ระลึกถึง น.ยุสติน มรณสักขี
บทอ่านที่ 1 1 ปต 4:7-13 พีน่ อ้ งทีร่ กั ยิง่ ทุกสิง่ ใกล้อวสานแล้ว ดังนัน้ จงมีความสุขมุ รอบคอบ รูจ้ กั ประมาณ ตนเพือ่ อธิษฐานภาวนา ทีส่ �ำ คัญทีส่ ดุ จงมีความรักกันอย่างมัน่ คง เพราะความรักลบล้าง บาปได้มากมาย จงต้อนรับกันโดยไม่ปริปากบ่น แต่ละคนจงใช้พระพรที่ได้รับมาเพื่อ รับใช้กัน ประดุจผู้จัดการที่ดีเพื่อแจกจ่ายพระหรรษทานหลากหลายของพระเจ้า ถ้าจะ กล่าววาจาใด ก็จงกล่าวดุจกล่าวพระวาจาของพระเจ้า ผูใ้ ดมีหน้าทีร่ บั ใช้ ก็จงรับใช้ตาม กำ�ลังที่พระเจ้าประทานให้ เพื่อพระเจ้าจะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์ในทุกสิ่งเดชะพระเยซู คริสตเจ้า ผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์และพระอานุภาพตลอดนิรันดร อาเมน...
สดด 96:10-13
พระวรสาร มก 11:11-26 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม เข้าไปในพระวิหาร เมือ่ ทอดพระเนตร วันศุกร์ต้นเดือน สิ่งต่างๆ โดยรอบแล้ว พระองค์ก็เสด็จออกไปยังหมู่บ้านเบธานี พร้อมกับอัครสาวก สิบสองคน ขณะนั้นเป็นเวลาคํ่าแล้ว วันรุง่ ขึน้ ขณะทีพ่ ระเยซูเจ้าเสด็จออกจากหมูบ่ า้ นเบธานีพร้อมกับบรรดาศิษย์ พระองค์ทรงรูส้ กึ หิว เมือ่ ทอดพระเนตรแต่ไกล ทรงเห็นมะเดื่อเทศต้นหนึ่งมีใบ จึงเสด็จเข้าไปทอดพระเนตรว่ามีผลหรือไม่ ทรงพบ แต่ใบ เพราะมิใช่ฤดูมะเดื่อเทศ พระองค์จึงตรัสแก่มะเดื่อเทศต้นนั้นว่า “ตั้งแต่นี้ต่อไป อย่าให้ใครได้กินผล ของเจ้าอีกเลย” บรรดาศิษย์ได้ยินพระวาจานี้ พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับบรรดาศิษย์ เมือ่ เสด็จเข้าสูพ่ ระวิหาร พระองค์ทรงขับไล่ บรรดาคนซื้อขายในพระวิหาร ทรงควํ่าโต๊ะของคนแลกเงิน และม้านั่งของคนขายนกพิราบ พระองค์ไม่ทรง ยอมให้ใครแบกสัมภาระเดินผ่านพระวิหาร พระองค์ตรัสสอนประชาชนว่า “มีเขียนไว้ในพระคัมภีรม์ ใิ ช่หรือ ว่า บ้านของเราจะได้ชื่อว่าบ้านแห่งการอธิษฐานภาวนาสำ�หรับนานาชาติ แต่ท่านทั้งหลายกลับมาทำ�ให้เป็น ซ่องโจร”... ครั้นถึงเวลาเย็น พระองค์ก็เสด็จออกจากเมืองพร้อมกับบรรดาศิษย์ เช้าวันรุ่งขึ้น ขณะที่บรรดาศิษย์ผ่านมา ได้เห็นต้นมะเดื่อเทศเหี่ยวเฉาไปจนถึงราก เปโตรจำ�ได้จึงทูล พระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ดูซิ ต้นมะเดื่อเทศที่พระองค์ทรงสาปแช่งนั้นเหี่ยวเฉาไปแล้ว” พระเยซู เจ้าจึงตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “จงมีความเชื่อในพระเจ้าเถิด เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าผู้ใดบอกภูเขาลูก นี้ว่า ‘จงยกตัวขึ้น และทิ้งตัวลงไปในทะเลเถิด’ โดยไม่มีใจสงสัย แต่เชื่อว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นจะเป็นจริง มันก็ จะเป็นเช่นนั้น ดังนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ทุกสิ่งที่ท่านวอนขอในการอธิษฐานภาวนา จงเชื่อว่าท่านจะได้ รับ และท่านก็จะได้รับ ขณะที่ท่านยืนอธิษฐานภาวนา ถ้าท่านมีเรื่องบาดหมางกับผู้ใด จงให้อภัย เพื่อว่าพระ บิดาของท่านผู้สถิตบนสวรรค์จะทรงอภัยความผิดให้ท่านด้วย”
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
มะเดือ่ เทศในบริเวณพระวิหารมีแต่ใบไม่มผี ล พระองค์เดินในพระวิหาร พระองค์เดินเข้าไปหาผล มะเดื่อเทศ ขณะที่พระวรสารเขียนว่า “ทรงพบแต่ใบ เพราะมิใช่ฤดูมะเดื่อเทศ” สิ่งที่แปลกคือทำ�ไมพระองค์ไม่ พอพระทัย จนถึงกับตรัสว่า “ตั้งแต่นี้ไปอย่าให้ใครได้กินผลของเจ้าอีกเลย” ต้นมะเดื่อเทศนั้นก็เหี่ยวแห้งในวัน ถัดไป เรือ่ งนีม้ เี บือ้ งหลังสำ�คัญ ต้นมะเดือ่ เทศในบทที่ 11 ของมาระโก เป็นเรือ่ งราวของการชำ�ระพระวิหาร ความ จริงต้นมะเดื่อเทศนี้น่าจะเปรียบเทียบกับบรรดาผู้คนที่อยู่ในบริเวณพระวิหารหรือหมายถึงเราทุกคน คือ “เรา ต้องเกิดผลเสมอ” แม้ไม่ใช่ฤดูกาลก็ตาม ชีวิตคริสตชนของเราต้องเกิดผลเสมอ
บทอ่านที่ 1 ยด 1:20-25 ท่านที่รักทั้งหลาย จงเสริมสร้างตนเองจากพื้นฐานความเชื่อศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของท่าน จงอธิษฐานภาวนาในพระจิตเจ้า จงมีความรักอย่างมั่นคงในพระเจ้า ขณะที่รอคอยพระ กรุณาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เพื่อจะได้รับชีวิตนิรันดร จงสงสาร คนที่ยังมีใจโลเล จงช่วยเขาให้รอดพ้นโดยดึงเขาออกมาจากไฟ จงสงสารคนอื่นด้วย แต่ต้องมีความระมัดระวัง จงอยู่ห่างแม้กระทั่งเสื้อที่เปื้อนมลทินของเขา แด่พระองค์ผู้ทรงปกป้องท่านทั้งหลายไว้มิให้พลาดพลั้ง และทรงประคองให้ยืน ด้วยความยินดีปราศจากตำ�หนิเฉพาะพระสิรริ งุ่ โรจน์ แด่พระองค์แต่เพียงพระองค์เดียว ผูท้ รงเป็นพระเจ้า ผูท้ รงช่วยเราให้รอดพ้น อาศัยพระบารมีของพระเยซูคริสต์องค์พระ ผู้เป็นเจ้าของเรา ขอพระสิริรุ่งโรจน์ พระบารมียิ่งใหญ่ พระเดชานุภาพและพระฤทธา นุภาพ จงมีแด่พระองค์ ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตตลอดนิรันดรเทอญ อาเมน พระวรสาร มก 11:27-33 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาที่กรุงเยรูซาเล็มอีกพร้อมกับบรรดาศิษย์ ขณะ ที่ทรงพระดำ�เนินอยู่ในพระวิหาร บรรดามหาสมณะ บรรดาธรรมาจารย์ และผู้อาวุโส ได้เข้ามาพบพระองค์ ทูลถามว่า “ท่านมีอำ�นาจใดจึงทำ�เช่นนี้ ใครมอบอำ�นาจให้ท่าน ทำ�การเหล่านี”้ พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “เราขอถามท่านอย่างหนึง่ ด้วยเหมือนกัน ถ้า ท่านตอบ เราก็จะบอกท่านว่าเราทำ�เช่นนี้โดยอำ�นาจอะไร พิธีล้างของยอห์นมาจาก สวรรค์หรือมาจากมนุษย์ จงตอบมาซิ” บรรดามหาสมณะ ธรรมาจารย์และผูอ้ าวุโส จึง ปรึกษากันว่า “ถ้าเราตอบว่ามาจากสวรรค์ เขาก็จะถามว่า ‘แล้วทำ�ไมท่านจึงไม่เชื่อ ยอห์น’ แต่เราจะบอกว่ามาจากมนุษย์ได้อย่างไร” เขาเหล่านั้นกลัวประชาชน เพราะ ประชาชนคิดว่า ยอห์นเป็นประกาศก จึงทูลตอบพระเยซูเจ้าว่า “เราไม่รู้” พระเยซูเจ้า จึงตรัสว่า “เราก็ไม่บอกท่านเช่นเดียวกันว่าเราทำ�การเหล่านี้ด้วยอำ�นาจใด”
สังเกตว่าพระเยซูเสด็จมาชำ�ระพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม พระองค์เดินไป เดินมา เข้าออกพร้อมกับบรรดาศิษย์ น่าสังเกตไหมพระคัมภีร์เน้น... พระองค์เดินในพระ วิหาร บรรดาสมณะและธรรมาจารย์เข้ามาพบพระองค์ พี่น้องอ่านพระวาจาดีๆ พระองค์ เป็นเหมือนเจ้าบ้านในพระวิหารของชาวยิว เพราะอันที่จริงพระองค์ก็เป็นเจ้าของบ้าน จริงๆ คือพระวิหารเป็นบ้านของพระบิดาของพระองค์ ดังนัน้ พระองค์สามารถเดินไปเดิน มาในบ้านของพระบิดาเช่นนี้ นี่คือสิ่งที่เราน่าไตร่ตรองจริงๆ ว่าพระองค์คือพระวิหาร แท้จริง พระองค์คอื พระบุตรของพระเจ้าจริงๆ ในบริเวณพระวิหารนีค้ อื บ้านของพระองค์... ขอให้เราได้สัมผัสกับพระองค์ในพระวาจา ให้พระองค์เป็นพระวิหารสำ�หรับชีวิตของเรา
น.มาร์แชลลิน น.เปโตร มรณสักขี สดด 63:1-2,3-5 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
สมโภช พระวรกาย และพระโลหิต ของพระคริสตเจ้า
บทอ่านจากหนังสืออพยพ อพย 24:3-8 โมเสสไปบอกให้ประชากรรูพ้ ระวาจาทุกคำ�และข้อกำ�หนดทัง้ หมดขององค์พระผู้ เป็นเจ้า ประชากรทุกคนตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “พวกเราจะปฏิบัติตามพระวาจา ทุกคำ�ทีอ่ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับเรา” โมเสสบันทึกพระวาจาทุกคำ�ขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ไว้ เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น เขาสร้างพระแท่นบูชาไว้ที่เชิงภูเขา และตั้งหินสิบสองก้อนไว้เป็น ตัวแทนทัง้ สิบสองเผ่าของอิสราเอล เขาให้ชายหนุม่ ชาวอิสราเอลเป็นผูถ้ วายเครือ่ งเผา บูชา และฆ่าโคถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นศานติบูชา โมเสสรองเลือดครึ่งหนึ่งใส่ ชามไว้ แล้วพรมเลือดอีกครึ่งหนึ่งบนพระแท่นบูชา เขาเอาหนังสือพันธสัญญาขึ้นมา อ่านให้ประชากรฟัง ประชากรตอบว่า “พวกเราจะเชื่อฟังและปฏิบัติตามพระวาจาที่ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส” โมเสสนำ�เลือดในชามประพรมประชากรพูดว่า “นี่คือโลหิต แห่งพันธสัญญาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกระทำ�กับท่าน ตามพระวาจาเหล่านี้ทั้งหมด” เพลงสดุดี สดด 116:12-13,14-16,17-18 ก) ข้าพเจ้าจะตอบแทนองค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร ให้สมกับที่ทรงดีต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะชูถ้วยแห่งความรอดพ้น และเรียกขานพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า ข) ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตามค�ำปฏิญาณที่ให้ไว้แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ต่อหน้ามวลประชากรของพระองค์ ความตายของผู้จงรักภักดีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้ามีค่ายิ่งนัก เฉพาะพระพักตร์พระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้พระองค์ ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้พระองค์ เป็นบุตรของหญิงรับใช้พระองค์ พระองค์ทรงปลดโซ่ตรวนที่จองจ�ำข้าพเจ้า ค) ข้าพเจ้าจะถวายเครื่องบูชาขอบพระคุณ และจะเรียกขานพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตามค�ำปฏิญาณที่ให้ไว้แด่องค์พระผู้เป็นเจ้า ต่อหน้ามวลประชากรของพระองค์ บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู ฮบ 9:11-15 พีน่ อ้ ง พระคริสตเจ้าเสด็จมาเป็นมหาสมณะผูน้ �ำ พระพรต่างๆ ทีพ่ ระเจ้าทรงสัญญา จะประทานมาให้ พระองค์เสด็จผ่านกระโจมที่ยิ่งใหญ่กว่าและสมบูรณ์กว่า ทั้งมิใช่ กระโจมที่สร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ คือมิใช่กระโจมซึ่งเป็นสิ่งสร้างของโลกนี้ พระองค์
เสด็จเข้าสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่งเพียงครั้งเดียวตลอดไป สิ่งที่พระองค์ทรงนำ�ไปด้วยมิใช่เลือดแพะและ เลือดลูกโค แต่ทรงนำ�พระโลหิตของพระองค์เข้าไป และทรงกระทำ�ให้การไถ่กนู้ ริ นั ดรสำ�เร็จ ถ้าการประพรม บุคคลที่มีมลทินด้วยเลือดแพะ เลือดลูกโค รวมกับเถ้าของโคเพศเมีย ยังทำ�ให้บุคคลนั้นบริสุทธิ์ร่วมศาสน พิธไี ด้ พระโลหิตของพระคริสตเจ้าย่อมทำ�ได้มากกว่านัน้ พระคริสตเจ้าทรงถวายพระองค์โดยปราศจากตำ�หนิ มลทินแด่พระเจ้า เดชะพระจิตเจ้าผู้ทรงดำ�รงอยู่ตลอดนิรันดร พระโลหิตชำ�ระจิตใจของเราให้บริสุทธิ์จาก กิจการที่ตายแล้วเพื่อจะได้รับใช้พระเจ้าผู้ทรงชีวิต ดังนั้น พระคริสตเจ้าทรงเป็นคนกลางของพันธสัญญาใหม่ เพื่อให้ผู้ที่ได้รับเรียกเป็นทายาทกองมรดก นิรนั ดรได้รบั ตามพระสัญญา เพราะพระองค์ทรงยอมรับความตายเพือ่ ลบล้างการล่วงละเมิดตามเงือ่ นไขของ พันธสัญญาเดิมแล้ว
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก มก 14:12-16,22-25 วันแรกของเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ เมื่อเขาฆ่าลูกแกะปัสกา บรรดาศิษย์ทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระองค์มีพระประสงค์ให้เราจัดเตรียมการเลี้ยงปัสกาที่ไหน” พระองค์จึงทรงใช้ศิษย์สองคนไป สั่งเขาว่า “จงเข้าไปในกรุง แล้วจะพบชายคนหนึ่งกำ�ลังเดินแบกหม้อนํ้าอยู่ จงตามเขาไป เขาเข้าไปที่ไหน จงถาม เจ้าของบ้านว่า ‘พระอาจารย์ถามว่า ห้องที่เราจะกินปัสกากับบรรดาศิษย์นั้นอยู่ที่ไหน’ เขาจะชี้ให้ท่านเห็น ห้องใหญ่ชั้นบนปูพรมไว้เรียบร้อย จงจัดเตรียมปัสกาไว้สำ�หรับพวกเราที่นั่นแหละ” ศิษย์ทั้งสองคนออก เดินทางเข้าไปในกรุง พบสิ่งต่างๆ ดังที่พระองค์ทรงบอกไว้ จึงจัดเตรียมปัสกา ขณะทีท่ กุ คนกำ�ลังกินอาหารอยูน่ นั้ พระองค์ทรงหยิบขนมปัง ตรัสถวายพระพร ทรงบิขนมปัง ประทาน ให้เขาเหล่านัน้ ตรัสว่า “จงรับเถิด นีเ่ ป็นกายของเรา” แล้วพระองค์ทรงหยิบถ้วย ตรัสขอบพระคุณ ประทาน ให้เขาและทุกคนดื่มจากถ้วยนั้น พระองค์ตรัสกับเขาว่า “นี่เป็นโลหิตของเรา โลหิตแห่งพันธสัญญาที่หลั่ง ออกเพื่อคนจำ�นวนมาก เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มน้ำ�จากผลองุ่นใด จนกว่าจะถึงวัน ที่เราจะดื่มเหล้าองุ่นใหม่ในพระอาณาจักร”
วันนี้สมโภชพระวรกายและพระโลหิตของพระคริสตเจ้า พระวาจาจากหนังสืออพยพมีประเด็น ของการรื้อฟื้นพันธสัญญา และในการรื้อฟื้นสิ่งสำ�คัญคือการพรมเลือด และเลือดนี้คือเลือดที่เป็นเครื่องหมาย แห่งพันธสัญญา และพันธสัญญานีอ้ นั ทีจ่ ริงคือ “ความรัก” พระเยซูเจ้าในเวลาปัสกาของชาวยิว บรรดาศิษย์เข้า มาถามว่าจะให้เตรียมงานเลี้ยงปัสกาที่ไหน และที่เหลือเป็นพระองค์เองที่ทรงสั่ง ทรงชี้น�ำ และให้พวกเขาไป จัดการ พวกเขาได้พบตามที่พระองค์ตรัสสั่ง ถ้าเราสังเกต ในการเลี้ยงปัสกาของชาวยิว เจ้าของบ้านซึ่งเป็นผู้ สำ�คัญทีส่ ดุ จะเป็นคนกำ�หนดเรือ่ งการจัดการเลีย้ งปัสกา และพระวรสารในวันนี้ ถ้าเราดูดๆี พระองค์เป็นผูก้ �ำ หนด ทรงสั่ง ทรงให้จัดเตรียมปัสกา แต่ที่ต่างกันคือขนมปังคือพระกายของพระองค์ที่บิ และถ้วยที่ดื่มคือเหล้าองุ่นที่ พระองค์ตรัสว่าเป็นพระโลหิต สรุปว่า ทุกอย่างในการเลี้ยงปัสกานี้สำ�เร็จเป็นไป เป็นแบบใหม่ที่ยืนยงตลอดไป คือ พระองค์เองเป็นเจ้าของปัสกา และทรงเป็นอาหารและเครื่องดื่มแห่งความยินดีในพันธสัญญาของพระองค์
สัปดาห์ที่ 9 เทศกาลธรรมดา สดด 91:1-2,14-16 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านที่ 1 2 ปต 1:1-7 ซีโมนเปโตร ผู้รับใช้และอัครสาวกของพระเยซูคริสตเจ้า ถึงท่านทัง้ หลายผูไ้ ด้รบั ความเชือ่ ลํา้ ค่าเท่าเทียมกับความเชือ่ ซึง่ เราได้รบั จากความ เที่ยงธรรมของพระเยซูคริสต์พระเจ้าและพระผู้ไถ่ของเรา ขอพระหรรษทานและสันติจงมีแด่ท่านอย่างสมบูรณ์... พระคริสตเจ้าประทานทุกสิง่ ทีจ่ �ำ เป็นเพือ่ ให้เรามีชวี ติ อย่างเลือ่ มใสศรัทธา เพราะ เรารู้จักพระองค์ผู้ทรงเรียกเราอาศัยพระสิริรุ่งโรจน์ และพระฤทธานุภาพของพระองค์ พระองค์จึงประทานพระพรยิ่งใหญ่ลํ้าค่าให้เราตามที่ทรงสัญญาไว้... ดังนั้น ท่านทั้ง หลาย จงพยายามทุกวิถที างทีจ่ ะใช้คณ ุ ธรรมเพิม่ พูนความเชือ่ ของท่าน ใช้ความรูเ้ พิม่ พูน คุณธรรม ใช้การรู้จักบังคับตนเพิ่มพูนความรู้ ใช้ความอดทนเพิ่มพูนการรู้จักบังคับตน ใช้ความเลือ่ มใสศรัทธาเพิม่ พูนความอดทน ใช้มติ รภาพฉันพีน่ อ้ งเพิม่ พูนความเลือ่ มใส ศรัทธา ใช้ความรักเพิ่มพูนมิตรภาพฉันพี่น้อง
พระวรสาร มก 12:1-12 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสเรื่องอุปมาให้บรรดาผู้นำ�ชาวยิวฟังว่า “ชายคนหนึ่งปลูกองุ่นไว้สวนหนึ่ง ทำ� รั้วล้อม ขุดบ่อยํ่าผลองุ่น สร้างหอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมือง เมื่อถึงเวลากำ�หนด เขาก็ใช้ผู้รับใช้คนหนึ่งไปหาคนเช่าสวน เพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิตของสวน แต่คนเช่าสวนจับผู้รับใช้คน นัน้ ทุบตี แล้วไล่กลับไปมือเปล่า เจ้าของสวนจึงส่งผู้รบั ใช้ไปอีกคนหนึง่ คนเช่าสวนตีหัวและด่าว่าผูร้ ับใช้คน นี้อย่างหยาบคาย เจ้าของสวนส่งผู้รับใช้ไปอีกคนหนึ่ง คนเช่าสวนก็ฆ่าเขา เจ้าของสวนยังส่งผู้รับใช้คนอื่น ไปอีกหลายคน ก็ถูกคนเช่าสวนทุบตีบ้าง ฆ่าเสียบ้าง เจ้าของสวนยังมีคนเหลืออยู่อีกคนหนึ่ง คือบุตรสุด ทีร่ กั เขาจึงส่งบุตรไปเป็นคนสุดท้าย โดยคิดว่า ‘พวกนัน้ คงจะเกรงใจลูกของเราบ้าง’ แต่คนเช่าสวนเหล่านัน้ พูดกันว่า ‘คนคนนีเ้ ป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเถิด มรดกจะได้ตกเป็นของเรา’ แล้วเขาก็จบั บุตรของเจ้าของสวน ฆ่า ทิ้งศพไว้นอกสวน เจ้าของสวนจะทำ�อย่างไร เขาจะมาทำ�ลายคนเช่าสวนเหล่านั้น แล้วยกสวนให้คนอื่น เช่า ท่านทั้งหลายไม่ได้อ่านพระคัมภีร์ตอนนี้หรือว่า ‘หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำ�เช่นนั้น เป็นที่น่า อัศจรรย์กับเรายิ่งนัก’” บรรดาผูน้ �ำ ชาวยิวพยายามจับกุมพระองค์ เพราะรูว้ า่ พระองค์ตรัสอุปมานีก้ ระทบถึงเขา แต่เขายังเกรง ประชาชนอยู่จึงผละจากพระองค์ไป เรือ่ งคนเช่าสวนองุน่ ประเด็นสำ�คัญนีท้ �ำ ให้เราเห็นประวัตศิ าสตร์ความรอดพ้นทัง้ หมดเลย เพราะ หลายต่อหลายวาระมาแล้วในอดีตและหลายต่อหลายวิธดี ว้ ยกัน พระเจ้าทรงส่งความรอดพ้นมาทางบรรพบุรษุ ทางบรรดาประกาศก พระคัมภีร์ต้องการชี้ให้เห็นว่า บรรดาผู้นำ�ความรอดพ้นทั้งหลายนั้นไม่สามารถเปรียบได้ เลยกับพระเยซูผู้ทรงเป็น “พระบุตรสุดที่รักของพระเจ้า” ที่พระองค์ทรงส่งมา แม้ว่าพระองค์จะต้องรับทรมาน สิ้นพระชนม์เพื่อมนุษย์ทุกคน พระวาจาของพระเจ้าที่เราอ่านนี้ทำ�ให้เรายิ่งเห็นชัดว่าความรักของพระเจ้าไม่สิ้น สุดในการส่งบรรดาประกาศกมา จนถึงพระบุตรของพระองค์ และยิ่งเราอ่านเรายิ่งเห็นความสำ�คัญ ความจริง ของพระเยซู คือ พระองค์คือผู้ที่เสด็จมาและยอมรับทรมาน สิ้นพระชนม์ และกลับคืนพระชนมชีพเพื่อไถ่บาป ของเรา
บทอ่านที่ 1 2 ปต 3:12-15ก,17-18 ท่านที่รักทั้งหลาย จงรอคอยวันของพระเจ้าและพยายามเร่งให้วันนั้นมาถึง ในวัน นั้นท้องฟ้าจะถูกไฟเผาผลาญ และโลกธาตุจะถูกไฟเผาละลายไป เรากำ�ลังรอคอยฟ้า ใหม่และแผ่นดินใหม่ ซึง่ เป็นทีอ่ ยูถ่ าวรของความชอบธรรมตามพระสัญญา ดังนัน้ ท่าน ที่รักทั้งหลาย ขณะที่ท่านกำ�ลังรอคอยเหตุการณ์เหล่านี้ จงพยายามให้พระเจ้าทรงพบ ท่านดำ�เนินชีวิตอย่างสันติปราศจากมลทินและไร้ข้อตำ�หนิ จงคิดเถิดว่า ความอดกลั้น ขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือความรอดพ้นของเรา ท่านทีร่ กั ทัง้ หลาย เมือ่ ท่านรูล้ ว่ งหน้าเช่นนีแ้ ล้ว จงระมัดระวังอย่าปล่อยตัวไปตาม ความหลงผิดของคนอธรรม และสูญเสียความมั่นคงของท่านไป จงเจริญขึ้นในพระ หรรษทานและในความรู้จักพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ไถ่ของเรา ขอ พระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์ทั้งในปัจจุบันและตลอดนิรันดร อาเมน พระวรสาร มก 12:13-17 ต่อมา เขาได้สง่ ชาวฟาริสแี ละคนบางคนทีเ่ ป็นผูน้ ยิ มกษัตริยเ์ ฮโรดมาพบพระเยซู เจ้า หมายจะจับผิดพระวาจาของพระองค์ คนเหล่านั้นทูลว่า “พระอาจารย์ พวกเรารู้ ว่า ท่านเป็นคนเที่ยงตรง ไม่ลำ�เอียง ท่านไม่เห็นแก่หน้าใคร แต่สั่งสอนวิถีทางของ พระเจ้าตามความจริง เป็นการถูกต้องหรือไม่ทจี่ ะเสียภาษีแก่ซซี าร์ เราต้องเสียภาษีหรือ ไม่ต้องเสียภาษี” พระองค์ทรงทราบความเจ้าเล่ห์ของเขา จึงตรัสว่า “มาทดสอบเรา ทำ�ไม เอาเงินเหรียญมาให้เราดูสักเหรียญหนึ่งซิ” เขาก็นำ�เงินเหรียญหนึ่งมาถวาย พระองค์จึงตรัสถามว่า “รูปและคำ�จารึกนี้เป็นของใคร” เขาก็ตอบว่า “เป็นของซีซาร์” พระองค์จงึ ตรัสว่า “ของของซีซาร์จงคืนให้ซซี าร์ และของของพระเจ้าก็จงคืนให้พระเจ้า เถิด” คนเหล่านั้นต่างประหลาดใจในพระองค์ พี่น้องสังเกตอะไรไหม จดหมายนักบุญเปโตรที่เราได้ฟังกำ�ลังกล่าวถึง อวสานตกาล เวลาแห่งการสิ้นสุด และเวลาที่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะเป็นเรื่องของการ สิน้ พิภพ ประหนึง่ ว่าเรากำ�ลังรอคอยฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ ดูเหมือนว่าพระศาสนจักร กำ�ลังรอคอยอวสานตกาล พระวาจาเรียกร้องสิ่งสำ�คัญคือความอดกลั้นและการรอคอย เพราะเครื่องหมายของความอดกลั้นรอคอยคือความรอดพ้นของเรา จดหมายนักบุญ เปโตรเรียกร้องเชิญชวนเรามากให้เราได้เป็นคริสตชนแท้จริงที่ต้องอดกลั้นและรอคอย ซึ่งเป็นคุณธรรมสำ�คัญของชีวิตคริสตชน สิ่งที่เป็นคำ�สอนสำ�หรับเราคือคุณธรรมแห่ง ความเพียรทนเป็นเครื่องหมายสำ�คัญของคนที่มีความเชื่อเช่นเราคริสตชน
ระลึกถึง น.บอนีฟาส พระสังฆราช และมรณสักขี สดด 90:2-4,10-11, 14 และ 16 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 วันสิ่งแวดล้อมโลก
บทอ่านที่ 1 2 ทธ 1:1-3,6-12 จากเปาโล อัครสาวกของพระคริสตเยซูโดยพระประสงค์ของพระเจ้าตามพระ สัญญาที่จะประทานชีวิตให้เราในพระคริสตเยซู ถึงทิโมธีลูกรัก...ข้าพเจ้าระลึกถึงท่านอยู่เสมอในการอธิษฐานทั้งวันทั้งคืน ข้าพเจ้าจึงเตือนความจำ�ของท่านเพือ่ ให้พระพรพิเศษของพระเจ้าเป็นไฟทีร่ งุ่ โรจน์ ขึน้ อีก ท่านได้รบั พระพรนีโ้ ดยการปกมือของข้าพเจ้า พระเจ้าไม่ได้ประทานจิตทีบ่ นั ดาล น.นอร์เบิร์ต ความขลาดกลัว แต่ประทานจิตทีบ่ นั ดาลความเข้มแข็ง ความรักและการควบคุมตนเอง พระสังฆราช แก่เรา ดังนัน้ ท่านอย่าอายทีจ่ ะเป็นพยานถึงองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของเรา หรืออายทีข่ า้ พเจ้า สดด 123:1-2 ต้องถูกจองจำ�เพราะพระองค์ แต่จงเข้ามามีสว่ นร่วมทนทุกข์ทรมานกับข้าพเจ้าเพือ่ ข่าวดี ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 โดยพระอานุภาพของพระเจ้า ผู้ทรงช่วยเราให้รอดพ้น และทรงเรียกเราให้เป็นผู้ ศักดิส์ ทิ ธิ์ ไม่ใช่เพราะสิง่ ทีเ่ ราทำ� แต่เพราะพระประสงค์และพระหรรษทานของพระองค์ พระองค์ประทานพระหรรษทานนี้แก่เราแล้วในพระคริสตเยซูก่อนกาลเวลา แต่บัดนี้ทรงเปิดเผยโดยการ สำ�แดงพระองค์ของพระผูไ้ ถ่คอื พระคริสตเยซู ผูท้ รงทำ�ลายความตาย และทรงนำ�ชีวติ และความไม่รจู้ กั ตาย ให้ปรากฏอย่างชัดแจ้งโดยทางข่าวดี ข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกาศ เป็นอัครสาวกและเป็นครู เพื่อ ประกาศข่าวดีนี้... พระวรสาร มก 12:18-27 ต่อมา ชาวสะดูสีบางคนมาพบพระเยซูเจ้า คนเหล่านี้สอนว่าไม่มีการกลับคืนชีพ เขาทูลถามพระองค์ ว่า “พระอาจารย์ โมเสสเขียนสั่งไว้ว่า ถ้าพี่ชายตาย ทิ้งภรรยาไว้โดยไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายของเขารับเอา หญิงนั้นมาเป็นภรรยา เพื่อจะได้สืบสกุลของพี่ชาย ยังมีพี่น้องเจ็ดคน คนแรกมีภรรยาแล้วตายไปโดยไม่มี บุตร คนที่สองก็รับนางเป็นภรรยาแล้วตายไปโดยไม่มีบุตร คนที่สามก็เช่นเดียวกัน ทั้งเจ็ดคนไม่มีบุตรเลย ในที่สุดหญิงคนนั้นก็ตายไปด้วย เมื่อมนุษย์จะกลับคืนชีพในวันกลับคืนชีพ หญิงนั้นจะเป็นภรรยาของใคร เพราะทั้งเจ็ดคนต่างได้นางเป็นภรรยา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ท่านคิดผิดไปแล้วมิใช่หรือ ท่านไม่เข้าใจพระคัมภีรแ์ ละไม่รจู้ กั พระอานุภาพของ พระเจ้า เมือ่ ผูต้ ายจะกลับคืนชีพนัน้ จะไม่มกี ารแต่งงานเป็นสามีภรรยากันอีก แต่เขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์ ส่วนเรือ่ งผูต้ ายกลับคืนชีพนัน้ ท่านไม่ได้อา่ นหนังสือของโมเสสตอนทีก่ ล่าวถึงพุม่ ไม้หรือว่า พระเจ้าตรัสกับ เขาอย่างไร พระองค์ตรัสว่า ‘เราคือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัคและพระเจ้าของยาโคบ’ พระองค์ มิใช่พระเจ้าของผู้ตาย แต่เป็นพระเจ้าของผู้เป็น ท่านคิดผิดไปมากทีเดียว” ทำ�ไมชาวสะดูสีไม่เชื่อเรื่องการกลับคืนชีพ แปลกไหม ที่มาของการไม่เชื่อเรื่องการกลับคืนชีพคือ อะไร ประเด็นคือชาวสะดูสีเป็นกลุ่มชาวยิวที่ไหลตามกระแสโลก หันไปหากระแสกรีกนิยม โลกียนิยม ดังนั้น เมื่อหันไปหาสิ่งเหล่านี้ ชีวิตก็เหมือนกับการยึดติดกับกระแสโลกมากๆ จนที่สุด ชีวิตก็ไม่ได้แสดงออกซึ่งความ เชื่อในชีวิตหลังความตาย และไม่ได้ให้คุณค่าสำ�คัญกับชีวิตนิรันดร เบื้องลึกจริงๆ ที่น่าคิดกลุ่มสะดูสีกลุ่มนี้ใน สมัยพระวิหาร สมัยพระเยซู เป็นกลุ่มคนใกล้ชิดพระวิหารที่สุด เป็นสมณะทั้งหลายที่อยู่ใกล้พระวิหารและทำ� หน้าที่ในพระวิหาร พระเยซูเจ้ายํ้าเตือนพวกเขาว่าพวกเขาคิดผิดไปอย่างมากทีเดียว และพระองค์ยํ้า “เมื่อผู้ ตายจะกลับคืนชีพ” เป็นการประกาศถึงเรื่องการกลับคืนชีพอย่างแท้จริง
บทอ่านที่ 1 2 ทธ 2:8-15 พี่น้อง จงระลึกถึง “พระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ ตาย ทรงสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด” ตามข่าวดีที่ข้าพเจ้าประกาศ เพราะข่าวดีนี้ เอง ข้าพเจ้าจึงต้องทนทุกข์จนต้องถูกจองจำ�เหมือนเป็นอาชญากร แต่พระวาจาของ พระเจ้าจะถูกจองจำ�ไม่ได้ ดังนัน้ ข้าพเจ้าจึงทนทุกสิง่ เพือ่ เห็นแก่ผทู้ ไี่ ด้รบั เลือกสรร เพือ่ สัปดาห์ที่ 9 พวกเขาจะได้รบั ความรอดพ้นซึง่ อยูใ่ นพระคริสตเยซู พร้อมกับชีวติ ในสิรริ งุ่ โรจน์ตลอด เทศกาลธรรมดา นิรันดรด้วย สดด 25:4-6,7,8-10 ต่อไปนี้คือถ้อยคำ�ที่เชื่อถือได้ ถ้าเราตายพร้อมกับพระองค์ เราจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ ถ้าเราอดทนมั่นคง เรา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ย่อมจะครองราชย์พร้อมกับพระองค์ ถ้าเราปฏิเสธพระองค์ พระองค์ยอ่ มจะทรงปฏิเสธ เรา ถ้าเราไม่ซื่อสัตย์ พระองค์ก็ยังทรงซื่อสัตย์ต่อไป เพราะจะทรงปฏิเสธพระองค์ไม่ ได้ จงเตือนทุกคนให้ระลึกถึงเรื่องนี้และจงกำ�ชับเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า อย่าโต้เถียงกันเรื่องถ้อยคำ� เพราะไม่มีประโยชน์ใดนอกจากความพินาศของผู้ฟัง ท่านจงขวนขวายที่จะแสดงตนว่าพระเจ้าทรงรับรอง ท่านแล้ว เป็นคนงานที่ไม่ต้องอายใคร เป็นผู้สั่งสอนพระวาจาแห่งความจริงอย่างถูกต้อง พระวรสาร มก 12:28-34 เวลานั้น ธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ได้ฟังการโต้เถียงเรื่องนี้ และเห็นว่าพระองค์ทรง ตอบได้ดี จึงทูลถามพระองค์ว่า “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกกว่าบทบัญญัติข้ออื่นๆ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “บทบัญญัติเอกก็คือ อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เพียงพระองค์เดียว ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญา และสุดกำ�ลังของท่าน บทบัญญัติประการที่สองก็คือ ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ไม่มี บทบัญญัติข้อใดยิ่งใหญ่กว่าบทบัญญัติสองประการนี้” ธรรมาจารย์คนนั้นทูลว่า “พระอาจารย์ ท่านตอบได้ ดี จริงทีเดียวที่ท่านกล่าวว่า พระเจ้ามีแต่เพียงพระองค์เดียวและนอกจากพระองค์แล้วไม่มีพระเจ้าอื่นเลย การจะรักพระองค์สุดจิตใจ สุดความเข้าใจและสุดกำ�ลัง และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองนี้มีคุณค่า มากกว่าเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องสักการบูชาใดๆ ทั้งสิ้น” พระเยซูเจ้าทรงเห็นว่าเขาพูดอย่างเฉลียวฉลาด จึงตรัสว่า “ท่านอยูไ่ ม่ไกลจากพระอาณาจักรของพระเจ้า” หลังจากนัน้ ไม่มผี ใู้ ดกล้าทูลถามพระองค์อกี เลย บัญญัติเอกข้อใดเป็นเอกกว่าบทบัญัติข้ออื่นๆ หรือ คำ�ตอบชัดเหลือเกินบัญญัติที่ต้องรักพระเจ้า สุดกำ�ลัง สุดดวงใจ สุดวิญญาณ และสำ�หรับชาวยิว สำ�คัญคือการท่องจำ�ข้อความสำ�คัญจากหนังสือเฉลยธรรม บัญญัติที่พระเยซูเจ้าเองทรงเท้าความ... “อิสราเอลเอ๋ย จงฟัง” ภาษาต้นฉบับ คือ “Shema, Israel…” คำ�แรก และคำ�สำ�คัญคือ “จงฟัง” การฟังเป็นความรัก เพราะรักคนเราจะฟัง อยากได้ยินเสียง อยากฟังแล้วฟังเล่า และ อยากปฏิบตั ติ ามถ้อยคำ�ทีไ่ ด้ฟงั จากคนทีเ่ รารัก ดังนัน้ บัญญัตเิ อกคือความรักทีม่ าจากการฟังพระเจ้า และปฏิบตั ิ ตาม สิ่งนี้ได้รับการยืนยันว่าสำ�คัญกว่าบัญญัติทั้งปวง ขอเพียงให้เรารัก พร้อมที่จะ “ฟัง” เสียงของพระเจ้าองค์ ความรักเสมอ
สมโภชพระหฤทัย ของพระเยซูเจ้า
บทอ่านที่ 1 ฮชย 11:1,3-4,8ค-9 เมื่ออิสราเอลยังเด็ก เราก็รักเขา เราได้เรียกบุตรของเราออกมาจากอียิปต์ เรา สอนเอฟราอิมให้เดิน เราอุ้มเขาทั้งหลายไว้ แต่เขาไม่รู้ว่าเราเอาใจใส่เขา เราใช้เชือก แห่งมนุษยธรรม และใช้สายสะพายแห่งความรักจูงเขา เราเป็นเหมือนผู้ที่ยกทารกมา จูบแก้ม และก้มลงป้อนอาหารให้เขา ใจของเราปั่นป่วนอยู่ภายใน ความเอ็นดูของเรา ก็คุกรุ่นขึ้น เราจะไม่ลงอาญาตามที่เราโกรธจัด เราจะไม่ทำ�ลายเอฟราอิมอีก เพราะเรา เป็นพระเจ้า มิใช่มนุษย์ เราเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ในหมู่ท่าน เราจะไม่มาด้วยความโกรธ”
อสย 12:2-3,4ขคง-5,6
บทอ่านที่ 2 อฟ 3:8-12,14-19 ข้าพเจ้าผูต้ าํ่ ต้อยทีส่ ดุ ในบรรดาผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิไ์ ด้รบั มอบพระหรรษทานนี้ เพือ่ ประกาศ ให้คนต่างชาติรถู้ งึ ความไพบูลย์สดุ ทีจ่ ะหยัง่ รูไ้ ด้ของพระคริสตเจ้า และอธิบายให้เข้าใจ ถึงแผนการลํ้าลึก ซึ่งซ่อนเร้นอยู่เป็นเวลานานมาแล้วในพระเจ้าพระผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง เพื่อเทพนิกรเจ้า และเทพนิกรอำ�นาจในสวรรค์ได้รพู้ ระปรีชาญาณของพระเจ้าในรูปแบบต่างๆ ณ บัดนีโ้ ดยทางพระศาสนจักร... เราจึงกล้าเข้าไปเฝ้าพระเจ้าด้วยความมั่นใจ... เมื่อท่านฝังรากและตั้งมั่นอยู่บนความรักแล้ว ท่านและบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะได้เข้าใจถึงความ กว้าง ความยาว ความสูง ความลึก อีกทั้งหยั่งรู้ซึ้งถึงความรักซึ่งเกินกว่าจะหยั่งรู้ได้ของพระคริสตเจ้า เพื่อ ท่านจะได้รับความไพบูลย์ทั้งปวงของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม พระวรสาร ยน 19:31-37 วันนัน้ เป็นวันเตรียมฉลอง ชาวยิวไม่ตอ้ งการให้ศพค้างอยูบ่ นไม้กางเขนในวันสับบาโต เพราะวันสับบาโต วันนั้นเป็นวันฉลองยิ่งใหญ่ เขาจึงขออนุญาตปีลาตให้ทุบขาผู้ที่ถูกตรึงและนำ�ศพไป บรรดาทหารทุบขาคน ทั้งสองคนซึ่งถูกตรึงพร้อมกับพระองค์ เมื่อทหารมาถึงพระเยซูเจ้าและเห็นว่าพระองค์สิ้นพระชนม์แล้ว จึง มิได้ทุบขาของพระองค์ แต่ทหารคนหนึ่งใช้หอกแทงด้านข้างพระวรกาย โลหิตและนํ้าก็ไหลออกมาทันที ผู้ ที่ได้เห็นก็เป็นพยาน คำ�พยานของเขาน่าเชื่อถือ เขารู้ว่าตนพูดความจริง เพื่อท่านทั้งหลายจะเชื่อด้วย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพื่อให้ข้อความในพระคัมภีร์เป็นจริงว่า “กระดูกของเขาจะไม่หักแม้เพียงชิ้นเดียว” และข้อความอีกตอนหนึ่งว่า “เขาทั้งหลายจะมองดูผู้ที่เขาแทง”
มีแต่ในพระวรสารนักบุญยอห์นเท่านัน้ ทีเ่ ราทราบเรือ่ งราวการทีพ่ ระเยซูบนไม้กางเขนถูกแทงด้าน ข้างพระวรกาย เคยมีคำ�ถามเสมอว่าถูกแทงด้านข้างพระวรกายนั้นหมายความว่าอย่างไร ในพระวรสารอีกสาม ฉบับไม่มีการแทงด้านข้างพระวรกายมีแต่ม่านในพระวิหารที่ฉีกขาดจากบนลงล่าง เป็นม่านในพระวิหารที่ขาด แต่ที่นี่เป็นพระวรกายของพระองค์ที่เปรียบเป็นพระวิหารที่ถูกเปิดออกโดยการถูกแทง สะท้อนข้อความใน พระคัมภีร์นํ้าที่ไหลจากด้านข้างขวาของพระวิหารคือความรักของพระเจ้าไปจนสุดปลายแผ่นดิน พระเยซูผู้ถูก ตรึงกางเขนถูกแทงด้านข้างพระวรกายเป็นการเปิดออกซึง่ ความรักทีส่ ดุ จากพระเยซู จากพระหฤทัยของพระองค์ ไปสู่มนุษย์ทุกคนจนสุดปลายแผ่นดิน การสมโภชวันนี้คือการฉลองความรักที่สุดที่เปิดออกจากพระวรกายของ พระเยซู
บทอ่านที่ 1 อสย 61:10-11 ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์อย่างยิ่งในองค์พระผู้เป็นเจ้า วิญญาณของข้าพเจ้าจะชื่นชม ยินดีในพระเจ้าของข้าพเจ้า เพราะพระองค์ประทานความรอดพ้นแก่ขา้ พเจ้าเป็นเสมือน อาภรณ์ที่ทรงสวมให้ ประทานความชอบธรรมให้ข้าพเจ้าเป็นเสมือนเสื้อคลุม ข้าพเจ้า เป็นเหมือนเจ้าบ่าวทีโ่ พกศีรษะอย่างงดงาม เหมือนเจ้าสาวประดับตนด้วยเพชรนิลจินดา เพราะแผ่นดินบังเกิดพืชผล และสวนทำ�ให้เมล็ดพืชงอกขึ้นฉันใด องค์พระผู้เป็นเจ้า ก็ทรงบันดาลให้เกิดความชอบธรรมและการสรรเสริญต่อหน้านานาชาติฉันนั้น พระวรสาร ลก 2:41-51 โยเซฟพร้ อ มกั บ พระมารดาของพระเยซู เจ้ า เคยขึ้ น ไปยั ง กรุ ง เยรู ซ าเล็ ม ใน เทศกาลปัส กาทุ กปี เมื่ อพระองค์ มีพ ระชนมายุสิ บสองพรรษา โยเซฟพร้อมกับ พระมารดาก็ขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มตามธรรมเนียมของเทศกาลนั้น เมื่อวันฉลองสิ้นสุด ลง ทุกคนก็เดินทางกลับ แต่พระเยซูเจ้ายังประทับอยูท่ ก่ี รุงเยรูซาเล็มโดยทีบ่ ดิ ามารดา ไม่รู้ เพราะคิดว่า พระองค์ทรงอยู่ในหมู่ผู้ร่วมเดินทาง เมื่อเดินทางไปได้หนึ่งวันแล้ว โยเซฟพร้อมกับพระนางมารียต์ ามหาพระองค์ในหมูญ ่ าติและคนรูจ้ กั เมือ่ ไม่พบจึงกลับ ไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อตามหาพระองค์ที่นั่น ในวันที่สาม โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์พบพระองค์ในพระวิหารประทับนั่งอยู่ ในหมู่อาจารย์ ทรงฟังและทรงไต่ถามพวกเขา ทุกคนที่ได้ฟังพระองค์ต่างประหลาดใจ ในพระปรีชาที่ทรงแสดงในการตอบคำ�ถาม เมื่อโยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์เห็น พระองค์ก็รู้สึกแปลกใจ พระมารดาจึงตรัสถามพระองค์ว่า “ลูกเอ๋ย ทำ�ไมจึงทำ�กับเรา เช่นนี้ ดูซิ พ่อกับแม่ต้องกังวลใจตามหาลูก” พระองค์ตรัสตอบว่า “พ่อกับแม่ตามหา ลูกทำ�ไม พ่อแม่ไม่รู้หรือว่า ลูกต้องอยู่ในบ้านของพระบิดาของลูก” โยเซฟพร้อมกับ พระนางมารีย์ไม่เข้าใจที่พระองค์ตรัส พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปทีเ่ มืองนาซาเร็ธกับบิดามารดาและเชือ่ ฟังท่านทัง้ สองคน พระมารดาทรงเก็บเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ไว้ในพระทัย ดวงหทั ย นิ ร มลของพระแม่ ม ารี ย์ เมื่ อ พู ด ถึ ง ดวงใจ คื อ ความรั ก คื อ เครื่องหมายแห่งความรัก วันนี้เราได้ฟังพระวาจาตอนนี้อีกครั้ง เมื่อพระเยซูทรงหายไป ขณะเดินทางกลับจากการขึน้ ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระวาจาเน้นความกระวนกระวายตาม หาพระเยซูของท่านนักบุญโยเซฟและพระแม่มารีย์ ท่านทั้งสองกลับไปที่เยรูซาเล็มทันที หลังจากเดินทางออกมาได้หนึง่ วัน แต่พบพระองค์นงั่ อยูใ่ นหมูอ่ าจารย์ ทรงฟัง และไต่ถาม พวกเขา ภาพนีท้ �ำ ให้เห็นความยิง่ ใหญ่ของพระเยซูเมือ่ พระชนม์เพียงสิบสองปี แต่ลกู าเน้น ให้เห็นว่าพระองค์คือผู้ที่สมควรอยู่ท่ามกลางบรรดาอาจารย์เพราะทรงเป็นพระอาจารย์ แต่อกี ภาพทีเ่ ราเห็นชัดคือหัวใจและความรักของพระแม่มารียท์ มี่ ตี อ่ พระเยซู บางทีเราอาจ ต้องวิงวอนขอพระแม่โปรดให้เราได้มีหัวใจรักพระเยซูเหมือนพระแม่เสมอไป
ระลึกถึง ดวงหทัยนิรมล ของพระแม่มารีย์ 1 ซมอ 2:1,4-8 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านจากหนังสือปฐมกาล ปฐก 3:9-15 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าทรงเรียกมนุษย์ ตรัสถามว่า “ท่านอยู่ไหน” มนุษย์ทูล ตอบว่า “ข้าพเจ้าได้ยินเสียงของพระองค์ในสวน ก็กลัวเพราะข้าพเจ้าเปลือยกายอยู่ จึงได้ซอ่ นตัว” พระองค์ตรัสถามว่า “ใครบอกท่านว่าท่านเปลือยกายอยู่ ท่านได้กนิ ผล จากต้นไม้ที่เราห้ามมิให้กินนั้นแล้วหรือ” มนุษย์ทูลตอบว่า “หญิงที่พระองค์ประทาน ให้อยูก่ บั ข้าพเจ้าได้ให้ผลจากต้นไม้แก่ขา้ พเจ้า ข้าพเจ้าจึงกิน” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้า ตรัสกับหญิงว่า “ท่านทำ�อะไรไป” หญิงทูลตอบว่า “งูหลอกลวงข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงกิน” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าจึงตรัสกับงูวา่ “เพราะเจ้าทำ�เช่นนี้ เจ้าจงถูกสาปแช่ง ใน บรรดาสัตว์เลี้ยงและสัตว์ป่าทั้งปวง เจ้าจะต้องใช้ท้องเลื้อยไปตามพื้นดิน และกินฝุ่น เป็นอาหารทุกวันตลอดชีวิต เราจะทำ�ให้เจ้าและหญิงเป็นศัตรูกัน ให้ลูกหลานของเจ้า และลูกหลานของนางเป็นศัตรูกันด้วย เขาจะเหยียบหัวของเจ้า และเจ้าจะกัดส้นเท้า ของเขา” เพลงสดุดี สดด 130:1-4,5-6,7-8 ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าร้องหาพระองค์จากเหวลึก ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงฟังเสียงของข้าพเจ้า โปรดเงี่ยพระกรรณฟังเสียงวอนขอของข้าพเจ้า ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า หากพระองค์ทรงเก็บรักษาความผิดไว้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ใดจะยืนหยัดอยู่ได้ แต่พระองค์ประทานอภัย จึงได้รับความเคารพย�ำเกรง ข) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าวางใจ จิตใจข้าพเจ้ามีความหวัง ข้าพเจ้ารอคอยพระวาจาของพระองค์ จิตใจข้าพเจ้ารอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า ยิ่งกว่าคนยามเฝ้ารอแสงอรุณ ยิ่งกว่าคนยามเฝ้ารอแสงอรุณ บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่สอง 2 คร 4:13-5:1 พี่น้อง มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ข้าพเจ้าได้เชื่อ จึงได้พูด เรามีจิตแห่งความเชื่อ เดียวกันนี้ เราเชือ่ เราจึงพูด เพราะรูว้ า่ พระองค์ผทู้ รงบันดาลให้พระเยซูองค์พระผูเ้ ป็น เจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ จะทรงบันดาลให้เรากลับคืนชีพพร้อมกับพระเยซูเจ้า และ จะทรงนำ�เราและท่านทัง้ หลายไปอยูก่ บั พระองค์ดว้ ย เหตุการณ์ทงั้ หมดนีเ้ กิดขึน้ สำ�หรับ ท่าน เพือ่ ว่าเมือ่ พระหรรษทานแผ่ไปถึงคนมากขึน้ การขอบพระคุณจะทวียงิ่ ขึน้ เป็นการ ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า
เราไม่ท้อถอย แม้ว่าร่างกายภายนอกของเรากำ�ลังเสื่อมสลายไป จิตใจของเราที่อยู่ภายในก็ได้รับการ ฟื้นฟูขึ้นในแต่ละวัน ความทุกข์ยากลำ�บากเล็กน้อยของเราในปัจจุบันนี้กำ�ลังเตรียมเราให้ได้รับสิริรุ่งโรจน์ นิรันดรอันยิ่งใหญ่หาที่เปรียบมิได้ เราจึงไม่มุ่งมองสิ่งที่แลเห็นได้ แต่มุ่งมองสิ่งที่แลเห็นไม่ได้ สิ่งที่แลเห็นได้ เป็นสิ่งที่คงอยู่ชั่วคราว แต่สิ่งที่แลเห็นไม่ได้คงอยู่นิรันดร เรารู้ว่า เมื่อกระโจมที่เราอาศัยอยู่ในโลกนี้ถูกเก็บไปแล้ว เรายังมีบ้านซึ่งพระเจ้าทรงสร้างไว้สำ�หรับเรา เป็นบ้านที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ แต่เป็นบ้านถาวรนิรันดรอยู่ในสวรรค์
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก มก 3:20-35 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในบ้านหลังหนึง่ ประชาชนมาชุมนุมกันอีกจนพระองค์ไม่อาจเสวย และ บรรดาศิษย์ก็ไม่อาจกินอาหารได้ เมื่อพระประยูรญาติของพระองค์ได้ยินเช่นนี้ ก็ออกไปควบคุมพระองค์ไว้ เพราะคิดว่าทรงเสียพระสติ บรรดาธรรมาจารย์ทมี่ าจากกรุงเยรูซาเล็มพูดว่า “เขามีปศี าจเบเอลเซบูลสิงอยู”่ และ “ขับไล่ปศี าจด้วย อำ�นาจของเจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง” พระองค์จึงทรงเรียกเขาเหล่านั้นเข้ามาพบ ตรัสเป็นอุปมาว่า “ซาตานจะ ขับซาตานได้อย่างไร ถ้าอาณาจักรหนึ่งแตกแยก อาณาจักรนั้นก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ถ้าครอบครัวหนึ่งแตกแยก ครอบครัวนั้นก็ตั้งมั่นอยู่ต่อไปไม่ได้ ถ้าซาตานลุกขึ้นต่อสู้กันเองและแตกแยก มันก็อยู่ไม่ได้ ต้องถึงจุดจบ ไม่มีใครเข้าไปในบ้านของคนเข้มแข็งและปล้นเอาทรัพย์ของเขาได้ ถ้าไม่มัดคนเข้มแข็งนั้นไว้ก่อน เมื่อนั้น แหละจึงจะเข้าปล้นบ้านได้ เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า มนุษย์จะรับการอภัยบาปทุกประการรวมทั้งคำ�ดูหมิ่นพระเจ้าที่ได้ พูดออกไป แต่ใครที่พูดดูหมิ่นพระจิตเจ้าจะไม่ได้รับการอภัยเลย เขามีความผิดตลอดนิรันดร” พระเยซูเจ้า ตรัสเช่นนี้เพราะมีผู้พูดว่า “คนนี้มีปีศาจสิงอยู่” พระมารดาและพระประยูรญาติของพระองค์มาถึง ยืนรออยูข่ า้ งนอก ส่งคนเข้าไปทูลพระองค์ ประชาชน กำ�ลังนั่งล้อมพระองค์อยู่ เขาจึงทูลพระองค์ว่า “มารดาและพี่น้องชายหญิงของท่านกำ�ลังตามหาท่าน คอย อยู่ข้างนอก” พระองค์ตรัสถามว่า “ใครเป็นมารดาและพี่น้องของเรา” แล้วพระองค์ทอดพระเนตรผู้ที่นั่ง เป็นวงล้อมอยู่ ตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา ผู้ใดทำ�ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้นั้นเป็นพี่น้อง ชายหญิงและเป็นมารดาของเรา” เสียงเรียกในสวนเอเดน เรียกร้องให้ต้องหันกลับมาฟังเสียงของพระเจ้าเมื่ออาดัมและเอวาได้ ละเมิดทีไ่ ม่ได้เชือ่ ฟังพระเจ้า เพราะการฟังพระเจ้าแท้จริงคือความมีปรีชาญาณมากทีส่ ดุ แล้ว แต่ไฉนทัง้ สองกลับ ไม่ได้ฟังพระเจ้าแต่หันไปฟังคำ�แนะนำ� การเสวนากับผู้ล่อลวงแทนที่จะฟังพระองค์ ไม่น่าเชื่อ และไม่น่าเป็นไป ได้ แต่ทว่าพระคัมภีร์ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์เป็นเช่นนี้นี่เอง พระเยซูเจ้าเองก็ขับไล่ปีศาจได้อย่างง่ายดาย แต่ใครๆ กลับคิดว่าพระองค์ถูกครอบงำ�ด้วยปีศาจ พี่น้องที่รัก เราต้องเลือกที่จะให้พระเจ้าเข้ามาปกครองใจเรา เราต้อง ไม่ปล่อยตัวเราให้ตกอยูภ่ ายใต้การครอบงำ�ของปีศาจหรือความชัว่ ร้ายทุกชนิด พระวาจาของพระเจ้าเสริมกำ�ลัง เราให้ได้เข้มแข็งที่จะรักความจริงและเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่าความหลอกลวงใดๆ
ระลึกถึง น.บาร์นาบัส อัครสาวก สดด 98:1,2,3,4,5-6 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1 กจ 11:21ข-26;13:1-3 เวลานั้น คนจำ�นวนมากเชื่อและกลับใจมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า บรรดาศิษย์ในพระศาสนจักรที่กรุงเยรูซาเล็มรู้ข่าวนี้ จึงส่งบารนาบัสไปยังเมือง อันทิโอก เมือ่ บารนาบัสมาถึงและเห็นผลแห่งพระหรรษทานของพระเจ้า ก็มคี วามชืน่ ชม จึงเตือนทุกคนให้มีจิตใจซื่อสัตย์มั่นคงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า บารนาบัสเป็นคนดี เปี่ยม ด้วยความเชื่อและพระจิตเจ้า จึงมีผู้คนจำ�นวนมากเข้ามาเป็นศิษย์ขององค์พระผู้เป็น เจ้า บารนาบัสเดินทางไปที่เมืองทาร์ซัสเพื่อตามหาเซาโล เมื่อพบแล้ว ก็พามาที่เมือง อันทิโอก ทั้งสองคนอยู่ร่วมกันในพระศาสนจักรที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม สั่งสอนคน จำ�นวนมาก ที่เมืองอันทิโอกนี้เองบรรดาศิษย์ได้รับชื่อว่า “คริสตชน” เป็นครั้งแรก ในพระศาสนจักรที่เมืองอันทิโอก มีประกาศกและอาจารย์คือบารนาบัส สิเมโอน ที่เรียกกันว่าคนดำ� ลูสิอัสชาวไซรีน มานาเอนซึ่งได้รับการศึกษาอบรมมาด้วยกันกับ กษัตริย์เฮโรดอันทิปาสและเซาโล ขณะที่เขาร่วมพิธีนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าและ จำ�ศีลอดอาหาร พระจิตเจ้าตรัสว่า “ท่านทัง้ หลายจงแยกบารนาบัสและเซาโลไว้ปฏิบตั ิ ภารกิจทีเ่ ราเรียกเขาให้มาปฏิบตั เิ ถิด” เมือ่ เขาจำ�ศีลอดอาหารและอธิษฐานภาวนาแล้ว จึงปกมือเหนือบารนาบัสและเซาโล แล้วส่งเขาทั้งสองคนออกไป
พระวรสาร มธ 10:7-13 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับศิษย์ทั้งสิบสองคนว่า “จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว จงรักษาคนเจ็บไข้ จงปลุกคนตายให้กลับคืนชีพ จง รักษาคนโรคเรื้อนให้สะอาด จงขับไล่ปีศาจให้ออกไป ท่านได้รับมาโดยไม่เสียค่าตอบแทนก็จงให้เขาโดยไม่ รับค่าตอบแทนด้วย อย่าหาเหรียญทอง เหรียญเงินหรือเหรียญทองแดงใส่ในไถ้ เมือ่ เดินทาง อย่ามียา่ ม อย่า มีเสื้อสองตัว อย่าสวมรองเท้า อย่าถือไม้เท้า เพราะคนงานย่อมมีสิทธิ์ได้รับอาหารอยู่แล้ว เมื่อท่านเข้าไปในเมืองหรือหมู่บ้าน จงดูว่าผู้ใดที่นั่นเป็นผู้เหมาะสมที่จะต้อนรับท่าน แล้วจงพักอยู่กับ เขาจนกว่าท่านจะจากไป เมือ่ ท่านเข้าไปในบ้านใดจงให้พรแก่บา้ นนัน้ ถ้าบ้านนัน้ สมควรได้รบั พร จงให้สนั ติสขุ ของท่านมาสู่บ้านนั้น ถ้าบ้านนั้นไม่สมควรได้รับพร จงให้สันติสุขกลับมาหาท่าน” นักบุญบารนาบัสอัครสาวก เพื่อนเดินทางกับเปาโลไปประกาศข่าวดีให้กับคนต่างศาสนา การ ประกาศข่าวดีเกิดผลมากๆ แต่มปี ระเด็นทีน่ า่ คิด น่าติดตามและนำ�ไปปฏิบตั จิ ากหนังสือกิจการอัครสาวกทีท่ �ำ ให้ เรารู้จักท่าน คือ “บารนาบัสเป็นคนดี เปี่ยมด้วยความเชื่อและพระจิตเจ้า” พ่อคิดว่า เราอ่านพระคัมภีร์บรรทัด นีย้ อ้ นกลับให้เข้ากับชีวติ ของเราคริสตชน เพราะเราได้รบั พระจิตเจ้าเต็มเปีย่ มในศีลล้างบาป ศีลกำ�ลัง ดังนัน้ เรา ต้องเปี่ยมด้วยความเชื่อจริงๆ และที่สำ�คัญ... “เราต้องเป็นคนดี” ดังเช่นท่านนักบุญบารนาบัส เพื่อทำ�ตามพระ บัญชาพระเยซู “จงไปประกาศว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว” ขอให้เราเป็นศิษย์พระคริสต์ ประกาศพระอาณาจักรของพระองค์เช่นท่านนักบุญอัครสาวก
บทอ่านที่ 1 1 พกษ 17:7-16 ต่อมาไม่นาน นํ้าในลำ�ธารก็แห้ง เพราะฝนไม่ตกบนแผ่นดิน องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เอลียาห์ว่า “จงออกเดินทางไปเมืองศาเรฟัทในเขต ไซดอนและจงอยู่ที่นั่น เราได้สั่งหญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นให้เลี้ยงดูท่าน” เขาจึงออกเดิน ทางไปเมืองศาเรฟัท เมื่อมาถึงประตูเมือง ก็พบหญิงม่ายคนหนึ่งกำ�ลังเก็บฟืนอยู่ เขา จึงเรียกนางสั่งว่า “จงนำ�นํ้าในเหยือกมาให้ฉันดื่มสักหน่อยเถิด” ขณะที่นางกำ�ลังเดิน สัปดาห์ที่ 10 ไปตักนํ้า เขาก็ตะโกนสั่งว่า “จงนำ�ขนมปังสักชิ้นหนึ่งมาให้ฉันด้วย” นางตอบว่า “ดิฉัน เทศกาลธรรมดา ขอสาบานอ้างถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านผู้ทรงพระชนมชีพว่า ดิฉันไม่มี สดด 4:1,2,3-4,6-7 ขนมปังเลย มีแต่แป้งอยู่ในไหเพียงหนึ่งกำ�มือ และมีนํ้ามันมะกอกเทศนิดหน่อยใน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 เหยือก ดิฉันกำ�ลังเก็บฟืนสองสามท่อน จะกลับไปทำ�อาหารสำ�หรับดิฉันและลูกชาย เราจะกิน แล้วเราจะตาย” เอลียาห์บอกนางว่า “อย่ากลัวเลย ไปทำ�ตามที่เธอพูดเถิด แต่จงทำ�ขนมปังก้อนเล็กๆ นำ�มาให้ฉนั กินก่อน แล้วจึงค่อยทำ�สำ�หรับเธอและลูก เพราะ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า “แป้งในไหจะไม่หมด นํ้ามันในเหยือกจะไม่แห้ง จนถึงวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงส่งฝนให้ตกบนแผ่นดิน” หญิงม่ายกลับไปทำ�ตามที่เอลียาห์สั่ง เอลียาห์ หญิงม่ายและบุตรมีอาหารกินเป็นเวลาหลายวัน แป้ง ในไหไม่ขาด และนํ้ามันในเหยือกไม่แห้ง ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสไว้โดยทางเอลียาห์ พระวรสาร มธ 5:13-16 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน ถ้าเกลือจืดไปแล้ว จะเอาอะไรมาทำ�ให้เค็มได้อีกเล่า เกลือนั้น ย่อมไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะถูกทิ้งให้คนเหยียบยํ่า” “ท่านทัง้ หลายเป็นแสงสว่างส่องโลก เมืองทีต่ งั้ อยูบ่ นภูเขาจะไม่ถกู ปิดบัง ไม่มใี ครจุดตะเกียงแล้วเอา มาวางไว้ใต้ถัง แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน ในทำ�นองเดียวกัน แสงสว่าง ของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์ เพือ่ คนทัง้ หลายจะได้เห็นกิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของ ท่านผู้สถิตในสวรรค์” เอลียาห์ (Eliah) ภาษาฮีบรูแปลว่า “ยาห์เวห์คือพระเจ้าของฉัน” ในยุคของเอลียาห์ กษัตริย์ อาคับหันไปหาพระเท็จเทียมของพระนางเยเซเบล คือ “พระบาอัล” บาอัลเป็นพระเจ้าแห่งฟ้าฝน เป็นพระเจ้า แห่งความอุดมสมบูรณ์ตามความเชื่อในพระเท็จเทียมนี้ และศาสนาของบาอัลเข้ามายึดพื้นที่ความจริง ทำ�ลาย พระแท่นบูชาของพระเจ้าเที่ยงแท้คือพระยาห์เวห์ ดังนั้น พระเจ้าปิดท้องฟ้าเป็นเวลาสามปีครึ่ง ไม่มีฝน แผ่นดินแห้งแล้งแทบแย่เลย แต่ทว่าเอลียาห์ผู้ซื่อสัตย์กลับได้รับการเลี้ยงดูจากหญิงม่าย นี่เป็นเครื่องหมาย ยิ่งใหญ่ พระเจ้าสามารถเหนือพระเท็จเทียมทุกชนิด ไม่มีพระเจ้าอื่นใดเทียบกับพระองค์ได้เลย ขอให้ชีวิตของ เราได้หลีกหนีจากความเท็จเทียม ความเชื่อเท็จเทียมที่น่าหลงไหล หันไปหาความเที่ยงแท้ในพระเจ้าเสมอ
บทอ่านที่ 1 1 พกษ 18:20-39 กษัตริย์อาคับทรงส่งคนไปเรียกชาวอิสราเอลทุกคนและประกาศกมาที่ภูเขา คารเมล เอลียาห์เข้ามายืนต่อหน้าประชากรทั้งหลาย พูดว่า “ท่านทั้งหลายจะเหยียบ เรือสองแคมอยูอ่ กี นานเท่าใด ถ้าองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้า ก็จงติดตามพระองค์ เถิด แต่ถ้าพระบาอัลเป็นพระเจ้า ก็จงตามพระบาอัลไป” ประชาชนไม่ตอบว่ากระไร เอลียาห์จึงพูดกับประชาชนต่อไปว่า “...จงนำ�โคเพศผู้มาสองตัว ให้เขาเลือกตัวหนึ่ง ระลึกถึง น.อันตน แห่งปาดัว ฆ่าแล้วตัดเป็นท่อนๆ วางบนกองฟืน แต่อย่าจุดไฟ ส่วนข้าพเจ้าก็จะเตรียมโคอีกตัว พระสงฆ์ นักปราชญ์ หนึ่ง วางบนกองฟืนและไม่จุดไฟ ท่านทั้งหลายจงเรียกพระนามพระเจ้าของท่าน ส่วน ข้าพเจ้าจะเรียกพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ใดทรงส่งไฟมา พระองค์นั้นทรง สดด 16:1-2,4-5,8,11 เป็นพระเจ้า” ประชากรทุกคนตอบว่า “เป็นข้อเสนอที่ดี” เอลียาห์พูดกับประกาศก ของพระบาอัลว่า “จงเลือกโคตัวหนึง่ และจัดเตรียมก่อน เพราะท่านมีหลายคนด้วยกัน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 จงเรียกพระนามพระเจ้าของท่าน แต่อย่าจุดไฟ” เขานำ�โคมาจัดเตรียม แล้วเรียก พระนามพระบาอัลตัง้ แต่เช้าจนถึงเทีย่ งวัน...เทีย่ งวันผ่านไป เขายังคงพูดพรา่ํ อยูใ่ นภวังค์ ต่อไปจนถึงเวลาถวายเครือ่ งบูชา แต่ไม่มเี สียง ไม่มคี �ำ ตอบ ไม่มใี ครฟัง เอลียาห์จึงพูดกับประชากรทั้งหลายว่า “จงเข้ามาใกล้ข้าพเจ้าเถิด” ประชากรทุกคนเข้ามาใกล้เขา... ประกาศกเอลียาห์ก็เข้าไปใกล้พระแท่นบูชา ทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า... พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และอิสราเอล วันนี้โปรดทรงสำ�แดงให้เขาทั้งหลายรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าในหมู่ชาวอิสราเอล และ ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ทุกคนจะได้รู้ว่าข้าพเจ้าได้ทำ�สิ่งเหล่านี้ตามพระบัญชาของพระองค์...” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งไฟลงมาเผาเครื่องบูชา ฟืน หินและฝุ่นจนหมด ทำ�ให้นํ้าในร่องแห้งไปด้วย ประชากรทุกคนเห็นดังนั้นก็ซบหน้าลงจรดพื้นดิน ร้องว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้า...” พระวรสาร มธ 5:17-19 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงอย่าคิดว่าเรามาเพื่อลบล้างธรรมบัญญัติหรือคำ�สอนของบรรดาประกาศก เรามิได้มาเพื่อลบล้าง แต่มาเพือ่ ปรับปรุงให้สมบูรณ์ เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ตราบใดทีฟ่ า้ และดินยังไม่สญ ู สิน้ ไป แม้แต่ ตัวอักษรหรือจุดเพียงจุดเดียวจะไม่ขาดหายไปจากธรรมบัญญัตจิ นกว่าทุกอย่างจะสำ�เร็จไป ดังนัน้ ผูใ้ ดละเมิด ธรรมบัญญัติเพียงข้อเดียว แม้เล็กน้อยที่สุดและสอนผู้อื่นให้ละเมิดด้วย จะได้ช่ือว่าเป็นผู้ตํ่าต้อยที่สุดใน อาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์” การท้าทายกันบนภูเขาคารเมล เป็นการตัดสินใจเลือกว่าพระเจ้าแท้คือใคร ในเมื่อประกาศกส่วน ใหญ่ 450 คน เป็นของพระบาอัล เหลือแต่เอลียาห์คนเดียวที่เป็นประกาศกของพระยาห์เวห์ การพนันขันต่อที่ ร้องเรียกไฟจากพระเจ้าจึงจำ�เป็น แท่นบูชาทีม่ วี วั ตัดเป็นท่อนๆ คือ เครือ่ งหมายของ “พันธสัญญา” ทีถ่ กู หลงลืม ไป พันธสัญญากับพระเจ้าเทีย่ งแท้ทตี่ อ้ งได้รบั การฟืน้ ฟู หันใจกลับไม่ไปหาพระบาอัล และเราทราบดีพระบาอัล ไม่มีจริง ไม่มีใครฟัง ไม่มีเสียงตอบ ไม่มีคำ�ตอบ พระเท็จเทียมก็เป็นใบ้ หนวก บอด แบบนี้นี่เอง... ที่ภูเขา คารเมล พระเจ้าได้สง่ ไฟจากฟ้ามาเผาเครือ่ งบูชา เป็นเครือ่ งหมายของความเป็นพระเจ้าเทีย่ งแท้ เพือ่ ประชากร ของพระองค์จะไม่หันไปหาพระเท็จเทียม ชีวิตของเรามีพระเจ้าเที่ยงแท้ โดยทางพระเยซู ขอให้ชีวิตของเราได้ อยู่ชิดสนิทกับพระองค์ตลอดไป
บทอ่านที่ 1 1 พกษ 18:41-46 เอลียาห์ทูลกษัตริย์อาคับว่า “ขอเชิญเสด็จไปเสวยพระกระยาหารเถิด ข้าพเจ้า ได้ยินเสียงฝนใหญ่กำ�ลังมาแล้ว” กษัตริย์อาคับเสด็จไปเสวยพระกระยาหาร เอลียาห์ ก็ขึ้นไปบนยอดเขาคารเมล ก้มลงกับพื้น ซบหน้าลงระหว่างเข่าทั้งสอง แล้วสั่งผู้รับใช้ ว่า “จงขึ้นไป มองทางทะเล” เขาก็ขึ้นไปมอง แล้วพูดว่า “ไม่เห็นมีอะไรเลย” เอลียาห์สั่งให้เขากลับไปมองเจ็ดครั้ง ครั้งที่เจ็ด ผู้รับใช้แจ้งว่า “ข้าพเจ้าเห็นเมฆก้อน เล็กๆ เหมือนกับฝ่ามือคนกำ�ลังลอยขึ้นจากทะเล” เอลียาห์สั่งเขาว่า “ไปทูลกษัตริย์ อาคับให้ทรงเทียมราชรถและเสด็จลงไปก่อนที่จะทรงติดฝน” ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็มี เมฆมืดครึ้ม ลมพัดแรง แล้วฝนก็ตกหนัก กษัตริย์อาคับเสด็จขึ้นราชรถกลับไป เมืองยิสเรเอล พระอานุภาพขององค์พระผู้เป็นเจ้าลงมาเหนือเอลียาห์ เขาดึงเสื้อขึ้น คาดสะเอวไว้ วิ่งนำ�หน้ากษัตริย์อาคับจนถึงเมืองยิสเรเอล พระวรสาร มธ 5:20-26 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่ดีไปกว่าความชอบธรรม ของบรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีแล้ว ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย” “ท่านได้ยินคำ�กล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ผู้ใดฆ่าคนจะต้องขึ้นศาล แต่เรา กล่าวแก่ท่านว่า ทุกคนที่โกรธเคืองพี่น้อง จะต้องขึ้นศาล ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่’ ผู้นั้นจะต้องขึ้นศาลสูง ผู้ใดกล่าวแก่พี่น้องว่า ‘ไอ้โง่บัดซบ’ ผู้นั้นจะต้องถูกปรับโทษถึง ไฟนรก ดังนั้น ขณะที่ท่านนำ�เครื่องบูชาไปถวายยังพระแท่น ถ้าระลึกได้ว่าพี่น้องของ ท่านมีขอ้ บาดหมางกับท่านแล้วจงวางเครือ่ งบูชาไว้หน้าพระแท่น กลับไปคืนดีกบั พีน่ อ้ ง เสียก่อน แล้วจึงค่อยกลับมาถวายเครื่องบูชานั้น จงคืนดีกับคู่ความของท่านขณะที่ กำ�ลังเดินทางไปศาลด้วยกัน มิฉะนัน้ คูค่ วามจะมอบท่านแก่ผพู้ พิ ากษา และผูพ้ พิ ากษา จะมอบท่านให้ผู้คุม ซึ่งจะขังท่านในคุก เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านจะออกจาก คุกไม่ได้ จนกว่าท่านจะชำ�ระหนี้จนเศษสตางค์สุดท้าย” หลังจากความเท็จเทียมของพระเจ้าแห่งฟ้าฝนนามพระบาอัลผ่านไป ฟ้าฝน ที่ขาดจากฟ้าไปถึงสามปีครึ่งก็กำ�ลังกลับมา หลังจากชัยชนะเหนือประกาศกของพระ บาอัลที่หลอกลวงประชาชนให้หลงไปหาพระเท็จเทียม เมื่อความเท็จเทียมผ่านไป ความ เที่ยงแท้ก็กลับเข้ามา พระยาห์เวห์ผู้ประทานฟ้าฝนที่แท้จริง ทรงประทานฝนหลั่งลงมา ทำ�ลายความแห้งแล้งของความเท็จเทียม ความแห้งแล้งของความเชื่อผิด ฟ้าที่ปิดไป ยาวนานบัดนีเ้ ปิดท้องฟ้าประทานฝนรดแผ่นดินทีแ่ ห้งผาก ขอให้ชวี ติ ของเราได้รบั นํา้ จาก ฟ้า ได้รับฝนจากเมฆ คือ ได้รับความสุขจากความเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้ โดยทางพระ คริสตเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา สดด 65:9,10-11,12-13 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา สดด 27:7-9,13-14 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1 1 พกษ 19:9ก,11-16 ที่นั่น เอลียาห์เข้าไปค้างคืนในถํ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงออกไปยืน อยู่บนภูเขาเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า” แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าก็เสด็จผ่านมา ทรงบันดาลให้เกิดลมพัดแรงกล้า ผ่าภูเขาทำ�ให้หินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เฉพาะพระ พักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า แต่องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ประทับอยู่ในลมนั้น เมื่อลมหยุดก็ เกิดแผ่นดินไหว แต่องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ประทับอยู่ในแผ่นดินไหว หลังจากแผ่นดิน ไหวก็เกิดไฟลุก แต่องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ประทับอยู่ในไฟนั้น หลังจากไฟก็มีเสียงกระ ซิบเบาๆ เมื่อเอลียาห์ได้ยิน ก็เอาเสื้อคลุมปิดหน้าไว้ ออกมายืนอยู่ที่ปากถํ้า ได้ยิน เสียงพูดกับเขาว่า “เอลียาห์ ท่านมาทำ�อะไรอยู่ที่นี่” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้ามีความ กระตือรือร้นอย่างยิง่ ต่อองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าจอมจักรวาล เพราะชาวอิสราเอลได้ ละเมิ ด พั นธสั ญ ญาที่ ทำ � ไว้ กั บ พระองค์ ได้ รื้ อ พระแท่ น บู ช าของพระองค์ แ ละฆ่ า ประกาศกของพระองค์ มีแต่ขา้ พเจ้าเพียงผูเ้ ดียวเท่านัน้ ทีเ่ หลืออยู่ แล้วเขายังพยายาม จะฆ่าข้าพเจ้าด้วย” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสั่งว่า “จงกลับไปทางที่ท่านมา ไปยังถิ่น ทุรกันดารใกล้กรุงดามัสกัส เมื่อไปถึงแล้วจงเจิมฮาซาเอลขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอารัม แล้วจงเจิมเยฮูบตุ รของนิมซีขนึ้ เป็นกษัตริยแ์ ห่งอิสราเอล เจิมเอลีชาบุตรของชาฟัทชาว เมืองอาเบลเมโคลาห์ให้เป็นประกาศกสืบแทนท่าน
พระวรสาร มธ 5:27-32 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านได้ยินคำ�กล่าวที่ว่า อย่าล่วงประเวณี แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองหญิงด้วยความใคร่ ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว ถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำ�บาป จงควักมันทิ้งเสีย เพราะเพียง แต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดของท่านตกนรก ถ้ามือขวาของท่านเป็นเหตุให้ ท่านทำ�บาป จงตัดมันทิง้ เสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้รา่ งกายทัง้ หมดตกนรก” “มีคำ�กล่าวว่า ผู้ใดจะหย่ากับภรรยา ก็จงทำ�หนังสือหย่ามอบให้นาง แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ ใดที่หย่ากับภรรยา ยกเว้นกรณีแต่งงานไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็เท่ากับทำ�ให้นางล่วงประเวณี และผู้ใดที่ แต่งงานกับหญิงที่ได้หย่าร้าง ก็ล่วงประเวณีด้วย” ชีวิตเราอาจพบเจออะไรมาเยอะ ลำ�บากที่สุด ดุจแผ่นดินไหว ลมพายุ หรือไฟร้อนลุกโหมชีวิต แต่ พระวาจาของพระเจ้าวันนี้ในประสบการณ์ของประกาศกเอลียาห์ พระเจ้าพระยาห์เวห์เพียงทรงเสด็จผ่านไป ไม่ได้ประทับในความน่าสะพรึงกลัวเยี่ยงนั้น แต่ทว่าเมื่อมีเสียงลมแผ่วเบาดุจเสียงกระซิบ พระองค์ทรงประทับ ทีน่ นั่ และตรัสกับเอลียาห์ ทรงเสริมกำ�ลังเอลียาห์ และให้ทา่ นได้กลับเข้มแข็งทีจ่ ะกลับไปเพือ่ เผชิญหน้ากับความ เท็จเทียมเพื่อยืนยันพระเจ้าเที่ยงแท้ ดังนั้น ชีวิตของเราอาจจะพบเจออะไรหนักหนามากมายนัก เพราะเรา ยอมรับว่านัน่ เป็นเพียงทางผ่าน แต่ทสี่ ดุ พระเจ้าจะเสด็จมาหาเราในความอ่อนโยนของกระแสลมทีแ่ ผ่วเบา และ ทรงช่วยเหลือเราอย่างแน่นอน
บทอ่านที่ 1 1 พกษ 19:19-21 เอลียาห์ออกจากที่นั่นไปพบเอลีชาบุตรของชาฟัท เขากำ�ลังไถนา ข้างหน้าเขามี โคสิบสองคู่ เขาไถนาอยู่กับคู่สุดท้าย เอลียาห์เดินผ่านเข้าไปใกล้ๆ ถอดเสื้อคลุมของ ตนห่มให้เอลีชา เอลีชาจึงละโคเหล่านั้นวิ่งตามเอลียาห์ไป พูดว่า “ขอให้ข้าพเจ้าไปจูบ ลาบิดามารดาก่อน แล้วข้าพเจ้าจะติดตามท่าน” เอลียาห์ตอบว่า “ไปเถิด แล้วจงกลับ มา ท่านเข้าใจแล้วว่าข้าพเจ้าทำ�อะไรให้ท่าน” เอลีชาก็กลับไปบ้าน ฆ่าโคคู่หนึ่ง ใช้แอก และคันไถเป็นฟืนปรุงเนื้อโคเป็นอาหาร แจกเนื้อให้ประชาชนกิน แล้วจึงออกเดินทาง ติดตามไปรับใช้เอลียาห์ พระวรสาร มธ 5:33-37 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านยังได้ยนิ คำ�กล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าผิดคำ�สาบาน แต่จงทำ�ตามทีไ่ ด้สาบาน ไว้ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่าสาบานเลย อย่าอ้างถึงสวรรค์ เพราะเป็นที่ประทับของพระเจ้า อย่าอ้างถึงแผ่นดิน เพราะเป็นที่รองพระบาทของ พระองค์ อย่าอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็ม เพราะเป็นนครหลวงของพระมหากษัตริย์ อย่าอ้าง ถึงศีรษะของท่าน เพราะท่านไม่อาจเปลี่ยนผมสักเส้นให้เป็นดำ�เป็นขาวได้ ท่านจงพูด เพียงว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ คำ�พูดที่มากไปกว่านั้นมาจากมารร้าย” คริสตชนเป็นพยานแห่งความจริง ความจริงทำ�ให้เราวางใจซึง่ กันและกัน คำ� สาบานมีไว้สำ�หรับสังคมที่ขาดความไว้เนื้อเชื่อใจกัน คริสตชนผู้มีพระคริสตเจ้าเป็นแบบ อย่างชีวิตจึงไม่จำ�เป็นต้องสาบาน พระเจ้าเป็นองค์ความจริง สิ่งที่ “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” จะ ประกาศความจริงในตัวเอง หากวางใจในองค์ความจริงแล้วก็จะไม่กังวลสิ่งใด เช่นเดียว กับประกาศกเอลีชา เมือ่ ท่านได้รบั การเรียกให้เป็นประกาศก ท่านฆ่าโคคูห่ นึง่ ใช้แอกและ คันไถเป็นฟืนปรุงเนื้อโคเป็นอาหาร แจกเนื้อให้ประชาชนกิน เป็นท่าทีของการวางใจใน พระเจ้า ยอมสละทุกสิ่ง แล้วติดตามพระองค์
สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา สดด 16:1-2,5-6, 7-8,9-10 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
สัปดาห์ที่ 11 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล อสค 17:22-24 องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ “เราจะนำ�แขนงจากยอดต้นสนสีดาร์สูง เราจะหักแขนงอ่อนจากกิ่งที่อยู่บนยอด มาปลูกไว้บนยอดภูเขาสูงเด่น เราจะปลูกแขนงนี้ไว้บนภูเขาสูงของอิสราเอล แขนงนี้ จะแตกกิง่ ก้านและบังเกิดผล จะเป็นต้นสนสีดาร์ทสี่ ง่างาม และนกทุกชนิดจะมาอาศัย อยู่ใต้ต้นไม้นี้ สัตว์ปีกต่างๆ จะมาพักในร่มกิ่งของต้นไม้นี้ ต้นไม้ทุกต้นในทุ่งนาจะรู้ว่า เราเป็นองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า เราทำ�ต้นไม้สงู ให้ตาํ่ ลง และยกต้นไม้ตาํ่ ให้สงู ขึน้ เราทำ�ต้นไม้ เขียวให้แห้งไป และทำ�ต้นไม้แห้งให้แตกใบอ่อน เรา องค์พระผู้เป็นเจ้าพูดไว้แล้ว และ เราจะทำ�” เพลงสดุดี สดด 92:2-3,12-13,14-15 ก) เป็นการดีที่จะประกาศความรักมั่นคงของพระองค์ในยามเช้า และประกาศความซื่อสัตย์ของพระองค์ในยามค�่ำคืน โดยบรรเลงเพลงด้วยพิณสิบสายและพิณเล็ก เคล้าเสียงประสานของพิณใหญ่ ข) ผู้ชอบธรรมจะเจริญงอกงามดั่งต้นอินทผลัม จะเติบโตประดุจสนสีดาร์แห่งเลบานอน ปลูกไว้ในบ้านขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจึงเจริญงอกงามในท้องพระโรงของพระเจ้าของเรา ค) แม้ในวัยชรา เขาก็จะยังออกผล เขายังจะแข็งแรงและเขียวสดอยู่ เพื่อประกาศว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเที่ยงธรรม พระองค์ทรงเป็นหลักศิลาของข้าพเจ้า ไม่ทรงมีความอธรรมแต่ประการใด บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่สอง 2 คร 5:6-10 พี่น้อง เรามีความมั่นใจอยู่เสมอและรู้ว่า เมื่อเรามีชีวิตอยู่ในร่างกาย เราก็ถูก เนรเทศห่างจากองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า เราดำ�เนินชีวติ ด้วยความเชือ่ มิใช่ตามทีม่ องเห็น เรา มีความมั่นใจและปรารถนาที่จะถูกเนรเทศจากร่างกายมากกว่า เพื่อไปอยู่กับองค์ พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้น ไม่ว่าเราจะอยู่ในร่างกายหรือถูกเนรเทศจากร่างกาย เราก็มีความ มุง่ มัน่ ทีจ่ ะทำ�ให้เป็นทีพ่ อพระทัย เพราะเราทุกคนจะต้องปรากฏเฉพาะพระบัลลังก์ของ พระคริสตเจ้า เพื่อแต่ละคนจะได้รับสิ่งตอบแทนสมกับที่ได้ทำ�เมื่อยังมีชีวิตอยู่ใน ร่างกาย ขึ้นอยู่กับการกระทำ�นั้นว่าจะดีหรือชั่ว
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมาระโก มก 4:26-34 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้ายังเปรียบเสมือนคนที่นำ� เมล็ดพืชไปหว่านในดิน เขาจะหลับหรือตื่น กลางคืนหรือ กลางวัน เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นและเติบโต เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร เขาไม่รู้ ดินนัน้ มีพลังให้เกิดผลในตนเอง ครัง้ แรกก็เป็นลำ�ต้น แล้วก็ออกรวง ต่อมาก็มีเมล็ดเต็มรวง เมื่อข้าวสุก เกิดผล แล้ว เขาก็ใช้คนไปเก็บเกี่ยวทันที เพราะถึงฤดูเก็บเกี่ยว แล้ว” พระองค์ตรัสอีกว่า “เราจะเปรียบพระอาณาจักรของ พระเจ้าอย่างไร หรือจะใช้อุปมาอะไรอธิบายเรื่องนี้ พระ อาณาจักรเปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดซึง่ เมือ่ หว่านในดิน ก็ เป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทัง้ ปวงทัว่ แผ่นดิน แต่ครัน้ ได้หว่านแล้วก็งอกขึน้ และกลายเป็นต้นไม้ใหญ่กว่าพืชผัก ทุกชนิด มีกิ่งก้านใหญ่โตจนบรรดานกในอากาศมาพักอาศัยร่มเงาได้” พระองค์ตรัสเป็นอุปมาเช่นนี้อีกมากตามที่เขาเหล่านั้นฟังเข้าใจได้ พระองค์มิได้ตรัสกับเขาโดยไม่ใช้ อุปมา แต่เมื่อทรงอยู่เฉพาะกับบรรดาศิษย์ก็ทรงอธิบายทุกเรื่องให้กับเขาเหล่านั้น ทุกครั้งที่สวดบทข้าแต่พระบิดา เราภาวนาว่า “พระอาณาจักรจงมาถึง... ในแผ่นดินเหมือนใน สวรรค์” เรากำ�ลังวอนขอให้ตัวเราเป็นเครื่องมือประกาศความสุขแท้จริงแห่งสวรรค์ที่เริ่มต้นแล้วในโลกนี้ เป็น หน้าที่ของเราทุกๆ คนที่จะสร้างสวรรค์ให้เกิดขึ้นในสังคมด้วยการปฏิบัติตามแบบอย่างชีวิตและคำ�สอนของ พระเยซูเจ้า น.เปาโลยาํ้ ให้เราดำ�เนินชีวติ ด้วยความเชือ่ มัน่ ในพระเจ้าและกระทำ�ความดี กิจการดีทเี่ รากระทำ�แม้ ไม่มีใครเห็น แม้เป็นสิ่งเล็กน้อยแต่ก่อให้เกิดความสุขยิ่งใหญ่ลึกๆ ในใจ กิจการที่เรากระทำ�ด้วยความรักจริงใจ แม้เป็นสิ่งธรรมดาๆ เป็นเพียงเมล็ดมัสตาร์ดแต่จะเติบโตยิ่งใหญ่ เป็นดังต้นสนสีดาร์ที่สง่างาม
บทอ่านที่ 1 1 พกษ 21:1-16 ต่อมาไม่นาน นาโบทชาวยิสเรเอลมีสวนองุ่นที่เมืองยิสเรเอลใกล้พระราชวังของ กษัตริย์อาคับแห่งสะมาเรีย กษัตริย์อาคับตรัสแก่นาโบทว่า “จงยกสวนองุ่นของท่าน ให้เราทำ�เป็นสวนผักเถิด เพราะสวนนีอ้ ยูใ่ กล้วงั ของเรา เราจะให้สวนองุน่ ทีด่ กี ว่านีแ้ ทน หรือถ้าท่านยินดีขาย เราจะจ่ายเงินให้ตามราคา” นาโบททูลตอบกษัตริยอ์ าคับว่า “องค์ สัปดาห์ที่ 11 พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามมิให้ข้าพเจ้ายกมรดกของบรรพบุรุษให้พระองค์” กษัตริย์อาคับเสด็จกลับพระราชวังด้วยพระทัยขุ่นเคืองและทรงพระพิโรธ ที่ เทศกาลธรรมดา นาโบทชาวยิสเรเอลทูลพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ยกมรดกของบรรพบุรุษให้แก่ สดด 5:1-2,3-4, พระองค์”... พระมเหสีเยเซเบลจึงทูลว่า “พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล 5-6 เช่นนี้หรือ ขอทรงลุกขึ้นเสวยพระกระยาหารให้สบายพระทัยเถิด หม่อมฉันเองจะให้ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 สวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลแก่พระองค์” พระนางทรงพระอักษรลงพระนามกษัตริย์อาคับ ประทับตราของพระองค์ ส่งไปถึงผู้อาวุโสและบุคคล สำ�คัญทีอ่ ยูใ่ นเมืองเดียวกับนาโบท พระนางทรงเขียนในลายพระหัตถ์วา่ “ท่านทัง้ หลายจงประกาศวันถือศีล อดอาหาร เรียกประชาชนมาชุมนุมกัน และให้นาโบทนั่งอยู่แถวหน้า แล้วจงหาอันธพาลสองคน ให้มานั่ง เผชิญหน้ากับนาโบทและกล่าวหาเขาว่า ‘ท่านสาปแช่งพระเจ้าและกษัตริย์’ แล้วท่านทั้งหลายจะนำ�เขาออก ไปนอกเมืองและเอาหินทุ่มเขาให้ตาย” คนในเมืองของนาโบท บรรดาผู้อาวุโสและบุคคลสำ�คัญที่อาศัยอยู่ในเมืองปฏิบัติตามรับสั่งของพระ นางเยเซเบลทีเ่ ขียนไว้ในลายพระหัตถ์ทพี่ ระนางทรงส่งไป... เมือ่ พระนางเยเซเบลทรงได้ยนิ ว่านาโบทถูกหิน ทุม่ ตายแล้ว ก็ทลู กษัตริยอ์ าคับว่า “ขอทรงลุกขึน้ เสด็จไปยึดครองสวนองุน่ ทีน่ าโบทชาวยิสเรเอลเคยปฏิเสธ ไม่ยอมขายให้พระองค์ เพราะนาโบทไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป เขาตายแล้ว” เมื่อกษัตริย์อาคับทรงได้ยินว่า นาโบทตายแล้ว พระองค์ก็เสด็จลงไปยังสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอล เพื่อยึดครองสวนองุ่นนั้น พระวรสาร มธ 5:38-42 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านเคยได้ยินเขากล่าวว่า ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า อย่าโต้ตอบคนชั่ว ผู้ ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย ผู้ใดอยากฟ้องท่านที่ศาลเพื่อจะได้เสื้อยาวของท่าน ก็จง แถมเสือ้ คลุมให้เขาด้วย ผูใ้ ดจะเกณฑ์ให้ทา่ นเดินไปกับเขาหนึง่ หลัก จงไปกับเขาสองหลักเถิด ผูใ้ ดขออะไร จากท่าน ก็จงให้ อย่าหันหลังให้ผู้ที่มาขอยืมสิ่งใดจากท่าน” หากต้องการเพิม่ ศัตรูกจ็ งตอบโต้ความชัว่ ด้วยความชัว่ หากต้องการสงบศึกก็จงให้อภัยอย่าถือโทษ แต่หากต้องการเพิม่ มิตรก็จงปฏิบตั ติ ามทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงสอนว่าจงให้อภัย และมากกว่านัน้ จงมอบความรักและ ความปรารถนาดีแก่เขาโดยไม่หวังสิง่ ใด พึงกระทำ�ตนเป็น “เครือ่ งมือสือ่ ความรักและความดี” ตัวอย่างทีร่ า้ ยกาจ ของการเป็นเครื่องมือสื่อความชั่วปรากฏในบทอ่านแรก จากความโลภของกษัตริย์อาคับ แสดงออกด้วยการ กระทำ�ชั่วของพระมเหสีเยเซเบล ส่งต่อไปยังบรรดาผู้อาวุโสและบุคคลสำ�คัญ อันธพาล และชาวบ้านทุกคน นำ� มาซึ่งความตายของนาโบท แต่แบบอย่างของพระเยซูเจ้าคือการอภัยและรักจนวินาทีสุดท้าย
บทอ่านที่ 1 1 พกษ 21:17-29 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เอลียาห์ชาวทิชบีว่า “จงออกเดินทางลงไปเฝ้ากษัตริย์ อาคับแห่งอิสราเอลที่กรุงสะมาเรียเถิด เขากำ�ลังอยู่ในสวนองุ่นของนาโบท เขาลงไป ยึดครองสวนองุ่นนั้น ท่านจะต้องบอกเขาว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ท่านฆ่าคน และบัดนี้ท่านยังยึดสมบัติของเขาอีกหรือ... ณ ที่ซึ่งสุนัขเลียเลือดของนาโบท สุนัขจะ เลียเลือดของท่านด้วย” กษัตริย์อาคับตรัสกับเอลียาห์ว่า “คู่ปรับของเราเอ๋ย ท่านมา น.โรมูอัลโด จับผิดเราใช่ไหม” เอลียาห์ทลู ตอบว่า “ใช่แล้ว เพราะพระองค์ทรงยอมปล่อยตัวทำ�สิง่ เจ้าอธิการ ชั่วร้ายเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัสว่า “เราจะนำ� สดด 51:1-2,3-5, หายนะมาสูท่ า่ น เราจะทำ�ลายลูกหลานของท่านให้หมดสิน้ ไป และจะกวาดล้างชายทุก 9,14 คนในตระกูลอาคับ ไม่วา่ จะเป็นทาสหรือเป็นอิสระในอิสราเอล เราจะทำ�ให้ราชวงศ์ของ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ท่านเป็นเหมือนราชวงศ์เยโรโบอัมบุตรของเนบัท และเหมือนราชวงศ์บาอาชาบุตรของ อาคิยาห์ เพราะท่านได้ยั่วยุให้เราโกรธ และนำ�อิสราเอลให้ทำ�บาป” องค์พระผู้เป็นเจ้า ยังตรัสเกีย่ วกับพระนางเยเซเบลด้วยว่า “สุนขั จะกินเนือ้ ของเยเซเบลในเมืองยิสเรเอล คนในตระกูลของอาคับซึ่งตายในเมือง สุนัขจะมากัดกิน ส่วนคนที่ตายในทุ่งนา นกใน อากาศจะมาจิกกิน”... เมื่อกษัตริย์อาคับทรงได้ยินถ้อยคำ�เหล่านี้ พระองค์ทรงฉีกฉลองพระองค์ด้วยความทุกข์ ทรงสวมใส่ เสื้อผ้ากระสอบ ไม่ทรงยอมเสวยพระกระยาหาร บรรทมทั้งๆ ที่ยังฉลองพระองค์ด้วยผ้ากระสอบ ทรงพระ ดำ�เนินโดยก้มพระเศียรแสดงความทุกข์ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามเอลียาห์ชาวทิชบีว่า “ท่านสังเกตเห็น ไหมว่าอาคับถ่อมตนลงต่อหน้าเราอย่างไร เพราะเขาได้ถ่อมตนลงต่อหน้าเรา เราจะไม่นำ�หายนะมาในช่วง ชีวิตของเขา แต่จะนำ�หายนะมาสู่ราชวงศ์ในช่วงชีวิตบุตรของเขา” พระวรสาร มธ 5:43-48 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำ�กล่าวว่า จงรักเพื่อนบ้าน จงเกลียดศัตรู แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า จงรักศัตรู จง อธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์ พระองค์โปรดให้ดวง อาทิตย์ของพระองค์ขนึ้ เหนือคนดีและคนชัว่ โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม ถ้าท่านรักแต่ คนที่รักท่าน ท่านจะได้บำ�เหน็จรางวัลอะไรเล่า บรรดาคนเก็บภาษีมิได้ทำ�เช่นนี้ดอกหรือ ถ้าท่านทักทายแต่ พี่น้องของท่านเท่านั้น ท่านทำ�อะไรพิเศษเล่า คนต่างศาสนามิได้ทำ�เช่นนี้ดอกหรือ ฉะนั้น ท่านจงเป็นคนดี อย่างสมบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่าน ทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด” ความรักเป็นพระหรรษทานที่พระเจ้าประทานให้ในใจที่เปิดรับพระองค์ เป็นการยากที่จะรักศัตรู แต่มิใช่เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ อาศัยการภาวนาด้วยความสุภาพถ่อมตน พระเจ้าจะทรงทำ�งานในใจของเรา เช่น เดียวกับกษัตริย์อาคับที่สำ�นึกผิดและถ่อมตนลงต่อหน้าพระเจ้า พระบุตรของพระเจ้าลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ประกาศความรัก ถูกเบียดเบียนทรมานสาหัสและถูกตรึงกางเขน เพราะความรักที่มีต่อพระบิดาจึงทรงรักทุก คน ภาวนาเพื่อให้ทุกคนได้รับความรอดพ้น เราคริสตชนจงพากเพียรเลียนแบบพระคริสตเจ้า ดำ�เนินชีวิตให้สม กับที่พระบิดาเจ้าทรงรักและรับเราเป็นบุตรของพระองค์
บทอ่านที่ 1 2 พกษ 2:1,6-14 เมื่อถึงเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้พายุหมุนหอบเอลียาห์ขึ้นไปบนฟ้า เอลียาห์และเอลีชาออกเดินทางจากเมืองกิลกาล เอลียาห์สงั่ เขาว่า “จงอยูท่ นี่ ี่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงส่งข้าพเจ้าไปทีแ่ ม่นาํ้ จอร์แดน” เอลีชาตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์และท่านมีชีวิตอยู่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่ ยอมละทิ้งท่านฉันนั้น” เขาทั้งสองคนจึงออกเดินทางต่อไป... สัปดาห์ที่ 11 เอลียาห์ถามเอลีชาว่า “บอกมาเถิด ท่านต้องการให้ข้าพเจ้าทำ�อะไรให้ท่านก่อน เทศกาลธรรมดา ทีข่ า้ พเจ้าจะถูกรับตัวไป” เอลีชาตอบว่า “ขอให้ขา้ พเจ้าได้รบั จิตของท่านสองส่วนเถิด” สดด 31:19-20,23-24 เอลียาห์ตอบว่า “ท่านขอสิง่ ทีท่ �ำ ได้ยาก แต่ถา้ ท่านเห็นข้าพเจ้าเมือ่ จะถูกรับไปจากท่าน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ท่านก็จะได้รับตามที่ขอ ถ้าท่านไม่เห็น ท่านก็จะไม่ได้รับ” ขณะที่เขาทั้งสองคนกำ�ลัง เดินสนทนากันอยู่นั้น รถม้าเพลิงคันหนึ่งเทียมม้าเพลิงปรากฏขึ้น แยกคนทั้งสองออก จากกัน เอลียาห์ถูกยกขึ้นไปบนฟ้าในพายุหมุน เอลีชาเห็นปรากฏการณ์ ก็ร้องเรียกว่า “บิดาของข้าพเจ้า บิดาของข้าพเจ้า รถศึกและสารถีของอิสราเอล” แล้วเขาก็ไม่เห็นเอลียาห์อีก... พระวรสาร มธ 6:1-6,16-18 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงระวัง อย่าปฏิบัติศาสนกิจของท่านต่อหน้ามนุษย์เพื่ออวดคนอื่น มิฉะนั้น ท่านจะไม่ได้รับบำ�เหน็จ จากพระบิดาของท่านผูส้ ถิตในสวรรค์ ดังนัน้ เมือ่ ท่านให้ทาน จงอย่าเป่าแตรข้างหน้าท่านเหมือนทีบ่ รรดาคน หน้าซือ่ ใจคดมักทำ�ในศาลาธรรมและตามถนนเพือ่ จะได้รบั คำ�สรรเสริญจากมนุษย์ เราบอกความจริงแก่ทา่ น ทั้งหลายว่า เขาได้รับบำ�เหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่อให้ทาน อย่าให้มือซ้ายของท่านรู้ว่ามือขวากำ�ลังทำ� สิง่ ใด เพือ่ ทานของท่านจะได้เป็นทานทีไ่ ม่เปิดเผย แล้วพระบิดาของท่านผูท้ รงหยัง่ รูท้ กุ สิง่ จะประทานบำ�เหน็จ ให้ท่าน” “เมือ่ ท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าเป็นเหมือนบรรดาคนหน้าซือ่ ใจคด เขาชอบยืนอธิษฐานภาวนาในศาลา ธรรม และตามมุมลานเพือ่ ให้ใครๆ เห็น เราบอกความจริงแก่ทา่ นว่า เขาได้รบั บำ�เหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่ออธิษฐานภาวนา จงเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตู อธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้สถิตทั่วทุกแห่ง แล้ว พระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งจะประทานบำ�เหน็จให้ท่าน” “เมื่อท่านทั้งหลายจำ�ศีลอดอาหาร จงอย่าทำ�หน้าเศร้าหมองเหมือนบรรดาคนหน้าซื่อใจคด... เราบอก ความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำ�เหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่อจำ�ศีลอดอาหาร จงล้างหน้า ใช้นํ้ามันหอม ใส่ศีรษะ เพื่อไม่แสดงให้ผู้คนรู้ว่าท่านกำ�ลังจำ�ศีลอดอาหาร แต่ให้พระบิดาของท่านผู้สถิตทั่วทุกแห่งทรง ทราบ และพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง ก็จะประทานบำ�เหน็จให้ท่าน” เอลียาห์และเอลีชาวางใจในพระเจ้าดำ�เนินชีวิตในวิถีของพระองค์ ท่านพร้อมประกาศสั่งสอน ตักเตือนประชาชนด้วยความห่วงใย วิถแี ห่งการเป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้าทีแ่ ท้จริงคือการรักองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า สุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาแสดงออกด้วยการภาวนาสานความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้า การรัก เพือ่ นพีน่ อ้ งด้วยการแบ่งปัน การให้ทาน เป็นความสัมพันธ์ระหว่างเรากับชุมชนแห่งความเชือ่ และรักตนเองด้วย การบำ�เพ็ญพรต อดอาหาร ทุกครั้งที่เราอดอาหารด้วยความจริงใจพระบิดาจะทรงประทานบำ�เหน็จให้แก่เรา
บทอ่านที่ 1 บสร 48:1-14 ต่อจากนั้นก็มีเรื่องราวของประกาศกเอลียาห์ซึ่งเป็นเหมือนไฟ วาจาของเขาเผา ผลาญเหมือนคบไฟ เขาทำ�ให้เกิดขาดแคลนอาหารในหมู่ประชากร ความกระตือรือร้น ของเขาทำ�ให้ประชากรลดจำ�นวนลง เขาปิดท้องฟ้าตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็น เจ้า ทำ�ให้ไฟลงมาจากท้องฟ้าถึงสามครัง้ ข้าแต่เอลียาห์ ท่านช่างมีชอื่ เสียงรุง่ เรืองเพราะ การอัศจรรย์ทไี่ ด้ท�ำ ใครบ้างจะอวดตัวได้วา่ ตนเท่าเทียมกับท่าน ท่านปลุกผูต้ ายคนหนึง่ ระลึกถึง ให้กลับคืนชีพ และพ้นจากแดนมรณะตาม พระบัญชาของพระผูส้ งู สุด ท่านผลักกษัตริย์ น.หลุยส์ คอนซากา หลายพระองค์ให้พนิ าศ และผลักบรรดาผูท้ รงเกียรติลงจากทีน่ อน ท่านได้ยนิ พระวาจา นักบวช ติเตียนที่ภูเขาซีนาย ได้ยินพระวินิจฉัยลงโทษบนภูเขาโฮเรบ ท่านเจิมกษัตริย์หลาย สดด 97:1-2,3-5, พระองค์ให้ลงโทษผูท้ �ำ ผิด และเจิมบรรดาประกาศกให้สบื ตำ�แหน่งต่อจากท่าน ท่านถูก 6-7 ยกขึ้นไปในพายุหมุนที่เป็นไฟ บนรถเทียมม้าเพลิง ท่านถูกกำ�หนดไว้ให้มาตำ�หนิ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ประชากรในอนาคต เพือ่ จะได้ระงับพระพิโรธก่อนทีจ่ ะลุกเป็นไฟ เพือ่ นำ�จิตใจของบิดา มาคืนดีกบั บุตร และแต่งตัง้ บรรดาเผ่าของยาโคบขึน้ ใหม่ บรรดาผูท้ เี่ คยเห็นท่านย่อมเป็นสุข เขาตายในความ รัก เพราะเราทัง้ หลายจะได้มชี วี ติ อย่างแน่นอนเช่นเดียวกัน เมือ่ เอลียาห์ถกู ยกขึน้ ไปในพายุหมุน เอลีชาก็ได้ รับจิตของเขาอย่างเต็มเปี่ยม เขาไม่เคยหวาดกลัวผู้ทรงอำ�นาจใดๆ ตลอดชีวิต ไม่มีผู้ใดบังคับเขาได้ ไม่มีสิ่ง ใดยากเกินไปสำ�หรับเขา แม้ในหลุมศพ ร่างกายของเขาก็ยังประกาศพระวาจา ขณะที่มีชีวิตอยู่ เขาทำ� ปาฏิหาริย์ต่างๆ แม้เมื่อเขาตายแล้ว กิจการของเขาก็ยังน่าพิศวง พระวรสาร มธ 6:7-15 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “เมื่อท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าพูดซํ้าเหมือนคนต่างศาสนา เขาคิดว่าถ้าเขาพูดมากพระเจ้าจะทรง สดับฟัง อย่าทำ�เหมือนเขาเลย เพราะพระบิดาของท่านทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการอะไร ก่อนที่ท่านจะขอ เสียอีก ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงอธิษฐานภาวนาดังนี้ ‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระ อาณาจักรจงมาถึง พระประสงค์จงสำ�เร็จในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์ โปรดประทานอาหารประจำ�วันแก่ขา้ พเจ้า ทั้งหลายในวันนี้ โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ให้แพ้ การผจญ แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ’ เพราะถ้าท่านให้อภัยผูท้ �ำ ความผิด พระบิดาของท่านผูส้ ถิตในสวรรค์ ก็จะประทานอภัยแก่ทา่ นด้วย แต่ ถ้าท่านไม่ให้อภัยผู้ทำ�ความผิด พระบิดาของท่านก็จะไม่ประทานอภัยแก่ท่านเช่นเดียวกัน” ภาพของเด็กน้อยที่วิ่งเข้าไปกอดพ่อแม่เพื่อขอบางสิ่งบางอย่างด้วยความจริงใจ เป็นภาพเดียวกับ บทอธิษฐานภาวนาที่พระเยซูเจ้าทรงสอนบรรดาศิษย์ การภาวนามิใช่การโอ้อวดยกยอตนเอง แต่เป็นความ ถ่ อ มตนเหมื อ นประกาศกเอลี ย าห์ แ ละเอลี ช าผู้ ยิ่ ง ใหญ่ แ ต่ ไร้ ค วามเย่ อ หยิ่ ง จองหอง การภาวนามิ ใช่ ก าร ประชาสัมพันธ์สงิ่ ทีต่ นปรารถนา แต่เป็นความสัมพันธ์กบั พระเจ้าและเพือ่ นพีน่ อ้ ง การภาวนามิใช่การให้ยมื และ ส่งคืน แต่เป็นความรักและความวางใจในพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง คริสตชนจึงจำ�เป็นจะต้องภาวนาตามแบบอย่าง พระคริสตเจ้า อาศัยการภาวนาเราจึงเติบโตในความเป็นคริสตชนที่แท้จริง
น.เปาลิน แห่งโนลา พระสังฆราช น.ยอห์น ฟิชเชอร์ น.โทมัส โมร์ มรณสักขี สดด 132:11,12-14, 17-18 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านที่ 1 2 พกษ 11:1-4,9-18,20 เมื่อพระนางอาธาลิยาห์พระชนนีของกษัตริย์อาคัสยาห์ทรงทราบว่าพระโอรสถูก ปลงพระชนม์ ก็ทรงฆ่าเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ทันที แต่เยโฮเชบาพระธิดาของกษัตริย์เยโฮรัมและพระขนิษฐาของกษัตริย์อาคัสยาห์ ทรงนำ�เยโฮอาชพระโอรสของกษัตริยอ์ าคัสยาห์ออกจากกลุม่ พระโอรสทีจ่ ะต้องถูกฆ่า ไปซ่อนไว้พร้อมกับแม่นมในห้องนอนบริเวณพระวิหาร... ปีทเี่ จ็ด สมณะเยโฮยาดาส่งคนไปตามผูบ้ งั คับบัญชาทหารชาวคารี และนายทหาร องครักษ์มาพบตนในพระวิหารขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ทำ�สัญญากับเขา ให้ทกุ คนสาบาน ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วนำ�พระโอรสของกษัตริย์ออกมาให้เขาเห็น บรรดานายทหารก็ปฏิบตั ติ ามคำ�สัง่ ของสมณะเยโฮยาดา... แล้วสมณะเยโฮยาดา นำ�พระโอรสของกษัตริย์ออกมาสวมมงกุฎและมอบม้วนพันธสัญญาให้ เขาทั้งหลาย ประกาศแต่งตัง้ และเจิมพระองค์ขนึ้ เป็นกษัตริย์ ทุกคนปรบมือโห่รอ้ งว่า “ขอพระราชา ทรงพระเจริญ”... สมณะเยโฮยาดากระทำ�พันธสัญญา ระหว่างองค์พระผู้เป็นเจ้ากับกษัตริย์และ ประชาชนว่า เขาจะเป็นประชากรขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า และทำ�พันธสัญญาอีกระหว่าง กษัตริยก์ บั ประชากร ประชาชนของแผ่นดินทุกคนเข้าไปในวิหารของพระบาอัลและรือ้ วิหารนั้น ทุบแท่นบูชาและรูปเคารพจนแหลกละเอียด และฆ่ามัทธานสมณะของพระ บาอัลที่หน้าแท่นบูชานั้น ...
พระวรสาร มธ 6:19-23 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านทั้งหลายจงอย่าสะสมทรัพย์สมบัติบนแผ่นดินนี้เลย ที่นี่ทรัพย์สมบัติทั้งหลายถูกสนิมและตัว ขมวนทำ�ลาย ถูกขโมยเจาะช่องเข้ามาขโมยไปได้ แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติในสวรรค์เถิด ที่นั่นไม่มีสนิมและ ตัวขมวนทำ�ลาย ขโมยก็เจาะช่องเข้ามาขโมยไปไม่ได้ เพราะทรัพย์สมบัตขิ องท่านอยูท่ ใี่ ด ใจของท่านก็จะอยู่ ที่นั่นด้วย” “ประทีปของร่างกายคือดวงตา ดังนั้น ถ้าดวงตาของท่านเป็นปกติดี ร่างกายของท่านก็จะสว่างไปด้วย แต่ถ้าดวงตาของท่านไม่ดี ร่างกายของท่านก็จะมืดไปด้วย ฉะนั้น ถ้าความสว่างในท่านมืดไปแล้ว ความมืด จะยิ่งมืดมิดสักเพียงใด” ทรัพย์สมบัตบิ นแผ่นดินนีจ้ �ำ เป็นสำ�หรับดูแลชีวติ และมีไว้เพือ่ แบ่งปันแสดงความรักแก่เพือ่ นพีน่ อ้ ง พระเยซูเจ้ามิได้ทรงปฏิเสธ แต่ทรงเตือนว่าอย่าหลงกับการสะสมทรัพย์สมบัตนิ นั้ เพราะสิง่ ทีเ่ ป็นนิรนั ดร์คอื พระ อาณาจักรสวรรค์ คริสตชนจะต้องมีใจที่ไม่หันเหไปจากความรักขององค์พระเจ้า คริสตชนจะต้องมีตาที่ไม่ละ จากแสงสว่างแท้จริงคือองค์พระคริสตเจ้า ผูท้ เี่ ลือกและดำ�เนินชีวติ เช่นนี้ พระเจ้าจะทรงปกป้องคุม้ ครอง นำ�ทาง และเลี้ยงดูเช่นเดียวกับที่ทรงปกป้องกษัตริย์เยโฮอาชจากเงื้อมมือของพระนางอาธาลิยาห์ ทรงดูแลและทรงยก ขึ้นให้มีเกียรติต่อหน้าประชากร
บทอ่านที่ 1 2 พศด 24:17-25 เมื่อสมณะเยโฮยาดาสิ้นชีวิตแล้ว บรรดาเจ้านายแห่งยูดาห์เข้ามาถวายบังคม เฉพาะพระพักตร์กษัตริย์ พระองค์ทรงฟังคำ�ทูลของเขา เขาทัง้ หลายได้ละทิง้ พระวิหาร ขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าแห่งบรรพบุรษุ ไปนมัสการเสาไม้ศกั ดิส์ ทิ ธิแ์ ละรูปเคารพ ความผิดนี้ทำ�ให้พระเจ้าทรงลงโทษอาณาจักรยูดาห์และกรุงเยรูซาเล็ม องค์พระผู้เป็น เจ้าทรงส่งบรรดาประกาศกมาเตือนเขาให้กลับมาหาพระองค์ ประกาศกเหล่านี้กล่าว สัปดาห์ที่ 11 ประณามความผิดของเขา แต่เขาไม่ยอมฟัง... เทศกาลธรรมดา เมื่อขึ้นปีใหม่กองทัพชาวอารัมก็ยกมาโจมตีกษัตริย์โยอาช เขาบุกรุกเข้ามาใน สดด 89:3-4,28-29, อาณาจักรยูดาห์จนถึงกรุงเยรูซาเล็ม ทำ�ลายล้างบรรดาเจ้านายของประชาชน และส่ง 30-32,33-35 ของเชลยทัง้ หมดไปถวายกษัตริยแ์ ห่งกรุงดามัสกัส กองทัพชาวอารัมยกมาเป็นจำ�นวน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 น้อย แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบกองทัพใหญ่ไว้ในมือของเขา เพราะชาวยูดาห์ได้ ละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของบรรพบุรุษ กษัตริย์โยอาชจึงทรงถูกลงโทษอย่างสาสม... พระวรสาร มธ 6:24-34 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เขาจะชังนายคน หนึ่งและจะรักนายอีกคนหนึ่ง เขาจะจงรักภักดีต่อนายคนหนึ่งและจะดูหมิ่นนายอีกคนหนึ่ง ท่านทั้งหลาย จะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้” “ฉะนัน้ เราบอกท่านทัง้ หลายว่า อย่ากังวลถึงชีวติ ของท่านว่าจะกินอะไร อย่ากังวลถึงร่างกายของท่าน ว่าจะนุ่งห่มอะไร ชีวิตย่อมสำ�คัญกว่าอาหาร และร่างกายย่อมสำ�คัญกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ จงมองดูนก ในอากาศเถิด มันมิได้หว่าน มิได้เก็บเกี่ยว มิได้สะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรง เลี้ยงมัน ท่านทั้งหลายมิได้มีค่ามากกว่านกหรือ ท่านใดบ้างที่กังวลแล้วต่ออายุของตนให้ยาวออกไปอีกสัก หนึ่งวันได้ ท่านจะกังวลถึงเครื่องนุ่งห่มทำ�ไม จงสังเกตดูดอกไม้ในทุ่งนาเถิด มันเจริญงอกงามขึ้นได้อย่างไร มันไม่ทำ�งาน มันไม่ปั่นด้าย แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อทรงเครื่องอย่างหรูหรา ก็ยัง ไม่งดงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง แม้แต่หญ้าในทุ่งนา ซึ่งมีชีวิตอยู่วันนี้ รุ่งขึ้นจะถูกโยนทิ้งในเตาไฟ พระเจ้า ยังทรงตกแต่งให้งดงามเช่นนี้ พระองค์จะไม่สนพระทัยท่านมากกว่านัน้ หรือ ท่านช่างมีความเชือ่ น้อยจริง ดัง นั้น อย่ากังวลและกล่าวว่า ‘เราจะกินอะไร หรือจะดื่มอะไร หรือเราจะนุ่งห่มอะไร’ เพราะสิ่งต่างๆ เหล่านี้ คนต่างศาสนาแสวงหา พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ทรงทราบแล้วว่าท่านต้องการทุกสิ่งเหล่านี้ จง แสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มทุกสิ่ง เหล่านี้ให้”... “ดังนั้น ท่านทั้งหลายอย่ากังวลถึงวันพรุ่งนี้ เพราะวันพรุ่งนี้จะกังวลสำ�หรับตนเอง แต่ละวันมีทุกข์พอ อยู่แล้ว” พระเยซูเจ้าทรงสอนบรรดาศิษย์ให้เชื่อในพระเจ้าด้วยใจที่ไม่แบ่งแยก เชื่อด้วยสิ้นสุดจิตใจ และ ดำ�รงชีวิตด้วยความหวัง วางใจในพระองค์ผู้ทรงดูแลเราทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต จากบทอ่านแรก กล่าว ถึงแบบอย่างความผิดร้ายกาจของประชากรของพระเจ้าที่ปันใจไปหาพระอื่น นำ�มาซึ่งความพินาศอันเป็นบท เรียนสำ�คัญสำ�หรับคริสตชนในปัจจุบัน ดังนั้น เราจะต้องมุ่งปฏิบัติความรักต่อพระเจ้าและเพื่อนพี่น้องด้วยสุด กำ�ลัง พระองค์จะทรงเพิ่มเติมทุกสิ่งที่จำ�เป็นให้แก่เรา
สมโภช น.ยอห์น บัปติสต์ บังเกิด
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 49:1-6 ดินแดนชายทะเลและเกาะทัง้ หลายเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้าเถิด ประชาชนทีอ่ ยูส่ ดุ แดน ไกล จงตั้งใจฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกข้าพเจ้าก่อนที่ข้าพเจ้าเกิด ทรงขานชื่อ ข้าพเจ้าตัง้ แต่อยูใ่ นครรภ์มารดา พระองค์ทรงทำ�ให้ปากข้าพเจ้าเป็นเสมือนดาบคม ทรง ซ่อนข้าพเจ้าไว้ในร่มเงาพระหัตถ์พระองค์ ทรงทำ�ให้ขา้ พเจ้าเป็นเสมือนลูกศรแหลมคม และทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในแล่งเก็บลูกศรของพระองค์ พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “อิสราเอลเอ๋ย ท่านเป็นผูร้ บั ใช้ของเรา เราจะแสดงสิรริ งุ่ โรจน์ของเราโดยทางท่าน” แต่ ข้าพเจ้ากลับคิดว่า “ข้าพเจ้าได้ทำ�งานเหนื่อยเปล่า ข้าพเจ้าเสียแรงไปเปล่าๆ ไร้ ประโยชน์” ถึงกระนั้น รางวัลของข้าพเจ้าอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน และ ค่าตอบแทนของข้าพเจ้าก็อยูก่ บั พระเจ้าของข้าพเจ้า องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงสร้างข้าพเจ้า มาในครรภ์มารดาให้เป็นผูร้ บั ใช้พระองค์ เพือ่ นำ�ยาโคบกลับมาหาพระองค์ และรวบรวม อิสราเอลมาอยู่กับพระองค์ บัดนี้ พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้รับเกียรติ เฉพาะพระพักตร์พระองค์ พระเจ้าของข้าพเจ้าทรงเป็นพละกำ�ลังของข้าพเจ้า พระองค์ ตรัสว่า “เป็นการน้อยไปที่ท่านจะเป็นผู้รับใช้ของเรา เพื่อสถาปนาเผ่าพันธุ์ยาโคบขึ้น ใหม่ และรวบรวมอิสราเอลที่เหลืออยู่อีกครั้งหนึ่ง เราจะให้ท่านเป็นแสงสว่างส่อง นานาชาติ เพื่อความรอดพ้นที่เรานำ�มาให้จะได้แผ่ไปจนสุดปลายแผ่นดิน” เพลงสดุดี สดด 139:1-3,13-14,15-16 ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงตรวจสอบ และทรงรู้จักข้าพเจ้า พระองค์ทรงทราบว่าเมื่อใดข้าพเจ้านั่ง เมื่อใดข้าพเจ้าลุกขึ้น พระองค์ทรงเข้าใจความคิดของข้าพเจ้าแม้อยู่ห่างไกล พระองค์ทรงตรวจสอบเมื่อข้าพเจ้าเดินทางและหยุดพัก ทรงทราบหนทางทั้งหมดของข้าพเจ้า ข) พระองค์ทรงปั้นส่วนต่างๆ ภายในของข้าพเจ้า ทรงถักทอข้าพเจ้าในครรภ์มารดา ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระองค์ที่ทรงสร้างข้าพเจ้าให้เป็นดังปาฏิหาริย์ พระราชกิจของพระองค์น่าพิศวง พระองค์ทรงรู้จักข้าพเจ้าอย่างดี ค) โครงร่างของข้าพเจ้าไม่เป็นสิ่งลึกลับส�ำหรับพระองค์ เมื่อข้าพเจ้าถูกปั้นอย่างเงียบๆ และถูกถักทอขึ้นในส่วนลึกของแผ่นดิน ข้าพเจ้ายังเป็นตัวอ่อนในครรภ์
พระองค์ก็ทอดพระเนตรเห็นแล้ว ทุกอย่างมีเขียนไว้ในหนังสือของพระองค์ วันเวลาถูกก�ำหนดไว้แล้ว ก่อนที่จะเกิดขึ้น
บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 13:22-26 เมื่อทรงปลดกษัตริย์ซาอูลจากตำ�แหน่งแล้ว ก็ทรงแต่งตั้งดาวิดให้เป็นกษัตริย์ปกครองประชากร อิสราเอล ดังที่มีคำ�ยืนยันในพระคัมภีร์ว่า ‘เราพบดาวิดบุตรของเจสซี เขาเป็นคนที่เราพอใจ เขาจะทำ�ตาม ความประสงค์ของเราทุกประการ’ จากเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิดนี้ พระเจ้าประทานพระเยซูเจ้าเป็นผู้ช่วย อิสราเอลให้รอดพ้นตามพระสัญญา ยอห์นเตรียมรับเสด็จพระองค์ ประกาศพิธีล้างให้ประชาชนอิสราเอล ทั้งปวงกลับใจ ขณะที่ยอห์นกำ�ลังทำ�ภารกิจของตนให้สำ�เร็จไป เขากล่าวว่า ‘ข้าพเจ้ามิได้เป็นอย่างที่ท่าน ทั้งหลายคิด แต่บัดนี้ มีผู้หนึ่งกำ�ลังมาภายหลังข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะแก้สายรัดรองเท้า ของเขา’ พีน่ อ้ งทัง้ หลาย ผูเ้ ป็นบุตรจากเชือ้ สายของอับราฮัมและท่านทีเ่ คารพยำ�เกรงพระเจ้า พระเจ้าทรงส่งข่าว เรื่องความรอดพ้นนี้แก่เรา บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 1:57-66,80 เมื่อครบกำ�หนดคลอด นางเอลีซาเบธให้กำ�เนิดบุตรชายคนหนึ่ง เพื่อนบ้านและบรรดาญาติรู้ว่าองค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงแสดงพระกรุณายิ่งใหญ่ต่อนาง จึงมาร่วมยินดีกับนาง เมื่อเด็กเกิดได้แปดวัน เพื่อนบ้านและญาติพี่น้องมาทำ�พิธีสุหนัตให้ เขาต้องการเรียกเด็กว่าเศคาริยาห์ ตามชื่อบิดา แต่มารดาของเด็กค้านว่า “ไม่ได้ เขาจะต้องชื่อยอห์น” คนเหล่านั้นจึงพูดกับนางว่า “ท่านไม่มี ญาติคนใดมีชื่อนี้” เขาเหล่านั้นจึงส่งสัญญาณถามบิดาของเด็กว่าต้องการให้บุตรชื่ออะไร เศคาริยาห์ขอ กระดานแผ่นหนึ่งแล้วเขียนว่า “เขาชื่อยอห์น” ทุกคนต่างประหลาดใจ ทันใดนั้น เศคาริยาห์ก็กลับพูดได้ อีก เขาจึงกล่าวถวายพระพรพระเจ้า เพื่อนบ้านทุกคนต่างรู้สึกกลัว และเรื่องทั้งหมดนี้ได้เล่าลือกันไปทั่ว แถบภูเขาของแคว้นยูเดีย ทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างก็แปลกใจและถามกันว่า “แล้วเด็กคนนี้จะเป็นอะไร” เพราะพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่กับเขา เด็กนั้นเจริญเติบโตขึ้น จิตใจของเขาเข้มแข็งขึ้นด้วย เขาอาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารจนถึงวันที่เขาแสดง ตนแก่ประชากรอิสราเอล ความยินดีของนักบุญยอห์นบัปติสต์อยูท่ กี่ ารได้รบั เกียรติเป็นผูเ้ ตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า วันนี้ เราสมโภชท่านนักบุญยอห์นบัปติสต์ ขอเชิญเราร่วมยินดีในพระเยซูคริสตเจ้าผูท้ ที่ า่ นนักบุญเทิดทูนเถิด เพิม่ พูน ความเชื่อในพระองค์เพราะทรงเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าดังที่ประกาศกอิสยาห์ได้กล่าวไว้ ทรงสืบเชื้อสายของ กษัตริย์ดาวิดตามที่หนังสือกิจการอัครสาวกได้ยืนยัน ทรงเป็นพระผู้ไถ่ชาวเราอย่างแท้จริง พระหัตถ์ขององค์ พระผู้เป็นเจ้าอยู่กับนักบุญยอห์นฉันใด ผู้ที่เชื่อวางใจในพระเยซูคริสตเจ้าก็จะได้รับพระพรอันอุดมฉันนั้น
บทอ่านที่ 1 2 พกษ 17:5-8,13-15ก,18 กษัตริยแ์ ห่งอัสซีเรียทรงยกทัพมารุกรานแผ่นดินทัง้ หมด เสด็จมาถึงกรุงสะมาเรีย และทรงล้อมเมืองเป็นเวลาสามปี ปีทเี่ ก้าในรัชกาลกษัตริยโ์ ฮเชยา กษัตริยแ์ ห่งอัสซีเรีย ทรงยึดกรุงสะมาเรียได้ ทรงกวาดต้อนชาวอิสราเอลไปเป็นเชลยที่อัสซีเรีย ให้ตั้ง หลักแหล่ง บางส่วนอยู่ที่เมืองคาลาห์ บางส่วนอยู่ที่แม่นํ้าคาโบร์ในแคว้นโกซาน บาง สัปดาห์ที่ 12 ส่วนอยู่ตามเมืองต่างๆ ของชาวมีเดีย เทศกาลธรรมดา เหตุการณ์นเี้ กิดขึน้ เพราะชาวอิสราเอลทำ�บาปผิดต่อองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของ สดด 60:1,2-3,10-11 ตน พระองค์ทรงนำ�เขาออกจากแผ่นดินอียปิ ต์ พ้นจากมือของกษัตริยฟ์ าโรห์แห่งอียปิ ต์ แต่เขากลับไปนมัสการเทพเจ้าอื่น ปฏิบัติตามประเพณีของชนชาติที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 ทรงขับไล่ออกไปเมื่อชาวอิสราเอลเข้ามาอาศัยอยู่ และปฏิบัติตามประเพณีต่างๆ ที่ กษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงนำ�เข้ามา องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้บรรดาประกาศกและผู้ทำ�นาย มาเตือนชาวอิสราเอลและชาวยูดาห์ว่า “จง ละทิง้ หนทางชัว่ ร้ายของท่าน จงปฏิบตั ติ ามบทบัญญัตแิ ละข้อกำ�หนด ดังทีม่ เี ขียนไว้ในธรรมบัญญัตทิ เี่ รามอบ ให้แก่บรรพบุรุษของท่าน และตกทอดมาถึงท่านทางบรรดาประกาศกผู้รับใช้ของเรา” แต่เขาไม่ยอมเชื่อฟัง มีจิตใจดื้อรั้นเหมือนบรรพบุรุษซึ่งไม่ยอมเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของตน ดูหมิ่นข้อกำ�หนดและพันธ สัญญาซึ่งพระองค์ทรงทำ�กับบรรพบุรุษของเขา ดูหมิ่นคำ�ตักเตือนที่ทรงให้ไว้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธชาวอิสราเอลอย่างยิ่ง และทรงผลักไสเขาให้พ้นจากพระพักตร์ เหลือ ไว้แต่เผ่ายูดาห์เท่านั้น พระวรสาร มธ 7:1-5 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “อย่าตัดสินเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน ท่านตัดสินเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงตัดสินท่านอย่าง นั้น ท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าจะทรงใช้ทะนานนั้นตวงให้ท่าน ทำ�ไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตา ของพี่น้อง แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย ท่านจะกล่าวแก่พี่น้องได้อย่างไรว่า ‘ปล่อยให้ฉัน เขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของท่านเถิด’ ขณะที่มีท่อนซุงอยู่ในดวงตาของท่าน ท่านคนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย จงเอาท่อนซุงออกจากดวงตาของท่านก่อนเถิด แล้วจะได้เห็นชัดก่อนไปเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของ พี่น้อง” มาตรการของคริสตจริยธรรมเริ่มต้นที่ความเชื่อว่า “พระเจ้าเป็นความรัก” (1 ยน 4:8) ทรงรักเรา ก่อน เราทุกคนจึงมีหน้าทีต่ อบแทนความรักนีด้ ว้ ยการรักพระองค์และเพือ่ นพีน่ อ้ ง วันนีพ้ ระเยซูเจ้าเตือนว่าอย่า ทำ�ในสิง่ ทีเ่ กินขอบเขตของเราทีจ่ ะทำ�ได้ และอย่าวางตนเองเป็นมาตรการตัดสินผูอ้ นื่ อย่ายกตนเป็นพระเจ้า ใน บทอ่านที่หนึ่ง กล่าวถึงความรักของพระเจ้าที่ทำ�งานผ่านทางการตักเตือนของประกาศก แต่เป็นใจของพวกเขา ที่ดื้อรั้นไม่เปิดรับความรักนี้จึงนำ�มาซึ่งความพินาศ ขอให้เราดำ�เนินชีวิตตามแบบอย่างพระเยซูเจ้า ยึดความรัก เป็นหลักในการดำ�เนินชีวิตทั้งต่อตัวเราและต่อผู้อื่น
บทอ่านที่ 1 2 พกษ 19:9ข-11,14-21,31-35ก,36 เมื่อกษัตริย์เซนนาเคริบทรงทราบว่ากษัตริย์ทีรหะคาห์ชาวคูชกำ�ลังยกทัพอียิปต์ มาโจมตีพระองค์ จึงทรงส่งผู้นำ�สารมาเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์ ทรงสั่งว่า “ท่านทั้งหลาย จงบอกเฮเซคียาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า “อย่าให้พระเจ้าซึ่งท่านวางใจนั้นลวงท่านได้ โดยสัญญาว่ากรุงเยรูซาเล็มจะไม่ตกอยู่ในมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย บัดนี้ ท่านก็รู้ แล้วว่า บรรดากษัตริย์แห่งอัสซีเรียทรงทำ�สิ่งใดกับแผ่นดินทั้งหลายที่ทรงทำ�ลายล้าง สัปดาห์ที่ 12 แล้วท่านจะรอดพ้นหรือ” เทศกาลธรรมดา กษัตริยเ์ ฮเซคียาห์ทรงอ่านพระราชสาสน์จากผูน้ �ำ สาร แล้วเสด็จขึน้ ไปยังพระวิหาร สดด 48:1-2,3,9-10 ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงกางพระราชสาสน์นั้นเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วทรงอธิษฐาน... ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 อิสยาห์บุตรของอามอสจึงส่งคนไปทูลกษัตริย์เฮเซคียาห์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอลตรัสว่า “เราได้ยินคำ�อธิษฐานภาวนาของท่านเรื่องกษัตริย์ วันต่อต้านยาเสพติด เซนนาเคริบแห่งอัสซีเรียแล้ว” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสพระวาจานี้กล่าวโทษเขาว่า “ศิโยนซึ่งเป็นเสมือนหญิงสาวพรหมจารี สบประมาทท่าน ดูถูกท่าน กรุงเยรูซาเล็มสั่นศีรษะเย้ยหยัน ท่าน ชนส่วนที่เหลือจะออกมาจากกรุงเยรูซาเล็ม ผู้รอดชีวิตจะออกมาจากภูเขาศิโยน องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งสากลโลก จะทรงกระทำ�เช่นนี้ เพราะความรักเปี่ยมล้นของพระองค์” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสถึงกษัตริยแ์ ห่งอัสซีเรียว่า “เขาจะไม่เข้าเมืองนี้ จะไม่ยงิ ธนูใส่เมืองนี้ จะไม่มที หาร ถือโล่เข้ามาใกล้ จะไม่สร้างเนินดินเพื่อปีนกำ�แพงเมือง เขาจะต้องกลับไปตามทางที่เขามา เขาจะไม่เข้าเมือง นี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เราจะป้องกันและช่วยเมืองนี้ให้รอดพ้น เพราะเห็นแก่เรา และเห็นแก่ดาวิด ผู้รับใช้ของเรา”... พระวรสาร มธ 7:6,12-14 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “อย่าให้ของศักดิส์ ทิ ธิแ์ ก่สนุ ขั อย่าโยนไข่มกุ ให้สกุ รเพราะมันจะเหยียบยํา่ ทำ�ให้เสียของ และหันมากัด ท่านอีกด้วย” “ท่านอยากให้เขาทำ�กับท่านอย่างไร ก็จงทำ�กับเขาอย่างนัน้ เถิด นีค่ อื ธรรมบัญญัตแิ ละคำ�สอนของบรรดา ประกาศก” “จงเข้าทางประตูแคบ เพราะประตูและทางที่นำ�ไปสู่หายนะนั้นกว้างขวาง คนที่เข้าทางนี้มีจำ�นวนมาก แต่ประตูและทางซึ่งนำ�ไปสู่ชีวิตนั้นคับแคบ คนที่พบทางนี้มีจำ�นวนน้อย” การเป็นศิษย์ของพระคริสตเจ้าคือชีวติ ทัง้ ครบทีเ่ ลียนแบบพระองค์ บำ�เพ็ญตนในความบริสทุ ธิเ์ พือ่ จะได้คคู่ วรรับพระวาจาและพระกายาของพระองค์มาประทับในตัวเรา ปฏิบตั ติ นตามแนวทางทีท่ รงสอน “ท่าน อยากให้เขาทำ�กับท่านอย่างไร ก็จงทำ�กับเขาอย่างนัน้ เถิด” และวางใจพระเจ้า ไม่หวัน่ ไหวแม้อปุ สรรคจะมากมาย เพียงใด ประตูแคบเป็นชีวิตที่ยากลำ�บาก แต่ขอให้มั่นใจว่าปลายทางคือความสุขแท้จริง กษัตริย์เฮเซคียาห์ถูก ศัตรูเข้าประชิดเมือง ไร้กำ�ลังจะต่อสู้ แต่เพราะความเชื่อและวางใจในพระเจ้า เขาจึงได้รับการปกป้องและความ รอดพ้น
บทอ่านที่ 1 2 พกษ 22:8-13 และ 23:1-3 มหาสมณะฮิลคียาห์บอกชาฟานราชเลขาว่า “ข้าพเจ้าพบหนังสือธรรมบัญญัตอิ ยู่ ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า” ฮิลคียาห์มอบหนังสือนั้นแก่ชาฟาน ซึ่งนำ�มาอ่าน ชาฟานราชเลขาจึงไปทูลกษัตริย์ว่า “บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์นำ�เงินซึ่งอยู่ในพระ วิหารส่งมอบแก่ผู้ดูแลงานซ่อมแซมพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” ชาฟาน ราชเลขาทูลเสริมอีกว่า “สมณะฮิลคียาห์ให้หนังสือเล่มหนึ่งแก่ข้าพเจ้า” แล้วชาฟาน น.ซีริล แห่งอเล็กซานเดรีย ก็อ่านถวายกษัตริย์ เมื่อกษัตริย์ทรงได้ยินถ้อยคำ�จากหนังสือธรรมบัญญัติ พระองค์ทรงฉีกฉลอง พระสังฆราช พระองค์ด้วยความทุกข์ ทรงสั่งสมณะฮิลคียาห์ อาคิคัมบุตรของชาฟาน อัคโบร์บุตร และนักปราชญ์ แห่งพระศาสนจักร ของมีคายาห์ ชาฟานราชเลขา และอาสายาห์ข้าราชบริพารของกษัตริย์ว่า “จงไปทูล ถามองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าให้เรา และให้ประชาชนชาวยูดาห์ทงั้ หลาย เรือ่ งถ้อยคำ�ในหนังสือ สดด 119:33-34,35-36 ทีพ่ บนี้ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงพระพิโรธพวกเราอย่างยิง่ เพราะบรรพบุรษุ ของเราไม่เชือ่ 37 และ 40 ฟังถ้อยคำ�ในหนังสือนี้ และไม่ปฏิบัติตามที่มีเขียนไว้สำ�หรับเรา” ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 กษัตริย์โยสิยาห์ทรงเรียกประชุมบรรดาผู้อาวุโสแห่งอาณาจักรยูดาห์และกรุง เยรูซาเล็ม พระองค์เสด็จขึน้ ไปยังพระวิหารขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พร้อมกับชาวยูดาห์ และผู้อาศัยที่กรุงเยรูซาเล็มทุกคน ... ทรงอ่านถ้อยคำ�ทั้งหมดของหนังสือพันธสัญญา ที่พบในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ทุกคนได้ยิน กษัตริย์ทรงยืนข้างเสา ทรง กระทำ�พันธสัญญาเฉพาะพระพักตร์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าว่าจะดำ�เนินตามองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า จะรักษาบทบัญญัติ กฤษฎีกาและข้อกำ�หนดของพระองค์สุดจิตใจ สุดวิญญาณ จะปฏิบัติตามถ้อยคำ�ของพันธสัญญาที่เขียนไว้ ในหนังสือเล่มนี้ ประชาชนทุกคนปฏิญาณจะทำ�ตามพันธสัญญา พระวรสาร มธ 7:15-20 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงระวังประกาศกเทียมซึ่งมาพบท่าน นุ่งห่มเหมือนแกะ แต่ภายในคือสุนัขป่าดุร้าย ท่านจะรู้จักเขาได้ จากผลงานของเขา มีใครบ้างเก็บผลองุน่ จากต้นหนาม หรือเก็บผลมะเดือ่ เทศจากพงหนาม ในทำ�นองเดียวกัน ต้นไม้พันธุ์ดีย่อมเกิดผลดี ต้นไม้พันธุ์ไม่ดีย่อมเกิดผลไม่ดี ต้นไม้พันธุ์ดีจะเกิดผลไม่ดีมิได้ และต้นไม้พันธุ์ ไม่ดกี ไ็ ม่อาจเกิดผลดีได้ ต้นไม้ทกุ ต้นทีไ่ ม่เกิดผลดียอ่ มถูกโค่นทิง้ ในกองไฟ ดังนัน้ ท่านจะรูจ้ กั ประกาศกเทียม ได้จากผลงานของเขา” ยุคโลกาภิวัฒน์ในปัจจุบัน สังคมเทคโนโลยีสารสนเทศ ข้อมูลข่าวสารกระจายฟุ้งไปทั่วทุกที่และ ง่ายทีจ่ ะเข้าถึง แต่ยากทีจ่ ะพิสจู น์ขอ้ เท็จจริง พระเยซูเจ้าทรงเตือนบรรดาศิษย์ดว้ ยความห่วงใยว่าให้เรียนรูท้ จี่ ะ ใช้ทุกความชาญฉลาดในโลกเพื่อ “แยกแยะ” ความจริงและสิ่งลวง สิ่งเท็จจะต้องถูกทำ�ลาย แต่สิ่งที่จริงแท้จะ นำ�ความสุขความยินดี เหมือนในสมัยของกษัตริยโ์ ยสิยาห์ทไี่ ด้พบความจริงจากหนังสือธรรมบัญญัตทิ อี่ ยูใ่ นพระ วิหาร พระองค์ทรงยึดไว้และประกาศแก่ประชากร ด้วยเหตุนี้ทั้งเมืองจึงสงบร่มเย็น สำ�หรับคริสตชนจะมีความ สุขเพียงใดที่ได้ยึดพระวาจาแห่งความจริงไว้และปฏิบัติตามด้วยใจกระตือรือร้น
บทอ่านที่ 1 2 พกษ 24:8-17 เยโฮยาคีนทรงเป็นกษัตริยเ์ มือ่ พระชนมายุสบิ แปดพรรษา และทรงครองราชย์เป็น เวลาสามเดือนที่กรุงเยรูซาเล็ม... พระองค์ทรงทำ�ความชั่วเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้ เป็นเจ้าดังที่พระบิดาทรงทำ� สมัยนั้น นายทหารของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ยกทัพมาล้อมกรุง เยรูซาเล็ม ขณะทีน่ ายทหารล้อมเมืองอยูน่ นั้ กษัตริยเ์ นบูคดั เนสซาร์แห่งบาบิโลนเสด็จ มาที่นั่น กษัตริย์เยโฮยาคีนแห่งยูดาห์เสด็จมายอมจำ�นนกษัตริย์แห่งบาบิโลน พร้อม กับพระมารดา ข้าราชบริพาร นายทหารและข้าราชสำ�นัก กษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงนำ� กษัตริย์เยโฮยาคีนไปเป็นเชลยในปีที่แปดของรัชกาล... กษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงกวาดต้อนชาวเยรูซาเล็มทั้งหมดจำ�นวนหนึ่งหมื่นคนไป เป็นเชลย... พระองค์ทรงนำ�กษัตริย์เยโฮยาคีนเป็นเชลยไปกรุงบาบิโลน พร้อมกับ พระมารดา บรรดามเหสี ข้าราชบริพาร และชนชัน้ นำ�ของแผ่นดินพระองค์ทรงนำ�บุคคล เหล่านี้จากกรุงเยรูซาเล็มไปเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลน... กษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงแต่งตั้งมัทธานียาห์ พระปิตุลาของกษัตริย์เยโฮยาคีน ขึ้นเป็นกษัตริย์แทน และทรงเปลี่ยนพระนามเป็นเศเดคียาห์
ระลึกถึง น.อีเรเนโอ พระสังฆราช และมรณสักขี สดด 79:1-2,3-5, 8-9 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
พระวรสาร มธ 7:21-29 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “คนที่กล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า’ นั้นมิใช่ทุกคนจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติ ตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผูส้ ถิตในสวรรค์นนั่ แหละจะเข้าสูส่ วรรค์ได้ ในวันนัน้ หลายคนจะกล่าว แก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ประกาศพระวาจาในพระนามพระองค์ ขับไล่ปีศาจใน พระนามพระองค์ และได้ท�ำ อัศจรรย์หลายประการในพระนามพระองค์มใิ ช่หรือ’ เมือ่ นัน้ เราจะกล่าวแก่เขา ว่า ‘เราไม่เคยรู้จักท่านทั้งหลายเลย ท่านผู้ทำ�ความชั่ว จงไปให้พ้นหน้าเรา’” “ผู้ใดฟังถ้อยคำ�เหล่านี้ของเราและปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนมีปัญญาที่สร้างบ้านไว้บนหิน ฝนจะ ตก นาํ้ จะไหลเชีย่ ว ลมจะพัดโหมเข้าใส่บา้ นหลังนัน้ บ้านก็ไม่พงั เพราะมีรากฐานอยูบ่ นหิน ผูใ้ ดทีฟ่ งั ถ้อยคำ� เหล่านี้ของเรา และไม่ปฏิบัติตามก็เปรียบเสมือนคนโง่เขลาที่สร้างบ้านไว้บนทราย เมื่อฝนตก นํ้าไหลเชี่ยว ลมพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น มันก็พังทลายลงและเสียหายมาก” เมือ่ พระเยซูเจ้าตรัสถ้อยคำ�เหล่านีจ้ บแล้ว ประชาชนต่างพิศวงในคำ�สัง่ สอนของพระองค์ เพราะพระองค์ ทรงสอนเขาอย่างผู้มีอำ�นาจ ไม่ใช่สอนเหมือนบรรดาธรรมาจารย์ของเขา ใครก็ตามกล่าวว่าตนเป็นศาสนิกชนแต่ไม่เคยปฏิบัติหลักคำ�สอนของศาสนาเลย เขาก็หลอกลวง ทัง้ ผูอ้ นื่ และตนเอง จากแบบอย่างกษัตริยเ์ ยโฮยาคีนและชาวเมืองทีไ่ ด้ชอื่ ว่าเป็นประชากรของพระเจ้า แต่ไม่เชือ่ ฟังและไม่ปฏิบัติตามบัญญัติของพระองค์ จึงนำ�มาซึ่งความพินาศใหญ่หลวง ดังนั้น การเป็นคริสตชนที่แท้จริงก็ คือการ “ฟังและปฏิบัติตาม” พระวาจาที่พระเยซูเจ้าทรงสอน เลียนแบบอย่างชีวิตของพระองค์ ผู้ที่กระทำ�ดังนี้ จะได้รับความสุขแท้จริง “เพราะพระอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา” (มธ 5:3,10)
สัปดาห์ที่ 12 เทศกาลธรรมดา สดด 137:1-3,4-6 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านที่ 1 2 พกษ 25:1-12 ปีทเี่ ก้าในรัชกาลกษัตริยเ์ ศเดคียาห์ วันทีส่ บิ เดือนสิบ กษัตริยเ์ นบูคดั เนสซาร์แห่ง บาบิโลนทรงยกทัพมาโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม ทรงตั้งค่ายอยู่หน้าเมือง และทรงสร้างเนิน ดินขึ้นโดยรอบเพื่อปีนกำ�แพงเมือง เมืองถูกล้อมอยู่จนถึงปีที่สิบเอ็ดในรัชกาลกษัตริย์ เศเดคียาห์ ปีนนั้ เกิดความอดอยากอย่างสาหัสในเมืองจนไม่มอี าหารสำ�หรับประชาชน ของแผ่นดิน วันที่เก้าเดือนสี่ ชาวบาบิโลนพังกำ�แพงเมืองลงส่วนหนึ่ง ในคืนนั้นทหาร ทุกคนต่างหลบหนีผ่านทางประตูระหว่างกำ�แพงใกล้พระราชอุทยาน ทั้งๆ ที่ชาว เคลเดียกำ�ลังล้อมเมืองอยู่ กษัตริย์เสด็จไปทางลุ่มแม่นํ้าจอร์แดน กองทัพชาวเคลเดีย ไล่ตามกษัตริย์ไปทันที่บริเวณที่ราบใกล้เมืองเยรีโค ทหารของพระองค์ต่างละทิ้ง พระองค์ไว้แล้วหลบหนีไป ชาวเคลเดียจับกุมพระองค์เป็นเชลยและนำ�ไปเฝ้ากษัตริย์ แห่งบาบิโลนที่เมืองริบลาห์ พระองค์ทรงถูกพิพากษาที่นั่น พระโอรสของกษัตริย์ เศเดคียาห์ถูกประหารชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระบิดา กษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงสั่งให้ ควักพระเนตรของกษัตริย์เศเดคียาห์ แล้วทรงพันธนาการนำ�ไปยังกรุงบาบิโลน วันที่เจ็ดเดือนห้า ปีที่สิบเก้า ในรัชกาลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหารองครักษ์ เป็นผู้แทนกษัตริย์แห่งบาบิโลน ยกพลเข้าสู่ กรุงเยรูซาเล็ม เขาเผาพระวิหารขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า พระราชวังและบ้านเรือนทัง้ หมด ในกรุงเยรูซาเล็ม อาคารใหญ่ทุกหลังถูกเผาไฟ กองทหารชาวเคลเดียซึ่งอยู่กับผู้ บัญชาการทหารองครักษ์ทำ�ลายกำ�แพงรอบกรุงเยรูซาเล็ม เนบูซาระดานผู้บัญชาการ ทหารองครักษ์ กวาดต้อนผู้คนที่เหลืออยู่ในเมือง รวมทั้งทุกคนที่หนีไปอยู่กับกษัตริย์ แห่งบาบิโลนและประชาชนที่เหลือไปเป็นเชลย แต่ผู้บัญชาการทหารองครักษ์ปล่อย คนยากจนของแผ่นดินไว้บางส่วน เพื่อทำ�งานในสวนองุ่น และทำ�ไร่ไถนา
พระวรสาร มธ 8:1-4 เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จลงมาจากภูเขา ประชาชนจำ�นวนมากติดตามพระองค์ ทันใดนั้น คนโรคเรื้อนคน หนึง่ มาเฝ้าพระองค์ กราบลงทูลว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัย ก็ทรงรักษาข้าพเจ้าให้หายได้” พระองค์ ทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัสว่า “เราพอใจ จงหายเถิด” โรคเรื้อนก็หายไปทันที พระเยซูเจ้าตรัสกับเขา อีกว่า “ระวัง อย่าบอกให้ใครรู้เลย จงไปแสดงตนแก่สมณะและถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสสกำ�หนด เพื่อ เป็นพยานหลักฐานแก่คนทั้งหลาย” โรคเรื้อนเป็นอาการ “ตายทั้งเป็น” ร่างกายถูกกัดกิน จิตใจชํ้าชอก ไร้ศักดิ์ศรี สังคมรังเกียจ จะ ไปไหนมาไหนก็จะต้องสั่นกระดิ่งเพื่อเตือนคนรอบข้างให้ระวังตนเอง ใครสัมผัสเขาจะต้องเป็นมลทิน วันนี้การ สัมผัสของพระเยซูเจ้าคืนศักดิศ์ รีความเป็นบุตรพระเจ้าให้แก่เขา ทรงรักษาและชีท้ างเขา ด้วยท่าทีสภุ าพของคน โรคเรื้อน ขณะที่ปากของเขาวอนขอการรักษาจากพระเยซูเจ้า หัวใจของเขาก็เปิดรับความเชื่อในพระองค์ แตก ต่างจากกษัตริย์เศเดคียาห์และชาวอิสราเอลในบทอ่านที่หนึ่ง ทั้งที่ตนไร้กำ�ลังแต่ก็ยังปิดหัวใจไม่รับพระเจ้า จึง นำ�มาซึ่งความทุกข์สาหัส
บทอ่านที่ 1 พคค 2:2,10-14,18-19 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำ�ลายที่อาศัยทั้งหมดของยาโคบอย่างไร้พระเมตตา ทรง พังป้อมปราการของธิดาแห่งยูดาห์ด้วยความกริ้ว ทรงกดให้ตํ่าลงถึงพื้นดิน ทรงทำ�ให้ อาณาจักรและเจ้านายของเธอเป็นมลทิน บรรดาผูอ้ าวุโสของธิดาแห่งศิโยนนัง่ เงียบอยูบ่ นพืน้ ดิน โปรยฝุน่ ดินบนศีรษะ สวม ผ้ากระสอบ สาวพรหมจารีแห่งกรุงเยรูซาเล็มก้มศีรษะมองพื้นดิน นัยน์ตาของข้าพเจ้า แดงกํ่าเพราะร้องไห้ จิตใจวุ่นวาย กำ�ลังก็ทรุดลง เพราะความพินาศของธิดาแห่ง น.ปฐมมรณสักขี แห่งพระศาสนจักร ประชากรของข้าพเจ้า เพราะเด็กและทารกเป็นลมสลบอยู่ตามลานในเมือง... กรุงโรม เชิงเทินของธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย จงร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้า จงหลั่งนํ้าตาเหมือน สดด 74:1-2,3-4, ลำ�ธารทัง้ วันทัง้ คืน อย่าหยุดหย่อนเลย... จงชูมอื ขึน้ หาพระองค์ เพือ่ ขอชีวติ ของบรรดา 5-7,20-21 เด็กของเจ้า ที่หิวจนเป็นลมสลบไปตามมุมถนนทุกแห่ง ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
พระวรสาร มธ 8:5-17 เวลานัน้ เมือ่ พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าเมืองคาเปอรนาอุม นายร้อยคนหนึง่ เข้ามาเฝ้าพระองค์ ทูลอ้อนวอน ว่า “พระองค์เจ้าข้า ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าเป็นอัมพาตนอนอยู่ที่บ้าน ต้องทรมานอย่างสาหัส” พระเยซูเจ้าจึง ตรัสกับเขาว่า “เราจะไปรักษาเขาให้หาย” แต่นายร้อยทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่สมควรให้ พระองค์เสด็จเข้ามาในบ้านของข้าพเจ้า แต่ขอพระองค์ตรัสเพียงคำ�เดียวเท่านัน้ ผูร้ บั ใช้ของข้าพเจ้าก็จะหาย จากโรค ข้าพเจ้าเป็นคนอยูใ่ ต้บงั คับบัญชา แต่ยงั มีทหารอยูใ่ ต้บงั คับบัญชาด้วย ข้าพเจ้าสัง่ ทหารคนนีว้ า่ ‘ไป’ เขาก็ไป สั่งอีกคนหนึ่งว่า ‘มา’ เขาก็มา ข้าพเจ้าสั่งผู้รับใช้ว่า ‘ทำ�นี่’ เขาก็ทำ�” เมื่อพระเยซูเจ้าทรงได้ยินเช่น นี้ ทรงประหลาดพระทัย จึงตรัสแก่บรรดาผู้ติดตามว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เรายังไม่เคย พบใครมีความเชือ่ มากเช่นนีใ้ นอิสราเอลเลย เราบอกท่านทัง้ หลายว่า คนจำ�นวนมากจะมาจากทิศตะวันออก และตะวันตก และจะนั่งร่วมโต๊ะกับอับราฮัม อิสอัคและยาโคบในอาณาจักรสวรรค์ แต่บุตรแห่งอาณาจักร จะถูกขับไล่ออกไปในทีม่ ดื ข้างนอก ทีน่ นั่ จะมีแต่การราํ่ ไห้คราํ่ ครวญ และขบฟันด้วยความขุน่ เคือง” แล้วพระ เยซูเจ้าจึงตรัสกับนายร้อยว่า “จงไปเถิด จงเป็นไปตามที่ท่านเชื่อนั้นเถิด” ผู้รับใช้ของเขาก็หายจากโรคใน เวลานั้นเอง เมือ่ พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในบ้านของเปโตร ทรงเห็นมารดาของภรรยาเปโตรนอนป่วยเป็นไข้ พระองค์ จึงทรงจับมือนาง นางก็หายไข้ ลุกขึ้นและปรนนิบัติรับใช้พระองค์ เย็นวันนั้น ประชาชนนำ�ผู้ถูกปีศาจสิงจำ�นวนมากมาเฝ้าพระองค์ พระองค์ทรงขับปีศาจเหล่านี้ออกไป ด้วยพระวาจา และทรงบำ�บัดรักษาผู้ป่วยทุกคน เพื่อให้พระวาจาที่ได้ตรัสไว้ทางประกาศกอิสยาห์เป็นความ จริงว่า พระองค์ทรงรับเอาความอ่อนแอของเราไว้ และทรงแบกความเจ็บป่วยของเรา
คราบนํา้ ตาและใบหน้าทีต่ รอมตรมจากหนังสือเพลงคราํ่ ครวญในบทอ่านทีห่ นึง่ เป็นภาพทีส่ ะท้อน ความทุกข์โศกเศร้าของนายร้อยที่มีต่อผู้รับใช้ที่ป่วยเป็นอัมพาต มารดาของภรรยาเปโตรนอนซมจากความเจ็บ ป่วย ผู้ถูกปีศาจสิงและผู้ป่วยทุกคน หนทางที่ตันบัดนี้พระเยซูเจ้าทรงเป็นหนทาง ความตายที่ต้องเผชิญบัดนี้ พระเยซูเจ้าทรงเป็นชีวิต พระองค์ทรงเป็นความจริงที่ประกาศกอิสยาห์ได้ประกาศ ทรงเป็นพระผู้ไถ่ของเรา ขอ ให้เราสวดภาวนาวอนขอความเชือ่ และความวางใจ พระองค์จะทรงซับนา้ํ ตาทุกหยดของเราและประทานความ บรรเทาใจแก่เรา