประเทศ 2. ในช่วงที่สองของทฤษฎีการสื่อสารยุคปัจจุบัน ซึ่งเริ่มตั้งแต่ประมาณกลางทศวรรษ 1990 มาถึงปี 2002 นับว่าเป็นช่วงวิกฤตทางทฤษฎี (Theoritical Crisis) ที่ส�ำคัญมากอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ทฤษฎี การสื่อสาร ทั้งนี้เพราะถึงแม้โลกจะมีเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยเฉพาะระบบอินเตอร์เน็ตที่สามารถท�ำให้ทุก องค์กรและทุกสังคมติดต่อเชือ่ มโยงกันได้ในอาณาจักรไซเบอร์ (Cyberspace) หรือโลกไซเบอร์ (Cyberworld) แต่โลกภายใต้การบริหารจัดการขององค์กรโลก หรือสหประชาชาติก็ยังอยู่ในสภาพไร้ระเบียบและแตกแยก จลาจลกันจนถึงขั้นท�ำศึกสงคราม
27
ทฤษฎีการสื่อสาร รายงานการศึกษาปัญหาการสื่อสารของโลก โดยคณะกรรมาธิการ “แม็คไบรด์”ของยูเนสโก ได้พบมา ตั้งแต่ปี 1978 ว่า ในโลกหนึ่งเดียวนี้มีหลายความคิด หลายความเชื่อ หลายความเห็น (“Many Voices, One World” ชือ่ ของรายงานทีพ่ มิ พ์เป็นหนังสือ ในปี 1979) แต่ทโี่ ลกมีปญ ั หาก็เพราะว่าประเทศต่าง ๆ และสังคม วัฒนธรรมต่าง ๆ ไม่พยายามสือ่ สารท�ำความเข้าใจและประนีประนอมยอมรับกัน ทัง้ นีเ้ พราะมีทฐิ ใิ นลัทธิความ เชื่อของตน หรือมีผลประโยชน์ขัดแย้งกันในทางเศรษฐกิจการเมือง จนกระทั่งทศวรรษสุดท้ายของศตวรรษ ที่ 20 ทิฐิหรือความขัดแย้งเหล่านั้นก็ยังไม่บรรเทาเบาบาง แต่กลับยิ่งรุนแรงจนกลายเป็นความตึงเครียด ระหว่างภูมิรัฐศาสตร์ (geopolitics) ภูมิเศรษฐศาสตร์(geoeconomics) และภูมิสังคมวัฒนธรรม (geosocio-culture) อาณาจักรทางเศรษฐกิจของโลกขยายเข้าไปก้าวก่ายแทรกซ้อนกับอาณาจักรทางการเมือง การ ปกครอง ซึ่งมีความเหลื่อมล�้ำกันอยู่แล้วกับอาณาจักรทางสังคมวัฒนธรรม ความตึงเครียด (tension) กลาย เป็นความเครียดของโลก (world stress) ที่บั่นทอนทั้งสุขภาพกายและจิตของประชากร การท�ำศึกสงคราม การก่อการร้าย การต่อสู้เชิงกลยุทธ์เศรษฐกิจ หรือแม้แต่การแข่งขันกันในเชิง อุตสาหกรรม กลายเป็นสิ่งที่บ่อนท�ำลายคุณภาพชีวิต คุณภาพของสิ่งแวดล้อม หรือระบบนิเวศ โดยเฉพาะ อย่างยิ่ง ขวัญ ก�ำลังใจ และศักดิ์ศรีเกียรติภูมิของมนุษยชาติท้ายที่สุดความขัดแย้งในความเป็นจริงก็น�ำมาสู่ ความรู้สึกขัดแย้งในเชิงทฤษฎีเข้าท�ำนอง “สื่อยิ่งมาก การสื่อสารยิ่งน้อย” (The more the media, the less thecommunication) ซึง่ อาจจะเป็นเพราะว่าสือ่ ส่วนใหญ่มกั ถูกใช้เพือ่ สร้างสังคมบริโภคทีม่ นุษย์แข่งขัน กันด้วยการโฆษณาสินค้าฟุม่ เฟือย หรือโฆษณาชวนเชือ่ ลัทธิเศรษฐกิจการเมืองทีไ่ ม่คำ� นึงถึงสิทธิเสรีภาพและ คุณค่าของความเป็นมนุษย์ สื่อส่วนน้อยเท่านั้นที่ถูกใช้เพื่อสร้างสังคมสารสนเทศหรือสังคมความรู้ที่แท้จริง ซึ่งมนุษย์อยู่ร่วมกันด้วยสติปัญญาและคุณธรรมความรับผิดชอบร่วมกัน แต่เหตุผลทีแ่ น่นอนก็คอื ทฤษฎีการสือ่ สารตัง้ แต่กอ่ นยุคทฤษฎี ยุคสมัยนิยมยุคหลังสมัยนิยม แม้มกี าร วิพากษ์วิจารณ์ และปรับปรุงพัฒนามาแล้วเพียงใด ทฤษฎีการสื่อสารก็ยังอยู่ในกรอบของปรัชญาตะวันตกที่ เน้นเทคนิคนิยม (technism) มากกว่ามนุษยนิยม (humanism) และเป็นการสื่อสารทางเดียวมากกว่าการ สือ่ สารสองทาง ทัง้ นีเ้ พราะปรัชญาตะวันตกมีรากฐานมาจากลัทธิเทวนิยมแนวศาสนาคริสต์ (Christian theism) ซึง่ ถือว่าพระเจ้าองค์เดียวมีอำ� นาจเหนือมนุษย์ ถ่ายทอดมาเป็นกระบวนทัศน์การสือ่ สารเบือ้ งบนสูเ่ บือ้ ง ล่าง (top-down communication) จากผู้น�ำถึงประชาชน จากคนรวยถึงคนจน จากคนมีถึงคนไม่มี (have to have-not) จากนายทุนผูผ้ ลิตถึงประชาชนผูบ้ ริโภค จากผูม้ อี ำ� นาจทางเศรษฐกิจหรือการเมืองถึงผูบ้ ริโภค สัญญะ ซึ่งหมายถึงผู้จ่ายเงินส่วนหนึ่งซื้อความเป็นนามธรรมที่ไม่มีตัวตนของสินค้าหรืออุดมการณ์ การแสวงหากระบวนทัศน์ใหม่จึงค่อย ๆ เริ่มขึ้นในตอนต้นทศวรรณ 1990 และค่อยทวีความเข้มข้น จริงจังในครึง่ หลังของทศวรรษนีร้ ฐั ธรรมนูณฉบับ 2540 ของประเทศไทยได้รบั ทฤษฎีสอื่ มวลชนประชาธิปไตย มาเป็นแนวทางของรัฐ ในการปฏิรูปการสื่อสารมวลชนให้มีหลักประกันเสรีภาพ อิสรภาพความเสมอภาค ความรับผิดชอบ และประสิทธิภาพเพือ่ สาธารณประโยชน์ และเพือ่ สังคมตามทีบ่ ญ ั ญัตใิ นมาตรา 39, 40 และ 41 อมาตยา เสน (Amatya sen) นักเศรษฐศาสตร์ผู้ได้รับรางวัลโนเบล ในปี 1996เสนอทฤษฎีกระแสเสรี ของข่าวสารเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจ (free flow of information foreconomic development) ชี้ให้เห็นว่า ความเปิดกว้างของข่าวสาร (informationalopenness) จะส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยและระบอบ ประชาธิปไตยจะส่งเสริมการพัฒนาเศรษฐกิจทีแ่ ท้จริงและยัง่ ยืน เพราะผูน้ ำ� ในระบอบนีจ้ ะรับรูข้ อ้ มูลข่าวสาร
28
ทฤษฎีการสื่อสาร ที่ถูกต้องเพื่อการริเริ่มและด�ำเนินโครงการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ โจเซฟ สติกลิทซ์ (Joseph Stiglitz) นักเศรษฐศาสตร์อีกคนหนึ่งที่ได้รับรางวัลโนเบล ในปี 2000 เสนอ ทฤษฎีสารสนเทศอสมมาตร (Asymetric Information) แสดงเป็นสมการว่าความแตกต่างทางสารสนเทศ ท�ำให้เกิดความแตกต่างระหว่างกลุ่มคนรวยกับคนจน เช่น การรับรู้ข่าวสารเรื่องสัมปทานของรัฐเร็วกว่าหรือ ดีกว่าย่อมได้เปรียบในการยืน่ ซองประกวดราคา ท�ำให้มโี อกาสดีกว่าในการได้มาซึง่ สัมปทาน ท�ำให้มโี อกาสที่ จะเพิ่มความร�่ำรวยยิ่งกว่าคนที่มิได้รับรู้ข่าวสารเกี่ยวกับสัมปทาน ทฤษฎีนี้ยืนยันถึงบทบาทส�ำคัญของการเผยแพร่สารสนเทศเพื่อการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ทว่า การเผยแพร่สารสนเทศนั้นจะต้องยึดหลักความโปร่งใส ความเสมอภาค และความรับผิดชอบต่อสังคมโดย รวม ไม่วา่ จะเป็นการเผยแพร่สารสนเทศของสื่อประเภทใด การท�ำงานบนพื้นฐานอุดมการณ์ดงั กล่าว จึงต้อง มีอิสรภาพในทางวิชาชีพ(professional independence) ซึ่งถือว่าเป็นจริยธรรมที่ส�ำคัญ ในช่วงเวลาเดียวกัน สมควร กวียะ ได้นำ� เอาทฤษฎีความรับผิดชอบต่อสังคม มาปฏิรปู การประชาสัมพันธ์ แบบดั้งเดิม สร้างเป็นทฤษฎีการประชาสัมพันธ์ใหม่ที่เรียกว่า การสื่อสารองค์กรเชิงบูรณาการ (Integrated Oraganizational Communication)ทฤษฎีนี้เสนอว่าองค์กรจะต้องปรับเปลี่ยนปรัชญา (1) จากการสื่อสาร มิตเิ ดียวมาเป็นการสือ่ สารหลายมิติ (multi-dimensional communication) ใช้หลายสือ่ หลายทิศทางและ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมทั้งองค์กรและสังคมอย่างเป็นธรรม (2) จากการสื่อสารถึงสาธารณชนหรือมวลชน มาเป็นการสือ่ สารกับสมาชิกของสังคม เน้นสังคมภายในองค์กรและชุมชนรอบองค์กร ก่อนขยายขอบเขตออก ไปสูอ่ งค์กรอืน่ และสังคมมวลชน (3) จากการสือ่ สารโน้มน้าวใจให้คล้อยตามมาเป็นการสือ่ สารเพือ่ สร้างความ เป็นหนึง่ เดียวบนพืน้ ฐานความแตกต่าง (oneness of differences) ของความรู้ ความคิด และบทบาทหน้าที่ (4) จากการสื่อสารเพื่อสร้างเสริมภาพลักษณ์ (mind image) ขององค์กรเพียงด้านเดียวมาเป็นการสื่อสาร เพื่อส่งเสริมภาพจริง (real image) ที่แสดงความรับผิดชอบขององค์กรต่อสังคมต่อโลกและต่อชีวิตของเพื่อน มนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายขององค์กรหรือไม่ แต่การเปลีย่ นกระบวนทัศน์ (paradingm shift) ทีม่ คี วามหมายความส�ำคัญมาก เริม่ ต้นโดย ฟริตจอฟ คาปรา (Fritjof Capra) นักวิจัยสาขาฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยเวียนนา ซึ่งต่อมาได้เป็นผู้อ�ำนวยการศูนย์นิเวศ ศึกษา (Ecoliteracy) ที่มหาวิทยาลัยเบิร์กเลย์ แคลิฟอร์เนีย ในปี 1975 เขาจุดประกายกระบวนทัศน์ใหม่เชิง ปรัชญาฟิสิกส์ในหนังสือเรื่อง The Tao of Physics (เต๋าแห่งฟิสิกส์) โดยการประยุกต์ทฤษฎีแนวปรัชญา ตะวันออกโดยเฉพาะฮินดู พุทธ และเต๋า เข้าบูรณาการกับสัจธรรมทางวิทยาศาสตร์ที่ค้นพบใหม่ในศตวรรษ ที่ 20 อาทิ ทฤษฎีควอนตัม (Quantum Theory) และทฤษฎีจกั รวาลวิทยาต่างๆ (Cosmological Theories) เสนอให้เห็นคุณค่าเชิงวิทยาศาสตร์ของปรัชญาตะวันออกทีส่ มควรจะน�ำมาปฏิรปู สังคมทีไ่ ด้ถกู กระท�ำให้เป็น ทาสความคิดของตะวันตกตลอดมา ปี 1982 เขาเสนอปรัชญาสังคมแนวใหม่เชิงองค์รวมในหนังสือเรื่อง “TheTurning Point” (จุด เปลี่ยนแปลงแห่งศตวรรษ) เสนอให้ใช้การคิดเชิงองค์รวม (holisticthinking) ในการแก้ปัญหาของสังคมและ ของโลก โดยเฉพาะอย่างยิง่ ให้สอื่ มวลชนค�ำนึงถึงสิง่ แวดล้อม มีจติ ส�ำนึกทีจ่ ะท�ำความรูจ้ กั เข้าใจ ช่วยอนุรกั ษ์ ระบบนิเวศ และส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน
29
ทฤษฎีการสื่อสาร ในปี 1996 หนังสือเรื่อง “The Web of Life” (ใยแห่งชีวิต) ของเขา ปฏิรูปปรัชญาวิทยาศาสตร์บน พื้นฐานทฤษฎีระบบ (Systems Theories) ทฤษฎีไซเบอร์เนติกส์ และทฤษฎีเกยา (Gaia Theory) ของเจมส์ เลิฟล๊อก (James Lovelock) ทีเ่ สนอว่า โลกก็เป็นสิง่ มีชวี ติ เป็นอภิชวี ติ (Superbeing) ทีช่ วี ติ ทัง้ หลายอยูร่ ว่ ม กันเป็นสหชีวิต(symbiosis) เช่นเดียวกับที่แบคทีเรียนับแสนล้านมีชีวิตร่วมกันกับร่างกายมนุษย์ สรุปให้เห็น ว่าการสื่อสารหรือสันนิธานกรรม (communication) คือความเชื่อมโยงระหว่างกัน(interconnectedness) ของทุกระบบ ระบบชีวิต ระบสังคม ระบบโลก เป็นกระบวนการเชื่อมโยงด้วยสารสนเทศในรูปแบบของ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างการป้อนไปและการป้อนกลับ (feed forward – feedback interacfion) ท�ำให้ทุกส่วน ของระบบติดต่อเชื่อมโยงกันตามหลักปรัชญาของนิเวศวิทยาแนวลึก (deep ecology) จากพื้นฐานแนวคิดหนังสือสามเล่มของฟริตจอฟ คาปรา สมควร กวียะพยายามน�ำมาสร้างเป็นกระ บวนทัศน์ใหม่ของการสื่อสารมวลชน ในหนังสือเรื่องนิเวศนิเทศ (Eco-communication) ในปี 1997 นิเวศวิทยาเป็นแนวคิดการสือ่ สารเชิงนิเวศวิทยา (Ecological Communication) ทีเ่ สนอให้สอื่ มวลชน เปลีย่ นมโนทัศน์ของการท�ำงาน จากการเสนอข่าวสารตามกระแสในรูปแบบดัง้ เดิมของวารสารศาสตร์อเมริกนั (American journalism) ซึ่งวางรากฐานหยั่งลึกมาตั้งแต่ต้นศตวรรษมาเป็นการเฝ้าติดตามสืบสวนสอบสวน พฤติกรรมและผลกระทบของอุตสาหกรรมเชิงลบ (negative industry) ที่มีต่อระบบนิเวศ ดิน น�้ำอากาศ อาหาร ชีวิต และโลก สื่อมวลชนใหม่จะต้องมีจิตส�ำนึกรับผิดชอบอย่างลึกซึ้งต่อความเสื่อมโทรมของชีวิตโลก และหลีกเลีย่ งการโฆษณาสนับสนุนผลิตภัณฑ์ทกี่ ำ� ลังก่อให้เกิดผลกระทบเชิงลบระยะยาวต่อพิภพ (The Earth) ซึ่งเป็นที่อยู่แห่งเดียวและอาจจะเป็นแหล่งสุดท้ายของมนุษยชาติ ส�ำหรับกระบวนทัศน์ใหม่ทเี่ กีย่ วข้องกับการสือ่ สารภายในบุคคล และการสือ่ สารระหว่างบุคคล มีความ เคลื่อนไหวที่น่าสนใจในการเสนอทฤษฎีปัญญาแห่งจิตวิญญาณ (Spiritual Intelligence Quotient หรือ SQ) ในสหรัฐอเมริกา โดยไมเคิล เพอร์ซิงเกอร์ (Micheal Persinger) นักจิตประสาทวิทยา เริ่มต้นในปี 1990 แต่มีการขยายความคิดโดย วีเอส รามจันทรัน (V.S. Ramachandran) แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ในปี 1997 และเป็นที่ยอมรับกว้างขวางในปี 2000 เมื่อมิเชล เลวิน (Michel Levin) เขียนหนังสือเรื่อง “Spiritual Intelligence Awakening the Power of Your Spiritualityand Intuition” เส้นทางเดินของปัญญาแห่งจิตวิญญาณ (Paths of SQ) มี 6 ประการคือ การรู้จักหน้าที่ (Duty) การ รู้จักทะนุถนอม (Nurturing) การแสวงหาความรู้ (Knowledge)การปรับเปลี่ยนลักษณะตน (Personal Transformation) การสร้างภราดรภาพ (Brotherhood) และการเป็นผู้น�ำแบบบริการ (Servant Leadership) ทฤษฎีปญ ั ญาแห่งจิตวิญญาณ เป็นแนวคิดใหม่ในการพัฒนาการสือ่ สารของมนุษย์ คล้ายทฤษฎีเส้นทาง ทีป่ ราศจากกาลเวลา (The Timeless Way) ของดีปกั โชปรา(Deepak Chopra) ในหนังสือ “Ageless Body, Timeless mind” (1993) ที่เสนอว่ามนุษย์จะต้องรู้จักใช้ธรรมะหรือพลังแห่งวิวัฒนาการ (power of evolution) มาเป็นพลังสร้างสรรค์ร่างกายและจิตใจ โดยปฏิบัติตนในเส้นทางที่ปราศจากกาลเวลาหรือความ เสื่อมโทรมตามอายุขัยที่เร็วเกินควร คือ (1) รู้จักชื่นชมกับความเงียบ (silence) (2) รู้จักความสัมพันธ์เชิงบวกของตนกับธรรมชาติ (nature) (3) ไว้วางใจในความรู้สึกของตนเอง (trust in own feeling)
30
ทฤษฎีการสื่อสาร (4) มีความมั่นคงในท่ามกลางความสับสนวุ่นวาย (self – centered amidchaos) (5) รู้จักเล่นสนุกสนานเหมือนเด็ก (childlike fantasy and play) (6) มั่นใจในสติสัมปชัญญะของตน (trust in own conscionsness) และ (7) ไม่ยึดติดความคิดดั้งเดิมแต่สร้างเสริมความคิดสร้างสรรค์ตลอดเวลา (non– attachment but openness to won creativity) ทั้งทฤษฎีปัญญาแห่งจิตวิญญาณ (SQ) และทฤษฎีเส้นทางที่ปราศจากกาลเวลา (Timeless Way) นับ ว่าเป็นพัฒนาการมาสู่กระบวนทัศน์ใหม่ของทฤษฎีการสื่อสารภายในบุคคลที่เริ่มต้นโดยซิกมุนด์ฟรอยด์ และ ทฤษฎีการสื่อสารระหว่างบุคคลที่เริ่มต้นโดยฟริตซ์ไฮเดอร์ เป็นการน�ำเอาจริยศาสตร์มาผสมผสานเป็น จริยธรรมการสื่อสารของมนุษย์ (Ethics of Human Communication) ที่ถูกท�ำให้เสื่อมโทรมมาหลาย ทศวรรษ โดยลัทธิบริโภค และกระแสโลกาภิวัตน์ของระบอบทุนนิยมเสรีโดยเฉพาะอย่างยิ่งทฤษฎีเส้นทางที่ ปราศจากการเวลา มีส่วนช่วยสนับสนุนให้เกิดกระบวนทัศน์ล�้ำสมัยและแนวอนาคต (ultramodernist and futuristic paradigm)ทีม่ เี วลาเข้ามาเป็นปัจจัยส�ำคัญของสารสนเทศและการสือ่ สารทุกประเภท นัน่ คือ ทฤษฎี สารเวลา (The Infotime Theory) ซึ่ง สมควร กวียะ ได้น�ำเสนอต่อที่ประชุมราชบัณฑิตส�ำนักธรรมศาสตร์ และการเมือง เมื่อเดือนมีนาคม 2002 หลังจากที่ได้วิจัยและพัฒนามาตั้งแต่ปี 1997 ทฤษฎีสารเวลามาจากการวิจัยเชิงทดลองทางความคิด (thought experiment) บนพื้นฐานความคิด เชิงองค์รวม และความรูท้ างนิเทศศาสตร์ มนุษศาสตร์สงั คมศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ทกุ แขนง ได้รบั แรงบันดาล ใจจากแนวคิดทฤษฎีของพระพุทธองค์ ไอน์สไตน์ ดาร์วิน ฟรอยด์ ชรามม์ วีเนอร์ คาปรา โชปรา และโดย เฉพาะอย่างยิ่งสตีเฟน ฮอว์คิง (Stephen Hawking) ในหนังสือเรื่อง “A Brief History ofTime” (1990) ตามทฤษฎีสารเวลาสาร (Information) หมายถึงทุกสรรพสิง่ ในเอกภพ คือสารทางกายภาพ (Physical Information) สารทางชีวภาพ (Biological Information) สารทางสมอง (Brain Information) และสาร นอกร่างกาย (Extrasomatic Information)หรือสารสังคม (Social Information) การสือ่ สาร คือการสร้างสภาพร่วมระหว่างผูส้ อื่ สาร (commonness-making)หรือการสร้างความเป็น หนึ่งเดียว (oneness-making) ของทุกสาร นับตั้งแต่อะตอมโมเลกุล ดาวฤกษ์ กาแล็กซี่ หรือดาราจักร ดาว เคราะห์ ชีวิต สังคม มาจนถึงองค์กร การสื่อสารเป็นกระบวนการพลวัตของความเชื่อมโยงติดต่อระหว่างกัน (dynamic process of intyerconnectedness) ที่ก่อให้เกิดสารหรือระบบ (informationor system) แต่จากทฤษฎีเวลาทั้งในทางวิทยาศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์พบว่าการสื่อสารอย่างเดียว ไม่พอที่จะเกิดให้เกิดระบบได้ ระบบต้องมีกระบวนการเปลี่ยนแปลงโดยตลอด (perpetual change) นับ ตั้งแต่การเกิดไปจนถึงการตาย ทุกระบบหรือทุกสารจึงต้องมีเวลาเป็นองค์ประกอบที่จะขาดเสียมิได้ เรียกรวม เสียใหม่ว่า สารเวลา หรือ Infotime... สารคือโครงสร้างและกระบวนการก็คือ เวลา ซึ่งจะต้องรวมกันเป็นหนึ่งเดียว โดยสรุป ทฤษฎีสารเวลาก็คือ สมมติฐานหลักของทฤษฎีการสื่อสารหรือสันนิธานกรรมทั่วไป (The General Communication Theory) ซึ่งคาดว่าจะเป็นปฐมบทส�ำคัญ (major postulate) ส�ำหรับทฤษฎี ของทุกสิ่งทุกอย่าง (The Theory of Everything and Every Non-Thing) สูตรการสื่อสารของลาสแวลล์ (Lesswell)
31
ทฤษฎีการสื่อสาร ฮาโรลด์ ลาสแวลล์ (Harold Lasswell) ได้ท�ำการวิจัยในเรื่องการสื่อสารมวลชนไว้ในปี พ.ศ. 2491 และได้คดิ สูตรการสือ่ สารทีถ่ งึ พร้อมด้วยกระบวนการสือ่ สารทีส่ อดคล้องกัน โดยในการสือ่ สารนัน้ จะต้องตอบ ค�ำถามต่อไปนี้ให้ได้คือ ใคร พูดอะไร โดยวิธีการและช่องทางใด ไปยังใคร ด้วยผลอะไร สูตรการสื่อสารของลาสแวลล์เป็นที่รู้จักกันอย่างแร่หลายและเป็นที่นิยมใช้กันทั่วไปโดยสามารถน�ำมา เขียนเป็นรูปแบบจ�ำลองและเปรียบเทียบกับองค์ประกอบของ การสื่อสารได้ดังนี้ ในการที่จะจัดให้การเรียนการสอนเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพดีนั้น เราสามารถน�ำสูตรของลาสแวลล์ มาใช้ได้เช่นเดียวกับการสื่อสารธรรมดา คือ •ใคร (Who) เป็นผู้ส่งหรือท�ำการสื่อสาร เช่น ในการอ่านข่าว ผู้อ่านข่าวเป็นผู้ส่งข่าวารไปยังผู้ฟังทาง บ้าน ในสถานการณ์ในห้องเรียนธรรมดาก็เช่นเดียวกันย่อมเป็นการพูดระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน หรือการที่ผู้ เรียนกลายเป็นผูส้ ง่ โดยการตอบสนองกลับไปยังผูส้ อน แต่ถา้ เป็นการสอนโดยใช้ภาพยนตร์หรือโทรทัศน์ ตัวผู้ ส่งก็คือภาพยนตร์หรือโทรทัศน์นั้น •พูดอะไร ด้วยวัตถุประสงค์อะไร (Says what, with what purpose) เป็นสิง่ ทีเ่ กีย่ วกับ เนือ้ หาข่าวสาร ทีส่ ง่ ไป ผูส้ ง่ จะส่งเนือ้ หาอะไรโดยจะเป็นข่าวสารธรรมดาเพือ่ ให้ผรู้ บั ทราบความเคลือ่ นไหวของเหตุการณ์ตา่ ง ๆ ในแต่ละวัน หรือเป็นการให้ความรู้โดยที่ผู้สอนจะต้องทราบว่าจะสอนเรื่องอะไร ท�ำไมจึงจะสอนเรื่องนั้น สอนเพื่อวัตถุประสงค์อะไร และคาดว่าจะได้รับการตอบสนองจากผู้เรียนอย่างไรบ้าง •โดยใช้วิธีการและช่องทางใด (By what means, in what channel) ผู้ส่ง ท�ำการส่งข่าวสารโดยการ พูด การแสดงกริยาท่าทาง ใช้ภาพ ฯลฯ หรืออาจจะใช้อุปกรณ์ระบบไฟฟ้า เช่น ไมโครโฟน หรือเครื่องเล่นวี ซีดีเพื่อถ่ายทอดเนื้อหาข่าวสารให้ผู้รับรับได้โดยสะดวก ถ้าเป็นในการเรียนการสอน ผู้สอนอาจจะสอนโดย การบรรยายหรือใช้สื่อสารสอนต่าง ๆ เพื่อช่วยในการส่งเนื้อหาบทเรียนไปให้ ผู้เรียนรับและเข้าใจได้อย่างถูก ต้องท�ำให้เกิดการเรียนรู้ขึ้น •ส่งไปยังใคร ในสถานการณ์อะไร (To whom, in what situation) ผู้ส่งจะส่งข่าวสารไปยัง ผู้รับเป็น ใครบ้าง เนื่องในโอกาสอะไร เช่น การอ่านข่าวเพื่อให้ผู้ฟังทางบ้านทราบถึงเหตุการณ์ ประจ�ำวัน หรือแสดง การท�ำกับข้าวให้กลุ่มแม่บ้านชม ผู้ส่งย่อมต้องทราบว่าผู้รับเป็นกลุ่มใดบ้างเพื่อสามารถเลือกสรรเนื้อหาและ วิธีการส่งให้เหมาะสมกับผู้รับ การเรียนการสอนก็เช่นเดียวกัน การสอน ผู้เรียนอายุ 8 ปีกับอายุ 15 ปีต้องมี วิธีการสอนและการใช้สื่อการสอนต่างกัน ผู้สอนต้องทราบถึงระดับสติปัญญาความสามารถและภูมิหลังของ ผูเ้ รียนแต่ละคนว่ามีความแตกต่างกันอย่างไรบ้างตลอดจน สิง่ อ�ำนวยความสะดวกต่าง ๆ และสิง่ แวดล้อมทาง กายภาพของการเรียน เช่น มีสอื่ การสอนอะไรทีจ่ ะน�ำมาใช้สอนได้บา้ ง สภาพแวดล้อมห้องเรียนทีจ่ ะสอนเป็น อย่างไร ฯลฯ •ได้ผลอย่างไรในปัจจุบัน และอนาคต (With what effect, immediate andlong term ?) การส่ง ข่าวสารนัน้ เพือ่ ให้ผรู้ บั ฟังผ่านไปเฉย ๆ หรือจดจ�ำด้วยซึง่ ต้องอาศัยเทคนิควิธกี ารทีแ่ ตกต่างกัน และเช่นเดียวกัน กับในการเรียนการสอนที่จะได้ผลนั้น ผู้สอนจะต้องตระหนักอยู่เสมอว่าเมื่อสอนแล้ว ผู้เรียนจะได้รับความรู้ เกิดการเรียนรูม้ ากน้อยเท่าใด และสามารถจดจ�ำความรูท้ ไี่ ด้รบั นัน้ ได้นานเพียงใด โดยทีผ่ เู้ รียนอาจได้รบั ความ รู้เพียงบางส่วนหรือไม่เข้าใจเลยก็ได้ การวัดผลของการถ่ายทอดความรู้นั้นอาจท�ำได้ยาก
32
ทฤษฎีการสื่อสาร ทฤษฏี SMCR ของเบอร์โล (Berio) เดวิด เค. เบอร์โล (David K.Berlo) ได้พัฒนาทฤษฎีที่ผู้ส่งจะส่งสารอย่างไร และผู้รับจะรับ แปลคว วามหมาย และมีการโต้ตอบกับสารนั้นอย่างไร
ทฤษฏี S M C R ประกอบด้วย
•ผู้ส่ง (source) ต้องเป็นผู้ที่มีทักษะความช�ำานาญในการสื่อสารโดยมีความสามารถใน “การเข้ารหัส” (encode) เนื้อหาข่าวสาร มีทัศนคติที่ดีต่อผู้รับเพื่อผลในการสื่อสารมีความรู้อย่างดีเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารที่ จะส่ง และควรจะมีความสามารถในการปรับระดับของข้อมูลนัน้ ให้เหมาะสมและง่ายต่อระดับความรูข้ องผูร้ บั ตลอดจนพื้นฐานทางสังคมและวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับผู้รับด้วย •ข้อมูลข่าวสาร (message) เกี่ยวข้องด้านเนื้อหา สัญลักษณ์ และวิธีการส่งข่าวสาร •ช่องทางในการส่ง (channel) หมายถึง การที่จะส่งข่าวสารโดยการให้ผู้รับได้รับข่าวสาร ข้อมูลโดย 33
ทฤษฎีการสื่อสาร ผ่านประสานทสัมผัสทั้ง 5 หรือเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง คือ การได้ยินการดู การสัมผัส การลิ้มรส หรือการได้ กลิ่น •ผู้รับ (receiver) ต้องเป็นผู้มีทักษะความช�ำนาญในการสื่อสารโดยมีความสามารถใน “การถอดรหัส” (decode) สาร เป็นผู้ที่มีทัศนคติ ระดับความ และพื้นฐานทางสังคมวัฒนธรรม เช่นเดียวหรือคล้ายคลังกัน กับผูส้ ง่ จึงจะท�ำให้การสือ่ สารความหมายหรือการสือ่ สารนัน้ ได้ผลตามลักษณะของทฤษฏี S M C R นี้ มีปจั จัย ทีม่ คี วามส�ำคัญต่อขีดความสามารถของผูส้ ง่ และรับทีจ่ ะท�ำการสือ่ สารความหมายนัน้ ได้ผลส�ำเร็จหรือไม่เพียง ใด ได้แก่ •ทักษะในการสื่อสาร (communication skills) หมายถึง ทักษะซึ่งทั้งผู้ส่งและผู้รับควรจะมีความ ช�ำนาญในการส่งและการรับการเพือ่ ให้เกิดความเข้าใจกันได้อย่างถูกต้อง เช่น ผูส้ ง่ ต้องมีความสามารถในการ เข้ารหัสสาร มีการพูดโดยการใช้ภาษาพูดที่ถูกต้อง ใช้ค�ำพูดที่ชัดเจนฟังง่าย มีการแสดงสีหน้าหรือท่าทางที่ เข้ากับการพูด ท่วงท�ำนองลีลาในการพูดเป็นจังหวะ น่าฟัง หรือการเขียนด้วยถ้อยค�ำส�ำนวนที่ถูกต้องสละ สลวยน่าอ่าน เหล่านีเ้ ป็นต้น ส่วนผูร้ บั ต้องมีความสามารถในการถอดรหัสและมีทกั ษะทีเ่ หมือนกันกับผูส้ ง่ โดย มีทักษะการฟังที่ดี ฟังภาษาที่ผู้ส่งพูดมารู้เรื่อง หรือสามารถอ่านข้อความที่ส่งมานั้นได้ เป็นต้น •ทัศนคติ (attitudes) เป็นทัศนคติของผู้ส่งและผู้รับซึ่งมีผลต่อการสื่อสาร ถ้าผู้ส่งและผู้รับ มีทัศนคติ ที่ดีต่อกันจะท�ำให้การสื่อสารได้ผลดี ทั้งนี้เพราะทัศนคติย่อมเกี่ยวโยงไปถึงการยอมรับซึ่งกันและกันระหว่าง ผูส้ ง่ และผูร้ บั ด้วย เช่น ถ้าผูฟ้ งั มีความนิยมชมชอมในตัวผูพ้ ดู ก็มกั จะมีความเห็นคล้อยตามไปได้งา่ ย แต่ในทาง ตรงข้าม ถ้าผูฟ้ งั มีทศั นคติไม่ดตี อ่ ผูพ้ ดู ก็จะฟังแล้วไม่เห็นชอบด้วยและมีความเห็นขัดแย้งในสิง่ ทีพ่ ดู มานัน้ หรือ ถ้าทัง้ สองฝ่ายมีทศั นคติไม่ดตี อ่ กันท่วงท�ำนองหรือน�ำเสียงในการพูดก็อาจจะห้วนห้าวไม่นา่ ฟังแต่ถา้ มีทศั นคติ ที่ดีต่อกันแล้วมักจะพูดกันด้วยความไพเราะอ่านหวานน่าฟัง เหล่านี้เป็นต้น •ระดับความรู้ (knowledge levels) ถ้าผู้ส่งและผู้รับมีระดับความรู้เท่าเทียมกันก็จะท�ำให้การสื่อสาร นัน้ ลุลว่ งไปด้วยดี แต่ถา้ หากความรูข้ องผูส้ ง่ และผูร้ บั มีระดับทีแ่ ตกต่างกันย่อมจะต้องมีการปรับปรุงความยาก ง่ายของข้อมูลที่จะส่งในเรื่องความยากง่ายของภาษาและถ้อยค�ำส�ำนวนที่ใช้ เช่น ไม่ใช่ค�ำศัพท์ทางวิชาการ ภาษาต่างประเทศหรือถ้อยค�ำยาว ๆ ส�ำนวนสลับซับซ้อน ทั้งนี้เพื่อให้สะดวกและง่ายต่อความเข้าใจ ตัวอย่าง เช่น การที่หมอรักษาคนไข้แล้วพูดแต่ค�ำศัพท์การแพทย์เกี่ยวกับโรคต่าง ๆ ย่อมท�ำให้คนไข้ไม่เข้าใจว่าตนเอง เป็นโรคอะไรแน่หรือพัฒนากรจากส่วนกลางออกไปพัฒนาหมู่บ้านต่างๆ ในชนบทเพื่อให้ค�ำแนะน�ำทางด้าน การเกษตรและเลีย้ งสัตว์แก่ชาวบ้าน ถ้าพูดแต่ศพั ท์ทางวิชาการโดยไม่อธิบายด้ายถ้อยค�ำภาษาง่าย ๆ หรือไม่ ใช้ภาษาท้องถิ่นก็จะท�ำให้ชาวบ้านไม่เข้าใจหรือเข้าใจผิดได้ หรือในกรณีของการใช้ภาษามือของผู้พิการทาง โสต ถ้าผู้รับไม่เคยได้เรียนภาษามือ มาก่อนท�ำให้ไม่เข้าใจและไม่สามารถสื่อสารกันได้ เหล่านี้เป็นต้น •ระบบสังคมและวัฒนธรรม (socio - culture systems) ระบบสังคมและวัฒนธรรมในแต่ละชาติเป็น สิง่ ทีม่ สี ว่ นก�ำหนดพฤติกรรมของประชาชนในประเทศนัน้ ๆซึง่ เกีย่ วข้องไปถึงขนบธรรมเนียมประเพณีทยี่ ดึ ถือ ปฏิบัติ สังคมและวัฒนธรรมในแต่ละชาติย่อมมีความแตกต่างกัน เช่น การให้ความเคารพต่อผู้อาวุโส หรือ วัฒนธรรมการกินอยู่ ฯลฯ ดังนั้น ในการติดต่อสื่อสารของบุคคลต่างชาติต่างภาษา จะต้องมีการศึกษาถึงกฎ ข้อบังคับทางศาสนาของแต่ละศาสนาด้วย
34
ทฤษฎีการสื่อสาร การสื่อสารทางเดียวเชิงเส้นตรงของแชนนันและวีเวอร์ คล็อด อี. แชนนัน (Claude E.Shannon) และวอร์เรนวีเวอร์ (WarrenWeaver) ได้คิดทฤษฏีการ สื่อสารทางเดียวเชิงเส้นตรง การสื่อสารเริ่มด้วยผู้ส่งซึ่งเป็นแหล่งข้อมูลท�ำหน้าที่ส่งเนื้อหาข่าวสารเพื่อส่งไป ยังผู้รับ โดยผ่านทางเครื่องส่งหรือตัวถ่ายทอดในลักษณะของสัญญาณที่ถูกส่งไปในช่องทางต่าง ๆ กันแล้วแต่ ลักษณะของการส่งสัญญาณแต่ละประเภท เมื่อทางฝ่ายผู้ได้รับสัญญาณแล้ว สัญญาณที่ได้รับจะถูกปรับให้ เหมาะสมกับเครือ่ งรับหรือการรับเพือ่ ท�ำการแปลสัญญาณให้เป็นเนือ้ หาข่าวสารนัน้ อีกครัง้ หนึง่ ให้ตรงกับทีผ่ ู้ ส่งส่งมาก ในขึ้นนี้เนื้อหาที่รับจะไปถึงจุดหมายปลายทางคือผู้รับตามที่ต้องการ แต่ในบางครั้งสัญญาณที่ส่ง ไปอาจถูกรบกวนหรืออาจมีบางสิ่งบาง อย่างมาขัดขวางสัญญาณนั้น ท�ำให้สัญญาณที่ส่งไปกับสัญญาณที่ได้ รับมีความแตกต่างกันเป็นเหตุให้เนือ้ หาข่าวสารทีส่ ง่ จากแหล่งข้อมูลไปยังจุดหมายปลายทางอาจผิดเพีย้ นไป นับเป็นความล้มเหลวของการสือ่ สารเนือ่ งจากทีส่ ง่ ไปกับข้อมูลทีไ่ ด้รบั ไม่ตรงกัน อันจะท�ำให้เกิดการแปลความ หมายผิดหรือความเข้าใจผิดในการสื่อสารกันได้ จากทฤษฏีการสื่อสารนี้พิจารณาได้ว่า แชนนันและวีเวอร์สนใจว่าเมื่อมีการสื่อสารกันจะมีอะไรเกิดขึ้น กับข้อมูลข่าวสารที่ส่งไปนั้น ไม่ว่าจะเป็นการส่งโดยผ่านอุปกรณ์ระบบไฟฟ้า หรือการส่งโดยใช้สัญญาณต่าง ๆ เช่น เมื่อมีการเปิดเพลงออกอากาศทางสถานีวิทยุ เสียงเพลงนั้นจะถูกแปลงเป็นสัญญาณและส่งด้วยการ ล�้ำสัญญาณ(modulation) จากสถานีวิทยุไปยังเครื่องรับวิทยุ โดยเครื่องรับจะแปลงสัญญาณคลื่นนั้นเป็น เพลงให้ผู้รับได้ยิน ในขณะที่สัญญาณถูกส่งไปจะมีสิ่งต่าง ๆ “สิ่งรบกวน” (noisesource) เช่น ในการส่งวิทยุ ระบบ AM สัญญาณจะถูกรับกวนโดยไฟฟ้าในบรรยากาศหรือในขณะที่ครูฉายวิดีทัศน์ในห้องเรียน การรับภาพและเสียงของผู้เรียนถูกระกวนโดยสิ่งรบกวนหลายอย่าง เช่น แสงที่ตกลงบนจอโทรทัศน์ และเสียงพูดคุยจากภายนอก เป็นต้น หรืออีกตัวอย่างหนึ่งเช่นการพูดโทรศัพท์ ผู้ที่เริ่มต่อโทรศัพท์จะเป็นผู้ ส่งเพื่อส่งข่าวสารโดยอาศัยโทรศัพท์เป็นเครื่องส่งเมื่อผู้ส่งพูดไปเครื่องโทรศัพท์จะแปลงค�ำพูดเป็นสัญญาณ ไฟฟ้าส่งไปตามสายโทรศัพท์ เมือ่ สัญญาณไฟฟ้านัน้ ส่งไปยังเครือ่ งรับโทรทัศน์ของหมายเลขทีต่ ดิ ต่อก็จะมีเสียง ดังขึน้ และเมือ่ มีผรู้ บั โทรศัพท์เครือ่ งนัน้ ก็จะแปลงสัญญาณไฟฟ้าให้กลับเป็นค�ำพูดส่งถึงผูร้ บั หรือผูฟ้ งั ซึง่ เป็น จุดหมายปลายทางของการสื่อสาร แต่ถ้าระหว่างที่ส่งสัญญาณไปมีสิ่งรบกวน
35
Information Source
36
Message
Transitter
Signal
Noise Source
Received Signal
Received
SHANNON-WEAVER COMMUNICATION MODEL (1949)
Message
Destination
ทฤษฎีการสื่อสาร
ทฤษฎีการสื่อสาร สัญญาณ เช่น ฝนตกฟ้าคะนอง ก็จะท�ำให้สัญญาณที่ได้รับถูกรบกวนสั่นสะเทือนอาจรับไม่ได้เต็มที่เป็นเหตุ ให้การฟังไม่ชัดเจน ดังนี้เป็นต้น จึงสรุปได้ว่า “สิ่งรบกวน” คือ สิ่งที่ท�ำให้สัญญาณเสียไปภายหลังไปภายหลัง ทีถ่ กู ส่งจากผูส้ ง่ และก่อนทีจ่ ะถึงผูร้ บั ท�ำให้สญ ั ญาณทีส่ ง่ ไปกับสัญญาณทีไ่ ด้รบั มีลกั ษณะแตกต่างกัน และอาจ กล่าวได้ว่าเป็นอุปสรรคของการสื่อสารเนื่องจากท�ำให้การสื่อสารไม่ได้ผลเต็มที่ถูกต้องตามที่ควรจะเป็น
การสื่อสารเชิงวงกลมของออสกูดและชแรมม์ ตามปกติแล้วในการสือ่ สารระหว่างบุคคลและแบบกลุม่ บุคคลนัน้ ผูส้ ง่ และผูร้ บั จะมีการเปลีย่ นบทบาท กันไปมาในลักษณะการสือ่ สารสองทาง โดยเมือ่ ผูส้ ง่ ได้สง่ ข้อมูลข่าวสารไปแล้ว ทางฝ่ายผูร้ บั ท�ำการแปลความ หมายข้อมูลที่รับมา และจะเปลี่ยนบทบาทจากผู้รับกลับเป็นผู้ส่งเดิมเพื่อตอบสนองต่อ สิ่งที่รับมา ในขณะ เดียวกันผู้ส่งเดิมจะเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้รับเพื่อรับข้อมูลที่ส่งกลับมาและท�ำการแปลความหมายสิ่งนั้น ถ้ามี ข้อมูลที่จะต้องส่งตอบกลับไปก็จะเปลี่ยนบทบาทเป็นผู้ส่งอีกครั้งหนึ่งเพื่อส่ง ข้อมูลกลับไปยังผู้รับเดิมการ สื่อสารในลักษณะที่ทั้งผู้ส่งและผู้รับจะวนเวียนเปลี่ยนบทบาทกันไปมาในลักษณะเชิงวงกลมด้วยลักษณะดัง กล่าวท�ำให้ชารลส์ อี. ออสกูด (Charles E. Osgood) และ วิลเบอร์ แอล. ชแรมม์ (Wibur L. Schramm) ได้ สร้างแบบจ�ำลองการสื่อสารเชิงวงกลมขึ้นโดยเน้นถึงไม่เพียงแต่องค์ประกอบของการสื่อสารเท่านั้น แต่รวม ถึงพฤติกรรมของทั้งผู้ส่งและผู้รับด้วยโดยที่แบบจ�ำลองการสื่อสารเชิงวงกลมนี้จะมีลักษณะของการสื่อสาร สองทางซึง่ ตรงกันข้างอย่างเห็นได้ขดั กับการสือ่ สารทางเดียวเชิงเส้นตรงของแชนนันและวีเวอร์ขอ้ แตกต่างอีก ประการคือในขณะที่ความสนใจของแชนนันและวีวเรอ์อยู่ที่ช่องทางการติดต่อระหว่างผู้ส่งและผู้รับ แต่ออ สกูดและชแรมม์ได้มุ่งพิจารณาและเฉพาะพฤติกรรมของผู้ส่งและผู้รับซึ่งเป็นผู้ที่มีส่วนส�ำคัญในกระบวนการ สื่อสาร ในแบบจ�ำลองนี้จะเห็นได้ว่าออสกูดและชแรมม์มิได้กล่าวถึงตัวถ่ายทอดการสื่อสารเลยแต่ได้เน้นถึง การกระท�ำของผูส้ ง่ และผูร้ บั ซึง่ ท�ำให้ทอี่ ย่างเดียวกันและเปลีย่ นบทบาทกันไปมาในการเข้า รหัสสาร การแปล ความหมาย และการถอดรหัสสาร อย่างไร ก็ตามอาจกล่าวได้ว่าหน้าที่ในการเข้า รหัสนั้น มีส่วนคล้ายคลึงกับ ตัวถ่ายทอด และการถอดรหัสก็คล้ายคลึงกับการับของเครื่องรับนั่นเอง
ขอบข่ายประสบการณ์ในทฤษฏีการสื่อสารของชแรมม์ ชแรมม์ได้นำ� ทฤษฏีการสือ่ สารทางเดียวเชิงเส้นตรงของเชนนันและวีเวอร์มาใช้เพือ่ เป็นแนวทางในการอธิบาย การสื่อสารที่เกิดขึ้นในการเรียนการสอน โดยเน้นถึงวัตถุประสงค์ของการสอน ความหมายของเนื้อหาข้อมูล และการทีข่ อ้ มูลได้รบั การแปลความหมายอย่างไร นอกจากนีช้ แรมม์ยงั ให้ความส�ำคัญของการสือ่ ความหมาย การรับรู้ และการแปลความหมายของสัญลักษณ์ว่าเป็นหัวใจส�ำคัญของการเรียนการสอน ตามลักษณะการ สื่อสารของชแรรมม์นี้ การสื่อสารจะเกิดขึ้นได้อย่างดีมีประสิทธิภาพเฉพาะในส่วนที่ผู้ส่งและผู้รับทั้งสองฝ่าย ต่างมีวฒ ั นธรรม ประเพณีความเชือ่ ความรู้ ฯลฯ ทีสอดคล้องกล้ายคลึงและมีประสงการณ์รว่ มกัน จึงจะท�ำให้ สามารถเข้าใจความหมายที่สื่อกันนั้นได้ ทั้ ง นี้ เ พราะผู ้ ส ่ ง สามารถเข้ า รหั ส และผู ้ รั บ สามารถถอดรหั ส เนื้ อ หาข่ า วสารในขอบข่ า ว 37
ทฤษฎีการสื่อสาร ประสบการณ์ที่แต่ละคนมีอยู่ เช่น ถ้าไม่เคยเรียนภาษารัสเซีย เราคงไม่สามารถพูดหรือแปลความหมายของ ภาษารัสเซียได้ ดังนี้เป็นต้น ถ้าส่วนของประสบการณ์ของทั้งผู้ส่งและผู้รับซ้อนกันเป็นวงกว้างมากเท่าใด จะ ท�ำให้การสือ่ สารนัน้ เป็นไปได้โดยสะดวกและง่ายมากยิง่ ขึน้ เพราะต่างฝ่ายจะเข้าใจสิง่ ทีก่ ล่าวถึงนัน้ ได้เป็นอย่าง ดี แต่เมื่อใดที่วงของขอบข่ายประสบการณ์ซ้อนกันน้อยมากหรือไม่ซ้อนกันเลย แสดงว่าทั้งผู้ส่งและผู้รับแทบ จะไม่มีประสบการณ์ร่วมกันเลย การสื่อสารนั้นจะท�ำได้ยากล�ำบากหรือแทบจะสื่อสารกันไม่ได้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งสามารถทราบได้จากผลป้อนกลับที่ผู้ส่งกลับไปยังผู้ส่งนั้นเอง จากทฤษฏีการสือ่ สารของชแรมม์เนือ่ งจากในการสือ่ สารเราไม่สามารถส่ง“ความหมาย” (meaning) ของข้อมูลไปยังผู้รับได้ สิ่งที่ส่งไปจะเป็นเพียง “สัญลักษณ์”(symbol) ของความหมายนั้น เช่น ค�ำพูด รูปภาพ เสียงเพลง ท่าทาง ฯลฯ ดังนัน้ เมือ่ มีการสือ่ สารเกิดขึน้ ผูส้ ง่ ต้องพยายามเข้ารหัสสารซึง่ เป็นสัญลักษณ์ เพือ่ ให้ผรู้ บั เข้าใจได้โดยง่าย ซึง่ สารแต่ละสารจะประกอบด้วยสัญลักษณ์ตา่ ง ๆ มากมาย โดยทีส่ ญ ั ลักษณ์แต่ละ ตัวจะบ่งบอกถึง “สัญญาณ” (signal) ของบางสิ่งบางอย่างซึ่งจะทราบได้โดยประสบการณ์ของคนเรา เช่น เมื่อยกมือขึ้นเป็นสัญญาณของการห้อมหรือเมื่อตะโกนเสียงดังเป็นสัญญาณของความโกรธ ฯลฯ ดังนั้น ผู้ส่ง จึงต้องส่งสัญญาณเป็นค�ำพูด ภาษาเขียน ภาษามือ ฯลฯเพือ่ ถ่ายทอดความหมายของสารทีต่ อ้ งการจะส่ง โดย พยายามเชือ่ มโยงเนือ้ หาสารเข้ากับประสบการณ์ทสี่ อดคล้องกันทัง้ สองฝ่าย เพือ่ ให้ผรู้ บั สามารถแปลและเข้าใจ ความหมายของสัญลักษณ์เหล่านั้นได้โดยง่ายในขอบข่ายประสบการณ์ของตน ตัวอย่างเช่น ถ้าผู้ส่งต้องการ ส่งสารค�ำว่า “ดิจทิ ลั ” ให้ผรู้ บั ทีย่ งั ไม่เคยรูจ้ กั ค�ำนีม้ าก่อน ผูส้ ง่ ต้องพยายามใช้สญ ั ลักษณ์ตา่ ง ๆ ไม่วา่ จะเป็นการ อธิบายด้วยค�ำพูด ภาพกราฟิกอุปกร์ระดับดิจิทัล เช่นกล้องถ่ายภาพ หรือลัญลักษณ์อื่นใดก็ตามเพื่อให้ผู้รับ สามารถเข้าใจและมีประสบการณ์ร่วมกับผู้ส่งได้มากทีสุดเพื่อเข้าใจความหมายของ “ดิจิทัล” ตามที่ผู้ส่ง ต้องการ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการเรียนการสอนเป็นการที่ผู้สอนต้องให้ความรู้และขยายขายข่าย ประสบการณ์ของผูเ้ รียนให้กว้างขวางยิง่ ขึน้ หากมีสงิ่ ใดทีผ่ เู้ รียนยังไม่มปี ระสบการณ์หรือยังไม่มคี วามรูใ้ นเรือ่ ง นั้นอย่างเพียงพอ ผู้สอนจ�ำเป็นต้องพยายามเพิ่มพูนความรู้และประสบการณ์ในเรื่องนั้น ๆ ให้แก่ผู้เรียนโดย การอภิปราลยร่วมกันให้ผู้เรียนตอบค�ำถาม หรือท�ำการบ้านเพิ่มเติมย่อมจะเป็นการทราบข้อมูลป้อนกลับว่า ผู้เรียนเกิดเการเรียนรู้และได้รับประสบการณ์ในเรื่องที่เรียนนั้นอย่างเพียงพอหรือยังและถูกต้องหรือไม่ ถ้าผู้ เรียนยับไม่สามารถเข้าใจหรือยังไม่เกิดการเรียนรู้ที่ถูกต้องขึ้น แสดงว่าเกิด “สิ่งรบกวน” ของสัญญาณในการ สอนนัน้ ผูส้ อนต้องพยายามแก้ไขวิธกี ารสอนโดยอาจใช้สอื่ ประเภทต่าง ๆ เข้าช่วย หรือการอภิปลายยกตัวอย่าง ให้ง่ายขึ้น รวมถึงการใช้สัญลักษณ์อื่น ๆ ที่เหมาะกับระดับของผู้เรียนมาช่วยการสอนนั้นจนกว่าผู้เรียนจะมี ประสบการณ์ร่วมกับผู้สอนและเกิดการเรียนรู้ที่ ถูกต้องในที่สุด จากทฤษฏีการสื่อสารที่กล่าวมาแล้วอาจสรุปได้ว่า ในการสื่อสารนั้นการที่ผู้ส่งและผู้รับจะ สามารถเข้าใจกันได้ดเี พียงใดย่อมขึน้ อยูก่ บั ทักษะ ทัศนคติ ความรู้ ระบบสังคมและวัฒนธรรมของทัง้ สองฝ่าย ถ้าทั้งผู้ส่งและผู้รับมีสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้สอดคล้องกันมากจะท�ำให้การสื่อสารนั้นได้ผลดียิ่งขึ้น เพาะต่างฝ่ายจะ มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน และสามารถขจัดอุปสรรค์ในการสื่อสารระหว่างผู้ส่งและ ผู้รับออกไปได้
38
ทฤษฎีเกี่ยวกับการรายงานข่าว 39
ทฤษฎีเกี่ยวกับข่าว
ทฤษฏีเกี่ยวกับการรายงานข่าว ข่าวสารนับเป็นปัจจัยส�ำคัญอีกประการหนึ่ง ต่อการบริหารงานประชาสัมพันธ์การที่จะสร้างความ เข้าใจแก่ประชาชน จ�ำเป็นต้องมีขา่ วสารทีด่ ี ทีเ่ กิดประโยชน์ตอ่ สังคมการเลือกข่าวสารส�ำหรับเผยแพร่ จึง จะต้องกระท�ำด้วยความระมัดระวังให้องค์กรได้รบั ประโยชน์จากการเผยแพร่ขา่ วสารทุกครัง้ ขณะเดียวกัน สิ่งที่ควบคู่กับข่าวสารก็คือเครื่องมือสื่อสารที่เหมาะสม ซึ่งต้องมีการเลือกให้ถูกต้องเช่นกัน ข่าวสารที่มีมี คุณค่าต่อสังคม และใช้เทคนิคในการเขียนให้สอดคล้องกับแบบฉบับของสื่อแต่ละประเภท ย่อมจะได้รับ การเผยแพร่อย่างต่อเนื่อง ข่าว คือการรายงานข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตลอดจนความคิดเห็นของบุคคลส�ำคัญ ซึ่งเป็น เรื่องราวที่น่าสนใจ ซึ่งประชาชนให้ความส�ำคัญและสนใจ รวมทั้งมีผลกระทบต่อผู้คนจ�ำนวนมาก ส�ำหรับนัก ประชาสัมพันธ์ ข่าวก็คือหัวใจของงานประชาสัมพันธ์ ที่จะรายงานภารกิจ ความก้าวหน้าของหน่วยงานให้ สาธารณชนทราบการเขียนข่าวเป็นทั้งศาสตร์ และศิลป์ และต้องมีเทคนิคในการสร้างความเข้าใจและความ สนใจแก่ประชาชน ความส�ำเร็จหรือความล้มเหลวของการประชาสัมพันธ์ ยังขึน้ อยูก่ บั ความถีข่ องผลงานข่าว ที่น�ำเสนอในสื่อต่างๆ
หลักการเขียนข่าว “ข่าว” คือ เรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งมีความส�ำคัญและน่าสนใจของประชาชน หรือต่อคน จ�ำนวนมากๆ หรือ “ข่าว” คือ “สุนัขกัดคนไม่ใช่ข่าว แต่คนกัดสุนัขนั่นแหละเป็นข่าว” ซึ่งก็หมายถึง เรื่องราว หรือเหตุการณ์ทผี่ ดิ ไปจากปกติธรรมดานัน่ เองส�ำหรับเรือ่ งราวหรือเหตุการณ์ทเี่ กิดขึน้ ซึง่ จะมีลกั ษณะทีส่ ำ� คัญ และน่าสนใจส�ำหรับประชาชนหรือต่อคนจ�ำนวนมากๆ นั้น ในทางวิชาการได้ก�ำหนดเอาไว้ ดังนี้ ความสดใหม่ หมายถึง เรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ ย่อมจะเป็นที่น่าสนใจ ของประชาชน เพราะฉะนั้นการรายงานข่าวเรื่องอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นให้ประชาชนได้รับฟังได้เร็วเท่าไหร่ ก็ ย่อมจะเป็นที่สนใจของประชาชนมากเท่านั้น ความใกล้ชิด ความใกล้ชิด หมายถึง เรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและมีความใกล้ชิดกับ ประชาชนเขาก็จะสนใจ เช่น ขณะนี้มีเรื่องปัญหาราคาข้าวเปลือกตกต�่ำ จะเห็นได้ว่านอกจากพี่น้องชาวนาซึ่ง เป็นผูป้ ลูกข้าวจะให้ความสนใจ เพราะว่าเป็นอาชีพของตนแล้ว ประชาชนโดยทัว่ ไปก็ให้ความใจด้วยเนือ่ งจาก ข้าวเป็นอาหารหลักซึ่งพวกเราทุกคนรับประทาน
40
ทฤษฎีเกี่ยวกับข่าว ความเด่น ในเรื่องของความเด่นนี้ แบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือตัวบุคคล เรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่ เกิดขึ้นกับบุคคลที่มีชื่อเสียงที่เด่นดัง หรือ โด่งดัง ไม่ว่าจะเป็น นายกรัฐมนตรี บุคคลที่มีชื่อเสียง ดารา นักร้อง นักแสดง หรือแม้แต่ บุคคล ทีเ่ กีย่ วข้องกับความเป็นอยูข่ องประชาชน เช่น ในจังหวัดต่างๆ ก็จะมีผวู้ า่ ราชการจังหวัด นายอ�ำเภอ พัฒนาการ จังหวัด และอื่นๆ ไม่ว่าเรื่องราวหรือเหตุการณ์อะไรก็ตามถ้าเกิดขึ้นกับบุคคลที่เด่นก็จะเป็นที่สนใจของ ประชาชน สถานที่เด่น เรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับสถานที่ที่เด่น หรือสถานที่ส�ำคัญ หรือสถานที่ ที่ประชาชนรู้จักแพร่หลาย เช่น พระบรมมหาราชวัง ท�ำเนียบรัฐบาลศาลากลางจังหวัด ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับ สถานที่เหล่านั้น ก็จะเป็นที่สนใจของประชาชน ผลกระทบ หมายถึง เรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และมีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของ ประชาชน ถ้ามีผลกระทบกับคนส่วนมาก ก็จะเป็นข่าวส�ำคัญ เช่น ราคายางหรือราคากาแฟตกต�่ำ พี่น้อง ชาวสวนยางและชาวไร่กาแฟก็จะสนใจ หรือราคาข้าวเปลือกตกต�ำ่ พีน่ อ้ งชาวนาก็จะสนในหรือกรณีราคาหุน้ ในตลาดหลักทรัพย์ หุ้นตกมากหรือหุ้นขึ้นมาก บรรดานักเล่นหุ้น ก็จะให้ความสนใจ ความขัดแย้ง เรือ่ งราวหรือเหตุการณ์ซงึ่ เป็นการขัดแย้งระหว่างบุคคล หมูค่ ณะผลประโยชน์ขดั กัน ความขัดแย้งของพรรคการเมือง กรณีพิพาทระหว่างประเทศและความขัดแย้งอื่นๆ จะเป็นที่สนใจของ ประชาชน ความมีเงื่อนงํา เรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่น่าสนใจ คนอยากรู้อยากเห็น ซึ่งอาจจะเป็นเรื่อง ฆาตกรรม คอรัปชั่น เรื่องลึกลับ ประชาชนสนใจ ความแปลกหรือผิดไปจากธรรมดา หมายถึง เรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแปลกและผิดไป จากธรรมดา คนจะสนใจ เช่น การคลอดลูกแฝด 4 หรือ แฝด 5 สุนัขมีงางอกออกมา ต้นกล้วยมีหัวปลีเป็น พญานาค หรือแม้กระทั่งสถิติต่างๆ ที่มีค�ำว่า “ดีที่สุด”“เร็วที่สุด” “ใหม่ที่สุด” “แพงที่สุด” “แก่ที่สุด” และ อื่นๆ เรื่องราวที่เร้าใจมนุษย์ หมายถึง เรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เร้าใจคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการ ต่อสู้ การแข่งขัน ผจญภัย รวมไปถึงเรื่องราวของเด็กและสตรี ที่ท�ำให้เกิดความรู้สึกสงสาร เห็นใจ เศร้าสลด ใจ เรื่องเหล่านี้ประชาชนจะสนใจ ภัยพิบัติ หรือความก้าวหน้า หมายถึง เรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับภัยพิบัติต่างๆ คนจะ สนใจ เช่น น�้ำท่วม ไฟใหม้ เครื่องบินตก แผ่นดินไหว ความเสียหายต่างๆ ที่เกิดจากภัยธรรมชาติหรือโดยฝีมือ มนุษย์ ส่วนความก้าวหน้าที่คนสนใจจะได้แก่ผลส�ำเร็จต่างๆ ทางวิชาการ เช่น การผ่าตัดเปลี่ยนหัวใจ การ ผสมเทียม การส่งยาน อวกาศไปนอกโลก และอื่นๆ เรื่องราวเกี่ยวกับเพศ หมายถึง เรื่องราวหรือเหตุการณ์อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเพศ ไม่ว่าจะเป็น ผู้หญิงหรือผู้ชาย คนจะสนใจ
41
ทฤษฎีเกี่ยวกับข่าว วิธีการเขียนข่าว ในการเขียนข่าวแต่ละชิ้น จะต้องประกอบด้วย ใคร ท�ำอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ท�ำไม และอย่างไร กล่าว คือ จะต้องเขียนข่าวให้ผู้ฟังหรือผู้อ่านได้ทราบว่าในเรื่องราวของข่าวนั้น มีใคร ไปท�ำอะไร ที่ไหน อย่างไรให้ มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ โดยการน�ำจุดเด่นของเรื่องราวหรือเหตุการณ์นั้นขึ้นมาเขียนเป็นข่าว ส�ำหรับการ เขียนข่าวทางวิทยุกระจายเสียง จะมีข้อแตกต่างไปจากการเขียนข่าวของหนังสือพิมพ์และวิทยุโทรทัศน์บ้าง เล็กน้อย กล่าวคือ วิทยุกระจายเสียงเป็นสื่อส�ำหรับบุคคลทุกเพศทุกวัย ให้ความรู้ความบันเทิงและข่าวสาร แก่คนทีม่ กี ารศึกษาและไม่มกี ารศึกษา คนฉลาดและคนโง่ โดยการรับฟังด้วยหู ไม่ใช่การอ่าน ดังนัน้ การเขียน ข่าวทางวิทยุและจายเสียงจะต้องใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย กะทัดรัด ชัดเจน เป็นความจริง และเป็นที่สนใจของผู้ ฟัง โครงสร้างของการเขียนข่าว ในการเขียนข่าวนั้นจะมีด้วยกัน 3 ส่วน คือ พาดหัวข่าว หรือหัวข้อข่าว ความน�ำ และเนื้อเรื่อง พาดหัวข่าว หรือ หัวข้อข่าว เป็นการเขียนเพื่อเรียกร้องความสนใจของผู้อ่านหรือผู้ฟัง หนังสือพิมพ์จะใช้ค�ำว่า “พาดหัวข่าว” ส่วนวิทยุกระจายเสียงจะเรียกว่า“หัวข้อข่าว” ความนํา หรือ วรรคน�ำ หรือโปรยหัว เป็นย่อหน้าแรกที่ย่อเรื่องส�ำคัญของข่าวเอาไว้ ซึ่งถือว่า เป็นส่วนสาคัญของเรื่องราว เพราะจะย่อเรื่องให้คนอ่านหรือคนฟังได้รู้เรื่องก่อน ซึ่งมักจะมีความยาว 3 – 4 บรรทัด ข่าวที่ดี ควรมีลักษณะดังต่อไปนี้ 1. ความถูกต้อง ข่าวที่ดีจะต้องมีความถูกต้อง ครบถ้วน ระบุแหล่งที่มาของข่าวให้ชัดเจน มีข้อ เท็จจริงของเหตุการณ์ หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้น ที่ถูกต้องมากที่สุดเท่าที่เราจะท�ำได้ 2. ไม่ลําเอียง (มีความสมดุล) มีการจัดล�ำดับความส�ำคัญของเรื่องราวหรือเหตุการณ์ตลอดจน ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ เพื่อให้ผู้อ่านหรือผู้ฟังได้เข้าใจ 3. ความเทีย่ งตรงและยุตธิ รรม ข่าวทีด่ จี ะต้องรายงานด้วยความเทีย่ วธรรมไม่นาความรูส้ กึ ส่วน ตัวเข้าไปปะปนในการเขียนข่าวหรือเสนอข่าว จะต้องไม่ “ระบายสี” “ไม่มีอคติ” จะต้องเสนอข่าวไปตามสิ่ง ที่เกิดขึ้นจริง 4. กระทัดรัดและชัดเจน ข่าวที่ดีจะต้องกระทัดรัด ชัดเจน เลือกใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย ไม่วกวน น่าอ่าน และเขียนให้กระจ่างแจ้ง 5. ทันต่อเหตุการณ์ จะเขียนข่าวเพือ่ แสดงว่าข่าวนัน้ มีความสดใหม่ ทันต่อเหตุการณ์ เช่น มีการ ใช้ค�ำว่า “เช้าวันนี้” “ตอนใกล้เที่ยววันนี้” “บ่ายวันนี้” หรือ “ข่าวล่าสุดแจ้งว่า” อันเป็นการแสดงถึงความ สดใหม่ของข่าว 6. รสนิยมดี เป็นการเขียนที่สร้างสรรและใช้ภาษาที่สุภาพ การใช้คาเชื่อมบุคคล ในการเขียน ข่าวจะต้องระบุ ชือ่ ตาแหน่ง ยศ บรรดาศักดิใ์ ห้ถกู ต้อง และจะต้องมีการตรวจ ทานด้วยความระมัดระวัง เพือ่ มิให้เกิดผิดพลาดในสิ่งเหล่านี้ ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องส�ำคัญและในการเสนอข่าวทางวิทยุกระจายเสียง ไม่จ�ำเป็น 42
ทฤษฎีเกี่ยวกับข่าว จะต้องระบุชื่อบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือไม่มีความส�ำคัญในข่าว เช่น ข่าวเครื่องบินตกมีผู้โดยสารเสียชีวิต 60 คน ไม่จ�ำเป็นต้องบอกรายชื่อทั้ง 60 คน ควรบอกเฉพาะบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือเป็นที่รู้จักก็พอแล้ว
การเป็นนักข่าวที่ดี ควรมีคุณสมบัติดังนี้ คือ 1. มีความรับผิดชอบต่อประชาชน กล่าวคือ มีความส�ำนึกในวิชาชีพของ สือ่ มวลชนและจะต้องท�ำงาน ในหน้าที่ด้วยความเสียสละซื่อสัตย์ 2. จะต้องมีความอยากรู้อยากเห็น และสามารถเลือกข่าวที่น่าสนใจได้โดยสัญชาติญาณ จะต้องไม่รอ ให้ข่าวมาหา ตรงกันข้ามจะต้องออกไปหาข่าวแหล่งที่มาของข่าว ข่าวเกิดจากเหตุการณ์และกิจกรรมดังต่อไปนี้ 1. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ 2. กิจกรรมที่วางแผนไว้ 3. ความพยายามของผู้สื่อข่าว ข่าวประชาสัมพันธ์ เป็นข่าวเชิงบวกและสร้างสรรค์บนพื้นฐานของความจริง ที่เกิดจากกิจกรรมของหน่วยงาน
องค์ประกอบของข่าว การเขียนข่าวสารที่จะประชาสัมพันธ์ หรือสารที่จะสื่อออกไปยังสื่อมวลชน ควร มีสาระส�ำาคัญหรือองค์ประกอบ ที่เรียกว่า “5 W 1 H ” ดังต่อไปนี้ 1. ใคร (Who) ใครคือบุคคลส�ำาคัญที่เกี่ยวข้องกับข่าว 2. ท�ำาอะไร (What) เกิดอะไรขึ้น การกระท�ำหรือเหตุการณ์ใดที่ส�ำคัญ 3. ที่ไหน (Where) การกระท�ำหรือเหตุการณ์นั้นๆ เกิดขึ้นที่ไหน 4. เมื่อไร (When) การกระท�ำหรือเหตุการณ์นั้นๆ เกิดขึ้นวัน เวลาใด 5. ท�ำไมและอย่างไร ( Why and How) ท�ำไมเหตุการณ์นั้นจึงเกิด และเกิดขึ้นได้อย่างไร 6. ข้อมูลประกอบอื่นๆ เช่น ความเป็นมา
ขั้นตอนในการเขียนข่าว การเขียนข่าว ผู้เขียนควรปฎิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้ 1. หาข้อมูล โดยการค้นคว้า รวบรวมข้อมูล และสัมภาษณ์ 2. วางแผนการเขียน ศึกษากลุ่มเป้าหมายและนโยบายของสื่อที่จะส่งเผยแพร่ 3. ร่างเนื้อหา รูปแบบ ภาษา ทบทวน 4. ประเมินผล โดยการอ่านทบทวนด้วยตนเอง หรือผู้ที่เกี่ยวข้องช่วยอ่าน
43
ทฤษฎีเกี่ยวกับข่าว องค์ประกอบการเขียนข่าว การเขียนข่าวหนังสือพิมพ์ ต้องบอกสิง่ ส�ำคัญทีส่ ดุ ก่อน แล้วจึงบอกสิง่ ส�ำคัญรองลงมา ซึง่ การเขียนข่าว มีองค์ประกอบส�ำคัญเรียงล�ำดับ ดังต่อไปนี้ 1. พาดหัวข่าว (headline) เป็นการบอกประเด็นส�ำคัญของข่าว มักใช้ประโยคที่เป็นข้อความสั้นๆ เพือ่ ช่วยให้รวู้ า่ เป็นข่าวอะไร และมีประเด็นใดน่าสนใจ วิธกี ารพาดหัวข่าวให้พจิ ารณาความส�ำคัญของข่าวนัน้ ๆ ว่าใคร ท�ำอะไร เมื่อไร ที่ไหน อย่างไรและท�ำไมจึงท�ำเช่นนั้น ตัวอย่างการเขียนพาดหัวข่าว 1.1 แบบ Who น�ำ เช่น “นายกรัฐมนตรีประชุมชี้แจงเจ้าหน้าที่ ศอ.บต.”“แฝดสยามเพศหญิง เสียชีวิตแล้ว” “กกต.ยืนกรานห้ามจดใหม่ พรรคถูกยุบ” 1.2 แบบ What น�ำ เช่น “เกิดเพลิงไหม้ที่ย่านชุมชนกลางตลาด” ซึ่งส่วนใหญ่ความส�ำคัญของ ข่าวอยู่ที่ การกระท�ำและผลกระทบ 1.3 แบบ When น�ำ เช่น “31 พ.ค.ชีช้ ะตายุบพรรค” ซึง่ ข่าวนีค้ วามส�ำคัญอยูท่ เี่ งือ่ นไขของเวลา 1.4 แบบ Where น�ำ เช่น “เชียงใหม่กลายเป็นเมืองในหมอกจากไฟป่า”ซึ่งคุณค่าของข่าวอยู่ ที่สถานที่ 1.5 แบบ Why น�ำ เช่น “เร่งหาสาเหตุหนุ่มคลั่งยิงกราด 3 ศพ กลางตลาดไท” ความส�ำคัญ ของข่าวอยู่ที่การตั้งข้อสังเกต เพื่อเพิ่มความอยากรู้ อยากเห็น 1.6 แบบ How น�ำ เช่น “อยากได้มือถือรุ่นใหม่ วัยรุ่นหาเงินด้วยการขายตัว” ความส�ำคัญของ ข่าวอยู่ที่ความเป็นเหตุเป็นผล 2. วรรคนํา เป็นประเด็นส�ำคัญของเรื่อง คือต้องตอบสนองความสนใจของผู้ อ่านว่า Who What When Where Why เขียนด้วยประโยคสรุปเรื่องหรือสรุปประเด็นส�ำคัญและกระชับ เพื่อขยายพาดหัวข่าว มีความยาวประมาณ 3-6 ประโยค เช่น “สดศรียืนกรานพรรคถูกยุบจดชื่อเดิมไม่ได้ ทนายบอก แม้วพร้อมแก้ ปัญหา หาก ทรท.ถูกยุบด้านประธาน คมช.ติวเข้มต�ำรวจ-ทหาร สั่งห้ามใช้อาวุธรับมือม๊อบ” 3. ส่วนเชื่อม เป็นตัวเชื่อมระหว่างวรรคน�ำกับเนื้อข่าว ส่วนใหญ่เป็นข้อความที่ขยายประเด็นของเรื่อง จะมีหรือไม่มกี ไ็ ด้ มักใช้กบั ข่าวใหญ่ เช่น “ทัง้ นีเ้ ป็นการประชุมลับ ห้ามไม่ให้ผไู้ ม่เกีย่ วข้องเข้าไปในห้องประชุม ศาลฎีกา” 4. เนือ้ ข่าว เป็นการบอกเรือ่ งทีเ่ หลือจากทีบ่ อกไว้แล้วในวรรคน�ำ เป็นข้อเท็จจริงทีส่ นับสนุนหรือขยาย ความ หรือช่วยให้วรรคน�ำได้ใจความชัดเจนขึ้น เป็นเรื่องราวทั้งหมดของข่าวที่ตอบค�ำถาม 5 W และ 1 H มี 2-5 ย่อหน้าตามความเหมาะสม โดยย่อหน้าแรกๆ เป็นรายละเอียดตามวรรคน�ำ ย่อหน้าสอง อ้างค�ำพูดผู้ให้ สัมภาษณ์ หรือผู้บริหาร เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ย่อหน้าสุดท้าย เสริมข้อมูลเฉพาะที่จ�ำเป็น เช่น “รายงาน ข่าวแจ้งว่า……………….” นอกจากนีต้ วั อย่างการน�ำค�ำพูดมาใช้ในเนือ้ ข่าว เช่น “ผูก้ อ่ ความไม่สงบก�ำลังสูญเสีย มวลชน เขาหมดโอกาสทีจ่ ะเดินไปสูค่ วามส�ำเร็จในการแบ่งแยกดินแดน” พันเอกอัคร ทิพโรจน์ โฆษกกองทัพ บก กล่าว หรือ ประโยคอ้อม “พันเอกอัคร ทิพโรจน์ กล่าวว่าผู้ก่อความไม่สงบก�ำลังสูญเสียมวลชน และหมด โอกาสทีจ่ ะเดินไปสูค่ วามส�ำเร็จในการแบ่งแยกดินแดน” หรือประโยคตรง พันเอกอัคร ทิพโรจน์ โฆษกกองทัพ บก กล่าวว่า “ผู้ก่อความไม่สงบก�ำลังสูญเสียมวลชน เขาหมดโอกาสที่จะเดินไปสู่ความส�ำเร็จในการแบ่งแยก ดินแดน”
44
ทฤษฎีเกี่ยวกับข่าว 5. ทิ้งท้ายข่าว เป็นการสรุปประเด็นเพื่อดึงดูดความสนใจ ตอกย�้ำจุดหมาย ส่วนใหญ่มี ความยาว ประมาณ 4-6 ประโยค เช่น “เชิญร่วมกิจกรรมวันงดสูบบุหรีโ่ ลก ในวันที่ 31 พฤษภาคมนี้ และร่วมกันท�ำความ ดีถวายในหลวงด้วยการงดสูบบุหรี่”
รูปแบบการเขียนข่าว โดยทั่วไปการเขียนข่าวจะมีเพียง 3 ส่วนเท่านั้น ได้แก่ พาดหัวข่าวหรือโปรย หัวข่าว (headline) วรรค น�ำ เป็นการสรุปเรื่องราว (lead) เนื้อข่าว เป็นรายละเอียดของเหตุการณ์และเรื่องราว (detail) นอกจากนี้ รูปแบบการเขียนข่าวทั่วๆ ไป ไม่ว่าข่าวหนังสือพิมพ์ หรือข่าววิทยุโทรทัศน์ มี 3 รูปแบบ ได้แก่ ปีรามิดหัว กลับ ปีรามิดหัวตั้ง และสี่เหลี่ยมผืนผ้าทรงยืนแบบผสม ซึ่งใช้ในรูปแบบของข่าวที่แตกต่างกันดังนี้ 1. แบบปิรามิดหัวกลับ (inverted pyramid) เป็นการน�ำเสนอข่าวโดยล�ำดับประเด็นส�ำคัญจาก มากไปหาน้อย ซึ่งสอดคล้องกับธรรมชาติของมนุษย์ในการอยากรู้อยากเห็นสิ่งส�ำคัญก่อน ส่วนรายละเอียด ไว้ทีหลัง ประกอบด้วย ข่าวพาดหัว วรรคน�ำ ส่วนเชื่อมและส่วนของเนื้อเรื่อง เรียงตามล�ำดับความส�ำคัญ เป็นการเขียนข่าว โดยเริม่ ด้วยความน�ำทีเ่ ป็นประเด็นส�ำคัญของเรือ่ ง และส่วนเชือ่ มทีโ่ ยงความสัมพันธ์ระหว่าง ความน�ำกับเนือ้ หา ทีม่ คี วามส�ำคัญรองลงมา ส่วนเนือ้ หา จะเป็นส่วนประกอบทีใ่ ห้รายละเอียดของเหตุการณ์ หรือเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด
พาดหัวข่าว ส่วนน�ำ เนื้อหา
รูปแบบโครงสร้างของข่าวในหน้ากระดาษ พาดหัว วรรคน�ำ ค�ำเชื่อม เนื้อข่าวส�ำคัญ เนื้อข่าว เนื้อข่าวส�ำคัญน้อย
2. แบบปิระมิดหัวตั้ง (upright pyramid) จะเรียงล�ำดับข้อมูลที่มีความส�ำคัญน้อยไปหามากที่สุด (climax) เพื่อให้ผู้อ่านมีความอยากรู้ เริ่มจากประเด็นที่ไม่มีความส�ำคัญมากนัก แล้วค่อยๆ เพิ่มประเด็นที่ ส�ำคัญขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงประเด็นส�ำคัญที่สุด มักจะใช้ในเรื่องที่มีเงื่อนง�ำ เชิงสืบสวน สอบสวน ปัจจุบัน ไม่นิยมใช้
45
ทฤษฎีเกี่ยวกับข่าว 3. แบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าทรงยืนแบบผสม (combination) มักใช้เขียนข่าวที่ไม่ค่อยส�ำคัญ เป็นข่าว สั้นๆ เริ่มจากส่วนเชื่อม หรือจากเนื้อเรื่องข่าว หลังจากพาดหัวข่าวแล้ว ไม่มีความน�ำ ความส�ำคัญของข่าวเท่า เทียมกัน ตั้งแต่ต้นจนจบเนื้อเรื่องของข่าว มักจะเขียนแบบเสนอข้อเท็จจริง ข้อควรระวังในการเขียนข่าว 1. ชือ่ และนามสกุลต้องสะกดให้ถกู ต้อง เพราะว่าถ้าผิดพลาดอาจกลายเป็นคนละบุคคล หรือเกิดความ เสียหายได้ 2. ยศ ต�ำแหน่ง ต้องระบุให้ตรงกับความเป็นจริงขณะนั้น เช่น อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย 3. ค�ำน�ำหน้าชื่อ และบรรดาศักดิ์ต้องระบุเรียงล�ำดับให้ถูกต้อง 4. การใช้อักษรย่อ หรือตัวย่อต่างๆ ควรตรวจสอบให้ดี 5. ไม่สอดแทรกความคิดเห็นส่วนตัวเข้าไป 6. การเขียนตัวเลขถ้ามีจำ� นวนมากอาจใช้ตวั อักษรแทน ถ้าไม่ใช่ตวั เลขทีแ่ น่นอน ควรใช้คำ� ว่าประมาณ 7. หลีกเลี่ยงการใช้ศัพท์เทคนิคที่เข้าใจยาก การพิจารณาคัดเลือกข่าวเพื่อน�ำเสนอ ข่าวที่งานประชาสัมพันธ์คิดว่าส�ำคัญและเด่น และน�ำมาเสนอ แต่สื่ออาจจะเห็นว่าไม่ส�ำคัญและไม่น่า สนใจ หรือข่าวทีง่ านประชาสัมพันธ์เห็นว่า เป็นข่าวทีส่ งั คมควรรู้ แต่อาจเป็นข่าวทีเ่ ขาไม่อยากรู้ ดังนัน้ ประเด็น ของข่าวจึงควรอยู่ในกระแสสังคมและมีผลกับคนส่วนใหญ่
เทคนิคการเขียนข่าวให้ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ทางสื่อมวลชน การเขียนข่าวเป็นทั้งศาสตร์และศิลป์ มีความยืดหยุ่น ไม่ยึดติดกับรูปแบบ เขียนอย่างสร้างสรรค์และมี ประสิทธิภาพ ความส�ำเร็จของการประชาสัมพันธ์ส่วนหนึ่ง คือการได้รับการเผยแพร่ข่าวของหน่วยงานผ่าน สื่อมวลชน ปัจจุบันการส่งข่าวเพื่อเผยแพร่ท�ำได้ยากขึ้น เนื่องจากองค์กรและสถาบันต่างๆ ล้วนส่งข่าวไปยัง สือ่ มวลชนแทบทัง้ สิน้ ดังนัน้ การเขียนข่าวให้ได้รบั การตีพมิ พ์เผยแพร่ทางสือ่ มวลชนต้องค�ำนึงถึงเทคนิคดังต่อ ไปนี้ 1. ศึกษารายละเอียดของสื่อให้เข้าใจ เช่น ชื่อของบรรณาธิการ เนื้อหาของสื่อ เพื่อที่จะด�ำเนินการส่ง ข่าวได้อย่างน่าสนใจ และได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ 2. รายละเอียด เนื้อหาข่าวประชาสัมพันธ์ ต้องเลือกประเด็นและมีเนื้อหาน่าสนใจรวมทั้งต้องมีความ ครบถ้วนในตัวเอง และต้องไม่ผิดพลาดทั้งในด้านเนื้อหา วันเวลา สถานที่ และชื่อบุคคล เพราะหากมีความ ผิดพลาด สื่อมวลชนจะจ�ำความผิดพลาดนั้นไปตลอด 3. ข่าวมีคุณภาพ ครบถ้วนสมบูรณ์ ถูกต้อง 4. ความรวดเร็วของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หากรายงานทันทีเมื่อมีเหตุการณ์คุณค่าของข่าวจะมากขึ้น เพราะการรายงานข่าวสดๆ ร้อนๆ ผู้อ่านมักชื่นชอบและให้ความสนใจ 5. ต้องคํานึงเสมอว่า การส่งข่าวต้องถูกคน ถูกหน้า ถูกฉบับ ถูกเวลา เพราะโอกาสได้รับการตีพิมพ์ จะมีสูง นักประชาสัมพันธ์ควรทราบก�ำหนดของการปิดต้นฉบับของแต่ละสื่อ เพื่อก�ำหนดเวลาในการส่งข่าว
46
ทฤษฎีเกี่ยวกับข่าว ได้
6. ต้องกระตุ้นความสนใจของผู้สื่อข่าวหรือบรรณาธิการ โดยการพาดหัวข่าวให้น่าสนใจ โดยทั่วไป สื่อมวลชนมีความต้องการข่าวจากหน่วยงานต่างๆ ดังนั้นการเขียนข่าวต้องสร้างความน่าสนใจเพื่อดึงดูดใจ บรรณาธิการให้ได้ เช่น “ม.อ.จัดพิธีพระราชทานปริญญาบัตร” เปลี่ยนเป็น “ม.อ.ถวายปริญญาในหลวง” “คลินกิ วัยรุน่ โรงพยาบาล ม.อ.สรุปปัญหาวัยรุน่ ” เปลีย่ นเป็น “คลินกิ วัยรุน่ ม.อ.สะท้อนปัญหาวัยโจ๋” นอกจาก นี้สิ่งที่ท�ำให้ข่าวน่าสนใจเพิ่มขึ้น ได้แก่ ความใกล้ชิดของข่าวกับผู้บริโภคทั้งกายและใจ ความส�ำคัญหรือความ เด่นของบุคคลในข่าว ขนาดของเหตุการณ์ ซึ่งเหตุการณ์ใหญ่ ย่อมได้รับความสนใจมากกว่า ข่าวที่มีผลกระ ทบต่อคนจ�ำนวนมาก ย่อมมีความส�ำคัญมากกว่า ข่าวมีเงื่อนง�ำ มักได้รับความสนใจ หรือข่าวแปลก พิสดาร จะได้รับความสนใจมาก เป็นต้น 7. ข่าวที่ส่งไปเป็นประโยชน์แก่ผู้อ่านและมีข้อมูลเพียงพอ 8. ไม่เขียนยกย่องจนออกนอกหน้า เพราะหากหนังสือพิมพ์เขียนข่าวยกย่องมากเกินไป อาจถูกเพ่งเล็ง ว่าได้รับผลประโยชน์ 9. ต้องมีกระดาษหัวข่าว ซึง่ มีทอี่ ยู่ เบอร์โทรศัพท์ตดิ ต่อ รวมทัง้ ผูใ้ ห้ขา่ ว ทีพ่ ร้อมจะให้สอื่ มวลชนติดตาม หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ตลอดเวลา 10. เลือกสื่อให้ตรงกับเนื้อหาข่าว ต้องพิจารณาดูว่า เขียนไปลงหนังสือพิมพ์อะไร การเขียนข่าวของ หนังสือพิมพ์นั้นเป็นอย่างไร ควรรู้นโยบายและการท�ำงานของหนังสือพิมพ์ ว่าน�ำเสนอข่าวแนวไหน ท�ำข่าว ประเภทใด ท�ำให้ขา่ วทีเ่ ขียนส่งไปมีโอกาสตีพมิ พ์เผยแพร่มากขึน้ เช่น ข่าวเรือ่ งสิง่ แวดล้อมต้องเชิญมาท�ำข่าว หรือ ส่งให้สื่อหรือนักข่าวในสายนี้เพื่อจะได้สื่อตรงกลุ่มเป้าหมาย 11. เนื้อข่าวไม่จําเป็นต้องเขียนยาวมาก ควรพิมพ์จบในกระดาษ เอ 4 หน้าเดียวเทคนิคและขั้นตอน ในการถามคําถามเพื่อจะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์มาเขียนข่าวความส�ำเร็จของการได้ข้อมูลขึ้นอยู่กับความ สามารถในการถามค�ำถาม และท�ำให้ผู้ที่ถูกถามพึงพอใจ โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1. ถามอย่างมีจุดมุ่งหมาย และวางแผนที่จะถามค�ำถามในสิ่งที่คนทั่วไปอยากรู้ 2. ศึกษาคนที่เราจะไปถาม 3. เริ่มจากคําถามกว้างๆ ไปเจาะประเด็นค�ำถามที่แคบเข้าหรือประเด็นที่อยากรู้ 4 .อาศัยคําตอบก่อนหน้านี้ของผู้ให้สัมภาษณ์ มาเป็นพื้นฐานในการถามค�ำถามต่อไป 5. ค�ำถามควรกระชับ ไม่ควรถามค�ำถามที่ยาวเกินไป 6. ขออนุญาตก่อนถาม โดยหลักจิตวิทยา ถ้าขออนุญาตถามค�ำถาม คนทั่วไปจะตอบรับที่จะตอบ 7. หลังจากถามคําถามแล้วให้หยุดฟัง 8. จดบันทึก หรืออัดเทปค�ำให้สัมภาษณ์ไว้ เพื่อน�ำข้อมูลมาเขียนข่าว
คําถามทั่วไปที่สามารถนํามาใช้สัมภาษณ์ ค�ำถามพื้นฐานที่สามารถน�ำมาใช้ได้ทั่วไป ไม่ว่าจะท�ำข่าวหนังสือพิมพ์ วิทยุหรือโทรทัศน์ ได้แก่ ราย ละเอียดของโครงการเป็นอย่างไร วัตถุประสงค์ของโครงการเป็นอย่างไร เป้าหมาย ความคาดหวังหรือประโยชน์ ของโครงการหรือกิจกรรมคืออะไร ความคืบหน้าในการด�ำเนินการไปถึงขั้นไหน ปัญหาและอุปสรรคในการ 47
ทฤษฎีเกี่ยวกับข่าว ท�ำงานมีอะไรบ้าง และจะแก้ไขอย่างไร นอกจากนี้ข้อควรระวัง คือ หลีกเลี่ยงค�ำถามที่น�ำไปสู่ความขัดแย้ง หรือความไม่พอใจของผู้ถูกสัมภาษณ์ เช่น ค�ำถามว่า มีความขัดแย้งในการท�ำงานใช่หรือไม่ เรือ่ งนีม้ กี ารเมืองเข้ามาแทรก หรือมีขอ้ ผิดพลาดเกิดขึน้ หรือไม่ ยกเว้นว่าได้สร้างความสัมพันธ์กบั ผูถ้ กู สัมภาษณ์ เป็นอย่างดีแล้ว และมีความเชี่ยวชาญในการท�ำข่าวเจาะลึก กรณีเป็นผู้ให้สัมภาษณ์ ซึ่งนักประชาสัมพันธ์มีโอกาสที่จะเป็นผู้ถูกสัมภาษณ์เช่น การให้สัมภาษณ์ทาง โทรทัศน์ การพูดเข้าสายในรายการวิทยุ หรือการให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ ซึ่งนักประชาสัมพันธ์ควรคิดว่า การให้สมั ภาษณ์เป็นโอกาสทีไ่ ด้ประชาสัมพันธ์กจิ กรรมและเป็นการให้ขอ้ มูลทีถ่ กู ต้อง เป็นโอกาสได้ชแี้ จงหรือ อธิบายเหตุผลในสิง่ ทีถ่ กู วิพากษ์วจิ ารณ์ รวมทัง้ ได้ชมเชยเพือ่ เสริมสร้างขวัญก�ำลังใจแก่เจ้าหน้าทีผ่ ปู้ ฎิบตั งิ าน นอกจากนี้เมื่อได้ฟังค�ำถาม ไม่ควรรีบตอบ แต่พยายามท�ำความเข้าใจค�ำถามก่อน อย่าท่องจ�ำค�ำตอบ ให้ พยายามท�ำความเข้าใจเรื่องที่จะให้สัมภาษณ์ พูดอย่างเป็นธรรมชาติ ถ้าไม่ได้ยินหรือได้ยินไม่ชัดเจน ให้ขอ ค�ำถามอีกครั้ง และถ้าผู้สัมภาษณ์อ้างถึงข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง ให้กล่าวแก้ไข อย่าปล่อยให้ผ่านเลยไป
ภาพข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ ภาพถ่ายช่วยให้ข่าวมีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อหา รายละเอียดของเรื่อง รวม ทั้งนิยมชมชอบต่อบุคคลและหน่วยงานได้ดียิ่งขึ้น ภาพถ่ายจึงเป็นสื่อที่มีบทบาทส�ำคัญในการประชาสัมพันธ์ ประเภทของภาพข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ ประเภทของภาพข่าวเพื่อการประชาสัมพันธ์ แบ่งเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1)ภาพบุคคล เน้นบุคคลส�ำคัญในเหตุการณ์ 2) ภาพกิจกรรม เน้นกิจกรรมที่น่าสนใจ 3)ภาพสถานที่ เน้นสถานที่ส�ำคัญในข่าว 4) ภาพเหตุการณ์ เน้นเหตุการณ์ตามธรรมชาติ
เทคนิคในการถ่ายภาพให้ได้ลงข่าว เทคนิคในการถ่ายภาพให้ได้ลงข่าวมีข้อควรพิจารณาดังนี้ 1. มีความสอดคล้องกับเนือ้ หาข่าว ข่าวและภาพควรจะกลมกลืนกัน มีเนือ้ หามีชวี ติ ชีวา มีความชัดเจน สามารถบอกเรื่องราวให้ผู้ดูรู้เรื่องและเข้าใจได้ชัดเจน และควรมีค�ำอธิบายภาพ ซึ่งมีรายละเอียดว่าใคร ท�ำ อะไร ที่ไหน เมื่อไร ท�ำไม อย่างไร โดยพิมพ์ด้วยกระดาษต่างหากไว้ใต้ภาพ ไม่ควรเขียนข้างหลังภาพ 2. การถ่ายภาพเพื่อการประชาสัมพันธ์ ต้องเลือกบุคคลที่น่าสนใจ จะตามใจผู้ที่ต้องการเป็นข่าวไม่ได้ ต้องมีศิลปะและใช้วิจารณญาณในการถ่ายภาพและคัดเลือกภาพให้เหมาะสม หากภาพถ่ายไม่น่าสนใจ ไม่มี ความแปลกใหม่ อาจไม่ได้รับการตีพิมพ์ 3. ภาพถ่ายประกอบข่าวของบุคคลผู้เป็นแหล่งข่าวในภาพ ไม่ควรนั่งตัวตรง (แข็งเหมือนภาพจากบัตร ประชาชน) ควรอยู่ในอิริยาบถต่างๆ เช่น กอดอก ก�ำลังจับปากกา ก�ำลังพูดอธิบาย ซึ่งท�ำให้ภาพข่าวน่าสนใจ ขึ้น 48
ทฤษฎีเกี่ยวกับข่าว วิธีการถ่ายภาพ ภาพถ่ายที่จะน�ำไปประกอบข่าวนั้น ปัจจุบันมีความสะดวก รวดเร็วและง่ายขึ้นเพราะเทคโนโลยีของ กล้องถ่ายภาพระบบดิจิตอล ที่ใช้ระบบอัตโนมัติในการท�ำงาน ซึ่งมีข้อแนะน�ำในการถ่ายภาพดังต่อไปนี้ 1. วางนิ้วไว้บนปุ่มชัตเตอร์แล้วกดลงไปเบาๆ ประมาณครึ่งทาง อย่าเพิ่งกดลงไปจนสุด กล้องจะเริ่ม โฟกัสภาพและค�ำนวณแสง จากนั้นค่อยกดปุ่มชัตเตอร์ลงไปอีกครึ่งหนึ่งจนสุดอย่างแผ่วเบา กล้องก็จะบันทึก ภาพทันที ภาพที่ได้จะไม่สั่นและได้จังหวะที่ต้องการ2. การถ่ายภาพย้อนแสง สามารถเปิดแฟลชช่วย เพื่อไม่ ให้ภาพที่ออกมามืด 3. การถ่ายภาพบุคคลครึ่งตัว ผู้ถ่ายภาพควรย่อตัวเล็กน้อย เนื่องจากหากถ่ายจากส่วนสูง ปกติแล้ว ภาพทีอ่ ยูใ่ นมุมทีก่ ดลง จะท�ำให้ศรีษะดูใหญ่ และช่วงตัวดูสนั้ เป็นสาเหตุให้ได้ภาพทีล่ ำ� ตัวและขาสัน้ แต่ศรีษะ โตเมื่อถ่ายภาพบุคคลเต็มตัว 4. การถ่ายภาพบุคคล ต้องค�ำนึงถึงองค์ประกอบ ด้านแสง ฉากหน้า ฉากหลังโดยเฉพาะฉากหลังที่ดี ต้องไม่รกรุงรัง และรบกวนสายตาในการมอง เช่น มีใบไม้หรือเสาโผล่ขึ้นมาจากศรีษะ ต้องหลีกเลี่ยงฉากดัง กล่าว หรือถ่ายให้ฉากหลังเบลอ ด้วยการปรับรูรับแสงให้กว้าง ความเร็วชัตเตอร์สูง เคล็ดลับในการถ่ายภาพหมู่เพื่อนําไปเป็นภาพประกอบข่าว ภาพข่าวประชาสัมพันธ์นนั้ ต้องใช้ภาพหมูเ่ พือ่ ประกอบในการเผยแพร่ขา่ วค่อนข้างมาก ซึง่ มีขอ้ แนะน�ำ ในการถ่ายภาพหมู่ดังนี้ 1. พยายามให้นำ�้ หนักของภาพดูสมดุล ไม่หนักไปทางซ้ายหรือขวา ซึง่ เป็นหน้าทีข่ องช่างภาพเนือ่ งจาก เป็นผู้ที่เห็นองค์ประกอบทั้งหมด ผู้ที่ถูกถ่ายจะไม่ทราบว่าภาพดูสมดุลดีหรือไม่ 2. การถ่ายภาพหมู่บ่อยครั้งต้องถ่ายในที่มีแสงน้อย ต้องใช้แฟลชช่วย ควรให้ภาพที่ออกมาเห็นชัดเจน ทุกคน 3. หากไม่ต้องการให้ผู้ถูกถ่ายภาพหมู่บางคนหลับตา อาจใช้วิธี บอกให้ทุกคน หลับตาก่อน แล้วจึงนับ 1-2-3 ให้เปิดตาได้ แล้วจึงท�ำการกดชัตเตอร์ถ่ายภาพ จะได้ภาพที่ไม่มีใครหลับตา 4. การถ่ายภาพหมูไ่ ม่จำ� เป็นต้องถ่ายภาพเมือ่ เสร็จสิน้ กิจกรรม อาจถ่ายตอนเริม่ ต้นกิจกรรมหรือระหว่าง การท�ำกิจกรรม เพราะหากรอเสร็จสิ้นกิจกรรม สมาชิกอาจอยู่ไม่ครบหรือสื่อมวลชนบางท่านไม่สามารถรอ จนจบกิจกรรม อาจกลับไปก่อนได้
49
ทฤษฎีเกี่ยวกับข่าว การรายงานข่าวชั้นสูง การรายงานข่าวเชิงสืบสวน (Investigative Reporting) วงการวิชาชีพหนังสือพิมพ์ไทยเรียกการรายงานข่าวประเภทนี้ว่า “ข่าวเจาะ”การรายงานข่าวเชิง สืบสวนเป็นข่าวที่ได้มาด้วยการสืบค้น ขุดเจาะเรื่องราวออกมาตีแผ่อย่างต่อเนื่อง น�ำข้อเท็จจริงของข่าวมา เปิดเผยตามล�ำดับ ท�ำให้เกิดความสนใจติดตามและวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวาง จนน�ำไปสู่การปรับปรุง เปลี่ยนแปลง การระงับยับยั้งหรือยุติเรื่องนั้น รวมทั้งการด�ำเนินการเอาผิดลงโทษผู้เกี่ยวข้อง การรายงานข่าวเชิงสืบสวนนีผ้ สู้ อื่ ข่าวจึงต้องล้วงลึกเข้าไปถึงต้นตอของเรือ่ งจนกระทัง่ ถึงผูอ้ ยูเ่ บือ้ งหลัง เหตุการณ์ข่าวนั้น ซึ่งก็ต้องมีแหล่งข่าวตัวบุคคลที่จะยืนยันความถูกต้องของข่าว รวมไปถึงการเก็บรวบรวม หลักฐานเอกสารทีส่ ามารถพิสจู น์วา่ เรือ่ งทีเ่ กิดขึน้ เป็นความจริงทุกประการหรือใกล้เคียงกับเรือ่ งจริงทีส่ ดุ อีก ด้วย การรายงานข่าวแบบนี้จะแตกต่างจากการรายงานข่าวประเภทอื่น ๆ ตรงที่การรายงานข่าวประเภท อื่น ๆ นั้น จะน�ำเอาสิ่งที่ปรากฏให้เห็นอย่างเด่นชัดอยู่แล้วมาน�ำเสนอ แต่การรายงานข่าวเชิงสืบสวน จะน�ำ ข้อเท็จจริงทีม่ ไิ ด้ปรากฏให้เห็นเด่นชัดและไม่อาจหยิบยกได้โดยง่ายมาน�ำเสนอ เป็นการพยายามขุดค้นความ จริงที่ซ่อนเร้น(Hidden Facts) ลักษณะของข่าวที่จัดว่าเป็นข่าวเชิงสืบสวนมีองค์ประกอบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ 1. มีความลึก 2. มีความกว้าง 3. มีความซับซ้อน 4. มีความแรง 5. มีความต่อเนื่อง 6. ควรเป็นข่าวเดี่ยว 7. มีลักษณะเปิดโปง 8. หาข้อยุติได้ การรายงานข่าวเชิงสืบสวนเป็นศาสตร์และศิลป์ควบคู่กันไป จุดเริ่มต้นมักเกิดจากความสังหรณ์ใจ (Hunch) ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หรือได้แง่มุม ประเด็นข่าว(Tip) จากการที่มีผู้ชี้เบาะแส (Hint) โดยบอกเล่า ทางวาจาหรือส่งเอกสารข้อมูลมาให้หรืออาจมีนักข่าวหรือใครก็ตามในกองบรรณาธิการเกิดความสงสัยหรือ สังหรณ์ใจในเรื่องที่ได้ยิน ได้อ่านพบว่าน่าจะมีอะไรซุกซ่อนอยู่อีก น่าจะเป็นเพราะเหตุน้ัน เหตุนี้ ดังนั้นมุม มองที่แตกต่าง จึงเป็นสิ่งที่ส�ำคัญมากในการท�ำข่าวประเภทนี้ หลังจากได้ประเด็นข่าวก็ต้องมีการตั้งสมมุติฐานถึงสาเหตุความเป็นไปได้ โดยอาจศึกษาจากหลักฐาน แวดล้อม การสังเกต การคิด หรือการปรึกษาบรรณาธิการหรือคนอื่น ๆ ในกองบรรณาธิการ เมื่อได้ข้อ สมมุติฐานแล้วก็น�ำมาเรียงตามความเป็นไปได้ ข้อสมมุติฐานที่น่าเชื่อถือที่สุดจะอยู่บนสุด ส่วนข้อสมมุติฐาน ที่ไม่น่าจะเป็นไปได้อาจถูกตัดทิ้งไป 50
ทฤษฎีเกี่ยวกับข่าว เมื่อได้สมมุติฐานแล้ว ล�ำดับต่อไปก็คือการก�ำหนดเป้าหมายของการท�ำข่าวเช่น เรื่องนี้ต้องถูกน�ำมา พิจารณาใหม่ ค�ำสั่งที่ไม่ชอบธรรมไร้เหตุผลนั้นต้องถูกยกเลิกคนท�ำความผิดต้องถูกสอบสวนทางวินัย ถูก ด�ำเนินคดีเพ่งและอาญา นโยบายเรื่องนี้ซึ่งมีเงื่อนง�ำมีผลประโยชน์ซุกซ่อนอยู่ต้องถูกยกเลิก เป็นต้นเมื่อเป้า หมายในการรายงานข่าวเรื่องนั้น ๆ ชัดเจน การวางแผนสืบค้นเรื่องราว การมองหาแหล่งข่าวที่จะเข้าไปหา ข้อเท็จจริงจะตามมาทันที การท�ำข่าวเชิงสืบสวนจะต้องมีการวางแผนและประสานการท�ำงานกันเป็นทีมตั้งแต่การเก็บรวบรวม ข้อมูล จนมาถึงขัน้ ตอนของการน�ำเสนอหรือการรายงานข่าวออกไปซึง่ การรายงานข่าวออกไปนีไ้ ม่มกี ฎเกณฑ์ ตายตัวว่าจะต้องได้ขอ้ มูลหลักฐานทัง้ หมดครบถ้วนสมบูรณ์เสียก่อนจึงน�ำเสนอได้ หากข้อมูลทีไ่ ด้มามีนำ�้ หนัก ของความเป็นไปได้ เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ครบองค์ประกอบของข่าว ทั้งมีแนวโน้มจะติดตามสืบเสาะข้อเท็จ จริงต่อไปได้ การรายงานข่าวเบือ้ งต้นให้ผอู้ า่ นรูว้ า่ เรือ่ งราวเป็นมาอย่างไร แง่มมุ ทีเ่ ป็นเงือ่ นง�ำน่าสงสัยอยูต่ รง ไหน ก็สามารถรายงานข่าวได้เลย การค่อย ๆ รายงานข่าวออกไปนี้จะท�ำให้กองบรรณาธิการได้ข้อมูล หลัก ฐาน เอกสารต่าง ๆ แม้แต่การสัมภาษณ์ บุคคลจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อการเสนอข่าวกระทบไปถึงผู้ใด ทัง้ ผูไ้ ด้ประโยชน์และเสียประโยชน์ แม้กระทัง่ คนทีไ่ ม่มสี ว่ นได้สว่ นเสีย แต่เนือ่ งจากเขารูเ้ รือ่ งราวทัง้ หมดและ มีหลักฐานอยูใ่ นมือ ต้องการเห็นความถูกต้องจึงตัดสินใจให้ขอ้ มูลแก่หนังสือพิมพ์ ซึง่ ขัน้ ตอนการน�ำเสนอหรือ การรายงานนี้ จะมีผลกดดันผู้รับผิดชอบอย่างส�ำคัญ จากการที่ข่าวเชิงสืบสวนมีประเด็นสลับซับซ้อนมากมาย การหยิบประเด็นขึ้นมาติดตามและน�ำเสนอ จึงต้องคัดเลือก กลั่นกรองว่าประเด็นใดจะเสนอก่อน เสนอระหว่างที่ข่าวก�ำลังเดินไป หรือเก็บรอไว้เสนอใน ตอนท้ายใกล้จะจบการน�ำเสนอ นอกจากในรูปแบบของข่าวที่ติดตามอย่างต่อเนื่องแล้ว การน�ำเสนอด้วยรูป แบบอื่นมีส่วนช่วยผลักดันให้ข่าวบรรลุเป้าหมายมากขึ้น เช่น บทรายงานสัมภาษณ์พิเศษ บทวิเคราะห์ บทบรรณาธิการ ขั้นตอน วิธีการด�ำเนินการท�ำข่าวเชิงสืบสวนอาจท�ำได้โดยพิจารณาจากหลัก11 ข้อ ดังนี้ 1. จะต้องมีความคิด (Conception) 2. ศึกษาเรื่องราวที่กระทําได้ (Feasibility Study) 3. การตัดสินใจทําหรือไม่ (Go and No Go Study Decision) 4. การวางแผนและสร้างพื้นฐานในการทํางาน (Planning and BaseBuilding) 5. การวิจัยพื้นฐาน (Original Research) 6. การประเมินผลใหม่อีกครั้ง (Re-Evaluation) 7. ทบทวนการตัดสินใจทําหรือไม่ทําอีกครั้ง (Go and No Go Decision) 8. สัมภาษณ์บุคคลที่เป็นกุญแจไขข่าว (Key Interviews) 9. การประเมินผลครั้งสุดท้าย (Final Evaluation) 10. ทบทวนการตัดสินใจทําหรือไม่ทําอีกครั้งเป็นครั้งสุดท้าย (Final Goanf No Go Decision) 11. เขียนและตีพิมพ์ข่าว (Writing and Publication)
51
ทฤษฎีเกี่ยวกับข่าว ข้อควรระวังในการเสนอข่าวเชิงสืบสวน 1. ควรระวังผู้ให้เบาะแสข่าว ผู้สื่อข่าวจะต้องประเมินคุณค่าของผู้ให้เบาะแสข่าวด้วยว่าน่าเชื่อถือ เพียงใด และข้อมูลที่ได้มามีข้อพิสูจน์อะไรเพื่อสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อเท็จจริงหรือไม่ ต้องตั้งสมมุติฐานดูว่า ผู้ให้เบาะแสข่าวมีจุดมุ่งหมายอะไรหากข่าวได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่ ใครจะได้รับผลประโยชน์บ้าง หรืออาจ หวังให้หนังสือพิมพ์เป็นเครื่องมือท�ำลายใครหรือไม่ หรือหวังผลประโยชน์อะไร อย่างไรก็ดี หากการประเมิน ข้อมูลข้อเท็จจริงที่ได้จากผู้ให้เบาะแสข่าวแล้วพบว่าไม่น่าเชื่อถือ ก็ไม่ควรทิ้งข้อมูลเหล่านั้นทั้งหมดควรเก็บ ใส่แฟ้มไว้ก่อน เพราะอาจมีประโยชน์ต่อไปในวันข้างหน้าก็ได้ 2. การท�ำข่าวเชิงสืบสวน นอกจากความถูกต้องซึ่งเป็นหัวใจแล้ว ความเป็นธรรมและความเป็นกลาง ยังต้องค�ำนึงถึงตลอดเวลาด้วย ผู้สื่อข่าวควรเปิดโอกาสให้ทุกฝ่ายได้แสดงข้อเท็จจริงในฝ่ายของเขาออกมา โดยเฉพาะอย่างยิง่ ฝ่ายทีเ่ สียหายหรือตกเป็นข่าวในทางเสือ่ มเสีย แม้ผสู้ อื่ ข่าวจะมีสมมุตฐิ านของตนทีจ่ ะต้องหา ข้อมูลหลักฐานมาสนับสนุนหรือพิสจู น์เงือ่ นง�ำต่าง ๆ ของเรือ่ งนัน้ ก็ตาม ผูส้ อื่ ข่าวจะต้องไม่ดว่ นสรุปอะไรง่ายๆ ถือเอาความคิดเห็นของตนเองเป็นหลัก ยัดเยียดข่าวสารข้อมูลด้านเดียวให้ผอู้ า่ นเชือ่ ตามสมมุตฐิ านทีต่ งั้ ไว้แต่ แรกเป็นส�ำคัญ 3. ข่าวสืบสวนเป็นการพยายามเปิดเผยประเด็นที่ถูกซ่อนเร้น เมื่อมีการสืบค้นย่อมท�ำให้ผู้ที่เสียผล ประโยชน์ไม่พอใจและตอบโต้กลับ ซึ่งการตอบโต้กลับนี้อาจตอบโต้ด้วยวิธีการทางกฎหมาย หรืออาจตอบโต้ โดยวิธีการที่อยู่เหนือกฎหมาย ดังนั้นผู้สื่อข่าว ต้องระมัดระวังการท�ำข่าวประเภทนี้ให้ดี หากข้อมูลหลักฐาน ไม่ชดั เจนพออาจถูกฟ้องร้องกลับฐานหมิน่ ประมาทได้งา่ ย ๆ บางครัง้ อาจถูกอิทธิพลบางอย่างท�ำร้ายก่อนข่าว จะสิ้นสุด การวางแผนจึงเป็นสิ่งที่ส�ำคัญมากส�ำหรับการน�ำเสนอข่าวประเภทนี้ 4. ความเคยชินต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวันเป็นอุปสรรคส�ำคัญในการรายงานข่าว เมื่อได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่านพบอะไรก็คิดว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปหมดทุกเรื่อง ความรู้สึกเช่นนี้เป็นเรื่องอันตราย ท�ำให้ผู้ สื่อข่าวเฉื่อยชา และมองไม่เห็นประเด็นข่าว ผู้สื่อข่าวต้องพยายามก�ำจัดความรู้สึกเช่นนี้ออกไป และจะต้อง ตื่นตัวตลอดเวลากับเหตุการณ์ที่ได้พบเห็นในแต่ละวัน
52
ทฤษฎีเกี่ยวกับข่าว การรายงานข่าวเชิงตีความ (Interpretative Reporting) ในปัจจุบนั ผูส้ อื่ ข่าวจ�ำเป็นต้องมีวธิ กี ารสือ่ ข่าวหรือเสนอข่าวทีใ่ ห้ขอ้ มูลหรือข้อเท็จจริงของสถานการณ์ ข่าวที่ชัดเจนและลึกซึ้ง อันเป็นการสนองความต้องการด้านข้อมูลข่าวสารของบุคคลในสังคมยุคปัจจุบันที่ เหตุการณ์ต่าง ๆ เต็มไปด้วยความยุ่งยากซับซ้อนมากขึ้น การรายงานข่าวลักษณะนี้จะต้องอธิบายถึงสิ่งที่ เกีย่ วข้องกับข่าวทัง้ หมดต้องอาศัยข้อมูลจ�ำนวนมาก และผูอ้ ยูร่ ว่ มในสถานการณ์มสี ว่ นช่วยอธิบายข้อเท็จจริง ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เรียกวิธีการเสนอข่าวประเภทนี้ว่า การรายงานข่าวเชิงตีความ ในสังคมปัจจุบัน การรายงานข่าวเชิงตีความ หรือบางครั้งเรียกว่าการ “ไขข่าว” มีความจ�ำเป็นมากยิ่ง ขึ้น การแสวงหาข่าวหรือการสื่อข่าวของผู้สื่อข่าวมิใช่ปฏิบัติหน้าที่ไปวัน ๆ เท่านั้น แต่ต้องพัฒนาศักยภาพ ของตนเองให้กา้ วทันโลก ทันเหตุการณ์และทันต่อความต้องการของผูอ้ า่ นทีต่ อ้ งการบริโภคข่าวสารทีม่ คี ณ ุ ค่า และเป็นประโยชน์ตอ่ ตนเองมากทีส่ ดุ ดังนัน้ การสือ่ ข่าวทีน่ อกเหนือจากการรายงานเหตุการณ์หรือข้อเท็จจริง ทีเ่ ป็นจริงอยูแ่ ล้ว จ�ำเป็นต้องแสดงข้อมูลทีเ่ กีย่ วข้องกับเหตุการณ์ในอดีตสูป่ จั จุบนั และมีความหมายต่อเนือ่ ง ต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคต การเขียนข่าวประเภทนี้มีหลักการส�ำคัญอยู่ตรงที่ว่า “จะไม่เสนอข้อเท็จจริง หรือเหตุการณ์ที่มองเห็นเท่านั้น แต่จะให้รายละเอียดหรือแสดงความสัมพันธ์กับอดีต (ถ้ามี) และชี้ทิศทางให้ เห็นว่าอะไรจะเกิดขึ้นหรือกระทบกระเทือนอย่างไรในอนาคต” องค์ประกอบของการรายงานข่าวเชิงตีความ ได้แก่ 1. มูลเหตุและแรงจูงใจ (Cause and Motive) 2. ความสําคัญ (Significance) 3. การวิเคราะห์ (Analysis) 4. การเปรียบเทียบ (Comparison) 5. การคาดคะเนหรือพยากรณ์ (Forecast) ปัจจัยที่เอื้ออํานวยการรายงานข่าวเชิงตีความ ได้แก่ 1. ข้ออ้าง (Reference) 2. ภูมิหลัง (Background) 3. ข้อมูลส่วนตัว (Resumes) 4. การสํารวจ (Survey) 5. สถานการณ์และแนวโน้ม (Situation and Trends) ขั้นตอนในการรายงานข่าวและการเขียนข่าวเชิงตีความ ควรปฏิบัติดังนี้ 1. รวบรวมข้อมูลข่าวจากแหล่งข่าวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ข่าวนั้นให้มากที่สุด 2. เลือกประเด็นข่าวที่ส�ำคัญที่สุดเพื่อเป็นแกนในการเขียนข่าวและอธิบายข่าวต่อไป 3. เขียนวรรคน�ำข่าวที่สรุปเรื่อง (Summary Lead) เพื่อให้ผู้อ่านรู้ถึงเหตุการณ์ข่าวในเบื้องต้นก่อน 53
ทฤษฎีเกี่ยวกับข่าว 4. รายงานเหตุการณ์หรือเรื่องราวของข่าวที่เกิดขึ้นในปัจจุบันอย่างชัดเจนที่สุด 5. น�ำเสนอเบื้องหลังหรือค�ำอธิบายของผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ หรือผู้เชี่ยวชาญในเรื่องราวนั้น เพื่อเชื่อม โยงเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นท�ำให้ผู้อ่านเข้าใจเรื่องราวในข่าวรวดเร็วยิ่งขึ้น 6. แสดงข้อมูลอื่น ๆ ประกอบ ได้แก่ ข้อมูลจากการส�ำรวจ การวิเคราะห์การคาดการณ์ แนวโน้มใน อนาคต เพื่อความสมบูรณ์ของข่าวชิ้นนั้นหรือแสดงทิศทางของข่าวนั้นต่อไป 7. รายงานความคืบหน้าของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นล่าสุด ณ เวลานั้น เพื่อท�ำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจใน เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมด อีกทั้งสามารถตัดสินหรือประเมินค่าในเหตุการณ์ข่าวนั้นได้ในที่สุด คุณสมบัติที่ดีของผู้สื่อข่าวเชิงตีความ ได้แก่ 1. ต้องเป็นผู้มีความรู้ความสามารถในการสื่อข่าวในสถานการณ์ต่าง ๆ เป็นอย่างดี เนื่องจากจะต้อง เป็นผู้เจาะลึกในเรื่องราวที่เกิดขึ้น 2. ต้องเป็นผู้มีความอดทน ละเอียดรอบคอบ สามารถปฏิบัติงานได้ท่ามกลางความกดดัน และแข่งขัน กับเวลาเพื่อให้ได้ข้อมูลข่าวที่จ�ำเป็นส�ำหรับการตีพิมพ์ในหน้าหนังสือพิมพ์ในแต่ละกรอบ 3. ต้องเป็นผู้มีความรู้ในเรื่องสถานการณ์และแนวโน้มของโลกปัจจุบันเป็นอย่างดี เพื่อวางแผนการ ท�ำงานให้ได้ข้อมูลข่าวที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้อ่าน 4. ต้องเป็นนักส�ำรวจหรือนักวิเคราะห์ที่ช�ำนิช�ำนาญ สามารถมองเห็นประเด็นข่าวที่จะน�ำมาอธิบาย ขยายความเพื่อประโยชน์ต่อสังคมต่อไป 5. ต้องเป็นผู้ศึกษา เพิ่มพูนความรู้ของตนเองอยู่เสมอ เพื่อทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่ 6. ต้องเป็นผู้รู้จักอุทิศตนเองเพื่อประโยชน์ต่อผู้อ่านและวิชาชีพของตนเอง
54
ทฤษฎีเกี่ยวกับข่าว การรายงานข่าวประเภทสะเทือนใจ (Human Interest Reporting) การรายงานข่าวประเภทนี้จะมุ่งรูปแบบการเขียนข่าวให้เกิดความสะเทือนใจ(Human Interest) ซึ่ง จะเน้นการกระตุ้นทางอารมณ์ หลักการเขียนข่าวสะเทือนใจ มีดังนี้ 1. การเขียนข่าวสะเทือนใจมักเขียนในรูปสารคดีสนั้ ตรงไปตรงมา ท�ำนองการเขียนเป็นสิง่ ส�ำคัญ การ เขียนรูปประโยคที่อ่อนไหวจะสะเทือนใจมากกว่าประโยคแข็งกระด้างหรือเกินเลยความจริง 2. การถ่วงเรื่องไว้มีความส�ำคัญ เพื่อยั่วยุให้ผู้อ่านติดตามอ่านตั้งแต่ต้นจนจบ (Climax) 3. การจับอารมณ์คนเป็นองค์ประกอบที่ส�ำคัญ แต่ไม่ใช่สอดแทรกอารมณ์ลงในการเขียน ให้ผู้เขียน เป็นสื่อทางความรู้สึกและจิตใจไปสู่ผู้อ่าน 4. การล�ำดับเหตุการณ์และการจบเรือ่ งเพือ่ รายงานให้ผอู้ า่ นได้รวู้ า่ เหตุการณ์นนั้ มุง่ ไปสูจ่ ดุ Climax (ความส�ำคัญที่สุดของเรื่อง) อาจเดินเรื่องทั้งหมดโดยไม่บอกจุด Climax เพื่อจะได้เปิดเผยในวินาทีสุดท้าย ก่อนจะจบเรือ่ งนัน้ ก็ได้ วิธกี ารเสนอข่าวประเภทนี้ ตัง้ แต่สว่ นแรกของวรรคน�ำและเนือ้ หาไม่ได้กำ� หนดแน่นอน ตายตัว ขึ้นอยู่กับเนื้อหาหรือข้อเท็จจริง และสไตล์ของผู้เขียนเป็นส�ำคัญ 5. ลักษณะการด�ำเนินเรื่อง ในทางปฏิบัติของข่าวประเภทสะเทือนใจจะตรงกันข้ามกับข่าวประจ�ำวัน ทั่วไป โดยการรายงานข่าวสะเทือนใจจะไม่ตรงเข้าสู่เนื้อหา ผู้อ่านจะมีความรู้สึกเหมือนกับเคลื่อนเข้าไปใน ข่าวเพื่อรับการป้อนเต็มที่ ส่วนการรายงานข่าวทั่วไปเป็นการเดินเข้าหาจุดที่ส�ำคัญของเรื่องทันทีทันใด
55
New media “สื่อใหม่” 56
สื่อใหม่ NEW MEDIA
NEW MEDIA สื่อใหม่ ในอดีตสือ่ มวลชนมีบทบาทส�ำคัญอย่างมากในด้านการก�ำหนดวาระข่าวสาร(Agenda Setting) ความเป็น ตัวกลางการน�ำคัดและเลือกเสนอข้อมูลข่าวสารในสังคม(Gatekeeper) หรือแนวคิดผูน้ ำ� ทางความคิดของ สังคม (Opinion Leader) แต่ปัจจุบันนี้ บทบาทของสื่อมวลชนซึ่งถือเป็นแกนส�ำคัญของเหล่านี้ ก�ำลังถูก สื่อใหม่ หรือ “นิวมีเดีย” (New Media) ท้าทาย หรืออาจถึงขั้นแนวคิดและทฤษฎีบางทฤษฎีถูกลบความ ส�ำคัญจากต�ำรายุคใหม่ให้เป็นเพียงประวัตกิ ารศึกษาถึงผลกระทบของสือ่ มวลชนต่อผูอ้ า่ นเลยทีเดียว นีย่ งั ไม่รวมถึงแนวคิดและทฤษฎีในวิชาการนิเทศศาสตร์และสื่อสารมวลชนอีก หลายทฤษฎีที่ปรากฏการณ์ของการเกิดขึ้นของสื่อใหม่ได้ท�ำให้แนวคิดและทฤษฎีเหล่านั้นลดความ ส�ำคัญไปมาก เช่น ทฤษฎีการไหลของข่าวสาร (Information Flow) ได้แก่ทฤษฎีเข็มฉีดยา (Hypodermic Needle) ที่เชื่อว่าสื่อมวลชนมีบทบาทและทรงอิทธิพลอย่างมากต่อผู้รับสาร ทฤษฎีการไหลของข่าวสารสอง ขั้นตอน (Two step Informationflow) ที่สื่อมวลชนมีบทบาทในการเลือกหยิบน�ำเสนอข่าวสารไปยังผู้รับ สาร โดยเป็นผู้รายงานข่าวสารต่างๆ ที่เกิดขึ้นซึ่งมีมากมายในสังคม นอกจากนั้น ทฤษฎีแนวเศรษฐศาสตร์ของสื่อ (Media Economics) ได้แก่ การผลิตข่าวสารมวลชน (Mass Production) การเผยแพร่ข่าวสารมวลชน (Mass Distribution) การผูกขาดของสื่อมวลชน (Media Monopolies) ก็ก�ำลังถูกท้าทายจากสื่อใหม่หากย้อนรอยเหตุปัจจัยที่เกิดขึ้นของสื่อใหม่ทำ� ให้การท�ำความ เข้าใจเกีย่ วกับบาทและอิทธิพลของสือ่ มวลชนต้องหันไปในทฤษฎีบางส�ำนักทีจ่ ะมีบทบาทมากยิง่ ขึน้ เช่น ทฤษฏี แนววิพากษ์สื่อ (Media Criticism) หรือทฤษฎีเทคโนโลยีเป็นตัวก�ำหนด(Technology Determinism) นัก วิชาการคนแรกๆ ทีส่ นใจเรือ่ งนีค้ อื ฮาโรลด์ อินนิส(Harold A Innis) นักวิชาการชาวแคนาดา แห่งมหาวิทยาลัย โตรอนโต้ (University ofToronto) ปรากฏความคิดในหนังสือชื่อ Empire and Communication ตีพิมพ์ ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1950 ราว พ.ศ.2493 และ The BIAS of Communication ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1951 (พ.ศ.2494) ความชัดเจนของแนวคิดเทคโนโลยีเป็นตัวก�ำหนดชัดเจนยิ่งขึ้น เมื่อมีค�ำพูดของ มาร์แชล แมคลูฮัน (Marshall McLuhan) นักวิชาการสื่อชาวอเมริกาซึ่งได้รับอิทธิพลจากแนวคิดของอินนิส ที่ว่า Medium is Massage ในหนังสือชื่อUnderstanding Media : The Extensions of Man ตีพิมพ์ครั้งแรก ในปี ค.ศ. 1964(พ.ศ.2507) ค�ำพูดที่นับว่าเป็นวรรคทองในหนังสือเล่มนี้ แสดงให้เห็นว่า สื่อเป็นตัวก�ำหนด รูปแบบการสื่อสารของมนุษยชาติ จนกระทั่ง ปี ค.ศ. 1989 (พ.ศ.2532) หนังสืออีกเล่มของ แมคลูฮัน ชื่อ TheGlobal Village ซึ่งปรากฏ ค�ำว่า สังคมข่าวสาร (Information Society) เป็นครั้งแรก อาจถือเป็นครั้งแรกที่จุดประกายแก่นักวิชาการ สื่อสารมวลชนทั่วโลกให้หันมาสนใจท�ำความเข้าใจกับการสื่อสารไร้พรมแดนนับแต่บัดนั้น จะเห็นได้ว่า อินเตอร์เน็ตเกิดขึ้นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2512 และประมาณปี พ.ศ.2530 ขณะที่นักวิชาการ 57
สื่อใหม่ NEW MEDIA คนไทยได้ เริม่ น�ำอินเตอร์เน็ตเข้ามาในประเทศไทย นับเป็นเวลาไล่เลีย่ กับการตีพมิ พ์หนังสือเล่มนีข้ องแมคลูฮนั จุดเด่นของหนังสือเล่มนี้ของแมคลูฮันคือ การน�ำเสนอให้เห็นถึงสภาพของเทคโนโลยีสื่อในศตวรรษที่ 21 นั่นเอง หลังจากนั้น ค�ำว่า สื่อใหม่ (New Media) ก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นในแวดวงเวทีนักวิชาการผู้สนใจศึกษา ท�ำความเข้าใจสื่อมวลชนตามแนวคิดเทคโนโลยีเป็นตัวก�ำหนด เมื่อเทคโนโลยีสารสนเทศเปลี่ยนแปลงไป? ระบบการสื่อสารของสังคมโดยเฉพาะสื่อสารมวลชนก็จะ ปรับเปลี่ยนตัวเองเข้าสู่โลกเทคโนโลยีสารสนเทศไปด้วย โดยที่ยังท�ำหน้าที่และบทบาทหลักของตนเองอยู่ใน ด้านปรัชญาพื้นฐานส�ำคัญของความจริงความถูกต้อง ความตรงไปตรงมา ความเป็นกลาง ความเป็นธรรม และความรับผิดชอบโดยยังเป็นแหล่งข้อมูลข่าวสาร แหล่งบันเทิงใจ เมือ่ เทคโนโลยีการสือ่ สารเปลีย่ น รูปแบบ และกระบวนการสือ่ สารก็เปลีย่ นตามไปด้วย ดังเช่นกรณีการเกิดขึน้ ของ ชุมชนไซเบอร์(Cyber Community) เทคโนโลยีการสือ่ สารย่อมส่งผลกระทบต่อสังคมและวัฒนธรรม จากเดิมทีเ่ น้นการสือ่ สารด้วยภาษาค�ำ พูด มาเป็นภาษาตัวอักษร จนปัจจุบันเป็นภาษาดิจิตอล (DigitalLanguage) การเกิดขึ้นของคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ สื่อเครือข่ายสังคม (Social Network) เป็นต้น ท�ำให้พฤติกรรมและจิตวิทยาการสื่อสารใน สังคมเปลี่ยนแปลงไป บทบาทของผู้รับสารส่วนใหญ่ในสังคมก็เปลี่ยนจากเดิมที่เคยเป็นเพียงผู้รับ (Passive Audience)มาเป็นผูส้ บื ค้นและรับรูข้ อ้ มูลข่าวสารด้วยตัวเองแทน (The Active Audience) นอกจากนัน้ การ ไหลของข่าวสารในสังคมจะมีความหลากหลายช่องทางมากขึ้นข้อสังเกตที่น่าสนใจประการหนึ่งคือ จากยุค ดั้งเดิมมนุษย์มีสื่อสารตัวต่อตัวเป็นค�ำพูดหรือมุขปาฐะ เทคโนโลยีสื่อจึงได้วิวัฒนาการสื่อท�ำให้มนุษย์สื่อสาร กันผ่านสื่อมวลชนเหมือนๆ จ�ำนวนมาก (Mass Media) เกิดสื่อมวลชนขึ้นมาหลายประเภท เช่นวิทยุกระจาย เสียง วิทยุโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ เป็นต้น แต่ในปัจจุบันการสื่อสารในสังคมเป็นแบบเฉพาะเจาะจงตัวบุคคล มากขึ้น แต่ก็มีความหลากหลายได้ในเวลาเดียวกัน จึงอาจกล่าวได้ว่า สื่อเครือข่ายสังคม หรือ โซเชียล มีเดีย (Social Media) เช่น ทวิตเตอร์ เฟสบุ๊คไฮไฟ ยูทูป เป็นต้น ได้น�ำผู้คนกลับมาพบกันแบบตัวต่อตัวมากขึ้น พร้อมๆ กันบางกรณีก็เป็นคนในเครือข่ายเดียวกัน แต่สิ่งที่ยอมรับกันว่าสื่อเก่าไม่มีมากนักก็คือความเป็น ? พื้นที่ สาธารณะ ของการแสดงความคิดความเห็นทางการเมือง (Political public sphere)ที่กล่าวมานี้ เพื่อ ชีใ้ ห้เห็นว่าภูมทิ ศั น์สอื่ (media landscape) ได้เปลีย่ นแปลงไป ท�ำให้รปู แบบการสือ่ สารของคนในสังคมและ วัฒนธรรมเปลี่ยนแปลงไป นักสื่อสารมวลชน โดยเฉพาะสื่อเก่าจะก้าวพร้อมๆ รวมทั้งใช้ประโยชน์จากความ เปลีย่ นแปลงนีอ้ ย่างไร หากไม่มกี ารปรับตัวจากความเคยชินเดิมๆคงต้องยอมรับกันทัว่ ไปแล้วว่า คนไทยสมัย นี้ไม่แพ้(ชาติใด)ใครแล้ว ในเรื่องความทันสมัยเกี่ยวกับไอที มีอะไรใหม่ในโลกไซเบอร์หรือไอที คนไทยสมัยนี้ ก็สามารถมีส่วนในการเข้าใช้ไม่แพ้ใคร ปี พ.ศ. 2554 ที่ผ่านมานั้นเป็นปีของการสื่อสารบนโลกออนไลน์ สังเกตได้จากจ�ำนวนของผู้ใช้งาน เว็บไซต์สังคมออนไลน์เฟซบุ๊ค (Facebook) ที่มีผู้ใช้งานเกินกว่า 800ล้านคนทั่วโลก ทวิตเตอร์ (Twitter) มีผู้ ใช้งานมากกว่า 250 ล้านคนทัว่ โลก และเมือ่ เทคโนโลยีพฒ ั นาก้าวหน้าส่งผลให้เกิดเครือ่ งมือสือ่ สารทีท่ นั สมัย มากขึ้น เช่น สมาร์ทโฟน (Smartphone) แท็บเล็ต (Tablet) เป็นต้น ซึ่งเครื่องมือสื่อสารยิ่งทันสมัยยิ่งท�ำให้ การสือ่ สารบนโลกออนไลน์ สะดวกรวดเร็วมากขึน้ เครือ่ งมือสือ่ สารทีพ่ ฒ ั นาดังกล่าวข้างต้นได้กลายมา เป็น โซเชียลมีเดีย (Social Media) เพราะสร้างให้เกิดโซเชียลเน็ตเวิร์ค (Social Network) หรือเครือข่าย สังคมออนไลน์ท่ีมนุษย์ติดต่อสื่อสารกันด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยต่าง ๆ เกิดเป็นการสื่อสาร 2 ทางที่ฉับไว
58
สื่อใหม่ NEW MEDIA เกิดการแบ่งปันข้อมูลทุกประเภทอย่างรวดเร็วเครือข่ายสังคมออนไลน์ที่อาศัยโซเชียลมีเดีย ยิ่งทวีบทบาท ส�ำคัญในการสือ่ สารแลกเปลีย่ นข้อมูลมากขึน้ โดยเฉพาะเมือ่ สังคมต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตสภาพแวดล้อมใน สังคมมีการเปลี่ยนแปลง หรือเกิดความขัดแย้งระดับ สูงขึ้นในสังคมสภาวการณ์ดังกล่าวท�ำให้ผู้คนในสังคม ต้องการข้อมูลข่าวสารทีร่ วดเร็วทันเหตุการณ์มากขึน้ เพือ่ ท�ำให้ตนได้รบั ความรู้ ความเข้าใจ และลดความวิตก กังวลหรือไม่แน่ใจที่เกิดขึ้น(Ball-Rokeach and DeFIeur, 1976) สังเกตได้จากสังคมไทยในช่วงที่เกิดความขัดแย้งกรณี “เมษาเลือด”เมื่อปี พ.ศ. 2553 หรือเกิดภาวะ วิกฤต กรณี “มหาอุทกภัย” ปี พ.ศ. 2554 ที่ผ่านมาสมาชิกในสังคมหรือผู้รับสารยิ่งต้องการข้อมูลจาก สือ่ มวลชน สือ่ มวลชนจะได้รบั การคาด หวังจากสังคมให้มบี ทบาทในการช่วยคลีค่ ลาย และส่งเสริมการจัดการ กับภาวะวิกฤตทีค่ กุ คามความสงบสุขของสังคมโดยเร็ว สือ่ มวลชนจึงต้องท�ำหน้าทีใ่ นการรวบรวมและเผยแพร่ ข้อมูลประเด็นปัญหาต่าง ๆ และแนว ทางแก้ไขให้รวดเร็วทันต่อความต้องการของผู้คนที่ตกอยู่ในสภาพ ตึงเครียดจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โซเชียลมีเดียที่มีคุณสมบัติด้านความสะดวกและรวดเร็วในการติดต่อสื่อสารจึงเข้ามามีบทบาทส�ำคัญ และ กลายเป็นทางเลือกใหม่ของนักข่าวในการน�ำเสนอข้อมูลแก่ประชาชน เพราะนอกจากจะรวดเร็วและ สะดวกต่อการใช้งานแล้ว ยังสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ส่งสารและผู้รับสาร ท�ำให้การรายงานข่าวมี มุมมองทีห่ ลากหลายมากขึน้ ขณะเดียวกันโซเชียลมีเดียทีม่ คี วามโดดเด่นในเรือ่ งความรวดเร็วของการน�ำเสนอ เหตุการณ์เพือ่ ตอบสนองความต้องการข้อมูลข่าวสารของผูค้ นได้อย่างทันท่วงที ก็มขี อ้ กังขาในเรือ่ งของความ ถูกต้อง และความน่าเชื่อถือของข้อมูล ด้วยประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับโซเชียลมีเดียดังกล่าวข้างต้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการมีบทบาทส�ำคัญใน การรายงานข่าวช่วงภาวะวิกฤตด้วยความรวดเร็ว หรือประเด็นข้อสงสัยเกี่ยวกับความถูกต้องของข้อมูลที่น�ำ เสนอ เวทีเสวนา “โซเชียลมีเดียทางเลือกใหม่” ของการรายงานข่าวในภาวะวิกฤต” จึงเกิดขึ้นด้วยความร่วม มือระหว่างภาควิชาวารสารศาสตร์ คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และ ชมรมนักข่าวสายเทคโนโลยีสารสนเทศ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย โดยมุง่ หวังให้เกิดกระบวนการถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ การแลกเปลีย่ นความคิดเห็น และก�ำหนด แนวทางร่วมกันระหว่างอาจารย์ นักศึกษา นักวิชาชีพสื่อทั้งระดับประเทศ และระดับท้องถิ่น รวมถึงภาค ประชาชน เกีย่ วกับการน�ำเทคโนโลยีดา้ นการสือ่ สารผ่านสือ่ สังคมออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดีย (Social Media) มาช่วยรายงานข่าวในภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้นได้เสมอ รวมทั้งหารือแนวทางด้านจริยธรรมที่จะต้องตระหนักถึง ทั้งในปัจจุบันและอนาคต ตลอดจนเพื่อให้นักศึกษาด้านนิเทศศาสตร์ได้เห็นถึงแนวทางการรายงานข่าวยุค ใหม่ในภาวะวิกฤตว่า ต้องมีการเตรียมพร้อมอย่างไร เพื่อให้น�ำใช้ไปประกอบวิชาชีพต่อไป
59
สื่อใหม่ NEW MEDIA Social Media คืออะไร ส�ำหรับในยุคนี้ เราคงจะหลีกเลี่ยงหรือหนีค�ำว่า Social Media ไปไม่ได้ เพราะไม่ว่าจะไปที่ไหน ก็จะ พบเห็นมันอยู่ตลอดเวลา ซึ่งหลายๆ คนก็อาจจะยังสงสัยว่า “SocialMedia” มันคืออะไรกันแน่ วันนี้เราจะ มารู้จักความหมายของมัน ค�ำว่า “Social” หมายถึง สังคม ซึ่งในที่นี้จะหมายถึงสังคมออนไลน์ ซึ่งมีขนาดใหม่มากในปัจจุบัน ค�ำว่า “Media” หมายถึง สื่อ ซึ่งก็คือ เนื้อหา เรื่องราว บทความ วีดีโอ เพลงรูปภาพ เป็นต้น ดังนั้นค�ำว่า Social Media จึงหมายถึง สื่อสังคมออนไลน์ที่มีการตอบสนองทางสังคมได้หลายทิศทาง โดยผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต พูดง่ายๆ ก็คอื เว็บไซต์ทบี่ คุ คลบนโลกนีส้ ามารถมีปฏิสมั พันธ์โต้ตอบกันได้นนั่ เอง พื้นฐานการเกิด Social Media ก็มาจากความต้องการของมนุษย์หรือคนเราที่ต้องการติดต่อสื่อสาร หรือมีปฏิสมั พันธ์กนั จากเดิมเรามีเว็บในยุค 1.0 ซึง่ ก็คอื เว็บทีแ่ สดงเนือ้ หาอย่างเดียว บุคคลแต่ละคนไม่สามารถ ติดต่อหรือโต้ตอบกันได้ แต่เมื่อเทคโนโลยีเว็บพัฒนาเข้าสู่ยุค 2.0 ก็มีการพัฒนาเว็บไซต์ที่เรียกว่า web application ซึ่งก็คือเว็บไซต์มีแอพลิเคชันหรือโปรแกรมต่างๆ ที่มีการโต้ตอบกับผู้ใช้งานมากขึ้น ผู้ใช้งานแต่ละ คนสามารถโต้ตอบกันได้ผ่านหน้าเว็บ ส�ำหรับ social media แบ่งออกได้เป็น 5 ประเภท ได้แก่ใช้แสดงตัวตนและการปฏิสัมพันธ์ระหว่าง บุคคล(social met work) ได้แก่Facebook,twitter,myspace,licedIn,hi-5น�ำเสนอในลักษณะเนื้อหา ข้อความ(content sharing) ได้แก่ Word press,Typepad,slideshareน�ำเสนอมัลติมีเดีย (Visual image video platform) น�ำเสนอในรูปของภาพถ่ายหรือวีดีโอ ได้แก่youtube,Frickrsocial bookmark site เวป ไซต์ที่ใช้บุ๊คมาร์คเว็ป Wikis pedia เว็บที่เป็นอภิธานศัพท์ ปัจจุบนั สังคมบนโลกใบนีไ้ ด้กา้ วเข้าสูย่ คุ โลกาภิวฒ ั น์ (Globalization) หรือยุคแห่งสังคมข้อมูลข่าวสาร อย่างเต็มตัว ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีการสือ่ สารทีท่ นั สมัยก้าวหน้า การเชือ่ มต่อโลกทัง้ ใบสามารถท�ำได้ โดย ไม่มอี ปุ สรรคทัง้ ด้านเวลาและระยะทางเรียกได้วา่ เป็นยุคแห่งการสือ่ สารทีไ่ ร้พรมแดน ด้วยความเจริญก้าวหน้า ทางเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด การติดต่อสื่อสารท�ำได้ง่ายมากขึ้น ไม่ว่าจะอยู่คนละ ซีกโลก หรือต่างเวลากัน ก็สามารถเชื่อมโยงติดต่อสื่อสารกันได้ เพียงแค่มีสัญญาณโทรศัพท์หรือสัญญาณ อินเทอร์เน็ต เรียกได้ว่า ไม่ว่าจะอยู่ไกลแค่ไหน ก็สามารถสื่อสารกันได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ด้วยความง่ายและสะดวกสบายในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต ทีส่ ามารถเชือ่ มโยงคนทัง้ โลกเข้าด้วยกัน ท�ำให้ เกิดการสร้างสังคมในโลกอินเทอร์เน็ตขึ้น หรือที่รู้จักกันในชื่อ “เครือข่ายสังคมออนไลน์” (Online Social Network) เพื่อให้ผู้คนสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล แบ่งปันข่าวสาร เล่าเรื่องราว ความสนใจเฉพาะเรื่องซึ่งกัน และกัน และทุกคนสามารถก็สามารถเลือกรับข่าวสารข้อมูลดังกล่าวได้อย่างเสรี ท�ำให้เครือข่ายสังคมออนไลน์ กลายเป็นแหล่งการแบ่งปันและแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากข้อมูลของสถาบันวิจัยและศูนย์ข้อมูลการใช้อินเทอร์เน็ตในสหรัฐ ได้แก่PewInternet, Tnsdigitallife, Neilsen และ Comscoredatamine ได้รวบรวมสถิติเมื่อต้นปี 2555 พบว่า ประชากรทั่วโลกเข้าถึง อินเทอร์เน็ตมากถึง 2,095,006,005 คนหรือคิดเป็นร้อยละ 30 ของประชากรโลกทั้งหมด โดยใช้เวลาไปกับ อินเทอร์เน็ตเฉลี่ย 16ชั่วโมงต่อเดือน ซึ่งโซเชียลเน็ตเวิร์ค เป็นกิจกรรมบนอินเทอร์เน็ตที่ใช้เวลากันมากที่สุด
60
สื่อใหม่ NEW MEDIA เฟซบุ๊ค (Facebook) 137,644,000 ครั้งต่อเดือน ยูทูป (Youtube) มีการเข้าชมวิดีโอราว40 ล้านครั้งต่อวัน และมีการทวิตข้อความในทวิตเตอร์ (Twitter) ถึง 250 ล้านครัง้ ต่อวัน(สุดทีวลั สุขใส และณัฐชญา อัครยรรยง, 2555)ด้วยปัจจัยด้านความรวดเร็วในการเข้าถึง ท�ำให้เครือข่ายสังคมออนไลน์มีความได้เปรียบ สังเกตได้ว่า เครือข่ายสังคมออนไลน์ในปัจจุบนั จะพบทัง้ หน่วยงานของภาครัฐ เอกชน หรือแม้แต่หน่วยงานภาคประชาชน ทีใ่ ช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ในการติดต่อสือ่ สาร หรือประชาสัมพันธ์องค์กร เพือ่ สร้างภาพลักษณ์ ไม่เว้นแม้แต่ ปัญหาของประชาชนทั่วไปก็เลือกที่จะใช้ช่องทางเครือข่ายสังคมออนไลน์ในการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารต่างๆ เพื่อสะท้อนไปยังสังคม เพราะเป็นวิธีที่ประหยัด รวดเร็ว และกระจายไปได้ในวงกว้าง ท�ำให้เครือข่ายสังคม ออนไลน์ กลายเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดี ซึ่งคงจะปฏิเสธไม่ได้ว่า ในจ�ำนวนของผู้ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์ มีไม่ น้อยทีเ่ ป็นนักข่าว หรือท�ำงานด้านสือ่ สารมวลชน เพราะนอกจากจะใช้ในการส่งข่าวถึงประชาชนแล้ว นีก่ อ็ าจ จะเป็นอีก 1ช่องทางในการเปิดพื้นที่ให้บุคคลและหน่วยงานอื่นๆ ติดต่อสื่อสารมายังสื่อมวลชนได้ด้วย ด้วยความรวดเร็วของข่าวสารบนโลกอินเทอร์เน็ตในยุคโลกาภิวฒ ั น์ ท�ำให้สอื่ มวลชนจะย�ำ้ อยูก่ บั ทีเ่ พือ่ รอให้ขา่ ววิง่ เข้ามาหาไม่ได้แล้ว เพราะปัจจุบนั ทุกคนล้วนเป็นนักข่าวได้ เพียงแค่มโี ทรศัพท์มอื ถือหรืออุปกรณ์ ทีส่ ามารถเชือ่ มต่ออินเทอร์เน็ตได้กส็ ามารถเผยแพร่ขอ้ มูลข่าวสาร ทัง้ ข้อความ ภาพ เสียง หรือวีดโี อ ผ่านทาง เครือข่ายสังคมออนไลน์ได้ทันที และเพียงไม่กี่นาทีก็อยู่ในกระแสของเครือข่ายสังคมออนไลน์แล้วแต่จะนาน หรือไม่ขึ้นอยู่กับความน่าสนใจของสิ่งที่ถูกเผยแพร่ออกไป ดังนั้นเพื่อก้าวให้ทันโลกของข้อมูลข่าวสาร สื่อมวลชนต้องวิ่งให้ทันกระแสโลก เมื่อข่าวไม่ได้วิ่งเข้ามาทางโทรศัพท์ เครื่องแฟกซ์ หรือการแจ้งหมายผ่าน ข้อความอีกต่อไป ผู้สื่อข่าวจึงมีความจ�ำเป็นต้องเข้าไปอยู่ในเครือข่ายสังคมออนไลน์ จากข้อมูลดังกล่าวผูว้ จิ ยั จึงมีความสนใจทีจ่ ะศึกษาพฤติกรรมการใช้งานและการคัดเลือกข่าวจากเครือ ข่ายสังคมออนไลน์ของผู้สื่อข่าวโทรทัศน์ ว่าใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์อย่างไร เพื่อประโยชน์ในการท�ำงาน ข่าว เพราะในโลกอินเทอร์เน็ตมีเครือข่ายสังคมออนไลน์หลายล้านเว็บไซต์ แตกต่างกันไปตามแต่ชนิดของการ ใช้งานตามความเหมาะสม และการจะเลือกหยิบเรื่องใดขึ้นมาเพื่อให้เป็นข่าว ต้องมีหลักเกณฑ์การคัดเลือก อย่างไร เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือของแหล่งข่าว “โซเชียลมีเดีย” เรียกได้วา่ เป็นเครือข่ายสังคมออนไลน์ทมี่ กี ารใช้งานอย่างแพร่หลายและมีอทิ ธิพลอย่าง กว้างขวางในหลากหลายวงการ ซึ่งไม่จ�ำกัดเพียงแค่ในแวดวงธุรกิจและการตลาดที่เรามักน�ำเสนอกันอยู่เป็น ประจ�ำเท่านั้น แต่ยังมีอิทธิพลไปในวงกว้างไม่ว่าจะเป็นแวดวงการศึกษา, การเมืองหรือแม้แต่ในด้านดนตรี ซึง่ ในวันนีเ้ รามีบทความจากเว็บไซต์ Mylife.com ทีจ่ ะมาสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า โซเชียลมีเดียมีอทิ ธิพล อย่างไรบ้างในแต่ละวงการเริม่ ต้นกันด้วยที่ แวดวงข่าวสารและสือ่ สารมวลชน (News) ในยุคดิจติ อลโซเชียลมี เดียกลายมาเป็นแหล่งรวบรวมข่าวสารขนาดใหญ่จากทัว่ ทุกมุมโลก โดยโซเชียลมีเดียถูกใช้เป็นช่องทางในการ รับข่าวสารโดยเฉพาะข่าวด่วน (Breaking News) คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 50% ของผู้บริโภคทั้งหมด รวมถึง โซเชียลมีเดียยังเป็นช่องทางในการรับข่าวสารที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับที่ 2 ในกลุ่มผู้บริโภคชาวอเมริกัน โดยมีสดั ส่วนอยูท่ ี่ 27.8%ซึง่ เป็นรองจากอันดับที่ 1 อย่างทางหนังสือพิมพ์คดิ เป็นสัดส่วนเพียงแค่ 1% เท่านัน้ นอกจากนี้ในกลุ่มนักข่าวกว่า 65% ยังหันมาใช้โซเชียลมีเดียมีเดียอย่าง Facebook และLinkedin มาก่อน เป็นอันดับต้นๆเพื่อค้นหาข่าวสารและข้อมูลต่างๆ ต่อกันด้วย แวดวงการศึกษา (Education) ปัจจุบนั พบว่ามีจำ� นวนนักเรียนและนักศึกษาในสหรัฐฯทีใ่ ช้ งานโซเชียลมีเดียคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 80% ของจ�ำนวนทั้งหมด โดยกว่า 59% ของนักเรียนทั้งหมดใช้โซ
61
สื่อใหม่ NEW MEDIA เชียลมีเดียเพื่อพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในเรืองของการศึกษา รวมถึง 50% ยังใช้โซเชียลมีเดียเพื่อ พูดคุยเกีย่ วกับงานหรือการบ้านทีไ่ ด้รบั ด้วยเช่นกัน ซึง่ การใช้งานโซเชียลมีเดียในแวดวงการศึกษาไม่ถกู จ�ำเพียง แค่ในกลุ่มนักเรียนเท่านั้น แต่คุณครูและอาจารย์ก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย โดยการผล ส�ำรวจพบว่ากว่า 30% ของคุณครูทงั้ หมดใช้โซเชียลมีเดียมีเดียเพือ่ เป็นช่องทางในการสือ่ สารกับนักเรียนและ อีกมากกว่า 50% ก็ใช้โซเชียลมีเดียเพื่อเป็นตัวช่วยในการสอนหนังสือ แวดวงการจ้างงาน (Employment) จากผลการส�ำรวจพบว่าปัจจุบันกลุ่มผู้สมัครงานเริ่มหันมาค้นหา ต�ำแหน่งงานผ่านโซเชียลมีเดียเพิ่มมากขึ้น ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว1 ใน 6 ของผู้สมัครงานทั้งหมด โดยโซเชียลมี เดียทีไ่ ด้รบั ความนิยมในกลุม่ ผูส้ มัครงานมากทีส่ ดุ เป็นอันดับที่ 1 คือ Facebook (52%) รองลงมาเป็น Linkedin (38%) และ Twitter(34%) แต่ในทางกลับกันบริษัทส่วนใหญ่กว่า 89% กลับใช้ Linkedin เพื่อค้นหาผู้ สมัครงานมากที่สุดเป็นอันดับแรก ตามมาด้วย Facebook (26%) และ Twitter (15%) ซึ่งในเวลานี้มีจ�ำนวน บริษัทมากกว่า 2.6 ล้านบริษัทที่มีเพจบน Linkedin แวดวงเศรษฐกิจ (Economy) โซเชียลมีเดียกลายมาเป็นธุรกิจประเภทใหม่ที่เข้ามามีบทบาทส�ำคัญใน แวดวงธุรกิจ ซึง่ ช่วยสร้างต�ำแหน่งงานได้มากกว่า 1,000ต�ำแหน่ง อีกทัง้ ยังช่องทางใหม่ทชี่ ว่ ยสร้างรายได้และ ยอดขายให้เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซึ่ง ทาง Facebook รายงานว่าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2012 ที่ผ่านมา Facebook มีรายได้รวมกันอยู่ที่ 1,260 พันล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่าเดิมจาก 954 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงเวลาเดียวกันในปี 2011 และแวดวงสุดท้ายทีเ่ ราเลือกมาให้ตดิ ตามกัน คือ แวดวงการตลาด (Marketing) โดยผลการส�ำรวจพบ ว่าในแง่มมุ ของนักธุรกิจโซเขียลมีเดียเป็นช่องทางส�ำคัญในการท�ำการตลาดทีช่ ว่ ยสร้าง Lead ได้มากกว่าช่อง ทางอื่นอย่าง Trade Show, Direct Mail,Telemarketing, และ PPC (Pay Per Click) ถึง 2 เท่าตัว รวมถึง โซเชียลมีเดียยังมีอัตราการซื้อสินค้าต่อจ�ำนวนการคลิก หรือ Conversion Rate มากกว่าค่าเฉลี่ยปกติถึง 13%ส่วนในแง่มมุ ของผูบ้ ริโภคพบว่ากว่า 46% ของผูใ้ ช้งานอินเทอร์เน็ตมีการใช้งานโซเชียลมีเดียเพือ่ เป็นช่อง ทางที่ช่วยในการตัดสินใจก่อนซื้อสินค้า
62
นักข่าวพลเมือง 63
CITIZEN REPORTERS
นักข่าวพลเมือง การแลกเปลี่ยนประสบการณ์จริงจากการใช้ Social Media ของ “คนข่าว”ชื่อดังอย่าง สุทธิชัย หยุ่น บรรณาธิการอ�ำนวยการกลุ่ม Nation, ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณีนายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่ง ประเทศไทย และหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ, อศินา พรวศิน ประธานชมรมนักข่าวสายเทคโนโลยีสารสนเทศ ตลอดจนนักข่าวเกือบทุกส�ำนักข่าวที่ประชาชนให้ความสนใจติดตามข่าวทาง Facebook, Twitter อย่าง กิตติ สิงหาปัด ,นภพัฒน์จักษ์ อัตตนนท์, เสถียร วิริยะพรรณพงศา มาแชร์ความคิดและประสบการณ์ใน การใช้ Social Media หลายๆ อย่างน่าสนใจ และหาอ่านไม่ได้ทั่วไป การเสวนาในวงกาแฟวานนีช้ ว่ งแรกเป็นการแชร์ประสบการณ์ของนักข่าวแต่ละคน ด�ำเนินรายการโดย ณัฏฐา โกมลวาทิน และน่าสนใจตรงที่เพิ่งรู้ว่านักข่าวหลายต่อหลายคนในที่นี้หลายคนพูดเหมือนกันว่า เริ่ม แรกไม่ค่อยมีใครใช้ Social Media แต่ผู้บังคับบัญชาขององค์กรที่ตัวเองสังกัดอยู่ก็มอบหมายให้ใช้ Social Media อย่าง Twitterในการน�ำเสนอข่าวซึ่งจะส่งผลให้ขับเคลื่อนองค์กรข่าวไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภ าพอย่าง ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี นายกสมาคมนักข่าวฯ และนักข่าวอาวุโสจากไทยรัฐ หนึ่งในผู้สร้างเว็บไซต์ Thairath.co.th ตั้งแต่ยุคแรกๆ ก็เปิดใจยอมรับตรงๆ กับผู้ร่วมเสวนาในเรื่อง Social Media ว่า ตอนแรก “ไทยรัฐ” ก็รสู้ กึ ว่าตัวเอง “ช้า” ไปในเรือ่ ง Social Media แม้แต่คอลัมนิสต์บางคนของไทยรัฐ จะส่งต้นฉบับทีหนึง่ ก็ยงั เขียนด้วยปากกาลงกระดาษให้คนน�ำมาพิมพ์ตอ่ ในคอมพิวเตอร์ และไทยรัฐน่าจะเป็น สื่อสุดท้ายที่ใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์ข่าวอย่างเดียว แต่ด้วยความที่โลกข้อมูลข่าวสารเปลี่ยนไป ทางไทยรัฐเลย เปิดบริษัทใหม่อย่างTrend VG3 ที่แยกออกมาท�ำเรื่องดิจิตอลโดยเฉพาะ จากนั้นก็มีนักข่าวไอทีรุ่นใหม่ของ ไทยรัฐออกความเห็นตามมาอีกหลายคนว่า เพื่อการรายงานที่อัพเดตมากขึ้น ตัวเองจึงต้องใช้ Social Media อย่างแอคทีฟมากยิ่งขึ้น ไม่หยุดอยู่เพียงอะไรเดิมๆ จากนั้นณัฏฐาได้ตั้งค�ำถามไปทาง สุทธิชัย หยุ่น ที่ค่อนข้างอัพเดตข่าวผ่านทางTwitter อย่างรวดเร็ว ว่องไว ซึ่งบรรณาธิการอ�ำนวยการเนชั่นก็เผยว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา Social Media มีการเติบโตแบบก้าว กระโดดในแง่ของบทบาทการน�ำเสนอข่าวน่าดีใจทีว่ งการนักวิชาการกับวงการสือ่ เองก็รว่ มผลักดันให้มกี ารใช้ งานกัน สอนและแลกเปลี่ยนกันมากขึ้น โดยทางเนชั่นเองภายในก็มีการแจกคู่มือจริยธรรมของนักข่าวของ เนชั่นว่า จะต้องใช้ Social Media อย่างไร จากนัน้ ก็เป็นการแลกเปลีย่ นความคิดเห็นสัน้ ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นนักข่าวรุน่ เด็กๆและรุน่ กลางๆ ถามนัก ข่าวผูใ้ หญ่ อย่างเรือ่ งความเป็นส่วนตัว เพราะนักข่าวบางคนก็เริม่ สับสนเหมือนกันระหว่าง การน�ำเสนอความ คิดเห็นส่วนตัว กับการน�ำเสนอข้อเท็จจริงของข่าว ซึ่งในเรื่องนี้ สุทธิชัย หยุ่นได้แชร์ว่า “ใน Social Media นักข่าวจะต้องระวังความคิดเห็นส่วนตัวเป็นอย่างยิง่ ครับ เพราะคนรับสารไม่ได้แยกว่าอันไหนส่วนตัว อันไหน ฐานะนักข่าว นักข่าวจะไม่มีความเป็นส่วนตัวใน Social Media ทุกคนมีสิทธิเอาไป 64
CITIZEN REPORTERS การเสวนาในวงกาแฟวานนีช้ ว่ งแรกเป็นการแชร์ประสบการณ์ของนักข่าวแต่ละคน ด�ำเนินรายการโดย ณัฏฐา โกมลวาทิน และน่าสนใจตรงที่เพิ่งรู้ว่านักข่าวหลายต่อหลายคนในที่นี้หลายคนพูดเหมือนกันว่า เริ่ม แรกไม่ค่อยมีใครใช้ Social Media แต่ผู้บังคับบัญชาขององค์กรที่ตัวเองสังกัดอยู่ก็มอบหมายให้ใช้ Social Media อย่าง Twitterในการน�ำเสนอข่าวซึ่งจะส่งผลให้ขับเคลื่อนองค์กรข่าวไปข้างหน้าได้อย่างมีประสิทธิภ าพอย่าง ชวรงค์ ลิมป์ปัทมปาณี นายกสมาคมนักข่าวฯ และนักข่าวอาวุโสจากไทยรัฐ หนึ่งในผู้สร้างเว็บไซต์ Thairath.co.th ตั้งแต่ยุคแรกๆ ก็เปิดใจยอมรับตรงๆ กับผู้ร่วมเสวนาในเรื่อง Social Media ว่า ตอนแรก “ไทยรัฐ” ก็รสู้ กึ ว่าตัวเอง “ช้า” ไปในเรือ่ ง Social Media แม้แต่คอลัมนิสต์บางคนของไทยรัฐ จะส่งต้นฉบับทีหนึง่ ก็ยงั เขียนด้วยปากกาลงกระดาษให้คนน�ำมาพิมพ์ตอ่ ในคอมพิวเตอร์ และไทยรัฐน่าจะเป็น สื่อสุดท้ายที่ใช้คอมพิวเตอร์พิมพ์ข่าวอย่างเดียว แต่ด้วยความที่โลกข้อมูลข่าวสารเปลี่ยนไป ทางไทยรัฐเลย เปิดบริษัทใหม่อย่างTrend VG3 ที่แยกออกมาท�ำเรื่องดิจิตอลโดยเฉพาะ จากนั้นก็มีนักข่าวไอทีรุ่นใหม่ของ ไทยรัฐออกความเห็นตามมาอีกหลายคนว่า เพื่อการรายงานที่อัพเดตมากขึ้น ตัวเองจึงต้องใช้ Social Media อย่างแอคทีฟมากยิ่งขึ้น ไม่หยุดอยู่เพียงอะไรเดิมๆ จากนั้นณัฏฐาได้ตั้งค�ำถามไปทาง สุทธิชัย หยุ่น ที่ค่อนข้างอัพเดตข่าวผ่านทางTwitter อย่างรวดเร็ว ว่องไว ซึ่งบรรณาธิการอ�ำนวยการเนชั่นก็เผยว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา Social Media มีการเติบโตแบบก้าว กระโดดในแง่ของบทบาทการน�ำเสนอข่าวน่าดีใจทีว่ งการนักวิชาการกับวงการสือ่ เองก็รว่ มผลักดันให้มกี ารใช้ งานกัน สอนและแลกเปลี่ยนกันมากขึ้น โดยทางเนชั่นเองภายในก็มีการแจกคู่มือจริยธรรมของนักข่าวของ เนชั่นว่า จะต้องใช้ Social Media อย่างไร จากนัน้ ก็เป็นการแลกเปลีย่ นความคิดเห็นสัน้ ๆ ส่วนใหญ่จะเป็นนักข่าวรุน่ เด็กๆและรุน่ กลางๆ ถามนัก ข่าวผูใ้ หญ่ อย่างเรือ่ งความเป็นส่วนตัว เพราะนักข่าวบางคนก็เริม่ สับสนเหมือนกันระหว่าง การน�ำเสนอความ คิดเห็นส่วนตัว กับการน�ำเสนอข้อเท็จจริงของข่าว ซึ่งในเรื่องนี้ สุทธิชัย หยุ่นได้แชร์ว่า “ใน Social Media นักข่าวจะต้องระวังความคิดเห็นส่วนตัวเป็นอย่างยิง่ ครับ เพราะคนรับสารไม่ได้แยกว่าอันไหนส่วนตัว อันไหน ฐานะนักข่าว นักข่าวจะไม่มีความเป็นส่วนตัวใน Social Media ทุกคนมีสิทธิเอาไปพูดต่อได้ นักข่าวทุกคน ต้องยอมรับเมื่อได้พูดออกไป… เมื่อคุณจะมีความเป็นส่วนตัว คุณต้องแยก Account ออกไป มันบอกกับคน รับสารไม่ได้… นอกจากเนือ้ หาข่าว นักข่าวต้องเก็บบรรยากาศ สีสนั มาทวีตด้วยซึง่ สิง่ เหล่านีบ้ างทีไม่ได้ลงข่าว” ส่วนทางด้าน กิตติ สิงหาปัด นักข่าวมากประสบการณ์ ล่าสุดกับข่าว 3 มิติก็แชร์ว่า “ผมไม่ใช้ Twitter เพื่อการส่วนตัว แต่ผมจะใช้ Twitter รายงานข่าว เพราะบางทีการทวีตเรื่องส่วนตัว อย่างผมไปกินข้าวอะไร ที่ไหน Follower ของผมไม่ค่อยได้อะไรอย่างการที่ผมมาแชร์เรื่องวันนี้ผมก็ไม่ได้ทวีตบอกใคร… ส่วนตัวแล้ว เวลาใช้ Twitter ก็ใช้ในการรับข่าวด้วย เช่น มักจะมีคนดูรายการส่งเบาะแสเข้ามาว่ามีข่าวไหนน่าไปท�ำ ก็จะ เลือกและตามไปท�ำข่าว” จากนั้นณัฎฐาก็ถามไปทาง ดร.มานะ ตรีรยาภิวัฒน์ จากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในเชิงของการ สอนด้านนิเทศศาสตร์ ดร.มานะก็เผยว่าตอนนี้ตัวเองก�ำลังพยายามผลักดันให้นักศึกษาใช้ Social Media ใน การท�ำข่าวตั้งแต่ต้นน�้ำจนถึงปลายน�้ำอย่างตั้งแต่การคิดประเด็นข่าว การส�ำรวจเทรนด์ แง่มุมข่าว การหา แหล่งข่าว การร่วมมือกันระหว่างนักข่าวมืออาชีพ กับนักข่าวพลเมือง ในอนาคตจะต้องมี Social MediaEditor ที่ท�ำงานร่วมกับนักข่าวในพื้นที่ อย่างเช่น เฮลิคอปเตอร์ตก ก็ต้องมีคนในพื้นที่ท�ำงานร่วมกับนักข่าวที่ ส�ำนักข่าว ต้องสอนให้เด็กรุน่ ใหม่เข้าใจเรือ่ งการใช้ Social Mediaมาท�ำงานมากขึน้ อย่างในต่างประเทศ 97%
65
CITIZEN REPORTERS ของนักข่าวใช้ Social Media ในการท�ำงานข่าวแล้ว ดังนั้นเราจึงอยู่ในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่มิติใหม่ของการ ท�ำข่าวที่มีมิติลุ่มลึกมากขึ้น หลังจากนั้นก็จบช่วงแรก เข้าสู่ช่วงที่ 2 ที่เป็นการแชร์กลเม็ดการใช้ประโยชน์สูงสุดจาก Social Media เพื่องานข่าวจากผู้เชี่ยวชาญด้าน Social Media อย่าง อภิศิลป์ตรุงกานนท์ จาก Pantip.com และเมธา เกรียงปริญญากิจ จาก Facebookgoo.comซึ่งวิทยากรทั้งสองคนได้แชร์ว่า Social Media เป็นเครื่องมือที่ เหมาะกับการท�ำข่าวมากพร้อมทัง้ แนะน�ำเทคนิคในการสร้าง Twitter List ทีใ่ ช้ในการติดตามบทสนทนาของ แหล่งข่าวออนไลน์ ตลอดจนเว็บไซต์ที่ใช้ติดตามดูเทรนด์ของข่าว เช่น Lab.in.th/thaitrendและ Zanroo. com นอกจากนี้ ทัง้ สองคนกล่าวตรงกันอย่างหนึง่ ว่า Social Media เป็นสือ่ ทีเ่ ราจะต้องสร้างความน่าติดตาม ให้กับผู้รับสาร อย่าง Facebook ใช้ในการ “คุยข่าว”ในเชิงพูดคุย ตั้งค�ำถาม แชร์ความรู้สึกส่วนตัว ในแบบ “เปิดโอกาสให้คนโต้ตอบ” กับสิ่ง ที่เราคิดมากยิ่งขึ้น ตลอดจนแชร์เนื้อหาที่หาไม่ได้จากที่ไหน เช่น ภาพเบื้อง หลังข่าวทีเ่ ราถ่ายได้เอง ส่วน Twitter จะเหมาะกับการใช้ “รายงานข่าว” และโต้ตอบได้ฉบั ไว เน้นการอัพเดต แบบ Realtimeจากที่เฝ้าติดตามงานมาทั้งหมด เราพบว่ามันถึงเวลาแล้วที่นักข่าวจะต้อง “เอาจริง” กับการ ใช้ Social Media ในการ “ท�ำข่าว” ไม่ใช่เพียงแค่ “น�ำสนอข่าว” ในแบบท�ำข่าวอะไรมาก็น�ำมาส่งผ่านทาง Facebook และ Twitter แต่สิ่งที่นักข่าวจะต้องท�ำก็คือคิดใหม่ท�ำใหม่ทั้งกระบวนการตั้งแต่ สืบตามดูเทรนด์ ข่าวออนไลน์ หาแหล่งข่าวออนไลน์อ้างอิงแหล่งข่าว สืบประวัติบุคคล และน�ำเสนอผ่านทาง Social Media ให้ถูกจริตผู้รับสารในแต่ละช่องทาง เพื่อให้ข่าวที่ตัวเองน�ำเสนอนั้นถูกต้องน่าเชื่อถือ ฉับไว และเจาะลึกอัน เป็นหัวใจของการน�ำเสนอข่าวสารข้อมูล
66
CITIZEN REPORTERS
นิยามนักข่าวพลเมือง นักข่าวพลเมือง (Citizen Journalist) Mark Glaser นักคิด นักเขียน ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อได้ให้ค�ำจ�ำกัดความของ วาสารศาสตร์พลเมือง (Citizen Journalism) ว่าหมายถึง “...ประชาชนทัว่ ๆไปทีไ่ ม่ได้ผา่ นการฝึกฝนให้เป็นนักข่าวมืออาชีพ แต่สามารถ ใช้เครื่องมืออุปกรณ์เทคโนโลยีอันทันสมัย รวมถึงการใช้อินเตอร์เนทในการสร้างสรรค์ โต้แย้ง หรือตรวจสอบ ข้อมูลของสื่อด้วยตัวเอง...” Mark ได้ยกตัวอย่างว่า นักข่าวพลเมืองสามารถเขียนรายงานข่าวการประชุมสภาชุมชนลงน�ำเสนอใน Blog หรืออาจจะตรวจสอบข่าว ข้อเขียน บทความในสื่อกระแสหลัก แล้วเขียนวิพากษ์วิจารณ์ชี้จุดด้อย ข้อ ผิดพลาด การเอียงเอน ไม่เป็นกลางของนักข่าว คอลัมนิสต์ลงใน Blog หรืออาจจะถ่ายรูปหรือถ่ายคลิปวีดีโอ เกี่ยวกับชุมชนลงน�ำเสนอในสื่ออินเตอร์เนท อย่าง Blog หรือแม้แต่ในเวบวีดีโอออนไลน์อย่าง YouTube บางคนอาจแสดงความคิดเห็นผ่าน Social media หลากหลายรูปแบบ เช่น Twitter, Facebook ก็ได้ ที่ผ่านมา นักข่าวพลเมืองได้สร้างผลงานเฉียบๆหลายต่อหลายเรื่อง ชนิดนักข่าวมืออาชีพยังต้องขอน�ำ ข้อมูล ภาพและข่าวสารไปน�ำเสนอต่อในสื่อกระแสหลักมาแล้วอาทิ ภาพระเบิดในสถานีรถไฟใต้ดินกรุง ลอนดอนเมื่อหลายปีก่อน มีนักข่าวพลเมืองซึ่งอยู่ในเหตุการณ์สามารถจับภาพความโกลาหล กลุ่มควัน และ ภัยพิบัตินั้นได้หรือภาพเหตุการณ์ เรื่องราว การประท้วงของพระสงฆ์ในประเทศพม่า อันน�ำมาซึ่งเหตุการณ์ โศกนาฏกรรมเข่นฆ่าพระสงฆ์และนักข่าวชาวญีป่ นุ่ กลางเมือง ถูกถ่ายและน�ำเสนอโดยนักข่าวพลเมืองเช่นกัน แม้กระทัง่ เหตุการณ์วนิ าทีทซี่ ดั ดัม ฮุสเซน อดีตผูน้ ำ� ของอิรกั ถูกแขวนคอประหารชีวติ ก็ถกู น�ำเสนอออก มาจากนั ก ข่ า วพลเมื อ งนิ ร นามก่ อ นสื่ อ ยั ก ษ์ จ ะน� ำ ไปถ่ า ยทอดเผยแพร่ ทั่ ว โลกนี่ อาจจะเรี ย กว่ า เป็ น วารสารศาสตร์ยุคใหม่...ยุค 2.0 เมื่อผู้เสพสื่อ...ผู้รับสาร ไม่ได้ท�ำหน้าที่แค่นั่งเฉยๆ คอยรอรับข้อมูล ข่าวสารที่ส่งผ่านมาทางสื่ออย่าง เดียวเท่านั้น หากแต่เป็นการสื่อสาร 2 ทาง (Two-way Communication) เพราะผู้เสพสื่อก็กลายสภาพเป็น ผู้กระท�ำ (Active) หรือผู้ส่งสารไปด้วยในตัว พูดง่ายๆคือ แทนทีค่ นอ่านข่าวจะนัง่ เฉยๆรับข้อมูลฝ่ายเดียว ก็สามารถเขียนหรือน�ำเสนอข้อมูล ข่าวสาร กลับไปยังสื่อหรือส่งสารไปถึงนักข่าวอีกด้านหนึ่งได้เช่นกัน ขณะเดียวกันการส่งสารดังกล่าวยังเป็นการส่งข้อมูลข่าวสารไปยังสาธารณชน (Public) หรือชุมชน (Community) ได้ร่วมรับรู้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันอีกด้วย ลักษณะเด่นอีกประการของ วารสารศาสตร์พลเมือง (Citizen Journalism) คือ นักข่าวสามารถน�ำ เสนอข้อมูลข่าวสาร อย่างเป็นอิสระ ปลอดจากการควบคุมของภาครัฐและองค์กรธุรกิจขนาดใหญ่
67
CITIZEN REPORTERS นักวิชาการสื่อและวารสารศาสตร์ได้พยายามค้นหาค�ำตอบ ถึงกระบวนการผลิต และเผยแพร่ข่าวสาร ในกลุม่ มวลชนด้วยกันเอง โดยไม่ไต้องผ่านสือ่ มวลชนกระแสหลัก เริม่ จากการนิยามความหมายของความเป็น วารสารศาสตร์พลเมือง (Citizen Journalism) อาทิเช่น มาร์ค เกลเซอร์ (Mark Glaser) นักเขียนและนักวิชาการสื่อ กล่าวว่า วารสารศาสตร์พลเมือง คือ ประชาชนทั่วๆไปที่ไม่ได้ผ่านการฝึกฝนให้เป็นนักข่าวมืออาชีพ แต่สามารถใช้เครื่องมืออุปกรณ์เทคโนโลยีอัน ทันสมัย รวมถึงการใช้อินเทอร์เน็ตในการสร้างสรรค์โต้แย้ง หรือตรวจสอบข้อมูลของสื่อด้วยตัวเอง เนเดอร์ (Nader) ให้ค�ำจ�ำกัดความ สื่อภาคประชาชน อย่างกว้างๆโดยเปรียบเทียบว่า อะไรก็ตามที่ ไม่ใช่สื่อกระแสหลัก ที่มีเจ้าของเป็นบริษัทห้างร้าน ก็ถือว่าเป็นภาคประชาชน โคลแมน (Coleman) ศึกษาพื้นฐานทางปรัชญาของหนังสือพิมพ์ภาคประชาชน และชี้ว่า ในจุดเริ่ม ต้น หนังสือพิมพ์ภาคประชาชน เป็นภาคปฏิบัติ มากกว่าจะสนใจให้ค�ำจ�ำกัดความ และจากหลายการศึกษา ทีอ่ า้ งถึง Coleman พบหลายค�ำทีใ่ ช้เรียกหนังสือพิมพ์ภาคประชาชน อาทิ วารสารศาสตร์สาธารณะ (Public Journalism) ซึ่งมีที่มาจากแนวคิดของ Dewey เรื่อง มหาชนและปัญหาสาธารณะ (Public and its problems) บ้างใช้ค�ำว่า สื่อพลเมือง (Civic Media) เพื่ออธิบายโดยนัย ถึงกิจกรรมที่หนังสือพิมพ์ชนิดนี้ยึดปฏิบัติ นอกจากนั้น ยังมีคนใช้ชื่อเรียกต่างๆ กันอีก เช่น วารสารศาสตร์ชุมชนใหม่ (The New Community Journalism) หรือ วารสารศาสตร์ภาคบริการสาธารณะ (Public Service Journalism) และ วารสารศาสตร์เพื่อ ชุมชน (Communitarian Journalism) เจย์ โรเซน (Jay Rosen) ซึ่งเป็นบุคคลที่ได้รับการขนานนามว่า เป็นผู้ริเริ่ม ศึกษา และพยายามจ�ำกัด ความหมาย ของหนังสือพิมพ์ภาคประชาชนอย่างต่อเนื่อง โรเซนได้ให้ค�ำนิยามเชิงปฏิบัติการ เพื่อให้พัฒนา ทฤษฎีหนังสือพิมพ์ภาคประชาชน (Public Journalism Theory) อย่างเป็นไปได้ (แม้เขาจะตระหนักดีว่า หนังสือพิมพ์ภาคประชาชนยังไม่มีความหมายร่วม) โดยนิยามว่า การหนังสือพิมพ์ สามารถ และควรจะสวม บทบาทหลัก ในการท�ำให้ภาคประชาชนเข้มแข็งขึ้น ส่งเสริมการถกแถลง และอภิปรายในระดับสาธารณะ และท้ายทีส่ ดุ ท�ำหน้าทีช่ บุ ชีวติ ความเป็นประชาชน โดยหนังสือพิมพ์ภาคประชาชนจะเป็นกระบวนการทีส่ ร้าง ขึน้ เพือ่ ท�ำหน้าทีร่ ายงานประเด็นต่างๆ ทีผ่ อู้ า่ นเห็นว่าเป็นเรือ่ งส�ำคัญ มากกว่าจะรายงานข่าวตามทีผ่ เู้ ชีย่ วชาญ ทั้งหลาย เห็นว่าเป็นเรื่องส�ำคัญ ประเด็นต่อมา หนังสือพิมพ์ภาคประชาชนท�ำหน้าที่ส่งเสริม การแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นของสาธารณะ ในเรื่องใดก็ตาม ซึ่งท้ายที่สุด จะน�ำมาซึ่ง การท�ำงานเป็นกลุ่ม พร้อมทั้งแก้ปัญหา ที่พบได้ ประเด็นที่สามคือ เป้าหมายหลักของหนังสือพิมพ์ภาคประชาชน คือการสร้างความเข้มแข็งให้กับ พลเมือง พัฒนาคุณภาพของการถกเถียง อภิปรายความเห็นในระดับสาธารณะ และท�ำให้สาธารณชนมีความ กระตือรือร้นมากขึ้น รองศาสตราจารย์ พิรงรอง รามสูต รณะนันทน์ หัวหน้าสาขาวิชาวารสารสนเทศ คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวไว้วา่ สือ่ ภาคประชาชน เป็นสือ่ ทีม่ คี วามหมายคาบเกีย่ วกับ สือ่ ทางเลือก และ
68
CITIZEN REPORTERS สื่อชุมชน วัตถุประสงค์ส�ำคัญในการก่อตั้ง ไม่ใช่เพื่อเป็นช่องทางแสวงก�ำไรสูงสุด แต่เพื่อผลประโยชน์สูงสุด ของประชาชน หรือชุมชนที่เกี่ยวข้อง มีความเป็นอิสระ ปราศจากการถูกควบคุม จากภาครัฐ และเอกชน ทั้ง ทางด้านการด�ำเนินงาน และทิศทางของเนื้อหาที่น�ำเสนอ ดังนั้น การนิยามค�ำจ�ำกัดความของค�ำว่า วารสารศาสตร์พลเมือง (Citizen (Civic) Journalism) จึง หมายถึง หลักทางวิชาการ เกี่ยวกับกระบวนการผลิตสื่อของพลเมือง โดยพลเมือง เพื่อพลเมืองด้วยกันเอง ซึ่งประกอบด้วย สื่อพลเมือง (Citizen Media) เป็นช่องทางที่พลเมืองใช้ในการสื่อสารสู่สาธารณชน มีรูปแบบใดก็ได้ ตามแต่ความสามารถที่จะคิดสร้างสรรค์ขึ้น และสามารถด�ำเนินการได้จริง ส่วนมากจะเป็นช่องทางที่ไม่ต้อง เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เช่น อินเทอร์เน็ต (เว็บบอร์ด และเว็บล็อก) หรือเสียค่าใช้จ่ายน้อย เช่น สิ่งพิมพ์ (ใบปลิว แผ่นพับ โปสเตอร์ ฯลฯ) โดยเกิดขึ้นเพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน ของประชาชน หรือชุมชนใกล้เคียง ผู้สื่อข่าวพลเมือง (Citizen Reporter) เป็นพลเมืองปัจเจก หรือเป็นพลเมืองกลุ่มย่อย ที่ท�ำงานอาสา สมัคร หรือเป็นองค์กรขนาดเล็ก ในการรายงานเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัวหรือแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่อ งงราวต่างๆ สารจากพลเมือง (Citizen Messages) เป็นเนื้อหาที่พลเมืองน�ำเสนอผ่านสื่อพลเมือง มักเป็นเรื่องราว ที่ใกล้ตัวของพลเมืองผู้ผลิตสื่อนั้น และมักเป็นกรณีที่สร้างผลกระทบ กับสังคมวงแคบโดยตรง แต่อาจส่งผลก ระทบกับสังคมวงกว้างในทางอ้อมหรือไม่ก็ได้ หรืออาจเป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล ในเรื่องราวต่างๆ นับแต่ ระดับประเทศ จนถึงระดับบุคคล ก็ได้เช่นกัน นักข่าวพลเมือง เป็นอาสาสมัครทีร่ ว่ มสือ่ สารเรือ่ งราวในสังคม ไม่มคี า่ ตอบแทนใดๆ ท�ำด้วยหัวใจล้วนๆ ทีนคี้ ำ� ถามก็คอื เรือ่ งอะไรบ้างละทีจ่ ะสือ่ สาร ค�ำตอบนัน้ ง่ายมากครับ ทุกเรือ่ งทีเ่ ป็นประโยชน์แก่สงั คมสามารถ ร่วมถ่ายทอดเรื่องราวมาได้เสมอ • ท�ำงานอย่างไร เมื่อเกิดเหตุการณ์ความรุนแรง ณ จุดใด, คนที่อยู่ในเหตุการณ์สามารถถ่ายรูป, ส่งข่าวและเล่าเรื่อง ผ่านอินเทอร์เน็ตได้รวดเร็ว หรือบล็อคของตนเองและมีสีสันมากกว่านักข่าวที่อาจจะไปถึงที่เกิดเหตุช้ากว่า และไม่ได้ใกล้ชิด หรือรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของผู้ที่อยู่ในจุดเกิดเหตุ
69
เครื่องมือประจ�ำตัว ของนักข่าวพลเมือง
70
CITIZEN REPORTERS สื่อพลเมือง (citizen media) หมายถึง รูปแบบของเนื้อหาในสื่อ ที่สร้างโดยบุคคลหรือชุมชนที่เรียกตนเองว่านักข่าวประชาชน หรือ นักข่าวอิสระ ซึ่งอาจมีอาชีพเป็นนักข่าวจริงๆ หรือไม่ก็ได้ ใครคือเครือข่ายพลเมืองเน็ต? เครือข่ายพลเมืองเน็ต คือ การรวมตัวกันในลักษณะเครือข่ายของกลุ่มพลเมืองผู้ใช้อินเทอร์เน็ต ที่มี ความเชื่อร่วมกันในเรื่องสิทธิเสรีภาพในการแสวงหาข้อมูลข่าวสารการแสดงออก การปกป้องสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมือง เสรีภาพของสื่อ และการสนับสนุนสื่อพลเมือง จุดยืนของเครือข่าย เครือข่ายพลเมืองเน็ต รวมตัวเพื่อท�ำงานรณรงค์เชิงนโยบายในระดับประเทศและร่วมมือกับพันธมิตร ระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ เพื่อสนับสนุนและปกป้องอิสรภาพในพื้นที่ออนไลน์ ซึ่งหมายถึงการ สนับสนุนและปกป้องสิทธิของพลเมืองเน็ตและเสรีภาพของสื่อออนไลน์ ในฐานะพื้นที่ที่ทุกคนอยู่ร่วมกัน บน พื้นฐานของหลัก 5 ประการดังนี้ สิทธิในการเข้าถึงและรับรู้ข้อมูลข่าวสาร ความคิดเห็น สาระบันเทิง ฯลฯ สิทธิในการแสดงออกซึ่งความคิดเห็นความรู้สึก สิทธิในความเป็นส่วนตัวและสิทธิในข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิในการตัดสินใจและมีส่วนร่วมในกระบวนการก�ำกับดูแลอินเทอร์เน็ต สิทธิในการเข้าถึงและใช้ประโยชน์ทรัพยากรสารสนเทศอย่างไม่เลือกปฏิบัติ ทุกวันนี้สื่อกระแสหลักอาจท�ำให้เรื่องราว ที่เกิดขึ้นในท้องถิ่นถูกบิดเบือน หรือไม่ได้รับการพูดถึงมาก นัก หากยังมี ‘นักข่าวพลเมือง’ ที่สามารถน�ำเสนอเหตุการณ์เหล่านั้นได้ ด้วยมุมมองของ ‘เยาวชน’ คนใน พื้นที่ ‘ใครๆ ก็เป็นนักข่าวได้’ ดูจะไม่ใช่คำ� พูดเกินจริงส�ำหรับยุคนี้ ด้วยความทีอ่ ปุ กรณ์การสือ่ สารทุกวันนีถ้ กู ออกแบบมาให้สามารถใช้งานได้หลากหลายหน้าที่ และสามารถพกพาติดตัวได้ตลอด บวกกับทิศทางของข่าว ในกระแสหลัก มักจะเทไปด้านใดด้านหนึง่ มากเกินไป ข่าวของคนธรรมดาหรือเรือ่ งเล่าจากชุมชน จึงไม่ถกู น�ำ เสนอมากนัก ‘นักข่าวพลเมือง’ คือ ปรากฏการณ์ทปี่ ระชาชนจากหลายกลุม่ หันมาจับกล้องสวมบทบาทเป็นนักข่าว บอกเล่าเรื่องราวในท้องถิ่นของตน แนวคิดนี้ซึ่งก�ำลังอยู่ในกระแสความสนใจ โดยมีการขยายแนวคิดนี้ไปยัง ภูมิภาคต่างๆ ให้คนธรรมดาที่สนใจได้เปลี่ยนบทบาทเป็นนักข่าวพลเมือง ส�ำหรับภาคอีสาน สาขาวิชาการสื่อสารมวลชน คณะวิทยาการสารสนเทศมหาวิทยาลัยมหาสารคาม เห็นความส�ำคัญของความเป็นนักข่าวพลเมือง จึงจับมือกับโต๊ะข่าวพลเมือง สถานีโทรทัศน์ทีวีไทย จัดอบรม 71
CITIZEN REPORTERS ‘นักข่าวพลเมือง’ ในภาคอีสาน อาทิ จ.มหาสารคาม อุดรธานี นครราชสีมา ขอนแก่น เป็นต้น โดยมีจุดมุ่ง หมายเพื่อฝึกอบรมความรู้เชิงปฏิบัติการในกระบวนการผลิตสื่อให้แก่ชาวบ้าน เยาวชน และผู้ที่สนใจจะเป็น นักข่าวพลเมืองทุกคน ทั้งนี้ในการจัดกิจกรรมทุกครั้งจะมีนิสิตสาขาการสื่อสารมวลชน รวมถึงเยาวชนจากหลายกลุ่มเข้าร่วม ด้วย ทั้งในฐานะผู้เข้าอบรมและวิทยากร ซึ่งนับเป็นการเคลื่อนไหวในแนวทางการศึกษานอกห้องเรียนของ เยาวชนที่น่าสนใจ ‘ทูน’ ไพฑูรย์ ธุระพันธ์ นักศึกษาสาวที่ก�ำลังเรียนใน วิชาเอกวารสารศาสตร์สาขาการสื่อสารมวลชน คณะวิทยาการสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาสารคามแสดงความเห็นว่า การรายงานข่าวแบบนักข่าวพลเมืองมีเสน่ห์ในเรื่องมุมมอง การคิดประเด็นที่มีลักษณะเฉพาะตัว แฝง ลีลาการเล่าเรือ่ งทีม่ กี ลิน่ ไอท้องถิน่ ท�ำให้รวู้ า่ การเป็นพลเมืองนัน้ ไม่ใช่แค่การบริโภคสือ่ อย่างเดียว แต่พลเมือง มีสิทธิ์แสดงออกซึ่งความคิดเห็นผ่านสื่อได้ซึ่งการมีโอกาสได้ผ่านเวทีการอบรมทั้งในฐานะผู้เข้าอบรมและใน ฐานะวิทยากรที่ถ่ายทอดประสบการณ์แก่ผู้อื่น ท�ำให้เธอเริ่มหันมาสนใจงานด้านสารคดีโทรทัศน์อีกด้านหนึ่ง เพราะสนุกกับการเขียนบท และลงพื้นที่ไปพูดคุยกับชาวบ้าน ส่วนสาวเจ้าถิ่น ‘นุ่น’ เกศมณี ภูค�ำตา นิสิตชั้นปีที่ 4 วิชาเอกวิทยุโทรทัศน์สาขาการสื่อสารมวลชน คณะวิทยาการสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาสารคามเปิดใจว่าการเข้าร่วมอบรมท�ำให้เธอเข้าใจการท�ำงาน ของนักข่าวพลเมือง ซึง่ เป็นพืน้ ทีข่ องพลเมืองทีม่ องปัญหาอย่างคนวงใน มีความลึกของประเด็น และแตกต่าง จากที่สื่อกระแสหลักน�ำเสนอ หากในขณะเดียวกันนักข่าวพลเมืองก็ต้องค�ำนึงถึงจริยธรรมของสื่อมวลชนใน การหน้าที่ไม่ต่างกับสื่อหลัก “การอบรมเป็นการเรียนรูน้ อกห้องเรียน สิง่ เหล่านีจ้ ะน�ำไปต่อยอดในการท�ำงานด้านสือ่ ต่อไป และจะ ชักชวนรุน่ น้องให้เข้ามาร่วมท�ำงานลงพืน้ ที่ งานชิน้ ต่อไปจะเสนอเรือ่ งของหมูบ่ า้ นทีภ่ เู วียงทีส่ ร้างสังคมเกษตร จนน�ำไปสู่ความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน” ในขณะที่ ‘เจต’ เจษฎา เกลียวกมลทัต นิสิตหนุ่ม วิชาเอกวิทยุโทรทัศน์สาขาการสื่อสารมวลชน คณะ วิทยาการสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม เล่าถึงประสบการณ์จากการเป็นนักข่าวพลเมืองว่า การท�ำงาน ในแบบนักข่าวพลเมืองท�ำให้รวู้ า่ การท�ำงานโดยไม่ตอ้ งอาศัยทฤษฎีนนั้ มีพลังในการเล่าเรือ่ งทีแ่ ฝงด้วยแง่คดิ อย่างหลากหลาย ซึ่งเกิดจากการประมวลความรู้โดยคนในท้องถิ่นเอง ท�ำให้เข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน ทั้งนี้เขายังได้ฝากถึงรุ่นน้องที่ก�ำลังศึกษาในสาขาวิชาการสื่อสารมวลชนนิเทศศาสตร์ และทุกสาขาที่ เกี่ยวกับการผลิตสื่อ รวมถึงผู้ที่สนใจจะเข้ามาเป็นนักข่าวพลเมืองว่า ควรคิดหาประเด็นให้เป็นก่อนสิ่งอื่นใด โดยเริ่มมองจากสิ่งที่มีในท้องถิ่นหรือชุมชนของตนเสียก่อน เพราะการมองหาประเด็นจากสิ่งใกล้ตัว หรือสิ่ง ที่เราคุ้นเคยจะท�ำให้เล่าเรื่องได้ถูกต้อง ชัดเจน และมีพลังความลึกของข้อมูล ภูมิพัฒน์ บุญเลี้ยง โปรดิวเซอร์นักข่าวพลเมือง ทีวีไทย กล่าวถึงกิจกรรมการอบรมครั้งนี้ว่า เป็นการ สอนเล่าเรื่องด้วยภาพ มุมมองในการเล่าเรื่อง และการตัดต่อภาพในเบื้องต้น โดยให้ผู้เข้าร่วมอบรมเห็นถึง ประโยชน์จากการใช้พื้นที่สื่อเพื่อเล่าเรื่องในชุมชนโดยไม่จ�ำกัดรูปแบบในการเล่าเรื่อง ไม่เน้นเทคนิค และ กระบวนการตามกรอบการรายงานข่าวแบบมืออาชีพ แต่เน้นการน�ำเสนอประเด็นที่สามารถสื่อสารให้คน ภายนอกเข้าใจตรงกันกับผูเ้ ล่าเรือ่ ง และน�ำความรูท้ ไี่ ด้กลับไปผลิตงานสือ่ ด้วยตนเองเพือ่ ถ่ายทอดเรือ่ งราวใน ชุมชน ส�ำหรับนิสิต นักศึกษาที่เข้าร่วมอบรมนั้น จะได้มีโอกาสในการแลกเปลี่ยนความรู้ระหว่างกันกับบุคคล
72
CITIZEN REPORTERS “น้องนิสิต นักศึกษา จะได้เห็นการเล่าเรื่องในแบบของชาวบ้าน ที่ไม่เน้นทฤษฏี ในขณะเดียวกันชาว บ้านเองก็จะได้รับความรู้จากนิสิตด้านการเล่าเรื่องอย่างเป็นขั้นตอน และด้านเทคนิคต่างๆ เพราะผู้เข้าร่วม อบรมนักข่าวพลเมืองส่วนใหญ่ยังไม่ค่อยรู้เรื่องกระบวนการผลิต ไม่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวได้ชัดเจนนัก อยากเสนอแนะให้ผู้ที่สนใจจะเป็นนักข่าวพลเมืองกลับไปศึกษาผลงานของนักข่าวพลเมืองที่ได้ออกอากาศ ทางทีวีไทย เพื่อท�ำความเข้าใจเพิ่มเติม พร้อมทั้งเปิดใจรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นด้วย เพื่อประโยชน์ในการ พัฒนาตนเอง” โปรดิวเซอร์นักข่าวพลเมืองกล่าว ด้าน ชาคริต สุดสายเนตร อาจารย์ประจ�ำสาขาการสื่อสารมวลชน คณะวิทยาการสารสนเทศ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม กล่าวว่า การที่นิสิตได้มีโอกาสเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานนักข่าวพลเมืองถือ เป็นบทเรียนหนึ่งที่ท�ำให้นิสิตได้เรียนรู้เรื่องราวหรือสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชุมชน ซึ่งสอดคล้องกับการ เรียนการสอนในวิชาการรายงานข่าวและวิชาการผลิตสือ่ วิทยุโทรทัศน์เพือ่ ชุมชนของสาขาการสือ่ สารมวลชน “เนื้อหาในวิชาเรียนของสาขาการสื่อสารมวลชนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันกับการเกิดขึ้นของนักข่าว พลเมือง นัน่ คือ มุง่ เน้นการสร้างสรรค์เนือ้ หาในชุมชน เพือ่ ประโยชน์ของชุมชน และงานทุกชิน้ ทีไ่ ด้ออกอากาศ นั้นจะช่วยนับเป็นการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ใหม่ ร่วมกันทั่วประเทศ และสามารถสะท้อนปัญหาในท้องถิ่น ให้เจ้าหน้าที่รัฐได้ทราบอีกด้วย” อาจารย์ชาคริต อธิบายถึงประโยชน์จากการท�ำงานเป็นนักข่าวพลเมืองของนิสิตทั้งนี้อาจารย์ชาคริต คาดหวังไว้ว่า นิสิตที่ผ่านการเวทีการอบรมและได้กลายเป็นนักข่าวพลเมืองนั้นจะสามารถประยุกต์ใช้ความรู้ ได้ถูกต้อง และถ่ายทอดกระบวนการท�ำงานในแบบนักข่าวพลเมืองสู่ผู้อื่นได้ ซึ่งขณะนี้ทางสาขาการสื่อสาร มวลชนได้เริ่มจัดกิจกรรมอบรมนักข่าวพลเมืองจากพี่สู่น้องไปแล้ว 1 รุ่น และถ้านิสิตจะต่อยอดประสบการณ์ นี้ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น ทางสาขาฯก็ยินดีให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ จากประสบการณ์ที่เหล่ากลุ่มเยาวชน คนรุ่นใหม่ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการฝึกอบรม ‘นักข่าว พลเมือง’ ตลอดจนถ่ายทอดประสบการณ์ของตนผ่านเวทีเล็กๆ ที่ได้รับการสนับสนุนจากสาขาฯ เป็นการเริ่ม ต้นบทบาทของเยาวชนที่ก�ำลังก้าวสู่การท�ำหน้าที่พลเมืองควบคู่กับการเป็นนักสื่อมวลชนที่ดีประสบการณ์ จากวันนี้ จะช่วยให้พวกเขาเติบโตและก้าวไปสูว่ ชิ าชีพสือ่ มวลชนทีม่ คี วามรูค้ วามสามารถในการท�ำหน้าทีเ่ พือ่ สังคมได้อย่างสมบูรณ์
Social Media จะเปลี่ยนแปลงอะไร ในอนาคตเราจะไม่แยกอีกแล้วว่าอะไรเป็น มือถือ โทรทัศน์ นาฬิกา วิทยุหนังสือพิมพ์ คอมพิวเตอร์ แฟกซ์ ปริ้นเตอร์ เพราะระบบการสื่อสารจ integrate เข้ากันหมดไม่ไช่แค่การเชื่อมต่อของ hardware แต่ รวมถึงคอนเท้นด้วย การสือ่ สารจะไม่ใช่ทางเดียวอย่างทีเ่ คยเป็น และอย่างทีจ่ ะควบคุมทิศทางจากศูนย์กลาง ได้ แต่จะมาจากคนที่มีอิทธิพลในด้านต่างๆ และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะเป็นตัวท�ำให้เกิดกระแส Social media จะรวมไปถึงระบบการสื่อสารทั้งหมดที่ผู้คนจะติดต่อสื่อสารเชื่อมโยงกันได้ตลอดเวลา แม้ว่าจะเป็นสื่อเก่า ส�ำนักข่าว ช่องทีวีใดๆก็ตาม ก็จะถูกเชื่อม โยงกับ social media และมีการตอบสนอง กันของข่าวสารที่มาจากประชาชนและมาจากภาครัฐภาคเอกชน จนเสมือนใช้พื้นที่เดียวกัน ขณะนี้มีผู้ใช้งาน facebook twitter ที่เป็นนักข่าวเท่าที่ผมลิสดูแล้วไม่ต�่ำกว่า300-400 คน คนแวดวง 73
CITIZEN REPORTERS บันเทิงทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง ก็ 400-500 คน นักการเมือง เจ้าหน้าที่รัฐ ข้าราชการ ก็มีอีกจ�ำนวนมาก ท�ำให้ สือ่ เดิมสามารถทีจ่ ะดูกระแสสังคม มอนิเตอได้วา่ เกิดเหตุการณ์ใดน่าสนใจ บุคคลไดบ้างทีเ่ กีย่ วข้อง และหยิบ ไปน�ำเสนอเป็นเนื้อหารายการไม่ว่าข่าว วาไรตี้ ทอคโชว์ ที่ตรงกับความต้องการอยากรู้อยากเห็นของผู้ชมได้ เช่นเกิดเรื่องความขัดแย้งระหว่างคนมีหน้ามีตากลุ่มนึง มีการถกเถียงกันถึงข้อเท็จจริงใน social media สื่อหลักอย่าง tv ก็น�ำเสนอประเด็นรวมถึง เชิญผู้เกี่ยวข้องออกมาชี้แจงได้ ซึ่ง social media ไม่สามารถ จะไปให้ไครมาชี้แจงได้ รัฐบาลเองก็รับรู้รับทราบถึงความต้องการ ข้อเรียกร้องของประชาชนได้โดยตรงและ รวดเร็ว จนถึงทันทีทันใด โดยไม่ต้องเสียเวลาไปออกแบสอบถาม ท�ำงานวิจัย social media และสือ่ เก่าก็จะมีการตอบสนองกัน social media คือจุดพบปะกันของรัฐและประชาชน social media คือจุดพบปะกันของนักข่าวอาชีพและนักข่าวพลเมือง ไม่ว่าคุณจะเป็นใครคุณอาจจะเป็นข่าว ได้ทุกเมื่อ จากที่กล่าวมาข้างต้นคุณจะเห็นว่า social media เป็นเครื่องมือของประชาชนในการเข้าถึงบริการ ของรัฐแะเอกชน ร้องขอ วิพากวิจารณ์ เสนอความคิด ส่วนสือ่ หลักก็ตอบสนอง social media ท�ำให้ประชาชน คนหนึง่ กลุม่ นึงมีอำ� นาจต่อรองมากขึน้ โดยใช้ สือ่ social media ในการสร้างความร่วมมือ กระแสโจมตี ก่อน หน้านีค้ งไม่มไี ครกล้าไปด่า ว่าแปะชือ่ ตัวเองไว้บนถุงยังชีพ หรือคนทีม่ อี ธิ พิ ลคนนีท้ ำ� งานไม่ได้เรือ่ งให้ไครได้ยนิ
Twitter กับหนังสือพิมพ์ social network อย่าง twitter เหมือนใยประสาทที่เชื่อมโยงผู้คน เป็นพื้นที่แสดงความคิดเห็นของ คนในสังคม ต่อสิ่งต่างๆ เหตุการณ์ ประเด็นต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคมได้ โดยเฉพาะทวีตเตอร์ที่มีคลื่นสะท้อนที่ เร็วกว่าสื่ออื่น มันสามารถ บอกได้ว่าวันจันทร์เปิดเรียนนี้ วุ่นวาย ผู้คนรู้สึกเบื่อหน่ายอย่างไร เกิดเหตุร้ายเหตุ ฉุกเฉินที่ไหน ในพื้นที่ต่างๆเกิดอะไร ช่วงนี้คนก�ำลังสนุกและสนใจกับอะไร รายการตอนนี้ก�ำลังเป็นที่สนใจ และพูดคุยไปร่วมด้วยกับการดูทีวี แบบนาทีต่อนาที มันมีการสะท้อนกลับ ของสื่อหลักที่น�ำเสนอเรื่องราวใน ประเด็นต่างๆออกมา จากนั้นสื่อใหม่อย่าง social media หรือ social network จะตอบรับ และเป็นเวที ระดมความเห็นจากภาคประชาชน เช่น ในสภาก�ำลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ เถียงกันว่าจะเปิดคลิป เหตุการณ์การกระชับพื้นที่ได้หรือไม่ สื่อ internet อย่าง twitter ก็ท�ำหน้าที่วิพากวิจารย์ร่วมไปด้วย อีกทั้ง ยังน�ำข้อมูลที่อภิปรายกันอยู่ ออกมาค้านกันแบบโจงครึ้ม(Twitter Parliament) กระแสของ iphone4 WWDC พูดคุย ริวิวจากผู้เชี่ยวชาญ ล้นทวิตเตอร์ ซึ่งปกติแล้วหากไม่มี social network เราก็จะเพียงติดตามข่าวอยูห่ น้าจอเพียงคนเดียวหรือมีการรวมกลุม่ กันเพือ่ ด�ำเนินกิจกรรมบางอย่าง ไม่ว่าจะใน online หรือ offline จากประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้น มีกระแสต่อต้าน หรือความคิดเห็นดีๆ ข้อมูล ดีๆ หลายอย่างที่เกิดขึ้นจากสังคมออนไลน์แห่งนี้มากมาย ที่เราเห็นแล้วรู้สึกว่ามันโปะเชะเลย และมีปรากฏ การน่าสนใจ แทบตลอดเวลา แต่มันไม่ถูกตอบสนอง Why ? เพราะมันไม่ใช่สังคมทั้งหมด (มีคนใช้งาน internet จ�ำนวนนึงเท่านั้นที่จะเข้าถึง) และเพราะ มันไม่ได้ออกไปสูส่ งั คมภายนอก สือ่ ใหม่อย่าง social media จึงยังต้องการการตอบสนองจากสือ่ กระแสหลัก หรือสื่อประเภท TV หนังสือพิมพ์ วิทยุ อยู่อย่างเช่น การท�ำหน้าที่รายงานเหตุฉุกเฉิน หรือขอความช่วยเหลือ แม้จะมีการ RT จ�ำนวนมากก็ใช่ว่าจะมีใครที่สามารถจะช่วยเหลือได้ หรือมีหน้าที่โดยตรง การรายงานสภา
74
CITIZEN REPORTERS จราจรในแต่ละจุดจากโดยเมนชั่นไปที่ @js100 แต่ผมก็ไม่รู้ว่าถูกน�ำไปใช้จริงจังขนาดไหนการที่ผู้สื่อข่าว คน ท�ำงานด้านสื่อ ทั้งการเมือง บันเทิง นาๆ มาใช้งาน twitter ก็นับว่าเป้นประโยชน์ที่จะสามารถน�ำมันไปขยาย ผลต่อได้ ว่านโยบายรัฐบาลแบบนี้ คนในสังคมเห็นอย่างไร ก็สามารถจะเอาไปอ้างอิงได้คล้ายๆกับ POLL การ ใช้ twitter ร่วมกับรายการ TV ท�ำให้พิธีกรสื่อสารกับผู้ชมได้โดยตรง ซึ่งอาจจะมี feedback กลับไปกลับมา ได้ปัญหาของ twitter ในไทยก็คือการประยุกต์ใช้ สิ่งที่เป็นอยู่คือการเข้ามาใช้กระจุกรวมอยู่ในทวิตเตอร์แต่ ไม่ได้น�ำไปใช้ภายนอก ซึ่งจ�ำเป็นที่ต้องมี application, tool หรือเว็บไซต์นาๆ ที่ต้องน�ำข้อมูลเหล่านี้ออกไป ภายนอก twitter อย่างเช่นเว็บไซต์มีการ feed ข้อความที่มีเมนชั่นถึง , เว็บไซต์ trending หรือการพัฒนา โปรแกรมขึ้นมาเพื่อจ�ำแนกข้อมูลในทวิต+แคมเปญการใช้งานร่วมด้วย อื่นๆที่สามารถประยุกต์ใช้เพื่อที่จะ เชื่อมโยง ประสานกับสื่อหลักได้ ซึ่งในใจผมก�ำลังนึกถึง Twitter Newspaper หรือลักษณะวารสารแจกฟรีที่น�ำเสนอเรื่องราวการ เคลื่อนไหวต่างใน twitter มีการรวมกลุ่มท�ำกิจกรรมของชาวทวิต, สินค้าแบรนด์นี้ก�ำลังมีโปรโมชั่นน่าสนใจ เโรงภาพยนต์นชี้ วนเชิญไปดูมเี ทศกาลหนังชวนกลุม่ คนรักหนังไป , มีทวีตความเห็นส�ำคัญจาก ทวิตเตอร์นกั การ เมือง หรือผู้ว่า, ข่าวเหตุการณ์ส�ำคัญที่เกิดขึ้นและถูกรายงานในทวิตเตอร์, ภาพถ่ายเด็ดๆหรือแม้แต่ twittertraveler คนที่ชอบกินชอบเที่ยวแล้วทวีตเข้ามาอย่างเป็นกิจลักษณะ ,ชาวทวิตบางคนที่มีบทบาทเด่น น่า สนใจในขณะนั้น, มีการรวมกลุ่มกัน, ความเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆเพื่อบันทึกเรื่องราว และน�ำเสนอมันต่อ คนนในสังคมออนไลน์โดยรวม และสังคมภายนอกที่ไม่ได้รับข้อมูลข่าวสารจาก internetหรืออาจเป็นชนิดที่ เป็นเว็บไซต์ขา่ ว twitter เช่นเป็นหน้าตาเว็บข่าว มีระบบเหมือนเว็บข่าวทัว่ ไป แต่ถกู อัพเดตจากชาวทวิตเตอร์ เองที่ เป็นทั้งนักข่าวอาชีพ นักข่าวพลเมือง รวมถึงนักเขียน นักเที่ยว นักกิน , ดารา celeb เขียนข่าวบันเทิง เองอย่างที่ต้องการ ลงในหมวดต่างๆอย่างเป็นระบบรองรับ video ภาพถ่ายจาก social media อื่นๆ twitvid twitpic ใช้งานร่วมกับโปรแกรม client อื่นๆ ที่นิยมใช้ได้ เราจะสามารถส่ง ภาพ ข้อมูล เขียนบทความ ลงเว็บนี้ จากมือถือ อีกทั้งจัดเก็บเผยแพร่ได้อย่างเป็นระบบ แทนที่จะโผล่มาแล้วจมหายไป ซึ่งระบบนี้อาจ ต้องมีการคัดเลือกคน หรือมีคอนเน็คชั่นที่ดีเพื่อรับข่าว จากชาวทวิตในวงกว้าง
Twitter กับโทรทัศน์ หลายสิบหลายร้อยคนแล้ว ในแวดวงนักแสดง นักร้อง เพื่อนดารา ผู้จัดการคนท�ำรายการทีวี คนเบื้อง หลังเองเข้ามาใช้งานกัน ณ ขณะนี้ แต่ส่วนใหญ่แล้วเข้ามาใช้เงียบๆ ไม่ได้มีการโปรโมท จึงไม่เป็นที่รู้จัก หรือ ดาราที่เข้ามาใช้ ก็ยังไม่ทราบว่าจะใช้ twitter อย่างไรสาเหตุที่ แวดวง TV มาใช้กันก็เพราะว่ามีกระแสต่อ เนื่องของ twitter อีกรวมทั้ง สื่อเป็นเครื่องมือส�ำคัญในอาชีพนี้ จึงเป็นที่กระตือรื้อร้นพอสมควรในการเข้ามา ใช้งาน Twitter ซึ่งผมสังเกตุจาก connection ของ twitter ดาราแล้ว มักเป็นกลุ่มของแต่ละ่ ค่ายด้วยเหมือน กัน หรือจากการชักชวนกันมาเล่นของเพื่อนสนิท ดาราบางท่านชอบเล่น internet สนุกๆอยุ่แล้วอย่างคุณ หนุ่มกรรชัย @noom_kanchai อยู่หน้าจอทีวี จะรู้จักวางตัวดีมาก เป็นสมาทแมนคนนึง แต่อยู่หน้าจอคอม แล้วคุณหนุม่ กันเองแบบสุดๆคนนีเ้ ล่นเน็ตเก่งมาก ขาห้อง camfrog เลยในแวดวงทีวที เี่ ข้ามาใช้กนั ใหม่ๆ อาจ สงสัยว่าเห็นเค้ามาใช้กันโครมๆ เรามาท�ำไมไม่ค่อยมี follow เพราะเนื่องจากไม่เป็นที่รู้จักนั่นเอง ดาราที่เค้า มาใช้มี follow นับพันหรือหมืน่ นัน้ มีการทวีตต่อเนือ่ งหรือมักจะเข้าร่วมในกิจกรรมของชาวทวิตเตอร์เปิดตัว 75
CITIZEN REPORTERS twitter ดาราในระบบของทวิเตอร์นั้นไม่มีระบบที่จะให้เราโฆษณาไปได้กว้างๆ จะอาศัยการบอกต่อหรือ RT กัน การขยายตัวของ follower จะต้องใช้ระยะเวลา แต่มีวิธีการนึงที่มักจะถูกมองข้ามคือ หน้า Profile ที่ no name ชาวทวิตเตอร์รู้จักและประเมินบุคลิกภาพกันเบื้องต้น ก็จาก Avatar และ bio ว่าคุณเป็นใครมา จากไหน ไม่งั้นจะไม่ไปล่วงรุ้เอาได้ 1. ใส่ Profile bio Avatar บอกว่าคุณเป็นใคร 2. Background Twitter ช่วยในเรื่องของ brand ได้ เมื่อมีการค้นหาหรือเข้ามาดูหน้า blog ของคุณ สิ่งที่จะท�ำให้คนจ�ำได้คือรูปคุณหรือโลโก้บริษัทิ อัลบั้ม ผลงาน ออกแบบให้โดเด่นไปเลยมันคือหน้าบ้านคุณ 3. Google กูเกิลนัน้ สามารถใช้คน้ หาทวิตเตอร์ได้แล้ว และคนส่วนใหญ่กจ้ ะใช้ google เสิชหาเสียด้วย ฉนั้นใส่ full name เป็นภาษาไทย หรือค�ำที่คนเรียก เป็นที่รู้จักครับ วิธีนี้รับรองว่าจะมีคน มาตาม follow ทุกวัน ยิ่งกระแส twitter แรง ก็ยิ่งเยอะ 4. เข้าร่วมในกิจกรรม หรือเข้าเยี่ยมเว็บไซต์เกี่ยวกับทวิตเตอร์ อย่าง thaifollow.com สารบัญชาวทวิ ตเตอร์ไทย ก็ไปลงทะเบียนกัน 5. ปกติแล้วคนใช้ทวิตเตอร์ก้จะ รับข้อมูลข่าวสารจากเครือข่าย จากกลุ่มของตัวเอง เล็กบ้างใหญ่บ้าง แต่ใคร ดาราคนไหน ceo ที่ไหนมาสมัครไม่มีทางเลยจะไปทราบนอกจากจะมีไคร RT หรือแนะน�ำ ก็จากใน กลุ่มของศิลปินดาราเอง Twitter กับดาราเป็นอะไรที่เหมาะเหม็ง ดารากับสือ่ มันของคูก่ นั เป็นดาราก้ตอ้ งอยูห่ น้าจอ แม้สอื่ จะน�ำเสนอข่าวทีไ่ ม่ดแี ต่หลายครัง้ กลับให้ผล ทางบวกกับงานของเขา แต่มีที่แรงจนชีวิตศิลปินต้องพังทลายลงไปเลยก็มี สื่อใหม่อย่าง Social media ก็พอ จะเป็นที่พึ่งพาได้ เพราะคุณจะเป็นนักข่าวบันเทิง เขียนข่าวตัวเอง อย่างทวิตเตอร์ดีอย่างไร 1. สร้าง loyalty สร้างความส�ำพันธ์ ที่ยืนยาวกับผู้ที่ชื่นชอบ ติดตามผลงานเป็นช่องทางสื่อสารกับ แฟนๆได้โดยตรง 2. สร้างความสัมพันธ์ที่ดี กับแฟนคลับ คุณสมามารถแชร์เรื่องราวตั้งแต่หัวจรดเท้า เช้าจรดเย็นให้กับ แฟนคลับที่หลงรักคุณปานจะกลืนกิน พูดคุย ทักทาย happybirthday ผ่าน twitter นัดหมายพบปะ ชวน ไปท�ำกิจกรรมร่วมกันได้ 3.ส�ำรวจกระแส ความนิยม Follower เป็นเครื่องมือวัดได้ตัวนึง และความคิดเห็นที่ส่งมาหาคุณ หรือ แม้กระทั่งประเด็นต่างๆที่เป็นข่าว และมีการพูดคุยถกเถียงกันใน Twitter 4.เป็น backup ถ้าเป็นนักการเมืองอาจเรียกว่า ฐานเสียง เสียงสนับสนุนเลยทีเดียว celebrity ใคร อย่าเผลอไปด่าดาราหรือคน follower เยอะๆเชียวน่ะ อิอ่ะ5. มันเป็นเครื่องมือสื่อสารของคุณเอง ที่ใช้ได้ทุก ทีผ่ า่ นมือถือหรือคอมพิวเตอร์คณ ุ สามารถสร้างกลุม่ ผูต้ ดิ ตาม หรือสนับสุนผลงานของคุณได้ โดยไม่ตอ้ งพึง่ พา สื่ออื่นหรือบุคคลอื่นนัก 6. twitter มันเป็นระบบการติดตามอยู่แล้วเหมาะเหม็งในเรื่องของ personalbrand เป็นแบรด์ของ ตัวบุคคล ตืน่ เช้า แต่งตัวไปเทีย่ วไหน ถ่ายละคร ถ่ายรายการใดสามารถทีจ่ ะโปรโมทไปด้วย อย่ามองข้ามเชียว พลังการชักชวนปากต่อปากของทวิตเตอร์นี่ ผมเองไปกดทีวีดูทุกทีที่มีไครทวิตว่าช่องไหนมีอะไร
76
CITIZEN REPORTERS บทบาทของดาราใน Twitter
เป็นสีสันอย่างมาก ยกตัวอย่างกลุ่มศิลปิน kamikaze มายกครัวทวีตเก่ง แต่งตัวอะไร เล่นคอนเสริต ไปเทีย่ ว ถ่ายรายการเพลง ทวีตให้ตามดูและรับ feedback กันสดๆ และกลุม่ นีม้ แี ฟนคลับเยอะมากผูต้ ดิ ตาม นับหมืน่ คน แล้วเกิดอะไร พอคนได้เห้นเบือ้ งหลัง หรือได้ปฎิสมั พันธ์กบั นักแสดง นักร้องแล้วเค้าก็จะเกิดความ รู้สึกดีๆ แล้วเค้าก้จะตามดูรายการที่คุณไปถ่ายด้วยและอีกหลายคนอย่าง โจอี้บอย คุณโดมปกรณ์ลัม หลาย คน เป็นที่น่าติดตามเป็นคนสร้าง content บันเทิงในทวิตเตอร์ซึ่งเข้าท่ากว่าไป follow ทวิตเตอร์ ข่าวส�ำนัก บันเทิงอื่นอีก ซึ่งดารานักแสดงเองมักจะไปร่วมงาน event ต่างๆ ก็จะได้ข่าวได้ภาพ มา กันด้วย การใช้ทวิตเตอร์นั้นไม่หยุดเพียงการทวีต หรือให้มี follow มาก แต่ต้องมีpower คือสามารถชักน�ำ หรือมีอิทธิพลต่อ follower ด้วย ดารานักแสดงในชุมชนทวิตก็ไปมีส่วนร่วมในกิจกรรม ต่างๆของชาวทวิต เตอร์ เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี เพราะทวิตเตอร์นี่ไม่ไช่เด็กส่วนไหญ่ที่มาเล่น จะเป้นวัยท�ำงานซะเป็น หลัก และคุณอาจไม่คาดคิดว่าเขาเป็นใครกัน หลายคนเป็นสือ่ เป้นนักข่าว มันช่วยในการประสานงาน ระสาน ความส�ำพันธ์กับคนในแวดวงเดียวกันได้ใช้ Twitter กับรายการ TV อย่างไรเป็นอะไรที่ work ที่เดียวหากจะ พัฒนาในทางเทคนิคให้เชื่อมต่อกันได้ ปกติแล้วทีวีก็จะสื่อทางเดียว หลังๆมามี internet ก็ใช้ e-mail ในการ ตอบกลับ ติชมรายการ พอ ถึงปัณจุบันนี้มี Twitter แล้วความคิด ความเห็นตอบกลับเข้ามาแสกหน้ากันเลยTwittter จะช่วยให้ รายการ TV มันโต้ตอบกับผู้ชมได้มากขึ้น เช่น 1.สามารถชวนเชิญ คนให้ไปติดตามรับชมรายการได้ Drive traffic ผู้ชมรายการอย่างกับ seo เลย 5+ 2.สามารถที่จะน�ำค�ำถาม ความเห็นจากผู้ชมทางบ้าน เข้าไปในรายการได้ทันทีแม้จะไม่ใช่รายการสด หรือเป็นรายการสดก็ใช้แทน SMS ได้ 3.สามารถทีจ่ ะเช็คว่าผูช้ มมีความคิดความเห็นอย่างไร ต่อสิง่ ทีร่ ายการน�ำเสนออยู่ ณ ขณะนัน้ พูดง่ายๆ ว่าคุณได้ยินเสียงคนดูที่อยู่ทางบ้าน พอพักเบรก ยกมือถือดูว่าคนที่ดูอยู่ทางบ้านรู้สึกอย่างไร ว่าอะไรพิธีกร บ้างหรือไม่ มีประเด็นอะไรน่าเอาไปถามแขกรับเชิญในมุมของผู้ชมเองปกติแล้วเราจะดูทีวีอยู่คนเดียว เหงาๆ แต่ twitter มันก็มีอะไรประหลาดๆเสมอ คือมันช่วยให้คนดู อยู่ทางบ้านพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ สิ่งที่รายการเสนออยู่ได้เลยอย่างเช่น งานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ของ apple ถ้าเราเข้าชมเว็บไซต์หรือดูทางไหน ก็ตาม เราก็ดูอยู่หน้าจอคนเดียว แต่พอมี social media มันเปิดโลกการสื่อสารอีกมิตินึงเลย คือเราได้รับรู้ ดู ภาพ พูดคุยกับคนในงานนั้น ผ่านมือถือแบบ real time เห็นกระแส ความคิดเห็นทุกมุมโลก็และค�ำจารณ์ จากกูรูไอที นักการตลาด ผู้ใช้งานได้โดยตรงเทียบได้กับหน้าจอนึงเป็นหน้าจอทีวีรายการ อีกหน้าจอนึงคือ หน้าจอ community ของคนดู 2 หน้าจอนี้มาประกบกันบางรายการก็จะเอา หน้าจอtwitter wall ไปขึ้น ด้วย วิธีการเข้ามาใช้งาน Twitter ของรายการทีวีในเรื่องของ brand นั้นจะมีคนเข้าไปตามอยู่แล้ว แต่เพียง แค่ follower มากแล้วสรุปว่ารายการเร็ตติ้งดี นั้นยังไม่พอtwitter ยังท�ำอะไรได้มากกว่านั้น มันช่วยสร้าง ความสนิทสนมและความประทับใจแก่ผชู้ มได้ คุณควรมีาคนทีใ่ ช้งานทวิตเตอร์ไว้ ไม่เพียงแต่ feed ข่าวเท่านัน้ อาจแยกเป็น 2ไอดีหรือ group ทวิตเตอร์รายการ พิธีกร ทีมงาน ใช้ส่วนตัวด้วยเลยส�ำหรับทวิตเตอร์ที่เป็น คน เพราะมันเป็นมิตกิ ารสือ่ สารของคน การใช้คนจะช่วยได้ เช่นเราพูดคุยกับชาวทวิตเตอร์เสมอเหมือนดารา 77
CITIZEN REPORTERS คนนึงคุยกับแฟนคลับ แล้วตัวพิธีกรก็เป็นแบรนด์ของรายการไปด้วย เช่นวันนี้ถ่ายรายการ เบื้องหลัง ทีมงาน ดารานักแสดง แขกรับเชิญเป็นไง คนทีต่ ดิ ตามเมือ่ ได้ปฎิสมั พันธ์แล้ว เค้าก็อยากทีจ่ ะชมรายการทีอ่ อกมาหน้า จอ และรักในตัวพิธีกร หรือศิลปินด้วยหรือรายการเนื้อหาเกี่ยวกับอะไรก็ทวีต หรือพูดคุยในกลุ่มนั้นๆเช่น การเมือง วิจารณ์รัฐบาล ก็พูดคุยแสดงความเห็นเกี่ยวกับการเมือง คนได้อ่าน ได้โต้เถียงก็จะ เข้าไปติดตาม รับชมด้วยว่า วันนีจ้ ะแสดงความเห็นว่าอย่างไรบางท่านอย่างสุทธิชยั หยุน่ ถึงกับคิดท�ำรายการทีถ่ า่ ยทอด หรือ เป็นพืน้ ทีข่ า่ วสัมภาษณ์แขกรับเชิญกันในทวิตเตอร์เลยทีเดียว แต่รปู แบบนัน้ ก้ยงั ไม่ลงตัว ในเชิงเทคนิควิธกี าร แล้ว รายการ Tv อย่าง internet Tv จึงสามารถจะเชื่อมต่อระบบอะไรได้โดยง่าย หากเราจะคิดท�ำนองว่าจะน�ำคนดูทางบ้าน เข้ามานั่งในสตูดิโอ ในห้องถ่ายท�ำเลย ส่วนTv ปกติอาจจะ ใช้รับค�ำติชมได้ แต่สามารถพูดคุยกับพิธีกรได้โดยตรง จึงควรจะมีแท๊กเพื่อที่จะสามารถใช้เป้นพื้นที่ได้เข้าไป ดูได้ เพราะทวิตเตอร์นั้นเราไม่ได้เห็นว่าใครทวีตอะไรไปหมด แท๊กก็จะช่วยได้เช่น #ch3 ทั้งนี้หากต้องการให้ ผู้ชมมีส่วนร่วมมากๆ ต้องมีการรณรงค์เชิญชวนร่วมไปด้วย ท้ายนี้ไม่ว่ารายการ TV จะเข้ามาใช้หรือไม่ คนชม ทางบ้านก็เปิดพื้นที่ใช้กันอยู่แล้ว มาดูว่าเค้าพูดถึงคุณว่าอย่างไรTwitter TV อาจเป็นมิติของคนดู ไม่ไช่ของ รายการก็ได้ แต่เป็นรายการที่ให้คนทีวีดู สังคมส่วนใหญ่มกั จะมอง internet computer ในแง่ทไี่ ม่ดนี กั เพราะการใช้งานส่วนใหญ่ในประเทศไทย เป็นด้านบันเทิง multimedia เพลง หนัง เกมส์ ธุรกิจท�ำเงินมากมาย อีกทั้งสื่อยังเผยแพร่เรื่องราวของ Internet ในด้านไม่ดีนักเช่นเด็กติดเกมส์โดนล่อลวง ทั้งที่ยังมีข้อดี และสาระประโยชน์อีกมากมายมีธุรกิจการ ค้า มีแหล่งข้อมูลดีๆ มีชอ่ งทางสือ่ สารราคาประหยัดอืน่ ๆทีเ่ ราไช้ได้อกี มาก ซึง่ ต่างจากการใช้งานในต่างประเทศ ที่มีทั้ง สาระความรู้+นวัตกรรม+ครีเอทีพ+ท�ำเงิน+สนุก รสนิยมในการเสพที่สูง แต่สื่อหลักก็ยังคงมอง สื่อ Internet ไม่ดี เหตุที่ว่ามันคือคู่แข่งส�ำคัญ ที่ผู้บริโภคจะหันไปเสพได้ง่ายสะดวก ค่าใช้จ่ายน้อยหรือแม้แต่ผู้ บริโภคจะเป็นสื่อเองก็ยังไม่ยาก ธุรกิจขนาดย่อม หรือใหญ่ก็เข้าไปใช้digital media ในการโฆษณา ประชาสัมพันธ์นี่มากขึ้น มันถูกกว่า และประเมินผลได้ ส�ำนักข่าวหนังสือพิมพ์ต่างประเทศบางแห่ง ถึงกับปลดพนักงานจ�ำนวนมากเพราะ อุปกรณ์สื่อสารที่มี การใช้จ�ำนวนมาก ท�ำให้ผู้บริโภครับข่าวได้ง่ายๆจากมือถือหรือคอมพิวเตอร์ข้างตัวยอดหนังสือพิมพ์ ที่ปกติ ต้องแข่งขันกับส�ำหนักอื่นอยู่แล้ว ดิ่งเหวแน่นอน แม้ สื่อinternet จะเป็นสื่อที่ทันสมัย แต่สื่อหลักก็ตระหนัก ถึงมานานแล้วเพียงแต่ปรับตัว จากที่เดิมอาจต่อต้าน ก็เข้ามาใช้สื่อ Internet ซะเลยซึ่งเป็นเรื่องที่ดีทางเลือก ที่ดีของผู้บริโภคส�ำหรับรัฐบาลเองก็ใช่ว่าจะชอบ internet เพราะมันคุมไม่ได้ หากจะมีการแสดงความเห็นวิ พากวิจารณ์รัฐบาลและการเผยแพร่ไปของข้อมูล และข่าวลือมากมาย และส�ำหรับรัฐบาลที่เผด็จการ สื่อ Internetอาจถูกมองว่าเป็นที่ซ่องสุมทางการเมืองด้วยซ�้ำไป สื่อ interenet แท้ทจี่ ริงมันคือสือ่ ของประชาชน เป็นกระบอกเสียง เป็นสภาประชาชนหรืออาจเป็นศาลเตีย้ ได้ใน บางครั้ง และมันท�ำให้ประชาชนนั้นเข็มแข็งขึ้น มีพลังมากขึ้นการที่ internet ไทยยังล้าหลังกว่าเพื่อนบ้าน นั้นอาจมาจากสาเหตุนี้ ที่รัฐบาลไม่อยากให้อินเตอร์เน็ตเร็วไป ส่งได้มากไปเพราะกลัวประชาชนจะฉลาดเร็ว ตามไปด้วย ก็เป็นได้
78
CITIZEN REPORTERS Twitter กับการพยากรณ์เหตุการณ์ ข้อความใน twitter facebook นั้นถูกอัพเดตเหตุการณ์ในทุกๆวินาที จากทุกพื้นที่ ข่าวจะเกิดขึ้นใน social media ก่อนจะถูกน�ำเสนอในทีวี ทุกๆเรื่องกระแสสังคมเหตุการในท้องที่ คนเดินทาง กิจกรรมรวมตัว ดินฟ้าอากาศเหล่านี้ ไม่ว่าเราจะอยู่ห่างไกลสักเพียงใดเราก็สามารถรับรู้ได้อย่างทันท่วงที social media ที่มีความรวดเร็วสุงอย่าง twitter จึงคล้ายกับ time machineที่ท�ำให้เรารู้เหตุการณ์ ล่วงหน้า อย่างเช่นมีไข้หวัดระบาดในกรุงเทพ เราอยู่ต่างจังหวัดเรารู้เหตุการณ์ตั้งแต่เนิ่นๆ และเราสามารถ มองเห็นถึงผลกระทบที่สืบเนื่องก่อนคนในพื้นที่เดียวกับเราที่ไม่ได้ใช้ social media เราเห็นกระแสสังคมที่ จะน�ำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ตั้งแต่มันตั้งเค้าก่อนมันจะส่งผลมาถึงเราในพื นที่ๆเราอยู่ ใน social network มีการแชร์ location เป็นไปได้ถ้าเราน�ำเส้นทางของแต่ละคนมาวาดแผนที่ดูว่า คนเหล่านัน้ จะไปกระจุกตัวทีไ่ หน สามารถก�ำหนดจุดเฝ้าระวังอาชญากรรมและอุบตั เิ หตุได้ เช่นถ้าคนกรุงเทพ ส่วนใหญ่แชร์โลเคชัน่ เราก้สามารถค�ำนวณ(predictive)ได้วา่ อีกกีช่ วั่ โมงข้างหน้ารถจะติดทีไ่ หน และทีน่ นั่ คน เยอะรถเยอะก็อาจเกิดเหตุร้ายได้ถี่กว่า ต�ำรวจก็ไปโฟกัสที่นั่น เราอยู่จังหวัดนึงแต่เพื่อจังหวัดไกล้ทวีตว่าฝนตก เราก็สามารถรุ้ก่อนชาวบ้านแล้วว่าฝนก�ำลังจะมาใน อีกไม่ถึงชั่วโมง เราสามารถเห็นเหตุการณ์ต่างๆที่เริ่มตั้งเค้าก่อตัวและกระทบกันเป็นโดมิโน จนเกิดเหตุการ บานปลายใหญ่หลวงได้ด้วยอัลกอริทึ่มต่างๆของ โปรแกรมที่จะค�ำนวนพยากรณ์แนวโน้มของเหุการณ์การที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และนี่อาจเป็นอนาคต ของ google search ,twiter search twitter forecast ที่จะท�ำให้คนค้นหาแนวโน้มเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น ในอาคตได้นอกเหนือจาก real time search ปัจจุบัน หากเทียบกับยุคก่อนๆทีเ่ ราไม่มเี ครือ่ งมือสือ่ สาร หากมีภยั พิบตั มิ าทีไม่วา่ โรคระบาด ภัยธรรมชาติ การ เปลี่ยนแปลงทางการเมือง ท�ำให้เราปรับตัวไม่ทัน ไข้หวัดระบาดจังหวัดนึงกว่าจะแพร่มาถึงก็หลายอาทิตย์ หลายเดือนแต่เราก็รบั รูช้ า้ ไป ตอนนีเ้ รามีอนิ เตอร์เน็ตทีว่ งิ่ ด้วยความเร็วแสงท�ำให้ทกุ ทีเ่ ป็นทีเ่ ดียวกัน internet ท�ำให้ไม่มีภาคเหนือ ใต้ อีสาน ทุกคนจะเหมือนอยู่ภาคกลาง ยุคที่ ดารา เซเล็ป นักการเมือง เขียนข่าวเอง ” อยากเป็นข่าว อยากแก้ข่าว อยากสร้างข่าว อยากโจมตี “ก็ tweet ออกไปก็เป็นข่าวแล้ว ไม่ต้องโชว์ เต้าตามงานประกาศรางวัล รอให้นักข่าวมาตามแอบถ่าย เพราะถ่ายได้เอง เขียนได้ เอามือถือส่องไปในร่อง อกหรือระหว่างขาก็เป็นเรื่อง ดาราหน้าเก่าดาราที่กระแสตกไม่มีนักข่าวมาสนใจ ก็ยังสามารถเป็นข่าวได้ใน social mediaอยากโจมตีรัฐบาล อยากอภิปราย ไม่ต้องรอสภาเปิด ก็ท�ำได้แค่เขียนลง twitter facebook ซึ่งเป็นสภาประชาชน ฟ้องประชาชนเลย
79
CITIZEN REPORTERS Twitter กับการรายงานข่าวในพื้นที่ การรายงานข่าวในพื้นที่ด้วยSocial Media นั้นไม่เพียงแต่เป็นการพ่นข้อมูลเท่านั้น แต่ต้องตอบความ กระหายของมูลข่าวสารของผู้ใช้งาน Social Mediaด้วย ด้วยอุปนิสัยของนักข่าวที่มักจะคอยป้อนข้อมูล ข่าวสารให้คนบริโภคว่าควรจะทานอะไร มีวิตามินอะไรในข่าวบ้าง ก็ทวีตหรือโพสในสิ่งที่ต้องการให้คนรู้ แต่ ในหลายสถาณะการณที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองนั้น ผู้คนต่างใช้ Social media ไม่ว่า Facebook twitter ในการ ค้นหา แลกเปลีย่ น ความเห็นต่อเรือ่ งราวและข้อมูลข่าวสารทีเ่ กิดขึน้ เพือ่ สังเคราะห์ขอ้ เท็จจริงต่างๆอย่างทัน สถานการณ์Social media จึงเหมือนกับสมองขนาดใหญ่ของสังคมที่ช่วยประมวลข้อมูล ข่าวสารที่เกิดขึ้น แม้ว่จะมีข่าวลืออย่างแพร่หลายแต่ข่าวลือนั้นก็จะถูกท�ำลายไป เพราะคนในสังคม หลากหลายอาชีพ หลายแวดวง สามารถจะแสดงความเห็นโต้แย้งได้ สถานการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้นมันเกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว TV หนังสือพิมพ์ ไม่อาจสื่อสารข้อมูลที่คน อยากรู้ได้ทันท่วงที โฆษณาบ้าง ละครบ้าง ราการบ้าง คนตามข่าวต้องรอแต่ละช่วงและอาจไม่ไช่ข้อมูลที่ ต้องการ ในเหตุการณ์น�้ำท่วมกรุงเทพปี 2554 นี้คนใจจดใจจ่อ ซึ่งสิ่งที่แต่ละพื้นที่ควรจะได้ข่าวสาร 80% มา จากพืน้ ทีข่ องตัวเอง 20%จากส่วนกลาง แต่ไม่มชี อ่ งทางไหนจะตอบโจทย์ได้ดที งั้ ข้อมูลทีต่ อ้ งการ และความเร็ว อย่าง social media การรายงานข่าวในพื้นที่ด้วย Social Media จึงต้องดูกระแสว่าคนต้องการรู้อะไร หรืออะไรที่เป็น ประเด็นถกเถียงว่าจริงไม่จริง นักข่าวในพืน้ ทีส่ ามารถตอบได้ น�ำภาพและคนมายืนยันได้กไ็ ปเจาะตรงนัน้ เพือ่ ตอบความต้องการได้ทันทีทันใด อย่าลืมว่าคนไม่ได้รับข่าวเพื่อความบันเทิงเท่านั้น แต่เพื่อรับมือได้อย่างทัน ท่วงที เป็นการน�ำเสนอข่าวแบบมีปฎิสัมพันธ์กับผู้รับสารและเอาความต้องการของผู้รับสารเป็นหลักและใน ทางกับกันนักข่าวอยากจะใช้ social media ในการ monitor สถานะการณ์ก็สามารถท�ำได้ด้วยการ search twitter ซึง่ เจาะจงพืน้ ที่ เวลา ดูภาพ วิดโี อในบริเวณพืน้ ทีน่ นั้ แบบ realtime ได้ แต่วา่ การไปนัง่ อ่าน timeline นั้นเป็นเรื่องยาก หากจะใช้เป็นจริงเป็นจังแล้ว ต้องมีการพัฒนาโปรแกรมมาประมวลข้อมูล สามารถจับ เหตุการณ์พฤติกรรม กระแส ประมวลภาพและวิดีโอที่โพสเข้ามาทั้งหมดในเหตุการณ์ได้เช่น มีคนรวมตัวกัน เพื่อจะไปงานมหกรรมนี้ คนที่ไปก็มักจะชักชวนกันไปทวีตภาพ วิดีโองานงานเราก็สามารถ search ดูได้ ตอน นี้ได้ยินข่าวลือหนาหูว่าบริเวณนี้น�้ำท่วม ก็สามารถ searchพื้นที่ดูได้ว่าคนบริเวณนั้นว่าอย่างไร และสอบถาม คนที่อยู่จุดนั้นได้อีกด้วยอย่ามองข้าม Youtube Social Network google นั้นแทบจะเข้าถึงข้อมุลทุกอย่างในโลกไม่ว่าสาธารณะ องกร หรือข้อมูลส่วนตัว google ก็มี ผลิตภัณฑ์รองรับหมด ไม่ว่าพื้นฐานจนถึงแอดวานซ์ แล้วก็สามารถใช้งานกันได้ฟรีมีคนนิยมใช้ทั่วโลก เหมือน ตูโ้ ทรศัพท์ทเี่ ป็นสาธารรูปโภคพืน้ ฐานอะไรเช่นนัน้ แต่ google นัน้ ไม่ได้เพียงแต่จะเชือ่ มโยงแหล่งข้อมูลทัว่ โลก แนวคิดของ google นั้นยัง มองไปถึงsocial media ที่ google พยามจะ build อยู่เสมอมา ไม่ว่า google waveที่เสมือนกับเป็น office ออนไลน์ที่คนในที่ต่างๆนั้นจะร่วม brain storm กันได้แบบrealtime ความ จริง google wave นั้นเจ๋งมาก แต่ใช้งานยากและเทคโนโลยีสูงไป มีรูปแบบที่แม้จะตรงความต้องการแต่ไม่ ค่อยสอดรับกับพฤติกรรมการใช้งานจนถึง google pluse นั้นก็เป็นความพยามอีกครั้งในการสร้างชุมชน ออนไลน์ social network เพื่อต่อสู้กับ facebook ที่มีคนใช้งานกว่า 500 ล้านคน แต่ดูเหมือนจะเป็นเพียงการ 80
CITIZEN REPORTERS โชว์แสงยานุภาพเท่านั้น google + ไม่ได้เป็น social network ที่มีรูปแบบแปลกใหม่แต่ก็อปปี้มาทั้งดุ้น จ�ำนวนคนเข้าใช้งานมหาศาลทีเ่ กิดขึน้ อย่างรวดเร็วไม่กสี่ ปั ดาห์นนั้ มาจากช่องทางและจ�ำนวนคนใช้งาน google ที่มีมากอยู่แล้ว ความเป็น social network นัน้ ไม่ไช่เพียงแต่มหี น้าตาการใช้งานสะดวกสวยงามแต่ตอ้ งสามารถจะเป็น เครือ่ งมือของมวลชน สือ่ มวลชนได้ สามารถสร้างกระแส ระดมความเห็น รายงานข่าวทีฉ่ บั ไว เป็นระบบกลไก ทางสังคม แต่ google + ยังไม่ได้พดู ถึงส่วนนีเ้ ลย ซึง่ เป็นสาระส�ำคัญของสือ่ สังคมออนไลน์ ถ้า google ต้องการ เอาชนะ facebookนั้นต้องรบด้วยสมองไม่ไช่ก�ำลังอย่างเดียว คือต้องสร้าง social network ในรุปแบบที่ แตกต่างและดีกว่า การท�ำเหมือนเช่นนีก้ เ็ ป็นการอาศัยทุม่ ก�ำลังลงไปอย่างเปล่าประโยชน์คาดว่าไม่นานจ�ำนวน คนใช้งานก็จะลดลงเรื่อยๆ
81
CITIZEN REPORTERS Social Network ระดับโลก Youtube Google ไม่ควรมองข้าม social network ทีม่ อี ยูอ่ ย่าง youtube ยูทบู เป็นสือสังคมอออนไลน์รปู แบบ นึง ที่มีกิจกรรมากมายไม่ว่า viral video, auditon นักร้องนักดนตรี ,ใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาด ใช้เป็น ช่องทีวี เป็น live concert เป็นที่เผยแพร่ผลงาน ตัดต่อ ถ่ายท�ำภาพยนต์ ดนตรี ท�ำรายการทีวีออนไลน์ อื่นๆ มากมาย หลายคนนัน้ เกิดเป็นดารานักร้องจาก youtube นีเ่ อง ซึง่ ก็มคี นใช้งานจ�ำนวนมากทัว่ โลก ในเหตุการณ์ ประติวัติประชาชนในโลกอาหรับ มีคนโพสวิดีโอภาพการจราจล การชุมชนุมประท้วง จ�ำนวนมากในยูทูบรูป แบบ ของสารที่โต้ตอบและเผยแพร่ใน social network นั้นมีทั้ง text, pic-ture,voice และ video ซึ่งมีรูป แบบครบถ้วนทัง้ ภาพและเสียง ใน twitter ก็มี twitvid.com ทีช่ ว่ ยโพสเรือ่ งราว ไปใน twitter ได้ทนั เหตุการณ์ ซึ่ง youtube นั้นดีกว่ามากในแง่ทั้งผู้ชม ผู้ใช้ แต่ยังให้ความส�ำคัญกับ trend เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นทั่วโลก นั้นน้อยเกินไป ทั้งที่ search ของ youtube เองก็แสนฉลาด น่าจะน�ำเสนอเหตุการณ์ต่างให้เป็นที่ประจักษ์ ต่อสายตาคนว่า เกิดอะไรขึ้นที่ไดบ้างอย่างทันสถานะการณ์ แบบสดๆด้วยการใช้งาน จ�ำนวนคนใช้งาน youtube นัน้ สามารถท�ำให้เกิดการแพร่ไปอย่างรวดเร็วและ การตอบสนองต่อเหตุการณ์ ได้ไม่ยาก และหากท�ำได้ เช่นนั้น youtubeก็จะจะเป็นอีก social network หนึ่งที่จะมาสร้างปรากฏการณ์ไม่แพ้ twitter , facebookเลย เราอาจได้เห็นวิดีโอที่มีนักข่าวจ�ำเป็น ยืนบรรยายอยู่น่ากล้องทุกช่วงเวลา และในนาทีส�ำาคัญๆอีก มากมายในเหตุการณ์ทั่วโลก เช่นเดียวกับข่าวด่วนทางทีวี Facebook ,Twitter ช่วยให้เข้าถึงกลุ่มคนหลากหลายในสังคมไทย social media อย่างfacebook twitterนั้นท�ำให้คนกลุ่มต่างๆในสังคมได้มีพื้นที่ของตัวเองบนสื่อ ไม่ ว่าจะกลุ่มชาติพันธ์ อย่างม้ง กลุ่มต่างศาสนิกอย่างมุสลิม กลุ่มชาวบ้านที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม กลุ่มคนที่ สนใจในเรื่องเดียวกัน กลุ่มการเมืองก่อนที่เรื่องราวปัญหาของคนกลุ่มต่างๆนั้นไม่เคยมีถูกมองเห็นหรือรับรู้ เรื่องราวข้อเท็จจริงของพวกเค้าจากสื่อ TV หนังสือพิมพ์มาก่อน เรารู้ว่าเกิดปัญหาภาคใต้ เรารับรู้ว่ามีการ ประท้วง แต่ส่วนใหญ่เราก็ไม่ได้มองเข้าไปเห็นปัญหา เพราะสื่อไทยเรานั้นไม่ได้ให้พ้ืนที่กับประชาชนอย่าง แท้จริง มีแต่ว่าอยากจะให้คนรับรู้อะไรแค่ไหน อยากให้คนคิดไปในทิศทางเดียวกันหมด เป็นไทยในฟอร์ม เดียวกัน เราจะได้ยินเสียงชาวบ้าน ปัญหาในชนบทบนทีวีเท่าไหร่กันเชียวมันมีแต่ปัญหาเน่าๆในกรุงเทพ อีกอย่างหนึง่ ใครกันจะพูดเรือ่ งจริงเรือ่ งไม่ดอี อกทีวกี ม็ แี ต่เรือ่ งประโลมโลกจัดการได้แล้ว สงบเรียบร้อย ดี โฆษณาชวนเชื่อทั้งนั้น กลุ่มคนที่มีคามแตกต่างหลากหลายทางเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรมในสังคมไทยจึง มาใช้ internet เป็นพืน้ ทีใ่ นการเผยแพร่ปญ ั หาในชุมชนของตนเองออกสูส่ าธารณะ และเป็นพืน้ ทีใ่ นการระดม ความคิดเห็นและการมีส่วนร่วม ชาวเข้าเผ่าม้งจัดท�ำเว็บไซต์ชุมชนออนไลน์ ฐานข้อมูลเครือญาติ และ socialmedia อย่าง facebook twitter ในการติดต่อเชื่อมโยงกันกับชาวม้งที่กระจัดกระจายอยู่ ทั่วประเทศไทยและทั่วโลก ชาวมุสลิม คน ไทยที่นับถือศาสนาอิสลามก็ใช้ internet ในการเผยแพร่ศาสนา เช่นครูสอนศาสนาอิสลามสอนในที่ต่างๆก็ อัดวิดโี อเก็บเนือหาอัพเดตบนเว็บไซต์ ให้ได้ตดิ ตาม สอบถอบปัญหา ประชาสัมพันเรียนอะไรวันไหนควบคูก่ นั ไป กลุ่มนักศึกษาใช้ facebook เข้าถึงกลุ่มเพื่อนมุสลิมด้วยกัน เพื่อตักเตือนแนะน�ำในเรื่องการประพฤติ 82
CITIZEN REPORTERS ตัว ในกรณีโรงเรียนวัดหนองจอกห้ามคลุมหิญาบก็มกี ารแสดงความเห็นและและชักชวนไปรวมกลุม่ เคลือ่ นไหว กันบน facebook ด้วยเช่นกันกลุม่ มุสลิมนัน้ มีการใช้ internet ในการดะวะหรือเผยแพร่อย่างจริงจังถึงขนาด ที่รายการศาสนาก็ยังมีช่วงสอนใช้คอมพิวเตอร์ ใช้ facebook กันด้วย มีเว็บไซต์และapplication เกี่ยวกับ ศาสนาเช่น กุรอานออนไลน์ แปรกุรอาน ปฎิฐนิ โปรแกรมเตือนเวลาละหมาด มี islamtube เว็บวิดโี ออิสลาม มีการจัดท�ำเนื้อหาดีๆมากมายinternet จึงท�ำให้เราได้เห็นคนกลุ่มต่างๆที่แทบไม่เคยเห็นรับรู้ทางสื่อทีวีมาก ขึ้น เราได้รับรู้ปัญหาแลกเปลี่ยนทัศนะระหว่างคนไทยพุทธและคนไทยมุสลิมกันได้คนต่อคน ไม่ไช่อ่านจาก งานเขียนหรือมุมมองของนักข่าว แต่เป็นการบอกเล่าขอเจ้าตัวเองซึง่ ใครจะเล่าถึงปัญหาความทุกข์ของตัวเอง ได้ดกี ว่าตัวเค้า กว่าคนในชุมชนนัน้ หากเปรียบเทียบดูจากการน�ำเสนอข่าวทางทีวี ซึง่ บางครัง้ ก็เป็นการกล่าว อ้างโจมตีกันมั่ง ครั้นเราจะสอบถามโต้ตอบกับคนในข่าวจริงก็ท�ำไม่ได้เหมือน internet และนอกจากนี้ social media ก็ยงั ช่วยให้เราเข้าถึงกลุม่ คนในวัยต่างๆ วัยรุน่ วัยผูใ้ หญ่ กลุม่ รักร่วมเพศ กลุ่มผู้หญิง กลุ่มความสนใจอื่นๆ เพื่อรับรู้และเข้าใจในความแตกต่างหลากหลายทางความคิดความเชื่อ วัฒนธรรมประเพณีของคนในสังคมไทย ไม่ใช่สื่อหลักอย่าง TV ที่ต้องการก�ำหนดความคิดของทุกคนให้เป็น ไปในทางเดียวกัน พยามปิดหูปิดตาคนทั้งประเทศไม่แน่นะครับ เมื่อระบบโครงข่ายเราครอบคลุมและคนเข้า ถึงอินเตอร์เน็ตมากแล้ว ก็จะมีช่องทีวีอินเตอร์เน็ตท้องถิ่น ของแต่ละอ�ำเภอจังหวัดเยอะขึ้นไปด้วย ซึ่งเป็นสื่อ ที่แม้แต่นักศึกษาคนทั่วไปก็สามารถจัดท�ำขึ้นมาได้ง่ายๆต�ำราเรียน Social Mediasocial media คือหนังสือ ที่มีผู้เขียนมากที่สุดในโลก และปรับปรุงให้ทันสมัยได้เร็วที่สุด
83
จริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน 84
จรรยาบรรณผู้สื่อข่าว
จรรยาบรรณและจริยธรรม สื่อ(ผู้สื่อข่าว) ประกอบด้วย -สื่อ หนังสือพิมพ์ -สื่อ วิทยุและโทรทัศน์ -สื่อ ส�ำนักข่าวต่างๆ -สื่อ สังคมออนไลน์
อักษร
จริยธรรมวิชาชีพสื่อมวลชน -จริยธรรม หมายถึงคุณธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพนักสื่อสารมวลชน -จรรยาบรรณ หมายถึง หลักจริยธรรมที่ผู้ประกอบวิชาชีพ นักสื่อสารมวลชนก�ำหนดเป็นลายลักษณ์
ดังนั้น นักสื่อสารมวลชนจึงต้องปฏิบัติหน้าที่ในกรอบ ปฏิบัติของจริยธรรมและจรรยาบรรณจรรยา บรรณไม่ใช่กฎหมายไม่มบี ทลงโทษเป็นเพยงหลักเกณฑ์ ให้ผปู้ ระกอบวิชาชีพสือ่ สารมวลชนสามารถตัดสินใจ เกี่ยวกับจริยธรรมได้ หรือใช้เป็นแนวทางในการก�ำหนดว่าการกระท�ำใดผิดถูกหรือเลวดี ก่อนที่จะท�ำความเข้าใจในเรื่องจริยธรรมสื่อมวลชน จะต้องเข้าใจบทบาท หน้าที่ ความรับผิดชอบของ สื่อมวลชนก่อน เพราะเมื่อพูดถึงสิทธิ เสรีภาพ แต่เพียงประการเดียว ก็อาจตีความได้ว่า สื่อมวลชนมีสิทธิ เสรีภาพ ซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองไว้ในมาตรา ๔๕ อย่างไร้ขอบเขต และอาจมีมากกว่าผู้ประกอบอาชี พอื่นๆในสังคม แต่แท้จริงแล้ว สื่อมวลชนไม่สามารถใช้พื้นที่สาธารณะในการน�ำเสนอข่าวสาร ข้อมูล หรือ วิพากษ์วิจารณ์ ตามความต้องการ โดยไม่มีความรับผิดชอบและค�ำนึงถึงผลกระทบต่อบุคคลอื่นได้เลย ในปัจจุบันสื่อมวลชนมีบทบาทและอิทธิพลต่อการด�ำเนินชีวิตของมนุษย์ สื่อมวลชนเป็นกลุ่มบุคคลที่ ทรงอิทธิพลมานาน สามารถรายงานข่าวและความเคลื่อนไหวต่างๆ จากทั่วทุกมุมโลกมาสู่ประชาชน (และ ประชาชนสามารถร้องทุกข์) สือ่ มวลชนจึงกลายเป็นสถาบันหลักของสังคมไทยทีม่ หี น้าทีใ่ นการให้ขา่ วสารและ ความบันเทิงแก่ประชาชนและบทบาทในการเป็นสื่อกลางของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกโดยรวบรวม ข่าวสารและน�ำมาเผยแพร่สู่ประชาชนแต่บางครั้งสื่อมวลชนก็น�ำเสนอข่าวที่เกินความจริง ซึ่งมีสาเหตุมาจาก การต้องการขายข่าวเพื่อให้ประชาชนสนใจ รับฟัง รับอ่าน รับดู มากขึ้น จนลืมนึกถึงจรรยาบรรณของ สื่อมวลชนที่ดี จริยธรรมและความถูกต้องของสื่อมวลชนที่ดี จากเอกสารต�ำราที่ผู้วิจัยได้รวบรวมมาเขียนไว้ ในสารนิพนธ์เล่มนี้ ทฤษฎีของสือ่ มวลชนมีจดุ มุง่ หวังเพือ่ ให้ประโยชน์แก่ประชาชนผูร้ บั ข่าวสาร เช่น เพือ่ บอก ข่าวสารแก่ประชาชน เพือ่ ให้ความรู้ ความเข้าใจแก่ประชาชน เพือ่ ชักจูงประชาชน ในการเปลีย่ นแปลงทัศนคติ เพื่อให้ความบันเทิงแก่ประชาชน
85
จรรยาบรรณผู้สื่อข่าว ข่าวสารที่ส่งตรงไปสู่ประชาชนนั้นท�ำให้สื่อมวลชนมีอิทธิพลต่อชีวิตความเป็นอยู่ตลอดจนความรู้สึก นึกคิดของประชาชน กล่าวคือ สือ่ มวลชนมีอทิ ธิพลทางด้านทัศน์คติและค่านิยม สือ่ มวลชนสามารถชักจูงแนว ความคิดให้เป็นไปตามประสงค์ หากสือ่ มวลชนท�ำหน้าทีไ่ ด้อย่างน่าเชือ่ ถือ ก็จะยิง่ สร้างความศรัทธาแก่มวลชน ได้และง่ายต่อการชักจูงแนวความคิดของประชาชนให้คล้อยตามโดยไม่ยาก อิทธิพลทางด้านอารมณ์ คือ สือ่ มวลชนสามารถเร้าหรือกระตุน้ อารมณ์ของประชาชนได้โดยง่าย เช่น การรายงานข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ อาจะใช้ถ้อยค�ำที่รุนแรงเกินไป ในกรณีของ ดาราหนุ่ม บิ๊ก ดีทูบี ที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์หนังสือพิมพ์ บางฉบับลงข่าวว่า “รากินสมอง บิ๊ก เละไม่มีชิ้นดีโตเท่าลูกฟุตบอล” อีกฉบับลงว่า “สั่งยาวิเศษจาก สหรัฐ ‘บิ๊ก’ มีหวัง รู้แล้วชนิด ‘รา’ พอไหว” หากประชาชนอ่านประโยคแรกแล้วก็อาจเกิดอารมณ์เศร้าหรือ เวทนาต่อดาราผูน้ นั้ แต่หากอ่านประโยคทีส่ องก็อาจก่อให้เกิดความยินดี ชืน่ ใจทีส่ ามารถหาทางรักษาดาราผู้ นั้นได้ ดังนั้น การรายงานข่าวของสื่อมวลชน สามารถกระตุ้นอารมณ์หรือความรู้สึกของประชาชนได้ อิทธิพล ทางด้านศีลธรรม ในขณะที่ท่านอ่าน ชม หรือ ฟัง ข่าวสารจากแหล่งต่างๆ นั้น ท่านสามารถรับเอาศีลธรรม หรือความดีงามได้แต่หากในขณะเดียวกันท่านก็สามารถรับเอาความเลวร้ายมาสู่ตัวท่านเองได้ ดังนั้น การ รายงานข่าวของสื่อมวลชนควรมีจรรยาบรรณในการน�ำเสนอข่าว เพื่อก่อหรือสร้างศีลธรรมหรือคุณธรรมที่ดี งามให้กับมวลชน อิทธิพลทางด้านสติปัญญาความรู้ นี่คือหน้าที่ที่ส�ำคัญส่วนหนึ่งของสื่อมวลชน สื่อมวลชน สามารถน�ำวิทยาการแปลกใหม่ หรือแนวคิดทฤษฎีใหม่ต่างๆ มาป้อนให้กับประชาชน เพื่อให้ประชาชนน�ำ แนวคิดต่างๆ เหล่านั้น ไปก่อประโยชน์สูงสุด อิทธิพลทางด้านพฤติกรรม ประชาชนส่วนมากมักมีพฤติกรรม ลอกเลียนแบบสื่อ โดยเฉพาะเด็กหรือเยาวชน ซึ่งมักจะประทับใจคลั่งไคล้ในพฤติกรรมต่างๆ ของดารา และ พยายามจะลอกเลียนแบบหรือท�ำตามแบบอย่างพฤติกรรมเลียนแบบซึ่งมีทั้งด้านบวกและลบ บ่อยครั้งที่ผู้ กระท�ำผิดคดีอาญารับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ว่าตนลอกเลียนแบบมาจากภาพยนตร์, โทรทัศน์ หรือ เกมส์ สิทธิและเสรีภาพ เป็นเรื่องส�ำคัญส�ำหรับการเสนอข่าวหรือความคิดเห็นของสื่อมวลชน แต่การใช้ เสรีภาพไม่ได้ หมายถึงว่าสื่อมวลชนสามารถกระท�ำการใดๆ เหนือบุคคลอื่น กล่าวคือ สื่อมวลชนมีสิทธิโดย หน้าที่ที่สามารถแสวงหาข่าวสารหรือรับรู้ข่าวสารได้ น�ำข่าวสารเหล่านั้นมาน�ำเสนอต่อประชาชน มีอิสระใน การวิพากษ์วิจารณ์ข่าวสารที่น�ำเสนอออกไปสู่ประชาชนและสื่อมวลชนมีสิทธิในการรายงานข่าวภายใต้ ขอบเขตของกฎหมาย สื่อมวลชนมีสิทธิที่จะเรียกร้องไม่ให้อ�ำนาจใด (อ�ำนาจรัฐ หรืออ�ำนาจนายทุน) เข้ามา แทรกแซง กดดันหรือกดขี่สื่อมวลชนในการน�ำเสนอข่าวสารสู่ประชาชนแต่สื่อมวลชนไม่มีสิทธิที่จะน�ำเสนอ ข่าวที่เป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคลอื่นใดที่ไม่ได้มีต�ำแหน่งในการรับผิดชอบบ้านเมือง การที่น�ำเรื่องส่วนตัวของ บุคคลอืน่ มาน�ำเสนอต่อสาธารณชนเท่ากับเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของผูอ้ นื่ และเป็นการผิดจรรยาบรรณ ของสื่อมวลชนด้วย เสรีภาพของสื่อ คือ การแสดงความคิดเห็นหรือการเสนอข่าวสาร กล่าวคือ สื่อมวลชน สามารถแสดงความคิดเห็นของตน และมีเสรีภาพในการน�ำเสนอข่าวสาร สื่อมวลชนไม่ควรตกเป็นเครื่องมือ อ�ำนาจรัฐ หรือนายทุน เพราะหากเป็นไปดังนัน้ แล้วสือ่ มวลชนก็คงหมดเสรีภาพในการเสนอข่าวสารเพราะรัฐ หรือนายทุนต้องควบคุมการเสนอข่าวสารและควบคุมการรับรูข้ า่ วสารอีกด้วย ภารกิจของสือ่ มวลชน คือ การ ท�ำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาและใช้ความสุจริตเป็นที่ตั้ง ถือว่าการกระท�ำนี้ชอบด้วยกฎหมาย แต่การกระ ท�ำการโดยทุจริตบิดเบือนข้อเท็จจริง คือมีข้อมูลทั้งที่จริงและไม่จริง หรือกระท�ำการโดยประมาท ไม่ตรวจ สอบข้อเท็จให้ถ่องแท้เสียก่อนจนเกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น การกระท�ำในลักษณะนี้คือ การกระท�ำโดย มิชอบด้วยกฎหมายและขัดต่อหลักจริยธรรมทางวิชาชีพ เสรีภาพของสือ่ มวลชนเป็น “เสรีภาพจากการไม่ถกู
86
จรรยาบรรณผู้สื่อข่าว บีบบังคับทั้งปวงและมีสิทธิที่จะได้ข้อมูลข่าวสารอย่างถูกต้อง และไม่ถูกขัดขวางใดๆ” ไม่ว่าจะเป็นกฎหมาย ของรัฐที่ชอบด้วยธรรมและเงินสนับสนุนการโฆษณาเพื่อการให้เสรีภาพลดน้อยลง เสรีภาพของสื่อมวลชน ต้องเป็นเสรีภาพตามสิทธิทางศีลธรรมทีไ่ ม่มใี ครจะพรากไปได้ เป็นสิง่ ทีเ่ กิดจากความส�ำนึกทางจริยธรรมของ วิชาชีพ และสอดคล้องกับความต้องการของสังคมที่สื่อไม่อาจปฏิเสธ พันธกิจได้ สื่อมวลชนต้องยอมรับ อย่างจริงใจว่าตนเป็นเวทีสาธารณะเพื่อคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ให้แก่ประชาชนโดยแท้ เสรีภาพของ สือ่ มวลชนเป็นตัววัดเสรีภาพของทุกหน่วยในสังคม กล่าวคือ หากสือ่ มวลชนไร้เสรีภาพ ก็ไม่อาจหวังถึงเสรีภาพ ของหน่วยงานอืน่ ในสังคม สือ่ มวลชนมักเป็นเป้าหมายแห่งการโจมตีของผูท้ ปี่ รารถนาจะควบคุมสือ่ มวลชนไว้ ในอ�ำนาจของตน ซึ่งถ้าเป็นไปดังนี้ หมายความว่า บุคคลผู้นั้นจะสามารถปิดหูปิดตาพลเมือง มิให้รู้เห็นความ จริงทีแ่ ท้จริง และมิให้ใครสามารถวิพากษ์วจิ ารณ์งานของเขาได้ อย่างในเหตุการณ์ปจั จุบนั หากสือ่ มวลชนตก อยู่ภายใต้อ�ำนาจของรัฐบาลหรือพันธมิตรฯ เราจะไม่สามารถรับรู้ความจริงอันเกิดขึ้นจริงของบุคคลทั้งสอง กลุม่ กล่าวคือ หากสือ่ ตกเป็นของรัฐบาล สือ่ ก็จะน�ำเสนอข่าวสารในแง่ดขี องรัฐ ในทางกลับกันหากสือ่ ตกเป็น ของฝ่ายพันธมิตรฯ สื่อก็จะน�ำเสนอข่าวสารในแง่ดีของฝ่ายพันธมิตรฯ ดังนั้นหากสื่อตกอยู่ภายใต้อ�ำนาจของ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ประชาชนก็ไม่มีสิทธิที่จะรับรู้ข่าวสารที่แท้จริง การตกอยู่ภายใต้อ�ำนาจใดอาจะมีผลมาจาก ความยินยอมทีจ่ ะเป็นการหรือ จากความไม่ยนิ ยอม (อาจโดนบีบบังคับ ขูเ่ ข็ญ) ดังเมือ่ ครัง้ ในอดีต ในยุครัฐบาล ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ที่มีการจับกุมนักหนังสือพิมพ์และนักเขียนบางท่านที่คัดค้านไม่สนับสนุนให้ รัฐบาลยอมให้ญปี่ นุ่ ยกพลขึน้ บกและเดินทัพผ่านดินแดนไทย เหตุการณ์การจับกุมนักข่าวในประเทศไทยครัง้ ใหญ่มีถึง 3 ครั้ง และในแต่ละครั้งจะเป็นการคุกคามสื่อจากภาครัฐบาลซึ่งบางครั้งการน�ำเสนอข่าวอาจน�ำมา ซึง่ ความไม่พอใจของฝ่ายรัฐบาล สมาคมวิชาชีพหนังสือพิมพ์ตอ้ งต่อสูก้ บั อ�ำนาจรัฐทีค่ กุ คามเสรีภาพสือ่ ในยุค สมัยของ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ใช้วิธีการเอาเงินราชการลับจากสลากกินแบ่งรัฐบาลมาออกหนังสือพิมพ์ เพือ่ เล่นงานศัตรูทางการเมือง แต่พอชนะแล้วก็หนั กลับมาเล่นงานหนังสือพิมพ์แทน ท�ำให้หนังสือพิมพ์ไม่อาจ เสนอเรือ่ งราวทีก่ ระทบถึงเสถียรภาพของผูม้ อี ำ� นาจได้จงึ ต้องหันมาเสนอเรือ่ งประโลมโลก อาชญากรรม คาว โลกีย์ โป๊ เปลือย เป็นเหตุทำ� ให้ถกู โจมตีวา่ ไร้จรรยาบรรณมากขึน้ สมาคมวิชาชีพสือ่ มวลชนถูกกดดันเรียกร้อง ให้หนั มาสนใจการน�ำเสนอข่าวสารของหนังสือพิมพ์ สมาคมวิชาชีพสือ่ มวลชนจึงมีหน้าทีค่ วบคุมดูแลจริยธรรม ของสือ่ มวลชน ไม่ให้ถกู อ�ำนาจรัฐคุกคามและไม่ให้สอื่ มวลชน ซึง่ บางครัง้ สือ่ มวลชนอาจเผลอเลอท�ำการละเมิด จริยธรรมสมาคมวิชาชีพสื่อมวลชนจึงมีบทลงโทษไว้ส�ำหรับสื่อมวลชน โดยในครั้งแรกก็อาจมีการตักเตือนไป ทางต้นสังกัด ทางต้นสังกัดก็จะเป็นผู้พิจารณาตัดสินการกระท�ำผิดของสื่อมวลชน อาจมีการตักเตือน ท�ำ ทัณฑ์บน พักงานและไล่ออก ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลพินิจของกรรมการของต้นสังกัดทางสมาคมวิชาชีพสื่อมวลชน ท�ำได้เพียงบอกกล่าวตักเตือนรับเรื่องราวร้องทุกข์มาพิจารณาแล้วแจ้งไปทางส�ำนักพิมพ์
ความรับผิดชอบของนักข่าว ในการปฏิบัติงานข่าวทุกแขนงย่อมมีโอกาสเกิดความผิดพลาดได้ทุกขั้นตอนของกระบวนการท�ำงาน ในการนี้ นักข่าวพึงต้องมีความรับผิดชอบควบคูไ่ ปกับสิทธิเสรีภาพในการเสนอข่าวสาร ต้องค�ำนึงถึงความรับ ผิดชอบที่ส�ำคัญอย่างน้อย ๒ ประการ คือ
87
จรรยาบรรณผู้สื่อข่าว 1.ความรับผิดชอบทางกฎหมาย ในฐานะทีน่ กั ข่าวเป็นนายประตูขา่ วสาร หรือเป็นด่านแรกในการท�ำงานข่าว ควรจะต้องศึกษากฎหมาย ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการท�ำงาน เช่น พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ ประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยความ ผิดฐานหมิ่นประมาท โดยเฉพาะความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา ประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วย ความผิดเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ พระราชบัญญัติความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พระราชบัญญัติว่า ด้วยคดีเด็กและเยาวชน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ว่าด้วยความผิดฐานละเมิดต่อชื่อเสียง เกียรติยศ และทางท�ำมาหาได้ ทั้งนี้เพราะความรับผิดชอบทางกฎหมายเป็นข้อจ�ำกัด ในการใช้สิทธิ เสรีภาพประการ หนึ่ง ภายใต้หลักประกันสิทธิ เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชน ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ ส�ำหรับความผิดทางกฎหมายที่นักข่าว หรือบรรณาธิการจะต้องเผชิญอยู่เสมอ คือความผิดฐานหมิ่น ประมาท ละเมิดต่อชื่อเสียง เกียรติยศ และทางท�ำมาหาได้ของบุคคลอื่น ละเมิดอ�ำนาจศาล นักข่าวจึงต้อง ระมัดระวังในการใช้ถ้อยค�ำ การรายงานข่าวที่ต้องเคารพหลักการพูดความจริง 2.ความรับผิดชอบทางจริยธรรม ความรับผิดชอบทางจริยธรรม (ethics) เป็นความรับผิดชอบทีต่ อ้ งใช้จติ ส�ำนึก พิจารณาและใคร่ครวญ ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับผู้ที่เป็นข่าว ญาติพี่น้อง และครอบครัว ในแง่ของการก�ำกับ ดูแลและควบคุมผู้ ประกอบวิชาชีพสือ่ สารมวลชน ให้อยูใ่ นกรอบของจริยธรรมนัน้ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ จะเป็นองค์กร หลักในการควบคุมการท�ำงานของผู้ประกอบวิชาชีพ โดยมีข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมแห่งวิชาชีพก�ำหนดไว้ เป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อให้สมาชิกใช้เป็นแนวทางปฏิบัติในการท�ำงาน นอกจากนั้น องค์กรสื่อบางแห่ง เช่น กลุม่ เนชัน่ โพสต์ ก็ได้ตราข้อก�ำหนด แนวทางประพฤติปฏิบตั ใิ นเรือ่ งจริยธรรมเป็นลายลักษณ์อกั ษรแสดงราย ละเอียดของการประพฤติที่พึงกระท�ำหรืองดเว้น เพื่อให้พนักงานใช้เป็นหลักในการท�ำงานด้วย ค�ำว่าจริยธรรม มาจากรากของค�ำว่า “จริยศาสตร์” เป็นค�ำที่ พลตรีศาสตราจารย์ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ทรงบัญญัติขึ้นใช้เป็นครั้งแรก ส�ำหรับค�ำว่า ethics และถือเป็นศัพท์บัญญัติ ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน แต่คนส่วนใหญ่จะคุน้ เคยและใช้คำ� ว่า จริยธรรรมมากกว่าจริยศาสตร์ อาจสรุปได้ว่า จริยธรรมหมายถึงความเชื่อ ค่านิยม และหลักศีลธรรม ซึ่งแต่ละสังคมก�ำหนดขึ้น เพื่อใช้ในการ ตัดสินว่า สิง่ ใดถูก สิง่ ใดผิด สิง่ ใดควรท�ำ สิง่ ใดไม่ควรท�ำ ทัง้ นี้ หมายถึงแนวทางปฎิบตั ขิ องบุคคลในสาขาอาชีพ ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อมวลชนที่สังคมเรียกร้องความรับผิดชอบในเชิงจริยธรรมสูง ประเด็นปัญหาทางจริยธรรมที่มีการพูดถึงกันอยู่เสมอ ได้แก่ การรายงานข่าวที่มีผลกระทบต่อบุคคลอื่น ถึงแม้บางเหตุการณ์จะมีคุณค่าข่าวที่ควรน�ำเสนอ แต่ข่าวก็อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อบุคคลอื่นทั้งที่ เกีย่ วข้องและไม่เกีย่ วข้องในเหตุการณ์ ด้วยสไตล์การเขียน การเขียนเนือ้ ข่าวและความน�ำ การให้หวั ข่าวหรือ การใช้ภาพประกอบที่อาจสร้างความเจ็บปวดซ�้ำๆให้แก่ผู้เคราะห์ร้ายที่เป็นข่าวได้ หลายครั้งที่สื่อมวลชนถูก วิพากษ์วิจารณ์ และมีเสียงเรียกร้องให้ใช้จิตส�ำนึกชั่งน�้ำหนักระหว่างสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสาร และผลก ระทบที่จะเกิดขึ้นกับบุคคล นักข่าวจึงต้องใช้วิจารณญาณในการคัดเลือก และรายงานข่าวด้วย
88
จรรยาบรรณผู้สื่อข่าว ในหนังสือคู่มือจริยธรรม ส�ำหรับทุกสื่อในเครือเนชั่นฯ Nation Way ผิดจากนี้ไม่ใช่เรา หมวด ๒ ว่า ด้วยจริยธรรมของสื่อในเครือเนชั่นฯ ข้อ ๒.๑๐ เขียนไว้ว่า ในการเสนอข่าวหรือภาพใดๆ ต้องหลีกเลี่ยงการ ล่วงละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลที่ตกเป็นข่าว โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องให้ความคุ้มครองอย่าง เคร่งครัดต่อสิทธิมนุษยชนของเด็ก สตรี และผู้ด้อยโอกาส ตัวอย่างเช่นนายต�ำรวจคนหนึง่ น�ำผูต้ อ้ งหาคดียาเสพติดมาแถลงข่าว โดยมีการเขียนข้อความตัง้ วางไว้ หน้าผู้ต้องหาว่า “อมนุษย์” ซึ่งแปลว่า ผู้ที่ไม่ใช่คน หมายถึงภูตผีปีศาจ การกระท�ำของต�ำรวจนายนั้นถือว่า เป็นการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้ต้องหา เช่นเดียวกับ หัวข่าวของหนังสือพิมพ์ เมื่อมีการจับกุม ตัวผู้กระท�ำความผิดอาญา หนังสือพิมพ์ ก็ใช้หัวข่าวตัดสินความผิดของเขาทันที เช่น พาดหัว หรือบรรยาย ภาพว่า ไอ้โหด เดนนรก ทั้งที่ในทางกฎหมาย ผู้ต้องหาหรือจ�ำเลยต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า เขาเป็นผู้บริสุทธิ์ จนกว่าจะมีค�ำพิพากษาของศาลว่า เขาเป็นผู้กระท�ำผิดจริง ฉะนั้น นักข่าวหรือบรรณาธิการ พึงหลีกเลี่ยงที่ จะตกเป็นเครื่องมือในการละเมิดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์เช่นนั้น ในหนังสือคูม่ อื จริยธรรม หมวดเดียวกัน ข้อ ๒.๑๑ ต้องไม่เสนอภาพทีอ่ จุ าด ลามกอนาจาร น่าหวาดเสียว หรือที่อาจละเมิดศีลธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีของสังคม ในช่วงเริ่มต้นของ คม ชัด ลึก มีข้อตกลง ร่วมกันประการหนึ่งว่า หนังสือพิมพ์หัวสีฉบับนี้ จะไม่มีภาพที่สยอง และสยิว ค�ำว่าไม่สยอง หมายถึง หนังสือพิมพ์จะไม่ตีพิมพ์ภาพคนตาย ซึ่งเคยเป็นขนบของหนังสือพิมพ์หัวสียุค ก่อนนั้น ที่นิยมน�ำภาพศพที่แสดงถึงสภาพน่าอเน็จ อนาจ มาตีพิมพ์ไว้ที่หน้า ๑ เพื่อจูงใจให้คนอ่านตัดสินใจ ซื้อหนังสือพิมพ์ ส่วนค�ำว่า ไม่สยิว หมายถึงหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ จะไม่มีภาพโป๊ อนาจาร หรือภาพที่ส่อไปใน ทางเพศ นี่ก็เป็นหลักส�ำคัญอีกข้อหนึ่งในเรื่องจริยธรรม ในการน�ำเสนอข่าว
วิธีการหาข่าว ในการท�ำข่าว นักข่าวควรต้องค�ำนึงถึงวิธีการได้มาซึ่งข้อมูล ข่าวสารนั้น เช่น การบุกรุกเข้าไปในบ้าน ของแหล่งข่าว การดักฟังหรือแอบบันทึกเสียงการติดต่อ สนทนาของผู้อื่น การสะกดรอยติดตาม และแอบ ถ่ายด้วยอุปกรณ์ที่ใช้เทคโนโลยีสูง การลอบถ่ายเอกสารข้อมูลข่าวสารส่วนบุคคล เป็นวิธีการที่ไม่เป็นธรรม ที่ เข้าไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของบุคคลอื่น รวมทั้งการไม่แสดงตัวว่า เป็นนักข่าวขณะปฏิบัติหน้าที่ คู่มือจริยธรรมของสื่อในเครือเนชั่น หมวด ๑ ข้อบังคับว่าด้วยจริยธรรมของผู้ประกอบวิชาชีพสื่อ ข้อ ๑.๖ เขียนว่า “ต้องใช้วธิ ที สี่ ภุ าพและสุจริตในการหาข้อมูล ข่าวสาร และภาพต่างๆ” ข้อ ๑.๘ เขียนว่า “ละเว้น การล่วงละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เว้นแต่กรณีที่พิสูจน์ได้ว่าเป็นการกระท�ำไปเพื่อประโยชน์ของสาธารณะ” อคติส่วนตัวของนักข่าว นักข่าวก็เป็นเช่นเดียวกับคนทั่วไป คือ อาจมีความเชื่อ หรือทัศนคตืในเรื่องต่างๆ เช่น แนวคิดทางการ เมือง ศาสนา หรือมีความรูส้ กึ ไม่พงึ พอใจแหล่งข่าว ไม่ถกู ชะตา หรืออารมณ์ ความรูส้ กึ ต่างๆ นอกเหนือเหตุผล ซึ่งในการท�ำข่าว นักข่าวจะต้องแยกแยะอคติส่วนตัวออกจากการรายงานข่าว
89
จรรยาบรรณผู้สื่อข่าว สิทธิส่วนบุคคล สิทธิสว่ นบุคคล (Right to Privacy) เป็นเรือ่ งทีค่ าบเกีย่ วระหว่างกฎหมายและจริยธรรม บ่อยครัง้ ทีน่ กั ข่าวจะถูกวิพากษ์วจิ ารณ์วา่ น�ำเสนอข่าวทีเ่ ป็นเรือ่ งส่วนตัวของบุคคลต่างๆในสังคม โดยเฉพาะคนทีม่ ชี อื่ เสียง หรือบุคคลสาธารณะ (Public Figure) เช่น นักการเมือง ดารานักแสดง นักร้อง นักข่าวมักจะเฝ้าติดตามเสนอ ข่าว ทั้งที่เรื่องราวส่วนตัวของเขาไม่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะเลย เรื่องของสิทธิส่วนบุคคล นับว่าเป็นปัญหาใหญ่มากขึ้น เนื่องจากปัญหาการตีความว่า แค่ไหน เพียงใด ที่นักข่าวจะน�ำเสนอได้ในฐานะบุคคลสาธารณะ เพราะความเป็นบุคคลสาธารณะจะท�ำให้ความเป็นส่วนตัว (Privacy) น้อยลง แต่โดยหลักจริยธรรม บุคคลเหล่านี้ก็ยังได้รับความคุ้มครองในการใช้ชีวิตส่วนตัวอยู่ดี ดัง นั้นนักข่าวต้องแยกให้ออกระหว่างขอบเขตสิทธิส่วนบุคคลกับสิทธิในการรับรู้ของประชาชน โดยนักข่าวต้อง ยึดถือหลักการรายงานข่าวด้วยความรับผิดชอบทางจริยธรรม คือ มีความยุตธิ รรมต่อบุคคลทีต่ กเป็นข่าว ข้อมูล และข้อเท็จจริงที่น�ำเสนอในข่าวต้องมีความถูกถ้วน ตัวอย่างที่เห็นชัดเจน คือการเสนอข่าวบันเทิง ผู้บริโภคข่าวสารมักเข้าใจว่า ข่าวบันเทิง คือข่าว เรื่อง ราวชีวติ ครอบครัวของดารา ข่าวรักๆใคร่ๆ ซึง่ ในความเป็นจริง นัน่ เป็นการละเมิดสิทธิสว่ นบุคคลทัง้ สิน้ นิยาม ของความเป็นข่าวบันเทิง ซึ่งน่าจะเป็นเรื่องบทบาทการแสดง หรือการที่ดาราบางคน เป็นตัวอย่างที่ดีในการ ด�ำเนินชีวติ มีความใส่ใจในการศึกษา หรือมีจติ สาธารณะในการช่วยสังคม กลับปรากฎในพืน้ ทีข่ า่ วบันเทิงน้อย มาก
จริยธรรมในการสื่อข่าวและการเขียนข่าว ในการสื่อข่าวและการเขียนข่าว ภาระหน้าที่ของนักข่าวในฐานะผู้แจ้งข่าวสาร คือการน�ำข้อเท็จจริงสู่ สาธารณชน (The duty of journalists is to serve the truth) ดังนั้น นักข่าวควรต้องมีจริยธรรมในการ สื่อข่าว และเขียนข่าว ดังนี้ 1.ความเที่ยงธรรมและความเป็นภววิสัยในการรายงานข่าว ตามหลักการสือ่ ข่าวได้มขี อ้ ก�ำหนดเกีย่ วกับคุณสมบัตขิ า่ วทีด่ ไี ว้วา่ จะต้องมีความเป็นภววิสยั ปราศจาก อคติและความรู้สึกส่วนตัวของนักข่าว ข่าวที่น�ำเสนอจะต้องเสนอเฉพาะข้อเท็จจริง มีความเที่ยงธรรม สมดุล ในกรณีที่เกิดการขัดแย้งเกิดขึ้น ต้องให้โอกาสในการชี้แจง และแสดงข้อเท็จจริงทั้งสองฝ่าย ไม่ว่านักข่าวจะ เห็นพ้องกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดหรือไม่ก็ตาม ทั้งนี้เพื่อความเป็นกระจกเงาสะท้อนภาพสังคมที่ชัดเจน เที่ยงตรง ไม่บิดเบี้ยว 2.ความเป็นส่วนบุคคลกับสิทธิในการรับรู้ของผู้บริโภคข่าวสาร ปัญหาความเป็นส่วนตัวกับสิทธิในการรับรูข้ องผูร้ บั สาร นักข่าวมักถูกท้วงติงจากสังคมว่า ปฏิบตั หิ น้าที่ ล่วงล�ำ้ ความเป็นส่วนตัวของผูอ้ นื่ หรืออาจจะเป็นความรูส้ กึ ทีเ่ ข้าไปเกีย่ วข้องกับเหตุการณ์ในลักษณะมองต่าง มุมระหว่างสังคม กับนักข่าว ซึง่ นักข่าวควรมีวจิ ารณญาณในการไตร่ตรอง ชัง่ น�ำ้ หนักในความเหมาะควรขณะ ปฏิบตั งิ านอยูเ่ สมอว่า การเสนอข่าวและภาพผูถ้ กู คุกคามทางเพศ หรือการระบุชอื่ บุคคลทีม่ คี วามสัมพันธ์เป็น
90
จรรยาบรรณผู้สื่อข่าว ญาติมิตรท�ำให้สามารถเข้าใจได้ว่า ผู้ถูกคุกคามทางเพศเป็นใคร การน�ำเสนอภาพเปลือยของผู้ตาย หนังสือพิมพ์ยกั ษ์ใหญ่ ๒ ฉบับ ฉบับหนึง่ เสนอภาพเปลือยหญิงสาวทีถ่ กู ข่มขืนในทีเ่ กิดเหตุ ภาพเปลือย เดวิด คาราดีน ดาราฮอลลีวู๊ดที่ฆ่าตัวตายในตู้เก็บเสื้อผ้าโรงแรมปาร์คนายเลิศ อีกฉบับหนึ่งเสนอภาพเปลือย หญิงชาวต่างชาติถูกคลื่นสึนามิ พัดพาขึ้นไปค้างอยู่บนกิ่งต้นโกงกางในลักษณะที่อุจาดตา นี่ก็เป็นการละเมิด ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ถึงแม้ว่าเธอทั้งสอง และเขาจะเสียชีวิตแล้ว 3.การใช้แหล่งข่าวปิด (Unidentified Sources) บางครั้งนักข่าวอาจต้องใช้แหล่งข่าวปิด กรณีที่เป็นข่าวเชิงสืบสวนสอบสวน ซึ่งไม่สามารถเปิดเผย คุณลักษณะ (Identification) ของแหล่งข่าวได้ เนื่องเพราะอาจส่งผลต่อความปลอดภัยของแหล่งข่าวและ ครอบครัว ซึง่ หากนักข่าวละเมิดสิทธิของเขาในการป้องกันตัวเองเท่ากับท�ำผิดหน้าที่ แต่ในขณะเดียวกัน การ ใช้แหล่งข่าวปิดมากจนเกินไปอาจถูกตัง้ ข้อสังเกตหรือวิพากษ์วจิ ารณ์จากคนอ่านได้ ว่าอาจน�ำไปสูก่ ารบิดเบือน หรือท�ำให้การน�ำเสนอข่าวคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงได้ เพราะคนอ่านไม่แน่ใจว่า แหล่งข่าวนั้นมีตัวตน อยู่จริงหรือไม่ ในอีกแง่มมุ หนึง่ แหล่งข่าวอาจมีเจตนาให้ขอ้ มูลหรือความเห็นทีบ่ ดิ เบือนเพือ่ ประโยชน์สว่ นตัว หรือให้ ร้ายแก่ผู้อื่น ในกรณีเช่นนี้ อาจมีผลถึงความน่าเชื่อถือได้ เพื่อไม่ให้สูญเสียความเชื่อถือ นักข่าวจึงไม่ควรเสนอข่าวที่เลื่อนลอย ปราศจากที่มา ข่าวลือหรือแผ่น ปลิว ควรระบุชื่อบุคคลที่ให้สัมภาษณ์หรือให้ข้อมูลอย่างชัดเจน เว้นแต่จะมีเหตุอันควรปกปิดเพื่อสวัสดิภาพ และความปลอดภัยของแหล่งข่าว โดยข่าวสารนัน้ เป็นประโยชน์ และสิทธิในการรับรูข้ า่ วสารของสาธารณชน ด้วย หรืออาจใช้วิธีอธิบายภูมิหลังของแหล่งข่าว เพื่อให้ผู้อ่าน ผู้ชมและผู้ฟังทราบความสัมพันธ์ หรือบทบาท ทัศนคติ แนวความคิดของแหล่งข่าว ต่อเหตุการณ์หรือบุคคลที่เกี่ยวข้อง คู่มือจริยธรรมของสื่อในเครือเนชั่น หมวด ๒ ข้อ ๒.๘ เขียนว่า “ต้องไม่เสนอข่าวอย่างเลื่อนลอย ปราศจากแหล่งที่มาที่ชัดเจน ข่าวลือหรือข่าวจากแผ่นปลิว พึงระบุชื่อบุคคลที่ให้สัมภาษณ์ หรือบุคคลที่ให้ ข้อมูลอย่างเปิดเผย เว้นแต่จะมีเหตุอันควรปกปิด เพื่อสวัสดิภาพ และความปลอดภัยของแหล่งข่าว และต้อง เป็นประโยชน์ต่อสิทธิในการรับรู้ข่าวสารของสาธารณชน” ส่วนข้อ ๒.๙ เขียนว่า “ต้องปกปิดชื่อและฐานะ ของบุคคลที่ให้ข่าวไว้เป็นความลับ หากได้ให้ค�ำมั่นแก่แหล่งข่าวนั้นไว้ เช่นเดียวกับต้องปกปิดชื่อจริงของ ผู้ใช้ “นามปากกา” หรือ “นามแฝง” ในการเขียนหรือรายงานด้วย” การเปิดเผยชือ่ และฐานะของบุคคลทีใ่ ห้ขา่ ว ในบางกรณี อาจมีผลถึงสวัสดิภาพและความปลอดภัยของ เขาได้ เช่น เขาเป็นพยานส�ำคัญในคดี การเปิดเผยชื่อ อาจท�ำให้จ�ำเลยหรือฝ่ายตรงข้ามถูกปองร้ายได้ หรือใน บางกรณี การปกปิดชือ่ จะท�ำให้เขาไม่ตอ้ งเดือดร้อน กรณีทขี่ อ้ มูล ค�ำให้สมั ภาษณ์จะเป็นผลต่ออาชีพการงาน ของเขา 4.การรับของขวัญจากแหล่งข่าว แม้ว่าการรับของขวัญจากแหล่งข่าว จะเป็นสิ่งที่นักข่าวส่วนใหญ่เห็นว่า เป็นการกระท�ำที่ผิดหลัก จริยธรรม แต่กม็ ขี อ้ ถกเถียงกันว่า ของขวัญมีมลู ค่าเท่าใดควรปฏิเสธ องค์กรข่าวบางแห่ง เช่น กลุม่ เนชัน่ เขียน ชัดเจนในประมวลจริยธรรมว่า ปฏิทิน ดินสอ พวงกุญแจ เป็นของขวัญที่มีค่าทางเงินเล็กน้อย สามารถรับได้
91
จรรยาบรรณผู้สื่อข่าว เพราะการปฏิเสธอาจท�ำให้ผู้ให้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจ แต่ถ้าเป็นของขวัญที่มีราคาสูง ควรส่งคืนทันที พร้อม อธิบายถึงหลักปฏิบัติและนโยบายของบริษัทอย่างสุภาพ อย่างไรก็ตาม นักข่าวต้องใช้วิจารณญาณ และ สามัญส�ำนึกของการเป็นสื่อมวลชนที่ต้องท�ำหน้าที่เพื่อสังคมมากกว่าหวังประโยชน์ส่วนตัว คู่มือจริยธรรม ของสื่อในเครือเนชั่น หมวดที่ ๖ ว่าด้วยสิทธิพิเศษและผลประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) ข้อ ๖.๓ การรับของขวัญที่มีมูลค่า เขียนไว้ว่า ผู้สื่อข่าวไม่ควรรับของขวัญที่มีมูลค่าสูง หรือเรียก ร้องการยกเว้นค่าที่พัก หรือขอราคาพิเศษในการซื้อสินค้า หรือการใช้บริการ หรือร้องขอสิทธิพิเศษอื่นใดที่ ประชาชนทั่วไปไม่ได้รับ อย่างไรก็ดหี ากเป็นของช�ำร่วยทีแ่ จกตามงานแถลงข่าวทีม่ ลู ค่าไม่สงู เช่น พวงกุญแจ ทีใ่ ส่ดนิ สอ ปฏิทนิ และอื่นๆ อาจจะรับไว้ได้ แต่ต้องใช้วิจารณญาณและสามัญส�ำนึกของการเป็นสื่อมวลชน ที่ต้องท�ำหน้าที่เพื่อ สังคมมากกว่าหวังประโยชน์ส่วนตน 5.การไม่แสดงตัวว่าเป็นนักข่าวขณะปฏิบัติหน้าที่ หรือแสดงตัวเป็นนักข่าวเพื่อใช้อภิสิทธิ์ หลีก เลี่ยงความผิด แม้ว่าการไม่แสดงตัวว่าเป็นนักข่าว ขณะก�ำลังท�ำข่าวจะเป็นข้อยกเว้น ในกรณีที่จะต้องมีการรวบรวม ข้อมูล ข่าวสารในการท�ำข่าวเชิงสืบสอบ สอบสวน เนื่องจากการเปิดเผยตัวต่อแหล่งข่าวอาจท�ำให้ไม่ได้รับ ความร่วมมือ หรืออาจเกิดอันตรายได้ แต่ตามหลักจริยธรรมในการท�ำข่าวแล้วไม่ว่านักข่าวจะก�ำลังท�ำข่าว ลักษณะใดก็ตาม นักข่าวต้องแนะน�ำตัวเองและแจ้งถึงวัตถุประสงค์ ของการสัมภาษณ์ให้แหล่งข่าวทราบ ไม่ ควรท�ำให้แหล่งข่าวประหลาดใจว่า ท�ำไมค�ำพูดของเขาจึงไปปรากฏเป็นข่าวได้ ในอีกกรณีหนึ่ง การแสดงตัวเป็นนักข่าว เพื่อใช้อภิสิทธิ์ในการได้รับบริการสาธารณะก่อนบุคคลอื่นๆ หรือการใช้ความเป็นนักข่าวอวดอ้างหรืออาศัยต�ำแหน่งหน้าที่ เพื่อเรียกร้องสิทธิหรือผลประโยชน์ใดๆ ที่ไม่ ชอบธรรม ก็ถือว่าเป็นการกระท�ำที่ขัดกับหลักจริยธรรมด้วย 6.การขัดกันในด้านผลประโยชน์ สิทธิพิเศษและผลประโยชน์ทับซ้อน ปัญหาการท�ำข่าวโดยมีการแอบแฝงในเรื่องผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม หรือเรียกว่า ผล ประโยชน์ทับซ้อน (Conflict of Interest) มักจะถูกท้วงติงจากสังคมเรื่องความเป็นกลางในการน�ำเสนอข่าว ของนักข่าวอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการรับเชิญไปท�ำข่าวต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ตามค�ำเชิญของแหล่ง ข่าว การได้ข้อเสนอเป็นหุ้นราคาพาร์หรือหุ้นราคาถูกเป็นค่าตอบแทน การเขียนค�ำชมสินค้าหรือบริการ หรือ กรณีที่นักข่าวมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบุคคลในแวดวงต่างๆ เช่น การเมือง เศรษฐกิจ โดยการเป็นสมาชิก กรรมการ หรือผู้ถือหุ้น แนวทางในการปฏิบัติของนักข่าวในเรื่องนี้ คือ ในการรายงานข่าวหรือบทความอันสืบเนื่องจากการที่ ได้รับเชิญจากแหล่งข่าว ในการรายงานข่าวควรมีการระบุให้ชัดเจนไว้ท้ายบทความ หรือรายงานชิ้นนั้นว่า ข้อมูลมาจากที่ใด และใครเป็นผู้จัดการในการเดินทางครั้งนั้น หรือกรณีที่ได้รับมอบหมายให้ไปท�ำข่าวที่นัก ข่าวมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องด้วย บรรณาธิการอาจเปลี่ยนให้นักข่าวคนอื่นไปท�ำข่าวแทน
92
จรรยาบรรณผู้สื่อข่าว 7. ความสงสาร หรือเห็นใจในการน�ำเสนอข่าว ปัญหาอีกประการหนึง่ ทีก่ ระทบต่อจริยธรรมในการสือ่ ข่าวและเขียนข่าว คือ ความอึดอัดใจของนักข่าว กับแหล่งข่าวทีส่ นิทสนมหรือใกล้ชดิ และนักข่าวถูกขอร้องให้ปกปิดหรือไม่ให้ระบุชอื่ แหล่งข่าว ญาติมติ ร หรือ เพื่อนพ้องที่ตกเป็นข่าวเนื่องจากตายโดยผิดธรรมชาติ หรือมีการกระท�ำที่น่าละอายในการเสนอข่าว หรือขอ ให้ปิดข่าว เพราะกลัวว่าจะท�ำให้ตนเองเสื่อมเสียชื่อเสียงหรืออับอาย โดยนักข่าวเองก็รู้สึกอึดอัด และเกิด ความขัดแย้งต่อภาระหน้าทีข่ องตน ขณะเดียวกันก็กลัวว่าหากไม่กระท�ำตามทีแ่ หล่งข่าวขอร้อง ต่อไปอาจจะ ไม่ได้รับความร่วมมือในครั้งต่อไปอีก แนวทางแก้ไขคือ นักข่าวควรปรึกษากับบรรณาธิการ เพื่อให้นักข่าวคน อื่นท�ำข่าวนั้นแทน 8. การน�ำเสนอข้อมูลที่กระทบกระเทือนความมั่นคงของชาติ เศรษฐกิจ พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสาร พ.ศ.๒๕๔๐ เปิดโอกาสให้สาธารณชนเข้าตรวจสอบเอกสารราชการได้ แต่ข้อมูลความลับของราชการ หากเปิดเผยอาจมีผลต่อความมั่นคงของชาติได้ หรือการรู้ข้อมูลการลดค่าเงิน บาท และน�ำไปเผยแพร่ก่อนประกาศกระทรวงการคลัง ท�ำให้มีการใช้ข้อมูลภายในไปเป็นประโยชน์ในการ เก็งก�ำไรอัตราแลกเปลี่ยน 9. การเสนอข่าวที่พาดพิงถึงสถาบันกษัตริย์ สถาบันกษัตริยส์ ำ� หรับประเทศไทยเป็นสถาบันสูงสุดทีผ่ คู้ นให้การเคารพเทิดทูน การเสนอข่าวสารเกีย่ ว กับสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงเป็นเรื่องที่อ่อนไหวอย่างยิ่ง และส่งผลกระทบต่อจิตใจของคนในวงกว้าง การ เสนอข่าวเกีย่ วกับสถาบันพระมหากษัตริยท์ ไี่ ม่ระมัดระวัง ไม่เพียงมีผลให้ตอ้ งถูกด�ำเนินคดีตามกฎหมายเท่านัน้ หากยังน�ำมาซึ่งความแตกแยกของคนในชาติด้วย ในสถานการณ์ความขัดแย้งของคนในสังคมปัจจุบนั มักมีการน�ำเรือ่ งสถาบัน มาเป็นเครือ่ งมือโจมตีกนั เสมอ สื่อจึงพึงไม่ประมาท และใคร่ครวญก่อนเขียนว่าจะกลายเป็นสื่อในการขยายความขัดแย้ง หรือต้องรับ ผิดในข้อหาหมิ่นสถาบันหรือไม่ จริยธรรมในการสือ่ ข่าวและเขียนข่าวเป็นเรือ่ งทีน่ กั ข่าวต้องใช้วจิ ารณญาณและส�ำนึกของตนเอง ชัง่ น�ำ้ หนักระหว่างความเหมาะควร กับสิทธิเสรีภาพที่ได้รับ ด้วยเหตุว่า การกระท�ำผิดทางจริยธรรมจะไม่มีการ ก�ำหนดบทลงโทษไว้อย่างชัดเจน แต่นกั ข่าวทีไ่ ม่มจี ริยธรรมมักจะถูกต�ำหนิจากสาธารณชน และผูร้ ว่ มวิชาชีพ
10 ข้อของจรรยาบรรณนักข่าว 1.รายงานข้อมูลข่าวสารตรงตามความจริงและรอบด้าน ถือเป็นกฎเหล็กทีส่ ำ� คัญส�ำหรับนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ทงั้ หลายทีจ่ ะต้องให้ความจริงและให้ขอ้ มูลรอบ ด้าน หากทางส�ำนักยังสงสัยกับข้อมูลที่ได้รับมา ก็อย่าเพิ่งรีบน�ำเสนอ จะต้องค่อยๆตรวจสอบข้อมูลอย่าง ละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้งหนึ่งก่อน ซึ่งความจริงแล้วทางส�ำนักมีการกลั่นกรองข่าวสารที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว แต่ทว่าการกลัน่ กรองนัน้ ได้ใส่อารมณ์ของตัวเองเข้ามาด้วยหรือเปล่า ทีอ่ าจจะท�ำให้ขอ้ มูลข่าวสารนัน้ บิดเบือน 93
จรรยาบรรณผู้สื่อข่าว ก็ได้ ท�ำให้เราต้องพยายามหาข้อมูลข่าวสารให้รอบด้านเสียเองแทนที่จะให้ทางส�ำนักเขาน�ำเสนอให้กับพวก เราอย่างรอบด้าน 2.อย่าขโมยความคิดคนอื่นมาเป็นของตัวเอง ข้อมูลบางอย่างอาจจะมีต้นฉบับที่มาที่ไปอยู่บ้างว่าได้มาจากแหล่งใด ก็ขึ้นอยู่กับทางส�ำนักนั้นจะไป รายงานข่าวที่ไหน อย่างไร การที่ส�ำนักได้คัดลอกข้อมูลข่าวสารหรือความคิดจากคู่แข่งถือเป็นสิ่งที่ไม่ควร กระท�ำอย่างยิ่ง ซึ่งผู้อ่านและผู้ชมต่างก็มีสติปัญญาที่รู้มากพอว่า พวกเขาหยิบผลงานใครมาลอกเป็นของตัว เอง อย่านึกว่าจะไม่มีใครรู้นะครับ เพราะเดี๋ยวนี้ข้อมูลข่าวสารมันเผยแพร่ได้เร็วมาก 3.อย่ารายงานข้อมูลข่าวสารที่มีอคติ ไร้เหตุผล การรายงานบางครัง้ เราจะเห็นได้วา่ ส�ำนักข่าวหรือหนังสือพิมพ์ตา่ งๆมักจะไม่คอ่ ยชัง่ น�ำ้ หนักในการน�ำ เสนอข่าวมากเท่าที่ควรว่า จะมีผลกระทบที่ตามมาภายหลังอย่างไรบ้าง ทางด้านสังคมเองก็ได้รับผลกระทบ จากการน�ำเสนอข่าวสารทีม่ อี คติมากเท่าไร ก็จะท�ำให้สงั คมไม่สามารถคิด วิเคราะห์ได้มเี หตุผลมากขึน้ เท่านัน้ ทุกวันนีโ้ ลกของเราจะมีขอ้ มูลหลายด้านทีเ่ ต็มไปด้วยอคติ แต่เราก็ตอ้ งยอมรับความจริงอยูอ่ ย่างหนึง่ ว่า สังคม ของเราทีม่ คี วามขัดแย้งไม่วา่ จะเป็นเรือ่ งอะไรก็ตามแต่ ปัจจัยหลักๆก็คอื การน�ำเสนอข่าวสารพวกนีน้ นั่ แหละ 4.จะต้องมีความละอายใจหากท�ำผิดกฎจรรยาบรรณ การรายงานข่าวสารเป็นสิ่งที่ทุกๆคนให้ความสนใจและผู้คนก็สามารถตัดสินใจได้เองว่า การรายงาน ข่าวนั้นมันผิดถูกส�ำหรับผู้คนอย่างไร การรายงานจึงต้องมีวิธีท่ีไม่ท�ำให้ตัวเองได้รับความเสียหายจากการน�ำ เสนอ ไม่ว่าจะเป็นการน�ำเสนอไปในทางที่เสียหายต่ออีกฝ่ายหนึ่งอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือการเปิด เผยชื่อเหยื่อที่ได้รับควาเสียหายทางเพศ หรือตัดสินเองว่าอีกฝ่ายนั้นผิดทั้งๆที่ยังไม่มีการพิสูจน์อย่างแน่ชัด ซึ่งการกระท�ำเหล่านี้พวกเขาก็ต้องมีความละอายใจบ้าง 5.วางเป้าหมายในการน�ำเสนอข่าวสารให้ชัดเจน นักข่าว นักหนังสือพิมพ์เองล้วนมีเป้าหมายในการน�ำเสนอข่าวทุกๆส�ำนักอยู่แล้ว แต่ว่าการน�ำเสนอ ข่าวสารนั้นมีความเป็นกลางและอคติมากน้อยแค่ไหนนี่สิคือปัญหา พวกเราเองก็ไม่สามารถบอกได้ 100 เปอร์เซ็นต์หรอกว่าพวกเขาน�ำเสนอข่าวดีแค่ไหนอย่างไร อย่างเช่น การน�ำเสนอข่าวอาชญากรรมที่ออกดู เหมือนสนับสนุนฆาตกรบางราย เพราะอีกฝ่ายทีโ่ ดนฆาตกรรมกระท�ำความผิดไว้มาก ซึง่ จริงๆแล้วก็ควรทีจ่ ะ น�ำเสนอข่าวทีฆ่ าตกรกระท�ำผิดและได้รบั การลงโทษมากกว่าทีจ่ ะสะใจกับเหยือ่ ผูเ้ สียชีวติ ถือเป็นการบิดเบือน เป้าหมายการน�ำเสนออย่างสิน้ เชิง ซึง่ การน�ำเสนอจะต้องให้ความเป็นธรรมทัง้ 2 ฝ่ายให้ตอ่ สูก้ นั ทางกฎหมาย ไม่ใช่เชียร์ ยุยงส่งเสริมให้มีการฆาตกรรมมากขึ้น 6.อย่าน�ำเสนอข่าวที่มีการกีดกัน แบ่งแยกทั้งเชื้อชาติ ศาสนา ปัญหาเรือ่ งการแบ่งแยกทัง้ เชือ้ ชาติ ศาสนาถือเป็นปัญหาทีม่ คี วามผันผวนในแต่ละช่วง ทางด้านนักข่าว นักหนังสือพิมพ์เองก็ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษหากจะมีการน�ำเสนอรายละเอียดต่างๆพวกนี้ เพราะจะท�ำให้
94
จรรยาบรรณผู้สื่อข่าว ผู้คนมีอคติต่อเชื้อชาติ ศาสนาอีกฝ่ายได้ และอคติจนเกิดความรุนแรงตามมาได้ ซึ่งทางที่ดีก็คือ ทางนักข่าว นักหนังสือพิมพ์จะต้องมีการน�ำเสนออย่างไร้อคติ โดยน�ำเสนอแนวทางการแก้ไขปัญหาต่างๆเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา หรือชนกลุ่มน้อย 7.ตัดสินใจให้ดีก่อนที่จะน�ำเสนอข่าว การรายงานข่าวจะต้องมีการควบคุมการน�ำเสนออยู่เสมอ ซึ่งจะต้องมีการประเมินตัดสินใจให้ดีๆก่อ นทุกๆครั้ง อย่างเช่นในกรณีที่ละเอียดอ่อนในการน�ำเสนอเกี่ยวกับการก่อการร้าย แน่นอนว่าส่วนหนึ่งจะมี หลักศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย หากมีการน�ำเสนอว่าศาสนานั้นเหมือนกับว่ามีการสนับสนุนการก่อการร้าย จะส่งผลกระทบต่อทั้งในและนอกประเทศเป็นอย่างมาก จึงเป็นเรื่องดีที่สื่อจะต้องตัดสินใจก่อนน�ำเสนอทุกๆ ครั้ง 8.อย่าท�ำข่าวที่สักแต่ว่าสะใจฝ่ายไหนมากที่สุด ข่าวการเมืองทั่วโลกเราสังเกตได้แล้วว่า สื่อบางฉบับมักจะมีการน�ำเสนอข่าวอย่างไรให้สะใจผู้บริโภค แต่ละกลุม่ มากทีส่ ดุ ไม่วา่ จะเป็นเหตุการณ์ตา่ งๆ เรือ่ งอือ้ ฉาวและก็การให้รา้ ยแก่กนั แน่นอนว่าสือ่ เหล่านีส้ ว่ น มากก็จะมการเมืองหนุนหลังอยูด่ ว้ ยเสมอ หากเป็นไปได้จริงๆก็อยากให้ทางสือ่ เองอย่าไปอิงแอบกับการเมือง มาก แต่ควรที่จะเสนอข่าวให้รอบด้าน ซึ่งทุกวันนี้ก็มีแนวโน้มสูงมากขึ้นที่จะละเมิดหลักข้อนี้เรื่อยๆ 9.อย่าท�ำข่าวที่มีการดูหมิ่นทางเพศไปในทางที่เสียหาย ความจริงก็คือทางด้านนักข่าว นักหนังสือพิมพ์ทุกวันนี้ก็ไม่ได้มีการประเมินหรอกว่า ข้อมูลข่าวสารที่ ตัวเองเสนอมานัน้ มันผิดถูกตามหลักจรรยาบรรณยังไงบ้าง ซึง่ ส่วนมากจะมีการน�ำเสนอข่าวแล้วก็ให้ประชาชน ตัดสินใจเอาเองว่า สิง่ ทีไ่ ด้นำ� เสนอมานัน้ เป็นยังไง บางครัง้ เราก็จะเห็นว่ามีการน�ำเสนอข่าวทีเ่ ป็นประเด็นเกีย่ ว กับเรื่องเพศอยู่พอสมควร บางครั้งก็มีการให้ข่าวลักษณะเชิงดูหมิ่นอยู่บ้าง จนอาจจะกลายเป็นเรื่องปกติทาง สังคมไปแล้ว 10.อย่าท�ำข่าวที่มีวัตถุประสงค์เพื่อใส่ร้ายป้ายสี บางครั้งเราก็จะเห็นว่า มีการรายงานข่าวลักษณะใส่ร้ายป้ายสีให้แก่กัน โดยที่ไม่รับผิดต่อกฎหมาย ซึ่ง การท�ำข่าวเองก็ต้องค�ำนึงถึงข้อมูลที่ทุกๆคนได้รับด้วย ส่วนใหญ่การรายงานข่าวก็มักจะมาจากผู้ที่อยู่เบื้อง หลังในการควบคุมข้อมูลข่าวสาร หลักประเพณีวฒ ั นธรรมศาสนา และก็เรือ่ งของการเมืองแต่ละประเทศนัน้ ๆ ที่มักจะมีการพูดจาใส่ร้ายกันเสมอ
95
กฎหมายควบคุมสื่อ 96
กฎหมายสื่อมวลชน
กฎหมายสื่อมวลชน กฎหมายไทยที่ใช้ควบคุมสื่อและการแสดงความคิดเห็น
ประเภทสื่อ
กฏหมายที่เกี่ยวข้อง
วิทยุและโทรทัศน์
พ.ร.บ. การประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการ โทรทัศน์ พ.ศ. 2551 พ.ร.บ. องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และก�ำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจาย เสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553
สิ่งพิมพ์
พ.ร.บ. จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550
ภาพยนต์
พ.ร.บ. ภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551
อินเตอร์เน็ต
พ.ร.บ. ว่าด้วยการกระท�ำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550
วิทยุ และโทรทัศน์ การด�ำเนินงานทีเ่ กีย่ วกับสือ่ วิทยุและโทรทัศน์ มีกฎหมายทีเ่ กีย่ วข้อง คือ พระราชบัญญัตกิ ารประกอบ กิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 ซึง่ กฎหมายฉบับนีอ้ า้ งอิงค�ำนิยามและอ�ำนาจหลายอย่าง ไว้กบั พระราชบัญญัตอิ งค์กรจัดสรรคลืน่ ความถีแ่ ละก�ำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. 2553 หรือ พ.ร.บ.กสทช. พ.ร.บ.กสทช. ก�ำหนดบทนิยามของกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ที่อยู่ภายใต้การควบคุม ของกฎหมายนี้เอาไว้ว่า “กิจการกระจายเสียง” หมายความว่า กิจการวิทยุกระจายเสียงและกิจการกระจายเสียง ซึง่ ให้บริการ การส่งข่าวสารสาธารณะหรือรายการไปยังเครื่องรับที่สามารถรับฟังการให้บริการนั้นๆ ได้ ไม่ว่าจะส่งผ่าน ระบบคลื่นความถี่ ระบบสาย ระบบแสง ระบบแม่เหล็กไฟฟ้า หรือระบบอื่น ระบบใดระบบหนึ่ง หรือหลาย ระบบรวมกัน หรือกิจการอื่นท�ำนองเดียวกันที่ กสทช. ก�ำหนดให้เป็นกิจการกระจายเสียง
97
กฎหมายสื่อมวลชน “กิจการโทรทัศน์” หมายความว่า กิจการวิทยุโทรทัศน์และกิจการโทรทัศน์ ซึง่ ให้บริการการส่งข่าวสาร สาธารณะหรือรายการไปยังเครือ่ งรับที่สามารถรับชมและฟังการให้บริการนั้นๆ ได้ ไม่วา่ จะส่งโดยผ่านระบบ คลื่นความถี่ ระบบสาย ระบบแสง ระบบแม่เหล็กไฟฟ้า หรือระบบอื่น ระบบใดระบบหนึ่ง หรือหลายระบบ รวมกัน หรือกิจการอื่นท�ำนองเดียวกันที่ กสทช. ก�ำหนดให้เป็นกิจการโทรทัศน์ และยังมีกฎหมายทีเ่ กีย่ วข้องอีกฉบับหนึง่ คือ พระราชบัญญัตวิ ทิ ยุคมนาคม พ.ศ. 2498 ซึง่ เป็นกฎหมาย เก่าที่ยังมีผลบังคับใช้อยู่ และบางครั้งก็ถูกน�ำมาใช้เพื่อเอาผิดกับผู้ที่ใช้สื่อคลื่นวิทยุส่งข้อมูลข่าวสารโดยไม่ได้ รับใบอนุญาตตามกฎหมาย สิ่งพิมพ์ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสื่อสิ่งพิมพ์ในประเทศไทย คือ พระราชบัญญัติจดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ. 2550 ซึ่ง เป็นกฎหมายที่ดูแลครอบคลุมสื่อสิ่งพิมพ์ทุกชนิด โดยบทนิยามก�ำหนดความหมายของสิ่งพิมพ์ที่ตกอยู่ภาย ใต้กฎหมายนี้ว่า “พิมพ์” หมายความว่า ท�ำให้ปรากฏด้วยตัวอักษร รูปรอย ตัวเลข แผนผังหรือภาพ “สิ่งพิมพ์” หมายความว่า สมุด หนังสือ แผ่นกระดาษ หรือวัตถุใดๆ ที่พิมพ์ขึ้นเป็นหลายส�ำเนา แต่มีสิ่งพิมพ์บางประเภทที่ไม่รวมอยู่ในความควบคุมของกฎหมายฉบับนี้ ตามที่ก�ำหนดในมาตรา 5 มาตรา 5 พระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับกับสิ่งพิมพ์ ดังต่อไปนี้ คือ (1) สิ่งพิมพ์ของส่วนราชการ หรือหน่วยงานของรัฐ (2) บัตร บัตรอวยพร ตราสาร แบบพิมพ์ และรายงานซึ่งใช้กันตามปกติในการส่วนตัว การสังคม การเมือง การค้า หรือสิ่งพิมพ์ที่มีอายุการใช้งานสั้น เช่น แผ่นพับหรือแผ่นโฆษณา (3) สมุดบันทึก สมุดแบบฝึกหัด หรือสมุดภาพระบายสี (4) วิทยานิพนธ์ เอกสารค�ำบรรยาย หลักสูตรการเรียนการสอน หรือสิ่งพิมพ์อื่นท�ำนองเดียวกันที่เผย แพร่ในสถานศึกษา ภาพยนตร์ พระราชบัญญัตภิ าพยนตร์และวีดทิ ศั น์ พ.ศ.2551 เป็นกฎหมายทีค่ รอบคลุมถึงภาพยนตร์และวีดทิ ศั น์ โดยในบทนิยามก�ำหนดความหมายของภาพยนตร์และวีดิทัศน์ที่จะต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายนี้ว่า “ภาพยนตร์” หมายความว่า วัสดุที่มีการบันทึกภาพ หรือภาพและเสียงซึ่งสามารถน�ำมาฉายให้เห็น เป็นภาพที่เคลื่อนไหวได้อย่างต่อเนื่อง แต่ไม่รวมถึงวีดิทัศน์ “วีดิทัศน์” หมายความว่า วัสดุที่มีการบันทึกภาพ หรือภาพและเสียงซึ่งสามารถน�ำมาฉายให้เห็นเป็น ภาพทีเ่ คลือ่ นไหวได้อย่างต่อเนือ่ ง ในลักษณะทีเ่ ป็นเกมการเล่น คาราโอเกะทีม่ ภี าพประกอบ หรือลักษณะอืน่ ใดตามที่ก�ำหนดในกฎกระทรวง การปิดกั้นหรือการสั่งแบนภาพยนตร์ จะต้องอ้างอิง “กฎกระทรวงก�ำหนดลักษณะของประเภท ภาพยนตร์ พ.ศ. 2552” ซึ่งก�ำหนดลักษณะภาพยนตร์ที่เข้าข่ายอาจถูกสั่งให้เป็นภาพยนตร์ประเภทห้ามฉาย ในราชอาณาจักร หรือลักษณะของภาพยนตร์ที่อาจถูกก�ำหนดให้เป็นภาพยนตร์ประเภทต่างๆ ไว้ด้วย
98
กฎหมายสื่อมวลชน พระราชบัญญัติภาพยนตร์และวีดิทัศน์ พ.ศ. 2551 ต่างจากกฎหมายที่ควบคุมสื่อประเภทอื่น เพราะ ก�ำหนดให้เป็นหน้าทีข่ องผูส้ ร้างภาพยนตร์ทจี่ ะต้องส่งภาพยนตร์ให้คณะกรรมการตรวจพิจารณาก่อนน�ำออก ฉาย แต่กฎหมายที่ควบคุมสื่อประเภทอื่นไม่ได้ก�ำหนดหน้าที่เช่นนี้ เพียงแค่ก�ำหนดโทษของผู้ที่ฝ่าฝืนหากมี การเผยแพร่สื่อที่มีเนื้อหาขัดต่อกฎหมายออกไปแล้ว และให้อ�ำนาจเจ้าหน้าที่รัฐในการสั่งปิดกั้นในภายหลัง อินเทอร์เน็ต กฎหมายที่เกี่ยวข้อง คือ พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระท�ำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 ซึง่ เป็นกฎหมายทีด่ แู ลครอบคลุมการใช้งานคอมพิวเตอร์ทกุ ประเภท โดยในบทนิยามก�ำหนดความหมายของ ระบบคอมพิวเตอร์ที่จะต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายนี้ว่า “ระบบคอมพิวเตอร์” หมายความว่า อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมการท�ำงานเข้า ด้วยกัน โดยได้มีการก�ำหนดค�ำสั่ง ชุดค�ำสั่ง หรือสิ่งอื่นใด และแนวทางปฏิบัติงานให้อุปกรณ์หรือชุดอุปกรณ์ ท�ำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลโดยอัตโนมัติ “ข้อมูลคอมพิวเตอร์” หมายความว่า ข้อมูล ข้อความ ค�ำสัง่ ชุดค�ำสัง่ หรือสิง่ อืน่ ใดบรรดาทีอ่ ยูใ่ นระบบ คอมพิวเตอร์ในสภาพที่ระบบคอมพิวเตอร์อาจประมวลผลได้ และให้หมายความรวมถึงข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ตามกฎหมายว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ด้วย อาจอธิบายจากค�ำนิยามได้วา่ กฎหมายฉบับนีจ้ ะเข้ามาควบคุมดูแลการใช้งานอุปกรณ์ทกุ อย่างทีท่ ำ� งาน ด้วยชุดค�ำสั่ง ไม่ว่าจะเป็น เครื่องคอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ไอแพด แท็บเล็ต ฯลฯ รวมทั้งอุปกรณ์ อิเล็กทรอนิกส์บางอย่าง เช่น โทรทัศน์ วิทยุ โทรศัพท์บ้าน ฯลฯ ที่อาจท�ำงานด้วยการใส่ชุดค�ำสั่งด้วย และ การกระท�ำที่เป็นการใส่ชุดค�ำสั่งใดๆ ลงในคอมพิวเตอร์ย่อมอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับนี้ทั้งหมด กฎหมายอื่นๆ นอกจากพระราชบัญญัติที่ออกมาเพื่อควบคุมสื่อแต่ละชนิดโดยตรงแล้ว ยังมีกฎหมายอื่นที่ให้อ�ำนาจ รัฐปิดกั้นและควบคุมสื่อได้ โดยเฉพาะกฎหมายที่ให้อ�ำนาจรัฐในภาวะที่บ้านเมืองมีสถานการณ์ไม่ปกติ เช่น ตกอยู่ในภาวะฉุกเฉิน หรือภาวะสงคราม ตัวอย่างเช่น พระราชก�ำหนด การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 ก�ำหนดไว้ว่า “มาตรา 9 ในกรณีที่มีความจ�ำเป็นเพื่อแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินให้ยุติลงได้โดยเร็ว หรือป้องกันมิให้ เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงมากขึ้น ให้นายกรัฐมนตรีมีอ�ำนาจออกข้อก�ำหนด ดังต่อไปนี้... (3) ห้ามการเสนอข่าว การจ�ำหน่าย หรือท�ำให้แพร่หลายซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หรือสื่ออื่นใดที่มีข้อความ อันอาจท�ำให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัวหรือเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารท�ำให้เกิดความเข้าใจผิดใน สถานการณ์ฉกุ เฉินจนกระทบต่อความมัน่ คงของรัฐ หรือความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั้งในเขตพื้นที่ที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินหรือทั่วราชอาณาจักร” “มาตรา 11 ในกรณีที่สถานการณ์ฉุกเฉินมีการก่อการร้าย การใช้ก�ำลังประทุษร้ายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สิน หรือมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการกระท�ำที่มีความรุนแรงกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ความ ปลอดภัยในชีวิตหรือทรัพย์สินของรัฐหรือบุคคล และมีความจ�ำเป็นที่จะต้องเร่งแก้ไขปัญหาให้ยุติได้อย่างมี ประสิทธิภาพและทันท่วงที ให้นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรีมีอ�ำนาจประกาศให้
99
กฎหมายสื่อมวลชน สถานการณ์ฉุกเฉินนั้นเป็นสถานการณ์ที่มีความร้ายแรง และให้น�ำความในมาตรา 5 และมาตรา 6 วรรคสอง มาใช้บังคับโดยอนุโลม เมื่อมีประกาศตามวรรคหนึ่งแล้ว นอกจากอ�ำนาจตามมาตรา 7 มาตรา 8 มาตรา 9 และมาตรา 10 ให้ นายกรัฐมนตรีมีอ�ำนาจดังต่อไปนี้ด้วย... ...(5) ประกาศให้พนักงานเจ้าหน้าที่มีอ�ำนาจออกค�ำสั่งตรวจสอบจดหมาย หนังสือ สิ่งพิมพ์ โทรเลข โทรศัพท์ หรือการสื่อสารด้วยวิธีการอื่นใด ตลอดจนการสั่งระงับหรือยับยั้งการติดต่อหรือการสื่อสารใด เพื่อ ป้องกันหรือระงับเหตุการณ์รา้ ยแรง โดยต้องปฏิบตั ติ ามหลักเกณฑ์ทกี่ ำ� หนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยการสอบสวน คดีพิเศษโดยอนุโลม (6) ประกาศห้ามมิให้กระท�ำการใดๆ หรือสั่งให้กระท�ำการใดๆ เท่าที่จ�ำเป็นแก่การรักษาความมั่นคง ของรัฐ ความปลอดภัยของประเทศ หรือความปลอดภัยของประชาชน” พระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ. 2457 ก�ำหนดไว้ว่า “มาตรา 11 การห้ามนั้น ให้มีอ�ำนาจที่จะห้ามได้ดังนี้... (2) ที่จะห้ามออก จ�ำหน่าย จ่ายหรือแจก ซึ่งหนังสือ สิ่งพิมพ์ หนังสือพิมพ์ ภาพบทหรือค�ำประพันธ์ (3) ที่จะห้ามโฆษณา แสดงมหรสพ รับหรือส่งซึ่งวิทยุ วิทยุกระจายเสียง หรือวิทยุโทรทัศน์”
100
สัมภาษณ์คนท�ำข่าว 101
สัมภาษณ์คนท�ำข่าว
คุณ สมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์ บรรณาธิการข่าวการเมือง ส�ำนักข่าวเนชั่น 1.การรายงานข่าวผ่านโซเชียลมีเดียมีผลตอบรับกลับมามากน้อยแค่ไหน อย่างไร ตัวที่จะชี้ได้ว่าเป็น Feedback ส�ำหรับพี่นะ ส่วนใหญ่พี่จะทวิตเรื่องการเมืองอย่างแรกพี่ว่าดูจากคนที่ มาฟอลโล่เรา ผลตอบรับมาก็โอเคนะ การทวิตเรื่องการเมืองของพี่ก็เน้นอ่านง่าย เพราะว่าสถานการณ์ต่าง ๆ ช่วงนี้ คนเสพข่าวการเมืองกันเยอะ พี่ก็ต้องทวิตให้อ่านแล้วเข้าใจง่าย ต่อไปคือดูจากการ Retweet พี่จะ พยายามทวิตข่าวสารที่เป็นเนื้อหาข้อมูลที่เป็นจริง ประมาณเที่ยงคืนพี่จะมีเวลาทวิตรายละเอียดข่าวแต่ละ วันลงไป คนก็จะ Retweet กันเยอะมาก คือไม่ว่าจะดึกแค่ไหนคนก็ยังคงสนใจและติดตามอยู่ ยอมรับว่า Feedback คนค่อนข้างให้การยอมรับเยอะมาก เพราะพี่ท�ำงานวงการข่าวมากว่า 4 ปีแล้ว แต่ก็มีกรณีที่เป็น ฝ่ายเสื้อแดงหรือฝ่ายนั่นนี่มากโพสในลักษณะที่รุนแรงหรือว่าก็ค่อนข้างเยอะเหมือนกัน 2.การรายงานข่าวที่มีการแสดงความคิดเห็น หรือวิพากษ์วิจารณ์ในสถานการณ์ต่างๆ ลงไป คุณ คิดว่าเป็นการโน้มน้าวประชาชนหรือไม่ อย่างไร อันนี้เกี่ยวกับการเป็น Gatekeeper ด้วย เช่น เรื่องนิรโทษกรรม เราก็พยายามอธิบายความไป เรียก ว่าเป็นการอยากกระตุกให้ประชาชนได้คิดมากกว่า อาจจะมีส่วนของการวิพากษ์วิจารณ์หรือวิเคราะห์ลงไป บ้าง การที่เราทวิตลงไปเราก็อยากให้คนเข้าใจกราก็ต้องเขียนให้เข้าใจง่าย การที่จะใส่ความเห็นลงไปนั้นเราก็ ต้องหาข้อมูลก่อน ไม่ใช่ใส่ความเห็นส่วนตัวลงไปเฉยๆ กรณีที่เราต้องใส่ความเห็นลงไปพี่ก็จะใส่วงเล็บเพื่อ บอกให้ประชาชนทราบไปเลย ถามว่ามีผลกระทบมัย้ ก็มพี อสมควร เพราะข่าวหลายข่าวต้องหาข้อมูลประกอบ ก่อน แล้วมาทวิตเพื่ออธิบายให้ประชาชนเข้าใจมากขึ้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับคนที่ติดตามเรา 3.คุณมีหลักเกณฑ์อย่างไร ในการรายงานข่าวผ่านโซเชียลมีเดีย ส�ำคัญมากๆ ก็คือต้องรายงานข้อมูลที่ถูกต้องที่สุด ถ้าข้อมูลที่รายงานไปเกิดผิดพลาดก็ต้องรีบลบและ แก้ไขใหม่ให้เร็วที่สุด แต่หากลบไม่ทันก็ต้องรีบบอกไปว่าเปลี่ยนข้อมูลนะ ทวิตช้าไม่เป็นไรแต่ข้อมูลต้องถูก ต้องที่สุด ซึ่งในสถานการณ์บ้านเมืองเรามีความแตกแยกอยู่ด้วย พี่ก็จะพยายามแนะให้คุยกันมากกว่าไม่ยา ยามทวิตในสิ่งที่จะก่อให้เกิดการแตกแยกเพิ่มขึ้น
102
สัมภาษณ์คนท�ำข่าว 4.คุณคิดว่าทวิตเตอร์มีอิทธิพลต่อคนในสังคมหรือไม่ อย่างไร มีผล การที่เราน�ำเสนอหรือทวิตข่าวลงไปนั้น ส่งผลต่อการรับรู้ของประชาชนที่ติดตามเรา แล้วน�ำมา ต่อคนในสังคม เช่น กรณีล่าสุดที่ประเทศไทยถูกลักหลับ พี่ก็ใช้ค�ำนี้ทวิตลงไป ตอนแรกพี่ก็คิดแล้วคิดอีกนะ ว่าใช้ค�ำแรงเกินไปหรือเปล่า หรือกลัวผู้คนจะเข้าใจว่าไม่เหมาะสม แต่พอมีกระแสออกมาในสื่อหลายสื่อก็ใช้ ค�ำนี้เช่นกัน จนเป็นสิ่งที่ผู้คนรับรู้โดยทั่วกัน เรื่องประเทศไทยโดนลักหลับ ซึ่งจริง ๆ แล้วพอถึงจุด ๆ หนึ่งเรา ก็ต้องใส่ความเห็นลงไปบ้าง 5. ความผิดพลาดในการรายงานข่าวของพลเมืองมีผลกระทบต่อการรับรู้ของประชาชนหรือไม่ อย่างไร มีผลอยูแ่ ล้ว เพราะข่าวทีผ่ า่ นโลกโซเชีย่ ลนัน้ ค่อนข้างรวดเร็ว ไม่ได้มกี ารตรวจสอบทีล่ ะเอียดถีถ่ ว้ น แพร่ เร็ว ท�ำให้ประชาชนเข้าใจในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง คนส่วนใหญ่จะคิดน้อย ไม่รอบคอบรอบด้าน เน้นการทวิตเร็วเป็น หลัก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นพี่ก็ไม่ได้โฟกัสว่าต้องเป็นนักข่าวพลเมืองเท่านั้น หมายถึงการรายงานข่าวของคนทุกคน ด้วย
103
สัมภาษณ์คนท�ำข่าว
คุณอศินา พรวศิน บรรณาธิการ Socail Media Nation 1.การรายงานข่าวผ่านโซเชียลมีเดียมีผลตอบรับกลับมามากน้อยแค่ไหน อย่างไร ตอบรับมาก ถ้าข่าวนั้นสะท้อนมุมมองที่สุดโต่งของขั้วการเมืองด้านใดด้านหนึ่งอย่างชัดเจน 2.คุณมีหลักเกณฑ์อย่างไร ในการรายงานข่าวผ่านโซเชียลมีเดีย หากเป็นข่าวเรือ่ งข้อเท็จจริงจะต้องมีแหล่งอ้างอิงทีม่ าชัดเจนถึงจะท�ำการรายงานข่าว แต่ถา้ เป็นทัศนะ ของคนทีท่ วิต จะท�ำการรีทวิตทันที และใส่ความคิดเห็นต่อในทวิตถัดไปว่ามีความเห็นเห็นอย่างไรต่อประเด็น นั้นๆ 3.นักข่าววิชาชีพกับนักข่าวพลเมืองสามารถท�ำงานร่วมกันได้หรือไม่ ถ้าถามว่านักข่าวพลเมืองคตอนนี้มีเยอะ พี่ว่ามันก็เกิดจากการที่มีSocial mediaเยอะ ถูกไหมค่ะ แล้ว ก็ ค นเนี่ ย เข้ า ถึ ง สื่ อ ต่ า งๆเหล่ า นี้ ค ่ อ นข้ า งที่ จ ะง่ า ยและเร็ ว ในบางครั้ ง ที่ พี่ เ ห็ น การใช้ S ocial mediaของหลายๆคนเนี่ย มีการให้ข้อมูลจากงานของตัวเอง ประสบการณ์ของตัวเอง งานของตัวเอง ที่เกี่ยวข้อง ในสายงานเช่น โทรคมนาคม ด้านเศรษฐกิจ หรืออะไรอย่างเนี้ย ซึ่งเค้ามีความเชี่ยวชาญอยู่เป็นอาชีพเค้าอยู่ เนี่ย พี่ว่ามองว่าอย่างเนี้ยก็ถือว่าเป็นนักข่าวพลเมือง การใช้ทวิสเตอร์หรือSocial mediaก็เป็นลักษณะของนั กข่าวพลเมืองได้อีกแบบนึงก็คือสามารถให้ข้อมูลได้และก็เป็นข้อมูลที่ถ้าข้อมูลนั้นเรารู้จักรู้blackgroundก็ เป็นการให้ขอ้ มูลทีค่ อ่ นข้างแม่นย ากว่า นีก่ ถ็ อื ว่าก็เป็นข่าว ข้อมูลทีน่ า่ เชือ่ ถือได้ หรืออย่างบางครัง้ เนีย่ จะเห็น ได้ว่าก็จะมีข่าวนะว่า กกต.คุณสมชัยเนี่ยเค้าไม่ค่อยให้สัมภาษณ์แต่เค้าจะให้ข้อมูลผ่านSocial media ถาม ว่าลักษณะนีก้ เ็ ป็นการให้ขา่ วเกิดขึน้ ไหม ใช่เพราะว่าบุคคลทีใ่ ห้ขา่ วนัน้ ก็ถอื ว่ามีต าแหน่งและหลายๆครัง้ บุคคล ที่มีต าแหน่งเหล่านี้เนี่ยก็มักจะใช้ช่องทางSocial mediaมากมายหลายคน ก็เหมือนกับเป็นช่องทางนักข่าว พลเมืองที่จะใช้ช่องทางSocial mediaในการท างานและบางครั้งก็สามารถเชี่ยมโยงไปกับทีวีได้ ทีวีอาจจะ แบบว่าต่อยอดสัมภาษณ์คนทีเ่ กีย่ วข้องเช่น เหตุการณ์มคี นถ่ายคลิปเหตุการณ์ความรุนแรงทีม่ หาวิทยาลัยราม ค าแหงมีคลิปถ่ายได้ ลักษณะนี้ก็ถือเป็นเข้าข่ายของนักข่าวพลเมืองได้เหมือนกันนะ
104
สัมภาษณ์คนท�ำข่าว 4.การเลือกใช้ข่าวหรือการตรวจสอบข่าวของนักข่าวผลเมืองท�ำได้อย่างไร ตรวจสอบข่าวหรอ 1.เราก็ต้องรู้ว่าคนที่ไปท าข่าวนั้นอ่ะ มีblackgroundอย่างไรและก็ต้องดูเนื้อหา ข่าวที่มาเสนอเช่น สมมุตินะค่ะเมื่อกี้ที่พี่ยกตัวอย่างเรื่องที่หน้ารามค าแหงถ้ามี1คนถ่ายได้แล้วบังเอิญว่าเรา ทราบว่าเค้าอยู่ในพื้นที่ นักข่าวก็จะสัมภาษณ์เค้าในเบื้องต้นแล้วก็สัมภาษณ์เค้าคนเดียวก็คงไม่พอ เค้าก็จะมี หลักฐานที่ค่อนข้างชัดเจนก็คือคลิปถูกไหมค่ะ ว่าโอเคเราเห็นแล้วแหละว่าเกิดไรขึ้นแต่จุดอื่นๆที่นอกเหนือ จากคลิปทีม่ นั อาจจะมีมมุ อืน่ ๆทีเ่ ค้าไม่ได้เก็บนัน่ หมายความว่าเราเอาเสียงเราไปสัมภาษณ์เค้า เราได้คลิป เรา อาจสัมภาษณ์คนที่อยู่โดยรอบ วันนั้นอยู่ในเหตุการณ์หรือป่าว เห็นหรือป่าวว่าคนนี้ท าอะไร คนอื่นอาจจะ ยืนยันได้ว่าภาพที่ออกมานั้นอ่ะมันตรงกับคลิปนั้นจริงๆ ใช่เหตุการณ์นั้นจริงๆ ข้อมูลที่เค้าให้มันมีความถูก ต้อง เช่นสมมติพี่ได้ข้อมูลจากคนที่ถ่ายคลิปและพี่ก็ไปถามคนโดยรอบแล้วข้อมูลจากคนโดยรอบเนี่ยมันเป็น ทางเดียวกันข้อมูลมันก็มีความน่าเชื่อถือ แต่ข้อ1เราก็ต้องรู้ว่าคนที่เราไปสัมภาษณ์เนี่ย แน่นอนว่าเหคุการณ์ มันเป็นเรือ่ งของ2สีเราก็ตอ้ งรูจ้ กั สังเกตว่าความคิดแนวความคิดของเค้าเนีย่ คืออยูฝ่ ง่ั ไหน ถ้าเค้าอยูฝ่ ง่ั ข้างแดง หรือเหลืองมากไปเนี่ยเวลาเค้าพูดไรออกมาเนี่ยเราก็ต้องประมวลด้วยเหมือนกันว่าเอ๊ะข้อมูลนี้จะถูกไหม ก็ คือเค้าพูดอะไรออกมาสิ่งส าคัญก็คือต้อง ต้องไปถามเพิ่มเติมจากคนที่อยู่ในเหตุการณ์ใกล้เคียง ว่าเห็นอะไร บ้าง พยานในเหตุการณ์หลายๆฝ่ายเพื่อจะมายืนยันว่า โอเคถึงแม้ว่าเค้าจะเป็นคนเสื้อแดงแต่เค้าอาจจะพูด ข้อมูลที่เป็นจริงก็ได้ ที่เกิดเหตุการณ์ หรือคนเสื้อแดงคนนั้นเห็นเฉพาะเหตุการณ์ตรงนั้นแต่ไม่เห็นตรงอื่น ซึ่ง มันก็ท าให้ข้อมูลมันเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นมันอยู่ที่ตัวของคนที่เป็นนักข่าวพลเมืองที่เราสามารถจะเช็คต่อไป ได้ว่าคุณ ไม่ใช่ว่าคนที่ส่งคลิปมาให้พี่แล้วพี่ออกอากาศแล้วจบก็คงไม่ใช่ ถ้าเราได้ตรวจสอบคนส่งว่าใครเป็น คนถ่าย คนให้ขอ้ มูล และเราก็ตอ้ งตรวจสอบต่อไปว่าพืน้ ทีน่ นั้ อ่ะมีผทู้ อี่ ยูโ่ ดยรอบเนีย่ มีขอ้ มูลไปในทางเดียวกัน หรือป่าวเราจะได้ยืนยันว่า โอเคข้อมูลของคนเนี้ยถูกต้องหรือเอาข้อมูลนี้ เอาภาพนี้ไปให้นักวิชาการหรือให้ต ารวจหรือให้คนที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องตรวจสอบความถูกต้อง หลังจากนั้นคือเราก็ต้องพยายามที่จะเราก็ไม่ใช่ว่า เราจะไปเชื่อนักข่าวพลเมืองเลย ยกเว้นถ้ากรณีที่นักข่าวนั้นท าข่าวส่งมาให้กับสถานีบ่อยๆแล้วเรารู้ว่าเค้า มีblackgroundอย่างไร มีความคิดทางการเมือง หรือ ไม่ได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือ หรือ เป็นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งที่เรา มั่นใจ แต่ถึงมั่นใจอย่างไร ก็ต้องเช็คตลอดเวลาเพราะว่าเราก็ไม่ม่ันใจว่าไอ้สิ่งที่เราเคยมั่นใจมาแล้วมันจะถูก ต้องทุกครัง้ การท าข่าวสิง่ ส�ำคัญก็คอื ก็ตอ้ งตรวจสอบข้อมูลกลับไปกลับมาอยูต่ ลอดเวลาเพือ่ ให้ถกู ต้องชัดเจน ที่สุดเพื่อให้เราได้ข่าวที่มั่นใจว่าเราไม่บิดเบียนเราจะไม่ถูกตรวจสอบจากหน่วยงานอื่นๆเราจะไม่ถูกฟ้องร้อง ว่าเราไม่มีจริยธรรมในการท�ำงานอะไรประมาณนี้ค่ะ 4.สามารถควบคุมนักข่าวพลเมืองได้หรือไม่ นักข่าวไม่สามารถ ไปควบคุมเขาได้ เพียงแต่เสนอมุมมอง เกี่ยวกับบทบาทของนักข่าวพลเมืองในยุค social media และข้อเสนอแนะในการเสพข่าวจาก social media
105
สัมภาษณ์นักข่าวพลเมือง ปลายปี2554 ที่ผ่านมา “เดชชาติ” ลองใช้แอคเคา นท์ทวิตเตอร์ @motorcyrubjang (มอเตอร์ไซด์ รับจ้าง) ทวิต “หางาน” วิ่งมอเตอร์ไซด์รับส่ง เอกสารทัว่ ราชอาณาจักร พร้อมทวิตเบอร์ตดิ ต่อ เรียกใช้งานไว้ในไทม์ไลน์
คุณเดชชาติ พวงเกษ นักข่าวพลเมือง
“เริ่มจากผมเล่นอินเทอเน็ตบ่อยๆ เล่นทวิตเตอร์มาพักใหญ่ ก็คิดว่าเราน่าจะใช้โปรโมทได้ว่ารับส่ง เอกสาร เพราะทวิตเตอร์อพั เดทข่าวคราว ใครนัง่ ออฟฟิศ ขาดเมสเสจเจอร์ ผมก็คดิ ว่าลองใช้ทวิตแนะน�ำ ดีกว่าจะมาเล่นธรรมดาที่มันไร้สาระไป ก็เลยลองทวิตรับส่งถ่ายเอกสาร”เดชชาติอธิบาย ในโพรไฟล์ของเขา ปรากฎภาพของตัวเองในชุดเสื้อวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างสีส้ม ระบุว่า “รับส่งเอกสาร งานด่วน เก็บเช็ควางบิล messenger service” พร้อมด้วยเบอร์โทรศัพท์มือถือพ่วงท้าย “พอทวิตไประยะหนึ่งเริ่มเห็นผล มีคนโทรเข้ามาจ้างงาน แต่ไม่ได้เยอะ แต่จะมีเรื่อยๆอยู่แทบทุก วันจากทวิตเตอร์ ไม่ว่าจะส่งของ ส่งเอกสาร รับจ่ายภาษี ค่าน�้ำ ค่าไฟ”เขาพูดอย่างอารมณ์ดี แต่ใช่ว่าใครจะสมัครทวิตเตอร์แล้วจะได้รับการตอบรับกับธุรกิจได้รวดเร็ว เมื่อ “เดชชาติ” ไม่ได้เป็น เซเลบริตี้มาจากไหน ทุกอย่างจึงต้องมีเวลาในการพิสูจน์ตัวเอง ล�ำพังการโฆษณาแนะน�ำตัวบนโซเชียลมีเดีย ผ่านทวิตเตอร์เพียงเท่านี้ ไม่อาจท�ำให้คนเชื่อมั่น หรือใครจะมาเห็น หรือรู้จักและโทรมาจ้างงานมอเตอร์ไซด์ วัย 39 ปี คนนี้ผ่านทวิตเตอร์แน่ๆ แต่จุดเด่นของ “เดชชาติ” เขาเป็นคนสนใจเทคโนโลยีมีเวลาว่างก็จะเข้าอินเทอเน็ตอ่านเรื่องราวต่างๆ ไปจนถึงลงมือเขียนบล็อค เป็นบล็อคเกอร์อยู่หลายปี ทั้งยังเข้าไปเป็นสมาชิกเว็บบอร์ด สิ่งต่างๆที่ท�ำมา 5-6 ปี กลายเป็นพื้นฐานแข็งแกร่งให้หนุ่มมอเตอร์ไซด์รับจ้างคนนี้ใช้ทวิตเตอร์ได้คล่องแคล่ว เข้าใจธรรมชาติผู้คน บนโลกออนไลน์ ทวิตเตอร์ของเขาจึงเต็มไปด้วยสีสันของมอเตอร์ไซด์รับจ้างผู้ขี่รถส่งคนส่งเอกสารพบเจอเหตุการณ์น่า สนใจบนท้องถนนก็จะใช้สมาร์ทโฟนที่มีถ่ายภาพเหล่านั้นและรายงานขึ้นทวิตเตอร์ บางเรื่องราวและภาพถูก รีทวิต Retweet (การกดแชร์) ถูกน�ำไปส่งต่อเผยแพร่ ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุบนท้องถนน หรือการรายงาน สภาพการจราจรที่เขาขับขี่ ไปจนถึงเรื่องราว การเดินทางวิ่งรถทั่วกรุงเทพฯของมอเตอร์ไซด์คนนี้
106
แน่นอนว่าเมือ่ ทวิตเตอร์ ทีช่ อื่ “มอเตอร์ไซด์รบั จ้าง” มีเรือ่ งราวน่าสนใจ ความเป็นไป เคลือ่ นไหวต่างๆ บนท้องถนนทีเ่ ขาได้พบเจอมาอยูบ่ นไทม์ไลน์ จ�ำนวนคนติดตามเขาบนทวิตเตอร์ หรือฟอลโลว์เวอร์ (Follower) ก็ค่อยๆเข้ามาเพิ่มขึ้นทีละเล็กละน้อยไปเรื่อยๆ จนวันนี้ มอเตอร์ไซด์รับจ้างธรรมดา ไม่ได้เป็นคนเด่นคน ดัง ไม่ได้เป็นผู้สื่อข่าว แต่มีจิตใจเชิงนักข่าวพลเมือง มีจ�ำนวนผู้ติดตามในตัวเลขที่น่าสนใจไม่น้อยกว่า 1,300 กว่าแอคเคานท์ “ผมว่าได้ประโยชน์หลายอย่างเล่นทวิตเตอร์แล้วได้งานเราด้วย ได้แชร์สงิ่ ต่างๆให้กบั สังคม เราเจอ เหตุการณ์รถชน อุบัติเหตุ ก็ทวีตได้ แล้วก็เล่าเรื่องงานขับรถมอเตอร์ไซด์รับจ้างของผมได้ด้วย” เพราะไม่ใช่เพียงโฆษณาขายของ แต่การมี “จุดเด่น” ในทวิตเตอร์ในฐานะ “ผู้รายงานข่าวสาร” ท�ำให้ “เดชชาติ” มีตัวตนและสร้างความน่าเชื่อถือได้บนโลกออนไลน์ ส่งผลให้ธุรกิจมอเตอร์ไซด์รับจ้างบนทวิตเต อร์ค่อยๆสร้างความเชื่อมั่น เพราะผู้คนในออนไลน์สัมผัสตัวตนได้ ผลทีต่ ามมาคือ “เดชชาติ” มีชมุ ชนเล็กๆของตัวเอง มีงานวิง่ รถเพิ่มขึ้นจากแค่นงั่ รองานอยู่ทวี่ นิ รถ เขา สามารถใช้ประโยชน์จากทวิตเตอร์สร้างโอกาสและรายได้จากผู้ติดตามในทวิตเตอร์ที่เข้ามาด้วยกระแสปาก ต่อปากและกลยุทธ์รีทวีตไปยังคนอื่นๆ นอกเหนือจากวันปกติทั่วไปวันวาเลนไทน์เป็นอีกวันที่ชายมอเตอร์รับจ้างออนไลน์ได้ช่วย “ส่งความ สุข” ให้ผู้คนในทวิตเตอร์ ข้อความในไทม์ไลน์ทวิตเตอร์ของ “เดชชาติ” ที่ว่า วาเลนไทน์นี้หากท่านติดภารกิจไม่สามารถส่งดอก ไม้ให้คนรักได้ดว้ ยตัวเองโทรหาผมสิครับ บริการส่งดอกไม้วาเลนไทน์ถงึ มือคนทีค่ ณ ุ รัก กลายเป็นจุดสนใจของ คนในโลกออนไลน์
ภาพเด็ดที่หนุ่มมอเตอร์ไซด์รับจ้างถ่ายไว้ได้ก่อนใครในที่เกิดเหตุและทวิตบนทวิตเตอร์ของเขาอย่างรวดเร็ว
107
สิ่งที่ได้จากการศึกษา 108
บทสรุป
บทสรุป ในสังคมปัจจุบนั นัน้ เปรียบได้วา่ การสือ่ สารบนโลกออนไลน์มอี ตั ราการใช้งานเพิม่ ขึน้ เรือ่ ย ๆ สังเกตได้ จากจ�ำนวนของผู้ใช้งานเว็บไซต์สังคมออนไลน์เฟซบุ๊ค (Facebook) ที่มีผู้ใช้งานเกินกว่า 800 ล้านคนทั่วโลก ทวิตเตอร์ (Twitter) มีผู้ใช้งานมากกว่า250 ล้านคนทั่วโลก และเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาก้าวหน้าขึ้น ส่งผลให้ เกิดเครื่องมือสื่อสารที่ทันสมัยมากขึ้น อาทิเช่น สมาร์ทโฟน (Smartphone) แท็บเล็ต (Tablet) เป็นต้น ซึ่ง เครื่องมือสือ่ สารยิง่ ทันสมัยมากแค่ไหน ก็ยงิ่ ท�ำให้การสื่อสารบนโลกออนไลน์สะดวกรวดเร็วมากขึน้ เครือ่ งมือ สื่อสารมีการพัฒนามาเรื่อย ๆ จนเรียกได้ว่าเป็น โซเชียลมีเดีย (Social Media) เพราะสร้างให้เกิดโซเชียล เน็ตเวิรค์ (Social Network) หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ทมี่ นุษย์ตดิ ต่อสือ่ สารกันด้วยเทคโนโลยีอนั ทันสมัย ต่าง ๆ ซึ่งเกิดเป็นการสื่อสารสองทางที่ฉับไว สู่การแบ่งปันข้อมูลทุกประเภทอย่างรวดเร็วเครือข่ายสังคม ออนไลน์ที่อาศัยโซเชียลมีเดียนั้น ยิ่งทวีบทบาทส�ำคัญในการสื่อสารแลกเปลี่ยนข้อมูลมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อ สังคมต้องเผชิญกับภาวะวิกฤตสภาพแวดล้อมในสังคมมีการเปลีย่ นแปลง หรือเกิดความขัดแย้งระดับสูงขึน้ ใน สังคมสภาวการณ์ต่าง ๆ ดังกล่าวนั้น ล้วนแต่เป็นสาเหตุที่ท�ำให้ผู้คนในสังคมต้องการข้อมูลข่าวสารที่รวดเร็ว ทันเหตุการณ์ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าส�ำนักข่าวหลายๆ เจ้าทั้งไทยและต่างประเทศก็เริ่มให้ความส�ำคัญกับการน�ำ เสนอข่าวผ่านสังคมออนไลน์กันมากขึ้นฉะนั้น โซเชียลมีเดียที่มีคุณสมบัติทั้งความสะดวกและรวดเร็วในการ ติดต่อสื่อสาร จึงเข้ามามีบทบาทส�ำคัญ กระทั่งกลายเป็นทางเลือกใหม่ของนักข่าวในการน�ำเสนอข้อมูลสู่ ประชาชน เพราะนอกจากจะสะดวกและรวดเร็วในการใช้งานแล้ว ยังสามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้ส่ง สารและผู้รับสาร ท�ำให้การรายงานข่าวมีมุมมองที่หลากหลายมากขึ้น อย่างที่รู้กันดีอยู่แล้วว่าโซเชียลมีเดียที่ มีความโดดเด่นในเรือ่ งความรวดเร็วของการน�ำเสนอเหตุการณ์เพือ่ ตอบสนองความต้องการข้อมูลข่าวสารของ ผูค้ นได้อย่างทันท่วงที แต่ในขณะเดียวกันนัน้ ก็ยงั มีขอ้ บกพร่องทัง้ ในเรือ่ งความถูกต้องและความน่าเชือ่ ถือของ ข้อมูลเช่นกัน การเปลี่ยนแปลงของสื่อ 1. สื่อดั้งเดิม สื่อใหม่ ความแตกต่างระหว่างสื่อ ดั้งเดิมและสื่อใหม่ สื่อดั้งเดิม คือสื่อที่เกิดขึ้นก่อน เป็น สือ่ ทีเ่ ริม่ ขึน้ มาในยุคต้นๆ ได้แก่ หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ เป็นสือ่ มวลชนทีเ่ ข้าถึงประชาชนผูร้ บั สารได้ คราว ละมากๆ เป็นการสื่อสารแบบทางเดียว ผู้รับสารได้รับสารเพียงทาง เดียว ผู้ส่งสารไม่สามารถทราบผลกระ ทบที่เกิดขึ้นได้ในเวลานั้นๆ เสีย เวลานาน ได้แก่ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร ซึ่งประชาชนหรือผู้บริโภคสื่อไม่ สามารถตอบโต้หรือแสดงความคิดเห็นลงไปในสื่อได้เลย 2. สื่อใหม่ คือการสื่อสารในรูปแบบใหม่ ที่มีการนาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามา ประกอบการสื่อสาร ทา ให้การสื่อสารนั้นทันสมัยมากยิ่งขึ้น และไม่จากัด อยู่ในวงแคบๆอีกต่อไป นอกจากนี้สื่อใหม่ยังเป็นการทาให้ ผู้รับสาร ไม่ว่า จะเป็นใครที่อยู่ทั่วทุกมุมโลกสามารถรับรู้ข่าวสารได้อย่างรวดเร็วและ ชัดเจน อันเป็นการ 109
บทสรุป กระจายข่าวสารไปได้ทุกสารทิศ เช่น การส่งอีเมล ทวิต เตอร์ การแชต และสื่อที่ผู้บริโภคสามารถที่จะตอบโต้ กับสื่อมวลชนได้ ในขณะที่สื่อดั้งเดิมไม่สามารถทาได้ เช่น การส่ง sms ไปในรายการต่างๆที่ เปิดโอกาสให้ แสดงความคิดเห็นในโทรทัศน์ หรือการโทรศัพท์เข้าไปใน รายการวิทยุหรือโทรทัศน์เพื่อแสดงความคิดเห็น ซึ่งในปัจจุบันสื่อใหม่ได้ เข้ามามีบทบาทอย่างมากทุกวงการก็ว่าได้ ไม่เฉพาะวงการสื่อสารมวลชน แต่ยังมีอีก มากมาย เช่น ด้านการศึกษา คมนาคม อุตสาหกรรม ฯลฯ 3. สือ่ ดัง้ เดิมและสือ่ ใหม่ แตกต่างกันอย่างไร สือ่ ดัง้ เดิม - ล้าสมัยกว่าสือ่ ใหม่ -ล่าช้ากว่า สือ่ ใหม่ - รวดเร็ว กว่า -ประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า -มีข้อจากัดในเรื่องของเครื่องรับสาร เช่น ผู้ที่จะรับสารจากสื่อใหม่ ทาง อินเตอร์เน็ตได้ ต้องมีเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือมีความรู้ในการใช้เครื่อง คอมพิวเตอร์ด้วย ตัวอย่างอีกประเภท หนึ่งคือ สื่อดั้งเดิมใช้จดหมาย ในการติดต่อสื่อสาร กัน ขณะที่สื่อใหม่ใช้ระบบอินเตอร์เน็ตในการส่งอีเมล์หรือ จดหมายอิเลค โทนิคหากัน ซึ่งเป็นการประหยัดเวลาและค่าใช่จ่ายมากกว่า 4. จากตารางจะเห็นได้ว่าสิ่งที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง และจะเป็นประเด็นหลัก ให้นักสื่อสารมวลชน ต้องขบคิดก็คือ การประเมินคุณค่าของข่าว แบบแผน และมาตรฐานของวารสารศาสตร์ในการนาเสนอข่าว นัน้ นักวารสารศาสตร์ ถูกตัง้ ความหวังให้ยดึ ถือจริยธรรมแห่งวิชาชีพและมาตรฐานของวารสาร ศาสตร์ ความ สมดุลระหว่างการสร้างโอกาสทางธุรกิจที่ สร้างสรรค์ของสื่อ ใหม่กับการทาหน้าที่ตอบสนองความต้องการ ของสาธารณชนได้รับการ เรียกร้องจาก ผู้รับสารต่อสถาบัน ด้านข่าว ที่เติบโตขึ้นมาเป็นบริษัทใหญ่ เช่น เดียวกัน 5. จาเป็นที่เรียนรู้และปรับตัว การนาข้อดีของสื่อเก่ามาปรับวิวัฒนาการกับความ หลากหลายของสื่อ ใหม่ในการสื่อสารของสื่อใหม่ ใช้เทคนิคการ เจาะกลุ่มลูกค้าโดนเลือกกลุ่มของผู้บริโภคผสานเข้ากับสื่อใหม่ เช่น ถ้าหากเราต้องการขายผลิตภัณฑ์บารุงร่างกายให้แก่ เยาวชนและ วัยรุ่น เราสามารถนาเรียกความสนใจ จากกลุ่มนี้โดยการศึกษาว่า ขณะนั้น เยาวชนและวัยรุ่น มุ่งความสนใจให้แก่ สิ่งใด เรื่องใด เพราะอะไร แล้ว นาจุดนั้นมาโยงเข้ากับตัวสินค้าของเราเพื่อดึง ความสนใจ 6. สื่อเก่า ช่องทางการกระจาย ข่าวสารค่อนข้างแคบสามารถ โฆษณาได้เฉพาะบางกลุ่มบางที ไม่ สามารถเจาะกลุม่ เป้ าหมาย ได้100%การส่งข้อมูลข่าวสาร ประชาสัมพันธ์เป็นไปได้ชา้ แล้ว ส่งสารได้ชอ่ งทาง เดียวไม่มีการ ตอบกลับของผู้บริโภค 7. สื่อใหม่ การสื่อสารผ่าน อินเตอร์เน็ตโดยผ่านสมาร์ทโฟน ติดต่อของทุกคน ทาให้การเข้าถึง ตัวของ แต่ละบุคคลเป็นเรื่องที่ง่าย มากๆ ยอดติดตาม ยอดฟอลโล่ สามารถบอก feetback ของ สินค้าแต่ละตัวได้ โดยผ่าน แอพพลิเคชั่นต่างๆของสมาร์ท โฟนการเข้าถึงก็ง่ายที่สุดก็เพียงแค่ คลิกเข้าไป เช่น Instargram Social cam Twitter เป็นต้น 8. แนวโน้มในด้านบวก+ • การพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่ เชื่อม โยงกันทั่วโลก ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ช่องทางการ ดาเนินธุรกิจ เช่น การทาธุรกรรม อิเล็กทรอนิกส์ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การผ่อนคลายด้วยการดูหนัง ฟังเพลง และบันเทิงต่างๆ เกม ออนไลน์ • การพัฒนาให้คอมพิวเตอร์สามารถฟังและตอบเป็นภาษา พูดได้ อ่าน ตัวอักษรหรือลายมือเขียน ได้ การแสดงผลของคอมพิวเตอร์ได้เสมือนจริง เป็นแบบสามมิติ และการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส เสมือนว่า ได้อยู่ในที่นั้น จริง • การพัฒนาระบบสารสนเทศ ฐานข้อมูล ฐานความรู้ เพื่อพัฒนาระบบ ผู้เชี่ยวชาญและ การจัดการความรู้
110
บทสรุป 9. • การศึกษาตามอัธยาศัยด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-learning) การ เรียนการสอนด้วยระบบโทร ศึกษา (tele-education) การค้นคว้าหา ความรู้ได้ตลอด 24 ชั่วโมงจากห้องสมุดเสมือน (virtual library) • การพัฒนาเครือข่ายโทร คมนาคม ระบบการสือ่ สารผ่านเครือข่ายไร้สาย เครือข่ายดาวเทียม ระบบสารสนเทศ ภูมิศาสตร์ ทาให้สามารถค้นหา ตาแหน่งได้อย่างแม่นยา • การบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่ โดยการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศและเครือข่ายการสื่อสารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการ ดาเนินการของภาครัฐที่เรียกว่า รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e- government) รวมทั้งระบบฐานข้อมูลประชาชน หรือ e-citizen 10. แนวโน้มในด้านลบ - • ความผิดพลาดในการทางานของระบบ คอมพิวเตอร์ ทั้งส่วนฮาร์ดแวร์ และ ซอฟต์แวร์ ที่เกิดขึ้นจากการออกแบบและพัฒนา ทาให้เกิดความ เสียหายต่อระบบและสูญเสียค่าใช้จ่ายใน การแก้ปัญหา • การละเมิดลิขสิทธิ์ของทรัพย์สินทางปัญญา การทาสาเนาและ ลอกเลียนแบบ • การก่อ อาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ การโจรกรรมข้อมูล การล่วงละเมิด การก่อกวนระบบคอมพิวเตอร์ การมีบทบาทของนักข่าวพลเมือง ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่มันเสพข่าวไปโดยไม่รู้ตัว เช่น การอ่านโพสเหตุการณ์ต่างๆผ่านFacebook เป็นต้น การติดตามข่าว จึงมีการกล่าวทีว่ า่ “ใครๆก็สามารถเป็นนักข่าวได้” โดยมีโซเชียลมีเดียเป็นช่องทางใน การน�ำเสนอข่าว ทัง้ นีใ้ นการเลือกทีจ่ ะเสพข่าวนัน้ ต้องมีการตรวจสอบความถูกต้องแม่นย�ำในการน�ำเสนอและ แสดงความคิดเห็น เพราะในเมือใครๆก็สามารถน�ำเสนอข่าวได้ การตรวจสอบที่ต้องผ่านบรรณาธิการจึงไม่มี ในบางครั้งจึงเกิดการน�ำเสนอข่าวที่ผิดจรรยาบรรณ ที่ไม่มีการตรวจสอบและดูถึงความเหมาะสมทั้งภาพ ชื่อ ที่อยู่ ของผู้ที่อยู่ในข่าวนั้นๆ ทัง้ นี้ การเติบโตของสือ่ ใหม่ทเี่ รียกว่านิวมีเดีย (New Media) ซึ่งปัจจุบันไม่ใช่มเี พียงแค่สอื่ ออนไลน์ แต่ ครอบคลุมหลากหลายผนวกรวมกัน ไม่วา่ จะเป็นสือ่ โฆษณารูปแบบต่างๆทีพ่ ลิกแพลงมากขึน้ , SMS รายงาน ข่าวผ่านโทรศัพท์มือถือ , Social network อย่าง facebook - twitter - youtube หรือเทคโนโลยี 3G ฯลฯ ทัง้ หมดล้วนเป็นเทคโนโลยีใหม่ทเี่ ติบโตขึน้ มาท้าทายสือ่ ดัง้ เดิมอย่างหนังสือพิมพ์ และนิตยสาร เกิดเป็นค�ำถาม ขึ้นบ่อยครั้งในยุคนี้ ว่าทิศทางของวารสารศาสตร์แห่งอนาคตจะเป็นอย่างไรต่อไปโดยนักข่าวพลเมืองใช้ช่อง ทางเหล่านี้ในการน�ำเสนอข่าวสารต่างๆ และสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส เริ่มหันมาจริงจังในการใช้นักข่าวพลเมืองส�ำหรับการน�ำเสนอข่าวสาร และท�ำให้นักข่าวพลเมืองนั้นมีบทบาทในสังคมมากยิ่งขึ้น โดยมีการจัดการอบรมกสร้างทักษะในการท�ำข่าว เช่นการถ่ายภาพ การเขียนข่าว จับประเด็นแล้วจะเน้นสร้างจริยธรรมในการน�ำเสนอข่าว เพื่อสร้างจรรยา บรรณความเป็นนักข่าวแก่นักข่าวพลเมืองแล้ว ยังสร้างความน่าเชื่อถือของการท�ำข่าวด้วยการจัดตั้งกอง บรรณาธิการใหม่ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการติดต่อรวบรวมข่าวจากนักข่าวพลเมืองทั่วประเทศ รวมทั้งตรวจ สอบข้อเท็จจริงของข่าวร่วมกับส�ำนักข่าวภูมิภาค 3 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ หาดใหญ่ และขอนแก่น ที่จะ ติดตามตรวจสอบข่าวร่วมด้วย แต่หากพูดถึงการควบคุมสือ่ แล้ว คุณอศินา พรวสิน ได้ให้ความคิดเห็นว่า “นักข่าวไม่สามารถ ไปควบคุม เขาได้ เพียงแต่เสนอมุมมอง เกี่ยวกับบทบาทของนักข่าวพลเมืองในยุค social media และข้อเสนอแนะใน การเสพข่าวจาก social media”
111
บทสรุป ความเปลี่ยนไปของการรายงานข่าว บทบาทของนักข่าวพลเมือง แม้ว่าคนส่วนใหญ่อาจเพิ่งคุ้นหูกับค�ำว่านักข่าวพลเมืองเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ แต่เมื่อพิจารณาในช่วง เวลาไม่ถึง 10 ปีมานี้ พบว่า “นักข่าวพลเมือง” ก�ำลังเข้ามามีบทบาทและอิทธิพลสูงมากขึ้นเรื่อยๆ ภายใต้ เงื่อนไขที่ส�ำคัญ 3 ประการ ประกอบด้วย การพลวัตของสังคม หรือ Globalization ที่มีส่วนท�ำให้โลกย่อ เล็กลง ผู้คนสามารถติดต่อผ่านเครื่องมือสื่อสารไร้สายอย่างไร้ข้อจ�ำกัด ขณะที่ก�ำแพงที่กั้นขวางระหว่าง พรมแดนของการสือ่ สารก็พงั ทลายลงไปด้วย ประการต่อมา Liberalization สิทธิและเสรีภาพทีข่ ยายวงกว้าง รุกคืบไปเกือบทั่วโลก ท�ำให้ผู้คนที่อยู่ตามทุกมุมโลกต่างมีความชอบธรรมที่จะแสดงออกทางอุดมคติ หรือ ความคิดของตนให้สาธารณชนได้รบั รูไ้ ด้อย่างเต็มที่ โดยปราศจากการปิดกัน้ ของหน่วยงานหรือผูม้ อี ำ� นาจอีก ต่อไป ประการสุดท้ายที่ถือว่าส�ำคัญที่สุด คงหนีไม่พ้น เรื่องของ IT Revolution ที่มีผลมาจากความ เปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีด้านการสื่อสารที่มีราคาถูกลง อาทิ กล้องวิดีโอ คอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่ง โทรศัพท์มอื ถือ รวมทัง้ แอพพลิเคชัน่ ในการผลิตสือ่ ทีส่ ะดวกมากขึน้ ส�ำหรับผูใ้ ช้ ท�ำให้ประชาชนทัว่ ไปสามารถ เป็นผู้ผลิตสื่อ และสามารถเป็นนักข่าวพลเมืองได้ง่ายๆ ไม่ใช่เรื่องไกลเกินเอื้อม หรือเป็นเรื่องเฉพาะของ “มือ อาชีพ” นอกจากปัจจัยข้างต้นที่ส่งผลให้แนวโน้มหรือเทรนด์ของ “นักข่าวพลเมือง” นั้นมีบทบาทในสังคม ปัจจุบันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยังมีข้อคิดดีๆ ที่เก็บตกมาจากการเวิร์กช็อปมากมายหลายประการ หนึ่งในนั้น เป็นเรื่องของวิธีการได้มาของข่าวที่อัดแน่นด้วยคุณภาพ ตรงกับ” ทฤษฎีมินิสเกิร์ท” ของผู้พิพากษาอดุลย์ จันทร-ศักดิ์ โดยระบุว่าเนื้อข่าวที่ดีนั้นต้อง ยาวปกคลุมใจความ แต่ก็สั้นพอที่จะท�ำให้เร้าใจ ซึ่งวิธีการให้ได้มา ของข่าวที่ดีนั้นควรค�ำนึงถึงปัจจัยดังนี้ ประการแรก การเข้าถึงข้อมูล นักข่าวพลเมืองหรือบล็อกเกอร์ที่ดีควร มีทักษะที่สามารถย่อยข่าวหรือจับใจความ เพื่อบอกเล่าเรื่องได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เกิดขึ้นได้อย่างไร ขยายความ เรื่องนั้นท�ำไม การน�ำเสนอข้อมูล นอกจากจะต้องมีความฉับไวในการรายงานแล้ว ส�ำนวนภาษาทีร่ อ้ ยเรียงเนือ้ หาข่าว ควรมีอตั ลักษณ์เฉพาะเป็นของตัวเอง ตลอดจนสามารถใช้ภาพประกอบข่าวต่างๆ เพือ่ ร้อยเรือ่ งให้เกิดอารมณ์ และจินตนาการร่วมกันระหว่างผูอ้ า่ นและตัวละคร ทีส่ ำ� คัญการน�ำเสนอข้อมูลทีด่ นี นั้ ต้องมาจากสัญชาตญาณ ของนักข่าวที่ดี และต้องไม่จ�ำกัดเนื้อหาการน�ำเสนอให้อยู่เพียงในสนามหรือเหตุการณ์หนึ่งๆ เท่านั้น ควรมีหู ตาทีร่ อบรูแ้ ละมีความอยากรูอ้ ยากเห็นกับสิง่ แวดล้อมรอบตัว ไม่ควรรีรอให้ขา่ วมาหาเรา แต่ควรวิง่ เข้าหาข่าว เพือ่ ให้ได้มาของข่าวทีโ่ ดดเด่น ไม่เหมือนใคร นอกจากนัน้ บุคลิกหรือภาษากาย (Body Language) ในการน�ำ เสนอข่าวที่เป็นธรรมชาติ ลดความเป็นทางการนั้น (Deformalization) ท�ำให้เกิดเสน่ห์ชวนให้น่าติดตามก็ อาจส่งผลต่อผู้ติดตามข่าวได้ด้วยเช่นกัน ทั้งหมดนี้ คือ บทบาทและหน้าที่ที่นักข่าวพลเมืองในปัจจุบันต้องเตรียมรับมือเพื่อให้เกิดความเป็นนัก ข่าวมืออาชีพ หากแต่อีกสิ่งหนึ่งส�ำคัญที่นักข่าวทุกคนพึงมี และไม่อาจละเลยได้ คือ จรรยาบรรณ ที่เป็นองค์ ประกอบส�ำคัญของทุกวิชาชีพ ท้ายสุดซัมซุงหวังว่าการจัดเวิรก์ ช็อปนีจ้ ะเป็นการเริม่ ต้นทีด่ ใี นการจุดประกาย แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์สิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับสังคมไทยต่อไปในอนาคต
112
บรรณานุกรม
บรรณานุกรม ทฤษฏีสื่อใหม่. สืบค้นจาก http://www.bloggang.com/viewdiary. php?id=amuletstory&month=03-2012&date=13&group=38&gblog=1 ทวิตเตอร์. สืบค้นจาก www.fis.ru.ac.th/twitter/twitter.pdf มโนมัย ไชโย. (2552). 6 วิธีใช้ประโยชน์จาก Twitter. สืบค้นจาก http:// www.arip.co.th/articles.php?id=407314 Twitter ท�ำให้ผู้ชมหันมาเปิดทีวี?. (2556). สืบค้นจาก http://thumbsup. in.th/2013/08/study-links-tv-viewership-and-twitter-conversations/ ภาวุธ พงษ์วิทยภาณุ. (2553). Twitter อาวุธของนักข่าวสายพันธุ์ใหม่. สืบค้นจาก http://www.pawoot.com/node/549/ ฌาวิตรา พัฒนาอารยสกุล. (2556). นักข่าวสายพันธุ์ใหม่ : เปลียนแปลง อย่างไรให้จริยธรรมคงเดิม. สืบค้นจาก http://www.oknation.net/blog/print. php?id=876637 กาฝาก. (2556). วิธีตรวจสอบความน่าเชื่อถือในข่าว. สืบค้นจาก http:// www.kafaak.com/2012/08/31/how-to-verify-the-creditability-of-newssource/ จักรพงศ์. (2554). เมื่อคนข่าวไทยเอาจริงกับโซเชียลเน็ตเวิร์ค. สืบค้นจาก http://thumbsup.in.th/2011/07/social-media-news-reporting/ สฤณี อาชวานันทกุล. (2555). เครือข่ายพลเมืองเน็ต. สืบค้นจาก www. fringer.org/wp-content/writings/netiquette.pdf Social Media จะเปลี่ยนแปลงอะไร. (2555). สืบค้นจาก http://twittereffect.word press.com/2011/10/23/social-media Twitter Newspaper : Social Media ต้องการการตอบสนอง. (2556). สืบค้นจาก http://twittereffect.wordpress.com/2010/06/07/twitter-newspaper-so cial-media Twitter กับแวดวง TV และ ดารา (Twitter TV รายการที่ให้คนทีวีดู). (2555). สืบค้นจาก http://twittereffect.wordpress.com/2010/07/03/twitter ผู้มีอิทธิพลในทวิตเตอร์ : Power ของ Twitter อยู่ตรงไหน. (2553). สืบค้น จาก http://twittereffect.wordpress.com/2010/06/04/ โซเชียลมีเดียคืออะไร. (2556). สืบค้นจาก http://www.microbrand.co/ social-network 113
บรรณานุกรม สุรสิทธิ์ วิทยารัฐ. (2554). ทฤษฎีบทบาทสื่อมวลชนก�ำลังถูกท้าทายสื่อใหม่. สืบค้นจาก http://www.sunandhanews.com/2011-05-10-03-44-25/15742011-05-10-03-42-13.html การรายงานข่าวขัน้ สูง. สืบค้นจาก https://sites.google.com/site/onlinecitizenship/ home/good-communication/advanced-reporting องค์ประกอบการเขียนข่าว. สืบค้นจาก http://prd.rmutp.ac.th/km/1. pdf มโนชญ์ ศาสตร์ศรี. (2555). หลักการเขียนข่าว การผลิตข่าว และการ รายงานข่าว. สืบค้นจาก http://contentcenter.prd.go.th/contentviewfullpage. aspx?folder=601&subfolder=&contents=6159 เทคนิคการรายงานข่าว. (2550). สืบค้นจาก www.general.psu.ac.th/ data/word/ technicnew.doc
114
115
116