Stephen Lives!

Page 1

OhMyGod Books

เมื่อดวงวิญญาณที่ผ่านการฆ่าตัวตาย ได้รับโอกาสให้สอนบทเรียนชีิวิตแก่ผู้ที่ยังอยู่

สตีเฟ่น...รักเดียวในใจแม่

Stephen Lives!

My Son Stephen: His Life, Suicide, And Afterlife

เรื่องจริงสะเทือนใจ!

บันทึกการสื่อสารข้ามภพ ระหว่างดวงวิญญาณ ของลูกชายวัย 15 ปี ..ที่ฆ่าตัวตาย.. กับแม่ผู้ยังมีชีวิตอยู่ เพื่อมอบบทเรียนชีวิต แก่ผู้อ่านทุกคน

แอนน์ แอนน์ เพอริ เพอริเเยียียยร์ร์ บัเขีนยทึนก ศิขริน แปล



หนังสือเล่มนี้จะปลอบประโลมหัวใจอันรานร้าวของพ่อแม่ที่ต้องสูญเสียลูก ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ~ อลิซาเบ็ธ คืบเลอร์-รอสส์ ผูเ้ ขียน Life Lessons: ชีวติ สอนอะไรเราบ้าง หนังสือเล่มนี้จะช่วยให้พ่อแม่ผู้ปกครองรู้ถึงสัญญาณเตือนภัยของภาวะซึมเศร้า ในตัวบุตรหลาน และช่วยป้องกันการฆ่าตัวตาย อีกทั้งยังให้ความรู้ซึ่งจะช่วย ผู้ที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ให้เข้าใจและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ~ นายแพทย์ ดอริส เจ. แรพพ์ ผู้เขียน Is This Your Child’s World: How Schools and Homes Are Making Our Children Sick “สตีเฟ่น..รักเดียวในใจแม่”  จะช่วยปลอบประโลมและให้ความเชื่อมั่น เกี่ยวกับชีวิตหลังความตาย แก่ผู้อ่านนับล้าน ~ บิล กักเกนไฮม และ จูดี้ กักเกนไฮม ผู้เขียน Hello from Heaven!

...ชีวิตดีๆ ทีละเล่ม...

OhMyGod Books

Changing Lives, One Book At A Time

ohmygodbooks.com facebook.com/ohmygodbooks


สตีเฟ่น รักเดียวในใจแม่ (Stephen Lives!) แอนน์ เพอริเยียร์ (Anne Puryear) เขียน ศิขริน แปล กองบรรณาธิการ : อัฐพงศ์ เพลินพฤกษา, ปรีชา สุนทรวิวัฒน์, อนุชา ธีรานุวัฒน์ ออกแบบปก/รูปเล่ม : กนกธิป ยั่งยืน เลขมาตรฐานสากลประจำ�หนังสือ : 978-616-90656-4-7 ราคา 250 บาท Thai Language Translation copyright 2011 by Oh My God Publishing Co., Ltd. Copyright © 1992, 1996 by Anne Puryear All rights reserved.

.

สำ�นักพิมพ์ Oh My God

111/214 หมู่บ้านบัวทอง ซอย 13/22 ถนนตลิ่งชัน-สุพรรณบุรี ตำ�บลบางรักพัฒนา อำ�เภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี 11110 โทร 02-925-2308 แฟกซ์ 02-925-0952 ohmygodbooks.com | ohmygod.books@gmail.com พิมพ์ที่ พิมพ์ครั้งแรก จัดจำ�หน่ายโดย

ออฟเซ็ต ครีเอชั่น มีนาคม 2554 สายส่งศึกษิต บริษัท เคล็ดไทย จำ�กัด โทร 02-225-9536-40

องค์กร หน่วยงาน สถาบัน หรือกลุ่มบุคคลที่ต้องการสั่งซื้อจำ�นวนมากในราคาพิเศษ กรุณาติดต่อสำ�นักพิมพ์ Oh My God โทร 02-925-2308, 085-074-1656, 081-300-8721 หรืออีเมล ohmygod.books@gmail.com


คำ�นำ�สำ�นักพิมพ์

มีไม่กี่ครั้งที่เราจะได้รับความเข้าใจแง่มุมเกี่ยวกับชีวิตและความ ตาย  ความรักและความสัมพันธ์  การเวียนว่ายตายเกิดและภพชาติ จิตวิทยาและจิตวิญญาณ ซึ่งถ่ายทอดจากมุมมองของดวงวิญญาณที่อยู่ อีกฟากมิติหนึ่งซึ่งผ่านการฆ่าตัวตายมาโดยตรง ได้รับรู้สภาวะที่นำ�ไปสู่ การฆ่าตัวตาย ข้อผิดพลาด วิธีป้องกัน รวมถึงความร้าวรานของผู้ที่ยัง มีชีวิตอยู่ หนังสือเล่มนี้จะให้ทั้งความรู้ ความเข้าใจ ความหวัง การปลอบ ประโลม การเยียวยา แด่หัวใจของผู้อ่านทุกท่าน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องผ่าน การสูญเสียผู้เป็นที่รัก  พ่อแม่ผู้ปกครอง  รวมถึงผู้สนใจใคร่รู้เกี่ยวกับ “ชีวิตหลังความตาย” และ “การกลับมาเกิดใหม่” ในการจัดทำ�ต้นฉบับภาษาไทยครั้งนี้ สำ�นักพิมพ์ฯ ขอขอบคุณ ผู้แปล  “ศิขริน”  ที่ถ่ายทอดเนื้อหาออกมาด้วยความใส่ใจ  รวมถึงขอ ขอบคุณ รศ.ดร.อมร แสงมณี ที่สละเวลาให้คำ�ชี้แนะอันมีค่าระหว่างการ จัดทำ� ด้วยความขอบคุณและปรารถนาดี สำ�นักพิมพ์ Oh My God 8 มีนาคม 2554


คำ�นำ�ผู้แปล

วันแรกที่ผู้เป็นมารดาเริ่มตั้งครรภ์มันหมายถึงว่า  บัดนี้ได้มีชีวิต ใหม่มาเกิดอยู่ในร่างกายของเธอแล้ว  ชีวิตใหม่นี้จะพัฒนาตัวเองได้ก็ ด้วยเลือดเนื้อ ด้วยแร่ธาตุ ด้วยองค์ประกอบทุกอย่างที่มีอยู่ในตัวมารดา ดูดกินและซึมซับทุกสิ่งทุกอย่างที่มีอยู่ในตัวมารดา  ไม่เว้นแม้แต่ชีวิต และจิตวิญญาณ ในยามนั้น  ยามที่มารดาเต็มไปด้วยความเปรมปลื้มที่ได้สร้าง ชีวิตน้อยๆ ขึ้นในกายตน และชีวิตน้อยๆ นั้นก็ค่อยๆ พัฒนาตัวเองขึ้น มาเรื่อยๆ จนกว่าจะครบถ้วนระยะเวลาแห่งการตั้งครรภ์ของมนุษย์ ทั้ง มารดาและตัวอ่อนในครรภ์ที่จะคลอดออกมาเป็นทารกไม่ได้มีใครอื่น เลย นอกจากเราสองคน เป็นเราสองคนที่ผู้เป็นมารดาได้ถ่ายทอดทั้ง ชีวิต  จิตวิญญาณ  พลังทั้งทางร่างกายและจิตใจให้กับตัวอ่อนน้อยๆ ในครรภ์ด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง  เป็นความยินยอมด้วยความรักอัน ปราศจากเงื่อนไข เป็นความพร้อมยอมรับว่าเราจะเกิดและจะอยู่เพื่อกัน และกัน แม่และลูก  จึงเป็นบุคคลเพียงสองคนที่ไม่มีวิธีใดจะแยกจากกัน ได้ ถ้าจะพรากจากกันจริงๆ ก็ด้วยความตายเท่านั้น และผู้เป็นลูกก็จะ เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขที่แท้จริงของแม่ตลอดไป เพราะนับแต่เกิดกายมา ลูกได้ดูดซับทุกอณูในชีวิตของแม่เข้าไว้ในตัวตน ซึ่งมีเพียงแม่ที่แท้จริง เท่านั้นจึงจะยอมให้สิ่งนี้เกิดกับชีวิตของตนเองและลูกได้ ดังนั้น  ทุกครั้งที่ลูกตายก่อนแม่  เราจะได้ยินคำ�พูดอยู่คำ�หนึ่ง จากหัวใจของแม่ผู้สูญเสียคือ..ขอให้แม่ตายเองเสียดีกว่า..  ความรักที่


ปราศจากเงื่อนไขมีรูปแบบอันเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ และจะเป็นเช่นนี้ไป ชั่วกาล แอนน์ เพอริเยียร์ แม่ของสตีเฟ่น ก็เช่นเดียวกับแม่ทั้งหลายใน โลก  ที่รู้จักแต่ความรักเพียงฝ่ายเดียวของตนที่มอบให้กับลูก  เธอไม่ เคยแคร์ว่าลูกจะมอบตอบความรักอันปราศจากเงื่อนไขของเธอในรูป แบบใด รู้แต่เพียงว่าลูกฉันเป็นเด็กน่ารัก ลูกฉันเป็นเด็กดีมีน้ำ�ใจ ลูก ฉันสะอาดบริสุทธิ์ปราศจากมลทินใดๆ ทั้งสิ้น ลูกเป็นยิ่งกว่าพระเจ้าใน หัวใจแม่ ลูกฉันเป็นเด็กที่ไม่เคยมีปัญหา เพราะฉันแน่ใจว่าสามารถใช้ ความรักของฉันแก้ไขทุกปัญหาในชีวิตของลูกได้ ดังนั้น เมื่อถึงวันที่ลูกของเธอฆ่าตัวตาย เธอจึงตกอยู่ในความ งุนงงแทบไร้สติ  เธอไม่เข้าใจว่าลูกฆ่าตัวตายได้อย่างไรในเมื่อเธอได้ มอบความรักทุกหยาดหยดในหัวใจให้กับเขาหมดแล้ว  ลูกมีปัญหาจน ทำ�ให้ถึงกับคิดและฆ่าตัวตายได้อย่างไรในเมื่อเธอไม่เคยทอดทิ้ง ไม่เคย ที่ไม่รัก ไม่เคยที่จะไม่พร้อมแก้ปัญหาให้กับลูก.. และด้วยความรักอันท่วมท้นหัวใจนั้นเอง  ที่ทำ�ให้เธอพากเพียร พยายามที่จะหาทางติดต่อสื่อสารกับลูกรักที่ตายจากไป  โดยทิ้งความ สงสัยที่ไร้คำ�ตอบไว้เบื้องหลัง และด้วยพลังแห่งความรักอันมากมายนั้น เองที่ทำ�ให้เธอประสบความสำ�เร็จในการเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้น สตีเฟ่น  ลูกชายของแอนน์ที่เสียชีวิตด้วยการตัดสินใจฆ่าตัวตาย  ได้ตระหนักในความต้องการและความรักของตนเองที่จะต้องมอบให้แก่ ผู้หญิงคนที่จะได้ชื่อว่าจะต้องเป็นแม่ของเขามาตั้งแต่ก่อนหน้าจะมาเกิด เสียด้วยซ้ำ� เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่ดวงวิญญาณได้มีการ ประชุมวางแผนก่อนหน้าจะมาเกิดแล้ว  ว่าเมื่อเขาจะมาเกิดนั้นเขาจะ ต้องพบกับอะไรบ้างและจุดจบของตัวเองจะเป็นอย่างไร หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นด้วยความมุ่งมั่นของแอนน์  เพอริเยียร์กับ สตีเฟ่น  ลูกชายของเธอ  ในอันที่จะแสดงและอธิบายให้เห็นว่าสาย สัมพันธ์แห่งชีวิตและสายใยแห่งความรักความผูกพันนั้น  มีอิทธิพลจน


สามารถก่อให้เกิดพลังอันมหาศาลขึ้นมาได้อย่างไร ด้วยความรักอันท่วมท้นเหลือบรรยายนั้น  แอนน์มีวิธีการที่จะ ติดต่อสื่อสารกับวิญญาณของลูกรัก  ด้วยการใช้กรรมวิธีใดบ้าง  และ กรรมวิธีใดที่นำ�มาซึ่งความสำ�เร็จดังกล่าวทำ�ให้สองแม่ลูกสามารถช่วย กันเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาได้ เมื่อคุณตั้งคำ�ถามขึ้นด้วยความสงสัยและไม่อยากเชื่อว่า..แม่กับ ลูกที่เป็นคนกับดวงวิญญาณนี่น่ะนะที่ช่วยกันเขียนหนังสือเล่มนี้ขึ้น..? คำ�ตอบที่คุณจะได้รับก็คือ  ถูกต้อง..คุณเข้าใจถูกต้องแล้ว..แม่ที่ยังคง ความเป็นมนุษย์กับลูกที่เป็นจิตวิญญาณดวงหนึ่ง  ที่ได้ใช้สายใยแห่ง ความรักนี่แหละเป็นเครื่องมือในการเชื่อมประสาน  จนสามารถติดต่อ พูดคุยและให้คำ�อธิบายถึงความเป็นไปในโลกที่ต่างมิติกันได้  คุณอาจ จะอยากถามต่อว่า..แล้วถ้าฉันจะทำ�บ้างจะทำ�ได้หรือไม่..ทำ�ไมคุณไม่ ลงมือทดลองทำ�เช่นที่แอนน์ทำ�เสียตั้งแต่วันนี้เลยล่ะ..? มันมีคำ�ตอบรอ คุณอยู่แล้ว.. พึงระลึกไว้เสมอว่า  นับแต่วาระแรกที่ผู้เป็นมารดาเริ่มตั้งครรภ์ วาระนั้นสายใยที่มองไม่เห็นได้เชื่อมจิตวิญญาณสองดวงเข้าไว้ด้วยกัน โดยจะไม่มีวันเป็นอื่นไปได้  ในวาระหรือโอกาสนั้นจะไม่มีบุคคลใดหรือ เหตุการณ์ใดเข้ามาเป็นตัวแปร เพราะในขณะนั้นมีเพียงมารดากับทารก ในครรภ์อยู่ด้วยกันเพียงแค่สองคนเท่านั้น  ดังนั้นเมื่อมารดาคลอดลูก ออกมาเป็นตัวตน สายใยแห่งความรักก็จะยิ่งพันผูกหนาแน่นขึ้น และถ้า เส้นหนึ่งถูกตัดขาดไป  และอีกเส้นหนึ่งได้ใช้ความเพียรพยายามจนถึง ที่สุดที่จะต่อใหม่ให้ติด ความเพียรพยายามนั้นย่อมนำ�มาซึ่งความสำ�เร็จ แน่นอน เรื่องราวของแม่ลูกคู่นี้  เป็นเรื่องราวของจิตวิญญาณสองดวงที่ จะให้บทเรียน ให้ความรู้ความเข้าใจในความรักอันปราศจากเงื่อนไขได้ อย่างยอดเยี่ยม ไม่ว่าคุณจะเป็นแม่หรือคุณจะเป็นลูก หนังสือเล่มนี้ควร ค่าแก่การอ่านอย่างยิ่ง  เพราะไม่เพียงแต่จะเพิ่มพูนทักษะในเรื่องของ


ความรักและสายสัมพันธ์ในความเป็นแม่-ลูกกันเท่านั้น แต่ยังทำ�ให้คุณ ได้พบและได้รู้ว่า..แท้ที่จริงแล้วความรักอันปราศจากเงื่อนไขนั้นมันคือ อะไร มีรูปลักษณ์อย่างไร มันอาจเป็นหนังสือเล่มเดียวที่ทำ�ให้คุณรู้จัก ความหมายของคำ�ว่า “รัก” มากขึ้น ขอให้คุณมีความสุขกับการอ่าน มีความสุขกับการได้รู้จักมิติของ โลกที่แตกต่าง เมื่อผู้ที่จากไปนำ�กลับมาบอกเล่าให้ฟัง และบอกให้รู้ด้วย ว่า เมื่อคุณจะติดต่อกับโลกมิตินั้นคุณจะต้องทำ�อย่างไร..

“ศิขริน”


สารบัญ คำ�นำ�สำ�นักพิมพ์ คำ�นำ�ผู้แปล บทนำ� โมงยามแห่งความมืดมน

1 2 3 4 5 6 7 8 9

3 4 13

สตีเฟ่น

22

จิตวิญญาณที่รานร้าว

37

เสียงลึกลับ

68

ความปวดร้าวของสตีเฟ่น

90

วันแห่งความทุกข์และวันจันทร์

114

ความทุกข์ระทม : เพื่อนคู่ชีวิตตลอดกาล

165

ตามหาสตีเฟ่น

199

สตีเฟ่น..นั่นลูกจริงๆ

222

การรับฟังจากสตีเฟ่น

233


10 11 12 13 14

สตีเฟ่นเล่าเรื่องการตายให้ฉันฟัง

249

เมื่อสตีเฟ่นมาเยี่ยมบ้าน

270

พลังรักษาใจ

284

เทพอุ้มสม

309

ชีวิตที่เลือกแล้ว..!

322

ภาคผนวก

~ ก่อนที่คุณจะฆ่าตัวตาย...

348

~ คำ�แนะนำ�สำ�หรับผู้ที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก 353 ~ บางข้อมูลเพื่อช่วยป้องกันการฆ่าตัวตาย ผลงานแปลลำ�ดับถัดไปของ “ศิขริน”

358

364



Life is eternal and love is immortal and death is only a horizon and a horizon is nothing save the limit of our sight ~ author unknown



บทนำ� โมงยามแห่งความมืดมน

Do not stand at my grave and weep; I am not here, I do not sleep. I am a thousand winds that blow. I am the diamond glints of snow. I am the sunlight on ripened grain. I am the gentle autumn’ rain. Do not stand at my grave and cry, I am not there. I did not die.

Indian Prayer in Memory of A Fallen Tribe Member. โปรดอย่าหลั่งอัสสุชลบนหลุมศพ ฉันไม่ได้รอพบเธอที่นี่ ฉันไม่ได้หลับใหลหรอกคนดี ไม่ได้อยู่ตรงที่เธอรอคอย ฉันคือสายลมแรงที่ลอยล่อง คือแววเพชรเกล็ดละอองหิมะฝอย คือตะวันอาบลานทอง รวงชูช้อย คือหยาดฝนพลิ้วพร้อยที่ฉ่ำ�เย็น โปรดอย่าหลั่งอัสสุชลบนหลุมศพ ฉันไม่ได้รอพบรอให้เห็น ไม่มีทั้งความตายและความเป็น ชีวิตเร้นความหมาย..โชตินิรันดร์ บทโศลกไว้อาลัยของชาวอินเดียน แด่ สมาชิกในเผ่าผู้วายชนม์ บทแปลโดย “ศิขริน”


หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือเกี่ยวกับชีวิตในโลกปัจจุบัน การฆ่าตัว ตายและชีวิตหลังความตายของสตีเฟ่น ลูกชายฉันเอง เขาฆ่าตัวตาย ตอนอายุสิบห้าปี สามเดือนกับสิบห้าวัน เพราะเขาได้พบว่า การมีชีวิต อยู่มันเป็นความขมขื่น เจ็บปวดยิ่งกว่าความตาย มันเป็นเรื่องราวของความตายและการจากพราก  แต่ขณะเดียว กันมันก็เป็นเรื่องของการหลุดพ้น (หรือการดำ�รงอยู่) ฉันเฝ้าภาวนาอยู่ แต่ว่า..เหนือสิ่งอื่นใด ขอให้มันเป็นเรื่องของความหวังด้วย ทั้งนี้เพราะ มันเป็นการบอกเล่าถึงการติดต่อสื่อสารระหว่างตัวฉันกับสตีเฟ่น ภาย หลังจากที่เขาได้ตายไป ในอีกหลายปีต่อจากนั้น ฉันมีความเชื่อว่า บุคคลผู้เป็นที่รักยิ่งของเรา ยังคงดำ�รงอยู่ภาย หลังจากที่ได้ตายไปแล้ว ไม่ว่าร่างกายของเขาจะพบจุดจบในแบบหรือ สภาพใดก็ตาม  ฉันเชื่อว่าพวกเขายังคงมีข่าวสารที่ต้องการจะส่งมาถึง เรา  เพื่อบอกเล่าถึงการดำ�รงอยู่และความรักที่ไม่มีวันสูญสลาย  มันมี เรื่องราวเกี่ยวกับการยังคงดำ�รงอยู่มากมายสำ�หรับคนตายที่เป็นผู้ใหญ่ แต่น้อยมากสำ�หรับเด็ก และเท่าที่รู้ ยังไม่เคยมีเรื่องการดำ�รงอยู่ของเด็ก (ไม่ว่าจะเป็นคนใดก็ตาม) ที่ฆ่าตัวตาย ฉันเขียนหนังสือเล่มนี้ด้วยความซื่อสัตย์จริงใจและละเอียดที่สุด เท่าที่สามารถทำ�ได้ มันเป็นงานเขียนที่ยากมาก เพราะมันสร้างความ เศร้าสะเทือนใจเจ็บปวดที่สุดในชีวิต เป็นอะไรที่ทรมานจิตวิญญาณฉัน อย่างเหลือจะกล่าว  เมื่อพยายามแสวงหาคำ�ตอบต่อคำ�ถามที่คอยจะ ขึ้นต้นด้วยคำ�ว่า..ทำ�ไม..?  ทำ�ไมลูกถึงได้ทำ�อย่างนั้น..?  ทำ�ไมฉันจึง ไม่เคยเฉลียวใจเลยว่าสตีเฟ่นคิดฆ่าตัวตาย..?  ทำ �ไมฉัน..ซึ่งเป็นแม่ ของเขาแท้ๆ ถึงได้กระทำ�ในสิ่งที่ทำ�ให้ลูกถึงกับฆ่าตัวตาย..? ทำ�ไม..? ทำ�ไม..?..มันเป็นคำ�ถามที่ไม่มีวันจบสิ้น เมื่อมาถึงเวลานี้ ฉันคงจะต้องถามคนอื่นๆ ด้วยคำ�ถามที่ดีกว่า เช่น..ฉันได้เรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้บ้าง..?  มันมีรางวัลอะไรแฝงอยู่ใน การฆ่าตัวตายของสตีเฟ่นกับผลที่เกิดตามมา..?  จากประสบการณ์ 14 | สตีเฟ่น รักเดียวในใจแม่


ในครั้งนี้ มันทำ�ให้ฉันเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณอย่างไร..? ฉันจะใช้ ความเจ็บปวดที่ตัวเองได้ประสบอยู่นี้ช่วยเหลือผู้อื่นได้อย่างไร..? ซึ่งใน กระบวนการทั้งหมดนี้ ฉันได้ค้นพบบทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต และ ฉันได้เติบโตขึ้นในวิถีทางที่ฉันไม่เคยคิดฝันมาก่อนเลย ส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้เป็น  “การเขียนตามคำ �บอก”  ของ สตีเฟ่นเอง (dictated by Stephen) ซึ่งเป็นการส่งมาจากอีกโลกหนึ่งที่ เขาพำ�นักอยู่ในปัจจุบัน โลกที่เรามักเรียกขานกันว่า “อีกฟากฝั่งหนึ่ง” แต่สตีเฟ่นกล่าวว่า “มันไม่ใช่อีกฟากฝั่งแต่อย่างใดเลย” ซึ่งเขาได้อธิบาย ว่า..ดวงวิญญาณทั้งหลายที่พำ�นักอยู่ในมิติดังกล่าวนั้น อาจอยู่ร่วมกับ เราก็ได้  เพียงแต่มีคลื่นความถี่ในระดับที่แตกต่างไปจากร่างกายของ มนุษย์เท่านั้น ฉันเองยังไม่รู้จักมิติที่ว่านี้ดีเลย  แต่ก็กำ�ลังศึกษาอยู่ด้วย ความช่วยเหลือของสตีเฟ่นและบุคคลอื่นๆ ที่เดินทางไปพำ�นักอยู่ในมิติ ดังกล่าวก่อนหน้าฉันแล้ว สตีเฟ่นได้ขอร้องให้ฉันช่วยเขาในการเขียนหนังสือเล่มนี้  ด้วย ความหวังว่า การถ่ายทอดเรื่องราวทั้งหลายของเราออกไป จะช่วยให้ เด็กวัยรุ่นคนอื่นๆ ที่อาจกำ�ลังว้าเหว่โดดเดี่ยวและมีความสับสนในชีวิต ได้รู้ว่าควรจะหาหนทางในการแก้ปัญหาได้จากที่ไหนบ้าง  นอกเหนือ จากการหนีปัญหาด้วยการฆ่าตัวตาย คำ�ภาวนาของสตีเฟ่นก็คือ ขอ ให้เด็กวัยรุ่นทั้งหลายได้มองเห็นว่า การฆ่าตัวตายนั้นแท้ที่จริงแล้ว มัน ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้เลย แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มันกลับนำ�มาซึ่ง ความเจ็บปวด  ความเศร้าสะเทือนใจอย่างสุดแสนจะทรมานด้วยกัน ทั้งสองฝ่าย  (หมายถึงทั้งผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่และผู้ที่ฆ่าตัวตาย)  มันไม่ใช่ หนทางของการบำ�บัดแก้ไขแม้แต่น้อย สตีเฟ่นอยากให้เด็กหนุ่มสาววัยรุ่นทั้งหลาย  ได้มีความเข้าใจว่า ในโลกนี้มันยังมีทางออกอื่นให้เลือกอีกมากมาย  กว่าการคิดฆ่าตัวตาย หลายเท่านัก เมื่อบุคลตัดสินใจฆ่าตัวตาย นั่นหมายถึงการยืนยันที่จะ ทำ�ลายชีวิตตัวเอง  ทิ้งให้ผู้เป็นที่รักที่อยู่ข้างหลังต้องแบกรับทั้งความ โมงยามแห่งความมืดมน | 15


รู้สึกผิดและความเศร้าสะเทือนใจไปจนกว่าวันตายของตัวเองจะมาถึง ภายหลังจากได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว  คุณอาจคิดและอาจมอง เห็นความชอบธรรมที่ว่า  “ไม่น่าสงสัยหรอกที่สตีเฟ่นจะคิดฆ่าตัวตาย” หรือไม่คุณก็อาจจะคิดว่า  “ที่จริงเหตุการณ์ทำ�นองเดียวกันนี้หรือร้าย กว่านี้ก็เคยเกิดกับครอบครัวเรามาแล้ว  และลูกชายของเราก็ไม่เห็นจะ ต้องคิดฆ่าตัวตายเลย เราช่างโชคดีจริงๆ” กล่าวอีกนัยหนึ่ง  มันอาจช่วยให้คุณมองเห็นความหมายของคำ� พูด ของการกระทำ�หรือการไม่กระทำ�ใดๆ ที่มักจะก่อให้เกิดความเสีย หายหรือการทำ�ลายจิตใจลูกวัยรุ่นของเราที่เต็มไปด้วยความรู้สึกอ่อน ไหวได้ชัดเจนขึ้น และบางที มันอาจช่วยให้คุณเปลี่ยนแปลงชีวิตของ ตัวเอง..รวมทั้งของลูกๆ  ..เพื่อที่จะไม่ให้ลูกของคุณเป็นอีกคนหนึ่งที่ เข้าไปเพิ่มจำ�นวนผู้หัวใจสลาย  และคุณเองก็ไม่ได้รอดพ้นจากปัญหา การฆ่าตัวตายของลูกด้วย v

ในสหรัฐอเมริกา  มีความพยายามฆ่าตัวตายเกิดขึ้นทุกๆ  สอง นาทีครึ่ง ตลอดเวลายี่สิบปีที่ผ่านมา การฆ่าตัวตายของเด็กวัยรุ่นมีอัตรา สูงมากอย่างต่อเนื่อง ผลจากการประเมินพบว่า มีความเป็นไปได้ที่จะมี คนรุ่นหนุ่มสาวพยายามฆ่าตัวตายถึงสองล้านคนต่อปี และอย่างน้อยมี ถึง 6,000 รายที่ประสบความสำ�เร็จ การฆ่าตัวตายได้รับการยืนยันว่า เป็นสาเหตุของการตายเป็นอันดับสองของบุคคลวัยตั้งแต่สิบถึงยี่สิบ สี่ปี กระนั้น ยังมีผู้เชี่ยวชาญเป็นจำ�นวนมากที่ประมาณการว่า จริงๆ แล้วมันน่าจะเป็นสาเหตุของการตายอันดับต้นๆ เสียด้วยซ้ำ� อัตราการ ฆ่าตัวตายของบุคคลที่มีอายุตั้งแต่สิบห้าถึงยี่สิบสี่ปี  ได้เพิ่มขึ้น  222 เปอร์เซ็นต์ ในระหว่างปี 1957 ถึง 1987 และอัตราการฆ่าตัวตายของ บุคคลที่อายุตั้งแต่สิบห้าถึงสิบเก้าปี เพิ่มขึ้นถึง 312 เปอร์เซ็นต์ ในช่วง 16 | สตีเฟ่น รักเดียวในใจแม่


เวลาเดียวกัน เมื่อไม่นานมานี้ โพลที่ทำ�ขึ้นโดยนักวิจัยทางการแพทย์ ถึง 58 เปอร์เซ็นต์ ที่ลงความเห็นยืนยันแข็งแรงตรงกันว่า อัตราการ ฆ่าตัวตายนั้นที่จริงแล้ว  สูงกว่าอัตราที่เป็นรายงานตัวเลขถึงสองเท่า นอกจากนั้น ตัวเลขสถิติยังเพิ่มขึ้นเมื่อประเมินจากการฆ่าตัวตายที่ไม่มี อยู่ในรายงานและการฆ่าตัวตายที่ปิดบังเป็นความลับ รวมไปถึงการฆ่า ตัวตายที่ออกมาในลักษณะ “อุบัติเหตุ” เช่น ถูกรถชน และส่วนใหญ่แล้ว ผู้ขับมักเป็นเด็กวัยรุ่นที่ขับมาเพียงคนเดียว วัยรุ่นชาวอเมริกันกว่า 400,000 คน ที่ต้องทนทุกข์ทรมานจาก โรคแบบใหม่ที่เกิดกับพวกวัยรุ่น นั่นคือ “โรคซึมเศร้า” ผู้เชี่ยวชาญทาง ด้านอัตวินิบาตกรรมกล่าวว่า  นี่คือหนึ่งในสาเหตุสำ�คัญที่เป็นตัวเพิ่ม ปัญหาการฆ่าตัวตายในเด็กวัยรุ่น  อีกปัจจัยหนึ่งที่ถูกหยิบยกขึ้นมา พิจารณาคือ โรคอ้วนของวัยรุ่นที่เพิ่มสูงถึง 40 เปอร์เซ็นต์ ในรอบยี่สิบ ปี นักวิจัยกล่าวว่า มีวัยรุ่นจำ�นวนถึง 4.5 ล้านคน อายุระหว่างสิบสองถึง สิบเจ็ดปี มีน้ำ�หนักตัวเกินพิกัด (หรือเป็นโรคอ้วน) ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่ง การเป็นโรคอ้วนนี้เอง เป็นปัญหาที่นำ�ไปสู่การถูกล้อเลียน การถูกเพื่อน รุ่นราวคราวเดียวกันปฏิเสธที่จะคบหาสมาคม การถูกโดดเดี่ยว ทำ�ให้ เกิดอารมณ์ซึมเศร้าและนำ�มาซึ่งปัญหาชีวิตต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะ การขาดความมั่นใจในตนเองและการรู้สึกนับถือตนเองเป็นต้น  ซึ่งทั้ง หลายเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณอันตราย ที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะต้องคอย สังเกตให้ดี เพื่อป้องกันปัญหาการฆ่าตัวตายของลูก การฆ่าตัวตายของวัยรุ่นสร้างความเสียหายอย่างรุนแรงให้เกิด ขึ้น สถิติแสดงให้เห็นว่า อัตราการหย่าร้างของคู่สมรสเพิ่มขึ้นถึง 70 เปอร์เซ็นต์  ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์ลูกฆ่าตัวตาย  ความเศร้าโศก เสียใจ  ความรู้สึกผิดและความไม่สามารถดำ�เนินชีวิตเช่นที่เคยเป็นมา เหล่านี้ล้วนเป็นมรดกของลูกที่ทิ้งไว้ให้พ่อแม่และครอบครัว  เมื่อพวก เขาเลือกที่จะเดินบนเส้นทางฆ่าตัวตาย เมื่ อ ลู ก หรื อ ญาติ ส นิ ท มิ ต รสหายของคุ ณ เกิ ด ฆ่ า ตั ว ตายขึ้ น มา โมงยามแห่งความมืดมน | 17


บางทีคุณก็อยากจะมีความเข้าใจเหมือนกันว่า เพราะเหตุใดพวกเขาจึง ได้เลือกที่จะทำ�เช่นนั้นและคุณเองก็อาจทำ�เช่นเดียวกับที่ฉันเคยทำ�มา แล้ว  นั่นคือพยายามใช้ความคิดทบทวนถึงเหตุการณ์ต่างๆ  พยายาม เสาะแสวงหาเงื่อนงำ�คำ�ตอบให้ได้  ว่ามันมีจุดผิดพลาดเกิดอยู่ตรงไหน แล้วคุณก็เฝ้าแต่ทนทุกข์ทรมานอยู่กับความเจ็บปวด  ขมขื่นและความ รู้สึกผิดที่ไม่อาจคิดหาคำ�ตอบได้ นอกจากจะไม่รู้แล้วคุณยังต้องทรมาน ใจกับการตัดสินใจของลูกที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้อีกนานแสนนาน เมื่อลูกของคุณตายลง โดยเฉพาะด้วยน้ำ�มือของตัวเขาเอง มัน เหมือนกับมีใครสักคนเอื้อมมือล้วงเข้ามาในอก  แล้วจับหัวใจคุณมาบีบ เค้นอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งความเจ็บปวดที่ได้รับนั้น มันเกินกว่าที่คุณ จะทานทนได้ มันเหมือนกับส่วนหนึ่งของร่างกายถูกเชือดเฉือน และจะ ไม่มีวันกลับมาดีได้เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว คุณจมอยู่ในความทุกข์ตรม เมื่อสำ�นึกได้  ว่าคุณประสบความล้มเหลวในฐานะพ่อแม่ของลูกโดยสิ้น เชิง ลูกของคุณจึงได้ตัดสินใจตายดีกว่าอยู่ ยินดีตายไปจากคุณมากกว่า จะอยู่ด้วย ลูกไม่ยอมเปิดโอกาสให้คุณช่วยหรือแม้แต่จะกล่าวคำ�ลาก่อน จาก..เขาได้จากคุณไปแล้วชั่วกาลนิรันดร์..จากไปสู่สถานที่ซึ่งคุณไม่ อาจมองเห็น ไม่อาจพูดคุยกับเขาได้อีก ในการจากไปนั้น เขาได้พาเอา ความสุขทั้งชีวิตของคุณไปด้วย นอกจากตั ว คุ ณ แล้ ว ยั ง มี ใครให้ ต้ อ งถู ก กล่ า วโทษอี ก   สำ� หรับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้..?  เด็กคนนี้อยู่ในความรับผิดชอบของคุณ ในขณะที่คุณมัวแต่ให้ความสนใจกับเรื่องอื่นมากกว่าอยู่นั้นเขาได้ตาย ลง คุณไม่เคยได้สังเกตเห็นเลยว่า มันมีอะไรบางอย่างที่ผิดปรกติอยู่ใน เรื่องนี้ คุณไม่ทันได้ห้ามปรามเขา คุณไม่ได้อยู่เคียงข้างเลยในยามที่ลูก ต้องการคุณ..คุณนั่นแหละที่ฆ่าเขา..มันเป็นความผิดเท่าๆ กับที่คุณเอา มีดจ้วงแทงเข้าไปตรงหัวใจลูก เขาตายไปแล้ว และในที่สุด ในโมงยาม แห่งความมืดมนที่สุดในชีวิตของคุณนั้น คุณไม่อาจโทษว่าเป็นความผิด ของใครได้เลยนอกจากตัวคุณคนเดียว  เขาตายแล้ว..เขาได้จากคุณไป 18 | สตีเฟ่น รักเดียวในใจแม่


แล้วตลอดกาล มันเป็นเหตุการณ์ที่คุณไม่อาจทำ�อะไรเพื่อเปลี่ยนแปลง ได้ คุณไม่มีทางที่จะบอกเขาได้อีกต่อไปแล้วว่า คุณเสียใจและขอโทษ ถึงแม้คุณจะเข้าใจ แต่มันก็ไม่มีทางที่คุณจะรับรู้ได้อีกต่อไป ว่าเขาอยู่ดี มีสุขหรือไม่  หรือแม้แต่จะรู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน  มีความเป็นไปได้ที่คุณ อาจรู้สึกโกรธเกลียดพระเจ้า  ด้วยเหตุผลที่ว่า  พระเจ้าทรงปล่อยให้ เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร..? นี่คือสภาพทางความคิดเมื่อเราตกอยู่ในภาวะเศร้าสะเทือนใจ และสับสน เรามักจะตกอยู่ในสภาพเช่นนั้น ทั้งชีวิตจิตใจ ทุกความรู้สึก มันจะค่อยๆ ตายลงช้าๆ และในที่สุดก็ส่งผลกระทบถึงสุขภาพร่างกาย ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ฉันเคยผ่านพบมาแล้วทั้งนั้นและยังคงจดจำ�ได้ดี ในที่สุด สภาพจิตใจของฉันก็ค่อยๆ ดีขึ้น ซึ่งฉันเชื่อว่า คุณเองก็ สามารถทำ�ได้เช่นกัน เราสามารถบำ�บัดรักษาจิตใจได้ด้วยการแบ่งปัน ถ่ายทอดประสบการณ์ ความเศร้าเสียใจและความกลัว ด้วยการรำ�ลึก นึกถึงช่วงเวลาแห่งความสุขในชีวิต เพราะขณะที่ลูกของเราตายไปนั้น ในช่วงแรกๆ เราจะรู้สึกว่าพวกเขายังคงมีชีวิตอยู่..! เราสามารถบำ�บัด จิตใจได้ด้วยการพูดถึงลูกและไม่ต้องปิดบังความจริงเรื่องการตายของ เขา  เราสามารถบำ�บัดได้ด้วยการรับรู้ถึงบทบาทของตัวเราเองที่มีต่อ การตายของลูก จากนั้นด้วยการยกโทษให้ตัวเองและเริ่มต้นดำ�เนินชีวิต ของเราต่อไป เราสามารถบำ�บัดจิตใจตัวเองได้ด้วยการยอมรับรู้ว่า แม้ ร่างกายหรือตัวตนของลูกจะไม่ได้อยู่ให้เราได้พบเห็นอีกต่อไปแล้ว  แต่ ดวงวิญญาณของผู้เป็นที่รักของเราก็ยังคงอยู่และจะอยู่เคียงข้างเรา ตลอดไป สตีเฟ่นเลือกที่จะยุติชีวิตและร่างกายของตัวเองลง ซึ่งฉันเชื่อว่า เป็นการเลือกที่ไม่ถูกต้องเลย เขาเองก็เชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องด้วย แต่การกระทำ�ที่เกิดขึ้นมันเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้แล้ว ชีวิตที่มีแต่ความ เสียใจ ความรู้สึกผิดและคำ�ถาม ไม่อาจเปลี่ยนแปลงจุดสุดท้ายของมัน ได้ และด้วยการกระทำ�เช่นนั้น ทั้งชีวิตของฉันและชีวิตของลูกอีกสาม โมงยามแห่งความมืดมน | 19


คนที่ยังคงดำ�รงอยู่ จึงย่อมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทว่า..ในโมงยามอันมืดมนของชีวิต  มันยังมีสิ่งล้ำ�เลิศที่เริ่มก่อ ตัวขึ้น ฉันได้รับรางวัลล้ำ�ค่าเกินความคาดฝัน ซึ่งนั่นก็คือ ฉันสามารถ สัมผัสถึงการดำ�รงอยู่ของสตีเฟ่นได้ ทั้งยังได้ยินเสียงพูดของเขาด้วย ซึ่ง ฉันไม่ได้ยินเพียงคนเดียว คนอื่นๆ ก็ได้ยินด้วย เมื่อใดก็ตามที่สตีเฟ่น ปรากฏหรือเข้ามาร่วมอยู่ในห้อง มันจะมีพลังงานไฟฟ้าหนาแน่นขึ้นใน ห้อง หัวใจฉันจะเต้นรัวแรงขึ้น บางครั้งแทบหายใจไม่ออก ทั้งร่างกาย และสมองจะมีปฏิกิริยาขึ้นมาทันที มันเป็นความรู้สึกเดียวกันกับเวลาที่ คุณได้พบใครสักคนที่คุณรักอย่างที่สุดและไม่ได้พบเขามานานนั่นแหละ ตอนที่สตีเฟ่นยังมีชีวิตอยู่  ฉันจะรู้สึกแบบเดียวกันนี้เสมอทุกครั้งที่เขา เดินเข้ามาในห้อง  สัมผัสต่อการปรากฏตัวของวิญญาณสตีเฟ่นนั้นเป็น อะไรบางอย่างที่มีพลังมาก  และฉันมักจะร้องออกไปโดยไม่ต้องคิดเลย ว่า “สตีเฟ่น..สตีเฟ่น..ลูกมาแล้ว..!” ฉันไม่อาจมองเห็นตัวตนของเขา ไม่อาจแตะต้องเนื้อตัวเขาได้ก็จริง  แต่ฉันสามารถสัมผัสได้ว่าเขาอยู่ที่ นั่น..! ภายหลังจากที่เกิดความรู้สึกเช่นนี้ สิ่งที่ตามมาก็คือจะมีเสียงดัง ขึ้นในหัว มันเป็นเสียงของลูกที่พูดอยู่กับฉัน.. “สวัสดีครับแม่ นี่ผมเอง สตีฟไงล่ะ” ทั้งประโยคคำ�พูดและน้ำ�เสียง มันเหมือนกับที่สตีเฟ่นเคยพูดอย่างไม่ผิดเพี้ยน ซึ่งข้อมูลต่างๆ ที่เขาบอกฉันมานั้น ล้วนยืนยันได้ว่าเป็นความ จริง  แม้ในตอนแรกฉันจะบอกตัวเองว่า..ฉันกำ�ลังคิดไปเองก็ตาม  ทุก คำ�พูดของสตีเฟ่น  ล้วนปลุกปลอบใจ  และเรื่องที่เขาเล่าให้ฟังก็น่า ประทับใจมาก หลังจากเวลาผ่านไปไม่นานฉันก็เริ่มรู้สึกผ่อนคลายและ ตั้งใจฟังทุกคำ�พูดของเขา จากนั้นฉันก็เริ่มพูดคุยกับเขา.. ฉั น พู ด กั บ ลู ก ดั ง ๆ  ขณะที่ ลู ก พู ด กั บ ฉั น ผ่ า นทางกระแสจิ ต นอกจากบางครั้งเท่านั้นที่เขาจะพูดออกมาดังๆ บ้าง จนฉันต้องเหลียว 20 | สตีเฟ่น รักเดียวในใจแม่


หน้าเหลียวหลังเพื่อหาที่มาของเสียง ตอนที่เขาพูดออกมาดังๆ แบบนั้น ถ้ามีคนอื่นอยู่ในห้องด้วยกลับไม่มีใครได้ยินเสียงเขาเลย อย่างไรก็ตาม มีเพื่อนหลายคนที่เคยได้ยินเสียงพูดของเขาแบบเดียวกับที่ฉันได้ยินมา แล้ว  บางครั้งพวกเขาจะช่วยกันจดบันทึกสิ่งที่ได้ยินไว้แล้วเอามาอ่าน กัน เมื่อการพูดคุยจบลง สตีเฟ่นก็จะบอกลาและความรู้สึกที่ว่ามีเขาร่วม อยู่ในห้องด้วยก็จะพลันหายไป ฉั น รู้ สึ ก ขอบคุ ณ เหลื อ เกิ น ที่ ส ามารถได้ ยิ น เสี ย งพู ด ของลู ก สามารถสื่อสารกับสตีเฟ่นที่อยู่ในอาณาจักรแห่งจิตวิญญาณได้  แต่ถึง อย่างไร ฉันก็ยังอยากให้เขาอยู่บนโลกนี้ อยู่เคียงข้างฉันต่อไป เพื่อที่ ฉันจะได้กอด  ได้ทำ�อาหารที่เขาชอบให้รับประทาน  ได้ตรวจการบ้าน เหมือนที่เคยทำ� ฉันอยากเห็นรอยยิ้มสดใส ดวงตาสีฟ้าเข้ม อยากเห็น ใบหน้าที่กระจ่างอยู่ด้วยรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ  ยามที่เขาโน้มตัวเข้า มาพูดกับฉัน  ฉันโหยหาเสียงบาร์เบลที่กระแทกอยู่กับพื้นภายในห้อง นอนส่วนตัวของเขา ทุกครั้งที่สตีเฟ่นออกกำ�ลังบริหารร่างกาย ฉันเฝ้า คิดถึงวันที่เขาจะเติบโตขึ้นเป็นหนุ่มใหญ่ มีบ้านที่อึงอลอยู่ด้วยเสียงพูด เสียงหัวเราะของลูกเล็กๆ ของเขา สิ่งที่ฉันจะต้องปฏิบัติร่วมกับสตีเฟ่นในขณะนี้  ก็ยังจะคงปฏิบัติ ต่อไป  จนกว่าจะถึงวันที่เราจะได้อยู่ร่วมในมิติเดียวกันอีกครั้ง  ฉันไม่ ได้รีบร้อนเร่งให้ถึงเวลานั้นเร็วๆ  เลย  เพราะมันจะต้องมาถึงแน่นอน อยู่แล้ว แม้เวลาจะผ่านพ้นไปหลายปีและไม่มีวันใดที่ฉันจะไม่คิดถึงลูก ก็ตาม แต่ด้วยการบำ�บัดจิตใจตัวเองอย่างต่อเนื่อง ฉันรู้สึกได้ว่าบัดนี้ จิตใจของตัวเองเข้มแข็งขึ้นมาก ตราบใดที่สตีเฟ่นยังคงเล่าถึงชีวิตใหม่ของเขา  พร้อมกับให้คำ� แนะนำ�แก่ฉันอย่างชัดเจนอยู่เดือนแล้วเดือนเล่า ตราบนั้นฉันก็จะยังคง ชีวิตอยู่ต่อไป..

โมงยามแห่งความมืดมน | 21


1 สตีเฟ่น “I’ll lend you for a little time

a child of mine,” he said. “For you to love the while he lives, and mourn for when he’s dead. It may be six or seven years, or Twenty-two or three; But will you, till call him back Take care of him for me?” Edgar A. Guest “ฉันจะให้ท่านขอยืมลูกของฉัน สักช่วงวารวันสั้นๆ ที่ผันผ่าน เพื่อให้ท่านได้รักยามชีพสราญ และอาลัยร่ำ�รำ�พันยามชีพวาย มันอาจเป็นเวลา หก-เจ็ดปี หรืออาจกว่ายี่สิบปีก็ยังได้ แต่ก่อนฉันจะขอลูกคืนกลับไป สัญญาไหมจะเลี้ยงรักเขาอย่างดี..?” บทแปลโดย “ศิขริน”


เมื่อฉันกลับจากทำ�งานมาถึงบ้าน  ก็พบโน้ตหรือจดหมายน้อย ของสตีเฟ่นวางอยู่บนโต๊ะในครัว มีข้อความว่า แม่ครับ ผมจำ�เป็นต้องออกไปหาที่เงียบๆ เพื่อใช้ความคิดสักพัก เพราะ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าชีวิตมีค่าควรแก่การอยู่ต่อไปหรือไม่ ผมจะเข้าไปนอน ค้างในป่า ไม่ต้องไปตามผมนะครับแม่ แม่หาผมไม่เจอหรอก สตีฟ ฉันไม่อยากเชื่อเลย ไม่อาจเข้าใจในคำ�พูดของลูกแม้แต่น้อย เป็น ไปได้อย่างไรที่เวลานี้ชีวิตจะไม่มีค่าควรแก่การอยู่ต่อไป..? เราเคยผ่าน ช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากมาด้วยกัน แต่เวลานี้ทุกสิ่งมันก็เปลี่ยนไป ในทางที่ดีขึ้น  ฉันเคยคิดว่าช่วงเวลาแห่งความปวดร้าวสะเทือนใจได้ ผ่านพ้นไปแล้ว บาดแผลต่างๆ ได้รับการบำ�บัดรักษาจนหายสนิท เป็น เวลานานหลายปีมากที่เราต้องอยู่กับความอดทนต่อความทุกข์ยาก การถูกประณามหยามเหยียด แต่บัดนี้เรื่องต่างๆ เหล่านั้นได้ผ่านพ้นไป หมดแล้ว เรากำ�ลังเริ่มต้นชีวิตใหม่กันอยู่ เรื่องราวชีวิตของเรา มันไม่ได้แตกต่างไปจากครอบครัวอื่นๆ อีก นับร้อยพันเลย เพียงแต่ว่า เมื่อมันเป็นเรื่องของคุณ มันย่อมสร้างความ รู้สึกว่าแตกต่างไปกว่าของผู้อื่นเสมอ เป็นเวลานานหลายปีมาก ที่ฉัน ต้องใช้ชีวิตคู่ร่วมกับผู้ชายคนหนึ่งที่มีแต่ความเห็นแก่ตัว  ทารุณกรรม ทางด้านจิตใจ  เป็นจอมเผด็จการที่ใช้อิทธิพลครอบงำ�และควบคุมเรา ไว้ ซึ่งเขาเรียกทุกการกระทำ�ของตัวเองว่า “ความรัก” เขาเรียกมันว่า “พ่อผู้รับผิดชอบ” ฉันต้องใช้เวลานานหลายปีและด้วยกำ�ลังใจที่เข้มแข็ง อย่างมากที่จะต่อสู้ปฏิเสธความใจร้ายใจดำ�ของเขา แต่ในที่สุดฉันก็เป็น ฝ่ายเดินออกมาจากชีวิตของเขาเสียเอง ฉันพบทอมในช่วงเวลาที่ชีวิตกำ�ลังประสบความวิกฤติอย่างที่สุด สตีเฟ่น | 23


และบัดนี้ ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1973 เราก็ได้อยู่ร่วมกัน ทอมแตกต่างจาก ริชาร์ดราวกลางคืนกับกลางวัน เมื่ออยู่กับทอมฉันคิดว่า บาดแผลของ เรากำ�ลังจะหายดีแล้ว แต่มันก็มาเกิดเรื่องนี้ขึ้นอีก สตีเฟ่นเพิ่งอายุสิบสี่ เป็นเด็กกลัวความมืดมาตั้งแต่เล็ก และขณะ นี้ฝนก็เริ่มลงเม็ดแล้วด้วย  เขาจะนอนอยู่ในป่าแทนที่จะอยู่ในเตียงอัน แสนอบอุ่นภายในบ้านได้อย่างไร..? ฉันอกสั่นขวัญหาย ยืนยันที่จะขับรถเข้าไปในป่า ไปตามตัวลูก กลับบ้าน ไม่ว่าในจดหมายน้อยฉบับนั้นจะเขียนว่าอย่างไร ฉันก็ค่อน ข้างมั่นใจว่าเราจะต้องหาตัวเขาพบแน่ บ้านต่างระดับของเราในอเล็กซานเดรีย รัฐเวอร์จิเนียนั้น อยู่ห่าง จากป่าใหญ่ที่มีต้นไม้ขึ้นหนาแน่น  ป่าที่มีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลหลาย เอเคอร์เพียงแค่ไมล์เดียว  ปรกติสตีเฟ่นชอบเข้าไปในป่าตอนกลางวัน แต่ตอนกลางคืน บรรยากาศจะค่อนข้างน่ากลัว ทั้งอากาศก็หนาวเย็น ทอมกับฉันเดินไปจนถึงชายป่า ขณะนั้นฝนเริ่มหนาเม็ดขึ้น สายลมเย็น เยือก  ฉันตะโกนเรียกสตีเฟ่นสุดเสียงด้วยความหวาดหวั่น  ไม่มีทาง รู้ได้เลยว่าเขาจะได้ยินเสียงฉันหรือไม่ ฉันทั้งกรีดตะโกนเรียกชื่อพร้อม กับอ้อนวอนให้เขากลับบ้าน แต่เขาไม่ได้ตอบ และขณะนั้นมันก็มืดมาก จนเกินกว่าจะเดินเลยลึกเข้าไปข้างใน ฉันส่งเสียงร้องเรียกลูกซ้ำ�แล้วซ้ำ� เล่า แต่ก็มีเพียงความเงียบเป็นคำ�ตอบ ทำ�ไมฉันจึงได้กลายเป็นคนไร้ ความรู้สึกเช่นนี้..? ทำ�ไมฉันจึงไม่เคยรู้เลยว่าสตีเฟ่นไม่มีความสุข..? ในทีส่ ดุ ทอมก็บอกว่าเราควรกลับบ้านกันก่อนดีกว่า เขาคิดว่า พรุ่งนี้เช้าสตีเฟ่นก็คงจะกลับบ้านเอง  ใจหนึ่งฉันอยากจะยืนเรียกลูกอยู่ อย่างนัน้ แต่กร็ วู้ า่ ถึงทำ�ไปก็คงไม่ได้ผลอะไรขึน้ มา ฉันตะโกนเรียก สตีเฟ่น อีกสองสามครัง้ แต่ไม่มเี สียงตอบกลับมา ขณะขับรถกลับบ้านฉันสะอื้น ไห้ไปตลอดทาง เข้านอนทั้งน้ำ�ตา มองเห็นแต่ภาพลูกตัวเล็กๆ ที่อยู่ใน ป่ามืดครึ้มเพียงลำ�พัง ฉันผวาตื่นตอนกลางดึก  เนื้อตัวสั่นระริกเมื่อนึกถึงว่าสตีเฟ่นได้ 24 | สตีเฟ่น รักเดียวในใจแม่


จากไปแล้ว  ฉันเฝ้าอธิษฐานเพื่อลูกและพยายามเข้าใจถึงความเศร้า เสียใจของลูก พยายามทบทวนเหตุการณ์ในช่วงเดือนหลังๆ ที่ผ่านมา เพื่อจะหาเงื่อนงำ�ให้ได้ บางทีอาจเป็นเรื่องที่ว่า เมื่อหลายอาทิตย์ก่อน สตีเฟ่นได้เข้ามา ขอว่าเขาไม่อยากไปเยี่ยมพ่อ แต่ฉันยืนยันว่าต้องไป เพราะริชาร์ดยัง มีสิทธิ์ในการพบปะกับลูกๆ อยู่ เพียงแต่เขาใจร้ายกับเราเสมอ ตั้งแต่ ใช้ชีวิตร่วมกันมาแล้ว ดังนั้นลูกๆ จึงกลัวการไปพบพ่อมาก โดยเฉพาะ อย่างยิ่งสตีเฟ่น ครั้งหลังสุดเมื่อเขากลับมาจากการไปเยี่ยมพ่อ สตีเฟ่น ร้องไห้อย่างหนักอยู่ถึงสองวัน  ความมั่นใจในตนเองของเขาแตกสลาย ลงโดยสิ้นเชิง ริชาร์ดด่าว่าที่สตีเฟ่นไม่เก็บถุงนอนให้เรียบร้อย เรื่องฉี่ ราดเลอะเทอะบนโถชักโครก เรื่องไว้ผมยาว และทุกเรื่องที่ลูกทำ�ดูจะไม่ เป็นที่ถูกใจเขาไปเสียหมด เมื่อสตีเฟ่นกลับถึงบ้าน ท่าทางอมทุกข์อย่าง เห็นได้ชัด ร้องอยู่แต่ว่า “ผมเกลียดเขา..ผมเกลียดพ่อ..!”  วันนั้นเราคุยกันอยู่นาน  แม้ สตีเฟ่นจะหยุดร้องไห้แล้วแต่ก็ยังพูดกับฉันด้วยน้ำ�เสียงปนสะอื้นว่า “ที่ จริงผมรักพ่อนะครับแม่ แต่ผมไม่ชอบนิสัยพ่อเลย พ่อชอบทำ�ให้ผมมี ความรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนไม่มีค่า..!” นี่เป็นคำ�พูดแข็งกร้าวของเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง ที่เคยเป็นลูกที่มีแต่ ความสุภาพอ่อนโยน ฉันบอกกับลูกว่าฉันเข้าใจในทุกสิ่ง ย้ำ�กับสตีเฟ่น ว่า ทั้งหมดที่ริชาร์ดมีก็คือลูกเท่านั้น และฉันก็ถามสตีเฟ่นว่า..เขาไม่ได้ พยายามบอกให้พ่อรู้บ้างเลยหรือว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร ซึ่งฉันมาได้คิด ในตอนหลังว่ามันเป็นความคิดที่น่าหัวเราะเยาะที่สุด เพราะการพูดเช่น นั้น มันจะยิ่งทำ�ให้ริชาร์ดโมโหหนักขึ้น นี่ฉันล้มเหลวแม้กระทั่งการจะให้ กำ�ลังใจลูกในขณะที่เขากำ�ลังต่อสู้กับความรู้สึกที่มีต่อพ่อเช่นนั้นหรือ..? เพราะเหตุนี้ใช่ไหมที่ทำ�ให้ให้ลูกถึงต้องหนีออกจากบ้าน..? นอกจากนั้น ฉันยังต้องเผชิญหน้ากับความจริงอีกเรื่องหนึ่งด้วย ในขณะที่ฉันกำ�ลังรู้สึกว่าจิตใจสงบสุขดีแล้ว  เต็มเปี่ยมด้วยความพอใจ สตีเฟ่น | 25


กับชีวิตแล้ว นับแต่วันที่ทอมเดินเข้ามาสู่ชีวิตของเรา แต่สตีเฟ่นกลับไม่ อาจทำ�ใจให้ยอมรับทอมได้ โดยเฉพาะ คืนวันหนึ่งที่ทอมพาลูกๆ ของ เขามาที่บ้าน สตีเฟ่นบอกกับฉันว่า “แม่ครับ เวลาแม่อยู่กับเรามันไม่เหมือนกับเวลาที่แม่อยู่กับทอม เลย” และสตีเฟ่นก็สารภาพว่า ทอมทำ�ให้เขาอึดอัดใจมาก ส่วนฉันก็ดูจะ วุ่นวายอยู่แต่กับการพยายามทำ�ให้ทอมกับลูกๆ ของเขามีความสุข ซึ่ง ฉันค่อยๆ อธิบายให้ลูกเข้าใจว่า ขณะนี้เรากำ�ลังอยู่ในช่วงของการปรับ เปลี่ยนเข้าสู่ชีวิตในรูปแบบใหม่ เขาจะต้องอดทนให้มากกว่านี้ เพราะ ฉันมั่นใจว่า  ในที่สุดแล้ว  สตีเฟ่นจะต้องรักและยอมรับในตัวทอมเช่น เดียวกับฉันได้ แต่บางทีฉันอาจคาดหวังมากเกินไปและเร็วเกินไปก็ได้ ขณะเดียวกัน  สตีเฟ่นก็ยังจะต้องปรับตัวให้เข้ากับโรงเรียนใหม่ ที่เขายังไม่มีเพื่อนเลยสักคน เขาหมกมุ่นอยู่กับความคิดที่ว่าตัวเองอ้วน เกินไป เพราะฉะนั้นเขาจึงสวมแต่เสื้อผ้าหลวมๆ ทั้งยังสวมโอเวอโค้ท ทับอีกชั้น เพื่ออำ�พรางรูปร่างของตัวเอง เขาไม่ได้มองเห็นภาพตัวเอง เหมือนที่ฉันมองเห็นอยู่  ฉันพยายามเกลี้ยกล่อมให้เขาเชื่อว่า  จริงๆ แล้วเขาไม่ได้อ้วนเลย แต่ที่จริงแล้ว สิ่งที่ฉันควรทำ�ก็คือ พาเขาไปพบ แพทย์เพื่อให้แพทย์ช่วยลดน้ำ�หนักลงสักสองสามปอนด์มากกว่า ความ รู้สึกกดดันจากเรื่องนี้ใช่หรือไม่ที่ท�ำ ให้เขาอยากลาออกจากโรงเรียนและ หนีไปไหนเสียให้พ้นๆ..? ฉันทำ�อะไรลงไปนี่..? ตลอดคืนนั้น  ฉันเฝ้าหมกมุ่นครุ่นคิดอยู่แต่เรื่องสตีเฟ่น  ทุกข์ ทรมานใจอยู่กับสิ่งที่ตัวเองได้ทำ�ลงไปและฉันจะทำ�อะไรบ้างเมื่อเขา กลับมา ฉันคิดไปถึงว่า ควรจะเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง ฉันเฝ้าแต่สวด อธิษฐานเพื่อลูก ขอให้พระเจ้าประทานความคุ้มครองให้แก่เขา บางที เขาอาจตายไปแล้วและฉันคงไม่ได้เห็นหน้าลูกอีก บางทีเขาอาจประสบ อุบัติเหตุอยู่ในป่าและกำ�ลังต้องการความช่วยเหลืออยู่ก็ได้  ภาพต่างๆ ที่ฉันสร้างขึ้น มันทรมานฉันอย่างที่สุด ฉันคงจะต้องตายถ้ามีอะไรเกิด ขึ้นกับสตีเฟ่น 26 | สตีเฟ่น รักเดียวในใจแม่


“สตีเฟ่น..ลูกรู้ไหมว่าแม่รักลูกมากแค่ไหน..กลับบ้านเถอะลูก” ฉันได้แต่ภาวนาอยู่อย่างนั้นจนผล็อยหลับไป เมื่อถึงยามเช้า สตีเฟ่นก็ยังไม่กลับมา ฉันถึงกับลางานตั้งตารอ ลูกอยู่ที่บ้าน สายตาคอยจับจ้องอยู่แต่เข็มนาฬิกาบนผนังห้อง ความ กลัวดูจะเพิ่มขึ้นทุกๆ นาทีที่ผ่านไป พอถึงตอนเที่ยง ขณะที่ฉันตัดสิน ใจจะโทรศัพท์แจ้งตำ�รวจ สตีเฟ่นก็เดินเซื่องๆ เข้ามาในบ้าน ท่าทาง อิดโรยและดูโทรมสุดๆ ฉันผวาวิ่งเข้าไปกอดลูกไว้ “สตีเฟ่น..แม่ห่วงลูกแทบขาดใจอยู่แล้วรู้ไหม..?”  ฉันร้องไห้โฮ ออกมา กอดลูกไว้เหมือนเขาเป็นทารกตัวเล็กๆ “ผมขอโทษครับแม่..ผมขอโทษ..ผมเสียใจจริงๆ..”  เขาพูดด้วย น้ำ�ตานองหน้า “จริงๆ แล้วผมไม่ได้อยากออกจากบ้านไปไหนเลย แต่ ผมทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ผมต้องเป็นฝ่ายไปเอง” ฉันอยากที่จะเข้าใจ เราคุยกันนานเป็นชั่วโมง และในที่สุดสตีเฟ่น ก็ให้สัญญาว่าเขาจะไม่ทำ�อย่างนี้อีก ฉันภาวนาให้เขารอดปลอดภัย แต่ ลึกๆ  แล้วฉันไม่สบายใจเลย  นี่เป็นช่วงวิกฤติของวัยรุ่นเช่นนั้นหรือ..? หรือว่า..มันยังมีอะไรที่มากกว่านี้อีก..? ในเวลาต่อมา ฉันจึงได้เห็นว่า คืนที่สตีเฟ่นออกจากบ้าน เข้าไป อยู่ในป่าอย่างโดดเดี่ยวนั้น..นั่นแหละคือการร้องขอความช่วยเหลือ..! เป็นเสียงร้องขออ้อนวอนที่ฉันไม่เคยได้ยิน  เพราะมัวแต่คิดและเชื่อว่า ทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องดีขึ้น เราเคยเดินอยู่บนเส้นทางแห่งความเจ็บปวด ด้วยกันมาแล้ว ทั้งฉันและลูกๆ v

ฉันไม่อาจกล่าวให้แน่ชัดลงไปได้ว่า  เส้นทางสายนั้นมันเริ่มต้น จากตรงไหน  มันยากเหลือเกินสำ�หรับการที่จะเหลียวกลับไปมองข้าง หลัง ตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมา ฉันพยายามค้นหาคำ�ตอบในหัวใจตัว สตีเฟ่น | 27


เอง  พยายามเผชิญหน้ากับความเป็นจริง  ต้องการจะหาคำ�ตอบให้ได้ ว่า เพราะเหตุใด การเดินทางของเรามันจึงเบี่ยงเบนออกไปอีกทางหนึ่ง แทนที่จะเป็นอีกทางหนึ่ง ฉั น ไม่ เ คยวางแผนให้ชีวิตต้องหักมุมเช่นที่มันเป็นเลย  ขณะ เดียวกันนั้น  ฉันก็ไม่เคยมีแผนที่จะแต่งงานและเป็นแม่คนตอนอายุสิบ เจ็ดด้วย บางทีตรงนี้กระมังที่เป็นจุดเริ่มต้น ครอบครัวของเราได้ย้ายจากเคนทัคกี้รัฐที่ฉันเกิด  ไปอยู่โอไฮโอ ตอนฉันอายุสิบห้าปี ซึ่งทำ�ให้ฉันได้พบกับบิล และตกหลุมรักในตัวเขา อย่างบ้าคลั่งตอนอายุสิบหก เขาเป็นผู้ชายที่หล่อมาก ผมสีบลอนด์ มี เสน่ห์เหลือหลาย ทั้งยังเป็นนักศึกษาที่เป็นที่หมายปองที่สุดในโรงเรียน ซึ่งทำ�ให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองโชคดีอย่างยิ่งที่เขาเลือกฉัน  ฉันรู้ว่าตอนนั้น ตัวเองกำ�ลังตกอยู่ในอารมณ์รักแบบวัยรุ่น  แต่โดยทั่วไปแล้วชีวิตก็ยัง คงดำ�เนินไปด้วยดี ฉันเป็นนักเรียนที่ได้  เอ ทุกวิชาอยู่แล้ว เป็นที่รัก ใคร่ของครูอาจารย์  เป็นเด็กสาวที่มีพลังและความคิดสร้างสรรค์  ฉัน ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองเป็นคนสวย  ฉันมีผมสีบลอนด์หยักศกสลวย ตัดสั้น กับดวงตาคู่สีฟ้า ทั้งยังรู้ด้วยว่าตัวเองเป็นคนบุคลิกดี และยิ่งมี เพื่อนชายเป็นบิลด้วยแล้วก็ยิ่งทำ�ให้ฉันมีความพิเศษมากขึ้น  หลังจาก นั้น ครอบครัวของฉันก็ย้ายจากโอไฮโอไปอยู่รัฐเทนเนสซี ซึ่งทำ�ให้ฉัน กับบิลต้องจากกัน  ตอนนั้นฉันห่วงหาอาวรณ์ในตัวเขาอย่างเหลือเกิน แต่พอถึงวันขอบคุณพระเจ้าเขาก็มาเยี่ยม มันเป็นความรู้สึกวิเศษสุดที่ ได้กลับมาชิดใกล้กันอีกครั้ง แต่หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็ได้รู้ว่าตัวเอง.. ท้อง..! การตั้งครรภ์ในปี 1955 นั้น เรื่องที่จะแอบไปทำ�แท้งไม่ต้องพูด ถึงเลย นอกจากจะเป็นการกระทำ�ที่ผิดกฎหมายแล้ว ยังทำ�โดย “หมอ” ที่ยังสงสัยในฝีมือและทำ�กันในห้องแคบๆ หลังบ้านที่มีแต่ความสกปรก ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เราสองคนไม่มีเงินมากพอที่จะคิดทำ�เช่นนั้นได้ ฉัน รีบติดต่อกลับไปหาบิลทันที 28 | สตีเฟ่น รักเดียวในใจแม่


“เราต้องแต่งงาน” บิลตอบอย่างพร้อมจะให้เกียรติ พอได้ยินเขา พูดออกมาอย่างนั้นฉันก็ร้องไห้เลย  เพราะใจจริงแล้วฉันไม่ได้อยาก แต่งงานกับเขา ถึงแม้จะรักเขามากก็ตามที และฉันก็ยังสงสัยด้วยว่า เขาอยากแต่งงานกับฉันจริงๆ ละหรือ..? แต่ในเมื่อเรื่องมันเป็นเช่นนี้ แล้ว ก็ดูเหมือนเราจะไม่มีทางเลือกอื่นอีก เราสองคนจึงแต่งงานกันใน เดือนมีนาคม โดยมีตุลาการเป็นผู้ประกอบพิธี สถานที่แต่งงานของเรา อยู่ตรงพรมแดนรัฐเทนเนสซีแต่ลึกเข้าไปในรัฐจอร์เจีย หลังจากนั้นเราก็เดินทางกลับบ้านเพื่อบอกให้พ่อแม่รับรู้  และ ฉันก็ได้เห็นน้ำ�ตาแม่เป็นครั้งแรกในชีวิต  คืนนั้น  ขณะเดินทางกลับไป บ้านของบิลในรัฐโอไฮโอ เราพักอยู่ด้วยกันที่โมเต็ลเล็กๆ แห่งหนึ่ง เมื่อ บิลหลับแล้ว  ฉันก็ลุกขึ้นมานั่งร้องไห้อยู่ข้างหน้าต่าง  ถวิลหาอาวรณ์ ครอบครัวที่ไม่อยากจากมาเลย  ฉันอยากอยู่กับแม่ต่อไปเรื่อยๆ  ยิ่ง กว่านั้น ฉันไม่เคยมีความรู้อะไรเกี่ยวกับการเลี้ยงเด็กทารกเลย นี่มัน ไม่ใช่สิ่งที่ฉันวางแผนให้กับชีวิตของตนเองแม้แต่น้อย  ฉันอยากเรียน ให้จบไฮสกูลและไปเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัยมากกว่า  ฉันเฝ้าฝัน ที่จะเป็นครูมาตลอด  อยากทำ�อะไรก็ได้ที่เป็นการช่วยเหลือผู้คน  เคย คิดไว้ว่าชีวิตของตัวเองจะต้องไม่เหมือนกับชีวิตของพ่อแม่ จะต้องเป็น ชีวิตที่ร่ำ�รวยด้วยวัฒนธรรมความเป็นศิลปิน และความตื่นเต้นต่างๆ อีก มากมายหลายประการ แล้วทำ�ไมฉันจึงทำ�ให้ชีวิตที่เคยใฝ่ฝันเลือนหาย ไปได้ถึงเพียงนี้..? เราสองคนย้ายไปอยู่ซินซินนาติ ที่ซึ่งวิลเลียม โรเบิร์ต ลูกชาย คนแรกของฉันถือกำ�เนิด เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม เราเรียกเขาว่าบ๊อบ จนโต ในนาทีแรกที่ฉันได้เห็นลูก ฉันก็รักแกจนเต็มหัวใจ ใบหน้าน้อยๆ ราวเทพบุตรของลูก  ทำ�ให้ฉันบังเกิดความมั่นใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะ ต้องเป็นไปด้วยดี ฉันรักการเป็นแม่ที่สุด  แต่เมื่อเวลาเป็นปีผ่านไป  บิลกับฉัน ก็เริ่มระหองระแหงกันบ้างแล้ว  ฉันทำ�งานในตำ�แหน่งเลขานุการซึ่ง สตีเฟ่น | 29


เป็นงานกลางวัน จึงต้องทิ้งบ๊อบบี้ให้อยู่กับพี่เลี้ยง ตอนกลางคืน ฉัน ต้องอ่านหนังสือหนักเพื่อสอบเทียบระดับไฮสกูล ส่วนบิลทำ�งานแผนก ไปรษณียภัณฑ์ของบริษัทเจนเนอรัล  อิเล็คทริค  และไปเรียนหนังสือ ตอนกลางคืน  ดังนั้น  เราจึงมีเวลาให้กันและกันน้อยมาก  แต่ยิ่งนาน ความคิดอ่านของเราก็ยิ่งไปกันคนละทิศละทาง  ฉันรู้สึกเบื่อและเหงา มาก ซึ่งค่อนข้างแน่ใจว่าบิลเองก็เป็นเช่นนั้น เราแยกกันอยู่ถึงสองครั้ง แต่แล้วก็ต้องกลับมาอยู่ด้วยกันอีก  และครั้งหลังนี้ฉันก็เกิดตั้งครรภ์ขึ้น มาอีกซึ่งตอนนั้นเพิ่งอายุยี่สิบและบ๊อบบี้ก็เพิ่งจะสามขวบ การตั้งครรภ์ครั้งนี้แตกต่างกว่าครั้งแรกมาก  มันเป็นความยาก ลำ�บากอย่างเหลือจะบรรยาย  เพราะเกือบจะตั้งแต่แรกเริ่ม  ที่ฉันต้อง ทรมานจากการแพ้ท้อง มีอาการคลื่นไส้อาเจียนตลอดทั้งวันและคืนก็ว่า ได้ ฉันจะต้องคอยขบเคี้ยวอะไรบางอย่างอยู่ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้คลื่นไส้ หมอที่ฉันฝากครรภ์ก็ให้ยาขนานใหม่ๆ ทุกอาทิตย์ แต่ไม่สามารถช่วย ให้อาการแพ้ท้องดีขึ้นได้เลย เกิดมาในชีวิตฉันไม่เคยหวั่นวิตกครั้งไหนเท่าครั้งนี้อีกแล้ว  สิ่ง ที่ทำ�ให้สถานการณ์เลวลงกว่าเดิมก็คือ  น้ำ�หนักตัวฉันขึ้นมาอีกห้าสิบ ปอนด์  ทำ�ให้เนื้อตัวอ้วนพองเหมือนลูกโป่ง ในยามนั้นจิตใจฉันเต็มไป ด้วยความหวาดหวั่น วิตกกังวล ซึมเศร้า เจ็บป่วยทางจิต คิดแต่เรื่อง ร้ายๆ อย่างเดียวเท่านั้น และเนื่องจากไม่มีใครที่ฉันจะระบายความรู้สึกหรือให้คำ �ตอบ ตามที่ต้องการได้  ความหวาดหวั่นของฉันก็ยิ่งรุนแรงขึ้น  จนถึงขนาด คิดว่าตัวเองจะต้องตายตอนคลอดแน่  ความคิดนั้นเกาะกุมอยู่ในหัวใจ จนทำ�ให้ฉันเกิดความเชื่ออย่างจริงจังขึ้นมาว่า  ทั้งฉันและลูกต้องตาย ไปพร้อมๆ กันอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ด้วยความหวาดหวั่นและสับสนใน จิตใจเช่นนี้ ฉันจึงเริ่มเตรียมตัวตาย.. ในตอนค่ำ �ของวันหนึ่ง  ขณะที่บิลไปโรงเรียนและบ๊อบบี้หลับ สบายอยู่ ฉันได้เข้าไปในห้อง ลงมือเขียนจดหมายไปร้องไห้ไป ฉันเขียน 30 | สตีเฟ่น รักเดียวในใจแม่


ถึงพ่อกับแม่  บอกให้ท่านทั้งสองได้รับรู้ว่าฉันรักพวกท่านมากแค่ไหน ขอร้องให้ท่านช่วยเลี้ยงดูบ๊อบบี้ให้ด้วยเมื่อฉันตายไปแล้ว  และให้ช่วย บอกแกด้วยว่า แม่ของแกนั้นรักแกมากเหลือเกิน เมื่อเขียนเสร็จฉันก็ ปิดผนึก เอาจดหมายใส่ไว้ในที่ซึ่งพวกเขาจะหาพบเมื่อฉันตายไปแล้ว เวลาของฉันดูจะเหลือน้อยลงทุกที ลูกคนใหม่จะคลอดประมาณ วันที่ 6 ธันวาคม ดังนั้น ฉันจะต้องใช้ทุกเวลาทุกนาทีอยู่กับบ๊อบบี้ให้ มากที่สุด  หลายต่อหลายครั้งที่ฉันจะย่องเข้าไปในห้องของลูก  จับตา มองร่างน้อยๆ ที่หลับสนิทอยู่ในท่าดูดนิ้วแม่มือ ส่วนนิ้วน้อยๆ ที่เหลือ ก็จะงองุ้มทาบอยู่ตรงปลายจมูกเล็กๆ น่ารัก ไรเหงื่อชื้นชุ่มอยู่บนเรือน ผมสีทอง และเป็นจุดฝอยๆ อยู่บนจมูก ฉันจะลูบไล้ใบหน้าของแกเพียง บางเบา กระซิบบอกอยู่ว่าฉันรักแกมากเหลือเกิน ความคิดที่ว่าจะไม่ได้ มีชีวิตอยู่ดูวันที่แกเจริญวัยขึ้นมานั้น มันสร้างความรานร้าวเหลือจะทน ฉันไม่เคยเล่าเรื่องความหวาดหวั่นของตัวเองให้ใครฟังเลย  ไม่ เคยเล่าให้พ่อแม่ที่อยู่ในเทนเนสซี่หรือแม้แต่บิลเองให้รับรู้ ฉันได้ให้สัตย์ สาบานกับตัวเอง  ว่าจะไม่ทำ�ให้ผู้เป็นที่รักทุกคนต้องเดือดร้อนจนกว่า เวลาจะมาถึง แต่ยอมรับว่าถูกหลอนอยู่ด้วยเรื่องที่แม่เคยเล่าให้ฟัง ว่า ยายของฉันเสียชีวิตตอนที่แม่เพิ่งอายุได้สองขวบเท่านั้น  แม่จำ�อะไร เกี่ยวกับเรื่องนั้นไม่ได้ แต่ตาเป็นคนเล่าให้แม่ฟังในตอนหลังว่า ตอนที่ ทุกคนยืนรวมตัวกันอยู่รอบๆ หลุมฝังศพ ขณะสัปเหร่อกำ�ลังจะหย่อน ร่างยายลงในหลุม แม่ก็กรีดร้องออกมาว่า “อย่าให้พวกเขาเอาแม่หนูใส่ลงในหลุมมืดๆ อย่างนั้นสิ..!” ฉันต้องหลั่งน้ำ�ตาออกมาทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องนี้  ขณะเดียวกันก็ มองเห็นภาพบ๊อบบี้ที่หัวใจสลายแบบเดียวกันนั้น ฉันรู้ด้วยว่าแม่จดจำ� อะไรที่เกี่ยวกับยายไม่ได้ นอกจากจะมีเพียงผ้าห่มผืนเล็กๆ  ที่ยายเอา เศษผ้ามาเย็บปะติดปะต่อกันและยังไม่ทันเสร็จสมบูรณ์เสียด้วยซ้ำ� มัน เป็นงานฝีมือชิ้นเดียวที่ยายทำ�ทิ้งไว้ก่อนตาย บ๊อบบี้เองก็คงไม่แตกต่าง เพียงแต่สิ่งที่ฉันทิ้งไว้ให้แกเป็นจดหมายฉบับสั้นๆ ฉบับหนึ่งเท่านั้น สตีเฟ่น | 31


แม้ว่าครั้งนี้จะไม่ใช่ท้องแรก แต่ฉันก็ยังขาดความรู้ในสิ่งที่เกิดขึ้น กับร่างกายของตัวเองอยู่ดี ผู้หญิงสูงวัยสองสามคนที่ฉันพยายามพูดคุย ถึงปัญหาของตัวเองให้ฟัง ต่างหัวเราะและพูดคล้ายๆ กันว่า “แม่หนู ทุกสิ่งมันเป็นเรื่องธรรมชาติ พระเจ้าจะทรงช่วยจัดการ ให้เราเหมือนที่ทรงทำ�มาตลอดเวลาหลายพันปีนั่นแหละ” ดังนั้น  พอเจ็บท้องคลอด  ฉันก็เข้าสู่ห้องเตรียมการคลอดโดย ปราศจากความรู้ใดๆ เหมือนกับที่เคยคลอดครั้งแรกนั่นเอง เมื่ อ เข้ า ไปในห้ อ งเตรี ย มคลอด  พยาบาลก็ บ อกให้ ฉั น เปลื้ อ ง เสื้อผ้าออกและสวมเสื้อคลุมสีขาวแทน  จากนั้นก็ให้ขึ้นนอนบนเตียง พยาบาลดึงราวข้างเตียงขึ้นจัดการล็อกให้เข้าที่เรียบร้อย จากนั้นก็เริ่ม โกนขนทำ�ความสะอาด ฉีดยาเข้าตรงสะโพกหนึ่งเข็มแล้วก็ออกจากห้อง ไป ไม่มีใครพูดหรืออธิบายอะไรให้ฟังเลย ฉันเองก็ไม่ได้ถามด้วย ตอน ใกล้จะหมดสติ ฉันคิดอยู่แต่ว่า..ความตายคงจะเป็นเช่นนี้เอง.. ในยามนั้น  ฉันมองเห็นแต่เพียงความมืด  และจากนั้นทุกสิ่งก็ กลายเป็นจุดแสงสว่าง จุดเหล่านั้นกระจายไปทั่ว มันจะส่งเสียงดัง “ปิ๊ง” เหมือนจะสื่อสารอยู่กับจุดแสงสว่างดวงอื่นๆ  ฉันไม่เข้าใจภาษาของ พวกมันเลย  แต่จุดแสงสว่างเหล่านี้จะเคลื่อนตัวอย่างต่อเนื่องและชน กันอยู่ และฉันก็จะได้ยินเสียง “ปิ๊ง..ปิ๊ง..” อยู่เช่นนั้นตลอดเวลา ขณะ เดียวกันก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกโดดเดี่ยว ทั้งที่รู้ลึกๆ อยู่ในใจว่าฉันเองก็ เป็นหนึ่งในจุดแสงสว่างเหล่านั้น เมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง ฉันก็พบตัวเองอยู่ภายในห้องที่กว้างใหญ่ มี ผู้หญิงอีกสามคนที่ไม่เคยรู้จัก นอนอยู่ในเตียงตามมุมต่างๆ ฉันเดาเอา ว่าเราทุกคนล้วนตายกันหมดแล้วและคงจะอยู่ในสวรรค์หรือที่ไหนสัก แห่ง ในอาการครึ่งหลับครึ่งตื่นนั้น ฉันรู้สึกว่ามีพยาบาลคนหนึ่งเข้ามา หยุดอยู่ใกล้ตัว และกำ�ลังวัดความดันโลหิตอยู่ เธอยังพูดกับฉันด้วยว่า.. ลูกคนนี้คลอดยากจริงๆ.. “คุณได้ลูกชายนะคะ” เธอเสริม ฉันซึ่งยังคงอยู่ในอาการมึนงงได้ 32 | สตีเฟ่น รักเดียวในใจแม่


ถามออกไปว่า “ชนิดไหนหรือ..?” คำ�ถามของฉันทำ�ให้เธอถึงกับหัวเราะออกมา บิลที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็ทำ�หน้ายิ้มๆ  ด้วย  และฉันก็กลับไปสู่โลกของเสียง “ปิ๊ง” อีกครั้ง เมื่อฉันฟื้นขึ้นในอีกไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้น ยังจำ�ได้ว่าวันนั้นเป็น วันที่ 3 ธันวาคม ปี 1958 และฉันได้ให้กำ�เนิดลูกชายอีกคนหนึ่งแล้ว ไม่ เพียงเท่านั้น ฉันยังคงมีชีวิตอยู่..ลูกก็เช่นเดียวกัน อีกครู่ใหญ่ๆ ต่อมา พยาบาลก็อุ้มทารกเข้ามา..ลูกช่างน่ารักเหลือเกิน ใบหน้าเล็กๆ เป็นสี ชมพูเรื่อ ดวงตาสีฟ้า ผมสีน้ำ�ตาลอ่อน ฉันเปลื้องผ้าที่ห่อตัวแกอยู่ออก ดูและพบว่าร่างกายครบสามสิบสอง ทุกสิ่งล้วนสมบูรณ์ ท่าทางแกแข็ง แรงสุขภาพดี น้ำ�หนักตัวเจ็ดปอนด์กับอีกสิบห้าออนซ์ครึ่ง แกไม่ได้สวย เหมือนบ๊อบบี้ก็จริง แต่ดูเก๋น่ารัก สงบอ่อนโยนกว่า มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย ที่ฉันจะรักทารกตัวน้อยๆ อีกคนหนึ่ง ได้มากเท่ากับที่รักบ๊อบบี้ แต่ดูเหมือนแทบจะไม่ต้องใช้เวลาเลยด้วยซ้ำ� สำ�หรับการที่ฉันจะตกหลุมรักเจ้าตัวน้อยผู้หิวโหย  แก้มสีชมพูเป็นพวง และสงบเงียบอ่อนหวานนี้ เมื่อได้ผ่านกระบวนการคลอดมาแล้ว ฉันก็ ลืมความกลัวก่อนหน้านี้ไปจนหมดสิ้น จนอีกหลายอาทิตย์ต่อมาฉันจึง ได้พบปึกจดหมายลาตายที่ตัวเองเขียนขึ้นไว้ เราตกลงใจที่จะตั้งชื่อให้เจ้าตัวน้อยนี้ว่า  สตีเฟ่น  คริสโตเฟอร์ ตามชื่อพ่อของฉันเองที่ชื่อสตีเฟ่น เพื่อเป็นการเอาใจพ่อสักครั้ง ซึ่งก็ได้ ผล พ่อมักจะใจอ่อนกับ “สตีเฟ่นน้อย” นี้เสมอ และมันก็เป็นชื่อที่ทุกคน เรียกขานแกจนตลอดชีวิต  ซึ่งต่อมาภายหลังฉันจึงได้รู้ว่า  ชื่อสตีเฟ่น นั้นมีความหมายว่า “มงกุฎแห่งความเรืองโรจน์” ส่วนคริสโตเฟอร์ก็คือ “กางเขนพระคริสต์” ฉันรักชื่อนี้ของลูกมาก v

สตีเฟ่น | 33


เมื่อสตีเฟ่นอายุได้แปดเดือน  เราก็ย้ายจากอพาร์ตเม้นท์เล็กๆ ขนาดสองห้องนอนไปอยู่อาคารแบบสี่ครอบครัวที่มีขนาดใหญ่กว่า  มี เครื่องซักผ้าและเครื่องอบของตัวเอง  ส่วนชั้นล่างสุดของตัวอาคารนั้น ใช้ร่วมกับครอบครัวอื่น อาคารหลังนี้มีสนามกว้างที่เด็กๆ สามารถเล่น ชิงช้าและออกไปเล่นข้างนอกได้มากขึ้น  ขณะเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ และหีบห่อสัมภาระต่างๆ อยูน่ น้ั ฉันอดใจไม่ไหว คอยแต่จะคว้าตัวสตีเฟ่น ขึ้นมากอดจูบตลอดเวลา  แกสวมชุดนอนสีฟ้าอ่อน  ผมสีทองที่ล้อม กรอบใบหน้าทำ�ให้มองดูเหมือนเทวดาองค์น้อย  เวลาฉันไซร้จมูกอยู่ใต้ คอ แกจะส่งเสียงหัวเราะเอิ๊กอ๊ากด้วยความพออกพอใจ ส่วนบ๊อบบี้ก็จะวิ่งอยู่รอบๆ  กล่องสัมภาระเหล่านั้นด้วยความ ตื่นเต้น บ๊อบบี้ในวัยสี่ขวบวิ่งไปทั่วอาคาร แกเต็มไปด้วยความอยากรู้ อยากเห็น มีความสุขกับชีวิต ขี่จักรยานกลับไปกลับมาอยู่ตรงทางเดิน ความน่ารักของแกทำ�ให้เพื่อนบ้านใหม่ของเราต้องหยุดทักทายกับแก แทบทุกคน บ๊อบบี้กลายเป็นขวัญใจตัวน้อยที่เที่ยวผูกมิตรกับใครต่อใคร ไปทั่ว สตีเฟ่นเป็นเด็กเงียบๆ  มีคุณสมบัติพิเศษอยู่ในตัวที่เมื่อใครได้ เข้าใกล้แล้วอยากจะสัมผัส อยากจะกอดแกแน่นๆ ทุกคนต่างพูดเป็น เสียงเดียวกันว่า ถ้าได้เข้าใกล้แล้ว ไม่อาจยั้งใจไว้ไม่กอดแกได้ ตลอด เวลาเป็นปีที่ผ่านไป เราจะได้ยินคำ�พูดที่ว่า “ฉันสามารถเลี้ยงเด็กคนนี้ เหมือนลูกตัวเองได้เลย”..และ.. “ไม่เคยอุ้มเด็กคนไหนแล้วรู้สึกดีเหมือน อุ้มเด็กคนนี้เลย” เป็นต้น ถึงแม้บิลกับฉันจะมีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจ  แต่ความสัมพันธ์ ระหว่างเราดูจะเสื่อมคลายลงทุกขณะ  และทั้งที่สตีเฟ่นเพิ่งอายุยังไม่ ครบขวบปี  บิลกับฉันก็แยกทางกันเป็นครั้งสุดท้าย  เราต่างเสียน้ำ�ตา และเศร้าเสียใจที่ไม่อาจปรับชีวิตให้กลับมาดีเหมือนเดิมได้ บิลย้ายกลับ ไปอยู่บ้านพ่อแม่ของเขา ส่วนฉันยังอยู่ที่อพาร์ตเม้นท์กับลูกเล็กทั้งสอง คน เขาจะมาเยี่ยมลูกเป็นประจำ� บางครั้งก็มารับไปค้างคืนด้วย หรือไม่ 34 | สตีเฟ่น รักเดียวในใจแม่


ก็อยู่ด้วยกันตอนวันหยุดสุดสัปดาห์ ฉันไม่มีรถ ดังนั้น เวลาไปซื้อของ บิลก็จะให้ยืมรถไปใช้ การแยกทางกันของเรา  หมายถึงว่าฉันจะต้องกลับไปทำ�งานอีก ครั้ง บิลจ่ายค่าเลี้ยงดูลูกให้ฉันอาทิตย์ละยี่สิบห้าเหรียญเท่านั้น ซึ่งส่วน ใหญ่จะหมดไปกับค่าจ้างพี่เลี้ยงเด็ก  ส่วนฉันจะต้องทำ�งานหาเงินเอง เพื่อนำ�มาเป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ส่วนที่เหลือ ฉันได้งานเลขานุการแต่เงิน เดือนแทบจะชักหน้าไม่ถึงหลัง มันเป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำ�บากในชีวิต  ฉันก็เช่นเดียว กับแม่ทั้งหลายที่ต้องออกทำ�งานนอกบ้าน  ฉันรู้สึกผิดมากๆ  ที่ต้อง ทอดทิ้งลูกไว้ในมือผู้อื่น และฉันก็คิดถึงพวกแกมากด้วย ดูจะไม่ถูกต้อง เลยที่ไม่ได้อยู่อบรมเลี้ยงดูลูกด้วยตัวเอง  ไม่เคยมีโอกาสได้สังเกตเห็น พัฒนาการในชีวิตของลูกทั้งสอง  ฉันตัดสินใจว่าควรหางานที่จะช่วยให้ ฉันมีเวลาอยู่กับลูกมากขึ้น ในที่สุดก็ได้งานในตำ�แหน่งเลขานุการ บวก พนักงานต้อนรับ ที่บริษัทธุรกิจภายในครอบครัวแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้บ้าน ฉันดีใจมากที่ได้ทำ�งานกับบริษัทที่อยู่ห่างจากบ้านเพียงแค่ระยะเดิน ทางสิบนาที แม้ว่าเงินเดือนจะน้อยนิดก็ตาม เจ้านายคนใหม่ของฉันเป็นประธานบริษัท  ขณะเดียวกันก็เป็น บาทหลวงผู้มีความเชื่อในคัมภีร์มอร์มอน (The Book of Mormon) ฉัน พูดจากับเขาอย่างชัดเจนตั้งแต่แรกเลยว่า  ฉันมาที่บริษัทนี้เพื่อทำ�งาน เท่านั้น และไม่ได้มีความสนใจในศาสนาที่เขานับถือแม้แต่น้อย ซึ่งเขาก็ ไม่ได้กดดันฉันในเรื่องนี้ และฉันก็พัฒนาความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน ในบริษัทได้ดียิ่ง ทุกคนดูจะเมตตาฉันเรื่องลูก มันจึงไม่ได้เป็นอุปสรรค สำ�หรับการที่ฉันจะขอกลับไปดูลูกในยามจำ�เป็น ดูเหมือนฉันจะสามารถ บริหารจัดการกับชีวิตได้ลงตัวดีพอสมควร ฤดูรอ้ นปีนน้ั บริษทั ได้วา่ จ้างวิศวกรหนุม่ คนหนึง่ ชือ่ ริชาร์ด ซึง่ เป็นสมาชิกของโบสถ์เข้ามาทำ�งาน เขาเป็นหนุม่ โสด อายุมากกว่าฉันสีป่ ี ริชาร์ดมีเรือนร่างสูงโปร่ง เป็นคนจริงจังมาก ซึง่ ฉันไม่เคยรูส้ กึ เลยว่า เขา สตีเฟ่น | 35


จะมีเสน่ห์ดึงดูดใจตรงไหน  แต่เมื่อถึงตอนที่บริษัทจัดงานปาร์ตี้ฉลอง คริสตมาสปีนน้ั ฉันกลับมองริชาร์ดด้วยสายตาแบบใหม่ เขาตรงเข้ามา นัง่ อยูก่ บั ฉัน เล่นกับลูกทัง้ สองตลอดค่� ำ ถึงขนาดแบกลูกขึน้ นัง่ บนไหล่ที เดียวสองคนเลย และเด็กๆ ก็ได้หวั เราะกันอย่างสนุกสนานมาก ฉันเองก็ มีความสุขมากทีไ่ ด้เห็นลูกๆ มีความสุขขนาดนัน้ เมื่องานปาร์ตี้ผ่านไป  เราก็เริ่มออกเดทกันและอยู่ด้วยกันแทบ จะทุกวัน ริชาร์ดดูแลเอาใจใส่ฉันกับลูกมาก และยังพาเราสามแม่ลูกไป ร่วมในการ “ประชุมนมัสการของบริษัท” ที่เรียกว่า The Reorganized Church Of Jesus Christ Of Latter Day Saints ด้วย ซึ่งถ้าจะพูดกันตามความจริงแล้ว  ส่วนใหญ่การออกเดทของเรา มักเกี่ยวข้องอยู่กับเรื่องของศาสนาหรือทางโบสถ์แทบทั้งสิ้น ริชาร์ดพูด เป็นเชิงอธิบายกับฉันว่า เขาคือพระรูปหนึ่ง..เป็นพระที่พระเจ้าทรงเรียก ใช้ ทั้งเขาและครอบครัวยึดมั่นในเรื่องศาสนามาชั่วชีวิต ฉั น มี ค วามสุ ข กั บ การที่ ไ ด้ เ ป็ น ส่ ว นหนึ่ ง ของโบสถ์   ที่ ทำ � ให้ ดู เหมือนว่า  พระเจ้าทรงมีชีวิตอยู่  พระเจ้าผู้เปี่ยมด้วยความเอื้ออาทร กำ�ลังรับสั่งกับลูกทั้งหลายของพระองค์  ผู้คนที่ไปโบสถ์ล้วนแล้วแต่มี อัธยาศัยไมตรี ไม่ตัดสินความผิด-ถูกของใครทั้งสิ้น การประชุมนมัสการ ก็น่าสนใจและเต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ  ลูกทั้งสองของฉันรักโรงเรียน วันอาทิตย์หรือ Sunday School มาก ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ภายใน อ้อมกอดของโบสถ์  มันสร้างความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยที่ฉันเฝ้าถวิลหา มาตลอดเวลานานหลายปี ฉันรู้สึกดีจริงๆ ที่ตนเองได้เป็นส่วนหนึ่งของ อะไรบางอย่าง..และของใครบางคน..อีกครั้ง..

36 | สตีเฟ่น รักเดียวในใจแม่


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.