SOCIOLOGICAL AND ANTHROPOLOGICAL THOUGHTS
แนวคิดสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา รหัสวิชา 261124 ภาคเรียนที่ 1 ปี การศึกษา 2557 (สัปดาห์ที่ 3)
เค้าโครงเนื้อหา ‘สังคมศาสตร์’ ในฐานะ‘เครือ่ งมือ’ สำาหรับการทำาความเข้าใจมนุษย์และสังคม ‘มนุษย์’ หน่วยวิเคราะห์หลัก ในการศึกษาวิทยาศาสตร์สงั คม
การจำาแนกประเภทของความรู ้
สังคมศาสตร์ ศาสตร์กลุ่มหนึง่ ที่มุ่งศึกษาเกีย ่ วกับมนุษย์และพฤติกรรมของมนุษย์
ในฐานะที่เป็ น สัตว์สงั คม ทัง้ ในแง่ของพฤติกรรมบุคคล กลุ่มบุคคลหรือสังคม รวมถึงสภาพ แวดล้อม ปรากฏการณ์ทางสังคม ที่ส่งผลต่อการอยู่ร่วมกันของมนุษย์ และ วัฒนธรรม อันสะท้อนถึงวิถชี วี ิตของมนุษย์ ที่เคลือ่ นไหวเปลีย่ นแปลงอยู่ตลอดเวลา
ทฤษฎีสงั คมศาสตร์ ที่ตงั้ อยู่บนรากฐานความรู ้ ซึง่ สามารถทดลองให้เห็นจริงได้ เพือ่ อธิบายปรากฏการณ์ส่วนใดส่วนหนึ่งของสังคมและแสดงความสัมพันธ์ ที่เกีย่ วข้องกันอย่างมีแบบแผน จนนำามาใช้เป็ นแนวทางคาดคะเนปรากฏการณ์ ทางสังคมอย่างใดอย่างหนึง่ ในอนาคตได้
ชุดของแนวความคิด
กล่องความคิด! ความจำาเป็ นที่ตอ้ งอ่านต้นฉบับของนักทฤษฎีสงั คมศาสตร์ 1. เกิดการเสวนาโดยตรงระหว่างผูท้ ี่กาำ ลังศึกษาปั จจุบนั กับนักทฤษฎี 2. บทวิจารณ์เกีย่ วกับทฤษฎีไม่สามารถทดแทนงานเขียนต้นฉบับได้ 3. ตรวจสอบข้อผิดพลาดในการตีความ/วิพากษ์ทฤษฎีนนั้ ๆ รวมทัง้ ตรวจสอบความถูกต้องในการถ่ายทอดความรูจ้ ากทฤษฎีดงั กล่าว
ลักษณะทฤษฎีสงั คมศาสตร์
เป็ นจริงทางสังคม มีหน่วยวิเคราะห์ มีสมมติฐาน มีระดับนามธรรมและการไตร่ตรองความสัมพันธ์ สะท้อนวัตถุประสงค์ในตัวเอง ใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ มีการเปลีย่ นแปลงพัฒนาอยู่เสมอ เป็ นประโยชน์ต่อการพัฒนามนุษย์
สาขาของสังคมศาสตร์
ความหมายสังคมวิทยา ศาสตร์ที่ว่าด้วยสังคม การศึกษากระบวนการทางสังคมด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่ างสมาชิกในกลุ่มสังคม การศึกษาระเบียบสังคม (เพือ่ ให้สงั คมสงบสุข) สรุป สังคมวิทยาจึงเป็ นวิชา ที่มีระเบียบวธีวิจยั อย่างมีแบบแผน เพือ่ ก่อให้เกิความเข้าใจ วิเคราะห์ และบูรณาการความสัมพันธ์ของหน่วยทางสังคม รวมถึงการกระทำาระหว่าง สมาชิกต่างๆ ในสังคมด้วย
ความสำาคัญของแนวคิด/ทฤษฎีสงั คมวิทยา แนวคิด/ทฤษฎีสงั คมวิทยา มุ่งศึกษาและวิเคราะห์สงั คม ในมิตขิ องการจัดระเบียบสังคม โดยพิจารณาถึงสภาพความเป็ นอยูข่ องสังคม การยอมรับกฏเกณฑ์ และระบบความสัมพันธ์ ทางอำานาจของสมาชิกในสังคมให้เป็ นไปตามทีส่ มาชิกใน สังคมคาดหวัง และเพื่อความอยูร่ อด ของสังคม นอกจากนี้แนวคิด/ทฤษฎีสงั คมวิทยา ยังพิจารณาถึงปั ญหาของการจัดระเบียบ แบบแผนของ การจัดระเบียบทีส่ มาชิกในสังคมได้สร้าง รักษา และเปลีย่ นแปลง ในทุกระดับชัน้ ของสังคม แนวคิด/ทฤษฎีทางสังคมวิทยาทีส่ าำ คัญในการอธิบายถึงการจัดระเบียบสังคมมีอยูห่ ลายทฤษฎี ได้แก่ ทฤษฏีโครงสร้างหน้าที่ ทฤษฎีความขัดแย้ง ทฤษฎีแลกเปลีย ่น ทฤษฎีการกระทำาระหว่างกันโดยสัญลักษณ์
ทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่
ทาร์คอต พาร์สนั (Tacott Parsons) นักสังคมวิทยาชาวอเมริกนั การทีส ่ งั คมมีการจัดระเบียบขึ้นนัน้ เนื่องจากว่ามนุษย์มี “ความสมัคร ใจ” (voluntarism) ทีจ่ ะเข้าไปทำากิจกรรมต่างๆในสังคม “การกระทำา” (action) มีความสำาคัญอย่างมากในการอิบายและศึกษาระบบสังคม การกระทำา คือ การกระทำาระหว่างกัน (interaction) ระหว่างผูก้ ระทำา ในสถานการณ์หนึ่ง มีจดุ ประสงค์ วิธกี าร และแนวคิดของผูก้ ระทำา เพื่อให้ผกู ้ ระทำาได้ควบคุมสถานการณ์ เพื่อไปสู่ จุดหมาย บรรทัดฐาน ค่านิยม แนวคิด ผูก้ ระทำา
เป้าหมาย สถานการณ์ที่เกีย่ วข้อง
ทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่ (2)
การกระทำาระหว่างผูก้ ระทำาดังกล่าว หรือความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกทีม่ ีตอ่ กันตาม สถานภาพ บทบาทนี้ จะเกิดเป็ นระบบสังคมขึ้น ทำาให้สามารถวิเคราะห์บุคคลต่างในสังคมได้ เงื่อนไขสำาคัญในการเกิดระบบสังคม คือ 1. ผูก้ ระทำาต้องมีแรงจูงใจตามสถานภาพบทบาทของตน 2. ระบบสังคมต้องพยายามหลีกเลีย่ งความขัดแย้งหรือพฤติกรรมทีเ่ บี่ยงเบนไปจากสังคม สภาวะการเปลีย ่ นเป็ นสถาบัน (industrialization) ทำาให้สงั คมเกิดขึ้นอย่างเป็ นระเบียบ ค่านิยมและความเชือ่ /วัฒนธรรม ได้แทรกซึมอยู่ ภายในระบบบุคลิกภาพของบุคคลในสังคม ผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคมอย่างสม่าำ เสมอและเป็ นเวลานาน ตลอดจนมีการลงโทษและ ให้รางวัล เพื่อก่อให้เกิดภาวะการเปลี่ยนแปลงของสถาบันทางสังคม ภายใต้บรรทัดฐาน/แบบแผน ทางวัฒนธรรม ซึง่ เป็ นตัวกำาหนดการกระทำาระหว่างกัน
ทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่ (3)
ระบบสังคมมีหน้าที่ 4 ประการ ทีจ่ ะทำาให้สงั คมอยูร่ อด
วัตถุประสงค์และการดำาเนินไป เพือ่ บรรลุวตั ถุประสงค์ (สถาบันครอบครัว/การศึกษา) [1]
การปรับตัว (สถาบันเศรษฐกิจ)
การบูรณาการ/ ช่วยกันทำางานอย่างต่อเนือ่ ง (สถาบันการปกครอง/กษัตริย์) [3]
มีการจัดการกับความตึงเครียด (สถาบันศาล/ศาสนา)
[2]
[4]
** ระบบสังคมสังคมประกอบด้วยสถาบันทางสังคมต่างๆ เช่น สถาบันครอบครัว เป็ นสถาบันพื้นฐานทีส่ าำ คัญต่อสมาชิกในสังคม ทีจ่ ะถ่ายทอดบุคลิกภาพ อบรมสัง่ สอน จนมีสภาวะเปลี่ยนเป็ นสถาบัน
[1]+[2]
เครือ่ งมือ ขับเคลื่อน ในระบบสังคม [3]+[4]
อารมณ์และ ความเป็ นอยูร่ ว่ ม กันในสังคม
ทฤษฎีความขัดแย้ง
คาร์ล มาร์ก (Karl Marx) นักสังคมวิทยาชาวเยอรมัน การจัดระเบียบทางเศรษฐกิจเป้ นตัวกำาหนดการจัดระเบียบทางสังคม (โครงสร้างชนชัน้ ค่านิยม วัฒนธรรม ระบบความคิด) การจัดระเบียบทางเศรษฐกิจเป็ นรากบานสำาคัญ ก่อใหเกิดการปฏิวตั ิ / ความขัดแย้งทางชนชัน้ โครงสร้างสังคมมี 2 ส่วน หน้าที่โครงสร้างส่วนบน: เครือ่ งมือของชนชัน้ ปกครอง เพื่อรักษาสถานภาพทีเ่ หนือกว่า กฏหมาย ศาสนา ศิลปะ สร้างความชอบธรรมผ่านกฏหมาย ระบบ ค่านิยม รัฐบาล โครงสร้างส่วนบน จริยธรรมซึง่ บัญญัตไิ ว้เพื่อกลุม่ ตน ชนชัน้ วัตถุดบิ ทรัพยากร และเทคโนโลยี
โครงสร้างส่วนล่าง
หน้าที่โครงสร้างส่วนล่าง: กำาหนดหน้าทีส่ ว่ นบน
ทฤษฎีความขัดแย้ง (2) มาร์กซ์ได้แบ่งปั จจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจออกเป็ น 2 ส่วน 1. พลังการผลิต ได้แก่ ทรัพยากร วัตถุดบิ และเทคโนโลยี ซึง่ นำามาเพื่อการผลิตในสังคม 2. ความสัมพันธ์การผลิต คือ การทีบ่ ุคคลหรือกลามบุคคลมีความสัมพันธ์กนั เรือ่ งพลังการ ผลิต อันจะก่อให้เกิดชนชัน้ ในสังคม มาร์กซ์ได้แบ่งชนชัน้ ไว้ 2 ระดับ 1. ชนชัน้ ผูเ้ ป็ นเจ้าของปั จจัยการผลิต 2. ชนชัน้ ทีไ่ ม่ได้เป็ นเจ้าของการผลิต ใช้วธ ิ กี ารวิเคราะห์แบบ “วัตถุนยิ มวิภาษวิธี” ไปวิเคราะห์การเปลีย่ นแปลงของสังคม โดยศึกษาความขัดแย้งของชนชัน้ จากการจัดระเบียบเศรษฐกิจเป็ นพื้นฐาน ทีก่ าำ หนดระเบียบทางสังคมใหม่ ทฤษฎีความขัดแย้งในความหมายของมาร์กซ์มีลกั ษณะทีต ่ อ่ สูก้ นั ระหว่าง “นายทุน vs กรรมกร” และเชือ่ ว่าในทีส่ ุดชัน้ กรรมกรจะชนะ และสังคมใหม่จะเป็ น คอมมิวนิสต์
ทฤษฎีปฏิสมั พันธ์เชิงสัญลักษณ์
จอร์จ เฮอร์เบิรต์ มี้ด (George Herbert Mead) การกระทำาระหว่างกันของบุคคลในสังคมต้องอาศัย สัญลักษณ์ โดยเฉพาะ “ภาษา” เป็ นสือ ่ การติดต่อทีส่ าำ คัญทีส่ ุด ทีท่ าำ ให้มนุษย์ผูกพันและสัมพันธ์กนั จนสร้างเป็ นระเบียบกฎเกณฑ์ตา่ ง ในสังคม ทำาให้สงั คมมีการจัดระเบียบขึ้น ความสัมพันธ์ทางสังคมของบุคคลในสังคมนัน ้ อยูท่ ีก่ ารใช้ภาษาร่วมกัน การให้ความหมายร่วมกัน (shared Meaning) การกระทำาระหว่างกันจึงเกิดเป้ นความสัมพันธ์ข้ ึน เพราะใช้ สัญลักษณ์รว่ มกัน เพราะมนุษย์กบ ั สังคมมีความสัมพันธ์ตอ่ กัน มนุษย์จงึ เป็ นส่วนหนึ่งของสังคม ทัง้ มนุษย์และสังคม จึงต้องพึ่งพาอาศัยกัน เพื่อแก้ปัญหาและความอยูร่ อดของทัง้ สองฝ่ าย ฉะนัน้ การกระบวนการกระ ทำาระหว่างกัน (social interaction) จึงมีความสำาคัญในทฤษฎีน้ ี
ทฤษฎีปฏิสมั พันธ์เชิงสัญลักษณ์ (2) ในบุคคลหนึ่งประกอบไปด้วย I กับ Me เพื่อการแก้ปัญหาหรือการตัดสินใจในเรือ่ งใดๆ I เป็ นเรือ ่ งของความต้องการเฉพาะตัว เป็ นส่วนทีฝ่ ังอยูใ่ นลักษณะทางชีวภาพ/สัญชาตญาณ เช่น เสรีภาพ ความคิดสร้างสรรค์ ความต้องการภายใน Me เป็ นทัศนของบุคคลอืน ่ ทีต่ นเองเข้าใจ/ การรับรูจ้ ากสังคมภายนอก ค่านิยมทัศนคติ ความกดดันจากสังคม/สภาพแวดล้อมภายนอก และรับไว้ในตัวเอง Self จึงเป็ นส่วนประกอบของ I+Me เพราะฉะนัน ้ การทีบ่ ุคคลจะตัดสินใจกระทำาใดๆ ย่อมขึ้น อยูก่ บั ว่าจะมีสว่ นใดมากกว่ากัน จนแสดงเป็ นบุคลิกภาพ
การรวมกลุม่ ทางสังคมเกิดจาก “ความตัง้ ใจ” ในการแสดงออกตามภาษา/สัญลักษณ์ทไี่ ด้มีการ Me Self กำาหนดร่วมกันในสังคม
I
ทฤษฎีการแลกเปลีย่ น
จอร์จ ซี ฮอแมนส์ (George C. Homans) ได้รบ ั อิทธิพลจากเศรษฐศาสตร์มาอธิบายสังคม การกระทำาระหว่างกันของบุคคลอาศัยการตอบโต้ -- ถ้าเขาทำาดีตอ่ เรา เราก็ทาำ ดีตอ่ เขา ในสถานการณ์หนึ่งๆ พฤติกรรมในระบบสังคมจะเป็ นผลมากจากการตัดสินใจของบุคคล ทีจ่ ะได้รบั รางวัลมากทีส่ ุด และลงโทษน้อยทีส่ ุด บุคคลในสังคมจะทำาพฤติกรรมนัน ำ เมื่อได้รบั รางวัลในอดีต ้ ซ้าๆ บุคคลในสังคมจะทำาพฤติกรรมนัน ำ เมื่ออยูใ่ นสถานการณ์ทีค่ ล้ายคลึงกับพฤติกรรมทีเ่ คยได้ ้ ซ้าๆ รับรางวัล การได้รบ ั รางวัลในอดีต จะได้รบั การยอมรับในสังคมว่าดี การกระทำาซ้าำ ยังจะเกิดขึ้นต่อเมื่อพฤติกรรมเหล่านัน ้ ยังได้รบั รางวัลอยู่ บุคคลจะยิ่งแสดงพฤติกรรมทีไ่ ด้รบ ั รางวัล หากไม่ได้รบั บุคคลก็จะยิ่งแสดงพฤติกรรมทีท่ าำ ให้ได้ รับรางวัลต่อไป เพราะฉะนัน ้ การติดต่อสัมพันธ์จงึ เป็ นการแลกเปลีย่ นกิจกรรมระหว่างกัน
สรุป
การศึกษาสังคมของนักสังคมวิทยานัน้ พิจารณาการจัดระเบียบสังคม โดยอาศัยแนวคิดทีจ่ ะอธิบาย สังคมว่า ระบบสังคมดำารงอยูแ่ ละมีการจัดระเบียบได้อย่างไร เพื่อความอยูร่ อดของสังคมนัน้ ทฤษฎีโครงสร้างหน้าที่ พยายามอธิบายว่า หน่วยต่างๆสังคมมีหน้าทีเ่ กี่ยวพันเพื่อความอยูร่ อดของ สังคมได้อย่างไร บุคคลเข้าไปอยูใ่ นระบบด้วยความสมัครใจ ทีจ่ ะกระทำาตามความเชือ่ /ค่านิยมต่างๆ ซึง่ สะท้อนออกมาตามการกระทำาของบุคคล และจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมก็ตอ่ เมื่อระบบย่อย ของสังคมจะปรับเข้ากับระบบย่อยส่วนอืน่ ๆ ทำาให้เกิดความสมดุลในสังคม ทฤษฎีความขัดแย้ง เน้นในเรือ ่ งความขัดแย้งทางชนชัน้ ทีม่ ีรากฐานทางเศรษฐกิจเป็ นตัวกำาหนด ความขัดแย้งนี้ก่อให้เกิดความรุนแรง การปฏิวตั ิ ทำาให้สงั คมมีการจัดระเบียบใหม่ ทฤษฎีการกระทำาระหว่างกันเชิงสัญลักษณ์ การจัดระเบียบสังคมเกิดจากการกระทำาระหว่างกันของ คนในสังคม การเข้าใจความหมายของสัญลักษณ์/ ภาษาร่วมกัน มีการแปล ประเมินความหมาย ทำาให้เกิดการกระทำาขึ้น
สรุป ทฤษฎีการแลกเปลีย่ น การจัดระเบียบสังคมเกิดจากการแลกเปลี่ยนการกระทำาระหว่างกัน โดย พิจารณาจากรางวัล/ความพึงพอใจ หรือติดต่อกันน้อยลง เนื่องจากความไม่พอใจ/ได้รบั การลงโทษ โดยมีผลการแสดงพฤติกรรมโดยเฉพาะในส่วนขององค์กรธุรกิจ ดังนัน ้ แนวคิด/ทฤษฎีทางสังคมวิทยาต่างๆ พยายามอธิบายการจัดระเบียบทางสังคม เพื่อทีเ่ ราจะได้ เข้าใจสังคมที่เราอาศัยอยู่มากยิง่ ขึ้น แม้จะไม่มีทฤษฎีใดที่สามารถเข้าใจ/อธิบายระบบสังคมได้อย่างสมบูรณ์ แต่เป็ นการจัดการวิเคราะห์ ระเบียบสังคมในมิตติ า่ งๆ เพื่อนำาไปประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ปัญหาทีเ่ กิดขึ้นในสังคมและค้นหา แนวทางในการแก้ไขปั ญหาเหล่านัน้ ต่อไป
งานกลุ่ม ทฤษฎีสงั คมวิทยาทัง้ 4 ทฤษฎี นำาไปใช้อธิบาย/วิเคราะห์ปัญหาสังคมได้อย่างไร พร้อมทัง้ เสนอแนวทางแก้ไข ขัน้ ตอน 1. สรุปบทความ – เนื้อหาบทความนี้เกี่ยวข้องกับอะไร ใคร ทำาอะไร ทีไ่ หน เมื่อไหร่ อย่างไร ควรแยกออกมาทีละประเด็น 2. ทฤษฎีทนี่ าำ มาใช้ – สรุปเนื้อหาคร่าวๆเกี่ยวกับทฤษฎี จุดยืนของทฤษฎีคอื อะไร 3. ความสอดคล้อง – ความเข้ากันได้ของเนื้อหาทีไ่ ด้จากบทความและทฤษฎี มีประเด็นใด บ้าง 4. ความคิดเห็น – จากทฤษฎีน้ ีเรามองการจัดระเบียบสังคมแบบนี้อย่างไร ทำาไมต้องใช้ ทฤษฎีน้ ีอธิบายเหตุการณ์น้ ี ไม่ใช้ทฤษฎีอืน่ 5. แนวทางแก้ไข – ทฤษฎีชว่ ยให้เราเข้าใจสังคมมากขึ้น เราจะแก้ไขปั ญหาสังคมนัน้ อย่างไร