หนังสืออิเล็กทรอนิก

สรุปเนือ้ หา 5 กลุม่ สาระการเรียนรู้ วิชาไทย คณิต วิทยฯ สังคมศึกษาฯ ภาษาอังกฤษ

คานา หนังสื ออิเล็กทรอนิ กส์ สรุ ปเนื้ อหา 5 กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้ในระดับประถมศึกษาชั้นปี ที่1-6 อันประกอบไปด้วย กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้วชิ าภาษาไทย คณิ ตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม และภาษาอังกฤษ ซึ่ งอยู่ ในโครงการการเตรี ยมความพร้อมนักศึกษาสาขาการประถมศึกษาเพื่อพัฒนาความรู ้สู่สถานศึกษา เป็ นการสรุ ปเนื้ อหาเพื่อ ใช้ในการเตรี ยมความพร้อมไปฝึ กสอนในโรงเรี ยนของนักศึกษา สาขาการประถมศึกษา เป็ นการเสริ มบุคลิกภาพในความ มัน่ ใจเมื่อเข้าสู่ สถานศึกษา คณะผูจ้ ดั ทําได้หนังสื ออิเล็กทรอนิ กส์ ข้ ึนซึ่ งได้ศึกษาและสรุ ปเนื้ อหาทั้ง 5 วิชา จากแบบเรี ยน สํานักพิมพ์ พว. ของนักเรี ยนในระดับประถมศึกษาชั้นปี ที่ 1- 6 คณะผูจ้ ดั ทําหวังเป็ นอย่างยิง่ ว่าหนังสื ออิเล็กทรอนิ กส์ สรุ ปเนื้ อหา 5 กลุ่ม สาระการเรี ยนรู ้ วิชาไทย คณิ ต วิทยฯ สังคมศึกษาฯ ภาษาอังกฤษ จะเป็ นประโยชน์แก่นกั ศึกษาสาขาการประถมศึกษา และผูท้ ี่สนใจ หากมีขอ้ ผิดพลาดประการใดขออภัยไว้ ณ ที่น้ ีดว้ ย

คณะผูจ้ ดั ทํา

สารบัญ เรื่ อง กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้ภาษาไทย กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์ กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้วทิ ยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม กลุ่มสาระภาษาอังกฤษ บรรณานุกรม

หน้ า 1-106 107-175 176-230 231-281 282-354 355-357

กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 1 ________________________________________________________________________ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 เตรียมพร้ อมดีไม่ มีปัญหา สรุ ปเนื้อหา พยัญชนะไทยมี 44 ตัว  พยัญชนะหลายตัวมีเสี ยงซํ้ากัน จึงจําเป็ นต้องตั้งชื่ อไว้ต่างกัน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน  ภาษาไทยในปัจจุบนั ใช้พยัญชนะ 42 ตัว (ฃ ฃวด และ ฅ ฅน ปั จจุบนั ไม่ใช้แล้ว)

การเขียนพยัญชนะไทย  การฝึ กฝนลากเส้นต่าง ๆ ให้ถูกวิธี จะช่วยทําให้เขียนพยัญชนะไทยได้ถูกต้องและสวยงาม สระในภาษาไทย วรรณยุกต์  วรรณยุกต์มี 4 รู ป เขียนไว้บนพยัญชนะต้น

ตัวเลขไทย การเขียนตัวเลขไทย

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 สระ -า สรุ ปเนื้อหา สระ -า  เป็ นสระเสี ยงยาว  เขียนไว้ขา้ งหลังพยัญชนะต้น วิธีเขียนสระ -า  เขียนจากด้านบนลงมาด้านล่าง หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 สระ -ี​ี สรุ ปเนื้อหา สระ -ี​ี  เป็ นสระเสี ยงยาว  เขียนไว้ขา้ งบนพยัญชนะต้น  ถ้ามีพยัญชนะต้นสองตัวจะอยูบ่ นพยัญชะต้นตัวที่สอง วิธีเขียนสระ -ี​ี  เขียนโดยลากเส้นจากขวามือมาทางซ้ายมือ แล้วลากเส้นโค้งขึ้นข้างบนกลับมาทางขวามือ จนมาจบที่จุดเริ่ มต้นแล้วลากเส้นตรงลงมาที่จุดเริ่ มต้นอีกครั้ง

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 สระ -ีู สรุ ปเนื้อหา สระ -ีู  เป็ นสระเสี ยงยาว  เขียงไว้ขา้ งล่างพยัญชนะต้น  ถ้ามีพยัญชนะต้นสองตัวจะอยูใ่ ต้พยัญชนะต้นตัวที่สอง วิธีการเขียนสระ -ีู เริ่ มต้นจากเขียนหัวแล้วลากเส้นตรงลงมา จากนั้นลากเส้นตรงไปทางขวาแล้วจึงลากเส้นขึ้นด้านบน เป็ นส่ วนหางให้สูงเท่ากับหัว หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 5 สระ เสรุ ปเนื้อหา สระ เ เป็ นสระเสี ยงยาว  เขียนไว้ขา้ งหน้าพยัญชนะต้น วิธีเขียนสระ เ เริ่ มต้นจากการเขียนหัวก่อน โดยเริ่ มต้นเขียนหัวเหนื อเส้นบรรทัดล่างเล็กน้อยแล้วลากเส้น โค้งจากหัวมาจดเส้นบรรทัดล่าง จากนั้นลากเส้นหางเป็ นเส้นตรงไปจดเส้นบรรทัดบน หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 6 สระ แสรุ ปเนื้อหา สระ แ เป็ นสระเสี ยงยาว  เขียนไว้ขา้ งหน้าพยัญชนะต้น วิธีเขียนสระ แ เขียนเหมือนกับสระ เ-

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 7 สระ โสรุ ปเนื้อหา สระ โ เป็ นสระเสี ยงยาว  เขียนไว้ขา้ งหน้าพยัญชนะต้น วิธีเขียนสระ โ เริ่ มต้นจากการเขียนหัวก่อน โดยเริ่ มต้นเขียนหัวเหนื อเส้นบรรทัดล่างเล็กน้อย แล้วลากเส้น โค้งจากหัวมาจดเส้นบรรทัดล่างแล้วจึงลากเส้นหางเป็ นเส้นตรงเลยเส้นบรรทัดบนไป ประมาณครึ่ งบรรทัด แล้วจึงลากเส้นโค้งไปทางซ้ายยาวพอประมาณ แล้วลากวกกลับขึ้น ด้านบน ตวัดโค้งเป็ นหาง หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 8 สระ -อ สรุ ปเนื้อหา สระ -อ  เป็ นสระเสี ยงยาว  เขียนไว้ขา้ งหลังพยัญชนะต้น  เมื่อมีตวั ร เป็ นตัวะกด สระ -อ จะลดรู ป วิธีเขียนสระ -อ เริ่ มเขียนจากหัวเหมือนกับสระอื่น ๆ แล้วจึงลากเส้นไปที่หาง หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 9 สระ -ีุ สรุ ปเนื้อหา สระ -ีุ  เป็ นสระเสี ยงสั้น  เขียนไว้ขา้ งล่างพยัญชนะต้น  ถ้ามีพยัญชนะต้นสองตัวจะอยูข่ า้ งล่างพยัญชนะต้นตัวที่สอง วิธีเขียนสระ -ีุ

 เริ่ มต้นจากการเขียนหัวก่อน โดยเริ่ มต้นเขียนหัวใต้เส้นบรรทัดเล็กน้อย แล้วหมุนไปตาม เข็มนาฬิกา จากนั้นลากเส้นตรงลงมาเป็ นหาง ความยาวของหางประมาณครึ่ งบรรทัด หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 10 สระ -ีิ สรุ ปเนื้อหา สระ -ีิ  เป็ นสระเสี ยงสั้น  เขียนไว้ขา้ งบนพยัญชนะต้น  ถ้ามีพยัญชนะต้นสองตัวจะอยูข่ า้ งบนพยัญชนะต้นตัวที่สอง วิธีเขียนสระ -ีิ  เริ่ มต้นลากเส้นจากขวาไปซ้าย แล้วลากเส้นโค้งวกกลับเหนือเส้นเดิมมาจบที่จุดเริ่ มต้น หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 11 สระ -ีึ สรุ ปเนื้อหา สระ -ีึ  เป็ นสระเสี ยงสั้น  เขียนไว้บนพยัญชนะต้น  ถ้ามีพยัญชนะต้นสองตัวจะอยูบ่ นพยัญชนะต้นตัวที่สอง วิธีเขียนสระ -ีึ  เริ่ มต้นจากการเขียนเหมือนสระ -ิ​ิ คือลากเส้นจากขวาไปซ้าย แล้วลากเส้นโค้งวกกลับ เหนื อเส้นเดิมมาที่จุดเริ่ มต้น จากนั้นเขียนวงกลมเล็ก ๆ เหนือจุดเริ่ มต้นเล็กน้อย หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 12 สระ ไสรุ ปเนื้อหา สระ ไ 

วิธีเขียนสระ ไ-

เป็ นสระเสี ยงสั้น เมื่อออกเสี ยง เหมือนเสี ยง อะ ที่มีตวั ย สะกด เขียนไว้ขา้ งหน้าพยัญชนะต้น



เริ่ มต้นจากการเขียนหัวแล้วลากเส้นตรงต่อขึ้นไปจนเลยเส้นบรรทัดบนประมาณครึ่ ง บรรทัด จากนั้นลากเส้นเฉี ยงลงไปทางซ้าย และลากเส้นเฉี ยงขึ้น หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 13 สระ ใ- ไม้ ม้วน



เป็ นสระเสี ยงสั้น เมื่ออกเสี ยง เหมือนเสี ยง อะ ที่มีตวั ย สะกด เช่นเดียวกับสระ ไ-

สรุ ปเนื้อหา สระ ใวิธีเขียนสระ ใ

เขียนเหมือนสระ ไ- โดยเริ่ มจากการเขียนหัวก่อน เมื่อลากขึ้นไปส่ วนหางจะม้วนเข้าหาตัว หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 14 สระ - ีื



เป็ นสระเสี ยงยาว เขียนไว้ขา้ งบนพยัญชนะต้น คําที่ไม่มีตวั สะกด จะต้องมีตวั "อ" เขียนไว้ขา้ งหลังพยัญชนะ ต้นเป็ น - ิือ

สรุ ปเนื้อหา สระ - ีื



วิธีเขียนสระ - ีื 

เริ่ มต้นการเขียนเหมือนสระ - ิ​ิ คือ ลากเส้นจากขวาไปซ้าย แล้วลากเส้นโค้งวกกลับเหนือ เส้นเดิม มาที่จุดเริ่ มต้น จากนั้นเขียนเส้นสั้นๆ ลงมาที่จุดเริ่ มต้นสองเส้น หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 15 สระ -ีา

สรุ ปเนื้อหา สระ -ีา เป็ นสระเสี ยงสั้น เมื่อออกเสี ยง เหมือนเสี ยง อะ ที่มีตวั ม สะกด  เขียนไว้ขา้ งบนและข้างหลังพยัญชนะต้น วิธีการเขียนสระ -ีา 



เริ่ มเขียน - ิํ แล้วจึงเขียน -า หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 16 สระ เ-า

สรุ ปเนื้อหา สระ เ-า  

เป็ นสระเสี ยงสั้น เมื่อออกเสี ยง เหมือนเสี ยง อะ ที่มีตวั ว สะกด ประกอบด้วย เ- เขียนไว้ขา้ งหน้าพยัญชนะต้น และ -า เขียนไว้ขา้ งหลังพยัญชนะต้น

วิธีเขียนสระ เ-า 

เขียน เ- ก่อน โดยเริ่ มเขียนจากหัวตัวอักษร แล้วลากเส้นตรงขึ้นไป จากนั้นเขียน -า โดย ลากเส้นจากด้านบนลงมาด้านล่าง หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 17 สระ เ- ี​ีย

สรุ ปเนื้อหา สระ เ- ี​ีย เป็ นสระประสมเสี ยงยาว  ประกอบด้วย เ- เขียนไว้ขา้ งหน้าพยัญชนะต้น - ิ ี เขียนไว้ขา้ งบนพยัญชนะต้น และตัว ย เขียนไว้ขา้ งหลังพยัญชนะต้น วิธีเขียนสระ เ- ี​ีย 



เขียน เ- ก่อน โดยเริ่ มจากหัวตัวอักษรแล้วลากเส้นตรงขึ้นไป จากนั้นเขียน - ิี แล้วจึงเขียน ย โดยเริ่ มจากหัวตัวอักษรเช่นเดียวกัน หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 18 สระ เ- ีือ

สรุ ปเนื้อหา สระ เ- ีือ เป็ นสระประสมเสี ยงยาว  ประกอบด้วย เ- เขียนไว้ขา้ งหน้าพยัญชนะต้น - ิื เขียนไว้ขา้ งบนพยัญชนะต้น และตัว อ เขียนไว้ขา้ งหลังพยัญชนะต้น วิธีเขียนสระ เ- ีือ 



เขียน เ- ก่อน โดยเริ่ มจากหัวตัวอักษรแล้วลากเส้นตรงขึ้นไปจากนั้นเขียน - ิื แล้วจึงเขียน ตัว อ โดยเริ่ มจากหัวตัวอักษรเช่นเดียวกัน

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 19 สระ - ีัว สรุ ปเนื้อหา สระ - ีัว เป็ นสระประสมเสี ยงยาว  ประกอบด้วย - ิั เขียนไว้ขา้ งบนพยัญชนะต้น ว เขียนไว้ขา้ งหลังพยัญชนะต้น เมื่อมี ตัวสะกด จะใช้รูป -ว วิธีเขียนสระ - ีัว 



เขียน - ิั ก่อน โดยเริ่ มเขียนจากหัวตัวอักษร แล้วจึงเขียนตัว ว โดยเริ่ มจากหัวตัวอักษร เช่นเดียวกัน หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 20 สระ -ะ

สรุ ปเนื้อหา สระ -ะ  

เป็ นสระเสี ยงสั้น เขียนไว้ขา้ งหลังพยัญชนะต้น เมื่อมีตวั สะกดจะใช้รูป - ิั เขียนไว้ขา้ งบนพยัญชนะตัวต้น

วิธีเขียน สระ -ะ 

เขียนวงกลมทวนเข็มนาฬิกา แล้วลากโค้งไปทางขวา หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 21 สระ เ-ะ

สรุ ปเนื้อหา สระ เ-ะ  เป็ นสระเสี ยงสั้น  ประกอบด้วย เ- เขียนไว้ขา้ งหน้าพยัญชนะต้น และ -ะ เขียนไว้ขา้ งหลังพยัญชนะต้น เมื่อมี ตัวสะกดจะใช้รูป เ -ิ็ ( -ิ็ เรี ยกว่า ไม้ไต่คู)้ เขียนไว้ขา้ งบนพยัญชนะต้น วิธีเขียนสระ เ-ะ  เขียน เ- ก่อน โดยเริ่ มจากหัวตัวอักษร แล้วจึงเขียน -ะ หรื อ -ิ็ โดยเริ่ มเขียนจาก หัวตัวอักษรเช่นเดียวกัน

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 22 สระ แ-ะ สรุ ปเนื้อหา สระ แ-ะ  เป็ นสระเสี ยงสั้น  ประกอบด้วย แ- เขียนไว้ขา้ งหน้าพยัญชนะต้น และ -ะ เขียนไว้ขา้ งหลังพยัญชนะต้น เมื่อมี ตัวสะกดจะใช้รูป แ -ิ็ ( -ิ็ เรี ยกว่า ไม้ไต่คู)้ เขียนไว้ขา้ งบนพยัญชนะต้น วิธีเขียนสระ แ-ะ  เขียน แ- ก่อน โดยเริ่ มจากหัวตัวอักษร แล้วจึงเขียน -ะ หรื อ -ิ็ โดยเริ่ มเขียนจาก หัวตัวอักษรเช่นเดียวกัน หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 23 สระ เ-าะ สรุ ปเนื้อหา สระ เ-าะ  เป็ นสระเสี ยงสั้น  ประกอบด้วย เ- เขียนไว้ขา้ งหน้าพยัญชนะต้น -า และ -ะ เขียนไว้ขา้ งหลังพยัญชนะต้น วิธีเขียนสระ เ-าะ  เขียน เ- ก่อน โดยเริ่ มเขียนจากหัวตัวอักษร จากนั้นเขียน -า โดยลากจากด้านบนลงมา ด้านล่าง แล้วจึงเขียน -ะ โดยเขียนจากหัวตัวอักษร หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 24 สระ โ-ะ สรุ ปเนื้อหา สระ โ-ะ  เป็ นสระเสี ยงสั้น  ประกอบด้วย โ- เขียนไว้ขา้ งหน้าพยัญชนะต้น และ -ะ เขียนไว้ขา้ งหลังพยัญชนะต้น เมื่อมี ตัวสะกด สระ โ-ะ จะถูกตัดออกไปเรี ยกว่าลดรู ป วิธีเขียนสระ โ-ะ  เขียน โ- ก่อน โดยเริ่ มเขียนจากหัวตัวอักษร แล้วจึงเขียน -ะ โดยเริ่ มจากหัวตัวอักษรเช่นกัน

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 25 สระ เ-อะ สรุ ปเนื้อหา สระ เ-อะ  เป็ นสระเสี ยงสั้น  ประกอบด้วย เ- เขียนไว้ขา้ งหน้าพยัญชนะต้น อ และ -ะ เขียนไว้ขา้ งหลังพยัญชนะต้น คํา สระ เ-อะ เป็ นคําที่ไม่มีตวั สะกด วิธีเขียนสระ เ-อะ  เขียน เ- ก่อนแล้วจึงเขียน อ และ -ะ โดยเริ่ มเขียนจากหัวตัวอักษรทุกตัว หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 26 สระ เ-อ สรุ ปเนื้อหา สระ เ-อ  เป็ นสระเสี ยงยาว  เขียน เ- ไว้ขา้ งหน้าพยัญชนะต้น และเขียน -อ ไว้ขา้ งหลังพยัญชนะต้น หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 27 มาตรา ก กา สรุ ปเนื้อหา มาตรา ก กา  เรี ยกสั้น ๆ ว่า แม่ ก กา  เป็ นคําที่ไม่มีตวั สะกด เช่น กา งู เรื อใบ เก้าอี้ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 28 มาตรา กง สรุ ปเนื้อหา มาตรา กง  เรี ยกสั้น ๆ ว่า แม่ กง  เป็ นคําที่มี ง เป็ นตัวสะกด เช่น ธง ลิง กุง้ ร้องเพลง หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 29 มาตรา กม

สรุ ปเนื้อหา มาตรา กง  เรี ยกสั้น ๆ ว่า แม่ กม  เป็ นคําที่มี ม เป็ นตัวสะกด เช่น งาม ดื่ม ส้มโอ ผอม หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 30 มาตรา เกย สรุ ปเนื้อหา มาตรา เกย  เรี ยกสั้น ๆ ว่า แม่ เกย  เป็ นคําที่มี ย เป็ นตัวสะกด เช่น เนย ยาย ปุ๋ ย ขายของ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 31 มาตรา เกอว สรุ ปเนื้อหา มาตรา เกอว  เรี ยกสั้น ๆ ว่า แม่ เกอว  เป็ นคําที่มี ว เป็ นตัวสะกด เช่น ดาว ชาวนา ขาว แก้ว หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 32 มาตรา กน สรุ ปเนื้อหา มาตรา กน  เรี ยกสั้น ๆ ว่า แม่ กน  เป็ นคําที่มี น ญ ณ ร ล ฬ ตัวใดตัวหนึ่งเป็ นตัวสะกด ออกเสี ยงเหมือน "น" สะกด เช่น วาฬ ฟัน เหรี ยญ ผล อาหาร บ้าน หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 33 มาตรา กก สรุ ปเนื้อหา มาตรา กก  เรี ยกสั้น ๆ ว่า แม่ กก

 เป็ นคําที่มี ก ข ค ฆ ตัวใดตัวหนึ่งเป็ นตัวสะกด ออกเสี ยงเหมือน "ก" สะกด เช่น มาก สุ นขั ปาก ตัวเลข หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 34 มาตรา กบ สรุ ปเนื้อหา มาตรา กบ  เรี ยกสั้น ๆ ว่า แม่ กบ  เป็ นคําที่มี บ ป พ ฟ ภ ตัวใดตัวหนึ่งเป็ นตัวสะกด ออกเสี ยงเหมือน "บ" สะกด เช่น หี บ จบ ธู ป กราฟ รู ปภาพ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 35 มาตรา กด สรุ ปเนื้อหา มาตรา กด  เรี ยกสั้น ๆ ว่า แม่ กด  เป็ นคําที่มี ด จ ช ซ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ต ถ ท ธ ศ ษ และ ส ตัวใดตัวหนึ่งเป็ นตัวสะกด ออกเสี ยง เหมือน "ด" สะกด เช่น มด รถ บาท หาด เตารี ด จิตใจ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 36 อักษรควบและอักษรนา สรุ ปเนื้อหา  การเข้าใจลักษณะของคําอักษรควบ และคําอักษรนํา จะทําให้อ่านออกเสี ยงคําได้ถูกต้อง เข้าใจความหมายของคํา และสามารถนําคําไปใช้ได้ถูกต้อง อักษรควบ  คือ คําที่มีพยัญชนะต้นสองตัว มีตวั ร ล และ ว เป็ นพยัญชนะต้นตัวที่สอง เมื่อประสมสระ หรื อตัวสะกดแล้ว จะออกเสี ยงควบกัน เช่น ปลา กวาง กราบ ขวา กวาด อักษรนํา  คือ คําที่มีพยัญชนะต้นสองตัว เมื่อประสมกับสระและตัวสะกดแล้วจะออกเสี ยงเป็ น 3 แบบ ดังนี้ 1.คําที่มี อ นํา ย ไม่ออกเสี ยงตัว อ มี 4 คํา ได้แก่ อย่า อยู่ อย่าง อยาก 2.คําที่มี ห นํา ไม่ออกเสี ยงตัว ห เช่น หญ้า หนู หมา

3.คําที่ออกเสี ยงสองพยางค์ โดยพยางค์แรกออกเสี ยง อะ กึ่งเสี ยง และพยางค์หลังจะออก เสี ยงสู งตามพยางค์หน้าเหมือนมี ห นํา เช่น ขยะ สระ ฉลาด หวา ถนน หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 37 การผันคา สรุ ปเนื้อหา  การผันคํา เป็ นการเปลี่ยนเสี ยงของคํา อาจเติมรู ปวรรณยุกต์บนพยัญชนะต้น ทําให้เสี ยง และความหมายของคําเปลี่ยนไป หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 38 คาคล้องจอง สรุ ปเนื้อหา  คําคล้องจอง เป็ นคําที่มีเสี ยงสระและเสี ยงตัวสะกดเหมือนกัน ทําให้เกิดความไพเราะ มัก พบในสํานวน คําขวัญ หรื อบทร้อยกรอง เช่น ปลา หมา , นก ครก , ระกํา ลําไย หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 39 การแต่ งประโยค สรุ ปเนื้อหา 

การแต่งประโยค เป็ นการนําคํามาเรี ยงต่อกันให้ได้ใจความว่า ใคร ทําอะไร ที่ไหน อย่างไร เพื่อใช้ในการสื่ อสาร

การแต่ งประโยค การนําคําตั้งแต่ 2 คําขึ้นไปมาเรี ยงต่อกัน และตอบได้วา่ ใคร ทําอะไร แสดงว่าข้อความนั้น เป็ นประโยค เพราะมีผทู ้ าํ และอาการที่ทาํ เช่น น้องกินขนม แม่รีดผ้า นักเรี ยนเข้าแถว การเรียงประโยคเป็ นข้ อความ 



การนําประโยคมาเรี ยงต่อกันตามลําดับเหตุการณ์จะทําให้เกิดข้อความที่มีความหมาย เช่น เช้าวันเสาร์ แม่ทาํ อาหาร แตงช่วยแม่ลา้ งผัก

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 40 การฟัง การดู และการพูด สรุ ปเนื้อหา  ทักษะการฟัง การดู และการพูด เป็ นพื้นฐานการใช้ภาษาที่สาํ คัญ นําไปสู่ การพัฒนาการ อ่านและการเขียน

การฟังคําแนะนํา คําสั่งง่ายๆ และปฏิบตั ิตาม  เช่น ลบกระดาน กวาดพื้นให้สะอาด การฟังจับใจความและพูดแสดงความคิดเห็น ความรู ้สึก  เช่น อ่านเรื่ องสั้น ๆ แล้วให้นกั เรี ยนตอบคําถาม การพูดสื่ อสารในชีวิตประจําวัน  เช่น การแนะนําตนเอง การขอความช่วยเหลือ การกล่าวคําขอบคุณ การกล่าวคําขอโทษ มารยาทในการฟัง การดู และการพูด  เช่น ผูม้ ีมารยาทในการฟังจะนัง่ เรี ยบร้อย ไม่คุย ไม่เล่น ไม่ลุกเดินไปมา ผูม้ ีมารยาทในการดู ไปถึงสถานที่จดั งานก่อนเวลา ดูและชมด้วยความสํารวม ผูม้ ีมารยาทในการฟัง พูดด้วยภาษาที่สุภาพ ไม่พูดแทรกผูอ้ ื่น

กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 ________________________________________________________________________

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 ตัวอักษรไทย สรุ ปเนื้อหา  ตัวอักษรไทยสามารถนํามาประสมเป็ นคําและประโยคเพื่อสื่ อความหมายได้ พยัญชนะไทย  มี 44 ตัว แบ่งตามระดับเสี ยงได้ 3 กลุ่ม ได้แก่ อักษรสู ง 11 ตัว อักษรกลาง 9 ตัว อักษรตํ่า 24 ตัว สระในภาษาไทย  มีท้ งั สระเสี ยงสั้นและสระเสี ยงยาว มีรูปสระหลายรู ป วรรณยุกต์ ไทย

 คือ ระดับเสี ยงสู่ งตํ่าของคําในภาษาไทย มี 5 เสี ยง ได้แก่ เสี ยงสามัญ เสี ยง เอก เสี ยงโท เสี ยงตรี และเสี ยงจัตวา ตัวเลขไทย  มี 10 ตัว ได้แก่ ๐ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 มาตรา ก กา สรุ ปเนื้อหา มาตรา ก กา  มาตรา ก กา หรื อแม่ ก กา คือ คําที่ไม่มีตวั สะกด มีท้ งั คําที่ประสมด้วยสระเสี ยงสั้นและสระ เสี ยงยาว  คําในมาตรา ก กา ที่ประสมสระเสี ยงสั้น เช่น กําไล ทะลุ มะระ กะปิ  คําในมาตรา ก กา ที่ประสมสระเสี ยงยาว เช่น มือขวา แม่คา้ ถือของ มองดู หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 มาตรา กง สรุ ปเนื้อหา มาตรา กง  มาตรา กง หรื อ แม่ กง คือ คําที่มี ง เป็ นตัวสะกด มีท้ งั คําที่ประสมด้วยสระเสี ยงสั้นและ สระเสี ยงยาว  คําในมาตรา กง ที่ประสมสระเสี ยงสั้น เช่น ลิง กุง้ ถุง ตึงตัง  คําในมาตรา กง ที่ประสมสระเสี ยงยาว เช่น ช้าง ค่าง เสี ยง ยูง หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 มาตรา กม สรุ ปเนื้อหา มาตรา กม  มาตรา กม หรื อแม่ กม คือ คําที่มี ม เป็ นตัวสะกด มีท้ งั คําที่ประสมด้วยสระเสี ยงสั้นและ สระเสี ยงยาว  คําในมาตรา กม ที่ประสมสระเสี ยงสั้น เช่น ชิม ตุม่ ส้ม หลุม

 คําในมาตรา กม ที่ประสมสระเสี ยงยาว เช่น สาม หอม เตรี ยม สวม เชื่อม หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 5 มาตรา เกย สรุ ปเนื้อหา มาตรา เกย  มาตรา เกย หรื อแม่ เกย คือ คําที่มี ย เป็ นตัวสะกด มีท้ งั คําที่ประสมด้วยสระเสี ยงสั้นและ สระเสี ยงยาว  คําในมาตรา เกย ที่ประสมสระสระเสี ยงสั้น เช่น วินยั ชัยชนะ มาลัย  คําในมาตรา เกย ที่ประสมสระเสี ยงยาว เช่น เฉย ร่ างกาย จดหมาย อวยพร

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 6 มาตรา เกอว สรุ ปเนื้อหา มาตรา เกอว  มาตรา เกอว หรื อแม่ เกอว คือ คําที่มี ว เป็ นตัวสะกด มีท้ งั คําที่ประสมด้วยสระเสี ยงสั้นและ สระเสี ยงยาว  คําในมาตรา เกอว ที่ประสมสระสระเสี ยงสั้น เช่น หิ ว สิ่ ว เร็ ว  คําในมาตรา เกอว ที่ประสมสระเสี ยงยาว เช่น ก้าว เหลว แนว เฉี่ยว ไข่ดาว หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 7 มาตรา กก สรุ ปเนื้อหา มาตรา กก  มาตรา กก หรื อแม่ กก คือ คําที่มี ก ข ค ฆ เป็ นตัวสะกด ซึ่งออกเสี ยงเหมือน ก เป็ น ตัวสะกด มีท้ งั คําที่ประสมด้วยสระเสี ยงสั้นและสระเสี ยงยาว  คําในมาตรา กก ที่ประสมสระสระเสี ยงสั้น เช่น รัก สุ ข คึกคัก

คําในมาตรา กก ที่ประสมสระเสี ยงยาว เช่น ปลูก เลข โชค เมฆ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 8 มาตรา กด สรุ ปเนื้อหา มาตรา กด  มาตรา กด หรื อแม่ กด คือ คําที่มี ด จ ช ซ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ต ถ ท ธ ศ ษ ส เป็ นตัวสะกด ซึ่งออก เสี ยงเหมือน ด เป็ นตัวสะกด มีท้ งั คําที่ประสมด้วยสระเสี ยงสั้นและสระเสี ยงยาว  คําในมาตรา กด ที่ประสมสระสระเสี ยงสั้น เช่น ชัด ทิศ พุธ มงกุฎ  คําในมาตรา กด ที่ประสมสระเสี ยงยาว เช่น จืด บวช อาจ อูฐ โทษ

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 9 มาตรา กน สรุ ปเนื้อหา มาตรา กน  มาตรา กน หรื อแม่ กน คือ คําที่มี น ญ ณ ร ล ฬ เป็ นตัวสะกด ซึ่งออกเสี ยงเหมือน น เป็ น ตัวสะกด มีท้ งั คําที่ประสมด้วยสระเสี ยงสั้นและสระเสี ยงยาว  คําในมาตรา กน ที่ประสมสระสระเสี ยงสั้น เช่น จน คุณ อุบล เพ็ญ  คําในมาตรา กน ที่ประสมสระเสี ยงยาว เช่น ยืน พาล วานร มารดา หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 10 มาตรา กบ สรุ ปเนื้อหา มาตรา กบ  มาตรา กบ หรื อแม่ กบ คือ คําที่มี บ ป พ ฟ ภ เป็ นตัวสะกด ซึ่งออกเสี ยงเหมือน บ เป็ น ตัวสะกด มีท้ งั คําที่ประสมด้วยสระเสี ยงสั้นและสระเสี ยงยาว

 คําในมาตรา กบ ที่ประสมสระสระเสี ยงสั้น เช่น จับ สิ บ เคารพ  คําในมาตรา กบ ที่ประสมสระเสี ยงยาว เช่น แสบ เรี ยบ กรอบ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 11 การผันอักษร สรุ ปเนื้อหา  การผันอักษรจะพิจารณาตามพยัญชนะต้นของคําเป็ นหลัก การผันอักษรทําให้เสี ยงและ ความหมายของคําเปลี่ยนไป อักษรสามหมู่  อักษรสามหมู่ หรื อไตรยางศ์ ได้แก่ อักษรสู ง อักษรกลาง และอักษรตํ่า  อักษรสู ง มี 11 ตัว คือ ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ษ ส ห  อักษรกลาง มี 9 ตัว คือ ก จ ฎ ฏ ด ต บ ป อ  อักษรตํ่า มี 24 ตัว คือ ค ฅ ฆ ง ช ซ ฌ ญ ฑ ฒ ณ ท ธ น พ ฟ ภ ม ย ร ล ว ฬ ฮ การผันอักษร  คือ การผันคําที่มีพยัญชนะต้นเป็ นอักษรกลาง หรื ออักษรตํ่า ตามระดับเสี งวรรณยุกต์ ซึ่ งมีท้ งั หมด 5 เสี ยง ได้แก่ เสี ยงสามัญ เสี ยงเอก เสี ยงโท เสี ยงตรี เสี ยงจัตวา โดยมีรูป วรรณยุกต์ 4 รู ป คือ -ิ่ -ิ้ -ิ๊ -ิ๋ สําหรับเสี ยงสามัญ ไม่มีวรรณยุกต์  อักษรสู ง คําที่มีพยัญชนะต้นเป็ นอักษรสู ง เช่น เข้า ฉัน ถอย ผู ้ ฝั่ง ศาล สิ น หาม คํา เหล่านี้จะผันเสี ยงวรรณยุกต์ได้เพียง 3 เสี ยงคือ เสี ยงเอก เสี ยงโท และเสี ยงจัดวา  อักษรกลาง คําที่มีพยัญชนะต้นเป็ นอักษรกลาง เช่น ไก่ จ้อง ดู เต่า ใบ ปอ อ่อน คํา เหล่านี้จะผันเสี ยงวรรณยุกต์ได้ครบ 5 เสี ยง โดยมีรูปวรรณยุกต์และเสี ยงวรรณยุกต์ ตรงกันอักษรตํ่า  อักษรตํ่า เช่น ควาย ฆ้อง เงา ช้อน แพร ชวน นก พาน แมว ยิม้ คําเหล่านี้จะผันเหล่านี้ จะผันเสี ยงวรรณยุกต์ได้เพียง 3 เสี ยง คือเสี ยงสามัญ เสี ยงโท และเสี ยงตรี หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 12 คาทีม่ ีพยัญชนะควบกลา้ สรุ ปเนื้อหา คาทีม่ ีพยัญชนะควบกลา้  คําที่มีพยัญชนะควบกลํ้าหรื ออักษรควบ คือ คําที่มีพยัญชนะต้น 2 ตัว ประสมสระเดียวกัน มี 2 ประเภท คือ คําควบกลํ้าแท้ และคําควบกลํ้าไม่แท้

1. คําควบกลํ้าแท้ คือคําที่มีพยัญชนะต้น 2 ตัว ประสมสระเดียวกัน พยัญชนะตัวที่ 2 คือ ร ล ว ออกเสี ยงพยัญชนะต้นตัวที่ 1 และ 2 พร้อมกัน หรื อควบกลํ้า เช่น ไกว เกรี ยวกราว วงกลม ขรุ ขระ ขลาด กว้างขวาง ครอบครัว ลําคลอง ความรู ้ เช้าตรู่ เตรี ยมตัว ตรวจตรา ประปา ปลอมปน บาดแผล เผลอไผล กะพริ บ พลุกพล่าน 2.คําควบกลํ้าไม่แท้ คือ คําที่มีพยัญชนะต้นตัวที่ 2 เป็ น ร ซึ่งมีวธิ ีการออกเสี ยง 2 แบบ ได้แก่ 2.1 ออกเสี ยงเฉพาะพยัญชนะตัวต้นตัวแรกเพียงตัวเดียว เช่น สระนํ้า อ่านว่า สะ-นํ้า

แสร้ง อ่านว่า แส้ง

ศรี อ่านว่า สี

เศร้า อ่านว่า เส้า

ไซร้ อ่านว่า ไซ้

จริ ง อ่านว่า จิง

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 13 คาทีม่ ีอกั ษรนา สรุ ปเนื้อหา คาทีม่ ีอกั ษรนา  อักษรนํา คือ คําที่มีพยัญชนะต้นสองตัวประสมสระเดียวกันมีท้ งั ที่ออกเสี ยงพยางค์เดียว และสองพยางค์ 1.อักษรนําที่ออกเสี ยงพยางค์เดียว ได้แก่ คําที่มี ห นํา เช่น เหงา ใหญ่ หนู หมี หยิบ หรื อ หลุม หวาด และคําที่มี อ นํา ย ได้แก่ อย่า อยู่ อย่าง อยาก 2.อักษรนําที่ออกเสี ยงสองพยางค์ (เปล่งเสี ยง 2 ครั้ง) ได้แก่ คําที่มีอกั ษรสู งนําอักษรตํ่า พยางค์แรกออกเสี ยง อะ กึ่งเสี ยง พยางค์ที่สองออกเสี ยงแบบ มี ห นํา

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 14 คาทีม่ ีตัวการันต์ สรุ ปเนื้อหา คาทีม่ ีตัวการันต์  ตัวการันต์ คือ พยัญชนะที่มีไม้ทณั ฑฆาต ( -ิ์ ) กํากับอยูข่ า้ งบนทําให้ไม่อ่านออกเสี ยง พยัญชนะตัวนั้น  โดยทัว่ ไปเราจะเห็นตัวการันต์อยูท่ า้ ยคํา เช่น วันศุกร์ วันเสาร์ พิสูจน์  แต่มีคาํ บางคําที่มาจากภาษาต่างประเทศ มีตวั การันต์อยูก่ ลางคํา เช่น กอล์ฟ ชอล์ก ฟิ ล์ม คอนเสิ ร์ต  คําที่มีการันต์อย่าท้ายคํา มี 3 ลักษณะ ดังนี้ 1.ตัวการันต์ที่เป็ นพยัญชนะตัวเดียว เช่นการันต์ กฎเกณฑ์ ดาวเคราะห์ ประโยชน์ อารมณ์ เหตุการณ์ อาจารย์ 2.ตัวการันต์ที่เป็ นพยัญชนะสองตัว เช่น ดวงจันทร์ เวทมนตร์ สัญลักษณ์ พระอินทร์ วิทยาศาสตร์ 3.ตัวการันต์ที่เป็ นพยัญชนะ และสระ เช่นศักดิ์ศรี สวัสดิ์ บริ สุทธิ์ รามเกียรติ์ ขยายพันธุ์ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 15 คาทีม่ ี รร สรุ ปเนื้อหา คาทีม่ ี รร  รร เรี ยกว่า รอ-หัน คําที่ รร ไม่มีตวั สะกด อ่านออกเสี ยงสระ เป็ นเสี ยงอะ และอ่านออกเสี ยง ตัวสะกดเป็ นแม่ กน เช่น กรร อ่านว่า กัน จรร อ่านว่า จัน มรร อ่านว่า มัน

สรร อ่านว่า สัน

 คําที่ รร มีตวั สะกด อ่านออกเสี ยงสระเป็ นเสี ยง อะ และเสี ยงตัวสะกดอ่านออกเสี ยงตาม มาตราตัวสะกดนั้นๆ เช่น พรรค อ่านว่า พัก พรรณ อ่านว่า พัน ธรรม อ่านว่า ทํา

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 16 คาทีม่ ีพยัญชนะและสระทีไ่ ม่ ออกเสี ยง สรุ ปเนื้อหา  คําที่มีพยัญชนะไม่ออกเสี ยง เช่น สามารถ อ่านว่า สา-มาด สมัคร อ่านว่า สะ-หมัก เกษตร อ่านว่า กะ-เสด  คําที่มีสระไม่ออกเสี ยง เช่น อุบตั ิ อ่านว่า อุ-บัด อัตโนมัติ อ่านว่า อัด-ตะ-โน-มัด

รสชาติ อ่านว่า รด-ชาด ธาตุ อ่านว่า ทาด

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 17 คาทีม่ ีความหมายตรงข้ ามกัน สรุ ปเนื้อหา คาทีม่ ีความหมายตรงข้ ามกัน  คําที่มีความหมายตรงข้ามกันมีอยูม่ ากมายหลายคํา เช่น บน มีความหมายตรงข้ามกับ ล่าง นิ่ม มีความหมายตรงข้ามกับ แข็ง ขาย มีความหมายตรงข้ามกับ ซื้ อ สวมใส่ มีความหมายตรงข้ามกับ ถอดออก หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 18 คาคล้องจอง สรุ ปเนื้อหา คาคล้องจอง  คําคล้องจอง คือ คําที่มี่เสี ยงสัมผัสกัน ซึ่ งต้องเป็ นคําที่ประสมสระเสี ยงเดียวกัน ถ้ามี ตัวสะกดก็ตอ้ งเป็ นตัวสะกดมาตราเดียวกัน

 คําคล้องจองที่ไม่มีตวั สะกด ( คําในมาตรา ก กา ยกเว้น -ิาํ -ใ -ไ เ-า ) เช่น ม้า - ป่ า จ้า ตะกร้า หนา หญ้า สง่า นี้ - ปี สี ดี ที่ พี่ ชี้ หนี ครัว - มัว ตัว ชัว่ รั้ว ขรัว กลัว สลัว แม่ - แต่ แน่ แท้ แปล แตร  คําคล้องจองที่มีตวั สะกด เช่น มาตรา กง คง วง ตรง มาตรา กน วัน นั้น ชั้น มาตรา กม ลม ก้ม ขนม มาตรา เกย เนย เคย เย้ย มาตรา กก ทุก สุ ข ปลุก มาตรา กด จืด ยืด มืด มาตรา กบ แบบ แอบ แปลบ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 19 ภาษาไทยมาตรฐาน - ภาษาถิ่น สรุ ปเนื้อหา ภาษาไทยมาตรฐานและภาษาถิ่น  ภาษาไทยมาตรฐาน คือ ภาษาไทยที่ใช้กนั โดยทัว่ ไปเป็ นมาตรฐานในการใช้ภาษาของชาติ เพื่อการติดต่อสื่ อสารกันทัว่ ประเทศ  ภาษาถิ่น เป็ นภาษาที่ใช้พูดกันในท้องถิ่นแต่ละภาค จะใช้คาํ หรื อสําเนียงที่แตกต่างกันไป ซึ่ งจะแบ่งภาษาถิ่นตามลักษณะภูมิภาคได้ 3 ภาษา คือ ภาษาถิ่นเหนือ ภาษาถิ่นอีสาน ภาษา ถิ่นใต้  การศึกษาภาษาถิ่น ทําให้เราเข้าใจภาษาและวัฒนธรรมของคนในแต่ละท้องถิ่นได้ดีข้ ึน และช่วยให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างคนในชาติ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 20 การเขียน

สรุ ปเนื้อหา ประโยค  ประโยค คือ การนําคําต่าง ๆ มาเรี ยบเรี ยงต่อกันให้ได้ใจความว่า ใคร ทําอะไร ที่ไหน อย่างไร เช่น แม่ยมิ้ พี่วาดรู ป น้องวิง่ พ่อปลูกต้นไม้ ส่ วนข้อความที่มีคาํ ต่าง ๆ รวมกัน แต่มี ใจความที่ยงั ไม่ชดั เจนว่า  ใคร ทําอะไร เช่น คุณย่าของฉัน ยังไม่ทราบว่าคุณย่าทําอะไร หรื อ หนังสื อการ์ ตูน มะม่วง นํ้าดอกไม้ จัดเป็ นกลุ่มคํา ส่ วนประกอบของประโยค  ประโยคมีส่วนประกอบ 2 ส่ วน คือ ภาคประธาน และภาคแสดง บางประโยคมีส่วนขยาย ขยายภาคประธานบ้าง ขยายภาคแสดงบ้าง หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 21 การฟัง การดู และการพูด สรุ ปเนื้อหา  การฟัง การดู และการพูด เป็ นทักษะที่ใช้สื่อสารในชีวติ ประจําวันอยูต่ ลอดเวลา จึงควร ฝึ กฝนให้สามารถฟัง ดู พูด ได้อย่างคล่องแคล่ว เพื่อให้การสื่ อสารมีประสิ ทธิ ภาพ เรื่ องที่ 1 การฟังและปฏิบัติตามคาแนะนา คาสั่ งทีซ่ ับซ้ อน  คําแนะนําหรื อคําสั่งที่ซบั ซ้อน  หลักในการฟังและปฏิบตั ิตามคําแนะนํา หรื อคําสัง่ ที่ซบั ซ้อน เรื่ องที่ 2 การจับใจความ และพูดแสดงความคิดเห็น ความรู้ สึก จากเรื่ องทีฟ่ ังและดูท้งั ที่เป็ นความรู้ และความ บันเทิง  เรื่ องเล่าและสารคดีสาํ หรับเด็ก  นิทาน การ์ ตูน และเรื่ องขบขัน  ข่าวและเหตุการณ์ประจําวัน เรื่ องที่ 3 การพูดสื่ อสรในชี วติ ประจาวัน  การพูดแนะนําตัวเอง  การขอความช่วยเหลือ

 การกล่าวคําขอบคุณ  การกล่าวคําขอโทษ  การพูดขอร้องในโอกาสต่าง ๆ  การเล่าประสบการณ์ในชีวิตประจําวัน เรื่ องที่ 4 มารยาทในการฟัง การดู การพูด  มารยาทในการฟัง  มารยาทในการดู หรื อการชม  มารยาทในการพูด

กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 3 ___________________________________________________________________________

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 สระไทย ใช้ ประสมคา สรุ ปเนื้อหา เรียนรู้ เรื่ องสระ  สระในภาษาไทยมีรูปสระหลายรู ป เช่น -ะ -า เ- -อ สระบางรู ปมีเสี ยงสระเหมือนกัน เช่น -ะ กับ -ิั มีเสี ยง อะ เหมือนกัน แต่ใช้ประสมคําแตกต่างกัน คือ -ะ ใช้ประสมคําที่ไม่มี ตัวสะกด สระในภาษาไทยเหล่านี้จึงแบ่งเป็ นสระเดี่ยวสระประสม และสระที่มีเสี ยง พยัญชนะท้าย  คําที่ประสมด้วย สระเดี่ยว และไม่มีตวั สะกด จะปรากฏรู ปสระ ดังเช่น คะ -ะ คา -า สิ -ิ​ิ สี -ิี ฮึ -ิึ ฮือ - ิื อ  คําที่ประสมด้วยสระประสมและไม่มีตวั สะกด จะปรากฏรู ปสระ ดังเช่น เปี๊ ยะ -เ -ิี ยะ เอือะ เ -ิื อะ จัว๊ ะ -ิั วะ เลีย เ -ิี ย  คําที่ประสมด้วยสระที่มีเสี ยงพยัญชนะท้าย จะปรากฏรู ปสระ ดังเช่น ตํา - ิํา ออกเสี ยงเหมือนมี ม เป็ นตัวสะกด

ใต้ ใ -

ออกเสี ยงเหมือนมี ย เป็ นตัวสะกด

ไต้ ไ -

ออกเสี ยงเหมือนมี ย เป็ นตัวสะกด

เตา เ - า

ออกเสี ยงเหมือนมี ว เป็ นตัวสะกด

 เสี ยงสระที่ใช้รูปสระเดิมแม้มีตวั สะกด ได้แก่ อา - า เช่น ทา -> ทาย อิ -ิ​ิ

เช่น ติ -> ติด

อี -ิี

เช่น ซี -> ซีก

อึ -ิึ

เช่น ถึ -> ถึง

อุ -ิุ

เช่น จุ -> จุด

อู -ิู

เช่น คู -> คูน

เอ เ-

เช่น เก -> เกม

แอ แ-

เช่น แล -> แลบ

โอ โ-

เช่น โด -> โดน

ออ -อ

เช่น ซอ -> ซอย

เอีย เ -ิี ย

เช่น เปี ย -> เปี ยก

เอือ เ -ิื อ เช่น เรื อ -> เรื อน  เสี ยงสระที่ใช้รูปสระอื่น หรื อลดรู ปสระเมื่อมีตวั สะกด ได้แก่ คําที่ประสมสระ อะ เมื่อมี ตัวสะกดจะใช้รูป -ิั  คําที่ประสมสระ อือ เมื่อมีตวั สะกดจะใช้รูป -ิื  คําที่ประสมสระ เอะ เมื่อมีตวั สะกดจะใช้รูป เ -ิ็  คําที่ประสมสระ เเอะ เมื่อมีตวั สะกดจะใช้รูป แ -ิ็  คําที่ประสมสระ โอะ เมื่อมีตวั สะกดจะไม่ปรากฎรู ปสระ  คําทีประสมสระ เอาะ เมื่อมีตวั สะกดจะใช้รูป -ิ็ อ  คําที่ประสมสระ ออ เมื่อมี ร เป็ นตัวสะกดจะไม่ปรากฎรู ปสระ

 คําที่ประสมสระ เออ เมื่อมีตวั สะกดยกเว้น ย จะใช้รูป เ -ิ​ิ  คําที่ประสมสระ เออ เมื่อมี ย เป็ นตัวสะกดจะใช้รูป เ  คําที่ประสมสระ อัว เมื่อมีตวั สะกดจะใช้รูป - ว

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 มาตรา ก กา รู้ ว่าไม่ มีตัวสะกด สรุ ปเนื้อหา เรียนรู้ เรื่ อง มาตรา ก กา  คําในมาตรา ก กา คือ คําที่พยัญชนะต้นประสมกับสระและวรรณยุกต์ ไม่มีตวั สะกด จะ เป็ นสระเสี ยงสั้นหรื อเสี ยงยาวก็ได้  คําในมาตรา ก กา ที่ประสมด้วยสระเสี ยงสั้น เช่น ตะไคร่ กะเพรา วิริยะ เปาะแปะ  คําในมาตรา ก กา ที่ประสมด้วยสระเสี ยงยาว เช่น อารี คู่หู โลเล ท่าที หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 มาตรา กง กม เกย เกอว ตัวสะกดกาหนดเสี ยง สรุ ปเนื้อหา เรียนรู้ เรื่ อง มาตราตัวสะกดที่มีตัวสะกดตัวเดียว  มาตราตัวสะกด คือ พยัญชนะที่ประสมอยูข่ า้ งหลังสระ และออกเสี ยงรวมกับสระ ซึ่ งมี ทั้งหมด 8 มาตรา คือ มาตรา กง กม เกย เกอว กก กด กน และกบ ส่ วนคําที่ไม่มีตวั สะกดจัด อยูใ่ นมาตรา ก กา มาตราตัวสะกดที่มีตวั สะกดตัวเดียว ได้แก่ มาตรา กง กม เกอว เกย หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 มาตรา กก กด กน กบ ตัวสะกดหลายตัว สรุ ปเนื้อหา เรียนรู้ เรื่ อง มาตราตัวสะกดที่มีตัวสะกดทีม่ ีตัวสะกดหลายตัว  มาตราตัวสะกดที่มีตวั สะกดหลายตัว มี 4 มาตรา คือ มาตรา กด กน และกบ ดังนี้ มาตรา กก ได้แก่ ก ข ฆ ค

มาตรา กด ได้แก่ จ ช ซ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ต ถ ท ธ ศ ษ ส ด จ มาตรา กน ได้แก่ ญ ณ ร ล ฬ น มาตรา กบ ได้แก่ บ ป พ ภ ฟ

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 5 วรรณยุกต์ สนุกกับการผันอักษร สรุ ปเนื้อหา เรียนรู้ เรื่ อง วรรณยุกต์ และการผันอักษร  วรรณยุกต์ คือ เครื่ องหมายที่กาํ หนดเสี ยงสู งตํ่าของพยางค์หรื อคํา วรรณยุกต์ประกอบด้วย รู ปวรรณยุกต์ และเสี ยงวรรณยุกต์  รู ปวรรณยุกต์มี 4 รู ปคือ -ิ่ -ิ้ -ิ๊ -ิ๋  เสี ยงวรรณยุกต์ หมายถึง เสี ยงสู งหรื อตํ่าตามอักษร 3 หมู่ มี 5 เสี ยง คือ เสี ยงสามัญ เสี ยงเอก เสี ยงโท เสี ยงตรี และเสี ยงจัตวา  คําทุกคําจะมีเสี ยงวรรณยุกต์ แม้วา่ จะมีรูปวรรณยุกต์ หรื อไม่มีรูปวรรณยุกต์กาํ กับอยูก่ ็ตาม การผันอักษร  เมื่อจะฝึ กผันอักษรต้องรู ้จกั อักษร 3 หมู่ก่อน ดังนี้ อักษร 3 หมู่ หรื อ ไตรยางศ์ คือ การจัดแบ่งพยัญชนะไทย 44 ตัว ออกตามระดับเสี ยงได้ 3 หมู่ คือ อักษรสู ง กลาง และตํ่า  การผันอักษร คือ การเปลี่ยนแปลงเสี ยงพยัญชนะให้สูงไปตํ่าตามวรรณยุกต์ซ่ ึงจะต้อง สัมพันธ์กบั อักษร 3 หมู่ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 6 ควบกลา้ คาทีม่ ี ร ล ว สรุ ปเนื้อหา เรียนรู้ เรื่ อง คาทีม่ ีพยัญชนะควบกลา้  คําที่มีพยัญชนะควบกลํ้า คือ คําที่มีพยัญชนะต้น 2 ตัว ประสมสระเดียวกัน แบ่งเป็ น 2 ชนิด คือ คําควบกลํ้าแท้ และคําควบกลํ้าไม่แท้

 คําควบกลํ้าแท้ คือ คําที่ออกเสี ยงพยัญชนะต้นตัวหน้าควบกับพยัญชนะ ร ล ว เช่น กรุ ย กราย เกลื่อนกลาด กวัดแกว่ง เมื่อต้องอ่านออกเสี ยงต้องอ่าน กด กล กว พร้อมกันประสม กับสระ และเสี ยงวรรณยุกต์ตามพยัญชนะตัวหน้า  คําควบกลํ้าไม่แท้ คือ คําที่มีพยัญชนะต้น 2 ตัว ประสมสระเดียวกัน พยัญชนะต้นตัวที่ 2 เป็ น ร ซึ่งมีวธิ ีการออกเสี ยง 2 แบบ คือ ออกเสี ยงเฉพาะพยัญชนะต้นตัวแรก และออกเสี ยง ทร เป็ นเสี ยง ซ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 7 อักษรนา ทาให้ เสี ยงต่ างไป สรุ ปเนื้อหา เรียนรู้ เรื่ อง คาทีม่ ีอักษรนา  คําที่มีอกั ษรนํา คือ คําที่มีพยัญชนะต้นสองตัวประสมตัวประสมสระเดียวกันออกเสี ยงได้ 2 แบบ คือ ออกเสี ยงพยางค์เดียว และออกเสี ยงสองพยางค์  คําที่มีอกั ษรนําออกเสี ยงพยางค์เดียว คือ คําที่มี ห นํา และคําที่มี อ นํา ย  คําที่ ห นํา เช่น หรู หรา หวาดหวัน่ หนักหนา เหยียดหยาม  คําที่ อ นํา ย มี 4 คํา ได้แก่ อย่า อยู่ อย่าง อยาก  คําที่มีอกั ษรนําออกเสี ยงสองพยางค์ คือ คําที่มีอกั ษรสู งนําอักษรตํ่าเดี่ยว และคําที่มี อกั ษร กลางนําอักษรตํ่าเดี่ยว โดยพยางค์แรกออกเสี ยง อะ กึ่งเสี ยง พยางค์ที่สองออกเสี ยงแบบมี ห นํา  คําที่มีอกั ษรสู งนําอักษรตํ่าเดี่ยว เช่น ขยับขยาย เถลไถล เฉลียวฉลาด สนับสนุน  คําที่อกั ษรกลางนําอักษรตํ่าเดี่ยว เช่น จรัส ตลาด ปลัด อร่ าม อเนก หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 8 คาทีป่ ระวิสรรชนีย์ และคาทีไ่ ม่ ประวิสรรชนีย์ สรุ ปเนื้อหา เรียนรู้ เรื่ อง คาที่ประวิสรรชนีย์ และคาทีไ่ ม่ ประวิสรรชนีย์  วิสรรชนีย ์ คือ รู ป -ะ ใช้เขียนหลังพยัญชนะ เช่น กะ จะ ปะ มีวธิ ี ใช้ดงั นี้  คําที่ประวิสรรชนีย ์ คือ คําที่มีรูป -ะ ประสมอยูแ่ ละอ่านออกเสี ยง อะ เต็มเสี ยง แบ่งเป็ น 2 ลักษณะ ได้แก่

1. ประวิสรรชนียท์ ี่พยางค์หน้าส่ วนใหญ่มกั จะเป็ นคําไทย 2 .ประวิสรรชนียท์ ี่พยางค์ทา้ ย คําที่ออกเสี ยง อะ ท้ายพยางค์ตอ้ งประวิสรรชนียท์ ุกคํา  คําที่ไม่ประวิสรรชนีย ์ คือ คําที่ไม่มีรูป -ะ ประสมอยูแ่ ต่อ่านออกเสี ยงอะกึ่งเสี ยง แบ่ง 2 ลักษณะ ได้แก่ 1 .ออกเสี ยง อะ กึ่งเสี ยงที่พยางค์หน้า 2. ออกเสี ยง อะ กึ่งเสี ยงระหว่างคํา

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 9 คาทีใ่ ช้ บัน บรร รร สรุ ปเนื้อหา เรียนรู้ เรื่ อง คาทีใ่ ช้ บัน บรร รร  คําที่ใช้ บัน ปัจจุบนั คําใช้ บัน ในภาษาไทยมี 5 คํา คือ บันดาล บันได บันทึก บันเทิง บันลือ  คําที่ใช้ บรร จะออกเสี ยงเหมือนประสมเสี ยง อะ และมีเสี ยงตัวสะกดในมาตรา กน เช่น บรรจง บรรดา บรรทุก บรรลัย บรรหาร  คําที่ใช้ รร (ร หัน) มีหลักการอ่าน ดังนี้ 1. คําที่ใช้ รร ไม่มีตวั สะกด อ่านออกเสี ยงเหมือนประสมเสี ยง อะ และมีเสี ยงตัวสะกดใน มาตรา กน เช่น มรรยาท จรรยา ขรรค์ สวรรค์ สรรพากร 2. คําที่ใช้ รร มีตวั สะกดอ่านออกเสี ยงเหมือนประสมเสี ยง อะ และมีเสี ยงตัวสะกดตาม มาตราตัวสะกดของคํานั้น เช่น กรรมการ ธรรมดา วรรณคดี อุปสรรค ผิวพรรณ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 10 คาทีม่ ีตัวการันต์ สรุ ปเนื้อหา เรียนรู้ เนื้อหา ตัวการั นต์  ตัวการันต์ คือ พยัญชนะที่มีไม้ทณั ฑฆาต (อ่านว่า ทัน-ทะ-คาด) -ิ์ กํากับอยูข่ า้ งบน เวลา อ่านไม่ตอ้ งออกเสี ยงพยัญชนะตัวนั้น ซึ่ งตัวการันต์อาจอยูก่ ลางคําหรื อท้ายคําก็ได้

 เหตุที่มีตอ้ งมีตวั การันต์ในภาษาไทยนั้น เพื่อต้องการรักษารู ปศัพท์เดิมของคําที่เป็ น ภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาบาลี และภาษาสันสกฤตที่ไทยนํามาใช้ เนื่องจาก คําเหล่านี้ออกเสี ยงยาก เมื่อเติมตัวการันต์แล้วจะทําให้ออกเสี ยงได้ง่ายขึ้น  คําที่มีตวั การันต์มีลกั ษณะดังนี้ 1 .ตัวการันต์อยูท่ า้ ยคํา 1.ตัวการันต์ที่เป็ นพยัญชนะตัวเดียว เช่น มนุษย์ สัตว์ รถยนต์ สัมภาษณ์ 2. ตัวการันต์ที่เป็ นพยัญชนะสองตัว เช่น กาญจน์ ลักษณ์ ปั ญหาเชาวน์ ประชาราษฎร์ 3.ตัวการันต์ที่เป็ นพยัญชนะและสระ เช่น มหาหิ งค์ิุ เผ่าพันธุ์ อิทธิ ฤทธิ์ เปรมปรี ด์ ิ ศักดิ์ศรี 2. ตัวการันต์ที่เป็ นพยัญชนะอยูก่ ลางคํา เช่น ชอล์ก สาส์น แคร์ รอต คอนเสิ ร์ต หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 11 คาทีม่ ีพยัญชนะและสระไม่ ออกเสี ยง สรุ ปเนื้อหา เรียนรู้ เรื่ อง คาทีม่ ีพยัญชนะและสระไม่ ออกเสี ยง  คําที่มีพยัญชนะและสระไม่ออกเสี ยง หมายถึง คําที่มีรูปของพยัญชนะและสระบางตัว ปรากฏอยู่ แต่รูปพยัญชนะและสระตัวนั้นจะไม่ออกเสี ยงเวลาอ่าน ซึ่ งจําแนกได้ ดังนี้ 1. ไม่ออกเสี ยง ร หรื อ ห ซึ่ งอยูก่ ลางคํา เช่น ชลมารค พจนารถ ปรารถนา พราหมณ์ 2. ไม่ออกเสี ยง ร ที่อยูห่ ลังตัวสะกด เช่น เกษตร มิตร เพชร 3. ไม่ออกเสี ยงสระ -ิ​ิ หรื อสระ -ิุ ที่อยูก่ บั ตัวสะกดในคําบางคํา เช่น เหตุ พยาธิ ภูมิใจ ประวัติ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 12 คาทีใ่ ช้ ฑ ฤ ฤๅ สรุ ปเนื้อหา เรียนรู้ เรื่ อง คาทีใ่ ช้ ฑ ฤ ฤๅ  คําทําใช้ ฑ ฑ เป็ นพยัญชนะตัวที่ 17 ในพยัญชนะ 44 ตัวของไทย

ฑ เมื่อใช้เขียนเป็ นพยัญชนะต้น อ่านออกเสี ยงได้ 2 แบบ ดังนี้ 1. ออกเสี ยงเป็ น ท เช่น ขันฑสี มา ขัณฑสกร ทัณฑฆาต 2. ออกเสี ยงเป็ น ด เช่น บัณฑิต บัณเฑาะว์ มณฑป  คําที่ใช้ ฤ ฤ เป็ นสระเกิน คือ สระที่มีเสี ยงพยัญชนะ ร รวมอยูด่ ว้ ย ฤ อ่านออกเสี ยงได้ 3 แบบ ดังนี้ 1 .อ่านออกเสี ยงเป็ น รึ เช่น ฤดู คฤหัสถ์ พฤกษา มฤตยู 2. ออกเสี ยงเป็ น ริ เช่น ฤทธิ์ กฤษณา ตฤณ ทฤษฎี 3. ออกเสี ยงเป็ น เรอ มีคาํ เดียว คือ ฤกษ์ อ่านว่า เริ ก  คําที่ใช้ ฤๅ ฤๅ ถ้าใช้โดด ๆ ไม่ประสมกับพยัญชนะใด จะมีความหมายว่า หรื อ อะไร ไมใช่ ซึ่ งจะพบ เฉพาะในบทร้อยกรอง แต่เมื่อนํามาประสมกับคําอื่นจะมีความหมายเปลี่ยนแปลงไป เช่น ฤๅษี ฤๅสาย ฤๅทัย

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 13 คาพ้อง สรุ ปเนื้อหา เรียนรู้ เรื่ องคาพ้ อง  คําพ้อง คือ คําที่มีการเขียนหรื อการอ่านออกเสี ยงเหมือนกันแบ่งเป็ น 2 ชนิด คือ คําพ้องรู ป และคําพ้องเสี ยง  คําพ้องรู ป มีลกั ษณะคือ เขียนเหมือนกัน อ่านออกเสี ยงต่างกัน ความหมายต่างกัน  คําพ้องเสี ยง มีลกั ษณะคือ อ่านออกเสี ยงเหมือนกัน เขียนต่างกัน ความหมายต่างกัน หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 14 ชนิดของคา ทาหลายหน้ าที่ สรุ ปเนื้อหา เรียนรู้ เรื่ อง ชนิดและหน้ าทีข่ องคา

 คําในภาษาไทยแบ่งเป็ นชนิดต่าง ๆ ตามลักษณะและหน้าที่ของคํานั้นๆในประโยค คําที่ นักเรี ยนควรรู ้จกั ในชั้นนี้ คือ คํานาม คําสรรพนาม และคํากริ ยา คานาม  คํานาม คือ คําที่ใช้เรี ยน คน พืช สัตว์ สิ่ งของ และสถานที่ มีท้ งั คํานามไม่ช้ ีเฉพาะและ คํานามชี้เฉพาะ 1 .คํานามไม่ช้ ีเฉพาะ เป็ นคํานามที่ใช้เรี ยกชื่อทัว่ ไป ไม่ได้ช้ ีเฉพาะเจาะจง 2. คํานามชี้เฉพาะ เป็ นคํานามที่ใช้เรี ยกชื่อเฉพาะของคน สัตว์ สิ่ งของ และสถานที่ ซึ่ งมี เพียงหนึ่งเดียว คาสรรพนาม  คําสรรพนาม คือ คําที่ใช้แทนคํานาม เพื่อไม่ตอ้ งใช้คาํ นามนั้นซํ้าอีก คําสรรพนามที่ใช้ใน การสนทนามีดงั นี้ 1. คําสรรพนามใช้แทนผูพ้ ูด เช่น เรา ฉัน ดิฉนั หนู ผม กระผม ข้าพเจ้า 2. คําสรรพนามใช้แทนผูฟ้ ัง เช่น คุณ เธอ 3. คําสรรพนามใช้แทนผูท้ ี่ถูกกล่าวถึง เช่น เขา มัน ท่าน พระองค์ คากริยา  คํากริ ยา คือ คําที่ใช้แสดงอาการ การกระทําต่าง ๆ หรื อแสดงสภาพอย่างใดอย่างหนึ่งของ คน สัตว์ สิ่ งของ และปรากฏการณ์ตามธรรมชาติมีท้ งั คํากริ ยาไม่ตอ้ งการกรรมและคํากริ ยา ต้องการกรรม 1. คํากริ ยาไม่ตอ้ งการกรรม เป็ นคํากริ ยาที่มีความหมายสมบูรณ์ในตัวเอง ไม่ตอ้ งมีกรรมมา รับข้างท้าย 2. คํากริ ยาต้องการกรรม เป็ นคํากริ ยาที่มีความหมายไม่สมบูรณ์ในตัวเอง ต้องมีกรรมมารับ ข้างท้ายจึงได้ใจความสมบูรณ์ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 15 การใช้ พจนานุกรม สรุ ปเนื้อหา เรียนรู้ เรื่ อง การใช้ พจนานุกรม

 พจนานุกรม เป็ นหนังสื อซึ่งรวบรวมคําที่มีใช้อยูใ่ นภาษาไทยโดยเรี ยงลําดับคําตาม ตัวอักษร และกําหนดเสี ยงอ่าน ความหมาย ชนิด และที่มาของคําเพื่อใช้เป็ นมาตรฐานใน การใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องและเป็ นแนวทางเดียวกัน  หลักการใช้พจนานุกรมเพื่อค้นหาคําและความหมายของคํา มีเกณฑ์ที่ควรรู ้ดงั นี้ 1. การเรี ยงลําดับคํา 1. เรี ยงคําตามลําดับพยัญชนะ ก-ฮ ส่ วนตัว ฤ ฤๅ อยูห่ ลัง ร และ ภ ภๅ อยูห่ ลัง ล 2. เรี ยงคําตามรู ปสระ 3. คําที่ไม่มีรูปสระจะมาก่อนคําที่มีรูปสระ 2. อักษรย่อบอกชนิดคํา เช่น น. หมายถึง คํานาม ส. หมายถึง คําสรรพนาม ก. หมายถึง คํากริ ยา หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 16 การแต่ งประโยคเพื่อการสื่ อสาร สรุ ปเนื้อหา เรียนรู้ เรื่ อง การแต่ งประโยคเพื่อการสื่ อสาร  ประโยค คือ คําหรื อกลุ่มคําที่นาํ มาเรี ยบเรี ยงแล้วได้ใจความสมบูรณ์ ว่าใครหรื อสิ่ งใดทํา กริ ยาอาการอย่างไร ส่ วนประกอบของประโยค  ประโยคทุกชนิดประกอบด้วย 2 ส่ วน คือ ภาคประธาน และภาคแสดง  ภาคประธาน ประกอบด้วย ประธาน คือ ผูก้ ระทําหรื อผูแ้ สดงอาการซึ่งเป็ นคํานามหรื อคํา สรรพนาม  ภาคแสดง ประกอบด้วย กริ ยาและกรรม กริ ยาเป็ นส่ วนที่แสดงอาการหรื อการกระทําของ ประธานในประโยค ส่ วนกรรม คือผูถ้ ูกกระทํา ประโยคเพื่อการสื่ อสาร  ประโยคที่ใช้สื่อสารในชีวิตประจําวันมีหลายชนิ ด ดังนี้

1. ประโยคบอกเล่า เป็ นประโยคที่บอกให้ทราบว่า ใคร ทําอะไร 2. ประโยคปฏิเสธ เป็ นประโยคคัดค้านหรื อไม่ยอมรับ บอกให้ทราบว่าประธานไม่ได้เป็ น ผูก้ ระทํา มักมีคาํ ว่า ไม่ ไม่ได้ มิได้ อยูใ่ นประโยค 3. ประโยคคําถาม เป็ นประโยคที่แสดงความสงสัย และต้องการคําตอบ ซึ่งในประโยค มักจะมีคาํ ว่า กี่ ใคร หรื อ ที่ไหน อะไร ทําไม อย่างไร ถ้าใช้ชีวติ ประจําวันควรลงท้าย ประโยคด้วยคําว่า คะ ครับ จะทําให้ประโยคสุ ภาพและไพเราะมากขึ้น 4. ประโยคขอร้อง เป็ นประโยคที่มีใจความเพื่อขอความช่วยเหลือขอให้ใครช่วยทําหรื อไม่ ทําสิ่ งใดสิ่ งหนึ่ง ซึ่ งจะละประธานของประโยคไว้แต่มีคาํ ว่า กรุ ณา โปรด ช่วย อยูห่ น้า ประโยค และมักมีคาํ ว่า ด้วย หน่อย นะ อยูท่ า้ ยประโยค ถ้าใช้ประโยคขอร้องใน ชีวติ ประจําวัน ควรมีคาํ ลงท้ายประโยคว่า ค่ะ ครับ นะคะ นะครับ เพื่อทําให้ประโยค ไพเราะและสุ ภาพมากขึ้น 5. ประโยคคําสัง่ เป็ นประโยคที่สงั่ ให้ทาํ หรื อห้ามทําสิ่ งใดสิ่ งหนึ่งซึ่ งจะละประธานของ ประโยคไว้ แต่จะใช้คาํ กริ ยาหรื อคําว่า อย่า ห้าม จง ขึ้นต้นประโยค หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 17 คาคล้องจองและคาขวัญ สรุ ปเนื้อหา เรียนรู้ เรื่ อง คาคล้ องจองและคาขวัญ คาคล้องจอง  คําคล้องจอง คือ คําที่มีเสี ยงสัมผัสกัน มีลกั ษณะดังนี้​้ 1. คําในมาตรา ก กา ที่ประสมสระเดียวกัน เช่น พา-ฟ้า โด-โบ ไก่-ไม้ นัด-ชัด แสง-แจ้ง เ พียร-เรี ยน  คําคล้องจองแบ่งได้ตามจํานวนพยางค์ คือ คําคล้องจอง 1 พยางค์ เช่น ม้า-ลา กิน-บิน คําคล้องจอง 2 พยางค์ เช่น ใกล้ชิด-จิตใจ คนเก่ง-เร่ งเรี ยน คําคล้องจอง 3 พยางค์ เช่น อ่านหนังสื อ-คือปั ญญา สายลมอ่อน-ผ่อนสายป่ าน คําคล้องจอง 4 พยางค์ เช่น ขยะมีพิษ-ชีวติ มีภยั ฉันเป็ นคนไทย-ใฝ่ ใจทําดี

คาขวัญ  คําขวัญ เป็ นถ้อยคําที่แต่งขึ้นเพื่อเตือนใจหรื อเชิ ญชวนให้ผอู ้ ่านหรื อผูฟ้ ังยึดเป็ นแนวทางใน การปฏิบตั ิ  หลักการเขียนคําขวัญ ต้องเป็ นข้อความสั้น ๆ อาจแบ่งเป็ นวรรคและมีเสี ยงสัมผัสคล้องจอง กันเพื่อให้จดจําได้ง่าย และไพเราะ

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 18 ภาษาไทยมาตรฐานและภาษาถิ่น สรุ ปเนื้อหา เรียนรู้ เรื่ อง ภาษาไทยมาตรฐานและภาษาถิ่น  ภาษาไทยมาตรฐาน คือ ภาษาไทยที่ใช้เป็ นภาษาทางราชการสื่ อสารกันทัว่ ประเทศ และใช้ ในการเรี ยนการสอน เพื่อให้คนไทยได้ใช้ภาษาเดียวกันในการติดต่อสื่ อสาร สร้างความ เป็ นหนึ่งเดียวของคนในชาติ  ภาษาถิ่น คือ ภาษาเฉพาะของท้องถิ่นใดท้องถิ่นหนึ่งที่มีลกั ษณะเฉพาะตัวทั้งถ้อยคําและ สําเนียง  ภาษาถิ่นแบ่งตามภูมิภาคได้ 3 ภาษาคือ ภาษาถิ่นเหนือ  การศึกษาภาษาถิ่นทําให้เราเข้าใจภาษาและวัฒนธรรมของคนในแต่ละท้องถิ่นได้ดีข้ ึน และ ช่วยให้เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างคนในชาติ หลักการสั งเกตคาในภาษาถิ่น  1. การใช้คาํ ลงท้ายประโยคหรื อวลี เช่น เจ้า เด้อ พรื อ  2 .คําภาษาถิ่นมีคาํ ศัพท์ที่แตกต่างกัน  3. คําภาษาถิ่นบางคํามีความหมายที่แตกต่างกับคําในภาษาไทยมาตรฐาน หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 19 การอ่าน สรุ ปเนื้อหา เรื่ องที่ 1 การอ่านข้ อเขียนเชิงอธิบาย

เรื่ องที่ 2 การอ่ านข้ อมูลจากแผนภาพ แผนที่ และแผนภูมิ แผนภาพ  แผนภาพ คือ ภาพหรื อเค้าโครงที่สร้างขึ้นเพื่อช่วยอธิ บายเรื่ องราวให้เป็ นระบบและเข้าใจ ได้ชดั เจนยิง่ ขึ้น แผนที่  แผนที่ คือ แบบที่เขียนย่อจากพื้นดิน บอกแม่น้ าํ ฝั่งทะเลอื่น ๆ การอ่านแผนที่เป็ นการอ่าน สัญลักษณ์และรู ปภาพเพื่อศึกษาเกี่ยวกับลักษณะของพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่ง แผนภูมิ  แผนภูมิ คือ แผนภาพอย่างหนึ่งที่ทาํ ขึ้นเพื่อใช้แสดงประกอบเรื่ องให้เข้าใจเรื่ องราวได้ง่าย ขึ้น เรื่ องที่ 3 มารยาทในการอ่าน หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 20 การเขียน สรุ ปเนื้อหา เรื่ องที่ 1 การคัดลายมือ  หลักการคัดลายมือ 1. นัง่ ตัวตรง 2. จับดินสอหรื อปากกาให้ถูกต้อง 3. เขียนตัวอักษรให้ถูกส่ วน 4. การเขียนพยัญชนะต้องเขียนให้ตวั พยัญชนะจรดเส้นบรรทัดทั้งบนล่าง 5. วางพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ให้ถูกต้องตามตําแหน่ง เรื่ องที่ 2 การเขียนบรรยาย  บรรยาย หมายถึง ชี้แจง อธิ บาย เล่าเรื่ อง  การเขียนบรรยาย  การเขียนบรรยายภาพ

1. การสังเกตภาพ 2. การเชื่อมโยงเรื่ องราว 3. การตั้งชื่อ เรื่ องที่ 3 การเขียนบันทึกประจาวัน  การเขียนบันทึกประจําวัน คือ การเขียนเรื่ องราวจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจําวัน  หลักการเขียนบันทึกประจําวัน 1. เขียนวัน เดือน ปี 2. ผูเ้ ขียนจะบันทึกในรู ปแบบใด หรื อขึ้นต้นอย่างไรก็ได้ 3. ถ้อยคําจะเป็ นภาษาพูดง่าย ๆ หรื อไพเราะเพียงใดขึ้นอยูก่ บั ผูเ้ ขียน 4. ควรใช้ถอ้ ยคําที่สุภาพ ไม่ก่อให้เกิดความเสี ยหายแก่ผกู ้ ล่าวถึง 5. การเขียนต้องได้ใจความสําคัญ แสดงความคิด ความรู ้สึกและข้อเสนอแนะต่าง ๆ เรื่ องที่ 4 การเขียนจดหมายลาครู  การเขียนจดหมายลาครู เป็ นการเขียนจดหมายถึงครู เพื่อแจ้งสาเหตุของการหยุดเรี ยน  ส่ วนประกอบของจดหมายลาครู  รู ปแบบของการเขียนจดหมายลาครู  เนื้อความของจดหมายลากิจ  เนื้อความของจดหมายลาป่ วย เรื่ องที่ 5 การเขียนเรื่ องตามจินตนาการ  จินตนาการ หมายถึง การสร้างภาพขึ้นในจิตใจ การเขียนเรื่ องตามจินตนาการ เป็ นการเขียน เรื่ องราวที่เกิดจากความคิด  การเขียนเรื่ องตามจินตนาการจากคํา  การเขียนเรื่ องตามจินตนาการจากภาพ  การเขียนเรื่ องตามจินตนาการจากหัวข้อที่กาํ หนด  เรื่ องที่ 6 มารยาทในการเขียน

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 21 การฟัง การดู และการพูด สรุ ปเนื้อหา เรื่ องที่ 1 การจับใจความ และพูดแสดงความคิดเห็นและความรู้ สึกจากเรื่ องทีฟ่ ังและดู  การจับใจความจากการฟังและการดู  การพูดแสดงความคิดเห็นและความรู ้สึกจากเรื่ องที่ฟังและดู เรื่ องที่ 2 การพูดสื่ อสารในชี วติ ประจาวัน  การพูด หมายถึง การถ่ายทอดความรู ้ ความคิด ความรู ้สึก อารมณ์ ทัศนคติ ประสบการณ์ จากผูพ้ ูดไปยังผูฟ้ ัง โดยผ่านถ้อยคํา สี หน้า แววตา รวมทั้งนํ้าเสี ยงและกิริยาท่าทางที่ แสดงออก 1. การแนะนําตัวเอง 2. การแนะนําสถานที่ในโรงเรี ยน 3. การแนะนํา เชิ ญชวนเกี่ยวกับการปฏิบตั ิตนในด้านต่าง ๆ 4. การเล่าประสบการณ์ในชีวิตประจําวัน 5. การพูดในโอกาสต่าง ๆ  ลักษณะของผูพ้ ูดที่ดี  โอกาสในการพูด 1. การพูดขอร้อง 2. การพูดทักทาย 3. การกล่าวขอบคุณ 4. การกล่าวขอโทษ 5. การพูดปฏิเสธ 6. การพูดซักถาม เรื่ องที่ 3 มารยาทในการฟัง การดู และการพูด

 มารยาทในการฟัง การดู และการพูด เป็ นสิ่ งสําคัญสําหรับทุกคน การฟัง การดู และการพูด อย่างสุ ภาพและตั้งใจ ช่วยให้ได้รับความรู ้อย่างเต็มที่ และการสื่ อสารมีประสิ ทธิ ภาพ  มารยาทในการฟังและดู  มารยาทในการพูด

สรุปเนื้อ หลักภาษาและการใช้ ภาษาไทย และวรรณคดีและวรรณกรรม กลุ่มสาระการเรียนรู้ วชิ าภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4

มาตราตัวสะกด หน่ วยการเรียนรู้ ที่1 มาตรา ก กา มาตรา ก กา คือ คําที่มีพยัญชนะต้นประสมสระ (ทั้งสระเสี ยงสั้นและสระเสี ยงยาว) และวรรณยุกต์ บางคําอาจมีตวั การันต์ แต่ไม่มีตวั สระกด ตัวอย่าง

สระเสี ยงสั้ น --->> มะลิ

สละ

เปาะเปี๊ ยะ

โลมา

สาลี่

นาเกลือ

สระเสี ยงยาว --->>

หน่ วยการเรียนรู้ ท2ี่ มาตราตัวสะกด 8 มาตรา ตัวสะกด คือ พยัญชนะที่ประสมอยูข่ า้ งหลังสระ และออกเสี ยงรวมกับสระมี 8 มาตรา ได้แก่ มาตรา กง กม กม เกย เกอว เป็ นมาตราตัวสะกดที่มีพยัญชนะเป็ นตัวสะกดตัวเดียว แลมาตรา กก กด กน กบ เป็ น มาตราตัวสะกดที่มีพยัญชนะเป็ นตัวสะกดหลายตัว ส่ วนคําไหนที่ไม่มีตวั สะกดจัดอยูใ่ นมาตรา ก กา

ตัวอย่าง

มาตราตัวสะกดทีม่ ีตัวสะกดตัวเดียว มาตรา กง คือ คําที่มี ง เป็ นตัวสะกด เช่น กางเกง ห่วงยาง โขลงช้าง มาตรา กม คือ คําที่มี ม เป็ นตัวสะกด เช่น สามเหลี่ยม แหลมคม ก้ามกราม มาตรา เกย คือ คําที่มี ย เป็ นตัวสะกด เช่น ตุ๋ยตุ่ย ชายคา มวยไทย มาตรา เกอว คือ คําที่มี ว เป็ นตัวสะกด เขียวขจี คดเคี้ยว จันทร์ เสี้ ยว

ตัวอย่าง

มาตราตัวสะกดทีม่ ีตัวสะกดหลายตัว

มาตรา กก คือ คําที่มี ก ข ค ฆ เป็ นตัวสะกด เมื่อออกเสี ยงจะมีเสี ยงเหมือน “ก” เป็ น ตัวสะกด เช่น โตก (ขันโตก) ปั กเป้า (ปัก-กะ-เป้า) วิหค มาตรา กด คือ คําที่มี ด จ ฉ ช ซ ฌ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ต ถ ท ธ ศ ษ ส เป็ นตัวสะกด เมื่อออกเสี ยง จะมีเสี ยงเหมือน “ด” เป็ นตัวสะกด เช่น ระนาด แพทย์ จัยุตรัส (จัด-ตุ-หฺ รัด) มาตรา กน คือคําที่มี น ญ ณ ร ล ฬ เป็ นตัวสะกด เมื่อออกเสี ยงจะมีเสี ยงเหมือน “น” เป็ น ตัวสะกด เช่น เต็นท์ อัญชัน วาฬสี น้ าํ เงิน มาตรา กบ คือ คําที่มี บ ป พ ฟ ภ เป็ นตัวสะกด เมื่อออกเสี ยงจะมีเสี ยงเหมือน “บ” เป็ น ตัวสะกด เช่น ทับทิม กะหรี่ ปั๊บ ซิ ป

การผันอักษร หน่ วยการเรียนรู้ ท3ี่ ไตรยางศ์ สร้ างคา ไตรยางศ์ หมายถึง อักษร 3 หมู่ เป็ นการจัดแบ่งพยัญชนะไทย 44 ตามระดับเสี ยงได้ 3 หมู่ คือ อักษรสู ง อักษรกลาง และอักษรตํ่า อักษรสู ง

พื้นเสี ยงเป็ นเสี ยงจัตวา มี 11 ตัว ได้แก่ ข ฃ ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ษ ส ห

คําที่มีพยัญชนะต้นเป็ นอักษรสู ง เช่น ฉมวก ถนน ผีเสื้ อ ฝรั่งเศส เห็ดหอม เศษส่ วน ข้าวสวย อักษรกลาง

พื้นเสี ยงเป็ นเสี ยงสามัญ มี 9 ตัว ได้แก่ ก จ ฎ ฏ ด ต บ ป อ

คําที่มีพยัญชนะต้นเป็ นอักษรกลาง เช่น โกงกาง จุบ๊ แจง ดอกจอก ต้องเต บ๊ะจ่าง ประดู่ อัฒจันทร์

อักษรต่า

พื้นเสี ยงเป็ นเสี ยงสามัญ มี 24 ตัว ได้แก่

ค ฅ ฆ ง ช ซ ฌ ญ ฑฒณ ท ธ น พ ฟ ภ ม ย ร ล ว ฬ ฮ คําที่มีพยัญชนะต้นเป็ นอักษรตํ่า เช่น คัทลียา (คัด-ทะ-ลี-ยา) ชักเย่อ (ชัก-กะ-เย่อ) แท็กซี่ นกยูง ภมร ลําพูน ร่ มชูชีพ วงเวียน

หน่ วยการเรียนรู้ ท4ี่ คาเป็ น คาตาย คําเป็ น

คือ คําที่มีลกั ษณะ ดังนี้ 1. คําที่ประสมด้วยสระเสี ยงยาวในมาตรา ก กา เช่น ซออู ้ ท่าเรื อ เคหา ราตรี 2. คําที่มีตวั สะกดในมาตรา กง กน กม เกย เกอว เช่น หิ้งห้อย โป๊ ยเซี ยน ออมสิ น

ดาวเทียมไทยคม 3. คําที่ประสมด้วยสระเสี ยงสั้น อํา ใอ ไอ เอา เช่น กํายํา นํ้าเต้า เฝ้าไข้ ลําไย คําตาย

คือ คําที่มีลกั ษณะดังนี้ 1. คําที่ประสมด้วยสระเสี ยงสั้นในมาตรา ก กา ยกเว้น อํา ใอ ไอ เอา เช่น โป๊ ะ พลุ

กระบะ สุ ริยา 2. คําที่มีตวั สะกดในมาตรา กก กด กบ เช่น มะกอก วิทยุ สับปะรด ภาชนะ

หน่ วยการเรียนรู้ ท5ี่ วรรณยุกต์ 1. รู ปวรรณยุกต์ หมายถึง เครื่ องหมายที่อยูบ่ นตัวอักษรเพื่อบอกระดับเสี ยงของคํา มี 5 รู ป คือ

การเขียนรู ปวรรณยุกต์จะต้องเขียนให้ถูกต้อง โดยเขียนไว้ขา้ งบนพยัญชนะตัวแรกเยื้องไปทางขวา เช่น ไก่ ม้า โต๊ะ เป็ นเต้น แต่ถา้ เป็ น แต่ถา้ เป็ นอักษรนําหรื ออักษรควบ ให้เขียนไว้บนพยัญชนะต้นตัวที่ 2 เช่น อร่ อย กล้วย แปร๊ ด

ตัวอย่าง คําที่มีรูปวรรณยุกต์ คาทีม่ ีรูปวรรณยุกต์ เอก เช่น ม่าแหมี่ยว ซ่าหริ่ ม ร่ มรื่ น คาทีม่ ีรูปวรรณยุกต์ โท เช่น เต้าหู ้ เสื้ อเชิ้ต ม้านํ้า คาทีม่ ีรูปวรรณยุกต์ ตรี เช่น ขนมเปี๊ ยะ กระเจี๊ยบ บ๊วย คาทีม่ ีรูปวรรณยุกต์ จัตวา เช่น ก๋ วยเตี๋ยว โกร๋ น ขนมโก๋ 2. เสี ยงวรรณยุกต์ หมายถึง เสี ยงที่มีระดับสู ง-ตํ่าตามอักษร 3 หมู่ (ไตรยางศ์) มี 5 เสี ยง คือ เสี ยงสามัญ เช่น ตา คน ทอง เสี ยงเอก เช่น ไข่ เป็ ด ตาก เสี ยงโท เช่น เลข น่าน บ้าน เสี ยงตรี เช่น นํ้า โต๊ะ ยักษ์ เสี ยงจัตวา เช่น ถุง เสื อ ตี๋ คําทุกคําจะมีเสี ยงวรรณยุกต์ แม้วา่ จะมีรูปวรรณยุกต์หรื อไม่มีรูปวรรณยุกต์กาํ กับอยูก่ ็ตาม ตัวอย่าง คําที่ไม่มีรูปวรรณยุกต์ คาทีม่ ีรูปวรรณยุกต์ สามัญ เช่น บอลลูน เรื อนไทย ทองกวาว คาทีม่ ีรูปวรรณยุกต์ เอก เช่น ดอกกุหลาบ กระจาด จรวด คาทีม่ ีรูปวรรณยุกต์ โท เช่น ทาก ลูกโลก วาดภาพ

คาทีม่ ีรูปวรรณยุกต์ ตรี เช่น ละมุด ลิฟต์ มะพลับ คาทีม่ ีรูปวรรณยุกต์ จัตวา เช่น ของขวัญ หัวขวาน สายฝน

การผันอักษร 3 หมู่

อักษรสู ง คําเป็ น ใช้วรรณยุกต์ได้ 2 รู ป คือ ิ่ ิ้ พื้นเสี ยงจัตวา ผันได้ 3 เสี ยง คือ เสี ยงเอก โท จัตวา คําตาย ใช้วรรณยุกต์ได้ 1 รู ป คือ ิ้ พื้นเสี ยงเอก ผันได้ 2 เสี ยง คือ เสี ยงเอก โท อักษรกลาง คําเป็ น ใช้วรรณยุกต์ได้ครบทั้ง 4 รู ป คือ ิ่ ิ้ ิ๊ ิ๋ พื้นเสี ยงสามัญ ผันได้ 5 เสี ยง คือ เสี ยงสามัญ เอก โท ตรี จัตวา คําตาย ใช้วรรณยุกต์ได้ 3 รู ป คือ ิ้ ิ๊ ิ๋ พื้นเสี ยงเอก ผันได้ 4 เสี ยง คือ เสี ยงเอก โท ตรี จัตวา อักษรต่า คําเป็ น ใช้วรรณยุกต์ได้ 2 รู ป คือ ิ่ ิ้ พื้นเสี ยงสามัญ ผันได้ 3 เสี ยง คือ เสี ยงสามัญ โท ตรี คําตายสระเสี ยงสั้น ใช้วรรณยุกต์ได้ 2 รู ป คือ ิ่ ิ๋ พื้นเสี ยงตรี ผันได้ 3 เสี ยง คือ เสี ยงโท ตรี จัตวา คําตายสระเสี ยงยาว ใช้วรรณยุกต์ได้ 2 รู ป คือ ิ้ ิ๋ พื้นเสี ยงโท ผันได้ 3 เสี ยง คือ เสี ยงโท ตรี จัตวา

ตารางเทียบเสี ยงการผันเสี ยง

ไตรยางศ์ อักษรสู ง คําเป็ น คําตาย อักษรกลาง คําเป็ น คําตาย อักษรตํ่า คําเป็ น คําตายสระเสี ยงสั้น คําตายสระเสี ยงยาว

เสี ยงสามัญ กิน ยา -

เสี ยงเอก ข่า สด กิ่น กอด -

เสี ยงโท ข้า (ส้ด) กิ้น ก้อด ย่า ค่ะ ยาก

เสี ยงตรี กิ๊น ก๊อด ย้า คะ ย้าก

เสี ยงจัตวา ขา กิ๋น (ก๋ อด) (ค๋ ะ) (ย๋ าก)

******คําใน ( ) เป็ นคําที่มีใช้ในภาษาเขียน****** การผันอักษรคู่และอักษรเดี่ยว อักษรคู่ คือ อักษรตํ่ามีเสี ยงคูก่ บั อักษรสู ง มี 14 ตัวได้แก่ ค ฅ ฆ ช ซ ฌ ฑ ฒ ท ธ พ ฟ ภ ฮ ในการผันอักษรคู่สามารถผันให้ครบ 5 เสี ยงได้ โดยนําอักษรสู งที่มีเสี ยงคู่กนั มาช่วยผัน หรื อ ถ้าจะผันอักษรให้ครบ 5 เสี ยง ต้องผันกับอักษรตํ่าที่มีเสี ยงคู่เช่นเดียวกัน อักษรคู่

อักษรสู ง

ค ฅ ฆ

คู่กบั

ข ฃ

ช ฌ

คู่กบั

ฉ

ซ

คู่กบั

ศ ษส

ฑ ฒ ท ธ

คู่กบั

ฐ ถ

พ ภ

คู่กบั

ผ

ฟ

คู่กบั

ฝ

ฮ

คู่กบั

ห

ตัวอย่าง อักษร ค-ข ช-ฉ พ-ผ

คา ค้า ชิง ไพ่

สามัญ คา ชิง ไพ

เอก ข่า ฉิ่ ง ไผ่

โท ค่า (ข้า) ชิ่ง (ฉิ้ง) ไพ่ (ไผ้)

ตรี ค้า ชิ้ง ไพ้

จัตวา ขา ฉิง ไผ

อักษรเดี่ยว คือ อักษรตํ่าที่ไม่มีเสี ยงคู่กบั อักษรสู ง มี 10 ตัว ได้แก่ ง ญ ณ น ม ย ร ล ว ฬ สามารถผันได้ให้ครบ 5 เสี ยงได้ โดยใช้ “ ห ” ช่วยนํา ตัวอย่าง

คา นา ไม่ โล่

สามัญ นา ไม โล

เอก หน่า ไหม่ โหล่

โท น่า (หน้า) ไม่ (ไหม้) โล่(โหล้)

ตรี น้า ไม้ โล้

จัตวา หนา ไหม โหล

คาพ้อง หน่ วยการเรียนรู้ที่ 6 คาพ้อง คือ คําที่เขียนหรื อออกเสี ยงเหมือนกัน คําพ้องแบ่ง 2 ชนิด คือ คําพ้องรู ป และพ้องเสี ยง

เช่น

คําพ้องรู ป มีลกั ษณะ คือ เขียน เหมือนกันแต่อ่านต่างกัน ความหมายต่างกัน

เพลา อ่านว่า เพฺลา หมายถึง เบาลง แกนสําหรับให้ลอ้ หรื อใบ จักรหมุน อ่านว่า เพ-ลา หมายถึง เวลา ปรัก

อ่านว่า ปฺรัก หมายถึง เงิน อ่านว่า ปะ ‟หฺ รัก หมายถึง หัก

กรี

อ่านนว่า กฺ รี หมายถึง โครงเหล็กแหลมที่หวั กุง้ อ่านว่า กะ ‟ รี หมายถึง ช้าง

เช่น

คําพ้องเสี ยง มีลกั ษณะ คือ อ่าน เหมือนกันเขียนต่างกัน ความหมายต่างกัน

การ

อ่านว่า กาน หมายถึง งาน สิ่ งหรื อเรื่ องที่ทาํ

การณ์ อ่านว่า กาน หมายถึง เหตุ เค้า มูล กาล

อ่านว่า กาน หมายถึง เวลา

กาญจน์ อ่านว่า กาน หมายถึง ทอง

จัน

อ่านว่า จัน หมายถึง ชื่อไม้ตน้ ขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ผลสุ กสี เหลืองหอมกินได้

จันทน์ อ่านว่า จันหมายถึง ชื่อพรรณไม้บางชนิดที่มีเนื้ อไม้ ดอก หรื อผลหอม ใช้ทาํ ยาและปรุ งเครื่ องหอม จันทร์ อ่านว่า จัน หมายถึง ดวงเดือน ทัน

อ่านว่า ทัน หมายถึง เป็ นไปพอดีกบั เวลาที่กาํ หนด

ทันต์ อ่านว่า ทัน หมายถึง ฟัน งาช้าง ทัณฑ์ อ่านว่า ทัน หมายถึง โทษที่เนื่องด้วยความผิด ธัญ

อ่านว่า ทัน หมายถึง ข้าวเปลือก

ประพาส

อ่านว่า ปฺระ ‟ พาด หมายถึง ไปต่างถิ่นหรื อต่างแดน ไปเที่ยว

ประภาษ

อ่านว่า ปฺระ ‟ พาด หมายถึง ตรัส บอก พูด

ประภาส

อ่านว่า ปฺระ ‟ พาด หมายถึง แสงสว่าง

พัก

อ่านว่า พัก หมายถึง หยุดชัว่ คราว

พรรค อ่านว่า พัก หมายถึง หมู่คนที่เข้าร่ วมกันเป็ นพวก เป็ นฝ่ าย พักตร์ อ่านว่า พัก หมายถึง หน้า ภักษ์ อ่านว่า พัก หมายถึง เหยือ่ อาหาร พัน

อ่านว่า พัน หมายถึง วงรอบด้วยสิ่ งที่เป็ นเส้นสายหรื อสิ่ งที่มีลกั ษณะเช่นนั้น

พันธ์ อ่านว่า พัน หมายถึง ข้อผูกมัด หรื อผูกพัน พันธุ์ อ่านว่า พัน หมายถึง พวกพ้อง เชื้อสาย วงศ์วาน พรรณ อ่านว่า พัน หมายถึง สี ของผิว

ชนิดของคา

คานาม คานาม คือคําที่ใช้เรี ยก คน สัตว์ สิ่ ง ของ สถานที่

คานามทีใ่ ช้ เรียกคน ได้แก่ พ่อ แม่ ครู นักเรี ยน ชาวนา ฯลฯ คานามทีใ่ ช้ เรียกสั ตว์ ได้แก่ เป็ ด ไก่ ม้า ช้าง เสื อ ฯลฯ คานามทีใ่ ช้ เรียกสิ่ งของ ได้แก่ สมุด ดินสอ แก้วนํ้า กระเป๋ า โคมไฟ ฯลฯ คานามทีใ่ ช้ เรียกสถานที่ ได้แก่ วัด บ้าน โรงเรี ยน โรงพยาบาล ฯลฯ

คํานามมี 2 ชนิด คือ คํานามไม่ช้ ีเฉพาะ (สามัญนาม) และคํานามชี้เฉพาะ(วิสามัญนาม) คํานามไม่ช้ ีเฉพาะ คือ คํานามที่ใช้เรี ยกชื่อทัว่ ๆไป ไม่ช้ ีเฉพาะเจาะจงว่าหมายสิ่ งใดสิ่ งหนึ่ง เช่น นางอาย ทุเรี ยน ตํารวจ พัดลม หม้อแกงลิง สระว่ายนํ้า

คํานามชี้เฉพาะ คือ คําที่ใช้เรี ยกชื่อเฉพาะของสิ่ งใดสิ่ งหนึ่งซึ่ งมีเพียงสิ่ งเดียว เช่น

เรื อสุ พรรณหงส์

ผาแต้ม

วังไกลกังวล

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 8 สรรพนาม คือ คําที่ใช้แทนคํานาม มีหลายชนิด สรรพนามที่เรารู ้จกั และที่นิยมใช้กนั ทัว่ ไป คือ บุรุษ สรรพนาม บุรุษสรรพนาม คือ คําที่ใช้แทนคํานามในการสนทนา มี 3 ชนิด คือ 1. สรรพนามที่ใช้แทนผูผ้ ดู คือ ฉัน ผม ข้าพเจ้า อาตมา เป็ นต้น 2. สรรพนามที่ใช้แทนผูฟ้ ัง คือ ท่าน เธอ ใต้เท้า เป็ นต้น 3. สรรพนามที่ใช้แทนผูท้ ี่ถูกกล่าวถึง คือ เขา ท่าน พระองค์ เป็ นต้น

บุรุษสรรพนาม บุรุษที่1

ดิฉนั

ผม

ฉัน

บุรุษที่2

เธอ

คุณ

นาย

บุรุษที่3

เขา

ท่าน

มัน

ข้าพเจ้า

ตัวอย่ างการใช้ บุรุษสรรพนามในการสนทนา ผู้พูด(บุรุษที่1) ข้าพระพุทธเจ้า ฉัน เรา ผม ดิฉนั กระผม ดิฉนั

ผู้ฟัง(บุรุษที2่ ) ผู้ทถี่ ูกกล่ าวถึง(บุรุษที3่ ) ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท พระองค์ เธอ เขา พวกเขา คุณ ท่าน ท่าน พระคุณท่าน ท่าน

การใช้บุรุษสรรพนามควรเลือกใช้ให้เหมาะสมกับบุคคล เวลา และสถานที่

เรา

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 9 คากริยา คือ คําที่แสดงอาการ การกระทําของนามและสรรพนาม ซึ่ งเป็ นประธานในประโยค เช่น นอน วิง่ หัวเราะ คากริยามี 2 ชนิด

กริ ยาที่ไม่ตอ้ งการกรรม กริ ยาที่ตอ้ งการกรรม

กริยาทีไ่ ม่ ต้องการกรรม เป็ นกริ ยาที่ให้ใจความสมบรู ณ์ในตัว ไม่ตอ้ งมีกรรมมารับข้างท้าย ได้แก่ สุ ก ร้องไห้ ว่ายนํ้า ฯลฯ มะม่วงสุ ก สุ ก เป็ น กริ ยา น้องร้องไห้ ร้องไห้ เป็ น กริ ยา พี่วา่ ยนํ้า ว่ายนํ้า เป็ น กริ ยา

กริยาทีต่ ้ องการกรรม เป็ นกริ ยาที่ยงั ไม่ได้ความสมบรู ณ์ในตัวเอง ต้องมีกรรมมารับข้างท้าย ได้แก่ ขาย ขี่ ถือ ฯลฯ แม่คา้ ขายผลไม้ ขาย เป็ น กริ ยา ผลไม้ เป็ น กรรม ชาวนาขี่ควาย ขี่ เป็ น กริ ยา ควาย เป็ น กรรม แม่ถือตะกร้า ถือ เป็ น กริ ยา ตะกร้า เป็ น กรรม

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 10 คาวิเศษณ์ คือ คําที่ทาํ หน้าที่ขยายคํานาม คําสรรพนาม คํากริ ยา และคําวิเศษณ์ ทําให้ความหมาย ชัดเจนมากขึ้น คําวิเศษณ์มีมกั จะอยูห่ ลังคําที่ขยาย ตัวอย่าง ประชาชนล้นหลาม บัวปริ่ มนํ้า บึงใหญ่ รวงข้าวเหลืองอร่ าม ครอบครัวอบอุ่น บ้านน่าอยู่

พจนานุกรม หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 11 พจนานุกรม เป็ นหนังสื อซึ่ งรวบรวมคําที่มีใช้อยูใ่ นภาษไทย โดยเรี ยนลําดับตามตัวอักษรและ กําหนดวิธีการอ่าน ความหมาย ชนิด และที่มาของคําเพื่อใช้เป็ นมาตรฐานในการใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องและ เป็ นแนวทางเดียวกัน หลักการใช้ พจนานุกรม 1. หาตามลําดับพยัญชนะ ก-ฮ (ฤ ฤา อยูห่ ลัง ร และ ฦ ฦๅ อยูห่ ลัง ล) 2. คําแต่ละคําจะเรี ยงตามลําดับรู ปสระดังนี้

ประโยค หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 12 ประโยค คือ คําหรื อกลุ่มคําที่นาํ มาเรี ยบเรี ยงแล้วได้ใจความสมบรู ณ์วา่ ใครหรื อสิ่ งใด ทํากริ ยาอาการอย่างไร ตัวอย่าง เด็กเดินข้ามถนน ม้าวิง่ เร็ ว หมาไล่กดั แมว ภาคประธาน

ประโยคทุกชนิดมี 2 ส่ วน คือ

ภาคแสดง ภาคประธาน คือ ส่ วนที่เป็ นผูก้ ระทําหรื อแสดงอาการ ซึ่ งเป็ นคํานาม หรื อสรรพนาม แบ่งเป็ น 2 ส่ วนคือ ประธานและส่ วนขยายประธาน ภาคแสดง คือ ส่ วนที่แสดงอาการหรื อความเป็ นไปของประธานแบ่งเป็ น 4 ส่ วน กริ ยา ส่ วนขยายกริ ยา กรรม และส่ วนขยายกรรม ตัวอย่าง ประโยคทีม่ ีกริยา ไม่ ต้องการกรรม

หนุมานกระโดด อย่างว่องไว

ภาคประธาน ประธาน ส่ วนขยาย ประธาน หนุมาน

-

กริยา

กระโดด

ภาคแสดง กรรม ส่ วนขยาย กรรม -

-

ประโยคที่ประกอบด้วยประธาน และกริ ยา เรี ยกว่า ประโยค 2 ส่ วน ตัวอย่าง ประโยค 2 ส่ วน ว่าวลอย

ว่าว

ประธาน

ลอย

กริ ยา

ส่ วนขยาย กริยา อย่าง ว่องไว

กิง่ ไม้ หัก

กิ่งไม้

ประธาน

หัก

กริ ยา

ประโยคที่ประกอบด้วยประธาน กริ ยา และกรรม เรี ยกว่าประโยค 3 ส่ วน ตัวอย่าง ประโยค 3 ส่ วน ไก่ฟักไข่

ไก่

ประธาน

ทหารขับยานเกราะ ทหาร

ประธาน

ฟัก

กริ ยา

ขับ

กริ ยา

ไข่

กรรม

ยานเกราะ

กรรม

บทร้ อยกรองและคาขวัญ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 13 กลอนสี่ หนึ่งบทมี 4 วรรค วรรคละ4คําการอ่านแต่ละวรรคจะแบ่งเป็ น 2ช่วงจังหวะ ช่วงจังกวะละ2 คํา กลอนสี่ มีขอ้ บังคับในการสัมผัส 3 แห่ง คือ 1. คําสุ ดท้ายของวรรคแรก สัมผัสคําที่ 2 ของวรรคที่ 2 2. คําสุ ดท้ายของวรรคที่ 2 สัมผัสกับคําสุ ดท้ายของวรรคที่ 3 3.คําสุ ดท้ายของวรรคที 4 สัมผัสกับวรรคสุ ดท้ายของวรรคที่ 2 ของบทต่อไป

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 14 คาขวัญ เป็ นถ้อยคําที่แต่งขึ้นเพื่อเตือนใจหรื อเพื่อให้เป็ นสิ ริมงคลมีลกั ษณะเป็ นการเชิญชวนหรื อ ขอร้องให้ผอู ้ ่านหรื อผูฟ้ ังยึดเป็ นแนวในการปฏิบตั ิ หลักการเขียนคําขวัญ ต้องเขียนข้อความสั้นๆอาจ แบ่งเป็ นวรรคและมีเสี ยงสัมผัสคล้องจองกันให้จดจําได้ง่าย และไพเราะ เช่น วันวานนา้ มี วันนีน้ า้ หมด ใช้ นา้ ไม่ อนาคตหมดนา้ เชื่อมโยงอดีตปัจจุบนั เพื่อให้เห็นภาวะนํ้าแล้งที่ เกิดขึ้นและเตือนใจให้ใช้ นํ้าอย่างประหยัด เพื่อให้มีใช้ถึงอนาคต สิ้นป่ าวันใด เป็ นภัยมหันต์ ปลูกป่ าร่ วมกัน สุ ขสั นต์ ชาวไทย ให้ขอ้ คิดถึงการสู ญสิ้ นป่ าไม้ และ ชักชวนให้มาปลูกป่ าร่ วมกันเพื่อประโยชน์ของส่ วนรวม

สานวน หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 15 สํานวนเป็ นถ้อยคํา ที่คมคาย งดงาม กะทัดรัด เป็ นการรวมเนื้อความที่ยาวให้ส้ นั ลงโดยใช้ถอ้ ยคํา สั้นๆ ความหมายไม่ตรงตามถ้อยคําและมีความหมายลึกซึ้งกินใจในเชิงเปรี ยบเทียบ ไม่มีหลักฐานที่แสดง สํานวนเป็ นคํากล่าวของผูใ้ ดและมีข้ ึนตังแต่สมัยใด สํานวนมีลกั ษณะเป็ นถ้อยคําและประโยค ตัวอย่าง สํานวนที่เป็ นถ้อยคํา กล้วยๆ ขมิน้ กับปูน คางเหลือง

ความหมาย ง่ายมาก เช่นเรื่ อง กล้วยๆ ชอบวิวาทกันอยูเ่ สมอ เมื่อยูใ่ กล้กนั ไม่ถูกกัน ป่ วยหรื อบาดเจ็บมาก จนแทบเสี ยชีวติ

สํานวนที่เป็ นประโยค กบเลือกนาย คลื่นกระทบฝั่ง ดาวล้อมเดือน

ความหมาย ผูท้ ี่ตอ้ งการเปลี่ยนแปลง ผูบ้ งั คับบัญชาอยูเ่ รื่ อยๆ เรื่ องราวทีครึ กโครมขึ้น มาแล้วเงียบหายไป มีบริ วารแวดล้อม มากมาย

คาพังเพย คือ สํานวนที่ใช้เปรี ยบเทียบเพื่อให้เข้าใจเรื่ องที่พูดถึงแฝงด้วยข้อคิดเตือนใจในการ ดําเนินชี วติ และการอยูร่ ่ วมกันในสังคม ส่ วนใหญ่จะมีคาํ คล้องจองกัน เพื่อให้จาํ ได้ง่ายและไพเราะ ตัวอย่าง คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่ อ หมายความว่า คนรักมีนอ้ ยคนชังมีมาก ช้างตายทั้งตัว เอาใบบัวมาปิ ด หมายความว่า ความชัว่ หรื อความผิดร้ายแรงที่คนรู ้ทว่ั กันแล้ว จะปิ ด อย่างไรก็ไม่มิด นํ้าพึงเรื อเสื อพึ่งป่ า หมายความว่า การพึ่งพาอาศัยกัน

สุ ภาษิต คือ สํานวนที่เป็ นคติ เพื่อสอนให้ทาํ หรื อเว้นไม่ให้ทาํ สอนใจให้ประพฤติสิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง ตัวอย่าง คบคนให้ดูหน้า ซื้ อผ้าให้ดูเนื้ อ หมายความว่า จะพิจารณาคนหรื อสิ่ งใดสิ่ งหนึ่ง ให้พิจารณาอย่าง ละเอียดรอบคอบ รู ้ไว้ใช่วา่ ใส่ บ่าแบกหาม หมายความว่า เรี ยนรู ้ไว้ไม่หนักเรี่ ยวแรง หรื อเสี ยหายอะไร นํ้าร้อนปลาเป็ น นํ้าเย็นปลาตาย หมายความว่า คําพูดที่ตรงไปตรงมาไม่ไพเราะ เป็ นการเตือนให้ ระวังตัวแต่ไม่เป็ นพิษเป็ นภัย ส่ วนคําพูดที่ไพเราะอ่อนหวานทําให้ตายใจ อาจเป็ นโทษเป็ นภัยได้

ภาษาถิ่น หน่ วยการเรียนรู้ท1ี่ 6 ภาษาไทยมาตรฐาน คือ ภาษาไทยกลางที่ใช้เป็ นภาษาราชการสื่ อสารกันทัว่ ประเทศและใช้ในการ เรี ยนการสอน เพื่อให้คนไทยได้ใช้ภาษาเดียวกันในการติดต่อสื่ อสาร สร้างความปึ กแผ่นของชาติไทย ภาษาถิ่น คือ ภาษาพื้นเมืองที่ใช้ในท้องถิ่น เป็ นภาษาที่ใช้สื่อสารกันในท้องถิ่น ซึ่ งจะมีความหมาย แตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น และยังมีสาํ เนียงที่ต่างกัน ตัวอย่าง ภาษาไทยมาตรฐาน กางเกง แก้ว เข็มขัด จิ้งหรี ด ช้าง ตะวัน แตงไทย มะละกอ ร่ ม โกหก

ถิ่นเหนื อ เต่ว, เตี่ยว ก๊อก , แก้ว สายฮั้ง จี้ก่งุ จ๊าง ต๋ าวัน บ่าแต๋ งลาย บ่าก้วยเต้ด จ้อง ขี้จุ๊

ถิ่นอีสาน โส้ง , ส้ง จอก เข็มขัด , สายแอว จี่หรี ด ซ่าง ตาเว็น แตงจิง บักหุ่ง จ้อง , ฮ่ม , คันยู ขี่ตวั๋

ถิ่นใต้ กางเก๋ ง จอก สายเอว จิ้งหรี ด ช้าง หวัน แตงไทย ลอกอ หรอม ขี้ฮอ็ ก

การอ่ าน หน่ วยการเรียนรู ท1ี่ 7 เรื่ องที่1 บทร้ อยแก้ว คือ ถ้อยคําที่เรี ยบเรี ยงขึ้น ไพเราะ สละสลวยได้ใจความคําประพันธ์ที่เป็ นบทร้อยแก้ว เช่น เรี ยงความ ข่าวสาร บทความ เป็ นต้น หลักการอ่านออกเสี ยงบทร้อยแก้ว 1. เตรี ยมการอ่าน ดังนี้ 1.1 อ่านสํารวจเรื่ อง เพื่อหาคํายากที่ยงั อ่านไม่ได้ 1.2 ตรวจสอบการอ่านคํายากที่ไม่แน่ใจจากพจนานุกรม 1.3 พิจารณาประเภทของเรื่ องที่อ่าน เพื่ออ่านให้ถูกต้องตามลักษณะของเรื่ องนั้นๆ 2. อ่านออกเสี ยงคําให้ถูกต้องตามอักขรวิธี โดยเฉพาะตัว ร และคําควบกลํ้า 3. อ่านเว้นวรรคตอนให้ถูกต้อง 4. อ่านออกเสี ยงให้สอดคล้องกับเนื้อเรื่ อง 5. อ่านเสี ยงชัดเจน ดังพอประมาณ ด้วยนํ้าเสี ยงน่าฟัง การอ่านออกเสี ยงคําที่ใช้ ร ล การอ่านออกเสี ยงคาทีใ่ ช้ ร ล จะต้องออกเสี ยงให้ชดั เจน มิฉะนั้นจะทําให้ความหมายของคํา เปลี่ยนไป เช่น คําว่า รบ กับ ลบ รบ ก. สู ้กนั ต่อสู ้ในทางศึก ลบ ก. ทําให้หายไปด้วยอาการเช็ดหรื อถู การอ่านคําที่มีอกั ษรควบ อักษรควบ คือ พยัญชนะที่ควบกับ ร ล ว และมีเสี ยงกลํ้าเป็ นเสี ยงสระเดียวกัน (ออกเสี ยงพร้อมกัน) แบ่งออกเป็ น2 ประเภท คือ 1. อักษรควบแท้ คือ พยัญชนะที่ควบกับ ร ล ว ประสมด้วยสระเสี ยงเดียวกันและออกเสี ยงพร้อมกัน เช่น

พลาด แกล้ง คลาน กล้าหาญ คล่องแคล่ว

ขรุ ขระ เพราะ ประกอบ สงเคราะห์ ประโยชน์

แคว กวาด ขัดขวาง เกวียน ไขว่คว้า

2. อักษรควบไม่แท้ คือ พยัญชนะที่มีตวั ร ควบอยูแ่ ต่ไม่ออกเสี ยง ร หรื อเปลี่ยนเสี ยงเป็ นเสี ยงอื่น เช่น จริ ง อ่าน จิง (จร เป็ นอักษรควบไม่แท้ ร ไม่ออกเสี ยง) สร้าง อ่าน ส้าง (สร เป็ นอักษรควบไม่แท้ ร ไม่ออกเสี ยง) ไซร้ อ่านว่า ไซ้ (ซร เป็ นอักษรควบไม่แท้ ร ไม่ออกเสี ยง) เศร้า อ่านว่า เส้า (ศร เป็ นอักษรควบไม่แท้ ร ไม่ออกเสี ยง) ทรัพย์ อ่านว่า ซับ (ทร เป็ นอักษรควบไม่แท้ ทร เปลี่ยนเสี ยงเป็ น ซ) ไทร อ่านว่า ไซ (ทร เป็ นอักษรควบไม่แท้ ทร เปลี่ยนเสี ยงเป็ น ซ) การอ่านคําที่มีอกั ษรนํา อักษรนา คือ พยัญชนะต้น 2 ตัว ที่ประสมสระเดียวกัน บางคําออกเสี ยงพยางค์เดียว ได้แก่คาํ ที่ใช้ ห นํา และ อ นํา ย บางคําออกเสี ยง 2 พยางค์ คือ คําที่มีอกั ษรสู งนําอักษรเดี่ยว และคําที่มีอกั ษรกลางนําอักษร เดี่ยว พยางค์แรกจะอ่านออกเสี ยง กะ กึ่งเสี ยง

อักษรนาที่ออกเสี ยงพยางค์ เดียว หลอกหลอน

หยากไย่

หมวดหมู่

หงอนไก่

หวัน่ ไหว

เหยียดหยาม

หนาวเหน็บ

หลากหลาย

หน่อไม้

หมักหมม

หนังใหม่

หวุดหวิด

หยอกล้อ

หงอยเหงา

เหลวไหล

อักษรนาที่ออกเสี ยงสองพยางค์ เถลไถล

ขมุกขมัว

สนุกสนาน

สนิทสนม

สลบไสล

สละสลวย

เอร็ ดอร่ อย

ขมีขมัน

สนับสนุน

ฉลาดเฉลียว

ฉวัดเฉวียน

สยดสยอง

สงบเสงี่ยม

ขยะแขยง

สว่างไสว

การอ่านออกเสี ยงคําประสม คาประสม คือ คําที่เกิดจากการนําคําที่มีความหมายตั้งแต่ 2 คํา ขึ้นไปมารวมกันเป็ นคําใหม่ เช่น ผี + เสื้ อ = ผีเสื้ อ

ลูก + เสื อ = ลูกเสื อ

ผ้า + ห่ม = ผ้าห่ม

การอ่านออกเสี ยงคาประสม ต้องอ่านออกเสี ยงทีละคําไม่ลากสี ยงต่อเนื่องกัน เช่น รถยนต์ อ่านว่า รด ” ยน

ชาวเขา อ่านว่า ชาว ” เขา

ทรัพย์สิน อ่าน ซับ ” สิ น

การอ่านอักษรย่อและเครื่ องหมายวรรคตอน อักษรย่อ คือ คําที่ยอ่ ให้ส้ นั ลงโดยใช้เครื่ องหมายมหัพภาค (.) กํากับเพื่อการติดต่อสื่ อสารรวดเร็ ว การอ่านอักษรย่อต้องอ่านคําเต็ม ดังนี้ ถ. อ่านว่า ถนน จ. อ่านว่า จังหวัด กม. อ่านว่า กิโลเมตร กสท. อ่านว่า การสื่ อสารแห่งประเทศไทย พ.ศ. อ่านว่า พุทธศักราช ชม. อ่านว่า ชัว่ โมง ททท. อ่านว่า การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นสพ. อ่านว่า หนังสื อพิมพ์ รพ. อ่านว่า โรงพยาบาล

เครื่ องหมายวรรคตอน คือ เครื่ องหมายเขียนกํากับข้อความต่างๆ ทําให้ขอ้ ความนัน่ เด่นขึ้น และอ่าน ได้ถูกต้อง เช่น

ๆ เรียกว่า ไม้ ยมก หรื อ ยมก ใช้เขียนหลังคําหรื อกลุ่มคําเพื่ออ่านซํ้า การซํ้าคํานั้นให้สังเกต ความหมายของคําหรื อกลุ่มคําเป็ นหลัก เช่น เบาๆ อ่านว่า เบา ” เบา ทุกวันๆ อ่านว่า ทุก ” วัน ” ทุก ” วัน ทีละน้อยๆ อ่านว่า ที ” ละ ” น้อย ”ที ” ละ ” น้อย สัปดาห์หนึ่งๆ อ่านว่า สับ ” ดา - หนึ่ง ” สับ ” ดา ” หนึ่ง

( ) เรียกว่า นขลิขิต หรื อวงเล็บ ใช้ เขียนกํากับข้อความที่ตอ้ งการขยายความข้างหน้าให้ชดั เจน ให้ อ่านเครื่ องหมายนี้วา่ วงเล็บเปิ ดวงเล็บปิ ด เช่น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั (รัชกาลที่5) อ่านข้อความในวงเล็บว่า วง ” เล็บ ” เปิ ด ” รัด ” ชะ ” กาน ” ที่ ” ห้า ” วง ” เล็บ ” ปิ ด

ฯ เรียกว่า ไปยาลน้ อย ใช้เขียนละส่ วนหลังของคําที่รู้จกั กันทัว่ ไปเวลาต้องอ่านคําเต็ม เช่น กรุ งเทพฯ อ่านว่า กฺรุง ” เทบ ” มะ ” หา ” นะ ” คอน โปรดเกล้าฯ อ่านว่า โปฺรด ” เกฺลา้ ” โปฺรด ” กฺระ ” หฺ ม่อม ฯลฯ เรียกว่า ไปยาลใหญ่ ใช้เขียนหลังคําหรื อข้อความที่ยงั ไม่จบ ยังมีคาํ หรื อข้อความต่อไป การ เครื่ องหมายไปยาลใหญ่ที่อยูข่ า้ งท้ายข้อความให้อ่านว่า ละ หรื อ และอื่นๆ เช่น อุปกรณ์ในการเรี ยนมี ดินสอ ยางลบ ไม้บรรทัด ฯลฯ อ่านว่า อุ ” ปะ ” กอน ” ไน ” กาน ” เรี ยน ” ดิน ” สอ ” ยาง ” ลบ ” ไม้ ” บัน ” ทัด ” ละ หรื อ อ่านว่า อุ ” ปะ ” กอน ” ไน ” กาน ” เรี ยน ” ดิน ” สอ ” ยาง ” ลบ ” ไม้ ” บัน ” ทัด ” และ ” อื่น ” อื่น การอ่านเครื่ องหมายไปยาลใหญ่ที่อยูต่ รงกลางข้อความ ให้อ่านว่า ละถึง เช่น คุณครู ให้นกั เรี ยนเขียนพยัญชนะไทย ตั้งแต่ ก ฯลฯ ฮ อ่านว่า คุณ ” ครู ” ไห้....กอ ” ละ ” ถึง ” ฮอ

”

เรียกว่ า บุพสั ญญา ใช้เขียนแทนคําหรื อข้อความที่เหมือนกับคําหรื อข้อความในบรรทัดบน ให้

อ่านซํ้าคําหรื อข้อความนั้น เช่น สุ ริยา หมายถึง พระอาทิตย์ อ่านว่า สุ ริยา หมายถึง พระอาทิตย์ จันทรา ‛ พระจันทร์ อ่านว่า จันทรา หมายถึง พระจันทร์ ดารา ” ดวงดาว อ่านว่า ดารา หมายถึง ดวงดาว

เรื่ องที่ 2 การอ่านออกเสี ยงบทร้อยกรองเป็ นทํานองเสนาะ บทร้ อยกรอง คือ คําประพันธ์ หรื อถ้อยคําที่เรี ยบเรี ยงอย่างมีระเบียบถูกต้องตามข้อกําหนดของการ แต่คาํ ประพันธ์ชนิ ดนั้นๆ คําประพันธ์ประเภทร้อยกรองมีหลากหลาย เช่น กลอน กาพย์ โครง เป็ น การอ่านออกเสี ยงบทร้อยกรอง อ่านได้ 2 วิธี คือ 1. อ่านเสี ยงปกติ คือ อ่านออกเสี ยงปกติเหมือนการอ่านบทร้อยแก้วแต่มีการเว้นวรรคแบ่งวรรค แบ่งจังหวะตามการอ่านของบทร้อยกรองแต่ละประเภทแตกต่างกัน 2. อ่านเป็ นทํานองเสนาะ คือ อ่านเสี ยงสู งตํ่า หนักเบา สั้นยาว เอื้อนเสี ยงและเน้นสัมผัสให้ชดั เจน ไพเราะ แสดงอารมณ์ตามเนื้ อหาของบทร้อยกรอง หลักการการอ่านออกเสี ยงบทร้อยกรอง การอ่านออกเสี ยงบทร้อยกรอง ทั้งอ่านเสี ยงปกติและอ่านเป็ นทํานองเสนาะ มีหกั การ ดังนี้ 1. อ่านออกเสี ยงคําให้ชดั เจนและถูกต้องามอักขระวิธี 2. อ่านให้ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ของบทร้อยกรองนั้น 3. การอ่านทํานองเสนาะต้องรู ้จกั ทอดจังหวะ เอื้อนเสี ยงหรื อหลบเสี ยง มีเสี ยงสู งตํ่าตามลักษณะ ของบทร้อยกรองแต่ละชนิด 4. อ่านด้วยนํ้าเสี ยงชัดเจน นุ่มนวลน่าฟัง เสี ยงไม่ค่อยหรื อดังเกินไป 5. อ่านออกเสี ยงสื่ ออารมณ์ไปตามเนื้ อเรื่ อง เช่น ร่ าเริ ง เศร้า หรื อโกรธ เป็ นต้น จังหวะการอ่านออกเสี ยงบทร้อยกรอง จังหวะการอ่านออกเสี ยงบทร้อยกรองแต่ละประเภทแตกต่างไปตามจํานวนคําในแต่ละวรรค และ จังหวะการสัมผัส ดังนี้ กลอนสี่ ใช้จงั หวะการอ่านเป็ น 2/2 เหมือนกันทุกวรรค ตัวอย่าง เด็กเอ๋ ย / เด็กไทย // ตั้งใจ / ศึกษา // เติบใหญ่ / ภายหน้า // วิชา / เลี้ยงตน // แสงแห่ง / ปั ญญา // มีค่า / มากล้น // ส่ องทาง / ให้คน // พ้นความ / ลําเค็ญ กลอนสุ ภาพ ใช้จงั หวะการอ่านเป็ น 3/2/3หรื อ3/3/3ขึ้นอยูจ่ าํ นวนคําในแต่ละวรรค กลอนบทละคร ลักษณะบังคับของคํากลอน วรรคหนึ่งกําหนด 6-9 คํา จังหวะการอ่านจึงขึ้นอยูก่ บั จํานวนคํา ในแต่ละวรรค คือ

วรรคที่มี 6 คํา วรรคที่มี 7 คํา วรรคที่มี 8 คํา วรรคที่มี 9 คํา

ใช้จงั หวะ 2/2/2 ใช้จงั หวะ 2/2/3 หรื อ 3/2/2 ใช้จงั หวะ 3/2/3 ใช้จงั หวะ 3/3/3

โครงสี่ สุภาพ ใช้จงั หวะการอ่านวรรคหน้าเป็ น 3/2 ส่ วนวรรคหลังเป็ น 2/2 เรื่ องที่3 การแยกข้อเท็จจริ งและข้อคิดเห็น ข้ อเท็จจริง คือ เรื่ องราวหรื อเหตุการณ์ที่สามารถหาหลักฐานมาสนับสนุนหรื อพิสูจน์ความถูกต้อง ข้ อคิดเห็น คือ ข้อสรุ ปที่ได้จากข้อเท็จจริ ง เป็ นการแสดงความรู ้สึกความคิดเห็น หรื อความเข้าใจ ของบุคคล ซึ่งอาจพิสูจน์ไม่ได้ การรู ้จกั แยกข้อเท็จจริ งและข้อคิดเห็น จะทําให้เราสามารถวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือของเรื่ องที่อ่าน ได้มากขึ้น

การเขียน หน่ วยการเรียนรู้ ท1ี่ 8 เรื่ องที่1 การคัดลายมือ การคัดลายมือ เป็ นการฝึ กเขียนตัวอักษรไทยให้ถูกต้องตามหลักการัดลายไทย คือ เขียนให้อ่านง่าย มีช่องไฟ มีวรรคตอน มีตวั อักษรเสมอกัน วางพยัญชนะ สระ วรรณยุกต์ ถูกที่ ตัวสะกด การันต์ ถูกต้อง และ ลายมือสวยงาม การคัดลายมือ มีท้ งั ตัวบรรจงเต็มบรรทัดและบรรจงครึ่ งบรรทัด แบบการคัดอักษรไทยมีหลายแบบ แต่ที่ใช้เป็ นแบบคัดลายมือทัว่ ไป คือ ตัวอักษรแบบกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งเรี ยกตามโครงสร้างของ ตัวอักษรว่า หัวกลม ตัวมน เรื่ องที่2 การเขียนสื่ อสาร การเขียนสื่ อสาร เพื่อให้ผอู ้ ่านเข้าใจตรงกัน ต้องเลือกใช้คาํ ให้ถูกต้อง เหมาะสม และสามารถสื่ อ ความหมายได้ตามวัตถุประสงค์ การเขียนคําแนะนํา เป็ นการเขียนสื่ อสารอย่างหนึ่งที่อธิ บายขั้นตอน วิธีการทํางาน หรื อเคล็ดลับ ต่างๆ ซึ่ งผูเ้ ขียนมีความรู ้หรื อประสบการณ์และต้องการแนะนําให้ผอู ้ ื่นได้ปฏิบตั ิอย่างถูกต้อง การเขียน ลักษณะนี้จึงต้องอธิ บายให้ชดั เจน ใช้ภาษาง่ายๆ และเรี ยบเรี ยงอย่างกระชับ นิยมอธิ บายโดยัดลําดับเป็ นข้อๆ

เรื่ องที่3 การนําแผนโครงเรื่ องและแผนภาพความคิดไปพัฒนาการเขียน แผนภาพโครงเรื่ อง เป็ นรู ปแบบหนึ่งของแผนภาพความคิด มักใช้ในการวางโครงเรื่ องที่จะเขียน ซึ่งมีตวั ละคร ฉาก (เวลา สถานที่) การดําเนินเรื่ องที่เป็ นไปตามเหตุการณ์ และใช้ในการสรุ ปเรื่ องจากการอ่า นมทําให้เข้าใจ เรื่ องราวหรื อแนวคิดของเรื่ องได้ยงิ่ ขึ้น แผนภาพความคิด เป็ นการแสดงความรู ้โดยใช้แผนภาพความรู ้ ข้อเท็จจริ งมาเป็ นระบบ สร้างเป็ น แผนภาพ หรื อจัดความคิดโดยนําหัวข้อเรื่ องใดเรื่ องหนึ่งมาแยกเป็ นหัวข้อย่อยแล้วนํามาจัดลําดับเป็ น แผนภาพ ขั้นตอนการสร้างแผนภาพความคิด 1. กําหนดชื่อเรื่ องหรื อความคิดเห็นรวบยอด 2. ระดมสมองคิดถึงสิ่ งที่เกี่ยวข้องกับชื่อเรื่ อง หรื อความคิดรวบยอดนั้นแล้วจดบันทึกไว้เป็ นคําหรื อ กลุ่มคําสั้นๆ 3. นําคําหรื อกลุ่มคําที่บนั ทึกไว้ซ่ ึ งมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กนั มาจัดกลุ่มมาตั้งชื่อกลุ่มคําเป็ นหัวข้อ ย่อย แล้วเรี ยงลําดับกลุ่มคําตามความสําคัญ การพัฒนาการเขียน การเขียนแผนภาพความคิดและแผนงานโครงเรื่ องจะทําจัดขอบเขตความรู ้ ความคิด ที่เป็ นระบบ ตรงตามวัตถุประสงค์และตรวจสอบความถูกต้อง ของการใช้สาํ นวนภาษา เพื่อปรับปรุ งงานเขียน เรื่ องที่ 4 การเขียนย่อความ การย่อความ คือ การสรุ ปสาระสําคัญของเรื่ องที่อ่าน หลักการย่อความ 1. อ่านหรื อฟังเรื่ องที่จะย่อให้เจ้าใจ 2. จับใจความหรื อสาระสําคัญของเรื่ อง 3. ใช้สาํ นวนภาษาง่ายๆ โดยไม่เปลี่ยนแปลงเนื้อเรื่ อง 4. เปลี่ยนสรรพนามบุรุษที่1 หรื อ บุรุษที่2 เป็ นบุรุษที่3

5. ข้อความที่ยอ่ ต้องเป็ นเรื่ องเล่า ตอนไหนที่มีเครื่ องหมายอัญประกาศสรุ ปแล้วไม่ตอ้ งใส่ เครื่ องหมาคําพูด 6. บอกที่มาของเรื่ อง เรื่ องที่ 5 การเขียนจดหมายถึงเพื่อน บิดาและมารดา การเขียนจดหมายเป็ นการเขียนเรื่ องราวสื่ อสารต่างๆใช้ ภาษาต่างกันตามความเหมาะสม มีการใช้คาํ ขึ้นต้นและลงท้ายที่ต่างกัน เช่น กราบเท้าคุณพ่อที่เคารพ ลงท้าย ด้วย ด้วยความเคารพอย่างสู ง เรื่ องที่6 การเขียนบันทึกจากการศึกษาค้ นคว้า การเขียนบันทึกจากการฟัง การอ่าน หรื อการดูเพื่อเตือน ความจํา การเขียนบันทึก มีดงั นี้ 1. จับประเด็นสําคัญจากการตั้งคําถาม 2. นําคําตอบมาเรี ยบเรี ยงเป็ นเรื่ องราว 3. เขียนบันทึกเป็ นตัวย่อเพื่อความรวดเร็ ว 4. บอก วัน เดือน ปี แหล่งที่มาของความรู ้ เรื่ องที่7 การเขียนรายงาน คือ การเขียนผลจากการศึกษาเรื่ องใดเรื่ องหนึ่งเป็ นกลุ่มหรื อเดี่ยว ส่ วนประกอบของรายงาน มีดงั นี้ 1. หน้ าปก เป็ นรายงานกลุ่มสาระใด ชื่อเรื่ อง ชื่อผูเ้ ขียนรายงาน เสนอ ภาคเรี ยนปี การศึกษา 2. หน้ าปกใน หรื อหน้าชื่ อเรื่ องมีลกั ษณะเช่นเดียวกันกับหน้าปก 3. คานา การอธิบายที่มาของรายงานความสนใจที่ศึกษา 4. สารบัญ เป็ นโครงเรื่ องรายงานว่ามีเรื่ องอะไรบ้าง อยูห่ น้าไหน 5. เนื้อเรื่ อง เป็ นเนื้ อหาของเรื่ องที่ทาํ รายงานโดยเป็ นการเรี ยงลําดับเพื่อให้เข้าใจในการอ่าน 6. บรรณานุกรม เป็ นแหล่งอ้างอิงเนื้ อหาของที่ผทู ้ าํ รายงานไปนํามา เรื่ องที่ 8 การเขียนเรื่ องตามจิตนาการ จิตนาการ หมายถึง การสร้างในจิตใจ การเขียนเรื่ องราวที่เกิดจากความคิด โดยมีข้ นั ตอนดังนี้ 1. เลือกที่สนใจ และศึกษาเรื่ องที่จะเขียน 2. สร้างจิตนาการจากข้อเท็จจริ งและเรี ยงลําดับเหตุการณ์ให้ต่อกัน 3.เรี ยบเรี ยงเรื่ องราวและปรับปรุ งให้สมบรู ณ์

เรื่ องที่9 มารยาทในการเขียน 1. เขียนด้วยลายมือที่อ่านง่าย เขียนให้ถูกต้อง 2. ใช้ถอ้ ยคําสุ ภาพ ไม่เขียนตําหนิผอู ้ ื่น

การฟัง การดู และการพูด หน่ วยการเรียนที1่ 9 เรื่ องที่ 1 การพูดสรุ ปความจากการฟังและการดู เป็ นการสรุ ปสาระสั้นๆจากการฟังและการดูเป็ นคําพูดของ ตนเอง เรื่ องที่2 การพูดแสดงความรู้ ความคิดเห็น และความรู้ สึกเกีย่ วกับเรื่ องทีฟ่ ังและดู การพูดแสดงความรู ้ ความ คิดเห็น และความรู ้สึกจากเรื่ องที่ฟังและดู ผูผ้ ดู จะต้องมีความรู ้ในเรื่ องนั้น และยกตัวอย่างประกอบ เรื่ องที่3 การตั้งคาถามและตอบคาถามเชิ งเหตุผลจากเรื่ องทีฟ่ ังและดู แนวทางการตั้งคําถามและตอบคําถามเชิงเหตุผล 1. สาระสําคัญของเรื่ องคืออะไร 2. ใช้คาํ ว่า ‚ทําไม" หรื อ "เหตุใด" ในการตั้งคําถาม 3. เรื่ องราวมีเหตุผลเพียงพอที่จะเชื่อถือได้หรื อไม่ 4. ข้อคิดหรื อความรู ้ที่จะนําไปใช้ประโยชน์ได้คืออะไร เรื่ องที่4 การพูดรายงาน เป็ นการนําเสนอข้อมูลที่ศึกษาค้นคว้า แบ่งเป็ น 2 ประเภทคือ 1. การรายงานเดี่ยว จะต้องศึกษาให้เข้าใจทั้งหมด 2. รายงานกลุ่ม แบ่งหน้าที่และแบ่งหัวข้อรายงานของเนื้ อเรื่ องทั้งหมด

หลักการพูดรายงาน 1. มีความเข้าใจเนื้อเรื่ อง เตรี ยมสื่ อประกอบการรายงาน 2. มีการเกริ่ นเรื่ อง ออกเสี ยงถูกต้องชัดเจน 3. เมื่อจบการรายงาน ควรเปิ ดโอกาสให้ผฟู ้ ังได้ซกั ถาม เรื่ องที่5 มารยาทในการฟัง การดู และการพูด การฟังและการดู ซึ่งเป็ นมารยาททางสังคม การจะได้รับประโยชน์จากการฟังและการดูตอ้ งฝึ กฝน ดังต่อไปนี้ 1. คิดไตร่ ตรองเรื่ องว่าน่าเชื่ อถือเพียงใด 2. จับประเด็นเรื่ องที่ฟัง และประโยชน์ที่พะนําไปใช้ มารยาทการฟัง การดู และการพูด 1. แต่งกายสุ ภาพไม่พูดคุยหรื อเดินเข้าออกขณะที่ฟังหรื อดู 2. เมื่อผูพ้ ูดจบแล้วค่อยถาม และยกมือก่อนถาม เมื่อการพูดจบให้ปรบมือ การพูด เป็ นการสื่ อสารที่แสดงความรู ้สึก การใช้คาํ พูดของแต่ละคน มารยาทในการพูด 1. พูดชัดเจน ใช้น้ าํ เสี ยงที่นุ่มนวลน่าฟัง 2. มองผูฟ้ ัง ไม่พูดแทรก รับฟังความคิดเห็นของผูฟ้ ัง

วรรณคดีและวรรณกรรม ชั้นประถมศึกษาปี ที่4

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 บทละครเรื่ องเงาะป่ า บทละครเรื่ อง เงาะป่ า เป็ นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั (รัชกาลที่5) ที่นาํ งาจากเรื่ องจริ งของเงาะซาไก ที่อาศัยในแถบพัทลุง ซึ่งมี 3 ตอน ได้แก่ ตอน ชมป่ า ตอนพิธีแต่งงาน และ ตอน โศกนาฏกรรม เนื้อเรื่ องย่อ คนัง และไม้ไผ่ ชอบเรี ยนรู ้วิธีการล่าสัตว์จาก ซมพลา เงาะหนุ่มคนหนึ่งซึ่ งมีฝีมือในการล่าสัตว์เป็ น อย่างมาก ซึ่ งซมพลามีความสามารถถึงขนาดเคยฆ่าเสื อได้ โดยซมพลานั้น ชอบพอกับ ลําหับ เงาะสาวสวย ซึ่ งเป็ นพี่สาวของไม้ไผ่ดว้ ย แต่วา่ วันหนึ่ง ฮเนา เงาะหนุ่มประจําเผ่าอีกคน ได้มาสู่ ขอลําหับไปเป็ นภรรยา พ่อแม่ของลําหับก็ยกให้ เพราะทั้งพ่อแม่ของลําหับ และพ่อแม่ของฮเนาก็ชอบพอกันอยู่ ทั้งๆ ที่ลาํ หับไม่ได้ตอ้ งการแต่งงานกับฮเนา เลยแม้แต่นิดเดียว ในคืนนั้นเอง ซมพลา ได้แอบมาชิงตัวลําหับไป เมื่อฮเนาตื่นขึ้นมาไม่พบลําหับก็ตกใจมาก จึงรวมพวก กับรําแก้ว และปองสองปองสุ ด พี่ชายออกตามหาจนมาเจอซมพลากับลําหับ และเกิดการต่อสู ้กนั ขึ้น การต่อสู ้ดาํ เนินไปอย่างดุเดือด และฮเนากําลังเสี ยเปรี ยบ รําแก้ว พี่ชายของฮเนาเห็นเช่นนั้น จึงได้หยิบ บอเลา (กล้องเป่ าลูกดอกอาบยาพิษ) ขึ้นมา และเป่ าลูกดอกอาบยาพิษใส่ ซมพลา ทําให้ซมพลาตายทันที เมื่อซมพลาตายแล้ว ลําหับก็เสี ยใจมาก จึงได้หยิบมีดสั้นขึ้นมา และแทงตัวตายตามไปอีกคน เมื่อฮเนา เห็นลําหับฆ่าตัวตายตามซมพลาไป ก็รู้สึกผิดมาก ที่ทาํ ให้ลาํ หับต้องมาตายไปเช่นนี้ จึงเอามีดแทงตัวตายตาม ไปอีกคน เกิดเป็ นโศกนาฏกรรมรักในกลุ่มของชาวเงาะเป็ นอย่างมาก

หน่ วยการเรียนที่ 2 พระอภัยมณี ตอน กาเนิดสุ ดสาคร นิทานคากลอน เป็ นวรรณคดีของสุ นทรภู่ที่แต่งขึ้นและมีผนู ้ ิยามอ่านกันมาก เพราะมีความไพเราะ และคติคมคาย และน่าตื่นเต้น เนื้อเรื่ องย่อ พระอภัยมณี และศรี สุวรรณเป็ นโอสรของท้าวสุ ทศั น์และนางปทุมเกสรแห่ งเมื องรั ตนา โอรสได้ เรี ยนวิชากับอาจารย์ พระอภัยมณี เรี ยนเป้ าปี่ ส่ วนศรี สุวรรณเรี ยนวิชากระบี่กระบอง เมื่อเรี ยนจบทั้งสองกลับ เมือง ท้าวสุ ทศั น์โกรธที่ลูกเพราะวิชาที่เรี ยนไม่เกี่ยวกับการปกครองเมือง จึงเนรเทศออกจากเมือง ทั้งสองได้ เจอพราหมณ์สามคน และได้เป่ าปี่ ให้ฟังจนพราหมณ์หลับหมด ในขณะนางผีเสื้ อสมุทรกําลังออกมาหาอาหาร ได้ยินเสี่ ยงปี่ ของพระอภัยมณี แล้วเกิดหลงรัก และ อุม้ พระอภัยมณี ไปไว้ในถ้าศรี สุวรรณและพราหมณ์ตื่นแล้วไม่เห็นพระอภัยมณี จึงออกตามหา พระอภัยมณี อยูก่ บั นางผีเสื้ อสมุทรจนมีลูกชายชื่อ สิ นสมุทร วันหนึ่งนางผีเสื้ อสมุทรออกไปหากิน พระอภัยมณี จึงให้เงือกที่สินสมุทรจับมาพาหนีไปเกาะแก้วพิสดาร และพระอภัยมณี ได้นางเงือกเป็ นชายาอีก คน ท้าวสิ ลราชได้พาลูกสาวสุ วรรณมาลีออกทะเลมาถึงเกาะแก้วพิสดารพระอภัยมณี และสิ นสมุทรขอ ติดเรื อไปเมืองของตน พระอภัยมณี ได้ร่ าํ ลานางเงือกและให้ปิ่นปั กผมไว้ นางผีเสื้ อสมุ ทรรู ้ ว่าพระอภัยมณี ได้หนี ข้ ึ นเรื อไปกับท้าวสิ ล ราชจึ งตามไปล่ มเรื อจนท้าวสิ ลราช จมนํ้าสิ้ นพระชนม์ พระอภัยหนีไปติดเกาะ นางผีเสื้ อสมุทรตามไป พะอภัยมณี เป่ าปี่ จนนางใจขาดตาย เมื่อพระอภัยมณี หนี นางเงือกไป นางเงือกอาศัยอยู่ที่เกาะแก้วพิสดารกับฤๅษี และคลอดลูกชายชื่ อ สุ ดสาคร ที่มีหน้าตาคล้านพระอภัยมณี นางเหงือกได้ฝากให้ฤๅษีเป็ นคนอบรมสั่งสอนวิชาต่างๆให้นางได้ ฝากแหวนและปิ่ นปั กผมที่ พระภัยมณี ให้ให้กลับสุ ดสาคร สุ ดสาครเป็ นเด็กซุ กซนจนได้ไปเจอกับม้านิ ล มังกร และจับม้านิลมังกรมาเป็ นยานพาหนะ ฤๅษีได้เล่าเรื่ องของพระอภัยมณี ให้สุดสาครฟังและให้ออกตามหาพระบิดา สุ ดสาครได้ออกตามหา พระบิดาและต้องเจอกับสิ่ งอันตรายมากมายและได้เป็ นบุตรบุญธรรมของท้าวสุ ริโยทัยกษัตริ ยเ์ มืองการะเวก

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 นิทานสุ ภาษิต เรื่ องนา้ ผึง้ หยดเดียวก่ อเหตุ พระยาสี หราชฤทธิ ไกรเป็ นผูแ้ ต่ง แต่งเป็ นโครงสี่ สุภาพ 1 บท เป็ นเรื่ องราวที่เกิดจากเด็กที่ขวดนํ้าผึ้ง หกแล้วมาแมลงมากิน จิ้งจกจึงมากิ นแมลง แมวออกมากินจิ้งจก หมามากัดแมว คนเห็นหมากัดแมวจึงมาตี หมา หมาวิ่งร้ องไป แล้วจึงทําให้คนเกิดทะเลาะกันไปมาเพราะได้ยินเสี ยงเอะอะโว้ยวายเมื่อเห็นลู กหลาน ตัวเองเจ็บ แต่ไม่ได้ถามเหตุผลว่าเหตุเกิดจากอะไร ต่างคนต่างตีจนเกิดเป็ นเรื่ องใหญ่บาดเจ็บเป็ นแผลฉกรรจ์ เพราะเหตุที่เกิดจากนํ้าผึ้งเพียงหยดเดียว นิ ทานเรื่ องนี้ สอนให้รู้วา่ เมื่อไดเห็ นฟั งสิ่ งใดต้องคิดพิจารณาให้รอบคอบถึ งผลดี ผลเสี ยทั้งตนเอง และผูอ้ ื่น ก่อนที่จะเชื่อและปฏิบตั ิตาม หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 บทเห่ กล่อมพระบรรทม เห่ เรื่ อง จับระบา สุ น ทรภู่ แ ต่ ง ขึ้ น เป็ นบทเห่ ก ล่ อ มพระบรรทม ใช้ ข ับ กล่ อ ม พระโอรส พระธิ ดา ในพระองค์เจ้า ลักขณานุ คุณ กับพระเจ้าลูกเธอใน พระบาทสมเด็ จ พระปิ่ นเกล้า เจ้า อยู่ หั ว และ กับ พระเจ้า ลู ก เธอใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หวั เป็ นการแต่งเกี่ ยวกับความเชื่ อ เกี่ ยวกับฟ้ าแลบ ฟ้ าร้ อง ฟ้ าร้ อง และฟ้ าผ่า ที่เกิ ดนางมณี เมขลาเอาดวง แก้วมาแก่วงเล่นจนเกิดแสงแปลบปลาบ ฟ้ าร้อง ฟ้ าผ่า เกิดจากรามสู รขว้างขวานเพชรอาวุธคู่กาย ไปใส่ นาง มณี เมขลาเพื่อแย่งดวงแก้วมณี แต่นางเมขลาไม่เป็ นอันตรายเพราะว่าด้วยอิทธิ ฤทธิ์ ของดวงแก้วมณี นางยัว่ ยุ รามสู รหลบไปมา รามสู รก็ขว้างใส่ นางจนเกิดเป็ นฟ้าแลบ ฟ้าร้อง หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 5 นิราศเดือน นายมี หรื อหมื่นพรหมสมพัตสร เป็ นผูแ้ ต่งนิ ราศเดือน ซึ่ งนิราศเดือนมีเนื้ อหารําพันถึงความรัก และ บรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ของประเพณี ไทยในแต่ละเดือนทั้ง 12 เดือน เดือนห้า กล่าวถึง ประเพณี สงกรานต์ เดือนหก กล่าวถึง ประเพณี แรกนาขวัญ โกนจุก แต่งงาน เดือนเจ็ด กล่าวถึง ประเพณี สลากภัต เดือนแปด กล่าวถึง ประเพณี เข้าพรรษา เดือนเก้า ครํ่าครวญถึงนางที่รัก เดือนสิ บ กล่าวถึง ประเพณี สารท เดือนสิ ลเอ็ด กล่าวถึง ประเพณี ออกพรรษา ประเพณี ทอดกฐิน เดือนสิ บสอง กล่าวถึง ประเพณี ลอยกระทง ทอดผ้าป่ า ประเพณี เทศน์มหาชาติ

เดือนอ้าย เดือนยี่ เดือนสาม เดือนสี่

ครํ่าครวญถึงนางที่รัก ครํ่าครวญถึงนางที่รัก ครํ่าครวญถึงนางที่รัก กล่าวถึง ประเพณี ตรุ ษจีน

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 6 คาประพันธ์ สุภาษิต ให้ ข้อคิดสอนใจ พฤษภกาสร สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตซิโนรสเป็ นผูป้ ระพันธ์ พฤษภกาสร เป็ น บทประพันธ์ประเภทกาพย์ยานี 11 ให้คติสอนมนุษย์เมื่อสิ้ นชีวติ ร่ างกายย่อมสลายไป เหลือไว้แค่ความดีกบั ความชัว่

ปากเป็ นเอก เลขเป็ นโท หนังสื อเป็ นตรี ชั่วดีเป็ นตรา ท่านผูห้ ญิงสมโรจน์ สวัสดิกุล ณ อยุธยา เป็ น ผูแ้ ต่ง เป็ นบทประพันธ์ประเภทกลอนแปด พิมพ์รวมไว้ในหนังสื อ บทประพันธ์อธิบายสุ ภาษิต เป็ นการให้ เห็นสิ่ งที่ความสําคัญต่อชีวิต ได้แก่ การพูด การคิดคํานวณ การศึกษาความรู ้ และความดีงาม หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 7 บทละครพูดคากลอน เรื่ องพระร่ วง บทละครพูดคากลอนเรื่ อง พระร่ วง เป็ นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยูห่ วั วรรณคดีที่มีคุณค่าที่แสดงให้เห็นความรักชาติของคนไทย คุณค่าด้านประวัติศาสตร์ ความเป็ นอยู่ ของขาวไทยสมัยกรุ งสุ โขทัยเป็ นราชธานี สติปัญญา ไหวพริ บ ความกล้าหาญ ความเสี ยสละ ความเมตตา ก่อให้เกิดความรักชาติ บทละครพูด เป็ นรู ปแบบของละครที่ได้รับอิทธิ พลมาจากตะวันตก เปลี่ยนจากร่ ายรําเป็ นการเจรจา อาจพูดเป็ นร้อยแก้วหรื อร้อยกรองก็ได้

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 8 เพลงพื้นบ้ าน เพลงพืน้ บ้ าน หมายถึง เพลงที่ชาวบ้านในแต่ละท้องถิ่นคิดสร้างสรรค์รูปแบบ เนื้ อร้อง และทํานอง ขึ้นนิยมร้องในงานเทศกาลหรื องานชุมชนเพื่อความรื่ นเริ ง เช่น สงกรานต์ ปี ใหม่ ทอดกฐิน ลักษณะเนื้อร้องเพลงพื้นบ้านไม่มีแบบแผน ขึ้นอยูแ่ ต่ทอ้ งถิ่นจะคิดแบบแผนการร้องของตนไปตาม ความนิยม ลักษณะเด่นขึ้นอยูก่ บั ความไพเราะการใช้ถอ้ ยคําง่ายๆ เพลงพื้นบ้านของแต่ละภาค ภาคเหนื อ ได้แก่ เพลงซอ ค่าว จ๊อย เพลงเรื อชาวเหนือ เพลงอื่อ เพลงผีนางด้ง ฯลฯ ภาคอีสาน ได้แก่ ลํากลอน ลําเกี้ยว ลําเซิ้ง ลําเต้ย เพลงโคราช ฯลฯ ภาคกลาง ได้แก่ เพลงปรบไก่ เพลงเรื อ เพลงฉ่อย เพลงพวงมาลัย ลําตัด ลําเหย่อย ฯลฯ ภาคใต้ ได้แก่ เพลงเรื อ เพลงบอก เพลงนา หนังตะลุง โนรา ฯลฯ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 9 บทอาขยาน บทอาขยาน หมายถึง บทท่องจําที่เป็ นบทร้อยกรองหรื อคําประพันธ์ที่แฝงคุณธรรม ลักษณะสําคัญและคุณค่าของบทอาขยาน 1. แต่งถูกต้องตามรู ปแบบคําประพันธ์ เลือกใช้ถอ้ ยคําและสํานวนที่สละสลวย 2. ปลูกฝังคุณธรรม จริ ยธรรม ให้คิดที่มีค่าแก่การควรจดจํานําไปใช้ 3. เป็ นสื่ อส่ งเสริ มจิตสํานึกทางวัฒนธรรมร่ วมกัน วิธีท่องจําบทอาขยาน การท่องจําบทอาขยานมี2 วิธี คือ 1. ท่องจําเสี ยงปกติ คือ การอ่านออกเสี ยงอย่างร้อยแก้ว แต่มีการเว้นวรรคหรื อแบ่งหวะ อย่างร้อยกรอง 2. ท่องจําเป็ นทํานองเสนาะ คือ การอ่านให้มีเสี ยงสู งตํ่า หนักเบา สั้นยาว เอื้อนเสี ยง เน้น สัมผัสให้ชดั เจน ท่วงทํานองไพเราะ

สรุปเนื้อหา หลักการใช้ ภาษาและการใช้ ภาษาไทย และวรรณคดีและ วรรณกรรม ชั้นประถมศึกษาปี ที่5

ชนิดของคา หน่ วยการเรียนรู้ ท1ี่ คาบุพบท คาบุพบท คือ คําที่อยูห่ น้าคํานามหรื อสรรพนามในประโยค เพื่อทําหน้าที่บอกความหมายต่างๆ 1. คําบุพบทบอกเวลา เช่น เมื่อ กระทัง่ ตั้งแต่ 2. คําบุพบทบอกตําแหน่ง ที่ต้ งั สถานที่ เช่น บน ใน ใกล้ ไกล ใต้ นอก ที่ เหนื อ ข้าง 3. คําบุพบทบอกความเป็ นเจ้าของ ได้แก่ ของ แห่ง ใน 4. คําบุพบทบอกความเกี่ยวข้องหรื อความประสงค์ เช่น กับ แก่ แต่ เพื่อ สําหรับ โดย หน่ วยการเรียนรู้ ท2ี่ คาสั นทาน คาสั นทาน คือ คําที่ทาํ หน้าที่เชื่อมคํากับคํา ประโยคกับประโยค ข้อความกับข้อความหรื อเชื่อม ความให้ต่อเนื่ องกัน 1. คําสันธานเชื่อมประโยคที่มีใจความคล้อยตามกัน เช่น พอ...ก็ เมื่อ...ก็ ครั่น...จึง และ ครั้น...กัน 2. คําสันธานเชื่อมประโยคที่มีความขัดแย้งกัน เช่น แต่ แต่...ก็ ถึง...ก็ แต่วา่ กว่า...ก็ 3. คําสันธานเชื่อมประโยคที่มีใจความให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น หรื อ มิฉะนั้น หรื อไม่ก็ ไม่...ก็ 4. คําสันธานเชื่อมประโยคที่มีใจความเป็ นเป็ นผลกัน เช่น เพราะ จึง เพราะ...จึง ดังนั้น...จึง ฉะนั้น...จึง เพราะฉะนั้น...จึง

หน่ วยการเรียนรู้ ท3ี่ คาอุทาน คาอุทาน คือ คําที่แสดงอารมณ์ความรู ้สึกต่างๆ เช่น สงสัย โกรธ ประหลาดใจ สงสาร เจ็บปวด

คําอุทานมักจะอยูห่ น้าประโยค และมีเครื่ องหมายอัศเจรี ย(์ !) อยูข่ า้ งหลัง คําอุทานไม่จดั ว่าเป็ นส่ วนหนึ่งของ ประโยค เป็ นเพียงการแสดงความรู ้สึกของผูพ้ ูดหรื อผูเ้ ขียน เช่น รู ้สึกสงสาร โธ่! สุ นกั ตัวนี้ช่างน่าสงสาร ประโยค หน่ วยการเรียนรู้ ท4ี่ ประโยคและส่ วนประกอบของประโยค ประโยค คือ คําหรื อกลุ่มคําที่เรี ยบเรี ยงแล้วสามารถสื่ อสารได้ความสมบรู ณ์ ว่าใครทําอะไร ทํา อาการอย่างไร เช่น ฉันตื่นนอนแต่เช้า ผีเสื้ อตอมดอกไม้ ส่ วนประกอบของประโยค ประกอบด้วยส่ วนสําคัญ 2 ส่ วน คือ ภาคประธาน และภาคแสดง 1. ภาคประธาน คือ ส่ วนที่เป็ นผูกระทําหรื อแสดงอาการ ซึ่ งเป็ นคํานามหรื อสรรพนาม แบ่งเป็ นประธาน และบทขยายประธาน 2. ภาคแสดง คือ ส่ วนที่แสดงอาการหรื อความเป็ นไปของประธาน

ภาษาไทยมาตรฐานและภาษาถิ่น ภาษาไทยมาตรฐาน คือภาษาที่ใช้ติดต่อราชการที่ใช้ติดต่อกันได้ทวั่ ประเทศส่ วนภาษาถิ่น คือ ภาษา ที่ใช้เฉพาะในท้องถิ่นที่มีความหมายและสําเนียงที่แตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น

คาราชาศัพท์ หน่ วยการเรียนรู้ ท6ี่ คาราชาศัพท์ คาราชาศัพท์ คือ สุ ภาพที่ใช้ให้เหมาะกับบุคคลที่มีฐานะต่างกัน แบ่งได้5 ลําดับดังนี้ 1. พระมหากษัตริ ย ์ 2. พระบรมวงศานุ วงศ์ต้ งั แต่ช้ นั หม่อนเจ้าขึ้นไป 3. พระสงฆ์ 4. ข้าราชการผูใ้ หญ่ 5. สุ ภาพชน คําราชาศัพท์แบ่งตามชนิดของคําได้ 3 ชนิด ได้แก่ คํานามราชาศัพท์ คําสรรพนามราชาศัพท์ และ คํากริ ยาราชาศัพท์ คานามราชาศัพท์ คือ คํานามที่ใช้เรี ยกสิ่ งต่างๆ ทัว่ ไป ซึ่ งใช้กบั บุคคลที่มีฐานะต่างๆ

คาสรรพนามราชาศัพท์ คือ คําที่ใช้แทนชื่อบุคคล ซึ่งจําแนกตามชนิดของคําบุรุษสรรพนาม คากริยาราชาศัพท์ คือ คําราชาศัพท์ที่เป็ นกริ ยาอาการ

คาภาษาต่ างประเทศในภาษาไทย หน่ วยการเรียนรู้ ท7ี่ คาในภาษาไทย ทีน่ ามาจากภาษาต่ างประเทศ คําในภาษาไทยที่นาํ มาจากต่างประเทศมีหลายภาษา เช่น บาลีสันสกฤต เขมร ชวา เกาหลี ญี่ปุ่นจีน อังกฤษ ฝรั่งเศส คาทีม่ าจากภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษเป็ นภาษาที่แพร่ หลายใช้เป็ นภาษาสากลในการสื่ อสารทัว่ โลก จึงมีคาํ ภาษาอังกฤษเข้า ในไทยจากการค้าขาย ศึกษา และกีฬา เช่น กีตาร์ แท็กซี่ บาสเกตบอล คําภาษาอังกฤษที่นาํ มาใช้ในการใช้ในภาษาไทย มีหลายลักษณะ ดังนี้ 1. นํามาใช้โดยตรง ไม่ได้กาํ หนดคําไทยขึ้นใช้แทน (ทับศัพท์) เมื่อเขียนเป็ นภาษาไทยจะไม่ใส่ วรรณยุกต์ แต่ให้อ่านออกเสี ยงวรรณยุกต์ตามเดิม 2. กําหนดคําไทยใช้แทน (ศัพท์บญั ญัติ) คําที่มาจากภาษาอังกฤษแล้วมีการกําหนดคําไทยใช้แทน โดยราชบัณฑิตยสถาน เช่น พาสปอร์ต (หนังสื อเดินทาง) ออฟฟิ ศ (สํานักงาน ที่ทาํ การ) คาทีน่ ามาจากจีน ส่ วนใหญ่คาํ ที่นาํ มาจากภาษาจีนจะนํามาใช้โดยตรงไม่มีการกําหนดคําไทยขึ้นใช้แทน เขียนใส่ รูป วรรณยุกต์ออกเสี ยงสําเนียงใกล้เคียงกับเสี ยงเดิมเช่น ซี อิ๊ว หมายถึง เครื่ องปรุ งรสอย่างนํ้าปลา ทําด้วยถัว เหลือง เซียน หมายถึง ผูว้ เิ ศษ ผูส้ าํ เร็ จ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 18 กาพย์ ยานี11 บทร้ อยกรอง คือ ถ้อยคําที่เรี ยบเรี ยงให้เป็ นระเบียบถูกต้องตามฉันทลักษณ์ กาพย์ยานี11 นิยมแต่งในการพรรณนาเรื่ องต่างๆแนวทางการแต่งมีดงั นี้ 1. ฉันทลักษณ์ จานวนคา กาพย์ยานี11 บทหนึ่งมี 2 บาท แต่ละบาทมี2 วรรควรรคหน้ามี5 คําวรรคหลังมี6 คํา การสั มผัส กาพย์ยานี11

คําสุ ดท้ายของวรรคที่1 สัมผัสกับคําที่3 ของวรรคที่2 คําสุ ดท้ายของวรรคที่2 สัมผัสกับคําสุ ดท้ายองวรรคที่3 คําสุ ดของวรรคที่3 อาจจะสัมผัสกับคําที่3ของวรรคที่4 หรื อไม่สัมผัสก็ได้ ถ้าแต่งมากกว่า1บท จะต้องมีสัมผัสระหว่างบท คําสุ ดท้ายองวรรคที่4 ในบทแรกสัมผัสกับคําสุ ดท้ายของ วรรคที่2ในบทถัดไป 2. เลือกคา คาทีใ่ ช้ ในการแต่ ง ควรเลือกคําให้มีเสี ยงและจังหวะกลมกลืนเหมาะกับฉันทลักษณ์ เหมาะกับเนื้อ เรื่ อง คําที่ใช้เฉพาะในบทร้อยกรอง การจัดคา ในบาทหนึ่งคือ 2 วรรค จัดให้ได้ใจความอย่างน้อย 1 ประโยค มีกริ ยาอย่างน้อย2 คํา และ ใจความจบในวรรค สั มผัสในวรรค มีท้ งั สัมผัสสระและสัมผัสอักษร สัมผัสสระ คือ คําที่มีเสี ยงสระเหมือนกัน หรื อคําที่มีเสี ยงสระและเสี ยงตัวสระกด เหมือนกัน สัมผัสอักษร คือ คําที่มีพยัญชนะเหมือนกัน 3. นาตรวจทาน เมื่อแต่งเสร็ จนํามาตรวจเพื่อแก้ไขเรื่ องฉันทลักษณ์

สานวน หน่ วยการเรียนรู้ ที่19 สานวน สุ ภาษิต คาพังเผย สานวน คือ ข้อความที่กล่าวสื บเนื่องกันมามีความหมายไม่ตรงตามตัวอักษรหรื อมีความหมายแฝง เชิงเปรี ยบเทียบ ไม่มีหลักฐานแน่นอนว่าเกิดสมัยไหน เช่น กระดี่ได้น้ าํ ตาลยอดด้วน คาพังเพย คือ เป็ นข้อความเป็ นกลางๆเพื่อให้ตีความเข้ากับเรื่ อง มีความหมายลึกซึ้ งกว่าสํานวน แฝง ข้อคิด คําสอนแต่ไม่สอนโดยตรงเหมือนสุ ภาษิต เช่น ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ นํ้ามาปลากินมด นํ้าลดมดกิน ปลา สุ ภาษิต คือ เป็ นคติสอนใจ ให้ประพฤติตามเป็ นข้อความสั้นๆ เป็ นหลักความจริ ง เช่น ความกตัญํูกตเวที เป็ นเครื่ องหมายของคนดี ธรรมย่อมรักษาผูป้ ระพฤติธรรม

การอ่ าน หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 10 เรื่ องที่ 1 การอ่านออกเสี ยงบทร้ อยแก้ว บทร้ อยแก้ว คือ ถ้อยคําที่เรี ยบเรี ยงขึ้นโดยไม่บงั คับจํานวนคํา สัมผัส เสี ยงวรรณยุกต์ เช่น เรี ยงความ นิทาน เรื่ องสั้น ข่าว สารคดี บทความ การอ่านออกเสี ยงบทร้ อยแก้วมี 3 ขั้นตอน คือ 1.ขั้นเตรี ยมการอ่าน คือ สํารวจเนื้ อเรื่ องคร่ าวๆเพื่อสํารวจคํายาก แล้วตรวจสอบในพจนานุกรม พิจารณาประเภทเรื่ องที่อ่าน 2. ขั้นการ่ านออกเสี ยง คือ อ่านให้ถูกตามอักขระ เว้นวรรคตอนให้ถูก ใช้น้ าํ เสี ยงใกล้เหมาะกับเนื้อ เรื่ อง อ่านเสี ยงดังพอประมาณ 3. ขั้นพัฒนาการอ่านออกเสี ยง คือ สังเกตปั ญหาในการอ่าน ปรับปรุ งข้อบกพร่ องฝึ กอ่านออกเสี ยง สมํ่าเสมอ เรื่ องที่ 2 การอ่านออกเสี ยงบทร้ อยกรองเป็ นทานองเสนาะ การอ่านบทร้อยกรองต้องศึกษาคํายาก คําอ่านและความหมาย ศึกษาประเภทร้อยกรอง การอ่านบท ร้อยกรองมีจงั หวะการอ่านต่างกัน มีวธิ ี อ่าน 2 วิธี คือ 1. อ่านออกเสี ยงปกติ คือ อ่านออกเสี ยงเหมือนร้อยแก้วแต่มีการเว้นวรรค 2. การอ่านเสี ยงเป็ นทํานอง คือ อ่านสําเนียงสู งตํ่า หนัก เบา เอื้อนเสี ยง เรื่ องที่3 การอ่านจับใจความ การอ่านจับใจความ คือ การอ่านจับประเด็นสําคัญหรื อใจความของเรื่ องมักอ่านในใจ อ่านจับ ใจความในงานเขียนต่างๆ ขั้นตอนการอ่านจับใจความ 1. อ่านเฉพาะตอนที่สาํ คัญแล้วตั้งคําถามว่าเป็ นเรื่ องเกี่ยวกับอะไร 2. อ่านอย่างละเอียดแยกข้อเท็จจริ งกับข้อคิดเห็น ลําดับเหตุการณ์เพื่อหาคําตอบ 3. อ่านซํ้าตอนที่ไม่เข้าใจ และตรวจสอบความเข้าใจ เพื่อสรุ ปความเข้าใจ เรื่ องที่ 4 การอ่ านงานเขียนเชิ งอธิบาย คาสั่ ง ข้ อแนะนา และปฏิบัติตาม เป็ นการอ่ านเพื่อหาความรู้ หรื อการ นาไปใช้

การใช้ พจนานุกรม หลักการใช้พจนานุกรม 1. การเรี ยงลําดับคํา 1.1 หาคําตามลําดับพยัญชนะ ก-ฮ โดยมี ฤ ฤา อยูห่ ลังตัว ร และ ฦ ฦๅ อยูห่ ลัง ล 1.2 หาคําตามรู ปสระ คําเรี ยงตามรู ปสระ คําที่ไม่มีรูปสระจะมาก่อนคําที่มีรูปสระ 1.3 คําที่มีตวั สระกดการันต์เหมือนกันจะเรี ยงลําดับตามรู ปวรรณยุกต์ คําที่มีไม้ไต่คู ้ ิ็ จะ อยูก่ ่อนวรรณยุกต์ 2. การบอกคําอ่าน คําอ่านจะอยูใ่ นวงเล็บท้ายคําศัพท์น้ นั 3. การบอกความหมายของคํา จะอยูห่ ลังคําศัพท์ คําอ่านและอักษรย่อ การใช้ วสั ดุอุปกรณ์ คู่มือการใช้อุปกรณ์ต่างควรอ่านให้ละเอียด เพื่ออย่างถูกต้องตามวิธีการใช้งาน การอ่านฉลากยา ฉลากยา คือ ป้ ายบอกชื่อยา บอกสรรพคุณ ขนาดการใช้ คําเตือน วันหมดอายุ ให้เข้าใจและ ปฏิบตั ิตาม เรื่ องที่5 การเลือกอ่ านหนังสื อทีม่ ีคุณค่ าตามความสนใจ 1. หนังสื อที่ให้ความรู ้และข่าวสาร หนังสื อที่อ่านแล้วสามารถนําไปใช้ประโยชน์ในชี วิตประจําวัน 2. หนังสื อให้ความบันเทิง หนังสื ออ่านเพื่อความเพลิดเพลินผ่อนคลายอารมณ์ และให้ขอ้ คิดต่างๆ การเลือกพิจารณาประเมินคุณค่าของหนังสื อ การอ่านหนังสื อพิมพ์ 1. การพาดหัวข่าว หัวข่าวตรงกับสาระข่าว ใช้ภาษากระชับ เข้าใจง่าย 2. เนื้อหาข่าว จริ งตามเหตุการณ์ที่เกิดไม่มีความคิดเห็นของผูเ้ ขียนไม่ทาํ ลายความมัน่ คงของชาติมี แหล่งที่มา 3. การพิจารณาคอลัมน์อื่นๆ การพิจารณาคุณค่าในแต่ละคอลัมน์การใช้ภาษา การเขียน คุณค่าที่ได้ จากการอ่าน การอ่านหนังสื อบันเทิงคดี 1. แนวคิดสําคัญของผูเ้ ขียน เป็ นหัวใจเรื่ อง 2. การวางโครงเรื่ อง ผูกเรื่ องตัวละครและเหตุการณ์สัมพันธ์กนั 3. ตัวละคร มีพฤติกรรมสมจริ ง และสะท้อนสังคม 4. สํานวนภาษา ใช้ภาษาเหมาะกับเนื้อเรื่ อง ใช้ถอ้ ยคําสละสลวย

เรื่ องที่ 6 มารยาทในการอ่าน มารยาทในการอ่าน 1. อ่านถูกต้องตามกาลเทศะเวลาที่เหมาะสม 2. ไม่อ่านเสี ยงดังรบกวนผูอ้ ื่น ไม่แย่งหรื อชะโงกหน้าไปอ่านขณะผูอ้ ื่นอ่าน 3. ไม่ทาํ ลายหนังสื อ 4. หากยืมหนังสื อมาควรรักษาให้ดี และรี บส่ งคืนเมื่ออ่านจบ หน่ วยการเรียนรู้ 11 เรื่ องที่ 1 การคัดลายมือ เป็ นการฝึ กเขียนตัวอักษรไทยให้ถูกต้องตามหลักการเขียนและลายมือสวยงาม เรื่ องที่ 2 การเขียนสื่ อสาร การเขียนสื่ อสาร มีหลายรู ปแบบตามจุดประสงค์ในการเขียน เช่น เพื่อแสดงความรู ้ ความคิด ความ เข้าใจ ความต้องการ หรื อความบันเทิง การเขียนคําขวัญ คําขวัญ คือ ถ้อยคําที่แต่งขึ้นเพื่อเตือนใจ เชิญชวน หรื อขอร้อง ให้ยดึ ปฏิบตั ิตาม มักมีความ คล้องจองหรื อมีสัมผัสเป็ นร้อยกรองสั้นๆ การเขียนคาอวยพร อวยพร หมายถึง การให้พร การเขียนคําอวยพรให้กบั บุคคลต่างๆ เช่นวันเกิด วันขึ้นปี ใหม่

วรรณคดีและวรรณกรรมชั้นประถมศึกษาปี ที่5

หน่ วยการเรียนรู้ ท1ี่ บทละครเรื่ อง สั งข์ ตอน กาเนิดพระสั งข์ เป็ นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (รัชกาลที่2) เนื้อเรื่ องย่อ ณ เมืองยศวิมลนคร อันมีทา้ วยศวิมลเป็ นเจ้าเมือง พระมเหสี จนั เทวีได้คลอดลูกออกมาเป็ นหอยสังข์ จึงถูกพระนางจันทา มเหสี รอง ใส่ ร้ายว่าเป็ นกาลีบา้ นเมือง จนถูกขับออก จากเมืองไปอยูก่ ระท่อมตายายที่ชายป่ า จนกระทัง่ พระสังข์ที่ซ่อนอยูใ่ นหอย ได้ออกมาพบแม่ สร้างความยินดีกบั พระนางจันเทวี ข่าวล่วงรู ้ไปถึงนางจัน ทา จึงได้ส่งคนมาจับพระสังข์ไปถ่วงนํ้า แต่ทา้ วภุชงค์พญานาคราชช่วย เอาไว้ และส่ งให้ไปอยูก่ บั นางพันธุ รัต พระสังข์รู้วา่ นางพันธุ รัตเป็ นยักษ์จึง ขโมยรู ปเงาะ ไม้เท้า เกือกแก้ว เหาะหนีมาอยูบ่ นเขา นางพันธุ รัตตามมาทัน แต่ ไม่สามารถขึ้นไปหาพระสังข์ได้ จึงได้มอบมนต์มหาจินดา เรี ยกเนื้อเรี ยกปลาให้แก่พระสังข์ก่อนที่จะอก แตกสิ้ นใจตายที่เชิงเขา นัน่ เอง พระสังข์เหาะมาจนถึงเมืองสามล ท้าวสามลและนางมณฑากําลังจัดพิธีเลือก คู่ให้ธิดาทั้งเจ็ด แต่รจนาพระธิ ดาองค์สุดท้อง ไม่ยอมเลือกใครเป็ นคู่ ท้าวสามลจึงให้คนไปตามเจ้าเงาะมาให้ เลือก รจนาเห็นรู ปทองที่ซ่อนอยูใ่ นรู ปเงาะจึงเสี่ ยงมาลัยไปให้ สร้างความพิโรธให้ทา้ วสามลจึงถึงกับขับไล่ รจนาให้ไปอยูก่ ระท่อมปลายนากับเจ้าเงาะ ท้าวสามลหาทางแกล้งเจ้าเงาะ โดยการให้ไปหาเนื้ อหาปลาแข่ง กับเขยทั้งหก เจ้าเงาะให้มนต์ที่นางพันธุ รัตให้ไว้เรี ยกเนื้อ เรี ยกปลามารวมกันทําให้หกเขยหาปลาไม่ได้ จึง ต้องยอมตัดปลายหู และปลายจมูกแลกกับเนื้อและปลา ท้าวสามลพิโรธมากจนถึงกับคิดหาทางประหารเจ้า เงาะ ร้อนถึงพระอินทร์ ตอ้ งหาทางช่วยโดยการลงมาท้าตีคลีชิงเมือง กับท้าวสามล ท้าวสามลส่ งหกเขยไปสู ้ก็ สู ้ไม่ได้ จึงต้องยอมให้เจ้าเงาะไปสู ้แทน เจ้าเงาะถอดรู ปเป็ นพระสังข์และสู ้กบั พระอินทร์ จนชนะ ท้าวสามล จึงยอมรับพระสังข์กลับเข้าเมืองและจัดพิธีอภิเษกให้ พระอินทร์ไปเข้าฝันท้าวยศวิมล เพื่อบอกเรื่ องราว ทั้งหมด ท้าวยศวิมลจึงออกตามหาพระนางจันเทวีจนพบ และได้เดินทาน ไปเมืองสามลนครเพื่อพบพระสังข์ โดยพระนางจันเทวีได้ปลอมเป็ นแม่ครัวในวังและได้แกะสลักเรื่ องราวทั้งหมดบนชิ้นฟัก ให้พระสังข์เสวย ทําให้พระสังข์รู้วา่ แม่ครัวคือพระมารดานัน่ เอง พระสังข์และรจนาจึงได้เสด็จตามท้าวยศวิมลและพระนาง จันเทวีกลับไปครองเมืองยศวิมลสื บไป ทีมา : http://chainarong2533.blogspot.com/

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 ราชาธิราช ตอน กาเนิดมะกะโท เจ้าพระยาพระคลัง (หน) เป็ นผูแ้ ต่ง ราชาธิ ราช ตอน กําเนิดมะกะโท เรื่ องนี้เกิดขึ้นใสมัยกรุ งสุ โขทัย ราชธานีซ่ ึ งเรื่ องก็มีอยูว่ า่ มีชายหนุ่มคนหนึ่งนามว่ามะกะโท เขาเป็ นบุตร พ่อค้าชาวมอญอยูบ่ า้ นเกาะวาน เมืองเมาะตะมะ (เมืองในพม่าในปั จจุบนั ) เมื่ออายุได้ 15 ปี บิดาก็ถึงแก่ความ ตาย เขาจึงทําหน้าที่คา้ ขายแทนบิดาวันหนึ่งเขาได้คุมคนหาบสามสิ บคนหาบสิ นค้าไปขาย ยัง เมืองสุ โขทัย ครั้นมาถึงตําบลมะเตวะคนหาบสิ นค้าคนหนึ่งของเขาเกิดป่ วยกะทันหัน ด้วยความสงสารมะกะโทจึงช่วย หาบสิ นค้าแทน เมื่อเขาหาบสิ นค้าไปถึงยอดเขาเกิดฝนตกหนักและมีพายุ ทันใดนั้นก็เกิดฟ้าฝ่ าลงมาถูกคาน หาบหัก โชคดีที่เขาไม่เป็ นอะไรถึงแม้วา่ เขาจะเปลี่ยนคานหาบถึงสามครั้ง แต่ก็ถูกฟ้าผ่าถึงสามครั้งด้วยกัน เมื่อเขามอง ไปทางทิศตะวันตกมีฟ้าแลบเห็นเป็ นปราสาทหรื อราชวัง เพื่อให้รู้แน่วา่ ปรากฏการณ์อนั ประหลาดนั้นคืออะไร เขาจึงไปหาโหรเพื่อให้ช่วยทํานายในสิ่ งที่เขา เห็นนั้น แต่โหรตั้งเงื่อนไขไว้วา่ เขาต้องนําเงินมากองสู งเพียงศีรษะ จึงจะทํานายให้และ ถึงแม้วา่ มะกะโทจะมีเงินอยูเ่ พียงไม่กี่บาทแต่ ความที่เขาเป็ นคนฉลาดจึงนําเงิน ที่เขามีอยูไ่ ปวางไว้บนจอมปลวก และบอกให้โหรมาดู ฝ่ ายโหรก็คิดว่าชายผูน้ ้ ีฉลาดนักจึงทํานายให้วา่ มะกะโทเป็ นผูม้ ีบุญญาธิ การและจะได้เป็ นใหญ่ในทางทิศตะวันตก เมื่อเดินทางมาถึงกรุ งสุ โขทัยเขาก็ขายสิ นค้าจนหมดแล้ว จึงบอกให้คนหาบกลับบ้านไปส่ วนตัวเขา เอง จะอยูใ่ นเมืองก่อนและแล้วก็ไปขออาศัยอยูก่ บั นายช้างของพระร่ วงเจ้าผู ้ ครองกรุ งสุ โขทัย โดยปกติแล้ว มะกะโทเป็ นคน ขยันหมัน่ เพียร ดังนั้นเขาจึงช่วยนายช้างดูแลช้างทั้งกลางวันและกลางคืน นายช้างจึงรักและ เอ็นดูเขา มากเมื่อได้รับพระราชทานเงินเดือนก็จะแบ่งให้มะกะโททุกครั้ง อยูม่ าวันหนึ่ง สมเด็จพระร่ วงเจ้าเสด็จไปยังโรงข้าวของพระองค์ในขณะที่ทรงทอดพระเนตร ช้างอยู่ บนเกย พระองค์ทอดพระเนตรเห็นมะกะโทกวาดพื้นโรงช้างอยู่ จึงตรัสถามนายช้างว่าเขาเป็ นใครเมื่อทรง ทราบความจริ งจากนายช้างให้เลี้ยงดู มะกะโทไว้ให้ดี เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรช้างอยูน่ ้ นั ก็ทรงคายพระ สลาออกมาแล้วบ้วนพระโอษฐ์ลง เหนือแผ่นดิน ดินกระจายออกไปและทันใดนั้นก็ทอดพระเนตรเห็นเบี้ย ๆ หนึ่งจึง ตรัสให้มะกะโทเก็บเอาเบี้ยๆหนึ่งไว้ มะกะโทกราบบังคมแล้วจึงเก็บเอาเบี้ยตามรับสัง่ ฝ่ ายมะกะโทก็ทีความยินดียงิ่ นักถึงแม้วา่ เบี้ยนั้นจะมี ค่าเพียงน้อยนิดก็ตามเขาคิดว่ามันมีค่าสําหรับ เขามากเพราะเป็ นเบี้ยที่ตนได้ รับพระราชทาน และเพื่อทําให้มนั มีค่ามากยิง่ ขึ้นเขาจึงไปซื้ อเมล็ดพันธุ์ผกั กาด จาก ตลาด แต่วา่ คนขายไม่รู้จะขายให้เขาอย่างไรเพราะจํานวนเงินที่เขานํามาซื้ อนั้นน้อย เกินไปที่จะตวง เมล็ดผักกาดแลกเปลี่ยนกันได้ ดังนั้นมะกะโทจึงบอกทางออกให้กบั คนขายโดยที่เขาเอานิ้วมือชุบเขฬะแล้ว ก็จิ้ม ลงไป ในเมล็ดพันธุ์ผกั กาด

‚เอาล่ะ ฉันขอเพียงเท่านี้ก็พอไม่ตอ้ งการมากกว่านี้ ‛ มะกะโทกล่าว คนขายพันธุ์ผกั ยิม้ และยกย่อง ในความมีปัญญาเฉลียวฉลาดของเขา และคิดว่าชายผูน้ ้ ีจะได้เป็ นใหญ่ ในอนาคตอย่างแน่นอน หลังจากได้ เมล็ดพันธุ์ผกั กาดมาแล้วมะกะโทก็เตรี ยมดินแล้วจึงนําเมล็ดพันธุ์ผกั กาดไปปลูกไว้ใกล้ ๆ นั้น เขาใช้มูลช้าง เป็ นปุ๋ ยทําให้ผกั งอกงาม ครั้นอยูม่ าวันหนึ่ง พระร่ วงเจ้าเสด็จมาทอดพระเนตรช้างอีกมะกะโทจึงเก็บผักกาดมาแล้วรี บนําไป ถวาย พระองค์ ด้วยทรงแปลกพระทัยสมเด็จพระร่ วงเจ้าตรัสถามว่าเขาได้ผกั กาดมาจากไหนทะกะโท จึง กราบทูลให้ทรงทราบเมื่อทรง ได้ฟังเช่นสมเด็จพระร่ วงเจ้าก็มีพระทัยยินดีนกั และทรงดําริ วา่ บุตรรามัญน้อย นี้ประกอบด้วยความเพียรและมีความเฉลียวฉลาดจึงแต่งตั้งให้เป็ นคนทํางานในครัว หลวง มะกะโทก็ทาํ งาน ด้วยความขยันขันแข็งเหมือนอย่างเคย สมเด็จพระร่ วงเจ้าทรงชอบพระอัชฌาสัยที่เห็นมะกะโทมีความ อุตสาหะ จึงทรงพระกรุ ณาโปรดเกล้าฯ ตั้งให้เป็ นขุนวังมอบให้กล่าวในนอกพระราชวัง เมื่อเห็นขุนวังมะกะ โทก็มีความอุตสาหะรักษาพระนครอย่างขยันขันแข็ง สมเด็จพระร่ วงเจ้าทรงพระเมตตาเขาดุจบุตรในอุทร ทุกคนให้ความเคารพยําเกรงเขามาก

หน่ วยการเรียนรู้ ท3ี่ กระเช้ าสี ดา พระสารประเสริ ฐเป็ นผูแ้ ต่ง เป็ นผูแ้ ต่งกระเช้าสี ดา เนื้อเรื่ องย่อ พรายไม้กบั พรายนํ้า เป็ นภูตตัวเล็กๆ ซึ่ งปกติคนธรรมดาจะไม่สามารถมองเห็นพวกเขาได้ แต่ถา้ ต้องการ แสดงตนให้ใครเห็นก็จะใช้วธิ ี แปลงร่ างเป็ นรู ปลักษณะต่างๆได้ตามต้องการ ภูตพรายทั้งสองกลุ่มนี้มีนิสัย ชอบเล่นสนุกสนาน มักมาประชุมกันเพื่อร้องรําทําเพลงและต่างนิยมชมชอบคนดี หากเจอผูท้ ี่มีจิตใจเมตตา กรุ ณาชอบช่วยเหลือเกื้อกูลผูอ้ ื่น พรายไม้ซ่ ึ งเป็ นภูตเพศชายและพรายนํ้าซึ่ งเป็ นภูตเพศหญิง ก็จะแสดงตัวใน ลักษณะสวยงามออกมาสนทนาปราศรัยด้วยอย่างสนิทสนม แต่สาํ หรับผูท้ ี่มีจิตใจชัว่ ร้าย ภูตพรายทั้งสองก็ สามารถบันดาลให้มีอนั เป็ นไปในทางไม่ดีได้เช่นกัน หนูนอ้ ยขันทอง อยากจะเห็นพรายไม้และพรายนํ้าจึง ตั้งใจประพฤติตนเป็ นเด็กดีตามที่แม่สอนทุกประการ อยูม่ าวัน หนึ่งตรงกับคืนเดือนหงาย เหล่าพรายไม้กบั พรายนํ้าออกมา

ชุมนุมกันในถิ่นของพวกพรายไม้ ซึ่ งมีแสงจันทร์ สาดส่ องสว่างไสว บรรดาพรายนํ้ามอบกระเช้าเล็กๆให้แก่ พวกพรายไม้คนละใบ เพื่อเล่นเกมแข่งเก็บของใส่ กระเช้า พรายไม้ผชู ้ นะจะได้เต้นรํากับพรายนํ้าเจ้าของ กระเช้าผูน้ ่ารัก หลังจากการเล่นสนุกสนานผ่านไปจนได้เวลาสมควร พวกพรายไม้ก็พากันกลับไปยังที่พกั ของตน แต่เหล่าพรายนํ้านั้นยังคงช่วยกันเก็บกระเช้าที่ตกอยูก่ ระจัดกระจายมารวมไว้อย่างเป็ นระเบียบ หนูนอ้ ยขันทองเดินออกมาเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจท่ามกลางแสงจันทร์ คืนวันเพ็ญ ครั้นเห็นกระเช้าใบ เล็กๆ น่ารักลอยไปรวมกันเป็ นกองใหญ่ ขันทองก็ช่วยเก็บกระเช้าที่ยงั เหลืออยูม่ ารวมไว้จนหมดและนัง่ ดู ด้วยความสนใจ อยากจะได้ไปเล่นบ้าง แต่ไม่กล้าหยิบฉวยเอาตามอําเภอใจเพราะยังไม่ได้รับอนุญาตจาก เจ้าของ ทันใดนั้นหนูนอ้ ยขันทองก็รู้สึกว่ามีมือเย็นๆมาแตะที่เปลือกตา ทั้งนี้เพราะบรรดาพรายนํ้าพึงพอใจ ในความเอื้อเฟื้ อ และซื่ อสัตย์สุจริ ตจึงบันดาลให้ขนั ทองสามารถเห็นพวกเธอได้ หนูนอ้ ยขันทองรู ้สึกดีใจส่ งยิม้ ให้กบั เหล่าพรายนํ้าซึ่ งมีใบหน้างดงาม ตัวขนาดเท่าตุก๊ ตาคือสู งสักห้าสิ บ เซนติเมตร ทั้งสองฝ่ ายพูดคุยกันอย่างสนิทสนม พวกพรายนํ้าได้เล่าเรื่ องราวของกระเช้าใบเล็กๆให้ฟังว่ามัน คือ กระเช้าสี ดา ก่อนจากกันพรายนํ้าได้มอบกระเช้าสี ดาให้หนูนอ้ ยขันทองไว้เป็ นที่ระลึก โดยให้หยิบตาม ชอบ ขันทองเกรงใจจึง หยิบเพียงใบเดียว เหล่าพรายนํ้าจึงหยิบกระเช้าสี ดาให้ขนั ทองจนเต็มอุง้ มือ ก่อนที่จะ เหล่าพรายนํ้าจะหายไปจนหมด หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 บทประพันธ์ ร้อยกรองสุ ภาษิต พระยาอุปกิตศิลปสาร เป็ นผูแ้ ต่งบทประพันธ์ร้อยกรองสุ ภาษิต เป็ นการนําสุ ภาษิตแต่งเป็ นบทร้อย กรองที่ขยายความทําให้เข้าใจดีข้ ึน มีคาํ คล้องจองสัมผัส สามารถนําคติเตือนใจไปเป็ นแนวทางให้เกิด ประโยชน์ มี 2 บท คือ ตนเป็ นที่พ่ งึ แห่งตนและผูร้ ู ้ดีเป็ นผูเ้ จริ ญ หน่ วยการเรียนรู้ ท5ี่ โครงโลกนิติ โครงโลกนิติ เป็ นที่รู้จกั กันแพร่ หลาย โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร เป็ น ผูป้ ระพันธ์ ซึ่ งเป็ นวรรณคดีคาํ สอนได้แต่งขึ้นจากสุ ภาษิตเก่าแก่ของอินเดีย  ตัวอย่าง ปลาร้าพันห่อด้วย ใบคา ใบก็เหม็นคาวปลา คละคลุง้ คือคนหมู่ไปหา คบเพื่อน พาลนา ได้แต่ร้ายร้ายฟุ้ง เฟื่ องให้เสี ยพงศ์ การคบคนชัว่ เป็ นเพื่อน ย่อมชักพาไปสู่ หายนะทําให้เสื่ อมเสี ยถึงวงศ์ตระกูล ใบพ้อพันห่อหุ ม้ หอมระรวยรสพา

กฤษณา เพริ ศด้วย

คือคนเสพเสน่หา นักปราชญ์ ความสุ ขซาบฤาม้วย ดุจไม้กลิ่นหอม การคบคนมีความรู ้และคุณธรรมย่อมได้รับแต่ความสุ ขเจริ ญ หน่ วยการเรียนรู้ ท6ี่ นิทานคติธรรม เรื่ อง พญาช้ างผู้เสี ยสละ เป็ นเรื่ องที่จดั ทําขึ้นเพื่อสร้างความมีศีลธรรม มีวสิ ัยทัศน์ในการดําเนินชีวิต มีสติปัญญา และ ประพฤติดี มีความสุ ข รักผูอ้ ื่น รู ้หน้าที่และมีความรับผิดชอบ เนื้อเรื่ องย่อ บริ เวณป่ าหิ มพานต์ มีชา้ งป่ าอยูโ่ ขลงหนึ่งจํานวนนับเป็ นแสนเชือกอาศัยอยูด่ ว้ ยกันอย่างมีความสุ ข ครั้งนั้น พระพุทธเจ้าของเราเกิดเป็ นช้างขาวปลอด ทัว่ ทั้งตัวมองดูแล้วเหมือนกองเงิน ตาทั้งสองข้างกลม เหมือนก้อนแก้วมณี หน้าแดงระเรื่ อเหมือนผ้ากัมพลแดง งวงขาวย้วยเหมือนพวงเงินที่ประดับด้วยหยด ทองคําขาว เท้าทั้ง ๔ แดงเหมือนทาด้วยนํ้าครั่ง และมีชื่อว่า ‚พญาช้างสี ลวะ‛ เนื่องจากเป็ นช้างถือศีล พระ เทวทัตเกิดเป็ นพรานป่ า พญาช้างสี ลวะมีรูปร่ างสวยงามมาก เมื่อเติบโตเป็ นช้างหนุ่ม ก็มีชา้ ง ๘๐,๐๐๐ เชือกเป็ นบริ วารห้อม ล้อม ต่อมาเกิดเบื่อหน่ายโขลงช้างที่รับผิดชอบดูแลจึงปลีกตัวไปอยูต่ ามลําพัง ต่อมา มีพรานป่ าชาวเมือง พาราณสี คนหนึ่งเดินทางไปบริ เวณป่ าหิ มพานต์เพื่อหาเก็บผักผลไม้และล่าสัตว์เลี้ยงชีพ เขาเดินไปเรื่ อยๆ จน เข้าไปในป่ าลึกและจําไม่ได้วา่ ทิศไหนเป็ นทิศตะวันออกหรื อทิศตะวันตก ทิศเหนื อหรื อทิศใต้ จึงหลงทาง กลับเมืองพาราณสี ไม่ถูก และเมื่อไม่เห็นทางจะช่วยตนเองได้ ก็ร้องไห้ครํ่าครวญอยูก่ ลางป่ านั้นเอง พญาช้างสี ลวะได้ยนิ เสี ยงครํ่าครวญของพรานป่ าแล้วเกิดสงสารจะช่วยเขา ‚ชายคนนั้นเขาประสบทุกข์ เรา จะต้องช่วยเขา‛ พญาช้างคิดพลางค่อยๆ เดินเข้าไปหาพรานป่ า ฝ่ ายพรานป่ าเห็นช้างเดินมาใกล้ก็รู้สึกกลัวจึงถอยหนี พญาช้างเห็นพรานป่ าถอยหนีก็หยุดยืนมองอยูเ่ ฉยๆ ‚เอ๊ะ..... ช้างตัวนี้มีท่าทางแปลกประหลาด‛ พรานป่ าเริ่ มคิดได้ ‚เวลาเราหนี มันกลับหยุด เวลาเราหยุด มัน กลับเดินเข้ามา สงสัยจะมาช่วยเรา‛ ครั้นคิดได้ดงั นั้น จึงรวบรวมความกล้ายืนคอยช้างซึ่ งค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ทุกขณะ พญาช้างเดินมาหยุดอยู่ ใกล้ๆ แล้วส่ ายสายตามองดูพรานป่ าชัว่ ขณะหนึ่ง จากนั้นจึงถามไปว่า ‚ท่านผูเ้ จริ ญ ท่านเดินร้องไห้ครํ่าครวญอยูท่ าํ ไม‛ พรานป่ ารู ้สึกดีใจที่ได้ยนิ เสี ยงช้างถามขึ้นอย่างอ่อนโยน จึงตอบไปว่า ‚ข้าพเจ้าร้องไห้ครํ่าครวญเพราะกลับบ้านไม่ถูก คงตายอยูก่ ลางป่ านี้เป็ นแน่‛ ‚ท่านมาจากไหน‛

‚จากเมืองพาราณสี ‛ ‚ข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่าเมืองพาราณสี อยูท่ ี่ไหน แต่จะพาท่านออกไปให้พน้ ป่ า จากนั้นท่านค่อยหาทางกลับ บ้านเอง‛ ‚ขอบคุณท่านมาก พญาช้าง‛ พญาช้างสี ลวะชํานาญเส้นทางเดินลัดเลาะภูเขาและป่ าไม้ก็ถึงบริ เวณชายป่ าหิ มพานต์ แล้วค่อยๆ ย่อตัวลง เพื่อให้พรานป่ าลงได้อย่างสะดวก เมื่อพรานป่ าลงมายืนบนพื้นดินแล้วพญาช้างก็พูดขึ้นว่า ‚ท่านผูเ้ จริ ญ เลยป่ านี้หน่อยหนึ่งก็เป็ นทางใหญ่ที่มนุษย์เดินไปมากัน ทางสายนี้คงจะมีทางแยกไปเมือง พาราณสี ‛ ‚ข้าพเจ้าช่วยท่านครั้งนี้มิได้หวังอะไรตอบแทน‛ ช้างพูดขึ้น ‚มีอยูอ่ ย่างเดียวที่จะขอท่าน จะให้ขา้ พเจ้าได้ หรื อเปล่า‛ ‚ท่านขออะไรว่ามาเลย‛ ‚ขอให้ท่านอย่าบอกเรื่ องที่มาพบข้าพเจ้าและอย่าบอกเรื่ องที่ขา้ พเจ้าอาศัยอยู‛่ ‚เท่านี้เองหรื อ‛ พรานป่ าแสดงท่ารับคําขอร้องได้ ‚ขอบคุณท่านมาก‛ พญาช้างพูดจบก็หนั หลังเดินกลับเข้าป่ าลึกไป ฝ่ ายพรานป่ า ตลอดเวลาที่นง่ั หลังพญาช้างออกมาจากป่ านั้น ก็คอยสังเกตหนทางโดยอาศัยภูเขาเล็กๆ และ ต้นไม้เป็ นเครื่ องหมาย ‚สักวันหนึ่งเราจะกลับมาอีก‛ เขาคิดอยูใ่ นใจ ‚ช้างตัวนี้งาสวย ถ้าใครต้องการซื้ อเราจะมาตัดไปขาย‛ ดังนั้นเมื่อกลับมาถึงเมืองพาราณสี แล้ว วันหนึ่งขณะเดินไปตามท้องถนนเห็นพวกช่างงาช้างกําลังเอางาช้าง มาทําเป็ นรู ปแปลกๆ ก็พลันคิดถึงพญาช้างสี ลวะ เขาจึงเดินเข้าไปถาม ‚ท่านอยากได้งาช้างเป็ นกันไหม‛ ‚พูดเป็ นเล่นไป‛ พวกช่างงาแสดงท่าอยากได้ ‚งาช้างเป็ น มีค่ากว่างาช้างตายอีก‛ ‚ถ้าพวกท่านอยากได้ ข้าพเจ้าจะไปหามาให้‛ ‚ไปเอามาเลย เอามาเดี๋ยวนี้ได้ยงิ่ ดี‛ เมื่อพวกช่างงายืนยันว่ารับซื้ อแน่นอน พรานป่ าก็รีบกลับมาบ้านเตรี ยมเลื่อยเหล็กและเสบียง แล้วออก เดินทางมุ่งหน้าไปป่ าหิ มพานต์ที่อยูข่ องพญาช้างสี ลวะทันที เขาชํานาญการเดินทางและจําเครื่ องหมายได้ดี เดินทางอยูไ่ ม่กี่วนั ก็ไปถึงที่อยูข่ องพญาช้าง ‚ท่านผูเ้ จริ ญ ท่านกลับมาทําไมล่ะ‛ พญาช้างสี ลวะถามเขา ซึ่ งบัดนี้มายืนอยูเ่ บื้องหน้า ‚พญาช้าง‛ พรานป่ าตอบละลํ่าละลัก ‚ข้าพเจ้ามาหาท่านนัน่ แหละ‛ ‚มีเรื่ องอะไรหรื อ‛

‚พญาช้าง ข้าพเจ้าไม่มีญาติพี่นอ้ งแถมยังหากินฝื ดเคือง มาครั้งนี้ก็เพื่อจะมาของาท่านสักสองท่อนเพื่อเอาไป ขาย‛ ‚ได้ ถ้างาของข้าพเจ้าจะช่วยให้ท่านเลี้ยงชีวติ อยูไ่ ด้‛ พญาช้างสี ลวะพูดด้วยความเต็มใจ จากนั้นก็หมอบลง พรานป่ าดีใจมากจึงรี บเอาเลื่อยออกมาเลื่อยตรงบริ เวณส่ วนปลายงาทั้งสองข้าง ทันทีที่งาขาดตกลงกับ พื้นดิน พญาช้างสี ละก็เอางวงจับงาทั้งสองนั้นขึ้นมากําไว้แน่น พร้อมกับกล่าวว่า ‚ท่านผูเ้ จริ ญ ข้าพเจ้าให้งาทั้งสองนี้แก่ท่าน ไม่ใช่เพราะมันทําให้เรื อนร่ างของข้าพเจ้าสวยงาม แต่ยงั มีงาอีก ชนิดหนึ่งที่ขา้ พเจ้ารักยิง่ กว่า เพราะเป็ นงาที่จะทําให้ขา้ พเจ้าได้รู้แจ้งธรรมทั้งปวงนัน่ คือ พระสัพญํุตญาณ และยังช่วยโลกให้พน้ ทุกข์ได้อย่างใหญ่หลวง‛ ครั้นแล้ว พญาช้างสี ลวะก็ชูงวงตั้งจิตปรารถนาขอให้ได้บรรลุพระสัพพัญํุตญาณ สําเร็ จเป็ นพระพุทธเจ้า แล้วยืน่ งาให้พรานป่ าไป พรานป่ าได้งาแล้วก็รีบเดินทางกลับไปเมืองพาราณสี นํางาช้างไปขายให้พวกช่างงาได้ราคามางามทีเดียว เขาเป็ นอยูอ่ ย่างสุ ขสบายได้ระยะหนึ่งเงินก็หมด จึงเดินทางกลับมาขอตัดงาส่ วนที่เหลืออีก ‚พญาช้าง งาสองท่อนที่ท่านให้ไปขายได้ราคาเพียงแค่ใช้หนี้เท่านั้น ข้าพเจ้ามาครั้งนี้ก็เพื่อจะมาของาที่ยงั เหลือไปขายอีก‛ พรานโอดครวญ ‚เชิญท่านตัดเลย‛ พญาช้างสี ลวะบอกพรานป่ าพลางหมอบลง พรานป่ าก็ตดั เอางาไปอีก ๒ ท่อน รายได้จากงา ๒ ท่อนนั้นช่วยให้เขาเป็ นอยูอ่ ย่างสบายได้ระยะหนึ่ง จากนั้นเขาก็กลับมาขอตัดงาส่ วนที่ยงั เลือกอยูอ่ ีก จนครั้งสุ ดท้ายมาขอตัดเอาโคนงาส่ วนที่ยงั ฝังอยูใ่ นเนื้ อ ‚เชิญท่านตัดเลย‛ พญาช้างสี ลวะเสี ยสละให้เหมือนอย่างเคย พรานป่ าจึงมาเอาเลื่อยแล้วปี นขึ้นไปตัดจนขาด ครั้นได้ตามต้องการแล้วก็รีบจากไปด้วยความดีใจ ขณะที่เขาเดินจากพญาช้างสี ลวะไปด้วยความดีใจนั้น ก็พลันเกิดเหตุอศั จรรย์ข้ ึน คือ แผ่นดินตรงที่เขาเดิน อยูน่ ้ นั ได้แยกออกแล้วสู บเขาจมหายไป แล้วทันใดนั้นเองก็มีเปลวไฟจากอเวจีมหานครลุกท่วมร่ างของเขา แดงฉาน เทวดาตนหนึ่ง สถิตอยูบ่ ริ เวณป่ านั้น เห็นพฤติกรรมของพรานป่ ามาตลอดจนกระทัง่ ถึงเวลาที่แผ่นดินสู บ จึง พูดขึ้นเสี ยงดังว่า ‚คนอกตัญํูเห็นแก่ได้ แม้ใครยกแผ่นดินให้เขาครอบครอง ก็ไม่ทาํ ให้เขาหยุดโลภได้‛ ฝ่ ายพญาช้างสี ลวะ แม้บดั นี้จะไม่มีงาแล้ว ก็ตอ้ งสู ้ข่มความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน ต่อมาไม่นานก็ลม้ ไป เมื่อถึงอายุขยั นิทานธรรมเรื่ องนี้สอนให้รู้วา่ คนอกตัญํูน้ นั แม้ตอนแรกจะดูรุ่งเรื อง แต่สุดท้ายก็จะพบความวิบตั ิ เหมือนอย่างพรานป่ าอกตัญํูพญาช้างสี ลวะแล้วพบกับความวิบตั ิฉะนั้น ที่มา : https://www.google.co.th/search?q=นิทานคติธรรม+เรื่ อง+พญาช้างผูเ้ สี ยสละ

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 7 เพลงชาติไทย พระเจนดุริยางค์ (ปิ ติ วาทยากร) ได้รับยกย่องว่าเป็ นปรมาจารย์ทางด้านดนตรี สากลและเป็ นผู ้ วางรากฐานดนตรี สากลในประเทศไทย และพันเอก หลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) ได้รับยกย่อง ว่าเป็ นผูม้ ีความรู ้ทางด้านหนังเป็ นอย่างยิง่ เพราะเป็ นนักเขียน นักประพันธ์ บรรณาธิการหนังสื อ รวมทั้ง อาจารย์สอนวรรณคดีไทย

หน่ วยการเรียนรู้ ท8ี่ บทอาขยาน บทอาขยานคือบทท่องจํา ส่ วนใหญ่นาํ มาจากวรรณคดี การท่องจําบทอาขยาน ควรศึกษาคําประพันธ์ของบทอาขยานให้ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ ใช้น้ าํ เสี ยงแสดง ความรู ้สึกให้สอดคล้องกับเนื้อหา ประโยชน์ของการท่องจําบทอาขยาน 1. ได้ตวั อย่างการใช้ภาษาที่งดงามและมีความไพเราะ 2. ได้ตวั อย่างรู ปแบบความประพันธ์ในรู ปแบบต่างๆ 3. ฝึ กการคิดวิเคราะห์ความหมายและคุณค่าของบทอาขยานนั้นๆ 4. เกิดความสนุกสนานเพลิดเพลินในการอ่าน 5. สามารถนําข้อคิดที่ได้รับจากบทอาขยานไปปฏิบตั ิในชีวติ จริ ง อาขยาน กาพย์ยานี11 วรรคหน้าใช้จงั หวะการอ่าน 2/3 วรรคหลังใช้จงั หวะการอ่าน 3/3

วิชาเหมือนสิ นค้า วิชา/เหมือนสิ นค้า// อันมีค่า/อยูเ่ มืองไกล// ต้องยาก/ลําบากไป// จึงจะได้/สิ นค้ามา// จงตั้ง/เอากายเจ้า// เป็ นสําเภา/อันโสภา// ความเพียร/เป็ นโยธา// แขนซ้ายขวา/เป็ นเสาใบ// นิ้วเป็ น/สายระยาง// สองเท้าต่าง/สมอใหญ่// ปากเป็ น/นายงานไป// อัชฌาสัย/เป็ นเสบียง// สติ/เป็ นหางเสื อ// ถือท้ายเรื อ/ไว้ให้เที่ยง// ถือไว้/อย่าให้เอียง// ตัดแล่นเลี่ยง/ข้ามคงคา// ปัญญา/เป็ นกล้องแก้ว// ส่ องดูแถว/แนวหิ นผา// เจ้าจง/เอาหูตา// เป็ นล้าต้า/ฟังดูลม// ขี้เกียจ/คือปลาร้าย// จะทําลาย/ให้เรื อจม// เอาใจ/เป็ นปื นคม// ยิงระดม/ให้จมไป// จึงจะได้/สิ นค้ามา// คือวิชา/อันพิสมัย// จงหมัน่ /มัน่ หมายใจ// อย่าได้คร้าน/การวิชา//

สรุปเนื้อหลักการใช้ ภาษาและการใช้ ภาษาไทยและวรรณกรรมและวรรณคดี

ชั้นประถมศึกษาปี ที่6

ชนิดของคา หน่ วยการเรียนรู้ ท1ี่ คานาม คํานามแบ่งเป็ น5 ชนิด คือ 1. คํานามไม่ช้ ีเฉพาะ (สามัญนาม) คือ คํานามทัว่ ไปใช้เรี ยกคน พืช สัตว์ สิ่ งของ และ สถานที่ไม่เฉพาะเจาะจง 2. คํานามชี้เฉพาะ (วิสามัญนาม) คือ เป็ นชื่อเฉพาะ เพื่อให้รู้ชดั เจนเจาะจง 3.นามที่บอกลักษณะของคํานาม (ลักษณะนาม) คือ มักจะใช้ตามหลังคํานามเป็ นการบอก จํานวน 4. คํานามรวมหมู่ (สมุหนาม) คือ คํานามที่บอกที่รวมกันหมวดหมู่ เช่น โขลง หมู่ คณะ 5. คํานามที่แสดงอาการต่างๆ (อาการนาม) คือ คํา นามที่เกิดจากการนําคํา "การ" และ "ความ"นําหน้าคํากริ ยาหรื อคําวิเศษณ์ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 คาสรรพนาม คําสรรพนา มี 6ชนิด ดังนี้ 1. คําสรรพนามแทนบุคคล (บุรุษสรรพนาม)แบ่งเป็ น 3 ชนิด คือบุรุษที่1 แทนตัวผูพ้ ูด บุรุษ ที่2 แทนผูฟ้ ัง บุรุษที่3 แทนผูท้ ี่ถูกกล่าวถึง 2. คําสรรพนามชี้ เฉพาะ เรี ยกว่า นิยมสรรพนามใช้แทนคํานามเพื่อกําหนดระยะให้รู้วา่ ใกล้ หรื อไกล เช่น นั้น โน่น นี้ นั้น โน้น 3. คํานามไม่ชีเฉพาะ เรี ยกว่า อนิยมสรรพนาม ใช้แทนคํานามที่ไม่กาํ หนดแน่นอนว่า หมายถึงผูใ้ ด อะไร สิ่ งใด หรื อสถานที่ใด 4. คําสรรพนามถาม เรี ยกว่า ปฤจฉาสรรพนามใช้แทนคํานามในประโยคคําถามหรื อแสดง สงสัย

5. คําสรรพนามแยกฝ่ าย เรี ยกว่า วิภาคสรรพนาม ใช้แทนคํานามทีกล่าวไปแล้วเพื่อชี้ซ้ าํ หรื อแสดงการแบ่งพวก รวมพวก ได้แก่ บ้าง ต่าง กัน 6. คําสรรพนามเชื่อมประโยค เรี ยกว่า ประพันธ์สรรพนาม ใช้แทนคํานามที่อยูข่ า้ งหน้า เพื่อทํา หน้าที่เชื่ อมประโยค ได้แก่ ผู ้ ซึ่ ง ที่ อัน หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 คากริยา คากริยา คือ คําที่แสดงอาการ สภาพ หรื อการกระทําของนามและคําสรรพนามซึ่งเป็ นประธาน แบ่งเป็ น 4 ชนิด 1. คากริยาไม่ ต้องการกรรม เรียกว่า อกรรมกริยา เป็ นกริ ยาที่มีความหมายสมบรู ณ์ ไม่ตอ้ งมีกรรมมา รับ เช่น นอนหลับ นัง่ โค่น ป่ วย เงียบเหงา 2. คากริยาต้ องการกรรม เรียกว่า สกรรมกริยา เป็ นคํากริ ยาที่ตอ้ งมีกรรมมารับจึงจะได้ความ สมบรู ณ์ เช่น ตั้มตักนํ้าในโอ่ง 3. คากริยาต้ องเติมเต็ม เรียกว่า วิกตรรถกริยา เป็ นคํากริ ยาที่ไม่มีเนื้อความในตัวเอง จะใช้กริ ยาของ ประธานตามลําพังไม่ได้ตอ้ งมีคาํ นาม คําสรรพนาม หรื อคําวิเศษณ์มาขยายจึงจะสมบรู ณ์ แต่ไม่ถือว่าเป็ น กรรม เพราะไม่มีผลถูกกระทําจากประธาน เช่น คุณน้าเป็ น พยาบาล 4. คาช่ วยกริยา เรียกว่า กริ ยานุเคราะห์ เป็ นคํากริ ยาช่วยให้กริ ยาสําคัญในประโยคได้ความชัดเจน ยิง่ ขึ้น เช่น นักเรี ยนควรขยันเรี ยน หน่ วยการเรียนรู้ ท4ี่ คาวิเศษณ์ คาวิเศษณ์ คือ ที่ใช้ขยายหรื อประกอบคําอื่นเพื่อให้ได้ใจความชัดเจนยิง่ ขึ้นอาจใช้ขยายคํานาม คํา สรรพนาม คํากริ ยา หรื อคําวิเศษณ์ แบ่งออกเป็ น 6 ชนิดดังนี้ 1. คาวิเศษณ์บอกลักษณะ เรียกว่า ลักษณวิเศษณ์ ใช้ขยายคําอื่นบอกลักษณะต่างๆ บอกชนิด ขนาด กลิ่นสี รส เช่น ดอกกุหลาบที่ฉนั ปลูกมีกลิ่นหอม (บอกกลิ่น) 2.คาวิเศษณ์บอกเวลาเรียกว่า กาลวิเศษณ์ ใช้ขยายคําอื่นเพื่อบอกเล่า อดีต ปั จจุบนั อนาคต เช่น อําไพชอบออกกําลังกายตอนเช้า 3.คาวิเศษณ์บอกสถานที่ เรียกว่า สถานวิเศษณ์ ใช้เพื่อขยายคําอื่นเพื่อบอกสถานที่ เช่น ห้องประชุม อยูช่ ้ นั บน

4. คาวิเศษณ์บอกปริมาณหรื อจานวน เรียกว่า ประมาณวิเศษณ์ ใช้เพื่อบอกจํานวน คือ บอกจานวน คือจํานวนนับและบอกปริ มาณ บอกจานวนนับ เช่น ฉันเลี้ยงสุ นขั 2 ตัว บอกปริมาณ เช่น เด็กทุกคนควรดื่มนม 5. คาวิเศษณ์บอกความชี้เฉพาะ เรียกว่า นิยมวิเศษณ์ ใช้ขยายคําเพื่อบอกความแน่นอนว่าเป็ นสิ่ งนี้ สิ่ งนั้น เช่น ผมเองที่ลืมปิ ดประตูรถ 6. คาวิเศษณ์บอกความไม่ ชี้เฉพาะ เรียกว่า อนิยมวิเศษณ์ ใช้ขยายคําอื่นโดยไม่บอกกําหนดแน่นอน ลงไป เช่น คนไทยรักและเทิดทูนพระมหากษัตริ ยเ์ หนือสิ่ งอื่นใด หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 5 คาบุพบท คาบุพบท คือ คําที่ใช้นาํ คํานาม คําสรรพนาม คํากริ ยา หรื อคําวิเศษณ์เพื่อแสดงความหมาย ความสัมพันธ์กนั ระหว่างหรื อกลุ่มคํา แบ่งเป็ น 4ชนิด 1. คาบุพบทบอกเวลา เช่น ฝนตกตั้งแต่ดึกจนถึงเช้า 2. คาบุพบทบอกต่าแหน่ ง ที่ต้ งั สถานที่ เช่น บ้านของฉันอยูใ่ กล้หา้ งสรรพสิ นค้า 3. คาบุพบทบอกความเป็ นเจ้ าของ ได้แก่ แห่ง ของ ใน 4. คาบุพบทบอกความเกีย่ วข้ องหรื อความประสงค์ เช่น แก่ แด่ ต่อ เพื่อ สําหรับ หน่ วยการเรียนรู ที่ 6 คาสั นธาน คาสั นธาน คือ คําที่ใช้เชื่ อมคํา ประโยค หรื อข้อความที่มีใจความต่อเนื่ องเป็ นเรื่ องเดียวกัน ชนิดคาสั นธาน 1. คําสันธานเชื่อมประโยคที่มีใจความคล้อยตามกัน เช่น คําเอื้อยกับคําอ้ายชอบกินใบไผ่ 2. คําสันธานเชื่อมประโยคที่มีใจความชัดแย้งกัน เช่น ก้องต้องการไปถึงโรงเรี ยนตั้งแต่เช้าแต่เขาตื่น สาย 3. คําสันธานเชื่อมประโยคที่มีใจความให้เลือกอย่างใดหนึ่ ง เช่น เธอจะดื่มนํ้าผลไม้ 4. คําสันธานเชื่อมประโยคที่มีใจความเป็ นเหตุเป็ นผล เช่น เพราะเขาชอบช่วยเหลือผูอ้ ื่นเขาจึงเป็ นที่ รักของเพื่อนทุกคน

หน้ าที่ของคาสั นธาน 1. เชื่อมคํากับคํา คําสันธานใช้เชื่อมคํากับคําที่เป็ นชนิดเดียวกันและต่างกัน 2. เชื่อมประโยคกับประโยค คําสันธานใช้เชื่อมประโยคที่มีใจความคล้อยตามใจความขัดแย้งกัน ใจความให้เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง 3. เชื่อมข้อความกับข้อความ ตําสันธานใช้เชื่อมข้อความตอนต้นกับข้อความต่อไปให้ต่อเนื่ องกัน ตาแหน่ งของคาสั นธานในประโยค คําสันธานอยูห่ น้าประโยค เช่น ถ้าจะตัดอดอกกุหลาบควรระวังหนามให้ดี คําสันธานอยูร่ ะหว่างคํา เช่น เดือนชอบปลูกดอกและเฟิ ร์น คําสันธานอู่ระหว่างประโยค เช่น พี่ๆกําลังเล่นนํ้าทะเลแต่นอ้ งกําลังก่อกองทราย คําสันธานคร่ อมคําหรื อประโยค เช่น ทั้งคุณและผมได้รับเลือกเป็ นนักกีฬาเทนนิส หน่ วยการเรียนรู้ที่ 7 คาอุทาน 1. แสดงการร้องเรี ยกหรื อบอกให้รู้ตวั เช่น เฮ้! วินมานัง่ อยูน่ ี่เอง 2. แสดงความตกใจ เช่น ว้าย! คนตกนํ้า 3. แสดงความเสี ยดาย ผิดหวังสงสาร เช่น โถ! น่าสารนกเปี ยกฝน 4. แสดงความไม่พอใจ โกรธเคือง เช่น ฮึ่ม! ใครมาหยิบรองเท้า 5. แสดงความประหลาดใจ เช่น โอ้โฮ! เสื้ อขาวสะอาดจัง 6. แสดงความหมายเข้าใจหรื อรับรู ้ เช่น อ๋ อ! เข้าใจแล้ว 7. แสดงความเจ็บปวด เช่น โอ๊ย! เจ็บจังเลย 8. แสดงความโล่งใจ เช่น เฮ่อ! สอบเสร็ จแล้ว 9. แสดงความดีใจ เช่น ไชโย! เราชนะแล้ว 10. แสดงความท้อใจ เบื่อหน่าย เช่น เฮ่อ! รถติดอีกแล้ว

วัฒนธรรมทางภาษา หน่ วยการเรียนรู้ ท8ี่ ระดับภาษา ราชาศัพท์ ภาษาถิ่น ระดับภาษา 1. ภาษานะดับทางการใช้ในทางราชการ ใช้กล่าวเปิ ดงาน 2. ภาษาระดับกึ่งทางการ ภาษาใช้สื่อสารในชีวติ ประจําวันกับคนที่ไม่สนิท เช่นการสนทนากับ ผูใ้ หญ่ 3. ภาษาระดับปาก ภาษาที่พูดกันเองกับคนที่สนิทสนม คาราชาศัพท์ คาราชาศัพท์ หมายถึง คําที่ใช้กบั พระบรมวงศานุ วงศ์ พระสงค์ ข้าราชการผูใ้ หญ่ และสุ ภาพชน ตาม ฐานะของบุคคล เพื่อความสุ ภาพและการเคารพนับถือ ภาษาถิ่น ภาษาถิ่น เป็ นภาษาที่ใช้ในท้องถิ่น แต่ละท้องถิ่นมีคาํ ที่ใช้แตกต่างกันภาษาถิ่นแบ่งตามลักษณะ ภูมิภาค ได้ 3 ภาษา คือ ภาษาถิ่นเหนื อ ภาษาถิ่นอรสาน ภาษาถิ่นใต้

คาภาษาต่ างประเทศที่ใช้ ในภาษาไทย หน่ วยการเรียนรู้ ท9ี่ คาในภาษาไทย ทีน่ ามาใช้ จากต่ างประเทศ คาภาษาต่ างประเทศทีใ่ ช้ ในภาษาไทย ลักษณะคําไทยแท้ 1.มักเป็ นคําพยางค์เดียว เช่น พ่อ แม่ กิน นก 2.ตัวสะกดตรงตามมาตรา เช่น กบ ลิง เป็ ด ตาม บ้าน 3.มีรูปวรรณยุกต์ และเสี ยง วรรณยุกต์ เพื่อแสดงความหมายที่แตกต่างกัน 4.คําที่ออกเสี ยง ‚ไอ” มีรูปสระที่ใช้ได้ดงั นี้ ประสมสระ ใ- (ไม้มว้ น) มี 20 คํา ได้แก่ ใหญ่ ใหม่ ให้ สะใภ้ ใช้ ใฝ่ ใจ ใส่ ใหล ใคร ใคร่ ใบ ใบ้ ใส ใด ใน ใช่ ใต้ ใย ใกล้ ประสมสระ ไ- (ไม้มลาย) เช่น ไป ไข่ ไก่ ได้ 5.ไม่มีตวั การันต์ 6.ไม่มีพยัญชนะ ฆ ญ ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ธ ภ ศ ษ ฬ ฤ ฤา

ลักษณะคําที่มาจากภาษาบาลี-สันสกฤต 1. มีหลายพยางค์ เช่น โกลาหล ธรณี มัลลิกา องคุลี 2. มีท้ งั คําที่สะกดตรงตามมาตรา และคําที่ไม่สะกดตรงตามมาตรา เช่น กนก อดิเรก เวทนา 3. มักมีตวั การันต์ เช่น พันธุ์ สิ ทธิ์ 4. ไม่มีรูปวรรณยุกต์ และไม่มีไม้ไต่คู ้ เช่น กมล กุมารี ภาษาบาลีและสันสกฤตแยกความต่างได้ดงั นี้ 1. สังเกตพยัญชนะสะกดและตัวตาม คําภาษาบาลีจะต้องมีตวั สะกดและตัวตามเสมอ จะต้องอยูใ่ น วรรคเดียวกันเท่านั้น 2. สังเกตจากสระ สระในภาษาบาลีมี 8 ตัว อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ส่ วนสระในภาษาสันสกฤตเพิ่ม จากภาษาบาลีอีก 6 ตัว คือ ไอ เอา ฤ ฤา ฦ ฦๅ รวมเป็ น 14 ตัว 3. สังเกตจากพยัญชนะ ภาษาบาลีมีพยัญชนะในภาษาสันสกฤต 2 ตัว คือ ศ และ ษ คําที่มีพยัญชนะ 2 ตัวนี้ อยูค่ ือภาษาสันสกฤต เช่น ศีรษะ ศึกษา 4. สังเกตจากพยัญชนะควบกลํ้า ภาษาสกฤตมักจะมีพยัญชนะควบกลํ้าข้างท้าย เช่น บุตร สตรี 5. สังเกตจากคําที่มี "ร" มักเป็ นภาษาสันสกฤต เช่น บรรพต ภรรยา ลักษณะคํามาที่มาจากภาษาเขมร 1. มักเป็ นคําที่มีพยัญชนะควบกลํ้าเป็ นพยัญชนะต้น เช่น ปราบ เพลา 2. มักเป็ นคําที่มีอกั ษรนํา เช่น จมูก เฉลย 3. ส่ วนใหญ่ไม่ใช้วรรณยุกต์ 4. มักใช้ตวั จ ร ล ญ ส เป็ นตัวสะกด เช่น ทูล ขจร เจริ ญ 5. คําสองพยางค์ที่ข้ ึนต้นด้วยคําว่า กํา ดํา จํา ชํา คํา ตํา ทํา บัง บัน บํา เช่น ดําริ ตํารวจ ลักษณะคําที่มาจากภาษาจีน 1. มักมีพยางค์เดียว เช่น เกี๊ยว แซ่ ห้าง ตัว๋ 2. คําส่ วนใหญ่มีรูปวรรณยุกต์ เช่น ก๋ วยเตี๋ยว ก๋ วยจี๊ เต้าส่ วน ลักษณะคําที่มาจากภาษาอังกฤษ 1. กําหนดเสี ยงคําในภาษาไทยให้เข้ากับเสี ยงคําในภาษาอังกฤษ เช่น กาแฟ (coffee) 2. ใช้ทบั ศัพท์คาํ ภาษาอังกฤษ เช่น เทนนิส คุกกี้ 3. สร้างทับศัพท์บญั ญัติข้ ึนเพื่อใช้แทนคําภาษาอังกฤษ

กลุ่มคาและประโยค หน่ วยการเรียนรู้ ท1ี่ 0 กลุ่มคาหรื อวลี เกิดจากการนําคํามาเรี ยงกันตั้งแต่ 2 คําขึ้นไป และมีความหมายแต่ไม่สมบรู ณ์ ประโยค คือ คําตั้งแต่2 คําขึ้นไปมาเรี ยงกันแล้วได้ใจความสมบรู ณ์ ประโยคจําแนกตามโครงสร้าง ได้ 3ชนิด ดังนี้ 1. ประโยคสามัญ หรื อประโยคความเดียว คือประโยคกล่าวถึงสิ่ งใดสิ่ งหนึ่งเพียงสิ่ งเดียว ประโยคสามัญอาจแบ่งได้เป็ น 2ส่ วน คือ ประธาน และกริ ยา หรื อประโยค 3 ส่ วน คือ ประธาน กริ ยาและ กรรม 2. ประโยคความรวม คือ ประโยคที่มีสามัญตั้งแต่ 2 ประโยคขึ้นไปมารวมกัน โดยมี คําสันธานเชื่อมประโยคเพื่อให้ได้ใจความต่อเนื่องเป็ นประโยคเดียวกันมี 3 ชนิด 3. ประโยคความซ้อน คือ ประโยคที่มีใจความสําคัญเป็ นประโยคหลัก และมีประโยคย่อย อีกประโยคซ้อนอยู่

บทร้ อยกรอง : กลอนสุ ภาพ หน่ วยการเรียนรู้ ท1ี่ 1 กลอนสุ ภาพ การแต่ งกลอนสุ ภาพ กลอนสุ ภาพ หรื อกลอนแปด มีขอ้ กําหนดในการแต่งดังนี้ 1. คณะ คือจํานวนคําที่กาํ หนดไว้ในการแต่งคําประพันธ์ 1บทมี 4 วรรค แต่ละวรรคมี 8 คํา (อาจมี 7-9คําก็ได้) 2 วรรคเป็ น 1 คํากลอน 2. สัมผัส กลอนสุ ภาพมีขอ้ กําหนดสัมผัสดังนี้ คําสุ ดท้ายของวรรคที่1 สัมผัสคําที่3 หรื อคําที่5 ของวรรคที่2 คําสุ ดท้ายของวรรคที่2 สัมผัสกับคําสุ ดท้ายของวรรคที่3 คําสุ ดท้ายของวรรคที่3 สัมผัสกับคําที่3 หรื อคําที่5 ของวรรคที่4 คําสุ ดท้ายของวรรคที่4 สัมผัสกับคําสุ ดท้ายของวรรคที่ 2 ในบทต่อไป 3. เสี ยงวรรณยุกต์ คําสุ ดท้ายของวรรคที่1 ใช้ได้ทุกเสี ยง แต่ไม่นิยมเสี ยงสามัญ คําสุ ดท้ายของวรรคที่2 ใช้เสี ยงเอก เสี ยงโท หรื อเสี ยงจัตวาห้ามเสี ยงสามัญและเสี ยงตรี คําสุ ดท้ายของวรรคที่ 3 และวรรคที่4 ใช้เสี ยงสามัญหรื อเสี ยงดนตรี

สานวน หน่ วยการเรียนรู้ ท1ี่ 2 สานวนไทย สานวน คือ ข้อความที่กล่าวสื บเนื่องกันมาเป็ นถ้อยคําสั้นๆ มีความหมายไม่ตรงกับถ้อยคํา มี ความหมายลึกซึ้ งกินใจเชิงเปรี ยบเทียบ ไม่มีหลักฐานแสดงว่าสํานวนคํากล่าวเป็ นของใคร เช่น กระต่ ายขา เดียว ยืนกรานไม่ยอมรับอะไร คาพังเพย คือ เป็ นข้อความเป็ นกลางๆเพื่อให้ตีความเข้ากับเรื่ อง มีความหมายลึกซึ้ งกว่าสํานวน แฝง ข้อคิด คําสอนแต่ไม่สอนโดยตรงเหมือนสุ ภาษิต เช่น ทําบนหลังคน หาผลประโยชน์ ใส่ ตน โดยขูดรี ดผูอ้ ื่น สุ ภาษิต คือ เป็ นคติสอนใจ ให้ประพฤติตามเป็ นข้อความสั้นๆ เป็ นหลักความจริ ง เช่น ซื่ อกินไม่ หมด คตกินไม่นาน

การอ่ าน หน่ วยการเรียนรู้ ท1ี่ 3 เรื่ องที่1 การอ่านออกเสี ยงบทร้ อยแก้ว บทร้อยแก้ว คือ ถ้อยคําที่เรี ยบเรี ยงขึ้นไพเราะ เป็ นความเรี ยงไม่บงั คับ คําสัมผัส แต่มีความ สละสลวย บรรยายโวหาร คือ สํานวนที่อธิ บายหรื อเล่าเรื่ องราวโดยละเอียดเพื่อให้ความรู ้ในเรื่ องนั้น พรรณนาโวหาร คือ สํานวนที่กล่าวเป็ นเรื่ องราวอย่างละเอียดเพื่อให้ผอู ้ ่านนึกเห็นภาพมักจะรําพัน ถึงความงาม และความรู ้สึก สาธกโวหาร คือ สํานวนที่มีการยกตัวอย่างมาอ้างให้เห็น เพื่อให้ผอู ้ ่านเข้าใจเรื่ องราวได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างที่ยกมาอาจเป็ นนิทาน เรื่ องราวหรื อเหตุการณ์ก็ได้ เทศนาโวหาร คือ สํานวนที่สอดแทรกคําแนะนําสั่งสอนอย่างมีเหตุผลและตัวอย่างประกอบ เรื่ องที่2 การอ่านออกเสี ยงบทร้ อยกรองเป็ นทานองเสนาะ บทร้อยกรอง คือ คําที่เรี ยบเรี ยงตามข้อกําหนดคําประพันธ์แต่ละประเภท คําในบทร้อยกรองมี ความหมายเท่ากับพยางค์ การเตรียมการอ่าน 1. ศึกษาคําศัพท์ท้ งั เสี ยงและความหมาย 2. ศึกษารู ปแบบของบทร้อยกรองและจังหวะในการอ่าน 3. ศึกษาความหมายของบทร้อยกรอง

หลักการอ่านออกเสี ยงบทร้ อยกรอง 1. อ่านออกเสี ยงคําให้ถูกอักขระ 2. อ่านให้ถูกต้องตามฉันทลักษณ์ มีการทอดเสี ยง เอื้อนเสี ยง 3. นํ้าเสี ยงไพเราะ ชัดเจน 4. เน้นเสี ยงให้เป็ นไปตามอารมณ์ให้เป็ นตามเนื้อความ การอ่านออกเสี ยงบทร้ อยกรองเป็ นทานองเสนาะ 1. รู ้ลกั ษณะบังคับของบทร้อยกรอง เช่น จํานวนคํา สัมผัสวรรณยุกต์ 2. อ่านเน้นคําในตําแหน่งสัมผัสนอก 3. อ่านเอื้อนสัมผัสในเพื่อเพิ่มความไพเราะ และฝึ กบ่อยๆ เรื่ องที่ 3 การอ่านจับใจความและการอ่านเร็ว การอ่านจับใจความ การอ่านจับใจความ คืออ่านเพื่อใจความสําคัญของเรื่ อง การอ่านเร็ว การอ่านเร็ วเป็ นการอ่านจับใจความที่ตอ้ งใช้ความเร็ วใจการอ่าน ดังนี้ 1. อ่านหาสาระสําคัญ ที่อยูป่ ระโยคแรกและประโยคสุ ดท้าย 2. อ่านแบบกวาดสายตาโดยอ่านชื่อเรื่ องข้อความที่พิมพ์ตวั เข้ม เรื่ องที่ 4 การอ่านงานเขียนเชิงอธิบาย คาสั่ ง คาแนะนา หลักการอ่ านพจนานุกรม 1. การค้ นหาคาศัพท์ 1.1 หาคําตามลําดับพยัญชนะ ก-ฮ โดยมี ฤ ฤา อยูห่ ลังตัว ร และ ฦ ฦๅ อยูห่ ลัง ล 1.2 หาคําตามรู ปสระ คําเรี ยงตามรู ปสระ คําที่ไม่มีรูปสระจะมาก่อนคําที่มีรูปสระ 1.3 คําที่มีตวั สระกดการันต์เหมือนกันจะเรี ยงลําดับตามรู ปวรรณยุกต์ คําที่มีไม้ไต่คู ้ ิ็ จะ อยูก่ ่อนวรรณยุกต์ 2. การบอกคาอ่าน คําอ่านจะอยูใ่ นวงเล็บท้ายคําศัพท์น้ นั 3. การบอกความหมายของคา จะอยูห่ ลังคําศัพท์ คําอ่านและอักษรย่อ 4. การค้ นหาชนิดคา ทีม่ า และลักษณะของคา เรื่ องที่5 การอ่ านข้ อมูลจากแผนผัง แผนที่ แผนภูมิ และกราฟ แผนผัง คือ แบบที่เขียนแบบย่อให้เล็กลง หรื อส่ วนขยายกว่าของจริ ง เช่น อาคาร บ้าน แผนที่ คือ แบบเขียนย่อพื้นดิน บอกแม่น้ าํ ฝั่งทะเล โดยบอกมาตราส่ วนของการย่อส่ วน การอ่านแผนที่

แผนภูมิ คือ แผนที่ เส้น หรื อตาราง ที่ทาํ ขึ้นเพื่อแสดงเรื่ องใดเรื่ องหนึ่งให้เข้าใจง่ายขึ้น กราฟ คือ แผนภูมิที่ใช้เส้น จุด หรื อภาพเป็ นต้น เพื่อแสดงความเปลี่ยนแปลงค่าของตัวแปรตัวหนึ่งเทียบกับ ความเปลี่ยนแปลงค่าของตัวแปรตัวอื่น เพื่อให้เห็นอย่างชัดเจน เรื่ องที่ 6 การอ่านหนังสื อตามความสนใจ หนังสื อที่ให้ความรู ้ ข่าวสาร หนังสื อความรู ้ต่าง ให้รอบรู ้ทนั เหตุการณ์ เช่น หนังสื อเรี ยน วารสาร หนังสื อที่ให้ความบันเทิงเป็ นหนังสื อที่ให้ความเพลิดเพลิน อ่านเวลาว่างให้เกิดประโยชน์ หลักการอ่าน 1. เลือกหนังสื อเหมาะสมตามวัย 2. เลือกหนังสื อที่มีประโยชน์สามารถนําไปใช้ได้จริ ง

การเขียน หน่ วยการเรียนรู้ ท1ี่ 4 เรื่ องที่1 การคัดลายมือ การคัดลายมือเป็ นการฝึ กเขียนตัวอักษรให้ถูกต้องตามหลักการเขียน

เรื่ องที่2 การเขียนสื่ อสาร การเขียนสื่ อสาร คือ เขียนให้คนอื่นรับรู ้ ความคิดความต้องการ การเขียนให้ความรู ้ จะเขียนเป็ นเรี ยงความหรื อบทความ เขียนด้วยภาษาทางการ การเขียนให้ความบันเทิง เขียนเล่าเรื่ อง เช่น นิทาน เรื่ องสั้น ใช้บทพูดสนทนาที่เหมาะกับบท การเขียนแสดงความต้อง เช่น การเขียนโฆษณา ประกาศ การเขียนคาขวัญ คําขวัญ คือ คําที่เขียนขึ้นเตือนใจมีลกั ษณะเชิญชวนและขอร้องให้อ่านให้ปฏิบตั ิตาม คําอวยพร คือ คําที่แสดงความยินดีกบั คนอื่น เช่น ปี ใหม่ วันคล้ายวันเกิด ประกาศ ประกาศ คือ ข้อความที่แจ้งให้ทราบเป็ นการบอกความต้องการหรื อข้อเท็จจริ ง แบ่งออกเป็ น2 ประเภท คือ 1. ประกาศที่ไม่เป็ นทางการ เพื่อบอกความต้องการให้รายละเอียดประกอบตามความจําเป็ น 2. ประกาศที่เป็ นทางการ เป็ นประกาศข้าราชการหรื อเอกชน ไม่ใช้ภาษาพูด เรื่ องที่3 การเขียนแผนภาพโครงเรื่ องและแผนภาพความคิดเพื่อใช้ พฒ ั นางานเขียน แผนภาพโครงเรื่ อง แผนภาพโครงเรื่ อง เป็ นแผนความคิดใช้วางแผนเรื่ องที่จะเขียนมีการเรี ยนลําดับเหตุการณ์ แผนภาพความคิด แผนภาพความคิด การจัดข้อมูล ความรู ้ เป็ นระบบเข้าใจง่าย เรื่ องที่4 การเขียนเรียงความ การเขียนเรี ยงความเป็ นเขียนบรรยายถ่ายทอดความรู ้ ความคิด ความรู ้ และประสบการณ์ของผูเ้ ขียน สู่ ผอู ้ ่าน เรื่ องที5่ การเขียนย่อความ ย่อความ คือ การนําใจความสําคัญแต่ละตอนจากเนื้อเรื่ องมาสรุ ปและเรี ยบเรี ยงใหม่ให้สอดคล้อง กลมกลืนเป็ นข้อความเดียวกัน หลักการเขียนย่อความ 1. อ่านเรื่ องให้เข้าใจ จับใจความสําคัญแต่ละย่อหน้า นํามาเรี ยงต่อกันด้วยคําพูดของตัวเอง ถ้าเป็ นคํา ราชาศัพท์ให้คงไว้ คัดเครื่ องหมายคําพูด เปลี่ยนบุรุษสรรพนาม 2. เขียนให้ถูกตามรู ปแบบ ย่อหน้าแรกบอกประเภทของเรื่ อง ย่อหน้าที่สอง เป็ นเนื้อเรื่ อง

เรื่ องที่6 การเขียนจดหมายส่ วนตัว จดหมายส่ วนตัว เป็ นการเขียนเรื่ องของส่ วนบุคคล เช่น เขียนถึงพ่อแม่ ญาติผใู ้ หญ่ เพื่อน เพื่อบอก เล่าเรื่ องราว 1. จดหมายขอโทษ เป็ นจดหมายชี้แจ้งข้อผิดพลาดต่างๆที่ที่ได้กระทํา เป็ นข้อความสั้นๆ 2. จดหมายแสดงความขอบคุณ อาจจะเป็ นการเขียนที่แสดงความดีใจ ซาบซึ้ งมิตรภาพ 3. จดหมายแสดงความเห็นใจ แสดงความเห็นใจคนอื่นต่อความสู ญเสี ย ปลอบโยน 4. จดหมายแสดงความยินดี เช่นการได้เลื่อนยศตํ่าแหน่ง ได้ลูกคนใหม่ เรื่ องที่7 การกรอกแบบรายการ การกรอกแบบรายการ คือ การเติมข้อมูลในรายการที่กาํ หนดเพื่อติดต่อธุ ระ การปฏิบตั ิก่อนการ เขียนมีดงั นี้ 1. อ่านให้เข้าใจก่อนกรอก 2. เขียนด้วยลายมือที่อ่านง่าย และกรอกให้ครบถ้วนทุกช่อง 3. ควรตรวจทานหลังการเขียน เรื่ องที่ 8 การเขียนตามเรื่ องจิตนาการ จิตนาการ หมายถึง การสร้างภาพขึ้นในจิตใจ เป็ นเขียนเรื่ องจากความคิดจากประสบการณ์เดิมใน เชิงสร้างสรรค์ การเขียนเรื่ องตามจิตนาการและสร้างสรรค์ที่นิยม มีดงั นี้ 1. นิทาน คือ เรื่ องสมมติที่เล่าต่อกันมา จะต้องเขียนให้สนุ กและติดตามให้คนอ่านมีอารมณ์คล้อย ตาม 2. การเขียนเรื่ องจากภาพ คือ การเขียนถ่ายทอดตามความรู ้สึก นึกคิดจากภาพนําสิ่ งที่เห็นในภาพมา เชื่อมโยงกันให้เป็ นเรื่ องราว 3. การทําหนังสื อนิทานภาพ ซึ่ งประกอบด้วย หน้าปก ที่มีชื่อเรื่ อง ชื่ อผูแ้ ต่งภาพประกอบที่น่าสนใจ คํานําบอกจุดมุ่งหมายในการทํา เนื้อเรื่ องที่มีภาพประกอบมี 8-10 หน้า ข้อคิดที่สรุ ปท้ายเรื่ อง

การฟัง การดู และการพูด หน่ วยการเรียนรู้ ท1ี่ 5 เรื่ องที่ 1 การพูดแสดงความรู้ ความเข้ าใจจากการฟังแลการดู 1. ฟังและดูเรื่ องนั้นจนจบ จับใจความสําคัญของเรื่ องด้วยการตั้งคําถาม 2. หาข้อคิดจารการฟังและดู เพื่อตีความเรื่ องที่ดูและฟัง 3. ลําดับเรื่ องตามลําดับไม่วกไปวนมา เรื่ องที่ 2 การตั้งคาถามและตอบคาถามเชิ งเหตุผลจากเรื่ องทีฟ่ ังและดู หาสาระของเรื่ อง มีจุดประสงค์อะไร เรื่ องที่ฟังมีเหตุผลให้น่าเชื่ อถือหรื อไม่ ข้อคิดหรื อความรู ้มี ประโยชน์ควรปฏิบตั ิตามหรื อไม่และจะนําไปใช้ได้อย่างไร เรื่ องที่ 3 การวิเคราะห์ ความน่ าเชื่ อถือจากสื่ อโฆษณา โฆษณา คือ การเผยแพร่ ให้ประชาชนเห็นหรื อทราบข้อความของสิ นค้านั้นๆ เพื่อประโยชน์ทาง การค้า มีแนวทางการวิเคราะห์ดงั นี้ 1. ข้อมูลของสิ นค้าละเอียดครบถ้วนหรื อไม่ 2. คุณสมบัติของสิ นค้าเป็ นอย่างไร เกินความเป็ นจริ งหรื อไม่ 3. ไม่ขดั ต่อศีลธรรม เสื่ อมเสี ยประเพณี และวัฒนธรรมอันดีงาม เรื่ องที่ 4 การพูดรายงาน การพูดรายงาน เป็ นการอธิบายความรู ้จากการศึกษาให้ผอู ้ ื่นฟัง หลักการปฏิบตั ิในการพูดรายงาน 1. เตรี ยมความพร้อมข้อมูลที่ศึกษา แบ่งเวลาในแต่ละหัวข้อที่จะพูด รักษาเวลา 2. บอกจุดประสงค์ของเรื่ องที่จะพูด ใช้ภาษาระดับกึ่งทางการมีบุคลิกภาพที่ดีในการพูด 3. รู ้จกั ขอโทษเมื่อพูดผิดมีสื่อประกอบการพูด เรื่ องที่ 5 การพูดโน้ มน้ าว การพูดโน้มน้าวเป็ นการชักจูง ให้คล้อยตามผูพ้ ูดปลุกเร้าอารมณ์ให้ผฟู ้ ังการฮึกเหิม หลักการพูดโน้มน้าว 1. การเตรี ยมตัวในการพูด เตรี ยมเนื้ อที่จะพูดวางโครงเรื่ องลําดับเนื้อหาที่เป็ นเหตุผล 2. การใช้ภาษา เลือกใช้คาํ ที่เหมาะสม สื่ อความหมายชัดเจนตรงประเด็น

3. การใช้ท่าทางและนํ้าเสี ยงประกอบการพูด มีบุคลิกภาพที่ดี ใช้น้ าํ เสี ยงที่ฟังง่ายน่าฟัง ใช้ภาษาเชิง แนะนํา 4. การแสดงความจริ งใจต่อผูฟ้ ัง ต้องแสดงให้เห็นสิ่ งที่พูดมีความน่าเชื่ อถือเป็ นประโยชน์ เรื่ องที่ 6 มารยาทในการฟัง การดู แลการพูด มารยาทในการฟังและดู 1. ตั้งใจและมีสมาธิ ในการฟังและดู ไม่คุยกันเสี ยงดัง 2. ไม่พูดแทรกขณะผูพ้ ูดกําลังพูด เมื่อไม่เห็นด้วยกับเรื่ องที่ผพู ้ ูดกําลังพูดควรเปิ ดใจให้กว้างและรับ ฟัง มารยาทในการพูด 1. พูดด้วยนํ้าเสี ยงนุ่มนวล ใช้ถอ้ ยคําสุ ภาพ ออกเสี ยงชัดเจน 2. รู ้จกั รอจังหวะในการพูด และขออนุญาตก่อนไม่พูดแทรก 3. ไม่พูดส่ อเสี ยด เยาะเย้ย หรื อนินทาว่าร้ายคนอื่น 4. ใช้ท่าทางที่สุภาพในการพูด

สรุปภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปี ที6่ วรรณคดีและวรรณคดี

หน่ วยการเรียนรู้ ท1ี่ บทละครเรื่ อง รามเกียรติ์ ตอนศึกไมยราพ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระราชนิพนธ์ข้ ึน บทนาเรื่ อง รามเกี ยรติ์ เป็ นวรรณคดี ที่มีมาแต่ครั้ งกรุ งศรี อยุธยาเป็ นราชธานี สันนิ ษฐานว่า ไทยได้นาํ เรื่ อง รามเกียรติ์มาจากรามายณะของอินเดี ย ซึ่ งมีอายุเก่าแก่กว่า 2,000ปี ตั้งแต่สมัยอยุธยามีผแู ้ ต่งเรื่ องรามเกียรติ์ หลายฉบับ ด้วยเห็นว่าเป็ นเรื่ องราว ที่สนุกสนานตื่นเต้น ส่ วนใหญ่แต่งเป็ นบทพากย์โขน พากย์หนัง และบท ละคร ซึ่งใช้แสดงละครรํา พระนารายณ์อวตาลลงมาเป็ นพระราม โอรสของท้าวทศรถกษัตริ ย์กรุ งอโยธ ยามีพระอนุ ชา คือ พระลัก ษณ์ พระพรต และพระสัตรุ ด และพระรามได้อภิเษก สมรสกับนางสี ดา ท้าวทศรถจัดพิธีอภิเษกขึ้นครองเมืองแต่นางไกยเกษีซ่ ึ งเป็ นพระ มเหสี จึงทูลขอให้พระพรตโอสรของนางขึ้ นครองเมื องก่อน และขอให้พระราม ออกมาใช้ชีวติ เป็ นนักบวชอยูใ่ นป่ าเป็ นเวลา 14 ปี พร้อมทั้งพระลักษณ์และนางสี ดา ที่ขอตามมาด้วย นางสํามนักขาน้องสาวของทศกัณฐ์เห็ นพระรามเกิ ดหลงรั กแต่ถูกพระราม ปฏิเสธจึงโกรธจึงไปบอกทศกัณฑ์ถึงความงามของนางสี ดาทศกัณฐ์ให้มารี ศแปลงกายเป็ นกวางทองล่อนาง สี ดาเห็นจึงอยากได้ ให้พระลักษณ์พระรามตามจับ แล้วทศกัณฐ์จึงแอบลักพาตัวนางสี ดาไปไว้ที่กรุ งลงกา พระรามและพระลักษณ์ ขอความช่ วยเหลื อจากหนุ มาน สุ ครี พ และองคต พร้ อมทั้งพลทหารลิ งทั้งหลาย ทั้งหมดรวมเป็ นกองทัพใหญ่ไปต่อสู ้กบั ทศกัณฐ์ที่กรุ งลงกาตั้งพลับพลาอยู่นอกเมือง พระรามส่ งองคตไป ทูลขอนางสี ดากับทศกัณฐ์ ทศกัณฐ์ไม่ยอมให้เสนาจับตัวองคตไว้ องคตฆ่าเสนายักษ์ตาย 4 ตน แล้วมาทูล พระรามให้ทราบ ทศกัณฐ์ได้ยกฉัตรบังแสงอาทิตย์เพื่อไม่ให้พระรามเห็นกรุ งลงกา พิเภกเป็ นอนุ ชาของทศกัณฐ์เคยขอให้ทศกัณฐ์คืนนางสี ดาให้พระรามทําให้ทศกัณฐ์โกรธไล่พิเภก ออกจากกรุ งลงกา พิ เภกจึงไปอยู่กบั พระรามคอยทํานายเหตุการณ์ สงครามและบอกยุทธวิธีให้กบั พระราม พิเภกให้พระรามใช้ทหารไปหักฉัตรที่กรุ งลงกา สุ ครี พอาสาเป็ นผูไ้ ปหักฉัตรทําให้ทศกัณฐ์แค้นมากจึงไป ชวนไมยราพซึ่ งเป็ นหลานมาช่วยรบ

คืนหนึ่ งพระรามเกิดฝัน พิเภกทํานายฝันว่าพระรามจะมีเคราะห์จะยักษ์ลกั พาตัวไป หนุ มานรับอารักขา แต่ก็ไม่สู้อุบายของไมยราพไม่ได้ไมยราพจึงลักพาตัวพระรามไปขัง ไว้ในกรงเหล็กในเมืองบาดาล พิเภกให้หนุ มานไปช่วยพระราม หนุ มานต้องฝ่ าด่านต่าง ไปเข้าไปจนไปถึงด่านมัจฉานุรักษาอยู่ และได้ขอให้มจั ฉานุบอกทางไปยังเมืองบาดาลให้ แต่มจั ฉานุนึกถึงพระคุณของไมยราพที่ชุบเลี้ยงตนเป็ นบุตรบุญธรรม จึงเลี่ยงบอกทางไป เมืองบาดาลให้หนุมานทราบเป็ นความนัยให้หนุมานนึกเดาเอา หนุ มานจึงตามไป ถึ งเมื องบาดาลพบนางพิรากวนออกมาตักนํ้าตามคําสั่งของไมยราพ จึ งขอให้นาง พิรากวนพาเข้าเมืองบาดาลโดยการแปลงเป็ นใยบัวติดสใบนางเข้าไป หนุมานค้นหา พระรามจนพบแล้วร่ ายมนต์สะกดยักษ์ที่อยู่เวรยามให้หลับหมดพาพระรามออกมา จากเมื องบาดาลและไปฝากเทวดาที่เขาสุ รกานต์ให้ช่วยดู แลพระราม ส่ วนตนเองก็ ย้อนกลับไปสู ้กบั ไมยราพ และฆ่าไมยราพตายในที่สุด หน่ วยการเรียนรู้ ท2ี่ นิทานทองอิน ตอน นาคพระโขนงทีส่ อง สรุ ป นิ ทานทองอินเป็ นบทพระราชนิ พนธ์ ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีลกั ษณะ สมจริ งเหมือนนวนิ ยาย เป็ นเนื้ อเรื่ องเกี่ยวกับการสื บสนหาความจริ งเกี่ยวกับผีนางนาคที่บางพระโขนงโดย นายทองอินกับนายวัด ดําเนิ นเป็ นดําเนิ นเรื่ องด้วยการเล่าและการสนทนาให้ผอู ้ ่านได้คิดตามเหตุการณ์ นาย ทองอินซักถามนายเปรมและพันโชตจนสามารถจับคนที่ปลอมเป็ นผีได้สําเร็ จ เหตุการณ์จึงจบลง เรื่ องนี้ ให้ ทั้งความสนุก การกระตุน้ ความคิดและข้อคิดที่เป็ นประโยชน์ในการดําเนินชีวิต แม่ นาคพระโขนง แม่นาคพระโขนง เรื่ องมี อยู่ว่า นางนาคกับนายมากเป็ นสามี ภรรยากันอาศัยอยู่แถบปากคลองพระโขนง ต่อมานางนาคตั้งทอง นายมากก็ถูกเกณฑ์ไปเป็ นทหาร หลังจากที่นายมากไปทหารไม่นานนางนาคก็คลอด ลูกตายทั้งกลม ศพนางนาคถูกนําไปฝังไว้ใต้ตน้ ตะเคียนคู่ที่วดั หลังจากนั้นนางนากก็แผลงฤทธิ์ บีบคอหมอผี ที่มาลนนํ้ามันพรายจนตาย ต่อมาก็ไปเที่ยวหลอกหลอนชาวบ้าน จนชาวบ้านกลัวพากันดับไฟนอนตั้งแต่ หัวคํ่าทั้งหมู่บา้ น ความดุร้ายของผีนางนาคทําให้ชาวบ้านหาหมอผีมาปราบอยูบ่ ่อยๆแต่ก็ไม่สําเร็ จ ส่ วนนาย มากได้รับอนุ ญาตให้กลับบ้านได้ก็รีบกลับบ้านมาหาภรรยาทันที ขณะที่อยูก่ บั นางนาคชาวบ้านต่างก็พากัน บอกว่านางนาคตายแล้วแต่นายมากก็ไม่เชื่อ จนรู ้ดว้ ยตัวเองในขณะที่นอนอยูแ่ ล้วเห็นหน้าภรรยาเน่าเละ นาย มากจึงหนีนางนาคไป นางนาคก็พยายามตามหาสามีให้กลับมาอยูก่ ลับตน นายมากได้รับความช่วยเหลือจาก อาจารย์ผมู ้ ีคาถาอาคมช่วยปราบผีนางนาคและจับวิญญาณใส่ หม้อไปถ่วงนํ้าได้สาํ เร็ จ

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 บทเสภาเรื่ อง ขุนช้ างขุนแผน ตอนกาเนิดพรายงาม เนื้อเรื่ อง เนื้ อเรื่ องตอนนี้ เริ่ มจากนางวันทองมาอยูก่ บั ขุนช้าง ส่ วนขุนแผนถู กจําคุ กอยู่ที่เมืองหลวง ขณะนั้น นางวันทอง มีครรภ์ เมื่อครบสิ บเดือนจึงได้ให้กาํ เนิ ดบุตรชายนางให้ชื่อลูกว่าพลายงาม พลายงามยิ่งโตก็ยิ่ง งาม หน้าตาละม้ายคล้ายพ่อคือขุนแผน จนอายุได้เก้าขวบขุนช้างรู ้วา่ ไม่ใช่ ลูกของตน จึงลวงไปทําร้าย และ เอาท่อนไม้ทบั จะให้ตาย ขุนช้างทิ้งพลายงามไว้ในป่ า แต่พรายของขุนแผนช่วยไว้ได้พรายของขุนแผนมา กระซิ บบอกนางวันทองให้ทราบเรื่ องที่ขุนช้างจะฆ่าพลายงามนางจึงรี บออกไปตามหาลูก พลายงามร้องไห้ เล่าให้แม่ฟังเรื่ องที่ถูกขุนช้างทําร้าย นางจึงบอกความจริ งแก่ลูกว่า บิดาที่แท้จริ งคือขุนแผน ขณะนั้นถูกจําคุก อยู่ที่กรุ งศรี อยุธยา ย่าของพลายงามชื่ อนางทองประศรี อยูท่ ี่วดั เชิ งหวายเมืองกาญจนบุรีเมื่อเกิ ดเรื่ องเช่ นนี้ พลายงามคงอยูบ่ า้ นกับมารดาต่อไปไม่ได้วนั ทองตัดสิ นใจนําลูกไปฝากไว้ที่วดั ก่อน นางวันทองพาพลาย งามไปฝากไว้กบั สมภารชื่ อขรัวนาค คืนนั้นเป็ นครั้งแรกที่พลายงามอยู่ห่างบ้านทั้งใจยังหวัน่ หวาดกับเรื่ อง ร้ายที่เกิดขึ้น พลายงามนอนไม่ใคร่ หลับตลอดคืน วันรุ่ งขึ้น นางวันทองจัดของไปรับลูกที่วดั แล้วพาไปส่ งที่ท่าเกวียน ให้พลายงามเดิ นทางไปหาย่า ทองประศรี ที่เมืองกาญจนบุรี เพราะลําพังนางวันทองคงไม่สามารถคุม้ ครองลู กจากขุนช้างได้ สองแม่ลูก อําลากันอย่างเศร้าสร้อย พลายงามเดินทางตามลําพัง แวะพักค้างคืนที่วดั ต่างๆ ระหว่างทาง จนมาถึงเมือง กาญจนบุ รี ได้ข้ ึ นไปปี นต้นมะยมเล่ น โดยมิ ไ ด้รู้ว่า มาถึ ง บ้า นย่า แล้ว นางทองประศรี ออกมาไล่ทุบตี จนเมื่อไต่ถามกันจึงรู ้วา่ เป็ นหลานนางทํา พิธีสมโภชรับขวัญ แล้วพาไปหาขุนแผนที่กรุ งศรี อยุ ธยา พลายงามเล่ า เรื่ องขุนช้างให้พอ่ ฟัง ขุนแผนโกรธมาก จะไปฆ่าขุนช้าง แต่นางทองประ ศรี หา้ มไว้ และเตือนสติต่างๆ นานา ขุนแผนจึงค่อยสงบลง และฝากฝังลูกไว้กบั ย่า ให้ต้ งั ใจเรี ยนเขียนอ่าน นางทองประศรี จึงพาพลายงามกลับ พลายงามอาศัยอยูก่ บั นางทองประศรี ที่กาญจนบุรี ได้ร่ ําเรี ยนหนังสื อ และคาถาอาคมจนแตกฉานไม่ดอ้ ยกว่าขุนแผน จนเมื่อพลายงามอายุได้สิบสามปี นางทองประศรี จึงได้จดั พิธีโกนจุกตามประเพณี

วันรุ่ งขึ้น พลายงามก็เดินทางเข้ามากรุ งศรี อยุธยา เมื่อขุนแผนได้พบพลายงามก็ดีใจ ซักไซ้ไต่ถามดู ก็ทราบว่า มารดาตนสั่งสอนพลายงามมาอย่างดี จึงนําไปฝากฝังกับจมื่นศรี เสาวรักษ์ราชให้ช่วยพาไปถวาย ตัว จมื่นศรี พิจารณา พลายงามเห็นเป็ นเด็กฉลาด จึงรับไว้ในบ้านเหมือนเป็ นนักเรี ยนประจํา แนะนําสั่งสอน ให้ศึกษาหาความรู ้ เพิ่มเติมไว้อีก ในระหว่างที่ พกั อยู่ที่บา้ น นอกจากจะสอนวิชาความรู ้แล้ว จมื่นศรี ยงั ให้ พลายงามตามหลัง เข้าวัง เพื่อศึกษาแนวทางและวิธี ปฏิ บตั ิ ตนด้วย เมื่ อจมื่ นศรี ฯ เห็ นว่า พลายงามมี วิช า ความรู ้ครบถ้วนจบหลักสู ตร กิริยามารยาทเป็ นที่พอใจ สมควร เข้ารับราชการได้ ก็พาพลายงามถวายตัวต่อ พระมหากษัตริ ย ์ ด้วยผลกรรมดลพระทัยสมเด็จพระพันวษา พลายงามจึงยังไม่ได้เข้ารับราชการในครั้งนี้ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 สุ ภาษิตสอนหญิง ผูแ้ ต่งสุ ภาษิตสอนหญิง คือ สุ นทรภู่ ซึ่งเป็ นวรรณกรรมประเภทกลอนสุ ภาพ ในสมัยก่อนมีการเปรี ยบผูห้ ญิงเหมื อนผ้าขาวสะอาด ซึ่ งถ้าเปรอะเปื้ อนสิ่ งใดแม้แต่นอ้ ย ก็เกิดเป็ นจุดตําหนิ เสี ยแล้ว และตําหนิที่วา่ นี้ก็เกิดได้โดยง่ายนัก ดังนั้นคนสมัยก่อนจึงจําเป็ นต้องหาทางป้ องกันในกรณี ที่ยงั ไม่ เกิ ดตําหนิ ใ นผ้า ขาว และหาทางแก่ ไ ขในกรณี ที่ไ ด้เกิ ดขึ้ นแล้ว จึ งได้มี ..สุ ภาษิต.. หรื อสุ ภาษิตสอนหญิ ง เกิดขึ้นในสมัยนั้น ซึ่ งเป็ นสิ่ งที่ป้องกันแก้ไขตําหนิ ต่างๆได้เป็ นอย่างดี สุ ภาษิต ได้แก่คาํ พูดที่พูดออกมา ไม่ ว่าจะเป็ นทํานองสํานวนโวหาร หรื อคําพังเพย แต่มีเนื้ อความหรื อความหมายที่ ดี เป็ นคําตักเตือนสั่งสอน และสะกิดใจให้ระลึกถึงอยูเ่ สมอ มีอยู่ 2 ประเภท คือ 1. คําสุ ภาษิตประเภทที่ พูด อ่าน หรื อเข้าใจเนื้ อความได้ ทันที โดยไม่ตอ้ งแปลความหมาย ตีความหมายเช่ น ทําดีได้ดี ทําชัว่ ได้ชว่ั 2. คําสุ ภาษิตประเภทที่ พูด อ่าน หรื อฟั งแล้วยังไม่เข้าใจเนื้ อความนั้นในทันที ต้องนึ กตรึ กตรอง ต้องแปลความ ตีความหมายเสี ยก่อนจึงจะ ทราบเนื้ อแท้ของคําเหล่านั้น เช่ น ผีบา้ นไม่ดีผีป่าก็พลอย สุ ภาษิตสอนหญิง เป็ นที่รวมเเห่ งคติในการครอง ตัวของหญิงตามวัฒนธรรมไทยดั้งเดิม เป็ นที่ยกย่องเเพร่ หลายสื บต่อกันมาช้านาน ส่ วนมากคงถือปฏิบตั ิทุก วันนี้ จะมีเลิกถอนตามคตินิยมอย่างใหม่บา้ งเพียงบ้างประการ เช่นการกราบเท้าสามีเมื่อเข้านอน หรื อการรับ ประทนอาหารหลังสามีเป็ นตัน ที่มา : ทรู ปลูกปัญญา

สรุปเนื้อหาวิชา คณิตศาสตร์ ป.1 หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 เรื่ อง จานวนนับ 1 ถึง 5 และ 0 1. จานวนนับและการเขียนสัญลักษณ์แทนจานวนนับ 1 ถึง 5 คือ จานวนนับ 1 ถึง 5 เป็ นจานวนที่นบั เพิ่มขึ้นทีละหนึ่ง เช่น 1,2,3,4,5 ซึ่งเขียนเป็ น ตัวเลขฮินดู อารบิกได้ดงั นี้ 1, 2, 3, 4, 5 และเขียนเป็ นตัวเลขไทย ๑, ๒, ๓, ๔, ๕ ซึ่ งตัวเลขเหล่านี้ เรี ยกว่าสัญลักษณ์ที่ใช้ เขียนแทนจานวน ตัวอย่าง การนับเพิ่มขึ้นทีละ 1 นก 1 ตัวอยูบ่ นหลังคา อีกตัวบินมาเป็ นนก 2 ตัว นก 2 ตัวอยูบ่ นหลังคา อีกตัวบินมาเป็ นนก 3 ตัว นก 3 ตัวอยูบ่ นหลังคา อีกตัวบินมาเป็ นนก 4 ตัว นก 4 ตัวอยูบ่ นหลังคา อีกตัวบินมาเป็ นนก 5 ตัว

2. จานวนนับและการเขียนสัญลักษณ์แทนจานวน 0 คือ จานวนศูนย์เป็ นจานวนที่ไม่มีสิ่งใดอยูเ่ ลย ดังนั้นการ เขียนแทนด้วยตัวเลขฮินดูอารบิก 0 ตัวเลขไทย ๐ และตัวหนังสื อ ศูนย์ 3. การ เปรี ยบเทียบจานวนนับ คือ จานวนสองจานวนเมื่อนามาเปรี ยบเทียบกัน อาจมีค่าเท่ากัน มากกว่าหรื อน้อยกว่ากันได้ เขียนได้ดงั นี้ คือ เครื่ องหมาย (>) มากกว่า เครื่ องหมาย (<) น้อยกว่า และ เครื่ องหมาย (=) เท่ากับ

เช่น 4>2

5=5

2<3

4 มากกว่า 2

5 เท่ากับ 5

2 น้อยกว่า 3

4. การเรี ยงลาดับจานวนนับ คือ การเรี ยงลาดับจากน้อยไปหามาก หรื อ จากมากไปหาน้อยได้ เช่ น 1, 2,3,4,5 คือ การเขียนเรี ยงลาดับจากน้อยไปหามาก 5, 4,3,2,1 คือการเขียนเรี ยงลาดับจากมากไปหาน้อย

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 เรื่ อง จานวนนับ 6 ถึง 10 1.

จานวนนับและการเขียนสัญลักษณ์แทนจานวนนับ 6 ถึง 10 คือ จานวนนับ 6 ถึง 10 เป็ นจานวนที่

นับเพิ่มขึ้นทีละหนึ่งตามลาดับ ตัวเลขฮินดูอารบิก 6, 7, 8,9,10 ตัวเลขไทย ๖, ๗, ๘, ๙, ๑๐ และตัวหนังสื อ หก เจ็ด แปด เก้า สิ บ เป็ นสัญลักษณ์ที่ใช้แทนจานวน 2.

การเปรี ยบเทียบจานวน คือ จานวนสองจานวนเมื่อนามาเปรี ยบเทียบกัน อาจมีค่าเท่ากัน มากกว่า

หรื อน้อยกว่ากันได้ เขียนได้ดงั นี้ คือ เครื่ องหมาย (>) มากกว่า เครื่ องหมาย (<) น้อยกว่า และ เครื่ องหมาย (=) เท่ากับ เช่น

3.

6=6

8>5

2<7

6 เท่ากับ 6

8 มากกว่า 5

2 น้อยกว่า 7

การ เรี ยงลาดับจานวน คือ จานวน 6, 7, 8, 9, และ 10 สามารถเขียนเรี ยงจากลาดับจานวนที่มีค่ามาก

ไปหาจานวนที่มีค่าน้อย หรื อจาลาดับจานวนที่มีค่าน้อยไปหาจานวนที่มีค่ามากได้ เช่น 6, 7, 8,9,10 คือ การเขียนเรี ยงลาดับจากน้อยไปหามาก 10,9,8,7,6 คือ การเขียนเรี ยงลาดับจากมากไปหาน้อย

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 เรื่ อง การบวกจานวนสองจานวนทีม่ ผี ลบวกไม่ เกิน 9 1. ความหมายของการบวก คือ การบวกเป็ นการนาจานวนตั้งแต่สองจานวนมารวมกัน ผลที่ได้เรี ยกว่า ผลบวกหรื อผลลัพธ์ เช่ น 2 + 3 = 5, 4 + 2 = 7 , 3 + 5 = 8 เป็ นต้น 2. ประโยคสัญลักษณ์การบวก คือ การใช้สัญลักษณ์เขียนเป็ นประโยคและแสดงวิธีทาพร้อมทั้งหาคาตอบ เรี ยกว่า ประโยคสัญลักษณ์ เช่น 5 + 2 =

อ่านว่า ห้า บวก สอง เท่ากับ เท่าไร

5+2=7 มี 5 เป็ นตัวตั้ง 2 เป็ นตัวบวก 7 เป็ นผลบวก เครื่ องหมาย บวก (+) แทน การบวก เครื่ องหมาย เท่ากับ แทน ผลบวก หรื อ การเท่ากัน 3. การบวกด้วย ศูนย์ คือ จานวนใด ๆ ที่นามาบวกกับศูนย์จะได้ผลลัพธ์เท่ากับจานวนนั้น ๆ เช่น 4 + 0 = 4 , 7+0=7 4. การ สลับที่ของการบวก คือ การสลับเปลี่ยนจานวนที่อยูข่ า้ งซ้ายและขวาของเครื่ องหมายบวกได้ โดยผลลัพธ์ยงั คงเดิม สมมติให้ a และเป็ นจานวนสองจานวนใดๆ เช่น 1+3 = 4 , 3+1 = 4 5. การบวกแนวตั้ง คือ การบวกแนวตั้ง เป็ นการบวกโดยเขียนตัวตั้งและตัวบวกไว้ตวั ละบรรทัด วางหลักให้ตรงกันในแนวตั้ง และเขียนเครื่ องหมาย (+) ไว้ดา้ นหลังระหว่างตัวตั้งกับตัวบวก

เช่น

18 6. โจทย์ปัญหาการบวก คือ โจทย์ปัญหาการบวกเป็ นสถานการณ์ที่กล่าวถึงการนาสิ่ งของมารวมกัน ซึ่ งโจทย์ปัญหาการบวกสามารถ เขียนประโยคสัญลักษณ์และหาคาตอบ ตัวอย่าง ห้องเรี ยนชั้น ป.1 มีนกั เรี ยนชาย 11 คน นักเรี ยนหญิง 8 คน ห้องเรี ยนนี้ มีนกั เรี ยนทั้งหมดกี่คน โจทย์ตอ้ งการทราบอะไร ห้องเรี ยนนี้ มีนกั เรี ยนทั้งหมดกี่คน โจทย์กาหนดอะไรมาให้บา้ ง 1. มีนกั เรี ยนชาย 11 คน 2. มีนกั เรี ยนหญิง 8 คน หาคาตอบโดยวิธีใด การบวก ประโยคสัญลักษณ์ 11 + 8 =  วิธีทา

ตอบ

ห้องเรี ยนนี้มีนกั เรี ยนชาย ห้องเรี ยนนี้มีนกั เรี ยนหญิง ห้องเรี ยนนี้ มีนกั เรี ยนชายมากกว่านักเรี ยนหญิง ห้องเรี ยนนี้ มีนกั เรี ยนทั้งหมด ๑๙ คน

11 8 19

+

คน

คน คน

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 เรื่ อง การบวกจานวนสองจานวนทีม่ ตี ัวตั้ง ไม่ เกิน 9 1. ความหมายของการลบคือ การลบ เป็ นการนาจานวนหนึ่งออกจากจานวนที่กาหนดให้ แล้วหา จานวนที่เหลือ จานวนที่เหลือ เรี ยกว่า ผลลบ 2. ประโยคสัญลักษณ์การลบ คือ การใช้สัญลักษณ์เขียนเป็ นประโยคและแสดงวิธีทาพร้อมทั้งหา คาตอบ เรี ยกว่า ประโยคสัญลักษณ์ เครื่ องหมาย – เรี ยกว่า “เครื่ องหมายลบ” เป็ นเครื่ องหมายที่ใช้แสดงการ เอาออก เครื่ องหมาย = เรี ยกว่า “เครื่ องหมายเท่ากับ” เป็ นเครื่ องหมายที่ใช้แสดงความเท่ากันของจานวนที่อยูห่ น้าและ หลังเครื่ องหมาย เช่น 5 - 2 =

อ่านว่า ห้า ลบ สอง เท่ากับ เท่าไร 5-2=7

มี 5 เป็ นตัวตั้ง 2 เป็ นตัวลบ 7 เป็ นผลลบ เครื่ องหมาย ลบ (-) แทน การลบ เครื่ องหมาย เท่ากับ แทน ผลลบ หรื อ การเท่ากัน 3. การลบที่ตวั ลบเป็ นศูนย์ คือ การลบที่ตวั ลบเป็ นศูนย์ ผลลบจะเท่ากับจานวนเดิมนั้น เช่น 6 – 0 = 6 4. การลบแนวตั้ง คือ การลบแนวตั้งเป็ นการลบที่สามารถหาผลลบจากโจทย์ได้ โดยเขียนตัวตั้งและตัว ลบไว้ คนละบรรทัด วางหลักให้ตรงกันในแนวตั้ง และเขียนเครื่ องหมาย – ไว้ระหว่างตัวตั้งกับตัวลบ 5. โจทย์ปัญหาการลบ คือ โจทย์ปัญหาการลบ เป็ นสถานการณ์ที่กล่าวถึงการนาสิ่ งของออกจากจานวนที่กาหนดให้ แล้วให้หาจานวนที่เหลือ โจทย์ปัญหาการลบสามารถเขียนในรู ปประโยคสัญลักษณ์และหาคาตอบได้

ตัวอย่าง ห้องเรี ยนชั้น ป.1 มีนกั เรี ยนชาย 11 คน นักเรี ยนหญิง 8 คน ห้องเรี ยนนี้ มีนกั เรี ยนชายมากกว่า นักเรี ยนหญิงกี่คน

โจทย์ตอ้ งการทราบอะไร โจทย์กาหนดอะไรมาให้บา้ ง

ห้องเรี ยนนี้ มีนกั เรี ยนชายมากกว่านักเรี ยนหญิงกี่คน 1. มีนกั เรี ยนชาย 11 คน 2. มีนกั เรี ยนหญิง 8 คน

หาคาตอบโดยวิธีใด การลบ ประโยคสัญลักษณ์ 11 – 8 =  วิธีทา ห้องเรี ยนนี้มีนกั เรี ยนชาย 11 คน – ห้องเรี ยนนี้มีนกั เรี ยนหญิง 8 คน ห้องเรี ยนนี้ มีนกั เรี ยนชายมากกว่านักเรี ยนหญิง 3 คน ตอบ ห้องเรี ยนนี้ มีนกั เรี ยนชายมากกว่านักเรี ยนหญิง ๓ คน 6. ความสัมพันธ์ระหว่างการบวกกับการลบ คือ การบวกและการลบมีความสัมพันธ์กนั กล่าวคือ ผลลบของจานวนสองจานวนใด ๆ เมื่อนามาบวกกับตัวลบจะเท่ากับตัวตั้ง เช่น 4+5=9 และสามารถเขียน อยู่ในรูปการลบได้ดังนี้ 9 – 5 = 4 หรือ 9 – 4 = 5 4

5

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 5 เรื่ อง การวัด ความยาว ความ สู ง และ ระยะทาง 1. การวัด คือ การวัดความยาว เป็ นการหาความยาวตามแนวนอน การวัดความสู งเป็ นการหา ความยาวตามแนวตั้ง 2. การเปรี ยบเทียบความยาวหรื อความสู ง คือการเปรี ยบเทียบความยาวหรื อความสู งของ สิ่ งของโดยตรง จะต้องวางของให้ปลายข้างหนึ่งเสมอกัน แล้วเปรี ยบเทียบปลายอีกข้างหนึ่ง เช่น

พูกนั ยาวกว่าตะปู

ขวดน้ ายาวกว่าแจกัน

3. การเรี ยงลาดับความยาวหรื อความสู ง คือ การเรี ยงลาดับความยาวหรื อความสู ง เป็ นการ เปรี ยบเทียบความยาวหรื อความสู งของสิ่ งของทีละหลาย ๆ สิ่ ง 4. การวัดความยาวหรื อความสู งโดยใช้เครื่ องมือวัดที่มีหน่วยไม่ใช่หน่วยมาตรฐาน เช่น ศอก คืบ ก้าว 5. การเปรี ยบเทียบความยาวหรื อความสู งโดยใช้หน่วยกลาง คือ การเปรี ยบเทียบความยาว หรื อความสู งทาได้โดยนาจานวนหน่วยความยาวหรื อความสู งที่วดั ได้มาเปรี ยบเทียบกัน

6. การวัดระยะทางโดยใช้เครื่ องมือวัดที่มีหน่วยไม่ใช่ หน่วยมาตรฐาน เช่น การระยะทางจากป้ ายหยุดรถถึงป้ ายไฟจราจรว่ามีระยะทาง 7 หน่วย

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 6 เรื่ อง การ ชั่ง และ การตวง 1. การชัง่ น้ าหนัก คือ การชัง่ ที่การวัดน้ าหนักของสิ่ งของ น้ าหนักของสิ่ งของไม่ข้ ึนอยูก่ บั รู ปร่ าง ขนาด และสี เสมอไป ของชนิ ดเดียวกัน ถ้ามีขนาดใหญ่กว่าจะมีน้ าหนักมากกว่า เช่น 2. การเปรี ยบเทียบน้ าหนัก คือ การเปรี ยบเทียบน้ าหนักอาจใช้คานหรื อเครื่ องชัง่ สองแขนอย่างง่าย ๆ ที่ไม่ใช่เครื่ องชัง่ มาตรฐาน ของชิ้น หนึ่งเมื่อแบ่งออกเป็ นส่ วน ๆ น้ าหนักของแต่ละส่ วน และเมื่อนามารวมกันจะเท่ากับ น้ าหนักของของชิ้นเดิม นั้น เช่น

จากรู ป ช้างหนักกว่าหมู 3. การชัง่ โดยใช้เครื่ องมือวัดที่มีหน่วยไม่ใช่หน่วยมาตรฐาน คือ การชัง่ น้ าหนักของสิ่ งของแต่ละอย่าง อาจทาได้โดยการเทียบกับหน่วยน้ าหนักที่ไม่ใช่หน่วยมาตรฐาน เช่น

จากรู ป กล่องใหญ่ 1 ใบ หนักเท่ากับ กล่องสี่ เหลี่ยมเล็ก 6 กล่อง 4. การตวงและการเปรี ยบเทียบความจุ คือ การตวงเป็ นการวัดปริ มาณของของเหลว ของที่ตวงได้หรื อความจุของภาชนะ เช่น

5. การเรี ยงลาดับปริ มาตรของที่ตวงหรื อความจุของภาชนะ คือ การตวงเพื่อวัดปริ มาณของของเหลวหรื อความจุของภาชนะ อาจทาให้ได้โดยการเทียบกับหน่วยความจุ ที่ไม่ใช่หน่วยมาตรฐาน เช่น นาแก้วขนาดเท่ากัน 4 ใบ ใส่ น้ าให้มีระดับต่าง ๆ กันอย่างเห็นได้ชดั มาให้ แล้ว เรี ยงลาดับตามปริ มาณของน้ าที่มีอยู่ จากแก้วที่มีน้ ามากที่สุดไปหา แก้วที่มีน้ าน้อยที่สุด หรื อจากแก้วที่มีน้ า น้อยที่สุดไปหาแก้วที่มีน้ ามากที่สุด

6. การตวงโดยใช้เครื่ องตวงที่มีหน่วยไม่ใช่หน่วยมาตรฐาน คือ การเปรี ยบเทียบปริ มาณของสิ่ งของที่ตวงได้หรื อความจุของภาชนะ อาจเปรี ยบเทียบได้จากจานวนหน่วย ความจุที่ไม่ใช่หน่วยมาตรฐาน เช่น

เหยือกใบใหญ่จุเท่ากับแก้ว 6 ใบ

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 7 เรื่ อง การเตรียมความพร้ อมทางเรขาคณิต 1. รู ปเปิ ด รู ปปิ ด คือ รู ปเปิ ดเป็ นรู ปที่มีจุดเริ่ มต้นและจุดสิ้ นสุ ดไม่จดกัน ส่ วนรู ปปิ ดเป็ นรู ปที่มีจุดเริ่ มต้นและจุดสิ้ นสุ ดเป็ นจุด เดียวกัน รู ปเรขาคณิ ตมีลกั ษณะเป็ นรู ปปิ ดที่มีเส้นขอบลากจากจุดเริ่ มต้นแล้ววกกลับมาที่จุดเดิม ดังนั้นการ จาแนกรู ปเรขาคณิ ต ใช้วธิ ี พิจารณาขอบของรู ป ตัวอย่าง รู ปปิ ด รู ปเปิ ด

สรุปเนื้อหา วิชา คณิตศาสตร์ ป.2 หน่ วยที่ 1 เรื่ อง การบวกและการลบ 1. จานวน 100 200 300, ...,1,000 คือ การแสดงค่าของจานวน สามารถแสดงโดยการใช้สัญลักษณ์วา่ เป็ นตัวเลขฮินดูอารบิกตัวเลขไทย และ ตัวหนังสื อ ตัวอย่าง

2. การเขียนตัวเลข และตัวหนังสื อแสดงจานวนร้อยกับสิ บ และกับหน่วย คือ การแสดงค่า ของจานวนแสดงได้โดยการเขียนตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทยและตัวหนังสื อ

เช่น

ตัวเลขฮินดูอารบิก

235

ตัวเลขไทย

๒๓๕

ตัวหนังสื อ

สองร้อยสามสิ บห้า

3. ค่าของตัวเลขในหลักร้อย หลักสิ บ และหลักหน่วย คือ หลักและค่าของเลขโดดในแต่ละหลัก 10 ถึง 99 เป็ นเลขที่มีสองหลัก ตัวเลขทางขวาสุ ด อยูใ่ นหลักหน่วย ตัวเลขทางซ้ายของหลักหน่วยอยูใ่ นหลักสิ บ 100 เป็ นตัวเลขที่มีสามหลัก ตัวเลข ทางซ้าย ของหลักสิ บอยูใ่ นหลักร้อย ตัวอย่าง 6 1 5 6 อยูใ่ นหลักร้อย มีค่าเป็ น 600 1 อยูใ่ นหลักสิ บ มีค่าเป็ น 10 5 อยูใ่ นหลักหน่วย มีค่าเป็ น 5 4. การเขียนจานวนในรู ปกระจาย คือ การเขียนตัวเลขแทนจานวนนับใด ๆ ในรู ปกระจาย เป็ นการเขียนตัวเลขแทนจานวนนั้นในรู ปการบวกของค่าของตัวเลขในหลักต่าง ๆ ตัวอย่าง 384 เขียนในรู ปกระจายได้384 = 300 + 80 + 4 5. การเปรี ยบเทียบจานวนสองจานวนและการใช้เครื่ องหมาย = ≠ > และ < คือ เครื่ องหมาย = ≠ > < เป็ นเครื่ องหมายใช้แสดงการเปรี ยบเทียบ = แทน เท่ากับ≠ แทน ไม่เท่ากับ > แทน มากกว่า < แทน น้อยกว่า 6. แบบรู ปของจานวนที่เพิ่มขึ้นทีละ 5 ทีละ 10 และทีละ 100 คือ การเรี ยงลาดับจานวน หลายๆ จานวน ทาได้โดยการเปรี ยบเทียบจานวนทีละคู่ แล้ว เรี ยงลาดับจากจานวนน้อยไปมากหรื อจาก จานวนมากไปน้อย 7. แบบรู ปและความสัมพันธ์ที่ลดลงและเพิง่ ขึ้น ทีละ 2 ทีละ 10 และทีละ 100 คือ รู ปแบบ

ของจานวนเป็ นชุดของจานวนที่มีความสัมพันธ์กนั อย่างใดอย่างหนึ่งแบบรู ปของจานวนที่เพิ่มขึ้นทีละ 5 ที ละ 10 ทีละ 100 ตัวอย่าง จาก 15 เพิ่มขึ้น 10 เป็ น 25 จาก 25 เพิ่มขึ้น 10 เป็ น 35 จาก 35 เพิ่มขึ้น 10 เป็ น 45 8. จานวนคู่ จานวนคี่ คือ จานวนของสิ่ งต่าง ๆ ที่นามาจัดเป็ นคู่ แล้วเหลือศูนย์(0) หรื อหมด พอดีเรี ยกว่า “จานวนคู่” 9. จานวนของสิ่ งต่าง ๆ ที่นามาจัดเป็ นคู่แล้วเหลือ 1 เรี ยกว่า “จานวนคี่”

หน่ วยที่ 2 เรื่ อง การบวกและการลบจานวนนับทีม่ ีผลลัพธ์ และตัวตั้งไม่ เกิน 100 1. การบวกจานวนสองจานวนที่มีผลบวกไม่เกิน 100 ไม่มีการทด คือ การหาผลบวกของจานวนสองจานวน ให้นาจานวนที่อยูใ่ นหลักเดียวกันมาบวกกัน โดยเริ่ มบวกจากหลัก หน่วยไปหลักสิ บทีละหลัก 2. การบวกจานวนสองจานวนที่มีผลบวกไม่เกิน 100 มีการทด คือ การหาผลบวกของจานวนสองจานวนให้นาจานวนที่อยูใ่ นหลักเดียวกันมาบวกกันโดยเริ่ มบวกจากหลัก หน่วยไปหลักสิ บทีละหลัก

ถ้าผลบวกของจานวนในหลักหน่วยเป็ นสองหลักต้องทดจานวนที่ครบสิ บไป

รวมกับจานวนในหลักสิ บ 3. การบวกจานวนสามจานวนที่มีผลบวกไม่เกิน 100 คือ การบวกจานวนสามจานวนใช้ วิธีการเดียวกับการบวกจานวนสองจานวน คือ บวกจานวนที่อยูใ่ นหลักเดียวกันเข้าด้วยกัน 4. การสลับที่ของการบวก คือ การบวกจานวนสองจานวน เมื่อสลับที่กนั ผลบวกยังคงเท่ากัน 5. การลบจานวนสองจานวนที่มีตวั ตั้งไม่เกิน 100 และไม่มีการกระจาย คือ การหาผลลบของ จานวนสองจานวนให้นาจานวนที่อยูใ่ นหลักเดียวกันมาลบกัน โดยลบในหลักหน่วยก่อน แล้วจึงลบในหลัก สิ บ

6. การลบจานวนที่มีผลลบและตัวตั้งไม่เกิน 100 และมีการกระจาย คือ การลบจานวนที่มีผลลบและตัวตั้งไม่เกิน 100 ถ้าจานวนในหลักหน่วยของตัวตั้งน้อยกว่าจานวนในหลัก หน่วยของตัวลบให้กระจายตัวตั้งออกมา 1 สิ บ แล้วนามารวมกับจานวนในหลักหน่วยของตัวตั้ง 7. ความสัมพันธ์ของตัวตั้ง ตัวลบและผลลบ คือ ผลลบมีความสัมพันธ์กบั การบวกคือ ผลลบ ของจานวนสองจานวนใด ๆ เมื่อบวกกับตัวลบจะเท่ากับตัวตั้ง 8. โจทย์ปัญหาการบวกที่มีผลบวกไม่เกิน 100 คือ โจทย์ปัญหาการบวกที่มีผลบวกไม่เกิน 100 การหาคาตอบต้องตระหนักถึงความสมเหตุสมผลของคาตอบที่ได้

หน่ วยที่ 3 เรื่ อง การวัดความยาว 1. เครื่ องมือและหน่วยมาตรฐานการวัดความยาว ความสู ง และระยะทาง คือ การวัดความยาว ความสู ง และระยะทาง โดยใช้เครื่ องมือหรื อหน่วยที่แต่ละคนกาหนด ขึ้นเอง อาจทา ให้ผลการวัดไม่เท่ากันจึงต้องมีเครื่ องวัดที่มีหน่วยมาตรฐาน 2. การวัดความยาวที่มีหน่วยเป็ นเซนติเมตร คือ การวัดความยาวที่มีหน่วยเป็ นเมตรและเซนติเมตร เป็ นหน่วยมาตรฐานของการวัดความยาว ความสู ง 3. การวัดความยาวที่มีหน่วยเป็ นเมตร คือ ความยาว ความสู ง หรื อระยะทาง 100 เซนติเมตร เท่ากับ ความยาว ความสู ง หรื อระยะทาง 1 เมตร ตามลาดับ 4. การเปรี ยบเทียบความยาว ความสู งและระยะทาง คือ ความยาว ความสู งหรื อระยะทาง 100 เซนติเมตร เท่ากับ ความยาว ความสู งหรื อระยะทาง 1 เมตร ตามลาดับ 5. การวิเคราะห์โจทย์ปัญหาการวัด คือ การวิเคราะห์สถานการณ์ปัญหาการวัด ช่วยให้ได้กระบวนการในการแก้ปัญหาและหาคาตอบ ได้อย่างสมเหตุสมผล

หน่ วยที่ 4 เรื อง การบวก การลบ จานวนนับทีม่ ตี ัวตั้งและผลลัพธ์ ไม่ เกิน 1,000 1. การบวกจานวนนับที่มีผลบวกไม่เกิน 1,000 และไม่มีการทด คือ การหาผลบวกของจานวนสองจานวน ให้นาจานวนที่อยูใ่ นหลักเดียวกันมาบวกกัน เช่น มีหลอดดูด 26 อัน น้องให้มาอีก 22 อัน รวมมีหลอดดูดกี่อนั (มีหลอดดูด 48 อัน) 2. สมบัติการสลับที่ของการบวก คือ

การหาผลบวกของจานวนสองจานวน เมื่อสลับที่กนั ผลบวกยังคงเท่ากัน และการบวกจานวนสาม

จานวนใช้วธิ ี การเดียวกับการบวกจานวนสองจานวน ถ้าผลบวกของจานวนในหลักใดเป็ นสองหลักให้ทด จานวนที่ครบสิ บไปรวมกับจานวนที่อยูใ่ นหลักถัดไปทางซ้ายมือ ตัวอย่าง ครู กาหนดโจทย์ นักเรี ยนชาย 6 คน นักเรี ยนหญิง 5 คน รวมเป็ นนักเรี ยนทั้งหมดกี่คน จงเขียนเป็ นแผนภาพประโยคสัญลักษณ์และหาคาตอบ ประโยคสัญลักษณ์ที่ได้ 5 + 6 = 11 6 + 5 = 11 ดังนั้น 5 + 6 = 6 + 5 ตอบ ทั้งหมด ๑๑ คน 3. การบวกจานวนสามจานวนที่มีผลบวกไม่เกิน 1,000 คือ การหาผลลบของจานวนสองจานวน ให้นาจานวนที่อยูใ่ นหลักเดียวลบกัน ตัวอย่าง มียางรัด 650 เส้น ใช้ไป 200 เส้น เหลือยางรัดกี่เส้น ประโยคสัญลักษณ์ 650 – 200 = 650 – 200 = 450 ตอบ เหลือยางรัด ๔๕๐ เส้น 4. การลบจานวนที่มีตวั ตั้งไม่เกิน 1,000 และไม่มีการกระจาย คือ การหาผลลบของจานวนสอง จานวน ให้นาจานวนที่อยูใ่ นหลักเดียวกันมาลบกัน การลบจะมีการกระจายจากหลักสิ บไปหลักหน่วย เมื่อ จานวนในหลักหน่วยของตัวตั้งน้อยกว่าจานวนในหลักหน่วยของตัวลบ และจะมีการกระจายจากหลักร้อย ไปหลักสิ บ เมื่อจานวนในหลักสิ บของตัวตั้งน้อยกว่าจานวนในหลักสิ บของตัวลบ ตัวอย่าง จงหาคาตอบ 632 – 455

632 ตัวตั้ง

177 ผลลบ

–

+

455 ตัวลบ

455 ตัวลบ

177 ผลลบ

632 ตัวตั้ง

ตรวจคาตอบ

5. การลบจานวนที่มีตวั ตั้งไม่เกิน 1,000 และมีการกระจาย คือ การหาผลลบของจานวนสอง จานวน ให้นาจานวนที่อยูใ่ นหลักเดียวกันมาลบกัน การลบจะมีการกระจายจากหลักสิ บไปหลักหน่วย เมื่อ จานวนในหลักหน่วยของตัวตั้งน้อยกว่าจานวนในหลักหน่วยของตัวลบ และจะมีการกระจายจากหลักร้อย ไปหลักสิ บ เมื่อจานวนในหลักสิ บของตัวตั้งน้อยกว่าจานวนในหลักสิ บของตัวลบ 6. โจทย์ปัญหาการบวกที่มีผลบวกไม่เกิน 1,000 คือ การวิเคราะห์โจทย์ปัญหาการบวกที่มีตวั ตั้งไม่เกิน 1,000 จะทาให้สามารถแสดงวิธีทาหาคาตอบและ ตระหนักถึงความสมเหตุสมผลได้ 7. โจทย์ปัญหาการลบ คือ การวิเคราะห์โจทย์ปัญหาการลบที่มีตวั ตั้งไม่เกิน 1,000 จะทาให้สามารถ แสดงวิธีทา หาคาตอบ และ ตระหนักถึงความสมเหตุสมผล 8. การแก้โจทย์ปัญหาการบวก และการลบ คือ การวิเคราะห์โจทย์ปัญหาการบวก และการลบ ที่มี ตัวตั้งไม่เกิน 1,000 ทาให้การแสดงวิธีทาหาคาตอบ และตระหนักถึงความสมเหตุสมผลได้ ตัวอย่าง นาฬิการาคา 450 บาท ตุก๊ ตาหมีราคา 350 บาท นาฬิกาและ ตุก๊ ตาหมี มีราคารวมกันกี่บาท ก. สิ่ งที่โจทย์กาหนดให้ 1. นาฬิการาคา 450 บาท 2. ตุ๊กตาหมีราคา 350 บาท ข. สิ่ งที่โจทย์ตอ้ งการทราบ นาฬิกาและตุก๊ ตาหมีมีราคารวมกันกี่บาท ค. เขียนเป็ นประโยคสัญลักษณ์ 450 + 350 = ตอบ นาฬิกาและตุก๊ ตาหมีมีราคารวมกัน ๘๐๐ บาท 9. การสร้างโจทย์ปัญหาการบวกและการลบจากสถานการณ์ที่กาหนดให้

คือ การสร้างโจทย์ปัญหาการบวกและการลบจากสถานการณ์ที่กาหนดให้เป็ นการฝึ กให้นกั เรี ยนสร้างโจทย์ ปั ญหาการบวกและการลบพร้อมทั้งวิเคราะห์โจทย์ที่ตระหนักถึงความสมเหตุสมผลของคาตอบได้

หน่ วยที่ 5 การชั่ง 1. เครื่ องชัง่ คือ การชัง่ โดยใช้เครื่ องมือหรื อหน่วยที่แต่ละคนกาหนดขึ้นเองอาจทาให้ผลการชัง่ ไม่ตรงกัน จึงต้องมีเครื่ องมือที่มีหน่วยมาตรฐาน โดยเครื่ องชัง่ ชนิ ดต่างๆ ดังนี้ เครื่ องชัง่ สองแขน เครื่ องชัง่ น้ าหนักตัว เครื่ องชัง่ สปริ ง เครื่ องชัง่ แบบตุม้ เลื่อน การชัง่ สิ่ งของโดยใช้เครื่ องชัง่ ที่มีหน่วยมาตรฐานและบอกน้ าหนัก เป็ นกิโลกรัมและขีด ซึ่ งขีด กิโลกรัม เป็ นหน่วยมาตรฐานที่ใช้บอกน้ าหนัก น้ าหนัก 1 กิโลกรัม เท่ากับ น้ าหนัก 10 ขีด 2. การเปรี ยบเทียบน้ าหนัก คือการเปรี ยบเทียบน้ าหนักของสิ่ งต่าง ๆ ทาได้โดยการนาสิ่ งของไปชัง่ น้ าหนัก แล้วนาค่าน้ าหนักที่ชงั่ ได้มาเปรี ยบเทียบกัน 3. สถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการชัง่ การสร้างโจทย์ปัญหา และการหาคาตอบจากสถานการณ์ คือ การสร้าง สถานการณ์ ขึ้นมาให้สอดคล้องกับลักษณะข้อมูลที่มีอยู่

หน่ วยที่ 6 การคูณ 1. การเขียนการบวกจานวนที่เท่ากันหลาย ๆ จานวนในรู ปการคูณ คือ การบวกจานวนที่เท่า ๆ กัน หลาย ๆ จานวน เขียนแสดงได้ดว้ ยการคูณ

s

ตัวอย่าง

4+ 4 =

2x4 =

8

s

2. การคูณจานวนที่มีหนึ่งหลักกับจานวนที่มีหนึ่งหลัก คือ จานวนที่ได้จากการคูณเรี ยกว่า ผลคูณ ตัวอย่าง x

1

2

3

4

4

2

5

6

10

12

7

8

9

3. การเปรี ยบเทียบการคูณ คือ การเปรี ยบเทียบการคูณทาได้โดยการนาผลคูณของการคูณสอง กลุ่ม มาเปรี ยบเทียบกันโดยใช้สัญลักษณ์> < หรื อ = ตัวอย่าง

4 x 5 = 20 > 4 x 4 = 16 6x1

= 1x6

4. การสลับที่การคูณของจานวนหนึ่งหลักกับจานวนหนึ่งหลัก คือ จานวนสองจานวนที่คูณกัน เมื่อสลับที่กนั แล้วผลคูณยังคงเท่าเดิม ตัวอย่าง

2x4=8

4x2=8

6 x 5 = 30

5 x 6 = 30

5. การหาผลคูณที่มีหนึ่งหลักกับ 10 20 30, ..., 90 คือ จานวนใด ๆที่ คูณกับ 10, 20, 30,..., 90 สามารถหาผลคูณได้โดยคูณจานวนนับกับ 1, 2, 3,..., 9 ตามลาดับแล้วเติม 0 หนึ่งตัวต่อท้าย ตัวอย่าง

2 x 20 = 40 (2 x 2 = 4 เติม 0 ต่อท้ายหนึ่งตัวเป็ น 40) 3 x 40 = 120 (3 x 4 = 12 เติม 0 ต่อท้ายหนึ่งตัวเป็ น 120) 6. การคูณจานวนที่มีหนึ่งหลักกับจานวนที่มีสองหลัก (ไม่มีการทด) คือ การคูณจานวนหนึ่งหลัก กับจานวนที่มีสองหลักทาได้โดยการคูณจานวนในหลักหน่วยแล้วคูณจานวนในหลักสิ บ

ตัวอย่าง

12

12

12 12 + 12 + 12 = 36 3 x 12 = 36

7. การคูณจานวนที่มีหนึ่งหลักกับจานวนที่มีสองหลัก มีการทด คือ การคูณจานวนหนึ่งหลัก กับจานวนที่มีสองหลักทาได้โดยการคูณจานวนในหลักหน่วยก่อนถ้าผลคูณในหลักหน่วย เกิน 10 ให้ทดไป หลักสิ บ โดยวางเลขหลักหน่วยไว้ในหลักหน่วยแล้วคูณ หลักสิ บนาผลคูณในหลักสิ บรวมกับตัวทด 8. การเปรี ยบเทียบการคูณจานวนที่มีหนึ่งหลักกับจานวนที่มีสองหลักที่มีการทด คือ การคูณ จานวนที่มีหนึ่งหลักกับจานวนที่มีสองหลักทาได้โดยการคูณจานวนในหลักหน่วยก่อนถ้าผลคูณในหลัก หน่วย เกิน 10 ให้ทดไปหลักสิ บ โดยวางเลขหลักหน่วยไว้ในหลักหน่วยแล้วคูณหลักสิ บ นาผลคูณในหลัก สิ บรวมกับตัวทด ตัวอย่าง

3 x 15 = 45 5 x 14 = 70

> 2 x 15 = 30 <

5 x 15 = 75

9. โจทย์ปัญหาการคูณจานวนที่มีหนึ่งหลักกับจานวนที่ไม่เกินสองหลัก คือ โจทย์ปัญหาการคูณที่ มีหนึ่งหลักกับจานวนที่ไม่เกินสองหลัก จะต้องวิเคราะห์โจทย์ เพื่อหาคาตอบ พร้อมทั้ง ตระหนักถึงความสมเหตุสมผลของคาตอบได้ ตัวอย่าง แม่มีถวั่ ลิสง 3 จาน จานละ 10 เมล็ด แม่มีถวั่ ลิสงทั้งหมดกี่เมล็ด โจทย์ให้หาอะไร

แม่มีถวั่ ลิสงทั้งหมดกี่เมล็ด

โจทย์กาหนดอะไรมาให้บา้ ง มีถวั่ ลิสง 3 จาน จานละ 10 เมล็ด เขียนเป็ นประโยคสัญลักษณ์ 3 x 10 =

วิธิคิด

3 x 10 = 30

ตอบ แม่มีถวั่ ลิสงทั้งหมด ๓๐ เมล็ด

สรุปเนื้อหา วิชา คณิตศาสตร์ ป.3

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 เรื่ อง จานวนนับทีม่ ากกว่ า 100,000 1. การอ่านและการเขียนแทนจานวนนับ คือ ตัวเลขเป็ นจานวนที่ใช้บอกสิ่ งต่าง ๆ ว่ามีเท่าไร โดยเขียนในรู ปของตัวเลขฮินดูอารบิก ตัวเลขไทยหรื อตัวหนังสื อการอ่าน ให้อ่านตามชื่อหลักโดยไม่ตอ้ ง อ่านเครื่ องหมายจุลภาค (,) ที่คนั่ ไว้ ตัวอย่าง

2. ค่าประจาหลัก คือ จานวนต่างๆจะมีค่ามากหรื อน้อยขึ้นอยูก่ บั จานวนหลักและค่าของตัวเลขใน แต่ละหลักที่จะทาให้จานวนมีค่าแตกต่างกัน ตัวอย่าง

ชื่อหลัก

หมื่น

ค่าประจาหลัก 6

0

พัน

ร้อย

สิ บ

5

4

3

หน่วย

3. การเขียนในรู ปกระจาย คือ การเขียนจานวนในรู ปกระจายเป็ นการเขียนผลบวกของจานวน ตามค่าประจาหลัก

ตัวอย่าง 12,045 คือ 1 หมื่น 2 พัน 0 ร้อย 4 สิ บ 5 หน่วย ซึ่ งมีค่าของตัวเลข เขียนในรู ปกระจาย ดังนี้ 1 อยูใ่ นหลักหมื่นมีค่า 10,000 2 อยูใ่ นหลักพันมีค่า 2,000 0 อยูใ่ นหลักร้อยมีค่า 0 4 อยูใ่ นหลักสิ บมีค่า 40 5 อยูใ่ นหลักหน่วยมีค่า 5 4. การเปรี ยบเทียบจานวน คือ จานวนนับที่มีค่าไม่เกิน 100,000 สองจานวนสามารถนามา เปรี ยบเทียบได้วา่ มีค่าเท่ากันไม่เท่ากันมากกว่าหรื อน้อยกว่า 5. การเรี ยงลาดับจานวน คือ การเรี ยงลาดับจานวนหลายๆจานวนทาได้โดยการเปรี ยบเทียบ จานวนทีละคู่แล้วเรี ยงลาดับจากจานวนที่มีค่าน้อยไปหาจานวนที่มีค่ามากหรื อจากจานวนที่มีค่ามากไปหา จานวนที่มีค่าน้อย 6. การนับเพิ่มทีละ 3 ทีละ 4 ทีละ 25 และทีละ 50 คือ การนับเพิ่มครั้งละเท่าๆกันคือการนับเพิ่ม จากจานวนที่เริ่ มต้นครั้งละเท่าๆกันและการนับเพิ่มครั้งสุ ดท้ายจะเป็ นผลรวมของจานวนที่นบั ทั้งหมด ตัวอย่าง การนับที่ละ 3 นับครั้งละ 3 คือ 3 6 9 12 15 การนับทีละ 25 นับทีละ 25 เริ่ มต้นจาก 25 50 75 100 7. การนับลดทีละ 3 ทีละ 4 ทีละ 25 และทีละ 50 คือ การนับลดครั้งละเท่า ๆ กันคือการนับ ลดจากจานวนที่เริ่ มต้นครั้งละเท่า ๆ กันและการนับลดครั้งสุ ดท้ายจะเป็ นผลที่เหลือจากการนับลดทั้งหมด ตัวอย่าง 60 57 54 51 48 นับลดทีละ 3 124 120 116 112 108 นับลดทีละ 4 1,235 1,210 1,185 1,160 1,135 นับลดทีละ 25

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 การบวก ลบ จานวนซึ่งมีผลลัพธ์ และตัวตั้งไม่ เกิน 100,000 1. การบวกจานวนสองจานวนที่มีผลบวกไม่เกิน 100,000 คือ การบวกจานวนสองจานวนที่มี ผลบวกไม่เกิน 100,000 มีข้ นั ตอนเหมือนกันกับการบวกจานวนที่มีผลบวกไม่เกิน1,000แต่หลักเลขเพิ่มขึ้น เป็ น 5 หลักหรื อ 6 หลัก 2. การบวกจานวนสามจานวนที่มีผลบวกไม่เกิน 100,000 คือ การบวกจานวนสามจานวนซึ่ งมีผลบวกไม่เกิน 100,000 มีวธิ ีการคิดคาตอบเช่นเดียวกับการบวกจานวน สองจานวนที่มีผลบวกไม่เกิน 100,000 สามารถบวกครั้งละสองจานวนหรื อบวกครั้งเดียวสามจานวนก็ได้ 3. การลบจานวนสองจานวนซึ่ งมีตวั ตั้งไม่เกิน 100,000 คือ การลบจานวนที่มีหลายหลักสอง จานวนตามแนวตั้งต้องเขียนเลขให้ตรงกันทั้งตัวตั้งและตัวลบโดย เริ่ มลบหลักหน่วยก่อนแล้วจึงลบในหลัก ถัดไป 4. โจทย์ปัญหาการบวกและการลบ คือ โจทย์ปัญหาคือการนาสถานการณ์ในชีวติ ประจาวัน กับจานวนมาสร้างเป็ นเรื่ องราวเพื่อหาคาตอบโดยใช้วธิ ีการทางคณิ ตศาสตร์ ตัวอย่าง โรงเรี ยนแห่งหนึ่งมีนกั เรี ยน 4,850 คน เป นนักเรี ยนหญิง 2,325 คน ถามว่ามีนกั เรี ยนชายกี่คน โจทย์กาหนดอะไร

จานวนนักเรี ยนทั้งหมดและจานวนนักเรี ยนหญิง

โจทย์ถามอะไร

มีนกั เรี ยนชายกี่คน

วางแผน/คิดวิธีแก้

เลือกวิธีลบ

เขียนประโยคสัญลักษณ์ 4,850 – 2,325 = ตอบ

มีนกั เรี ยนชาย ทั้งหมด 2,545 คน

ตรวจสอบ คา ตอบ

2,325 + 2,545 = 4,850

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 แผนภูมริ ู ปภาพและแผนภูมแิ ท่ ง 1. การเก็บรวบรวมข้อมูล คือ ข้อมูลหมายถึงเรื่ องราวที่เกี่ยวข้องกับสิ่ งใดสิ่ งหนึ่งอาจเป็ น ตัวเลขหรื อข้อเท็จจริ งที่เก็บรวบรวมมาจากแหล่งต่างๆโดยการสังเกตสารวจหรื อสอบถามจากผูร้ ู ้ 2. การจาแนกและนาเสนอข้อมูล คือ การจาแนกข้อมูลคือการนาข้อมูลที่ได้มาจากการเก็บ รวบรวมหรื อการสารวจจากแหล่งต่างๆมาจัดเป็ นกลุ่มหรื อหมวดหมู่ตามคุณลักษณะที่เหมือนกันแล้ว นาเสนอให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น 3. การอ่านแผนภูมิแท่งการอ่านแผนภูมิรูปภาพ คือการอ่านข้อมูลจากภาพในแผนภูมิออกม เป็ นจานวนตามข้อกาหนดของแผนภูมิรูปภาพนั้น ๆ 4. การอ่านแผนภูมิรูปภาพ คือ การอ่านแผนภูมิแท่งคือการอ่านข้อมูลจากแผนภูมิที่แสดงเป็ น รู ปสี่ เหลี่ยมมุมฉากมีลกั ษณะเป็ นแท่งแสดงจานวนสิ่ งของต่างๆตามมาตราส่ วนที่กาหนดของแผนภูมิแท่ง นั้น ๆ

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 การวัดความยาว 1.

เครื่ องวัดความยาว คือ เครื่ องมือวัดความยาวที่เป็ นมาตรฐานจะบอกรายละเอียดและระยะ

ของความยาวที่แน่นอนวัดความยาวได้ตรงกับความจริ งเครื่ องมือวัดที่นิยมใช้กนั โดยทัว่ ไปได้แก่ไม้บรรทัด ไม้โพรแทรกเตอร์ไม้เมตรสายวัดและตลับเมตร เช่ น

ดินสอด้ามนี้ยาว6เซนติเมตร 2.

หน่วยการวัดความยาว คือ หน่วยการวัดเป็ นคาที่บอกให้ทราบว่าสิ่ งที่วดั ความยาวนั้นมีความ

ยาวเป็ นกี่หน่วยหน่วยการวัดความยาวที่เป็ นหน่วยสากลหรื อเรี ยกว่าระบบเมตริ กนิยมใช้กนั ทัว่ โลกได้แก่ มิลลิเมตรเซนติเมตรเมตร เครื่ องมือวัดมาตรฐานเช่นไม้เมตรไม้บรรทัดสายวัดตัวและสายวัดตลับ ตัวอย่าง

10มิลลิเมตร

เป็ น 1 เซนติเมตร (ซม.)

100เซนติเมตร

เป็ น 1 เมตร (ม.)

1,000เมตร

เป็ น 1 กิโลเมตร (กม.)

3.

ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยการวัด คือ หน่วยการวัดเป็ นที่บอกให้ทราบว่าสิ่ งที่วดั ความ

ยาวยาวเป็ นกี่หน่วยหน่วยวัดที่เป็ นหน่วยสากลได้แก่มิลลิเมตรเซนติเมตรเมตร

4.

การเปรี ยบเทียบความยาวความสู งหรื อระยะทาง คือ การเปรี ยบเทียบความยาวของสิ่ งของ

ตั้งแต่สิ่งขึ้นไปทาได้โดยวัดความยาวของสิ่ งของแต่ละอย่างแล้วจึงนาค่าที่ได้มาเปรี ยบเทียบกัน ตัวอย่าง

5.

การคาดคะเนความยาว คือ การ คาดคะเนความ ยาวเป็ นการ ใช้ สายตา กะ ความ ยาว หรื อ ประมาณ ความ ยาว ของ สิ่ ง ต่าง ๆ

ตัวอย่าง

6.

โจทย์ปัญหาการบวกและการลบเกี่ยวกับความยาวความสู งหรื อระยะทาง คือ การแก้โจทย์

ปั ญหาการวัดความยาวด้วยวิธีการบวกหรื อวิธีการลบต้องคานวณจากหน่วยย่อยไปหน่วยใหญ่ ตัวอย่าง เชือกเส้นที่หนึ่งยาว 1 เมตร 70 เซนติเมตร เชือกเส้นที่สองยาว 2 เมตร 40 เซนติเมตร ถ้านาเชือก 2 เส้นมาต่อกันจะยาวเท่าไร โจทย์กาหนดอะไรให้บา้ ง เชือกเส้นที่หนึ่งยาว 1 เมตร 70 เซนติเมตร เชือกเส้นที่สองยาว 2 เมตร 40 เซนติเมตร

โจทย์ตอ้ งการทราบอะไร ถ้านาเชือก 2 เส้นมาต่อกันจะยาวเท่าไร โจทย์ขอ้ นี้หาคาตอบได้ดว้ ยวิธีใด วิธีบวก วิธีทา เมตร เซนติเมตร เชือกเส้นที่หนึ่งยาว 1 70 เชือกเส้นที่สองยาว 2 40 ถ้านาเชือก 2 เส้นมาต่อกันจะยาว 3 110 หรื อ 4 10

ตอบ ถ้านาเชือก ๒ เส้นมาต่อกันจะยาว ๔ เมตร ๑๐ เซนติเมตร

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 5 เวลาและการบันทึก 1.

การบอกเวลา คือ การบอกเวลาบนหน้าปั ดนาฬิกามีหลายวิธี เช่นบอกโดยเข็มยาวและเข็ม

สั้นหรื อบอกโดยใช้ตวั เลข

2.

การเขียนบอกเวลาและการอ่าน คือ การเขียนบอกเวลานิยมเขียนโดยใช้จุด(.)คัน่ ระหว่างตัว

เลขที่บอกเวลาเป็ นชัว่ โมงกับนาที ตัวอย่าง เวลาหกโมงเช้า เขียนแทนด้วย 06.00น. อ่านว่า หกนาฬิกา 3.

ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยเวลา คือ วินาทีนาทีชวั่ โมงวันสัปดาห์และปี เป็ นคาที่ใช้บอกเวลาที่ แตกต่างกันและมีความสัมพันธ์กนั จาเป็ นต้องเรี ยนรู ้เพื่อนาไปใช้ในชีวติ ประจาวันได้ถูกต้อง

ตัวอย่าง

4.

การบันทึกกิจกรรมที่ระบุเวลา คือ การบันทึกกิจกรรมหรื อเหตุการณ์ที่ระบุเวลาต่างๆเป็ นการ เตือนความทรงจาในกิจกรรมต่างๆ

5.

โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับเวลา คือ การแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับเวลาต้องอ่านโจทย์ให้เข้าใจวิเคราะห์

โจทย์ให้ได้วา่ โจทย์กาหนดอะไรโจทย์ถามอะไรจะคิดหาคาตอบวิธีใดแล้วจึงแสดงวิธีทา ตัวอย่าง ปั จจุบนั น้องอายุ 5 ปี 4 เดือน อีก 6 ปี 6 เดือน น้องจะมีอายุกี่ปี กี่เดือน

สิ่ งที่โจทย์กาหนดให้คืออะไร (อายุของน้องปัจจุบนั ) สิ่ งที่โจทย์ถามคืออะไร (อีก 6 ปี 6 เดือน น้องอายุกี่ปี กี่เดือน) ใช้วธิ ีอะไรในการหาคาตอบ (วิธีบวก) วิธีทา

ปี

น้องมีอายุ อีก น้องจะมีอายุ

เดือน 5

4

6

6

11

10

ตอบ ๑๑ ปี ๑๐ เดือน

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 6 การชั่งแลการตวง 1. เครื่ องชัง่ และหน่วยการชัง่ มาตรฐาน คือ การชัง่ เป็ นการบอกน้ าหนักของสิ่ งของโดยจะต้อง เลือกเครื่ องชัง่ ที่เหมาะสมให้ถูกวิธีและใช้หน่วยการชัง่ ที่ถูกต้อง เช่น เครื่ องชัง่ มีหลายชนิดมีส่วนประกอบ เหมือนกันคือหน้าปั ดและเข็มชี้เครื่ องชัง่ สปริ งใช้สาหรับชัง่ ผักผลไม้ฯลฯที่มีน้ าหนักไม่มากเครื่ องชัง่ น้ าหนัก ตัวใช้ชงั่ น้ าหนักคนในท่ายืนเครื่ องชัง่ แบบตุม้ เลื่อนใช้ชงั่ สิ่ งของที่มีน้ าหนักมากเกิน100กิโลกรัมเครื่ องชัง่ สองแขนใช้ชงั่ สิ่ งของที่มีน้ าหนักไม่มากเช่นยาสมุนไพรเป็ นต้น 2. ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยการชัง่ คือ หน่วยความยาวมีความสัมพันธ์กนั เช่น เซนติเมตร กับมิลลิเมตร เมตรกับเซนติเมตร กิโลเมตรกับเมตร วากับเมตร น้ าหนัก 1 ขีด

เท่ากับ น้ าหนัก 100 กรัม

น้ าหนัก 1 กิโลกรัม เท่ากับ น้ าหนัก 10ขีด น้ าหนัก 1 กิโลกรัม เท่ากับ น้ าหนัก 1,000 กรัม

ตัวอย่าง

5,000

วิธีคิด

เมตร เปลี่ยนหน่วยเป็ นกิโลเมตร 1,000

5,000

เมตร เท่ากับ 1 กิโลเมตร

เมตร เท่ากับ

5,000 ÷1,000 = 5

กิโลเมตร

3. การเปรี ยบเทียบน้ าหนัก คือ การเปรี ยบเทียบน้ าหนักสิ่ งของสองสิ่ งถ้ามีหน่วยการชัง่ เหมือนกันให้นาตัวเลขแสดงค่าเป็ นน้ าหนักมาเปรี ยบเทียบกันได้เลยถ้าสิ่ งของที่จะเปรี ยบเทียบกันมีหน่วย ต่างกันต้องเปลี่ยนให้เป็ นหน่วยเดียวกันก่อนแล้วจึงเปรี ยบเทียบ 4. การคาดคะเนน้ าหนัก คือ การคาดคะเนน้ าหนักเป็ นการบอกน้ าหนักให้ใกล้เคียง 5. โจทย์ปัญหาการบวกและการลบเกี่ยวกับน้ าหนัก คือ โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับการชัง่ น้ าหนักมี วิธีการแก้โจทย์เหมือนกันกับโจทย์ปัญหาจานวนนับกล่าวคือต้องอ่านโจทย์ให้เข้าใจวิเคราะห์โจทย์วา่ โจทย์ กาหนดอะไรมาให้โจทย์ถามอะไรเราควรใช้วธิ ี ใดคานวณคาตอบ 6. การเปรี ยบเทียบความจุและการคาดคะเนปริ มาตรเป็ นลิตร คือ การเปรี ยบเทียบปริ มาณของ สิ่ งที่ตวงจะกระทาได้เมื่อสิ่ งที่นามาเปรี ยบเทียบตวงด้วยเครื่ องตวงหรื อภาชนะอย่างเดียวกันและเป็ นหน่วย เดียวกัน 7. โจทย์ปัญหาการบวกและการลบเกี่ยวกับการตวง คือ การแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับการตวง ควรพิจารณาสิ่ งที่โจทย์กาหนดให้สิ่งที่โจทย์ถามวิเคราะห์ความสัมพันธ์เพื่อหาคาตอบด้วยการบวกหรื อการ ลบแล้วจึงแสดงวิธีทา

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 7 เรื่ อง การคูณ 1. การคูณจานวนที่มีหนึ่งหลักกับพหุ คูณของ100และ1,000 คือ จานวนที่เป็ นพหุ คูณของ100ได้แก่100,200,300,...,9,00 จานวนที่พหุ คูณของ1,000ได้แก่1,000,2,000,3,000,...,9,000 การคูณจานวนที่มีหนึ่งหลักกับพหุ คูณของ100และ1,000สามารถหาผลคูณโดยใช้ความหมายของการคูณ ได้

จานวนที่เป็ นพหุคูณของ 100 ได้แก่ 100 , 200 , 300 , ... , 800 ตัวอย่าง พหุคูณของ 1,000 โดยใช้ความหมายของการคูณเปลี่ยนประโยคสัญลักษณ์การคูณเป็ นการบวกแล้ว หาคาตอบ 3 x 1,000 = 1,000 + 1,000 + 1,000 = 3,000 2. การคูณจานวนที่มีหนึ่งหลักกับจานวนที่มีสามหลัก คือ การคูณจานวนที่มีหนึ่งหลักกับจานวนที่ มี สามหลักทาได้โดยหาจานวนที่มีหลักเดียวคูณกับจานวนที่มีสามหลักโดยคูณในหลักหน่วยก่อนแล้วคูณ จานวนในหลักสิ บและหลักร้อยตามลาดับ ตัวอย่าง

3. การคูณจานวนที่มีหนึ่งหลักกับจานวนที่มีสี่หลัก คือ การคูณจานวนที่มีหนึ่งหลักกับ จานวนที่มีสี่หลักทาได้โดยนาจานวนที่มีหนึ่งหลักคูณกับจานวนที่มีสี่หลักโดยคูณในหลักหน่วยก่อนแล้วจึง คูณจานวนในหลักสิ บหลักร้อยและหลักพัน ตัวอย่าง 7 x 2151 = ขั้นที่ 1 คูณในหลักหน่วย 2151 × 7 7

7 × 1 ได้ 7

ใส่

7

ใน หลักหน่วย

ขั้นที่ 2 คูณในหลักสิ บ 3 2151 × 7 57 ขั้นที่ 3 คูณในหลักร้อย 13 2151 × 7 057 ขั้นที่ 4 คูณในหลัก1 พั 3น 2151 7 15057 ดังนั้น 7 × 215 = 1,505

×

7 × 5 ได้ 35

35 คือ 3 ร้ อย กับ 5 สิบ

ใส่ 5 ใน หลักสิบ ทด 3 ในหลักร้ อย

7 คูณ 1 ร้ อย ได้ 7 ร้ อย รวมกับทดอีก 3 ร้ อย เป็ น 10 ร้ อย 10 ร้ อย คือ 1 พัน กับ 0 ร้ อย ใส่ 0 ในหลักร้ อย ทด 1 ในหลักพัน 7 คูณ 2 พัน ได้ 14 พัน รวมกับทดอีก 1 พัน เป็ น 15 พัน 15 พัน คือ 1 หมื่น กับ 5 พัน ใส่ 5 ในหลักพัน และ 1 ในหลักหมื่น

4. การคูณ10,20,30,...90กับจานวนที่มีสองหลัก คือ การคูณ 10, 20, 30, ..., 90 กับจานวนที่มีสองหลัก สามารถหาคาตอบได้ท้ งั แนวนอนแนวตั้งและวิธีการกระจาย เช่น 3 x 10 = 30 5. การคูณจานวนสองหลักกับจานวนสองหลัก คือ การคูณจานวนสองหลักกับจานวนสองหลัก สามารถหาคาตอบได้โดยวิธีต้ งั คูณหรื อวิธีแจกแจงหาผลคูณด้วยการกระจายตัวคูณ ตัวอย่าง การกระจายตัวคูณ 12 × 23

= (10 + 12) x 23 = (10 × 23) + (2 × 23) = 230 × 46 = 276

การคูณตามแนวตั้งจากโจทย์

6. โจทย์ปัญหาการคูณ คือ การแก้โจทย์ปัญหาการคูณต้องอ่านโจทย์ให้เข้าใจวิเคราะห์โจทย์ให้ได้ ว่าสิ่ งที่โจทย์กาหนดให้สิ่งที่โจทย์ถามแล้วคิดวิธีหาคาตอบโดยเขียนประโยคสัญลักษณ์ ตัวอย่าง แม่คา้ ขายกางเกงราคาตัวละ 255 บาท ขายได้ 120 ตัวแม่คา้ จะได้เงินทั้งหมดกี่บาท โจทย์กาหนดอะไร (แม่คา้ ขายกางเกงราคาตัวละ 255 บาท ขายได้ 120 ตัว) โจทย์ตอ้ งการให้หาอะไร (จานวนเงินทั้งหมดที่แม่คา้ ขายกางเกงได้) ใช้วธิ ีการใดหาคาตอบ (วิธีคูณ) เขียนเป็ นประโยคสัญลักษณ์ได้อย่างไร (120 x 255 = __ ) จากนั้นครู เขียนแสดงวิธีทาให้นกั เรี ยนดูบนกระดาน ดังนี้ วิธีทา

แม่คา้ ขายกางเกงราคาตัวละ ขายได้ แม่คา้ จะได้เงินทั้งหมด

ตอบ

๓๐,๖๐๐

บาท

255

บาท

120

ตัว

255 x 120 = 30,600

บาท

สรุปเนื้อหา วิชาคณิตศาสตร์ ป.4 หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 จานวนนับทีม่ ากกว่ า 100,000 1.

การอ่านและเขียนตัวเลข ตัวหนังสื อแทน คือ จานวนนับที่มีตวั เลขหกหลัก ตัวเลขที่อยูท่ างซ้ายของ

หลักหมื่นเป็ นตัวเลขหลักแสน 2.

จานวนนับที่มากกว่า 100,000 คือ การเขียนตัวเลขแทนจานวนใด ๆ ในรู ปกระจาย เป็ นการเขียนใน

รู ปการบวกค่าของตัวเลขในหลักต่าง ๆ ของจานวนนั้น ตัวอย่ าง

3.

9,902,716 ล้าน

แสน

9

9

หมื่น 0

พัน 2

ร้อย 7

สิ บ 1

หน่วย 6

ค่าประจาหลักและการเขียนจานวนในรู ปกระจาย คือ การเขียนตัวเลขแทนจานวนใด ๆ ในรู ป กระจาย

เป็ นการเขียนในรู ปการบวกค่าของตัวเลขในหลักต่าง ๆ ของจานวนนั้น 4.

การเปรี ยบเทียบจานวน คือ จานวนสองจานวน เมื่อนามาเปรี ยบเทียบกัน อาจมีค่าเท่ากัน มากกว่า

หรื อน้อยกว่ากัน 5.

การเรี ยงลาดับจานวน คือ การเรี ยงจานวนหลาย ๆ จานวน ทาได้โดยการเปรี ยบเทียบจานวนที

ละคู่ แล้วเรี ยงลาดับจากจานวนที่มีค่ามากไปหาจานวนที่มีค่าน้อย จากจานวนที่มีค่าน้อยไปหาจานวนที่มีค่า มาก

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 การบวกและการลบ 1.

การบวกจานวนที่มีหลายหลัก คือ การบวกจานวนที่มีหลายหลัก ใช้วธิ ี การบวกที่อยูใ่ นหลักเดียวกัน

เข้าด้วยกัน การบวกจะมีการทดจากหลักหนึ่งไปอีกหลักหนึ่งที่ถดั ไปทางซ้ายมือ เมื่อผลบวกของจานวนใน หลักนั้น ๆ เป็ นสองหลัก เช่น

13,275 + 21,300 + 7,325 = 485,473 + 402,158 + 247,562 = 2.

การลบจานวนที่มีหลายหลัก คือ การลบจานวนที่มีหลายหลัก คานวณโดยนาจานวนที่อยูใ่ นหลัก

เดียวกันมาลบกัน และการลบ จะมีการกระจายตัวตั้งจากหลักที่อยูถ่ ดั ไปทางซ้ายมือ เมื่อตัวเลขในหลักของ ตัวตั้งมีค่าน้อยกว่าตัวเลขในหลักของตัวลบ 3.

โจทย์ปัญหาการบวกและการลบ คือ การทาโจทย์ปัญหาการบวกหรื อการลบ ควรอ่านโจทย์ให้เข้าใจ

วิเคราะห์โจทย์วา่ กาหนดอะไรให้ โจทย์ตอ้ งการทราบอะไร ควรคิดคานวณด้วยวิธีใด แล้วจึงเขียนประโยค สัญลักษณ์ แสดง วิธีทาและหาคาตอบ ตัวอย่าง ป้ามีเงิน 46,000 บาท ลุงมีเงินน้อยกว่าป้ า 11,500 บาท ลุงมีเงินกี่บาท โจทย์น้ ี เป็ นเรื่ องเกี่ยวกับอะไร (จานวนเงินของป้ ากับลุง) โจทย์กาหนดอะไรให้บา้ ง (ป้ ามีเงิน 46,000 บาท ลุงมีเงินน้อยกว่าป้ า 11,500 บาท) โจทย์ถามอะไร (ลุงมีเงินกี่บาท) จากแผนภาพจะหาเงินของลุงโดยวิธีใด (วิธีลบ) เขียนเป็ นประโยคสัญลักษณ์ได้อย่างไร ( 46,000 – 11,500 =  ) ตอบ ลุงมีเงิน 34,500 บาท

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 เรขาคณิต และการประดิษฐ์ ลวดลาย 1. มุม คือ มุมเกิดจากรังสี ของเส้นที่มีจุดปลายเป็ นจุดเดียวกัน เรี ยกรังสี สองเส้นนี้วา่ แขนของมุม การเรี ยกชื่อมุม จะเรี ยกโดยใช้ชื่อ จุด 3 จุด ที่อยูบ่ นรังสี ตัวอักษรที่เป็ นจุดพบกันของรังสี ท้ งั สองจะเป็ นชื่อ ของ จุดยอดมุม

2. รู ปสี่ เหลี่ยมมุมฉาก และเส้นทแยงมุม คือ รู ปปิ ดที่มีดา้ น 4 ด้าน และมีมุมภายในทุกมุมเป็ นมุมฉาก (90 องศา) เรี ยกว่า รู ปสี่ เหลี่ยม มุมฉาก เส้นทแยงมุม เป็ นส่ วนของเส้นตรงที่เชื่อมระหว่างจุดยอดมุมที่อยูต่ รง ข้ามกัน ของรู ปสี่ เหลี่ยม

3. ส่ วนของระนาบและเส้นขนาน คือ พื้นที่ของสิ่ งของใดที่มีลกั ษณะแบนและเรี ยบเรี ยกว่า ระนาบ และถ้าต่อส่ วนของระนาบออกไปเรื่ อย ๆ ทุกทิศทางจะยังมีผวิ แบนและเรี ยบอยูบ่ นระนาบ ถ้าลากเส้นตรง หรื อส่ วนของเส้นตรงสองเส้นใด ๆ และวัดระยะทางห่างเท่ากันเราจะกล่าวว่าเส้นตรงสองเส้นนั้นขนานกัน

4. รู ป วงกลม คือ รู ปที่มีจุดทุกจุดบนขอบของรู ปห่างจากจุดคงที่เป็ นระยะทางเท่ากัน เรี ยกจุดคงที่วา่ จุดศูนย์กลาง เรี ยกระยะคงที่วา่ รัศมี ส่ วนของเส้นตรงที่ลากผ่านจุดศูนย์กลางและมีจุดปลาย ทั้งสองข้างอยูบ่ นขอบของรู ปเรี ยกว่า เส้นผ่านศูนย์กลาง และเรี ยกขอบของรู ปว่า เส้นรอบวงของรู ปวงกลม

5. รู ปสมมาตร คือ รู ปสมมาตร คือ รู ปที่เมื่อพับครึ่ งแล้ว แต่ละข้างของรอยพับจะทับกันได้สนิทพอดี และเรี ยกรอยพับนี้วา่ แกนสมมาตร รู ปบางรู ปมีแกนสมมาตรได้มากกว่า 1 แกน

6. การประดิษฐ์ลวดลายโดยใช้รูปเรขาคณิ ต คือ รู ปเรขาคณิ ต และการประดิษฐ์ลวดลายต่าง ๆ ได้แก่ รู ปสามเหลี่ยม รู ปสี่ เหลี่ยม รู ปหลาย เหลี่ยม รู ปวงกลม ฯลฯ สามารถนามาประกอบเป็ นภาพได้ โดยใช้เพียง บางส่ วนของ รู ปเรขาคณิ ต และการประดิษฐ์ลวดลายประดิษฐ์เป็ นลวดลายที่สวยงามและสร้างสรรค์ได้

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 การคูณ 1.

การคูณจานวนที่มีหนึ่งหลักกับจานวนที่มีหลายหลัก คือ การคูณจานวนที่มีหนึ่งหลักกับจานวนที่มี

หลายหลัก ทาได้โดยนาจานวนที่มีหลักเดียวมาคูณจานวนที่มีหลายหลัก โดยคู ณจานวนในหลักหน่วยก่อน แล้วจึงคูณจานวนในหลักถัดไปทางซ้ายมือตามลาดับ เช่น 11,805 × 3 = . การคูณจานวนที่มีหลักเดียวกับจานวนที่เป็ นพหุ คูณของ 10, 100, 1,000 ผลคูณได้จากการนาตัว คูณไปคูณกับตัวตั้งเฉพาะส่ วนหน้าของตัวตั้ง โดยไม่ตอ้ งคานึงถึงตัวเลข 0 ที่อยู่ ท้ายตัวตั้ง เมื่อได้เท่าใดแล้ว จึงเติมตัวเลขศูนย์เท่ากับจานวน ตัวเลขศูนย์ที่อยูท่ า้ ยตัวตั้ง 2.

การคูณจานวนที่มีมากกว่าหนึ่งหลักกับจานวนที่มีสองหลัก คือ คูณจานวนที่มีมากกว่าหนึ่งหลัก

กับจานวนที่มีสองหลัก สามารถหาคาตอบได้โดยวิธีต้ งั คูณ การคูณ 10, 20… 90 กับจานวนต่าง ๆ ให้คูณ เฉพาะตัวหน้าแล้วเติม 0 การคูณจานวนที่มีที่มีสองหลักกับจานวนที่มีสองหลัก ให้นาผลคูณที่ได้จากตัวตั้ง คูณกับ หลักหน่วย และตัวตั้งคูณกับหลักสิ บ 3.

การคูณจานวนที่มีมากกว่าสองหลักกับจานวนที่มีมากกว่า สามหลัก คือ การคูณจานวนที่มีมากกว่า

สองหลักกับจานวนที่มีมากกว่าสามหลัก สามารถหาคาตอบได้โดยวิธีต้ งั คูณหรื อวิธีแจกแจงหาผลคูณด้วย การกระจายตัวคูณ แล้วนาตัวตั้งมาคูณกับตัวคูณทีละหลักแล้วนาผลที่ได้ทุกจานวนมาบวกกัน ตัวอย่าง 256 ×

วิธีทา

47 1,792 + 10,240 12,032 ตอบ ๑๒, ๐๓๒

7 × 256 40 × 25

4.

โจทย์ปัญหาการคูณ คือ การแก้โจทย์ปัญหาการคูณต้องอ่านโจทย์ให้เข้าใจ แยกแยะให้ได้วา่ โจทย์

กาหนดอะไร ถามอะไรแล้วคิดวิธีหาคาตอบ โดยเขียนประโยคสัญลักษณ์ก่อนแล้วจึงคานวณหาคาตอบ ตัวอย่าง แม่คา้ ขายกางเกงราคาตัวละ 255 บาท ขายได้ 120 ตัวแม่คา้ จะได้เงินทั้งหมดกี่บาท โจทย์กาหนดอะไร (แม่คา้ ขายกางเกงราคาตัวละ 255 บาท ขายได้ 120 ตัว) โจทย์ตอ้ งการให้หาอะไร (จานวนเงินทั้งหมดที่แม่คา้ ขายกางเกงได้) ใช้วธิ ีการใดหาคาตอบ (วิธีคูณ) เขียนเป็ นประโยคสัญลักษณ์ได้อย่างไร (120 x 255 = __ ) วิธีทา

แม่คา้ ขายกางเกงราคาตัวละ

255

บาท

ขายได้

120

ตัว

แม่คา้ จะได้เงินทั้งหมด

255 x 120 = 30,600

บาท

ตอบ

๓๐,๖๐๐

บาท

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 5 การหาร 1. การหารที่มีตวั หารหนึ่งหลัก คือ การหาผลหารที่ตวั ตั้งเป็ นจานวนที่มีหลายหลักและตัวหารเป็ น จานวนที่มีหนึ่งหลัก สามารถคิดคานวณได้โดยใช้ความสัมพันธ์ระหว่างการคูณและการหาร ตั้งหารโดยการ ประมาณผลลัพธ์ หรื อใช้การตั้งหารโดยวิธีการหารทีละหลัก (วิธีลดั ) เช่น จะหาผลหารของ 80 ÷20 ก็ให้หา ว่าอะไรคูณกับ 20 ได้ 80 ซึ่งจะได้ 4 × 20 = 80 ดังนั้น 80 × 20 = 4 .

การหารยาวเป็ นการตั้งหารหาผลหารและเศษ โดยตรวจสอบคาตอบได้จาก (ผลหาร × ตัวหาร)=

ตัวตั้ง และในกรณี มีเศษให้ใช้ (ผลหาร × ตัวหาร) + เศษ = ตัวตั้ง การหารสั้นเป็ นการหารที่ไม่แสดงวิธีทา ใช้วธิ ี คิดเช่นเดียวกับวิธีหารยาว โดยเขียนผลหาร ไว้ใต้ตวั ตั้ง ซึ่ ง ต่างจากการหารยาวที่เขียนผลหารบนตัวตั้ง แต่วธิ ี การหารเหมือนกัน

2.

การหารที่มีตวั หารสองหลัก คือ การหารที่ตวั หารมีสองหลัก ผลหารเป็ นจานวนที่มีไม่เกินสองหลัก

คานวณคาตอบโดยใช้วธิ ี เดียวกับการหารที่ตวั ตั้งเป็ นจานวนที่มีหลายหลัก และตัวหารมีหลักเดียว การหาผลหารที่มีตวั ตั้งเป็ นจานวนที่มีสามหลักหรื อสี่ หลัก ตัวหารเป็ นจานวนสองหลักผลหาร จะเป็ นจานวนไม่เกินสองหลัก ใช้วธิ ี การเดียวกับการหาผลหารที่มีตวั ตั้งเป็ นจานวนที่มีหลายหลัก และตัวหารเป็ นจานวนที่มีหลักเดียว ตัวอย่าง

3.

การหารที่มีตวั หารสามหลัก คือ การหารที่ตวั หารมีสามหลักและผลหารไม่เกินสามหลัก ใช้

หลักการเดียวกับการหารที่มีตวั หารเป็ นจานวนที่มีสองหลัก 4.

โจทย์ปัญหาการหาร คือ การทาโจทย์ปัญหาการหารต้องอ่านโจทย์ให้เข้าใจ คิดหาวิธีแก้โจทย์ ก่อน

เปลี่ยนโจทย์ปัญหาเป็ นประโยคสัญลักษณ์แล้วจึงคานวณหาคาตอบ ตัวอย่าง ชาวสวนเก็บดอกดาวเรื องได้ 1,632 ดอก ต้องการมัดเป็ นกา กาละ 12 ดอก จะได้ท้ งั หมดกี่กา โจทย์กาหนดอะไรให้บา้ ง (ชาวสวนเก็บดอกดาวเรื องได้ 1,632 ดอก ต้องการมัดเป็ นกา กาละ 12 ดอก)

โจทย์ถามอะไร (ชาวสวนจะมัดดอกดาวเรื องได้ท้ งั หมดกี่กา) จะต้องแก้โจทย์ปัญหาด้วยวิธีคูณหรื อหาร (วิธีหาร) เขียนเป็ นประโยคสัญลักษณ์ได้อย่างไร (1,632 ÷12 =__ ) จากนั้นครู และนักเรี ยนช่วยกันแสดงวิธีทาโจทย์ปัญหาบนกระดาน ดังนี้ วิธีทา ชาวสวนเก็บดอกดาวเรื องได้ ต้องการมัดเป็ นกา กาละ จะได้ท้ งั หมด ตอบ

๑๓๖

1,632

ดอก

12

ดอก

1,632 ÷12 = 136

กา

กา

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 6 สถิติ 1.

การรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ คือ ข้อมูล เป็ นข้อความหรื อตัวเลขแสดงคุณลักษณะ หรื อคุณสมบัติของ

สิ่ งต่าง ๆ ข้อมูล หมายถึง ความเท็จจริ งที่อาจเป็ นข้อความหรื อตัวเลขที่แสดงคุณลักษณะ หรื อคุณสมบัติ ของสิ่ งต่าง ๆ การรวบรวมข้อมูลมี 2 ประเภท ได้แก่ ข้อมูลปฐมภูมิ เป็ นข้อมูลที่ได้จากต้นตอหรื อผูใ้ ห้ขอ้ มูล โดยตรง ข้อมูลทุติยภูมิ เป็ นข้อมูลที่ผรู ้ วบรวมไม่ตอ้ งเก็บรวบรวมจากข้อมูลโดยตรง แต่ได้จากข้อมูลที่มี ผูอ้ ื่นรวบรวมไว้ 2.

การอ่านแผนภูมิรูปภาพ คือ แผนภูมิรูปภาพเป็ นการแสดงจานวนของสิ่ งต่าง ๆ ด้วยรู ปภาพ ซึ่ งพบ

เห็นทัว่ ๆ ไปในชีวิตประจาวัน มีส่วนประกอบ 3 ส่ วน คือ ชื่อแผนภูมิ ตัวแผนภูมิ และข้อกาหนด

แผนภูมิรูปภาพแสดงจานวนเครื่ องคอมพิวเตอร์ที่ขายได้ใน 1 สัปดาห์ของร้านแห่งหนึ่ง 3.

แผนภูมิแท่ง คือ แผนภูมิแท่งเป็ นการใช้แท่งสี่ เหลี่ยมมุมฉากแทนข้อมูลต่าง ๆ ประกอบด้วยชื่อ

แผนภูมิ ตัวแผนภูมิ และการใช้แท่งสี่ เหลี่ยมมุมฉากแต่ละแท่งต้องมีความกว้างเท่ากัน เริ่ มต้นเขียน จากระดับเดียวกัน และมีระยะห่างระหว่างแท่งเท่ากัน แผนภูมิแท่ง แสดงจานวนไอศกรี มรสต่าง ๆ ที่นกั เรี ยนรับประทานในวันปี ใหม่ ขนุน ถัว่ แดง เงาะ ระกา ส้ม ทุเรี ยน มะพร้าว

จากแผนภูมิแท่งดังกล่าว อ่านข้อมูลได้ดงั นี้ 1)

ชื่อแผนภูมิ คือ จานวนไอศกรี มรสต่าง ๆ ที่นกั เรี ยนรับประทานในวันปี ใหม่

2)

เส้นแนวนอนแสดงชนิดของไอศกรี มที่นกั เรี ยนรับประทาน 7 ชนิด คือ มะพร้าว ขนุน ถัว่ แดง เผือก ส้ม ระกา ทุเรี ยน

3)

เส้นในแนวตั้งแสดงจานวนไอศกรี มที่นกั เรี ยนรับประทาน

4)

จานวนนักเรี ยนที่รับประทานไอศกรี มรสต่าง ๆ แสดงด้วยรู ปสี่ เหลี่ยม ดังนี้ มะพร้าว 10 คน ขนุน 22 คน ถัว่ แดง 60 คน เผือก 20 คน ส้ม 72 คน ระกา 40 คน

ทุเรี ยน 30 คน

การเขียนแผนภูมิรูปภาพ จะต้องกาหนดรู ปภาพแทนจานวนของสิ่ งต่าง ๆ โดยรู ปภาพที่เหมือนกันและมี ขนาดเท่ากัน ส่ วนการเขียนแผนภูมิแท่งจะใช้แท่งสี่ เหลี่ยมมุมฉากแสดงจานวนของสิ่ งต่าง ๆ โดยแต่ละแท่ง ต้องกว้างเท่ากันและเริ่ มต้นที่ระดับเดียวกัน

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 7 การวัดความยาว 1.

การคะเนความยาว ความสู ง หรื อระยะทาง คือ การคะเนความยาว ความสู ง หรื อระยะทาง เป็ นการ

บอกความยาวให้ได้ใกล้เคียงความเป็ นจริ งโดยใช้สายตา หรื อวิธีอื่นแทนการใช้เครื่ องมือ 2.

ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยการวัดความยาว คือ การหาความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยการวัดความ

ยาว ถ้าทาหน่วยการวัดหน่วยใหญ่ให้เป็ นหน่วยเล็กใช้วธิ ี คูณ ถ้าทาหน่วยการวัดหน่วยเล็กให้เป็ นหน่วยใหญ่ ใช้วธิ ีหาร หน่วยการวัดความยาวที่เป็ นมาตรฐานมีความสัมพันธ์กนั คือ ความยาว

10

มิลลิเมตร

เท่ากับความยาว

1

เซนติเมตร

ความยาว

100 เซนติเมตร

เท่ากับความยาว

1

เมตร

ความยาว

1,000 เมตร

เท่ากับความยาว

1

กิโลเมตร

และหน่วยการวัดความยาวของไทย ได้แก่ คืบ ศอก วา เส้น มีความสัมพันธ์กนั คือ

3.

12 นิ้ว = 1 คืบ

2 คืบ = 1 ศอก

4 ศอก = 1 วา

20 วา = 1 เส้น

โจทย์ปัญหาและสถานการณ์ที่เกี่ยวกับการวัดความยาว คือ โจทย์ปัญหาและสถานการณ์ที่เกี่ยวข้อง

กับการวัดความยาว การทาโจทย์เกี่ยวกับการบวก การลบ และการคูณภายใน 2 หน่วย ให้บวกลบหรื อคูณใน หน่วยเดียวกันก่อน ถ้าผลบวกในหน่วยเล็กมีค่ามากกว่าให้ทาเป็ นหน่วยใหญ่ก่อนแล้วจึงตอบ สาหรับการ ลบถ้าหน่วยเล็กลบไม่ได้ให้กระจายหน่วยใหญ่มารวมกัน แล้วจึงหักออก ส่ วนการทาโจทย์ปัญหาการหาร จะต้องหารตัวตั้ง

ตัวอย่าง กมลเดินทางไปสถานีอนามัย 1 กิโลเมตร800 เมตร แล้วเดินต่อไป บ้านเพื่อนอีก 600 เมตร กมล เดินทางเป็ นระยะทางทั้งหมดเท่าไร โจทย์กาหนดอะไรให้บา้ ง (กมลเดินทางไปสถานีอนามัย 1 กิโลเมตร 800 เมตร แล้วเดินต่อไปบ้านเพื่อน อีก 600 เมตร) โจทย์ถามอะไร (ระยะทางทั้งหมดที่กมลเดิน) ใช้วธิ ีอะไรในการหาคาตอบ (วิธีบวก)

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 8 การชั่งนา้ หนัก และการตวง 1. การคาดคะเนน้ าหนัก คือ การคาดคะเนน้ าหนัก เป็ นการบอกน้ าหนักให้ใกล้เคียงความจริ งโดยไม่ใช้ เครื่ องชัง่ 2. โจทย์ปัญหาการชัง่ คือ การแก้โจทย์ปัญหาการชัง่ จะแสดงวิธีการหาคาตอบได้ ต้องรู ้เกี่ยวกับหน่วย การชัง่ ที่สัมพันธ์กนั และวิเคราะห์โจทย์ หาสิ่ งที่โจทย์กาหนดให้ สิ่ งที่โจทย์ถาม โดยใช้ความสัมพันธ์การ บวก ลบ คูณ หรื อหาร 3. การคะเนปริ มาตรหน่วยความจุเป็ นลิตร คือ เมื่อมีทกั ษะการตวงบ่อยครั้งจะสามารถคะเนปริ มาตร ของสิ่ งของ หรื อความจุของภาชนะหรื อปริ มาตรของสิ่ งของต่าง ๆ ได้ใกล้เคียงความเป็ นจริ ง ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยการตวง มีดงั นี้

1,000 มิลลิลิตร (มล.)

1 มิลลิลิตร 1,000 ลูกบาศก์เซนติเมตร (ลบ.ซม.)

เท่ากับ เท่ากับ เท่ากับ

1 1 1

ลิตร ลูกบาศก์เซนติเมตร (ลบ.ซม.) ลิตร

4. โจทย์ปัญหาและสถานการณ์เกี่ยวกับการตวง คือ การแก้โจทย์ปัญหาเกี่ยวกับการตวงต้องอ่านโจทย์ ให้เข้าใจว่า โจทย์กาหนดอะไร ให้หาอะไรต้องใช้ความสัมพันธ์แบบใด จะต้องกระจายหรื อทอนหน่วย หรื อไม่ จึงจะต้องรู ้ความสัมพันธ์ระหว่างหน่วยการตวง

ตัวอย่าง . อาคารหลังหนึ่งมี 8 ชั้น แต่ละชั้นสู ง 2 เมตร 80 เซนติเมตร อาคารนี้สูงเท่าไร วิธีทา

เมตร เซนติเมตร อาคารแต่ละชั้นสู ง

2

80

ตัวอาคาร อาคารสู ง คิดเป็ น ตอบ ๒๒ เมตร ๔๐ เซนติเมตร

8 16

640 22

40

ชั้น

สรุปเนื้อหา วิชาคณิตศาสตร์ ป. 5 หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 จานวนนับ 1.

ค่าของตัวเลขในแต่ละหลัก คือ ค่าประจาหลักของหลักที่อยูท่ างซ้ายมือจะมีค่าเป็ นสิ บเท่าของค่า

ประจาหลักที่อยูถ่ ดั มาทางขวามือและค่าของตัวเลขในแต่ละหลักหาได้จากการนาตัวเลขนั้นมาคูณกับค่า ประจาหลักในหลักนั้น ๆ การประมาณค่า คือ การกาหนดตัวเลขแทนจานวนและการนาจานวนไปใช้บางครั้งต้องกาหนดเป็ นค่า ประมาณ ใกล้เคียง จานวนเต็มของหลักต่าง ๆ โดยคะเน ให้ ใกล้เคียงกับความ จริ ง

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 มุม 1.

ชนิดของมุม คือ มุมมีหลายชนิด เรี ยกชื่อต่างกันตามขนาดของมุม ได้แก่ มุมฉาก มุมแหลม มุม

ป้านมุมตรง และมุมกลับ

การวัดขนาดของมุม คือ องศา ( ํ ) เป็ นหน่วยวัดขนาดของมุม 2. โปรแทรกเตอร์ มี 2 ชนิด คือ ชนิด ครึ่ ง วงกลมและชนิดสี่ เหลี่ยมผืนผ้ามีหน่วยวัดขนาดของมุม ตั้งแต่ 0–180 องศา แบ่งเป็ น 2 แถว คือ แถวบนและ แถวล่างแถวบนจะใช้วดั ขนาดของมุมจากขวาไปซ้ายแถวล่างวัดมุมจากซ้ายไปขวา การสร้างมุมโดยใช้โปรแทรกเตอร์ คือ การสร้ างมุมด้วยโปรแทรกเตอร์ จะต้องลากแขนของมุม ก่อนแล้ว กาหนดจุดยอดมุมและนาจุดกึ่งกลางของโปรแทรกเตอร์ วางที่จุดยอดมุมเส้น 0–180 ทาบสนิทกับ แขนของ มุมแล้วอ่านองศาที่แขนอีกข้างหนึ่งชี้บอกแล้วทาเครื่ องหมายให้ลากจุด

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 เส้ นขนาน 1.

เส้นขนาน คือ เส้นตรงหรื อส่ วนของเส้นตรง 2 เส้น จะขนานกันก็ต่อเมื่อเส้นตรงหรื อส่ วนของ

เส้นตรงทั้งสองมีระยะห่างเท่ากันเสมอ โดยการวัดระยะห่างระหว่างเส้นตรงทั้งสองเส้นต้องวัดระยะตั้งฉาก กับเส้นขนาน

2.

การสร้างเส้นขนาน การสร้างเส้นตรงให้ขนานกัน ใช้หลักการที่วา่ เส้นตรงสองเส้นที่อยูบ่ นระนาบ

เดียวกันจะขนานกัน ก็ต่อเมื่อเส้นตรงสองเส้นนั้นมีระยะห่ างเท่ากันเสมอ ตัวอย่าง ให้สร้าง กข ยาว 3.5 เซนติเมตร และขนานกับ คง โดยให้ กข ห่างจาก คง 4 เซนติเมตร

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 ทศนิยม 1. การเขียนและการอ่านทศนิยมไม่เกินสองตาแหน่ง คือ การอ่านทศนิยมตัวเลขที่อยูห่ น้าจุดทศนิยม ให้อ่านตามค่าประจาหลักจุดทศนิยมให้อ่านว่าจุดและตัวเลขที่อยูห่ ลังจุดทศนิยมให้อ่านเรี ยงตัว ตัวอย่าง

6.3

อ่านว่า หกจุดสาม

57.11

อ่านว่า ห้าสิ บเจ็ดจุดหนึ่งหนึ่ง

2. การเขียนทศนิยมในรู ปกระจาย คือ เป็ นการเขียนในรู ปการบวกของค่าของตัวเลขในหลักต่างๆ

3. การเปรี ยบเทียบและการเรี ยงลาดับทศนิยมไม่เกินสองตาแหน่ง คือ การเปรี ยบเทียบทศนิยมให้

เปรี ยบเทียบจานวนนับหรื อศูนย์ที่อยูห่ น้าจุดทศนิยมก่อนถ้าเท่ากันให้เปรี ยบเทียบตัวเลขหลังจุดทศนิยม ตาแหน่งที่ 1 ถ้าตัวเลขหลังจุดทศนิยมตาแหน่งที่ 1 เท่ากันให้เปรี ยบเทียบตัวเลขหลังจุดทศนิยมตาแหน่งที่ 2

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 5 เศษส่ วน 1. ความหมายของเศษส่ วน คือ ความหมายของเศษส่ วน มี 2 ลักษณะ คือ ความหมายของเศษสวน จากของสิ่ งเดียว และความหมายของเศษส่ วนจากของหลายสิ่ ง เศษส่ วนแท้ คือ เศษส่ วนที่ตวั เศษมีค่าน้อยกว่าตัวส่ วน เศษเกิน คือ เศษส่ วนที่ตวั เศษมีค่าเท่ากันหรื อมากกว่าตัวส่ วน จานวน คละ คือ จานวนที่เขียนอยูใ่ นรู ปจานวนนับกับเศษส่ วนแท้ 2. เศษเกินและจานวนคละ คือ การเขียนเศษเกินในรู ปจานวนคละสามารถทาได้โดยการนาตัวส่ วนไป หารตัวเศษผลหารที่ไดจะเป็ นจานวนนับเศษที่เหลือจากการหารเป็ นตัวเศษโดยมีตวั ส่ วนคงเดิม 3. เศษส่ วนของจานวนนับ คือ เศษส่ วนที่เท่ากับจานวนนับเป็ นเศษเกินที่มีตวั ส่ วนหารตัวเศษไม่ลงตัว 4. เศษส่ วนที่เท่ากัน คือ การทาเศษส่ วนให้ตวั ส่ วนมีคา่ ตามที่กาหนดสามารถทาได้ต่อเมื่อตัวส่ วนที่ กาหนดให้เป็ นพหุ คูณของตัวส่ วนเดิมและเมื่อตัวส่ วนเดิมเป็ นพหุ คูณของตัวส่ วนที่กาหนดให้ 5. เศษส่ วนอย่างต่า คือ เศษส่ วนที่ไม่มีจานวนนับใดๆที่มากกว่า 1 ไปหารทั้งตัวเศษและตัวส่ วนได้ลง ตัว ตัวอย่าง

4 10

และ

2 5

ถ้าจะทาตัวส่ วน 10 ให้เป็ น 5 ต้องทาเช่นไร ( นา 2 มาหาร ) 4 10

=

42 10  2

=

2 5

2 5

เพราะ

เป็ นเศษส่ วนอย่างต่าของ

4 10

6. การเรี ยงลาดับเศษส่ วน คือ การเรี ยงลาดับเศษส่ วนจากมากไปหาน้อยหรื อจากน้อยไปหามากได้ ตัวอย่าง

1 2

,

3 4

,

5 8

,

3 8

7. ความสัมพันธ์ของเศษส่ วนกับทศนิยม คือ เศษส่ วนที่มีตวั ส่ วนเป็ น 10 และ 100 เขียนได้ในรู ป ทศนิยมหนึ่งตาแหน่งและสองตาแหน่งตามลาดับ

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 6 การบวก ลบ คูณทศนิยม 1. การบวกทศนิยมไม่เกินสองตาแหน่ง คือ การบวกทศนิยมใช้วธิ ี ต้ งั หลักและจุดทศนิยมให้ตรงกัน แล้ว บวกโดยใช้หลักการเช่นเดียวกันกับการบวกจานวนนับ ตัวอย่าง 0.12 0.36 0.48 2. การลบทศนิยมไม่เกินสองตาแหน่ง คือ ตัวอย่าง

14.8

-

11.5 3.3 3. โจทย์ปัญหาการบวก การลบทศนิยมไม่เกินสองตาแหน่ง คือ โจทย์ปัญหาการบวกการลบทศนิยม ไม่ เกินสองตาแหน่งมีวธิ ี การแก้โจทย์ปัญหาเช่นเดียวกันกับโจทย์ปัญหาที่เป็ นจานวนนับ ตัวอย่างที่ 1 สุ ดาซื้ อสมุด 1 เล่ม ราคา 5.50 บาท และซื้ อยางลบ 1 ก้อน ราคา 2.75 บาท สุ ดาต้องจ่ายเงิน ทั้งหมดเท่าไร ประโยคสัญลักษณ์

5.50 + 2.75 =

วิธีทา

ซื้ อสมุด 5.50 + ซื้ อยางลบ 2.75 ต้องจ่ายเงินทั้งหมด 8.25 ตอบ สุ ดาต้องจ่ายเงินทั้งหมด

บาท บาท บาท ๘.๒๕ บาท

ตัวอย่างที่ 2 เด็กชายนัทซื้ อไม้บรรทัด 1 อัน ราคา 3.75 บาท ถ้าเด็กชายนัทให้ธนบัตร 50 บาท จะ ได้รับเงินทอนกี่บาท ประโยคสัญลักษณ์ 50 – 3.75 = วิธีทา ให้ธนบัตร 50.00 บาท ซื้ อไม้บรรทัด 3.75 บาท จะได้รับเงินทอน 46.25 บาท ตอบ จะไดรับเงินทอน ๔๖.๒๕ บาท 4. การคูณทศนิยมที่มีผลคูณเป็ นทศนิยมไม่เกินสองตาแหน่ง คือ การคูณทศนิยมด้วยจานวนเต็มที่มี หลัก เดียวการคูณทศนิยมกับจานวน 10 100 1,000 และการคูณทศนิยมกับทศนิยมตั้งคูณเหมือนกับจานวนนับ คูณกัน ตัวอย่างที่ 1 ส้มเขียวหวานราคากิโลกรัมละ 39 บาท ส้มเขียวหวานถุงหนึ่งหนัก 2.5 กิโลกรัม ส้ม ถุงนี้ราคากี่บาท ประโยคสัญลักษณ์ 2.5  39 = วิธีทา ส้มราคากิโลกรัมละ 39 บาท ส้มถุงหนึ่งหนัก 2.5 กิโลกรัม ส้มถุงนี้ราคา 2.5  39 = 97.5 หรื อ 97.50 บาท ตอบ ส้มถุงนี้ราคา ๙๗.๕0 บาท ตัวอย่างที่ 2 น้ าตาลราคากิโลกรัมละ 13.50 บาท ซื้ อ 5.5 กิโลกรัม ต้องจ่ายเงินกี่บาท ประโยคสัญลักษณ์ 13.50  5.5 = วิธีทา น้ าตาลราคากิโลกรัมละ 13.50 บาท ซื้ อ 5.5 กิโลกรัม ต้องจ่ายเงิน 13.50  5.5 = 74.25 บาท ตอบ ต้องจ่ายเงิน ๗๔.๒๕ บาท

5. โจทย์ระคนและโจทย์ปัญหาระคน คือ โจทย์ที่ใช้วธิ ี แก้ดว้ ยการบวกการลบหรื อการคูณในการ คานวณ หาคาตอบ โจทย์ปัญหาระคน คือ โจทย์ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์ ที่ใช้วิธีแก้ดว้ ยการบวกการลบหรื อการคูณ ตัวอย่าง กุง้ มีเงิน 4,500,000 บาท ไก่มีเงิน 1,129,400 บาท ก้อยมีเงิน 3,520,000 บาท เงินของกุง้ และไก่ รวมกัน มีเงินมากกว่าก้อยกี่บาท ประโยคสั ญลักษณ์ ( 4,500,000 + 1,129,400 ) - 3,520,000 = วิธีทา กุง้ มีเงิน 4 5 0 0 0 0 0 + บาท ไก่มีเงิน 1129400 บาท รวมกุง้ และไก่มีเงิน 5 6 2 9 4 0 0 - บาท ก้อยมีเงิน 3520000 บาท กุง้ และไก่ มีเงินมากกว่าก้อย 2 1 0 9 4 0 0 บาท ตอบ กุง้ และไก่ มีเงินมากกว่าก้อย ๒,๑๐๙,๔๐๐ บาท ตัวอย่าง สุ รีพรขายไข่ไก่ 15 โหล ราคาโหลละ 22 บาท แล้วนาเงินไปซื้ ออาหารไก่ 275 บาท สุ รีพรเหลือเงินเท่าใด ประโยคสั ญลักษณ์ (15  22 ) - 275 =  วิธีทา สุ รีพรขายไข่ 15 โหล ราคาโหลละ 22 บาท สุ รีพรได้เงิน 15  22 = 330 บาท นาเงินไปซื้ ออาหารไก่ 275 บาท จะเหลือเงิน 330 – 275 = 55 บาท ตอบ จะเหลือเงิน ๕๕ บาท

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 7 การบวก ลบ คูณ หารเศษส่ วน

1.

การบวกและการลบเศษส่ วนที่มีตวั ส่ วนเป็ นพหุ คูณของกันและกัน คือ การบวกและการลบเศษส่ วน

จะต้องทาตัวส่ วนให้มีค่าเท่ากันก่อนจึงจะนามาบวกหรื อลบเพื่อคิดคานวณคาตอบได้ 2.

โจทย์ปัญหาการบวกและการลบเศษส่ วน คือ โจทย์ปัญหาการบวกและการลบเศษส่ วนเป็ นโจทย์

ปั ญหาที่เป็ นข้อความและเศษส่ วนที่พบเห็นในชีวิตประจาวันหาคาตอบโดยใช้วธิ ี การบวกหรื อการลบ เศษส่ วน 3.

การคูณเศษส่ วน คือ การคูณเศษส่ วนทาได้โดยใช้แผนภาพและคิดคานวณโดยนาตัวเศษคูณกับตัว

เศษ และตัวส่ วนคูณกับตัวส่ วน 4.

การหารเศษส่ วน คือ การหารเศษส่ วนสามารถเปลี่ยนเป็ นการคูณได้โดยการเปลี่ยนเครื่ องหมายหาร

เป็ นเครื่ องหมายคูณแล้วกลับเศษส่ วนให้อยูใ่ นตาแหน่งตรงกันข้าม 5.

โจทย์ปัญหาการคูณและการหารเศษส่ วน คือ การแก้ โจทย์ปัญหาการคูณและการหารเศษส่ วนต้อง

วิเคราะห์ โจทย์คิดวิธีหาคาตอบโดยเขียนประโยคสัญลักษณ์แล้วจึงคิดคานวณหาคาตอบและตรวจสอบคา ตอบ

สรุปเนื้อหา วิชาคณิตศาสตร์ ป. 6 หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 จานวนนับและการบวก การลบ การคูณ การหาร 1. หลักเลข ค่าประจาหลัก และการเขียนในรู ปกระจาย คือ ค่าประจาหลักในแต่ละหลักมีค่าเป็ นสิ บ เท่า ของค่าประจาหลักที่อยูถ่ ดั ไปทางขวามือค่าของตัวเลขแต่ละหลักมีค่าเท่ากับผลคูณของตัวเลขนั้นกับค่า ประจาหลักการเขียนตัวเลขแทนจานวนนับใดๆในรู ปกระจายเป่ นการเขียนในรู ปการบวกค่าตัวเลขโดดใน หลักต่างๆของจานวนนับนั้น 2. การเรี ยงลาดับจานวน คือ การเรี ยงลาดับจานวนหลายๆจานวนทาได้โดยเปรี ยบเทียบจานวนทีละคู่ แล้วเรี ยงลาดับจานวนที่มีค่าน้อยไปหาจานวนที่มีค่ามากหรื อจานวนที่มีค่ามากไปหาจานวนที่มีค่าน้อย 3. การประมาณค่าใกล้เคียงเป็ นจานวนเต็มสิ บเต็มร้อยเต็มพัน... เต็มล้าน คือ การพิจารณาตัวเลขใน หลักพัน หลักหมื่น และหลักแสน เช่น ตัวอย่ าง

214,589

พิจารณาตัวเลขในหลักพัน คือ 4 มีค่าเท่ากับ 4,000 ซึ่ งน้อยกว่า 5,000 ดังนั้น 214,589 มีค่าเท่ากับ 210,000 4. การบวกและการลบ คือ จานวนที่มีหลายหลักทาได้โดยเขียนจานวนให้หลักตรงกันแล้วบวกลบกัน ใน การหาผลบวกของจานวนที่มีหลายหลักจานวนที่นามาบวกกันสามารถสลับที่กนั โดยบวกจานวนที่หนึ่ง กับจานวนที่สองก่อนหรื อบวกจานวนที่สองกับจานวนที่สามก่อนก็ได้แล้วจึงบวกจานวนที่เหลือผลบวกที่ ได้จะมีค่าเท่ากันซึ่ งเป็ นไปตามหลักการสลับที่ของการบวกและการเปลี่ยนหมู่ของการบวก

ตัวอย่าง สมบัติการสลับที่ของการบวก 250 + 135 = 385

มีค่าเท่ากับ

135 + 250 = 385

มีค่าเท่ากับ

211 + (159 + 106) = 211 + 265 = 476

สมบัติการเปลี่ยนหมู่ (211 + 159) + 106 = 370 + 106 = 476

5. โจทย์ปัญหาการบวกและการลบ คือ การแก้โจทย์ปัญหาการบวกและการลบต้องวิเคราะห์โจทย์ เ ขียนเป็ นประโยคสัญลักษณ์แล้วจึงหาคาตอบ ตัวอย่าง สมคิดขับรถวันแรกได้ระยะทาง 23,500 เมตร วันที่สองได้ระยะทาง 34,500 เมตร สมคิดขับรถได้ ระยะทางทั้งหมดกี่เมตร

- โจทย์กาหนดอะไรให้บา้ ง (สมคิดขับรถวันแรกได้ระยะทาง 23,500 เมตร วันที่สองได้ ระยะทาง 34,500 เมตร) - โจทย์ตอ้ งการให้หาอะไร (สมคิดขับรถได้ระยะทางทั้งหมดกี่เมตร - เขียนเป็ นประโยคสัญลักษณ์ได้อย่างไร (23,500 + 34,500 = __ ) คาตอบ สมคิดขับรถได้ระยะทาง 58,000 เมตร) 6. การคูณและการหาร คือ การบวกและการคูณจะมีสมบัติการสลับที่สมบัติการเปลี่ยนหมู่และสมบัติ การแจกแจง

7. โจทย์ปัญหาการคูณและการหาร คือ การหาคาตอบของโจทย์ปัญหา ทาได้โดยการวิเคราะห์โจทย์ ปัญหา แล้วสรุ ปวิธีหาคาตอบโดยเขียนเป็ นประโยคสัญลักษณ์ ตัวอย่าง มีส้มอยู่ 549 ผล แบ่งใส่ ตะกร้า ตะกร้าละ 9 ผล นาไปขาย ตะกร้าละ 32 บาท จะได้เงินกี่บาท - สิ่ งที่โจทย์กาหนดให้คืออะไร (จานวนส้มที่มีอยู่ จานวนส้มที่แบ่งใส่ ตะกร้า และราคาขายส้ม) - สิ่ งที่โจทย์ถามคืออะไร (จานวนเงินที่ขายส้มได้) - คิดหาคาตอบได้อย่างไร (การหารและการคูณ) - เขียนเป็ นประโยคสัญลักษณ์และแสดงวิธีทาได้อย่างไร ประโยคสัญลักษณ์ (549 ÷9) × 32 = __

8. โจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารระคน คือ ตัวอย่าง ลุงพรทานา 2 แปลง นาแปลงที่หนึ่งมีพ้นื ที่ 10 ไร่ ได้ขา้ ว 950 ถัง นาแปลงที่สองมีพ้นื ที่ 5 ไร่ ได้ ข้าว 445 ถัง ลุงพรทานาได้ขา้ วเฉลี่ยไร่ ละกี่ถงั - โจทย์ขอ้ นี้เป็ นเรื่ องของอะไร (การปลูกข้าวของลุงพร) - โจทย์ตอ้ งการทราบอะไร (ได้ขา้ วเฉลี่ยไร่ ละกี่ถงั ) - ลุงพรมีนารวมกันทั้งหมดกี่ไร่ (10 + 5 = 15 ไร่ ) - นาทั้ง 2 แปลงได้ขา้ วเท่ากันหรื อไม่ (ไม่เท่ากัน) - ลุงพรทานาได้ขา้ วทั้งหมดกี่ถงั หาได้อย่างไร (950 + 445 = 1,395 ถัง) - แสดงว่าทานาทั้งหมดกี่แปลง ได้ขา้ วทั้งหมดกี่ถงั (15 แปลง 1,395 ถัง)

- จะหาค่าเฉลี่ยไร่ ละกี่ถงั หาได้อย่างไร (จานวนข้าวหารด้วยจานวนไร่ 1,395 ÷15) ขั้นที่ 2 - ลุงพร มีนาทั้งหมดกี่ไร่ (10 + 5 =

)

- ลุงพร ทานาได้ขา้ วทั้งหมดกี่ถงั (950 + 445 =

)

- เฉลี่ยแล้วลุงพรจะได้ขา้ วไร่ ละกี่ถงั ( 950 + 445 ) ÷ ( 10 + 5 ) ขั้นที่ 3 ปฏิบตั ิตามแผน วิธีทา ลุงพรมีนาแปลงที่ 1

10

มีนาแปลงที่ 2

ไร่ 5

ไร่

รวมลุงพรมีนา 10 + 5 = 15

ไร่

ทานาแปลงที่ 1 ได้ขา้ ว

950

ถัง

ทานาแปลงที่ 2 ได้ขา้ ว

445

ถัง

รวมทานาได้ขา้ วทั้งหมด 950 + 445 = 1,395 ถัง ทานา 15 ไร่ ได้ขา้ ว ทานา 1 ไร่ ได้ขา้ ว

1,395 ถัง 1,395 ÷ 15 = 93 ถัง

ลุงพรทานาเฉลี่ยได้ขา้ วไร่ ละ

93

ถัง

ตอบ ลุงพรทานาเฉลี่ยได้ขา้ วไร่ ละ

๙๓

ถัง

93

ถัง

ขั้นที่ 4 ตรวจสอบ ว่าคาตอบที่ได้ถูกต้องหรื อไม่ เช่น

นา 1 ไร่ ปลูกได้ขา้ ว

ถ้านา 15 ไร่ จะปลูกข้าวได้ 93 × 15 = 1,345 ถัง ถ้าได้จากข้าวแปลงที่ 1 รวมกับ แปลงที่ 2 = 950 + 445 = 1,395 ถัง

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 สมการและการแก้ สมการ 1. สมการ คือ ประโยคสัญลักษณ์ที่มีเครื่ องหมายเท่ากับเรี ยกว่า สมการ สมการที่มีตวั ไม่ทราบค่าหรื อ ตัวแปรเรานิยมใช้ตวั อักษรแทนตัวไม่ทราบค่านั้น ตัวอย่าง 1. 8 × ป = 24 2. 14 + ข = 25 – 8 3. 15 – 8 = ,ป, ข เรี ยกว่า ตัวไม่ทราบค่าของสมการ ซึ่งอาจเขียนแทน ด้วยพยัญชนะไทยหรื อตัวอักษรภาษาอังกฤษ 2. การพิจารณา สมการ คือ สมการที่มีจานวนที่อยูท่ างซ้ายมือของเครื่ องหมาย = มีค่าเท่ากับจานวน ที่อยูท่ างขวามือเรา เรี ยกว่า สมการที่เป็ นจริ ง ตัวอย่าง 2 × 6 = 3 × 4 เป็ นสมการที่เป็ นจริ ง เพราะจานวนที่อย่ทางขวามือเท่ากับจานวนที่ อยูท่ างซ้ายมือ 2 + 5 = 5 + 2 เป็ นสมการที่เป็ นจริ ง เพราะใช้คุณสมบัติการสลับที่ของการบวก 444 = 400 + 40 + 4 เป็ นสมการที่เป็ นจริ ง เพราะเป็ นการเขียนในรู ปกระจาย 3. การหาคาตอบของสมการ คือ การนาจานวนไปแทนค่าตัวไม่ทราบค่าของสมการแล้วทาให้สมการ เป็ นจริ งเรี ยกว่า คาตอบของสมการการนาจานวนที่เท่ากันมาบวกลบคูณหารจานวนแต่ละข้างของสมการ ที่ เป็ นจริ งแล้วจะได้สมการใหม่ที่ยงั คงเป็ นจริ งยกเว้นตัวหารเป็ นศูนย์ 4. การแก้สมการ คือ การหาคาตอบของสมการโดยใช้สมบัติการเท่ากัน

ตัวอย่าง แก้สมการ โดยใช้สมบัติการบวกและการลบ เช่น 1)

ก + 45 = 63

นา 45 มาลบทั้งสองข้างของสมการ ก + 45 – 45 = 63 – 45 ก = 18

2)

ก – 74 = 13

นา 74 มาบวกทั้งสองข้างของสมการ ก – 74 + 74 = 13 + 74 ก = 87 5. โจทย์ปัญหา คือ การแก้โจทย์ปัญหาด้วยสมการทาได้โดยวิเคราะห์โจทย์ที่กาหนดแล้วเปลี่ยน เป็ นประโยค สัญลักษณ์และหาคาตอบของสมการโดยใช้สมบัติการเท่ากันของการบวก การลบ การคูณ และ การหารมาช่วยหาคาตอบ

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 ตัวประกอบของจานวนนับ 1. ตัวประกอบ คือ จานวนนับที่หารจานวนนับนั้นได้ลงตัว ตัวอย่าง 6 กับ 48

(6 เป็ นตัวประกอบของ 48 เพราะ 48  6 = 8)

7 กับ 49 (7 เป็ นตัวประกอบของ 49 เพราะ 49  7 = 7) 2. จานวนเฉพาะ คือ จานวนนับที่มีตวั ประกอบเพียงสองตัวคือ 1 และ จานวนนับนั้นตัวประกอบ เฉพาะ หมายถึง ตัวประกอบที่เป็ นจานวนเฉพาะ ตัวอย่าง จานวนเฉพาะ

ตัวประกอบ ของ 5 มี 2 ตัว คือ 1 และ 5 ตัวประกอบ ของ 21 มี 4 ตัว คือ 1, 3, 7 และ 21 ตัวประกอบ ของ 24 มี 8 ตัว คือ 1, 2, 3, 4, 6, 8, 12 และ 24 ตัวประกอบ ของ 31 มี 2 ตัว คือ 1 และ 31 ตัวประกอบ ของ 44 มี 6 ตัว คือ 1, 2, 4, 11, 22 และ 44 ตัวประกอบ ของ 10 มี 4 ตัว คือ 1, 2, 5 และ 10 ตัวประกอบ ของ 75 มี 6 ตัว คือ 1, 3, 5, 15, 25 และ 75 ตัวประกอบ ของ 19 มี 2 ตัว คือ 1 และ 19 3. การแยกตัวประกอบ คือ การเขียนจานวนในรู ปการคูณของตัวประกอบเฉพาะ เรี ยกว่า การแยกตัว ประกอบจานวนและจะเขียนเป็ นเลขยกกาลังได้จะต้องมีการคูณด้วยตัวเองซ้ าๆกัน ตัวอย่าง การเขียน 12 ให้อยูใ่ นรู ปการคูณกันของตัวประกอบหรื อตัวประกอบเฉพาะ 12 = 1 × 12 หรื อ 12 = 12 × 1 12 = 2 × 6 หรื อ 12 = 6 × 2 12 = 3 × 4 หรื อ 12 = 4 × 3 12 = 2 × 2 × 3 หรื อ 12 = 2 × 3 × 2 หรื อ 12 = 3 × 2 × 2 ผลคูณของ 12 ที่เขียนในรู ปการคูณกันของตัวประกอบเฉพาะซึ่ งจะได้ 12 = 2 × 2 × 3 หรื อ 12 = 2 × 3 × 2 หรื อ 12 = 3 × 2 × 2 สรุ ปว่า การเขียนจานวนในรู ปการคูณของตัวประกอบเฉพาะ เรี ยกว่า การ แยกตัวประกอบ 4. ตัวหารร่ วมมาก (ห.ร.ม.) คือ จานวนใดที่หารจานวนสองจานวนลงตัวทั้งคู่ เรี ยกว่า ตัวหารร่ วมของ จานวนทั้งสอง ตัวหารร่ วม ทีมีค่ามากที่สุดของจานวนตั้งแต่สองจานวนขึ้นไป เรี ยกว่า ตัวหารร่ วมมากที่สุด ของจานวนเหล่านั้นใช้อกั ษรย่อ ห.ร.ม. ตัวคูณร่ วมน้อย (ค.ร.น.) คือ จานวนนับที่นอ้ ยที่สุดที่มีจานวนตั้งแต่สองจานวนขึ้นไปหารลงตัวใช้

อักษรย่อ ค.ร.น. ตัวอย่าง

5. โจทย์ปัญหา คือ การแก้โจทย์ปัญหาโดยใช้ ห.ร.ม. มักจะมีคาที่แสดงถึงมากที่สุดยาวที่สุด เป็ นต้น การแก้โจทย์ปัญหาโดยใช้ค.ร.น. มักจะมีคาที่แสดงถึงน้อยที่สุดสั้นที่สุด เป็ นต้น ตัวอย่าง การแก้โจทย์ปัญหาโดยใช้ ห.ร.ม. มีนกอยู่ 3 ชนิด โดยแต่ละชนิดมีจานวนไม่เท่ากันดังนี้ นกชนิดที่หนึ่งมีท้ งั หมด 32 ตัว นกชนิดที่สองมี ทั้งหมด 48 ตัว และนกชนิดที่สามทีท้ งั หมด 64 ตัว ต้องการแบ่งนกให้เด็กๆโดยให้แต่ละคนได้นกมากที่สุด คนละเท่าๆกันและเด็กหนึ่งคนจะได้นกเพียงประเภทเดียวจะสามารถแบ่งนกให้เด็กๆได้กี่คน และคนละกี่ตวั

วิธีทา

ห.ร.ม = 2 × 2 × 2 × 2 = 16 ดังนั้นเด็กๆจะได้นกคนละ 16 ตัว จานวนเด็กๆที่จะได้รับนก = 2 + 3 + 4 = 9 คน ตัวอย่าง การแก้โจทย์ปัญหาโดยใช้ ค.ร.น. มะม่วงผลละ 8 บาท มะพร้าวผลละ 6 บาท และแตงโมผลละ 9 บาท ถ้าต้องจ่ายเงิน ซื้ อผลไม้ ทุกชนิด ราคา เท่ากัน และจ่ายเงินน้อยที่สุด แล้วจะซื้ อผลไม้ได้ท้ งั หมดกี่ผล วิธีทา

ค.ร.น = 2 × 3 × 4 × 1 × 3 = 72 ดังนั้นจานวนเงินที่ตอ้ งจ่ายเป็ นค่าผลไม้ในแต่ละชนิดเท่ากับ 72 บาท และสามารถซื้ อผลไม้ได้ดงั นี้ มะม่วงราคาผลละ 8 บาท ซื้ อได้ 72 ÷8 = 9 ผล

มะพร้าวราคาผลละ 6 บาท ซื้ อได้ 72 ÷6 = 12 ผล และแตงโมราคาผลละ 9 บาท ซื้ อได้ 72 ÷9 = 8 ผล ดังนั้นจะสามารถซื้ อผลไม้ได้ท้ งั หมด 9 + 12 + 8 = 29 ผล

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 เส้ นขนาน 1. เส้นขนาน คือ เส้นตรงหรื อส่ วนของเส้นตรงตั้งแต่สองเส้นขึ้นไปอยูห่ ่างกัน มีระยะเท่ากันเสมอ มุมแย่ง คือ มุมที่เกิดจากเส้นตรงหรื อส่ วนของเส้นตรงเสนหนึ่งตัดเส้นตรงสองเส้นขึ้นไปโดยอยูเ่ ยื้อง กันคนละข้างของเส้นตัดภายในเส้นตรงที่ถูกตัดนั้น

- มุมแย้งภายใน มุม 3 แย้งกับ มุม 5, มุม 4 แย้งกับ มุม 6 - มุมแย้งภายนอก มุม 1 แย้งกับ มุม 7, มุม 2 แย้งกับ มุม 8 2. เส้นขนานและมุมภายในที่อยูบ่ นข้างเดียวกันของเส้นตัด คือ เส้นตรงเส้นหนึ่งตัดเส้นขนานคู่หนึ่ง ทาให้เกิดมุมภายในเมื่อนาขนาดของมุมภายในบนข้างเดียวกันของเส้นตัดมารวมกันจะมีค่าเท่ากับ180องศา 3. การพิจารณาเส้นขนาน คือ เส้นตรงเส้นหนึ่งตัดเส้นตรงคู่หนึ่งแล้วทาให้มุมแย้งมีขนาดเท่ากันหรื อ ขนาดของมุมภายในที่อยูบ่ นข้างเดียวกันของเส้นตัดรวมกันเท่ากับ 180 องศา เส้นตรงคู่น้ นั จะขนานกัน 4. วิธีการสร้างเส้นขนานให้ผา่ นจุดที่กาหนดให้ คือ เมื่อกาหนดเส้นตรงหรื อส่ วนของเส้นตรงหนึ่งเส้น และจุดหนึ่งจุดที่ไม่ได้อยูบ่ นเส้นตรงที่กาหนดให้สามารถสร้างเส้นตรงที่ขนานกับเส้นตรงที่กาหนดและ ผ่าน จุดที่กาหนดให้ได้

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 5 เศษส่ วนและการบวก การลบ การคูณการหารเศษส่ วน 1. เศษส่ วนที่มีค่าเท่ากันและการเปรี ยบเทียบเศษส่ วน คือ การหาเศษส่ วนที่มีค่าเท่ากันทาได้โดยนา จานวนนับเดียวกันมาคูณหรื อหารทั้งตัวเศษและ ตัวส่ วน และในการเปรี ยบเทียบเศษส่ วนนั้นต้องทาตัวส่ วน ของเศษส่ วนเหล่านั้นให้เท่ากัน แล้ว นาตัวเศษมาเปรี ยบเทียบกัน โดยการนา ค.ร.น. มาช่วยหรื อการคูณไขว้ 2. การบวกและการลบเศษส่ วน คือ การบวกและการลบเศษส่ วน อาจทาเศษส่ วนให้เป็ นเศษสวนอย่าง ต่าก่อนแล้วทาตัวส่ วนให้มีค่าเท่ากัน จากนั้นนาตัวเศษมาบวกลบกัน 3. โจทย์ปัญหาการบวกและการลบเศษส่ วน คือ โจทย์ปัญหาการบวกและการลบเศษส่ วน เป็ นโจทย์ที่ เกี่ยวกับชีวติ ประจาวัน ต้องวิเคราะห์โจทย์ เขียนประโยคสัญลักษณ์ และคานวณหาคาตอบ 4. การคูณและการหารเศษส่ วน คือ การคูณเศษส่ วนด้วยเศษส่ วนจะต้องนาตัวเศษคูณกับตัวเศษและนา ตัวส่ วนคูณกับตัวส่ วนถ้ามีตวั ประกอบร่ วมของตัวเศษและตัวส่ วนให้นาตัวประกอบร่ วมมาหารทั้งตัวเศษ และตัวส่ วนเพื่อทาให้เป็ นเศษส่ วนอย่างต่าส่ วนการหารจานวนใดๆด้วยเศษส่ วนให้นาจานวนนั้นคูณกับส่ วน กลับของเศษส่ วนที่เป็ นตัวหาร 5. โจทย์ปัญหาการคูณและการหารเศษส่ วน คือ การแก้โจทย์ปัญหาการคูณและการหารเศษส่ วน ต้อง ทา ความเข้าใจเกี่ยวกับการคูณและ การหารเศษส่ วน ต้องวิเคราะห์โจทย์ คิดวิธีหาคาตอบ โดยเขียนเป็ นประโยค สัญลักษณ์ แล้วจึงคิด คานวณหาคาตอบ และตรวจสอบคาตอบ

ตัวอย่าง

6. การบวก ลบ คูณ หารเศษส่ วนระคน คือ การทาโจทย์การบวก ลบ คูณ หารระคน ถ้ามีจานวนใน วงเล็บที่ตอ้ งหาค่า จะต้องทาในวงเล็บก่อนแต่ถา้ โจทย์ไม่มีวงเล็บเลย ต้องทาคูณกับหารก่อนแล้วจึงทาบวก กับลบทีหลัง 7. โจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารเศษส่ วนระคน คือ การทาโจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หาร เศษส่ วนระคน ถ้ามีคาว่า ของ อยูด่ ว้ ย หมายความว่า ข้อความที่อยูห่ น้าและหลังคาว่า ของ เป็ นจานวน เดียวกันต้องนามาคูณกันก่อนแล้วจึงคิดคานวณต่อไป

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 6 ทศนิยมและการบวก การลบ การคูณทศนิยม 1. ค่าประจาหลักของทศนิยม คือ การอ่านทศนิยมตัวเลขที่อยูห่ น้าจุดทศนิยมให้อ่านตามค่าประจาหลัก ตัวเลขที่อยูห่ ลัง จุดทศนิยม ให้อ่านเรี ยงตัว

ตัวอย่าง การอ่านทศนิยม 3.68 อ่านว่า สามจุดหกแปด 452.06 อ่านว่า สี่ ร้อยห้าสิ บสองจุดศูนย์หก .23 เขียนเป็ น 0.23 อ่านว่า ศูนย์จุดสองสาม 2. การเขียนทศนิยมในรู ปกระจาย คือ การเขียนทศนิยมในรู ปกระจาย เป็ นการเขียนในรู ปการบวกของ ตัวเลขประจาหลักที่คูณด้วยค่าประจาหลัก ตัวอย่าง จานวน 327.35 จะเขียนให้อยูใ่ นรู ปกระจายได้ดงั นี้ 3 อยูใ่ นหลักร้อย มีค่า 300 2 อยูใ่ นหลักสิ บ มีค่า 20 7 อยูใ่ นหลักหน่วย มีค่า 7 3 อยูห่ ลังจุดเป็ นตัวแรกเรี ยกว่าหลักส่ วนสิ บ ซึ่ งมีค่า 5 อยูห่ ลังจุดเป็ นตัวที่สองเรี ยกว่าหลักส่ วนร้อย ซึ่ งมีค่า

หรื อ 0.3 หรื อ 0.05

ดังนั้น 327.35 อ่านว่า สามร้อยยีส่ ิ บเจ็ดจุดสามห้าหรื อสามารถเขียนในรู ปกระจายการบวกได้คือ 327.35 = 300 + 20 + 7 + 0.3 + 0.05

3. ความสัมพันธ์ระหว่างทศนิยมกับเศษส่ วน คือ ทศนิยม 1, 2 และ 3 ตาแหน่ง เมื่อ ทาให้เป็ นเศษส่ วน จะมีส่วนเป็ น 10, 100 และ 1,000 ตามลาดับ 4. การบวกและการลบทศนิยมไม่เกินสามตาแหน่ง ก็คือ การบวกและการลบทศนิยมไม่เกินสาม ตาแหน่ง ใช้วธิ ี การตั้งหลักเลขและจุดทศนิยมให้ตรงกันโดยใช้หลักการเช่นเดียวกันกับการบวกและการลบ จานวนนับ

ตัวอย่าง 0.56 + 0.23 = วิธีทา

0. 56 +

0. 23 0. 79 ตอบ ๐ . ๗๙ 5. การคูณทศนิยมที่มีผลคูณเป็ นทศนิยมไม่เกินสามตาแหน่ง คือ การคูณทศนิยมด้วยจานวนนับ ผลคูณ ที่ได้จะเป็ นทศนิยมที่มีจานวนตาแหน่งเท่ากับจานวน ตาแหน่งของทศนิยมที่กาหนดให้ ผลคูณของทศนิยม กับทศนิยมเหมือนกันกับการคูณจานวนนับแต่ตอ้ งใส่ จุดทศนิยม ซึ่ งตาแหน่ง ของทศนิยมของผลคูณจะ เท่ากับผลบวกของจานวนตาแหน่งของทศนิยมทั้งสองที่นามาคูณกัน ตัวอย่าง จงหาผลคูณของ วิธีทา

1.25

1.2x 5 3.9 ทศนิยม 2 ตาแหน่ง

x 3.9

ทศนิยม 1 ตาแหน่ง

1125 3750 4875 ทศนิยม 3 ตาแหน่ง ดังนั้น 1.25 x 3.9 = 4.875 6. การบวก ลบ คูณทศนิยมระคน คือ การบวกลบคูณทศนิยมระคนทาได้เช่นเดียวกับการบวก ลบ คูณ จานวนนับ ซึ่ งมีคุณสมบัติการสลับที่การเปลี่ยนหมู่และ มีเอกลักษณ์การคูณซึ่ งคุณสมบัติเหล่านี้ จะช่วย ให้ เราสามารถหาคาตอบของการคูณทศนิยมได้สะดวกรวดเร็ วขึ้น

7. โจทย์ปัญหาการบวก การลบ การคูณทศนิยมที่มีผลลัพธ์เป็ นทศนิยมไม่เกินสามตาแหน่ง คือ โจทย์ ปัญหาการบวก การลบ การคูณทศนิยม คือ โจทย์ปัญหาทางคณิ ตศาสตร์ที่ใช้วธิ ีหาคาตอบด้วยการบวก การ ลบ หรื อการคูณ

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 7 การหารทศนิยม 1. การหารทศนิยมเมื่อตัวหารเป็ นจานวนนับ คือ การ หารทศนิยมเมื่อตัวหารเป็ นจานวนนับเป็ นการ แบ่งทศนิยมออกเป็ นส่ วนๆ ส่ วนละเท่าๆกันให้ ได้จานวนส่ วนตามที่ตอ้ งการโดยต้องการทราบว่าแต่ละ ส่ วนมีค่าเท่าไร ตัวอย่าง 1 วิธีทา

0.9 3 = 0.9 3 = 9 3 10 = 9 ×1 10 3 3 = 9 ×1 10 3 1 3 = 10 = 0.3

ตอบ ๐.๓ 2. การหารทศนิยมเมื่อตัวหารเป็ นทศนิยม คือ การหาร ทศนิยมเมื่อตัวหารเป็ นทศนิยม เป็ นการแบ่ง ทศนิยมออก เป็ นส่ วนๆ ส่ วนละเท่าๆกันโดยให้แต่ละส่ วนเท่ากับทศนิยมที่เป็ นตัวหารเพื่อต้องการทราบว่า ทั้งหมดถูกแบ่งออกเป็ นกี่ส่วน ตัวอย่าง 0.9  0.4 = วิธีที่ 1 ( ใช้เศษส่ วน ) 0.9  0.4 = 9÷4 10 10 = 9 × 10 10 4 = 9 4 ดังนั้น 0.9  0.4 = 2.25 ตอบ ๒.๒๕

=

-8 10 8

-

2020

วิธีที่ 2 ( คูณด้วยพหุคูณของ 10 )

ดังนั้น

0.9  0.4 = 0.9 0.4 = 0.9×10 0.4×10 = 9 4 0.9  0.4 = 2.25

=

8 10

-

8

ตอบ ๒.๒๕

-

20 20

3. โจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารทศนิยมระคน คือ การหาคาตอบของโจทย์ปัญหาการหารทศนิยม ต้องอ่านโจทย์ให้เข้าใจให้รู้วา่ โจทย์กล่าวถึงอะไร ต้องการทราบอะไร กาหนดอะไรบ้าง แล้วเขียนเป็ น ประ โย สัญลักษณ์ ให้ได้จากนั้น จึงแสดงวิธีทา และ ตรวจสอบคาตอบ ตัวอย่าง แม่ซ้ื อน้ าตาลทรายมา 2.7 กิโลกรัม แบ่งออกใส่ ถุง 3 ถุงเท่าๆ กัน จะได้น้ าตาลทราย ถุงละกี่กิโลกรัม ประโยคสั ญลักษณ์

2.7  3 =

วิธีทา

แม่ซ้ื อน้ าตาลทรายมา แบ่งใส่ ถุงเท่าๆกัน แต่ละถุงหนัก

2.7 3 2.7  3

0.9 3 2.7 2.7 0 ดังนั้น จะได้น้ าตาลทรายหนักถุงละ 0.9 กิโลกรัม ตอบ ๐.๙ กิโลกรัม

กิโลกรัม ถุง กิโลกรัม

ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 1 หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 ยามเช้ าในสวน

เรื่ อง รอบตัวเรามีอะไรบ้าง สิ่ งต่างๆรอบตัวมีท้ งั ที่เหมือนกันและแตกต่างกัน สามารถจัดกลุ่มได้เป็ นการจัดสิ่ งที่คล้ายกันไว้ ด้วยกัน เช่น จัดตามแหล่งที่อยูอ่ าศัย หรื อลักษณะที่มองเห็นจากภายนอก หรื อการใช้ประโยชน์ ความแตกต่างระหว่าง สิ่ งมีชีวติ กับไม่มีชีวติ 1.มีการเคลื่อนที่ 2.มีการกินอาหาร 3.มีการขับถ่าย 4.มีการหายใจ 5.มีการเจริ ญเติบโต 6.มีการสื บพันธ์ การเจริ ญเติบโต คือ การที่ร่างกายมีขนาดใหญ่ข้ ึน การสื บพันธุ์ คือ การเกิดลูกเกิดหลานเพิ่มเติม 7.มีการตอบสนองต่อสิ่ งเร้า การตอบสนอง คือ การรับรู ้และแสดงออกมาเมื่อมีสิ่งมากระตุน้ ส่ วนสิ่ งเร้า คือ สิ่ งที่มากระตุน้ เช่น แสง การสัมผัส

สรุ ป สิ่ งมีชีวติ ต้องมีการเคลื่อนที่ กินอาหาร ขับถ่าย หายใจ เจริ ญเติบโต สื บพันธุ์ และ ตอบสนองต่อสิ่ งเร้า ส่ วนสิ่ งไม่มีชีวติ จะไม่มีลกั ษณะดังกล่าว เรื่ อง ในดินมีอะไรบ้าง ดินประกอบด้วย นํ้า อากาศ เศษหิ น ซากพืชและซากสัตว์ เรื่ อง ดินมีลกั ษณะอย่างไร ดินแต่ละแหล่งมีเนื้อดินแตกต่างกันมีผลทําให้การจับตัว และการอุม้ นํ้าของดินต่างกัน

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 เพื่อนรักของเรา

เรื่ อง สิ่ งมีชีวติ ในท้องถิ่นอาศัยอยูท่ ี่ไหน สิ่ งมีชีวติ ทั้งพืช และสัตว์พบได้บนบกและในนํ้า สัตว์ที่พบบนต้นไม้ดิน หรื อบินอยูใ่ นอากาศถือว่า อยูบ่ นบกทั้งนั้น เรื่ อง โครงสร้างภายนอกของพืช มีอะไรบ้าง โครงสร้างภายนอกก็คือ ส่ วนต่างๆที่มองเห็นได้ ส่ วนต่างๆของพืชทําหน้าที่แตกต่างกัน ดังนี้ ราก

ทําหน้าที่ ยึดลําต้น ดูดนํ้า และธาตุอาหาร

ลําต้น ทําหน้าที่ ชูกิ่งก้าน และใบ ใบ

ทําหน้าที่ สร้างอาหาร

ดอก ทําหน้าที่ สื บพันธุ์ ผล

ทําหน้าที่ ห่อหุ ม้ เมล็ดและช่วยการขยายพันธุ์

เรื่ อง จัดกลุ่มพืชในท้องถิ่นได้อย่างไร พืชที่พบเห็นมีมากมายจะจัดกลุ่มพืชได้ตอ้ งมีเกณฑ์คือหลักที่กาํ หนดขึ้นเพื่อใช้ในการจัดกลุ่ม ตัวอย่างการจัดกลุ่มพืชที่อยูร่ อบบ้านโดยดูจากลักษณะของลําต้น ลําต้นตรงกับลําต้นเลื้อย การจักกลุ่มพืช นอกจากดูลกั ษณะของลําต้นแล้วอาจดูจากลักษณะของใบ ดอก ผล เป็ นเกณฑ์ เรื่ อง โครงสร้างภายนอกของสัตว์ โครงสร้างภายนอกของสัตว์ปรกอบด้วยส่ วนต่างๆ ซึ่ งเรี ยกว่า อวัยวะ สัตว์มีอวัยวะภายนอกทํา หน้าที่แตกต่างกัน ดังนี้ ตา ทําหน้าที่ มองเห็นสิ่ งต่างๆ หู

ทําหน้าที่ รับฟังเสี ยง

จมูก

ทําหน้าที่ ดมกลิ่น หายใจ

ปาก

ทําหน้าที่ กินอาหาร

ผิวหนัง ทําหน้าที่ ปกคลุมร่ างกายให้อบอุ่น เท้าและขา ทําหน้าที่ รับนํ้าหนักและเคลื่อนไหว เรื่ อง จัดกลุ่มสัตว์ในท้องถิ่นได้อย่างไร การจัดกลุ่มเรี ยกอีกอย่างหนึ่งว่า การจําแนก ตัวอย่างการจัดกลุ่มสัตว์โดยอาจดูจากมีปีกกับไม่มีปีก การจัดกลุ่มสัตว์นอกจากดูจากมีปีกไม่มีปีกแล้วอาจดูจาก ขา เท้า เขา ผิวหนัง เป็ นเกณฑ์ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 ตัวเรา

เรื่ อง ร่ างกายของเราเป็ นอย่างไร อวัยวะต่างๆของคนก็ทาํ หน้าที่เหมือนกับของสัตว์โดยทําหน้าที่แตกต่างกัน และทํางานสัมพันธ์กนั อวัยวะต่างๆมีความสําคัญต่อการดํารงชี วติ เราต้องดูแลรักษาอวัยวะเหล่านั้น ป้ องกันไม่ให้อวัยวะเหล่านั้น ได้รับอันตราย

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 เรารักของเล่ นของใช้

เรื่ อง รอบตัวเรามีของเล่นของใช้อะไรบ้าง ของเล่น เป็ นสิ่ งของที่ช่วยให้ผเู ้ ล่นได้รับความสนุกสนาน เพลิดเพลิน เช่น ตุก๊ ตา ลูกบาสเกตบอล หุ่นยนต์ ของใช้ เป็ นสิ่ งของสําหรับใช้งาน เช่น แก้วนํ้า ดินสอ ยางลบ การแบ่งกลุ่มของเล่น ของใช้ อาจแบ่งตามลักษณะที่ปรากฏเหมือนกันหรื อแตกต่างกันโดยดูจาก สี ขนาด รู ปร่ าง หรื ออื่นๆ ซึ่ งใช้เป็ นหลักในการแบ่งกลุ่ม เราเรี ยกว่า เกณฑ์ เรื่ อง ของเล่นของใช้ทาํ จากอะไร ของเล่น และของใช้ เป็ นสิ่ งของที่มีรูปร่ างแน่นอนสัมผัสได้และไม่มีชีวติ เราเรี ยกของเล่น และของ ใช้น้ ีวา่ วัตถุ เช่น ตะกร้าใส่ ขยะ ลูกฟุตบอล ไม้กวาด โต๊ะ เก้าอี้ ตะกร้า

ทําจาก พลาสติก

ลูกฟุตบอล ทําจาก หนัง ไม้กวาด

ทําจาก ไม้ไผ่ ดอกหญ้า และเชือก

โต๊ะ ทําจาก ไม้ เก้าอี้ ทําจาก ไม้ ของเล่นและของใช่ทุกชนิ ดเป็ นวัตถุ ซึ่ งทําจากวัสดุต่างๆ ของเล่นและของใช้แต่ละอย่างอาจทําจากวัสดุเพียงชนิดเดียว หรื อหลายชนิดก็ได้ เช่น กระเป๋ า หนังสื อ ไม้กวาด

เรื่ อง มาออกแรงกันเถอะ แรงทําให้วตั ถุเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ โดยเปลี่ยนจาก หยุดนิ่ง เป็ น เคลื่อนที่ เคลื่อนที่อยูแ่ ล้ว เป็ นเคลื่อนที่เร็ วขึ้น ช้าลง หรื อหยุดนิ่ง เปลี่ยนทิศทาง หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 5 ท้ องฟ้ าแสนสวย

เรื่ อง ท้องฟ้าของเรา ท้องฟ้าเวลากลางคืนต่างกับเวลากลางวัน ในท้องฟ้าเวลากลางวันมีดวงอาทิตย์ส่วนกลางคืนจะเห็น ดวงจันทร์ และดวงดาวสวยงาม

ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 ชี วติ พืชและสั ตว์

เรื่ อง มีไรอยูใ่ นเมล็ด ภายนอกพืชมีราก ลําต้น ใบ ดอก และผล ภายในผลจะมีส่วนที่เป็ นเนื้ อและส่ วนที่เป็ นเมล็ด ภายใน เมล็ด มีเปลือกหุ ม้ เมล็ด จะมีส่วนที่มีสีขาวหนา 2 ซี กและส่ วนที่คล้ายต้นและใบเล็ก เรี ยกว่า ต้นอ่อน เรื่ อง พืชต้องการอะไรในการเจริ ญเติบโตและการดํารงชีวิต การเจริ ญเติบโตสังเกตได้จากส่ วนสู งที่เพิ่มขึ้น จํานวนใบมีมากขึ้นขนาดของรากและรําต้นใหญ่ข้ ึน และสิ่ งที่จาํ เป็ นต่อการเจริ ญเติบโตของพืชก็คือ นํ้า และแสง เรื่ อง ปลูกพืชต้องทําอะไรบ้าง สิ่ งที่จาํ เป็ นต่อการงอกของพืชได้แก่ นํ้า หรื อความชื่ นในดินและปลูกพืชให้เจริ ญเติบโตดีตอ้ งปลูก พืชในที่ได้รับแสง พืชสร้างอาหารได้ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์เมื่อสัตว์มากินพืช จึงได้รับพลังงานจากอาหารที่กิน ด้วย ดังนั้น ดวงอาทิตย์จึงเป็ นแหล่งพลังงานที่สาํ คัญของสิ่ งมีชีวติ การปลูกพืชมีข้ นั ตอน ดังนี้ 1.นําเมล็ดมาเพาะ 2.เตรี ยมสถานที่ปลูก 3.นําต้นกล้าที่เพาะไว้มาปลูก 4.รดนํ้า

การดูแลพืชจะต้องรดนํ้าพรวนดิน ถอนหญ้า ใส่ ปุ๋ยและจับแมลงที่เป็ นศัตรู ของพืช แต่ตอ้ งระวัง แมลงบางชนิดกัดต่อยด้วย

เรื่ อง สัตว์ตอ้ งการอะไรในการเจริ ญเติบโตและการดําลงชีวติ สัตว์ตอ้ งการอาหาร นํ้า และอากาศ เพื่อการเจริ ญเติบโตและการดํารงชีวติ เรื่ อง เรามาเลี้ยงสัตว์กนั ดีไหม สัตว์ที่นาํ มาเลี้ยงต้องไม่เป็ นอันตราย การเลี้ยงสัตว์ตอ้ งดูแลให้อาหาร ให้ความรัก เอาใจใส่ ดูแล รักษาความสะอาด จัดที่อยูใ่ ห้เหมาะสม ฉี ดวัคซี นป้ องกันโรค ถ้าสัตว์เจ็บป่ วยต้องพาไปหาหมอ (สัตวแพทย์ ก็ คือ หมอรักษาสัตว์ เรื่ อง พืชและสัตว์ตอบสนองต่อสิ่ งเร้าอย่างไร การตอบสนองต่อสิ่ งเร้า คือ การแสดงออกเมื่อมีสิ่งมากระตุน้ เช่น ดอกคุณนายตื่นสาย และใบ ไมยราบ สิ่ งเร้า คือ แสง การสัมผัส การตอบสนองต่อสิ่ งเร้า คือ การหลบแสง การม้วนตัว เรื่ อง พืชและสัตว์ในท้องถิ่นมีประโยชน์อย่างไร พืชมีประโยชน์ต่อคนมากมาย นอกจากเป็ นอาหารแล้วยังนํามาทําเป็ นเครื่ องนุ่งห่ม ทําที่อยูอ่ าศัย ทํายารักษาโรค และเครื่ องใช้อื่นๆ สัตว์มีประโยชน์เป็ นอาหาร ใช้เป็ นพาหนะ ขนสัตว์บางชนิดนํามาทําเครื่ องนุ่งห่ม หนังสัตว์บาง ชนิดนํามาทําเครื่ องใช้ สัตว์บางชนิดมีประโยชน์ทางราชการ

หน่ วยการเรี ยนรู้ ที่ 2 ดินและการใช้ ประโยชน์

เรื่ อง ดินที่เหมาะกับการปลูกพืชเป็ นอย่างไร สามารถแบ่งดินได้ 3 ชนิ ด ดินเหนียว มีเนื้ อเนียน ละเอียดมาก ถ้าเปี ยกนํ้าจะเหนียวติดมือและนํ้าซึ มผ่านได้ยาก อุม้ นํ้าได้ดี เมื่อแห้งจะ แข็งจับตัวกันได้ดี

ดินร่ วน มีเนื้อละเอียดปานกลาง จับดูจะนุ่มมือ ถ้าเปี ยกนํ้าจะไม่เหนียว ติดมือเล็กน้อย นํ้าซึ มผ่านได้เร็ วกว่า ดินเหนียว อุม้ นํ้าได้ปานกลาง เมื่อแห้งจะแตกออกได้ง่ายกว่าดินเหนียว ดินทราย มีเนื้อหยาบ สากมือ ถ้าเปี ยกนํ้าจะไม่ติดมือ นํ้าซึ มผ่านได้เร็ วกว่าดินเหนียวและดินร่ วน จึงอุม้ นํ้า ได้นอ้ ย เมื่อแห้งจะแตกออกได้ง่าย เรื่ อง ดินมีประโยชน์อย่างไร นําดินมาใช้ประโยชน์ในการดํารงชีวิต เช่น ในการปลูกพืช สร้างบ้านเรื อน และเป็ นที่อยูอ่ าศัยของ สิ่ งมีชีวติ

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 ชี วติ ของเรา

เรื่ อง เราต้องการอะไรในการเจริ ญเติบโตและการดํารงชีวิต มนุษย์เป็ นสิ่ งมีชีวติ ย่อมต้องการ อาหาร นํ้า และอากาศ ในการเจริ ญเติบโตและการดํารงชีวติ อาหารเป็ นสิ่ งที่กินเข้าไปแล้วมีประโยชน์ต่อร่ างกาย ทําให้ร่างกายเจริ ญเติบโต ถ้าร่ างกายขาด อาหารร่ างกายก็จะผอมไม่เจริ ญเติบโตและอาจตายได้ อาหารหลักที่เรากินแบ่งออกเป็ น 5 หมู่

นอกจากกินอาหารให้ครบ5 หมู่ และเพียงพอกับความต้องการของร่ างกายแล้วต้องออกกําลังกาย เด็กๆควรดื่มนมทุกวันช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง และต้องดื่มนํ้า นํ้าเป็ นสิ่ งจําเป็ นอย่างยิง่ ต่อการ ดํารงชีวิตเราควรดื่มนํ้าวันล่ะ 6-8 แก้ว ถ้าออกกําลังกายร่ างกายจะมีการขับเหงื่อและสู ญเสี ยนํ้า จึงต้องดื่มนํ้า เพื่อทดแทน ถ้าเหนื่ อยมากๆไม่ควรดื่มนํ้าทันที ควรพักให้หายเหนื่ อยก่อนแล้วค่อยดื่มนํ้าทีละน้อย นอกจากอาหารและนํ้าแล้ว คนเรายังต้องการอากาศในการหายใจ อากาศบริ สุทธิ์ มีผลดีต่อสุ ขภาพ

เรื่ อง ร่ างกายมีการตอบสนองต่อสิ่ งเร้าอย่างไร ร่ างกายมนุษย์จะตอบสนองต่อสิ่ งเร้า คือ แสง อุณหภูมิ และการสัมผัส เช่น การโบกมือ กินผล มะยม การสัมผัสก้อนนํ้าแข็ง แสงไฟฉายเป็ นสิ่ งเร้า การกระพริ บตา นํ้าลายไหล สะดุง้ หลับตา เป็ นการ ตอบสนองต่อสิ่ งเร้า

หน่ วยการเรี ยนรู้ ที่ 4 ของเล่ นของใช้

เรื่ อง ของเล่นของใช้ทาํ จากวัสดุอะไรบ้าง ของเล่นและของใช้ทุกชนิดจัดว่าเป็ นวัตถุ และวัตถุต่างๆเหล่านี้ทาํ มาจากสิ่ งใด เราเรี ยกสิ่ งนั้นว่าวัสดุ เรื่ อง เลือกวัสดุมาทําของเล่นของใช้อย่างไรจึงจะเหมาะสมและปลอดภัย การเลือกวัสดุเพื่อนํามาทําของเล่นของใช้ ได้อย่างไรเหมาะสมและปลอดภัยจะต้องรู ้สมบัติของวัสดุ ที่จะนํามาทําสิ่ งของนั้นๆก่อน การซึ มผ่านของนํ้า เป็ นสมบัติอย่างหนึ่งของวัสดุ การที่น้ าํ ซึ มผ่านวัสดุต่างๆ ได้ไม่เท่ากันจึงนําไปใช้ประโยชน์ได้ต่างกัน สมบัติของวัสดุ คือ ลักษณะเฉพาะตัวของวัสดุ ที่แสดงว่า วัสดุชนิดหนึ่งเหมือน หรื อแตกต่างจาก วัสดุอีกชนิดหนึ่ง เรื่ อง มาประดิษฐ์ของเล่นของใช้จากวัสดุในท้องถิ่นกันเถอะ ทําแล้วต้องใช้ประโยชน์ได้ สวยงามและแปลกใหม่ดว้ ยก็ดี เรื่ อง เลือกใช้สิ่งของอย่างไรจึงจะเหมาะสมและปลอดภัย

การเลือกสิ่ งของมาใช้งานให้เหมาะสมและปลอดภัยจะต้องพิจารณาจากสมบัติของวัสดุที่ใช้ ทําสิ่ งของนั้น

หน่ วยการเรี ยนรู้ ที่ 5 สนุกกับแม่ เหล็กและไฟฟ้ า

เรื่ อง มาสนุกกับแม่เหล็กกันเถอะ วัตถุที่สามารถดึงดูดเหล็กได้ เราเรี ยกว่า แม่เหล็ก แม่เหล็กจะดึงดูดวัตถุที่ทาํ ด้วยเหล็กเราเรี ยกแรง ดึงดูดนี้ วา่ แรงแม่เหล็ก และเรี ยกวัตถุที่แม่เหล็กดึงดูดได้วา่ สารแม่เหล็ก สามารใช้แม่เหล็กแยกวัตถุที่ทาํ ด้วย เหล็กออกจากวัตถุอื่นๆได้ ปลายแม่เหล็กแต่ละแท่งมีสมบัติต่างกัน เรี ยกปลายแต่ละด้านว่า ขั้วแม่เหล็ก แรง ที่เกิดขึ้นระหว่างแม่เหล็กก็เรี ยกว่า แรงแม่เหล็ก ปลายที่ช้ ีไปทางทิศเหนื อ เรี ยกว่า ขั้วเหนือ (N) และชี้ไปทาง ทิศใต้วา่ ขั้วใต้ (S) รอบๆแท่งแม่เหล็กมีแรงแม่เหล็กกระทําด้วยนั้นคือรอบๆแท่งแม่เหล็กมีสนามแม่เหล็ก เรื่ อง แรงฟ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร เมื่อวัตถุถูกขัดถูจะทําให้เกิดประจุไฟฟ้าแรงระหว่างประจุไฟฟ้าที่เกิดขึ้น เรี ยกว่า แรงไฟฟ้า วัตถุ บางชนิดที่ผา่ นการถูมาแล้ว เมื่อนําเข้าใกล้กนั วัตถุท้ งั สองอาจดึงดูดกันหรื อผลักซึ่ งกันและกัน แรงที่เกิดขึ้น ระหว่างวัตถุท้ งั สองนี้ก็เป็ นแรงไฟฟ้า เรื่ อง มารู ้จกั พลังงานไฟฟ้ากันเถอะ แหล่งกําเนิดไฟฟ้าคือแหล่งกําเนิดพลังงาน เรื่ อง พลังงานไฟฟ้าเปลี่ยนเป็ นพลังงานอื่นได้หรื อไม่ พลังงานไฟฟ้าเปลี่ยนเป็ นพลังงานอื่นได้ เช่น พลังงานกล แสง ความร้อน และเสี ยง พลังงานกล คือ วัตถุที่สั่นหรื อเคลื่อนที่ได้ แสดงว่า วัตถุมีพลังงานกล

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 6 ประโยชน์ ของดวงอาทิตย์

เรื่ อง ดวงอาทิตย์มีประโยชน์อย่างไร ดวงอาทิตย์เป็ นแหล่งพลังงานที่สาํ คัญที่ให้ความร้อน และแสงสว่าง สิ่ งมีชีวติ ทั้งพืชและสัตว์ ต้องการพลังงานความร้อน และพลังงานแสง เพื่อช่วยในการดํารงชีวติ เช่น พืชใช้แสงสว่างช่วยในการสร้าง อาหาร ส่ วนคนและสัตว์ใช้แสงสว่างและความร้อนในการดําเนินกิจกรรมต่างๆ นอกจากนี้เราสามารถนําเอา แสงสว่างมาผลิตเป็ นกระแสไฟฟ้าได้ดว้ ย เซลล์สุริยะ

ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 3 หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 ชีวติ สั มพันธ์

เรื่ อง ทําไมลูกถึงคล้าย พ่อ แม่ ลักษณะที่ถ่ายทอดจากพ่อ แม่สู่ลูกเป็ น ลักษณะทางพันธุกรรม สิ่ งมีชีวิตชนิดใดย่อมเกิดจาก สิ่ งมีชีวติ ชนิดนั้น เช่น ลูกแมวเกิดจากพ่อ แม่แมว ลูกมนุษย์ก็เกิดจากพ่อแม่มนุษย์ ลูกจะมีลกั ษณะคล้ายคลึง กับพ่อหรื อแม่ ทั้งนี้ เพราะลูกได้รับการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุ กรรมจากพ่อแม่ เนื่องจากสัตว์ก็มีการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุ กรรม ดังนั้นถ้าอยากได้สัตว์ที่มีลกั ษณะดีตาม ต้องการ ก็ตอ้ งเริ่ มจากการคัดเลือกพ่อพันธุ์และแม่พนั ธุ์ เช่น นําพ่อวัวพันธุ์ต่างประเทศที่ตวั โตและให้เนื้ อ มาก มาผสมกับแม่ววั พันธุ์ไทยที่มีความแข็งแรงและทนต่อสภาพอากาศ เพื่อให้ได้ลูกพันธุ์ใหม่ที่มีลกั ษณะดี จากทั้งพ่อและแม่ ลูกวัวพันธุ์ใหม่เป็ นลูกผสมที่มีลกั ษณะคล้ายพ่อแม่ที่ต่างสายพันธุ์ การทําให้ได้สัตว์พนั ธุ์ ใหม่ที่มีลกั ษณะดีกว่าพ่อแม่เช่นนี้ เรี ยกว่า การพัฒนาสายพันธ์ สัตว์ การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุ กรรม นอกจากจะนํามาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาสายพันธุ์สัตว์แล้ว ยังสามารถนําความรู ้มาพัฒนาสายพันธุ์พืชได้ ด้วย เช่น พัฒนาสายพันธุ์ขา้ ว เรื อง สิ่ งมีชีวติ ดํารงชีวติ อยูใ่ นสภาพแวดล้อมได้อย่างไร สิ่ งมีชีวติ ทุกชนิดต้องมีรูปร่ างลักษณะที่เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่อาศัยอยู่ ทําให้สามารถอยูร่ อด ในธรรมชาติและมีลูกหลานเพื่อการดํารงพันธุ์ต่อไปได้ สัตว์ยงั มีการปรับพฤติกรรมเพื่อการอยูร่ อด สัตว์ หลายชนิดมีการย้ายที่อยูอ่ าศัยจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ***การดํารงพันธุ์ หมายถึง การที่สิ่งมีชีวติ แต่ละชนิดดํารงเผ่าพันธุ์อยูไ่ ด้ ไม่สูญหายไป

นอกจากสัตว์แล้วพืชแต่ละชนิดจะต้องมีลกั ษณะเหมาะสมกับสิ่ งแวดล้อมที่อาศัยอยู่ เช่น พืชนํ้า บาง ชนิดมีทุ่น บางชนิ ดใบจะแผ่เป็ นแผนบางสําหรับพยุงให้ลาํ ต้นลอยนํ้า บางชนิ ดลําต้นกลวง หรื อมีรูพรุ น เพื่อให้มีน้ าํ หนักเบาลอยนํ้าได้ มนุษย์สามารถดํารงชีวติ ในสภาพแวดล้อมต่างๆได้โดยคิดประดิษฐ์เครื่ องนุ่งห่ม และจัดหาอุปกรณ์ มาช่วยในการดํารงชี วติ และในการทํากิจกรรมต่างๆให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมได้ เรื่ อง ยังมีชีวติ ให้เห็นหรื อไม่ การสู ญพันธุ์ คือ การที่พืชและสัตว์ซ่ ึ งครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตอยูใ่ นโลก แต่ได้ตายไปหมดแล้ว ไม่มี เหลืออยูใ่ นปั จจุบนั ไม่มีใครเคยเห็นตัวจริ งของไดโนเสาร์ แต่นกั วิทยาศาสตร์ ศึกษาจาดซากดึกดําบรรพ์หรื อ ฟอสซิ ลของโครงกระดูกไดโนเสาร์ ทําให้สามารถคาดคะเนรู ปร่ างไดโนเสาร์ ได้ (ซากดึกดําบรรพ์หรื อ ฟอสซิ ล คือ ซากของสิ่ งมีชีวติ ที่ตายแล้วและถูกรักษาสภาพไว้ในหิ น หรื อยางไม้ หรื อในนํ้าแข็ง ซากดึกดํา บรรพ์ส่วนใหญ่เป็ นร่ องรอยที่แสดงรู ปร่ างของเปลือกหอย กระดูกสัตว์ หรื ใบไม้) นอกจากไดโนเสาร์แล้ว ยังมีสัตว์และพืชจํานวนมากที่ได้สูญพันธุ์ไปจากโลก สําหรับประเทศไทย สัตว์บางชนิดได้สูญพันธุ์ไปแล้ว มีแต่รูปให้ดู เช่น สมัน กูปรี แต่ในประเทศเพื่อนบ้านยังมีอยู่ เรื่ อง สิ่ งมีชีวติ มีความสัมพันธ์กบั สิ่ งแวดล้อมอย่างไร สิ่ งมีชีวติ มีความสัมพันธ์กบั สิ่ งแวดล้อมทั้งสิ่ งไม่มีชีวติ ความสัมพันธ์ของสิ่ งมีชีวติ กับสิ่ งมีชีวติ เช่น นกทํารังบนต้นไม้ ออกไข่เลี้ยงลูกในรัง และกินผลไม้ หนอน แมลงบนต้นไม้ แสดงว่า นกอาศัยต้นไม้เป็ นที่ อยู่ แหล่งอาหาร และแหล่งเลี้ยงดูลูกอย่างปลอดภัย ความสัมพันธ์ของสิ่ งมีชีวติ กับสิ่ งไม่มีชีวติ เช่น ปลาต้องอาศัยในนํ้าตลอดชีวติ โดยกินอาหาร หายใจ ขับถ่าย เติบโต และมีลูกหลานในนํ้า สิ่ งมีชีวติ ทุกชนิดอยูต่ ามลําพังไมได้ ต้องมีสิ่งแวดล้อมที่สมบูรณ์ดว้ ย

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 นา้ และอากาศ

เรื่ อง นํ้าบนโลกมีอยูท่ ี่ไหนบ้าง นํ้าที่เราเห็นบนผิวโลก เช่น นํ้าทะเล แม่น้ าํ ลําธาร คลอง หนองบึง และนํ้าตก เรี ยกว่า นา้ ผิวดิน นํ้า ผิวดินที่ซึมลงไปใต้ดินไปอยูต่ ามชั้นดินหรื อตามโพรงของชั้นหิ น เรี ยกว่า นา้ ให้ ดิน และยังมีน้ าํ ในอากาศ คือ นํ้าที่ระเหยจะแหล่งนํ้าผิวดินเป็ นไอนํ้าแทรกอยูใ่ นอากาศ นํ้าจากแหล่งนํ้าต่างๆ บนโลก บางแหล่งเป็ นนํ้าจืด บางแหล่งเป็ นนํ้าเค็ม นํ้า 97% นํ้าจืด 3% ของนํ้าบนโลกทั้งหมด

เรื่ อง วันหนึ่งๆเราใช้น้ าํ ทําอะไรบ้าง นอกจากเราใช้น้ าํ สําหรับดื่มแล้ว ยังใช้น้ าํ วันหนึ่งๆ ซักผ้า ล้างรถ ลดนํ้าต้นไม้ ล้างจาน ฯลฯ

เรื่ อง สมบัติของนํ้าเป็ นอย่างไร สมบัติที่สาํ คัญของนํ้า คือ 1.นํ้าที่ปรากฏบนโลกตามธรรมชาติมีได้ท้ งั 3 ลักษณะ คือ ของแข็ง ของเหลว และแก๊ส 2.นํ้าละลายสารบางอย่างได้ 3.นํ้าเปลี่ยนรู ปร่ างได้ตามภาชนะที่บรรจุ 4.ผิวหน้าของนํ้าอยูใ่ นแนวราบเสมอ

เรื่ อง คุณภาพของนํ้าเป็ นอย่างไร สี กลิ่น และความโปร่ งใสของนํ้า เป็ นลักษณะที่ใช้บอกคุณภาพเบื้องต้นของนํ้า

เรื่ อง อากาศมีส่วนประกอบอะไรบ้าง

เรื่ อง อากาศอยูท่ ี่ไหนบ้าง อากาศมีอยูท่ ุกหนทุกแห่งรอบตัวเรา ทั้งในนํ้า ในดิน ในสิ่ งต่างๆ รวมทั้งในร่ างกายของเรา ตลอดจนตามที่วา่ งในสิ่ งต่างๆซึ่ งเรามองไม่เห็นแต่สามารถตรวจสอบได้ เรื่ อง อากาศมีสมบัติอย่างไร อากาศมีมวล มีน้ าํ หนัก ต้องการที่อยู่ มีแรงกระทําต่อวัตถุทุกทาง อากาศมีมวล โลกจึงดึงดูดอากาศ ไว้ให้ห่อหุ ม้ โลกเป็ นชั้นๆ เรี ยกชั้นของอากาศที่ห่อหุ ม้ โลกว่า บรรยากาศ เรื่ อง อากาศสําคัญอย่างไร อากาศมีความสําคัญต่อสิ่ งมีชีวติ ในการหายใจ อากาศที่ห่อหุ ม้ โลกอยูโ่ ดยรอบทําให้โลกมีสภาพ เหมาะสมต่อการดํารงชี วติ ของสิ่ งมีชีวติ ทั้งหลาย นอกจากนี้อากาศยังมีประโยชน์ในกิจกรรมประจําวันอีก มาก

เรื่ อง อากาศเคลื่อนที่ได้เพราะเหตุใด ในสถานที่ต่างกัน ถ้าอุณหภูมิของอากาศไม่เท่ากันจะที่ให้อากาศเคลื่อนที่จากบริ เวณที่มีอุณหภูมิต่าํ กว่าไปยังบริ เวณที่มีอุณหภูมิสูงกว่า อากาศที่เคลื่อนที่ตามแนวราบ เรี ยกว่า ลม

หน่ วยการเรี ยนรู้ ที่ 3 ทรัพยากรธรรมชาติในท้องถิ่น

เรื่ อง ท้องถิ่นของเรามีทรัพยากรธรรมชาติอะไรบ้าง ทะเล ภูเขา แม่น้ าํ ป่ าไม้ จัดเป็ นทรัพยากรธรรมชาติที่มีคุณค่ายิง่ เพราะเต็มไปด้วยดิน หิ น นํ้า ต้นไม้ สัตว์น้ าํ สัตว์ป่า ตลอดจนนํ้ามันดิบ ถ่านหิ น และแร่ ต่างๆ ดิน เกิดจากการผุพงั สลายตัวของหิ น ทับถมกับซากพืชซากสัตว์เป็ นเวลานาน ดินมีความสําคัญต่อการ ดํารงชีวิตของสิ่ งมีชีวิตทุกชนิ ด มนุษย์ใช้ดินสร้างที่อยูอ่ าศัย ปลูกพืชเลี้ยงสัตว์และประกอบอาชีพต่างๆ นํ้า มีความสําคัญต่อการดํารงชีวติ ของสิ่ งมีชีวิต มนุษย์ใช่น้ าํ ในการอุปโภค บริ โภค การเกษตร การประมง การคมนาคม และการขนส่ ง นอกจากนี้ยงั ใช้พลังงานจากนํ้าในการผลิตกระแสไฟฟ้าอีกด้วย แร่ เป็ นทรัพยากรที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่น ควอตซ์ เหล็ก ดีบุก ตะกัว่ สังกะสี อะลูมิเนียม ทองคํา เป็ น ต้น มนุษย์มีการนําแร่ ต่างๆมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจําวัน เช่น นํามาทําสิ่ งของเครื่ องใช้ เครื่ องประดับ สิ่ งก่อสร้าง ยานพานะและใช้เป็ นวัตถุดิบในโรงงานอุสาหกรรมตลอดจนเป็ นสิ นค้าส่ งออก ป่ าไม้ มีพืชพรรณไม้นานาชนิดและเป็ นที่อยูอ่ าศัยของสัตว์ป่า มนุษย์นาํ เอาผลิตผลจากป่ าไม้มาใช้ประโยชน์ มากมาย เช่น ก่อสร้าง อาหาร ยาสมุนไพร

หน่ วยการเรี ยนรู้ ที่ 4 วัสดุรอบตัว

เรื่ อง วัสดุธรรมชาติหรื อวัสดุสังเคราะห์ วัสดุธรรมชาติ สามารถนํามาใช้โดยตรงหรอปรับปรุ งเปลี่ยนแปลงให้มีคุณภาพเหมาะสมกับการใช้ งาน เช่น ไม่ไผ่ใช้ทาํ โต๊ะ เก้าอี้ แคร่ ดินเหนียวใช้สร้างบ้าน ทําโอ่ง กระถ่าง แจกัน สําหรับใยไหมต้องนํามา กรอเป็ นเส้นไหมก่อนแล้วจึงนําไปทอเป็ นผืนผ้าใช้ตดั เสื้ อ และทําของใช้อื่นๆ วัสดุสังเคราะห์ เป็ นวัสดุที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยนําวัสดุธรรมชาติมาผ่านกระบวนการทางเคมีเพื่อให้ ได้วสั ดุชนิดใหม่ที่มีสมบัติและคุณภาพต่างไปจากเดิมแล้วจึงนํามาใช้ประโยชน์ เช่น นํายางธรรมชาติมาผ่าน กระบวนการทางเคมี ได้เป็ นยางสังเคราะห์ซ่ ึ งทนทานและยืดหยุน่ มากกว่ายางธรรมชาติ เช่น ยางรถยนต์ เรื่ อง ของเล่นของใช้แต่ละอย่างทําจากวัสดุกี่ชนิด การนําวัสดุมาทําสิ่ งของเครื่ องใช้ต่างๆ สิ่ งสําคัญที่ตอ้ งพิจารณา คือ สมบัติของวัสดุที่นาํ มาใช้น้ นั ต้องให้เหมาะสมกับการใช้งานขงสิ่ งของนั้นๆ วัสดุต่างชนิ ดกันสามารถนํามาใช้ทาํ สิ่ งของที่ใช้งานอย่าง เดียวกันได้หรื อวัสดุชนิดเดียวกันสามารถนํามาใช้ทาํ สิ่ งของที่ใช้งานต่างกันได้ สิ่ งของบางอย่าง เช่น กาชง ชา ทําจากวัสดุหลายชนิด ฝากาและหูกา ทําด้วยพลาสติกแข็งที่ทนความร้อน จับแล้วไม่ร้อนมือ และมีโลหะ แผ่นบางๆคาดรอบก้นกาเพื่อยึดกับหู กา ตัวกา ทําด้วยแก้วใส มองเห็นข้างในด้าน ทนความร้อน ที่กรองใบ ชา อยูด่ า้ นในตัวกรองใบชาไม่ให้ออกไปปนกับนํ้าชา เรื่ อง วัสดุเกิดการเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร การบีบ บิด ทุบ ดัด ดึง ทําให้ร้อนขึ้นหรื อทําให้เย็นลง ล้วนมีผลทําให้วสั ดุเกิดการเปลี่ยนแปลง เรื่ อง การเปลี่ยนแปลงของวัสดุทาํ ให้เกิดผลอย่างไร วัสดุบางชนิดเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงอาจให้ท้ งั ประโยชน์และโทษ ตัวอย่างเช่น ใช้ฟืนหุ งต้มอาหาร ความร้อนจากการเผาไหม้ไม้ช่วยทําให้อาหารสุ ก ขณะเดียวกันก็จะเกิดควันและเขม่าปะปนอยูใ่ นอากาศ สกปรกเป็ นอันตรายต่อระบบหายใจของมนุษย์ สัตว์และพืช

หน่ วยการเรี ยนรู้ ที่5 แรงและการเคลื่อนที่

เรื่ อง วัสดุเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ได้เพราะใด แรงทําให้วตั ถุเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ คือ เปลี่ยนจากหยุดนิ่งเป็ นเคลื่อนที่ และเปลี่ยนจาก เคลื่อนที่เป็ นเคลื่อนที่เร็ วขึ้น ช้าลง หยุดนิ่งหรื อเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่ได้ เรื่ อง อะไรทําให้ทาํ ให้วสั ดุตกสู่ พ้นื แรงโน้ มถ่ วงของโลก หรื อแรงดึงดูดของโลก แรงที่ทาํ ให้วตั ถุตกสู่ พ้นื มาจากแรงที่โลกดึงดูดวัตถุ แรงที่โลกดึงดูดวัตถุ คือ นา้ หนักของวัตถุ เรื่ อง ขนาดของแรงวัดได้อย่างไร เราวัดขนาดของแรงได้โดยใช้ตาชัง่ สปริ งโดยถ้าออกแรงดึงสปริ งมาก สปริ งก็จะยืดมาก ค่าแรงที่ อ่านได้จากตาชัง่ ก็มีค่ามาก ***แรงมีหน่วยเป็ นนิวตัน(N) เรื่ อง ชัง่ นํ้าหนักของวัตถุได้อย่างไร การที่วตั ถุมีมวลไม่เท่ากันทําให้โลกดึงดูดวัตถุดว้ ยแรงไม่เท่ากัน วัตถุจึงมีน้ าํ หนักไม่เท่ากัน วัตถุที่มี มวลน้อย โลกจะดึงดูดด้วยแรงน้อยจึงมีน้ าํ หนักน้อย วัตถุที่มีมวลมากโลกจะดึงดูดด้วยแรงมากจึงมีน้ าํ หนัก มาก นํ้าหนักของวัตถุ คือ แรงที่โลกดึงดูดวัตถุและเนื่องจากแรงมีหน่วยเป็ นนิวตัน ดังนั้น นํ้าหนักของวัตถุ จึงมีหน่วยเป็ นนิวตัน ***มวล คือ เนื้ อสารมีหน่วยเป็ นกรัม หรื อ กิโลกรัม

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 6 ไฟฟ้ าในบ้ าน

เรื่ อง พลังงานไฟฟ้าได้มาได้อย่างไร พลังงานไฟฟ้าจะเกิดขึ้นได้เมื่อหมุนแท่งแม่เหล็กระหว่างขดลวด เรี ยกเครื่ องมือนี้วา่ เครื่ องกาเนิด ไฟฟ้ า เรื่ อง แหล่งพลังงานที่ใช้ผลิตพลังงานไฟฟ้ามะไรบ้าง แหล่งพลังงานมีจาํ กัด เป็ นแหล่งพลังงานที่ใช้แล้วหมดไป เช่น นํ้ามัน แก๊สธรรมชาติ ถ่านหิ น แหล่งพลังงานหมุนเวียน เป็ นแหล่งพลังงานที่ใช้แล้วไม่หมด หรื อหามาทดแทนได้ เช่น ลม นํ้า แสงอาทิตย์ ฟื น เรื่ อง ใช้ไฟฟ้าอย่างไรจึงจะประหยัดและปลอดภัย ในการเลือกใช้เรื่ องใช้ไฟฟ้า ต้องเลือกที่มีมาตรฐาน จะได้ใช้อย่างปลอดภัย เครื่ องใช้ไฟฟ้าที่มี มาตรฐานต้องมีเครื่ องหมายรับรองมาตรฐาน เครื่ องหมายมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.)

หน่ วยการเรี ยนรู้ ที่ 7 ปรากฏการณ์ ของโลกและดวงอาทิตย์

เรื่ อง ดวงอาทิตและดวงจันทร์ ข้ ึนและตกทางไหน ทางด้านที่ดวงอาทิตย์ข้ ึน เรี ยกว่า ทิศตะวันออก และทางด้านที่ดวงอาทิตย์เรี ยกว่า ทิศตะวันตก

ดวงจันทร์ มีการขึ้นและตกเหมือนดวงอาทิตย์ คือ ขึ้นจากขอบฟ้าทางด้านทิศตะวันออกและตก ทางด้านทิศตะวันตก เรื่ อง กลางวันกลางคืนเกิดขึ้นได้อย่างไร กลางวันกลางคืนเกิดขึ้นเนื่องจากการหมุนรอบตัวเองของโลกขณะโคจรรอบดวงอาทิตย์ ด้านที่หนั เข้ารับแสงสว่างจากดวงอาทิตย์จะเป็ นเวลากลางวัน ส่ วนด้านที่อยูต่ รงกันข้ามจะมืดเป็ นเวลากลางคืน โดยที่ โลกหมุนรอบตัวเอง 1 รอบ ใช้เวลา 1 วัน จึงเกิดกลางวันและกลางคืนสลับกันไปเรื่ อยๆ

ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 การดารงชีวติ ของพืช

ท่อลําเลียงและปากใบของพืช พืชจะมีการลําเลียงนํ้าและธาตุอาหารต่าง ๆ จากดินผ่านทางรากไปสู่ ลาํ ต้น กิ่ง ก้าน และใบ โดย ผ่านท่อลําเลียง เรี ยกว่า ท่อลาเลียงนา้ ส่ วนอาหารที่พืชได้มาจากกระบวนการสังเคราะห์ดว้ ยแสง จะถูก ลําเลียงให้แก่เซลล์ต่างทัว่ ลําต้นและราก โดยลําเลียงผ่านท่อลาเลียงอาหาร ที่บริ เวณผิวใบพืชมีรูเล็กๆ เรี ยก ปากใบ ทําหน้าที่แลกเปลี่ยนแก๊สและคายนํ้า ปากใบจะปิ ดเมื่ออากาศแห้งและร้องเพื่อป้ องกันการสู ญเสี ยนํ้า ออกจากต้น ปั จจัยบางประการที่จาํ เป็ นต่อการเจริ ญเติบโตของพืช พืชแต่ละชนิดจะเจริ ญเติบโตได้ดีในที่ต่างๆกัน ถ้านําพืชมาปลูกผิดที่หรื อที่ที่ไม่เหมาะสมก็จะไม่ เจริ ญงอกงามหรื อตายได้ พืชบก พืชนํ้า พืชที่ข้ ึนในทะเลทราย พืชในที่ลุ่มนํ้าขัง พืชจะเจริ ญเติบโตและ ดํารงชีวิตอยูไ่ ด้ยอ่ มต้องการสิ่ งแวดล้อมที่เหมาะสม พืชเจริ ญเติบโตและดํารงชีวิตอยูไ่ ด้ตอ้ งอาศัยดิน นํ้า อากาศ แสง และอุณหภูมิ ที่เหมาะสม ปั จจัยบ้างประการที่จาํ เป็ นต่อการสังเคราะห์ดว้ ยแสงของพืช พืชสามารถสร้างแป้ งซึ่ งเป็ นอาหารได้ โดยเกิดขึ้นที่ส่วนสี เขียวของพืช คือ ที่ใบเป็ นส่ วนใหญ่ เรา เรี ยกกระบวนการที่พืชสร้างแป้ งว่า กระบวนการสั งเคราะห์ ด้วยแสง ปั จจัยสําคัญในการบวนการสังเคราะห์ ด้วยแสง ได้แก่ 1.นํ้า 2.แก๊สคาร์ บอนไดออกไซด์

3.แสง 4.คลอโรฟิ ลล์ 5.อุณหภูมิที่เหมาะสม

การตอบสนองต่อสิ่ งเร้าของพืช พืชมีการตอบสนองต่อสิ่ งรอบตัว สิ่ งเร้าที่ทาํ ให้พืชตอบสนองมีหลายอย่าง ได้แก่ ความชุ่มชื้น ความร้อน หนาว แสงสว่าง พืชตอบสนองต่อสิ่ งเร้าด้วยการเจริ ญของลําต้นขึ้นสู่ อากาศเพื่อรับแสง และ การเจริ ญของรากลงสู่ พ้นื ดินเพื่อดูดนํ้าและธาตุอาหารหรื อการหุ บใบของต้นไมยราบเมื่อถูกสัมผัส

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 การตอบสนองต่ อสิ่ งเร้ าของสั ตว์

พฤติกรรมสัตว์ พฤติกรรมสัตว์ หมายถึง การกระทํา อาการ หรื อการแสดงออกของสัตว์ ทางกล้ามเนื้อ ความรู ้สึก และความคิดเพื่อตอบสนองต่อสิ่ งเร้าทั้งภายนอกแลภายในร่ างการของสัตว์ -สิ่ งเร้าภายนอก ได้แก่ อุณหภูมิ แสงสว่าง เสี ยง กลิ่น อาหาร ศัตรู การเครื่ องไหวของสิ่ งต่างๆ -สิ่ งเร้าภายใน ได้แก่ อารมณ์ ความเครี ยด ฮอร์ โมน ของสัตว์แต่ละตัว พฤติกรรมส่ วนใหญ่ของสัตว์แสดงออกมาเพื่อประโยชน์ในการดํารงชีวติ และเพื่อความอยูร่ อด บางอย่างก็เป็ นพฤติกรรมทีม่ ีมาตั้งแต่ กาเนิด และบ้างอย่างก็เป็ นพฤติกรรมทีเ่ กิดจากการเรี ยนรู้ ทีหลัง -พฤติกรรมที่มีมาตั้งแต่กาํ เนิ ด เช่น การดดูดนมแม่ การฟั กไข่ -พฤติกรรมที่เกดจากการเรี ยนรู ้ เช่น การร้องเพลงของนก การจิกกินวัตถุที่มีลกั ษณะเป็ นเม็ดเล็กๆของลูกไก่

พฤติกรรมของสัตว์ที่ตอบสนองต่อสิ่ งเร้า เมื่อได้รับแสง เช่น แมลงต่างๆที่บินเข้าหาแสงสว่าง เมื่อเกิดสุ ริยปุ ราคาจะบินกลับรังเนื่องจาก สภาพคล้ายเวลาพลบคํ่า เมื่อมีอากาศร้อนหรื ออุณหภูมิสูงขึ้น เช่น จิ้งเหลน กิ้งก่า งู จะหลบร้อนอยูต่ าม โพรงไม้หรื อในที่ร่ม กบ อึ่งอ่าง คางคก มีจะหนี ร้อนด้วยการจําศีล สัตว์บางชนิดมีการตอบสนองต่อนา้ ซึ่ง เป็ นสิ่ งเร้า เช่น กบ คางคก ออกหาอาหารในเวลากลางคืน เมื่อมีความชุ่มชื่ นพอเหมาะสัตว์ในทะเลทรายจะ ออกหากินในเวลากลางคืนเพื่อลดการสู ญเสี ยนํ้า สัตว์บางชนิดตอบสนองเมื่อได้รับการสั มผัสเป็ นสิ่ งเร้า เช่น กิ้งกือจะขดตัวเมื่อถูกสัมผัส อึ่งอ่างจะพองตัวเมื่อได้รับการสัมผัส การส่ งสัญญาณเสี ยงเป็ นสิ่ งเร้าที่มี ความสําคัญมาก สัตว์มกั ส่ งเสี ยงร้องเรี ยกหากันเมื่อถูกแยกออกจากฝูง หรื อเมื่อแม่และลูกถูกแยกออกจากกัน การแสดงท่าทางเป็ นการสื่ อสารที่ใช้ได้ในระยะใกล้

ประโยชน์ของการศึกษาพฤติกรรมสัตว์ การศึกษาพฤติกรรมของสัตว์มีประโยชน์ต่อมนุษย์ คือ ทําให้มนุษย์ขยายขอบเขตแห่งความรู ้ เกี่ยวกับความเป็ นอยูข่ องสัตว์ชนิดต่างๆได้กว้างขวางขึ้น ทําให้มนุษย์ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่าง พฤติกรรมของสัตว์กบั การให้ผลผลิตของสัตว์ที่เลี้ยวไว้ รู ้จกั ปรับปรุ งพฤติกรรมของสัตว์เลี้ยง นอกจากนี้ มนุษย์ยงั สามารถนําความรู ้ต่างๆที่ได้น้ ี ไปปรับปรุ งสภาพแวดล้อมต่างๆให้เหมาะสมกับสัตว์เลี้ยง เพื่อให้ได้ ผลตอบแทนสู ง

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 ดินในท้องถิ่น

การเกิดดินและสมบัติของดิน ดินเกิดจากการแตกหักสลายตัวของหิ นและแร่ บริ เวณพื้นผิวโลกโดยกระบวนการผุพงั ในการกร่ อน ทําให้เกิดส่ วนประกอบขนาดต่างๆ ได้แก่ เศษหิ น กรวด ทราย และดิน ตัวกลางที่ทาํ ให้หินและแร่ แตกหัก สลายตัว ได้แก่ ลม นํ้า แรงโน้มถ่วงของโลก ความร้อน รวมทั้งพืชและมนุษย์เอง เมื่อพืชและสัตว์ตายลงก็จะ เน่าเปื่ อยผุพงั รวมกับส่ วนประกอบที่เกิดจากการผุพงั ของหิ นกลายเป็ นดิน

ดินกับการเจริ ญเติบโตของพืช 1.ดินร่ วน มีเนื้อดินค่อนข้างละเอียด เหมาะสําหรับการเพาะปลูกมีการระบายนํ้าดีปานกลาง 2.ดินเหนียว มีธาตุอาหารที่พืชต้องการอยูม่ าก ระบายนํ้าและอากาศได้ไม่ดี แต่อุม้ นํ้าได้ดีเมื่อเปี ยก จะเหนียวและปั้ นเป็ นก้อนได้ 3.ดินทราย เนื้อดินหยาบ มีการระบายนํ้าและอากาศดีมาก อุม้ นํ้าได้นอ้ ย การปรับปรุ งดินให้เหมาะกับการเพาะปลูกทําได้หลายวิธี ได้แก่ การเติมปุ๋ ย การไถพรวนดิน การเติมส่ วน ประกบของดินให้มีสัดส่ วนเหมาะสมและการเพาะปลูกพืชหมุนเวียน การใช้ประโยชน์ของดินในท้องถิ่น ดินเป็ นทรัพยากรที่มีความสําคัญต่อการดํารงชีวิตของมนุษย์ 1.การเพาะปลูกพืช ดินเป็ นแหล่งเพาะปลูกพืชที่นาํ มาทําอาหาร เครื่ องนุ่งห่ม ที่อยูอ่ าศัย 2.การเลี้ยงสัตว์ สัตว์ตอ้ งอาศัยดินเป็ นที่อยู่ 3.ที่อยูอ่ าศัย เราสร้างที่อยูอ่ าศัยบนดินและเราใช้ดินในการทําอิฐ เพื่อใช้ในการก่อสร้างที่พกั อาศัย 4.ทําสิ่ งของเครื่ องใช้ เช่น ดินเหนียวทําเครื่ องปั้ นดินเผา เป็ นต้น 5.การพักผ่อนหย่อนใจ ทําให้เกิดทิวทัศน์สวยงาม และเป็ นสถานที่ท่องเที่ยว เช่น เขาช่องกระจก จังหวัด ประจวบคีรีขนั ธ์

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 แสงและการมองเห็น

การเคลื่อนที่ของแสง แหล่งกําเนิดแสง และเซลล์สุริยะ 1.แหล่งกําเนิดแสง แหล่งกําเนิดแสงแบ่งได้ 2 ประเภท คือ -แหล่งกําเนิดแสงตามธรรมชาติ ได้แก่ ดวงอาทิตย์ ดวงดาว และหิ่ งห้อย

-แหล่งกําเนิดแสงประดิษฐ์ เป็ นแหล่งกําเนิดแสงที่ถูกสร้างขึ้นโดยมนุษย์ ได้แก่ ตะเกียง ไต้ กองไฟ เทียนไข และหลอดไฟ ***แสงเคลื่อนที่เป็ นแนวตรงออกจากแหล่งกําเนิดแสงทุกทิศทาง 2.เซลล์สุริยะ แสงจากดวงอาทิตย์เป็ นพลังงานสะอาดนักวิทยาศาสตร์ประดิษฐ์ เซลล์ สุริยะหรื อโซลาร์ เซลล์ ที่เป็ นเซลล์เล็กๆที่ทาํ หน้าที่เปลี่ยนพลังงานแสงเป็ นพลังงานไฟฟ้าโดยตรงอุปกรณ์ที่ใช้เซลล์สุริยะ เช่น เครื่ องคิดเลข นาฬิกาข้อมือตัวกลาง และการเคลื่อนที่ของแสงกระทบตัวกลาง 1.ตัวกลาง วัตถุที่ก้ นั ทางเดินแสงหรื อตัวกลาง แบ่งได้ 3 กลุ่ม คือ -วัตถุที่ให้แสงผ่านได้เกือบทั้งหมด เรี ยกว่า ตัวกลางโปร่ งใส -วัตถุที่ให้แสงผ่านได้บา้ ง เรี ยกว่า ตัวกลางโปรงแสง -วัตถุที่ไม่ให้แสงผ่านได้เลย เรี ยกว่า วัตถุทบึ แสง 2.การสะท้อนของแสง แนวของแสงที่ตกกระทบกับวัตถุ เรี ยกว่า รังสี ตกกระทบ และแนวแสงที่สะท้อน จากวัตถุเรี ยกว่า รังสี สะท้อน ณ จุดที่แสงตกกระทบ ทําให้เกิดมุม 2 มุม คือ - มุมตกกระทบ เป็ นมุมที่อยูร่ ะหว่างรังสี ตกกระทบกับเส้นปกติ - มุมสะท้อน เป็ นมุมที่อยูร่ ะหว่างรังสี สะท้อนกับเส้นปกติ 3.แสงและเงา เงา คือ บริ เวณมืดหลังวัตถุที่เกิดจากวัตถุมาขวางกั้นทางเดินของแสง เงาที่เกิดแบ่งได้ 2 ชนิด คือ 1.เงามืด คือ เงาในบริ เวณที่ไม่มีแสงผ่านไปถึง ทําให้บริ เวณนั้นมืดสนิท 2.เงามัว คือ เงาในบริ เวณ บางส่ วนผ่านไปถึง และทําให้บริ เวณนั้นมืดไม่สนิท ***เงามืดและเงามัวจะขึ้นอยูก่ บั ระยะใกล้-ไกลของ ฉากกับวัตถุ 4.การหักเหของแสง ความเร็ วของแสงจะเปลี่ยนแปลง การเปลี่ ยนแปลงความเร็ วของแสงทําให้รังสี ของ แสงเบนจากแนวเดิมเรี ยกว่า การหักเหของแสง แสงจะเกิดการหักเหเมื่อความเร็ วของแสงเปลี่ยนแปลง ขณะที่แสงเคลื่อนที่จากตัวกลางชนิดหนึ่งไปยังตัวกลางอีกชนิดหนึ่ง เช่น จากอากาศไปยังแก้วหรื อนํ้า

การมองเห็นวัตถุ เลนส์มี 2 ชนิด คือ เลนส์นูนกับเลนส์เว้า เลนส์ นูน ทําหน้าที่รวมแสง เลนส์ เว้า ทําหน้าที่กระจายแสง ตาเป็ นอวัยวะที่ช่วยในการมองเห็นวัตถุเรามองเห็นวัตถุได้ก็ต่อเมื่อมีแสงเราจะไม่สามารถมองเห็น ได้ คนที่สายตาผิดปกติจะต้องใส่ แว่นตา คนสายตาสั้นสวมแว่นตาทําด้วยเลนส์เว้า และคนสายตายาวสวม แว่นตาทําด้วยเลนส์นูน

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 5 ระบบสุ ริยะ

ดวงอาทิตย์ จักรวาลหรื อเอกภพ คือ ห้วงอวกาศอันกว้างใหญ่ที่ไม่มีขอบเขตแน่นอนประกอบด้วย ดวงดาว ฝุ่ น และแก๊สต่างๆจํานวนมหาศาล ดวงดาวในจักรวาลจะอยูร่ วมกันเป็ นกลุ่มๆ เรี ยกว่า กาแล็กซี หรื อดาราจักร ในจักรวาลมีกาแล็กซี ต่างๆ อยูป่ ระมานหมื่นล้านกาแล็กซี แต่ละกาแล็กซี จะประกอบไปด้วยดวงดาวแสน ล้านดวง ระบบสุ ริยะเป็ นกลุ่มดาวเล็กๆกลุ่มหนึ่งในกาแล็กซี ทางช้างเผือกซึ่ งมีดาวฤกษ์ คือ ดวงอาทิตย์เป็ น ศูนย์กลาง มีดาวเคราะห์ ดาวเคราะห์แคระ ดาวเคราะห์นอ้ ย ดาวหางและวัตถุขนาดเล็กอื่นๆโคจรอยูโ่ ดยรอบ -ดาวฤกษ์เป็ นทรงกลมพลาสมาหรื อกลุ่มแก๊สร้อน ที่แผ่พลังงานความร้อนและพลังงานแสงออกไปใน อวกาศ -ดาวเคราะห์เป็ นวัตถุทรงกลมที่ไม่มีพลังงานความร้อนและพลังงานแสงในตัวเอง โคจรรอบดาวฤกษ์โดยไม่ มีวตั ถุอื่นที่มีวงโคจรอยูใ่ นบริ เวณเดียวกัน -ดาวเคราะห์แคระ เป็ นวัตถุที่มีลกั ษณะเหมือนดาวเคราะห์ แต่มีวงโคจรทับซ้อนหรื อใกล้เคียงกับวัตถุอื่น นักดาราศาสตร์ จําแนกดาวเคราะห์ออกเป็ น 2 กลุ่ม คือ 1.ดาวเคราะห์วงใน หมายถึง ดาวเคราะห์ที่อยูใ่ กล้ดวงอาทิตย์มากกว่าโลก ได้แก่ ดาวพุธ และดาวศุกร์

2.ดาวเคราะห์วงนอก หมายถึง ดาวเคราะห์ที่อยูห่ ่างออกไปจากดวงอาทิตย์มากกว่า ได้แก่ ดาวอังคาร ดาว พฤหัสบดี ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน ดาวบริ วานของดวงอาทิตย์ เมื่อวัตถุต่างๆในระบบสุ ริยะ เช่น ดาวหาง ดาวเคราะห์นอ้ ย สะเก็ดดาวและฝุ่ นเคลื่อนที่ผา่ นเข้ามา ในบรรยากาศของโลกจะเสี ยดสี กบั อากาศมีความร้อนเกิดขึ้นเป็ นจํานวนมากจนทําให้วตั ถุน้ นั แตกตัวเป็ น ไอออน เราจะมองเห็นเป็ นแสงสี ต่างๆ เรี ยกว่า ดาวตก ตกลงมาถึงพื้นดิน เรี ยกว่า อุกกาบาต

ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 หน่ วยการเรียนรู้ ท1ี่ การดารงพันธ์ ของสิ่ งมีชีวติ

เรื่ อง การสื บพันธุ์และการขยายพันธุ์ของพืช พืชที่เห็นโดยทัว่ ไปเมื่อเจริ ญเติบโตเต็มที่ จะมีดอก ซึ่ งมีลกั ษณะ ขนาด และสี สันต่างๆกัน ดอกทํา ให้พืชดูสวยงาม บางชนิดนอกจากจะมีสีสันงดงามแล้วยังมีกลิ่นหอมอีกด้วย สี และกลิ่นของดอกไม้จะล่อ แมลงให้มาช่วยในการสื บพันธุ์ *การสื บพันธุ์ คือ การให้กาํ เนิดสิ่ งมีชีวติ ตัวใหม่หรื อต้นใหม่ ส่ วนประกอบต่างๆที่สาํ คัญของดอก ได้แก่ กลีบเลี้ยง กลีบดอก เกสรเพศผู ้ และเกสรเพศเมีย ดอก บางชนิดมีส่วนประกอดครบในดอกเดียวกัน บางชนิดมีส่วนประกอบไม่ครบในดอกเดียวกัน ดอกที่มีส่วนประกอบทุกส่ วนในดอกเดียวกัน เรี ยกว่า ดอกสมบูรณ์ หรื อดอกครบส่ วน เช่น ดอก หางนกยูง ดอกพริ ก ดอกที่มีส่วนประกอบไม่ครบทุกส่ วนในดอกเดียวกันเรี ยกว่าดอกไม่ สมบูรณ์ หรื อดอก ไม่ครบส่ วนเช่น ดอกมะละกอ ดอกฟักทอง สําหรับดอกที่มีเกสรเพศผูแ้ ละเกสรเพศเมียอยูใ่ นดอกเดียวกัน เรี ยกว่า ดอกสมบูรณ์ เพศ ส่ วนดอกที่มีเกสรเพศเมียอยูค่ นละดอก เรี ยกว่า ดอกไม่ สมบูรณ์ เพศ การถ่ายเรณู และการปฏิสนธิ เกสรเพศผู ้ ประกอบด้วย อับเรณู เรณู และก้านชูอบั เรณู ภายในเรณู มีเซลล์สืบพันธุ์เพศผู ้ เกสรเพศเมีย ประกอบด้วย ยอดเกสรเพศเมียก้านชูเกสรเพศเมีย รังไข่ และออวุล ภายในออวุลมีเซลล์สืบพันธุ์เพศเมียคือ เซลล์ไข่ เมื่อเรณู จากเกสรเพศผูไ้ ปตกบนยอดเกสรเพศเมีย เรี ยกว่า การถ่ายเรณู *การปฏิสนธิ คือ การผสมของเซลล์สืบพันธุ์เพศผูก้ บั เซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย พืชที่มีการสื บพันธุ์โดยการปฏิสนธิ ต้องมีการผสมกันระหว่างเซลล์สืบพันธุ์เพศกับเซลล์สืบพันธุ์ จัดเป็ น การสื บพันธุ์แบบอาศัยเพศ

หลังการปฏิสนธิ แล้วรังไข่จะเจริ ญเติบโตเป็ นผล และออวุลไปเป็ นเมล็ด เมล็ดของพืชส่ วนใหญ่จะอยู่ ภายในผล เมล็ดพืชสามารถขยายพันธุ์ได้พืชที่มีจาํ นวนเมล็ดมากก็จะขยายพันธุ์ได้มาก เช่น มะนาว แตงโม มะละกอ ส้ม เป็ นต้น วัฏจักรชีวติ ของพืชดอก พืชดอกเมื่อเจริ ญเติบโตเต็มที่จะมีดอก ซึ่ งทําหน้าที่ในการสื บพันธุ์ เกิดการปฏิสนธิ ได้เป็ นผลและเมล็ด เมล็ดสามารถงอกเป็ นต้นพืช เมือพืชเจริ ญเติบโตเต็มที่ก็จะมีดอกที่สามารถสื บพันธุ์ได้อีก หมุนเวียนต่อไป เป็ นวัฏจักรชีวติ ของพืชดอก การขยายพันธุ์พืช การปักชา คือ การทําให้กิ่งหรื อต้นพืชเกิดรากหลังจากที่ตดั กิ่งหรื อต้นออกมาจากต้นเดิม เช่น มันสะหลัง ชบา เข็ม สะระแหน่ คุณนายตื่นสาย เป็ นต้น การตอนกิง่ คือ การทําให้ตน้ หรื อกิ่งพืชออกรากขณะที่ยงั ติดอยูก่ บั ต้นเดิม การติดตา คือ เป็ นการติดตาของพืชพันธุ์ดี ติดเข้ากับต้นตอพันธุ์ที่แข็งแรงเพื่อให้ตานั้นเจริ ญเติบโตต่อไปบน พืชที่เป็ นต้นตอ การต่ อกิง่ คือ การนํากิ่งพืชพันธุ์ดีที่มีตามากกว่า 1 ตาขึ้นไปมาเสี ยบกับพืชต้นตอที่แข็งแรง การเพาะเลีย้ งเนื้อเยื่อ คือ การนําเอาส่ วนใดส่ วนหนึ่งของพืชที่มีเนื้อเยือ่ เจริ ญอยูบ่ ริ เวณปลายยอด ตาข้าง ปลายราก หรื อตาดอกของพืช มาเลี้ยงในขวดที่มีอาหารซึ่ งประกอบไปด้วยธาตุอาหาร วิตามินและฮอร์ โมน พืช อาหารต้องอยูใ่ นสภาพที่ปราศจากเชื้ อรา และแบคทีเรี ย แล้วนําขวดไปไว้ในสภาพแวดล้อมที่ควบคุม อุณหภูมิ ความชื่ น และแสงสว่าง การเพาะเลี้ยงเนื้ อเยือ่ เป็ นการขยายพันธุ์พืชที่ได้พืชจํานวนมาก เช่น กล้วยไม้ กล้วย อ้อย มังคุด เป็ น เรื่ อง การจําแนกพืช พืชดอกเมื่อเจริ ญเติบโตเต็มที่จะออกดอก ส่ วนพืชไม่มีดอกถึงแม้เจริ ญเติบโตเต็มที่แล้วก็ไม่มีดอก ดังนั้น จึงจําแนกพืชออกเป็ น 2 ประเภท คือ พืชดอก กับพืชไม่มีดอก เรื่ อง การสื บพันธุ์และการขยายพันธุ์สัตว์ สัตว์เจริ ญเติบโตจนเข้าสู่ วยั ที่สามารถสื บพันธุ์ต่อไปได้ เพศเมียก็แสดงอาการและพฤติกรรมเพื่อสื่ อ ให้เพศผูร้ ู ้วา่ พร้อมที่จะผสมพันธุ์เพศผูจ้ ะแสดงพฤติกรรมเกี้ยวพาราสี จนเพศเมียยอมผสมพันธุ์

ในระหว่างการผสมพันธุ์ สัตว์เพศผูจ้ ะปล่อยนํ้าเชื้ อซึ่ งมีเซลล์สืบพันธุ์เพศผูห้ รื อเซลล์อสุ จิเข้าผสม กับเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย หรื อเซลไข่ การที่เซลล์อสุ จิผสมกับเซลล์ไขเรี ยกว่าการปฏิสนธิ การสื บพันธุ์เช่นนี้ เป็ นการสื บพันธุ์แบบอาศัยเพศ การที่เซลล์อสุ จิเข้าผสมกับเซลล์ไข่ภายนอกร่ างกายของเพศเมียเรี ยกว่า การปฏิสนธิภายนอก การปฏิสนธิ ภายในหมายถึง การที่เซลล์อสุ จิเข้าผสมกับเซลล์ไข่ภายในร่ างกายเพศเมีย จากนั้นเพศ เมียก็ต้ งั ครรภ์และออกลูกมาเป็ นตัวหรื อเป็ นไข่ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม สัตว์จาํ พวกนก สัตว์เลื้อยคลาน และ ปลาบางชนิด เช่น ปลาฉลาม ปลาหางนกยูง จะมีการปฏิสนธิภายใน การสื บพันธุ์แบบไม่ อาศัยเพศของสั ตว์ การสื บพันธุ์ของสัตว์บางชนิ ดไม่ตอ้ งอาศัยเซลล์สืบพันธุ์เพศผู ้ เข้าผสมกับเซลล์สืบพันธุ์เพศเมีย เรี ยกว่า การสื บพันธุ์แบบไม่ อาศัยเพศ ไฮดรา เป็ นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง อยูใ่ นกลุ่มเดียวกับแมงกะพรุ น ลําตัวเล็กมาก รู ปร่ าง ทรงกระบอก มีหนวดรอบช่องปาก อาศัยตามคูน้ าํ สระนํ้า ไฮดราสื บพันธุ์โดยการแตกหน่อออกมาข้างๆ ลําตัว หน่อเหล่านี้สามารถหลุดออกมาเจริ ญเติบโต เป็ นไฮดราตัวใหม่ต่อไปได้ วัฏจักรชีวติ ของสั ตว์ กบมีการปฏิสนธิ ภายนอก ไข่ที่ได้รับการผสมแล้วจะพัฒนาเป็ นตัวอ่อน และตัวอ่อนก็จะ เจริ ญเติบโตและเปลี่ยนแปลงเป็ นตัวเต็มวัย สามารถสื บพันธุ์หมุนเวียนต่อไปเป็ นวัฏจักรชีวติ ของกบ ในขณะที่เป็ นตัวอ่อน กบจะมีลกั ษณะภายนอกแตกต่างจากตัวเต็มวัย ร่ างกายของตัวอ่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปจากระยะที่1 เป็ นระยะที่2 และระยะที่3 จนตัวเต็มวัยที่มีลกั ษณะเหมือนพ่อแม่ จากนั้นก็จะ เจริ ญเติบโตขึ้นโดยเปลี่ยนแปลงขนาดแต่ไม่เปลี่ยนแปลงรู ปร่ าง จนพร้อมที่จะสื บพันธุ์ต่อไป ***วัฏจักรชีวติ ของผีเสื้ อไหม ***วัฏจักรชีวติ ของนกกระจอกเทศ การขยายพันธุ์สัตว์ การผสมเทียม เป็ นวิธีการเพิ่มจํานวนสัตว์ โดยการนําเชื้ อซึ่ งมีเซลล์อสุ จิจากสัตว์เพศผูผ้ สมกับเซลล์ไข่ของ สัตว์เพศเมีย การผสมเทียมสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทําได้โดยการนํานํ้าเชื้ อของพ่อพันธุ์ที่ดีเข้าไปในอวัยวะ

สื บพันธุ์ของเพศเมียในระยะที่กาํ ลังเป็ นสัด ซึ่ งเป็ นระยะที่พร้อมผสมพันธุ์ เพื่อให้เพศเมียตั้งท้อง นอกจากนี้ ยังมีการผสมเทียมเพื่อให้เกิดการปฏิสนธิ ภายนอก เช่น การผสมเทียมปลาบางชนิด เรื่ อง การจําแนกสัตว์ โครงร่ างแข็งภายใน โครงร่ างแข็งที่อยูภ่ ายในร่ างกายนี้ คือ โครงกระดูก สัตว์บางชนิ ดก็มีโครงกระดูก เหมือนกัน โครงกระดูกช่วยให้มนุษย์และสัตว์มีรูปร่ างและทรงตัวอยูไ่ ด้ นอกจากนี้ โครงกระดูกยังช่วย ปกป้องอวัยวะภายในร่ างกายไม่ให้ได้รับอันตรายอีกด้วย มนุษย์และสัตว์บางชนิด ที่มีโครงร่ างแข็งภายใน จะมีกระดูกแกนกลางในลําตัว เรี ยกว่า กระดูกสั น หลัง ซึ่ งมีลกั ษณะเป็ นข้อต่อกัน ทําให้สามารถก้มหรื อบิดตัวไปมาได้ สัตว์มีโครงร่ างไม่โตตามไปด้วย จึง จําเป็ นต้องเปลี่ยนโครงร่ างแข็งใหม่โดยการลอกคราบ เช่น ปู แมงป่ อง แมงมุม จักจัน่ แมงดาทะเล ตะขาบ ต้นเป็ น จาแนกสั ตว์ อาจจําแนกได้หลายเกณฑ์ เช่น สัตว์มีกระดูกสันหลังและไม่มีกระดูดสันหลัง สัตว์เลือดเย็นกับ สัตว์เลือดอุ่น ***สัตว์เลือดเย็น คือ สัตว์ที่มีอุณหภูมิของร่ างกายเปลี่ยนแปลงตามสภาพแวดล้อม สัตว์เลือดอุ่น คือ สัตว์ที่ มีอุณหภูมิของร่ างกายไม่เปลี่ยนแปลงตามสิ่ งแวดล้อม เรื่ อง การถ่ายทอดลักษณะทางพันธุ กรรมของสิ่ งมีชีวิต สิ่ งมีชีวติ เมื่อเจริ ญเติบโตเข้าสู่ วยั เจริ ญพันธุ์จะสามารถสื บพันธุ์มีลูกหลานเพื่อการดํารงพันธ์ต่อไป ได้ โดยลักษณะของพ่อแม่จะถ่ายทอดไปสู่ ลูกได้ มนุษย์จะถ่ายทอดลักษณะจากบรรพบุรุษสู่ ลูกหลาน เช่น สี ตา สี ผม ความสู ง สี ผวิ ห่อลิ้นได้ ห่อลิ้น ไม่ได้ ผมหยิก ผมเหยียด มีติ่งหู ไม่มีติ่งหู เป็ นต้น โดยลูกจะได้รับการถ่ายทอดลักษณะจากพ่อ และแม่ พ่อ ได้รับการถ่ายทอดลักษณะเช่นนี้เป็ นการถ่ ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม ลักษณะบางลักษณะของลูกอาจ เหมือนหรื อแตกต่างจากพ่อ แม่ ปู่ ย่า ตา ยาย และสามารถถ่ายทอดสู่ รุ่นลูก หลานต่อไป

หน่ วยการเรียนรู้ ท2ี่ วัสดุและสมบัติของวัสดุ

เรื่ อง วัสดุในชีวิตประจําวัน

เรื่ อง สมบัติทางกายภาพของวัสดุ ความแข็งของวัสดุ เมื่อนําวัสดุหนึ่งขีดบนวัสดุอีกชนิดหนึ่ ง ถ้าวัสดุที่ถูกขีดเกิดรอย แสดงว่า วัสดุน้ นั มีความ แข็งน้อยกว่าวัสดุที่ใช้ขีด ถ้าวัสดุที่ถูกขีดไม่เกิดรอย แสดงว่า วัสดุน้ นั มีความแข็งมากกว่าวัสดุที่ใช้ขีด ความเหนียวของวัสดุ วัสดุแต่ละชนิดมีความเหนียวไม่เท่ากันวัสดุที่รับนํ้าหนักได้มากแล้วจึงขาด จะมีความ เหนียวมากกว่าวัสดุที่รับนํ้าหนักได้นอ้ ยแล้วขาด สภาพยืดหยุน่ ของวัสดุ วัสดุแต่ละชนิดมีสภาพยืดหยุน่ ไม่เท่ากันบางชนิดเมื่อมีแรงมากระทํามากๆก็ยงั มี สภาพยืดหยุน่ อยู่ แต่บางชนิดก็หมดสภาพยืดหยุน่ ไปเลย การนําความร้อน วัสดุที่ความร้อนผ่านได้ดีจดั เป็ น ตัวนําความร้อน วัสดุที่ผา่ นไม่ได้ดีจดั เป็ น ฉนวนความ ร้อน

การนําไฟฟ้า เมื่อนําวัสดุต่อเข้ากับวงจรไฟฟ้า ถ้าหลอดไฟฟ้าในวงจรสว่าง แสดงว่าวัสดุน้ นั ยอมให้ กระแสไฟฟ้าผ่านได้เรี ยกวัสดุน้ นั ว่า ตัวนําไฟฟ้า ถ้าหลอดไฟฟ้าในวงจรไม่สว่าง แสดงว่ากระแสไฟฟ้าผ่าน วัสดุน้ นั ไม่ได้หรื อผ่านได้นอ้ ย เรี ยกวัสดุน้ นั ว่า ฉนวนไฟฟ้ า ความหนาแน่นของวัสดุ ปริ มาณมวลสารที่มีอยูใ่ น 1 หน่วยปริ มาตร ความหนาแน่นเป็ นสมบัติเกี่ยวกับเนื้ อ ของวัสดุ วัสดุที่มีเนื้อแน่นจะมีความหนาแน่นมากกว่าวัสดุที่เป็ นเนื้อโปร่ ง สามารถทดสอบโดยเอาวัสดุน้ นั ไปลอยนํ้า ***ถ้าวัสดุน้ นั ลอยนํ้าได้ แสดงว่า วัสดุน้ นั มีความหนาแน่นน้อยกว่านํ้า แต่ถา้ วัสดุน้ นั เกิดการจมนํ้า แสดงว่า มีความหนาแน่นมากกว่านํ้า การหาความหนาแน่นของวัสดุที่แน่นอน หาจากความสัมพันธ์ ดังนี้ ความหนาแน่น = มวล / ปริ มาตร (ความหนาแน่นมีหน่วย คือ กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร หรื อ กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร) จากสู ตร มวล คือ ปริ มาณเนื้ อของวัตถุ มีหน่วยเป็ นกิโลกรัม มวลจะมีค่าคงที่เสมอ นํ้าหนัก คือ แรงดึงดูดของโลกที่กระทําต่อมวลของวัตถุ มีหน่วยเป็ น นิวตัน **นํ้าหนัก (นิ วตัน) = มวล (กิโลกรัม) x สนามความโน้มถ่วงโลก (นิวตัน/กิโลกรัม) ปริ มาตร หาได้ดงั นี้ -ถ้าหาปริ มาตรของแข็งจะหาโดยการแทนที่น้ าํ หรื อถ้าเป็ นรู ปทรงสี่ เหลี่ยมมุมฉากใช้สูตรนี้ กว้างXยาวXสู ง -ถ้าเป็ นของเหลว โดยใช้กระบอกตวงวัดปริ มาตรแล้วอ่านค่าที่ได้

หน่ วยการเรี ยนรู้ ท3ี่ แรงและความดัน

เรื่ อง แรงลัพธ์และแรงเสี ยดทาน ผลลัพธ์ของแรงหลายแรง แรงหลายๆแรงร่ วมกันเสมือนมีแรงเดียว เมื่อแรงทั้งสองนั้นมีทิศเดียวกัน โดยผลรวมของแรงสองแรงนั้นเป็ นแรงลัพธ์

การออกแรงทําให้วตั ถุเคลื่อนที่ไปบนพื้นต่างๆพื้นแต่ละชนิดจะมีแรงต้านการเคลื่อนที่เรี ยกแรงต้านการ เคลื่อนที่น้ ี วา่ แรงเสี ยดทานซึ่ งมีทิศตรงข้ามกับทิศการเคลื่อนที่ของวัตถุ ประโยชน์ของแรงเสี ยดทาน 1เคลื่อนย้ายตูเ้ ก็บของ 2การเล่นกระดานลื่น 3การใช้รองเท้าสําหรับเล่น football 4การใช้ตะเกียบคีบอาหาร เรื่ อง แรงกระทําของอากาศและของของเหลว แรงที่อากาศกระทําต่อวัตถุ แรงที่อากาศกระทําตั้งฉากต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่เรี ยกว่าความดันอากาศความดันมีหน่วยเป็ น นิวตันต่ อตาราง เมตร หรื อ พาสคัล แรงที่ของเหลวกระทําต่อวัตถุ. แรงที่ของเหลวกระทําตั้งฉากต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่เรี ยกว่า ความดันของเหลว แรงพยุงของของเหลว. แป้ งที่ของเหลวพยุงวัตถุไว้เมื่อวัตถุอยูใ่ นของเหลวเรี ยกว่าแรงพยุงของของเหลว แรง พยุงที่น้ าํ กระทําต่อก้อนหิ น นํ้าหนักก้อนหิ นจึงทําให้กอ้ นหิ นจมลงไปในนํ้า ขณะที่แท่งไม้ลอยนํ้าที่ผวิ นํ้า แรงพยุงที่น้ าํ กระทําต่อแท่งไม้เท่ากับนํ้าหนักของแท่งไม้

หน่ วยการเรียนรู้ ท4ี่ เสี ยงกับการได้ ยิน

เรื่ อง การเกิดเสี ยงและการได้ยนิ เสี ยง สิ่ งที่ทาํ ให้เกิดเสี ยงเรี ยกว่าแหล่งกําเนิดเสี ยงเสี ยงที่ได้ยนิ มีท้ งั เสี ยงดังเสี ยงค่อยเสี ยงสู งและเสี ยงตํ่า เสี ยงเกิดขึ้นเมื่อแหล่งกําเนิ ดเสี ยงสัน่ ถ้าวัตถุสนั่ ด้วยพลังงานมากพอพลังงานจากการสั่นนี้จะส่ งมาถึงหู เรา จึงได้ยนิ เสี ยงเช่นแผ่นหนังที่คืนกลองสั่นทําให้เราได้ยนิ เสี ยงกลอง

เสี ยงเคลื่อนที่. การที่เราได้ยนิ เสี ยงไม่วา่ เราจะอยูด่ า้ นหน้าด้านหลังสู งกว่าหรื อตํ่ากว่าแหล่งกําเนิดเสี ยง แสดงว่าเสี ยงเคลื่อนที่ผา่ นอากาศไปได้ทุกทิศทางรอบแหล่งกําเนิดเสี ยงแต่อาจได้ยนิ เสี ยงดังเท่ากันหรื อไม่ นั้นขึ้นอยูก่ บั สาเหตุใดประการเช่นระยะห่างจากแหล่งกําเนิดเสี ยงมีส่ิ งกีดขวางเป็ นต้น เราได้ยนิ เสี ยง เมื่อแหล่งกําหนดเสี ยงสั่นจะถ่ายโอนพลังงานจากการสั่นผ่านอากาศไปจนถึงหู ผฟู ้ ังทําให้เรา ได้ยนิ เสี ยงดังนั้นอากาศจึงจัดเป็ นตัวกลางของเสี ยง เพราะอากาศในช่องหู ก็สั่นด้วยแล้วทําให้เยือ่ แก้วหู สั่น ตามพลังงานจากการสานของเยือ่ แก้วหู จะถูกส่ งผ่านไปยังอวัยวะต่างๆภายในหู จึงทําให้เราได้ยินเสี ยง เรื่ อง ความแตกต่างของเสี ยงที่ได้ยนิ ถ้าวัตถุสั่งช้าหรื อเร็ วเกินไปเราจะไม่ได้ยนิ เสี ยงแต่ถา้ วัตถุสันวินาทีละ 20 ถึง 20,000 ครั้งเราจึงจะได้ ยินเสี ยงนั้นจํานวนรอบที่วตั ถุสันใน 1 วินาทีเรี ยกว่า ความถี่ มีหน่วยเป็ น เฮิตรซ์ โดยทัว่ ไปความถี่ในการ สังเคราะห์วตั ถุจะเท่ากับความถี่เสี ยงที่เราได้ยนิ เสี ยงสู งเสี ยงตํ่าขึ้นกับ วัตถุที่สันด้วยความถี่ต่าํ จะทําให้เกิดเสี ยงตํ่าหรื อเสี ยงมุ่มแต่วตั ถุที่สั่นด้วยความถี่สูง จะทําให้เกิดเสี ยงสู งหรื อเสี ยงแหลม เสี ยงดังเสี ยงค่อยขึ้นอยูก่ บั ความดังของเสี ยงวัดเป็ นระดับความเข้มเสี ยงมีหน่วยเป็ นเดซิ เบลเสี ยงที่มีระดับ ความเข้มเสี ยงมากจะเป็ นอันตรายกว่าเสี ยงที่มีระดับความเข้มเสี ยงน้อย เสี ยงที่มีระดับความเข้มเสี ยง 85 เดซิ เบลขึ้นไปถ้ารับฟังเกินวันละ 8 ชัว่ โมงเยื่อแก้วหู อาจเป็ นอันตรายได้บางคนอาจเกิดอาการมึนงงและตัดสิ นใจ ผิดพลาดได้. เสี ยงเครื่ องตัดหญ้าเสี ยงตัดโลหะแม้จะไม่ดงั มากแต่ก็พอให้เกิดความรําคาญแก่ผฟู ้ ัง ***เสี ยงเกิดจากการสั่นของแหล่งกําเนิดเสี ยงพลังงานจากการสั่นของแหล่งกําเนิดเสี ยงแพร่ ออกไปได้ทุก ทิศทางโดยผ่านตัวกลางโดยทัว่ ไปตัวกลางของเสี ยงคืออากาศแต่เสี ยงก็เคลื่อนที่ผา่ นตัวกลางอื่นๆได้เช่น เชือกไม้โลหะพื้นดินนํ้าเป็ นต้น การสัง่ จ้างแหล่งกําเนิดเสี ยงผ่านตัวกลางไปยังเยือ่ แก้วหู ทาํ ให้เยือ่ แก้วหู ฟัน สั่นจึงได้ยนิ เสี ยงถ้าหู ถูกกระแทกหรื อฟังเสี ยงที่ดงั เกินไป อาจ ทําให้เยื่อแก้วหู เป็ ดอันตราย แหล่งกําเนิดเสี ยง ต้องสันด้วยความถี่ระหว่าง 20 ถึง 20,000 เฮิรตซ์และมีพลังงานมากพอคนจึงจะได้ยนิ เสี ยงความถี่ในการ สรรค์ของแหล่งกําเนิ ดเสี ยงเท่ากับความถี่เสี ยงเสี ยงแรมมีความสี่ สูงเสี ยงทุม้ มีความถี่ต่าํ ระดับของเสี ยงวัด จากระดับความเข้มเสี ยงมีหน่วยวัดเป็ นเดซิ เบลเสี ยงที่ดงั มากมากและเสี ยงที่น่ารําคาญเรี ยกว่ามลภาวะของ เสี ยง

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 5 ลมฟ้ าอากาศ

เรื่ อง ปรากฏการณ์ นํ้าฟ้า หมอก เมฆ นํ้าค้างและฝน เมื่อนํ้าได้รับความร้อนจะระเหยกลายเป็ นไอนํ้าอยูใ่ นอากาศเมื่อลอย สู งขึ้นกระทบกับอากาศที่เย็นกว่าจะควบแน่นเป็ นละอองนํ้าเล็กๆถ้าละอองนํ้าเล็กๆนั้นรออยูเ่ นื้อพื้นดิน เรี ยกว่าหมอกและถ้าเกิดในที่สูงและรวมกันเป็ นกลุ่มก้อนเรี ยกว่าเมฆเมื่อเมฆมารวมกันมีปริ มาณมากขึ้น ละอองนํ้า ก็จะรวมตัวกันเป็ นหยดนํ้าขนาดใหญ่แล้วตกลงมาอาจเรี ยกว่าฝนแต่ถา้ ไอนํ้าในอากาศควบแน่น เป็ นหยดนํ้าเล็กๆในเวลากลางคืนหรื อเช้ามืดแล้วเกาะอยูต่ ามที่ต่างๆใกล้พ้นื โลกเรี ยกว่านา้ ค่ าง เมฆ แม่คิวมูลสั ลักษณะเป็ นก้อนสี ขาวคล้ายภูเขาหากด้านล่าง มีสีดาํ ครามหรื อมืดคาดว่าจะเกิดฝนตกจะพบ เมฆชนิ ดนี้ในวันที่อากาศร้อน เมฆสตาร์ ตสั ลักษณะเป็ นแผ่นสี เทาบางบางๆทอดตัวใกล้กบั พื้นโลกแต่บางครั้งอาจพบเป็ นแบบหย่อม ชนิดนี้มกั ไม่ก่อให้เกิดฝน เมฆเซอรัส ลักษณะเป็ นเส้นเรี ยงสวยสี ขาวเป็ นปุยเหมือนคนนกรออยูส่ ู งบนท้องฟ้าจะพบเมฆชนิดนี้ได้ใน วันที่ทอ้ งฟ้าโปร่ ง วัดปริ มาตรนํ้าฝน ลูกเห็บและหิ มะ. ขณะเกิดพายุฝนฟ้าคะนองผลที่เกิดในแม่คิวมูโลนิมมัดที่เย็นจัดจะเป็ นเม็ดนํ้าแข็งเมื่อถูก ลมพายุพดั ขึ้นลงในเมฆทําให้เกิดการพอกตัวของนํ้าแข็งเป็ นชั้นๆจนมีขนาดใหญ่ข้ ึนตกลงมาถึงพื้นก่อนที่จะ หลอมเหลว เป็ นนํ้า เราจึงเห็นเป็ นก้อนนํ้าแข็งตกลงมาจากท้องฟ้าเรี ยกว่าลูกเห็บลูกเห็บที่มีขนาดใหญ่ทาํ ให้ พืชผักอาคารบ้านเรื อนและรถยนต์เสี ยหายคนและสัตว์อาจได้รับอันตรายลูกเห็บและนํ้าฝนต่างก็เป็ นหยาด นา้ ฟ้ า หิมะเป็ นหยาดนํ้าฟ้าอีกรู ปแบบหนึ่งซึ่ งเกิดขึ้นในบริ เวณ ที่มีอุณหภูมิของอากาศลดตํ่ากว่า 0 องศาเซลเซียส ไอนํ้าในอากาศจะกลายเป็ นผลิตนํ้าแข็งแล้วตกลงสู่ พ้นื โลกในลักษณะที่ยงั คงเป็ นผลิตนํ้าแข็งเมื่ออุณหภูมิ พื้นโลกบริ เวณนั้นตํ่ากว่าจุดเยือกแข็ง

หยาดนา้ ฟ้ าคือนํ้าทุกรู ปแบบที่ตกจากฟ้าลงบนพื้นโลกหยาดนํ้าฟ้าที่เป็ นของเหลวได้แก่น้ าํ ฝนหยาดนํ้าฟ้า ที่เป็ นของแข็งได้แก่หิมะและลูกเห็บ ในวันหนึ่งหนึ่งสภาพอากาศเปลี่ยนแปลง บริ เวณต่างๆบน ผิวโลกจารับและถ่ายโอนพลังงานความ ร้อนที่ได้รับจากดวงอาทิตย์ต่างกันอุณหภูมิบริ เวณต่างๆของพื้นโลกจึงไม่เท่ากัน อุณหภูมิบนพื้น ผิวโลก ไม่ได้ข้ ึนอยูก่ บั การรับและการถ่ายโอนพลังงานความร้อนที่ได้รับจากดวงอาทิตย์เท่านั้นการเผาไม่ของ เชื้อเพลิงเช่นถ่านหิ นนํ้ามันทําให้มีแก๊สคาร์ บอนไดออกไซด์ในอากาศเพิ่มขึ้นซึ่ งส่ งผลให้โลกร้อนขึ้น *** เมื่อโลกได้รับพลังงานความร้อนจากดวงอาทิตย์จะปล่อยพลังงานความร้อนออกสู่ บรรยากาศที่หอหุ ม้ โลกของเราบรรยากาศจะทําหน้าที่เป็ นทั้งเกาะกําบังรังสี ที่เป็ นอันตรายต่อสิ่ งมีชีวิตบนพื้นโลกและกักเก็บ ความร้อนบางส่ วนเอาไว้ทาํ ให้โลกอบอุ่นมีอุณหภูมิเหมาะสมต่อการดํารงชีวิตของมนุษย์การที่จาํ นวน ประชากรเพิ่มขึ้นกิจกรรมต่างๆของมนุษย์ทาํ ให้มีแก๊สคาร์ บอนไดออกไซด์ มีเทน ไนตัสออกไซด์ คอโรฟู ออโรคาร์ บอน ปริ มาณมากขึ้นในบรรยากาศแก๊สเหล่านี้เรี ยกว่า แก๊สเรื อนกระจก ทําให้โลกร้อนมากขึ้น เสมือนเป็ นเรื อนกระจกที่กกั เก็บความร้อน การที่อุณหภูมิของอากาศในท้องถิ่นสู งขึ้นหรื อตํ่าลุงจะมีผลต่อการละเหยของนํ้าจากแหล่งนํ้าต่างๆ ทําให้อากาศในท้องถิ่นมีปริ มาณไอนํ้าแตกต่างกันนอกจากนี้การทราบการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของอากาศ ในแต่ละวันยังเป็ นประโยชน์ต่อการดํารงชี วติ ของมนุษย์ในด้านต่างๆเช่นการเดินทางการสวมเสื้ อผ้าให้ เหมาะสม อากาศประกอบไปด้วยแก๊สหลายชนิดปกคุมโรคเป็ นชั้นๆเนื่องจากอากาศมีมวลและปริ มาตรจึง ถูกแรงโน้มถ่วงของโลกดึงดูดลงสู่ พ้นื เหมือนวัตถุอื่นๆอากาศจึงมีน้ าํ หนักนํ้าหนักของอากาศที่กดลงบนพื้น โลกต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่เรี ยกว่าความดันบรรยากาศหรื อความกดอากาศ ความดันบรรยากาศมีหน่วยเป็ นเฮค โตพาสคัลซึ่ งเดิมเรี ยกว่ามิลลิบาร์ ความชื้นของอากาศ คือนํ้าเป็ นสารที่อยูใ่ นสถานะของเหลวเมื่อได้รับความร้อนจากสิ่ งแวดล้อมจะระเหย กลายเป็ นไอนํ้าซึ่ งเรามองไม่เห็นปะปนอยูใ่ นอากาศทําให้อากาศมีความชื้นแต่เมื่ออากาศเย็นลงไอนํ้าใน อากาศจะควบแน่นกับเป็ นละอองนํ้าเล็กๆหรื อหยดนํ้าเล็กๆซึ่ งเราสามารถมองเห็นได้ในลักษณะต่างๆเช่น หมอกเมฆนํ้าค้าง ความชื้นของอากาศ ความชื้ นในอากาศจะแตกต่างกันตามสภาพแวดล้อมและเวลาบริ เวณที่อยูใ่ กล้เคียง แหล่งนํ้าเช่นแม่น้ าํ ลําธารทะเลและมหาสมุทรรวมทั้งบริ เวณป่ าทึบความชื้นในอากาศจะสู งกว่าบริ เวณที่เป็ น พื้นดินพูดทัว่ ไปและไม่มีป่าไม้

เรื่ อง การเกิดลมและประโยชน์จากลม ในธรรมชาติเมื่ออากาศร้อนอากาศจะลอยตัวสู งขึ้นแต่อากาศเย็นจะจมตัวลง เมื่อพื้นดินและพื้นนํ้ารับและถ่ายโอนความร้อนไม่เท่ากันบริ เวณที่ร้อนเร็ วกว่าอากาศจะลอยตัวสู งขึ้นอากาศ จากบริ เวณที่เย็นกว่าจะไปแทนที่ทาํ ให้เกิดการเคลื่อนที่ของอากาศตามแนวราบจากบริ เวณที่มีอุณหภูมิต่าํ ไป ยังบริ เวณที่มีอุณหภูมิสูงกว่าจึงเกิดลมพัดทําให้เรารู ้สึกเย็นสบาย เครื่ องมือวัดทิศทางลมเรี ยกว่าสอนลมมีลกั ษณะเป็ นลูกศรที่มีหามเป็ นแผ่นใหญ่กว่าหัวลูกศรสอนลมจะ หมุนรอบตัวได้ในแนวราบศรลมจะลู่ลมอยูใ่ นแนวขนานกับทิศทางที่ลมพัดเมื่อลมพัดมาทางลูกศรซึ่ งมี ขนาดใหญ่จะถูกแรงลมพัดแตงกวาหัวลูกศรทําให้หวั ลูกศรหันไปชี้ ตามทิศทางที่ลมพัดมา เครื่ องมือวัด อัตราเร็ วลมมีหลายรู ปแบบบางรู ปแบบทําเป็ นถุงปล่อยลูกวัดอัตราเร็ วลมโดยสังเกตุการยกตัวของถุงบาง รู ปแบบทําเป็ นรู ปถ้วยครึ่ งทรงกลมวัดอัตราเร็ วลมโดยนับจํานวนรอบที่ถว้ ยหมุนในหนึ่งหน่วยเวลา ***ใครบอกเราเกี่ยวกับสภาพอากาศ นักอุตุนิยมวิทยาคือนักวิทยาศาสตร์ ที่ศึกษาเกี่ยวกับลมฟ้าอากาศโดยจะรวบรวมข้อมูลจากการเปลี่ยนแปลง ของอากาศจากสถานีตรวจอากาศทัว่ โลกแล้วนําเข้าประมวลผลในคอมพิวเตอร์ วเิ คราะห์ผลและพยากรณ์ให้ ทราบเครื่ องมือเก็บข้อมูลนอกเหนือจากเครื่ องมือวัดอุณหภูมิความดันความชื้ นลมและปริ มาณ นํ้าฝนตาม สถานีตรวจอากาศต่างๆแล้วยังมีเครื่ องมืออื่นๆที่นกั อุตุนิยมวิทยาใช้อีกมากเช่นดาวเทียมอุตุนิยมวิทยาและ บอลลูนตรวจอากาศ ***ลมฟ้าอากาศมีผลต่อวัฏจักรของนํ้าอย่างไร. นํ้าจากแหล่งต่างๆเมื่อได้รับความร้อนจะระเหยกลายเป็ นไอลอยขึ้นในอากาศเมื่อกระทบอากาศที่เย็นกว่า จะควบแน่นเป็ นละอองนํ้าเล็กๆรออยูใ่ นอากาศโดยมีฝุ่นเป็ นแกนกลางของละอองนํ้าเหล่านี้เรี ยกว่าเมฆเมื่อ แม่มีมากขึ้นละอองนํ้าจะรวมกันจนมีขนาดใหญ่แล้วตกลงมาเป็ นฝนสู่ พ้นื โลกหมุนเวียนกันเป็ นวัฏจักร อ่า ต้นนํ้าลําธารหรื อปลาหมอปลาฝนบนภูเขาที่มีความอุดมสมบูรณ์สูงจะมีตน้ ไม้ข้ ึนปกคลุมหนาแน่นทั้งไม้ยนื ต้นไม้ลม้ ลุกและไม้อิงอาศัยต่างๆสภาพป่ าจะมีความชุ่มชื้นสู งเรื อนยอดของต้นไม้จะ รองรับนํ้าฝนได้อย่างดี เพราะมีใบหนาแน่นสามารถชะลอการไหลของนํ้าฝนลงสู่ ดินทําให้พ้นื ดินซับนํ้าได้ดีป่าบริ เวณภูเขาจึง เสมือนเป็ นแหล่งกักเก็บนํ้าทําให้เกิดเป็ นต้นนํ้าลําธารแล้วไหลสู่ พ้นื ราบสู งฮ่วยน้องคลองบึงเกิดการ หมุนเวียนนํ้าเป็ นวัฏจักรต่อไป

หน่ วยการเรี ยนรู้ ที่ 6 ปรากฏการณ์ จากการหมุนรอบตัวเองของโลก

เรื่ อง การเกิดทิศ ทิศเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะ โลกหมุนรอบตัวเองจึงกาหนดทิศขึน้ เมื่อโลกหมุนไปคนบนโลกจะ เริ่ มเห็นดวงอาทิตย์ข้ ึนจากขอบฟ้าทางด้านนั้นเรี ยกว่า ทิศตะวันออก เมื่อโลกหมุนต่อไปคนบนโลกจะเห็น ดวงอาทิศหลับจากขอบฟ้าทางด้านนั้น เรี ยกว่า ทิศตะวันตก นอกจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตกแล้วยังมีทิศอื่นอีก คือทิศเหนือและทิศใต้ เรื่ อง ปรากฏการณ์ข้ ึนตกของดวงดาว

- จุดสู งสุ ดบนท้องฟ้าที่ตรงกับศีรษะ เรี ยกว่า จุด เหนือศีรษะ - ท้องฟ้ารอบๆ ตัวเราที่อยูต่ รงกับระดับสายตา เรี ยกว่า เส้ นขอบฟ้ า - เส้นที่ลากจากจุดเหนือศีรษะผ่านดวงดาวไป ตามความโค้งของทรงกลมท้องฟ้าลงมาตั้งฉากกับเส้น ขอบฟ้าจะบอกคิดที่มองเห็นดวงดาวดวงนั้นและเส้น โค้งที่ขนานกับเส้นขอบฟ้าขึ้นไปจนถึงจุดเหนื อศีรษะจะ บอกว่าดวงดาวนั้นอยูส่ ู งจากขอบฟ้าเป็ นมุมเท่าใดมุมนี้เรี ยกว่า มุมเงย ซึ่งอาจหาได้โดยสังเกตมุมที่ เกิดจากเส้นตรงสองเส้นที่ลากจากตาไปยังขอบฟ้าและจาก ตาไปยังตําแหน่งที่ดาวปรากฏ ดังนั้น ถ้าเรารู ้ทิศรู ้มุมเงย ก็จะหาตําแหน่งที่ปรากฏของดาวบนท้องฟ้าได้ การบอกทิศและมุมเงยจึงเป็ นสิ่ ง สําคัญที่กาํ หนดไว้ในแผนที่ดาว ***แผนที่ดาว คือ แผนที่ทอ้ งฟ้า แผนที่ดาว เป็ นแผนที่ที่แสดงตําแหน่งของดาวฤกษ์บนท้องฟ้าซึ่ งทําขึ้นเฉพาะตําแหน่งของผูส้ ังเกตที่ละติจูด หนึ่งหนึ่งแผนที่ดาวที่ใช้ง่ายจะแบ่งเป็ นครึ่ งทรงกลมท้องฟ้ าออกเป็ น 2 ส่ วนคือว่าทางทิศเหนื อและฟ้าทาง

ทิศใต้โดยมีเส้นที่ลากจากขอบฟ้าตรงทิศตะวันออกไปตามความโค้งของทรงกลมท้องฟ้าผ่านจุดเหนื อศีรษะ ไปยังขอบฟ้า ตรงทิศตะวันตกเป็ นเส้นแบ่งการใช้แผนที่ดาวจะช่วยให้การศึกษาท้องฟ้าง่ายขึ้น

การหมุนรอบตัวเองของโลกทําให้เกิดปรากฏการณ์สาํ คัญหลายอย่างนับตั้งแต่การเกิดกลางวัน กลางคืนการเกิดทิศและปรากฏการณ์ข้ ึนตกของดวงดาว

ชั้นประถมศึกษาปี ที 6

หน่ วยการเรี ยนรู้ ที่ 1 อาหารและสารอาหาร

อาหารกับสารอาหาร อาหารหลัก 5 หมู่มีสารที่สิ่งมีชีวติ นําไปใช้กระบวนการต่างๆเพื่อการดํารงชีวติ การเจริ ญเติบโตและ การซ่อมแซมส่ วนที่สึกหรอ เรี ยกว่า สารอาหาร อาหารที่จาํ เป็ นต่อสุ ขภาพของมนุษย์มี 6 ประเภท ได้แก่ โปรตีน คาร์ โบไฮเดรต ไขมัน แร่ ธาตุ วิตามิน และนํ้า นํ้าช่วยในระบบต่างๆใน ร่ างกายทํางานได้อย่างปกติ ร่ างกายต้องการนํ้าประมาณ 2 ลิตรต่อวันซึ่ งอาจได้จากอาหาร การดื่มนํ้าและเครื่ องดื่มต่างๆ หรื อกินผัก ผลไม้ที่มีน้ าํ มาก สารอาหารกับพลังงาน พลังงานที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันได้มาจากอาหารที่เรากินเข้าไป พลังงานที่เราใช้ในการทํา กิจกรรมต่างๆเช่น เรี ยนหนังสื อ เล่นกีฬา พูดคุยกับเพื่อนทําสิ่ งต่างๆได้จากสารอาหารประเภทโปรตีน คาร์ โบไฮเดรต และไขมันเราจึงควรรับประทานอาหารให้ได้รับพลังงานเพียงพอต่อความต้องการของ ร่ างกายของแต่ละคน การกินอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ การกินอาหารตามหลักโภชนาการคือการกินอาหารที่ครบทุกหมู่ในแต่ละมื้อในปริ มาณที่พอเหมาะ และให้ได้พลังงานเพียงพอกับความต้องการของร่ างกายการกินอาหารที่ถูกต้องทําให้ร่างกายมีสุขภาพดี แข็งแรงและเจริ ญเติบโตได้สมส่ วน

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 ร่ างกายมนุษย์

การเจริ ญเติบโตของร่ างกาย มนุษย์มีการเจริ ญเติบโตและมีการเปลี่ยนแปลงของร่ างกายตั้งแต่วยั ทารกแรกเกิดจนโตโดยสังเกต ได้จาก มวลสู งความ ยาวของแขน ขา รอบเอว และลําตัวที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะส่ วนขาการเจริ ญเติบโตเร็ วกว่า ส่ วนอื่น ปั จจัยที่ส่งผลต่อการเจริ ญเติบโตของร่ างกายคือพันธุ กรรมและสิ่ งแวดล้อมซึ่ งได้แก่การรับประทาน อาหารที่มีประโยชน์ถูกหลักโภชนาการออกกําลังกายอย่างสมํ่าเสมอและพักผ่อนให้เพียงพอจะทําให้ร่างกาย มีสุขภาพดีแข็งแรงสมบูรณ์และเจริ ญเติบโตได้อย่างสวยสมส่ วนและที่สาํ คัญคือต้องไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพ ติดต่างๆด้วย ระบบต่างๆของร่ างกาย ระบบย่อยอาหาร อาหารที่เรากินเมื่อเข้าสู่ ร่างกายแล้วร่ างกายยังไม่สามารถนําไปใช้ประโยชน์ได้ จะต้องผ่านกระบวนการย่อยอาหารให้เป็ นสารที่มีขนาดเล็กซึ่ งสามารถดูดซึ มผ่านผนังลําไส้เล็กและลําเลียง ไปทางกระแสเลือดสู่ ส่วนต่างๆของร่ างกาย ระบบย่อยอาหารมีอวัยวะที่เกี่ยวข้องได้แก่ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลําไส้เล็ก ลําไส้ใหญ่ ตับและตับอ่อน ระบบย่อยอาหารทําหน้าที่ยอ่ ยอาหารโดยสร้างนํ้าย่อย ไม้ยอ่ ยอาหารแต่ละชนิดให้เป็ นหน่วยที่มีขนาดเล็กที่สุดของสารอาหารเพื่อให้สามารถดูดซึ มผ่านผนังลําไส้ เล็กเข้าสู่ ระบบหมุนเวียนเลือดไปเลี้ยงส่ วนต่างๆของร่ างกาย ระบบหมุนเวียนเลือด สารอาหารที่ถูกย่อยแล้ว รวมทั้งแก๊สและสารอื่นๆที่ร่างกายจําเป็ นต้องใช้ หรื อกําจัดออกจะถูกลําเลียงไปยังระบบหมุนเวียนเลือดไปยังส่ วนต่างๆของร่ างกาย อวัยวะในระบบ หมุนเวียนเลือดและหลอดเลือดหมุนเวียนเลือดทําหน้าที่ลาํ เลียงสารอาหารที่สุดด้วยแล้วแก๊สออกซิ เจนแก๊ส คาร์ บอนไดออกไซด์และสารอื่นๆที่ร่างกายจําเป็ นต้องใช้กาํ จัดออกไปยังส่ วนต่างๆของร่ างกายโรงเรี ยน เลือดของมนุษย์เป็ นแบบวงจรปิ ด -หัวใจ ในวันที่ทาํ หน้าที่เช่นเดียวกับหัวปั๊ มแบบจําลอง คือ จะปิ ดตัวและคลายตัวไม่สูบฉี ดเลือดแข็งหลอด เลือดไปเลี้ยงส่ วนต่างๆของร่ างกายขณะที่กล้ามเนื้อหัวใจ 6 ตัวเลือกจุดจุดแดงออกจากหัวใจทางหลอดเลือด แดงเพื่อไปยังส่ วนต่างๆของร่ างกายเพิ่มกล้ามเนื้อหัวใจคลายตัวเลือกจากส่ วนต่างๆของร่ างกายจากไหลเข้า สู่ หวั ใจเพื่อที่จะเข้าสู่ หวั ใจมีแก๊สออกซิ เจนเหลือน้อยและมีแก๊สคาร์ บอนไดออกไซด์มากจึงมีสีแดงคลํ้า

ระบบหายใจ เมื่อหายใจเข้าอากาศจะเคลื่อนเข้าสู่ จมูก ผ่านโพลงจมูกเข้าสู่ ปอดทางหลอดลมกระจาย ไปสู่ แขนงออกโรงซึ่ งแตกกิ่งก้านสาขาเล็กลงไปเรื่ อยๆ ตอนปลายของแขนงที่เล็กที่สุดมีถุงลมซึ่ งเป็ นถุง อากาศกลวง ที่ถุงลมจะมีหลอดเลือดฝอยโอบล้อมเป็ นร่ างแห แก๊สออกซิ เจนในร่ างกายที่หายใจเข้าจะ เคลื่อนที่ออกจากถุงลมผ่านผนังหลอดเลือดฝอยเข้าไปในเลือดขณะเดียวกันแก๊สคาร์ บอนไดออกไซด์และนํ้า เคลื่อนจากด้วยเข้าสู่ ถุงลมและอากาศในถุงลมก็จะออกจากปอดเมื่อเราหายใจ แก๊สออกซิ เจนที่เข้าสู่ หลอด เลือดในระบบหมุนเวียนเลือดจะถูกลําเลียงไปยังเนื้อเยือ่ ต่างๆเพื่อนําไปใช้ในกระบวนการสร้างพลังงาน ต่อไป ระบบหายใจ

ระบบย่อยอาหาร

สารอาหาร

ออกซิเจน

ระบบหมุนเวียนเลือด

แก๊สคาร์ บอนไดออกไซด์และนํ้า กระบวนการสร้ างพลังงาน ในเนื ้อเยื่อตามส่วนต่างๆของร่างกาย

แผนภาพแสดงการทางานร่ วมกันของระบบอวัยวะ

หน่ วยการเรี ยนรู้ ที่ 3 สิ่ งมีชีวติ กับชี วติ ล้ อม

ความสัมพันธ์ของสิ่ งชีวติ ในแหล่งที่อยูท่ ี่แตกต่างกัน จะพบกลุ่มสิ่ งมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับสิ่ งมีชีวติ แต่ละชนิดไม่ เหมือนกันแหล่งที่อยูจ่ ึงสัมพันธ์กบั สิ่ งมีชีวติ ที่อาศัยอยูใ่ นที่อยูจ่ ะเป็ นที่อยู่ แหล่งที่อยูอ่ าศัย ที่หลบภัย ที่เลี้ยง ดูลูกอ่อน ที่สืบพันธุ์ และที่หาอาหารของกลุ่มสิ่ งมีชีวติ สิ่ งมีชีวติ ที่รวมกันถ้าพิจารณาจากการได้ประโยชน์และการเสี ยประโยชน์จากการอยูร่ ่ วมกันมีหลาย รู ปแบบ ได้แก่ - ฝ่ ายหนึ่งได้ประโยชน์ฝ่ายหนึ่งเสี ยประโยชน์เรี ยกว่าภาวะปรสิ ต เช่น กาฝากกับต้นไม้ใหญ่ พยาธิ กบั คน - ต่างฝ่ ายต่างได้รับประโยชน์เรี ยกว่าภาวะพึ่งพาอาศัย เช่น มดดํากับเพลี้ยอ่อน นกเอี้ยงกับควาย ต่อไทรกับ ลูกไทร - ฝ่ ายหนึ่งได้ประโยชน์ฝ่ายหนึ่งไม่เสี ยประโยชน์เรี ยกว่าภาวะอิงอาศัย เช่น เฟิ ร์ นกับต้นไม้ใหญ่ เขาฉลาม กับปลาฉลาม

แหล่งที่อยูก่ บั การดํารงชีวติ ของสิ่ งมีชีวติ สิ่ งมีชีวติ จะต้องมีโครงสร้างของร่ างกายที่เหมาะสมกับแหล่งที่อยูจ่ ึงจะสามารถดํารงชี วติ อยูไ่ ด้ เช่น -ปราณี เหงือกสําหรับสกัดเอาแก๊สออกซิ เจนออกจากนํ้า -เต่าทะเลมีเท้าเป็ นรู ปใบพายช่วยให้วา่ ยนํ้าได้ -เต่าบกจะมีนิ้วเท้าและเล็บเพื่อใช้เดินบนพื้นดิน -กบมีผวิ หนังชุ่มชื้นเพื่อรับแก๊สออกซิ เจนผ่านทางผิวหนังเมื่อจําศีลอยูใ่ นโคลน -นกมีปีกแข็งแรงตัวเบาทําให้ดินและลอยตัวอยูใ่ นอากาศได้ -ช้างมีเท้าที่สามารถกางออกได้เมื่อเหยียบลงไปบนพื้นและเมื่อยกเท้าออกทางสมุดทําให้สามารถดึงเท้า ออกมาจากดินนุ่มได้

เมื่อสภาพแวดล้อมของแหล่งที่อยูอ่ าศัย เช่น แสง ความชื้น อุณหภูมิ ความเป็ นกรด-เบส เปลี่ยนแปลงไปสิ่ งมีชีวติ จะต้องปรับตัวชัว่ คราวหรื ออพยพไปอาศัยอยูใ่ นแหล่งที่อยูใ่ หม่เพื่อหาอาหารและ การอยูร่ อด สิ่ งมีชีวติ กับทรัพยากรธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงของสิ่ งแวดล้อมอันเนื่องมาจากการกระทําของมนุษย์เช่นการล่าสัตว์การตัดไม้ ทําลายป่ าการบุกรุ กพื้นที่ป่าการค้าของป่ าทําให้จาํ นวนพืชและสัตว์ลดลงอย่างรวดเร็ วจนบางชนิดสู ญพันธุ์ หรื อใกล้สูญพันธุ์ไป ขณะที่ประชากรมนุษย์เพิ่มจํานวนขึ้นเป็ นที่เดิมที่เคยเป็ นป่ าไม้แม่น้ าํ พื้นที่เกษตรกรรมและถูก เปลี่ยนแปลงไปเป็ นพื้นที่อยูอ่ าศัยของมนุษย์พ้นื ที่เพื่อการพาณิ ชย์พ้นื ที่อุตสาหกรรมและเป็ นเส้นทางการ คมนาคม ป่ าไม้เป็ นแหล่งผลิตแก๊สออกซิ เจนที่สาํ คัญเป็ นแหล่งรวมอาหารและยาสมุนไพรและยังเป็ น แหล่งกําเนิดของต้นนํ้าลําธารทําให้ฝนตกตามฤดูกาลป่ าไม้จึงมีความสําคัญอย่างยิง่ ต่อมนุษย์เราต้องอนุรักษ์ และรางวัลให้บุกรุ กทําลายเย็นเผาป่ าปลูกต้นไม้ทดแทนและใช้ทรัพยากรสัตว์ป่าอย่างประหยัดและคุม้ ค่า คุณภาพสิ่ งแวดล้อมกับชีวติ การทิ้งขยะมูลฝอยโรงแรงนํ้าการปล่อยนํ้าเสี ยผูจ้ ดั การบําบัดจากบ้านเรื อนชุมชนและโรงงานที่คุณ ทําให้ปริ มาณของแก๊สออกซิ เจนที่ละลายอยูใ่ นนํ้าลดลงส่ งผลให้น้ าํ มีคุณภาพของโรงเรี ยนสนให้สิ่งมีชีวติ ที่ อาศัยอยูใ่ นนํ้าทรายเกิดการเน่าเสี ยของนํ้ามันที่สุด การนํากระดาษที่ใช้แล้วมาผ่านกระบวนการผลิตเพื่อนํากลับมาใช้ใหม่เรี ยกว่ากระดาษรี ไซเคิล มนุษย์ตอ้ งการอากาศบริ สุทธิ์ เข้าสู่ ร่างกายถึงวันละประมาณ 15 ถึง 20 ลูกบาศก์เมตร แก๊ส คาร์บอนมอนอกไซด์เป็ นแก๊สผิดที่ไม่มีสีไม่มีกลิ่นเกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ของเชื้อเพลิงอาจได้รับใช้ ในปริ มาณมากจะเกิดอาการอ่อนเพลีย เวียนศีรษะ ง่วงนอน หมดสติ ชัก และอาจถึงตายได้

หน่ วยการเรี ยนรู้ ที่ 4 สารในชี วติ ประจาวัน

มารู ้จกั สารกันเถอะ สิ่ งต่างๆมีสารเป็ นองค์ประกอบบางอย่างประกอบด้วยสารเพียงชนิดเดียวแต่บางอย่างประกอบด้วย สารมากกว่า 1 ชนิดตามแต่ละชนิดมีสมบัติบางประการเหมือนกันและสมบัติบางประการต่างกันดังนั้นการที่ วัตถุที่ใช้ทาํ สิ่ งของต่างๆมีสมบัติแตกต่างกันก็เนื่ องจากวัสดุแต่ละชนิดมีสารที่เป็ นองค์ประกอบต่างกัน สมบัติของสารในสถานะของแข็ง ของเหลว และแก๊ส ของแข็ง มีมวลต้องการที่อยูม่ ีปริ มาตรคงที่และรู ปร่ างไม่เปลี่ยนแปลงตามภาชนะที่บรรจุ ของเหลว มีมวลต้องการที่อยูม่ ีปริ มาตรคงที่แต่รูปร่ างเปลี่ยนแปลงตามรู ปร่ างของภาชนะที่บรรจุ แก๊ส มีมวลต้องการที่อยูม่ ีปริ มาตรและรู ปร่ างเปลี่ยนแปลงตามภาชนะที่บรรจุคุณกระจายเต็ม ภาชนะที่บรรจุเสมอ การเปลี่ยนแปลงของสาร การหลอมเหลว เปลี่ยนสถานะจากของแข็งไปเป็ นของเหลว การแข็งตัว เปลี่ยนสถานะจากของเหลวไปเป็ นของแข็ง การกลายเป็ นไอ เปลี่ยนสถานะจากของเหลวไปเป็ นแก๊ส การควบแน่น เปลี่ยนสถานะจากแก๊สไปเป็ นของเหลว การระเหิ ด เปลี่ยนสถานะจากของแข็งไปเป็ นแก๊ส การระเหิ ดกลับ เปลี่ยนสถานะจากแก๊สไปเป็ นของแข็ง ปั จจัยสําคัญที่ทาํ ให้สารเกิดการเปลี่ยนแปลงสถานะคือพลังงานความร้อนการเปลี่ยนแปลงสถานะของสาร จัดเป็ น การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ การเปลี่ยนแปลงที่สารชนิดหนึ่งกระจายอยูใ่ นสายอีกชนิดหนึ่งอย่าง สมํ่าเสมอมองเห็นเป็ นเนื้ อเดียวกันเรี ยกว่า การละลาย ทําให้ได้สารผสมที่มีลกั ษณะและสมบัติเหมือนกันทุก ส่ วนเรี ยกว่า สารละลายสารละลายจึงมีส่วนประกอบ 2 ส่ วนคือตัวละลายและตัวทําละลายตัวละลายได้แก่ นํ้าตาลทรายและเกลือ ส่ วนตัวทําละลายได้แก่ นํ้า สารผสมที่ไม่รวมเข้าด้วยกันเป็ นเนื้ อเดียวมีบางส่ วน แยกกันอยูย่ งั มองเห็นเป็ นสารเดิมสมบัติของสารไม่เหมือนกันทุกส่ วนเรี ยก สารผสมหรื อว่าสารเนื้ อผสม

สารเนื้ อผสมที่มีอนุภาคเล็กๆของสารแขวงลอยกระจายอยูใ่ นของเหลวหรื อในแก๊สเรี ยกว่า สารแขวนลอย สามารถแยกอนุภาคของสารในการในสารแขวนลอยออกได้โดยการกรองหรื อทําให้ตกตะกอน การเกิดสารใหม่ การเปลี่ยนแปลงของสารที่เกิดจากปฏิกิริยาเคมีทาํ ให้ได้สารชนิดใหม่ที่มีสมบัติแตกต่างจาก สารเดิมและไม่สามารถทําให้กลับเป็ นสารเดิมโดยวิธีง่ายๆได้การเกิดสารใหม่จึงเป็ นการเปลี่ยนแปลงทาง เคมีการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่ทาํ ให้เกิดสารใหม่สังเกตได้จากการเกิดฟองแก๊สการเกิดตะกอนการเปลี่ยนสี ของ สารการเกิดกลิ่นการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิบางปฏิกิริยาอาจมีแสงหรื อเสี ยงด้วย การแยกสารผสม การแยกสารละลาย กระบวนการแยกสารละลายหรื อสารผสมที่เป็ นของเหลวที่มีจุดเดือดต่างกัน โดยทําให้ของเหลวนั้นเดือดกลายเป็ นไอแล้วทําให้ไอพวกนั้นเป็ นของเหลวอีกครั้งหนึ่ งของเหลวที่มีจุด เดือดตํ่ากว่าจะแยกออกมาก่อนเรี ยกว่าการกลัน่ ซึ่ งเป็ นวิธีหนึ่งที่ทาํ ให้ของเหลวบริ สุทธิ์ ข้ ึนการแยก สารละลายที่มีตวั ละลายซึ่งอาจเป็ นของแข็งหรื อแก๊สหรื อของเหลวละลายอยูใ่ นตัวทําละลายที่เป็ นของเหลว เราสามารถแยกส่ วนละลายออกจากตัวทําละลายได้หลายวิธีซ่ ึ งขึ้นอยูก่ บั สมบัติของสารที่เป็ นส่ วนผสมถ้า เป็ นสารละลายระหว่างของแข็งกับของเหลวหรื อของแข็งแม่สลายตัวเมื่อได้รับความร้อนแยกออกจากกันได้ โดยการระเหยแห้งถ้าเป็ นสารละลายระหว่างแก๊สกับของเหลวแยกออกจากกันได้โดยการให้ความร้อนเป็ น ให้แก๊สแยกตัวออกมาถ้าเป็ นสารละลายระหว่างของเหลวกับของเหลวโดยของเหลวมีจุดเดือดแตกต่างกัน แยกออกจากกันได้โดยการกลัน่ แยกสารเนื้อผสม การแยกสารเนื้ อผสมที่เนื้ อของสารไม่เป็ นเนื้ อเดียวกันอาจเป็ นสารเนื้ อผสม ระหว่างของแข็งกับของแข็งของแข็งกับของเหลวของเหลวกับของเหลวสามารถแยกออกจากกันได้โดยวิธี ต่างๆการซึ่ งขึ้นอยูก่ บั ขนาดสี และสมบัติของสารที่เป็ นส่ วนผสม ถ้าเป็ นสารเนื้ อผสมระหว่างของแข็งกับของแข็ง - ของแข็งมีขนาดและสี แตกต่างกันอย่างชัดเจนหรื อขนาดใกล้เคียงกันและใหญ่พอที่จะหยิบได้ สี ก็แตกต่าง กันด้วยแยกออกจากกันได้โดยใช้ชอ้ นตักออกโดยใช้มือหยิบออก -ของแข็งมีหลายขนาดรู ปร่ างลักษณะแตกต่างกันแยกออกจากกันโดยการร่ อนด้วยตะแกรง -ของแข็งมีขนาดเล็กใกล้เคียงกันหรื อแตกต่างกันโดยสารชนิดหนึ่งเป็ นสารแม่เหล็กที่แม่เหล็กดึงดูดได้และ ออกจากกันได้โดยใช้วธิ ี ดึงดูดด้วยแม่เหล็ก

-ของแข็งมีขนาดเล็กใกล้เคียงกัน สี เหมือนกันหรื อสารชนิ ดหนึ่งเป็ นสารที่ระเหิ ดได้แยกออกจากกันได้โดย การให้ความร้อนเพื่อให้สารที่ระเหิดการเปลี่ยนสถานะใดเป็ นไอแยกออกไป ถ้าเป็ นสารเนื้ อผสมระหว่างของแข็งกับของเหลว -ของแข็งมีขนาดใหญ่ไม่ละลายในของเหลวแยกออกจากกันโดยวิธีการกรองด้วยกระดาษกรองแต่มีขอ้ แม้วา่ ขนาดของของแข็งจะต้องใหญ่กว่ารู กระดาษกรอง -ของแข็งเป็ นอนุภาคขนาดเล็กกระจายอยูใ่ นของเหลวมีลกั ษณะเป็ นสารแขวนลอยแยกออกจากกันได้โดย การทําให้ตกตะกอน ถ้าเป็ นสารเนื้ อผสมระหว่างของเหลวกับของเหลว -ของเหลวที่ไม่ผสมกันเป็ นเนื้อเดียวจะแยกชั้นกันอยูแ่ ยกออกจากกันได้โดยวิธีการใช้กรวยแยกหรื อวิธีง่ายๆ โดยใช้ชอ้ นตักของเหลวที่อยูช่ ้ นั บนออกจากของเหลวที่อยูช่ ้ นั ล่าง สารที่ใช้ในชีวติ ประจําวัน สารปรุ งรสอาหาร ที่ใช้ในชีวิตประจําวันมีหลายชนิดและใช้เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆกันต้องเลือกใช้ สารเหล่านี้ให้ถูกต้องจึงจะปลอดภัยก่อนซื้ อควรดูฉลากที่ขา้ งขวดหรื อข้างกล่องซึ่ งจะบอกชนิดของสารที่ เป็ นองค์ประกอบ ปริ มาตรสารแต่ละชนิด วิธีใช้ บริ ษทั ผูผ้ ลิต วันที่ผลิต วันหมดอายุ และต้องมีเครื่ องหมาย รับรองคุณภาพจาก อย.และ มอก. สารแต่งสี อาหาร สี ผสมอาหารแบ่งออกเป็ น 2 ประเภท ได้แก่ 1 สี ที่ได้จากพืชหรื อสัตว์เรี ยกว่าสี ธรรมชาติ 2 สิ่ งที่ได้จากการสังเคราะห์สารเคมีสาํ หรับใช้ผสมอาหารโดยเฉพาะเรี ยกว่าสี สังเคราะห์สาํ หรับผสมอาหาร การทําความสะอาด แต่ละชนิดจะผสมสารที่เหมาะสมในการทําความสะอาดเฉพาะอย่างเท่านั้นถ้า ใช้ผดิ วัตถุประสงค์อาจเป็ นอันตรายต่อร่ างกายได้เช่นไม่ควรใช้ผงซักฟอกสระผมแทนแชมพูสระผมถึงแม้วา่ ผงซักฟอกจะละลายนํ้ามันออกจากเส้นผมและหนังศีรษะได้ดีกว่าและเนื่องจากผงซักฟอกมีความเป็ นเบสสู ง จะทําให้เส้นผมแห้งกระด้างและคันหนังศีรษะซึ่งอาจเป็ นผื่นแดงได้ สารกําจัดแมลงและศัตรู พืช สารกําจัดแมลง เป็ นสารที่ใช้ในการกําจัดแมลงที่นาํ โรคภัยมาสู่ คน สารกําจัดศัตรู พืช เป็ นสารที่ใช้ในการกําจัดวัชพืชแมลงและสัตว์อื่นๆที่มารบกวนพืช

เมื่อร่ างกายได้รับสารพิษทีละน้อยแต่บ่อยครั้งเป็ นเวลานานจะสะสมเพิ่มปริ มาณมากขึ้นจนทําให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงของเซลล์ซ่ ึ งอาจเป็ นสาเหตุหนึ่งที่ทาํ ให้เกิดโรคเช่นโรคมะเร็ ง

หน่ วยการเรี ยนรู้ ที่ 5 วงจรไฟฟ้ า

วงจรไฟฟ้าอย่างง่าย ถ่านไฟฉาย สายไฟ อุปกรณ์ไฟฟ้าและส่ วนประกอบของวงจรไฟฟ้าอย่างง่ายเปิ ดสวิตช์จะทําหน้าที่ ตัดและต่อวงจรไฟฟ้า เมื่อนําถ่านไฟฉายสายไฟต่อเข้ากับอุปกรณ์ไฟฟ้า เช่น หลอดไฟฟ้ามอเตอร์ หรื อ ออด ไฟฟ้า การที่หลอดไฟฟ้าสว่างมอเตอร์ หมุนหรื อออดไฟฟ้ ามีเสี ยงแสดงว่าวงจรไฟฟ้าครบวงจรและมี กระแสไฟฟ้าผ่านอุปกรณ์น้ นั ๆด้วยกระแสไฟฟ้ามีทิศทางจากขั้วบวกของถ่านไฟฉายผ่านสายไฟสวิตซ์และ อุปกรณ์ไฟฟ้าไปยังขั้วลบของถ่านไฟฉายถ้าต่อครบวงจรแบบนี้เรี ยกว่า วงจรไฟฟ้าปิ ด แต่ถา้ ต่อแล้วไม่ครบ วงจรหลอดไฟฟ้าจะไม่สว่างมอเตอร์ จะไม่หมุนหรื อออดไม่มีเสี ยงแบบนี้เรี ยกว่าวงจรไฟฟ้าเปิ ด ตัวนําไฟฟ้าและฉนวนไฟฟ้าวัสดุที่มีสมบัตินาํ ไฟฟ้าได้เมื่อนําไปต่อวงจรไฟฟ้ากระแสไฟฟ้าจะผ่าน ได้เรี ยกวัสดุประเภทหนึ่งว่าตัวนําไฟฟ้าวัสดุที่ไม่นาํ ไฟฟ้าจะไม่ยอมให้กระแสไฟฟ้าผ่านเรี ยกวัสดุประเภท หนึ่งว่าฉนวนไฟฟ้า การต่อเซลล์ไฟฟ้า การนําถ่านไฟฉายมาซอให้พวกหมวกของก้อนแรกต่อกับขั้วลบของก้อนที่สองเรี ยงกันไปเรี ยกว่า การต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมทําให้มีพลังงานไฟฟ้ามากขึ้นเป็ นผลทําให้มีกระแสไฟฟ้ าที่ผา่ นหลอดไฟฟ้า มากขึ้นด้วย แบตเตอรี่ เป็ นแหล่งกําเนิดไฟฟ้ากระแสตรงเมื่อกรอกครบวงจรจะมีกระแสไฟฟ้าจากขั้วบวก ของแบตเตอรี่ ผา่ นอุปกรณ์ไฟฟ้าไปยังขั้วลบของแบตเตอรี่ เพียงทิศทางเดียวเจอไฟฟ้าที่ใช้ตามบ้านเรื อนเป็ น ไฟฟ้ากระแสสลับที่มีพลังงานไฟฟ้ามากกว่าจากแบตเตอรี่ การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมกระแสไฟฟ้าที่ผา่ นหลอดไฟฟ้าแต่ละดวงมีกระแสไฟฟ้าจํานวน เดียวเมื่อถอดหลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนึ่งออกทําให้วงจรไฟฟ้าไม่ครบวงจรจะไม่มีกระแสไฟฟ้าผ่านมา ไฟฟ้าที่เหลือจึงดับทั้งหมด

การต่อหลอดไฟฟ้าแบบขนานจะมีกระแสไฟฟ้าแยกผ่านหลอดไฟฟ้าแต่ละดวงเมื่อถอดหลอดไฟฟ้าดวงใด ดวงหนึ่งออกมาไฟฟ้าที่เหลือยังคงสว่างเนื่องจากยังมีกระแสไฟฟ้าผ่าน แม่เหล็กไฟฟ้า เมื่อกระแสไฟฟ้าผ่านขดลวดที่พนั รอบปรับปรุ งการเกิดสนามแม่เหล็กรอบขดลวดและมีผลให้ตะปู เป็ นแม่เหล็กเรี ยกแม่เหล็กแบบนี้วา่ แม่เหล็กไฟฟ้า

หน่ วยการเรียนที่ 6 หินและการเปลี่ยนแปลง

หิ นในท้องถิ่นของเรา นักธรณี วทิ ยาจําแนกหิ นได้ดงั นี้ หินอัคนี เกิดจากการเย็นตัวและการแข็งตัวของหิ นที่ร้อนในหลอมเหลว หิ นตะกิน(หิ นชั้น) เกิดจากการทับถมของตะกอนที่เกิดจากการผุพงั ของหิ นชนิดต่างๆหิ น หินแปร เกิดจากการแปรสภาพของหิ นอัคนีหินตะกอนและหิ นแปรเองเนื่องจากความร้อนและ ความดัน องค์ประกอบของหิ น หิ นอาจประกอบด้วยแร่ ชนิ ดเดียวหรื อหลายชนิดก็ได้แค่บางชนิ ดสี ขาวใสบางชนิด เป็ นแผ่นมีสีเข้มมาชนิดมีสีอ่อนทําให้หินมีสีแตกต่างกัน ประโยชน์

กระบวนการเปลี่ยนแปลงของหิน หิ นในธรรมชาติเกิดการผุพงั อยู่กบั ที่โดยกระบวนการต่างๆที่เกิดขึ้นในธรรมชาติตลอดเวลา เช่น การผุพงั ของหิ นที่มีแร่ ที่มีเหล็กเป็ นองค์ประกอบในเนื้ อหิ นการละลายของหิ นปูนที่เกิดจากนํ้าที่มีสมบัติเป็ น กรดและการที่พืชขึ้นอยูบ่ นหิ นรากของพืชจะปล่อยสารที่เป็ นกรด อ่อนๆเข้าทําปฏิกิริยากับแร่ ธาตุบางชนิดที่ อยูใ่ นหิ นเป็ นการผุพงั อยูก่ บั ที่ที่เกิดจากกระบวนการทางเคมี ส่ วนการผุพงั ของหิ นที่เกิดจากความร้อนและ แรงต่างๆ เช่น แรงดันเนื่องจากการขยายตัวของก้อนนํ้าแข็งแรงดันของรากต้นไม้และแรงโน้มถ่วงของโลก ทําให้หินผุพงั โดยที่สมบัติของหิ นไม่ได้เปลี่ยนแปลงเป็ นการผุพงั อยูก่ บั ที่ที่เกิดจาก กระบวนการทาง กายภาพ

ธรณี พิบตั ิภยั ดินถล่ม เป็ นธรณี พิบตั ิภยั ที่พบทัว่ ไปทุกภาคของประเทศซึ่ งเกิดจากการตัดไม้ทาํ ลายป่ าบริ เวณที่สูง เมื่อเกิดฝนตกหนักต่อเนื่ องกันเป็ นเวลาหลายๆวันดินไม่สามารถอุม้ นํ้าไว้ได้จึงเกิดการถล่มพาเอาก้อนหิ น ต้นไม้ถล่มลงมาตามความลาดชันทําให้เกิดความสู ญเสี ยในชีวติ และทรัพย์สิน การกัดเซาะชายฝั่ง เกิดขึ้นทั้งบริ เวณชายฝั่งทะเลและชายฝั่งแม่น้ าํ โดยที่คลื่นในทะเลและการไหล เซาะของกระแสนํ้าทําให้สูญเสี ยพื้นที่ชายฝั่งทะเลและชายฝั่งแม่น้ าํ เป็ นบริ เวณกว้างทําให้ที่อยูอ่ าศัยที่ทาํ กิน ลดลง สึ นามิ เป็ นคลื่นยักษ์ที่เกิดจากแผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิดการชนของอุกกาบาตและแผ่นดินถล่มใน ทะเลหรื อมหาสมุทรซึ่ งเป็ นธรณี พิบตั ิภยั ที่ไม่อาจคาดการณ์ได้ล่วงหน้าและสามารถทราบได้จากการเตือน ภัยและสังเกตสิ่ งแวดล้อมผิดปกติก่อนเกิดสึ นามิเพียงระยะเวลาสั้นๆจึงต้องมีการซักซ้อมแผนอพยพอย่าง สมํ่าเสมอตามแผนที่วางไว้เพื่อลดความสู ญเสี ยทั้งชีวิตและทรัพย์สิน

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 7 ปรากฏการณ์ การของโลกและเทคโนโลยีอวกาศ

ข้างขึ้น-ข้างแรม การที่ดวงจันทร์ โคจรรอบโลกขณะที่ดวงจันทร์ เปลี่ยนตําแหน่งไปคนบนโลกจะเห็นส่ วนสว่างที่ ดวงจันทร์ สะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ได้แตกต่างกันช่วงเวลาที่มองเห็นส่ วนสว่างของดวงจันทร์ ค่อยๆ เพิม่ ขึ้นจนเต็มดวงเรี ยกว่าข้ างขึน้ จากนั้นจะมองเห็นส่ วนสว่างของดวงจันทร์ ค่อยๆลดลงจนมืดหมดทั้งดวง เรี ยกช่วงเวลานี้ วา่ ข้ างแรมการเกิดข้างขึ้นข้างแรมนี้จะหมุนเวียนเป็ นวัฏจักร

สุ ริยปุ ราคา จันทรุ ปราคา สุ ริยุปราคา เมื่อดวงจันทร์ โคจรอยูร่ ะหว่างโลกและดวงอาทิตย์เรี ยงกันเป็ นแนวตรงห่างการในระยะ ที่พอเหมาะเงาของดวงจันทร์ จะตกลงบนโลกคนที่อยูบ่ นโลกบริ เวณเงามืดจะเห็นดวงอาทิตย์มืดมิดไปทั้ง ดวงเรี ยกปรากฏการณ์น้ ีวา่ สุ ริยุปราคาเต็มดวงแต่หากอยูบ่ นโลกบริ เวณเงามัวจะเห็นดวงอาทิตย์มีเพียง บางส่ วนจึงเกิดสุ ริยุปราคาบางส่ วนบางครั้งเงามืดของดวงจันทร์ ไม่ตกถึงพื้นโลกเพราะดวงจันทร์ อยูห่ ่างโลก มากกว่าปกติมีเพียงพื้นที่เงามัวส่ วนที่อยูใ่ ต้เงามืดตกลงบนโลกทําให้คนที่อยูบ่ ริ เวณนั้นจะเห็นสุ ริยุปราคาวง แหวนและยังมีปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเกิดสุ ริยปุ ราคาเต็มดวงอีกเช่นปรากฏการณ์ลูกปั ดของเบลี่ ปรากฏการณ์แหวนเพชรเป็ นต้น จันทรุ ปราคา โลกโคจรอยูร่ ะหว่างดวงจันทร์ และดวงอาทิตย์ในแนวเส้นตรงเงาของโลกจะชอบใคร ในอวกาศเมื่อดวงจันทร์ โคจรเข้าไปในเงาของโลกดวงจันทร์ ค่อยๆมืดไปบางส่ วนจากนั้นดวงจันทร์ เข้าไป ในเงามืดของโลกจนหมดจึงเห็นดวงจันทร์ มืดทั้งดวงเรี ยกปรากฏการณ์น้ ีวา่ จันทรุ ปราคาเต็มดวง

ฤดู แสงตรงแสงเฉียงมีผลต่ ออุณหภูมิของโลก บริ เวณที่รับแสงตรงมีพ้นื ที่จากแสงน้อยกว่าบริ เวณที่รับ แสงเฉี ยงทําให้พลังงานต่อหนึ่งหน่วยพื้นที่มีค่ามากกว่าดังนั้นบริ เวณที่ได้รับแสงตรงจะมีอุณหภูมิสูงกว่า การที่แสงอาทิตย์ตกกระทบบนโลก มีท้ งั แสงตรงและแสงเฉี ยงทําให้พ้นื ผิวโลกบริ เวณต่างๆมีอุณหภูมิไม่ เท่ากัน ***ฤดูเกิดขึ้นจากโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ เทคโนโลยีอวกาศ ดาราศาสตร์ เป็ นวิชาวิทยาศาสตร์ ที่ศึกษาเรื่ องดวงดาววัตถุทอ้ งฟ้าและอวกาศเป็ นวิชาที่เกิดขึ้นกว่า 5000 ปี มาแล้วนักดาราศาสตร์ รุ่นแรกๆเป็ นชาวอียปิ ต์และชาวบาบิโลเนีย นักดาราศาสตร์ คือ นักวิทยาศาสตร์ ที่ศึกษาเรื่ องเกี่ยวกับดวงดาวและวัตถุทอ้ งฟ้า เทคโนโลยีอวกาศมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ วและต่อเนื่ องนับจากจรวดดาวเทียมยานอวกาศห้องทดลองลอยฟ้า ยานขนส่ งอวกาศสถานีอวกาศกล้องโทรทรรศน์อวกาศทําให้ความรู ้เกี่ยวกับดวงดาวต่างๆทั้งในระบบสุ ริยะ และระบบสุ ริยะขึ้นอย่างมากมาย ปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนให้การพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งคือคอมพิวเตอร์

วิชา สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 1

วิชา สั งคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 1

สาระที่ 2 หน้ าทีพ่ ลเมือง วัฒนธรรมและการดาเนินชีวติ ในสั งคม หน่ วยการเรียนรู้ที่ 1 การเป็ นพลเมืองดี การปฏิบตั ิตนเป็ นสมาชิกที่ดีของครอบครัวและโรงเรี ยน คือ การเชื่ อฟังคําสั่งสอนของบิดามารดา และครู อาจารย์ มีความกตัญํูกตเวที ปฏิบตั ิตนตามกฎระเบียบ และมีสัมมาคารวะ การปฏิบตั ิตนดังกล่าวจะ ช่วยให้อยูร่ ่ วมกับผูอ้ ื่นได้อย่างมีความสุ ข เกิดความเป็ นระเบียบเรี ยบร้อย สมาชิกทุกคนในสังคมมีความสามารถแตกต่างกัน การยอมรับในความสามารถและเห็นคุณค่าของ ผูอ้ ื่น จะช่วยให้อยูร่ ่ วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุ ข นอกจากนี้ สังคมใดที่มีคนดียอ่ มส่ งผลให้สังคมนั้น เกิดความเจริ ญรุ่ งเรื องและสันติสุข หน่ วยการเรียนรู้ที่ 2 โครงสร้ างและบทบาทหน้ าทีข่ องสมาชิก ในครอบครัวและโรงเรียน โครงสร้ างและความสัมพันธ์ของสมาชิ กในครอบครัว สมาชิ กในครอบครัวประกอบด้วยบุคคล ตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป ที่อาศัยอยูใ่ นบ้านเดียวกัน มีความใกล้ชิดผูกพันกันและช่วยเหลือซึ่ งกันและกัน โครงสร้ างและความสัมพัน ธ์ของสมาชิ กในโรงเรี ยน สมาชิ กในโรงเรี ยนประกอบด้วยผูบ้ ริ หาร โรงเรี ยน ครู นักเรี ยน เจ้าหน้าที่ของโรงเรี ยน ทุกคนล้วนมีบทบาทหน้าที่ ที่แตกต่างกันออกไป บทบาทหน้าที่ และสิ ทธิ ข องตนเองในครอบครั วและโรงเรี ยน บทบาทหน้าที่ คื อ สิ่ งที่ บุคคลพึ ง ปฏิ บตั ิ สิ ทธิ คือ ประโยชน์ที่ บุคคลควรได้รับ สมาชิ กทุก คนในครอบครัวและโรงเรี ยนมีบทบาทหน้าที่ แตกต่างกันไป ทุกคนจึ งควรปฏิ บตั ิตามบทบาทหน้าที่ ของตน เพื่อให้เกิ ดความเป็ นระเบียบเรี ยบร้ อยและ ความสงบสุ ข และต้องไม่ไปละเมิดสิ ทธิ ของผูอ้ ื่น หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 การมีส่วนร่ วมตามกระบวนการประชาธิปไตย ประชาธิ ปไตย คือ การปกครองที่ยอมรับความคิดเห็นที่มีเหตุผลของสมาชิ กส่ วนใหญ่เป็ นหลัก และต้องรับ ฟั งความคิดเห็ นของสมาชิ กส่ วนน้อย การมีส่วนร่ วมในการตัดสิ นใจและการทํากิจกรรมในครอบครัวตาม

กระบวนการประชาธิปไตย เป็ นการเปิ ดโอกาสให้สมาชิกในครอบครัวได้มีส่วนร่ วมในการตัดสิ นใจ และทํา กิจกรรมต่างๆร่ วมกันซึ่ งทําให้สมาชิกในครอบครัวอยูร่ ่ วมกันอย่างมีความสุ ข การมีส่วนร่ วมในการตัดสิ นใจและการทํากิจกรรมในโรงเรี ยนตามกระบวนการประชาธิ ปไตย การ อยู่ร่วมกันในชั้นเรี ยนและโรงเรี ยน สมาชิ กทุกคนจะต้องมีส่วนร่ วมในการตัดสิ นใจเรื่ องราวต่างๆและทํา กิจกรรมต่างๆของโรงเรี ยนโดยยึดตามกระบวนการประชาธิ ปไตย ซึ่ งยอมรับความคิดเห็นคนส่ วนใหญ่ จะ ทําให้สมาชิกในชั้นเรี ยนและโรงเรี ยนอยูร่ ่ วมกันอย่างมีความสุ ข สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 การใช้ จ่ายเงินเพื่อซื้อสิ นค้ าและบริการอย่ างคุ้มค่ า สิ นค้าและบริ การ คือ สิ่ งที่ซ้ื อขายกัน มีประโยชน์ต่อการดํารงชี วิตและช่ วยอํานวยความสะดวก ผูซ้ ้ื อจะใช้ เงินเพื่อซื้ อสิ นค้าและบริ การที่จาํ เป็ นต่อการดํารงชีวติ และเพื่อสนองความต้องการของตนเอง การใช้จ่ายเงินในชี วิตประจําวัน ทุกคนจําเป็ นต้องซื้ อสิ นค้าและบริ การเนื่ องจากเราไม่สามารถผลิต สิ นค้าและบริ การเองได้ทุกอย่างแต่การซื้ อสิ นค้าและบริ การควรเลือกซื้ อสิ นค้าและบริ การที่จาํ เป็ นและไม่ใช้ จ่ายเงินเกินกว่ารายได้ที่ได้รับมา การออมเงิน คือ การเก็บเงินไว้เพื่อใช้ประโยชน์ในอนาคตการออมเงินจะทําให้เรามีเงินใช้จ่ายยาม จําเป็ น การออมสามารถทําได้โดยฝากเงินไว้กบั ธนาคาร ซึ่ งจะทําให้ได้รับดอกเบี้ยเป็ นผลตอบแทน หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 การบริหารจัดการทรัพยากร ทรัพยากร หมายถึ ง สิ่ งที่เกิ ดขึ้นตามธรรมชาติ หรื อสิ่ งที่มนุ ษย์สร้างขึ้น ซึ่ งช่ วยอํานวยประโยชน์แก่มนุ ษย์ และธรรมชาติดว้ ยตนเอง ทรัพยากรที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่น อากาศ แม่น้ าํ นํ้าตก มหาสมุทร พื้นดิน แร่ ภู เ ขา ป่ าไม้ ทรั พ ยากรที่ ม นุ ษ ย์ส ร้ า งขึ้ น เช่ น บ้า นเรื อ น โรงเรี ย น ถนน รถยนต์ อ่ า งเก็ บ นํ้า มนุ ษ ย์ใ ช้ ประโยชน์ใ นการดํารงชี วิตและการอํานวยความสะดวกในชี วิตประจําวัน การใช้ทรั พยากรควรใช้อย่า ง ประหยัดและก่อให้เกิดประโยชน์มากที่สุดเพื่อเป็ นการอนุรักษ์ทรัพยากรให้คงอยูย่ าวนาน

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 การทางาน การทํางาน คือ การทํากิ จกรรมที่ก่อให้เกิ ดรายได้หรื อผลตอบแทนอย่างใดอย่างหนึ่ ง เช่ น ทําครัว ทําสวน สอนหนังสื อ ประเภทของการทํา งาน มี 2 ประเภท คื อ การทํา งานที่ ก่ อ ให้ เ กิ ด รายได้ ผู ้ท ํา งานจะได้ รั บ ผลตอบแทนเป็ นเงินทําให้มีรายได้มาใช้จ่ายภายในครอบครัว และ การทํางานที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ผูท้ าํ งาน จะได้รับผลตอบแทนเป็ นความสุ ขทางใจและเกิดความภาคภูมิใจ การทํางานที่ ก่อให้เกิ ดรายได้ ทําให้ได้หล่ อเลี้ ย งชี วิต เนื่ องจากมี เงิ นไว้ใช้จ่ายเพื่อซื้ อสิ นค้าและ บริ การที่จาํ เป็ นต่อการดํารงชี วิตและใช้จ่ายในยามจําเป็ น นอกจากนี้ ยงั ทําให้สังคมเจริ ญก้าวหน้า เนื่ องจาก การมีรายได้เพื่อการใช้จ่ายจะส่ งผลให้เศรษฐกิจดีข้ ึน การทํางานที่ ไม่ก่ อให้เกิ ดรายได้ ทําให้ตนเอง ครอบครั ว และสังคมเกิ ดความสงบสุ ข มี สุขภาพ แข็งแรงและสุ ขภาพจิตที่ดี และเป็ นการสร้างจิตสาธารณะที่มีต่อครอบครัวและสังคม

สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 สิ่ งต่ างๆรอบตัว

สิ่ งต่างๆรอบตัวมีท้ งั สิ่ งมีชีวิตและสิ่ งไม่มีชีวิตเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและสิ่ งที่มนุ ษย์สร้างขึ้น สิ่ งแวดล้อม ตามธรรมชาติที่เป็ นสิ่ งไม่มีชีวติ เช่น ภูเขา ดิน หิ น ทะเล แม่น้ าํ ดวงอาทิตย์ สิ่ งแวดล้อมตามธรรมชาติที่เป็ น สิ่ งมี ชีวิต เช่ น ช้าง ต้นไม้ ทุ่งหญ้า เป็ นสิ่ งที่เกิ ดขึ้ นเองตามธรรมชาติ เปลี่ ยนแปลงหรื อเจริ ญเติ บโตตาม ธรรมชาติ สิ่ งแวดล้อมที่มนุ ษย์สร้ างขึ้น เช่ น บ้านเรื อน ถนน รถยนต์ อ่างเก็บนํ้า เป็ นสิ่ งที่ มนุ ษย์สร้ างขึ้ นที่ แปรเปลี่ยนสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติเพื่อการดํารงชีวติ หรื ออํานวยความสะดวกในชีวติ ประจําวัน

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 ความสั มพันธ์ ของตาแหน่ ง ระยะ และทิศ ตํา แหน่ ง สิ่ ง ทั้ง หลายมี ตาํ แหน่ ง ที่ ต้ งั และตํา แหน่ ง ที่ อยู่ ตํา แหน่ ง ที่ ต้ งั และตํา แหน่ ง ที่ อยู่ข องสิ่ ง ต่ า งๆมี ความสัมพันธ์กนั ระยะ คือ สิ่ งต่างๆที่เรามองเห็นสัมพันธ์กนั ด้วยระยะ ทิศ เป็ นแนวเล็งจากตัวเราไปสู่ สิ่งต่างๆ เราใช้ดวงอาทิตในการบอกทิศ ระบบ 4 ทิศ ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตก หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 แผนผังห้ องเรียนของเรา แผนผัง คื อ แบบย่อส่ วนของสิ่ งต่างๆ เช่ น สถานที่ หรื อสิ่ งต่างๆ เพื่อให้เข้าใจ เช่ น แผนผังบ้าน แผนผัง ห้ อ งเรี ย น แผนผัง โรงเรี ย น แผนผัง ชุ ม ชน ซึ่ งเป็ นแบบย่อ ส่ ว นของสิ่ ง ต่ า งๆหรื อ สถานที่ เพื่ อ ให้ เ ห็ น ความสัมพันธ์ที่ชดั เจน และเป็ นเครื่ องมือที่ใช้ในการอ่านและแปลความหมายของสถานที่ต่างๆว่ามีอะไรบ้าง มีตาํ แหน่ง ระยะ และทิศ สัมพันธ์กนั อย่างไร

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 การเปลีย่ นแปลงของสภาพอากาศในรอบวัน อากาศ คือ สิ่ งที่อยูร่ อบๆตัวเราและเป็ นสิ่ งที่จาํ เป็ นต่อการดํารงชี วิตบนโลก ในสภาพอากาศจะเปลี่ยนแปลง ได้ เราจึงต้องปรับตัวให้เข้ากับอากาศในรอบวัน เพื่อให้สามารถดํารงชี วิตอยูไ่ ด้ เช่น เวลาเช้า เวลาสาย เวลา เที่ยง เวลาบ่าย เวลาเย็น เวลาพลบคํ่า เวลาดึก เวลาใกล้รุ่ง หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 5 ภูมิประเทศและภูมิอากาศกับความเป็ นอยู่ของมนุษย์ ภูมิประเทศ เป็ นลักษณะทางธรรมชาติของแผ่นดิ น ท้องถิ่น แต่ละแห่ งจะมีลกั ษณะภูมิประเทศแตกต่างกัน ไป ส่ งผลให้กานดําเนินชีวติ ของคนในแต่ละท้องถิ่นแตกต่างกัน ภูมิอากาศ เป็ นลักษณะทางธรรมชาติที่ไม่สามารถมองเห็นได้ดว้ ยตาเปล่า แต่รู้สึกได้ดว้ ยการสัมผัส ประเทศไทยมีฤดู 3 ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว ยกเว้นภาคใต้ไม่มีฤดูหนาว

วิชา สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกปี ที่ 2

วิชา สั งคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 สาระที่ 2 หน้ าทีพ่ ลเมือง วัฒนธรรมและการดาเนินชีวติ ในสั งคม หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 การปฏิบัติตนตามข้ อตกลง กติกา กฎ ระเบียบหน้ าทีใ่ นชีวติ ประจาวัน ข้อตกลง กติกา กฎ ระเบียบ หน้าที่ คือ ข้อกําหนดในการปฏิบตั ิตนเพื่อความเป็ นระเบียบในสังคม และการอยูร่ ่ วมกับผูอ้ ื่นได้อย่างมีความสุ ข การปฏิบตั ิตนในครอบครัว ในการเชื่อฟังคําสั่งสอนของพ่อแม่ ช่วยเหลืองานบ้าน การปฏิบตั ิตนในโรงเรี ยน การแต่งกายให้ถูกต้องตามระเบียบ เชื่อฟังคําสั่งสอนของครู แสดงความเคารพต่อครู ตั้งใจเรี ยน การปฏิบตั ิตนในสถานที่สาธารณะ คือ สถานที่ต่างๆที่ทุกคนสามารถเข้าไปใช้เพื่อการพักผ่อนหรื อหาความรู ้ ได้ เช่ น สวนสาธารณะ ห้องสมุดชุ มชน ต้องช่ วยกัน รักษา ความสะอาด ไม่ส่งเสี ยงดัง เข้าแถวอย่างเป็ นระเบียบ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 มารยาทไทย มารยาท หมายถึง กิริยา วาจา ที่สุภาพเรี ยบร้อย ที่พึง ปฏิบตั ิให้เหมาะสม ซึงประกอบไปด้วย มารยาทในการ แสดงความเคารพและการทักทาย มารยาทในการพูด มารยาทในการยืน มารยาทในการเดิน มารยาทในการนัง่ มารยาทในการแต่งกาย หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 การอยู่ร่วมกันในสั งคมอย่ างสั นติสุข การยอมรับความคิด ความเชื่ อ ความสามารถและการปฏิบตั ิของบุคคลที่แตกต่างกัน สมาชิกแต่ละ คนในครอบครัว โรงเรี ยนและชุมชนล้วนมีความคิด ความเชื่อ ความสามารถที่แตกต่างกันออกไป เช่น บุคคลย่อมมีความคิดที่มีเหตุผล การปฏิบตั ิตนตามพิธีกรรมตามความเชื่ อของบุคคล เช่น การนับถือศาสนาที่ แตกต่างกัน และการไม่พูดแสกงอาการดูถูกรังเกียจผูอ้ ื่น สิ ทธิ หมายถึง ประโยชน์ที่กฎหมายคุม้ ครองให้คนทุกคนมีความเท่าเทียมกัน เสรี ภาพ หมายถึง ความเป็ นอิสระของบุคคลที่จะทําสิ่ งใดก็ได้โดยไม่ขดั กับกฎหมาย

สิ ทธิ และเสรี ภาพของตนเองและผูอ้ ื่น ได้แก่ สิ ทธิ และเสรี ภาพในชีวติ และร่ างกาย สิ ทธิ และเสรี ภาพ ในทรัพย์สิน สิ ทธิและเสรี ภาพในการแสดงความคิดเห็น

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 ความสั มพันธ์ ของตนเองและครอบครัวในฐานะเป็ นส่ วนหนึ่งของชุ มชน ความสัมพันธ์ ของตนเองและสมาชิ กในครอบครัวกับชุ มชน ในชุ มชนจะมี สมาชิ กอาศัยอยู่หลาย ครอบครั ว เพื่ อให้ก ารอยู่ร่วมกันระหว่า งบุ ค คลในชุ ม ชนมี ค วามสงบเรี ย บร้ อย นัก เรี ย นและสมาชิ ก ใน ครอบครัว ในฐานะเป็ นส่ วนหนึ่ งของชุ มชนควรปฏิ บตั ิตน เช่ น การปฏิบตั ิตามกฎ ระเบียบของชุ มชน การ ช่วยเหลือกิจกรรมของชุมชน และการดูแลรักษาสาธารณะสมบัติของชุมชน หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 5 บทบาทและอานาจในการตัดสิ นใจในโรงเรี ยนและชุ มชน ผูม้ ีบทบาทและอํานาจในการตัดสิ นใจในโรงเรี ยนและชุมชน คือ ครู ใหญ่ อาจารย์ใหญ่ หรื อ ผูอ้ าํ นวยการโรงเรี ยนเป็ นผูท้ ี่มีบทบาทสําคัญต่อโรงเรี ยน เป็ นผูด้ ูแลความสงบเรี ยบร้อยในโรงเรี ยนและมี อํานาจตัดสิ นใจเรื่ องต่างๆในโรงเรี ยน ผูม้ ีบทบาทและอํานาจในการตัดสิ นใจในชุมชน ชุมชน คือ การอยูร่ ่ วมกันของครอบครัวหลายๆ ครอบครัว สมาชิกในชุมชนจะเลือกตัวแทนของชุ มชนเพื่อทําหน้าที่บริ หารในชุมชน ผูม้ ีบทบาทและอํานาจ ตัดสิ นใจในชุมชน ได้แก่ ผูใ้ หญ่บา้ น กํานัน ผูน้ าํ ท้องถิ่น แพทย์ประจําตําบล ผูน้ าํ ศาสนา สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 สิ นค้ าและบริการในชีวติ ประจาวัน ทรัพยากร คือ สิ่ งต่างๆที่อยูร่ อบตัวเรา ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และมนุษย์สร้างขึ้น ทรั พ ยากรที่ นํา มาใช้ใ นการผลิ ตสิ นค้า และบริ ก ารในครอบครั ว ทรั พ ยากรที่ นํา มาใช้ เช่ น โต๊ ะ รับประทานอาหาร แจกันดอกไม้ และ ทรั พยากรที่นาํ มาใช้ในการผลิ ตสิ นค้าและบริ การในโรงเรี ยน เช่ น ดินสอ กระดาษ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 รายได้ รายจ่ าย และการออม รายรับหรื อรายได้ คือ สิ่ งของหรื อเงินที่ได้จากการทํางานหรื อได้รับจากผูอ้ ื่น ส่ วน รายจ่าย คือ เงิน หรื อรายจ่ายที่จ่ายเพื่อให้ได้สินค้าหรื อบริ การที่จาํ เป็ นในการดํารงชีวติ ซึ่ งที่มาของรายได้รายจ่ายของ ครอบครัวนั้น จะมาจากการประกอบอาชีพของครอบครัว เช่น อาชีพ หมอ พยาบาล พนักงานบริ ษทั ชาวนา ค้าขาย ซึ่งเป็ นการแสวงหารายได้ที่สุจริ ตและเหมาะสม

รายได้ของครอบครัว ได้แก่ ผลตอบแทนที่ทุกคนในครอบครัวได้จากการประกอบอาชีพหรื อได้รับ จากผูอ้ ื่น เช่น เงินเดือน ค่าจ้าง ค่าตอบแทน รายจ่ายของครอบครัว คือ เงินที่นาํ ไปซื้ อสิ นค้าและบริ การต่างๆ เพื่อครอบครัว เช่น ค่านํ้าประปา ค่าไฟฟ้า ค่าอาหาร ค่ารักษาพยายามเมื่อเจ็บป่ วย ค่าเดินทาง รายได้และรายจ่ายของตนเอง เช่น ได้รับเงินค่าขนมจากพ่อแม่ เงินที่ได้จากญาติพี่นอ้ ง และนําไปใช้ ซื้ อสิ นค้าบริ การต่างๆ เช่ น ค่าอาหาร ค่าขนม ค่าเครื่ องเขียน และการใช้จ่ายเงิ นในชี วิตประจําวันนั้นควร วางแผนก่ อน เพื่อไม่ ให้มี ก ารใช้จ่า ยมากเกิ นรายรั บ ของครอบครั ว ควรทํา สมุ ดบันทึ ก หรื อบัญชี รายรั บ รายจ่าย เพื่อควบคุมการใช้จ่ายให้มีรายการจ่ายน้อยกว่าหรื อเหมาะสมกับรายรับ จะทําให้มีเงินเหลือเพื่อออม สะสมไว้ใช้จ่ายในอนาคต การออม หมายถึง การนําเงินที่เหลือจากการใช้จ่าย ในชีวติ ประจําวันมาเก็บไว้เพื่อใช้ประโยชน์ เช่น การเก็บออมไว้ในกระปุกออมสิ น การฝากธนาคาร หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 การซื้อขายแลกเปลีย่ นสิ นค้ าและบริการ สิ นค้า หมายถึง สิ่ งที่ผลิตขึ้น มีราคา นํามาซื้ อขายหรื อแลกเปลี่ยนกันได้ มี ทั้งสิ่ งของเครื่ องใช้และสิ่ งที่เป็ นอาหาร บริ การ หมายถึง การผลิตที่ให้เป็ นประโยชน์ในด้านการอํานวยความสะดวก ความพึงพอใจ ความรู ้ โดยไม่ปรากฏเป็ นรู ปร่ างหรื อสิ่ งของ เช่น การบริ การให้ตดั ผม การ บริ การรถโดยสารประจําทาง การแลกเปลี่ยนสิ นค้าและบริ การ คือ การนําสิ นค้าหรื อบริ การมาแลกเปลี่ยนกัน โดยอาจตกลงกันว่า จะแลกเปลี่ยนสิ่ งใดกับสิ่ งใดหรื ออาจมีสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสิ นค้าบริ การนั้นๆ ลักษณะ เช่น การ แลกเปลี่ยนสิ นค้าและบริ การโดยไม่ใช้เงินและใช้เงิน ผูซ้ ้ื อหรื อผูบ้ ริ โภค คือ ผูท้ ี่ซ้ื อสิ นค้าและบริ การจากผูข้ าย และ ผูข้ ายหรื อผูผ้ ลิต คือ ผูท้ ี่ขายหรื อ จําหน่ายสิ นค้าและบริ การให้กบั ผูซ้ ้ื อ จะมีความสัมพันธ์ระหว่างผูซ้ ้ื อผูข้ ายในการกําหนดราคาสิ นค้าและ บริ การในสังคมทําให้สังคมสงบสุ ขและประเทศมัน่ คง

สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 สิ่ งต่ างๆระหว่างโรงเรียนกับบ้ าน สิ่ งต่างๆระหว่างบ้านและโรงเรี ยนสามารถจําแนกได้ 2 ประเภท คือ สิ่ งที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์ ลม ฝน ท้องฟ้า แม่น้ าํ ภูเขา เมฆ และ สิ่ งที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น ถนน รถยนต์ สะพาน ร้านค้า ถังขยะ โรงเรี ยน

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 เครื่ องมือทางภูมิศาสตร์ เครื่ องมือทางภูมิศาสตร์ มีประโยชน์ในการศึกษาสภาพทางภูมิศาสตร์ ของพื้นที่ต่างๆ เครื่ องมือทาง ภูมิศาสตร์ ที่นกั เรี ยนรู ้จกั เช่น แผนผัง หมายถึง แบบที่เขียนย่าหรื อขยายจากสิ่ งของและสถานที่ต่างๆ เช่น แผนผังบ้าน แผนผังโรงเรี ยน แผนที่ คือ เครื่ องมือที่ทาํ ให้ขอ้ มูลพื้นที่และให้รายละเอียดของสิ่ งต่างๆ เช่น ตําแหน่ง ระยะ ทิศทาง ขนาด รู ปร่ าง แผนที่จะมีขอ้ มูลเหมือนจริ งเพียงแต่ยอ่ ส่ วนลง ลูกโลก คือ เครื่ องมือภูมิศาสตร์ ที่จาํ ลองจากโลกความเป็ นจริ ง ในลูกโลกจะแสดงลักษณะประเทศต่างๆที่มี ในโลก ผืนแผ่นดิน ผืนนํ้า และรายละเอียดอื่นๆ ภาพถ่ายทางอากาศ เป็ นภาพที่ถ่ายระยะไกลโดยใช้เครื่ องบินในการบินถ่ายภาพ และ ภาพถ่ายจากดาวเทียม เป็ นภาพถ่ายที่บนั ทึกสิ่ งต่างๆที่ปรากฏบนผิวโลก โดยใช้อุปกรณ์ระบบบันทึกภาพที่ติดไปกับดาวเทียม ช่วย ให้ได้ขอ้ มูลที่ทนั สมัย หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 ความสั มพันธ์ ระหว่างดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ การโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ทาํ ให้เกิด กลางวัน กลางคืน ฤดูกาล และการโคจรของดวงจันทร์ รอบโลกทําให้เกิด นํ้าขึ้น ” นํ้าลง ข้างขึ้น-ข้างแรม ซึ่ งการโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ใน 1 ปี ทําให้ในแต่ ละช่ วงได้รับ แสงแดดไม่ เท่ า กัน ทํา ให้เกิ ดอุ ณหภู มิ ต่า งกัน จึ ง ทํา ให้เกิ ดฤดู ก าลต่ า งๆ ประเทศไทยแบ่ ง ออกเป็ น 3 ฤดู คือ ฤดูร้อน ฤดูฝน ฤดูหนาว ยกเว้นภาคใต้ของประเทศไทยจะมี 2 ฤดู คือ ฤดูร้อนและฤดูฝน ข้างขึ้น คือ ช่วงเวลากลางคืนที่พระจันทร์ สว่าง เริ่ มจากขึ้น 1 คํ่า ถึงขึ้น 15 คํ่า

ข้างแรม คือ ช่วงเวลาของคืนพระจันทร์ มืด เริ่ มจากแรม 1 คํ่า ถึงแรม 15 คํ่า การนับวันทางจันทรคติ จะใช้ ข่างขึ้น ” ข้างแรม ทําให้รู้เกี่ยวกับวันพระและวันสําคัญทางศาสนา นํ้าขึ้น ” นํ้าลง เกอดจากแรงดึ งดู ดของดวงจันทร์ และดวงอาทิ ตย์ที่มีผลต่อโลก รงดึ งดู ดของดวง จันทร์ จะมีอิทธิ พลต่อการขึ้นลงของนํ้าทะเล ในทุกวันจะมีน้ าํ ขึ้นและนํ้าลงวันละ 2 ครั้ง

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 สิ่ งแวดล้อมทางธรรมชาติและสิ่ งแวดล้อมทางสั งคม สิ่ งแวดล้อม หมายถึง สิ่ งที่อยูร่ อบตัวเรา อาจจะเป็ นสิ่ งมีชีวิตหรื อไม่มีชีวติ ก็ได้ สิ่ งแวดล้อมทางธรรมชาติ หมายถึง สิ่ งที่อยูร่ อบตัวเราเป็ นสิ่ งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่ งมนุษย์ ไม่ได้สร้างขึ้น เช่น ภูเขา นํ้าตก ทะเล แม่น้ าํ ป่ าไม้ หิ น อากาศ สิ่ งแวดล้อมทางสังคม หมายถึง สิ่ งที่อยูร่ อบตัว เป็ นสิ่ งเป็ นที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น บ้านเรื อน อ่างเก็บ นํ้า สนามกีฬา เครื่ องมือ เครื่ องใช้ ที่ช่วยอํานวยความสะดวก เสื้ อผ้า ประเพณี

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 5 ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง สิ่ งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและมีประโยชน์ต่อมนุษย์ แบ่งออกเป็ น 3 ประเภท ได้แก่ ทรัพยากรที่ใช้แล้วหมดไป เช่น แร่ ธาตุ นํ้ามัน ถ่านหิ น ทรัพยากรที่ใช้แล้วไม่หมดไป เช่น อากาศ นํ้า แสงอาทิตย์ และ ทรัพยากรที่ใช้แล้วเกิดขึ้นมาทดแทนหรื อรักษาไว้ได้ เช่น ดินป่ าไม้ สัตว์ป่า ซึ่ ง การใช้ทรัพยากรให้คุม้ ค่านั้น จะมีวธิ ี การปฏิบตั ิ ดังนี้ การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยูใ่ นสภาพ เดิม การฟื้ นฟูทรัพยากรธรรมชาติให้กลับมาอยูใ่ นสภาพดี และหาสิ่ งอื่นที่มีคุณสมบัติเหมือนกันมาทดแทน การเปลี่ยนแปลงของสิ่ งแวดล้อมเกิดจากสาเหตุสาํ คัญ 2 ประการ คือ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการ กระทําของมนุษย์ เช่น การปลูกป่ า และ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากธรรมชาติ เช่น การเกิดคลื่นสึ นามิ

วิชา สังคม ศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 3

วิชา สั งคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 3 ************************************************************************************* สาระที่ 2 หน้ าทีพ่ ลเมือง วัฒนธรรม และการดาเนินชีวติ ในสั งคม หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 ประเพณีและวัฒนธรรมไทย ประเพณี หมายถึง สิ่ งดีงามที่ชุมชนประพฤติปฏิบตั ิสืบต่อกันมาจนกลายเป็ นแบบแผนของวิถีชีวติ ของบุคคล ในชุมชน วัฒนธรรม หมายถึง สิ่ งที่แสดงถึงความเจริ ญงอกงามความเป็ นระเบียบเรี ยบร้อย และศีลธรรมอันดี ที่ปฏิบตั ิสืบต่อกันมา ครอบครัวเป็ นกลุ่มบุคคลที่ประกอบด้วย พ่อแม่ ลูก และ อาจรวมไปถึงญาติผใู ้ หญ่อื่น ๆ เช่น ปู่ ย่า ตายาย ลุงป้ า น้าอา ครอบครัวเป็ นสถาบันที่สาํ คัญที่สุดของสังคม โดยทําหน้าที่ให้ ความรัก ความอบอุ่น อบรมเลี้ยงดู และถ่ายทอดประเพณี และ วัฒนธรรมที่ดีให้แก่สมาชิกในครอบครัว เพื่อให้เป็ นคนดีของสังคม ประเพณี ทางศาสนา ชุมชนที่นบั ถือพระพุทธศาสนาจะมี ประเพณี และวัฒนธรรมที่สาํ คัญ ได้แก่ ประเพณี รับบัวหรื อโยนบัว ประเพณี บวชลูกแก้ว ชุมชนที่นบั ถือศาสนาอิสลามจะมีประเพณี และวัฒนธรรมที่สาํ คัญ ได้แก่ งานเมาลิด การถือศีลอด การเข้าร่ วมประเพณี ที่เกี่ยวข้องกับการดําเนินชีวิต เช่น ประเพณี เกี่ยวกับการเกิด ประเพณี การ อุปสมบท ประเพณี เกี่ยวกับงานศพ ประเพณี ลอยกระทง ประเพณี แห่ ผตี าโขน ประเพณี และวัฒนธรรมไทยแสดงให้เห็นถึงความเจริ ญงอกงามของสังคมไทยที่สืบทอดต่อกันมา จนถึงปัจจุบนั หล่อหลอมให้คนในสังคมมีความเป็ นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็ นหลักปฏิบตั ิสาํ หรับการดําเนิ น ชีวติ ส่ งผมให้เกิดความสงบสุ ขในสังคม

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 วันสาคัญของไทย วันสําคัญ หมายถึง วันที่มีเหตุการณ์สาํ คัญต่าง ๆ เกิดขึ้น โดยรัฐบาลได้กาํ หนดให้มีพิธีการและกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อให้ประชาชนได้ระลึกถึงความสําคัญของวันดังกล่าวด้วยความภาคภูมิใจ วันสําคัญที่เกี่ยวกับชาติและพระมหากษัตริ ย ์ ได้แก่ วันจักรี วันรัฐธรรมนู ญ วันฉัตรมงคล วันเฉลิม พระชนมพรรษา(วันพ่อ) วันเฉลิมพระชนมพรรษา(วันแม่) วันสําคัญที่เกี่ยวกับศาสนา ได้แก่ วันวิสาขบูชา วันมาฆบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา วันสําคัญที่เกี่ยวกับประเพณี และวัฒนธรรม ได้แก่ วันสงกรานต์ วันพืชมงคล วันสําคัญของไทยเป็ นวันที่มี เหตุการณ์สาํ คัญเกิดขึ้น และส่ งผลต่อการ ดําเนินชีวติ ของคนในสังคม โดยมีการจัด กิจกรรมขึ้นเพื่อให้คนไทยได้ระลึกถึง เหตุการณ์ดงั กล่าว การเข้าร่ วมกิจกรรมจึง เป็ นการเผยแพร่ ให้คนไทยเห็นถึง ความสําคัญและสื บทอดให้คงอยูต่ ่อไป

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 บุคคลสาคัญของท้ องถิ่น ชุมชนและท้องถิ่นแต่ละแห่งจะมีบุคคลสําคัญที่ทาํ ประโยชน์ให้แก่ชุมชนหรื อท้องถิ่น การศึกษา ประวัติของบุคคลที่มีผลงานเป็ นประโยชน์แก่ชุมชนและท้องถิ่น สามารถนําไปเป็ นแบบอย่างในการดําเนิน ชีวติ ได้ นายประยงค์ รณรงค์ ผลงานสําคัญ เป็ นผูน้ าํ ในการพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชนตามแนวทางปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั โดยทําให้ชาวบ้านสามารถพึ่งพาตนเองในการแก้ปัญหา ในการประกอบอาชีพ รวมทั้งการร่ วมมือกันเพื่อแก้ไขปั ญหาของชุมชน แพทย์หญิงเพ็ญนภา ทรัพย์เจริ ญ ผลงานสําคัญ รวบรวมตํารายาแผนโบราณและนํามาแปล เพื่อ เผยแพร่ ความรู ้และนําไปใช้ในการรักษาโรค จัดทําโปรแกรมสุ ขภาพสําเร็ จรู ป การใช้คอมพิวเตอร์ ในการ วิเคราะห์สุขภาพด้วยทฤษฎีการแพทย์แผนไทย ใน พ.ศ. 2537 นายวิบูลย์ เข็มเฉลิม ผลงานสําคัญ เป็ นแบบอย่างในการดําเนินชีวิตโดยใช้กระบวนการเรี ยนรู ้เพื่อ การพึ่งพาตนเอง เป็ นการนําเอาประสบการณ์ชีวิตที่ได้ มาเป็ นทางเลือกให้กบั เกษตรกร เพื่อเป็ นแนวทางใน การเริ่ มต้นปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ตามแนวทางปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง บุคคลที่ทาํ ประโยชน์ให้แก่ทอ้ งถิ่นโดยไม่หวังผลตอบแทน เป็ นบุคคลสําคัญที่ควรได้รับการยกย่อง ชื่นชม และเป็ นแบบอย่างที่ดีที่ควรนํามาปฏิบตั ิตาม

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 ประชาธิปไตยในชั้ นเรียน โรงเรียนและชุ มชน ความหมายด้านการปกครอง ประชาธิปไตย หมายถึงการปกครองที่เคารพสิ ทธิและเสรี ภาพของ บุคคล ความหมายด้านการดําเนินชีวิต ประชาธิปไตย หมายถึงความเชื่อ และวิธีการดําเนินชีวิตที่มี เป้ าหมายเพื่อการอยูร่ ่ วมกันอย่างสันติสุขในสังคม บทบาทหน้าที่ หมายถึง สิ่ งที่ทุกคนต้องปฏิบตั ิในฐานะสมาชิกที่ดีของชุมชนเพื่อให้เกิดความเป็ น ระเบียบเรี ยบร้อยในชุมชน การมีส่วนร่ วมในกิจกรรมตามกระบวนการประชาธิ ปไตย คือ การแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุผล การรับฟังความคิดเห็นของผูอ้ ื่น การยอมรับฟังเสี ยงข้างมาก การออกเสี ยงโดยตรงและการเลือกตัวแทนออก เสี ยงเป็ นการมีส่วนร่ วมในกิจกรรมตามกระบวนการประชาธิ ปไตย ที่สมาชิกทุกคนสามารถเข้าไปมีส่วน ร่ วมได้เพื่อให้เกิดความสงบสุ ขในสังคม

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 5 การเปลีย่ นแปลงในชั้ นเรียน โรงเรียนและชุ มชน การตัดสิ นใจของบุคคลและกลุ่มที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในชั้นเรี ยน บุคคลและกลุ่มที่มีผลต่อการ เปลี่ยนแปลงในชั้นเรี ยน ได้แก่ ครู ประจําชั้น หัวหน้าห้องเรี ยน สมาชิกในห้องเรี ยน การตัดสิ นใจของบุคคลและกลุ่มที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในโรงเรี ยน เป็ นสถานที่ที่สมาชิกทุกคน ในโรงเรี ยนมีส่วนร่ วมในการรักษา และดูแลให้มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีข้ ึน นอกจากนักเรี ยนและคุณครู แล้ว ประธานนักเรี ยน และคณะกรรมการนักเรี ยนเป็ นบุคคลและกลุ่มที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในโรงเรี ยน การตัดสิ นใจของบุคคลและกลุ่มที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในชุมชน การเปลี่ยนแปลงที่ดีในชุมชน อันเป็ นผลมาจากการตัดสิ นใจของบุคคลและกลุ่มในชุมชน ที่มีความรับผิดชอบและมีจิตสาธารณะร่ วมกัน พัฒนาชุมชน การเปลี่ยนแปลงในชั้นเรี ยน โรงเรี ยน และชุมชน เป็ นผลมาจากการตัดสิ นใจของสมาชิกในชั้นเรี ยน โรงเรี ยน และชุมชน ถ้าสมาชิกทุกคนมีความสามัคคีกนั เห็นประโยชน์แก่ส่วนรวมเป็ นหลัก ก็จะทําให้การ เปลี่ยนแปลงในชั้นเรี ยน โรงเรี ยน และชุมชน เป็ นไปในทางที่ดีข้ ึน สมาชิกทุกคนอยูร่ ่ วมกันอย่างมีความสุ ข

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 6 ความหลากหลายทางวัฒนธรรม สังคมไทยประกอบด้วยกลุ่มคนหลายเชื้อชาติ ซึ่ งอาศัยอยูร่ ่ วมกัน เช่น ไทย ลาว จีน เวียดนาม อินเดีย มลายู อังกฤษ โดยกลุ่มคนแต่ละเชื้อชาติจะมีวฒั นธรรมและการดําเนินชี วติ ที่แตกต่างกัน การทักทาย เป็ นการพูดคุยเพื่อสอบถามความเป็ นอยู่ การทักทายของคนไทยจะกล่าวคําว่า สวัสดี ครับ/ค่ะ พร้อมทั้งยกมือไหว้ การทําความเคารพ เป็ นการแสดงความให้เกียรติแก่ผอู ้ ื่น สามารถปฏิบตั ิได้หลายวิธี เช่น การไหว้ การกราบ ซึ่งเป็ นการแสดงความเคารพของคนไทย การปฏิบตั ิตนตามศาสนพิธี ศาสนพิธีเป็ นพิธีกรรมทางศาสนาที่ปฏิบตั ิสืบทอดต่อกันมา การรับประทานอาหาร เป็ นกิจกรรมที่จาํ เป็ นของชีวิต คนต่างวัฒนธรรมที่อยูร่ ่ วมกัน ในประเทศไทยมีวฒั นธรรมการรับประทานอาหารที่หลากหลาย การใช้ภาษา ภาษาเป็ นสิ่ งที่ใช้ติดต่อสื่ อสาร เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ตรงกัน ใน ประเทศไทยมีชาวต่างชาติเข้ามาอาศัยอยูเ่ ป็ นจํานวนมาก แต่ละชาติจะมีภาษที่แตกต่าง กัน

สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 สิ นค้ าและบริการในชีวติ ประจาวัน สิ นค้าที่จาํ เป็ นต่อการดํารงชี วิตของมนุษย์ที่เรี ยกว่าปั จจัย 4 ได้แก่ อาหาร เครื่ องนุ่งห่ม ที่อยูอ่ าศัย ยารักษา โรค หลักการเลือกซื้ อสิ นค้าที่จาํ เป็ น เลือกซื้ อสิ นค้าโดยคํานึงถึงประโยชน์ใช้สอย , เลือกซื้ อสิ นค้าที่มี คุณภาพดี ราคาเหมาะสม , เปรี ยบเทียบราคาสิ นค้าชนิดเดียวกันก่อนตัดสิ นใจซื้ อ , ไม่เลือกซื้ อสิ นค้าตามคํา โฆษณาชวนเชื่อ สิ นค้าและบริ การในชีวิตประจําวันมีท้ งั ที่จาํ เป็ นต่อการดํารงชีวติ ที่เรี ยกว่า ปั จจัย4 และสิ นค้าที่เป็ น ความต้องการของมนุษย์ที่มนุษย์นาํ มาใช้เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายในการดําเนินชี วติ การเลือกซื้ อสิ นค้า และบริ การจึงควรเลือกสิ่ งที่จาํ เป็ นและมีประโยชน์ต่อการดําเนินชีวติ

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 การวางแผนใช้ จ่ายเงิน รายได้ของนักเรี ยน คือ เงินที่ได้รับมาจากผูป้ กครอง หรื อการรับจ้างทํางานพิเศษในวันหยุด ถ้า นักเรี ยนไม่วางแผนการใช้เงินก็จะทําให้ไม่มีเงินเหลือเก็บ และถ้าอยากได้อะไรก็ไม่สามารถซื้ อได้ นักเรี ยน จึงควรตั้งเป้ าหมายทางการเงินไว้ ใช้บญั ชีรับจ่ายวิเคราะห์การใช้จ่ายที่จาํ เป็ นและเหมาะสม การจดบันทึกรายรับหรื อรายจ่ายของ ตนเอง จะช่วยให้ทราบว่าในแต่ละวันควรจะใช้จ่าย และเหลือไว้สาํ หรับเป็ นเงินออมเท่าไร การบันทึก รายรับและรายจ่ายสามารถทําได้โดยการจดบันทึก การใช้จ่ายอย่างเหมาะสม คือ ใช้จ่ายให้นอ้ ยกว่าเงินที่ได้รับมา หรื อ ใช้จ่ายให้พอดีกบั รายรับ เมื่อ นักเรี ยนรู ้จกั เก็บออมเงิน ก็สามารถนําเงินที่ออมไว้มาใช้ซ้ื อสิ่ งของที่จาํ เป็ นและต้องการได้ การวางแผนการใช้จ่ายเงินทําได้โดยการจัดทําบัญชีรายรับ-รายจ่ายเพื่อควบคุมการใช้จ่ายของตนเอง ให้เหมาะสมกับรายได้ที่ได้รับมาการวางแผนการใช้จ่ายเงินจะทําให้มีเงินเหลือเก็บออม และสามารถ นําไปใช้ในยามจําเป็ นได้ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 การบริหารจัดการทรัพยากร ทรัพยากร หมายถึง สิ่ งที่นาํ มาใช้แล้วก่อให้เกิดประโยชน์ แบ่งออกเป็ น 2 ประเภท ได้แก่ ทรัพยากรธรรมชาติ หมายถึง สิ่ งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและมนุษย์นาํ มาใช้ประโยชน์ , ทรัพยากรที่มนุษย์ สร้างขึ้น หมายถึง สิ่ งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อใช้ในการผลิตสิ นค้าและบริ การ ทรัพยากรในทางเศรษฐศาสตร์ เรี ยกอีกอย่างว่า ทรัพยากรการผลิตหรื อปั จจัยการผลิต หมายถึง สิ่ งที่ นํามาใช้ในการผลิตสิ นค้าและบริ การเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์ ผูผ้ ลิต คือ ผูท้ ี่นาํ ทรัพยากรมาแปรรู ปเป็ นสิ นค้าและบริ การเพื่อตอบสนองความต้องการของ ผูบ้ ริ โภค ผูบ้ ริ โภค คือ ผูท้ ี่นาํ เงินหรื อสิ่ งของไปแลกเปลี่ยนเป็ นสิ นค้าหรื อบริ การ สิ นค้า คือ สิ่ งของที่ซ้ื อขายกัน โดยสามารถเก็บรวบรวมไว้ได้และสามารถถ่ายโอนไปให้ผอู ้ ื่นได้ บริ การ คือ การอํานวยความสะดวกในด้านต่างๆ เช่น การให้บริ การตัดผม การให้บริ การตัดเย็บเสื้ อผ้า

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 ภาษีและการแข่ งขันทางการค้ า ภาษี คือ เงินที่รัฐบาลบังคับเก็บจากประชาชนที่มีรายได้ เป็ นรายรับของรัฐบาลที่จะนําไปใช้จ่ายเพื่อ ประโยชน์ของส่ วนรวม ภาษีแบ่งออกเป็ น 2 ประเภท ได้แก่ ภาษีทางตรง คือ ภาษีที่รัฐบาลเก็บโดยตรงจากผูม้ ีรายได้ตาม อัตราที่รัฐกําหนด ภาษีทางอ้อม คือ ภาษีที่รัฐบาลเก็บจากผูบ้ ริ โภคและสามารถผลักภาระไปให้ผอู ้ ื่นเสี ย ภาษีแทนได้ ผูม้ ีรายได้ตามที่รัฐกําหนดมีหน้าที่ตอ้ งเสี ยภาษี เงินภาษีเป็ นรายได้ของรัฐที่จะนําไปใช้ในการพัฒนา ประเทศในด้านต่างๆ เพื่ออํานวยความสะดวกในการดําเนิ นชีวติ ของประชากรในประเทศ ส่ งผลให้ ประเทศชาติพฒั นาและเจริ ญก้าวหน้า การแข่งขันทางการค้า หมายถึง ตลาดมีผขู ้ ายสิ นค้ามากกว่า 2 รายขึ้นไป จึงต้องมีการแข่งขันเพื่อให้ ผูซ้ ้ื อมาซื้ อสิ นค้าของตน เช่น การลดราคา การแจกของแถม การแข่งขันทางการค้าทําให้ผบู ้ ริ โภคเลือกซื้ อสิ นค้าจากผูข้ ายได้หลายราย ผูข้ ายจะแข่งขันกันเพื่อให้ สิ นค้าของตนเองขายได้มากโดยการลดราคา หรื อแจกของแถม ซึ่ งบางครั้งอาจส่ งผลให้สินค้าไม่มีคุณภาพ ผูบ้ ริ โภคจึงควรเลือกซื้ อสิ นค้าจากผูข้ ายหรื อผูผ้ ลิตที่เชื่ อถือได้ สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 แผนผัง แผนที่ และภาพถ่ ายในชุ มชน แผนผัง เป็ นเครื่ องมือที่เขียนย่อสิ่ งต่าง ๆ ที่มีอยูใ่ นพื้นที่จริ งลงบนแผ่นกระดาษ หรื อวัสดุแบนราบ อื่น ๆ เช่น แผนผังโรงเรี ยน แผนผังบ้าน แผนผังชุมชน แผนที่ เป็ นเครื่ องมือที่นาํ เอาสิ่ งต่าง ๆ บนพื้นผิวโลกที่กว้างใหญ่มาแสดงไว้ในกระดาษเพียงแผ่น เดียว ด้วนภาษแผนที่และการย่อส่ วน ภาพถ่ายทางอากาศ คือ ภาพถ่ายบริ เวณพื้นผิวโลกที่ได้จากการบันทึกภาพบนเครื่ องบิน จึงทําให้ได้ ภาพมุมสู ง เช่นเดียวกับมุมมองของนกที่บินอยูบ่ นอากาศแล้วมองลงมายังพื้นดิน ภาพจากดาวเทียม คือ ภาพบริ เวณพื้นผิวโลกที่ได้จากระบบบรรทุกภาพที่ติดตั้งไปกับดาวเทียมที่ โคจรรอบโลก จากนั้น จึงนําข้อมูลพื้นผิวโลกที่บนั ทึกได้ไปปรับแก้และปรับปรุ งเป็ นภาพจากดาวเทียมที่มีสี และมาตราส่ วนต่าง ๆ กัน แผนผัง แผนที่ ภาพถ่าย เป็ นเครื่ องมือทางภูมิศาสตร์ ที่ใช้ในการศึกษาข้อมูลในพื้นที่เกี่ยวกับ โรงเรี ยนและชุมชนทําให้ทราบข้อมูลเกี่ยวกับตําแหน่ง ที่ต้ งั ระยะทาง ทิศทาง และความสัมพันธ์ของสิ่ งต่าง ๆ ในพื้นที่

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 ภูมิประเทศและภูมิอากาศทีม่ ีผลต่ อสภาพสั งคมในชุ มชน ลักษณะทางกายภาพ คือ สิ่ งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ ได้แก่ ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ดิน แหล่งนํ้า พืช สัตว์ ภูมิประเทศ คือ รู ปแบบของแผ่นดินที่มีระดับสู ง-ตํ่าแตกต่างกัน เช่น ภูเขา ที่ดอน ที่ราบ ที่ลุ่ม ชายฝั่ง ภูมิอากาศ คือ ความสัมพันธ์ของอุณหภูมิ ความชื้น ความกดอากาศ เมฆ ลม และฝน ที่ทาํ ให้เกิดการ เปลี่ยนแปลงของสภาพลมฟ้าอากาศ เช่น ฝนตกหนัก อากาศร้อน อบอุ่น หนาว ทรัพยากรธรรมชาติ คือ สิ่ งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และมนุษย์นาํ มาใช้ประโยชน์ในการ ดํารงชีวิต เช่น ป่ าไม้ แหล่งนํ้า แร่ แก๊สธรรมชาติ การเลือกที่ต้ งั บ้านเรื อนหรื อชุมชน ประชากรส่ วนใหญ่ไม่นิยมตั้งบ้านเรื อนในเขตที่มีพ้นื ที่แห้งแล้ง แต่จะ นิยมตั้งบ้านเรื อนในเขตที่มีปริ มาณนํ้าฝนเพียงพอต่อการประกอบอาชีพเกษตรกรรมและอากาศไม่แล้ง ภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากรธรรมชาติมีส่วนในการกําหนดลักษณะทางสังคม และมี อิทธิ พลต่อการเกิดวัฒนธรรมในการดํารงชี วติ ของคนในชุมชน หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 สภาพแวดล้ อมในชุ มชน การเพิ่มขึ้นของสิ่ งแวดล้อมภายในชุมชน เป็ นสาเหตุสาํ คัญที่ทาํ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในชุมชน จําแนก เป็ น การเพิม่ สิ่ งแวดล้อมทางธรรมชาติ การเพิม่ สิ่ งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น การสู ญเสี ยสิ่ งแวดล้อมภายในชุมชน เป็ นสาเหตุสาํ คัญที่ทาํ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงภายในชุมชน จําแนกเป็ น การสู ญเสี ยสิ่ งแวดล้อมทางธรรมชาติ การสู ญเสี ยสิ่ งแวดล้อมที่มนุษย์สร้างขึ้น การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมมีสาเหตุมาจากการกระทําของธรรมชาติและมนุษย์ ซึ่ง ก่อให้เกิดผลกระทบทั้งด้านบวกและด้านลบต่อสภาพแวดล้อม และการดํารงชีวิตของมนุษย์ การตระหนักถึง การเปลี่ยนแปลงของสิ่ งแวดล้อมภายในชุมชนและผลที่เกิดขึ้น จะทําให้สภาพแวดล้อมของชุมชนอยูใ่ น สภาพที่สมบูรณ์และไม่ถูกทําลาย

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 มนุษย์ กบั สิ่ งแวดล้ อมและทรัพยากรธรรมชาติ การก่อมลพิษโดยมนุษย์ การพึ่งพาและการใช้ประโยชน์จากสิ่ งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ ของมนุษย์ เช่น การใช้น้ าํ อากาศ ดิน แหล่งท่องเที่ยว ป่ าไม้ บางครั้งมนุษย์ได้สร้างความสกปรกให้กบั สิ่ งแวดล้อม ความสกปรกของสิ่ งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ เรี ยกว่า มลพิษ เช่น แหล่งนํ้าผิวดินเดิม เป็ นนํ้าใสสะอาด มีปริ มาณออกซิ เจนในนํ้ามาก มีสัตว์น้ าํ อาศัยอยูม่ าก ต่อมามนุษย์เข้าไปใช้ประโยชน์และ ปล่อยของเสี ยลงสู่ แหล่งนํ้า จนเกิดความสกปรก จึงทําให้เกิดมลพิษในแหล่งนํ้า มนุษย์จาํ เป็ นต้องพึ่งพาอาศัยสิ่ งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติในการดํารงชีวติ การใช้ประโยชน์ จากธรรมชาติของมนุษย์ที่มากเกินไปก่อให้เกิดมลพิษกับสิ่ งแวดล้อมและส่ งผลกระทบต่อการดํารงชี วติ ของ มนุษย์ ดังนั้น นักเรี ยนจึงควรดูแลรักษาสิ่ งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติให้คงอยูอ่ ย่างยัง่ ยืน หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 5 เมืองและชนบท มนุษย์ที่อาศัยอยูร่ ่ วมกันเป็ นสัตว์สังคมขนาดเล็ก เรี ยกว่า ชุมชน เหตุผลที่มนุษย์อาศัยอยูใ่ นบริ เวณ เดียวกัน เพื่อผลประโยชน์ร่วมกัน เช่น พึ่งพาอาศัยกัน ช่วยกันรักษาความปลอดภัย ประกอบอาชีพเพื่อ แสวงหาปั จจัย 4 ได้แก่ อาหาร เครื่ องนุ่มห่ม ที่อยูอ่ าศัย และยารักษาโรค ชุมชนทุกแห่งประกอบด้วย สิ่ งแวดล้อมทางธรรมชาติ และสิ่ งแวดล้อมทางวัฒนธรรม ชุมชนเมือง คือ ชุมชนที่มีผคู ้ นอาศัยอยูร่ ่ วมกันเป็ นจํานวนมาก ตั้งบ้านเรื อนอยูอ่ ย่างหนาแน่น และ สิ่ งแวดล้อมส่ วนใหญ่เกิดจากมนุษย์สร้างขึ้นมากกว่าสิ่ งแวดล้อมทางธรรมชาติ ชุมชนชนบท หมายถึง ชุมชนที่มีผคู ้ นอาศัยอยูร่ วมกันเป็ นกลุ่มเล็ก ๆ ในสภาพแวดล้อมที่ส่วนใหญ่ เป็ นธรรมชาติ เช่น ท้องทุ่งแถบภูเขา ริ มแม่น้ าํ หรื อเป็ นชุ มชนที่ต้ งั ถิ่นฐานบ้านเรื อนอยูน่ อกเมือง ชุมชนกึ่งเมืองกึ่งชนบท คือ ชุมชนที่มีลกั ษณะผสมผสานกันระหว่าชุมชนเมืองและชุมชนชนบท บางครั้งเรี ยก ชานเมือง ชุมชนเมืองและชุมชนชนบทจะมีลกั ษณะแตกต่างกัน โดยชุมชนเมืองจะมีความเจริ ญรุ่ งเรื องด้าน วัตถุมากกว่าชุมชนชนบทและมีจาํ นวนประชากรมากว่า แต่ชุมชนชนบทเป็ นชุมชนที่มีวถิ ีชีวติ ผูกพันกับ ธรรมชาติและมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับสมาชิกในชุมชนมากกว่า ชุมชนเมืองซึ่ งมีลกั ษณะต่างคนต่างอยู่

วิชา สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4

วิชา สั งคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 สาระที่ 2 หน้ าทีพ่ ลเมือง วัฒนธรรม และการดาเนินในสั งคม หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 การอยู่ร่วมกันอย่ างสั นติสุขตามวิถีประชาธิปไตย วิถีประชาธิ ปไตย หมายถึง การดําเนิ นชี วิตโดยยึดหลักประชาธิ ปไตยที่ประกอบด้วยคุ ณธรรม 3 ประการ ได้แก่ คารวธรรม สามัคคีธรรม ปั ญญาธรรม ซึ่ งมีการเข้าร่ วมกิ จกรรมประชาธิ ปไตยของชุ มชน การมีส่วนร่ วมในการใช้สิทธิ เลือกตั้ง และแนวทางการปฏิบตั ิตนเป็ นสมาชิกที่ดีของชุมชน การปฏิ บ ตั ิ ตนเป็ นผูน้ าํ และผูต้ ามที่ ดี ผูน้ ํา คื อ ผูท้ ี่ เป็ นหัวหน้า คอยดู แลและให้คาํ แนะนําที่ ดีแก่ สมาชิ กที่อยู่ในความดู แล เช่ น หัวหน้าห้องเรี ยนต้องคอยดู แลความสงบเรี ยบร้ อยของสมาชิ กในห้องเรี ยน และผูน้ าํ ที่ดี ควรปฏิบตั ิตน ดังนี้ มีความเสี ยสละ มีความคิดริ เริ่ มสร้างสรรค์ ส่ วน ผูต้ าม คือ ผูท้ ี่มีส่วนร่ วมใน การปฏิบตั ิกิจกรรมต่างๆตามผูน้ าํ ได้ให้คาํ แนะนําเพื่อให้กิจกรรมต่างๆสําเร็ จลุล่วงไปได้ดว้ ยดี จะประกอบ ไปด้วยการทํางานกลุ่มให้มีประสิ ทธิ ภาพ มีความสามัคคีกนั ในการทํางาน และได้ประโยชน์จากการทํางาน เป็ นกลุ่ม ปั ญหาความขัดแย้งเกิดจากความไม่เข้าใจกัน การลดปั ญหาความขัดแย้ง คือ การทําความเข้าใจซึ่ ง กันและกัน ยอมรับฟังความคิดเห็นของผูอ้ ื่น และแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยสันติวธิ ี หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 สิ ทธิของเด็ก เด็กมีสิทธิ ที่จะเกิดมาตามธรรมชาติ ผูใ้ หญ่ไม่มีสิทธิ ทาํ ลายเด็กไม่ให้เกิด หรื อทําร้ายจนบาดเจ็บหรื อ เสี ยชีวติ สิ ทธิ พ้นื ฐานของเด็ก มี 4 ประการ คือ สิ ทธิ ที่จะมีชีวิต หมายถึ ง เด็กมีสิทธิ ที่จะเกิดมาโดยปลอดภัย มีสิทธิ ที่จะมีชีวิตอยู่ไม่ว่าจะเกิดมามีร่างกายที่ สมบูรณ์หรื อไม่สมบูรณ์ก็ตาม สิ ทธิ ที่จะได้รับการปกป้ อง หมายถึ ง เด็กต้องได้รับการปกป้ องคุ ม้ ครองจากอันตรายต่างๆรัฐต้องป้ องกัน ไม่ให้มีการลักพาหรื อลักลอบค้าเด็กเกิ ดขึ้น ไม่ให้ถูกล่วงละเมิ ดทางเพศ รวมทั้งไม่ให้เข้าไปเกี่ ยวข้องกับ อบายมุขและสารเสพติด สิ ทธิ ที่จะได้รับการพัฒนา หมายถึง การที่เด็กมีสิทธิ ที่จะได้รับการพัฒนาชีวติ ให้มีความเจริ ญก้าวหน้า โดยที่ บิดาหรื อผูป้ กครองต้องมีความรับผิดชอบในการสอนแต่สิ่งที่ดีให้กบั เด็ก รั ฐต้องจัดการศึ กษาขั้นพื้นฐาน ให้แก่เด็กโดยไม่เสี ยค่าเล่าเรี ยน สิ ทธิ ที่จะมีส่วนร่ วม หมายถึง การที่เด็กมีสิทธิ ที่จะเข้าร่ วมกิจกรรมต่างๆทั้งการอยูร่ ่ วมกับบุคคลอื่นในสังคม ครอบครัว โรงเรี ยนหรื อชุมชน โดยกิจกรรมต่างๆนั้นต้องไม่ขดั ต่อกฏหรื อข้อบังคับ

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 การเมืองการปกครองของไทย สถาบันพระมหากษัตริ ยต์ ามระบอบประชาธิ ปไตย พระมหากษัตริ ยไ์ ทยทรงปกครองประเทศโดย ใช้ทศพิธราชธรรมเพื่อให้เกิ ดประโยชน์สุขแก่ปวงชนชาวไทย ทศพิธราชธรรม หรื อธรรมของพระราชา มี 10 ประการ ได้แก่ การให้ ศี ล บริ จาค ความชื่ อตรง ความอ่ อนโยน ความเพีย ร ความไม่โกรธ ความไม่ เบี ย ดเบี ย น ความอดทน และความยุติธรรม ซึ่ ง การ ปกครองระบอบประชาธิ ปไตยอันมีพระมหากษัตริ ย ์ ทรงเป็ นประมุข โดยมีอาํ นาจอธิ ปไตยเป็ นของปวงชน ชาวไทย พระมหากษัต ริ ย ์ผูท้ รงเป็ นประมุ ข ทรงใช้ อํานาจอธิ ปไตยผ่านรั ฐสภา คณะรั ฐมนตรี และ ศาล เพื่อประโยชน์สุขของปวงชน อํานาจอธิ ปไตย หมายถึง อํานาจสู งสุ ดในการ ปกครองประเทศแบ่งออกเป็ น 3 ฝ่ าย คือ อํานาจนิติบญั ญัติ อํานาจบริ หาร และ อํานาจตุลาการ บทบาทหน้าที่ของพลเมืองในกระบวนการเลือกตั้ง เป็ นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่มีอายุต้ งั แต่ 18 ปี ขึ้นไป ได้แก่ ก่อนการเลือกตั้ง ศึกษาประวัติ ผลงาน นโยบายและพฤติกรรมของผูส้ มัคร ระหว่างการเลือกตั้ง ควรออกไปใช้สิทธิ และหลังการเลือกตั้ง ตรวจสอบและติดตามผลงาน หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 วัฒนธรรมไทย วัฒนธรรม หมายถึง สิ่ งที่ดีงามที่มนุษย์สร้างขึ้นและปฏิบตั ิสืบต่อกันมา เพื่อแสดงถึงความเจริ ญงอก งามของคนในสังคม วัฒนธรรมแบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ วัฒนธรรมทางวัตถุ เช่น บ้านเรื อน ยานพาหนะ เครื่ องนุ่งห่ม และ วัฒนธรรมทางจิตใจ เช่น ภาษา มารยาท กฎหมาย จารี ตประเพณี วรรณคดี ความคิด ความ เชื่อ ค่านิยม หลักธรรมทางศาสนา วัฒนธรรมต่างๆของไทย อาจมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยูก่ บั สภาพแวดล้อมและการดําเนิ นชีวิตของ คนในภาคนั้นๆ เช่น วัฒนธรรมการรับประทานอาหาร วัฒนธรรมด้านการแต่งกาย วัฒนธรรมทางด้านภาษา วัฒนธรรมด้านประเพณี ภาคตะวันออกเฉี ยงเหนื อ รับประทานข้าวเหนี ยวเป็ นหลัก ภาษาอีสานเป็ นภาษาถิ่น ประเพณี ส่วน ใหญ่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา เช่น แห่เทียนพรรษา ภาคเหนื อ รับประทานข้าวเหนี ยวเป็ นหลัก ภาษาเหนื อเป็ นภาษาถิ่น ประเพณี สําคัญ เช่น ประเพณี ลอยโคมยีเ่ ป็ ง

ภาคใต้ รั บประทานข้าวเจ้า อาหารส่ วนใหญ่มีรสจัด ภาษาใต้เป็ นภาษาถิ่ น ประเพณี สําคัญ เช่ น ประเพณี ชกั พระ ภาคกลาง เนื่องจากเป็ นพื้นที่ ที่มีความอุดมสมบูรณ์จึงมีอาหารหลากหลาย นิยมรับประทานข้าวเจ้า ประเพณี สาํ คัญ เช่น ประเพณี ตกั บาตรเทโว สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 การเลือกซื้อสิ นค้ าและบริการ การเลือกซื้ อสิ นค้าและบริ การ สิ นค้าและบริ การ คือ สิ่ งที่นาํ มาซื้ อขายแลกเปลี่ยนกัน สิ นค้าและบริ การในตลาดมีอยูห่ ลายชนิ ดซึ่ ง แตกต่างกันทั้งด้านราคาและคุ ณภาพโดยการเลื อกซื้ อสิ นค้าและบริ การของผูบ้ ริ โภคขึ้นอยู่กบั รายได้ของ ผูบ้ ริ โภค ความพึงพอใจของผูบ้ ริ โภค ราคาสิ นค้า การโฆษณาสิ นค้าและบริ ก าร คุ ณภาพของสิ นค้าและ บริ การ อายุของผูบ้ ริ โภค รสนิยมหรื ออุปนิสัยของผูบ้ ริ โภค สิ นค้าและบริ การที่มีอยูห่ ลากหลายในตลาดที่มีความแตกต่างด้านราคาและคุณภาพ ได้แก่ สิ นค้าที่มี ในตลาด เช่น ผัก ผลไม้ ไข่ไก่ เนื้ อสัตว์ ขนม เสื้ อผ้า และ บริ การที่ไม่มีในตลาด เช่น ร้านตัดผม รถโดยสาร ประจําทาง ร้านอินเตอร์เน็ต สิ ทธิผขู ้ องบริ โภค ผูบ้ ริ โภค คือ ผูท้ ี่มีบทบาทสําคัญในการซื้ อสิ นค้าและบริ การ ซึ่ งสิ นค้าและบริ การบางชนิ ดไม่มีคุณภาพ หรื อ มีราคาแพงเกินจริ ง ทําให้ผบู ้ ริ โภคได้รับความเดือดร้อน สิ ทธิ พ้ืนฐานของผูบ้ ริ โภค พระราชบัญญัติคุม้ ครองผูบ้ ริ โภคได้บญ ั ญัติสิ ทธิ ข องผูบ้ ริ โภคที่ ควร ได้รับการคุม้ ครองตามกฎหมายไว้ 5 ประการ ได้แก่ สิ ทธิ ที่จะได้รับข่าวสาร สิ ทธิ ที่จะมีอิสระในการเลื อก ซื้ อสิ นค้าหรื อบริ การ สิ ทธิ ที่จะได้รับความปลอดภัยจากการใช้สินค้าและบริ การ สิ ทธิ ที่จะได้รับความเป็ น ธรรมในการทําสัญญา และ สิ ทธิที่จะได้รับการพิจารณาและชดเชยความเสี ยหาย สิ นค้าและบริ การที่มีเครื่ องหมายรับรองคุณภาพ ได้แก่ เครื่ องหมายที่กาํ หนดขึ้นและให้การรับรอง โดยสํา นักงานมาตรฐานผลิ ตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรื อ มอก. เป็ นเครื่ องหมายสําหรับผลิ ตภัณฑ์อุปโภค บริ โภค ผลิ ตภัณฑ์ที่กฎหมายกําหนดว่ามีคุณภาพตรงตามมาตรฐาน และ เครื่ องหมายที่กาํ หนดขึ้นและให้ การรับรองโดยสํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรื อ อย. เป็ นเครื่ องหมายสําหรับผลิตภัณฑ์ประเภท อาหารและยา เป็ นเครื่ องหมายรับรองสิ นค้าว่าปลอดภัย เช่น นม ขนม ยาสระผม ครี มบํารุ งผิว

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 เศรษฐกิจพอเพียงและความสั มพันธ์ ทางเศรษฐกิจ เศรษฐกิจพอเพียง คือ ปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั ภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระราชดํารัสชี้แนะแนวทางการดําเนิน ชีวติ แก่ประชาชนชาวไทย เพื่อให้รอดพ้นจากสภาพเศรษฐกิจ ตกตํ่าและสามารถดํารงชีวิตอยูไ่ ด้อย่างมัน่ คงและยัง่ ยืน โดยยึด หลักความพอประมาณ ความมีเหตุผลและภูมิคุม้ กันที่ดี เรี ยกว่า ทางสายกลาง มีหลักการปฏิบตั ิตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง ได้แก่ มีความพอดี ตัดสิ นใจอย่างมีเหตุผล มีความอดทน ขยันหมัน่ เพียร ประหยัด ประกอบอาชีพสุ จริ ต โดยนําหลักการของเศรษฐกิจ พอเพียงไปใช้ในชีวติ ประจําวัน เช่น การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ใช้เงินให้พอดีเท่าที่จาํ เป็ น ออม เงิน ไม่ซ้ื อสิ่ งของที่ฟุ่มเฟื อย การพึ่งพาอาศัยกันทางเศรษฐกิจของชุ มชน มีการพึ่งพาอาศัยกันทางเศรษฐกิจเพื่อช่ วยเหลือซึ่ งกัน และกัน เช่ น การซื้ อขาย การกูย้ ืม การซื้ อขาย คือ การซื้ อสิ นค้าและบริ การโดยใช้เงิ นเป็ นสื่ อกลางในการ แลกเปลี่ยน ผูซ้ ้ื อจะได้รับสิ นค้าและบริ การ ผูข้ ายจะได้รับเงินเป็ นผลตอบแทน ส่ วน การกูย้ ืมเงิน คือ การยืม เงิ นจากธนาคารหรื อสถาบันการเงิ น เพื่อนําไปลงทุ นกิ จกรรมต่างๆโดยที่ผูก้ ูจ้ ะต้องเสี ยดอกเบี้ย พร้ อมทั้ง ชําระเงินคืนตามระยะเวลาที่กาํ หนด

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 หน้ าทีเ่ บื้องต้ นของเงิน เงิ น เป็ นสื่ อกลางในการแลกเปลี่ ย นทางอ้อมระหว่างผูซ้ ้ื อและผูข้ าย และสามารถจ่า ยชําระหนี้ ระหว่างผูผ้ ลิตหรื อผูข้ ายและผูบ้ ริ โภค เงิน มี 2 ประเภท ได้แก่ ธนบัตร เหรี ยญกษาปณ์ หน้าที่เบื้องต้นและ ความสําคัญในระบบเศรษฐกิจ ได้แก่ สามารถใช้ชาํ ระหนี้ ได้ตามกฎหมาย เป็ นปั จจัยสําคัญในด้านการผลิต สิ นค้าและบริ การ ทําให้เกิดความสะดวกในการซื้ อขายแลกเปลี่ยน การซื้ อสิ นค้าหรื อบริ การระหว่างประเทศ จะใช้ ส กุ ล เงิ น ที่ แ ตกต่ า งกั น สกุ ล เงิ น ที่ สํ า คัญ ได้แก่ ดอลลาร์ ยูโร ปอนด์สเตอร์ ลิง เหริ นหมินปี้ วอน เยน ริ งกิต กีบ

สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 การใช้ แผนทีแ่ ละภาพถ่ ายเพื่อการเรี ยนรู้ จังหวัด แผนที่ คือ การแสดงสิ่ งต่างๆที่มีอยูจ่ ริ งบนโลกลงบนแผ่นกระดาษหรื อแผนแบนราบ ด้วยการ ย่อส่ วนลงอย่างถูกต้องตามมาตราส่ วนและใช้สัญลักษณ์แทนสิ่ งต่างๆ ในแผนที่ 1 แผ่น จะให้ขอ้ มูลหลัก เกี่ยวกับ ตําแหน่ง ระยะ และทิศของสิ่ งต่างๆ อย่างถูกต้องแม่นยํา จําแนกเป็ น แผนที่พ้นื ฐาน เช่น แผนที่ กายภาพที่ให้ขอ้ มูลเกี่ยวกับตําแหน่ง ระยะและทิศ ของภูมิประเทศ เช่น ถนน แม่น้ าํ ส่ วน แผนที่เฉพาะเรื่ อ เช่น แผนที่ธรณี แผนที่ท่องเที่ยว แผนที่ที่จาํ เป็ นต่อการเรี ยนรู ้จงั หวัด คือ แผนที่กายภาพจังหวัด จะแสดงข้อมูลทางพื้นที่เกี่ยวกับภูมิ ประเทศ หรื อ ความสู ง ” ตํ่าของแผ่นดินภายในจังหวัด โดยมีสัญลักษณ์แทนความสู งตามสี ที่ปรากฏ เช่น สี เขียวแทนภูมิประเทศที่ราบ สี เหลืองแทนภูมิประเทศที่ดอน สี น้ าํ ตาลแทนภูมิประเทศภูเขา

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 มนุษย์ กบั สภาพแวดล้ อมทางกายภาพของชุ มชนในจังหวัด การประกอบอาชี พของประชากร โดยทัว่ ไปมีความสัมพันธ์ กบั สภาพแวดล้อมทางกายภาพ เช่ น ภูเขา ธรณี ดิ น แหล่ งนํ้า ภู มิอากาศ พืชพรรณ สัตว์น้ าํ เช่ น ที่ดอน จะสัมพันธ์ กบั อาชี พที่ปลู กพืชไร่ และ ผลไม้ เลี้ ยงโคและกระบือ ที่ราบและที่ลุ่ม อาชี พปลู กข้าวและพืชอายุส้ ัน ชายฝั่ งทะเล อาชี พปลู กมะพร้ าว และปาล์ม ส่ วน ธรณี เช่น อาชีพอุตสาหกรรม หิ น แร่ ธาตุ ภูมิประเทศภูเขา ภู มิประเทศภู เขามี ผูค้ นอาศัย อยู่น้อย เนื่ องจากการคมนาคมไม่สะดวก การเพาะปลู กจะเป็ นการ เพาะปลูกพืชแบบขั้นบันได บริ เวณที่มีภูเขาสู งมีอากาศหนาวเย็น บ้านที่สร้างจึงมีหน้าต่างน้อย เพื่อป้ องกัน ลมหนาว ภูมิประเทศที่ดอน ผูค้ นนิยมสร้างบ้านบนที่ดอนเพื่อป้ องกันนํ้าท่วม และไม่นิยมสร้างบ้านริ มนํ้า เนื่ องจากดินในที่ดอน เป็ นดินทรายซึ่ งนํ้ากัดเซาะได้ง่าย ผูค้ นส่ วนใหญ่ประกอบอาชีพทําไร ภูมิประเทศที่ราบ เป็ นพื้นที่ ที่มีความอุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การตั้งถิ่ นฐานและทําเกษตรกรรม ผูค้ นนิ ยมสร้ างบ้าน โดยยกพื้นที่สูงเพื่อป้ องกันนํ้าท่วมในฤดูฝน มีช่องหน้าต่างมากเพื่อระบายความร้อนภายในตัวบ้าน ภูมิประเทศชายฝั่งทะเล

มีการประกอบอาชีพประมงและให้บริ การด้านการท่องเที่ยวเนื่องจากมีชายหาดและทะเลที่ งดงาม มีการทําสวนมะพร้าวและสวนไม้ยืนต้นต่างๆ มีเมืองท่าและท่าเทียบเรื อที่สามารถติดต่อกับประเทศ ต่างๆได้โดยสะดวก บ้าน เป็ นปัจจัย 4 ของความต้องการพื้นฐานของมนุ ษย์ เป็ นสิ่ งที่มนุ ษย์สร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ใน การอยูอ่ าศัยให้ปลอดภัยจากสิ่ งต่างๆ สภาพแวดล้อมทางกายภาพจึงแตกต่างกันจาก ภูมิอากาศ ชนิ ดหิ น ดิน แหล่งนํ้า พืชพรรณ ในการสร้างบ้านเรื อนที่แตกต่างกันออกไปตามสภาพแวดล้อม หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 การเปลีย่ นแปลงและการอนุรักษ์ สิ่งแวดล้ อมและทรัพยากรธรรมชาติในจังหวัด ปั จ จัย การเปลี่ ย นแปลงของสภาพแวดล้อ มในจัง หวัด มี ส าเหตุ สํ า คัญ 2 ประการได้แ ก่ การ เปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติ เช่น ภูเขาไฟปะทุ ลมพัด คลื่นทะเล ไฟไหม้ และ การเปลี่ยนแปลงโดยมนุษย์ เช่ น การตัดต้นไม้ การระเบิ ดหิ น การไถ การพรวนดิ น การขุดบ่อนํ้า การทิ้งขยะ การตัดถนน การสร้ า ง บ้านเรื อน ซึ่ งการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในจังหวัดที่มีผลกระทบต่อมนุ ษย์ ก่อให้เกิ ดผลกระทบ สําคัญ 3 ประการ ได้แก่ การตั้งถิ่นฐาน การย้ายถิ่นฐาน และ การประกอบอาชีพ การเปลี่ ย นแปลงของสภาพแวดล้อ มก่ อ ให้ เ กิ ด ผลดี แ ละผลเสี ย ผลจากการเปลี่ ย นแปลงของ สภาพแวดล้อมส่ วนหนึ่ งมนุ ษ ย์สามารถควบคุ มได้ และทําให้ก ารเปลี่ ย นแปลงไปในทางที่ ดี ก่ อให้เกิ ด ประโยชน์ แต่การเปลี่ยนแปลงบางอย่างไม่สามารถควบคุมได้และก่อให้เกิดผลกระทบรุ นแรง การอนุ รักษ์ส่ิ งแวดล้อมและทรั พยากรธรรมชาติเป็ นหน้าที่ของทุ กคนในชุ มชน ที่จะต้องร่ วมกัน ดูแลรักษาให้อยูใ่ นสภาพที่ดีและใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด

วิชา สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5

วิชา สั งคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5

สาระที่ 2 หน้ าทีพ่ ลเมือง วัฒนธรรม และการดาเนินในชีวติ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 พลเมืองดีของสั งคม สถานภาพ หมายถึ ง ตําแหน่งหรื อฐานะของบุคคลที่สังคมกําหนดขึ้น ซึ่ งมีความแตกต่างกันในแต่ ละบุคคล เช่น พ่อ แม่ ลูก ครู นักเรี ยน แบ่งออกเป็ น 2 ประเภท คือ สถานภาพที่ได้มาแต่กาํ เนิ ด เช่น เพศ เชื้ อ ชาติ และ สถานภาพที่ไดมาภายหลัง เช่ น การศึ กษา สถานภาพจะเป็ นสิ่ งกําหนดว่าบุคคลนั้นมีบทบาทที่ จะต้องปฏิบตั ิกบั ผูอ้ ื่นอย่างไร เช่น ครู คือ บุคคลที่มีบทบาทหน้าที่ในการถ่ายทอดความรู ้ให้แก่นกั เรี ยน บทบาท หมายถึง การทํางานตามสถานภาพบุคคล เช่น บทบาทของนักเรี ยน คือ ตั้งใจเรี ยนหนังสื อ บทบาทของพยาบาล คือ ดูแลคนไข้ สิ ทธิ หมายถึง อํานาจอันชอบธรรมและอํานาจที่จะกระทําการใดๆได้อย่างอิ สระ โดยได้รับการ รับรองจากกฎหมาย เช่น สิ ทธิ ที่จะได้รับการศึกษา สิ ทธิ ที่จะได้เข้าไปมีส่วนร่ วมในการอนุ รักษ์วฒั นธรรม ประเพณี ข องท้อ งถิ่ น สิ ท ธิ ที่ จ ะได้ รั บ การคุ ้ม ครองจากกระบวนการยุ ติ ธ รรม สิ ท ธิ ที่ จ ะได้ รั บ การ รักษาพยาบาลจากรัฐบาล เสรี ภาพ หมายถึง ความเป็ นอิ สระของบุคคลที่จะกระทําสิ่ งใดสิ่ งหนึ่ งภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย เช่น เสรี ภาพในการนับถือศาสนา เสรี ภาพในการเลือกถิ่นที่อยูอ่ าศัย เสรี ภาพในการเดินทาง เสรี ภาพในการ แสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์และการโฆษณา หน้าที่ หมายถึ ง สิ่ งที่บุคคลต้องปฎิบตั ิตามกฎหมายกําหนดหรื องดเว้น การปฏิบตั ิตามสถานภาพที่ แตกต่างของแต่ละบุคคล หน้าที่บุคคลต้องปฏิ บตั ิ เช่ น รักษาชาติ ศาสนา พระมหากษัตริ ย ์ ผูม้ ีอายุ 18 ปี มี หน้าที่ตอ้ งไปใช้สิทธิ เลือกตั้ง ผูม้ ีรายได้มีหน้าที่เสี ยภาษี หน้าที่พลเมืองดี พลเมืองดี คือ สมาชิกในสังคมที่ปฏิบตั ิตนได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมตามสถานภาพ บทบาท สิ ทธิ เสรี ภาพและหน้าที่ นอกจากนี้ พลเมื องดี ยงั มี หน้าที่ ในการปฏิ บตั ิ ตนเพื่อความสงบสุ ขของ สังคม ดังนี้ - เคารพ เทิดทูนสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริ ย ์ - เคารพบุคคลที่เกี่ยวข้อง เช่น พ่อแม่ ครู อาจารย์ ญาติ - เคารพกฎระเบียบทางสังคม ปฏิบตั ิตนตามกฎหมาย

- ไปใช้สิทธิ เลือกตั้งตามที่กฎหมายรัฐธรรมนูญกําหนด - ร่ วมอนุรักษ์และสื บสวนศิลปวัฒนธรรมของชาติและภูมิปัญญาท้องถิ่น - อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ งแวดล้อม หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 สิ ทธิของเด็ก สิ ทธิเด็ก หมายถึง สิ ทธิ เสรี ภาพ และความเสมอภาพของเด็กที่ได้รับการคุม้ ครองตามกฎหมาย สิ ทธิ ที่จะมีชีวิต หมายถึ ง เด็กมีสิทธิ ที่จะเกิ ดมาโดยปลอดภัย มีสิทธิ ที่จะมีชีวิตอยู่ไม่ว่าจะเกิ ดมามี ร่ างกายที่สมบูรณ์ หรื อไม่สมบูรณ์ ก็ตาม เช่ น เด็กได้รับสิ ทธิ ในการมี ชีวิต โดยไม่ถูกทําร้ าย เด็กได้รับการ รักษาพยาบาล สิ ทธิ ที่จะได้รับการปกป้ อง หมายถึ ง เด็กต้องได้รับการปกป้ องคุ ม้ ครองจากอันตรายต่างๆรัฐต้องป้ องกัน ไม่ให้มีการลักพาหรื อลักลอบค้าเด็กเกิ ดขึ้น ไม่ให้ถูกล่วงละเมิ ดทางเพศ รวมทั้งไม่ให้เข้าไปเกี่ ยวข้องกับ อบายมุ ข และสารเสพติ ด เช่ น เด็ กพิ ก ารได้รับ การดู แลเป็ นพิเศษ การใช้เด็ กทํา สิ่ ง ต่ างๆจะต้องคํา ถึ ง ถึ ง ประโยชน์ของเด็กเป็ นสําคัญ สิ ทธิ ที่จะได้รับการพัฒนา หมายถึง การที่เด็กมีสิทธิ ที่จะได้รับการพัฒนาชีวติ ให้มีความเจริ ญก้าวหน้า โดยที่ บิดาหรื อผูป้ กครองต้องมีความรับผิดชอบในการสอนแต่ส่ิ งที่ดีให้กบั เด็ก รั ฐต้องจัดการศึ กษาขั้นพื้นฐาน ให้แก่ เด็ ก โดยไม่ เสี ย ค่ า เล่ า เรี ย น เช่ น เด็ ก ได้รับ การศึ ก ษาขั้นพื้ นฐาน 12 ปี เด็ก จะได้รับสิ ทธิ ใ นการทํา กิจกรรมต่างๆเพื่อพัฒนาร่ างการและจิตใจ สิ ทธิ ที่จะมีส่วนร่ วม หมายถึง การที่เด็กมีสิทธิ ที่จะเข้าร่ วมกิจกรรมต่างๆทั้งการอยูร่ ่ วมกับบุคคลอื่นในสังคม ครอบครัว โรงเรี ยนหรื อชุ มชน โดยกิจกรรมต่างๆนั้นต้องไม่ขดั ต่อกฎหรื อข้อบังคับ เช่น เด็กมีสิทธิ ที่จะได้ พบปะและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของผูอ้ ื่น เด็กมีสิทธิ เข้าร่ วมกับชุมชนเพื่อรักษาสิ่ งแวดล้อม แนวทางการปกป้ องคุม้ ครองตนเอง หรื อผูอ้ ื่นจากการละเมิดสิ ทธิ เด็ก ได้แก่ เด็กต้องประพฤติตนเป็ นคนดี ไม่คบบุคคลที่ชกั นําไปในทางเสื่ อมเสี ย ไม่ยุ่งกับอบายมุข เมื่อพบเห็ นผูอ้ ื่นหรื อตนเองถู กละเมิดสิ ทธิ เด็ก ต้องรี บแจ้งให้ผทู ้ ี่เกี่ยวข้องทราบเพื่อหาแนวทางแก้ไข การปกป้ องคุม้ ครองสิ ทธิ เด็กในสังคมไทย ได้แก่ ผูป้ กครองเด็กต้องให้การอุปการะ เลี้ ย งดู อบรมสั่ ง สอน พัฒ นาเด็ ก ผู ป้ กครองต้อ งไม่ ท อดทิ้ ง เด็ ก รั ฐ ต้อ งช่ ว ย รณรงค์แ ละส่ ง เสริ ม ความมัน่ คงและสถานบัน ของครอบครั ว ทุ ก คนต้อ ง ช่วยกันดูแลสอดส่ องป้ องกันไม่ให้มีการละเมิดสิ ทธิ เด็ด

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 การปกครองส่ วนท้องถิ่นของไทย การปกครองท้องถิ่น อํานาจหน้าที่และความสําคัญของการปกครองส่ วนท้องถิ่น การปกครองส่ วนท้องถิ่นของไทย แบ่งออกเป็ น องค์บริ หารส่ วนจังหวัด องค์การบริ หารส่ วนตําบล เทศบาล และการปกครองพิเศษ คื อ กรุ ง เทพมหานคร และเมื องพัทยา บาทบาทหน้าที่ ก็จะแตกต่ างกัน ออกไปเป็ นลําดับ การปกครองส่ วนท้องถิ่นมีอาํ นาจหน้าที่ ได้แก่ ดูแลรักษา และส่ งเสริ มวัฒนธรรมท้องถิ่น ฝึ กอาชี พ ให้กบั คนในชุมชน ดูแลรักษาความสะอาดบํารุ งรักษาทรัพยากรธรรมชาติ บริ การสาธารณะประโยชน์ในชุมชน องค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่น นอกจากจะดูแลความเป็ นอยูข่ อง ประชาชนให้เป็ นไปตามความต้องการของประชาชนในท้องถิ่ นแล้วยังต้องจัดบริ การสาธารณะประโยชน์ เพื่ออํานวยความสะดวกให้กบั คนในชุมชนด้วย ดังนี้ - ศูนย์พฒั นาเด็กเล็ก - ศูนย์ฝึกอาชีพ - บริ การสาธารณะเพื่อประโยชน์ของประชาชนในท้องถิ่น หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 วัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้ องถิ่น วัฒนธรรมไทยเป็ นสิ่ ง ที่ แ สดงให้ เห็ น ถึ ง ความเจริ ญงอกงามของสั ง คม กํา หนดพฤติ ก รรมการ แสดงออกของมนุษย์ สื่ อสารถ่ายทอดความเชื่ อให้สังคมได้รับรู ้ แสดงความเป็ นเอกลักษณ์ของสังคม แสดง แบบแผนการดําเนินชีวติ และสร้างความเป็ นระเบียบเรี ยบร้อยในสังคมไทย วัฒนธรรมมีผลต่อการดํารงชี วิต ในสังคมแบ่งออกเป็ น 4 ประเภท 1. คติธรรม เช่น ความเมตตา กรุ ณา ความกตัญํู 2. วัตถุธรรม เช่น อาคาร บ้านเรื อน ยานพาหนะ เครื่ องนุ่งห่ม สิ่ งอํานวยความสะดวก 3. เนติธรรม เป็ นสิ่ งที่รัฐสร้างขึ้นเพื่อบังคับและควบคุมพฤติกรรมบุคคลในสังคมไม่ให้ละเมิดสิ ทธิ เสรี ภาพของบุคคลอื่น รวมทั้งเพื่อควบคุมความสงบเรี ยบร้อยของสังคม 4. สหธรรม เช่น การช่วยเหลือซึ่ งกันและกัน ความสามัคคี การเข้าร่ วมประเพณี วัฒนธรรมอันดีงาม ภูมิปัญญาท้องถิ่น หมายถึง ความรู ้ที่เกิดจากความสามารถ การสั่งสมประสบการณ์ และความเฉลียว ฉลาดในการประดิษฐ์คิดค้นของคนในท้องถิ่นที่มีประโยชน์ในการดํารงชีวิต มีความสําคัญดังนี้ - ช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ - ทําให้รู้จกั การพึ่งพาตนเอง - ทําให้เกิดการอนุรักษ์พฒั นาและใช้ประโยชน์จากธรรมชาติในท้องถิ่น

- ทําให้เกิดการผลิตงานที่เกี่ยวกับศิลปะแขนงต่างๆ ตัวอย่างภูมิปัญญาท้องถิ่นในชุมชน เช่น การแปรรู ปอาหาร การจับสัตว์น้ าํ กระติบข้าวหรื อ กล่องข้าว สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 การผลิตสิ นค้ าและบริการ ปั จจัย การผลิ ต หมายถึ ง ทรั พยากรที่ ผูผ้ ลิ ตนํามาใช้ในกระบวนการผลิ ตสิ นค้าและบริ การต่างๆ ปั จจัยในการผลิตทางเศรษฐศาสตร์ แบ่งออกเป็ น 4 ประเทศ ดังนี้ 1. ที่ดิน หมายถึ ง พื้นที่ดินและสิ่ งต่างๆ ที่เกิ ดขึ้นเองตามธรรมชาติ เช่ น ป่ าไม้ สัตว์ป่า ดิ น หิ น แร่ ธาตุ รวมถึงภูมิประเทศ ภูมิอากาศ และทรัพยากรธรรมชาติ 2. แรงงงาน หมายถึง กําลังกาย สติปัญญา และความคิดของมนุษย์ ในการผลิตสิ นค้าและบริ การ 3. ทุ น หมายถึ ง สิ่ ง ที่ ม นุ ษ ย์ส ร้ า งขึ้ น เพื่ อ ใช้ ใ นการผลิ ต สิ น ค้า และบริ ก าร เช่ น วัส ดุ อุ ป กรณ์ เครื่ องจักร เครื่ องมือการผลิต โรงงาน ถนน เขื่อน 4. ผูป้ ระกอบการ หมายถึง ผูท้ ี่นาํ ปั จจัยการผลิตทั้งที่ดิน แรงงาน ทุน มาบริ หารจัดการเพื่อทําให้เกิด เป็ นสิ นค้าและบริ การต่างๆ การผลิตสิ นค้าและบริ การเพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดีมีคุณภาพและได้ผลผลิตจํานวนมาก ผูผ้ ลิตจะต้อง เลือกปั จจัยการผลิตที่เหมาะสม นอกจากนี้ ยงั ต้องใช้เทคโนโลยีที่ทนั สมัยเพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิตสิ นค้า และบริ การในการผลิตสิ นค้าและบริ การ ผูผ้ ลิตต้องคํานึงถึงปั จจัยที่มีอิทธิ พล ได้แก่ ราคานํ้ามัน วัตถุดิบ และ ปั จจัย ที่ มี อิท ธิ พ ลต่อพฤติ ก รรมผูบ้ ริ โภคต้องคํา นึ ง ได้แก่ ราคาสิ นค้า คุ ณภาพ การโฆษณา รายได้ข อง ผูบ้ ริ โภค

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 เศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียง ‚เศรษฐกิจพอเพียง‛ เป็ นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ วั พระราชทานพระราชดําริ ช้ ีแนะแนวทาง การ ดําเนินชีวิตแก่พสกนิ กรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า ๒๕ ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และ เมื่อภายหลังได้ทรงเน้นยํ้าแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และสามารถดํารงอยู่ได้อย่างมัน่ คงและยัง่ ยืน ภายใต้กระแสโลกาภิวตั น์และความ เปลี่ยนแปลงต่างๆ ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียง เป็ นปรัชญาชี้ถึงแนวการดํารงอยูแ่ ละปฏิบตั ิตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับ ครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริ หารประเทศให้ดาํ เนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้กา้ วทันต่อโลกยุคโลกาภิวตั น์ ความพอเพียง หมายถึง ความ พอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจําเป็ นที่จะต้องมีระบบภูมิคุม้ กันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการ กระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในภายนอก ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู ้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิง่ ในการนําวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดําเนิ นการ ทุกขั้นตอน และขณะเดียวกัน จะต้องเสริ มสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และ นักธุ รกิจในทุกระดับ ให้มีสาํ นึกในคุณธรรม ความซื่ อสัตย์สุจริ ต และให้มีความรอบรู ้ที่เหมาะสม ดําเนิน ชีวติ ด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการ เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ วและกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่ งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้ เป็ นอย่างดี ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง จึงประกอบด้วยคุณสมบัติ ดังนี้ 1. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดี ที่ไม่นอ้ ยเกิ นไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและ ผูอ้ ื่น เช่น การผลิตและการบริ โภคที่อยูใ่ นระดับพอประมาณ 2. ความมีเหตุผล หมายถึ ง การตัดสิ นใจเกี่ ยวกับระดับความพอเพียงนั้น จะต้องเป็ นไปอย่างมีเหตุผล โดย พิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคํานึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทํานั้นๆ อย่างรอบคอบ 3. ภูมิคุม้ กัน หมายถึง การเตรี ยมตัวให้พร้ อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดย คํานึงถึงความเป็ นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมี เงื่ อ นไข ของการตัด สิ น ใจและดํา เนิ น กิ จ กรรมต่ า งๆ ให้ อ ยู่ ใ นระดับ พอเพียง ๒ ประการ ดังนี้

1. เงื่อนไขความรู ้ ประกอบด้วย ความรอบรู ้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรอบด้าน ความรอบคอบที่จะ นําความรู ้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผนและความระมัดระวังในการปฏิบตั ิ 2. เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริ มสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักใน คุณธรรม มีความซื่ อสัตย์สุจริ ต และมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดําเนินชีวติ การประยุกต์ใช้แนมคิ ดเศรษฐกิ จพอเพียงในการดําเนิ นกิ จกรรมต่างๆในครอบครั ว โรงเรี ยนและชุ มชน ได้แก่ ความประหยัด ลดรายจ่ายที่ไม่จาํ เป็ น เน้นความพออยูพ่ อกิน ใช้พลังงานและทรัพยากรรมธรรมชาติ อย่างคุม้ ค่า ประกอบอาชีพสุ จริ ต ภูมิใจในความเป็ นไทย หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 สหกรณ์ สหกรณ์ หมายถึง องค์กรที่มีการจดทะเบียนตามกฎหมายและมีประชาชนที่มีวตั ถุประสงค์เดียวกัน โดยความสมัครใจ มีลกั ษณะสําคัญ ดังนี้ - สหกรณ์ประกอบด้วยกลุ่มคนที่ตอ้ งการทํากิจการบางอย่างร่ วมกัน - สหกรณ์มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้บริ การบางอย่างที่จาํ เป็ นหรื อต้องการในชีวติ ของประชาชน - การเนินงานของสหกรณ์ยดึ หลักการช่วยตนเอง - การดําเนิ นงานสหกรณ์จะไม่มุ่งหวังผลกําไร หลักการของสหกรณ์ ได้แก่ ความสมัครใจ หลักประชาธิ ปไตย หลักการศึกษา หลัก การช่ วยเหลื อซึ่ ง กันและกัน ซึ่ งมี ประโยชน์ คื อ ลดปั ญหาการถู กเอารั ดเอาเปรี ย บ เป็ นแหล่ งจัดหา เงินทุนกูย้ มื พัฒนาคนในชุมชนให้มีความรู ้ และความเป็ นอยูท่ ี่ดี สหกรณ์ในประเทศไทยแบ่งออกเป็ น 7 ปะ เภท ได้แก่ 1. สหกรณ์การเกษตร คือ สหกรณ์ที่จดั ตั้งขึ้นในกลุ่มผูป้ ระกอบอาชีพทางการเกษตร 2. สหกรณ์การประมง คือ สหกรณ์ที่จดั ตั้งขึ้นในกลุ่มผูป้ ระกอบอาชีพประมง 3. สหกรณ์นิคม คือ สหกรณ์การเก๖รในรู ปแบบหนึ่ง 4. สหกรณ์ร้านค้า 5. สหกรณ์ออมทรัพย์ 6. สหกรณ์เครดิตยูเนียน 7. สหกรณ์บริ การ

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 ธนาคาร ธนาคาร เป็ นสถาบันการเงิ นที่ ดาํ เนิ นการเป็ นตัวกลางระหว่างผูฝ้ ากและผูก้ ู้เงิ น และช่ วยอํานวย ความสะดวกในการเคลื่อนย้ายเงิน ทําให้การดําเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจเป็ นไปอย่างราบรื่ น บทบาทหน้าที่ของธนาคาร ธนาคารกลางหรื อธนาคารแห่งประเทศไทย - ควบคุมปริ มาณเงินของประเทศให้มีปริ มาณที่เหมาะสมอยูภ่ ายใต้นโยบายของรัฐ - เป็ นนายธนาคารของธนาคารไทยพาณิ ชย์ - จัดพิมพ์ธนบัตรภายในประเทศ - รักษาอัตราเงินสํารองระหว่างประเทศ ธนาคารพาณิ ชย์ เช่น ธนาคารกรุ งไทย ธนาคารกสิ กรไทย ธนาคารกรุ งเทพ มีบทบาทหน้าที่ สําคัญคือ รับฝาก-ถอนเงิน ให้กยู้ มื ธนาคารที่มีวตั ถุ ประสงค์พิเศษ เช่น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร ธนาคารอาคาร สงเคราะห์ มีบาทบาทหน้าที่คล้ายกับธนาคารพาณิ ชย์ การฝากเงิน ” ถอนเงิน คือ การออมเงินประเภทหนึ่ ง และนําเงินที่ฝากไว้กบั ธนาคารออกมาใช้จ่าย ตามความจําเป็ น และจะได้ดอกเบี้ ยเงิ นฝากจากการฝากธนาคาร เกิ ดธุ รกิ จในการ กู้ยืมเงิ น หรื อ เรี ยกว่า ดอกเบี้ยกูย้ มื การกูย้ ืม หมายถึง การที่บุคคลหรื อหน่วยธุ รกิจฝ่ ายหนึ่ งเรี ยกว่า ผู้ให้ ก้ ูยืม ให้เงินกูย้ ืมกับบุคคลหรื อ หน่วยธุ รกิจฝ่ ายใดฝ่ ายหนึ่ ง เรี ยกว่า ผู้ก้ ูยืม โดยจะมีสัญญาการใช้คืนเงินตามกําหนดเวลา การกูย้ ืมมีลกั ษณะ การกู้ คือ การกูเ้ งินในระบบ และการกูย้ มื เงินนอกระบบ ผลดี ของการกูย้ ืมเงิน คือ ช่ วยเพิ่มกําลังในการซื้ อสิ นค้าและบริ การ ทําให้การซื้ อขายสิ นค้ามีความ คล่องตัว ทําให้ธุรกิจมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ผลเสี ยของการกู้ยืม เงิ น คื อ มี ภาระในการชําระหนี้ และดอกเบี้ ยคื นในอนาคต ปลู ก ฝั ง ค่านิ ยมที่ ฟุ่ มเฟื อย

สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 1 การใช้ แผนที่เพื่อหาตาแหน่ ง ระยะ และทิศของสิ่ งต่ างๆในภูมิภาคของตนเอง ตําแหน่งที่ต้ งั การบอกตําแหน่งของสิ่ งต่างๆในแผนที่สามารถทําได้หลายวิธี ซึ่ งแต่ละวิธีจะมีระดับความแม่นยํา และการยอมรับที่แตกต่างกันไป ได้แก่ การอ้างอิงจากชื่ อสถานที่สําคัญ เช่น เมืองสมุทรปราการตั้งอยูท่ ี่ปาก แม่น้ าํ เจ้าพระยา เมืองสงขลาตั้งอยูแ่ หลมสมิหลา เป็ นต้น แต่วิธีการบอกตําแหน่งที่ถือเป็ นสากลและมีระบบ ชัดเจน คือ การบอกตาแหน่ งด้ วยพิกดั ภูมิศาสตร์ พิกดั ภูมิศาสตร์ (Geographic Coordinates) เป็ นระบบอ้างอิงบนพื้นผิวพิภพ ตําแหน่งของจุดใดๆ บนพื้นผิวพิภพสามารถกําหนดได้ดว้ ยค่าละติจูด ( Latitude ) และลองจิจูด ( Longitude ) ละติจูด คือมุมที่วดั ระหว่างจุดใด ๆ กับเส้นศูนย์สูตร มีค่าสู งสุ ด 90 องศา เส้นที่ลากต่อเชื่ อมทุกจุดที่ มีละติจูดเท่ากันเราเรี ยกว่า เส้นขนาน (parallel) เวียนเป็ นวงกลมรอบโลก โดยขั้วโลกแต่ละขั้วจะมีค่าละติจูด เป็ น 90 องศา เช่น ขั้วโลกเหนือมีละติจูด 90 องศาเหนือ เป็ นต้น ละติจูด (อังกฤษ: Latitude) หรื อเดิมเรี ยกว่า เส้นรุ ้ง แทนด้วยอักษรกรี ก φ เป็ นพิกดั ที่ใช้บอกตําแหน่งบน พื้นโลกและแบ่งเขตสภาวะอากาศโดยวัดจากเส้น ศูนย์สูตร พิกดั ที่ใช้คู่กนั คือ ลองจิจูด พื้นที่ที่มีพิกดั ละติจูด ต่างกัน จะมีสภาพภูมิอากาศ (Climate) และกาลอากาศ (Weather) ต่างกัน ละติจูดมีค่าตั้งแต่ 0 องศาที่เส้น ศูนย์สูตร ไปจนถึง 90 องศาที่บริ เวณขั้วโลก (นับเป็ น 90 องศาเหนื อหรื อใต้) เนื่ องจากเป็ นการวัดมุมจากจุด สมมติที่เส้นศูนย์สูตรไปยังจุดขั้วโลกที่ 90 องศา หลักการอ่านค่าพิกดั ภูมิศาสตร์ 1. ตําแหน่งลองจิจูดให้อ่านคําจากซ้ายไปทางขวา 2. ตําแหน่งละจิจูดให้อ่านคําจากเส้นด้านล่างขึ้นด้านบน ประโยชน์จากการรู ้ตาํ แหน่งของสถานที่ 1. ช่วยให้ทราบตําแหน่งที่ต้ งั ของสถานที่ต่างๆเช่น กรุ งเทพมหานคร ตั้งอยูท่ ี่ละติจูด 13 องศา เหนือ 2. ช่วยให้ทราบระยะทาง 3. เป็ นประโยชน์ต่องานวางแผนที่ต่างๆ ระยะ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างตําแหน่ ง 2 ตําแหน่ ง ว่าใกล้หรื อไกล ระยะทางบนพื้นโลก สามารถหาได้ จากแผนที่ ซึ่ งในแผนที่จะมี มาตรส่ วนเป็ นเครื่ องหมายบอกระยะทาง มาตราส่ วน (map scale) คือสิ่ งที่แสดงให้ทราบถึงความสัมพันธ์ระหว่างระยะทางในแผนที่กบั ระยะทางจริ ง

บนพื้นผิวโลก มีอยู่ 3 ชนิด 1)มาตราส่ วนคํา พูด (verbal scale) คื อมาตราส่ วนที่ บ อกโดยตรงว่าระยะทางในแผนที่ 1 หน่ วย แทน ระยะทางจริ งบนพื้นผิวโลก เช่น 1 เซนติเมตร เท่ากับ 20 กิโลเมตร 2)มาตราส่ วนเส้น (graphic scale) หรื อมาตราส่ วนรู ปแท่ง (bar scale) คือมาตราส่ วนที่แสดงด้วยเส้นตรง หรื อรู ปแท่งที่มีตวั เลขกํากับไว้ 3)มาตราส่ วนแบบเศษส่ วน (representative scale) คือมาตราส่ วนที่แสดงด้วยตัวเลขอัตราส่ วน การ คํานวณหาระยะทางจริ งบนพื้นผิวโลกจากแผนที่ หาได้จากสู ตร

วิธีการวัดระยะในแผนที่ - กําหนดตําแหน่งต้นทางและตําแหน่งปลายทางที่ตอ้ งการหาระยะ - แปลงมาตราส่ วนในแผนที่เป็ นมาตรส่ วนคําพูด ทิศ คือ สิ่ งที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างตําแหน่ง 2 ตําแหน่ง ว่าเป็ นทางไหน ข้างใด หรื อ ด้านในการรู ้ทิศจะทําให้ไปถูกทาง ไม่หลงทาง และประหยัดเวลา หลักการบอกทิศตามระบบแอซิ มตั คือ จะยึดเอาทิศเหนื อเป็ นหลักในการเป็ นจุดเริ่ มต้นวัด วัดใน ทิศทางตามเข็มนาฬิกา เวียนขวา วัดค่ามุม เป็ นองศา กล่าวคือ ทิศเหนือ

:

มีค่าแอซิมตั 0 องศา หรื อ 360 องศา

ทิศตะวันออก :

มีค่าแอซิ มตั 90 องศา

ทิศใต้

:

มีค่าแอซิ มตั 180 องศา

ทิศตะวันตก

:

มีค่าแอซิ มตั 270 องศา

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 ภูมิลกั ษณ์ ของภูมิภาคต่ างๆ ภูมิลกั ษณ์ เป็ นการพิจารณาสภาพหรื อลักษณะเด่นบริ เวณใดๆโดยเน้นที่เป็ นระบบธรรมชาติ เช่น ภูมิประเทศ แม่น้ าํ ภูเขา ป่ าไม้ ภูมิอากาศ ภูมิภาค ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช 2542 หมายถึง อาณาบริ เวณที่มี ลักษณะบางอย่าง เช่น ลักษณะทางธรรมชาติ ทางเศรษฐกิจ ทางวัฒนธรรมทางการเมืองคล้ายคลึงกัน จน สามารถจัดเข้าพวกได้และแตกต่างกับบริ เวณใกล้เคียงโดยรวม การแบ่งภูมิภาคทางภูมิศาสตร์ ของประเทศไทย ใช้ปัจจัยทางธรรมชาติเป็ นปั จจัยหลักร่ วมกับปั จจัย ทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมเป็ นปั จจัยเสริ มโดยแบ่งเป็ น 6 ภูมิภาค ดังนี้ - ภาคเหนือ - ภาคกลาง - ภาคตะวันออก - ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ - ภาคตะวันตก - ภาคใต้ ภูมิลกั ษณ์กายภาพกับสังคมภาคเหนื อ ภูมิประเทศของภาคเหนือเต็มไปด้วยเทือกเขาน้อยใหญ่สลับซับซ้อน และมีพ้นื ที่สาํ คัญของ ประเทศหลายจุด เช่น พื้นที่ทางด้านตะวันตกสุ ดของประเทศที่อาํ เภอแม่สะเรี ยง จังหวัดแม่ฮ่องสอน พื้นที่ ทางด้านเหนือสุ ดของประเทศที่อาํ เภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย จุดสู งสุ ดของประเทศที่ดอยอินทนนท์ จังหวัด เชียงใหม่ นอกจากนี้ ภาคเหนือยังเป็ นพื้นที่แรกของประเทศที่แม่น้ าํ โขงไหลผ่าน ซึ่ งจุดแรกที่แม่น้ าํ โขงไหล ผ่านประเทศไทยอยูบ่ ริ เวณสามเหลี่ยมทองคํา อําเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย ภาคเหนือมีพ้นื ที่รวมทั้งหมด 93,690.85 ตร.กม คิดเป็ นสัดส่ วนร้อยละ 0.06 ของพื้นที่บน ผิวโลก และหากเทียบจากขนาดพื้นที่ แล้ว ภาคเหนื อจะมีขนาดพื้นที่ ใกล้เคียงกับประเทศฮังการี มากที่สุด และมีขนาดเล็กกว่าประเทศเกาหลีใต้เล็กน้อย

ลักษณะภูมิประเทศของภาคเหนื อเป็ นทิวเขาทอดยาวจากเหนื อลงมาใต้ทิ วเขาที่สําคัญได้แก่ ทิวเขาถนน ธงชัย เป็ นทิวเขาที่ใหญ่และยาวที่สุดของภาคเหนื อ มียอดเขาสู งเป็ นอันดับหนึ่ งของประเทศคือ ยอดเขาดอย อินทนนท์ อยูใ่ นจังหวัด เชียงใหม่ สู งจากระดับนํ้าทะเล 2,565 เมตร ทิวเขาแดนลาวกั้นเขตแดนไทยกับพม่า มียอดเขาสู งเป็ นอันดับสองของ ประเทศคือ ยอดดอยผ้าห่มปก อยูใ่ นอําเภอแม่อาย มีความสู ง 2,297.84 เมตร และ ยอดดอยหลวงเชี ยงดาว สู ง 2,222 เมตร เป็ นอันดับ 3 อยูใ่ นจังหวัดเชี ยงใหม่เช่นกัน และยังมีทิวเขาขุน ตาล ทิวเขาผีปันนํ้าตะวันตก ทิวเขานี้ อยูร่ ะหว่างแม่น้ าํ วังกับแม่น้ าํ ยม ทิวเขาผีปันนํ้าตะวันออก อยูร่ ะหว่าง แม่น้ าํ ยมกับแม่น้ าํ น่าน ทิวเขาหลวงพระบาง กั้นเขตแดนระหว่างไทย กับลาว ทิวเขาเหล่านี้ ประกอบไปด้วย ภูเขาใหญ่นอ้ ยมากมาย เช่น ดอยอินทนนท์ ดอยขุนตาล ภูช้ ี ฟ้า ภูผาตั้ง และยังเป็ นที่อยู่ อาศัยของชาวเขาเผ่า ต่างๆ ได้แก่ กะเหรี่ ยง ม้ง มูเซอ เย้า อีกอ้ และลีซอ ส่ วนพื้นที่ ราบบริ เวณหุ บเขาและแถบลุ่ มแม่น้ าํ ปิ ง วัง ยม น่ าน ลุ่ มนํ้ากก และนํ้าอิง มี ความอุ ดม สมบูรณ์เหมาะแก่การ เพาะปลูกข้าว และพืชไร่ รวมทั้งไม้ผลหลากหลายชนิด แม่น้ าํ แม่น้ าํ สายสําคัญในภาคเหนือ แบ่งออกเป็ น 3 พวก ได้แก่ 1. พวกที่ไหลจากเหนื อลงใต้ ได้แก่ แม่น้ าํ ปิ ง แม่น้ าํ แจ่ม แม่น้ าํ ตื่น แม่น้ าํ งัด แม่น้ าํ กวง แม่น้ าํ ทา แม่น้ าํ วัง แม่น้ าํ จาง แม่น้ าํ ยม แม่น้ าํ น่าน และแม่น้ าํ ปาด 2. พวกที่ไหลจากใต้ข้ ึนเหนือ ได้แก่ แม่น้ าํ อิง แม่น้ าํ ลาว แม่น้ าํ กก แม่น้ าํ จัน และแม่น้ าํ ลี้ 3. พวกที่ไหลไปลงทางด้านพม่า ได้แก่ แม่น้ าํ เมย แม่น้ าํ ยวม และแม่น้ าํ ปาย ซึ่ งไหลบรรจบกับแม่น้ าํ สาละวิน ประชากรจะตั้งถิ่นฐานบริ เวณที่ราบระหว่างภูเขา ประกอบอาชี พเกษตรกรรม บนภูเขาสู งอาจมีการปลูกพืช แบบขั้นบันได และปลูกพืชเมืองหนาว เช่น สตอบอรี มีการทําอุตสาหกรรมไม้แปรรู ป ผูค้ นส่ วนใหญ่มีชีวิต ความเป็ นอยูผ่ กู พันกับธรรมชาติ จึงเกิดเป็ นประเพณี ต่างๆ ภาคกลาง ภูมิลกั ษณ์ ส่ วนใหญ่เป็ นที่ราบลุ่มมีความอุดมสมบูรณ์ มีแม่น้ าํ ที่สําคัญคือ แม่น้ าํ เจ้าพระยา แม่น้ าํ ท่าจีน แม่ นํ้าป่ าสัก ทางตอนล่างมีส่วนที่ติดกับทะเล ป่ าไม้เป็ นป่ าดงดิบ ป่ าเต็งรัง ป่ าชายเลน ภู มิสังคม ประชากรส่ วนใหญ่ประกอบอาชี พเกษตรกรรม เพราะดิ นส่ วน ใหญ่เป็ นดิ นที่อุดมสมบูรณ์ ส่ วนพื้นที่ที่ติดทะเลประชากรจะประกอบ อาชี พ เป็ นชาวประมง ทํา นาเกลื อ มี ศู น ย์ก ลางความหนาแน่ น ที่ กรุ งเทพมหานคร

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภูมิลกั ษณ์ ส่ วนใหญ่เป็ นที่ราบสู งที่มีแอ่งกระทะขนาดใหญ่ทางตอนกลาง คือแอ่งโคราช และแอ่งสกลนคร มีเทือกเขาพนมดงรัก เทือกเขาภูพาน เทือกเขาสันกําแพง เป็ นเทือกเขาสําคัญ มีแม่น้ าํ โขง แม่น้ าํ มูล แม่น้ าํ ชี แม่น้ าํ สงคราม ทางตอนบนของภาคมีอากาศหนาวเย็น ภูมิสังคม ส่ วนใหญ่ประกอบอาชี พเกษตรกรรม แต่ประสบปั ญหาแห้งแล้ง เนื่ องจากดินส่ วนใหญ่เป็ นดิ น ทราย ไม่อุม้ นํ้า พืชที่ปลู กจึงไม่ตอ้ งใช้น้ าํ มาก เช่ น อ้อย ปอ ฝ้ าย มี ประเพณี ที่เกี่ ยวข้องกับการขอฝนเช่ น ประเพณี บุญบั้งไฟ ประเพณี แห่นางแมว เป็ นต้น ภูมิลกั ษณ์และภูมิสังคมของภาคตะวันออก ภูมิลกั ษณ์ลกั ษณะภูมิประเทศมีความหลากหลาย มีภูเขาสู ง ที่ราบลุ่มแม่น้ าํ ชายฝั่งทะเลอ่าวไทยที่มีความยาว ซึ่ งภูเขาสู งจะอยูท่ างตอนกลางของภาค มีที่ราบชายฝั่งทางตอนใต้ มีเทือกเขาที่สําคัญคือ เทือกเขาบรรทัด มี แม่น้ าํ สายสําคัญคือ แม่น้ าํ จันทบุรี แม่น้ าํ ตราด แม่น้ าํ ประแส ป่ าไม้มีท้ งั ป่ าดงดิบ ป่ าชายเลน มีอากาศชุ่มชื่ น ฝนตกชุก ภูมิสังคมประชากรส่ วนใหญ่ประกอบอาชี พเกษตรกรรม พืชที่สําคัญจะเป็ นผลไม้ เช่ น เงาะ ทุเรี ยน มังคุ ด สั บ ปะรด นอกจากนี้ ยัง มี อาชี พ ประมง และให้บ ริ ก ารการท่ อ งเที่ ย ว ปั จจุ บ ันเกิ ด การขยายตัว ทางด้า น อุตสาหกรรมโดยมีนิคมอุตสาหกรรมต่างๆเกิดขึ้นมากมายในภูมิภาค ที่สําคัญเช่น นิ คมอุตสาหกรรมแหลม ฉบัง นิคมอุตสาหกรรมมาบตราพุต ระยอง ประเพณี ที่สาํ คัญ เช่น ประเพณี วง่ิ ควาย ประเพณี ที่เกี่ยวกับผลไม้ ลักษณะทางกายภาพ ภาคใต้มีพ้นื ที่ประมาณ 70,715 ตารางกิโลเมตร ประกอบด้วย 14 จังหวัด แบ่งออกเป็ น - ภาคใต้ฝ่ังตะวันออก ได้แก่ ชุมพร สุ ราษฎร์ ธานี นครศรี ธรรมราช สงขลา พัทลุง ปั ตตานี ยะลา นราธิวาส - ภาคใต้ฝ่ังตะวันตก ได้แก่ ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง สตูล ขอบเขตและที่ต้ งั ทิศเหนื อ มีพ้ืนที่ติดต่อกับจังหวัดประจวบคีรีขนั ธ์ ดิ นแดนที่อยู่เหนื อสุ ดของภาคคือ อําเภอประทิว จังหวัด ชุมพร ทิ ศ ตะวันออก มี พ้ื น ที่ ติด ต่ อกับ อ่ า วไทย ดิ นแดนที่ อ ยู่ต ะวัน ออกสุ ด ของภาคคื อ อํา เภอตากใบ จังหวัด นราธิวาส ทิ ศตะวันตก มี พ้ืนที่ ติดต่อกับ มหาสมุ ทรอิ นเดี ย ดิ นแดนที่ อยู่ตะวันตกสุ ดของภาคคื อ อําเภอท้ายเหมื อง จังหวัดพังงา

ทิศใต้ มีพ้นื ที่ติดกับประเทศมาเลเซี ยที่อาํ เภอเบตง จังหวัดยะลา ลักษณะภูมิประเทศของภาคใต้ ภาคใต้มี ล ัก ษณะภู มิ ป ระเทศเป็ นคาบสมุ ท รที่ มี ท ะเลขนาบอยู่ 2 ด้า น คื อ ตะวันออกด้า นอ่ า วไทย และ ตะวันตกด้านทะเลอันดามัน จังหวัดยะลาเป็ นจังหวัดที่ไม่มีพ้นื ที่ติดต่อกับทะเล ลักษณะภูมิประเทศแบ่งได้ 2 เขต คือ เขตเทือกเขา มีลกั ษณะการวางตัวในแนวเหนือ-ใต้ เช่น - เทือกเขาตะนาวศรี เป็ นพรมแดนกั้นเขตแดนไทยกับพม่า - เทือกเขาสันกาลาคีรี เป็ นพรมแดนกั้นเขตแดนไทยกับมาเลเซี ย - เทือกเขาภูเก็ต อยูท่ างตะวันตกของภาค - เทือกเขานครศรี ธรรมราช เป็ นแกนกลางของภาค เขตที่ราบ ที่ราบในภาคใต้มีลกั ษณะยาวขนานระหว่างภูเขาและชายฝั่ งทะเลแคบ ๆ ซึ่ งทางตะวันออกเป็ น ชายฝั่งแบบยกตัว ส่ วนชายฝั่งตะวันตกเป็ นแบบยุบตัว แม่น้ าํ ที่สาํ คัญของภาค แม่น้ าํ ของภาคใต้เป็ นสายสั้น ๆ เนื่ องจากมีพ้ืนที่นอ้ ย และไหลลงสู่ อ่าวไทย เช่น แม่น้ าํ ชุ มพร แม่น้ าํ ปั ตตานี แม่น้ าํ ตาปี แม่น้ าํ สายบุ รี ส่ วนแม่น้ าํ โกลก เป็ นพรมแดนธรรมชาติ ที่ก้ นั เขตแดนระหว่างประเทศไทยกับ มาเลเซี ย ส่ วนแม่น้ าํ ปากจัน่ กั้นพรมแดนระหว่างประเทศไทยกับพม่า และแม่น้ าํ ตรังไหลลงสู่ ทะเลอันดามัน ลักษณะของชายฝั่งทะเลภาคใต้ ภาคใต้มี ช ายฝั่ งทะเลยาวประมาณ 1,825 กิ โลเมตร แบ่ง เป็ นชายฝั่ ง ทะเลด้า นตะวันออกตั้งแต่ ชุ มพรถึ ง นราธิ วาส ยาว 960 กิโลเมตร และชายฝั่งทะเลด้านตะวันตกยาว 865 กิโลเมตร ซึ่ งมีลกั ษณะดังนี้ - ชายฝั่งด้านตะวันออก (ฝั่งอ่าวไทย) เป็ นหาดทรายกว้าง เป็ นฝั่งทะเลที่มีการยกตัวของพื้นที่ มีสันทรายจงอย มี ลากูน ที่เกิ ดจากสันดอนที่ปิดกั้นทะเลสาบสงขลาจากทะเลภายนอก มีอ่าวขนาดใหญ่ เช่ น อ่าวบ้านดอน อ่าวชุมพร อ่าวสวี เป็ นต้น - ชายฝั่งด้านตะวันตก (ฝั่งทะเลอันดามัน) เป็ นฝั่งทะเลจมตัว มีชายหาดเว้าแหว่งและเป็ นหาดนํ้าลึกมีป่าชาย เลนขึ้นตามชายฝั่ง และมี ชวากทะเล คือ การยุบจมบริ เวณปากแม่น้ าํ ขนาดกว้าง อ่าวที่สําคัญของฝั่งทะเลตะวันตก ได้แก่ อ่าว ระนอง อ่าวพังงา อ่าวกระบี่ อ่าวกันตัง เป็ นต้น ลักษณะภูมิอากาศของภาคใต้ ลักษณะภูมิอากาศเป็ นแบบร้ อนชื้ นแถบมรสุ ม (Am) คือมีฝนตกชุ กสลับกับฤดู แล้งสั้น ๆ ภาคใต้ไม่มีฤดู หนาว เนื่ องจากอยู่ใ กล้เ ส้ นศู น ย์สู ตร และได้รับ อิ ท ธิ พ ลจากลมมรสุ ม ตะวัน ออกเฉี ย งใต้และลมมรสุ ม

ตะวันออกเฉี ยงเหนือทําให้ฝนตกชุ กตลอดทั้งปี จังหวัดที่มีฝนตกชุ กที่สุดคือ ระนอง และจังหวัดที่มีฝนตก น้อยคือ สุ ราษฎร์ธานี หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 ภูมิลกั ษณ์ กายภาพกับสั งคมในภูมิภาคต่ างๆ การตั้งถิ่นฐานของประชากร การตั้งถิ่นฐานของประชากรในแต่ละภูมิภาคจะแตกต่างกันขึ้นอยูก่ บั สภาพแวดล้อมดังนี้ ภาคกลาง มีลกั ษณะภูมิประเทศเป็ นที่ราบและที่ราบลุ่ม ประชากรจึงนิ ยมสร้างบ้านเรื อนตามสันดิน ฝั่งแม่น้ าํ เนื่องจากจะปลอดภัยจากนํ้าท่วม ภาคใต้ มีลกั ษณะภูมิประเทศชายฝั่งทะเล ผูค้ นจะตั้งบ้านเรื อนอยูบ่ นสันทราย โดยปลูกสวนมะพร้าว และสวนไม้ยนื ต้นอื่นๆควบคู่ไปด้วย ระหว่างสันทรายจะเป็ นที่ลุ่มและที่ราบ ซึ่ งใช้ปลูกผักและเลี้ยงสัตว์ ภาคตะวันออกเฉียงใต้ มีลกั ษณะภูมิประเทศเป็ นที่ดอน ประชากรส่ วนใหญ่จะตั้งถิ่นฐานอยูบ่ ริ เวณ โคกและโพน ซึ่ งภูมิประเทศกล่าวจะเป็ นที่สูงจึงทําให้ปลอดภัยจากนํ้าท่วม ภาคเหนื อ มีลกั ษณะภูมิประเทศเป็ นภูเขาสู ง ประชากรจะตั้งถิ่ นฐานบริ เวณเชิ งขา และมี ลกั ษณะ ภูมิอากาศที่หนาวเย็นจึงเหมาะแก่การเพาะปลูกพืชเมืองหนาว เช่น ผัก ผลไม้ ดอกไม้ การย้า ยถิ่ น ฐาน คื อ การย้า ยออกถิ่ นฐานเดิ ม เพื่ อ เข้า ไปอาศัย อยู่ใ นท้อ งถิ่ น ที่ เ หมาะสม เช่ น มี สภาพแวดล้อมที่ดี ใกล้เส้นทางคมนาคม มี ความสะดวกสบาย ผลกระทบที่ เกิ ดขึ้ นตามมา ได้แก่ ปั ญหา จราจรติดขัด ปั ญหาชุมชนแออัด ปั ญหาการว่างงาน

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 สิ่ งแวดล้ อมในภูมิภาค สิ่ งแวดล้อมในภูมิภาค สิ่ งแวดล้อมต่างๆมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กนั และต้องพึ่งพาอาศัยซึ่ งกันและกัน เช่น คนต้องอาศัย พืชและสัตว์เป็ นอาหาร ต้นไม้อาศัยดินและธาตุอาหาร เมื่อจํานวนประชากรเพิ่มมากขึ้นทําให้สภาพแวดล้อม เกิดความเปลี่ยนแปลงซึ่ งเกิดจากสาเหตุสาํ คัญ 2 ประการ คือ เกิดจากการเปลี่ยนแปลงตามธรรมชาติ เกิดจาก การกระทําของมนุษย์ ผลจากการรักษาและทําลายสภาพแวดล้อม 1. การทําลายสภาพแวดล้อม เช่น การใช้น้ าํ การใช้อากาศ การใช้ทรัพยากรธรรมชาติ 2. การดูแลรักษาสภาพแวดล้อม เช่น การประหยัดในการใช้น้ าํ ไม่เปิ ดนํ้าทิ้งไว้ แนวทางการอนุรักษ์และรักษาสภาพแวดล้อมในภูมิภาค o การใช้อย่างประหยัด คือ การใช้เท่าที่จาํ เป็ น และใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด o นํากลับมาใช้ประโยชน์ได้ใหม่ o การใช้สิ่งอื่นทดแทน o การป้ องกัน o สนับสนุนให้ประชาชนในท้องถิ่นได้เข้าไปมีส่วนร่ วมในการอนุ รักษ์ ทรัพยากรธรรมชาติ

วิชา สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6

วิชา สั งคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6

สาระที่ 1 ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม „ หน่วยการเรี ยนรู ้ที่ 1 พระพุทธ พระพุ ท ธศาสนาเป็ นศาสนาที่ ค นไทยส่ ว นใหญ่ นับ ถื อ วิ ถี ชี วิ ต ของคนไทยจึ ง ผู ก พัน กับ พระพุทธศาสนา ซึ่งจะเห็นได้จากเอกลักษณ์ของชาติไทย รากฐานทางวัฒนธรรมไทย มรดกทางวัฒนธรรม ไทย ซึ่ งล้วนเกิดจากพระพุทธศาสนาแทบทั้งสิ้ น พระพุทธเจ้าเสด็จปริ นิพานเมื่อพระชนมายุ 80 พรรษา ก่อน ปริ นิพานได้แสดงธรรมโปรดสุ ภทั ทปริ พาชกและบวชให้เป็ นปั จฉิ มสาวก จากนั้นพระองค์ไ ด้ประทาน โอวาทแก่พระสงฆ์ให้มีชีวติ อยูด่ ว้ ยความไม่ประมาทปั จจุบนั ชาวพุทธสามารถระลึกถึงพระพุทธเจ้าด้วยการ ไปนมัสการสังเวชนียสถาน 4 และชาดกเป็ นเรื่ องราวในอดีตชาติของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงนํามาเล่าแก่ พระสงฆ์เพื่อให้ขอ้ คิดในเรื่ องต่างๆ เช่น ทีฆีติโกสลชาดก ให้ขอ้ คิดเรื่ อง การรู ้จกั ให้อภัย สัพพทาฐิชาดก ให้ ข้อคิดเรื่ อง การไม่หลงในอํานาจ „ หน่วยการเรี ยนรู ้ที่ 2 พระธรรม ชาวพุทธเป็ นผูท้ ี่ศรัทธาต่อพระรัตนตรัย และศึกษาหลักธรรมที่เกี่ยวข้องกับพระรัตนตรัย ได้แก่ ศรัทธา 4 พุทธกิ จ 5 อริ ยสัจ 4 หลักธรรม ไตรสิ กขา รวมทั้งปฏิ บตั ิตนตามหลักธรรมโอวาท 3 ได้แก่ เบญจ ธรรม กุศลมูล 3 พละ 4 คารวะ 6 ความกตัญํูกตเวทีต่อพระมหากษัตริ ย ์ มงคล 38 ( มีวินยั การงานไม่มีโทษ ไม่ ป ระมาทในธรรม ) พุ ทธศาสนสุ ภาษิ ต และงดเว้นจากอบายมุ ข 6 อกุ ศลมู ล 3 นอกจากนี้ ย งั ศึ ก ษา หลัก ธรรมของศาสนาต่ า งๆ เช่ น หลัก ธรรมของศาสนาอิ ส ลามมี หลัก ศรั ท ธา 6 ประการ หลัก ปฏิ บตั ิ 5 ประการ หลัก ธรรมของคริ ส ต์ศ าสนาบัญ ญัติ 10 ประการ หลัก ธรรมของศาสนาพราหมณ์ ” ฮิ น ดู มี หลักธรรม 10 ประการ หลักอาศรม 4 และศาสนพิธีของศาสนาต่างๆ ทั้งนี้ เพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่าง สันติสุข

„ หน่วยการเรี ยนรู ้ที่ 3 พระสงฆ์ การศึกษาประวัติศาสตร์ ของพระราธะ พ่อขุนรามคําแหงมหาราชและสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส นอกจากได้รู้ประวัติความเป็ นมาของบุคคลเหล่านี้ แล้ว ยังได้ขอ้ คิดและคุณธรรม ที่ควรยึดถื อเป็ นแบบอย่างในเรื่ องความมี ศรั ทธามัน่ คงในพระพุทธศาสนา ความเป็ นคนว่านอนสอนง่ าย ความรับผิดชอบ ความคิดริ เริ่ มสร้างสรรค์ ความกล้าหาญ และความใฝ่ เรี ยนใฝ่ รู ้

“ หน่วยการเรี ยนรู ้ที่ 4 การปฏิบตั ิตนดี ชาวพุทธที่ดีควรมีความรู ้เกี่ยวกับสถานที่ต่างๆภายในวัด และควรปฏิบตั ิตนให้ถูกต้องเหมาะสม เมื่ ออยู่ใ นวัด นอกจากนี้ ค วรหาโอกาสแสดงตนเป็ นพุ ท ธมามกะ การมี ค วามรู ้ ใ นเรื่ องการถวายของแด่ พระสงฆ์ การปฏิ บตั ิตนในขณะฟั งธรรมจะช่ วยให้เราปฏิ บตั ิตนได้ถูกต้องเหมาะสมและเป็ นประโยชน์ต่อ พุทธศาสนา การอาราธนา พิธีทอดกฐิน พิธีทอดผ้าป่ า และพิธีทาํ บุญงานอวมงคล เป็ นศาสนาพิธีที่มีระเบียบ ปฏิ บตั ิเป็ นขั้นตอน เราควรปฏิ บตั ิให้ถูกต้องเหมาะสม เพื่อความเป็ นสิ ริมงคลแก่ตนเอง การบริ หารจิตและ การเจริ ญปั ญ ญามี ห ลายวิ ธี เราควรเลื อ กฝึ กปฏิ บ ัติ ใ ห้ เ หมาะสม เพราะมี ป ระโยชน์ ต่ อ การดํา เนิ น ชีวติ ประจําวัน คือ ช่วยให้มีสุขภาพจิตดี มีคุณธรรมและมีความสุ ข สาระที่ 2 หน้ าทีพ่ ลเมือง วัฒนธรรมและการดาเนินชีวติ ในสั งคม “ หน่วยการเรี ยนรู ้ที่ 5 การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริ ยท์ รงเป็ นประมูข องค์กรปกครองส่ วนท้องถิ่นเป็ นราชการส่ วนท้องถิ่นที่มีบทบาทหน้าที่ในการบริ การสาธารณะ ให้แก่ประชาชนในท้องถิ่น ซึ่ งจะแตกต่างกับรัฐบาลที่มีบทบาทหน้าที่ในการบริ การสาธารณะแก่ประชาชน โดยรวมทั้งประเทศ การมีส่วนรวมในกิจกรรมประชาธิ ปไตย คือ การเข้าไปมีส่วนรวมในกิจกรรมต่างๆตาม หลักการประชาธิ ปไตย เช่น การติดตามข่าวสารต่างๆ การใช้สิทธิ และเสรี ภาพของตนเอง การตรวจสอบการ ทํางานของหน่ วยราชการ การใช้สิทธิ เลื อกตั้ง การเลือกตั้ง คือ วิธีการที่ประชาชนใช้สิทธิ ของตนเองเลื อก บุค คลไปใช้อาํ นาจหน้าที่ ป กครองแทนตน โดยมี หลักการสําคัญได้ แก่ การมี อิส ระในการเลื อกตั้ง การ เลื อกตั้งตามกําหนดเวลา การเลื อกตั้งโดยบริ สุทธิ์ ยุติธรรม การเลื อกตั้งโดยเสมอภาค การออกเสี ยงทัว่ ไป และการลงคะแนนโดยสะดวก ซึ่ งประชาชนทุกคนต้องเข้าไปมีส่วนร่ วมในการเลื อกตั้งทุกๆขั้นตอน เพื่อ แสดงสิ ทธิและหน้าที่ของตน และเพื่อให้การปกครองระบอบประชาธิปไตยของไทยพัฒนาและมีเสถียรภาพ และการใช้ขอ้ มูลข่าวสารให้เกิดประโยชน์ ให้ความสนใจและเลือกใช้ เหมาะสมและเชื่ อถือได้ เพราะจะได้ เกิดผลดีต่อตนเองและสังคม

“ หน่วยการเรี ยนรู ้ที่ 6 กฎหมายในชีวติ ประจําวัน กฎหมายเป็ นข้อบังคับที่สมาชิ กทุกคนต้องปฏิ บตั ิตาม ดังนั้นกฎหมายมีความเกี่ ยวข้องกับทุ ก ภาคส่ ว นในสั ง คม โดยแบ่ ง เป็ นกฎหมายที่ เกี่ ย วข้อ งกับ ครอบครั ว เช่ น กฎหมายทะเบี ย นราษฎร ซึ่ ง มี สาระสําคัญเกี่ ยวกับทะเบี ยนบ้าน การเกิ ด การตาย การย้ายที่ อยู่ และกฎหมายที่ เกี่ ยวข้องกับ ชุ มชน เช่ น กฎหมายจราจร กฎหมายยาเสพติดให้โทษ ข้อบัญญัติทอ้ งถิ่น “ หน่วยการเรี ยนรู ้ที่ 7 วัฒนธรรมในสังคมไทย วัฒนธรรมแบ่ ง เป็ น 2 ประเภท คื อ วัฒนธรรมทางวัตถุ และวัฒนธรรมที่ ไม่ ใ ช่ วตั ถุ ปั จจุ บ นั สังคมไทยมีการรับวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาเป็ นจํานวนมากทําให้วฒั นธรรมของไทยมีการการเปลี่ยนแปลง ไปหลายประการ ในฐานะที่เป็ นคนไทย เราจะต้องธํารงรักษาวัฒนธรรมไทยด้วยการปลุ กจิตสํานึ ก ฟื้ นฟู พัฒนา และถ่ายทอดวัฒนธรรมไทย มารยาทไทย คือ กิ ริยาวาจาที่ถือว่าสุ ภาพเรี ยบร้ อย ถู กกาลเทศะของคนในสังคมไทย มารยาท ไทยที่สาํ คัญมีท้ งั มารยาทเกี่ยวกับการแสดงความเคารพ การยืน การเดิน การนัง่ การนอน การรับของและส่ ง ของ การรับประทานอาหาร การทักทาย การสนทนา และการใช้คาํ พูด วัฒ นธรรมไทยมี คุ ณ ค่ า ต่ อ คนไทยหลายประการ ทั้ง นี้ สั ง คมไทยประกอบด้ ว ยกลุ่ ม คน หลากหลายกลุ่ ม ซึ่ ง แต่ล ะกลุ่ ม ก็ จะมี วฒั นธรรมที่ เป็ นเอกลัก ษณ์ ข องตนทํา ให้สั ง คมไทยมี วฒั นธรรมที่ หลากหลายและมี ความแตกต่างกันหลายๆด้าน เช่ น ภาษา ประเพณี ศาสนาและความเชื่ อ ดังนั้นกลุ่มคน ต่างๆจึงต้องช่วยกันอนุรักษ์วฒั นธรรมของกลุ่มตนให้คงอยูต่ ่อไป

สาระที่ 3 เศรษฐศาสตร์ “ หน่วยการเรี ยนรู ้ที่ 8 การผลิตและการบริ โภค ผูผ้ ลิต คือ ผูท้ าํ หน้าที่ผลิตสิ นค้าและบริ การเพื่อตอบสนองความต้องการของผูบ้ ริ โภค บทบาท ของผูผ้ ลิ ตที่มีคุณภาพ ได้แก่ การคํานึ งถึ งสิ่ งแวดล้อม การมรจรรยาบรรณ ความรับผิดชอบต่อสังคม และ การวางแผนกิจกรรมการผลิต ผูบ้ ริ โภค คือ ผูท้ ี่ใช้ประโยชน์จากสิ นค้าและบริ การเพื่อสนองความต้องการของตน คุณสมบัติ ของผูบ้ ริ โภคที่ ดี ได้แ ก่ คิ ด ก่ อ นตัดสิ น ใจซื้ อ คํา นึ ง ถึ ง ความจํา เป็ น ซื้ อ สิ น ค้า ที่ มี คุ ณ ภาพ ราคาไม่ แ พง เปรี ยบเทียบราคา และพิจารณาฉลากสิ นค้าก่อนซื้ อ ทรัพยากรหรื อปั จจัยการผลิตที่นาํ มาใช้ในการผลิตสิ นค้าและบริ การมีจาํ กัด ดังนั้นจึงต้องมีการ เลือกและตัดสิ นใจในการจัดสรรทรัพยากรที่จะนํามาใช้ในกาผลิต เพื่อให้ ทรัพยากรที่นาํ มาใช้เกิดประโยชน์สูงสุ ด

“ หน่วยการเรี ยนรู ้ที่ 9 ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจ ในระบบเศรษฐกิจมีความเกี่ยวข้องระหว่างหน่ วยเศรษฐกิ จต่างๆ คือ ผูผ้ ลิ ต ผูบ้ ริ โภค ธนาคาร และรัฐบาล ซึ่ งแต่ละหน่วยเศรษฐกิจจะมีบทบาทและหน้าที่แตกต่างกันไปตามกิ จกรรมทางเศรษฐกิ จและ ชุมชนแต่ละแห่งมักมีการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจภายในท้องถิ่น เพื่อช่วยเหลือซึ่ งกันและกันในด้านต่างๆการ รวมกลุ่ มของคนในท้องถิ่ นมี หลากหลายประเภท เช่ น กลุ่ มออมทรั พย์ กลุ่ มแม่บา้ น กองทุนหมู่บา้ นและ ชุมชนเมือง

สาระที่ 4 ประวัติศาสตร์ “ หน่วยการเรี ยนรู ้ที่ 10 วิธีการทางประวัติศาสตร์ การศึกษาประวัติศาสตร์ใช้วธิ ีการทางประวัติศาสตร์ ซ่ ึ งประกอบด้วย 5 ขั้นตอน คือ การกําหนด ปั ญหาหรื อเรื่ องที่จะศึกษา การรวบรวมหลักฐาน การตรวจสอบและประเมินหลักฐาน การตีความหลักฐาน และการเรี ยบเรี ยงและนําเสนอ ในสมัยรัตนโกสิ นทร์ มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ที่บนั ทึกไว้เป็ นจํานวน มาก ทําให้การศึกษาประวัติศาสตร์ สมัยนี้กา้ วหน้ากว่าสมัยก่อนๆ “ หน่วยการเรี ยนรู ้ที่ 11 เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประเทศเพื่อนบ้า นของไทยประกอบด้วย พม่า ลาว กัม พูช า และมาเลเซี ย ประเทศเหล่ านี้ มี ความสัมพันธ์อนั ดี ต่อกัน ประเทศต่างๆในภูมิภาคเอเชี ยตะวันออกเฉี ยงใต้ ( อาเซี ยน ) มีความร่ วมมื อ ระหว่างประเทศสมาชิ ก ในอาเซี ยน มี ท้ งั ด้า นการเมื อง เศรษฐกิ จ สังคม และการระงับกรณี พิพ าทต่ างๆ ประกอบไปด้วย ความพยายามในการระงับข้อพิพาทของประเทศสมาชิ ก บทบาทของอาเซี ยนในทางด้าน การเมืองระหว่างประเทศ การสถาปนาเอเชี ยตะวันออกเฉี ยงใต้ให้เป็ นเขตสันติภาพ เสรี ภาพ และความเป็ น กลาง ความร่ วมมือทางด้านอุตสาหกรรมและด้านการค้า ความร่ วมมือทางด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ “ หน่วยการเรี ยนรู ้ที่ 12 ไทยสมัยรัตนโกสิ นทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเป็ นผูส้ ถาปนากรุ งรัตนโกสิ นทร์ เป็ นราชธานี เนื่ องจากทรงเห็ นว่าทําเลที่ ต้ งั มีความเหมาะสมกว่ากรุ งธนบุรีที่เป็ นราชธานี เดิ ม ในสมัยรั ตนโกสิ นทร์ ได้ แบ่งเป็ น 3 ช่วง ได้แก่ สมัยรัตนโกสิ นทร์ ตอนต้น สมัยปฏิ รูปบ้านเมืองให้ทนั สมัย และสมัยประชาธิ ปไตย นอกจากพระมหากษัตริ ยจ์ ะทรงฟื้ นฟูบา้ นเมืองด้านการปกครองแล้ว ยังทรงพัฒนาบ้านเมืองในด้านต่างๆ เช่ น ด้า นสั ง คม เศรษฐกิ จ ศิ ล ปวัฒนธรรม และความสั ม พันธ์ ระหว่า งประเทศ ในสมัย รั ตนโกสิ นทร์ มี พระมหากษัตริ ยท์ ี่มีปรี ชาสามารถและบุคคลสําคัญที่ทาํ ให้ประเทศชาติเจริ ญรุ่ งเรื อง เช่ น พระบาทสมเด็จ พระพุทธยอดฟ้ าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยูห่ วั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยูห่ วั สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุ รสิ งหนาท นอกจากนี้ภูมิปัญญาไทยในสมัยรัตนโกสิ นทร์ มีหลายด้าน เช่น การสร้างบ้านเรื อน การสร้างปราสาทราชวัง การแพทย์ ซึ่ งเราควรอนุรักษ์ไว้เป็ นมรดกของชาติ

สาระที่ 5 ภูมิศาสตร์ “ หน่วยการเรี ยนรู ้ที่ 13 ประเทศของเรา ประเทศไทยมีลกั ษณะภูมิประเทศที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ มีสภาพภูมิอากาศทั้งแบบป่ า ฝนเขตร้อน ร้อนชื้นแบบมรสุ ม และร้อนชื้ นแบบทุ่งหญ้า เมืองร้อนที่มีผลมาจากลมมรสุ มที่ได้รับตลอดปี มี ทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ สามารถนําไปใช้พฒั นาประเทศไดไอย่างต่อเนื่ อง มีประชากรส่ วนใหญ่ อาศัย อยู่ ห นาแน่ น ในบริ เ วณที่ ร าบลุ่ ม แม่ น้ ํา เนื่ อ งจากลัก ษณะทางเศรษฐกิ จ ของประเทศที่ ข้ ึ น อยู่ ก ับ เกษตรกรรมเป็ นหลัก และมีสภาพพิ้นที่ ที่สามารถพัฒนาระบบคมนาคมขนส่ งได้เป็ นอย่างดี ลักษณะทาง กายภาพยังส่ งผลให้ประเทศไทยประสบกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ เช่น อุทกภัย วาตภัย แผ่นดินถล่ม ใน ทุกๆปี รวมทั้งการแผ่นดิ นไหว ที่ แม้ว่าประเทศไทยจะอยู่ห่างจากแนวรอยต่อของเปลื อกโลก แต่ก็มีรอย เลื่ อนที่มีพลังและการเคลื่ อนตัวอยู่ตลอดเวลา ปรากฏการณ์ ทางธรรมชาติเหล่านี้ สร้ างความเสี ยหายให้แก่ ชีวติ และทรัพย์สินของประชาชนชาวไทยเป็ นอย่างมาก ซึ่ งเราสามารถใช้เครื่ องมือทางภูมิศาสตร์ เช่น แผนที่ รู ปถ่ายทางอากาศ ภาพจากดาวเทียม ในการศึกษาลักษณะทางกายภาพและสังคมของประเทศไทยได้ เพื่อ นํา ไปใช้ใ นการดําเนิ นชี วิตได้อย่า งเหมาะสม แล้วยัง สามารถนําความรู ้ ไ ปศึ ก ษาความสั ม พันธ์ ระหว่า ง ลักษณะทางกายภาพกับการเกิดปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆเพื่อค้นหาวิธีป้องกันภัยทางธรรมชาติและ อาศัยอยูเ่ ขตพื้นที่ได้อย่างปลอดภัย “ หน่วยการเรี ยนรู ้ที่ 14 สิ่ งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ สิ่ งแวดล้อมทางธรรมชาติมีอิทธิ พลต่อสิ่ งแวดล้อมทางสังคมที่มนุษย์สร้างขึ้นมนุ ษย์จะต้องปรับ การดําเนินชีวติ ของตนให้เข้ากับสิ่ งแวดล้อมทางธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงของทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่ งแวดล้อมมีสาเหตุมาจากธรรมชาติและมนุ ษย์ ซึ่ งส่ งผลกระทบต่อ การดําเนิ นชี วิตของมนุ ษย์ เราจึงต้องรู ้จกั ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่าง ประหยัด เหมาะสม และให้ เ กิ ด ประโยชน์ สู งสุ ด เพื่ อ จะได้ มี ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ งแวดล้อมที่ดีอยูต่ ่อไปในอนาคต

ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 1 Unit 1 you and me โครงสร้างประโยค (stuructrese) -

hello,__[jame]__

-

HI,__[Tom]__

-

Sit down

-

Good morning / Good afternoon /Good evening,[Katy}

-

How are you? I’m fine .Thanks.

-

Good bye,/Bye,__[Tom]

-

Hello . I’m __[ann]__

-

Close the window

-

Open the door

คําศัพท์ (vocabularies) -

Hi

-

Hello

-

Goodbye

Listen and repeat ฟังและพูดตาม A: Hi, Tom B:Hi, Jane A: Hi,Pat B:Hi,Tim A:Hello, Ann

B:Hello teacher Listen and say ฟังและพูด A:Hello! I’m Jack B:Hello! I’m Joy A: Goodbye, Joy B: Good bye , Jack Read and pravtice in pairs ให้นกั เรี ยนอ่านแล้วจับคู่ฝึกสนทนา Good morning

How are you?

Good afternoon ,[Katy} Good evening

I’m fine.Thanks

Let’s sing the alphabet song ฝึ กร้องเพลง พยัญชนะ A B C D E F G H I J K L M N O P Q R S T U V W X Y and Z BOYS ANG GIRL COME SING WITH ME COME AND SING YOUR A ”B- C SUMMARY สรุ ปคําศัพท์และไวบากรณ์ hi, hello, goodbye ,bye ,goodafternoon , good evening sat the words hi hello hut net no nine Grammar ไสยกรณ์ รู ปแบบประโยคที่ใช้กล่าวแนะนําตนเองมี2รู ปแบบ คือ รู ปประโยคแบบ ย่อ

ประธาน +กริ ยาย่อ+ชื่อ I + ‘m +jane

= I’m jane รู ปประโยคแบบเต็ม ประธาน+กริ ยารู ปเต็ม +ชื่อ I +am+ jane = I am jane I am [jane] ในภาษาพูดเราสามารถ พูดสั้นๆได้เป็ น I’m [jane] การกล่าวคําทักทาย -

hello,__[ชื่อ]__

-

HI,__[ชื่อ]__

-

Good morning ,__[ชื่อ]__

-

Good afternoon,__[ชื่อ]__

-

Good evening,__[ชื่อ]__

การกล่าวคําอําลา - Good bye,__[ชื่อ]__ -Bye,__[ชื่อ]__ การกล่าวคําแนะนําตนเอง -I’m ,__[ชื่อ]__ -I am,__[ชื่อ]__ สรุ ป Good morning

ใช้ทกั ทายในตอนเช้า โดยใช้ได้ถึงเที่ยง

Good afternoon

ใช้ทกั ทายในตอนเที่ยง จนถึงประมาณ6โมง

Good evening

ใช้ทกั กันตั้งแต่ช่วง6โมงเย็นเป็ นต้นไป

Good bye,bye เป็ นคํากล่าวลา ใช้เมื่อจะแยกย้ายกันไป คําว่าbye หรื อ bye ” bye ใช้กบั เพื่อนหรื อผูท้ ี่ สนิทสนมกัน Unit2 NUMBERS โครงสร้างประโยค (stuructrese) How many [bees] Three [bees] I want two apple Here you are คําศัพท์ (vocabularies) Numbers - one -two -three -four -five -six -seven -eight -nine -ten Animals -

A cat

-

A rat

-

A fish

-

A dog

-

A bird

-

A frog

-

A bee

-

A duck

Look and say 0ne cat Two cat Three cat Four cat Five cat Six cat Sevendog eight birds Nine bats ten ducks Read and count ให้นกั เรี ยนอ่านและนับจํานวน Eleven fish twelveplanes thirteen caps Fourteen rats fiteen eggs sixteenfrogs Seventeen kites eighteen balls nineteen fans twenty tops สรุ ปคําศัพท์ และ ไวยากรณ์ Eleven Twelve thirteen Fourteen fiteen sixteen Seventeen eighteen nineteen twenty say the words คลังคําศัพท์

duck dog dot fish five four me my meat Grammar ไวยกรณ์ How many ? เป็ นคําที่ใหช้ต้ งั คําถามเกี่ยวกับเรื่ องจํานวนประโยค How many มีหลักการใช้ ดังนี้ 1.

ใช้กบั คํานามที่นบั จํานวนได้รูปพหู พจน์ เช่น papayas, apples, pens, books, rambutans, boys,

peoples, children, sheep, fish,…….

2.

ใช้ถามเกี่ยวกับจํานวนมากน้อยของสิ่ งของที่นบั จํานวนได้รูปพหู พจน์ โดยใช้โครงสร้างต่อไปนี้

How many + คํานามพหูพจน์ + do (does) +ประธาน + กริ ยา ...... ? ตัวอย่าง - How many mangoes do you want ?

I want three kilos.

- How many eggs does she want ?

She wants two dozen eggs.

- How many people are there in the playground ?

There are fifty people in the playground. สรุ ป Here you are เป็ นประโยคที่ใช้พูดเมือเราส่ งของให้ผรู ้ ับ โดยคําว่า you หรื อ are จะไม่เปลี่ยนไปตามจํานวน สิ่ งที่เราส่ งให้ไม่วา่ จะส่ งสิ่ งของกี่ชิ้นก็พูดว่าhere you are เสมอ

Unit 3 color คําศัพท์ (vocabularies) “

red

“

blue green

“

yellow

“

a yellow cup

“

a red umbrella

“

a green tree

“

a blue van

โครงสร้างประโยค (stuructrese) “

show me a red apple

“

here is

“

point to the yellow umbrella

“

that's the yellow umbrella

“

requst

“

repeat after your teacher

“

please show me a red cup .

“

show me a red cup,please

“

please point to the green apple

“

point to the freen apple , please

“

practice ppoint to the book point to the book, please

“

please , point to the book

“

stand up listen stop sitdown

“

notice

ในประโยคคําสั่งเราใช้คาํ กริ ยาที่ไม่เปลี่ยน รู ปขึ้นต้นประโยค ในประโยคขอร้อง แล้วเติมคําว่าplease หน้าประโยคคําสั่ง หรื อเติมเครื่ องหมายท้ายประโยคคําสั่ง SUMMARY สรุ ปคําศัพท์และไวยากรณ์

Word bank “

red

“

blue

“

green

“

yellow

“

cup

“

umbrella

“

tree

“

van

“

gun

“

yo-yo

“

show point

say the word point pin pen cup kite cakr\e two tin toe Language ประคําสัง่ รู ปแบบประโยคคําสั่ง = show me a+ สิ่ งของ ให้แสดงสิ่ งของให้ดู =showme a+yellow cup show me a yellow cup ขณะแสดงสิ่ งของให้ดู ให้พูดว่า here it is pointthe + point to the + red umbrella point to the red umbrella ขณะชี้ ไปที่สิ่งของให้พูดว่า that's the red umbrella

show me a red apple Here it is point to the blue cup that's the blues cup สรุ ป ในประโยคคําสั่งเราใช้คาํ กริ ยาที่เปลี่ยนรู ปขึ้นต้นประโยค ในประโยคขอร้อง เราเติมคําว่าplease หน้าประโยคคําสัง่ หรื อเติมเครื่ องหมายท้ายประโยคคําสัง่ แล้วต่อ ด้วยคําว่าplease unit 4 what do I have? โครงสร้างประโยค (stuructrese) I am _____.

He is_____.

She is ____.

I have ____.

He has____.

She has ____.

What does _____have?

He/she has a plane a hat คําศัพท์ (vocabularies) A robot A kite A bike A doll A dog A plane A bag A ball A hat Have

Has SUMMARY สรุ ปคําศัพท์และไวยากรณ์ A robot/A kite /A bike/A doll/A dog/A plane/A bag/A ball/A hat/Have/Has/Say the word Lead ling led/See sing sit/Zoo zebra zero Grammar Present Simple Tense is am are แปลว่า เป็ น อยู่ คือ (ประธาน+ is, am, are, + นาม) I am a student. ผมเป็ นนักเรี ยน (student = นาม) He is in the room. เขาอยูใ่ นห้อง (room = นาม) We are tigers. พวกเราคือเสื อ (tiger = นาม) แต่บางครั้ง is am are ไม่ตอ้ งแปล (ประธาน+ is, am, are, + คุณศัพท์) I am tall. ผมสู ง (tall = คุณศัพท์) She is short. หล่อน เตี้ย ( short= คุณศัพท์) They are smart. พวกเขาเทห์ ( smart=คุณศัพท์) Present Simple Tense Have Has แปลว่า มี, กิน, ดื่ม (ประธาน+ have, has + นาม) แต่ในที่น้ ี ขอยกตัวอย่าง มี นะครับ I have a dog. ผมมีสุนขั ตัวหนึ่ง He has a black car. เขามีรถยนต์สีดาํ คันหนึ่ง A cat has four legs. แมวมีสี่ขา Dogs have two eyes. หมาทั้งหลายมีสองตา

I usually have rice and curry. โดยปกติผมกินข้าวกับแกง She always has a cup of tea in the morning. หล่อนดื่มชาหนึ่งถ้วยในตอนเช้าเสมอ สรุ ป การแนะนําชื่อตนเองและผูอ้ ื่น I am ชื่อ He/she is ชื่อ การบอกว่าใครมีสิ่งของอะไร I have สิ่ งของ He / she has สิ่ งของ Unit5 can I have โครงสร้างประโยค (stuructrese) Can I have a books Can I have (two pencils) Can I have( abook and a pencil) Sure . Here it is . /No. I am sorry Sure. Here they are / No. sorry /No. I am sorry.

Thank you. คําศัพท์ (vocabularies) A candy/A cake/An ice cream/A jug/A pen/A to/A pencil/A fan/A book SUMMARY สรุ ปคําศัพท์และไวยากรณ์ Word bank/A candy/A cake/An ice cream/A jug/A pen/A top/A pencil/A fan/A book Say the words/Book cook ink /Top cap lip/And bad mad Grammar Can you swim? คุณว่ายนํ้าเป็ นไหม Yes, I can. ใช่ ฉันสามารถ (ว่ายนํ้าเป็ น) Can he sing? เขาร้องเพลงเป็ นไหม Yes he can. ใช่ เขาสามารถ (ร้องเพลงเป็ น) Can’t she use a computer? หล่อนไม่สามาถใช้คอมพิวเตอร์ ได้ ใช่ไหม

No, she cant’. ไม่ หล่อนไม่สามารถ (ใช้คอมพิวเตอร์ ) Can’t they play the quitar? พวกเขาไม่สามารถเล่นกีตา้ ร์ ได้ใช่ไหม No, they can’t. ไม่ พวกเขาไม่สามารถ(เล่นกีตา้ ร์ ) สรุ ป การขอสิ่ งของที่ตอ้ งการ และการตอบปฏิเสธ คําถาม can I have สิ่ งของ คําตอบ NO sorry Unit 6 โครงสร้างประโยค (stuructrese) How old is he /she? He/she is (five) How old are you? / I am (six) What day is today? It’s (Monday) คําศัพท์ (vocabularies) Today Birthday Sunday Monday Tuesday Wednesday Thursday Friday Satureday SUMMARY สรุ ปคําศัพท์และไวยากรณ์ Word bank/Today/Birthday/Sunday/Monday/Tuesday/Wednesday/Thursday/Friday Satureday/Say the words/Read ring red/Ring sing wing/Bank bird blue Grammar รู ปแบบประโยค-คําตอบที่ใช้ในการสนทนาเรื่ องอายุ

รู ปแบบประโยคคําถาม how old are you รู ปแบบประโยคคําตอบ I am six ถ้าต้องการถามอายุบุคคลที่เป็ นผูค้ นเดียวHe/she รู ปแบบประโยคคําคือ How old is he/she รุ ปแบบคําตอบคือ He/She is five สรุ ป ถ้าประธานของประโยคคําถามเป็ นyou ประธานของประโยคคําตอบจะเป็ นI และ verb to be ที่ใช้ประธาน I คือ am Unit 7 My. Body โครงสร้างประโยค (stuructrese) “

This is my (head)

“

Touch your (head)

“

I have (one. Head)

“

He/she. Has (two legs)

คําศัพท์ (vocabularies) A body/A head/A hand/An arm/A zebra /A leg/A foot/Feet/Touch SUMMARY สรุ ปคําศัพท์และไวยากรณ์ Say the words Thin thick thing They then the Shell show shop Grammar รู ปแบบประโยชน์ที่ใช้พูดโต้ตอบส่ วนต่างๆของร่ างกายมีดงั นี้ รู ปแบบคําสั่งที่ให้และส่ วนต่างๆของร่ างกาย Touch your head แตะศีรษะ ของคุณ Touch หมายถึงแตะจับสัมผัส This is my headนี่คือศีรษะของฉัน(พร้อมพูดกับแตะหรื อสัมผัสส่ วนของร่ างกายนัน่ ) สรุ ปคํากริ ยา

คํากริ ยา haveใช้กบั I ส่ วน has ใช้กบั he และ she คําว่า a foot หมายถึง เท้าข้างเดียว ถ้า 2ข้าง foot ไม่เติม s แต่ใช้คาํ ว่า feet แทน คําศัพท์ที่เป็ นชื่ออวัยวะของร่ างกาย ถ้ามีมากกว่า1ชิ้น จะเติมs ที่ทา้ ยคําเช่น a leg =ขางข้างเดียว แต่ถา้ ขา2 ข้าง จะเป็ น two legs Unit8 what’s this ? what’s that ? โครงสร้างประโยค (stuructrese) ประโยคคําถาม What's this / that?

Is this (a ball)?

Is that (a kitten) ประโยคคําตอบ It's(a cat) Yes,it is No,it isn't คําศัพท์ (vocabularies) That./This/An orange/A frog/A ball/Melon/A Monkey/An apple/A kitten SUMMARY สรุ ปคําศัพท์และไวยากรณ์ Water waffle wagon View van violin Yes yell you ทําหน้าที่เป็ นคุณศัพท์ คําว่า This / That ถ้านําไปขยายคํานามประเภทไหน เวลาแปลก็ให้เอาลักษณะนามของคํานั้นมาใช้นะครับ เช่น this boy (เด็ก คนนี้) that cat (แมวตัวนั้น) this pen (ปากกา ด้ามนี้) that house (บ้าน หลังนั้น) เป็ นต้น โครงสร้าง This / That + นามเอกพจน์ This car is very cheap. รถ คันนี้ ถูก มาก This black shirt is 100 baht. เสื้ อเชิ๊ต สี ดาํ ตัวนี้ ราคา 100 บาท This white house is tall. บ้าน สี ขาว หลังนี้ สู ง I don’t like that cat. ฉัน ไม่ชอบ แมว ตัวนั้น

Who is that girl? เด็กหญิง คนนั้น คือ ใคร She lives in that hut? หล่อน อาศัยอยู่ ใน กระท่อม หลังนั้น ส่ วนคําว่า These / Those ก็ให้แปลว่า เหล่านี้ / เหล่านั้น โครงสร้าง These / Those + นามพหูพจน์ These students are from Japan. นักเรี ยน เหล่านี้ มา จาก ญี่ปุ่น These watches are very expensive. นาฬิกา เหล่านี้ แพง มาก Those men go to work by train. ผูช้ าย เหล่านั้น ไป ทํางาน โดย รถไฟ Those dogs are playing in the park. สุ นขั เหล่านั้น กําลังเล่น ใน สวน Whose are these books? หนังสื อ เหล่านี้ คือ ของใคร He is looking at those women. เขา กําลังมอง ผูห้ ญิง เหล่านั้น สรุ ป What this? It’s afish What’s that M it’s an apple

ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 บทที่ 1 You and me โครงสร้างประโยค Goog morning/ Good afternoon/ Good evenning, (tom) Hello. I'm (ชื่อ) What's your name?

My mame is (ชื่อ) I'm (ชื่อ) How are you I'm fine.Thanks.

Goodbye.

This is (ชื่อ) Bye. Nice to meet you. Nice to meet you.too. คําศัพท์ (vocabularies) Hi,hello,name,meet,nice,my,yous FIRST TRY นําเข้าสู่ บทเรี ยน Listen and say. ฟังและพูด M.Hi,i'm sam.

G.Hello,i'm jenny.

M.Hello! I am Bill.

What's yous name?

G.i'm sue.

Practice in pairs. จับคู่ฝึกสนทนา M.Hello,i am................what'syour mame?

G.I'm.........

M.Goodbye.

G.Bye. STUY MORE กิจกรรมการเรี ยนรู ้ Listen and repeat. ฟังและพูดตาม M.Hi,i'm jim.

What's your name?

G.my name is Tina. This is bill.

Nice to meet you.

M.Nice to meet you, Too. ฝึ กสนทนา G.Hi, i'm......what's your name?

M.my name is..........

This is..........

Nice to meet you.

G.Nice to meet you. Too. Read and practice in pairs. ให้นกั เรี ยนอ่านแล้วจับคู่ฝึกสนทนา Good mornong.

Good aftemoon.

Good evening.

Tom. How are you?

I'm fine. Thanks.

LET'READ อ่านคล่อง can you read? ฟังและอ่านตาม M.Hello,i am bill.

What's your name?

G.my name is tina.

And this is Anna.

M.Nice to meet you.

G.nice to meet you.Too. บทที่ 2 my family แผนผังสาระการเรี ยนรู ้ (concept map) โครงสร้างประโยค(structures) Is this/that your (mother)? yes.it is Who's hhis/that? it's my (father) This is my.......

Please show me your (mother) This is my (mother) Show me you (dad) คําศัพท์(vocabularies) a family,a grandfather,a grandmother,a father,a father,a mother,a brother,a sister thit,that,who,,an album บทที่ 3 my clasroom แผนผังสาระการเรี ยนรู ้ (concept map) โครงสร้างประโยค (structures) is this/that (an eraser)?

Yes,it is./No,it isn't.

What's this/that?

It's a (book) I don' t know. คําศัพท์ (vocabularies) a classroom,a blackboard,a window,a door,a school,a table,a shool bag,a dask,a chair,a pencil case a notebook,a ruler,an eraser,a computer Practice in pairs. จับคู่ฝึกสนทนา

G.what's this?

M.it's a ruler G.what's that?

M.it's a blackboard.

STUDY MORE กิจกรรมการเรี ยนรู ้ M.What's this?

G.i don't know. is it a pencil?

M.no,it isn't.

M.it's aruler G.is this a school bag?

M.yes,it is.

SUMMARY สรุ ปคําศัพท์และไวยากรณ์ Classroom notebook, ruler, etasey, pencil case, school bag, school, table, blackboard, chair, door, window, desk, computer Put the right things in the school bag.

1.a chair 2.a ruler 3.a table 4.an eraser 5.a computer 6.a notebook 7.a door 8.a penncil casa 9.a book 10.a teacher 11.a window 12.a blackboard

13.a pen 14.a pencil 15.a desk สรุ ป is not, what is, do not ในภาษาพูดเราสามารถพูดสั้นๆได้วา่ isn't, what's, don't บทที่ 4 numbers How old are you?

I am (eight).

Count the (books).

(Six) books.

Are you (seven)?

No, i'm not. I'm (six) Count the books, please.

How many (bes) are there?

There is (one)(bee).

There are (six)(bees). numbers : zero one two three four five six seven eight ning ten คําศัพท์ : (vocabularies) count, a bug, a flower, a cloud, a butterfiy, a snail, there is/there ore Listen and say. ฟังและพูด G.Hi, sam.

M.Hello, jennym G.Happy birthday.

M.Thanks.

G.Are you eight?

M.No,i'm not.

G.How old are you?

M.i'm seven.

M.Wow! L.Surprise!

G.come in.

N.This is for you. สรุ ป one bug - two bugs -คํานามทัว่ ไปเมื่อป้ ลื่อนรู ปเป็ นพหู พจน์ ให้เติม s ที่ทา้ ยคํา one butterfly - two butterflies -คํานามทร่ ลงท้ายด้วยตัว y และ y อยูห่ ลังพยัญชนะ เมื่อเป็ นพหู พจน์ ต้องเปลื่อนเป็ น y - ie ก่อนแล้วจึงเติม s บทที่ 5 my favorite color โครงสร้างประโยค (strucftures) My favorite color What color is this/that?

It's (blue).

Whit's your's favorite color? it's (red). is it (green)? คําศัพท์ (vocabularies) Red blue pink yellow green purple orange color favorite Colors of the thai flag RED WHITE BLUE WHITE RED สรุ ป

รู ปประโยคคําถามเกี่ยวกับเรื่ องสี มีดงั นี้ -รู ปประโยคคําถามเกี่ยวกับสี ที่ชื่นชอบ คือ -what' s your frvorite color? (สี ที่คุณชื่นชอบคือสี อะไร) -รู ปประโยคคําถามเกี่ยวกับสี คือ What color is this? (นี่/นี้คือสี อะไร)=ใช้ถามถึงสี ของสิ่ งทีอยูใ่ กล้ -What color is that? (นัน่ /นั้นคือสี อะไร)=ใช้ถามถึงสิ่ งของที่อยูไ่ กล -What color is it? (มันคือสี อะไร) การตอบคําถามที่กล่าวมาข้างต้น จะใช้คาํ ตอบที่มีโครงสร้างประโยคแบบเดียวกัน คือ -it ' s (ชื่อสี ). เช่น it's green. (มันคือสี เขียว) บทที่ 6 My pets โครงสร้าง (structures) Where is (the ball)? it's (the table). it's in (the bench).

What pets do you have? i have (a puppy).

Doo you have (a rabbit)? yes, i do.

No, i don' t. คําศัพท์ (vocabulaqries) a rabbit a hamster a puppy a bird a pet have love Listen and say. ฟังและพูด M.Look.ssue. what's that?

G.les's go and see.

M.is it dog?

G.is it a cat?

M.it's a pupy. Les's take it home.

M.i have a pupy. i love dogs.

Listen and read. ฟังและอ่าน M.tina, do you have bords?

G.No, i don' T. i have a dog.

Practice in pairs. จับคู่ฝึกสนทนา M.sue, do you have pets?

G.yes, i do.

M.what pets do you have?

G.i have a rabbit. สรุ ป -คําว่า pet หมายถึง สัตว์ที่เรานํามาเลี้ยงไว้เป็ นเพื่อน เช่น นก แมว สุ นขั ที่ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงเพื่อกินหรื อใช้งาน -คํานามที่ลงท้ายด้วยตัว y และ y อยูห่ ลังพยัญชนะ เมื่อป้ ลื่อนรู ปเป็ นพหู พจน์ จะต้องเปลื่อน y เป็ น ie แล้วจึง เติม s เช่น a puppy-puppies บทที่ 7 Furit โครงสร้างประโยค (structures) What fruit do you like? i like (bananas).

Do you like ( appples)? yes , i do.

No, i don ' t. i don ' t like (papayas). คําศัพท์ (vocabularies) Like grapes an orange a banana a papaya a nango a coconut a strawberry fruit sweet soru Listen and say. ฟังและพูด M.bill, do you like papayas?

G.No, i don ' t.

M.what fruit do you like?

G.l like strawberries.they are sweet and sour. สรุ ป ชื่อผลไม้ที่ตามหลังกริ ยา like ที่แปลว่าชอบ ต้องเป็ นพหู พจน์เสมอ บทที่ 8 food and drink โครงสร้างประโยค (structures) I have chicken for you.

Yeah!

Do you have ketchup?

No, i don ' t. i am sarry. i am hungr/thirsty.

What do you wajnt? i want (rice) and (fish).

Do you want (chicken)?

No, thanks./No i don ' t. คําศัพท์ (vocabularies) Water Juice Milk Chicken Rice Bread Fried fish Cake Pizza Thirsty Hungry Breakfast Lunch Dinner Listen and say ฟังและพูด M.i ' m hungry and thirsty.

G.what do you want?

M.i want chicken and juice.

G.here you are.

M.thnk you.

G.you're welcome. สรุ ป -รู ปประโยคที่ใช้บอกว่ารู ้สึกหิ วหรื อกระหายนํ้า

ชั้นประถมศึกษาปี ที 3 หน่ วยที่ 1 Friends Josie : โจซี่

hello Camelia. How are you?

เฮลโล คาเมเลีย ฮาว อา ยู สวัสดี คาเมเลีย เป็ นไงบ้างวันนี้ Camelia : คาเมเลีย Hey Josie. I’m great, you? เฮย์ โจซี่ แอม เกรท ยู ้ สวัสดี โจซี่ ฉันสบายมาก คุณล่ะ Josie : โจซี่

I’m so sleepy.

แอม โซ สลีปพี่ ฉันง่วงนอนมาก Camelia : คาเมเลีย What did you do yesterday? ว็อท ดิด ยู ดู เยสเทอเดย์ คุณไปทําอะไรมาเมื่อวานนี้ Josie : โจซี่

I watched football match with my boyfriend last night. It was Man U and Liverpool. And you?

ไอ วอทเชด ฟุทบอล แมทช์ วิธ มาย บอยเฟรน ลาส ไนท์ อิท วอส แมนยู แอน ลิเวอพูล แอน ยู ้ ฉันดูฟุตบอลกับแฟนเมื่อคืนนี้ แมนยู กับลิเวอพูลเตะ คุณล่ะ Camelia : คาเมเลีย I went to Central Festival yesterday. ไอ เว้นท์ ทู เซนทรัล เฟสทิวลั เยสเทอเดย์ ฉันไปเซ็นทรัลเฟสทิวลั มาเมื่อวานนี้ Josie :

โจซี่

Cool, did you see anything on sale?

คูล ดิด ยู ซี เอนี่ธิง ออน เซล เยีย่ มเลย มีอะไรลดราคาบ้างไหม Camelia : คาเมเลีย Oh yes, there’s Top Shop shoes. They are on sale. If you buy 1, it’s 190 baht but if you buy 2 it’s 90 baht per 1. โอ้ เยส แดส ท็อป ช็อป ชูส์ เด อาร์ ออน เซล อีฟ ยู บาย วัน อิทส วัน ฮันเดรท ไนที้ บาท บัท อีฟ ยู บาย ทู อิทส ไนที้ บาท เพอ วัน โอ้ ใช่ มีรองเท้าท็อปช็อปกําลังลดราคาอยู่ ถ้าซื้ อ 1 คู่ ราคา190 บาท แต่ถา้ ซื้ อ 2 คู่ ราคาคู่ละ 90 บาท Josie : โจซี่

That’s great. I’ll check it out.

แดทส เกรท ไอ เชค อิท เอ้าท์ เจ๋ ง เดี๋ยวไว้ฉนั จะไปดู คําศัพท์ China japan usa Thailand England Singapore korea Australia new nice chubby slim happy best friend brown blonde japan korea Singapore England Australia Thailand รู ปประโยคคําถามเมื่อต้องการทราบว่าคู่สนทนามาจากประเทศอะไร รู ปประโยคคําถาม where are you from รู ปประโยคคําตอบ I’m from….(Thailand) เมื่อต้องการทราบว่าเขามาจากประเทศอะไร รู ปประโยคคําถาม Where is he/she from? รู ปประโยคคําตอบ he/she is from. รุ ปประโยคที่ใช้บอกลักษณะและความรู ้สึกของสัตว์ ขึ้นต้นด้วยประธาน ตามด้วย is am are โดยผันไปตามประธานแล้วตามจึงด้วย คําบอกลักษณะ nice happy chubby เช่น he is happy สรุ ป เราไม่นิยมใช้คาํ ว่า fat บอกลักษณะคนอ้วน แต่จะใช้คาํ ว่า Chubby และคําว่า slim แทน thin

หน่ วยที่ 2 My meals คําศัพท์ Coffee Fish juice Fruit milk sandwich Meat Banana veggie soup fried rice chocolate donut spaghetti ตัวอย่างบทสนทนา Sandwich is for me Fish is for you Is good for your health Milk is for you Juice is for me ไวยากรณ์ รุ ปประโยคที่ใช้พูดว่า อาหารเป็ นอะไร สําหรับใครและอาหารอะไรดีต่อสุ ขภาพของใคร ชื่ออาหาร is for me ตัวอย่าง milk is for you.

It’s good/bad for me/you รุ ปประโยคคําถาม เพื่อถามว่าผูท้ ี่ตนพูดด้วยจะรับประทานอะไรในมื้อนั้นและคําตอบ รู ปประโยคคําถาม What are you going to have for มื้ออาหาร ตัวอย่าง What are you going to have for lunch. รุ ปประโยคคําตอบ I’m going to have มื้ออาหาร ตัวอย่าง I’m going to have veggie soup สรุ ป อาหารบางชนิด เช่น แซนวิช สปาเกตตี้ แค่เป็ นอาหารของชาวต่างชาติ ไม่ใช่อาหารไทย แต่คนไทยก็ นิยมรับประทาน หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 3 Whose purse is it?

A:look there’s a purse under the bench.

B: It’s red purse whose purse is it?

A: I don’t know let’s take it to the teacher.

คําศัพท์ Bench purse wallet boat comb skateboard look for ไวยากรณ์ รู ปประโยคคําถามที่ใช้ถามหาผูท้ ี่เป็ นเจ้าของสิ่ งต่างๆ และคําตอบต่อคําถามดังกล่าว รู ปประโยคคําถามที่ใช้ถามถึงสิ่ งของที่มีรูปเป็ นเอกพจน์ whose + คํานามเอกพจน์+is +this/that ตัวอย่าง whose bench is this รู ปประโยคคําตอบ it+ is + คําแสดงความเป็ นเจ้าของ+คํานามเอกพจน์ ตัวอย่าง it is my/your/his/her+bench Whose หมายถึง ของใคร ใช้ข้ ึนต้นประโยคคําถามที่ตอ้ งการถามว่าสิ่ งของนี้หรื อสิ่ งของนั้นเป็ นของใคร -รู ปประโยคคําถามที่ถามถึงพหูพจน์ whose+คํานามพหู พจน์ + are + these/those ตัวอย่าง whose books are these รุ ปประโยคคําตอบ they+are+คําแสดงความเป็ นเจ้าของ+คํานามพหูพจน์ ตัวอย่าง they + are my/your/her/his/our/their books สรุ ป Apostrophe sให้เขียนต่อท้ายชื่อเพื่อแสดงว่าเจ้าของชื่ อเป็ นเจ้าของสิ่ งต่างๆ เช่น jane house หมายถึง บ้าน ของเจนหากมีชื่อเป็ นเจ้าของ 2 ชื่อ หน่ วยที่ 4 What are you doing?

A: hi bob and girl what are do doing?

B:we are cooking.

C:they are running.

D:he is writing a postcard E:I am fiswshing she is swimming. คําศัพท์ Right, sleep ,Cook ,Fish, swim, eat ,then open cross, study, by, sale ,play PAC,watch TV ,please try and I probably bastion, drinking water, cookie ไวยากรณ์ รู ปประโยคคําถามที่ข้ ึนต้นด้วย what รู ปประโยคคําถามที่ประธานเป็ น you/they

รู ปประโยคคําถาม what are you/they doing? รู ปประโยคคําตอบ I + am +สิ่ งที่กาํ ลังทํา ตัวอย่าง I am asleeping. รุ ปประโยคคําถามที่ประธานเป็ น he/she What is he/she doing ตอบ he/she+สิ่ งที่กาํ ลังทํา สรุ ป รู ปประโยคที่เป็ นการกระทําอยูใ่ นขณะนี้ ประธาน + v.be + คํากริ ยา + ing เช่น I am eating. หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 5 telling the time What tme is it (now)? วอท ไทม อีส อิท (นาว) (ตอนนี้) เวลากี่โมงแล้ว Excuse me. What time is it? เอคสคิวซ มี วอท ไทม อีส อิท

ขอโทษครับ กี่โมงแล้วครับ

Do you have a time? ดู ยู แฮฟว อะ ไทม

คุณมีนาฬิกาไหม กี่โมงแล้ว

What’s the time? วอทส เธอะ ไทมเวลากี่โมงแล้ว Could you tell me the time, please? คูด ยู เทล มี เธอะ ไทม พลีซ

คุณช่วยบอกเวลาฉันหน่อยได้ไหม

Do you mind telling me the time? ดู ยู ไมนด เทลลิง มี เธอะ ไทม คุณช่วยบอกเวลาขณะนี้ได้ไหม Do you know what time it is? ดู ยู โน วอท ไทม อิท อีส คุณทราบไหมว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว คําศัพท์ 3.09 : Three-o-nine ธรี โอ ไนน

Nine minutes past three

ไนน มินนิทส พาสท ธรี

7.15 : Seven-fifteen เซฟเวน ฟิ ฟทีน A quarter past seven อะ ควอร์เทอะ พาสท เซฟเวน 1.25 : One-twenty-five วัน ทเวนที ไฟฟว

Twenty-five minutes past one

ทเวนที ไฟฟว มินนิทส พาสท วัน 9.30 : Nine-thirty ไนน เธอที

Half past nine

ฮาล์ฟ พาสท ไนน 12.00 : Twelve o’clock ทเวลฟว โอคลอค

Midday/ midnight

มิดเดย์/ มิดไนท 12.30 : Twelve-thirty ทเวลฟว เธอที Half past noon ฮาล์ฟ พาสท นูน Half past twelve ฮาล์ฟ พาสท ทเวลฟว 16.45 : Sixteen-forty-five ซิคซทีน โฟร์ที ไฟฟว Four-forty-five p.m. โฟร์ โฟร์ที ไฟฟว พี เอ็ม A quarter to five p.m อะ ควอร์เทอะ ทู ไฟฟว พี เอ็ม 14.50 : Fourteen-fifty โฟร์ทีน ฟิ ฟที Two-fifty p.m. ทู ฟิ ฟที พี เอ็ม Ten minutes to three p.m. เทน มินนิทส ทู ธรี พี เอ็ม ไวยากรณ์

รู ปประโยคคําถาม คําตอบเกี่ยวกับเวลา รู ปประโยคที่ใช้ถามเวลา คือ what time is it ? คําตอบ is it เลขบอกเวลา o clock. ตัวอย่าง it is six o’clock รู ปประโยคที่ใช้ถาม ตอบถึงการกระทําที่กาํ ลังทําอยูข่ ระนี้ รู ปประโยคคําถามที่ประธานเป็ นพหูพจน์ what are you doing. ประโยคคําตอบ they are ….สิ่ งที่กาํ ลังทํา สรุ ป 12.00 เที่ยงวัน พูดว่า it is noon 12.00 เที่ยงคืน พูดว่า it is midnight หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 6 Free time Mark:hello,mark let’s play badminton.

May:that’s good idea.but I don’t have a badminton racket let’s play tabletennis do you have a bat.

Mark:no,sorry I don’t May:It doesn’t matter.i have two bats.come on let’s play. คําศัพท์ what ว็อท

อะไร

do (1) ดู

ทํา

you

ยู

คุณ

in

อิน

ใน

your

ยัว

ของคุณ

free

ฟรี

ว่าง

time

ไทม

เวลา

I

ไอ

ฉัน

listen t ลิ๊ซเซิ น ทุ

ฟัง

music มิ๊วซิ ค เพลง, ดนตรี watch ว็อทช ดู TV

ทีวี

ทีวี

Baseball เบสบอล เบสบอล Football ฟุตบอล ฟุตบอล Table tennis เทเบิ้ลเทนนิส แบดมินตัน สรุ ป รู ปประโยคที่ใช้พูดถึงการเล่นกีฬา Let’s play ชื่อกี่ฬา ตัวอย่าง let’s play badminton หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 7 places around me คําศัพท์ airport airport n สนามบิน bakery bakery n ร้านขายขนมปั ง bank bank n ธนาคาร barbershop barbershop n ร้านทําผม beach beach n ชายหาด car park car park n ที่จอดรถ cinema cinema n โรงภาพยนต์ coffee shop coffee shop n ร้านกาแฟ factory factory n โรงงาน filling station filling station n สถานีเติมนํ้ามัน florist florist n ร้านขายดอกไม้ hospital hospital n โรงพยาบาล hotel hotel n โรงแรม 1. On บน 2. Under ใต้ 3. Out นอก 4. Inใน 5. Across ข้าม 6. Through ผ่าน 7. Below

ข้างล่าง 8. Near ใกล้ 9. Along ขนานไปกับ 10. In front of

ข้างหน้า

11. Behind

ข้างหลัง 12. Next to ข้างๆ 13. Up ขึ้น 14. Down ลง 15. Far from ห่างจาก

16. Close toใกล้กบั 17. To the left of ไปทางซ้ายของ 18. To the right ofไปทางขวาของ 19. At the top of ที่ดา้ นบนของ 20. At the bottom of

ที่ดา้ นล่างของ

บทสนทนา A:Excuse me. I’m looking for Rama hospital.where it is?

B:Rama hospital? It’s on Rama VI Road.it’as next to the bank.

A:thank you.

B:your welcome. สรุ ป รู ปประโยคคําถามที่เกี่ยวกับสถานที่ที่จะไป 1.รู ปประโยคคําถามที่เป็ นประธาน you/they รู ปประโยคคําถาม where are you/they going?

รู ปประโยคคําตอบ I am going to theสถานที่ ตัวอย่าง I am going to the shopping mall.

1.รู ปประโยคคําถามที่เป็ นประธาน he / she ประโยคคําถาม where is he/she going? ประโยคคําตอบ he/she going to the ชื่อสถานที่ ตัวอย่าง she/he is going to the shopping mall. หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 8 Home sweet home A: Let's have dinner dad B:OK I am hungry now A:Where Arlee and Judy B:There are in the living room A:Where is David B:He is in the Garage A:David dinner is ready B:OK A:Yummy B:Mom you are wonderful cook. คําศัพท์ ห้องนัง่ เล่น หรื อ Living room ห้องอาหาร หรื อ Dining room ห้องครัว หรื อ Kitchen ห้องนํ้า ห้องอาบนํ้า หรื อ Bathroom Doorbell กริ่ ง Fence รั้วบ้าน Garbage can ถังขยะ Garage โรงรถ Garden สวน Light bulb หลอดไฟ Patio ลานบ้าน Roof หลังคา Steps ขั้นบันได Tree ต้นไม้ Wall กําแพง สรุ ป รู ปประโยคคําถามเพื่อถามว่าของสิ่ งหนึ่งหรื อหลายสิ่ งอยูใ่ นห้องใดและคําตอบคําถามดังกล่าว 1. รู ปประโยคที่ประธานเป็ น he she หรื อสิ่ งของที่เป็ นสิ่ งเดียวจะเป็ นดังนี้ รู ปประโยคคําถามwhere+is ชื่อคนหรื อสิ่ งของ ตัวอย่าง where is Judy, where is the sink รู ปประโยคคําตอบ he she it + is+ in the สถานที่ ตัวอย่าง is in the bedroom

2. รู ปประโยคที่วา่ ทานเป็ นบุคคลเกินกว่าหนึ่งคนสิ่ งของหลายสิ่ งหรื อมีจาํ นวนมากกว่าหนึ่งจะเป็ นดังนี้ รู ปประโยคคําถาม where + is + บุคคลเกินกว่าหนึ่งคนหรื อสิ่ งของหลายสิ่ งที่มีจาํ นวนมากกว่าหนึ่งสิ่ ง ตัวอย่าง they+are+in the สถานที่ ชั้นประถมศึกษาปี ที่4 หน่ วยการเรียนรู้ ท1ี่ I can do T:What can he do S2:Can you ride a bicycle S1:No,I can’t S3:Can you water the plants?

S1:Yes , I can Listen and say.

Voice:It’s Andy’s birthday Dad:Happy Birthday,Andy.This is for you.

Andy:Thanks,Dad Andy:SURPRISE What is it? Oh It’s a robot.I’ll call it Pooky (What can it do?)

Pooky:Hello Andy Andy:Hello,Pooky.Can you fly?

Pooky:What can you do.

Andy:I can ride a bicycle.I can make the bed.I can mop the floor.I can wash the dishes.I can water the plants.

Can you read

Voice 1:What can a parrot do?

Can it fly? Can it swim? Can it talk? Can it run?

Voice 2:Well,it can fly and it can talk.

But it can’t swim and it can’t run Voice 1:What can Mark do?

Can he jump? Can he fly? Can he swim? Can he ride a bike?

Voice 2:Sure he can jump and he can ride a bike.

But he can’t fly and he can’t swim.

Voice 1:Can I have some apples? Can I have some apples?

Red or green,red or green.

I want a red one and I want a green one,too.

Voice 2:Sure you can.Here you are.

Voice 1:Can I borrow your pencil? Can I? Can I? Voice 2:Sure you can.Here you are.

Voice 2: Sorry,you can’t.Sorry,you can’t I don’t have one.I don’t have one.Do you want a pen?

Voice 1:No,thank you.No,thank you. การตั้งคําถามและตอบคําถามในสิ่ งที่ตอ้ งการทราบ โดยใช้ Can และตอบคําถามอย่างถูกหลัก หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 2 My body 1. leg 2. eye 3. mouth

4. nose 5. hand 6. head 7. arm 8. foot 9. ear 10. knee A:What’s this ?

B:It’s a/an ……………………….

A:What are these ?

B:They are ……………………….

One leg, two legs I’ve got one hand, One foot,

I’ve got two hands, Two feet,

One arm, one leg

Two arms, two legs,

One eye, one ear,

Two eyes, two ears,

One nose.

Two noses ... two noses?

ร้องและทําท่าทางตาม Stand up and touch your nose.

Stand up and point to the chair.

Stand up and touch your mouth.

Stand up and show me the book.

คําศัพท์หมวดร่ างกายที่เป็ นพื้นฐานที่ควรรู ้จกั และรู ้จกั ถามเกี่ยวกับสิ่ งที่ตอ้ งการทราบ หน่วยการเรี ยนรู ้ที่3 Weather and seasons Sunny - It is sunny. อากาศดี Clear - It is clear. ท้องฟ้าปลอดโปร่ ง ท้องฟ้าแจ่มใส Windy - It is windy. มีลมมาก ลมแรง Raining - It is raining. ฝนตก Cloudy - It is cloudy. ท้องฟ้ามีเมฆมาก คําถาม 1. How is the weather today?

2. How is the weather in ____?

3. How is the weather over there? - ใช้เมื่อทราบว่าผูฟ้ ังอยูท่ ี่ไหน 4. What is the weather today?

5. What would the weather be tomorrow? คําตอบ 1. It is raining. Bring an umbrella with you. ฝนตก เอาร่ มไปด้วยนะ 2. It is humid, it would rain in few hour. อากาศอับชื้น อีกไม่นาน ฝนน่าจะตก 3. Very cold here but nice. หนาวมากแต่ดี 4. Sunny and clody. อากาศดีมาก

5. It is hot and humid. ร้อนแระอับชื้น ตัวอย่างบทสนทนา Thanawat : How is the weather in Japan? อากาศในญี่ปุ่นเป็ นยังไงบ้าง ครับ You : it is very nice. not so hot and cold. ดีมากๆเลย ไม่ร้อนและไม่ หนาวมาก Thanawat : Wow, sound nice! I would but check my budget first. ฟังดูดี จัง ไปแน่ๆแต่ขอตรวจงบก่อนนะ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 4 Clothes โครงสร้างประโยค May I help you Yes,please.

What size?

Small size.

This way,please Thankyou.

Try it on.

What is he/she wearing?

He/She is wearing?(shots) What are you/they wearing?

I am wearing (a dress) They are wearing(T-shirt and pants) คําศัพท์ Boxer shorts กางเกงในแบบบ๊อกเซอร์ Bikini หรื อ Panties กางเกงในผูห้ ญิง Brief กางเกงในผูช้ าย Camisole เสื้ อทับชั้นในผูห้ ญิง Girdle กางเกงในผูห้ ญิงแบบสเตย์รัด Half slip กระโปรงซับในผูห้ ญิง Jeans กางเกงยีนส์ Nappy ผ้าอ้อม Slacks or Pants กางเกงยาขาว

Skirt กระโปรง Shorts กางเกงขาสั้น Split skirt กางเกงกระโปรง Swimming trunks กางเกงว่ายนํ้าชาย conversation A : Please show me a shirt. ช่วยหยิบเสื้ อเชิ้ตให้ผมดูหน่อยครับ B : What is your size ? คุณใส่ เบอร์ อะไรครับ A : Medium size. เบอร์ขนาดกลางครับ B : Here it is, sir. It looks good for you. นี่ครับ ดูแล้วเหมาะกับคุณครับ A : Indeed, it does look good. How much is it ? จริ งครับ มันดูดี ราคาเท่าไรครับ ?

B : It's five hundred bath. ราคาห้าร้อยบาทครับ A : Please wrap it, here's the money. ช่วยห่อให้ดว้ ย นี่ ครับเงิน B : Thank you, sir. ขอบคุณครับ หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 5 Daily Activities What time do you get up?

I get up at 6 o’clock.

What time do you leave home?

I leave home at 4 o’clock.

How do you go to school?

I go to school at 8 o’clock. Etc. คําศัพท์ wake up เว๊ค คัพ ตื่นนอน get up เก็ท ทัพ ลุกจากที่นอน make a bed เมค คะ เบด เก็บที่นอน brush my teeth บรัช มาย ทีธ แปรงฟัน wash my face วอช มาย เฟส ล้างหน้า take a bath เทค คะ บาธ อาบนํ้าในอ่าง take a shower เทค คะ เช๊าเวอะ อาบนํ้าโดยฝักบัว get dressed เก็ท เดร็ สท แต่งตัว have breakfast แฮฝ เบร๊ คเฟิ สท กินอาหารเช้า go to school โก ทู สกูล ไปโรงเรี ยน

go to work โก ทู เวิค ไปทํางาน take a bus เทค คะ บัส โดยสารรถบัส take a train เทค คะ เทรน โดยสารรถไฟ get to school เก็ท ทู สกูล ไปถึงโรงเรี ยน study สตัด๊ ดิ เรี ยน eat lunch อีท ลันช กินอาหารเที่ยง go home โก โฮม กลับบ้าน get home เก็ท โฮม ไปถึงบ้าน do homework ดู โฮ๊มเวิค ทําการบ้าน eat dinner อีท ดิ๊นเนอะ กินอาหารเย็น watch TV ว็อช ทีวี ดูทีวี listen to music ลิ๊สเซิ น ทู มิ๊วสิ ค ฟังเพลง go to bed โก ทู เบด เข้านอน หลักการเติม s es มีดงั นี้ หากประธานเป็ นเอกพจน์ กริ ยาเติม s,es ส่ วนประธานพหู พจน์ไม่ตอ้ งเติมนะครับ หลักการเติมมีดงั นี้ 1. เติม s หลังคากริยาปกติทวั่ ๆ ไป เช่ น คาเดิม

คาอ่าน

เติม s

คาอ่าน

คาแปล

come

คัม

comes

คัมส

มา

cut

คัท

cuts

คัทส

ตัด

drink

ดริ งค

drinks

ดริ งคส

ดื่ม

feel

ฟี ล

feels

ฟี ลส

รู ้สึก

eat

อีท

eats

อีทส

กิน

swim

สวิม

swims

สวิมส

ว่ายนํ้า

2. เติม es หลังคาหริยาทีล่ งท้ ายด้ วย s, sh, ch, x, z และ o เช่ น คาเดิม

คาอ่าน

เติม s

คาอ่าน

คาแปล

catch

แค็ทช

catches

แค็ชเช็ส

มา

kiss

คิส

kisses

คิสเส็ส

จูบ

teach

ทีช

teaches

ทีชเช็ส

สอน

wash

วอช

washes

วอชเช็ส

ล้าง

buzz

บัส

buzzes

บัสเส็ส

ส่ งเสี ยงหึ่ งๆ

fix

ฟิ กส

fixes

ฟิ กเซ็ส

ซ่อม

go

โก

goes

โกส

ไป

do

ดู

does

ดัส

ทํา

ถ้าลงท้ายด้วย -shes ให้ออกเสี ยง เช็ส ต่อท้าย แต่ ช ช้างออกเสี ยงคล้ายไล่ไก่  ถ้าลงท้ายด้วย -ches ให้ออกเสี ยง เช็ส ต่อท้าย และช ช้างออกเสี ยงเหมือน ช ช้างของไทย  ถ้าลงท้ายด้วย -ses ให้ออกเสี ยง เซ็ส ต่อท้าย  ถ้าลงท้ายด้วย -ses ให้ออกเสี ยง เซ็ส ต่อท้าย  ถ้าลงท้ายด้วย -zes ให้ออกเสี ยง เซ็ส ต่อท้าย แต่ตอ ้ งทําเสี ยงสั่น ๆ ในลําคอหน่อย 3. คากริยาทีล่ งท้ายด้ วย y มี 2 ประการดังนี้ หน้ า y เป็ นสระ ( a , e , i , o , u ) ให้ เติม s ได้ เลย เช่ น 

คาเดิม

คาอ่าน

เติม s

คาอ่าน

คาแปล

buy

บาย

buys

บายส

ซื้ อ

play

พเล

plays

พเลส

เล่น

say

เซ

says

เซส

พูด

pay

เพ

pays

เพส

จ่าย

stay

สเต

stays

สเตส

พัก

แต่ หน้ า y เป็ นพยัญชนะ ให้ เปลีย่ น y เป็ น i แล้วเติม es เช่ น คาเดิม

คาอ่าน

เติม s

คาอ่าน

คาแปล

fly

ฟลาย

flies

ฟลายส

บิน

cry

คราย

cries

ครายส

ร้องไห้

study

สตัดดิ

studies

สตัดดิส

เรี ยน

try

ทราย

tries

ทรายส

พยายาม

หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 6 Visiting the farm โครงสร้างประโยค They are lions.

They are horses.

They can run.

They are in the zoo.

Having fun.

They can run.

They are on the farm.

Having fun.

คําศัพท์ cock c ไก่ตวั ผู ้ cow วัวตัวเมีย donkey ลา duck เป็ ด goat แพะ hen แม่ไก่ horse ม้า pig หมู piglet ลูกหมู sheep แกะ สรุ ป คําศัพท์สัตว์เลี้ยงในฟาร์ มทั้งในรู ปเอกพจน์และพหู พจน์ A fish-fish เอกพจน์และพหู พจน์ใช้รูปเดียวกัน A horse- horses ออกเสี ยงเป็ น2พยางค์ hors-ses An ostrich ” ostriches เติมesแพราะคําศัพท์ลงท้ายด้วยch This และ that ใช้เมื่อต้องการพูดถึงนามเอกพจน์ที่อยูใ่ กล้และไกลตัว these those ใช้เมื่อต้องการพุดถึงนาม พหู พจน์ที่อยูใ่ กล้และไกลตัว การตอบคําถามใช้ it แทนนามเอกพจน์ และใช้ they แทนนามพหูพจน์

การใช้ do และ does ในประโยคคําถาม Do ใช้กบั ประธาน youและthey Does ใช้กบั ประธาน he และ she ข้อสังเกตุเติมs es กริ ยาที่ลงท้ายด้วย sh เติมes Brush brushes Wash washes Push pushes หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 7 people around me โครงสร้างประโยค What do you./they do I am (nurse) They are (doctors) What does he/she do?

He/she is a (teacher) Where do you /they work? i/they work in hospital.

Where does she work?

She work in the library. คําศัพท์ A doctor,a nurse ,a taxi driver,a baker,a firefighter,a berkery,a fire station,a postman,a barber,a farmer,a barber shop,a florist,a flower shop,a secretary shop,an office สอนประโยค

ตอนที่ 1 วันแรกของการทางาน เพื่อนร่ วมงาน : Good morning, you must be (ชื่อหัวหน้า)’s new secretary. อรุ ณสวัสดิ์ครับ/ค่ะ คุณคงเป็ นเลขาคนใหม่ของ (ชื่อหัวหน้า) เลขา : That’s right. My name is (ชื่อ), but everyone calls me (ชื่อเล่น). ใช่ครับ/ค่ะ ผม/ดิฉนั (ชื่อ) แต่ทุกคนเรี ยกผม/ดิฉนั ว่า (ชื่อเล่น) เพื่อนร่ วมงาน : Welcome to the Cooperative Auditing Department. I’m (ชื่อ). You can call me (ชื่อเล่น). กรมตรวจบัญชีสหกรณ์ยนิ ดีตอ้ นรับ ผม/ดิฉนั (ชื่อ) คุณเรี ยกผม/ดิฉนั ว่า(ชื่อเล่น) ก็ ได้ เลขา : What do you do? คุณทําหน้าที่อะไรครับ/คะ เพื่อนร่ วมงาน : I’m a Cooperative Auditor. I’ll show you around and introduce you to a few people ดิฉนั เป็ นนักวิชาการตรวจสอบบัญชี ผม/ดิฉนั จะพาคุณเดินในสํานักงาน และแนะนํา ให้คุณรู ้จกั กับเจ้าหน้าที่ ในสํานักงานนะครับ/นะคะ เลขา : Thank you. หน่ วยการเรียนรู้ ที่ 8 how much are they? how much ใช้ถามปริ มาณของคํานามที่นบั ไม่ได้ How much + คํานามที่นบั ไม่ได้ +……………………..? เช่น How much sugar do you want?

How much milk is there in the bottle?

How much money do you have?

** นอกจากถามปริ มาณแล้ว How much ยังถามราคาได้อีกด้วยค่ะ โดยใช้โครงสร้างประโยคต่อไปนี้ค่ะ How much is/are +…………….?

How much does/do …………..cost? เช่น How much is it?

How much are these shoes?

How much does this shirt cost คําศัพท์ How much,fifteen money,sugar,twenty five,thirty , fourty,sixty,seventy,eighty,ninrty,one hundred สรุ ป คําศัพท์ที่ใช้ในรู ปพหูพจน์เสมอคือ grape พหูพจน์ของ mango คือ mangoes คําบอกปริ มาน A carton of milk,apple juice นามนับไม่ได้ A can of soda,coke นามนับไม่ได้ A piece of chicken meat นามนับได้ Listen and say A : after school boys and girls go to school canteen deer are hungry B: hello can I help with you A: yes may i have a bowl of noodles how much is it.

B: 20 baht please A: here's the money B: here's your Change.

A: thank you B: hello Little girl what about you?

A: May I have and Ice cream cone.

B: here are you 10 baht please.

A: OK here's the money.

B: thank you

ชั้นประถมศึกษาปี ที่5 Unit 1 โครงสร้ างประโยค (stuructrese) “

There is some (ham)

“

There isn't any (pork)

“

There are some (pies)

“

There aren't any (papayas)

“

It there any (mike)

“

Yes there is.

“

No there isn't.

“

Are there any (cookies)

“

Yes, there are

“

No, there aren't

“

How much (ham ) is there?

“

There is lot of / a little (ham)

“

How many (bananas) are there?

“

There are a lot of / a few (bananas)

“

Is there any (milk)?

“

Yes , there is

“

No, there isn't

“

There is some (ham)

“

There isn't any (pork)

“

There are some (pies)

“

There aren't any (papayas)

คําศัพท์ (vocabularies) Ham Honey Bacon Chicken Pork Butte Juice Yogurt Lemonade A pie French fries A chilli A lemon A tomato A cowpea A cookie A pancake A sausage

SUMMARY สรุ ปคําศัพท์และไวยากรณ์ Word bank Ham Honey Bacon Chicken Pork Butter Juice Yogurt Lemonade A pie French fries A chilli lemon A tomato A cowpea A cookie A pancake A sausage Say words Pie die eye lie Lemon fence nephew Cookie hook push look Grammar การใช้ This, That, These, Those Posted on November 16, 2014 by minism3 This, That / These, Those เป็ นศัพท์ที่ใช้ในการบอกตําแหน่งใกล้-ไกลของสิ่ งของต่างๆ แบ่งออกเป็ น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เป็ นเอกพจน์ (Singular) กับกลุ่มที่เป็ นพหู พจน์ (Plural) ดังนี้ This That These Those กลุ่มที่เป็ นเอกพจน์ (Singular) คือ This และ That [this/that ⇒ เอกพจน์] This แปลว่า นี่ ใช้ในการพูดถึงสี่ งที่เป็ นเอกพจน์ที่อยูใ่ กล้หรื ออยูท่ ี่ตวั ผูพ้ ูด เช่น This is my younger sister, Jane. นี่คือเจน น้องสาวของฉัน This cat is mine. แมวตัวนี้ เป็ นของฉัน This guy isn’t very tall. ผูช้ ายคนนี้ไม่ค่อยสู งเท่าไหร่ นกั Don’t worry, this is not your fault. อย่ากังวลไปเลย นี่ไม่ใช่ความผิดของคุณ Do you know how to use this washing machine? คุณรู ้วิธีการใช้เครื่ องซักผ้าเครื่ องนี้ไหม?

Is this your new car? นี่ใช่รถคันใหม่ของคุณหรื อเปล่า?

That แปลว่า นัน่ ใช้ในการพูดถึงสี่ งที่เป็ นเอกพจน์ที่อยูไ่ กลตัวผูพ้ ูด เช่น That is Tom’s house. นัน่ คือบ้านของทอม I like that new song. ฉันชอบเพลงใหม่เพลงนั้น That’s not true. นัน่ มันไม่เป็ นความจริ งเลย I don’t like that man. ฉันไม่ชอบผูช้ ายคนนั้นเลย Is that a new teacher? นัน่ คือคุณครู คนใหม่หรื อเปล่า?

Who’s that? นัน่ ใครน่ะ?

กลุ่มที่เป็ นพหู พจน์ (Plural) คือ These และ Those [these/those ⇒ พหูพจน์] These แปลว่า เหล่านี้, พวกนี้ ใช้ในการพูดถึงสี่ งที่เป็ นพหู พจน์ที่อยูใ่ กล้หรื ออยูท่ ี่ตวั ผูพ้ ูด เช่น These bags are very expensive. กระเป่ าเหล่านี้มีราคาแพงมากๆเลย These cookies are already expired. คุกกี้พวกนี้หมดอายุแล้ว These dogs don’t like to sleep. หมาพวกนี้ไม่ชอบนอน These aren’t my books. หนังสื อพวกนี้ไม่ใช่ของฉัน Do you know who are these women? คุณรู ้จกั ผูห้ ญิงเหล่านี้ไหม?

Whose pens are these? ปากกาเหล่านี้เป็ นของใคร Those แปลว่า เหล่านั้น, พวกนั้น ใช้ในการพูดถึงสี่ งที่เป็ นพหู พจน์ที่อยูไ่ กลตัวผูพ้ ูด เช่น Those kids are very cute. เด็กพวกนั้นน่ารัก Those watches are made in Italy. นาฬิกาพวกนั้นถูกผลิตขึ้นในประเทศอิตาลี Those employees won’t attend the conference tomorrow. ลูกจ้างพวกนั้นจะไม่เข้าร่ วมประชุมวันพร่ ิุงนี้ I’m not looking for those kind of things. ฉันไม่ได้มองหาสิ่ งเหล่านั้นอยู่ Where are those men going? ผูช้ ายเหล่านั้นกําลังจะไปไหน?

When will those students arrive? เด็กนักเรี ยนพวกนั้นจะมาถึงตอน ไหน?

Unit2 โครงสร้างประโยค (stuructrese) Who is (shorter,( alex ore mike) (Mike) is (shorter) The plane is fastest Lisa is shorter than dad Which is more (useful) , (a dictionary) or (a talking dictionary)?

(A talking dictionary) is more useful) Which is the most (expensive) (a bike ,a car or plane)?

(A plane is the most (expensive) คําศัพท์ (vocabularies) A playground A sandpit A see-saw A swing A sand castle A hotel A ferris wheel Enjoy Useful

Exciting Fun Different New Cheap Old Expensive Best Beautiful Delicious High Fast Slow Large Near Far A dictionary A talking dictionary A camera A price SUMMARY สรุ ปคําศัพท์และไวยากรณ์ Word bank A playground A sandpit A see-saw A swing A sand castle A hotel A ferris wheel Enjoy Useful Exciting Fun Different New Cheap Expensive Best Beautiful Delicious High Fast SlowLarge Near Far dictionary talking dictionary A camera A price Say the words Fast west test Near hear tear Cheap chin chop Grammar คุณศัพท์ข้ นั กว่า (Comparative) คืออะไร ขั้นกว่าคือ การเปรี ยบเทียบสิ่ งสองสิ่ ง ว่าสิ่ งไหน สู ง ตํ่า สั้น ยาว เล็ก ใหญ่…..กว่ากัน เช่น A cat is bigger than a mouse. แมว ใหญ่กว่า หนู A man is taller than a woman. ผูช้ าย สู งกว่า ผูห้ ญิง This car is more expensive than that car. รถยนต์คนั นี้ แพงกว่า คันนั้น The water in this pot is hotter than water in that pot. นํ้าในหม้อใบนี้ ร้อนกว่า นํ้าในหม้อใบนั้น สังเกตได้วา่ คําว่า กว่า ในภาษาอังกฤษคือการเติม -er than หรื อบางที ใช้ more ” than เอ๊ะยังไงกัน เดี๋ยว อธิ บายให้ฟังด้านล่างนะครับ คําคุณศัพท์ข้ นั ที่สุด (Superlative) คืออะไร ขั้นที่สุด หรื อสู งสุ ด คือ การเปรี ยบเทียบตั้งแต่สามขึ้นไป แล้วปรากฏว่า มีสิ่งหนึ่งที่ สู ง ตํ่า สั้น ยาว เล็ก ใหญ่….กว่าเพื่อนเลย เช่น A cat is the biggest animal in this room. แมวเป็ นสัตว์ที่ใหญ่ที่สุดในห้องนี้ (ออกจากห้องนี้แล้วคงไม่ใช่) Somchai is the tallest man in class. สมชายตัวสู งที่สุดให้หอ้ ง (เฉพาะห้องนี้ นะครับ) This is the most expensive car in Thailand. นี่คือรถยนต์ ที่แพงที่สุดในไทย สังเกตได้วา่ คําว่า ที่สุด เป็ นการเติม -est หรื อ the most ” ทําไมเป็ นเช่นนั้น มันมีกฎเกณฑ์การใช้อยูค่ รับ สรุ ป การเติมer และ est ท้ายคํา adjective

1เติมพยัญชนะ ซึ่ งเป็ นตัวสะกดซํ้า1ตัว ถ้าคํานั้นเป็ นาระเสี ยงสั้นมีพยางค์เดียว Big ” bigger -bigest Thin ” thinner ”thinest เปลี่ยน y เป็ น I แล้วจึงเติม er หรื อ est Dirty ” dirtier ” dirtiest คํา2พยางค์ หรื อ3 พยางค์ เติมmore , most ข้างหน้า Beautiful more beautiful most beautiful Careful more careful most careful Good และ bad เปลี่ยนรู ปดังนี้ Good better best Bad worse worst Unit3 โครงสร้างประโยค (stuructrese) Could you help me ,please Sure I'm sorry I can't help you now Imperative Save water and electricity Do your homework Turn off the light Imperative negative Don't throw garbage on the ground Don't walk on the grass I/you/they/he/she must eat fruit and vegetable for good health I/you/they/he/she should take expercise at least Three times a week I/you/they/he/she should not play near the pond

คําศัพท์ (vocabularies) Get burned Get a shock Fall dow Turn off Meet Pick Tease Throw A knife A light An outlet Electricity Garbage Grass The ground A lift A place Careful Public property Save Take care Must Should Need Youself People A stranger SUMMARY สรุ ปคําศัพท์และไวยากรณ์ Word bank Get burned Get a shock Fall down Turn off Follow Meet Pick Tease Throw A knife A light An outlet Electricity Garbage Grass The ground A liftA place Careful Public property Save Take care Must Should Need Youself People A stranger Say the words Save wave shave Thorow throat theme Need seat heat Grammar คําสั่ง-คําขอร้องและคําขออนุญาต (Orders and Requests) คําสั่ง-คําขอร้องและคําขออนุญาต (Orders and Requests) 1. ประโยคคําสัง่ 1. ประโยคคําสั่งนิยมใช้กบั ผูท้ ี่เด็กกว่า หรื อผูท้ ี่อยูใ่ ต้บงั คับบัญชา และแสดงได้โดยการใช้คาํ กริ ยาแท้ (Main Verb) ขึ้นต้นประโยค เช่น (1) Come here! (คัม เฮียร์ ) มานี่ซิ (2) Go away! (โก อเวย์) ออกไป (3) Shut the door! (ชัท เธอะ ดอร์ ) ปิ ดประตูซะ 2. อนึ่งถ้าคําต้นเป็ นคําคุณศัพท์ (Adjective) ให้เติม Be ข้างหน้าคํานั้น เช่น (4) Be careful. (บี แคร์ฟุล) ระวังนะ (5) Be quiet. (บี ไควเอ็ท)

เงียบหน่อย 3. ในกรณี ที่ตอ้ งการสัง่ คนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะก็ให้ระบุชื่อผูน้ ้ นั ไว้ที่ตน้ ประโยค หรื อท้ายประโยคก็ได้ เช่น Vichai, carry this luggage to my room. (วิชยั แคริ ธิ ส ลักกิจ ทู มาย รู ม) วิชยั เอาประเป๋ านี้ไปไว้ที่ห้องผมด้วย 4. ถ้าต้องการสัง่ ห้าม ให้เติม Don’t ไว้ขา้ งหน้าคํากริ ยาแท้ เช่น (1) Don’t go there. (โด้นท โก แธร์) อย่าไปที่นนั่ (2) Don’t talk too much. (โด้นท ทอค ทู มัช) อย่าพูดมากไปเลย สรุ ป Exclamation mark ใช้เมือจบข้อความที่แสดงความประหลาดใจ ตื่นเต้น พอใจ ตกใจ หรื อ หลังคําทักทาย รวมทั้งในการเน้นความสําคัญ การกล่าวอย่างหนักแน่น ตัวอย่าง very strange! แปลกมาก Help help! ช่วยด้วยๆ!

Unit4 โครงสร้างประโยค (stuructrese) I/you/we/they. (Adv.of frequency). (Play badminton) He/she +(adv. of frequency) (plays badminton) Do you/they (play tennis) Yes,I/they + (adv of frequency) (play tennis) No , I/they never (play tennis) Does he / she (play tennis) Yes, he/she + (adv of frequency) (play tennis) No , He/she never (play tennis) How often do you /they (go swimming) I/they (go swimming)(once a day)

How often do he/she (go swimming) He/she (go swimming)(once a day) คําศัพท์ (vocabularies) Times Usually Always Often Never Onc Twice Go bike riding Go jogging Ride a horse Practice the pianon Fierce Exciting Dangerous kFresh A amusement park A roller coaster Hope Sugar cane A sports center A snack Weekend SUMMARY สรุ ปคําศัพท์และไวยากรณ์ Word bank Times Usually Always Often Never Once Twice Go bike riding Go jogging Ride a horse Practice the piano Fierce Exciting Grammar Always, often, sometimes, never กริ ยาวิเศษณ์ บอกความถี่(ความบ่อย) ตารางแสดงความถี่ จากถี่ที่สุด ไปยังถี่นอ้ ยที่สุดคร้าบ ความถี่ กริ ยาวิเศษณ์

ประโยคตัวอย่าง

100% always ทุกวัน / เสมอ

I always have breakfast at 7a.m.

ฉันกินอาหารเช้าเวลา 7 นาฬิกา ทุกวัน 90%

usually เกือบทุกวัน / มักจะ.(กริ ยา)..

I usually go to school by car.

ฉันมักจะ ไปโรงเรี ยนด้วยรถยนต์ 80%

normally / generally โดยส่ วนมาก / โดยปกติ

I normally have lunch at the canteen.

โดยส่ วนมากฉันกินอาหารเที่ยงที่โรงอาหาร 70%

often* / frequently บ่อย I often read comments in Facebook.

ฉันอ่านคอมเม้นต์บนเฟสบุค๊ บ่อย 50%

sometimes บ้าง / บางครั้ง / บางที I sometimes get up late.

บางทีฉนั ก็ตื่นสาย 30%

occasionally นาน ๆ ที / ทุกครั้งที่มีโอกาส (กริ ยา) I occasionally go to the park.

ฉันไปสวนสาธารณะทุกครั้งที่มีโอกาส 10%

seldom / rarely ไม่ค่อยจะ / นาน ๆ จะ

I seldom read comics.

ฉันไม่ค่อยจะอ่านการ์ ตูน 5%

hardly ever แทบจะไม่ / น้อยมากที่จะ

I hardly ever iron my clothes.

ฉันแทบจะไม่รีดผ้า 0%

never ไม่เคย ..(กริ ยา)..เลย

I never talk to strangers.

ฉันไม่เคยคุยกับคนแปลกหน้าเลย * คําว่า often สามารถออกเสี ยงว่า อ๊อฟเฟ่ น หรื อ อ๊อฟเท่น ก็ได้นะจ๊ะ ที่นกั เรี ยนต้องสร้างความคุน้ เคยคือ ตําแหน่งที่คาํ เหล่านี้ อยูใ่ น ประโยค สังเกตประโยคแรกซึ่ งเป็ นประโยคบอกเล่า สิ ครับ I sometimes brush my dog's hair. คําว่า sometimes อยูห่ ลัง ประธาน เราเห็นเหมือนกันใช่ไหมครับ ช่วยตอบหน่อยสิ ครับว่า ในประโยคบอกเล่า คําว่า sometimesอยูท่ ี่ตาํ แหน่งไหน อยูห่ ลังประธาน ใข่ไหมครับ แต่จริ ง ๆ แล้วในประโยคบอกเล่า อย่าจําว่าอยูห่ ลังประธานหรื อหน้ากริ ยานะ ครับ ครู จะแจกแจงเป็ น 3 แบบ ให้เห็น ดังนี้ แบบที่ 1 อยูห่ ลังประธาน และอยูห่ น้า verb แท้ ทุกครั้ง ในกรณี ที่มีแต่ verb แท้ ( verb แท้ เช่น eat, draw, sing, come, write เป็ นต้น) ประโยคจะต้องเป็ น simple อาจจะเป็ น past, present หรื อ future simple เท่านั้นนะครับ เช่น We always stayed at home after six p.m. พวกเราอยูท่ ี่บา้ นหลัง 6 โมงเย็นเสมอ (พูดถึงอดีต ซึ่งทําไปแล้ว) We always wait for our mother in front of the school. พวกเรารอแม่อยูท่ ี่หน้าโรงเรี ยนเสมอ (พูดถึงปั จจุบนั ซึ่ งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง) We will always miss the food you cooked. พวกเราจะคิดถึงอาหารที่เธอเคยทําเสมอ (พูดถึงอนาคต ซึ่ งคาดว่าจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่ อง) สรุ ปสั้น ๆ ว่า อยูห่ น้า verb แท้ จร้า แบบที่ 2 อยูห่ ลัง กริ ยา be ทุกครั้ง ( กริ ยา be เช่น is, am, are, was, were, will be, shall be เป็ นต้น) ลักษณะประโยค อดีต ปั จจุบนั อนาคต เหมือนแบบที่ 1 แต่เป็ นกริ ยา be เช่น We are always busy in the morning. พวกเรายุง่ เสมอในช่วงตอนเช้า (พูดถึงสิ่ งที่เกิดในปั จจุบนั คือ ยุง่ ) สรุ ป Onec a day 1ครั้ง/วัน

Twice a week 2ครั้ง/สัปดาห์ Three times a month 3ครั้ง/เดือน Four time a year 4ครั้ง/ปี Unit5 โครงสร้างประโยค (stuructrese) What is the matter with you I have (a cold) What is the matter with him/her He/she has (a toothache) What was the matter With you / them yesterday?

I/they had (a headache) What was the matter with her/him yesterday She/he had (a cough) Why did you / they (get a fever) Because I/they (walk in the rain) Why did he/she (get a cold) Because he/she (get a wet) คําศัพท์ (vocabularies) A menu Roast beef Corn soap French fries Seafood. Solad Soft shell crab A steak A letter A stomachache A toothache A headache An earache A fever A cough A cold A sore throat A backache A clinic Medicine Grammar ประโยคคําถาม what is the metterwith you/him/her ประโยคคําตอบ I have a fever หลักการใช้ was were คําว่า was, were คือ ช่องที่ 2 ของ verb to be (is, am, are) จะว่าไปแล้วก็คือการแปลงร่ างครับ เป็ นสิ่ งที่สร้าง ความปวดหัวให้กบั นักเรี ยน was อ่านว่า เวิส มาจาก is,am were อ่านว่า เวอ มาจาก are ทั้งสองคํานี้หนา แปลว่า เป็ น อยู่ คือ แต่ เป็ นเรื่ องราวในอดีต ไม่เกี่ยวกับปั จจุบนั

*** ข้อควรจํา I ใช้ was ซึ่งเป็ น Tense เดียวที่ใช้กริ ยาร่ วมกับประธานเอกพจน์ นอกนั้นใช้กบั ประธาน พหูพจน์ครับ จําไว้ให้ดีเชียว การย่อรู ป was not เวิส น็อท >> wasn’t วอสเซิ นท แปลว่า ไม่ were not เวอ น็อท >> weren’t เวินท แปลว่า ไม่ เนื่องจากว่ามันเป็ นช่องที่ 2 ของ is am are ดังนั้นหลักการใช้ก็จะเหมือนกันทุกประการ ต่างกันแค่ใช้เล่า เรื่ องราวในอดีต แค่น้ นั เอง เช่น I am a doctor. ผมเป็ นหมอ (ไปที่โรงพยาบาลก็เจอผมเลย ผมทํางานที่นนั่ ) I was a doctor. ผม (เคย) เป็ นหมอ (ตอนนี้ไม่ได้เป็ นแล้ว) The weather is fine today. วันนี้อากาศดี (ท้องฟ้าแจ่มใส น่าออกไปเที่ยว) The weather was fine yesterday. เมื่อวานอากาศดี (แสดงว่าวันนี้ อากาศครึ้ มทั้งวัน) We are at school. เราอยูท่ ี่โรงเรี ยน (กําลังเรี ยนอยู่ โรงเรี ยนยังไม่เลิก) We were at school yesterday. เมื่อวานพวกเราอยูท่ ี่โรงเรี ยน (เมื่อวานวันศุกร์ ไง วันนี้วนั เสาร์ ไม่ตอ้ งไป เรี ยน) Was, Were ใน Tense ต่างๆ 1. Past Simple Tense was, were แปลว่า เป็ น อยู่ คือ (ประธาน+ was,were + นาม) I was a student. ผม (เคย) เป็ นนักเรี ยน (student = นาม) We were teachers. . พวกเราเคยเป็ นครู (teachers = นาม) แต่บางครั้ง was, were ไม่ตอ้ งแปล (ประธาน+ was, were, + คุณศัพท์) I was fine. ผม(เคย)สบายดี (fine = คุณศัพท์) She was short. หล่อน (เคย)เตี้ย ( short= คุณศัพท์) They were smart. พวกเขา(เคย)เทห์ ( smart=คุณศัพท์) สรุ ป ปัจจุบนั

อดีต

Am

was

Is

was

Are

were

Do

did

Does

did

Has

had

Have

had

Unit6 โครงสร้างประโยค (stuructrese) When is (songkran day) It is in (april) It is on (april 13th) What is date today It is (friday october 1 st) What was the date yesterday It was (thursday september 30th) What do you do on (monday) I (clean up my room) What did you do yesterday?

I (splashed water) What will you do tomrrow?

I will (go to the beach) Did he/she (let the fly away) Yes ,he/she did Did they (let the birds fly away) Yes,they did No,they didn't คําศัพท์ (vocabularies) A homestay A garland A jasmine A host family Monks A pagoda A date Scented water Carry Try Spend Buddha image Splash Enjoy Pour Hope Homesick Fly away Pay respect A relative A blessing SUMMARY สรุ ปคําศัพท์และไวยากรณ์

Word bank Say the words Garland shop hard Monk luck bug Date late mate When (เมื่อ) ใช้เป็ นคําเชื่อม You sat it best when you say nothing at all. คุณ พูด ได้ดีที่สุด เมื่อ คุณ ไม่พูดอะไร เลย The sky is beautiful when the sun goes down. ท้องฟ้า สวย เมื่อ พระอาทิตย์ ตก Sing when you’re ready. ร้องเพลง เมื่อ เธอ พร้อม He arrived when we were sleeping. เขา มาถึง เมื่อ เรา กําลังนอนหลับ We lived in Japan when we were young. เรา อาศัยอยู่ ใน ญี่ปุ่น เมื่อ เรา เป็ น เด็ก We feel cool when the wind blows. เรารู ้สึก เย็น เมื่อ ลม พัด When (เมื่อไหร่ ) ใช้เป็ นคําถาม When do the Olympic Games start? กีฬา โอลิมปิ ก เริ่ ม เมื่อไหร่ When were you born? คุณ เกิด เมื่อไหร่ When will you come back to Thailand? คุณ จะ กลับ ไทย เมื่อไหร่ When will I see you again! ผม จะ พบ คุณ อีกครั้ง เมื่อไหร่ When will you visit your aunt in America? คุณ จะ ไปเยีย่ ม ป้ า ใน อเมริ กา เมื่อไหร่ When will you go to England? คุณ จะ ไป อังกฤษ เมื่อไหร่ When did it happen? มัน เกิดขึ้น เมื่อไหร่ When is your birthday? วันเกิด ของคุณ เมื่อไหร่ When does the school start? โรงเรี ยน เปิ ด เมื่อไหร่ When will I find my love? ฉัน จะ พบ รัก ของฉัน เมื่อไหร่ When will you love me? คุณ จะ รัก ฉัน เมื่อไหร่ สรุ ป When= เมือไหร่ วิธีใช้ นําหน้าประโยคคําถาม เชื่อม2ประโยค

Unit7 โครงสร้างประโยค (stuructrese) Where is he/she now He/she is (in bangkok) Where are you /they now?

I am (in bangkok) They are(in bangkok) Where was he /she last week He / she was (in london) last week Where you/they last week I was ( in london) last week They were (in london) last week Was he / she (in bangkok today) Yes,he/she was No,he/she wasn't Where you/they(in bangkok today) Yes ,i was Yea,they were No,I wasn't No,they weren't Where did he/she/you/they go?

He/she/I/they went (to london) Howdid he/she/they you get there?

He/she/they I (flew in a plane) What did he/she /they/you see?

He /she /they /I saw (big ben) คําศัพท์ (vocabularies) A postcard A meter Giant The world A wax museum A statue A coach A wheel A subway A tourist

Ancient building Observation หลักการใช้ หลักการใช้ Future Simple Tenseใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคต หรื อถ้าพูดง่ายๆคือ จะทําอย่าง โน้น อย่างนี้ ในวันข้างหน้า ซึ่ งโดยปกติจะมีคาํ บ่งบอกอนาคตเหล่านี้อยูด่ ว้ ย tonight ทุไนท คืนนี้ tomorrow ทุมอโร พรุ่ งนี้ next (เน็กซ์ = ถัดไป) +เวลา, วัน, สัปดาห์, เดือน, ปี , ฤดูกาล หรื อ อื่นๆ…. ” next hour เน็กซ์เอาเวอะ ชัว่ โมงถัดไป ” next Monday, next Tuesday, next Wednesday….. ” next week เน็กซ์วคี สัปดาห์ถดั ไป ” next month เน็กซ์มนั ธ เดือนถัดไป ” next spring, next summer, next fall, next winter / next hot season, next rainy season, next hot season ” next year เน็กซ์เยีย ปี ถัดไป เนื่องจากว่าเป็ นการคิดหรื อคาดการณ์ จึงมีคาํ เหล่านี้ อยูด่ ว้ ย probably อาจจะ think คิดว่า sure มัน่ ใจ know รู ้วา่ หลักภาษาดั้งเดิม I กับ We ใช้ shall ที่เหลือใช้ will แต่ในปั จจุบนั นี้ นิยมใช้ will แทน shall ดังนั้น ตัวอย่าง ในที่น้ ีประธานทุกตัวจะใช้ will ทั้งหมด ส่ วนหลักการใช้ will กับ shall จะมีอีกบทเรี ยนหนึ่งครับ ประโยคบอกเล่า She will probably leave next month. หล่อนอาจจะไปเดือนหน้า I think you will win this game. ผมคิดว่า คุณจะชนะเกมนี้ I’m sure he will go with us. ผมมัน่ ใจว่าเขาจะไปกับเรา I don’t know when she will come back.

I will go to school tomorrow. ฉันจะไปโรงเรี ยนพรุ่ งนี้ You will eat papaya salad tonight. คุณจะกินส้มตําคืนนี้ He will clean the car next week. เขาจะล้างรถสัปดาห์หน้า

She will buy a bike next month. หล่อนจะซื้ อจักรยานเดือนหน้า It will snow next season. หิมะจะตกฤดูกาลหน้า We will fly to London next Monday. เราจะบินไปลอนดอนวันจันทร์หน้า They will teach English next semester.พวกเขาจะสอนภาษาอังกฤษเทอมหน้า คําบ่งบอกอนาคต จะมีหรื อไม่ก็ได้ เพราะเหตุการณ์เป็ นเรื่ องอนาคตอยูแ่ ล้ว เช่น I will send this letter to Jane. ฉันจะส่ งจดหมายไปหาเจน I will call you when I arrive. ฉันจะโทรหาคุณเมื่อฉันมาถึง สรุ ป Time expressions Yesterday Last week Last Sunday Two days ago Last month Last year

Unit 8 โครงสร้างประโยค (stuructrese) Are you going to want TV or play badminton I am going to play badminton What will he /she/you/they do next summur He/she/I/they will (go to france) Will he/she/you/they (go to the sea) Yes, he/she/I/they will No,he/she/I/they will What is he/she going to do He/she is going to do

What are you/they going to do?

I am going to (clean up the room They are going to (walk the dog) Yes ,he /she is No,he /she isn't Is (lucy) going to wash the dishes or mop the floor?

She is going to mop the floor Are you/they going to (take out garbage) Yes ,i am No,i am not Yes,they are No ,they aren't คําศัพท์ (vocabularies) Upcountry A plan A market French A proparam A cooking course A horror film A tv guide A channel Exciting Terribly A canal Catch Stay Sell Clean up Wash Sweep Mop Take out garbage Walk the dog Grammar หลักการใช้ หลักการใช้ Future Simple Tenseใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดในอนาคต หรื อถ้าพูดง่ายๆคือ จะทําอย่าง โน้น อย่างนี้ ในวันข้างหน้า ซึ่ งโดยปกติจะมีคาํ บ่งบอกอนาคตเหล่านี้อยูด่ ว้ ย tonight ทุไนท คืนนี้ next (เน็กซ์ = ถัดไป) +เวลา, วัน, สัปดาห์, เดือน, ปี , ฤดูกาล หรื อ อื่นๆ…. ” next hour เน็กซ์เอาเวอะ ชัว่ โมงถัดไป ” next Monday, next Tuesday, next Wednesday….. ” next week เน็กซ์วคี สัปดาห์ถดั ไป ” next month เน็กซ์มนั ธ เดือนถัดไป ” next spring, next summer, next fall, next winter / next hot season, next rainy season, next hot season ” next year เน็กซ์เยีย ปี ถัดไป

เนื่องจากว่าเป็ นการคิดหรื อคาดการณ์ จึงมีคาํ เหล่านี้ อยูด่ ว้ ย probably อาจจะ think คิดว่า sure มัน่ ใจ expect คาดว่า know รู ้วา่ หลักภาษาดั้งเดิม I กับ We ใช้ shall ที่เหลือใช้ will แต่ในปั จจุบนั นี้ นิยมใช้ will แทน shall ดังนั้น ตัวอย่าง ในที่น้ ีประธานทุกตัวจะใช้ will ทั้งหมด ส่ วนหลักการใช้ will กับ shall จะมีอีกบทเรี ยนหนึ่งครับ ประโยคบอกเล่า She will probably leave next month. หล่อนอาจจะไปเดือนหน้า I think you will win this game. ผมคิดว่า คุณจะชนะเกมนี้ I’m sure he will go with us. ผมมัน่ ใจว่าเขาจะไปกับเรา I don’t know when she will come back.

I will go to school tomorrow. ฉันจะไปโรงเรี ยนพรุ่ งนี้ You will eat papaya salad tonight. คุณจะกินส้มตําคืนนี้ He will clean the car next week. เขาจะล้างรถสัปดาห์หน้า She will buy a bike next month. หล่อนจะซื้ อจักรยานเดือนหน้า It will snow next season. หิมะจะตกฤดูกาลหน้า We will fly to London next Monday. เราจะบินไปลอนดอนวันจันทร์หน้า They will teach English next semester.พวกเขาจะสอนภาษาอังกฤษเทอมหน้า คําบ่งบอกอนาคต จะมีหรื อไม่ก็ได้ เพราะเหตุการณ์เป็ นเรื่ องอนาคตอยูแ่ ล้ว เช่น I will send this letter to Jane. ฉันจะส่ งจดหมายไปหาเจน สรุ ป Short form won’t Long form will not

ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6nl บทที่ 1 โครงสร้างประโยค Goog morning/Good afternoon/Good evenning, (tom) Hello. I'm (ชื่อ) What's your name?

My mame is (ชื่อ) I'm (ชื่อ) How are you I'm fine.Thanks.

Goodbye.

This is (ชื่อ) Bye. Nice to meet you. Nice to meet you.too. คําศัพท์ (vocabularies) Hi,hello,name,meet,nice,my,yous FIRST TRY นําเข้าสู่ บทเรี ยน Listen and say. ฟังและพูด M.Hi,i'm sam.

G.Hello,i'm jenny.

M.Hello! I am Bill.

What's yous name?

G.i'm sue.

Practice in pairs. จับคู่ฝึกสนทนา M.Hello,i am................what'syour mame?

G.I'm.........

M.Goodbye.

G.Bye. STUY MORE กิจกรรมการเรี ยนรู ้ Listen and repeat. ฟังและพูดตาม M.Hi,i'm jim.

What's your name?

G.my name is Tina. This is bill.

Nice to meet you.

M.Nice to meet you, Too. Practce in groups of three. ฝึ กสนทนาเป็ นกลุ่ม กลุ่มละ สามคน Choose your friends' names. Ask and answer. แสดง บทบาทสมมุติการแนะนําเพื่อนใหม่ให้เพื่อนรู ้จกั โดยฝึ ก ถามและตอบเป็ นกลุ่ม G.Hi, i'm......what's your name?

M.my name is..........

This is..........

Nice to meet you.

G.Nice to meet you. Too. Read and practice in pairs. ให้นกั เรี ยนอ่านแล้วจับคู่ฝึกสนทนา Good mornong.

Good aftemoon.

Good evening.

Tom. How are you?

I'm fine. Thanks.

LET'READ อ่านคล่อง

can you read? ฟังและอ่านตาม M.Hello,i am bill.

What's your name?

G.my name is tina.

And this is Anna.

M.Nice to meet you.

G.nice to meet you.Too. บทที่ 2 แผนผังสาระการเรี ยนรู ้ (concept map) โครงสร้างประโยค(structures) Is this/that your (mother)? yes.it is Who's hhis/that? it's my (father) This is my.......

Please show me your (mother) This is my (mother) Show me you (dad) คําศัพท์(vocabularies) a family/a grandfather/a grandmother/a father/a father/a mother/a brother/a sister/thit that/who/an album Practice in pairs. จับคู่ฝึกสนทนา M.who's this?

G.it' s my sister. บทที่ 3 แผนผังสาระการเรี ยนรู ้ (concept map) โครงสร้างประโยค (structures) is this/that (an eraser)?

Yes,it is./No,it isn't.

What's this/that?

It's a (book) I don' t know. คําศัพท์ (vocabularies) a classroom/a blackboard/a window/a door/a school/a table/a shool bag/dask/a chair/a pencil case a notebook/a ruler/an eraser/a computer Practice in pairs. จับคู่ฝึกสนทนา G.what's this?

M.it's a ruler G.what's that?

M.it's a blackboard.

STUDY MORE กิจกรรมการเรี ยนรู ้ Listen and say.ฟังและพูด M.What's this?

G.i don't know. is it a pencil?

M.no,it isn't.

M.it's aruler G.is this a school bag?

M.yes,it is.

SUMMARY สรุ ปคําศัพท์และไวยากรณ์ Classroom notebook, ruler, etasey, pencil case, school bag, school, table, blackboard, chair, door, window, desk, computer Put the right things in the school bag.

1.a chair

2.a ruler 3.a table 4.an eraser 5.a computer 6.a notebook 7.a door 8.a penncil casa 9.a book 10.a teacher 11.a window 12.a blackboard 13.a pen 14.a pencil 15.a desk บทที่ 4 โครงสร้างประโยค( structures) How old are you?

I am (eight).

Count the (books).

(Six) books.

Are you (seven)?

No, i'm not. I'm (six) Count the books, please.

How many (bes) are there?

There is (one)(bee).

There are (six)(bees). numbers : zero one two three four five six seven eight ning ten คําศัพท์ : (vocabularies) count, a bug, a flower, a cloud, a butterfiy, a snail, there is/there ore

Listen and say. ฟังและพูด G.Hi, sam.

M.Hello, jennym G.Happy birthday.

M.Thanks.

G.Are you eight?

M.No,i'm not.

G.How old are you?

M.i'm seven.

M.Wow! L.Surprise!

G.come in.

N.This is for you. บทที่ 5 โครงสร้างประโยค (strucftures) My favorite color What color is this/that?

It's (blue).

Whit's your's favorite color? it's (red). is it (green)? คําศัพท์ (vocabularies) Red/blue/pink/yellow/green/purple/orange/color/favorite Colors of the thai flag RED WHITE BLUE WHITE

RED สรุ ป รู ปประโยคคําถามเกี่ยวกับเรื่ องสี มีดงั นี้ -รู ปประโยคคําถามเกี่ยวกับสี ที่ชื่นชอบ คือ -what' s your frvorite color? (สี ที่คุณชื่นชอบคือสี อะไร) -รู ปประโยคคําถามเกี่ยวกับสี คือ What color is this? (นี่/นี้คือสี อะไร)=ใช้ถามถึงสี ของสิ่ งทีอยูใ่ กล้ -What color is that? (นัน่ /นั้นคือสี อะไร)=ใช้ถามถึงสิ่ งของที่อยูไ่ กล -What color is it? (มันคือสี อะไร) การตอบคําถามที่กล่าวมาข้างต้น จะใช้คาํ ตอบที่มีโครงสร้างประโยคแบบเดียวกัน คือ -it ' s (ชื่อสี ). เช่น it's green. (มันคือสี เขียว) บทที่ 6 โครงสร้าง (structures) Where is (the ball)? it's (the table). it's in (the bench).

What pets do you have? i have (a puppy).

Doo you have (a rabbit)? yes, i do.

No, i don' t. คําศัพท์ (vocabulaqries) a rabbit a hamster a puppy a bird a pet have

love Listen and say. ฟังและพูด M.Look.ssue. what's that?

G.les's go and see.

M.is it dog?

G.is it a cat?

M.it's a pupy. Les's take it home.

M.i have a pupy. i love dogs.

Listen and read. ฟังและอ่าน M.tina, do you have bords?

G.No, i don' T. i have a dog.

Practice in pairs. จับคู่ฝึกสนทนา M.sue, do you have pets?

G.yes, i do.

M.what pets do you have?

G.i have a rabbit. สรุ ป -คําว่า pet หมายถึง สัตว์ที่เรานํามาเลี้ยงไว้เป็ นเพื่อน เช่น นก แมว สุ นขั ที่ไม่ใช่สัตว์เลี้ยงเพื่อกินหรื อใช้งาน -คํานามที่ลงท้ายด้วยตัว y และ y อยูห่ ลังพยัญชนะ เมื่อป้ ลื่อนรู ปเป็ นพหู พจน์ จะต้องเปลื่อน y เป็ น ie แล้วจึง เติม s เช่น a puppy-puppies บทที่ 7 Furit โครงสร้างประโยค (structures) What fruit do you like? i like (bananas).

Do you like ( appples)? yes , i do.

No, i don ' t.

i don ' t like (papayas). คําศัพท์ (vocabularies) Like/grapes/an orange/a banana/a papaya/a nango/a coconut/a strawberry/fruit Listen and say. ฟังและพูด M.bill, do you like papayas?

G.No, i don ' t.

M.what fruit do you like?

G.l like strawberries.they are sweet and sour. สรุ ป ชื่อผลไม้ที่ตามหลังกริ ยา like ที่แปลว่าชอบ ต้องเป็ น พหูพจน์เสมอ บทที่ 8 โครงสร้างประโยค (structures) I have chicken for you.

Yeah!

Do you have ketchup?

No, i don ' t. i am sarry. i am hungr/thirsty.

What do you wajnt? i want (rice) and (fish).

Do you want (chicken)?

No, thanks./No i don ' t. คําศัพท์ (vocabularies) Water/Juice/Milk/Chicken/Rice/Bread/Fried fish/Cake/Pizza/Thirsty/Hungry/Breakfast/Lunc/Dinner Listen and say ฟังและพูด M.i ' m hungry and thirsty.

G.what do you want?

M.i want chicken and juice.

G.here you are.

M.thnk you.

G.you're welcome. สรุ ป -รู ปประโยคที่ใช้บอกว่ารู ้สึกหิ วหรื อกระหายนํ้า

บรรณานุกรม

หนังสื อเรี ยน รายวิชาพื้นฐานภาษาไทย หลักภาษาและการใช้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปี ที่1. 2558. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว) หนัง สื อ เรี ย น รายวิช าพื้ นฐานภาษาไทย หลัก ภาษาและการใช้ภาษาไทย ชั้น ประถมศึ ก ษาปี ที่ 2. 2558. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว) หนัง สื อ เรี ย น รายวิช าพื้ นฐานภาษาไทย หลัก ภาษาและการใช้ภาษาไทย ชั้น ประถมศึ ก ษาปี ที่ 3. 2558. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว) หนัง สื อ เรี ย น รายวิช าพื้ นฐานภาษาไทย หลัก ภาษาและการใช้ภาษาไทย ชั้น ประถมศึ ก ษาปี ที่ 4. 2558. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว) หนัง สื อ เรี ย น รายวิช าพื้ นฐานภาษาไทย หลัก ภาษาและการใช้ภาษาไทย ชั้น ประถมศึ ก ษาปี ที่ 5. 2554. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว) หนัง สื อ เรี ย น รายวิช าพื้ นฐานภาษาไทย หลัก ภาษาและการใช้ภาษาไทย ชั้น ประถมศึ ก ษาปี ที่ 6. 2558. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว) หนังสื อเรี ยน รายวิชาพื้นฐานภาษาไทย วรรณกรรมและวรรณคดี ชั้นประถมศึกษาปี ที่4. 2554. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว) หนังสื อเรี ยน รายวิชาพื้นฐานภาษาไทย วรรณกรรมและวรรณคดี ชั้นประถมศึกษาปี ที่5. 2554. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว) หนังสื อเรี ยน รายวิชาพื้นฐานภาษาไทย วรรณกรรมและวรรณคดี ชั้นประถมศึกษาปี ที่6. 2554. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว) หนังสื อเรี ยน รายวิชาพื้นฐานภาษาไทย วรรณกรรมและวรรณคดี ชั้นประถมศึกษาปี ที่6. 2554. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว) หนังสื อเรี ยนกลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์ ช้ นั ประถมศึกษาปี ที่1. (พว) ดวงเดือน อ่อนน่วม.การสอนซ่อมเสริ มคณิ ตศาสตร์.กรุ งเทพฯ:จุฬามหาวิทยาลัย,2533 หนังสื อเรี ยนออนไลน์กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 1 (วพ) หนังสื อเรี ยนกลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 (สสวท) แผนการสอนออนไลน์กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 2 (วพ) หนังสื อเรี ยนกลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 3 (สสวท)

แผนการสอนออนไลน์กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 3 (วพ) หนังสื อเรี ยนกลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 (สสวท) แผนการสอนออนไลน์กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 4 (วพ) หนังสื อเรี ยนกลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 (สสวท) แผนการสอนออนไลน์กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 5 (วพ) หนังสื อเรี ยนกลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6 (พว) แผนการสอนออนไลน์กลุ่มสาระการเรี ยนรู ้คณิ ตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปี ที่ 6 (วพ) หนังสื อเรี ยน รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปี ที่1. 2558. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว) หนังสื อเรี ยน รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปี ที่2. 2554. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว) หนังสื อเรี ยน รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปี ที่3. 2554. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว) หนังสื อเรี ยน รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปี ที่4. 2558. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว) หนังสื อเรี ยน รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปี ที่5. 2558. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว) หนังสื อเรี ยน รายวิชาสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ชั้นประถมศึกษาปี ที่6. 2554. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว) หนังสื อเรี ยน รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปี ที่1. 2558. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว) หนังสื อเรี ยน รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปี ที่2. 2554. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว) หนังสื อเรี ยน รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปี ที่3. 2554. กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว) หนังสื อเรี ยน รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปี ที่4. 2558. กรุ งเทพฯ : องค์กรการค้าของ สกสค. หนังสื อเรี ยน รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปี ที่5. 2558. กรุ งเทพฯ : องค์กรการค้าของ สกสค. หนังสื อเรี ยน รายวิชาวิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปี ที่6. 2558. กรุ งเทพฯ : องค์กรการค้าของ สกสค.

หนังสื อเรี ยน รายวิชาภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปี ที่1. 2558. (พว) หนังสื อเรี ยน รายวิชาภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปี ที่2. 2554. (พว) หนังสื อเรี ยน รายวิชาภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปี ที่3. 2554. (พว) หนังสื อเรี ยน รายวิชาภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปี ที่4. 2554. (พว) หนังสื อเรี ยน รายวิชาภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปี ที่5. 2554. (พว) หนังสื อเรี ยน รายวิชาภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปี ที่6. 2554. (พว)

กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ กรุ งเทพฯ : บริ ษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ