SOCIOLOGICAL AND ANTHROPOLOGICAL THOUGHTS
แนวคิดสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา รหัสวิชา 261124 ภาคเรียนที 1 ปี การศึกษา 2556 (สัปดาห์ที 4)
แนวคิดว่าด้วย ... สังคม แนวคิดว่าด้วยสังคมในอดีต: ความพยายามหาอธิบายการกําเนิดของสังคมกับ “ธรรมชาติ” | แนวคิดว่าด้วยสังคมในยุคกลาง: ความพยายามหาอธิบายการกําเนิดของสังคมกับ “ศาสนา” | แนวคิดว่าด้วยสังคมในยุคสมัยฟื นฟูศลิ ปวิทยาการ: ความพยายามหาอธิบายการกําเนิดของ สังคมกับ “เหตุผล” | แนวคิดสังคมวิทยาคลาสสิค |
แนวคิดว่าด้วยสังคมในยุคกลาง |
ค.ศ. 345-430
เซนต์ ออกุสติน (St. Augustin) แนวคิดทางสังคม สังคมประกอบไปด้วยบัญชาของพระเจ้าและพันธะของ พลเมือง 2 ส่วน ซึงยึดโยงร่วมกัน ได้แก่ ... 1. สิทธิร่วมกัน หมายถึง ระบบความสัมพันธ์ทถูี กต้อง ทีเกิดจากบัญชาของ พระเจ้า พลเมืองต้องมีศาสนาและศรัทธาในพระเจ้า - สิงทีพระเจ้าบรรชานัน ยุติธรรม เสมอ - ความยุตธิ รรม ไม่ใช่สงมนุ ิ ษย์สร้างขึน (ผูป้ กครอง) - ดังนันมนุษย์จงึ มีหน้าทีเพียง ศรัทธา ในพระเจ้าเท่านัน 2. ประโยชน์ร่วมกัน หมายถึง มนุษย์ไม่ได้กระทําสิงต่างๆ โดยเสรี สิทธิและผลประโยชน์จงึ เป็ นเรืองส่วนรวม “ถ้าปราศจากความยุติธรรมแล้วราชอาณาจักรก็มีค่าเท่ากับซ่องโจร”
แนวคิดว่าด้วยสังคมในยุคกลาง
ค.ศ. 1226-1274
ศรัทธา ศีลธรรม
Æ เหตุผล Æ
กฎหมาย
เซนต์ ทอมัส อไควนัส (St. Thomas Aquinas) | แนวคิดทางสังคม 1. เชือมันใน เหตุผล มากกว่าศรัทธาต่อบัญชาของพระเจ้าเพียงอย่างเดียว - เหตุผลกับศัทธาต้องอยูด่ ว้ ยกัน (ไม่เชือเพียงอย่างใดอย่างหนึง) - รัฐบาลชีนําด้วยหลักศีลธรรมและกํากับด้วยกฎหมาย - กฏหมายถูกกํากับด้วยหลักเหตุผล 2. ความยุติธรรม ไม่ได้เกิดจากพระเจ้า แต่เกิดจากมวลชนทีมีความดีรว่ ม - มวลชน คือ คนจํานวนมากทีอยูร่ ว่ มกัน โดยคนเหล่านันสามารถมี ผูแ้ ทนทีจะบังคับและก่อให้เกิดความดีรว่ มได้ - ตัวแทนทีดีของมวลชน คือ พระราชา ทีเป็ น มนุษย์ ไม่ใช่ พระเจ้า - พระเจ้า (ศาสนจักร) และตัวแทนมวลชน (อาณาจักร) ซึงก่อให้เกิดหลักประกันในการอยูร่ ว่ มกันเป็ นสังคม
แนวคิดว่าด้วยสังคมสมัยฟื นฟูศลิ ปะวิทยาการ
ค.ศ. 1588-1679
ทอมัส ฮอบส์ (Thomas Hobbes) | แนวคิดทางสังคม 1. มองธรรมชาติของมนุษย์ในด้านลบ - ความชัวร้าย (สงคราม ความยากจน) ทําให้มารวมตัวกัน 2. สัญญาประชาคม (Social Contract) - ตกลงกันเพือเลือกผูม้ ีอาํ นาจสูงสุด ในการป้ องกันสังคมอนาธิปไตย - ไม่ศรัทธาพระเจ้า และระบอบประชาธิปไตย - ระบอบกษัตริย์ เป็ นผูป้ กครอง และไม่ใช่เพียงตัวแทนของประชาชน - ปัจเจกชนเข้ามารวมตัวกันอย่างสมัครใจภายใต้การปกครองของรัฐ ทีมีอาํ นาจเต็ม/ สมบูรณาญาสิทธิราชย์
แนวคิดว่าด้วยสังคมสมัยฟื นฟูศลิ ปะวิทยาการ
ค.ศ. 1712-1778
ฌอง ฌ้าค รุสโซ (Jean Jacques Rousseau) | แนวคิดทางสังคม 1. มองธรรมชาติของมนุษย์ในด้านบวก 2. สัญญาประชาคม (Social Contract) - สิทธิและหน้าทีของประชาชนทีมีตอ่ สังคม 3. ประชาสังคม - รัฐทําหน้าทีในการกํากับควบคุมผลประโยชน์ของส่วนรวมไว้ - ประชาชนเรียกร้องอํานาจอันชอบธรรมคืนจากรัฐบาลได้ หากไม่ทาํ ตามข้อตกลงร่วมกัน
แนวคิดสังคมวิทยาคลาสสิค
ค.ศ. 1798-1875
... ปฏิฐานนิยม คืออะไร? … เครืองมือ/ วิธีการในการแสวงหาความรู ้ โดยการปฏิ เ สธความเชื อเดิ ม ที มาจาก การอิทธิพลของศาสนา และให้ความสําคัญ กับเหตุผล และกระบวนการพิ สูจน์ได้ดว้ ย ความเป็ นวิทยาศาสตร์ มี ก ารเฝ้ าสัง เกต อย่างเป็ นระบบ เพื อสร้างกฏเกณฑ์ในการ อธิบาย/ ทํานายปรากฏการณ์ทางสังคมได้ เพือแสวงหาความเป็ นจริงในสังคมมนุษย์
ออกุส กองต์ (August Comte) 1. บิดาแห่งสังคมวิทยา 2. ปฏิฐานนิยม 3. กฏสามขันในการอธิบายพัฒนาการสังคมมนุษย์ - เทวนิยม พระเจ้าสร้างสังคมและมนุษย์อาศัยศรัทธาเพียงเท่านัน - ปรัชญา สังคมเป็ นเรืองของมนุษย์และเหตุผล - ปฏิฐานนิยม สังคมเกิดความตระหนักรูใ้ นความจริงต่างๆของสังคม พิสจู น์และยืนยันได้จากประสบการณ์ตรงของคนในสังคม 4. กฏว่าด้วยการกระทําและการตอบโต้ - สังคมสถิตและสังคมพลวัต - ความก้าวหน้าของสังคมไม่ได้เกิดจากความขัดแย้ง 5. สังคมชีวอินทรีย์ (ครอบครัว)
แนวคิดสังคมวิทยาคลาสสิค
ค.ศ. 1798-1875
ออกุส กองต์ (August Comte) 6. ภาษา - เครืองมือทีนําไปสูค่ วามคิด ทีทําให้สงั คมดํารงอยูไ่ ด้ 7. ศาสนา - ศาสนาของมนุษยชาติ มีขึนเพือตอบสนองความต้องการของมนุษย์ 8. การแบ่งงานกันทํา - ใครมีบทบาทเช่นไรในสังคม ก่อให้เกิด การพึงพา การจัดระเบียบ รวมถึงสถาบันทางสังคม
แนวคิดสังคมวิทยาคลาสสิค
ค.ศ. 1858-1917
เอมิล ดูรไ์ คม์ (Emile Durkheim) 1. ความเป็ นจริงทางสังคม ประกอบด้วย 2 ส่วน คือ 1.1 โครงสร้าง (กฏหมายและองค์กรบริหาร) 1.2 พลัง (ศาสนาและวัฒนธรรม) 2. สํานึกร่วม - ความเชือหรือความรูส้ กึ ทีคนในสังคมมีรว่ มกัน และสามารถส่งต่อ ความเป็ นอันหนึงอันเดียวนัน ไปยังสมาชิกของสังคมในรุน่ ต่อไปได้ 3. ความสัมพันธ์ทางสังคมในแง่ของความเป็ นปึ กแผ่น 3.1 เชิงกลไก (ความเหมือนกัน) 3.2 เชิงอินทรีย์ (ความแตกต่างเชิงหน้าที)
แนวคิดสังคมวิทยาคลาสสิค
ค.ศ. 1858-1917
เอมิล ดูร์ไคม์ (Emile Durkheim) 4. การฆ่าตัวตาย จําแนกตามสาเหตุได้ 3 แบบ ดังนี 4.1 ปั ญหาส่วนบุคคล 4.2 ปั ญญาของปั จเจกเมือเข้าไปเป็ นส่วนหนึงของกลุ่ม 4.3 ปั ญญาเมือเกิดภาวะวิกฤต (สังคมสมัยใหม่) 5. ศาสนาสังคม - ศาสนาทีแท้จริงหมายถึง สังคม เป็ นสิงประดิษฐ์ของมนุษย์ และทําให้สงั คมมีระเบียบอยูไ่ ด้ (ศรัทธาvs.หน้าที) 6. อาชญากรรม - ก่อให้เกิดมโนธรรม และการเปลียนแปลงในสังคม 7. ภาวะไร้บรรทัดฐาน - ชีให้เห็นถึงการบูรณาการของสังคม
แนวคิดสังคมวิทยาคลาสสิค
ค.ศ. 1864-1920
แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) 1. การกระทําทางสังคม - ผลประโยชน์เป็ นตัวกําหนดการกระทํา และเหตุผลในการอยูร่ ว่ มกัน - กระบวนการใช้หลักเหตุผล (ไม่ใช่พฤติกรรม) 2. กลุ่มสถานภาพและช่วงชัน - กลุม่ สถานภาพ คือ กลุม่ ทีมีแบบแผนในการบริโภคและการใช้ชวี ติ (ไม่ใช่เรืองของเงินเพียงเท่านัน) - ช่วงชัน คือ กลุม่ คนทีแบ่งตามอํานาจทางเศรษฐกิจหรือทรัพย์สนิ 3. อํานาจและสิทธิอาํ นาจ - อํานาจ คือ การทีบุคคลสามารถแสดงความต้องการของตนเองได้ และแสดงความต้องการนันเหนือผูอ้ นื - สิทธิอาํ นาจ คือ สิทธิอนั ชอบธรรมทีจะให้ผอู ้ นทํ ื าตามความต้องการ
แนวคิดสังคมวิทยาคลาสสิค
ค.ศ. 1864-1920
แมกซ์ เวเบอร์ (Max Weber) 3. อํานาจและสิทธิอาํ นาจ (ต่อ) - สิทธิอาํ นาจ 3 แบบ คือ 1. สิทธิอาํ นาจตามประเพณี 2. สิทธิอาํ นาจตามบุญบารมี 3. สิทธิอาํ นาจตามหลักเหตุผลและกฏหมาย 4. ระบบการบริหารแบบองค์การ - สิทธิและอํานาจ งานเฉพาะด้าน บริหารจากบนลงล่าง - ใช้เหตุผลและคํานึงถึงผลประโยชน์ (แยกชีวติ ส่วนตัว) 5. แฟร์ชเตเฮ่น - กระบวนการทําความเข้าใจความคิด และพฤติกรรมของมนุษย์ โดยมุง่ เน้นการศึกษาไปยังจุดมุง่ หมายของปรากฏการณ์สงั คม
อภิปรายกลุ่ม