وقالوا سمعنا وأَطعنا غفرانك ربنا وإِليك المصير
8
สมิ อ ฺ น าวะ อะตออฺนา
ปี ที่ 3 เล่ ม ที่
+Jerusalem เล่ ม นี้ แ ถมฟรี Timeline
.
ป.ล.เล่มนี ้มีแต่เนื ้อๆ ไม่มีน ้าหน่อ
บรรณาธิการกระชับพื้นที่ ไม่นานมานี่ ได้ ดูรายการทีวีของอินโดเนเซีย (ชื่อ Minta tolong) ทีมงานจะสืบค้ นหา คนลาบากยากจนในหมูบ่ ้ านต่างๆเพื่อยื่นความช่วยเหลือ โดยมีบทที่ทีมงานสร้ างขึ ้นมา ให้ คนๆ นันเล่ ้ นตามโดยไม่ได้ ตงั ้ ใจ ทีมงานได้ พบเจอแม่ค้าขายข้ าวต้ มคนหนึ่ง เธอใช้ มืออุ้มลูก(มีผ้า บางๆยึดที่ตวั แม่)ข้ างหนึง่ และทาข้ าวต้ มให้ ลกู ค้ าข้ างหนึง่ ร้ านเล็กๆของเธอในสลัมไม่ค่อยมีคน เดินผ่านมากมายนัก แต่ทีมงานได้ จดั ให้ ป้าคนหนึ่งทาทีเป็ นคนจน เดินไปขอแลกร่ ม บอกว่าร่ ม ตัวเองขาด จะเดินกลับอีกไกล ไม่รอช้ าแม่ค้าคนนี ้รี บหยิบร่ มตัวเองที่มีแค่อนั เดียวบนรถเข็น ยื่น ให้ ป้าคนนัน้ แล้ วก็บอกว่าเอาอันนี ้ไปน่ะ อันนี ้ดีกว่า สวยกว่า แล้ วตัวเองก็เอาร่ มของป้าคนนันที ้ ่ ขาดแหว่งไปแทน(ก่อนหน้ านี ้ทีมงานจะให้ ป้าคนนี ้ขอร่มจากคนที่แต่งตัวดีๆมีฐานะที่เดินผ่านไป ผ่านมา โดยทุกคนปฏิเสธแม้ แต่จะยืนคุยกับป้าคนนัน) ้ หลังทีมงานได้ ออกมาจากที่ซ่อน พูดถึง รายการแล้ ว ทีมงานก็ยื่นเงินสดให้ ที่มือเธอ(ยังงี ้เลยจริ งๆ) ทีมงานบอกว่าเธอเป็ นคนดี อัลลอฮฺ จะช่วยเหลือ ไม่นานน ้าตาเธอก็ไหลพราก รี บวิ่งกลับเข้ าไปในสลัม ที่นนั่ เป็ นบ้ านไม้ จะพังมิพงั แหล มีสามี(ที่ดเู หมือนจะป่ วยอยู)่ อยูก่ บั ลูกอีกคน ทังคู ้ ต่ า่ งลงสูญดู ขอบคุณต่ออัลลอฮฺ เธอว่า... เห็นป้าคนหนึ่งมาขอร่ ม บอกว่ าลาบากอยู่ เลยให้ ร่มใหม่ ของตัวเองไป... อีกครัง้ ที่ได้ เจอ เมาะ อายุกว่า 80 คนหนึง่ แกเดินขายถัว่ ถุงละสองบาทแถวลานอิฐ ม.อ.ปั ตตานี เมาะคนนี ้เด็กๆ จะรู้ จักเขาดี เมาะต้ องหาเงินเพื่อยังชีพตนเองและโต๊ ะแชสุดที่รัก สามีที่นอนป่ วยอยู่บ้านหลัง เล็กๆที่รูสะมิแล แกเคยยื่นถั่วหลายถุงให้ ไปกินฟรี บอกว่าซอดากอฮฺๆน่ะ นัง่ นึ กอยู่ในใจว่า นี ้ เงินน่ะ เมาะได้ เงินแต่ละวันจากการขายไม่เท่ากับข้ าวหนึง่ มื ้อที่เราทานในหนึง่ วันซะด้ วยซ ้า มองดูสงั คมชนชันกลาง ้ ผู้ถือตนว่ามีปัญญา ฐานะ กลับพบเจอได้ ยากนัก แต่ในคนจน คน ลาบากคนหนึง่ เรามักจะเจอรอยยิ ้มที่จริ งใจ มือบนและน ้าใจ อยู่ที่นนั่ ด้ วยกันเสมอ ลองกลับไป อ่านใหม่อีกครัง้ สิครับ... วัสลาม (ป.ล. ได้ ขา่ วว่าเมาะไม่สบาย ไม่ขายถัว่ แล้ ว ชาฟากัลลอฮฺครับ)
Smiana no.8 Jzk : ขอบใจบ้ านโฮ๊ ะ ผู้คนมีน ้าใจ ลมเย็นๆทุ่งนาเขียวขจี..ทีมงาน“คิดในใจ” & รปภ.ชมรม ที่ทางานหนักห่ามรุ่ งห่ามค่าช่วงสอบ..นาย Yoopy & กิมจิ คู่หคู นขนเสื่อประจา ชมรม..ขอบใจจูอ้ มุ พ่อครัวและมื ้อเย็นแห่งบ้ านอัศฮาบุลกะฮฺฟี (ไปรบกวนบ่อยๆ แต่สมถะจริ ง )... ขอบใจครูเต็กกอ ครูนอกคอกแห่งโรงเรี ยนบ้ านซาลาวะ..ขอบใจลุงภารโรงแม่บ้านโรงช้ าง ไม่มีลงุ และป้าๆที่ๆคนผู้ถือตนว่าเป็ นปั ญญาชนแห่งนี่คงจะสกปรก สุดท้ ายจริ งๆ ต้ องขอบใจทีมงาน “สอบเสร็จ...เข้ าป่ า” ทีจ่ ดุ ประกายบางสิง่ บางอย่างเอาไว้ ! อัลฮัมดุลลิ ลาห์
Con
tents
อุลตร้ ามียะฮฺตอบจดหมาย 3
อุลตร้ามียะฮฺ
ความเจ็บปวดของคนทางนูน่ ปวดร้ าวถึงคนทางนี ้ไหม คาสดุดีวีรชนตากใบ 7
บรรยากาศ...
อามีร สนน.จชต.
เครื่ องมือสาคัญของผู้ศรัทธา 8
ตะวันทอแสงในยามรุ่งอรุณ
บ้ านแห่งอิสลาม วิถีแห่งญะมาอะฮฺ 11 ดาวจรัสแสง
HITLER+MUSLIM VS JEWISH อบูซุฟยาน อิบนิฮาริ ษ
15
White Ink
24
ครูยะฮฺยา อับดุลการีม
กลับไปเถอะ กลับไปเกร็งกาไร 31 กระหม่อม
เสื ้อ กัน ฝน 34 (โลกของวงเล็บ) 36 ยาเขียว
เสียงของชายฉกรรจ์ 38 แชแว ผลต่าง ณ สมรภูมิครูเสด 41
ฮุดฮุด คาบข่าว 43
นกน้อยฮุดฮุด
อาณาจักรตัรบียะฮฺ 45 ปิ ดม่าน 49 www.muslimpsu.net www.facebook.com/smiana http://smiana.spaces.live.com/ smiana_hub@hotmail.com
ท่ามกลางความตาย... เธอหายใจสูดความหวาดหวัน่ เข้าไป คราบเลือด... เกลื่อนพื้นประหนึ่งเม็ดกรวด รั่วไหล... ไปตามช่องว่าง... ระหว่างนิ้ว
Jasmine
ติดต่อเรา :
บนซากปรักหักพัง... เธอใช้ชีวิตอยูอ่ ย่างลาพังได้อย่างไร
ลมหายใจรักษายากเหมือนน้าอุ้งมือ
Roythee
อบูเชากี
(แด่...พี่น้องผู้สูญเสีย)
โยฮัน
......
..โรสนี..
อุลตร้ามียะฮฺตอบจดหมาย
ประจาการ ณ บ้าน_www.azziarah.com
อัสสลามุอะลัยกุม วะเราะหฺ มะตุลลอฮฺ วะบาเราะกาตุฮฺ ฉบับนี้ อุลต้ามียะฮฺมาเจอะเจอ กับคุ ณผูอ้ ่านเป็ นครั้ งแรกสิ น่ะ นี่ แต่วนั นี้ ไม่ไ ด้รับภารกิ จปราบชัยฏอน ชัย ฏอนี ยะฮฺ ที่ไหน หรอกน่ะ แต่มาครั้งนี้ เพื่อตอบปั ญหาคาจงคาใจให้กบั พี่ๆน้องๆกัน.. ก่อนอื่นก็ตอ้ งขอกล่าวว่า ญะซากุมุลลอฮุคอ็ ยร็ อน ที่ได้ให้เกียรติและมอบพื้นที่นอ้ ยๆให้ได้มาแบ่งปั นสิ่ งดีๆด้วยน่ะค่ะ อุลตร้ามี ยะฮฺ ได้รับ การสอบถามจากพี่น้องแดน หอ 1 ม.อ.หาดใหญ่ นู่ นอ่ะค่ะ เป็ น คําถามพื้นฐานที่เราๆมิเคยได้สนใจมาก่อน ทั้งๆที่มนั วนเวียนอยูก่ บั เรา และมีความเกี่ยวโยงกับ ชีวติ เราในทุกแง่มุมของชีวติ อุลตร้ามียะฮฺเลยคว้านข้อมูลในมักตับอันหรู หราของ วอศ. และที่ พอมีอยูใ่ นมันสมอง จึงได้คาํ ตอบมาให้เชยชมเช่นนี้แล.... 1.สงสัยว่ าหะดีษทีม่ มี ากมายก่ ายกองเนี่ย มาถึงเราได้ ยงั ไง เล่ าประวัตกิ ารบันทึกหะดีษหน่ อย ? - เป็ นการสงสัยที่ดีมากเลยค่ะ ถามว่า... หะดีษนี่มาจากไหนหรอคะ? ก็มาจากท่านนบีสิ ค่ะถามได้ (แอบกวน) ต้อ งขอเกริ่ น ก่ อ นว่า ศาสตร์ ทุกศาสตร์ ย่อ มมี วิ วฒั นาการของแต่ล ะ ศาสตร์อยูแ่ ล้ว “ศาสตร์แห่งมุหดั ดิษีน” ก็มีเช่นกันค่ะ ซึ่ งประวัติศาสตร์ จะผ่านช่วงเวลาดังต่อไปนี้ สมัยท่านนบี มุหัมมัด,สมัยเศาะหะบะฮฺ ,สมัย ตะบิ อี น ,สมัย ตาบิ อฺ ตะบิ อี น ,สมัย อัต บาอฺ ตาบิ อฺ ตะบิ อี น ,สมัย อุ ล ามาอ์มุ ต ะอัค คิ รู น - สมัยมักกะฮฺ(13ปี ) มะดีนะฮฺ (10ปี ) มีการถ่ายทอดหะดีษไปยังเศาะหะบะฮฺโดยวิธีทางตรง คืองี้ ค่ะ... เศาะหะบะฮฺ รับฟั งจากท่ านนบี ด้วยตนเอง เศาะหะบะฮฺ เอามาจากเศาะหะบะฮฺ ดว้ ยกัน หลังจากนั้นก็จะท่องจํากันแบบถึงใจกันเลยที เดียว บางท่านเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้บนั ทึ ก เป็ นลายลักษณ์อกั ษร การถ่ายทอดเช่นนี้ดาํ เนินไปจนถึง ฮ.ศ.ที่ 10 - สมัยเศาะหะบะฮฺ (ฮ.ศ.10-110) ก็มีคุลาฟาอ์ อัรรอชิ ดีน เศาะหะบะฮฺ อาวุโสและเศาะ หะบะฮฺ รุ่นจูเนี ยร์ ได้ถ่ายทอดหะดีษตามที่ได้ฟังมาจากท่านนบี ไม่ตดั ไม่ทอน ไม่เพิ่ม ตัวบท แม้แต่คาํ เดียว ไม่มีใครกล้าโกหกต่อหะดีษแม้แต่คนเดียว ท่านอนัส บิน มาลิก ได้ยืนยันว่า การ ถ่ายทอดหะดีษในช่วงนี้ เป็ นการถ่ายทอดหะดีษไปยังเศาะหะบะฮฺดว้ ยกันหรื อไปยังตาบิอีน มี การกล่าวสายสื บของหะดีษด้วย โดยจะเรี ยกการถ่ายทอดในรู ปแบบนี้วา่ “การรายงานหะดีษ”
4 - ช่ วงตะบิอนี (ปี 97 ฮ.ศ-182 ฮ.ศ) ในช่วงกลางอ่ะน่ะ จะเริ่ มมีการสื บสายรายงานกันแล้ว ผูต้ ิดตามสายรายงานของหะดีษแต่ละบทชื่อ มุหัมมัด บิน ชิฮาบ อัซซุฮฺรีย์ (หรื ออิมามอัซซุฮฺรีย ์ นั้นเอง จําชื่อท่านนี้ให้แม่นๆเลยนะ เป็ นอุละมาอ์ที่มีชื่อเสี ยงมากในวงการนิติศาสตร์อิสลาม) เป็ นคนแรกที่บุกเบิกในการสื บสายรายงานหะดีษ ติดตามตั้งแต่สายรายงานหะดีษ กระบวนการ รายงาน เช่น ศึกษาวิธีการรับหะดีษ ต้นตอที่มาของหะดีษ ศึกษาว่าผูร้ ายงานหะดีษร่ วมสมัยกับ คนรายงานท่านใดบ้าง เป็ นต้น ยุคนี้แหละ เป็ นยุคที่เริ่ มมีการบันทึกหะดีษ และผูท้ ี่อยูเ่ บื้องหลัง การสนับสนุนครั้งนี้คือ ท่ านอุมรั บิน อับดุลอะซีซ(อุมรั ที่ 2) หรือรู้ จกั กันในนามว่ า “ผู้เหวีย่ ง อิสลามสู่ สายลม” นัน่ เอง ลั้ลลา ๆ (อุลตร้ามียะฮฺเองอ่าน่ะ ปลื้มท่านนี้แบบเว่อร์ๆ เลยอ่าค่ะ เก็บ อาการไว้ไม่อยูเ่ ลยจริ งๆT_T) - สมัยตาบิอฺ ตะบิอนี (ปี 182-224 ฮ.ศ)ได้พยายามศึกษาเพิ่มเติมอีกสองด้าน ด้ านแรก คือ ศึกษาเกี่ยวกับสถานภาพผูร้ ายงาน ด้าน “คุณธรรม ความบกพร่ อง ปี เกิด ปี เสี ยชีวติ สถานที่ เกิด มีครู เป็ นใคร มีลูกศิษย์ม้ ยั ใครบ้าง มารยาทล่ะ เป็ นอย่างไร ? การศึกษาแบบถึงพริ กถึงขิง เช่นนี้ทาํ ให้เกิดวิชา “ริญาล อัลหะดีษ” ด้ านทีส่ อง ก็จะศึกษาสถานภาพของตัวบทหะดิษ เช่น หะดีษขัดกับกุรอานมั้ย(เพราะโดยความเป็ นจริ ง จะไม่ขดั กันค่ะ) หะดีษปะปนกับคําอธิบายของ ผูร้ ายงานมั้ย จากการศึกษานี้ ทําให้แยกได้ระหว่าง หะดิษศอหิหฺ,ฎออีฟ และเมาฎูอฺ ไงล่ะค่ะ^^ 2.อ๋ อ ! หะดีษศอหิหฺ ฎออีฟ และเมาฎูอฺ เกิดขึน้ ในช่ วงนีเ้ อง แล้ วอุลามาอ์ ได้ แยกหะดีษอย่ างไร ? แรกเริ่ มก็จะศึกษาสถานภาพของผูร้ ายงานแบบเข้มข้นเลยค่ะ อย่างที่ได้เล่าไปว่า สมัยตา บิอฺตะบิ อีน(ผูท้ นั เศาะหาบะฮฺ ) จะสื บประวัติของผูร้ ายงานหะดิ ษว่าเป็ นคนแบบไหน มีความ บกพร่ องด้านความจําหรื อไม่ หรื อแม้แต่มีลูกศิ ษย์เป็ นใคร ครู ของเขาเป็ นใครบ้าง พอทราบ มาแล้วก็แยกตัวบทและจัดให้มาอยู่เป็ นหมวดหมู่เช่นนี้ แหละค่ะ นอกจากแบ่งเป็ นหมวดหมู่ แล้ว ก็จะมีชนิ ดของหะดีษอีก ซึ่ งจะมีเยอะมาก เช่น หะดีษฏออีฟชนิ ดมุดลั ลัส เป็ นต้น มาดู สมัยอัต บาอฺ ตาบิอฺ ตะบิอีน กันต่อ ก็เป็ นช่ วงที่ ได้มีการรวบรวมและบันทึ ก วิชาต่า งๆที ไ ด้ เกิดขึ้นในสมัยตาบิอฺ ตะบิอีน บางคนอาจจะออกอาการ เช๊ออออ.. ได้แค่รวบรวมหรอกเหรอ ? เปล่าค่ะ สมัยอัตบาอฺ ตาบิอฺ ตะบิอีน ยังได้ริเริ่ มการคิดค้นหลักการวิจารณ์ลกั ษณะของผูร้ ายงาน พอมาช่ ว ง 300ปี ฮ.ศ. มี กลุ่ มคนที่ พ ยายามกุ แทะ แกะ หะดี ษของท่ านนบี อ ย่างไร้ ยางอาย อุละมาอ์สมัยนี้ได้ออกมาปกป้ องหะดีษของท่านนบีมุหัมมัดอย่างสุ ดความสามารถและด้วยจิต วิญญาณอันแน่วแน่ จนทําให้สามารถผลิตบุคลากรด้านนี้ เป็ นการเฉพาะหลายท่านเลยค่ะ และ
5 ช่ ว งสุ ด ท้า ย หลัง จาก 300 ปี ฮ.ศ. คือ ช่ ว งสมัยอุ ล ะมาอ์ มุ ตะอัคคิรูน ช่ ว งนี้ อุ ละมาอ์ได้ใ ห้ ความสําคัญต่อวิชาหะดีษ โดยแยกวิชาเหล่านี้ออกเป็ นแขนงหนึ่ งของวิชาหะดิษนัน่ คือ วิชามุศ เฏาะลาฮฺ อัลหะดีษ 3.มุศเฏาะลาฮฺ อัลหะดีษ อันนีค้ ้ ุนมากมายเลยอ่ ะ แล้ วใครหรอที่เป็ นผู้ริเริ่มให้ มีศาสตร์ วิชานี้ ? จะเรี ยกว่าศาสตร์ก็ไม่ถูกเสี ยทีเดียว ต้องบอกว่าหลักการดีกว่า “หลักการมุศเฏาะลาฮฺ อัลหะดีษ” ผูท้ ี่คิดค้นชื่อว่า ท่ านอบูหะสัน บิน อับดุลเราะฮฺมาน อัรรอมะฮัรมุซีย์ ค่ะ เป็ นอุลามะอ์สมัยมุตะ อัคคิ รูน (เป็ นวิชาโหดวิชาหนึ่ งของใครหลายๆคน ว่าแล้วก็อดนึ กถึงหน้าอุสตาซเลาะคณะ ราษฏร์ แห่งรั้วนะฮฺฏอตุลอูลูม เลยน่ะนี่ ^^ – กอง บ.ก.) 4. ...ยังคลุมเครือว่ าหะดีษ ความหมายทีแ่ ท้ จริงคืออะไร ? หะดีษ แปลว่า “วจนะ” หมายถึงสิ่ งต่างๆที่สามารถพาดพิงไปถึงท่านนบีมุหมั มัด จะเป็ นคําพูด การกระทํา ยอมรับ คุณลักษณะ ตลอดจนชีวประวัติของท่าน” แต่บางทีอาจจะใช้กบั คนอื่นๆ ก็ได้เหมือนกันน่ะ เช่นหะดีษของเศาะหะบะฮฺ หะดีษของตะบิอีน แต่แม้วา่ จะใช้กบั คนทัว่ ไปก็ เหอะ อย่างหะดีษของอุลตร้ามียะฮฺง้ ี แต่อย่าใช้เลยค่ะ เราไม่นิยมกัน^^” 5.ในหะดีษแต่ ละบทเนี่ยมีส่วนประกอบอะไรบ้ าง? อ๋ อ ง่ายๆเลยค่ะ ในตัวบทหะดีษที่ประกอบด้วยสองอย่าง คือ สะนัดและมะตัน “สะนัด” คือผู ้ สื บสายรายงาน เช่น อันอบีฮุร็อยรอฮฺ อันอุมรั บินคอฏฎอบ อันสะอัด อิบนฺ วกั กอส บลาๆๆ ทั้งหลายนัน่ แหละ เป็ นการบอกกล่าวว่าเริ่ มนํามาจากใคร (โดยจะเริ่ มด้วยชื่อคนที่รับหะดีษคน ล่าสุด เรื่ อยไปจนถึง ท่าน นบี.. กอลา ) เราเรี ยกส่วนนี้วา่ “สะนัด” ...“มะตัน” คือ ส่วนที่เป็ น คําพูดของท่านนบี จะปรากฏหลังจากที่เขาแจ้งผูร้ ายงานกันเสร็จแล้ว (พอจะนึกภาพออกมั้ย ?) 6.อืม้ !เห็นภาพชัดมาก อยากทราบอีกประการหนึ่ง อันว่ าหะดีษเฎาะอีฟนีม้ ันมาจากไหนกัน? หะดีษเฎาะอีฟกับหะดีษเมาฎูอฺ หะดี ษสองอย่างนี้ มนั คนละเรื่ องกับหะดีษเศาะหี หฺและหะสัน เลยค่ะ เรามารู ้จกั หะดีษเฎาะอีฟกันก่อน หะดีษฎออีฟ คือหะดิษที่ขาดคุณสมบัติในแง่ความจํา ของผูร้ ายงาน คือ เลอะเลือน จําอะไรๆได้ไม่แม่น ไม่ก็บกพร่ องในกระบวนการรายงาน(ชื่ อ ผูร้ ายงานตกไปคนหนึ่ ง ประมาณนี้ ) นอกจากนี้ ยงั มีหะดีษญิดดันด้วยนะคะ เป็ นหะดี ษที่อ่อน มัก่ ๆ มีฐานะตํ่ากว่าหะดีษเฎาะอีฟแต่สูงกว่าเมาฎอฺู
6 ส่ วน “เมาฎูอฺ” ก็คือ หะดีษที่อุปโลกน์ข้ ึนมา แล้วพาดพิงถึงท่านนบีมุหัมมัด ไม่วา่ จะ ตั้งใจหรื อไม่ต้ งั ใจ หรื อเกิดจากการผิดพลาด ถามว่ ามีได้ ยงั ไงกัน ? มีแหล่ งทีม่ า สองแหล่ งด้ วยกันคือ 1.ผูก้ หุ ะดีษได้แต่งสํานวนขึ้นมาเอง แล้วบอกว่าท่านนบีกล่าว 2.ผูก้ หุ ะดีษลอกคําพูดของเศาะหะบะฮฺของตะบิอีนของฟุกอฮาอฺ แล้วบอกว่าท่านนบีกล่าว หะดิษเมาฎูอฺ จะใช้ไม่ได้เด้ดขาด มีฐานะตํ่าสุดๆ เนื่องจากเป็ นการกล่าวเท็จต่อท่านนบี 7. แล้ วอย่ างนี้ เราสามารถทีจ่ ะใช้ ได้ ม้ยั เจ้ าหะดีษเฎาะอีฟเนี่ย ? งืมๆๆๆ ขออนุญาตยกทรรศนะของอุละมาอ์ก็แล้วกันน่ะค่ะ อิมามนะวะวีย์ ได้อธิบายว่า “ บรรดาอุละมาอ์หะดีษ ฟุกอฮาอ์(นักนิ ติศาสตร์ อิสลาม) และท่าน อื่นๆ มีความเห็ นว่า หารุ สและสุ นัตปฏิ บตั ิตามหะดี ษฎออีฟที่ เกี่ ยวกับเรื่ อง ฟาฎออิลอะอฺ ม้ ลั (การสนับสนุนให้ทาํ ความดีและห้ามปรามความชัว่ ) แต่มีเงื่อนไขว่าหะดีษนั้นไม่ถึงขั้นเมาฎูอฺ ” อิม ามอัล กอสิ มีย์ ได้ยกคําพูดของอิ หม่ ามชาฟิ อี ย ์ในหนัง สื อ อัร ริ สาละฮฺ ท่ านกล่ า วว่า “ไม่ อนุญาตแก่ผูใ้ ดก็ตามที่ จะพูดโดยไม่มีหลักฐานยืนยัน นอกจากท่านเราะสู ลุลลอฮฺเท่านั้น และ ไม่อนุญาตให้แก่คนใดคนหนึ่ งพูดโดยให้เหตุผลเพราะสิ่ งนั้นเป็ นสิ่ งที่ดี เนื่ องจากคําพูดที่เห็น ว่าเป็ นส่งที่ดีน้ นั เป็ นการคิดค้นขึ้นมาเอง ปราศจากแบบอย่างที่ดีงามจากบรรพชนที่ศอลิหฺ ” จากทัศนะของอุละมาอ์ สามารถสรุ ปได้คือ หะดี ษเฎาะอีฟมีท้ งั สามารถนําไปใช้เป็ นหลักฐาน และนําไปรายงานได้ในเรื่ องศาสนาและมีท้ งั ไม่อนุญาต แต่ถา้ ตามทัศนะของอิมามนะวะวียจ์ ะ เห็นได้วา่ จะนําหะดีษเฎาะอีฟมาใช้เป็ นหลักฐานเรื่ องอิบาดะฮฺและเรื่ องข้อบัญญัติทางศาสนา แบบนี้ ไม่อนุญาตเด็ดขาด อนุญาตเฉพาะเรื่ องที่เกี่ ยวกับการห้ามปรามความชัว่ และสนับสนุ น ให้ทาํ ดีเท่านั้น ส่วนหะดีษเมาฎอฺู เนี่ยไม่สามารถนํามาใช้ได้เลยค่ะ ...วัลลอฮุอะอฺ ลมั
พบกันใหม่เมื่อคอลีฟะฮฺเรี ยกหา... ~ อุลตร้ ามียะฮฺ ~
คาสดุดีวีรชนตากใบ [เนื่องในโอกาสการครบรอบ 6 ปี โศกนาฏกรรมตากใบ] การเลือกปฏิบตั ิอย่างหวาดระแวงของผูป้ กครองที่อธรรม ถูกยืน่ มา และต้องตอบแทนด้วยการสวามิภกั ดิ์ พี่นอ้ งตากใบผูร้ ักความยุติธรรม ลุกขึ้นสูป้ ระกาศก้อง ความจริ งเป็ นสิ่ งไม่ตาย มากันเป็ นร้อยเป็ นพัน ไอ้พวกบ้าอํานาจ มิวายยังหาว่าเป็ นโจรก่อการร้าย ทันทีที่ความจริ งใกล้จะปรากฏ ผูถ้ ือกฎเหล็ก ดิ้นรนทุรนทุราย ปราบพวกมัน ให้กาํ ราบซะ อย่าได้อาจหาญอีกต่อไป กระสุนมฤตยู ถูกรัวจากนิ้วมือของปี ศาจ เจาะเข้าไปในร่ างกายอันเปลือยเปล่า ตายเท่าไหร่ ข้อมูลที่ชดั เจนไม่ปรากฏ พลันที่เสี ยงปื นเงียบ กองกําลังที่ได้ชื่อว่าผูพ้ ิทกั ษ์สนั ติราษฎร์ เดินเท้าเข้ามา ตบ ต่อย เตะ ตี สารพัดกระบวนท่า ตามความพอใจ ยังไม่พอ ที่ยงั มีชีวติ อยู่ ถูกมัดมือไขว้หลังแล้วจับโยนใส่ในรถบรรทุก ทับซ้อนกันเกือบสิ บชั้น ยังเอาผ้ายางมาปิ ดอีก 4 ชัว่ โมงผ่านพ้น พวกเขาก็ถึงที่คา่ ยอิงคยุทธ ปั ตตานี แต่โชคร้ายสําหรับพวกเขาที่อยูช่ ้ นั ล่างนั้น กลายเป็ นศพเสี ยแล้ว เสี ยส่วนใหญ่ 78 ศพขาดอากาศหายใจ ขณะที่เจ้าหน้าที่ผปู ้ ฏิบตั ิหน้าที่ ฮ่า ๆ ๆ แต่ไม่เป็ นไร อย่าโศกเศร้าไปเลย แม้นว่าพวกเขาจะตาย แต่วรี กรรมของพวกเขา จะไม่มีวนั ตาย อย่างเช่นวันนี้ 25 ตุลาคม 2553 ครบรอบ 6 ปี เหตุการณ์ตากใบนองเลือด พวกเราคนรุ่ นหลัง ผูเ้ ฒ่าผูแ้ ก่ ผูห้ นุ่มผูส้ าว ขอสดุดี ถึงวีรชนตากใบ ผูเ้ สี ยสละชีวติ เพื่อพิทกั ษ์ เทิด...ความยุติธรรม สหพันธ์ นิสิตนักศึกษาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (สนน.จชต.) 25 ตุลาคม 2553 ณ วงเวียน ม.อ.ปั ตตานี
เครื่องมือทีส่ าคัญของบรรดาผูศ้ รัทธา >> ตะวันทอแสงในยามรุ่งอรุณ การใช้ชีวติ บนดุนยาอันแสนสั้นนี้มิใช่เรื่ องง่ายเลยสําหรับมนุษย์ผอู ้ ่อนแออย่างพวกเรา หากปราศจากทางนําในการดําเนินชีวติ ใครจะรับประกันเส้นทางในการดําเนิ นชีวิตที่เป็ นอยูใ่ น วันนี้ ในสังคมปั จจุบนั จากที่ เราสามารถสังเกตเห็นได้ท้ งั ในรั้วและนอกรั้วมหาวิทยาลัยนั้น เรา จะพบว่ายิง่ นับวันผ่านไป แนวทางการดําเนินชีวติ ของผูศ้ รัทธาและผูท้ ี่ปฏิเสธศรัทธาเริ่ มมีความ คล้ายคลึงกันมากขึ้น ค่านิยมในการดําเนิ นชีวิต พฤติกรรมการแสดงออกในชีวิตประจําวัน และ อื่นๆอีกมากมาย ทุกวันนี้ เราสามารถพบเห็นพฤติกรรมการเข้าใกล้การผิดประเวณี ในรู ปแบบ ต่ า งๆของมุ ส ลิ ม มี ค วามคล้า ยคลึ ง กับ ผูท้ ี่ มิ ใ ช่ มุ ส ลิ ม มากขึ้ น ศี ล ธรรมอัน ดี ง ามที่ อิ ส ลามได้ วางรากฐานไว้ได้ถูกแทรกแซงโดยระบอบญะฮีลียะฮฺ อนั โง่เขลาโดยที่เราแทบจะไม่รู้ตวั การใช้ ชีวติ โดยไม่มีเป้ าหมายที่ชดั เจน ความไร้สาระในการดําเนินชีวติ และการมองถึงชีวติ ในโลกหน้า เป็ นเรื่ องห่ างไกลนั้นล้วนเป็ นสาเหตุสําคัญที่ ทาํ ให้สถานการณ์ของสังคมเราทุกวันนี้ ได้เสื่ อม ถอยลงมาก ประวัติศาสตร์ ของบรรพชนในอดี ตได้ยืนยันว่า การปฏิ วตั ิทางศี ลธรรมในสังคมยุค แรกนั้น มิได้ใช้เครื่ องมืออะไรที่ ซบั ซ้อนเลย การเปลี่ยนแปลงจากชีวิตที่ หมกมุ่นอยู่กบั การตั้ง ภาคีและพฤติกรรมอันชัว่ ช้าไปสู่ การมีเตาฮีดและธํารงไว้ซ่ ึ งศีลธรรมอันสู งส่ งนั้นได้เริ่ มต้นครั้ง แรกจากการได้รับวะหี ยค์ รั้งแรกของท่านเราะสูลุลลอฮฺ (ศ็อลฯ) “ จงอ่าน ” คือดํารัสแรกที่ ผทู ้ รง สร้ างทุ กสรรพสิ่ งได้ประทานมาให้แก่ ท่าน ทั้งๆที่ ท่านเป็ นผูท้ ี่ อ่านไม่ออกและเขี ยนไม่เป็ น ดํารัสต่อๆมาที่ได้ถูกประทานมายังท่านเราะสู ลุลลอฮฺ (ศ็อลฯ)นั้นก็มีลกั ษณะพิเศษอย่างหนึ่ งคือ นอกจากจะยืนยันถึงความเป็ นเอกภาพของพระผูส้ ร้างแล้ว ยังได้มอบเครื่ องมือที่สาํ คัญอีกอย่าง หนึ่งแก่ผศู ้ รัทธาในยุคนั้น คือ “การละหมาด” ถึงแม้วา่ ในยุคแรกของการประทาน อัลกุรอาน ยังมีจาํ นวนโองการของอัลกุรอานอันทรงเกียรติไม่มากนัก และยังไม่มีการกําหนดรู ปแบบการ ละหมาดที่ชดั เจน แต่การละหมาดก็ได้ถูกประทานเป็ นเครื่ องมือในการขัดเกลาที่มีประสิ ทธิ ภาพ อย่างยิง่ สําหรับผูศ้ รัทธา จึงจะเห็นได้วา่ การดํารงชีวิตที่ยากลําบากยิ่งกว่าของมุสลิมในยุคแรกที่ เผชิญกับการต่อต้านนั้นเป็ นเรื่ องที่หนักหนากว่ายุคของเรามากซึ่ งแทบจะไม่พบการต่อต้านเลย แต่เรากลับเป็ นผูพ้ า่ ยแพ้ต่ออารมณ์นฟั สูของเราเอง ยอมแพ้ต่อค่านิยมและบรรทัดฐานของสังคม
9 ที่หาคุณค่าอะไรมิได้ อะไรเล่าที่ทาํ ให้พวกเขาเหล่านั้นในหมู่บรรพชนยุคแรกสามารถเอาชนะ อุปสรรคที่ยงิ่ ใหญ่ขนาดนั้น แต่เราผูพ้ บเพียงอุปสรรคอันน้อยนิดกลับเป็ นผูท้ ี่พา่ ยแพ้อย่างยับเยิน
เจ้าจงอ่านสิ่ งที ่ถูกวะหี ย์แก่เจ้า จากคัมภี ร์และจงดารงการละหมาด เพราะแท้จริ ง “การละหมาดนั น้ จะยับยัง้ การกระทาที ่ลามกและความชัว่ และการราลึ กถึ งอัลลอฮฺ นัน้ ยิ่ งใหญ่มาก และอัลลอฮฺทรงรอบรู้สิ่งที พ่ วกเจ้ากระทา” (อัลอังกะบูต:29)
ในหลายๆโองการของอัลกุร อาน บรรดาผูศ้ รั ท ธาถู กบอกให้อ ดทนและไว้วางใจ ในอัลลอฮฺเพื่อที่จะเผชิญกับการทดสอบ เพราะการที่ตวั เองศรัทธา นอกจากนี้ บรรดาผูศ้ รัทธายัง ได้ถูกบอกให้อ่านอัลกุรอานและดํารงการละหมาดเพื่อการฝึ กความอดทน เพราะสองสิ่ งนี้จะ ช่ วยผู้ศรัทธาให้ มลี กั ษณะทีเ่ ข้ มแข็งและมีความสามารถอันมหัศจรรย์ ซึ่งสองสิ่งนีไ้ ม่ เพียงแต่ จะ ทาให้ เขายืนหยัดอยู่ท่ามกลางพายุแห่ งความชั่วและความเท็จได้ อย่ างประสบผลสาเร็จเท่ านั้น แต่ ยังสามารถที่จะทาลายมันได้ ด้วย แต่ มนุ ษย์ จะได้ อานาจนี้จากการอ่ าน กุรอานและการ ละหมาดก็ต่อเมื่อเขาอ่ านด้ วยความเข้ าใจในคาสอนและซึมซั บคาสอนนั้นเข้ าไปในจิตวิญญาณ ของเขา มิใ ช่ เ พีย งแค่ อ่ า นถ้ อ ยค า และการละหมาดของเขาจะต้ อ งไม่ จ ากัด อยู่ แ ค่ เ พีย งการ เคลื่อนไหวร่ างกายเท่ านั้น แต่มนั ยังต้องกลายเป็ นการทํางานของหัวใจของเขาและเป็ นพลัง ขับเคลื่อนสําหรับศีลธรรมและลักษณะของเขา สําหรับการอ่านอัลกุรอานนั้น เราจะต้องรู ้ว่าการอ่านที่ ไม่ได้ผ่านลําคอเข้าไปจนถึง หัวใจนั้นไม่สามารถที่จะทําให้มนุษย์มีพลังพอที่จะมีความมัน่ คง ต่อความศรัทธาของเขา ความ จริ งแล้ว การอ่านที่ไม่มีผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใดๆในความคิด ในศี ลธรรมและในลักษณะ นิ สัยของเขาและเขายังทําในสิ่ งที่ กุรอานห้ามนั้นมิใช่การอ่านของผูศ้ รัทธาเลย การอ่านเช่นนี้ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงและทําให้จิตวิญญาณของมนุ ษย์มีความเข้มแข็ง แต่กลับยิ่งทําให้เขาดื้อด้าน ต่ออัลลอฮฺและอวดดี ยิ่งขึ้นและในที่ สุดก็ทาํ ลายลักษณะนิ สัยของเขาจนหมดสิ้ น สําหรับการ ละหมาดนั้น ใครก็ตามที่ ต รึ กตรองถึ งลักษณะของการละหมาดสัก นิ ดหนึ่ งจะยอมรั บ ว่าใน บรรดามาตรการทั้งหลายที่ จะช่วยมนุ ษย์ยบั ยั้งจากความชัว่ ได้น้ ัน การละหมาดเป็ นวิธีการที่ ได้ผลมากที่สุด แน่นอน มันจะมีมาตรการอะไรที่มีประสิ ทธิ ภาพมากไปกว่าการที่มนุษย์ตอ้ งถูก เรี ยกให้มาระลึกถึงอัลลอฮฺวนั ละ 5 ครั้ง และทําให้เขาเตือนตัวเองอยูต่ ลอดเวลาว่าเขาไม่ได้อิสระ ในโลกนี้ แต่เขาเป็ นบ่าวของอัลลอฮฺผทู ้ รงรอบรู ้ถึงสิ่ งที่พวกเขาทําในสิ่ งที่เปิ ดเผยและในที่ลบั หรื อแม้แต่เจตนาที่อยู่ในใจของเขา และวันหนึ่ งเขาจะต้องไปรับผิดชอบการกระทําของเขาต่อ
10 หน้าพระองค์ ดังนั้นเขาจึงไม่เพียงแต่จะถูกเตือนให้นึกถึงเรื่ องนี้เท่านั้น แต่ยงั ได้รับการฝึ กอบรม ในการละหมาดทุกครั้งว่า เขาจะต้องไม่ฝ่าฝื นคําบัญชาของพระเจ้าของเขาแม้แต่ในที่ลบั ดังนั้น เมื่อพิจารณาแล้วเราจึ งอดที่ จะยอมรับไม่ได้ว่าการละหมาดไม่เพียงแต่จะยับยั้งจากสิ่ งที่ ชวั่ ช้า ลามกเท่านั้น แต่ในโลกนี้ยงั ไม่มีวธิ ีการอื่นที่มีประสิ ทธิภาพเหมือนกับการละหมาดในการยับยั้ง มนุษย์จากความชัว่ สําหรับคําถามที่วา่ จริ งๆแล้วมนุษย์ละเว้นจากความชัว่ ช้าหรื อไม่หลังจากที่ ละหมาดแล้วนั้น คําตอบก็ข้ ึนอยูก่ บั มนุษย์เองว่าเขาจะปรับปรุ งตัวเองหรื อไม่ ถ้าหากเขาต้องการ ที่จะได้ประโยชน์จากการละหมาดและพยายามที่จะบรรลุถึงวัตถุประสงค์ของการละหมาดแล้ว การละหมาดก็จะมีผลต่อเขาอย่างแน่นอน ถ้าหากเขาไม่มีเจตนาที่จะปรับปรุ งเปลี่ยนแปลงตัวเอง แล้ว แน่นอน ในโลกนี้ ก็ไม่มีวิธีการใดๆที่ จะมีผลต่อเขา เมาลานา สั ยยิด อบุล อะอฺ ลา เมาดูดีย์ ได้ เปรี ยบเที ยบอย่ างเห็นภาพไว้ ว่า คุณสมบัติที่สาคัญของอาหารก็คือเพื่อหล่ อเลีย้ งร่ างกายและ ทาให้ ร่างกายเจริ ญเจริ ญเติบโต แต่ คุณสมบัตินีจ้ ะเป็ นไปได้ กต็ ่ อเมื่ออาหารนั้นได้ รับการย่ อยและ การดูดซึ ม แต่ถา้ คนที่กินอาหารนั้นอาเจียนสิ่ งที่เขากินเข้าไปออกมาทุกครั้ง แน่นอน อาหารนั้น ก็ยอ่ มไม่เป็ นประโยชน์ต่อเขา ดังนั้น เมื่อเราไม่สามารถจะยกกรณี คนประเภทนี้ มาเป็ นตัวอย่าง แสดงว่าอาหารไม่มีประโยชน์สาํ หรับร่ างกายฉันใด เราก็ไม่อาจที่จะนําเอาตัวอย่างของคนเลวที่ ละหมาดแบบขอไปที มาเป็ นตัวอย่างเพื่ออ้างว่าการละหมาดไม่สามารถยับยั้งความชัว่ ได้ฉันนั้น เราสามารถพูดได้วา่ คนที่ ละหมาดแล้วไม่ได้มีการปรับปรุ งตัวให้ดีข้ ึนนั้นความจริ งแล้วเขายัง ไม่ได้ละหมาดเลย เช่ นเดี ยวกัน เราก็สามารถพูดได้ว่าคนที่ อาเจี ยนสิ่ งที่ กินเข้าไปออกมานั้น ความจริ งแล้วก็ยงั ไม่ได้กินอะไรเลย ขออัลลอฮฺ ทรงโปรดทําให้พวกเราเป็ นหนึ่ งในบรรดาผู ้ที่ศึกษาและทําความเข้าใจ คัม ภี ร์ อ ัล กุ ร อาน อ่ า นด้วยความเข้า ใจในคํา สอนและซึ ม ซับ คําสอนเข้าไปในจิ ต วิ ญ ญาณ ละหมาดด้วยความนอบน้อมต่อพระองค์ อยูร่ ่ วมกันเป็ นญะมาอะฮฺ และเป็ นหนึ่ งในบรรดาผูร้ ่ วม ต่อสูเ้ พื่อส่งเสริ มความดีและห้ามปรามความชัว่ ในแนวทางของพระองค์ อินชาอัลลอฮฺ
“ พวกเจ้านัน้ เป็ นประชาชาติ ที่ดียิ่งซึ่ งถูกให้อบุ ตั ิ ขึ้นสาหรับมนุษย์ ชาติ โดยที ่ พวกเจ้าใช้ให้ปฏิ บตั ิ สิ่งที ่ชอบและห้ามมิ ให้ปฏิ บตั ิ สิ่งที ่มิชอบ และศรัทธาต่ออัลลอฮ์ ...” (อาลิอิมรอน 3 :110) “ ความชัว่ และการราลึกถึงอัลลอฮฺ นนั้ ยิ่ งใหญ่มาก และ อัลลอฮฺ ทรงรอบรู้สิ่งที พ่ วกเจ้ากระทา ” (อัลอังกะบูต 29 :45) ..........
บ้านแห่งอิสลาม วิถแี ห่งญะมาอะฮฺ >> ดาวจรัสแสง คําว่า “บ้าน” นอกจากจะหมายความว่า ที่พกั พิง ที่อยูอ่ าศัยแล้ว บ้านยังถูกนําเสนอบน ความหมายของความอบอุ่น ที่หล่อหลอมผูค้ นมากมาย ให้มีทกั ษะต่างๆที่จาํ เป็ นอย่างยิง่ ต่อการ ดํารงชีวติ ในโลกที่ซบั ซ้อนแห่งนี้ ในมุมมองของผูเ้ ขียนเอง อยากจะนําเสนอบ้าน ในมุมมองที่แตกต่างออกไป เป็ นการ นําเสนอบ้านในรู ปแบบของสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ที่พร้อมจะหยิบยืน่ สัจธรรมให้แก่มวลมนุษย์ท้ งั ปวง บ้านที่ ว่านี้ ก็คือ “บ้านแห่ งอิสลาม” อิสลามเปรี ยบดัง่ บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่ ง ที่ คอยหล่อ หลอมผูค้ น เป็ นทั้งสถานที่ที่คอยสอนและให้ความรู ้เกี่ยวกับทักษะที่จาํ เป็ นสําหรับการดําเนิ น ชีวติ ที่ถูกต้องที่สุด ตามคําแนะนําจากผูซ้ ่ ึงรอบรู ้ที่สุดในเรื่ องของดุนยา ภายใต้ชายคาแห่ งนี้ นี่เอง ที่สร้างวีรบุรุษ วีรสตรี ผูเ้ ป็ นบรรพชนรุ่ นแรกที่ต่างช่วยกันสถาปนาโลกใบนี้ ให้เต็มไปด้วยสี สัน แห่งอิสลาม เป็ นธรรมดาของบ้าน ที่ภายในบ้านจะต้องประกอบไปด้วย สมาชิกที่ต่างก็มีหน้าที่ของ ตัวเองภายในบ้าน พ่อผูห้ ารายได้เข้าบ้าน แม่ผูท้ ี่ คอยดูแลความเรี ยบร้ อยของบ้าน ลูกๆที่ คอย สร้างสี สันให้คนในครอบครัวยามที่ เหนื่ อยล้า แต่บริ บทสมาชิ กของบ้านแห่ งอิสลามนั้นก็คือ กลุ่มหรื อญะมาอะฮฺ ที่ ณ ปั จจุบนั เป็ นที่ยอมรับว่าบ้านแห่ งอิสลามนี้ ประกอบไปด้วยญะมาอะฮฺ มากมายที่ ต่างก็ทาํ ตามหน้าที่ ของตนเอง โดยที่ ทุกญะมาอะฮฺ น้ นั มีเป้ าหมายเดี ยวกันคือเชิ ดชู “ ลาอิล าฮะ อิลลัลลอฮฺ มุหัมมัด เราะสู ลุลลอฮฺ ” ภายใต้คาํ ๆนี้ นี่เองที่ คอยขับเคลื่ อนกลุ่มคน หรื อญะมาอะฮฺเหล่านี้ ให้ทาํ หน้าที่ของตนที่ได้รับมอบหมายอย่างขยันขันแข็ง ญะมาอะฮฺบนความหมายที่ท่านนบีได้มอบไว้เป็ นคลังความรู ้ให้แก่เรานั้น ดังมีรายงาน ดังนี้ ท่านเราะสูลศ็อลลัลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัมที่วา่ ِ ي فِرقَْةً فَو ِ ِ َّص َارىْْ َعلَى ْْ َف النَّا ِْرْ َوافْ تَ َرق ْ ِ اْلَن َِّْة َو َسْب ُعو َْن ْ ِ ٌاح َدْة ُْ تْالْيَ ُه ْْ َ)) افْ تَ َرق ْ ف َ تْالن َ ْ َْ ودْْ َعلَى إ ْح َدى َو َسْبع ِ ف النَّا ِْر وْو ِ ِ ِ َْ ِي وسْبع ِ ت َعلَى ْ ِ سْْ ُُمَ َّم ٍْدْبِيَ ِدْهِ لَتَ ْف ََِتقَ َّْن أ َُّم ُْ اْلَن َِّْة َوالَّ ِذي نَ ْف ْ ِ ٌاح َدْة ْ ف َ َ ِْ ْ َثْنت َ َ ْ ي ف ْرقَْةً فَإ ْح َدى َو َسْب عُو َْن ِ ي فِرقَْةً و ِ ٍْ َثَال (( ُاع ْة َْ َول اللَِّْو َم ْْن ُى ْْم ق َْ يل يَا َر ُس َْ ِف النَّا ِْر ق ْ ِ ان َو َسْب ُعو َْن ِْ َاْلَن َِّْة َوثِْنت ْ ِ ٌاح َدْة ْ ال ْ ف َ اْلَ َم َ ْ َْ ث َو َسْبع
“ ชาวยะฮูดยี ์ น้ันได้ แตกออกเป็ น 71 กลุ่ม และกลุ่มเดียวเท่ านั้นอยู่ในสวรรค์ อีก 70 กลุ่มจะอยู่ใน นรก ชาวนะศอรอได้ แตกออกเป็ น 72 กลุ่ม และ 71 กลุ่มอยู่ในนรก กลุ่มเดียวเท่ านั้นที่จะได้ เข้ า
12 สวรรค์ และขอสาบานด้ ว ยผู้ ที่ ชี วิ ต ของมุ หั ม มั ด อยู่ ใ นพระหั ต ถ์ ข องพระองค์ ว่ า แน่ น อน ประชาชาติของฉันจะแตกออกเป็ น 73 กลุ่ม และกลุ่มเดียวทีอ่ ยู่ในสวรรค์ อีก 72 กลุ่มอยู่ในนรก ” มีผ้ถู ามว่ า “ โอ้ เราะซู ลของอัลลอฮฺ พวกเขา(ที่ ได้ เข้ าสรรค์ น้นั )เป็ นใคร? ” ท่ านตอบว่ า “ อัล ญะ มาอะฮฺ ” (รายงานในสุนนั อิมาม อิบนุ มาญะฮฺ หมายเลข 3982) บางสํานวนท่านตอบว่า َص َحابي ْ “ َما أَنَا َعلَْيهِ َوأเหมือนกับฉันและเศาะหะบะฮฺของฉันเป็ นอยู่ ” กลุ่ ม ญะมาอะฮฺ ที่ ท่ า นนบี ก ล่ า วถึ ง คื อ กลุ่ ม คนที่ ยื น หยัด ในเรื่ อ งของเตาหี ดุ ล ลอฮฺ (เอกภาพของอัลลอฮฺ) การเชื่อฟังในคําสัง่ ใช้และคําสัง่ ห้ามของอัลลอฮฺ ให้ยนื หยัดบนสิ่ งนี้ท้ งั ใน คําพูด การกระทํา และหลักยึดมัน่ พวกเขาเหล่านี้แหละคือ อะฮฺ ลุลหักกฺ ( أهاللحقผูด้ าํ รงอยูบ่ น สัจธรรม) พวกเขาทําหน้าที่ในการเชิญชวนสู่ ทางนํา ไม่วา่ พวกเขาจะอยู่ ณ แห่ งหนใดบนโลก ใบนี้ แอฟริ กา อเมริ กา ยุโรป หรื อเอเชีย ก็ตาม เพราะความหลากหลายและความมากมายของญะมาอะฮฺเหล่านี้ จึงไม่แปลกที่บางครั้ง เรากลับพบความขัดแย้งบ้าง ในความเป็ นกลุ่มก้อนนี้ จึ งจําเป็ นอย่างยิ่งที่ กลุ่มทํางานจะต้อง ระมัดระวังในกรณี ที่มีความหลากหลายของญะมาอะฮฺ สมควรอย่างยิง่ ที่กลุ่มทํางานต่างๆจะต้อง ให้เกียรติซ่ ึงกันและกัน เพราะความหลากหลายที่เกิดขึ้นนี่เองจึงอาจจะทําให้เกิดความขัดแย้งกัน ในระหว่างญะมาอะฮฺ ซึ่ งผูเ้ ขียนเองเชื่ อเหลือเกิ นว่า ไม่ว่าญะมาอะฮฺ ไหนๆต่างก็มีเจตนาดี ต่อ ศาสนาอิสลามนี้เหมือนกัน ดังนั้นจงให้เกียรติซ่ ึงกันและกัน ในแต่ละญะมาอะฮฺน้ นั เข้าใจว่า ต่างก็มีความคิดความสามารถและความถนัดของงาน ที่ แตกต่างกันออกไป บางญะมาอะฮฺ ถนัดที่ จะทํางานกับต่างศาสนิ ก บางญะมาอะฮฺ ถนัดที่ จะ ทํางานกับเยาวชน บางญะมาอะฮฺถนัดมากกว่าที่จะทํางานกับกลุ่มคนที่เข้าใจศาสนามาบ้างแล้ว นั้นเพราะในสังคมเราต้องการกลุ่มคนที่ ทาํ งานหลากหลาย เป็ นไปไม่ได้ที่กลุ่มคนทํางานจะ ทํางานแค่ประเภทเดียว ดังนั้นอย่าได้คาดหวังว่ากลุ่มนั้นกลุ่มนี้จะต้องทํางานในแบบที่เราเห็นว่า มันดี และเหมาะสมกว่า เพราะในความเป็ นจริ ง จะต้องดูบริ บทหรื อองค์ประกอบหลายๆอย่าง ด้วย นั้นจึงเป็ นการไม่เหมาะสมที่เราจะตําหนิกลุ่มหรื อญะมาอะฮฺใดญะมาอะฮฺหนึ่งว่าทํางานไม่ เหมาะสมหรื อไม่ถูกใจตามความคิดของเรา แต่จงให้การสนับสนุ นกลุ่มหรื อญะมาอะฮฺ อื่นๆ ตราบใดที่พวกเขายังคงยึดมัน่ ในอะกีดะฮฺตามแบบฉบับของท่านนบีมูฮมั หมัด(ศ.ล.)และเศาะ หะบะฮฺ(ร.ฎ.) แต่เมื่อใดที่ ก็ตามที่พวกเขา เดินเขวออกนอกเส้นทางของอัลกุรอ่านและสุ นนะฮฺ แล้วละก็. .. เมื่ อ นั้น เราเองจําเป็ นจะต้องตักเตื อนซึ่ ง กันและกัน ผูเ้ ขี ยนข้อเปรี ยบเที ย บการ ทํางานญะมาอะฮฺ กบั การจัดทัพเพื่อทําสงคราม ทั้งในสมัยของท่านนบี มุหัมมัด(ศ.ล.) หรื อใน
13 สมัยของเคาะลีฟะฮฺ เองก็ตาม การจัดทัพในแต่ละครั้ง จําเป็ นที่ จะต้องแบ่ งเป็ นหมวดหมู่ ฝ่ าย ตามความถนัดของบรรดานักรบ ที่ต่างสมัครใจที่จะมาทํางานรับใช้ศาสนาของอัลลอฮฺ โดยการ จัดทัพนั้นจะต้องมีท้ งั ทหารราบ ทหารม้า พลธนู พลทหารถือหอก เป็ นต้น ลองสมมติวา่ ให้พล ทหารธนู เปลี่ยนหน้าที่ไปเป็ นพลทหารถือหอก เป็ นไปได้วา่ ศึกสงคราม ฝ่ ายเราอาจจะเป็ นฝ่ าย ที่ ถอยร่ นลงไปก่ อนก็เป็ นได้หรื อดี ไม่ดีก็อาจจะประสบกับความพ่ายแพ้ในศึ กสงครามซึ่ งก็มี ความเป็ นไปได้เช่นกัน เนื่องด้วยแม่ทพั มิได้มอบหมายหน้าที่ตามความถนัดและความเหมาะสม ให้ แ ก่ ท หาร การปฏิ บัติ เ ช่ น นี้ ก็ เ ช่ น เดี ย วกัน กับ การทํา งานของกลุ่ ม ญะมาอะฮฺ หากเราให้ ญะมาอะฮฺ ที่ถนัดจะทํางานกับเยาวชน มาทําหน้าที่ ดะวะฮฺ ให้กับคนเฒ่ าคนแก่ แทน แน่ นอน ผูเ้ ขียนเองเชื่อมัน่ ว่าเขาสามารถทําได้ แต่ความเชี่ยวชาญหรื อผลตอบรับที่ได้กลับมาอาจจะน้อย กว่าเมื่อเทียบกันเมื่อครั้งทํางานกับเยาวชนก็เป็ นได้ ในบ้านแห่งอิสลามหลังใหญ่แห่ งนี้ จะไม่มีความอบอุ่นเป็ นแน่ เมื่อใดก็ตามที่สมาชิก ของครอบครัวต่างแตกแยกกัน เพียงแค่ปัญหาเล็กๆน้อยๆที่เกิดขึ้นภายในบ้าน ความอบอุ่นจะ ยังคงอยูใ่ นบ้านแห่งนี้เสมอ เมื่อใดก็ตามที่สมาชิกในครอบครัว เกิดความไม่ลงรอยขึ้น แล้วพวก เขาก็นาํ ปั ญหานั้นเข้าแก้ไขด้วยอัลกุรอ่านและสุนนะฮฺ แน่นอนปั ญหาทั้งหมดทั้งมวลจะคลี่คลาย ลงได้พร้อมกับรอยยิม้ อันเปี่ ยมสุ ขของคนในครอบครัว จงรักกันไว้เถิด พี่นอ้ งผูข้ ายแล้วซึ่ งชีวิต บนดุนยานี้ จงจําไว้เถิด ศัตรู กาํ ลังจ้องจะทําร้ายเรา เมื่อใดก็ตามที่เราอ่อนแอจากความแตกแยก กันของพวกเราเอง หรื อเราอยากจะตกเป็ นเครื่ องมือของศัตรู จงคิดและใครครวญ! “ และพวกเจ้ าจงยึดสายเชือก ของอัลลอฮ์ โดยพร้ อมกันทัง้ หมดและจงอย่ าแตกแยกกัน และจง ราลึกถึงความเมตตาของอัลลอฮ์ ทมี่ ีแด่ พวกเจ้ า ขณะทีพ่ วกเจ้ าเป็ นศัตรูกนั แล้ วพระองค์ ได้ ทรง ให้ สนิทสนมกันระหว่ างหัวใจของพวกเจ้ า แล้ วพวกเจ้ าก็กลายเป็ นพีน่ ้ องกันด้ วยความเมตตา ของพระองค์ และพวกเจ้ าเคยปรากฏอยู่บนปากหลุมแห่ งไฟนรก แล้ วพระองค์ กท็ รงช่ วยพวกเจ้ า ให้ พ้นจากปากหลุมแห่ งนรกนั้น ในทานองนัน้ แหละ อัลลอฮ์ จะทรงแจกแจงแก่ พวกเจ้ าซึ่ง บรรดาโองการของพระองค์ เพือ่ ว่ าพวกเจ้ าจะได้ รับแนวทางอันถูกต้ อง ” ( อะลิอิมรอน 3:103) ..........
16
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เมื่ อ กล่ า วถึ ง นาซี แ ละอดอล์ฟ ฮิ ต เลอร์ ใครหลายๆคนคงจะนึ กถึ ง แต่ บ ทบาทอัน เลวร้ายของเขา ฆาตกร ทรราช และนักกระหายสงคราม ฯลฯ แต่นั่นก็เป็ นเพียงข้อเท็จจริ งที่ ชนรุ่ น หลัง ได้ต ัด สิ น เขาจากผลงานที่ เ ขาเคยสร้ า งไว้ใ นทางลบเท่ า นั้น แต่ เ บื้ อ งลึ ก และ เบื้องหลังของเขาเป็ นอย่างไรนั้น น้อยคนนักที่จะทราบและกล่าวถึง ฮิตเลอร์ในวัยเด็กนั้นเรี ยนเก่งมากและเคร่ งศาสนา จนเพื่อนๆ ไว้ใจให้เป็ นหัวหน้า แต่ ฮิตเลอร์ เองไม่อยากเป็ นข้าราชการ เพราะฮิตเลอร์ ชอบศิลปะ เขาอยากจะเป็ นจิตรกรมากกว่า ข้าราชการ สิ่ งนี้ทาํ ให้ฮิตเลอร์เปลี่ยนไปสนใจในศาสตร์ ต่อสู ้และศิลปะ ทําให้ผลการเรี ยนตก ตํ่าลงเรื่ อยๆ จนผลการเรี ยนเริ่ มแย่ลง เพื่อนๆ เลิกไว้ใจ ปลดฮิตเลอร์ จากการเป็ นหัวหน้าและ บิดาก็ดุด่าฮิตเลอร์ เกรงว่าอนาคตฮิตเลอร์ จะไม่สามารถเข้ารับราชการได้ ดังนั้นฮิตเลอร์ จึง เลือกที่ จะทําสองประการคือ หนึ่งจะต้ องเป็ นผู้ที่อยู่ในคณะชาตินิยม และสองจะศึ กษาวิชา ประวัตศิ าสตร์ อย่ างลึกซึ้งเพือ่ ให้ เข้ าใจความรู้ สึกทัว่ ไป เนื่ องจากฮิตเลอร์ เห็นว่าเยอรมันได้ถูก ชนชาติอื่นกลืนกินเรื่ อยมา แม้แต่กรุ งเวียนนา ประเทศออสเตรี ย (ที่ฮิตเลอร์ เคยอาศัยอยูใ่ นวัย หนุ่ม) กษัตริ ยข์ องออสเตรี ยก็พยายามแก้ปัญหานี้ แต่โดยวิธีการที่หันไปพึ่งเชคโกสโลวาเกีย โดยไม่สนใจแนวคิดที่จะรวมประเทศกับเยอรมัน อันเป็ นเหตุให้ อาร์ คดยุค ฟรานซิส เฟอร์ ดินันด์ (Franz Ferdinand) มงกุฎราชกุมารแห่งออสเตรี ยถูกลอบสังหารโดย กาฟรีโล ปริซีป
(Gavrilo Princi) แห่ งกลุ่ มนักอนุ รักษ์นิ ยมชาวเซิ ร์บ ส์ อัน เป็ นจุ ด แตกหักที่ ท ําให้เ กิ ด สงครามโลก ครั้งที่ 1.... ด้วยความที่ฮิตเลอร์ เป็ นคนที่ชอบศึกษาประวัติศาสตร์ และเคร่ งศาสนา(คริ สต์)อย่าง มาก ด้วยเหตุน้ ี ที่ทาํ ให้เขานั้นเห็นความร้ายกาจของชาวยิวตั้งแต่อดี ตจนถึงปั จจุบนั นํามาซึ่ ง หายนะครั้งยิง่ ใหญ่ในปฏิบตั ิการล้างเผ่าพันธุ์ยวิ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ความเป็ นปรปักษ์ ของชาวยิวต่ อมุสลิม ชาวยิวได้กล่าวอ้างอย่างไร้สาระว่าพวกตนคือชนชาติที่ได้รับการเลือกสรรจากพระ เจ้าและเผ่าพันธุ์มนุ ษย์อื่นๆ ที่ มิใช่ชาวยิวล้วนแต่ถูกสร้างมาเพื่อเป็ นทาสของชาวยิว ซํ้าร้าย พวกยิวยังได้อา้ งอีกด้วยว่า พวกตนคือบุตรและผูเ้ ป็ นที่รักยิ่งของพระผูเ้ ป็ นเจ้า การมีมุมมอง เช่นนี้ก่อให้เกิดปั ญหาทั้งในส่วนของยิวเองและมนุษยชาติโดยรวม และยังทําให้ความเมตตต่อ พลโลกถูกปฏิเสธ ( ) رمحة للعامليออกไปจากหัวใจของชาวยิว พวกเขาจึงมักไม่รีรอในการ
17 ก่อสงครามกับชนชาติอื่นๆ และมีผลทางจิ ตวิทยาทําให้เกิดปมด้อยเกี่ยวกับความเชื่ อว่าพวก ตนคือชนชาติที่ถูกคัดเลือกของพระเจ้าซึ่ งทําให้มีความหยิ่งยโสมากขึ้นตลอดจนการปลีกตัว ไม่ขอ้ งแวะสุงสิ งกับเผ่าพันธุ์มนุษย์อื่นๆ พวกเขาจะไม่มองเรื่ องราวต่างๆ ในมุมมองที่รวมเอา พวกเขาและประชาชาติ ท้ งั หมดเข้าไว้ใ นความนึ กคิ ด แต่จะมองชนชาติ อื่นๆ เป็ นมุมมอง เฉพาะ (อัลหะเราะกะฮฺ อัลฟิ กรี ยะฮฺ หน้า 208) ตั้งแต่สมัยท่านนบีมุหัมมัด(ศ็อลฯ)ฮิจเราะฮฺไป ยังนครมะดีนะฮฺแล้ว ที่ชาวยิวเป็ นปรปั กษ์กบั อิสลามเสมอมา ก่อนหน้านี้ ชาวยิวในนครยัษริ บ (นครมะดี นะฮฺ ) จะปฏิ บตั ิกบั กลุ่มชาติพนั ธุ์อื่นจาก ชนเผ่าเอาสฺ และอัลคอสรอจญ์ (เผ่าอาหรับในยัษริ บ) บนพื้นฐานที่วา่ พวกตน (ชาวยิว) มีความ โดดเด่ น เหนื อ กว่าชาวอาหรั บ ทั้ง สองเผ่า นี้ เพราะชาวยิว ถื อว่าตนคื อผูไ้ ด้รับ คัม ภี ร์ และมี ความรู ้ เลยยุแหย่ให้อาหรับทั้งสองเผ่านี้ รบพุ่งกันไม่รู้จกั หยุดหย่อน เพื่อให้พวกยิวเองได้มี อํานาจเหนือทั้งสองเผ่านั้นโดยปริ ยาย ท่านนบีมุหมั มัด(ศ็อลฯ) ได้มีพนั ธะสัญญาระหว่างท่านเองกับชาวยิวนับแต่ที่ท่านได้ ลงพํานักที่ นครมะดี นะฮฺ ดว้ ยการรับรองความปลอดภัยแก่ชาวยิวในเสรี ภาพแห่ งการถือใน ศาสนาของตนและการประกอบพิธีกรรมตามความเชื่ อ โบสถ์วิหาร ทรัพย์สิน และสิ ทธิ อนั ชอบธรรมและคงไว้ซ่ ึ งความเป็ นพันธมิตรของพวกเขากับชนเผ่าเอาวสฺ และอัลคอสรอจญ์ ตลอดจนการช่วยเหลือและการคุม้ ครองความปลอดภัยแก่ชาวยิว โดยมีเงื่อนไขว่าชาวยิวจะ ต้องไม่บิดพลิ้วหักหลังและประกอบสิ่ งที่ ชวั่ ช้า รวมถึงชาวยิวต้องไม่กระทําตนเป็ นสายลับ และให้การช่วยเหลือศัตรู แต่ในช่วงเวลาอันสั้น ชาวยิวก็ถือว่าการมายังนครมะดีนะฮฺของท่านนบี เป็ นลางร้าย สํา หรั บพวกตนและเริ่ ม มองดู ท่ า นด้ว ยสายตาที่ หวาดระแวงและเกรงว่า ท่ า นจะสามารถ สถาปนาความมัน่ คงแห่ งรัฐอิสลามที่เกิ ดขึ้นใหม่และการเผยแพร่ คาํ สอนของท่านจะเป็ นที่ แพร่ หลาย อีกทั้งสร้างความเป็ นปึ กแผ่นระหว่างชนอาหรับทั้ง 2 เผ่าภายใต้การเป็ นผูน้ าํ ของ ท่านนบี ซึ่ งจะทําให้การบาดหมางอันยาวนานระหว่างชน 2 เผ่าที่เป็ นปั จจัยแห่ งฐานอํานาจ ของชาวยิวยุติลง การณ์กลับกลายเป็ นว่าชาวยิวมองเห็ นว่าพวกตนมีสิทธิ รอคอยให้ท่านนบี น้ นั เข้า ร่ วมกับฝ่ ายตนดังที่ โองการอัลกุรอานได้บอกให้ท่านศาสดาทราบว่า : พวกเขา(ชาวยิว) ได้ กล่ าวว่ า จะไม่ มีทางได้ เข้ าสู่ สวนสวรรค์ นอกจากบุ คคลที่เป็ นชาวยิวหรื อคริ สเตียน (อัลบะ
18 เกาะเราะฮฺ 2:111) และโองการที่วา่ : และพวกยิวตลอดจนพวกคริสเตียนย่ อมไม่ มีวันพึงพอใจ ต่ อท่ านจนกว่ าท่ านจะปฏิบัตติ ามแนวทางอันเป็ นศาสนาของพวกเขา(อัลบะเกาะเราะฮฺ 2:120) และโองการที่วา่ : และพวกเขาได้ กล่ าวว่ า พวกท่ านจงเป็ นยิวหรือคริสเตียนเถิด พวกท่ านจัก ได้ รับทางนา (อัลบะเกาะเราะฮฺ 2:135) ความเป็ นปฏิ ปั ก ษ์ศัต รู เ ยี่ ย งจารี ต ระหว่า งชาวยิ ว และศาสนาอิ ส ลามมี ร ากเหง้า ย้อนกลับไปถึงยุคแรกแห่ งการปรากฎขึ้นของศาสนาอิสลาม และนับตั้งแต่อิสลามได้รับชัย ชนะและมีการเนรเทศชาวยิวออกจากนครมะดีนะฮฺของท่านนบีมุหมั มัด (ศ็อลฯ) ซึ่งเป็ นผลมา จากความบิดพลิ้วสัญญาที่เกิดขึ้นซํ้าซาก และความเป็ นศัตรู ที่ไม่เคยสร่ างซาของชาวยิวต่อรัฐ อิสลาม และภายหลังชาวยิวได้ถูกเนรเทศอีกครั้งจากคาบสมุทรอาหรับทั้งหมดในสมัยท่าน อุมรั อิบนุลค็อฏฏอบ (ร.ฎ.) เคาะลีฟะฮฺท่านที่2 และ อับดุลลอฮฺ อิบนุ สะบาอฺ ชาวเยเมนที่เข้า พบท่ านอุษมานและขอจับมื อกล่าวชาฮาดะฮฺ ก็โดนท่ านอุษมานขับไล่ออกไปเช่ นกัน อัน เนื่ องมาจากนิ สัยที่ ผคู ้ นรู ้กนั แต่เก่าแต่ก่อน ซํ้ายังเป็ นหัวหน้าพวกยิวซึ่ งควบตําแหน่งมุนาฟิ ก และต้นต่อแนวคิดลัทธิ ชีอะฮฺดว้ ยนั้น ด้วยความแค้น พวกยิวก็วางแผนการร้ายเพื่อทําลายล้าง อิสลามให้หนักข้อมากยิง่ ขึ้น กล่าวคือ ชาวยิวบางคนได้เสแสร้งเข้ารับอิสลามและแพร่ พิษร้าย ในเรื อนร่ างของประชาชาติอิสลามตลอดช่วงระยะเวลาอันยาวนานในประวัติศาสตร์ เนื่องเพราะชาวยิวเห็นว่าระบอบการปกครองแบบคอลีฟะฮฺเป็ นเสมือนปิ ศาจร้ายที่น่า สะพรึ งกลัวและคุกคามต่ออนาคตของพวกตน สุ ลฏอนอับดุลหะมีดที่ 2 คอลีฟะฮฺท่านสุดท้ายก่อนระบอบคิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺจะถูก ปิ ดฉากลง ยิวได้สถาปนาขบวนการเคลื่ อนไหวไซออนิ สต์ข้ ึ นมาอย่างเป็ นทางการและมี ข้อตกลงพ้องกันว่า พวกเขาต้องหาที่อยูเ่ ป็ นหลักเป็ นแหล่งให้เขาเสี ยที ที่ๆพวกเขาจะสถาปนา เป็ นรัฐยิว (ไม่ได้แค่จะไปอาศัยอย่างเดียวนะครับ แต่จะไปเป็ นเจ้าของเลย-ผูเ้ ขียน) เลยสรุ ปได้ ว่า ดิ นแดนปาเลสไตน์คือดิ นแดนที่ พวกเขามีสิทธิ ไปเป็ นเจ้าของมากที่ สุดเพราะเอาข้ออ้าง ที่ ว่า ปาเลสไตนน์เป็ นดิ นแดนพันธะสัญญาสําหรับพวกเขาโดยเฉพาะ แต่เรื่ องนี้ ไม่ง่ายนัก สําหรั บพวกเขา เพราะปาเลสไตน์ยงั อยู่ภายใต้การปกป้ องของรั ฐอุษมานี ยะฮฺ พวกเขาเลย ตัดสิ นใจเข้าพบคอลีฟะฮฺอบั ดุลหะมีดที่ 2 และเสนอสิ นบนให้ท่านคอลีฟะฮฺ เพราะชาวยิวคิด ว่ารัฐอิสลามอุษมานียะฮฺตอนนั้นเกิดความวุน่ วายและมีหนี้ สินมาก เลยใช้อุบายนี้ เพื่อให้ท่าน คอลีฟะฮฺยอมที่จะรับรองรัฐยิวซึ่งได้สถาปนาในดินแดนปาเลสไตน์ แต่ทว่าความเป็ นผูศ้ รัทธา
19 และอะมะนะฮฺ ในตัวของท่ านคอลี ฟะฮฺ น้ ันสู งส่ งยิ่งนัก ท่ านได้ปฎิ เสธเงิ นสิ นบนนั้น ด้วย ถ้อยคําที่กินใจอย่างยิง่ ว่า “ แผ่ นดินอันเป็ นมาตุภูมิของเราย่ อมมิอาจนามาซื้อขายด้ วยเงินทองได้ เลย แผ่ นดิน ที่เราได้ มาทุกคืบทุกศอกนั้น ล้ วนแต่ ได้ มาด้ วยการสู ญเสียเลือดเนื้อของเหล่ าบรรพบุรุษแห่ ง เรา เราจึงมิอาจละเลยได้ เลยแม้ แต่ เพียงคืบเดียว โดยที่เราหาได้ ทาการอุทิศทุ่มเทให้ มากกว่ าที่ เหล่ าบรรพชนได้ อุทศิ เลือดเนื้อในวิถที างเช่ นนั้น ภาระหนี้สินของประเทศนีย้ ่ อมมิใช่ เรื่องทีน่ ่ า อดสู แต่ อย่ างใด ประเทศอื่นๆ เช่ น ฝรั่ งเศสก็เป็ นหนี้เป็ นสิ นเช่ นกัน (อัสรอร อัลอิงกิลาบ อัล อุษมานียะฮฺ หน้า 7 และ อัลอัฟอา อัลยะฮูดียะฮฺ หน้า 84) บัยตุ้ลมักดิส อันทรงเกียรติ (กรุงเยรูซาเล็ม) นั้น ชาวมุสลิมได้ พชิ ิตเป็ นครั้ งแรก ในสมัยเคาะลีฟะฮฺอุมัร (ร.ฎ.) และข้ าพเจ้ าก็หาได้ พร้ อมไม่ ที่จะแบกรั บรอยด่ างพร้ อยใน ประวัติศาสตร์ ด้วยการขายแผ่ นดินอันศักดิ์สิทธิ์ให้ แก่ ชาวยิวและบิดพลิ้วต่ อภาระหน้ าที่ซึ่ง มวลมุสลิมได้ มอบหมายให้ ข้าพเจ้ าพิทกั ษ์ รักษาภารกิจนั้นไว้ ขอให้ ชาวยิวเก็บรั กษาทรั พย์ สิน ของพวกเขาไว้ เถิด จัก รวรรดิอุษมานียะฮฺมิอาจจะหลบเร้ นจากผองภั ยอยู่เ บื้องหลังป้ อม ปราการทีถ่ ูกสร้ างขึ้นด้ วยทรัพย์ สินของเหล่ าศัตรูแห่ งอิสลามได้ เลยแม้ แต่ น้อย ” (อัสสุ ลฏอน อับดุลหะมีดที่ 2 และปาเลสไตน์ หน้า 180) เมื่อชาวยิวได้รับรู ้แล้วว่าพวกเขาต้องจบความฝันของพวกเขาเป็ นแน่ ถ้าหากสุ ลฏอน อับดุลหะมีดที่ 2 และสุ ลฏอนอื่นๆหลังจากท่านจะมีอุดมการณ์และมีความศรัทธาในอิสลาม สู งส่ งอย่างท่านด้วย แต่ทว่าพวกเขายังไม่สิ้นหวัง มีอยูท่ างเดี ยวนั้นก็คือ การปลดเคาะลีฟะฮฺ อับดุลหะมีดที่ 2 ออกจากตําแหน่ งและหาสุ ลฏอนคนใหม่ที่จะเป็ นเพียงหุ่ นเชิ ดที่ จะปูทาง ความฝันให้กบั ตน เลยเกิดการรณรงค์ให้ประชาชนทัว่ ไป ทหาร นักศึกษา ฯลฯ ให้หลงเชื่อว่า ท่านเคาะลีฟะฮฺ น้ นั เป็ นคนโหดเหี้ ยม ไร้คุณธรรม และไม่เหมาะสมที่ จะดํารงตําแหน่งผูน้ าํ ของอาณาจักรอีกต่อไป เพราะมีความคิดครํ่าครึ ลา้ สมัย ทําให้ความเจริ ญของรัฐต้องหยุดชะงัก (ทั้งๆที่ไม่เป็ นความจริ งเลยเพราะผลงานของท่านมีหลายอย่างที่ทาํ ให้อุษมานี ยะฮฺน้ นั ลํ้าหน้า กว่าใครในโลกนี้ เสี ยอีกในสมัยนั้น เช่น รถไฟสายฮีญาซ ที่ เชื่อมการคมนาคมภายในรัฐอัน กว้างใหญ่ดว้ ยขบวนรถไฟซึ่งสมัยนั้นหรื อสมัยนี้ก็ไม่ได้เป็ นเรื่ องง่ายนัก) วิธีการนี้ เป็ นวิธีการ อันแยบยลมากเพราะการรณรงค์เป็ นไปอย่างเบาๆเรื่ อยๆ ค่อยแทรกซึมผ่านสื่ อ และคนของยิว เอง ที่ได้แทรกซึมและกัดกร่ อนภายในสภาสูงของเคาะลีฟะฮฺ มีชาวยิว(มุนาฟิ ก)หลายคนที่เข้า
20 รับอิสลามเพื่อเข้าไปอยู่ภายในรัฐบาลของอุษมานี ยะฮฺ เพื่อเป้ าหมายเดี ยวคือ ปลดท่านเคาะ ลีฟะฮฺอบั ดุลหะมีดที่ 2 ออกจากตําแหน่ง การเกิ ด ขึ้ น ของพวกมาโซนิ ค (Masonic, Freemason) กลุ่ ม แนวร่ ว มของ ไซออนิ สต์ (Zionism) ฯลฯ องค์ก รเหล่า นี้ มี บ ทบาทสํา คัญในการสร้ า งคนสร้ า งความ โกลาหลให้กบั รัฐอิสลามและยุยงให้ชนกลุ่มน้อยต่างๆในรัฐมีความเป็ นชาตินิยมขึ้นอย่างบ้า คลัง่ ในเวลาสั้นๆได้ แม้แต่บรรดาชัยคฺ ต่างๆของลัทธิ ซูฟีก็ถูกหลอกใช้ดว้ ยเช่นกัน รวมถึงการ ใช้วิธีการสกปรกโหดร้ายด้วยการวางแผนลอบสังหารท่านเคาะลี ฟะฮฺ หลายครั้งหลายครา แต่อลั หัมดุลิลลาฮฺ อัลลอฮฺ (สุ บหานะฮุวะตะอาลา) ยังทรงปกป้ องท่าน แต่ทา้ ยที่ สุด ชาวยิว ประสบความสําเร็ จในการโน้มน้าวสภามุฟตีสูงให้ปลดท่านเคาะลีฟะฮฺจากตําแหน่งจนได้ ในวันอังคารที่ 27 เมษายน ค.ศ.1901 สภาผู้ทรงคุณวุฒิได้ เปิ ดประชุ มร่ วมและมีมติ เห็นพ้ องในการถอดสุ ลฏอนอับดุลหะมีดที่ 2 จากอานาจ และเพื่อย้าให้ เห็นถึงบทบาทของ ชาวยิวในการนี้ คณะผู้แทนที่เข้ าเฝ้ าสุ ลฏอน ชาวยิวเข้ าร่ วมในคณะด้ วย ชาวยิวผู้นี้คือศั ตรู หมายเลขหนึ่งของอิสลาม เป็ นผู้อยู่เบือ้ งหลังการวางแผนการต่ างๆ ที่หมายทาลายระบอบการ ปกครองอิสลามแบบคิลาฟะฮฺ คณะผู้แทนได้ เข้ าเฝ้ าสุ ลฏอนและพบว่ าพระองค์ ทรงยืนอยู่บน พระบาทอย่ างมัน่ คงและมีสติทหี่ นักแน่ น เมื่ออาริฟ หิกมัต ปาชา (Arif Hikmat Pasha ) (ยิวชาวตุรกีในสภาที่มีบทบาทโค่น ล้มเคาะลีฟะฮฺ) ได้อ่านคําวินิจฉัยของท่านชัยคุลอิสลาม ฎิยาอุดดีน อะฟันดีย์ ให้ท่านรับทราบ เสร็ จสิ้น ท่านก็ทรงตอบเยีย่ งผูศ้ รัทธาที่มีความเชื่อมัน่ ในพระผูเ้ ป็ นเจ้าว่า "ดังกล่ าวนั้น คือการ ลิขิตของพระองค์ ผ้ทู รงเกียรติและปรีชาญาณ" ขณะนั้นเอง อัสอัด ฏูบฏอนีย์ ชาวแอลบาเนี ย ก็ก้าวออกมาเบื้ องหน้า พร้ อ มกล่ าวขึ้ นว่า "ประชาชาติไ ด้ ถอดพระองค์ ออกจากพระราช อานาจแล้ ว" เมื่อท่านได้ยนิ คําพูดเช่นนี้ สุ ลฏอนอับดุลหะมีดก็กริ้ วและกล่าวว่า "ถ้ าท่ านมุ่ง หมายจริงๆ ว่ าประชาชาติได้ ถอดฉันออกจากตาแหน่ งแล้ ว นั่นคงไม่ เป็ นไร แต่ ทว่ าด้ วยเพราะ เหตุอนั ใดพวกท่ านจึงได้ นายิวครุซโซผู้นเี้ ข้ ามายังสถานทีแ่ ห่ งเคาะลีฟะฮฺด้วย" (อัสรอร อัลอิง กิลาบ อัลอุษมานียะฮฺ หน้า 100,101) ภายหลังการรัฐประหารโค่นล้มซึ่ งชาวยิวมีบทบาทอย่างใหญ่หลวง พวกยิวก็หายใจ หายคอได้คล่องขึ้น พวกมาโซนิ คก็บรรลุผลสมประสงค์ แผนการถอดสุ ลฏอนอับดุลหะมีดก็
21 ประสบความสําเร็ จ มุหัมมัดที่ 5 (Mehmed VI)1 ก็ถูกสถาปนาขึ้น เป็ นสุ ลฏอนที่มีฐานะเป็ น เพียงแค่สญ ั ลักษณ์เท่านั้น (เราจึงถือได้วา่ การถอดถอนท่านเคาะลีฟะฮฺอบั ดุลหะมีดที่ 2 นัน่ คือ การจบสิ้นการปกครองแบบคิลาฟะฮฺในสมัยอุษมานิ ยะฮฺไปแล้วตั้งแต่บดั นั้น) และระยะเวลาที่ อยูร่ ะหว่างการถอดสุ ลฏอนกับการประกาศสิ้ นสุ ดระบอบการปกครองแบบคิลาฟะฮฺน้ นั เป็ น เพียงช่วงเวลาที่ทาํ ให้แผนการของไซออนิ สต์มีความสมบูรณ์สําหรับการทําลายล้างระบอบ เคาะลีฟะฮฺอนั เป็ นที่มนั่ สุดท้ายที่สาํ คัญของโลกอิสลามเท่านั้น
สงครามโลกครั้งที่ 2 หลังจากไฟที่ปะทุของสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้มอดไปในปี ค.ศ.1918 และ รั ฐ คิ ล าฟะฮฺ อุ ษ มานี ย ะฮฺ ก็ ไ ด้ห ายจากแผนที่ โ ลกไป หลัง จากนั้น ไม่ น าน ในปี ค.ศ.1924 ประเทศต่ างๆที่ เคยเป็ นส่ ว นหนึ่ งของรั ฐคิ ลาฟะฮฺ ก็กลายเป็ นประเทศเล็กๆย่อยๆไปอย่า ง ปราศจากผูน้ าํ อภิมหาสงครามโลกได้ปะทุข้ ึนครั้งที่ 2 หลังจากนั้นอีกในปี ค.ศ. 1939 โดย ระหว่ า งกลุ่ ม ประเทศอัก ษะ (Axis) ที่ นํ า โดยเยอรมัน ได้เ ปิ ดฉากสงครามขึ้ นกั บ ฝ่ าย สัมพันธมิตร(Allies) ที่นาํ โดยสหราชอาณาจักร (United Kingdom) สงครามครั้งนี้ ยืดเยื้อ เป็ นเวลา 6 ปี คร่ าชีวิตทหารและพลเรื อนมากมาย สงครามครั้งนี้ มีเหตุการณ์ที่สาํ คัญที่มุสลิม ควรศึกษาและตั้งข้อสังเกตกับเหตุการณ์น้ ี มากๆ นัน่ ก็คือ...เหตุการณ์การกวาดล้างเผ่าพันธุ์ยิว ซึ่ งชาวยิวถูกฆาตรกรรมไปทั้งหมดประมาณ 5-6 ล้านคน เป็ นชาวยิวรวมทั้งชาวโปแลนด์ที่ เป็ นยิว 3 ล้านคน ในเหตุการณ์ครั้งนี้ (รวมถึง 10,000-25,000 คน ที่เป็ นพวกรักร่ วมเพศอีก ด้วย) ชาวยิวจากทัว่ ยุโรปต้องระหกระเหิ นหนีตายจากแผนการล้างเผ่าพันธุ์ยวิ ของฮิตเลอร์และ ส่ วนใหญ่ใช้โอกาสนี้ หนี จากยุโรปมาสู่ ดินแดนปาเลสไตน์ ซึ่ งตอนนั้นยังอยู่ใต้อาณัติของ อังกฤษ (อุษมานี ยะฮฺ เสี ยปาเลสไตน์ ให้ กับอังกฤษเมื่อ สงครามโลกครั้ งที่ 1) ชาวยิวกลุ่มแล้ว กลุ่มเล่าอพยพมาอยู่ ณ ดินแดนอัลกุดส์ (เยรู ซาเล็ม) ดินแดนที่พวกเขาใฝ่ ฝันมาเนิ่ นนานที่จะ เป็ นเจ้าของ แต่ทว่าพวกเขามาอยู่ ณ ดินแดนนี้ โดยมีท่าทีที่จะรุ กรานเจ้าของบ้านเดิมนัน่ ก็คือ ชาวมุสลิมอาหรับ ขบวนการไซออนิ สต์จดั ตั้งกองกําลังทหารของตัวเองขึ้นมาอย่างไม่ได้รับ อนุญาตและใช้ในทางที่ ไม่ถูกไม่ควรกับชาวมุสลิมและทําให้มุสลิมต้องเดือดร้อน ในขณะที่ อังกฤษทําราวกับไม่รู้เห็นอะไรเลย แต่มุฟตีใหญ่แห่ งอัลกุดส์ เยรู ซาเล็ม เชคมุหัมมัด อามีน อัลหุสัยนีย์ (Muhammad Amin al-Husayni ผูเ้ ป็ นลุงของนายเยสเสอร์ อะเราะฟั ต อดี ต
22 ประธานาธิบดีปาเลสไตน์) มุฟตีผนู ้ ้ ี มีประวัติอนั โชกโชนในสมรภูมิรบเมื่อครั้นยังเป็ นทหาร ในกองทัพอุษมานี ยะฮฺช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 มิอาจทนนิ่ งดูดายต่อไปได้และคิดที่จะต่อสู ้ แต่ทว่าบรรดาประเทศมุสลิมในสมัยนั้นตกตํ่าถึงขีดสุ ด ไม่มีอาํ นาจใดๆ แม้แต่ดินแดนของ ตัวเองก็ยงั อยูใ่ ต้อาณัติของผูช้ นะสงครามโลกครั้งที่ 1 เกือบทั้งสิ้น จึงไม่มีหนทางใดที่จะยับยั้ง ชาวยิวจากการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนอัลกุดส์ นอกจากจะไปพึ่งฮิตเลอร์ “ผูท้ ี่เกลียด ชังยิว! ” มุฟตีได้เดินทางไปเยอรมนี และฮิตเลอร์ ได้ให้เกียรติมุฟตีโดยอนุญาตให้ท่านได้พบ ตนโดยการส่ วนตัว มุฟตี จึงเสนอให้ อดอล์ฟ ฮิ ตเลอร์ ช่ วยรั บรองความปลอดภัยของชาว มุสลิมในตะวันออกกลางและขอให้มาช่วยแก้ไขปั ญหาของชาวยิวที่ ได้อพยพเข้ามาอยู่ใน ปาเลสไตน์ เนื่องจากเหตุการณ์กวาดล้างเผ่าพันธุ์ของนาซีครั้งนั้น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้รับปาก มุฟตีไป แต่เสนอข้อแลกเปลี่ยนให้มุฟตีสรรหากองกําลังมุสลิมมาเป็ นกําลังหนุนฝ่ ายเยอรมัน เพื่อป้ องกันชาวมุสลิมบอสเนียจากการรุ กรานของชาวเซิร์บ (Serb ที่ภายหลังสงครามโลกครั้ง ที่ 2 ชาวเซิ ร์บฆาตรกรรมหมู่มุสลิมไปมากมายในประเทศบอสเนี ย-เฮอเซโกวินา) มุฟตีตอบ ตกลงและเดินทางไปยังบอสเนี ยโดยทันที และที่นนั่ เขาเปรี ยบเสมือนทั้งผูน้ าํ ทางจิตวิญญาณ และผูน้ าํ ทางทหารไปพร้อมๆกัน กองกําลัง Handschar เป็ นหนึ่ งในกองกําลังทหารย่อยหน่วย SS (Schutzstaffel) ของเยอรมัน ซึ่ งเป็ นกองทหารส่ วนตัวของฮิ ตเลอร์ Handschar เป็ นกองกําลังหนึ่ งเดี ยวที่ ทหารเกือบทั้งกองเป็ นมุสลิม และที่ พิเศษสุ ดก็คือมีผนู ้ าํ เป็ นมุฟตี กองทหารนี้ เป็ นกองทหาร ราบภูเขา ส่ วนใหญ่เป็ นมุสลิมบอสเนี ย ก่ อนหน้านี้ บอสเนี ยเคยเป็ นส่ วนหนึ่ งและเป็ นกอง กําลังที่สาํ คัญในสมัยอุษมานียะฮฺ ความแข็งแกร่ งของพวกเขาคือความแข็งแกร่ งทีย่ งั หลงเหลือ จากจัก รวรรดิ อุ ษมานีย ะฮฺ แม้แ ต่ชุ ด เครื่ อ งแบบทหารก็ ย งั คงรู ป แบบคล้า ยกับ ทหารของ อุษมานียะฮฺ และไม่ยอมที่จะทิ้งสัญลักษณ์ของคิลาฟะฮฺเป็ นอันขาด นัน่ ก็คือตอรบูช2 มุฟ ตี แ ละกองกํา ลัง Handschar ได้ต่ อ สู ้ส มรภู มิแ ล้ว สมรภู มิเ ล่ า และด้วยความ ประสงค์ของอัลลอฮพวกเขาก็ประสบชัยชนะมาโดยตลอด มุฟตีได้เรี ยกร้องมุสลิมอาหรับใน เยอรมันให้เข้ามาร่ วมรบต่อต้านยิวโดยการเข้าร่ วมรบกับกองทัพเยอรมันเพื่อต่อต้านยิวไม่ให้ เข้าไปยึดครองในดินแดนของตน แต่ทว่าท้ายที่สุดสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงด้วยฝ่ ายอักษะ แพ้สงครามในปี ค.ศ. 1945 โดยที่กองทัพเยอรมันยังไม่ทนั ที่ทาํ อะไรชาวยิวในปาเลสไตน์ เลย ผ่านมาแล้ว 65 ปี สถานการณ์สถานการณ์ในปาเลสไตน์ ยังเหมือนเดิมและเลวร้ายยิง่ ขึ้น จน-
23 ในเวลานี้ ไม่เหลือพื้นที่ ๆเรี ยกว่าปาเลสไตน์ในแผนที่โลกอีกแล้ว เหลือเพียงดินแดนอันน้อย นิดที่มุสลิมปาเลสไตน์ได้อาศัยและเป็ นเจ้าของอยู่ กองกําลังไซออนิ สต์ยงั คงรังแกเราทุกวี่ทุก วัน ความอ่อนแอของมุสลิมยังฝังรากลึกด้วยความแตกแยกกันเอง กลับกลายเป็ นว่ายิวนั้นได้ ระบายความเจ็บแค้นที่ เคยเจ็บปวดแสนสาหัสในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 มายังมุสลิม ปาเลสไตน์แทน จะเป็ นไปได้ไหมว่า ยิวแค้นเคืองมุสลิมที่ครั้งหนึ่ งได้เคยเข้าร่ วมกับผูท้ ี่ตน เกลียดชังเป็ นที่สุด เรื่ องนี้ก็มิอาจยืนยันได้แม่นมัน่ ในยุคของเราปั จจุบนั ทั้งรัฐคิลาฟะฮฺอุษมานี ยะฮฺ Handschar และท่านมุฟตีมุหัมมัด อามีน อัลหุ สัยนี ย ์ ต่างก็จากปาเลสไตน์ไปทั้งหมดแล้ว (แต่ไซออนิ สต์ยงั คงอยู่) เหลือพี่นอ้ ง มุสลิมไม่มากที่ยงั คงต่อสู ต้ ่อความโหดร้ายของชาวยิวในดินแดนปาเลสไตน์ ชัยชนะนั้นย่อม มาสู่ พลพรรคของอัลลอฮฺ แน่ นอน อิ น ชาอัลลอฮฺ แต่เมื่ อไหร่ น้ ัน เรายังมิ อาจรู ้ และยังคงมี คําถามในใจมุสลิมหลายๆท่านว่า เมื่อไหร่ ประโยคที่วา่ “มุสลิมมีเรือนร่ างอันเดียวกัน” นั้น มันจะถูกทําให้เป็ นจริ งขึ้ นมาอี กครั้ งเหมื อนในอดี ต มันยากยิ่งนักใช่ ไหมสําหรั บดวงใจที่ เปราะบางของอุมมะฮฺมุสลิม ?
“ I could have killed all the Jews in the world but i left some of them so you know why i was killing them ” ...Adolf Hitler “ ถ้ าข้ าพเจ้ าจะฆ่ ายิวให้ หมดไปจากโลกนี้ ก็ย่อมทาได้ แต่ ข้าพเจ้ าเหลือพวกเขาไว้ บ้าง เผือ่ พวกท่ านจะได้ รู้ ว่า ทาไมข้ าพเจ้ าถึงได้ ฆ่าพวกเขา ” ...อดอล์ ฟ ฮิตเลอร์ ..........
1.คนตุรกีเมื่อมีการใช้ชื่อคนว่า “Muhammad”สําหรับคนทัว่ ไปจะถูกใช้วา่ Mehmed โดยที่ คําว่า Muhammad จะถูกใช้ก็ต่อเมื่อเรี ยกท่านศาสนฑูตมุฮมั มัด(ซ.ล.) ผูเ้ ป็ นที่รักเท่านั้น 2.ตอรบูช (Tarboosh) หรื อ fez คือหมวกที่ประชาติมุสลิมในสมัยของอาณาจักรอุษมานี ยะห์ สวมใส่ ซึ่ งเป็ นสัญลักษณ์ของรัฐคีลาฟะฮอุษมานี ยะห์ มีลกั ษณะเด่นคือ สี แดงทรงสู ง มีไหม แดงหรื อดําคล้ายขนม้า ยาวทอดไปด้านหลัง
อบูซุฟยาน อิบนิฮาริษ
อ เรียบเรียงโดย ครูยะฮฺยา อับดุลการีม
“ … ขอให้ เธอสังเกตดูนะว่ าเขาจะเข้ ามัสยิดเป็ นคนแรก จะออกเป็ นคนสุ ดท้ าย และสายตา ของเขา จะไม่ จบั ต้ องสิ่งใด เว้ นแต่ มองเข้ าไปข้ างหน้ า มองดูทๆี่ เท้ าจะก้ าวไปเท่ านั้น…” น้อยที่ สุดที่ จะเกิ ดเหตุจูงใจบุ ค คลสองคนให้สนิ ทสนมกันเหมื อ นกับที่ ได้เ กิ ดขึ้ น ระหว่างท่านมุฮมั มัด อิบนิ อับดิลลาฮฺ กับอบี ซุฟยาน อิบนิ ฮาริ ษ เพราะคนทั้งสองเกิดในสมัย เดียวกัน วันเดียว ปี ใกล้เคียงกัน และโตขึ้นภายในครอบครัวเดียวกันอีก อบูซุฟยาน อิบนิ ฮาริ ษ เป็ นลูกพี่ลูกน้องของท่านมุฮมั มัด อิบนิ อับดิลลาฮฺ ทั้งคู่เป็ น หลานของอับดุลมุฏฏอลิบ อีกประการหนึ่ ง ซุ ฟยานยังเป็ นพี่น้อ งร่ วมนมมารดาเดี ยวกับท่าน มุฮมั มัด อิบนิ อับดิลลาฮฺ มาด้วยกัน และแม่นมท่านนั้นก็คือ นางฮะลีมะฮฺ อัซซะอฺ ดียะฮฺ นัน่ เอง ทั้งสองเป็ นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่สมัยก่อนที่ท่านมุฮมั มัดจะถูกแต่งตั้งให้เป็ นนบี และซุฟยานยัง เป็ นผูท้ ี่มีรูปร่ างละม้ายคล้ายคลึงกับท่านนบีมากที่สุดคนหนึ่งด้วย ท่านทั้งหลายได้ยนิ ไหมครับว่ามีผใู ้ ดที่จะเป็ นญาติใกล้ชิดกันยิ่งกว่าที่เกิดขึ้นระหว่าง มุฮมั มัด อิบนิ อับดิลลาฮฺ กับอบี ซุฟยาน อิบนิล ฮาริ ษ ? ด้วยเหตุน้ ี เอง อบู ซุฟยานน่ าจะเป็ นบุ คคลแรก ที่ ตอบรั บการเชิ ญชวนไปสู่ ศาสนา อิสลามก่อนผูอ้ ื่น แต่ปรากฏว่าเรื่ องที่เกิดขึ้นนั้นตรงกันข้ามกับที่คิดไว้โดยสิ้ นเชิง เพราะตั้งแต่ วันแรกที่ท่านนบีเริ่ มประกาศศาสนาในหมู่เครื อญาติน้ นั ปรากฏว่าไฟแห่งความโกรธเกลียดได้ กระพื อ ขึ้ น ในหัวอกของอบู ซุ ฟ ยานเสี ย แล้ว ความเป็ นเพื่ อ นสนิ ท ที่ เ คยมี ม าแต่ ก่อ นก็ แ ปร เปลี่ยนเป็ นศัตรู ที่ เคยเป็ นญาติสนิ ทกันมาก่อนก็กลับกลายเป็ นเสมือนคนที่ ไม่มีเยื่อใยต่อกัน ยิง่ กว่านั้น ความเป็ นพี่นอ้ งกันยังกลับกลายเป็ นศัตรู ผตู ้ ่อต้านขัดขวางกันในที่สุด ในขณะที่ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม รับหน้าที่เป็ นผูเ้ ผยแพร่ ศาสนาของ พระผูเ้ จ้านั้น อบูซุฟยาน อิบนิ ล ฮาริ ษ กําลังเป็ นอัศวินของชาวกุเรชที่ข้ ึนชื่อคนหนึ่ ง อีกทั้งยัง
25 เป็ นนักกวีช้ นั แนวหน้าอีกด้วย เขาใช้ลูกดอกและลิ้น สู ้รบกับท่านรอซูลขัดขวางการเผยแพร่ และพยายามทุกวิถีทางที่จะทําลายศาสนาอิสลามและมุสลิมอยูต่ ลอดเวลา การจู่โจมท่านนบีทุก ครั้งเป็ นต้องเกิ ดมาจากการยัว่ ยุของอบูซุฟยาน และเมื่อมุสลิมถูกกลัน่ แกล้งรังแก เป็ นต้องมี อบูซุฟยานเป็ นผูห้ นุนอยูเ่ บื้องหลังเสมอ เขาพยายามเร่ งเร้ากวีแห่ งซัยฏอน กล่าวประณามท่าน รอซู ล อย่า งสกปรกที่ สุ ด ระยะเวลาแห่ ง การตั้ง ตนเป็ นศัต รู ข องอบู ซุ ฟ ยานต่ อ ท่ า นนบี น้ ัน มีระยะเวลายาวนานเกือบยี่สิบปี อบูซุฟยานไม่เคยลดราวาศอกในการที่จะใช้เล่ห์เพทุบายและ ใช้กาํ ลัง เพื่อจะทําลายท่านร่ อซู ลและมุสลิมทุกคน จนกระทัง่ ก่อนถึงวันเปิ ดเมืองมักกะฮฺไม่กี่ วัน ได้มีสาส์นฉบับหนึ่งมาถึงอบูซุฟยานให้เข้ารับอิสลาม ประวัติ ก ารเข้า รั บอิ ส ลามของท่ า นอบู ซุ ฟยานได้จารึ กผลงานชิ้ น สําคัญ ของตํารา ทางด้า นประวัติ ศ าสตร์ ที่ ถู ก ถ่ า ยทอดต่ อ ๆกัน มาจนกระทั่ง ถึ ง ทุ ก วัน นี้ ต่ อ ไปนี้ จะได้ใ ห้ อบูซุฟยานเล่าเหตุการณ์ดว้ ยตนเอง เพราะเขาได้สมั ผัสกับเรื่ องที่เกิดขึ้นอย่างลํ้าลึก และมีความ ละเอียดอ่อนในการที่จะลําดับเหตุการณ์ เขาได้เล่าว่า เมื่ ออิ สลามเป็ นปึ กแผ่นมัน่ คงแล้วก็มีข่าวแพร่ สะพัดออกมาว่า ท่ านรอซู ลกําลังมุ่ง หน้ามาเพื่อพิชิตเมืองมักกะฮฺ ข่าวนี้ ทาํ ให้ฉันรู ้สึกว่า โลกนี้ กาํ ลังคับแคบลงทุกขณะเสี ยแล้ว ฉันรําพึงแก่ตวั เองว่าจะหนี ไปอยูแ่ ห่ งหนตําบลใดกับใครดี? อัดอั้นตันใจคิดไม่ออกบอกไม่ถูก ฉันเข้าไปหาภรรยาและลูก บอกให้เตรี ยมตัวเผ่นหนี ออกจากมักกะฮฺให้เร็ วที่สุด เพราะมุฮมั มัด กําลังจะพิ ชิต มัก กะฮฺ ใ นไม่ช้านี้ แล้ว ถ้า หากฝ่ ายมุส ลิ ม จับ ตัว ได้ ฉันจะต้องถูก สัง หารอย่า ง แน่นอน แต่ทุกคนในครอบครัวต่างก็กล่าวว่า “ท่านยังไม่เห็นอีกหรื อ บัดนี้ ท้ งั ชาวอาหรับและ ไม่ใช่อาหรับ ต่างก็ตอบรับการเชิญชวนของท่านมุฮมั มัด ด้วยการเชื่อฟังและปฏิบตั ิตามคําสอน ของศาสนาอิสลามกันเกือบหมดแล้ว แล้วท่านยังคงมุ่งที่จะเป็ นศัตรู ต่อไปอีกหรื อ? ทั้งๆที่ความ จริ งท่านนัน่ แหละ น่าจะต้องเป็ นคนแรกที่สนับสนุน คอยให้ความช่วยเหลือมุฮมั มัด!” พวกเขาพยายามพรํ่าวอนให้ฉนั เข้ารับอิสลาม จนกระทัง่ อัลลอฮฺ ซุบฮานะฮูวะตะอาลา ได้ท รงเปิ ดใจให้ฉัน ในที่ สุ ด ฉัน ลุ ก ขึ้ น ยืน บอกเด็ ก รั บ ใช้ว่า จงเตรี ย มอู ฐ และม้า ไว้ใ ห้ด้ว ย ต่อจากนั้นฉันก็เริ่ มออกเดินทางโดยนําลูกชายชื่อ ญะอฺ ฟัร มาด้วย เราได้มาถึงเขตอับวา ซึ่ งเป็ น ตําบลหนึ่งอยูร่ ะหว่างมักกะฮฺกบั มะดีนะฮฺ และฉันได้ข่าวว่าท่านนบีพกั อยูท่ ี่น้ นั เมื่อใกล้ที่จะถึง ที่พกั ของมุสลิม ฉันปลอมตัวจนไม่สามารถมีใครจําได้ ที่ตอ้ งทําเช่นนี้ เพราะฉันกลัวว่า ถ้าหาก
26 ฝ่ ายมุสลิมคนใดคนหนึ่ งจําฉันได้ว่าเป็ นใคร แน่นอนเขาอาจจะฆ่าฉันก่อนที่ฉันจะได้พบกับ ท่านนบีและประกาศตนเข้ารับอิสลามต่อหน้าท่านเป็ นแน่ ฉันเดิ นเข้าไปเป็ นระยะทางเกื อบหนึ่ งไมล์ ระหว่างนั้นได้สวนทางกับ กองทหาร มุสลิมที่กาํ ลังมุ่งสู่มกั กะฮฺเป็ นระยะๆ ฉันพยายามหลีกเลี่ยงที่จะไม่เข้าไปใกล้ เพราะกลัวจะถูก เล่นงาน กลัวว่าจะมีศอฮาบัตของท่านนบีจาํ ได้ และในขณะที่เดินสวนกับกองกําลังฝ่ ายมุสลิม อยูน่ ้ นั ก็พบว่าขบวนแรกข้างหน้านั้นก็มีท่านรอซูลร่ วมอยูด่ ว้ ย ฉับพลันนั้นฉันจึงเปิ ดเผยตัวเอง เดินเข้าไปหา หยุดยืนต่อหน้า และเปิ ดสิ่ งอําพรางตาออก ทันทีที่ท่านรอซูลเห็นฉันเต็มตา และรู ้ ว่าฉันเป็ นใครแน่ ชดั แล้ว ท่านก็เมิ นหน้าไปทางอื่น ฉันก็ตามไปอยู่เบื้ องหน้าท่ านอี ก ท่ านก็ เบือนหน้าหนี ไม่วา่ ฉันจะไปยืนเบื้องหน้าท่านทางทิศใด ท่านก็เบือนหน้าหนีทุกครั้ง ฉันเคยมัน่ ใจว่าตนเองเป็ นผูม้ าหาท่านนบี แน่นอนเหลือเกินว่าท่านจะต้องดีใจในการ เข้ารับอิสลามของฉัน ตลอดจนบรรดาศอฮาบัตทุกท่านก็จะต้องดีใจด้วยเช่นกัน แต่เมื่อพี่นอ้ ง มุสลิมเห็นท่านนบีเบือนหน้าหนี พวกเขาก็เบือนหน้าหนีดว้ ย ฉันพบกับท่านอบูบกั ร รอฎิยลั ลอฮุอนั ฮุ ท่านก็เมินหน้าอย่างไม่แยแส เมื่อฉันมองไป ทางท่านอุมรั อิบนิล ค็อฏฏ็อบ รอฎิยนั ลอฮุอนั ฮุ ทั้งที่ฉนั พยายามมองไปอย่างที่แสดงให้เห็นถึง ความอ่อนน้อมยอมจํานนของหัวใจ แต่ฉันก็พบว่าท่านไม่สนใจฉันเลย ยิ่งกว่านั้นท่านยังบอก ให้ชาวอันซอรคนหนึ่ง ประณามฉันอีกด้วย ชายผูน้ ้ นั กล่าวใส่ หน้าฉันว่า “โอ้ ศัตรู ของอัลลอฮฺ เจ้าเคยข่มเหงรังรังแก่ท่านรอซู ล และบรรดาศอฮาบัต โดยติดตามอาฆาตแค้นทัว่ ทุกแห่ งหน...” ชายชาวอันซอรผูน้ ้ นั ยังกล่าวต่อ ว่าฉันมากมาย ส่ งเสี ยงดังขึ้นทุ กๆขณะ สายตาของบรรดาพี่น้องมุสลิมจ้องมายังฉันอย่างเอา เรื่ อง สะใจที่ฉนั ถูกต่อว่าอย่างสาสม ทันใดนั้น ฉันเหลือบสายตาเห็นอับบาส รอฎิยลั ลอฮุอนั ฮุ ผูเ้ ป็ นลุง ฉันเข้าไปหาและ บอกท่ า นว่า “คุ ณ ลุ ง ครั บ ฉัน เคยหวัง ว่า ท่ า นรอซู ล คงจะดี ใ จมากที่ เ ห็ น ฉั น เข้ารั บ อิ สลาม เนื่องจากเป็ นญาตกันและฉันยังเป็ นผูน้ าํ ของฝ่ ายกุเรชอีกด้วย แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ผิดถนัด อย่างที่ท่านเห็นอยูน่ ี่แหละครับ ขอให้ท่านช่วยเจรจาให้ท่านรอซูลเห็นใจฉันด้วยเถิด” ท่านอับบาสตอบว่า “ข้าพูดอะไรในช่วงนี้ ไม่ได้หรอก ข้าเห็นแล้วว่าท่านรอซูลเบือน หน้าหนีเจ้า นอกจากจะรอโอกาสเหมาะในภายหน้าเท่านั้น เพราะข้าต้องไว้เกียรติท่านรอซูล”
27 ฉันจึงถามต่อไปว่า “ถ้าเช่นนั้น ในช่วงนี้คุณลุงจะให้ฉนั อยูก่ บั ใครก่อนหรื อ?” ท่านอับบาสตอบว่า “ข้าไม่มีสิทธิ์อนั ใด เว้นแต่เท่าที่ได้บอกไปเท่านั้น” เมื่อท่านอับบาสพูดเช่นนั้น ฉันเกิดความรู ้สึกหวาดกลัว และเศร้าโศก รันทดใจ คละ คนกัน กระนั้นฉันก็ยงั หวังว่าจะได้พบกับท่ าน อลี อิ บนิ อบี ฏอลิ บ รอฎิ ยลั ลอฮุอนั ฮุ ผูเ้ ป็ น ลูกพี่ลูกน้อง ฉันได้พบเขาและเล่าเรื่ องทั้งหลายให้ทราบ แต่เขาก็กล่าวเช่นเดียวกับท่านอับบาส ในที่สุด ฉันก็กลับไปหาท่านอับบาสอีกครั้งหนึ่ งและกล่าวว่า “คุณลุงครับ แม้คุณลุง จะไม่สามารถทําให้ท่านรอซู ลเห็ นใจฉันได้ ก็ขอให้ช่วยห้ามชายผูน้ ้ นั ที่ กาํ ลังด่าว่าฉันต่างๆ นานา จนกระทัง่ ผูค้ นก็พลอยผสมซํ้าเติมตามไปด้วย ขอให้เขาหยุดกระทําเช่นนั้นเถิด” ท่าน อับบาสถามว่า “คนไหนกันบอกสิ ! ฉันบอกลักษณะของชายผูน้ ้ นั คือ นุอยั มาน บิน ฮาริ ษ อัล นัจญารี ย ์ และท่านได้ส่งคนหนึ่ งให้ไปบอกว่า “โอ้ท่านนุ อยั มาน ความจริ งท่ าน อบูซุฟยาน อิบนิ ล ฮาริ ษนั้นมีศักดิ์ เป็ นลูกพี่ลูกน้องท่านนบี เป็ นหลานของท่ านอับบาส แม้ว่าวันนี้ ท่าน รอซูลจะโกรธเขา แต่สกั วันหนึ่งท่านรอซูลก็คงต้องเห็นใจเขา ดังนั้นขอให้ท่านจงหยุดด่าว่าเขา เสี ยเถิด” หลังจากที่มีผไู ้ ปบอก นุอยั มานก็เข้าใจ และยืนยันว่าต่อไปจะไม่กระทําเช่นนี้อีก ฉันยังคงติดตามขบวนของมุสลิมเรื่ อยมา จนกระทัง่ ถึง “ญัวฮฺฟะฮฺ” ท่านรอซูลแวะพัก ที่นนั่ ฉันเดินไปนัง่ อยูห่ น้าประตูกระโจมที่ พกั ของท่าน พร้อมกับญะอฺ ฟัรลูกชายของฉันด้วย ขณะนั้นท่านรอซูลอยูข่ า้ งนอก เมื่อท่านมองเห็นฉันนัง่ อยู่ ท่านก็เบื อนหน้าหนี อีก ถึงกระนั้น ฉันก็ยงั ไม่สิ้นหวังที่จะทําให้ท่านรอซูลเห็นใจ ทุกครั้งที่แวะพักฉันจะต้องพาลูกมาหยุดอยูห่ น้า แคมป์ ของท่านรอซูลเป็ นประจํา และท่านก็เมินหน้าอยูเ่ ช่นเดิม เมื่อการกระทําเช่นนั้นไม่เป็ น ผล ฉันหนักใจมากจนในที่สุดก็กล่าวกับภรรยาว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ฉันไม่มีทางเลือกอีก แล้วนอกจากท่านรอซูลจะต้องเห็นใจฉันเท่านั้น ถ้าหากว่าท่านไม่ยอม ฉันกับลูกจะขอพเนจร เรื่ อยไปจนกว่าจะหิ วตาย” ท่านมองฉันด้วยสายตาที่แสดงถึงความอ่อนโยน ส่ วนตัวฉันเองนั้น หวังว่าท่านคงจะยิม้ ให้เสี ยอีก ในวันเข้าเมืองมักกะฮฺ ฉันก็เข้ามากับขบวนของท่านรอซูล ท่านรอซูลมุ่งไปยังมัสยิด ฉันติดตามไปยังใกล้ชิด จนกระทัง่ ถึงวันทําศึกที่ “ฮุนยั นฺ ” เผ่าอาหรับต่างๆได้รวมตัวกันอีกครั้ง หนึ่ งเพื่อต่อสู ้กบั ท่ านนบี เป็ นการรวมตัวครั้งสําคัญ ซึ่ งได้ตระเตรี ยมกองกําลังและวางแผน การณ์ไว้แล้วเป็ นอย่างดี พวกเขามัน่ ใจว่าจะต้องขจัดศาสนาอิสลามและมุสลิมทุกคนให้สิ้นซาก ท่านรอซูลพร้อมกับบรรดาศอฮาบัตออกไปเผชิญหน้ากับศัตรู ตัวฉันเองก็ออกไปด้วย
28 เมื่อฉันเห็นกองกําลังฝ่ ายมุชริ กีน ฉันกล่าวอยูใ่ นใจว่า ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ ในวันนี้ ฉันจะขอไถ่โทษที่ได้เคยก่อกรรมทําเข็ญต่อท่านรอซูลไว้ในอดีต วันนี้ ท่านนบีจะได้เห็นความ จริ งใจของฉันในอันที่จะให้อลั ลอฮฺและรอซูลพอพระทัย เมื่อทั้งสองฝ่ ายเข้าประจัญบาน ฝ่ ายมุชริ กีนบุกตะลุยเข้าหาตั้งแต่นาทีแรก และอยูใ่ น ทําเลที่เหมาะกว่า จึงทําให้ฝ่ายมุสลิมเสี ยเปรี ยบ การรบผ่านไปได้ไม่นานนัก ฝ่ ายมุสลิมก็แตก กระเจิ งกันไปคนละทางสองทาง พวกเราเกื อบจะปราชัยในภาวะวิกฤติเช่นนั้น แต่ท่านรอซู ล ยังคงยืนหยัดต่ อสู ้อยู่ในระรอกคลื่ น แห่ งสงคราม ท่ านนั่งอยู่บ นหลังม้าเห็ น เด่ น ชัด ดู ผ งาด เหมือนขุนเขาอันแข็งแกร่ ง กวัดแกว่งดาบป้ องกันตัวเองและผูท้ ี่อยูร่ อบข้างอย่างกล้าหาญ ฉัน กระโดดลงจากหลัง ม้า สลัด ซองใส่ ดาบทิ้ ง อัล ลอฮฺ เ ท่ านั้น ทรงทราบดี ว่า ฉัน ปรารถนาที่จะสลัดชีพเพื่อป้ องกันท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ขณะนั้นฉันเห็นท่าน อับบาสจับสายสะพายล่อตัวที่ท่านรอซูลขี่ไว้ดา้ นหนึ่ง ฉันจึงปรารถนาเข้าไปจับไว้อีกด้านหนึ่ ง มือขวาถือดาบกวัดแกว่งปกป้ องท่านรอซูลไว้ มือซ้ายก็จบั สายสะพายไว้แน่น เมื่อท่านรอซูลเห็นฉันเผชิญหน้ากับศัตรู เพื่อปกป้ องท่านในยามวิกฤติเช่นนั้น ท่านจึง ถามท่านอับบาสว่า “ผูน้ ้ นั คือใคร?” ท่านอับบาสตอบว่า “นี่คือ อบูซุฟยาน อิบนิ ล ฮาริ ษ พี่นอ้ ง ของท่าน โอ้ท่านรอซูลโปรดอภัยให้เขาและเห็นใจเขาด้วยเถิด” ท่านรอซูลกล่าวว่า “ฉันได้ให้ อภัยแก่เขาแล้ว ขออัลลอฮฺทรงอภัยโทษแก่เขาด้วยเถิด ในอดีตที่เขาเคยทํากับฉัน” อบูซุฟยานเล่าต่อไปว่า ฉันดีใจมากเหลือเกิน ที่ท่านรอซูลให้อภัยและเห็นใจฉันแล้ว ฉันจึงแนบแก้มเข้าชิดกับปลายเท้าของท่านนบี ที่ห้อยลงมา ท่านผินหน้ามาหาฉันและกล่าวว่า “น้องชายของฉัน รุ กคืบหน้าต่อไปเถอะ” คําพูดของท่านรอซูลก่อให้เกิดกําลังใจจะต่อสู ้กบั ฝ่ าย ศัตรู ฉันเริ่ มนํากลุ่มมุสลิมบุกตะลุยคืบหน้าอีกครั้ งหนึ่ ง จนทําให้ฝ่ายมุชริ กีนถอยร่ นไม่เป็ น ขบวน และฝ่ ายมุชริ กีนก็ตกเป็ นฝ่ ายระสํ่าระสาย และเผ่นหนีเอาตัวรอดกันไปในที่สุด ต่ อ จากนั้น ท่ า นอบู ซุ ฟ ยาน อิ บ นิ ล ฮาริ ษ ก็ ไ ด้เ ป็ นที่ โ ปรดปรานของท่ า นรอซู ล ศ็อลลัลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม และได้กลับมาเป็ นผูใ้ กล้ชิดอีกครั้งหนึ่ง ถึงอย่างไรก็ตาม เขาก็ยงั ไม่ เคยสบตากับท่านนบีเลยสักครั้ง เพรายังนึกละอายใจตนเอง ต่อเหตุการณ์ในอดีตที่ได้เคยระราน ท่านนบีไว้อย่าหนักที่สุด ท่านอบูซุฟยานเสี ยใจ เมื่อนึ กถึงอดี ตอันมืดมนในช่วงยุคญาฮิลียะห์ ซึ่ งมองไม่เห็ น แสงรัศมีของอีมานศรัทธา ไม่เคยสัมผัสกับอรรถรสของอัลกรุ อ่านซึ่งเป็ นคัมภีร์ของอัลเลาะฮ์
29 ท่านจึ งได้ทุ่มเทเวลาทั้งตอนกลางวันและกลางคืน เพื่ออ่านอัลกรุ อ่าน ศึกษาหาความรู ้ความ เข้าใจบทบัญญัติต่างๆ คําสอนใจทุกแง่มุมของชี วิต ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า ท่านไม่ยอม สนใจความเย้ายวนของโลกนี้อีกแล้ว ท่านได้ทุ่มเทชีวิตในช่วงนี้ เพื่อหนทางของอัลเลาะฮ์แต่ เพี ย งอย่า งเดี ย วจนกระทั่ง ในวัน หนึ่ งท่ า นรอซู ล เห็ น ท่ า นอบี ซุ ฟ ยานกํา ลัง เดิ น เข้า มัส ยิ ด ท่านรอซู ลแกล้งถามท่ านหญิ งอาอี ชะฮฺ ว่า “เธอทราบไหมว่าผูช้ ายนั้นคื อใคร?” ท่ านหญิ ง อาอีชะฮฺ ตอบว่า “ฉันไม่ทราบหรอกโอ้ท่านรอซู ล” ท่านรอซู ลจึ งกล่าวว่า “ผูน้ ้ นั แหละคื อ อบูซุฟยาน อิบนิล ฮาริ ษ เป็ นลูกพี่ลูกน้องกับฉันเอง ขอให้เธอสังเกตดูนะว่าเขาจะเข้ามัสยิดเป็ น คนแรก จะออกเป็ นคนสุ ด ท้าย และสายตาของเขาจะไม่ จับต้องสิ่ งใด เว้น แต่มองเข้าไป ข้างหน้า มองดูที่ๆเท้าจะก้าวไปเท่านั้น” เมื่อท่านรอซูลวะฟาต อบูซุฟยานเศร้าโศกมาก ประดุจแม่ที่ตอ้ งสู ญเสี ยบุตรคนเดียว ของนางไป ท่านร้องให้ดงั่ ผูท้ ี่ สูญเสี ยผูเ้ ป็ นสุ ดที่ รัก ท่านได้แต่งบทกลอน ถึงเรื่ องที่ เกิ ดขึ้ น ระหว่างตนกับท่านรอซู ล ตั้งแต่เริ่ มกระทัง่ วาระสุ ดท้ายที่ ตนสยบต่อท่านรอซู ลอย่างสิ้ นเชิ ง เป็ นบทกลอนที่สละสลวย กินใจ เป็ นคําสารภาพชนิดหมดเปลือกไม่มีปิดบังอําพราง กาลเวลาเลยมาถึงยุคสมัยของท่านคอลีฟะฮฺอุมรั ร่ อฎิยลั ลอฮุอนั ฮุ อบูซุฟยานรู ้สึกว่า ตนเองจะมี อ ายุอ ยู่ต่ อ ไปอี ก ไม่ น านนั ก ท่ า นจึ ง ขุ ด หลุ ม ศพของตนเองล่ ว งหน้า ไว้ก่ อ น ต่อจากนั้นอีกสามวันท่านก็ถึงแก่ชีวิต คล้ายกับท่านได้นดั กับความตายไว้กระนั้นแหละ และ ก่อนสิ้นใจ ท่านได้สงั่ เสี ยแก่ลูกเมียว่า “พวกเจ้าอย่าร้องไห้เพราะต้องสู ญเสี ยพ่อไปในคราวนี้ เลย เพราะตั้งแต่พ่อได้เข้ารับอิสลามจนกระทัง่ ถึงวันนี้ พ่อขอยืนยันว่า พ่อมิได้ยุ่งเกี่ ยวกับ ความผิดใดๆเลย ” กล่าวจบท่านก็สิ้นชีวติ ท่านอุมรั ร่ อฎิ ยลั ลอฮุอนั ฮุ ได้เป็ นอิมามละหมาดศพให้แก่อบูซุฟยาน ท่านเสี ยใจ มากที่ตอ้ งสูญเสี ยศอฮาบะฮ์ผมู ้ ีเกียรติไปอีกท่านหนึ่ง นับว่าเป็ นการสิ้นชีวติ ของอบูซุฟยาน บิน ฮาริ ษ เป็ นการสู ญเสี ยอย่างใหญ่หลวงที่ เกิ ดขึ้ นกับศาสนาอิสลาม และพี่น้องมุสลิ มทุ กคน ขออัลลอฮ์ทรงพอพระทัย ท่านอบูซุฟยาน อิบนิ ล ฮาริ ษ และบรรดาศอฮาบะฮฺผมู ้ ีเกียรติทุก ท่านด้วยเถิด ..........
อัดดะอฺวะฮฺ…ที่หายไป เตรียมพบกับเวบไซด์รวบรวมนิตยสาร อัดดะอฺวะฮฺในอดีต ในรูปแบบออนไลน์
อ่านออนไลน์+ดาวน์โหลด งานนี้ รับอามานะฮฺโดย... อัรกอมมีเดีย ชมรมมุสลิม ม.อ.หาดใหญ่ *www.muslimpsu.net
เร็วๆนี้
ห้ามพลาดน่ะ (อินชาอัลลอฮฺ)
[เรือ่ งสั้นกระชับอีมาน] – 5 พี่น้องเรื่องสัน้
1.กลับไปเถอะ กลับไปเกร็งกาไร .. กระหม่อม ..
มวลการสรรเสริ ญเป็ นสิ ทธิแห่งอัลลอฮ(สุบฯ) และไม่มีการสรรเสริ ญของมนุษย์หน้า ไหนที่ จะทําให้ระดับของเราในวันอาคิเราะฮฺ สูงขึ้น ถ้าแก่นสารของมันไร้ซ่ ึ งความพึงพอใจ ของอัลลอฮฺ(สุบฯ) เพราะฉะนั้นทางที่ดีเป็ นการสมควรอย่างยิง่ ที่เราจะต้องแสวงความพึงพอใจ จากอัลลอฮฺ (สุ บฯ) แทนที่จะจับจ้องแต่จะจองพื้นที่ความพอใจ ณ จิตใจของมนุษย์ ซึ่ งก็ไม่ได้ สร้างความมัน่ ใจในความพึงพอใจของอัลลอฮฺ(สุบฯ)แต่อย่างใดเลย จะมีก็แตจะลดถอนกันไป ผมไม่ ค่ อ ยจะเห็ น ด้ว ยนักกับ คํา กล่ า วที่ ว่า การเมื อ งไทยเป็ นเรื่ อ งที่ น่ าเบื่ อ ผมว่า ประเทศไทยเป็ นประเทศที่ มี องค์ประกอบที่ ซับซ้อนพอสมควร ไม่ได้เป็ นอะไรที่ ตรงเผง เหมือนประเทศเพื่อนบ้านเขา บางองค์ประกอบก็สามารถเข้าถึงมาก บางองค์ประกอบก็เข้าถึง ได้น้อย หรื อเข้าถึงไม่ได้เลย และด้วยความซับซ้อนของประเทศไทยพลอยทําให้พ้ืนที่ สาม จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็ นพื้น ที่ ที่ซับซ้อนยิ่งกว่า ด้วยศาสนา ภาษา ความเชื่ อ วัฒนธรรม ประเพณี ที่แตกต่างและหลากหลายกว่า เพราะฉะนั้นเราก็จะได้เห็นการจัดการจากรัฐที่ไม่ค่อย จะเข้าท่าสักเท่าไร อาจจะด้วยความเชื่อที่วา่ คนพวกนี้ก็เป็ นคนไทยเหมือนกับเราๆนี้ แหละ แค่ เพียงเขาเป็ นคนชายขอบที่ ไม่เข้าถึงทรั พยากร เพราะฉะนั้นเราก็ดึงเขาเข้ามาซะเลย บําเรอ ทรัพยากรให้เขาซะ เพื่อไม่ให้ตกขอบไปไกล ก็น่าจะหมดเรื่ อง
32 ครั้งหนึ่ งได้มีโอกาสสนทนากับผูท้ ี่ กินนํ้ากระท่ อม เขาก็ต้ งั ข้อสังเกตไว้อย่างน่ าสนใจ พอสมควรว่า “ ตารวจพวกนี้มันกล้ ามาจับคนทีก่ นิ นา้ กระท่ อมได้ ยงั ไง ทัง้ ๆทีม่ ันก็กนิ เหล้ าทีท่ งั้ แรงและก่ อความราคาญแก่ คนอื่นมากกว่ าเขาหลายเท่ า ” ผมไม่ได้ตอ้ งการที่จะปลุกระดมให้ ต่อต้านรัฐ ตํารวจ หรื ออะไรทํานองนั้น เพราะอย่างน้อยเขาเป็ นอีกแรงที่ ช่วยขจัดสิ่ งที่ผิดใน หลักการอิสลามและผิดตามกฎหมาย แต่สิ่งที่ อยากให้เราเข้าใจตรงกันคือการจัดการปั ญหา เหล่านี้มนั จะมีประสิ ทธิภาพกว่าถ้าได้รับการจัดการและความร่ วมมือจากคนในพื้นที่ที่เข้าใจวิถี ชีวติ และบริ บทของพื้นที่มากกว่า สิ่ งหนึ่งที่ถือเป็ นความได้เปรี ยบของชุมชนมุสลิมในสามจังหวัดคือ ความร่ วมมือของ คนในชุมชน ซึ่งเป็ นต้นทุนทางสังคมที่สามารถที่จะเอาไปลงทุนและได้กาํ ไรมหาศาล และผม ก็ขอตั้งข้อสังเกตว่า ความร่ วมมือร่ วมใจของคนในพื้นที่ น้ ี ถูกผูกโยงกับความเชื่อและหลักคํา สอนของอิสลามอย่างแยกออกจากกันไม่ได้ ในชุมชนที่มีโต๊ะครู (ผูร้ ู ้ทางศาสนา) อยู่ โต๊ ะครู จะ เป็ นศู นย์ กลางของชุมชน เมื่อชาวบ้านมีปัญหา เขาก็จะเข้าไปหาโต๊ะครู และโต๊ะครู ก็จะเป็ นผูท้ ี่ พยายามคลี่คลายปั ญหา โดยวางอยูบ่ นหลักการของศาสนา และหลักการของศาสนาอิสลามก็ ได้อิงกับการสร้างความร่ วมมือของคนในชุมชน มีเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นในชุมชนของผมเมื่อหลายสิ บปี ที่ผ่านมา ผูใ้ หญ่ท่านหนึ่ งได้ เล่าให้ฟังว่า แต่ก่อนจะมีโต๊ะครู ท่านหนึ่ งที่เป็ นที่เคารพนับถือของคนในชุมชน และในอดีตก็ จะมีกิจกรรมที่เป็ นการละเล่นสนุกสนานแต่ไม่ค่อยถูกต้องด้วยหลักการอยูบ่ ่อยๆ และวันหนึ่งก็ ได้มีการจัดงานมหรสพมีการแสดงหนังตะลุง มีรํามะโยง โต๊ะครู ท่านนั้นก็เลยขึ้นไปบนมัสยิด และตีกลอง (ที่ใช้ตีเพื่อบอกเวลาละหมาด) จนดังสนัน่ ไปทัว่ ตีจนสุ ดท้ายการแสดงพวกนั้นก็ ยกเลิกและแยกย้ายกันไปและไม่มีใครมาว่าอะไรท่าน และหลังจากนั้นกิจกรรมพวกนี้ ก็ไม่ได้ จัดในชุ มชนนั้น อี ก จนกว่าท่ านได้เ สี ย ชี วิต ไป แต่ สภาพการณ์ ต อนนี้ กลับเปลี่ ยนไป พื้น ที่ ดังกล่าวเต็มไปด้วยพ่อค้ายาเสพติด และเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผูน้ าํ ชุมชน(นักการเมืองท้องถิ่น) ก็ ได้นาํ นักร้องดังดุต (ดังดุ ต :ผับที่ มีนักร้ องร้ องเพลงมลายู เต้นยัว่ ยวน และให้บริ การกับคน มลายู) มาเปิ ดคอนเสิ ร์ตในงานวันเด็กของโรงเรี ยนแห่ งหนึ่ ง ผูใ้ หญ่ที่ให้ขอ้ มูลเกี่ยวกับโต๊ะครู ท่านนั้นถึงกับเปรยออกมาว่า “ ถ้าโต๊ะครู ท่านนั้นยังอยู่ เหตุการณ์เลวทรามเช่นนี้ คงไม่เกิ ด ” นี้คือต้นทุนที่สูญเสี ยไปจนทําให้เกิดความขาดทุน แต่ก็ยงั ดีครับ ที่ตน้ ทุนเหล่านั้นยังพอ มีเหลืออยูใ่ ห้เราได้เอาไปลงทุนอยู่บา้ ง ตอนนี้ คนส่ วนใหญ่ก็ยงั ไปละหมาดวันศุกร์ อยู่ (แม้จะ จับใจความของคุตบะฮฺไม่ได้ก็ตาม) เด็กส่ วนใหญ่ก็ยงั ถูกไล่ให้ไปเรี ยนตาดีกาวันเสาร์ อาทิตย์
33 อยู่ เด็กบางส่ วนก็ยงั ถูกนําไปฝากให้เรี ยนกุรอานอยู่ แน่นอนว่าต้นทุนพวกนี้ ก็จะหมดไป ถ้า ไม่ได้เอาไปลงทุน แนวโน้ มของสิ่ งดีๆเหล่ านี้ คือกาลังจะตายจากไป เพียงเพราะไม่ มีใครที่ มองออกว่ านั่น คือต้ นทุนและมรดกทางสั งคมที่มีค่ามหาศาล ที่ถูกทิง้ เอาไว้ มาจากคนรุ่ นก่ อน หน้ า ถ้าจะรอให้คนแก่งาํ เหงือกที่รอเพียงวันร่ วงโรย มีหวังที่สิ่งเหล่านี้ คงจะเป็ นศูนย์เข้าสักวัน เพราะคงไม่อาจต้านแรงผลักอีกด้านหนึ่งเป็ นแน่ ก็คงเหลือเพียงเราๆทั้งหลาย คนที่รู้จกั คิดโครงการ วางแผนโครงการ รู ้เรื่ องการจัดการ มาบ้าง และทันโลกยุคใหม่(เพราะพยายามมาโดยตลอดที่จะวิง่ ตามมัน ไม่ให้ขาดช่วง) จะต้อง เอาต้นทุนที่เหลืออยูไ่ ปลงทุน ไม่น่าเชื่อว่าเด็กแถวบ้านเราไม่รู้จกั คําว่าค่าย * เพราะไม่มีโอกาส ได้เข้าร่ วม แต่นกั ศึกษามุสลิมในมหาวิทยาลัย กลับได้รางวัล นักกิจกรรมดีเด่น โครงการดีเด่น เพราะทําค่ายมามาก หรื อ มองในระดับที่ โตขึ้ น มาหน่ อ ยก็เป็ นเรื่ องแปลกพอสมควรที่ การ จัดการทรัพยากรในรู ปแบบ ของ “สหกรณ์ ” ซึ่ งเป็ นการจัดการยุคใหม่ที่ทวั่ โลกต่างให้การ ยอมรับ ในความเท่าเทียมของการจัดสรรทรัพยากรกลับไม่เป็ นที่เฟื่ องฟู กระทัง่ ไม่เป็ นที่รู้จกั ในพื้นที่ ของเรา ทั้งๆที่ มนั เป็ นรู ปแบบที่ ถูกส่ งเสริ มด้วยหลักการแห่ งอิสลาม แต่กลับไปมี ประสิ ทธิภาพในประเทศที่เป็ นสัญลักษณ์ของทุนนิยมเสรี อย่างประเทศญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นส่ วนตัวผมคิดว่า บ้านเราต้องการนักลงทุน นักลงทุนที่ จะไปจัดการกับ ต้นทุนที่มีค่าและสามารถยังประโยชน์แก่เราอย่างมหาศาลที่ยงั คงเหลืออยูบ่ า้ งก่อนที่มนั จะไม่ เหลือให้เราได้ลงทุน แต่สาํ คัญกว่านั้นก็คือว่าบรรดานักลงทุนที่จะไปลงทุนในสังคมตนเอง ก็ตอ้ งมีทุนเดิม อยูแ่ ล้วด้วย นั้นก็คือ “ทุนทางความคิด” ................................. * ค่ายมุสลิ มที่ เราทําในปั จจุ บนั นั้น(โดยเฉพาะค่ายมุคอยยัม) มีตน้ ตํารับมาจากกิ จกรรมค่าย เยาวชนของขบวนการฟื้ นฟูอิสลามชื่อดังในอดีต อิควานอัลมุสลิมูน นั้นเอง
2.เสื้อ กัน ฝน .. ยาเขียว ..
“แบ...เร็ วๆหน่อย สายแล้ว” เสี ยงของหญิงอายุใกล้จะเลขสามตะเบงแข่งกับเสี ยงฝน กระหนํ่า เร่ งรัดให้เด็กน้อยที่วนุ่ วายอยูก่ บั การจัดการเชือกรองเท้าที่พลั วันกัน ให้มนั เป็ นอย่าง ที่ ควรจะเป็ น แม้จะเป็ นเวลาแปดโมงเช้า แต่ฝนและเมฆครึ้ มทําให้ม ันไม่สว่างเอาซะเลย อับดุลญับบ๊ารเด็กชายวัยเจ็ดขวบหน้าตาสะอาดสะอ้านกุลีกุจอยกกระเป๋ าหนังสื อวิ่งขึ้นรถ มอเตอร์ ไซค์คนั เก่งของแม่ที่สวมเสื้ อกันฝนผ้ายางตัวใหญ่สีน้ าํ เงิน ฝนยังคงกระหนํ่า แม่รีบ เอาอับดุลญับบ๊ารเข้าไปอยูใ่ นเสื้ อคลุมฝนด้วยกัน รถสองล้อนี้แล่นไปอย่างระมัดระวังท่ามกลางโคลนดินและเส้นทางที่ลาดชันในสวน ยางอันเป็ นที่ทาํ กินหลัก เด็กชายอ่านดุอาอ์เสร็ จก็บ่นกระปอดประแปดว่าเหม็นกลิ่นยางเสื้ อกัน ฝนจัง ภายใต้ผา้ ยางผืนนี้ คงมองไม่เห็ นอะไรนอกจากหลังของแม่ ในใจนึ กอยากจะมองข้าง ทางบ้างว่าฝนตกหนักๆแบบนี้ ข้างนอกมันจะเป็ นไง เด็กน้อยครุ่ นคิ ด เด็กชายยังคงกอดแม่ แน่ น จิ นตนาการถึ งโลกภายนอก พยายามมองลอดใต้เสื้ อกันฝนให้เห็ นพื้น ล่างก็น่าจะรู ้ ว่า ตอนนี้ถึงไหนแล้ว ธรรมดาของมนุษย์ที่อยูใ่ นภาวะมองไม่เห็นอะไรก็ตอ้ งมีความรู ้สึกกลัวบ้าง แต่สาํ หรับเด็กน้อยคนนี้ ลึกๆ เขากลับมีความรู ้สึก “อุ่นใจ” และ “ปลอดภัย” อย่างบอกไม่ถูก .......... มอเตอร์ไซค์คนั งามกําลังถูกชะโลมไปด้วยฝนที่เพิ่งจะเริ่ มกระหนํ่าลงมา เสื้ อกันฝน ผืนเก่ายังมีอยู่ใต้เบาะรถแต่คงต้องจอดรถก่อน เขาจอดรถข้างทางแล้วเปิ ดเบาะรถ คุณครู อบั ดุลญับบ๊ารรี บหยิบเสื้ อกันฝนมาคลี่ออกแล้วสวมให้หญิงที่ซอ้ นท้ายมาด้วยกัน “ มะ เดี๋ยวผม ใส่ให้นะ” หญิงชราทําท่าบ่ายเบี่ยงแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เมื่อเสื้ อตัวโคร่ งถูกสวมทับไปแล้ว “ทําไม แบไม่ใส่ล่ะ แบเป็ นคนขับนะ เดี๋ยวก็เปี ยกหมด” แต่ครู หนุ่มก็ได้แต่ยมิ้ ก่อนจะรี บพากันขึ้นรถ
35 มอเตอร์ ไซค์ก่อนที่ฝนจะตกหนักไปมากกว่านี้ แม่กอดเข้าที่เอวแน่น ไม่พน้ จะกําชับเรื่ องขับ รถเร็ วของลูกชาย ขณะเดียวกันฝนก็ลงมาหนักและเร็ วราวกับมีเข็มร้อยพันเล่มทิ่มใส่ เขารู ้สึก แสบใบหน้าและชา หนาวไปจนถึงกระดูก มันชักไม่สนุกแล้วเมื่อฝนตกหนักขนาดนี้ เขารู ้สึก ว่าทรมาน หวนนึ กถึ งตอนเด็ก ๆ ที่ แม่ตอ้ งไปส่ งเขาทุ กเช้าที่ มีฝนตกแทบไม่เว้นวัน แม่คง ทรมานมากที่ตอ้ งโดนฝนกระหนํ่าใส่ ใบหน้าอยูท่ ุกเช้า แม่คอยตะเบงเสี ยงถามว่า ไหวไหม ๆ เขาเงียบและมุ่งหน้าขับต่อไป เขายิม้ พร้อมกับความเชื่อมัน่ เหลือเกินว่าระดับตนแล้ว ต้องขับ รถได้ดีไม่แพ้แม่ตอนสาวๆ แน่ ความเย็นของนํ้าฝนเข้าเกาะกินทั้งร่ างกายจนตอนนี้ มือเริ่ มชา เส้นทางเป็ นสามสิ บกิโลที่ขบั ผ่านมา ทําให้สติเหนื่ อยล้า จนไม่สามารถคุมยานพาหะนี้ อยู่ ล้อ เริ่ มแกว่งไม่เป็ นท่า และ...... .......... เสี ยงฝี เท้านับสิ บ ดังไม่ขาดสาย รถพยาบาลคันแล้วคันเล่าวิ่งผ่านเข้ามา เสี ยงร้องแห่ ง ความเจ็บปวดดังระงมไปทัว่ ถนน รถดับเพลิงวิ่งเข้ามาพร้อมเสี ยงตะโกนให้ทุกคนหลีกทาง สายนํ้าถูกฉี ดเข้าไปในตัวรถที่มีไฟลุกโหมอยู่ เขาเข้าไปเขย่าตัวแม่ “มะ ๆ ยืนดูห่าง ๆ หน่อย ยืนค้างไปเลยนะมะ” “ดีนะ ที่มะบอกให้อ่านดุอาอ์ก่อน มาชาอัลลอฮฺ อีกนิ ดเดียว เราสองคนคงต้องไปอยู่ ในรถพยาบาลเหมือนคนพวกนั้นแน่เลย” “อื้ม จริ งด้วย ทุกชี วิตไม่รู้เลยจริ ง ๆ ว่าต้องไปเมื่อไหร่ เดี๋ ยวผมเข้าไปช่วยดูคนเจ็บ ก่อน มะรอยูต่ รงนี้นะ” ย้อนกลับไป ก่อนที่ รถของเขาจะล้มลง มีรถทัวร์ สองชั้นแซงมาอย่างเร็ วก่อนจะเสี ย หลักที่ทางโค้งข้างหน้า เสี ยงเบรกดังแสบหู พร้อมเสี ยงกรี๊ ด เรี ยกสติ กลับคืนให้กระชับอยูก่ บั ยานพาหนะ รถทัวร์พลิกควํ่าลงไป ประกายไฟลุกโชน เขานึ กภาพว่าหากมอเตอร์ ไซค์เขาเสี ย หลักล้มลง คงโดนรถทัวร์ ลากครู ดไปกับพื้นและเข้าไปอยู่ในกองเพลิงนั่นด้วยเป็ นแน่ เขา หลับตาและกล่าวอัลหัมดุลิลลาฮฺอยูไ่ ม่ขาดปาก และเริ่ มรู ้แล้วว่า ไม่เกี่ยวกับฝี มือคนขับ ไม่ใช่ เรื่ องของอายุ แต่มนั คือเหตุผลเดียว นั่นคือ “ทุกสิ่ งถูกกําหนดไว้แล้ว” ความมัน่ ใจมันช่างทํา ให้เขาเลินเล่อ เขาและแม่รีบจอดรถลงมาดูและยืนตะลึงอยูก่ บั เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นข้างหน้า มหาบริ สุทธิ์ แด่อลั ลอฮฺ ผู้ทรงบังเกิดพาหนะนี้ เพื่อความสะดวกแก่เรา ทั้งที่เราไม่ มี พลังทีจ่ ะควบคุมมัน และแน่ นอนเราต้ องกลับคืนสู่ พระผู้ทรงอภิบาลของเรา บันทึ กโดยอิ มาม มุสลิม (คาแปลจากดุอาอ์ ในการขับขี่ยานพาหนะ).
() )
3.(โลกของวงเล็บ) .. Roythee ..
รอบตัวเราเหมือนจะมีแต่สิ่งแวดล้อมเดิมๆผ่านและพ้นเข้ามาวันแล้ววันเล่า (แต่ที่จริ งแล้ว!! มันอาจมีอะไรที่ซบั ซ้อนมากกว่าที่เห็นและสัมผัสได้) ก็เหมือนกับ ชีวติ จริ งของเรานัน่ แหละ บ่อยครั้งเราพูด(แต่ก็แอบเก็บคําบางคําไว้ในใจ) บ่อยครั้ง เราฟัง(แต่ก็แอบตําหนิและโต้ตอบอยูใ่ นใจ) บ่อยครั้งเราคิด (แต่ก็มิได้ลงมือทํา) บ่อยครั้งเราทําดี (และอยากปกปิ ดความ ดีน้ นั แต่บางครั้งก็พลั้ง(แบบตั้งใจ)ให้คนได้เห็น) เหมือนเราจะมีวงเล็บอยูม่ ากมาย ให้กบั ชีวติ เป็ นทั้งวงเล็บในแง่มุมดีๆและวงเล็บที่มีไว้เข้าข้างตัวเองอยูเ่ สมอๆ คนเรามักจะเปิ ดวงเล็บเพื่อหาเหตุผลหรื อข้ออ้างให้ตวั เองถูกและดูดีอยู่ใน ทุกสถานการณ์(นี่คือเรื่ องจริ งของมนุษย์(ที่อ่อนแอ)) และมักจะไม่เปิ ดวงเล็บเพื่อหา เหตุผลหรื อข้ออ้างที่ดีๆให้กบั พี่นอ้ ง เมื่อพบเจอพฤติกรรมที่ไม่น่ารักนักของเขา เราเลือกใช้ วงเล็บด้ านบวกกับตัวเองมากไปและใช้ วงเล็บด้ านลบกับคนอื่น มากไปหรือเปล่ า ? เรามีพนื้ ที่ในวงเล็บมากเพื่อเข้ าข้ างตัวเองและรีบปิ ดวงเล็บเมื่อ ต้ องเข้ าข้ างของคนอืน่ หรือเปล่า ? ลองถามตัวเองซ้าๆสิ ว่า...เรามีวงเล็บไว้ เอื้อประโยชน์ ให้ เพียงตัวเองหรื อ เปล่า ? มันเลยทาให้ ความเป็ นพีน่ ้ อง ซับซ้ อนเกินกว่าจะเข้ าถึงได้
37
เปรี ยบกับเวลาเราอ่านเรื่ องสั้นหรื อบทความที่มีวงเล็บ บางครั้งมันก็ทาํ ให้ เราเข้าถึงและมีอารมณ์ร่วมไปกับมัน แต่หากมันมากจนเกิ นไป (มันก็)อาจ(จะ)ทํา (ให้)เรา(รํา)คาญ (สับสน)และ(รู ้)สึ ก(ซับซ้อน)เกิ น(กว่า)จะ(เข้า)ใจ จน(อยาก)จะ (วาง)และเดิน(หนี)ไป(จาก)มัน จนอยาก(จะ)วางและ(เดิน)หนี(ไป)จากมัน ความเป็ นพี่นอ้ งก็เหมือนกันค่ะ บางครั้ งการมีวงเล็บของเงื่อนไขมากไป ก็ทาให้ ความเป็ นพี่น้องเกิดขึ้นได้ ลาบาก จนใครหลายคนท้อและเดินจากญะมาอะฮฺไปอย่างน่าเสี ยดาย ดัง นั้น เราจึ ง ควรเลื อ กใช้ ว งเล็ บ ให้ ถู ก ที่ ถู ก เวลา และใช้ ใ นปริ มาณที่ เหมาะสม ใช้วงเล็บในแง่มุมดีๆกับพี่นอ้ งเรามากๆ และใช้วงเล็บเพื่อข้ออ้างของเรา ให้นอ้ ยลงสักหน่อย ...โลกของเราอาจจะมี (วงเล็บ(ซ้อนวงเล็บ(ซ้อนวงเล็บ(ซ้อนวงเล็บ(ซ้อน วงเล็บ(ซ้อนวงเล็บ)))))) อยูไ่ ม่รู้กี่ช้ นั ต่อกี่ช้ นั ขอเพี ย งให้ ว งเล็ บ ชั้น ในสุ ด ของความเป็ นพี่ น้อ งในใจเรานั้น อยู่ที่ ค าํ ว่า “ รักเธอเพื่ออัลลอฮฺ ” มันก็จะคลายความซับซ้อน ความสงสัย ความระแวง และ กําแพงที่ก้ นั ระหว่างความเป็ นพี่นอ้ งให้เปิ ดออก จนได้เจอกับชัยชนะของความรัก ที่มีให้กนั เพื่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)อย่างแท้จริ ง อินชาอัลลอฮฺ นี่ คือหนึ่ งในเกี ยรติ ที่น่าอิ จฉายิ่งนักของผูท้ ี่ รักกันเพื่ออัลลอฮฺ (ซ.บ.)อย่า ง บริ สุทธิ์ ใจ... ท่ านนบี(ศ.ล.)ได้ กล่ าวไว้ ว่า...ในวันกิยามะฮฺผ้ ทู ี่รักกันเพื่ออัลลอฮฺ(ซ.บ.)นั้น อัลลอฮฺ(ซ.บ.)จะทรงเรี ยกพวกเขาว่ า " ไหน บรรดาผู้ที่รักกันด้ วยความเกรี ยงไกร ของฉั น วันนี้ ฉั นจะให้ พวกเขาอยู่ในร่ มเงาของฉั น วันที่ซึ่งไม่ มีร่มเงาใด นอกจาก ร่ มเงาของฉัน " [บันทึกโดยมุสลิม] ...มาชาอัลลอฮฺ
4.เสียงของชายฉกรรจ์ .. แชแว ..
ผมตื่นขึ้นมาตี 5 หลังจากที่นอนไปได้สักประมาณ 4 ชัว่ โมง มันถือว่าน้อย กว่าปกติมาก เพราะอยูใ่ นช่วงสอบ ตามความเป็ นจริ งแล้ว เวลาอิกอมัตยังเหลืออีก 30 นาที ผมลุกขึ้นมาเพื่อที่จะเข้าห้องนํ้าทําความสะอาดร่ างกาย พร้อมกับตั้งใจไว้ ว่าจะละหมาดสุ นตั ก่อนศุบหิ เพราะมันมีคุณค่ามากกว่าโลกนี้ และเนื้ อในของมัน ระหว่างที่เดินไปห้องนํ้า ผมเห็นบางสิ่ งบางอย่างผ่านร่ องเปิ ดของประตูห้องๆหนึ่ ง (มันคือห้อง TV) เสมือนเพื่อนสนิ ทที่คุน้ เคยกันมานาน ผมถูกเก้าอี้ตวั นั้นร่ ายมนต์ ดําเข้าใส่ เดิ นเข้าไปในห้อง วางร่ างกายอันเหนื่ อยล้าจากการอ่านหนังสื อ แล้วก็ หลับไปพร้ อมกับความมืดภายในห้อง เสี ยงอิกอมัตจากกล่องเสี ยงของชายฉกรรจ์ คนหนึ่งดังกึกก้องกังวานไปทัว่ ผมรู้ทนั ทีวา่ ผมพลาดโอกาสสําคัญของวันนี้ไปแล้ว ภารกิ จแรกที่ ต้องทํา ในตอนเช้า ของวันนี้ คื อการอ่ า นหนัง สื อในรายวิช า สุ ดท้ายที่ตอ้ งสอบ เดิมที..ผมเป็ นคนชอบใช้ชีวติ กลางแจ้ง แต่กลับต้องมาใช้ชีวิตใน ห้องเรี ยน ห้องสมุด เป็ นปั ญญาชนคนอ่านหนังสื อ อ่านไปได้สักพัก สักครึ่ งชัว่ โมง ความไม่เข้าใจก็เริ่ มคืบคลานเข้ามา ความเครี ยดเข้ามาโจมตีความรู ้สึก จู่ ๆก็มียุงตัว หนึ่ งบินมาดูดเลือดที่แขน มันใช้เวลาดูดนานพอควร จนทําให้ทอ้ งของมันดูคล้ าย กับหญิงที่อุม้ ท้อง 9 เดือน มันช่ างโลภจริ งๆ หากเพียงมันดูดครั้งละน้อย ก็คงบิน หนี ไ ปได้อย่างสบาย มันบิ นแล้วก็ หยุด-บิ นแล้วก็หยุด ด้วยความที่ มนั โลภและ ตามนัฟสู ... ผมจึงบีบมันให้ตายซะ
39
ขอเปิ ดเฟซบุ คสักหน่ อย เผื่อมี เพื่อนๆ เด็กเรี ย นมาโพสต์แนวข้อสอบกัน ในโลกออนไลน์ใบนี้ คงเป็ นที่แห่ งเดี ยวที่มนุ ษย์ไอทีสามารถเป็ นอะไรก็ได้ตามที่ เขาต้องการ เป็ นเศาะลาหุ ดดี นผูป้ ลดปล่ อยเยรู ซาเล็ม เป็ นอัลดุ ลลอฮฺ อัซซาม ผู้ มอบอิสรภาพแก่พี่น้องอัฟกานิ สสถานจากกํามือของสหภาพโซเวียต หรื อจะเป็ น ทนายสมชาย ผูไ้ ขกุญแจประตูห้องขังแก่พี่น้อง 3 จังหวัดผูบ้ ริ สุทธิ์ หลังจากกด ชัตดาวน์ หน้าจอคอมพิวเตอร์ ดบั ไป ใบหน้าของตัวเองสะท้อนออกมาจากหน้าจอ ที่ดาํ สนิท มันบอกผมว่ายังไม่ได้ปลดปล่อยตัวเองจากกิเลสที่ครอบงําจิตใจ หลังจากสอบเสร็ จ ทุกคนต่างไปทํากิจกรรมที่ได้วาดฝันเอาไว้ จากจุดนี้ ทํา ให้บางคนมองว่าเราเป็ นปั ญญาชนเพราะดูจากมหาวิทยาลัยและคณะที่เรี ยน แต่บาง คนก็มองว่าจนปั ญญาเพราะดูจากกิจกรรมยามว่างที่เราทํา ผมเองรี บพาเบ็ดขึ้นมอเตอร์ ไซค์ไปยังแม่น้ าํ เพื่อเสาะเเสวงหาปลาที่มิได้มี ความหมายถึ ง แค่ ค วามเก่ ง กล้า สามารถ เพราะคนตกปลารู ้ ดีว่า สิ่ ง ที่ ไ ด้รับ มัน มี มากกว่าปลาหรื อความตื่นเต้นตอนปลาติดเบ็ด มันคือการสร้างสรรค์ของอัลลอฮฺ ที่ ให้เราได้อยู่กบั ต้นไม้ สายลม ท้องฟ้ า แดดกล้า ไอเย็นของนํ้า ล้วนแล้วแต่มีเสน่ ห์ ของมันเอง นํ้าในลําห้วยกําลังอยู่ในระดับลึ กของช่วงต้นฤดูฝน กระแสนํ้าขุ่นข้น ราวกับทะเลโคลนเดื อดพล่าน ตลอดแนวลําห้วยมี พุ่มไม้ที่ปรากฏให้เห็ นกระจัด กระจาย ที่ฝั่งตรงข้าม ตัวเหี้ ยขนาดใหญ่ตวั หนึ่ งถูกพัดพาอัดติดกับกิ่ งไม้ ผลุ บ ๆ โผล่ ๆ อยู่ตามแรงกระชากของสายนํ้า จะปี นขึ้นก็ไม่ไหว จะปล่อยตัวให้ลอยไป ตามสายนํ้าเชี่ ยวก็ทาํ ไม่ได้ ดูเป็ นภาพที่น่าเวทนาไม่น้อย มันเป็ นตัวเหี้ ยที่โตเต็มที่ และคงผ่านอะไรมามากก่อนที่จะถูกกระแสนํ้าตรึ งไว้ คืนนี้ ผมนอนเร็ วเป็ นพิเศษ ให้ร่างกายได้พกั ผ่อนอย่างเต็มที่หลังจากที่อด หลับอดนอนมาหลายวัน พร้อมกับตั้งใจไว้วา่ จะละหมาดสุ นตั ก่อนศุบหิ เพราะมัน มี คุ ณค่ ามากกว่า โลกนี้ และเนื้ อในของมัน เสี ย งอิ กอมัตจากกล่ องเสี ย งของชาย ฉกรรจ์คนหนึ่งดังกึกก้องกังวานไปทัว่ ผมรู ้โดยทันทีวา่ ผมพลาดโอกาสสําคัญของ วันนี้ไปอีกแล้ว
5.ผลต่าง ณ สมรภูมิครูเสด .. jasmine ..
1 วันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ.1099 กองทัพครู เสดนําโดยกอดฟรี ยแ์ ห่ งบุยยอง (Gofrey of Bouillon) กรู กัน เข้า สู่ กรุ ง เยรู ซ าเล็ม และเริ่ ม ปฎิ บัติ การสัง หารหมู่ มุ ส ลิ ม และยิว อย่า ง สนุกสนาน เมืองทั้งเมืองมีแต่เสี ยงร้องระงมของคนที่ถูกทารุ ณ พวกครู เสดได้ทาํ การสับคน ทั้งเป็ น แหวะอกเด็ก บ้างก็ถูกเผาทั้งเป็ น บางคนถูกโยนบกจากหอคอยสู งๆ บางคนถูกลาก ตามถนนจนตาย ศพถูกกองเป็ นกองๆ ตามถนน การกระทําของพวกครู เสดตอนนั้นยิ่งกว่า สัตว์เดี ยรั จฉาน แม้ว่าจะอยู่ในดิ นแดนศักดิ์ สิ ทธิ์ แต่พวกเขาไม่ได้ลดความโหดร้ ายลงเลย เพราะพวกเขาถื อว่า การรบและการฆ่ าฟั น พวกนอกศาสนา(มุส ลิ ม) ได้บุญและจะได้เข้า สวรรค์ตามที่โป๊ ป เออร์บานที่ 2 (Urban II) สัญญา ในจดหมายของบุยยองถึงโป๊ ป ได้เขียนไว้ ว่า “ถ้าท่านอยากรู ้วา่ พวกเราได้ทาํ อย่างไรกับศัตรู ที่เมืองนั้นบ้าง ก็จงรู ้เถิดว่าภายในโบสถ์ของ พระเจ้าโซโลมอนนั้น เราได้ลุยเลือดของพวกสะระเซ็น (ศัพท์ที่พวกครู เสดใช้เรี ยกมุสลิม) ซึ่ง ท่วมขึ้นมาถึงหัวเข่าแห่งม้าเราเลยทีเดียว” ไม่เพียงแต่ชีวิตมนุ ษย์เท่านั้นที่ ถูกทําลาย บรรดาสิ่ งก่อสร้างต่างๆก็ถูกทําลายลงไป มาก นอกจากเยรู ซาเล็มแล้วบรรดาเมืองตามรายทางที่เป็ นทางผ่านก่อนถึงเยรู ซาเล็มก็ประสบ ชะตากรรมเช่นเดียวกัน ที่เมืองอันติออค (Antioch) พวกครู เสดได้ทาํ การล้อมเมืองอยูน่ าน 9 เดือน จนเสบียงร่ อยหรอลงมาก พวกเขาหันมากินศพพวกเดียวกันเอง แล้วพวกเขาก็สามารถ ตี เมื องอันติ ออคได้ด้วยความช่ วยเหลื อของมุสลิ มทรยศคนหนึ่ ง ชาวอาเมเนี ยชื่ อไฟรุ ส ที่ หย่อนเชือกลงมารับพวกครู เสดเข้ามาเปิ ดประตูเมือง พวกครู เสดจึงได้กรู กนั เข้าเมืองพร้อม
41 ตะโกนว่า Dieu le veut (พระเจ้าประสงค์เช่นนั้น) แล้วก็เริ่ มสับคนในเมือง โดยไม่ละอายต่อ กางเขนสัญลักษณ์ของพระเจ้าที่ ตวั เองถื ออยู่และที่ เมื องมัรรอต อันนุ อฺมาน (Ma'arrat alNuman) ซึ่งเป็ นเมืองที่รุ่งเรื องแห่ งหนึ่ งของซี เรี ย ที่เมืองนี้ พวกครู เสดได้ฆ่าคนในเมืองไม่ต่าํ กว่าหนึ่ งแสนคน โดยวิธีการที่โหดร้ายทารุ ณตามที่พวกเขาถนัด คงมีแต่เมืองนิ ซิอา(Nicaea) ที่รอดพ้นจากการถูกทําลาย เพราะเจ้าเมืองได้ยอมแพ้และเปิ ดประตูเมืองแต่โดยดี ครั้งที่พวกครู เสดยกทัพถึงเมืองคอนสแตนติโนเปิ ล ซึ่ งเป็ นคริ สเตียนเหมือนกันแต่ นิกายออร์โธดอกซ์ กษัตริ ยอ์ เล็กซิส(Alexius Comnenus)ได้รีบจัดการให้พวกครู เสดลงเรื อไม่ ยอมให้เข้าเมืองเพราะเกรงว่าพวกครู เสดเข้าเมือง บ้านเมืองจะถูกทําลายแน่นอน นอกจากนี้ ยังมีเรื่ องน่าขยะแขยงที่เกิดขึ้นในกองทัพพวกครู เสดอย่างเช่น ในกองทัพมีการขายเนื้ อคนอีก ด้ว ย ความไร้ ม นุ ษ ยธรรมของพวกครู เสดเป็ นความด่ า งพร้ อ ยทางประวัติ ศ าสตร์ ที่ ชาวตะวันตกพยายามปกปิ ดเสมอมา และพยายามบิ ดเบื อนประวัติศาสตร์ สงครามครู เสด เมื่อปิ ดไม่อยู่ พวกเขาก็ให้เหตุผลว่าไบเบิลไม่ได้สอนให้สังหารมนุษย์ แต่เป็ นความโหดร้าย ของคนที่นบั ถือศาสนานี้ หาใช่คาํ สอนของศาสนาไม่ แต่พออิสลามจะใช้เหตุผลดังกล่าวบ้าง กลับไม่มีใครฟังซะอย่างนั้น แบบนี้เขาเรี ยกว่าสองมาตรฐาน ดีๆนี่เอง !!! 2 หลังจากที่ พวกครู เสดได้ทาํ การละเมิดสัญญาสงบศึก ด้วยการปล้นและฆ่าคาราวาน มุสลิม ใน ค.ศ. 1186 ในช่วงสงครามครู เสดครั้งที่สาม โดยการนําของเรโนลด์แห่ งชาติลอง (Raynald of Châtillon) ทําให้เศาะลาหุ ดดีน(Sultan Saladin)โกรธมาก เพราะมุสลิมเคารพ สัญญาสงบศึกเสมอมา แต่พวกครู เสดถือว่าเป็ นการพักรบเพื่อสัง่ สมอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อรบ กับพวกซาราเซ็นต่อไป เศาะลาหุดดีนจึงยกทัพไปปราบปราม พวกครู เสดถูกตี พ่ายแพ้ยบั เยิน ตายหมื่นกว่าคน อัศวินและพวกเจ้าถูกจับเป็ นเชลยจํานวนมาก รวมทั้งเรโนลด์ ซึ่งถูกประหาร ชีวติ เพราะเป็ นคนก่อเหตุ หลังจากที่ตีเมืองต่างๆของพวกครู เสดแตกทัพไว้ในครอบครองได้ แล้ว เศาะลาหุดดีนก็ได้ยกทัพราวหกหมื่นคนมุ่งสู่กรุ งเยรู ซาเล็ม เมื่อถึงกรุ งเยรู ซาเล็ม เศาะลาหุดดีนก็ได้เขียนจดหมายถึงพวกครู เสดว่ า “ฉันตระหนัก ดีเช่ นพวกท่ านเหมือนกันว่ า เยรู ซาเล็มเป็ นเมืองของพระเจ้ า1 ฉันไม่ ต้องการทาให้ มันเลอะ เปื้ อนไปด้ วยเลือด จงละทิง้ ที่มั่นของพวกท่ าน อย่ าสู้ รบ ฉันจะแบ่ งส่ วนหนึ่งของสมบัติของ ฉันแก่ พวกท่ าน และจะให้ ที่ดินมากที่สุดที่พวกท่ านจะทาการเพาะปลูกได้ ” แต่พวกครู เสด กลับหัวเราะเยาะข้อเสนอของเศาะลาหุดดีน เขาโกรธมากจึงสาบานว่าจะแก้แค้นแทนมุสลิมที่
42 ถูกสับเมื่อตอนที่พวกครู เสดยึดเยรู ซาเล็มได้ หลังจากที่กองทัพเศาะลาหุ ดดีนได้ทาํ การล้อม เมืองเยรู ซาเล็มอยูพ่ กั หนึ่ง พวกครู เสดเห็นท่าจะสูไ้ ม่ไหว จึงเขียนจดหมายขอความปรานี จาก เศาะลาหุ ดดี น 2 เศาะลาหุ ดดี นก็ใจอ่อนเลยออกกฎว่า พวกกรี กและซี เรี ย คริ สเตี ยนอยู่ใ น อาณาจักรของตนเองได้โดยมี สิทธิ์ ของพลเมืองเต็มที่ ส่ วนบรรดาทหารและอัศวินที่ มากับ กองทัพพวกครู เสดต้องกลับถิ่นฐานเดิมพร้อมภรรยาและบุตรภายในสี่ สิบวัน โดยจะมีทหาร ของเศาะลาหุดดีนคุม้ กันให้จนถึงเมืองตริ โปลี โดยต้องเสี ยค่าไถ่ตวั ผูช้ ายคนละ 10 ดินาร์ซีเรี ย ผูห้ ญิงคนละ 5 ดินาร์ซีเรี ย และเด็กคนละ 1 ดินาร์ซีเรี ย ถ้าไม่จ่ายก็ตอ้ งอยูเ่ ป็ นเชลยต่อไป แต่นี่ เป็ นเพียงแค่กฎที่วางไว้เท่านั้น ในทางปฏิ บตั ิน้ นั เศาะลาหุ ดดี นได้ใช้เงินของตัวเองไถ่พวกครู เสดกว่าหนึ่ งหมื่นคน สัยฟุดดี นน้องชายของเศาะลาหุ ดดี นได้ไถ่เชลยราว 7,000 คน พวกนักบวชในเยรู ซาเล็ม สามารถนําของมีค่าต่างๆได้โดยไม่ถูกยึดหรื อรังแกแต่อย่างใด บางคนต้องแบกคนแก่ที่เดิ น ไม่ไหว เศาะลาหุ ดดี นก็ได้จัดหาลาให้และให้เงิ นช่วยเหลื ออี ก ผูห้ ญิ งหลายคนมาขอร้ อง เศาะลาหุดดีนให้ปล่อยตัวสามี พ่อ ลูก และพี่นอ้ งของพวกนาง เศาะลาหุ ดดีน สงสารจึงสั่งให้ คืนสามี พ่อ ลูก และพี่นอ้ งของพวกนางไป โดยจะพิจารณาเป็ นกรณี ๆ เศาะลาหุ ดดีนยังได้ บริ จ าคเงิ น จํา นวนมากให้ กับ เด็ ก กํา พร้ า อัศ วิ น ที่ ไ ด้รั บ บาดเจ็ บ จากการสู ้ร บกับ ตนเอง เศาะลาหุ ด ดี น ก็ ไ ด้ใ ห้พ วกเขาได้รั บ การรั ก ษาในโรงพยาบาล เหล่ า นี้ คื อ มนุ ษ ยธรรมที่ เศาะลาหุดดีนวีรบุรุษผูน้ าํ ของมุสลิมได้แสดงต่อพวกครู เสด มันเป็ นภาพตรงกันข้ามกับสิ่ งที่ พวกครู เสดได้เคยทํากับมุสลิม เมื่อพวกครู เสดคนสุดท้ายออกจากเมือง ท่านก็ได้นาํ ทัพเข้าไป ในตัวเมืองและนมาซที่นนั่ ในวันศุกร์ที่ 27 ระญับ ฮ.ศ. 583 1.ความคิดที่วา่ เยรู ซาเล็มเป็ นเมืองของพระเจ้า ยังถูกปลูกฝังรุ่ นต่อรุ่ นในพวกยิวหัวรุ นแรงอีก ด้วย ในปั จจุ บันมี นักร้องแร๊ พ หนุ่ มเคราหนาชาวยิวชื่ อดัง ได้แต่งเพลง “Jerusalem” โดย เนื้ อหาพูดถึงการกูด้ ินแดนแห่ งนี้ กลับมาและสร้างวิหารโซโลมอนขึ้นมาบนซากปรักหักพัง มัสยิดอัลอักศอ เขาเปรี ยบว่าที่น้ ี คือนํ้านมและนํ้าผึ้งของพวกเขา และพวกมุสลิมกําลังจะขอ กลับคืน – And they want me to give up my milk and honey,Don’t you see it’s not about the land or the sea,Not the country but the dwelling of his majesty … 2.ความเมตตาปราณี ของเศาะลาหุดดีน เป็ นสิ่ งสากลที่ทวั่ โลกยอมรับ แม้แต่หนัง Kingdom of heaven ที่พดู ถึงครุ เสดสมัยเศาะลาหุดดีน ซึ่งตะวันตกสร้างขึ้นมาก็ตามที – กอง บ.ก.
อัสลามูอาลัยกุม วาเราะมาตุลลอฮ วาบารกาตุฮ พับ่ พับ่ พับ่ โอ๊ย! เหน็ดเหนื่ อยเสี ยจริ ง งานเยอะแยะ ไหนงานนั้น ไหนงานนี้ ไหนงาน โน้น (ตกลงเอ็งจะเอางานไหนนี่ ?) หลังยอกไปหมด แต่ตอ้ งทนนะ อามานะฮ์ งานหลวง อย่าได้ขาด งานราษฎร์อย่าได้เสี ย ถึงแม้จะอ่อนเพลีย เข้าร้าน KIA สั่งคาปูชิโน่เอย (เริ่ ม เพี้ยนแล้วล่ะ)...รอตั้งนานแน่ะ ในที่สุดงานบรรยายธรรมครั้งที่ 3 “Fear for faith” ก็ได้ เปิ ดฉากขึ้นแล้วอย่างเป็ นทางการ (อลังการมาก..)...งานของฮุดฮุด ก็คือจารนัยกิจกรรม ตั้งแต่บรรยายธรรมครั้งนั้นถึ งครั้งนี้ เองจ๊ะ...เริ่ มกันตั้งแต่สอบปลายภาคครั้งที่ ผ่านมา น้องปี หนึ่ งหลายคนคงซึ้ งกับเกรดตัวเอง อัลฮัมดูลิลลาฮหนา แต่บางคนก็เศร้า บางคน เนี่ย ถึงกับหายไปเลย ไม่เห็นหน้าค่าตากัน ชีวิตก็ย้งั นี้ แหละ บททดสอบนะจ๊ะ อดทนๆ... ในช่ วงปิ ดเทอมก็ได้ให้หัวใจได้พกั ผ่อนซักพัก แต่แล้ว พี่นอ้ งก็ได้เรี ยกๆบรรดาพี่เลี้ยง แสนดี ไปเบตงใน “ค่ ายคุณหนูมุสลิม” (เชื่ อเหอะ ว่าพี่ชุเราไม่พลาดงานนี้ แน่ ) ถื อว่า รวบรวมนักทํางานมาเพื่อเยาวชนได้มากมายจริ งๆ...แต่ฮุดฮุดไม่ได้ไปหรอก เพราะฮุดฮุด ได้ไปติ ดสอยห้อยตามอามีรนักศึ กษาจันทร์ เสี้ ยว(น้องอาลิฟ)ไปกทม.นู่ น เพื่ อเข้าร่ วม “ค่ ายอยากเป็ นหมอ” โดยจันทร์ เสี้ ยวไปในฐานะแขกรับเชิ ญ แถมได้สานสัมพันธ์ กบั พี่ น้องภาคกลางด้วย (เบตงก็เบตงเหอะ มีแอร์พอร์ตลิ๊งค์ป่าว555)...หลังจากนั้นไม่กี่วนั ทาง ชมรมมุสลิมก็ได้จดั “ค่ ายจูงมือน้ องสู่ ร้ ัวมหาวิทยาลัย” ถือได้ว่าเป็ นงานที่ใหญ่และสร้าง ความสมัครสมานในชมรมได้เป็ นอย่างดี และเป็ นงานที่ทา้ ทายอามีรเหยี่ยวและเลขาเสื อ เป็ นอย่างมาก(ชื่ อนี้ ท่านได้แต่ใดมา ก็เรี ยนถามเจ้าตัวเองนะจ๊ะ) ฮุดฮุดละก็ปลื้มกับค่ายนี้ อย่างสุ ดซึ่ ง แต่!! แอบเคื องเหมือนกัน ขอนาซี ฮะออกสื่ อซักหน่ อย สําหรับน้องที่ ลงชื่ อ
44
แต่ไม่ได้มา น้องทําไม่ดีเลยนะ หากน้องมีธุระหรื อสิ่ งที่ จาํ เป็ นมากก็ไม่ว่ากัน แต่ถา้ น้อง ทิ้งงานไปโดยไม่มีสิ่งจําเป็ น อามานะฮ์นะน้อง คราวหน้าคราวหลังก็คิดให้ดีก่อนนะ... หลังจากผ่านเรื่ องเคืองๆไป2-3วัน อัลลอฮฺพลันส่ งนําท่วมครั้งยิ่งใหญ่ เรี ยกกันได้ว่า ท่วม กันครึ่ งประเทศ อัลฮัมดูลิลลาฮฺ ที่ใน ม.อ. ปลอดภัยดี แต่ว่ารอบๆม.อ.เนี่ ยซิ น่ าสงสาร มาก ผูป้ ระสบภัยบางรายก็ไม่ได้ทานข้าวหลายวันแหนะ เมื่อเพื่อนมนุษย์เดือดร้อน เหล่า เด็ ก ม.อ.ก็ ต่ า งร่ วมมื อ กัน เพื่ อ ช่ วยเหลื อ เพื่ อ นมนุ ษ ย์ เหล่ า นักศึ ก ษามุ ส ลิ ม ก็ ช่ ว ยกัน ทําอาหารฮาลาล ห่อของ ผูกถุง ยกอาหารแห้ง และอีกมากมาย อิ่มใจจัง (อะไรนะกิฟลัน? อ๋ อ อิ่มท้องด้วย มากิ นฟรี ตลอดละซี )...อานิ สงค์จากนํ้าท่ วมส่ งผลให้มหาวิทยาลัยเปิ ด เทอมช้าไป 1 สัปดาห์ แต่ตารางเรี ยนยงเหมือนเดิ ม (เง้อ).......แอบได้ยินข่าวดีมา คือแว่ (คื อว่ า ) อามี เ ราะฮฝ่ ายพัฒ ฯปี 51 กะนี แ พทย์แ ผนไทย ก็ ป ระกาศสละโสดอย่ า งถู ก หลักการอิสลามไปแล้วอีกราย บอกแล้วไงกิฟลัน คนดีๆเขาไปไวจริ งๆนะ (โดน 2 รอบ แล้วนะ คอลัมน์น้ ี )...เปิ ดเทอมแค่สัปดาห์เดี ยวก็เข้าช่ วงอิดิ้ลอัฎฮา ชื่ นมื่นๆๆๆ...ในปี นี้ ทางมหาลัยก็อนุญาตให้นกั ศึกษามุสลิมลาได้ 3 วัน (No comment ) ...บางคนกลับบ้าน บางคนอยูม่ อ ก็สุขกันคนละแบบ แต่ถา้ ให้สุขกันแบบชมรมมุสลิมก็ตอ้ งงาน “กุรบานมา กกว่ าการให้ ” ที่ทางชมรมได้จดั กุรบานเนื้ อไปเสี ย 5 ส่ วน (อีก 2 ส่ วนก็จะตัวนึ งแล้วนะ อมีรรอแม!) ทํากับข้าวกันตั้งหลายอย่าง ทั้งฆูลา ฆอเรง และอีกมากมาย แตวันนั้นฮุดฮุด ขอบาย เพราะเกิ ดอาการหลอนเนื้ อจริ งๆ (ก่อนหน้านี่ กินซะเป็ นกิ โลๆ เลยบิ นไม่ข้ ึ น)... เนื้ อยังไม่ทนั ย่อยดี ชมรมก็จดั งาน “ฟุตซอลสั มพันธ์ ชมรมมุสลิม” ซึ่ งมุสลีมีนม.อ.ต่าง ส่ งที มเข้ามาแข่งขันกันมากมาย ตั้งชื่ อที มซะเจ็บๆ อบต.(องค์การบริ หารส่ วนตัว),โอ๊ย โอ๊ย ฯลฯ แถมบางที มก็มีมาตั้งแต่สมัยฮุ ดฮุ ดยังหนุ่ มๆอยู่เลย เมพขิ งๆ...จากวันนั้นถึ ง วันนี้ ก็มีกิจกรรมอยู่เท่านั้นแหละ แต่! ขอ ปชส.นิ ดนึ งกับงาน “สวัสดีอิสลามครั้ งที่ 2” จะจัดงานในวัที่ 22 มกราคม 54 เพื่ อสร้ างความเข้าใจแก่ คนที่ สนใจและบุ คคลทัว่ ไป สามารถติ ดตามงานประชาสัมพันธ์ได้เรื่ อยๆนะจ๊ะ ...สุ ดท้ายนี้ ฮุดฮุดก็ขอฝากอะไรนิ ด หน่อยนะ ใครเคยเล่นเฟซบุคก็น่าจะคงประสบปั ญหาคนแท็กโฆษณา ที่ทาํ วันละนิ ดละ หน่อยแล้วได้เป็ นแสนเป็ นล้าน อย่าไปเชื่ อ ทํางานของอัลลอฮดี กว่ากําไรชัวร์ ฉบับนี้ ก็ คงจบเพียงเท่านี้ ฮุดฮุดก็ขอจรลีล่ะ อัสลามมูอาลัยกุม วาเราะฮมาตุลลอฮ วาบารอกาตุฮ
อาณาจั ก รตั ร บี ย ะฮฺ >> ตอบคาถามโดย อบูเชากี อะไรเป็ นตั ว ชี้ วั ด ว่ า คนๆหนึ่ ง เป็ นผู้ เข้ า ใจอิ ส ลามแล้ ว ค่ ะ ?-- การตอบเรื่ อ ง ตัวชี้ วดั คงตอบยาก เดี๋ยวจะเป็ นการฟั ตวาผูอ้ ื่นไป ผูเ้ ข้าใจอิสลามเองนั้น ก็ลึกซึ้ ง มากกว่าผูม้ ีความรู ้ซะด้วยซํ้า หากมองว่าผูเ้ ข้าใจคือใคร ก็คงจะคงหนี ไม่พน้ อุลา มาอฺ นนั่ แหละครับ เพราะชี วิตของพวกเขาทุ่มเทเพื่อความเข้าใจในอิสลามอย่าง แท้จริ ง ส่ วนประเด็นอื่นที่เกี่ ยวข้องกับความเข้าใจของคนๆหนึ่ งได้แก่ ความรู ้ ที่ ลึกซึ้ ง ความกล้าหาญ ความเสี ยสละ ความถ่อมตน ความสมถะ ความสามารถใน การดะฮฺวะฮฺท้ งั เชิงรุ กและเชิงรับ ความสามารถในการเปลี่ยนคนรอบข้างหรื อการ เป็ นมุร็อบบี มีความเป็ นแบบอย่างที่ดีในทุกด้านตามแบบอย่างท่านรอซู ลฯ ชีวิต ผูกพันกับอุมมะฮฺ ตลอดเวลา มีความเป็ นพี่น้อง ส่ วนผูท้ ี่เข้าใจอิสลามอาจมีความ แตกต่างในบุคลิกภาพบางอย่ าง อาจรู้ ในศาสตร์ ต่างๆของอิ สลามไม่ เท่ ากัน เพราะ สิ่ งที่ เกี่ยวข้ องกับความเข้ าใจคื อ อี มาน ตักวา การราลึกถึงอัลลอฮฺ ตลอดเวลา การ ยืนหยัดในแนวทางศาสนา ความรู้ สึ กมี เกี ยรติ ในความสู งส่ งของอิ สลาม วัลลอ ฮุอะลัม ประโยคอมตะของการเผยแพร่ อสิ ลามในยุคต้ นที่ว่า “มนุษย์ มีเกียรติก็ ด้ ว ยการเป็ นมนุ ษย์ ” ได้ ขาดหายไปจากสั งคมเสี ยแล้ ว ผู้ ที่ต้ องการทางานเพื่อ สั งคมให้ ดีขึ้น จะต้ องมีบุคลิกภาพยังไงบ้ างครั บ--สิ่ งแรกที่ น่าจะเป็ นความรู ้ ใน เรื่ องอัดดี นหรื อศาสนา ความรู ้ ก็มีหลายระดับ เช่ น ระดับผิวเผินจนถึ งระดับ ที่ ลึกซึ้ ง ต่อจากความรู ้ก็เป็ นความเข้าใจ(ดูขอ้ ที่1ครับ) มีศิลปะในการทํางานร่ วมกัน เป็ นที ม ต้องใจกว้า ง ไม่ใ จแคบเพราะการมี ท ศั นะคติ ที่ค บั แคบจะไม่ ส ามารถ อธิ บายและเข้าใจอะไรลึกซึ้ งได้ มีความยืดหยุน่ มีความคิดสร้างสรรค์ในงานดะฮฺ วะฮฺ เข้าใจธรรมชาติของผูค้ นแต่ละเพศแต่ละวัยได้ดี รู ้ จกั นําอิสลามไปสู่ สังคม ด้วยฮิกมะฮฺต่างๆ ควรจะเป็ นนักพูดที่ดีมีจิตวิทยา หลีกเลี่ยงความก้าวร้าว ดันทุรัง ระวัง หัวใจตัวเอง ไม่ ให้เป็ นบุ ค คลที่ สํา คัญ อยากดัง อยากเด่ น ไม่ หลงผลงาน
46
ตนเอง ให้ความสําคัญกับผูร้ ู ้ และองค์กรอื่นๆที่สําคัญต้องเป็ นคนกระตือรื อร้ น เสี ยสละและอ่อนน้อมถ่อมตนต่อทุกคน วัลลอฮุอะลัม ทาไมคนเราถึงได้ ทาผิด ซ้าๆซากๆทั้งๆที่ร้ ู ว่าสิ่ งนั้นผิด ?--เขาเป็ นคนที่อ่อนแอมากๆจงอยูใ่ กล้ชิดเขาให้ มากๆคอยตัก เตื อ นเป็ นเพื่ อ นที่ ดี ใ ห้ เ ขาเห็ น ทํา ตัว อย่ า งในการเป็ นบ่ า วที่ ดี ของอัลลอฮฺ ในหัวใจของคนประเภทนี้ มีไว้เป็ นที่ดินให้ชยั ฏอนเพาะปลูกวัชพืช แห่ ง ความผิด ความเผลอเรอ การฝ่ าฝื น คนเช่ นนี้ เป็ นคนมองไม่ เ ห็ น อนาคต อนาคตคืออะไรน่ ะหรื อ? อนาคตคือชี วิตหลังความตาย เป็ นที่น่าสังเกตว่าทําไม คนเราชอบทําความผิดซํ้าซาก (1)-อารมณ์ ของเราชอบเป็ นทุน เดิ มอยู่แล้ว (2)ชัยฏอนคอยสนับสนุ นอีกแรง (3)-ไม่มีคนดี มีศาสนาห้ามปราม (4)-อี มานอ่อน จิตใจตกตํ่าเพราะขาดการซิ กรุ ลลอฮฺ และห่ างศาสนา ห่ างจากกลุ่มคนที่มีบุคลิ ก หรื อ (5)- เขาไม่ได้รับทางนําจากอัลลอฮฺ ที่จะแยกแยะความดี ชัว่ ออกจากกันได้ จนเขามืดบอดและตกเป็ นทาสของอารมณ์และชัยฏอนตลอดไป ซึ่ งหากเขาไม่รีบ สํานึ กผิดและกลับตัวก็จะตกเป็ นคนขาดทุนอย่างสิ้ นเชิ ง วัลลอฮุอะลัม ทาไม มุสลิมบางส่ วนถึงไม่ ยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองเมื่อถูกตักเตือน พวกเขากลัวอะไร กันหรื อ ?--คําถามนี้ คล้ายๆข้อ3น่ ะแหละครับ การเปลี่ ยนแปลงตัวเองเป็ นเรื่ อง หนักเป็ นเรื่ องยาก ลําบากใจ เป็ นการก้าวข้ามกําแพงแห่ งความคิดที่เคยยึดติดแต่ ตัวเอง ให้ความสําคัญแก่ตวั เอง เป้ าหมายชี วิตของตัวเองล้วนๆ มาเป็ นความคิด ปรัชญา ชีวติ อีกแบบ ตั้งแต่คาํ ว่า เพื่อศาสนา เพื่อพระเจ้า เพื่ออิสลาม เพื่อนบี เพื่อ เพื่อนมนุษย์ เพื่อคนอื่น เพื่อสังคม เพื่อุดมการณ์ แต่ละคําหนักๆทั้งนั้นๆ ก็มีบา้ งที่ บางคน(ส่ ว นใหญ่ ด้ว ย)ยัง เป็ นคนกลัว การเปลี่ ย นแปลงตัว เอง พวกเขาอ่ า น หนังสื อแนวคิ ดน้ อย รู้ ประวัติศาสตร์ ของบรรพบุรุษน้ อย เดิ นทางน้ อย รู้ จักแต่ ตัวเองและครอบครั ว ญาติๆของตัวเอง มองตัวเองเป็ นศูนย์ กลางของโลก ศาสนา และสั จ ธรรมเป็ นเพี ย งเสื ้ อ คลุ ม ตามวาระโอกาสส าคั ญ เท่ า นั้ น ต้อ งหาทาง ปลดปล่อยพวกเขา “ความอยู่รอดของอุมมะฮฺ คือความเข้ มแข็งของอุคุวะฮฺ” จริงหรือเปล่า ทาไมถึงเป็ นเช่ นนั้นครับ-- ประโยคดังกล่าวค่อนข้างเป็ นปรัชญาอยู่ บ้าง คนที่มีอุคุวะฮฺ คือคนที่พร้อมเสมอที่จะอุทิษตนเพื่อคนอื่นหรื อพี่ น้องมุสลิม พวกเขาพร้ อมที่ จะทํางานทั้งในลักษณะดะอฺ วะฮฺ การเคลื่ นไหว การต่อสู ้ และ
47
การญิ ฮาดเพื่อปกป้ องเกี ยรติ ยศและศักดิ์ ศรี ของอุ ม มะฮฺมุสลิมในสิ่ งที่ไม่ขดั ต่อคําสั่งของอัลลอฮฺ และรอ ซู ลของพระองค์ พวกเขาให้ความสําคัญกับวิถีชีวิต แบบอุคุวะฮฺ ท่ามกลางบรรยากาศการขัดเกลา(ตัรบี ยะฮฺ ) การฝึ กฝนชี วิ ต อิ ส ลาม การทํา งานเป็ นที ม รักษาบุคลิกภาพแบบศาสนานิ ยมเป็ นสรณะวิถี อุม มะฮฺ คื อ ผู้ป่ วย พวกเขาคื อ แพทย์อ าสา ท่ า มกลาง วิกฤตทางสังคมที่เลวร้ ายทุกหย่อมหญ้า พวกเขารัก ผูอ้ ื่นมากกว่าตัวเอง อัลลอฮฺ ทรงโปรดปรานต่อพวก เขาและพอใจในความสู งส่ งในจิตใจของพวกเขา ความเป็ นอุควะฮฺเป็ นจุดเรื่ มต้น ของญะมาอะฮฺ มันเป็ นรากฐานของขบวนการฟื้ นฟูอิสลามและแบบอย่างของ สังคมคุ ณภาพแห่ งประวัติศาสตร์ ยุคท่านรอซู ลฯ (ระหว่างมุฮาญีรีนกับอันซอร) คําว่า ความอยูร่ อดของอุมมะฮฺ อาจดูเป็ นอุดมคติและจิตนาการ แต่ก็เป็ นเป้ าหมาย ของนักฟื้ นฟูอิสลามทุกคนผูเ้ ข้าใจเป้ าหมายของชี วิตอิสลาม ปั ญหาใหญ่คืออุ ม มะฮฺ ของเราเองก็เสื่ อมเสี ยเอกลักษณ์ เกื อบทุ กอย่างไปหมดแล้วกับสิ่ งที่เป็ นอยู่ โดยไม่สําเหนี ยกสักนิ ดว่า มันห่ างไกลจากสิ่ งที่อิสลามต้องการเหมือนที่ท่านรอ ซู ลได้ต่อสู ้ และจัดตั้งขึ้ นในยุคของท่านเหลื อเกิ น ปั ญหาทางฟิ กฮฺ ไ ด้กลายเป็ น ปั ญหาขนาดเล็กที่ทาํ ให้เราสู ญเสี ยโอกาสที่จะพูดเรื่ องสําคัญซึ่ งขนาดใหญ่กว่าอีก หลายเรื่ อง เป็ นต้น วัลลอฮุอะลัม ...... ฉบับหน้ า...อินชาอัลลอฮฺ พบกับ /การจะประสบความสาเร็จในการตัรบียะฮฺที่แท้ จริง มีแนวทางยังไงบ้ างครับ ? /อยากถามอาจารย์ว่าอะไรคือนิยามและการปรากฏตัวของ “ตัรบียะฮฺ”ในสมัยนบีและเหล่าเศาะฮาบัต แล้วมันจาเป็ นสาหรับเราในยุคปัจจุบันนีย้ งั ไงครับ ? /สังคมอิสลามมีวธิ กี ารและแนวคิดแบบไหนที่ทาให้ เศรษฐี แม่ ค้า ภารโรง ชาวนา คนเก็บขยะ มีความเท่ า เทียมกันในทุกๆด้านของชีวติ ทาให้ ทุกอาชีพที่สุจริตคืออาชีพที่มีเกียรติ ? /เราต้ องทาอะไรบ้ างเพือ่ บรรลุถึงสังคมแห่ งความเสมอภาค พอเพียง ผู้คนยิม้ แย้ มแจ่ มใส มีนา้ ใจ แม้ เมื่อพวก เขามีอาหารการกินเพียงแค่ ผกั ต้ มและปลาทอด หรือมีบ้านหลังเล็กๆก็ทาให้ พวกเขามีความสุ ขและแบ่ งปันสิ่ ง เหล่านั้นให้ เพื่อนบ้ าน หรือนี่เป็ นเพียงอุดมคติครับ ?
‌coming soon 22 January 2011 @ PSU Hatyai
ปิดม่าน >> โยฮัน เชค อาลี อี ซา เคยเล่าเรื่ องราวเมื่ อครั้นอดี ตสมัยยังวัยเด็ก ยังวิ่งเล่นแถว สังคมชนบทในอียปิ ต์วา่ “นับตั้งแต่ขา้ พเจ้าอยู่ในวัยเด็ก มีสิ่งหนึ่ งยังคงติดตาตรึ งใจไม่เคยลื มเลื อน ไปจากความทรงจําเลย ขณะนั้นข้าพเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บา้ น ข้าพเจ้าไม่เคยลื ม ถ้อยคําโวหารซึ่ ง เคยได้ยินจากคนรอบข้า ง บุค คลในครอบครัว ตลอดจนญาติ ใกล้ชิดภายในบ้าน บุคคลที่อยูบ่ า้ นใกล้เรื อนเคียงก็เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ชาวบ้าน ที่อยู่ตามถนนหนทางและสถานพบปะสังสรรค์ต่างๆทั้งในละแวกตลาดร้ านรวง และที่ชุมนุ ม ล้วนแต่กล่าวกันทั้งสิ้ น ถ้อยคําโวหารดังกล่าวมิใช่อะไรอื่น เว้นแต่ เป็ นภาพลักษณ์แห่ งความมีชีวิตชี วาซึ่ งเคยเกิ ดขึ้นกับพี่น้องมุสลิ มในยุคแรกของ อิสลามมาแล้ว นัน่ ก็คือถ้อยคําที่วา่ ” “การเคลื่อ นไหวทาให้ ไ ด้ รับ ความจาเริ ญ ความจาเริ ญจะมีมายามเช้ าตรู่ ” ผูค้ นจะตื่นกันยามเช้าตรู่ ตามถนนหนทางจะจอแจไปด้วยผูค้ นทุกเพศทุก วัย ต่างให้สลามกันและกัน สิ่ งเหล่ านี้ เกิ ดขึ้ นเป็ นประจําในช่ วงรุ่ งอรุ ณของวัน ใหม่ ก่อนดวงตะวันจะทอแสง จนกระทัง่ ก่อนดวงอาทิตย์ข้ ึน ชาวบ้านเหล่านี้ จะ เข้านอนหลังละหมาดอีชาและจะตื่นก่อนละหมาดฟั จญร์ เป็ นเช่นนี้ สืบทอดกันมา นานรุ่ นต่อรุ่ น จนเป็ นธรรมชาติด้ งั เดิ มของพวกเขาไปเสี ยแล้ว ซึ่ งเป็ นผลพวงมา จากอีมานศรัทธาที่หยัง่ รากลึกอยู่ในหัวใจโดยไม่ตอ้ งอาศัยนาฬิกาปลุก เสี ยงกริ่ ง เสี ยงกลองแต่อย่างใด อันเป็ นการดําเนินรอยตามท่านนบี(ซ.ล.)โดยแท้ ท่านยังได้ เล่าว่า ในวัยเด็กก่อนถึงเวลาละหมาดสุ บฮฺ จะได้ยนิ เสี ยงร้องตามท้องถนนเสี ยงดัง แต่ฟังแล้วแฝงด้วยความสุ ภาพอ่อนโยน มีความไพเราะว่า “โอ้ ผ้ ทู นี่ อนหลับลุ่มลึกอย่ างสุ ขสบายเอย โปรดลุกขึน้ มาทาอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮฺผ้ ทู รงไม่ เคยหลับเคยนอนเถิด”
เมื่ อ เชคถามผู ้เ ป็ นพ่ อ ว่ า “ทํา ไมเขาจึ ง ใช้ ถ้อ ยคํา เช่ น นั้น ในการปลุ ก ชาวบ้านครับ” พ่อของเชคตอบว่า “ก็เพื่อเตือนถึงสิ่ งสําคัญที่พวกเขาควรทําหลัง ตื่นขึ้นมาเช้าตรู่ นั้นก็คือการซิ กรุ ลลอฮฺ กล่าวตัสเบี๊ยะฮฺ ทําอีบาดะอฺ ซึ่ งสิ่ งเหล่านี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้นอกเสี ยแต่วา่ จะไปละหมาดสุ บฮฺที่มสั ยิดร่ วมกัน” ผ่านพ้นไปสิ บปี ท่านจึงเข้าใจว่านี่ คือภาพลักษณ์ ของการอบรมสั่งสอน ของอิ ส ลามที่ มี ม าแต่ เดิ ม สมัย นบี ซ่ ึ ง ปลู ก ฝั ง ให้มุ ส ลิ มในเมื องมะดี นะฮฺ และ เอกลักษณ์ เฉพาะตัวของสังคมอิ สลามก็คือ การนอนแต่หัวคํ่า และตื่ นนอนแต่ เช้าตรู่ ก่อนอรุ ณจะทอแสง ศตวรรษแรกแห่ งฮิจเราะฮฺ เราจึงพบว่ามีผคู ้ นเดิ นถื อ ตะเกียงเนื องแน่นไปหมดตามท้องถนนเพื่อไปมัสยิดในวักตูฟัจญร์ ยังกับวันอีด ยังไงยังงั้น จนศตวรรษต่อๆมาสิ่ งเหล่ านี้ ก็เริ่ มเลื อนหายไปที ละน้อย จนมีคน กล่าวว่า “อุตริกรรมแรกทีเ่ กิดขึน้ ในอิสลามคือ ละทิง้ การไปมัสยิดตั้งแต่ เช้ าตรู่ ” ในชนบท ผูเ้ ฒ่าผูแ้ ก่จะปลูกฝังลูกหลานให้เล็งเห็นถึงความสําคัญของการ รักษาเวลา ให้ตระหนักว่ากุญแจที่ไขไปสู่ ความสําเร็ จได้น้ นั ตลอดจนการได้รับ ความจําเริ ญ บารอกัต ความสุ ขสบายใจจะเกิ ดขึ้นได้อย่างแท้จริ ง ก็ดว้ ยการตื่น นอนแต่เช้าตรู่ และนี้เป็ นสิ่ งที่ถูกปฏิบตั ิอย่างจริ งจังจากชนรุ่ นก่อน… กลับสู่ ปัจจุบนั เหลือบดูนาฬิกาข้อมือ ข้าพเจ้า(ผูเ้ ขียน)นัง่ เขียนบทความ ปิ ดเล่มนี้ เวลา 1:46 น. นอกจากเราจะมีเครื่ องเล่นยิว อย่างละครหลังข่าวให้ได้ ติดตาม หรื อฟุตบอลลีกต่างๆให้ได้ตามเชี ยร์ แล้ว มนุ ษย์อย่างเราๆก็หนี ไม่พน้ ที่ จะมีงานต้องสะสาง ซึ่งบ่อยครั้งก็ดึกดื่น เป็ นงานที่ตอ้ งทํา ดิ้นรนเพื่อการอยูร่ อด อันว่าชีวติ เรากับชีวติ บรรพชนเราในอดีต ข้าวปลาอาหารการกินคนละแบบหรื อ อย่างไรกัน เราถึงต้องทํางานหนัก 8-9 ชม.ต่อวัน เป็ นสิ่ งมีชีวิตที่ตอ้ งทํางานจึง จะมีอาหารให้ได้ประทังชี วิต เห็ นวัวเห็ นควายที่เราว่าโง่นกั หนา ไม่ยกั จะต้อง ทํางาน แต่กลับมีหญ้าให้กินมากมายไป บรรพชนเราเขาทํางานอย่างมีความสุ ข จนไม่คิดว่าที่ทาํ อยู่น้ นั เป็ นงาน เขาปลูกผัก เลี้ ยงสัตว์ ค้าขาย ฯลฯ มีเวลาศึกษา ศาสนาถมเทไป และนั้นคือยามรุ่ งอรุ ณแห่งอิสลาม ที่วนั นี้พดู ได้เต็มปากว่าเรายัง ไม่ได้สัมผัสเลย และคงไม่ไกลจากความจริ ง ถ้าจะกล่าวว่า สุ บฮฺ ยงั ตื่นยากเย็น นัก อย่าหวังว่าจะได้เจอความรุ่ งเรื อนแห่งอิสลามอีกครั้ง วัลลอฮุอะลัม
an army of sheep led by a lion would defeat an army of lions led by a sheep -- Arab Proverb