ไบเบิลไดอารี่ เดือนกรกฎาคม 2020

Page 1


1

พุธ

กรกฎาคม สัปดาห์ที่ 13 เทศกาลธรรมดา สดด 50:7-10,11-13, 16-18

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1 อมส 5:14-15,21-24 องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลตรัส “จงแสวงหาความดี อย่าแสวงหาความชั่ว แล้วท่านจะมีชวี ติ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาลจะสถิตกับท่านดังทีท่ า่ นอ้าง จงเกลียด ชังความชั่ว จงรักความดี จงตั้งความยุติธรรมไว้ที่ประตูเมือง บางทีองค์พระผู้เป็นเจ้า จอมจักรวาลจะทรงสงสารพงศ์พันธุ์โยเซฟที่เหลืออยู่ เราเกลียด เรารังเกียจเทศกาลฉลองของท่าน เราไม่พอใจการประชุมสง่างามของ ท่าน แม้ท่านทั้งหลายถวายเครื่องเผาบูชา เราก็ไม่พอใจธัญบูชาของท่าน เราไม่มอง สัตว์อว้ นพีทที่ า่ นถวายเป็นศานติบชู า จงให้เสียงอึกทึกของบทเพลงของท่านอยูห่ า่ งจาก เรา เราทนฟังเสียงพิณใหญ่ของท่านไม่ได้ แต่จงให้ความยุตธิ รรมหลัง่ ไหลลงเหมือนนํา้ และให้ความชอบธรรมเป็นเหมือนธารนํ้าที่ไม่มีวันเหือดแห้ง พระวรสาร มธ 8:28-34 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จข้ามฟากมาถึงดินแดนของชาวกาดารา ผู้ถูกปีศาจสิง สองคนออกจากบริเวณหลุมศพมาเฝ้าพระองค์ ทั้งสองคนดุร้ายมากจนไม่มีใครเดิน ผ่านทางนั้นได้ ทันใดนั้น ทั้งสองคนร้องตะโกนว่า “ข้าแต่บุตรของพระเจ้า ท่านมายุ่ง กับเราทำ�ไม ท่านมาทีน่ เี่ พือ่ ทรมานเราก่อนเวลาหรือ” ไม่ไกลจากทีน่ นั่ มีหมูฝงู ใหญ่กำ�ลัง หากินอยู่ พวกปีศาจจึงอ้อนวอนพระองค์วา่ “ถ้าท่านขับไล่พวกเรา ขอได้สง่ เราเข้าไปในหมู ฝูงนั้นเถิด” พระองค์ตรัสกับมันว่า “จงไปเถิด” พวกปีศาจจึงออกไปสิงในหมู หมูทั้ง ฝูงต่างวิง่ กระโจนจากหน้าผาลงไปในทะเลสาบ จมนํา้ ตาย คนเลีย้ งหมูหนีเข้าไปในเมือง เล่าเรื่องทั้งหมดนี้และเรื่องผู้ถูกปีศาจสิงด้วย คนทั้งเมืองต่างออกมาเฝ้าพระเยซูเจ้า เมื่อเห็นพระองค์ ก็ทูลขอพระองค์ให้เสด็จออกไปจากเขตแดนของเขา นักบุญมัทธิวผู้นิพนธ์พระวรสารอยากจะสื่อให้ผู้อ่านเห็นว่าพระเยซูเจ้า มิใช่คนธรรมดา พระองค์มีอานุภาพขับไล่จิตชั่วร้าย จิตมีมลทินได้ คำ�ว่า ปีศาจ หมาย ถึงภาวะของจิตซึ่งไม่ปกติ รังเกียจความบริสุทธิ์ รังเกียจความดีงาม รังเกียจคำ�ว่า พระเจ้า...เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาใกล้ มันจึงรู้ได้ทันทีว่ามันอยู่ไม่ได้แล้ว เหมือนจิต คนดีกบั จิตคนไม่ดยี อ่ มอยูด่ ว้ ยกันยาก จิตของพระเยซูเจ้าสูงกว่าจิตของปีศาจตรงทีว่ า่ จิตของพระองค์เป็นจิตที่เปี่ยมด้วยความเมตตา บริสุทธิ์ เหตุนี้เอง พระองค์จึงอนุญาต ให้ตามที่มันขอ คือขอไปอยู่ในฝูงหมู พระองค์ไม่ได้ทำ�ลายจิตนั้น จิตของฉันล่ะอยู่ใน ภาวะใด??


2

พฤหัสบดี บทอ่านที่ 1 อมส 7:10-17 อามาซิยาห์สมณะที่เมืองเบธเอลส่งคนไปทูลกษัตริย์เยโรโบอัมแห่งอิสราเอลว่า “อาโมสได้คดิ กบฏต่อพระองค์ในหมูพ่ งศ์พนั ธุอ์ สิ ราเอล แผ่นดินทนฟังถ้อยคำ�ของเขา ไม่ได้ เพราะอาโมสพูดว่า ‘กษัตริย์เยโรโบอัมจะสิ้นพระชนม์ด้วยดาบ และอิสราเอลจะ ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยห่างจากแผ่นดินของตน’” สมณะอามาซิยาห์กล่าวแก่ประกาศกอาโมสว่า “ท่านผู้ทำ�นาย ไปเสียเถอะ จง สัปดาห์ที่ 13 กลับไปอยู่ในแผ่นดินยูดาห์ ไปทำ�มาหากินที่นั่น และประกาศพระวาจาที่น่ันเถิด แต่ เทศกาลธรรมดา อย่าประกาศพระวาจาที่เบธเอลอีกต่อไป เพราะที่นี่เป็นสักการสถานของกษัตริย์ และ สดด 19:7,8-10 เป็นพระวิหารของราชอาณาจักร” อาโมสจึงตอบสมณะอามาซิยาห์ว่า “ข้าพเจ้าไม่เคย เป็นประกาศก หรือเป็นสมาชิกของกลุ่มประกาศก ข้าพเจ้าเคยเป็นคนเลี้ยงสัตว์และ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 เป็นคนแต่งต้นมะเดื่อเทศ และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้ข้าพเจ้าเลิกต้อนฝูงแพะแกะ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘ไปเถอะ จงไปประกาศพระวาจาแก่อิสราเอล ประชากรของเรา’ บัดนี้ จงฟังพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด ท่านพูดว่า ‘อย่าประกาศพระวาจากล่าวโทษอิสราเอล อย่าเทศน์สอนกล่าวโทษพงศ์พนั ธุอ์ สิ อัค’ ดีแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ‘ภรรยาของท่านจะเป็นหญิงโสเภณีในเมือง บุตรชายหญิงของท่านจะล้มลงด้วย ดาบ เขาจะขึงเชือกแบ่งทีด่ นิ ของท่าน ท่านจะตายในแผ่นดินทีม่ มี ลทิน และอิสราเอลจะถูกกวาดต้อนไปเป็น เชลย ห่างจากแผ่นดินของตนอย่างแน่นอน’”

กรกฎาคม

พระวรสาร มธ 9:1-8 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือข้ามฝั่งกลับมายังเมืองของพระองค์ ทันใดนั้น มีผู้หามคนอัมพาตคน หนึ่งนอนบนแคร่มาเฝ้าพระองค์ เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเห็นความเชื่อของเขา จึงตรัสแก่คนอัมพาตว่า “ทำ�ใจ ดีๆ ไว้เถิด ลูกเอ๋ย บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว” ธรรมาจารย์บางคนคิดในใจว่า “คนนี้กล่าวดูหมิ่น พระเจ้า” พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขา จึงตรัสว่า “ท่านคิดร้ายในใจทำ�ไม อย่างใดง่ายกว่ากัน การ บอกว่า ‘บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว’ หรือบอกว่า ‘ลุกขึ้น เดินไปเถิด’ แต่เพื่อให้ท่านทราบว่า บุตรแห่ง มนุษย์มีอำ�นาจอภัยบาปได้บนแผ่นดินนี้” พระองค์จึงตรัสสั่งคนอัมพาตว่า “จงลุกขึ้น แบกแคร่ กลับบ้าน เถิด” เขาก็ลกุ ขึน้ กลับไปบ้าน เมือ่ ประชาชนเห็นดังนี้ ต่างมีความกลัว ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ผูป้ ระทาน อำ�นาจเช่นนี้ให้แก่มนุษย์ พระวรสารวันนีส้ ะท้อนถึงความจริงทีค่ นทุกวันนีส้ ว่ นใหญ่มองข้ามไปคือ ความชัว่ ร้ายทัง้ หลาย ล้วนมีรากเหง้ามาจากบาปทัง้ สิน้ บางคนจะแย้งว่าคนป่วยไม่ได้ท�ำ บาปอะไรนี.่ ..แต่ความจริงคือ ผลของบาป ร้ายแรงเกินกว่าที่คนๆ นั้นจะยอมรับได้ บาปเมื่อเกิดขึ้นมันมีผลกระทบกับทุกคน ทั้งคนที่กระทำ�และคนที่ อยูข่ า้ งเคียง รวมทัง้ คนทีไ่ ม่รเู้ รือ่ งอะไรกับบาปนัน้ ด้วย นักเทววิทยาเรียกว่า บาปสังคม ผลของบาปคือความ ชัว่ ร้ายและความตาย พระเยซูเจ้ารักษาคนอัมพาตด้วยการอภัยบาป อภัยรากเหง้าของปัญหา เหตุนพี้ ระองค์ จึงตรัสว่า บาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว ท่านผู้อ่านล่ะ ท่านเชื่อหรือไม่ว่า บาปมีผลร้ายทั้งต่อตัวเองและ ผู้อื่น?


3 ศุกร

กรกฎาคม ฉลอง น.โทมัส อัครสาวก สดด 117:1,2

วันศุกร์ต้นเดือน

บทอ่านที่ 1 อฟ 2:19-22 พีน่ อ้ ง ท่านจึงไม่เป็นคนต่างด้าวหรือผูม้ าขออาศัยอีกต่อไป แต่เป็นเพือ่ นร่วมชาติ กับบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า ถูกสร้างขึ้นเป็นอาคารโดย มีบรรดาอัครสาวกและประกาศกเป็นรากฐาน มีพระคริสตเยซูทรงเป็นศิลาหัวมุม พระคริสตเจ้าทรงทำ�ให้อาคารทุกส่วนต่อกันสนิทเจริญขึ้นเป็นพระวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อ องค์พระผู้เป็นเจ้า ในพระคริสตเจ้า ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกันกำ�ลังถูกก่อสร้างร่วม กันขึ้นเป็นที่ประทับของพระเจ้าเดชะพระจิตเจ้า พระวรสาร ยน 20:24-29 เวลานั้น โทมัส ซึ่งเรียกกันว่า “ฝาแฝด” เป็นคนหนึ่งในบรรดาอัครสาวกสิบสอง คน ไม่ได้อยูก่ บั อัครสาวกคนอืน่ ๆ เมือ่ พระเยซูเจ้าเสด็จมา ศิษย์คนอืน่ บอกเขาว่า “พวก เราเห็นองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าแล้ว” แต่เขาตอบว่า “ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เห็นรอยตะปูทพี่ ระหัตถ์ และไม่ได้เอานิว้ แยงเข้าไปทีร่ อยตะปู และไม่ได้เอามือคลำ�ทีด่ า้ นข้างพระวรกาย ข้าพเจ้า จะไม่เชื่อเป็นอันขาด” แปดวันต่อมา บรรดาศิษย์อยู่ด้วยกันในบ้านนั้นอีก โทมัสก็อยู่ กับเขาด้วย พระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามายืนอยู่ตรงกลางทั้งๆ ที่ประตูปิดอยู่ ตรัสกับเขา ทั้งหลายว่า “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด” แล้วตรัสกับโทมัสว่า “จงเอานิ้วมา ที่นี่ และดูมือของเราเถิด จงเอามือมาที่นี่ คลำ�ที่สีข้างของเรา อย่าสงสัยอีกต่อไป แต่ จงเชื่อเถิด” โทมัสทูลพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า และพระเจ้าของ ข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา ผู้ที่เชื่อ แม้ไม่ได้เห็น ก็ เป็นสุข” มนุษย์ทั่วไปมักจะใช้สายตาเป็นบรรทัดฐานบอกว่าสิ่งนั้นหรือสิ่งนี้มีอยู่ จริงหรือไม่มี แต่สายตาไม่อาจยืนยันความถูกต้องได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นต้นความจริง ทีล่ ะเอียดจนเกินทีส่ ายตาจะจับภาพได้ ความจริงของพระเจ้าทีท่ �ำ ให้พระเยซูฟนื้ คืนชีพ ก็เช่นกัน มนุษย์จะเข้าถึงการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าได้กโ็ ดยอาศัยความเชือ่ ว่า ไม่มี อะไรทีพ่ ระเจ้าจะทำ�ไม่ได้ ความเชือ่ ของมนุษย์จะเพิม่ พูนขึน้ เมือ่ เขามีประสบการณ์ตรง กับพระเยซูเจ้า การอธิษฐานภาวนาต่อพระ การรื้อฟื้นความเชื่อในพระเจ้า การอุทิศ ตนเพื่อรับใช้พระล้วนเป็นสิ่งที่ช่วยให้ทุกคนมีประสบการณ์ตรงกับพระเจ้าทั้งสิ้น และ เมื่อเชื่อแล้วก็ไม่จำ�เป็นต้องพิสูจน์อะไรอีก


4

เสาร

บทอ่านที่ 1 อมส 9:11-15 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “วันนั้น เราจะตั้งเพิงที่ล้มลงแล้วของดาวิดขึ้นใหม่ จะ ซ่อมแซมช่องโหว่ จะตั้งซากปรักหักพังขึ้นใหม่ จะสร้างเพิงขึ้นใหม่ให้เหมือนในสมัย นานมาแล้ว เขาจะได้ยึดคนที่เหลือของเอโดม และยึดชนชาติทั้งหลายที่เคยเป็นของ เราเป็นกรรมสิทธิ์” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส และจะทรงกระทำ�เช่นนี้ “ดูซิ วันเวลาจะมาถึง องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เมื่อคนไถจะตามทันคนเกี่ยว ผู้ยํ่า ผลองุ่นจะตามทันผู้หว่านเมล็ด เหล้าองุ่นใหม่จะไหลจากภูเขา ไหลลงมาตามเนินเขา ทุกแห่ง เราตั้งใจจะนำ�อิสราเอลประชากรของเราที่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยกลับมา เขาจะสร้างเมืองที่ถูกทำ�ลายแล้วขึ้นใหม่และจะเข้าไปอาศัยอยู่ เขาจะปลูกสวนองุ่น และดืม่ เหล้าองุน่ ของสวนนัน้ เขาจะทำ�สวนผลไม้และจะกินผลจากสวนนัน้ เราจะปลูก เขาไว้ในแผ่นดินของเขา เขาจะไม่ถูกถอนออกไปอีกเลย จากแผ่นดินซึ่งเราได้มอบแก่ เขา องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านตรัสไว้” พระวรสาร มธ 9:14-17 วันหนึง่ บรรดาศิษย์ของยอห์นเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำ�ไมพวกเราและพวก ฟาริสีจำ�ศีลอดอาหาร แต่ศิษย์ของท่านไม่จำ�ศีลเลย” พระองค์ทรงตอบว่า “ผู้รับเชิญ มาในงานแต่งงานจะโศกเศร้าหรือ ขณะที่เจ้าบ่าวยังอยู่กับเขา แต่จะมีวันหนึ่งที่เจ้าบ่าว จะถูกแยกไป วันนั้นเขาจะจำ�ศีลอดอาหาร ไม่มีใครนำ�ผ้าใหม่ไปปะเสื้อเก่า เพราะผ้า ใหม่ทนี่ ำ�มาปะเสือ้ เก่านัน้ จะหดตัว ทำ�ให้รอยขาดมากกว่าเดิม ไม่มใี ครใส่เหล้าองุน่ ใหม่ ลงในถุงหนังเก่า เพราะถุงหนังจะขาด เหล้าองุ่นจะรั่วและถุงหนังจะเสียหายไปด้วย แต่เขาย่อมใส่เหล้าองุ่นใหม่ลงในถุงหนังใหม่และทั้งสองอย่างจะไม่เสียหาย” คำ�สอนของพระองค์ในวันนี้แบ่งเป็น 2 เรื่อง เรื่องแรกเกี่ยวกับความ หมายของความเศร้าและความทุกข์กบั ความยินดี พระองค์ตอ้ งการปลุกจิตของบรรดา ศิษย์วา่ การอยูก่ บั พระองค์เป็นความสุขและยินดียงิ่ อย่าให้จติ ตกไปติดอยูก่ บั สิง่ อืน่ รวม ทั้งเรื่องการอดอาหาร การจำ�ศีลต่างๆ ของชาวยิวด้วย เรื่องที่สองพระองค์อยากสอน เรื่องความคิดที่ต่างของคนแต่ละช่วงวัย การคิดแบบเก่ากับคิดแนวใหม่มักจะไปกันไม่ ได้ แต่จะทำ�อย่างไรให้เกิดความลงตัว หลักการประนีประนอมและยอมรับในคุณค่าที่ แตกต่างจะช่วยได้ ท่าทีที่แข็งและยึดมั่นเกินไปมักจะนำ�มาซึ่งบาดแผลและความเจ็บ ปวดในจิตใจ จนเกิดเป็นความเสียหาย การเอาใจเขามาใส่ใจเราจะช่วยได้

กรกฎาคม น.เอลีซาเบธ ราชินีแห่งโปรตุเกส สดด 85:8,10,11-13

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 วันอาสาฬหบูชา


5

อาทิตย กรกฎาคม สมโภช น.เปโตร และ น.เปาโล อัครสาวก วันเข้าพรรษา

บทอ่านจากหนังสือกิจการอัครสาวก กจ 12:1-11 เวลานั้น กษัตริย์เฮโรดทรงเริ่มเบียดเบียนสมาชิกบางคนของพระศาสนจักร พระองค์ทรงประหารชีวิตยากอบพี่ชายของยอห์นโดยตัดศีรษะ เมื่อทรงเห็นว่าชาวยิว พอใจ จึงทรงจับกุมเปโตรด้วย ขณะนั้น อยู่ในระหว่างเทศกาลขนมปังไร้เชื้อ เมื่อทรง จับกุมเปโตรแล้ว ก็ทรงจองจำ�เขาไว้ในคุก ให้ทหารสี่หมู่ หมู่ละสี่คนควบคุมไว้ ตั้ง พระทัยว่าเมื่อสิ้นเทศกาลปัสกาแล้วจะทรงนำ�ไปพิจารณาคดีต่อหน้าประชาชน ขณะทีเ่ ปโตรถูกจองจำ�อยูใ่ นคุก พระศาสนจักรอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าเพือ่ เขา ตลอดเวลา คืนก่อนทีก่ ษัตริยเ์ ฮโรดจะทรงนำ�เปโตรไปพิจารณาคดี เปโตรนอนหลับอยูร่ ะหว่าง ทหารสองคน มีโซ่สองเส้นล่ามไว้ และมีทหารยามเฝ้าหน้าประตูคุก ทันใดนั้น ทูต สวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าเข้ามาใกล้ มีแสงสว่างจ้าในห้องขัง ทูตสวรรค์ สะกิดข้างกายเปโตรปลุกให้ตื่นขึ้น แล้วสั่งว่า “เร็วเข้า ลุกขึ้นเถอะ” โซ่ก็หลุดไปจาก มือของเปโตร ทูตสวรรค์สง่ั เปโตรว่า “จงคาดสะเอวและสวมรองเท้า” เปโตรก็ทำ�ตาม ทูตสวรรค์ สั่งอีกว่า “จงสวมเสื้อคลุม แล้วตามข้าพเจ้ามาเถิด” เปโตรจึงตามทูตสวรรค์ออกไป ไม่รสู้ กึ ตัวว่าสิง่ ทีท่ ตู สวรรค์กำ�ลังทำ�ให้ตนนัน้ เกิดขึน้ จริง คิดว่ากำ�ลังเห็นนิมติ ทูตสวรรค์ และเปโตรผ่านยามชั้นที่หนึ่ง ชั้นที่สอง มาถึงประตูเหล็กที่เป็นทางผ่านเข้าไปในเมือง ประตูนั้นก็เปิดได้เอง ทูตสวรรค์และเปโตรจึงออกไปเดินตามถนนสายหนึ่ง แล้ว ทูตสวรรค์ก็หายไปในทันที เปโตรรูส้ กึ ตัว พูดว่า “บัดนี้ ข้าพเจ้ารูแ้ น่แล้วว่า องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์ มาช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากเงื้อมมือของกษัตริย์เฮโรดและจากความมุ่งร้ายทั้งหลายของ ประชาชนชาวยิว” เพลงสดุดี สดด 34:1-2,3-4,5-7,8-10 ก) ข้าพเจ้าจะถวายพรแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดกาล คำ�สรรเสริญพระองค์จะติดอยู่กับริมฝีปากของข้าพเจ้าเสมอ จิตใจข้าพเจ้าจะภูมิใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ตํ่าต้อยจงฟังและชื่นชมเถิด ข) จงประกาศความยิ่งใหญ่ขององค์พระผู้เป็นเจ้าร่วมกับข้าพเจ้าเถิด เราจงโห่ร้องถวายชัยแด่พระนามของพระองค์พร้อมกัน ข้าพเจ้าแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์ทรงตอบข้าพเจ้า ทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากความกลัวทั้งมวล ค) จงจับตาดูพระองค์ แล้วใบหน้าของท่านจะสดใส ไม่มีวันจะต้องอับอายเลย คนยากจนร้องทูล องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ทรงฟัง ทรงช่วยเขาให้รอดพ้นจากความคับแค้นทั้งหลาย


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงทิโมธี ฉบับที่สอง 2 ทธ 4:6-8,17-18 ลูกทีร่ กั ยิง่ ชีวติ ของข้าพเจ้ากำ�ลังจะถูกถวายเป็นเครือ่ ง บูชาอยูแ่ ล้ว ถึงเวลาแล้วทีข่ า้ พเจ้าจะต้องจากไป ข้าพเจ้าต่อสู้ มาอย่างดี วิ่งมาถึงเส้นชัย และรักษาความเชื่อไว้แล้ว ยัง เหลืออยูก่ เ็ พียงมงกุฎแห่งความชอบธรรม ซึง่ องค์พระผูเ้ ป็น เจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างเที่ยงธรรมจะประทานให้ข้าพเจ้าใน วันนั้น และไม่ใช่เพียงให้ข้าพเจ้าเท่านั้น แต่จะประทานให้ ทุกคนที่มีความรักเฝ้ารอคอยการสำ�แดงพระองค์ด้วยเช่น เดียวกัน มีแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงยืนอยูเ่ คียงข้างและประทาน กำ�ลังแก่ข้าพเจ้า เพื่อการประกาศข่าวดีจะได้สำ�เร็จไปโดย ทางข้าพเจ้า และคนต่างชาติทั้งหลายจะได้ฟังข่าวดี ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงถูกฉุดให้พ้นจากปากสิงโตมาได้ องค์ พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากการประทุษร้ายทั้งสิ้น และจะทรงนำ�ข้าพเจ้าไปสู่พระอาณาจักร สวรรค์ของพระองค์อย่างปลอดภัย ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์ตลอดนิรันดรเทอญ อาเมน บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 16:13-19 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเขตเมืองซีซารียาแห่งฟีลิปและตรัสถามบรรดาศิษย์ว่า “คนทั้งหลาย กล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร” เขาทูลตอบว่า “บ้างกล่าวว่าเป็นยอห์นผู้ทำ�พิธีล้าง บ้างกล่าวว่าเป็น ประกาศกเอลียาห์ บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเยเรมีย์หรือประกาศกองค์ใดองค์หนึ่ง” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ซีโมนบุตรของยอห์น ท่านเป็นสุขเพราะไม่ใช่ มนุษย์ที่เปิดเผยให้ท่านรู้ แต่พระบิดาเจ้าของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผย เราบอกท่านว่า ท่านเป็นศิลา และบนศิลานี้เราจะสร้างพระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้ เราจะมอบกุญแจ อาณาจักรสวรรค์ให้ ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย” วันสมโภชวันนีเ้ ราได้ขอ้ คิดจากท่านนักบุญเปโตรคือ พระเจ้าต้องการจิตใจทีซ่ อื่ ๆ รักพระองค์ แบบไม่มีเงื่อนไข เปโตรเกิดความรักในพระอาจารย์อย่างลึกซึ้งเมื่อพระเยซูเจ้ามองข้ามจุดบกพร่องของเขา ทีเ่ ป็นเพียงคนหาปลาเลีย้ งชีพไปวันๆ และนอกนัน้ คำ�สอนของพระองค์ท�ำ ให้เปโตรมัน่ ใจว่าเขาได้พบผูท้ เี่ ขา แสวงหาแล้ว ส่วนนักบุญเปาโล ผู้มีภูมิหลังต่างจากนักบุญเปโตรมาก เขามีการศึกษา เขามีฐานะทางสังคม คนเช่นนี้จะเปลี่ยนใจได้จำ�เป็นต้องมีประสบการณ์ตรงกับพระองค์ พระเยซูเจ้าจึงประจักษ์แก่เขาและสอน ความจริงในระดับสูงให้เขา สรุปแล้ว ทัง้ นักบุญเปโตรและเปาโลได้กลายเป็นศิษย์เอกของพระเยซูเจ้าก็เพราะ พระวาจานั่นเอง


6

จันทร

กรกฎาคม น.มารีย์ กอแรตตี พรหมจารี และมรณสักขี สดด 145:2-3,4-5, 6-7,8-9

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 ฮชย 2:16,17ข-18,21-22 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ดูซิ เรากำ�ลังจะไปเกลี้ยกล่อมนาง เราจะนำ�นาง ไปในถิน่ ทุรกันดาร เราจะพูดกับใจของนาง ทีน่ นั่ นางจะตอบเราเหมือนกับทีไ่ ด้ตอบเมือ่ นางยังสาวอยู่ เหมือนกับที่นางได้ตอบเมื่อออกจากแผ่นดินอียิปต์ วันนั้น องค์พระผู้ เป็นเจ้าตรัส ท่านจะเรียกเราว่า ‘สามีของฉัน’ ท่านจะไม่เรียกเราอีกต่อไปว่า ‘บาอัลของ ฉัน’ เราจะแต่งงานกับท่านตลอดไป เราจะแต่งงานกับท่านด้วยความยุติธรรมและ ความชอบธรรม ด้วยความรักมั่นคงและความเมตตากรุณา เราจะหมั้นท่านไว้กับเรา ด้วยความซื่อสัตย์ และท่านจะรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า” พระวรสาร มธ 9:18-26 ขณะที่พระเยซูเจ้ากำ�ลังตรัสอยู่นั้น หัวหน้าคนหนึ่งเข้ามากราบพระบาท ทูลว่า “บุตรหญิงของข้าพเจ้าเพิ่งสิ้นใจ เชิญพระองค์เสด็จไปปกพระหัตถ์เหนือเขาเถิด เขา จะได้มีชีวิต” พระเยซูเจ้าทรงลุกขึ้นเสด็จตามเขาไปพร้อมกับบรรดาศิษย์ ขณะนัน้ หญิงคนหนึง่ ตกเลือดเรือ้ รังมาสิบสองปีแล้ว เข้ามาข้างหลังสัมผัสฉลอง พระองค์ นางคิดว่า “ถ้าฉันเพียงสัมผัสฉลองพระองค์เท่านั้น ฉันก็จะหายจากโรค” พระเยซูเจ้าทรงหันมาเห็นเข้า จึงตรัสว่า “ลูกเอ๋ย ทำ�ใจดีๆ ไว้ ความเชื่อของท่าน ช่วย ท่านให้รอดพ้นแล้ว” หญิงนั้นก็หายจากโรคนับแต่เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึง บ้านของหัวหน้าคนนั้น ทรงเห็นคนเป่าขลุ่ย และผู้คนกำ�ลังชุลมุนวุ่นวาย จึงตรัสว่า “ออกไปเถิด เด็กหญิงคนนีย้ งั ไม่ตาย เพียงแต่นอนหลับไปเท่านัน้ ” พวกนัน้ ต่างหัวเราะ เยาะพระองค์ เมื่อคนกลุ่มนั้นถูกไล่ออกไปข้างนอกแล้ว พระองค์จึงเสด็จเข้าไป ทรง จับมือเด็กหญิง เด็กนั้นก็ลุกขึ้น ข่าวเรื่องนี้จึงแพร่ออกไปทั่วแคว้นนั้น ความเชื่อมีพลังรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้จริงหรือ? คำ�ถามนี้มีคำ�ตอบ มากมายสำ�หรับคนทีไ่ ม่มปี ระสบการณ์ตรงในเรือ่ งความเชือ่ สำ�หรับหญิงทีต่ กโลหิตนัน้ คำ�เล่าลือเกีย่ วกับพระเยซูเจ้าได้สร้างความมัน่ ใจให้กบั เธอว่า การเชือ่ ในพระเยซูเจ้าไม่ ได้เสียหายอะไรและการมีประสบการณ์อยูใ่ กล้และสัมผัสพระองค์กย็ งิ่ เพิม่ ความมัน่ ใจ แก่เธอ พระเยซูเจ้าทรงท้าทายทุกคนว่าหากเชือ่ ในพระองค์แล้วปาฏิหาริยย์ อ่ มเกิดขึน้ ได้เสมอ ความเชือ่ ยังมีอานุภาพเอาชนะความตายได้ดว้ ย เด็กหญิงคนนัน้ กลับมามีชวี ติ อีกไม่ใช่เพราะเธอเชื่อเนื่องจากเธอตายแล้ว แต่เพราะพระเยซูเจ้าเองทรงเชื่อว่าพระ บิดาเจ้าทรงเมตตาและทรงอนุญาตให้พระองค์ทำ�ได้ในทุกสิ่งที่เหนือความคาดหมาย


7

อังคาร บทอ่านที่ 1 ฮชย 8:4-7,11-13 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “เขาได้แต่งตั้งกษัตริย์หลายองค์ที่เราไม่ได้เสนอ เขาได้แต่งตั้งเจ้านายหลายคน แต่เราไม่เห็นด้วย เขาใช้เงินและทองคำ�สร้างรูปเคารพ เพือ่ ความพินาศของตน กรุงสะมาเรียเอ๋ย เราละทิง้ รูปลูกโคของเจ้า ความโกรธของเรา พลุง่ ขึน้ ลงโทษเขาทัง้ หลาย อีกนานเท่าไรเขาจึงจะพ้นโทษได้ รูปลูกโคนีม้ าจากอิสราเอล นายช่างเป็นผู้สร้างขึ้นมา รูปนั้นไม่ใช่พระเจ้า รูปลูกโคของกรุงสะมาเรียจะถูกทุบเป็น ชิน้ ๆ เขาได้หว่านลม เขาจึงจะต้องเก็บเกีย่ วลมบ้าหมู ต้นข้าวไม่มรี วง ทำ�แป้งไม่ได้ หรือ ถ้าจะทำ�ได้ คนต่างชาติก็จะกลืนกิน เอฟราอิมได้สร้างแท่นบูชาจำ�นวนมากเพื่อทำ�บาป แท่นบูชาเหล่านี้กลายเป็น โอกาสให้เขาทำ�บาป เราได้เขียนธรรมบัญญัติจำ�นวนมากสำ�หรับเขา แต่เขาคิดว่าธรรม บัญญัตเิ หล่านีไ้ ม่เกีย่ วข้องกับตน เขาถวายเครือ่ งบูชาแก่เรา และกินเนือ้ สัตว์ทไี่ ด้ถวาย นั้น แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่พอพระทัยเครื่องบูชาเหล่านี้ บัดนี้พระองค์จะทรงระลึกถึง ความผิดของเขา และจะทรงลงโทษบาปของเขา เขาจะต้องกลับไปอียิปต์” พระวรสาร มธ 9:32-38 เมือ่ คนทีเ่ คยตาบอดทัง้ สองคนจากไปแล้ว มีผพู้ าคนใบ้ถกู ปีศาจสิงคนหนึง่ มาเฝ้า พระเยซูเจ้า ครั้นปีศาจถูกขับออกไปแล้ว คนใบ้ก็พูดได้ ประชาชนต่างประหลาดใจ กล่าวว่า “ยังไม่เคยเห็นอะไรเช่นนี้เลยในอิสราเอล” แต่ชาวฟาริสีกล่าวว่า “คนนี้ ขับไล่ปีศาจด้วยอำ�นาจของเจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง” พระเยซูเจ้าเสด็จไปตามเมืองและตามหมู่บ้าน ทรงสั่งสอนในศาลาธรรม ทรง ประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักร ทรงรักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิด เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นประชาชน ก็ทรงสงสาร เพราะเขาเหล่านั้น เหน็ดเหนือ่ ยและท้อแท้ประดุจฝูงแกะทีไ่ ม่มคี นเลีย้ ง แล้วพระองค์ตรัสแก่บรรดาศิษย์ ว่า “ข้าวที่จะเก็บเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมา เก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด” อานุภาพของพระเยซูเจ้าทีส่ ามารถรักษาและบรรเทาความเจ็บไข้ได้ปว่ ย เป็นที่เลื่องลือไปทั่วแคว้นกาลิลีและแคว้นยูดาห์ แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจว่าความทุกข์ ทัง้ หลายทีก่ �ำ ลังเผชิญนัน้ ล้วนเป็นผลมาจากบาปทัง้ สิน้ ?...พระองค์เสด็จมาเพือ่ ช่วยคน ให้พน้ จากการเป็นทาสของบาปซึง่ เป็นรากเหง้าของความชัว่ ร้ายทัง้ ปวง การรักษาคนไข้ ไม่ใช่เป้าหมายของภารกิจพระองค์ การสอนให้คนหันหนีจากบาป สอนให้คนอยู่กัน อย่างสันติ สอนให้คนรูจ้ กั อภัยเมือ่ ผิดพ้องหมองใจกัน และสอนให้คนยอมรับว่ามนุษย์ ต้องการพระเจ้า เหล่านี้ต่างหากคือเป้าหมายสูงสุดแห่งภารกิจของพระองค์ และ พระองค์ต้องการเราให้ช่วยเหลือ...ทำ�ให้คำ�สอนของพระองค์เป็นที่ยอมรับ

กรกฎาคม สัปดาห์ที่ 14 เทศกาลธรรมดา สดด 116:2-5,6-9,10

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2


8 พุธ

กรกฎาคม สัปดาห์ที่ 14 เทสกาลธรรมดา สดด 105:2-5,6-8

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 ฮชย 10:1-3,7-8,12 อิสราเอลเป็นเหมือนเถาองุ่นเขียวชอุ่มที่มีผลมาก เขายิ่งเกิดผลมากเท่าใด ก็ยิ่ง สร้างแท่นบูชามากขึ้นเท่านั้น แผ่นดินของเขายิ่งอุดมสมบูรณ์มากเท่าใด เขาก็ยิ่งสร้าง เสาศักดิ์สิทธิ์ให้งดงามยิ่งขึ้นเท่านั้น ใจของเขาไม่ซื่อ เขาจึงจะต้องรับโทษความผิด พระเจ้าจะทรงพังแท่นบูชา จะทรงทำ�ลายเสาศักดิส์ ทิ ธิข์ องเขา แล้วเขาจะพูดว่า “พวก เราไม่มกี ษัตริย์ เพราะเราไม่ยำ�เกรงองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า กษัตริยจ์ ะมีประโยชน์อะไรสำ�หรับ เรา” กรุงสะมาเรียจะพินาศ กษัตริย์ของเขาจะเป็นเหมือนเศษไม้ที่ลอยอยู่บนผิวนํ้า สักการสถานบนที่สูงทั้งหลายของเมืองอาเวน ซึ่งเป็นบาปของอิสราเอลจะถูกทำ�ลาย หนามและกอหนามจะงอกขึน้ บนแท่นบูชา เขาจะพูดกับภูเขาว่า “จงปกคลุมเราไว้” จะ บอกเนินเขาว่า “จงล้มลงทับพวกเราเถิด” ท่านทั้งหลายจงหว่านความชอบธรรมสำ�หรับตน จงเกี่ยวผลเป็นความรักมั่นคง จงไถดินทีย่ งั ไม่เคยเพาะปลูก เพราะถึงเวลาแล้วทีจ่ ะแสวงหาองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า จนกว่า พระองค์จะเสด็จมา หลั่งความรอดพ้นลงมาเหนือท่านเหมือนฝน พระวรสาร มธ 10:1-7 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเรียกศิษย์สิบสองคนเข้ามาพบ ประทานอำ�นาจให้เขา ขับไล่ปีศาจ ให้รักษาโรคและความเจ็บไข้ทุกชนิด อัครสาวกสิบสองคนมีนามดังนี้ คนแรกคือซีโมน ผู้มีสมญาว่าเปโตร กับอันดรูว์ น้องชายของเขา ยากอบบุตรของเศเบดีกับยอห์นน้องชาย ฟีลิปและบาร์โธโลมิว โทมัสและมัทธิวคนเก็บภาษี ยากอบบุตรอัลเฟอัสและธัดเดอัส ซีโมนจากกลุม่ ชาตินยิ ม และยูดาสอิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้ทรยศต่อพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงส่งอัครสาวก สิบสองคนนีอ้ อกไป ทรงสัง่ เขาว่า “อย่าเดินตามทางของคนต่างชาติ อย่าเข้าไปในเมือง ของชาวสะมาเรีย แต่จงไปหาแกะพลัดฝูงของวงศ์วานอิสราเอลก่อน จงไปประกาศว่า อาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว”

พระวรสารวันนี้พูดถึงอำ�นาจที่พระเยซูเจ้ามอบให้กับศิษย์เช่น การรักษาโรค การขับไล่จิตชั่ว ร้าย ฯลฯ มีคำ�ถามว่านั่นเป็นอำ�นาจที่ได้มาโดยอัตโนมัติหรือไม่? ศิษย์ทุกคนได้รับอำ�นาจนี้หรือไม่? คำ�ตอบ อยู่ที่คำ�สั่งของพระองค์ที่ว่า...จงไปประกาศว่าอาณาจักรพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว นั่นหมายความว่าหากศิษย์ ออกไปประกาศเรือ่ งอาณาจักรพระเจ้า อำ�นาจทีพ่ ระองค์มอบให้กน็ �ำ มาใช้ประกอบได้ หากศิษย์อยูเ่ ฉยๆ ไม่ ประกาศ อำ�นาจการขับไล่ปศี าจก็ไม่มผี ล เพราะปีศาจหรือจิตชัว่ ร้ายบางอย่างต้องมีการภาวนาควบคูก่ นั ไป ด้วย สรุปคือ ศิษย์ต้องประกาศพระวรสาร อำ�นาจที่ได้รับถึงจะมีอานุภาพ และผลของอำ�นาจนั้นมีไว้เพื่อ ยืนยันว่านั่นเป็นงานของพระเจ้าอย่างแท้จริง


9

พฤหัสบดี บทอ่านที่ 1 ฮชย 11:1,3-4,8ค-9 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “เมื่ออิสราเอลยังเด็ก เราก็รักเขา เราได้เรียกบุตร ของเราออกมาจากอียิปต์ เราสอนเอฟราอิมให้เดิน เราอุ้มเขาทั้งหลายไว้ แต่เขาไม่รู้ว่า เราเอาใจใส่เขา เราใช้เชือกแห่งมนุษยธรรม และใช้สายสะพายแห่งความรักจูงเขา เรา เป็นเหมือนผู้ที่ยกทารกมาจูบแก้ม และก้มลงป้อนอาหารให้เขา ใจของเราปั่นป่วนอยู่ ภายใน ความเอ็นดูของเราก็คกุ รุน่ ขึน้ เราจะไม่ลงอาญาตามทีเ่ ราโกรธจัด เราจะไม่ทำ�ลาย เอฟราอิมอีก เพราะเราเป็นพระเจ้า มิใช่มนุษย์ เราเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ในหมู่ท่าน เราจะไม่ มาด้วยความโกรธ” พระวรสาร มธ 10:7-15 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ ใกล้เข้ามาแล้ว จงรักษาคนเจ็บไข้ จงปลุกคนตายให้กลับคืนชีพ จงรักษาคนโรคเรื้อน ให้สะอาด จงขับไล่ปีศาจให้ออกไป ท่านได้รับมาโดยไม่เสียค่าตอบแทนก็จงให้เขาโดย ไม่รบั ค่าตอบแทนด้วย อย่าหาเหรียญทอง เหรียญเงินหรือเหรียญทองแดงใส่ในไถ้ เมือ่ เดินทาง อย่ามีย่าม อย่ามีเสื้อสองตัว อย่าสวมรองเท้า อย่าถือไม้เท้า เพราะคนงาน ย่อมมีสิทธิ์ได้รับอาหารอยู่แล้ว เมื่อท่านเข้าไปในเมืองหรือหมู่บ้าน จงดูว่าผู้ใดที่นั่นเป็นผู้เหมาะสมที่จะต้อนรับ ท่าน แล้วจงพักอยูก่ บั เขาจนกว่าท่านจะจากไป เมือ่ ท่านเข้าไปในบ้านใดจงให้พรแก่บา้ น นั้น ถ้าบ้านนั้นสมควรได้รับพร จงให้สันติสุขของท่านมาสู่บ้านนั้น ถ้าบ้านนั้นไม่สมควร ได้รับพร จงให้สันติสุขกลับมาหาท่าน” “ถ้าผู้ใดไม่ต้อนรับท่าน หรือไม่ฟังท่าน จงออกจากบ้านหรือเมืองนั้น จงสลัดฝุ่น จากเท้าออกเสียด้วย เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ในวันพิพากษา เมืองโสโดม และเมืองโกโมราห์จะรับโทษเบากว่าโทษของเมืองนั้น”

ผู้ประกาศพระวาจาและอาณาจักรพระเจ้าต้องมีจิตเป็นหนึ่งเดียวกับ พระองค์ ไม่พึ่งพาอำ�นาจจากวัตถุสิ่งของใดๆ เหตุนี้พระองค์จึงตรัสว่า อย่ามีย่าม อย่า มีเสื้อสองตัว ฯลฯ ธรรมทูตคงไม่ตีความตามตัวอักษรแน่ เพราะในทุกวันนี้เป็นไปไม่ ได้ที่จะประกาศพระวาจาโดยไม่มีเสื้อผ้าหรือมีเพียงตัวเดียว ที่สำ�คัญคือ จิตตารมณ์ นั่นคือธรรมทูตต้องนำ�สันติ ความรัก ความเมตตาของพระเจ้าไปให้แก่ทุกคน สภาพ แวดล้อมของชาวยิวเมื่อสองพันกว่าปีก่อนกับสภาพแวดล้อมของประเทศไทยย่อมไม่ เหมือนกัน ธรรมทูตจำ�ต้องมีการปรับตัวให้สอดคล้องกับความเป็นจริง แต่ไม่ทิ้ง จิตตารมณ์หรือแก่นคำ�สอนที่พระองค์มอบให้

กรกฎาคม น.ออกัสติน เซารง พระสงฆ์ และเพื่อนมรณสักขี ชาวจีน สดด 80:1-2ก,14-15

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2


10 ศุกร

บทอ่านที่ 1 ฮชย 14:2-10 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “อิสราเอลเอ๋ย จงกลับมาเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านเถิด ท่านได้สะดุดล้มลงเพราะความผิดของท่าน จงเตรียมถ้อยคำ�ทีจ่ ะ พูดมาด้วย และกลับมาเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า ทูลพระองค์ว่า “โปรดทรงลบล้างความ ผิดทัง้ หมด และทรงรับสิง่ ทีด่ ี ข้าพเจ้าทัง้ หลายจะนำ�คำ�สรรเสริญจากปากมาถวายแทน โคเพศผู้ อัสซีเรียจะไม่ช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้รอดพ้น ข้าพเจ้าทั้งหลายจะไม่ขี่ม้าอีก สัปดาห์ที่ 14 จะไม่เรียกสิ่งที่มือของข้าพเจ้าได้สร้างขึ้นอีกต่อไปว่า ‘พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย’ เทศกาลธรรมดา เพราะลูกกำ�พร้าพบพระกรุณาในพระองค์” สดด 51:1-2,6-7, องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราจะรักษาเขาให้หายจากความไม่ซื่อสัตย์ของเขา เรา 10-12,14-15 จะรักเขาด้วยใจจริง เพราะเราจะไม่โกรธเขาอีกแล้ว เราจะเป็นเหมือนนํ้าค้างสำ�หรับ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 อิสราเอล เขาจะผลิดอกเหมือนดอกลิลลี่ เขาจะหยั่งรากเหมือนต้นสนสีดาร์แห่ง เลบานอน... เราเองจะตอบและดูแลเขา เราเป็นเหมือนต้นไซเปรสใบเขียวสดอยูเ่ สมอ ท่านจะได้รับผลของท่านจากเรา ผู้มีปรีชาพึงเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ผู้ใดฉลาดก็จงรู้ เพราะหนทางทั้งหลายขององค์พระผู้เป็นเจ้าล้วนเที่ยง ธรรม ผู้ชอบธรรมย่อมเดินตามทางนี้ แต่ผู้ล่วงละเมิดจะสะดุดล้ม”

กรกฎาคม

พระวรสาร มธ 10:16-23 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “จงฟังเถิด เราส่งท่านไปเหมือนแกะในฝูงสุนขั ป่า ท่าน จงฉลาดประดุจงูและซื่อประดุจนกพิราบ” “จงระมัดระวังตนจากมนุษย์ เขาจะมอบท่านที่ศาล และเฆี่ยนท่านในศาลาธรรมของเขา ท่านจะถูกนำ� ตัวไปต่อหน้าผูว้ า่ ราชการและเฉพาะพระพักตร์กษัตริยเ์ พราะเราเป็นเหตุ เพือ่ เป็นพยานยืนยันแก่เขาและแก่ บรรดาชนต่างชาติต่างศาสนา เมื่อเขาจะมอบท่านที่ศาลนั้น อย่าวิตกกังวลว่าจะพูดอย่างไรหรือพูดอะไร สิ่ง ที่ท่านจะพูดนั้นจะได้รับการดลใจในเวลานั้นเอง เพราะท่านจะมิได้พูดด้วยตนเอง แต่พระจิตของพระบิดา ของท่านจะตรัสในท่าน” “พีจ่ ะฟ้องน้อง น้องจะฟ้องพีใ่ ห้ตอ้ งโทษถึงตาย พ่อจะฟ้องลูก ลูกจะลุกขึน้ กล่าวโทษพ่อแม่ให้ถงึ ตาย” “คนทั้งปวงจะเกลียดชังท่านเพราะนามของเรา แต่ผู้ที่ยืนหยัดจนถึงวาระสุดท้ายก็จะรอดพ้น เมื่อเขา จะเบียดเบียนท่านในเมืองหนึ่ง จงหลบหนีไปอีกเมืองหนึ่ง เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ก่อนที่ท่าน จะไปทั่วทุกหัวเมืองของอิสราเอล บุตรแห่งมนุษย์ก็จะกลับมาแล้ว” พระวรสารในวันนี้กล่าวถึงคำ�พูดของพระเยซูเจ้าที่ให้ความมั่นใจแก่ศิษย์หรือธรรมทูตทุกคน ว่า พระองค์จะอยู่กับพวกเขาเสมอไป หากพวกเขาทำ�งานเพื่อพระองค์หรือทำ�ในนามของพระองค์อย่าง แท้จริง อุปสรรคต่างๆ ที่ต้องเผชิญนั้นพวกเขาไม่ได้เผชิญเพียงลำ�พัง พระองค์จะอยู่เคียงข้างเขาเสมอ พระจิตของพระองค์จะนำ�ทางและช่วยให้เกิดความกระจ่างว่าจะแก้ไขปัญหานั้นๆ ได้อย่างไร ลักษณะของ อุปสรรคคือการขัดขวาง การไม่เห็นด้วยและอาจจะรุนแรงถึงขัน้ ทำ�ร้ายร่างกาย เพียงเพราะพวกเขาประกาศ พระนามของพระองค์ ธรรมทูตจึงต้องทำ�ใจหรือเตรียมใจไว้กอ่ นเสมอว่าสิง่ เหล่านีจ้ ะเกิดขึน้ พระเยซูเจ้าขอ เพียงให้จิตของเขายึดมั่นในพระองค์เท่านั้น


11

เสาร

บทอ่านที่ 1 อสย 6:1-8 ในปีที่กษัตริย์อุสซียาห์สิ้นพระชนม์ ข้าพเจ้าเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าประทับอยู่บน พระบัลลังก์สูงและตั้งอยู่บนที่สูง ชายฉลองพระองค์แผ่เต็มพระวิหาร... เสราฟแต่ละ ตนต่างร้องรับกันว่า “ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ ศักดิ์สิทธิ์ องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล แผ่นดินทั้งหมดเต็มไปด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์” ระลึกถึง เสาประตูทงั้ หลายสัน่ สะเทือนเพราะเสียงของผูร้ อ้ ง และพระวิหารก็มคี วันเต็มไป น.เบเนดิกต์ หมด ข้าพเจ้าพูดว่า “วิบัติจงเกิดแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าพินาศแล้ว เพราะข้าพเจ้าเป็นคน เจ้าอธิ​ิการ ริมฝีปากมีมลทิน อาศัยอยู่ในหมู่ชนชาติริมฝีปากมีมลทิน...” แล้วเสราฟตนหนึ่งบินมาหาข้าพเจ้า ถือคีมคีบถ่านที่ลุกอยู่มาจากพระแท่นบูชา สดด 93:1-2ข,2ค-3,5 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 เสราฟตนนั้นสัมผัสปากข้าพเจ้า พูดว่า “ดูซิ สิ่งนี้สัมผัสริมฝีปากของท่านแล้ว ความ ผิดของท่านก็ถูกลบล้างแล้ว บาปของท่านก็ได้รับการอภัยแล้ว” แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เราจะส่งใคร ใครจะไปแทนเรา” ข้าพเจ้าทูลตอบว่า “ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่ โปรดส่งข้าพเจ้าไปเถิด”

กรกฎาคม

พระวรสาร มธ 10:24-33 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “ศิษย์ย่อมไม่อยู่เหนืออาจารย์ และผู้รับใช้ย่อมไม่อยู่เหนือนาย ถ้าศิษย์เท่าเทียมกับอาจารย์ และผู้ รับใช้เท่าเทียมกับนาย ก็เป็นการเพียงพอแล้ว ถ้าเขาเรียกเจ้าบ้านว่า ‘เบเอลเซบูล’ เขาจะเรียกลูกบ้านร้าย กว่านั้นสักเท่าใด” “อย่ากลัวมนุษย์เลย ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ จะไม่ถูกเปิดเผย ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนเร้น จะไม่มีใครรู้ สิ่งที่เรา บอกท่านในทีม่ ดื ท่านจงกล่าวออกมาในทีส่ ว่าง สิง่ ทีท่ า่ นได้ยนิ กระซิบทีห่ ู จงประกาศบนดาดฟ้าหลังคาเรือน” “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่าวิญญาณได้ จงกลัวผู้ที่ทำ�ลายทั้งกายและวิญญาณให้พินาศไป ในนรก นกกระจอกสองตัว เขาขายกันเพียงหนึ่งบาทมิใช่หรือ ถึงกระนั้น ก็ไม่มีนกสักตัวเดียวที่ตกถึงพื้น ดินโดยที่พระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ ผมทุกเส้นบนศีรษะของท่านถูกนับไว้หมดแล้ว ดังนั้น อย่ากลัว เลย ท่านมีค่ามากกว่านกกระจอกจำ�นวนมาก” “ทุกคนทีย่ อมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะยอมรับผูน้ นั้ เฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผูส้ ถิตในสวรรค์ และผู้ที่ไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่รับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์ ด้วย” พระวรสารวันนี้มีข้อคิด 3 เรื่องคือ หนึ่ง ศิษย์ย่อมไม่อยู่เหนืออาจารย์ ความหมายคือให้ศิษย์ ทุกคนทำ�ใจ ถ้าหากถูกคนอืน่ ดูหมิน่ กล่าวร้ายหรือข่มเหง เพราะอาจารย์กถ็ กู กระทำ�เช่นนัน้ ด้วย หากเรารัก อาจารย์คือพระเยซูเจ้า เราก็ควรจะพร้อมรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ข้อคิดประการที่สองคือให้ศิษย์ยึดมั่นในความ จริง ประกาศความจริงและรักความจริง ไม่ว่าจะถูกข่มเหงเพียงใดก็ตาม ถ้าจะเขาถูกฆ่าจริงๆ ก็ให้คิดว่าฆ่า ได้แต่กาย จิตใจทีย่ ดึ มัน่ ในความจริงไม่อาจจะถูกฆ่าได้ จิตเช่นนีเ้ องทีม่ คี ณ ุ ค่ายิง่ ข้อคิดประการทีส่ ามเป็นการ เตือนใจศิษย์ว่าเมื่อการเบียดเบียนเกิดขึ้น ขออย่าได้ปฏิเสธว่าไม่รู้จักพระองค์


12

อาทิตย

กรกฎาคม สัปดาห์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 55:9-10 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ฝนและหิมะลงมาจากท้องฟ้า และไม่กลับไปที่นั่นถ้า ไม่ได้รดแผ่นดิน ทำ�ให้แผ่นดินอุดม ทำ�ให้พืชงอกขึ้น เพื่อให้ผู้หว่านมีเมล็ดพันธุ์ และ ให้ผู้กินมีอาหารฉันใด ถ้อยคำ�ที่ออกจากปากของเรา จะไม่กลับมาหาเราโดยไม่เกิดผล ไม่ทำ�ตามที่เราปรารถนา และไม่บรรลุจุดประสงค์ที่เราส่งมาฉันนั้น” เพลงสดุดี สดด 65:9,10,11-12,13 ก) พระองค์เสด็จเยี่ยมแผ่นดินและทรงบันดาลให้อุดมสมบูรณ์ ทรงโปรดให้แผ่นดินมั่งคั่งอย่างมาก คลองของพระเจ้ามีนํ้าเต็มล้น พระองค์ทรงจัดหาข้าวสาลีไว้ให้มนุษย์ พระองค์ทรงเตรียมไว้เช่นนี้ ข) คือทรงรดนํ้ารอยไถให้ชุ่มฉํ่า ทรงปรับพื้นดินให้ราบเรียบ ทรงพรมดินให้นุ่มด้วยสายฝน และประทานพรแก่หน่ออ่อนที่งอกขึ้นมา ค) พระองค์ประทานผลิตผลอุดมสมบูรณ์ในแต่ละปี พระองค์เสด็จไปที่ใด ที่นั่นก็มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 8:18-23 พี่น้อง ข้าพเจ้าคิดว่า ความทุกข์ทรมานในปัจจุบันเปรียบไม่ได้เลยกับพระสิริ รุ่ ง โรจน์ ที่ จ ะทรงบั นดาลให้ ป รากฏแก่ เรา เพราะสรรพสิ่ ง ต่ า งกำ�ลั ง รอคอยอย่ า ง กระวนกระวาย เพือ่ พระเจ้าจะได้ทรงบันดาลให้บรรดาบุตรของพระองค์ปรากฏในพระ สิริรุ่งโรจน์ สรรพสิ่งต้องอยู่ใต้อำ�นาจของความไม่เที่ยงแท้มิใช่โดยสมัครใจ แต่ตาม ความประสงค์ของผู้ที่บังคับให้สรรพสิ่งต้องอยู่ในสภาพดังกล่าว ถึงกระนั้น สรรพสิ่ง ยังมีความหวังว่า จะได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นทาสของความเสื่อมสลาย เพื่อ ไปรับอิสรภาพอันรุ่งเรืองของบรรดาบุตรของพระเจ้า เรารู้ดีว่า จนถึงเวลานี้ สรรพสิ่ง กำ�ลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดราวกับสตรีคลอดบุตร มิใช่เพียงแต่สรรพสิ่ง เท่านั้น แม้แต่เราเองซึ่งได้รับผลิตผลครั้งแรกของพระจิตเจ้าแล้ว ก็ยังครํ่าครวญอยู่ ภายใน ในเมือ่ เรามีความกระตือรือร้นรอคอยให้พระเจ้าทรงรับเราเป็นบุตรบุญธรรม ให้ ร่างกายของเราได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 13:1-23 วันเดียวกันนัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จออกจากบ้านมาประทับทีร่ มิ ทะเลสาบ ประชาชน จำ�นวนมากมาเฝ้าพระองค์ พระองค์จึงเสด็จไปประทับอยู่ในเรือ ส่วนประชาชนยืนอยู่ บนฝั่ง พระองค์ตรัสสอนเขาหลายเรื่องเป็นอุปมา พระองค์ตรัสว่า “จงฟังเถิด ชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช ขณะที่เขากำ�ลัง


หว่านอยู่นั้น บางเมล็ดตกอยู่ริมทางเดิน นกก็จิกกินจนหมด บางเมล็ดตกบนพื้นหินที่มีดินเล็กน้อย ก็งอกขึ้นทันทีเพราะ ดินไม่ลกึ แต่เมือ่ ดวงอาทิตย์ขนึ้ ก็ถกู แดดเผาและเหีย่ วแห้ง ไปเพราะไม่มีราก บางเมล็ดตกในพงหนาม ต้นหนามก็ขึ้น คลุมไว้ ทำ�ให้เหี่ยวเฉาตายไป บางเมล็ดตกในที่ดินดี จึงเกิด ผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง ใครมีหู ก็จง ฟังเถิด” บรรดาศิ ษ ย์ เ ข้ า มาทู ล ถามพระเยซู เจ้ า ว่ า “ทำ�ไม พระองค์ตรัสแก่พวกเขาเป็นอุปมา” พระองค์ทรงตอบว่า “พระเจ้าประทานธรรมลํ้าลึกเรื่องอาณาจักรสวรรค์ให้ท่าน ทัง้ หลายรู้ แต่ไม่ได้ประทานให้แก่ผอู้ นื่ เพราะผูท้ มี่ มี ากจะได้ รับมากขึน้ จนเหลือเฟือ ส่วนผูท้ มี่ นี อ้ ย จะถูกริบสิง่ เล็กน้อย ที่มีไปด้วย ดังนั้น เรากล่าวแก่คนเหล่านี้เป็นอุปมา ถึงแม้พวกเขามองดู ก็ไม่เห็น แม้ฟังก็ไม่ได้ยินและไม่ เข้าใจ สำ�หรับคนเหล่านี้ คำ�ทำ�นายของประกาศกอิสยาห์ก็เป็นความจริง ที่ว่า ‘ท่านทั้งหลายจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่เข้าใจ จะมองแล้วมองเล่า แต่จะไม่เห็น เพราะจิตใจของประชาชนนี้แข็งกระด้าง เขาทำ�หูทวนลม และปิดตาเสีย เพื่อไม่ต้องมองด้วยตา ไม่ต้องฟังด้วยหู จะได้ไม่เข้าใจ จะได้ไม่ต้องกลับใจ เราจะได้ไม่ต้องรักษาเขา’ ส่วนท่านทั้งหลาย ตาของท่านเป็นสุขที่มองเห็น หูของท่านเป็นสุขที่ได้ฟัง เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ประกาศกและผู้ชอบธรรมจำ�นวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่านได้เห็นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟัง สิ่งที่ท่านฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้ฟัง ดังนั้น จงฟังความหมายของอุปมาเรื่องผู้หว่านเถิด เมื่อคนหนึ่งฟังพระวาจาเรื่องพระอาณาจักรและ ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาและถอนสิ่งที่หว่านลงในใจของเขาไปเสีย นั่นได้แก่ เมล็ดที่ตกริมทาง เมล็ดที่ตกบน หินคือผูฟ้ งั พระวาจาและมีความยินดีรบั ไว้ทนั ที แต่เขาไม่มรี ากในตัว จึงไม่มนั่ คง เมือ่ เผชิญความยากลำ�บาก หรือถูกเบียดเบียนเพราะพระวาจานัน้ เขาก็ยอมแพ้ทนั ที เมล็ดทีต่ กในพงหนามหมายถึงบุคคลทีฟ่ งั พระวาจา แต่ความวุ่นวายในทางโลก ความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติเข้ามาบดบังพระวาจาไว้ จึงไม่เกิดผล ส่วนเมล็ดที่ หว่านลงในดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาและเข้าใจ จึงเกิดผลร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่า บ้าง” ทำ�ไมพระเยซูเจ้าทรงตรัสสอนเป็นคำ�เปรียบเทียบ? คำ�ตอบคือถ้าพูดตรงๆ คนรับยาก และ การพูดเป็นคำ�เปรียบเทียบ ทำ�ให้ผู้ฟังเข้าใจได้ง่ายและจำ�ได้นาน ความจริงของพระเจ้านั้นลํ้าลึกมาก ผู้ฟัง จะเข้าใจได้มากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับสภาพจิตใจและระดับปัญญาของเขา คำ�สอนจากพระวรสารวันนี้ พระองค์อยากสอนว่าการที่คนๆ หนึ่งจะทำ�ดีนั้นไม่ง่าย แม้จะมีความตั้งใจดีเพียงใดก็ตาม สภาพแวดล้อม และสถานการณ์มักจะทำ�ให้ความดีนั้นเกิดผลน้อยหรือไม่เกิดผลเลย คนที่ทำ�ดีจึงต้องยอมรับและทำ�ใจเมื่อ ความดีของตนไม่เกิดผลดัง่ ทีค่ าดหวัง วิธงี า่ ยทีส่ ดุ เมือ่ ทำ�ดีคอื ขอให้คดิ ว่าทำ�เพือ่ พระเจ้า หรือให้ถอื ว่าเพราะ เป็นความดีจึงต้องทำ�


13 จันทร

บทอ่านที่ 1 อสย 1:11-17 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “เครื่องบูชามากมายของท่านไม่เป็นประโยชน์ใดแก่เรา เราเอือมระอาแกะเพศผู้ ทีเ่ ผาบูชาถวายเรา เบือ่ ไขมันของโคหนุม่ ทีข่ นุ ไว้ เราไม่พอใจเลือดของโคเพศผู้ ลูกแกะ และแพะเพศผู้ เมื่อท่านทั้งหลายเข้ามาต่อหน้าเรา ใครเรียกร้องให้ท่านทำ�เช่นนี้ เหยียบยํ่าลานวิหารของเรา อย่านำ�ของถวายไร้ประโยชน์เข้ามาอีกเลย กำ�ยานเป็นสิ่ง น.เฮนรี่ สดด 50:8-10,16-18, น่ารังเกียจสำ�หรับเรา เราทนการฉลองทีป่ นกับความชัว่ ร้ายไม่ได้ เราเกลียดวันต้นเดือน และวันฉลองของท่าน วันเหล่านี้เป็นเหมือนภาระหนักสำ�หรับเรา เราเหนื่อยที่จะต้อง 19-21,22-23 แบกภาระนัน้ เมือ่ ท่านชูมอื ขึน้ เราจะเบือนสายตาไปจากท่าน แม้ทา่ นจะอธิษฐานภาวนา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 มากขึน้ เราก็จะไม่ฟงั มือของท่านเปือ้ นเลือด จงล้าง จงชำ�ระตนให้สะอาด จงนำ�กิจการ ชั่วร้ายของท่านออกไปให้พ้นจากสายตาเรา จงเลิกทำ�ความชั่ว จงเรียนรู้ที่จะทำ�ความดี จงแสวงหาความ ยุติธรรม จงช่วยเหลือผู้ถูกข่มเหง จงให้ความเป็นธรรมแก่ลูกกำ�พร้า จงปกป้องสิทธิของหญิงม่าย”

กรกฎาคม

พระวรสาร มธ 10:34-11:1 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาอัครสาวกว่า “อย่าคิดว่าเรามาเพื่อนำ�สันติภาพมาให้โลก เรามิได้มาเพื่อนำ�สันติภาพ แต่มาเพื่อนำ�ดาบมาให้ เรามา เพื่อแยกบุตรชายจากบิดา แยกบุตรหญิงจากมารดา แยกบุตรสะใภ้จากมารดาของสามี ศัตรูของคนก็คือคน ที่อยู่ร่วมบ้านกับเขานั่นเอง” “ผู้ที่รักบิดามารดามากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ที่รักบุตรชายหญิงมากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ใดไม่รับเอาไม้กางเขนของตนแบกตามเรา ผู้นั้นก็ไม่คู่ควรกับเรา” “ผู้ที่หวงชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น แต่ผู้ที่ยอมเสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เรา จะพบชีวิต นั้นอีก” “ผู้ที่ต้อนรับท่านทั้งหลาย ก็ต้อนรับเรา ผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา” “ผู้ที่ต้อนรับประกาศก เพราะเป็นประกาศก จะได้รับบำ�เหน็จรางวัลของประกาศก ผู้ที่ต้อนรับผู้ ชอบธรรม เพราะเขาเป็นผู้ชอบธรรม จะได้รับบำ�เหน็จรางวัลของผู้ชอบธรรม” “ผู้ใดที่ให้นํ้าเย็นแม้เพียงหนึ่งแก้วแก่คนใดคนหนึ่งในบรรดาคนธรรมดาๆ เหล่านี้ เพราะเขาเป็นศิษย์ ของเรา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้นั้นจะได้รับบำ�เหน็จรางวัลอย่างแน่นอน” เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสสั่งสอนศิษย์สิบสองคนแล้ว ก็เสด็จจากที่นั่นไปเทศนาสั่งสอนตามเมืองต่างๆ ใน แคว้นกาลิลี พระวรสารวันนีส้ ะท้อนถึงภารกิจทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงทำ�แล้วมีคนต่อต้านมากมาย พระองค์อยาก ให้ศิษย์ทำ�ใจเสมอว่า การติดตามพระองค์นั้นพวกเขาจะพบความขัดแย้ง พบปัญหาการไม่ยอมรับ รู้สึก อับอาย เมื่อพบปัญหาเช่นนี้พวกเขาจะเกิดความสงสัยและลังเลใจว่าการติดตามพระองค์นั้นถูกหรือผิด ใช่ หรือไม่ใช่? ดังนั้น พระองค์จึงตรัสยํ้าว่าปัญหาและอุปสรรคเป็นส่วนหนึ่งของการเป็นศิษย์ของพระองค์ ใคร ก็ตามทีซ่ อื่ สัตย์ไม่ทงิ้ พระองค์ไป ก็จะได้รบั รางวัลคือชีวติ นิรนั ดร์อย่างแน่นอน ศิษย์จงึ ต้องชัง่ ใจตัวเองว่าเขา พร้อมทีจ่ ะเผชิญอุปสรรคหรือไม่? สิง่ ทีจ่ ะดึงรัง้ จิตใจของพวกเขาได้กม็ เี พียงความเชือ่ มัน่ ความรักและวางใจ ในพระอาจารย์เท่านั้น


14

อังคาร

บทอ่านที่ 1 อสย 7:1-9 ในรัชสมัยของกษัตริย์อาคัส พระโอรสของกษัตริย์โยธาม พระโอรสของกษัตริย์ อุสซียาห์แห่งยูดาห์ กษัตริยเ์ รซีนแห่งซีเรีย และกษัตริยเ์ ปคาห์แห่งอิสราเอล บุตรของ เรมาลิยาห์ ยกทัพขึน้ มายังกรุงเยรูซาเล็มเพือ่ ทำ�สงครามกับเมือง แต่เอาชนะไม่ได้ เมือ่ มีผู้มาส่งข่าวแก่ราชวงศ์กษัตริย์ดาวิดว่า “ชาวซีเรียมาตั้งค่ายอยู่ในเขตแดนเอฟราอิม แล้ว” พระทัยของกษัตริย์และจิตใจของประชาชนก็สั่นเหมือนต้นไม้ในป่าสั่นเมื่อถูก น.คามิลโล เด เลลลิส ลมพัด พระสงฆ์ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอิสยาห์ว่า “ท่านกับเชอาร์ยาชูบบุตรชาย จงออกไปพบ กษัตริย์อาคัสที่ปลายท่อนํ้าของสระข้างบนที่ถนนลานช่างซักฟอก ทูลกษัตริย์ว่า “ขอ สดด 48:1-2,3-5,6-8ก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 พระองค์โปรดฟัง สงบพระทัย อย่าทรงกลัว อย่าให้พระทัยหวั่นไหวเพราะความกริ้ว รุนแรงของกษัตริย์เรซีนแห่งซีเรีย และบุตรของเรมาลิยาห์ กษัตริย์ทั้งสององค์นี้เป็น เหมือนฟืนสองดุ้นที่จวนจะมอดอยู่แล้ว มีแต่ควัน ซีเรียพร้อมกับเอฟราอิมและบุตร ของเรมาลิยาห์ได้คิดการชั่วร้ายต่อพระองค์ พูดว่า ‘เราจงขึ้นไปโจมตียูดาห์ ทำ�ให้ประชาชนมีความกลัว เรา จะได้ยึดเมืองและแต่งตั้งบุตรของทาเบเอลให้เป็นกษัตริย์ที่นั่น’” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “สิ่งนี้จะไม่เป็นไป จะไม่เกิดขึ้นเลย กรุงดามัสกัสเป็นเมืองหลวง ของซีเรีย และกษัตริย์เรซีนเป็นหัวของกรุงดามัสกัส อีกหกสิบห้าปี เอฟราอิมจะไม่เป็นประชากรอีกต่อไป กรุงสะมาเรียเป็นเมืองหลวงของเอฟราอิม และบุตรของเรมาลิยาห์เป็นหัวของกรุงสะมาเรีย ถ้าพระองค์ไม่ ทรงเชื่อมั่น พระองค์จะทรงตั้งมั่นอยู่ไม่ได้”

กรกฎาคม

พระวรสาร มธ 11:20-24 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าทรงตำ�หนิบรรดาเมืองทีพ่ ระองค์ทรงทำ�อัศจรรย์มากกว่าทีเ่ มืองอืน่ เพราะชาวเมือง ไม่ยอมกลับใจว่า “จงวิบัติเถิด เมืองโคราซิน จงวิบัติเถิด เมืองเบธไซดา เพราะถ้าอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในเจ้าเกิดขึ้นที่เมือง ไทระและเมืองไซดอนแล้ว ชาวเมืองเหล่านัน้ คงได้นงุ่ กระสอบ เอาขีเ้ ถ้าโรยศีรษะ กลับใจเสียนานแล้ว ฉะนัน้ เราบอกเจ้าว่า ในวันพิพากษา เมืองไทระและเมืองไซดอนจะได้รับโทษเบากว่าเจ้า ส่วนเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม เจ้ายกตนขึ้นถึงฟ้าเทียวหรือ ตรงกันข้าม เจ้าจะตกลงไปถึงแดนผู้ตาย เพราะว่าถ้าอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นในเจ้าเกิดขึ้นที่เมืองโสโดมแล้ว เมืองโสโดมก็คงจะอยู่จนถึงวันนี้ ฉะนั้น เรา บอกเจ้าว่า ในวันพิพากษา เมืองโสโดมจะได้รับโทษเบากว่าเจ้า” พระวรสารวันนีก้ ล่าวถึงความรูส้ กึ อึดอัดและหนักใจของพระเยซูเจ้าทีช่ าวเมืองเบธไซดา เมือง ไทระ และเมืองไซดอนไม่ใส่ใจในคำ�สอนและข้อเรียกร้องให้พวกเขากลับใจ เมือ่ ดูจากสภาพภูมปิ ระเทศของ หัวเมืองดังกล่าว เป็นเมืองที่เจริญกว่าเมืองอื่นๆ เพราะความเจริญรุ่งเรืองจึงนำ�มาซึ่งปัญหาทางจริยธรรม พวกเขาไม่สนใจเรื่องพระเจ้า คนในเมืองเหล่านี้ไม่รู้สึกว่าพวกเขาต้องการพระเจ้า พระเยซูเจ้าตรัสไว้ล่วง หน้าว่าจะมีการพิพากษาเกิดขึ้นกับเมืองเหล่านี้และต่อมาก็เกิดจริงๆ..... คนที่มั่นใจในทรัพย์สมบัติและเงิน ทอง มักจะมืดบอดในทางศีลธรรมและทีส่ ดุ หายนะก็จะตามมา ในระดับสังคมก็เช่นกัน หากสังคมใดมืดบอด ทางศีลธรรม การล่มสลายก็จะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็ว


15 พุธ

กรกฎาคม ระลึกถึง น.บอนาแวนตูรา พระสังฆราช และนักปราชญ์ แห่งพระศาสนจักร สดด 94:5-6,7-8, 9-10,14-15

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1 อสย 10:5-7,13-16 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “วิบตั จิ งเกิดแก่อสั ซีเรีย ไม้เรียวทีเ่ ราใช้เมือ่ เราโกรธ ไม้พลองทีเ่ ราใช้เมือ่ เราโกรธ จัด เราจะส่งเขาไปต่อสู้กับชนชาติที่ไม่เคารพนับถือเรา จะสั่งเขาให้ไปต่อสู้ประชากรที่ ทำ�ให้เราโกรธ เพื่อไปริบข้าวของ ไปปล้น และเหยียบยํ่าชนชาตินี้เหมือนเหยียบเลน บนถนน แต่อัสซีเรียมิได้ตั้งใจเช่นนั้น จิตใจของเขาก็มิได้คิดดังนี้ เขาคิดแต่จะทำ�ลาย และทำ�ลายล้างชนชาติจำ�นวนมาก” เพราะกษัตริย์ทรงคิดว่า “เราได้ทำ�การนี้ด้วยกำ�ลังมือ และปรีชาญาณของเรา เพราะเรามีปรีชา เราได้ย้ายเขตแดนของประชาชนหลายชาติ ได้ปล้นทรัพย์สมบัติของ เขา ได้ใช้อำ�นาจควํ่าผู้ที่นั่งบนบัลลังก์ มือของเราได้ฉวยทรัพย์สมบัติของประชาชน หลายชาติ เหมือนฉวยรังนก คนเก็บไข่ที่ถูกทิ้งไว้ในรังนกฉันใด เราก็จะยึดแผ่นดิน ทั้งหมดฉันนั้น ไม่มีผู้ใดขยับปีก ไม่มีผู้ใดอ้าปากหรือร้องจิ๊บๆ” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสว่า “ขวานจะอวดตัวว่าเก่งกว่าผูท้ ใี่ ช้มนั หรือ เลือ่ ยจะทะนง ตัวเหนือผู้ที่ใช้มันเลื่อยหรือ เหมือนกับว่าไม้ตะบองจะยกผู้ถือมันขึ้น หรือเหมือน ไม้พลองจะยกสิ่งที่มิใช่ไม้ขึ้นได้” ดังนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าจอมจักรวาลจะทรง ส่งโรคภัยมาทำ�ให้คนแข็งแรงกลับผอมแห้ง โรคนี้จะเผาผลาญผู้ที่เป็นเกียรติของเขา เหมือนไฟไหม้ พระวรสาร มธ 11:25-27 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา เจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญ พระองค์ที่ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้จากบรรดาผู้มีปรีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่ บรรดาผูต้ าํ่ ต้อย ถูกแล้ว พระบิดาเจ้าข้า พระองค์พอพระทัยเช่นนัน้ พระบิดาทรงมอบ ทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้า ไม่มีใครรู้จักพระบุตร นอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้จักพระบิดา นอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรเปิดเผยให้รู้”

พระวรสารวันนีส้ อนเราให้ภาวนาอย่างถูกต้องโดยดูจากการภาวนาของ พระเยซูเจ้า การภาวนาของพระองค์คือการสนทนา การติดต่อกับพระบิดาด้วยจิตใจ ที่รักและมั่นใจว่าพระบิดาทรงอยู่กับพระองค์และพระองค์ก็อยู่ในพระบิดา พระองค์ ทรงรูส้ กึ ว่าได้เข้าใจโลกอย่างดี เข้าใจมนุษย์ มองจิตใจคนได้ทะลุปรุโปร่ง พระองค์ส�ำ นึก ว่าพระพรนี้เป็นพระบิดาเจ้าที่ทรงมอบให้ การภาวนาเช่นนี้เองที่เป็นแบบอย่างแก่เรา เมื่อเราภาวนา เราภาวนาต่อพระบิดาที่มองไม่เห็น แต่เชื่อว่าพระองค์ทรงดำ�รงอยู่ เรา ภาวนาด้วยจิตถ่อมตนในพระพรที่ได้รับ เราภาวนาเพื่อเราจะได้เป็นเครื่องมือสะท้อน ความดีงามของพระเจ้าไปสูท่ กุ คนทีอ่ ยูร่ อบข้าง นีค่ อื การภาวนาแบบคริสตชนทีแ่ ท้จริง


16

พฤหัสบดี บทอ่านที่ 1 อสย 26:7-9,12,16-19 หนทางของผูช้ อบธรรมก็ตรง พระองค์ทรงทำ�ให้ทางเดินของผูช้ อบธรรมราบเรียบ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลายเดินตามพระวินิจฉัยของพระองค์ ข้าพเจ้า ทั้งหลายมีความหวังในพระองค์ ความปรารถนาประการเดียวของข้าพเจ้าทั้งหลาย คือ สรรเสริญพระนามและระลึกถึงพระองค์ วิญญาณของข้าพเจ้ากระหายหาพระองค์เวลา กลางคืน จิตใจของข้าพเจ้าแสวงหาพระองค์ตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะเมื่อพระองค์ทรง พระนางมารีย์ พิพากษาแผ่นดิน ผู้อาศัยในแผ่นดินจะได้เรียนรู้ความชอบธรรม พรหมจารี ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดประทานสันติภาพแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย เพราะ แห่งภูเขาคาร์แมล พระองค์ทรงบันดาลให้กิจการทั้งหมดของข้าพเจ้าทั้งหลายประสบความสำ�เร็จ สดด 102:12-13,14-16, ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ในยามทุกข์ เขาทัง้ หลายแสวงหาพระองค์ เมือ่ ทรงตีสอน 17-18,19-20 เขา เขาก็ตั้งใจอธิษฐานภาวนาต่อพระองค์ หญิงมีครรภ์จวนจะคลอดบุตร บิดตัวและ ทำ�วัตรสัปดาห์ท่ี 3 ร้องด้วยความเจ็บปวดฉันใด ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้น เฉพาะพระพักตร์ ข้าพเจ้าทัง้ หลายมีครรภ์ บิดตัวด้วยความเจ็บปวด แต่คลอดเพียงลม เท่านั้น ข้าพเจ้าทั้งหลายมิได้นำ�ความรอดพ้นมาให้แผ่นดิน ไม่มีผู้อาศัยในโลกคนใด เกิดมา บรรดาผู้ตายของพระองค์จะมีชีวิตอีก ร่างกายของเขาทั้งหลายจะกลับคืนชีพ ผู้อาศัยอยู่ในฝุ่นดินเอ๋ย จงตื่นและจงร้องเพลงด้วยความยินดีเถิด เพราะนํ้าค้างของ ท่านเป็นนํ้าค้างที่ส่องแสง พระองค์ทรงบันดาลให้แดนผู้ตายกลับมีชีวิต

กรกฎาคม

พระวรสาร มธ 11:28-30 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านทัง้ หลายทีเ่ หน็ดเหนือ่ ย และแบกภาระหนัก จง มาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน จงรับแอกของเราแบกไว้ และมาเป็นศิษย์ของ เรา เพราะเรามีใจสุภาพอ่อนโยนและถ่อมตน จิตใจของท่านจะได้รบั การพักผ่อน เพราะ ว่าแอกของเราอ่อนนุ่มและภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา” “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ในยามทุกข์ เขาทั้งหลายแสวงหาพระองค์ เมื่อทรงตีสอนเขา เขาก็ ตั้งใจอธิษฐานภาวนาต่อพระองค์”...ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าทั้งหลายเดินตามพระวินิจฉัยของ พระองค์ ข้าพเจ้าทั้งหลายมีความหวังในพระองค์... การ “มาเป็นศิษย์ของเรา” คือการเดินตามเส้นทางและวิถีการดำ�เนินชีวิตของพระเยซูเจ้า...ใจสุภาพ อ่อนโยน ถ่อมตน “จิตใจของท่านจะได้รับการพักผ่อน เพราะว่าแอกของเราอ่อนนุ่ม และภาระที่เราให้แบก นัน้ ก็เบา” เพือ่ จะเข้าใจพระวาจาของพระเจ้า เราต้องใช้เวลาเพือ่ รำ�พึงและไตร่ตรองอย่างลึกซึง้ เพราะความ เข้าใจนีไ้ ม่ได้มาจากเหตุผลทางปัญญา แต่มาจากประสบการณ์ชวี ติ ทีเ่ รามีสว่ นร่วมเป็นหนึง่ เดียวกับพระเจ้า ซึ่งจะทำ�ให้การทำ�หน้าที่ของเราในการติดตามพระเยซูเจ้าในแต่ละวันนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่รู้สึกว่าเป็น แอก หรือเป็นภาระหนัก เมื่อเราเข้าใจพระวาจาของพระเจ้าในความหมายนี้ ในขณะที่เราภาวนา จิตของเรากับจิตของพระเจ้า จะเป็นหนึ่งเดียวกัน ภาระต่างๆ ก็จะไม่หนัก เพราะเราไม่ได้แบกไว้เพียงลำ�พัง


17 ศุกร

บทอ่านที่ 1 อสย 38:1-6,21-22,7-8 สมัยนั้น กษัตริย์เฮเซคียาห์ประชวรหนักจนเกือบจะสิ้นพระชนม์ ประกาศก อิสยาห์บุตรของอามอสเข้ามาเฝ้าพระองค์ ทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ‘จงจัด เรือ่ งในบ้านให้เรียบร้อย เพราะท่านจะต้องตาย ท่านจะไม่หาย’” กษัตริยเ์ ฮเซคียาห์ทรง ผินพระพักตร์เข้าข้างฝา อธิษฐานทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงระลึกเถิดว่าข้าพเจ้าได้ดำ�เนินชีวติ เฉพาะพระพักตร์พระองค์อย่างซือ่ สัตย์และ สัปดาห์ที่ 15 จริงใจ ทำ�ตามที่พระองค์ทรงเห็นว่าถูกต้อง” แล้วกษัตริย์เฮเซคียาห์ทรงกันแสงอย่าง เทศกาลธรรมดา หนัก อสย 38:10-11,12,16 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสสัง่ ประกาศกอิสยาห์วา่ “จงไปทูลกษัตริยเ์ ฮเซคียาห์วา่ ‘องค์ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของกษัตริยด์ าวิดบรรพบุรษุ ของท่านตรัสดังนี้ เราได้ยนิ คำ�อธิษฐาน และเห็นนํา้ ตาของท่านแล้ว เราจะต่ออายุให้ทา่ นอีกสิบห้าปี เราจะช่วยท่านและเมืองนี้ ให้รอดพ้นจากมือของกษัตริย์อัสซีเรีย และจะปกป้องเมืองนี้’” ประกาศกอิสยาห์สั่งว่า “จงนำ�ผลมะเดื่ออัดมาวางไว้บนพระยอด แล้วพระองค์ จะทรงหายประชวร” กษัตริยเ์ ฮเซคียาห์ตรัสถามว่า “มีเครือ่ งหมายใดบอกเราว่าเราจะ ขึ้นไปที่พระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้” ประกาศกอิสยาห์จึงทูลว่า “นี่คือเครื่องหมายจากองค์พระผู้เป็นเจ้าสำ�หรับพระองค์ว่า องค์พระผู้เป็น เจ้าจะทรงทำ�ตามทีท่ รงสัญญาไว้ ดูซิ เราจะทำ�ให้เงาทีด่ วงอาทิตย์ทอดลงบนขัน้ นาฬิกาแดดของกษัตริยอ์ าคัส ถอยหลังกลับไปสิบขั้น” เงาที่ดวงอาทิตย์ทอดก็ถอยกลับไปสิบขั้นจากที่ได้ทอดลงไปแล้ว

กรกฎาคม

พระวรสาร มธ 12:1-8 ครั้งหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จผ่านนาข้าวสาลีในวันสับบาโต บรรดาศิษย์รู้สึกหิว จึงเด็ดรวงข้าวมากิน เมื่อ ชาวฟาริสสี งั เกตเห็นดังนัน้ จึงทูลพระองค์วา่ “ดูซิ ศิษย์ของท่านกำ�ลังทำ�สิง่ ต้องห้ามในวันสับบาโต” พระองค์ ตรัสตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านในพระคัมภีร์หรือว่ากษัตริย์ดาวิดและผู้ติดตามได้ทำ�สิ่งใดเมื่อหิวโหย พระองค์ เสด็จเข้าไปในพระนิเวศของพระเจ้า เสวยขนมปังที่ตั้งถวายพร้อมกับบรรดาผู้ติดตาม ขนมปังนั้นผู้ใดจะกิน ไม่ได้ นอกจากบรรดาสมณะเท่านั้น ท่านไม่ได้อ่านในธรรมบัญญัติหรือว่า ในวันสับบาโตนั้น บรรดาสมณะ ในพระวิหารย่อมละเมิดวันสับบาโตได้โดยไม่มีความผิด เราบอกท่านทั้งหลายว่า ที่นี่มีสิ่งยิ่งใหญ่กว่าพระ วิหารเสียอีก ถ้าท่านเข้าใจความหมายของข้อความที่ว่า ‘เราพอใจความเมตตากรุณา มิใช่พอใจเครื่องบูชา’ ท่านคงจะไม่กล่าวโทษผู้ไม่มีความผิด เพราะบุตรแห่งมนุษย์เป็นนายเหนือวันสับบาโต” จากพระวรสารวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงต้องการพิสจู น์ให้เห็นว่า พระองค์มาจากพระเจ้า พระองค์ ทรงเป็นนายเหนือวันสับบาโต พระองค์ทรงยิ่งใหญ่กว่าบรรดาสมณะเหล่านั้น จึงยกเว้นเรื่องการทำ�งานใน วันสับบาโตได้ “เราพอใจความเมตตากรุณา มิใช่เครื่องบูชา” ปรากฏในพระวาจาบทนี้ แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าพอ พระทัยในความเมตตากรุณา มากกว่าเครื่องบูชา ทรงพอพระทัยที่จะปฏิบัติความเมตตากรุณา มากกว่าจะ ใช้ความรุนแรงในการลงโทษ


18 เสาร

บทอ่านที่ 1 มคา 2:1-5 วิบัติจงเกิดแก่ผู้วางแผนร้าย และคิดทำ�ความชั่วอยู่บนทีน่ อน พอรุ่งขึน้ ตอนเช้าก็ ทำ� เพราะเขามีอำ�นาจจะทำ�เช่นนั้น เขาอยากได้ทุ่งนาใดก็เข้ายึด เขาอยากได้บ้านใดก็ ริบไป เขารีดไถทั้งเจ้าของและบ้านเรือน เขาบีบคนและมรดก องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจึงตรัสดังนีว้ า่ “ดูซิ เรากำ�ลังวางแผนต่อสูก้ บั คนประเภทนี้ เป็น ภัยพิบัติซึ่งท่านถอนคอให้พ้นไม่ได้ ท่านจะยืดอกเดินอย่างผึ่งผายไม่ได้ เพราะนั่นคือ เวลาแห่งภัยพิบัติ เวลานั้น จะมีผู้แต่งคำ�พังเพยถึงท่าน และจะครํ่าครวญอย่างขมขื่น ว่า ‘พวกเราถูกปล้นจนหมดตัวแล้ว พระเจ้าทรงมอบมรดกของประชากรของข้าพเจ้า ให้เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้อื่นแล้ว พระองค์ทรงเอาไปได้อย่างไร พระองค์ทรงแบ่งทุ่งนา ของพวกเราให้แก่บรรดาศัตรู’ ดังนั้น จะไม่มีผู้ใดขึงเชือกวัดส่วนมรดก เพื่อจับสลากให้ท่านในชุมชนขององค์ พระผู้เป็นเจ้า”

กรกฎาคม สัปดาห์ที่ 15 เทศกาลธรรมดา สดด 10:1-2,3-4, 7-8,14

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

พระวรสาร มธ 12:14-21 เวลานั้น ชาวฟาริสีจึงไปชุมนุมปรึกษากันว่าจะกำ�จัดพระองค์ได้อย่างไร พระเยซูเจ้าทรงทราบเรือ่ งนี้ จึงเสด็จไปจากทีน่ นั่ ผูค้ นจำ�นวนมากติดตามพระองค์ ไป พระองค์ทรงรักษาทุกคนให้หายจากโรค แต่ทรงกำ�ชับเขามิให้แพร่งพรายให้ผู้ใดรู้ ทั้งนี้ เพื่อให้พระวาจาที่ตรัสทางประกาศกอิสยาห์เป็นความจริงว่า นี่คือผู้รับใช้ที่เราได้เลือกสรรไว้ นี่คือผู้ที่เรารัก ซึ่งเราโปรดปราน เราจะให้จิตของเราแก่เขา และเขาจะประกาศความยุติธรรมแก่นานาชาติ เขาจะไม่ทะเลาะวิวาท และจะไม่ส่งเสียงเอ็ดอึง จะไม่มีใครได้ยินเสียงของเขาตามลานสาธารณะ เขาจะไม่หักต้นอ้อที่ชํ้าแล้ว เขาจะไม่ดับไส้ตะเกียงที่ยังริบหรี่อยู่ จนกว่าเขาจะทำ�ให้ความยุติธรรมมีชัยชนะ นานาชาติจะมีความหวังในนามของเขา ประกาศกมีคาห์ใช้ภาพของ “แอก” เพือ่ หมายถึงการลงโทษหนักของพระเจ้า แอกทำ�ให้ทาส นักโทษ หรือสัตว์โงหัวไม่ขึ้น การลงโทษอย่างหนักของพระเจ้าก็ทำ�ให้คนชั่วต้องเดิน “ก้มหน้า” ชะตาชีวิต ของผู้ที่เอารัดเอาเปรียบคนจนจะอยู่ในสภาพเดียวกับที่เขาปฏิบัติต่อผู้อื่น กล่าวคือจะไม่ได้แผ่นดินพระ สัญญาเป็นมรดกแม้แต่เสี้ยวเดียว เพราะบรรดาศัตรูจะกวาดต้อนเขาไปเป็นเชลย แล้วพวกเขาจะหมดตัว มัทธิวยืนยันว่า พระเยซูเจ้าก็คือบุคคลที่ประกาศกอิสยาห์กล่าวพยากรณ์ไว้ว่าจะเสด็จมา และบัดนี้ เสด็จมาแล้ว พระองค์จะประกาศความยุติธรรมแก่นานาชาติ และเป็นผู้ที่จะทำ�ให้ความยุติธรรมมีชัยชนะ และนานาชาติจะมีความหวังในพระนามของพระองค์ พระเยซูเจ้าเป็นบุคคลทีป่ ฏิบตั ติ นตรงข้ามกับผูเ้ อารัด เอาเปรียบคนจน ดังที่ประกาศกมีคาห์กล่าวไว้ในบทอ่านที่หนึ่ง


19 อาทิตย

กรกฎาคม สัปดาห์ที่ 16 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านจากหนังสือปรีชาญาณ ปชญ 12:13, 16-19 นอกจากพระองค์แล้ว ไม่มีพระเจ้าอืน่ ใดทีเ่ อาพระทัยใส่ทุกสิ่ง และที่พระองค์จะ ต้องพิสูจน์ว่ามิได้ทรงตัดสินอย่างอยุติธรรม พระฤทธานุภาพของพระองค์เป็นบ่อเกิดแห่งความยุตธิ รรม การทีท่ รงเป็นเจ้านาย เหนือจักรวาลทำ�ให้พระองค์ทรงปรานีทกุ คน พระองค์ทรงสำ�แดงพระฤทธานุภาพแก่ผู้ ที่ไม่เชื่อพระอานุภาพของพระองค์ พระองค์ทรงกำ�จัดความหยิ่งยโสของผู้ที่รู้จัก พระองค์ พระองค์ทรงพลานุภาพอย่างสมบูรณ์ จึงทรงพิพากษาอย่างอ่อนโยน ทรง ปกครองข้าพเจ้าทั้งหลายด้วยพระทัยปรานี เพราะพระองค์ทรงใช้พระอานุภาพตามที่ พอพระทัย พระองค์ทรงกระทำ�เช่นนี้เพื่อสอนประชากรของพระองค์ว่า ผู้ชอบธรรมต้องรัก เพื่อนมนุษย์ พระองค์ประทานความหวังเต็มเปี่ยมแก่บรรดาบุตรของพระองค์ว่า เมื่อ เขาทำ�บาปแล้ว พระองค์ก็ประทานโอกาสให้เขากลับใจ เพลงสดุดี สดด 86:5-7,9-10,15-16ก ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์มีพระทัยดีและประทานอภัย ทรงความรักมั่นคงล้นเหลือต่อทุกคนที่เรียกขานพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงเอียงพระกรรณฟังคำ�ภาวนาของข้าพเจ้า โปรดทรงรับฟังเสียงร้องที่ข้าพเจ้าวอนขอ ในวันที่ข้าพเจ้าเป็นทุกข์ ข้าพเจ้าเรียกหาพระองค์ เพราะพระองค์ทรงตอบข้าพเจ้า ข) ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า นานาชาติทที่ รงสร้างจะมากราบไหว้นมัสการพระองค์ และจะถวายพระเกียรติแด่พระนามของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงยิ่งใหญ่และทรงกระทำ�ปาฏิหาริย์ พระองค์เพียงพระองค์เดียวทรงเป็นพระเจ้า ค) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงเมตตากรุณา กริ้วช้า ทรงความรักมั่นคงและทรงซื่อสัตย์อย่างมากล้น โปรดทรงผินพระพักตร์มาทางข้าพเจ้า และทรงพระกรุณาต่อข้าพเจ้าเถิด โปรดประทานพละกำ�ลังแก่ผู้รับใช้พระองค์ บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 8:26-27 พี่น้อง ในทำ�นองเดียวกัน พระจิตเจ้าเสด็จมาช่วยเหลือเราผู้อ่อนแอ เพราะเรา ไม่รวู้ า่ จะต้องอธิษฐานภาวนาขอสิง่ ใดทีเ่ หมาะสม แต่พระจิตเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาวอน ขอแทนเราด้วยคำ�ทีไ่ ม่อาจบรรยาย และพระผูท้ รงสำ�รวจจิตใจ ทรงทราบความปรารถนา ของพระจิตเจ้า เพราะว่าพระจิตเจ้าทรงอธิษฐานเพือ่ บรรดาผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิต์ ามพระประสงค์ ของพระเจ้า


บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 13:24-43 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรือ่ งหนึง่ ให้พวกเขาฟังว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กบั ชาย คนหนึ่งที่หว่านข้าวพันธุ์ดีในนาของตน ขณะที่ทุกคนนอนหลับ ศัตรูก็มาหว่านข้าวละมานทับลงบนข้าวสาลี แล้วจากไป เมื่อต้นข้าวงอกขึ้นจนออกรวง ข้าวละมานก็ปรากฏแซมอยู่ด้วย บรรดาผู้รับใช้จึงไปหานายถาม ว่า ‘นายครับ นายหว่านข้าวพันธุ์ดีในนามิใช่หรือ แล้วข้าวละมานมาจากที่ใด’ นายตอบว่า ‘ศัตรูมาหว่านไว้’ ผู้รับใช้จึงถามว่า ‘นายต้องการให้เราไปถอนมันไหม’ นายตอบว่า ‘อย่าเลย เกรงว่าเมื่อท่านถอนข้าวละมาน ท่านจะถอนข้าวสาลีติดมาด้วย จงปล่อยให้ข้าวสองชนิดงอกงามขึ้นด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว แล้วเมื่อ เก็บเกี่ยว ฉันจะบอกคนเก็บเกี่ยวว่า จงเก็บข้าวละมานก่อน มัดเป็นฟ่อน เผาไฟเสีย ส่วนข้าวสาลีนั้น จง เก็บเข้ายุ้งของฉัน’” พระองค์ตรัสเป็นอุปมาอีกเรือ่ งหนึง่ ว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กบั เมล็ดมัสตาร์ดซึง่ มีผนู้ ำ�ไปหว่าน ในนา และเป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ดทั้งหลาย แต่เมื่อเมล็ดงอกขึ้นเป็นต้นแล้ว กลับมีขนาดโตกว่าต้นผักอื่นๆ และกลายเป็นต้นไม้ จนกระทั่งนกในอากาศมาทำ�รังอาศัยบนกิ่งได้” พระองค์ยังตรัสเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้กับเชื้อแป้งที่หญิงคนหนึ่งนำ� มาเคล้าผสมกับแป้งสามถัง จนแป้งทั้งหมดฟูขึ้น” พระเยซูเจ้าตรัสเรือ่ งทัง้ หมดนีแ้ ก่ประชาชนเป็นอุปมา พระองค์ไม่ตรัสสิง่ ใดกับเขาโดยไม่ใช้อปุ มา ทัง้ นี้ เพื่อให้พระดำ�รัสที่ตรัสไว้ทางประกาศกเป็นความจริงว่า เราจะเปิดปากกล่าวเป็นอุปมา เราจะกล่าวเรื่องที่ยังไม่เคยเปิดเผยตั้งแต่สร้างโลก หลังจากนั้น พระองค์ทรงแยกจากประชาชนเข้าไปในบ้าน บรรดาศิษย์จึงเข้ามาทูลว่า “โปรดอธิบาย อุปมาเรื่องข้าวละมานในนาเถิด” พระองค์ตรัสว่า “ผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ดีคือบุตรแห่งมนุษย์ ทุ่งนาคือโลก เมล็ดพันธุ์ดีคือพลเมืองแห่งพระอาณาจักร ข้าวละมานคือพลเมืองของมารร้าย ศัตรูที่หว่านคือปีศาจ ฤดู เก็บเกี่ยวคือเวลาอวสานแห่งโลก ผู้เก็บเกี่ยวคือทูตสวรรค์” “ข้าวละมานถูกมัดเผาไฟฉันใด เวลาอวสานแห่งโลกก็จะเป็นฉันนั้น บุตรแห่งมนุษย์จะใช้ทูตสวรรค์มา รวบรวมทุกสิ่งที่ทำ�ให้หลงผิดและทุกคนที่ประกอบการอธรรม ให้ออกจากพระอาณาจักร แล้วเอาไปทิ้งใน กองไฟ ที่นั่น จะมีแต่การรํ่าไห้ครํ่าครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง ส่วนผู้ชอบธรรมจะส่องแสงเหมือน ดวงอาทิตย์ในพระอาณาจักรของพระบิดา ใครมีหูก็จงฟังเถิด” พระเจ้าผู้ทรงพลานุภาพอย่างสมบูรณ์ ทรงปกครองและพิพากษาอย่างอ่อนโยนด้วยพระทัย ปรานีเพือ่ สอนประชากรของพระองค์วา่ ผูช้ อบธรรมต้องรักเพือ่ นมนุษย์ พระองค์ทรงประทานความหวังให้ เราอย่างเต็มเปี่ยม แม้เราทำ�บาปพระองค์ก็ยังทรงประทานโอกาสให้กลับใจ (ปชญ 12:16-19) นอกจาก ความหวังเต็มเปี่ยมอันเป็นของประทานจากพระบิดาเจ้าแล้ว ความรักการไถ่กู้ของพระเยซูคริสตเจ้าและ คำ�สอนในอุปมาเรื่องต่างๆ... “ผู้หว่านเมล็ดพันธุ์คือบุตรแห่งมนุษย์ ทุ่งนาคือโลก เมล็ดพันธ์ุดีคือพลเมือง แห่งพระอาณาจักร ข้าวละมานคือพลเมืองของมารร้าย ศัตรูที่หว่านคือปีศาจ ฤดูเก็บเกี่ยวคือเวลาอวสาน โลก ผูเ้ ก็บเกีย่ วคือทูตสวรรค์...ใครมีหกู จ็ งฟังเถิด” ทีท่ รงนำ�มาเปรียบเทียบตามสถานการณ์เพือ่ ให้เราเข้าใจ ถึงพระอาณาจักรสวรรค์ที่เราต้องมุ่งหน้าไปให้ถึงแล้ว...เรายังมีองค์พระจิตเจ้าผู้ทรงคอยช่วยเหลือและ อธิษฐานภาวนาวอนขอแทนเราด้วยคำ�ที่ไม่อาจบรรยาย


20 จันทร

บทอ่านที่ 1 มคา 6:1-4,6-8 จงฟังสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสเถิด จงลุกขึ้นแก้คดีของท่านต่อหน้าภูเขา จงให้ เนินเขาฟังเสียงของท่าน ภูเขาทัง้ หลายเอ๋ย จงฟังคดีขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าเถิด รากฐาน ถาวรของแผ่นดินเอ๋ย จงฟังเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงมีคดีความกับประชากร ของพระองค์ พระองค์จะทรงสู้ความกับอิสราเอล ประชากรของเราเอ๋ย เราได้ทำ�อะไร น.อโพลินาริส กับท่าน เราได้ทำ�ให้ท่านขุ่นข้องหมองใจในเรื่องใด จงตอบซิ เพราะเราได้นำ�ท่านออก พระสังฆราช มาจากแผ่นดินอียิปต์ และไถ่ท่านจากการเป็นทาส เราใช้โมเสส อาโรน และมีเรียมให้ และมรณสักขี นำ�หน้าท่าน “ข้าพเจ้าจะต้องนำ�สิ่งใดเมื่อเข้ามาเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า และกราบนมัสการ สดด 50:5-6,8-10, 16-18,21,23 พระเจ้าผู้สูงสุด ข้าพเจ้าจะต้องนำ�เครื่องเผาบูชา โคหนุ่มอายุหนึ่งปีหลายตัวเข้ามาเฝ้า ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 พระองค์หรือ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะพอพระทัยแกะเพศผู้นับพันตัว พอพระทัยลำ�ธาร นํ้ามันนับหมื่นสายหรือ ข้าพเจ้าจะต้องถวายบุตรคนแรกเพื่อชดเชยความผิดของ ข้าพเจ้า ถวายบุตรจากกายของข้าพเจ้าเพื่อชดเชยบาปที่ข้าพเจ้าได้ทำ�หรือ” “มนุษย์เอ๋ย พระองค์ทรงบอกท่านไว้แล้วว่าอะไรดี และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์สิ่งใดจากท่าน คือให้ท่านปฏิบัติความยุติธรรมและรักความดีงาม และดำ�เนินชีวิตอย่างถ่อมตนกับพระเจ้าของท่าน”

กรกฎาคม

พระวรสาร มธ 12:38-42 เวลานั้น ชาวฟาริสีและธรรมาจารย์บางคนทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์ พวกเราต้องการเห็น เครื่องหมายอัศจรรย์ประการหนึ่งจากท่าน” พระองค์ทรงตอบว่า “คนชั่วร้ายและไม่ซื่อสัตย์ต้องการเห็น เครื่องหมายรึ จะไม่มีเครื่องหมายใดให้เห็น เว้นแต่เครื่องหมายของประกาศกโยนาห์เท่านั้น โยนาห์อยู่ใน ท้องปลาสามวันสามคืนฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะอยู่ในท้องแผ่นดินสามวันสามคืนฉันนั้น ในวันพิพากษา ชาวเมืองนีนะเวห์จะลุกขึน้ และกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเมือ่ ได้ฟงั คำ�เทศน์ของโยนาห์ แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์อีก ในวันพิพากษา พระราชินีแห่งทิศใต้ จะทรงลุกขึ้นและทรงกล่าวโทษคนยุค นี้ เพราะพระนางเสด็จมาจากสุดปลายแผ่นดิน เพื่อฟังพระปรีชาสุขุมของกษัตริย์ซาโลมอน แต่ที่นี่มีผู้ ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ซาโลมอนอีก” หัวข้อของพระวาจาวันนีก้ ค็ อื “ความขมขืน่ ของพระเจ้า กับ การกลับใจของเรา” พระเยซูเจ้า ทรงประสบกับความขมขื่นตลอดพระชนมชีพของพระองค์ บุคคลทีพ่ บกับพระเจ้าอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน “ปฏิบตั คิ วามยุตธิ รรมและรักความดีงาม” เขาอ่อนน้อม ต่อพระประสงค์ของพระเจ้า และมองเห็นความต้องการของเพื่อนพี่น้อง ความรักของเขาจะเป็นความรักที่ อ่อนโยน มีเมตตาต่อผู้อื่น ดังที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ�ให้เห็นเป็นแบบอย่าง การกลับใจจึงหมายถึง “การเจริญชีวติ ตามแบบอย่างและพระวาจาของพระเจ้า” หนทางทีเ่ ราต้องเดิน ก็คือ มุ่งไปสู่พระคริสตเจ้า อุทิศตนค้นหาเพื่อพบความมั่งคั่งของพระบุคคลและความรักของพระองค์ พระ เยซูเจ้าทรงดีกว่าโยนาห์ เพราะพระองค์ทรงเปลี่ยนแปลงหัวใจของเรา โดยทรงประทานดวงใจให้ใหม่ ทรง ดีกว่าซาโลมอน เพราะพระองค์สามารถประทานแสงแห่งปรีชาญาณที่แท้จริงแก่เรา


21

อังคาร

บทอ่านที่ 1 มคา 7:14-15,18-20 โปรดทรงใช้ไม้ขอของผูเ้ ลีย้ งแกะเลีย้ งดูประชากร คือฝูงแพะแกะทีเ่ ป็นมรดกของ พระองค์ ซึง่ อาศัยโดดเดีย่ วอยูใ่ นป่า ทีม่ แี ผ่นดินอุดมสมบูรณ์อยูโ่ ดยรอบ โปรดทรงให้ เขาหากินอยูใ่ นแคว้นบาชานและกิเลอาด เหมือนในสมัยก่อน โปรดทรงแสดงปาฏิหาริย์ แก่ขา้ พเจ้าทัง้ หลาย เหมือนในสมัยทีท่ รงนำ�ข้าพเจ้าทัง้ หลายออกมาจากแผ่นดินอียปิ ต์ เทพเจ้าใดเล่าเป็นเหมือนพระองค์ ผู้ทรงให้อภัยความผิด และทรงมองข้ามการ ล่วงละเมิดแก่ผู้ที่เหลืออยู่เป็นมรดกของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงเก็บพระพิโรธไว้ ตลอดไป แต่พอพระทัยแสดงความรักมั่นคง ขอพระองค์ทรงพระเมตตาต่อข้าพเจ้า ทัง้ หลายอีกครัง้ หนึง่ โปรดทรงเหยียบยํา่ ความผิดของข้าพเจ้าทัง้ หลาย พระองค์จะทรง เหวี่ยงบาปของข้าพเจ้าทั้งหลายลงไปในทะเลลึก พระองค์จะทรงแสดงความซื่อสัตย์ แก่ยาโคบ ทรงแสดงความรักมัน่ คงแก่อบั ราฮัม ดังทีเ่ คยทรงปฏิญาณต่อบรรพบุรษุ ของ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่นานมาแล้ว พระวรสาร มธ 12:46-50 ขณะที่พระเยซูเจ้ากำ�ลังตรัสกับประชาชน พระมารดาและพระประยูรญาติของ พระองค์ มายืนอยู่ข้างนอก ต้องการพูดกับพระองค์ พระองค์จึงตรัสถามผู้ที่มาทูลนั้น ว่า “ใครเป็นมารดา ใครเป็นพี่น้องของเรา” แล้วทรงยื่นพระหัตถ์ชี้บรรดาศิษย์ ตรัสว่า “นี่คือมารดาและพี่น้องของเรา เพราะผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิงและเป็นมารดาของเรา”

พระเยซูเจ้าทรงให้ความสำ�คัญกับการปฏิบัติตามพระประสงค์ของ พระบิดาเจ้าเป็นเอก ส่วนการเป็นญาติทางสายโลหิตเป็นอันดับรอง พระองค์ทรงให้ บทเรียนทีส่ �ำ คัญเกีย่ วกับเรือ่ งนี้ หากเรามีเวลาไตร่ตรองให้ลกึ ซึง้ เราจะพบว่า ชีวติ ของ เราทุกคน ทุกฐานะ มิได้เป็นอะไรอื่น นอกจากแสวงหาพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า และปฏิบัติตามพระประสงค์นั้น เราไม่ได้อยู่บนโลกนี้เพียงเพื่อสร้างโลกใหม่ให้น่าอยู่ มิได้มีชีวิตอยู่ในแต่ละวันเพื่อค้นพบสิ่งใหม่ๆ สำ�หรับมนุษชาติ การมีทรัพย์สินเงินทองมากๆ มีสุขภาพดี มีชีวิตยืนยาว ล้วนเป็นสิ่งที่ดี แต่มิใช่ เป้าหมายสุดท้ายของการมีชีวิตบนโลกนี้ เพราะทุกสิ่งเหล่านี้จะผ่านพ้นไปสักวัน เป้าหมายสุดท้ายของชีวิตเรามีเพียงอย่างเดียวคือ ทำ�ตามพระประสงค์ของพระบิดา เจ้าสวรรค์ พระประสงค์ของพระองค์นนั้ มีอย่างเดียว คือ ความรอดพ้นสูค่ วามสุขนิรนั ดร กับพระองค์ในโลกหน้า ดังนั้น เราจึงต้องแสวงหา และถามพระองค์อยู่เสมอๆ ด้วยท่าทีที่เงียบสงบในใจ และปฏิบัติตามการดลใจเหล่านั้นด้วยความสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตนเสมอ

กรกฎาคม น.ลอเรนซ์ แห่งบรินดิซี พระสงฆ์ และนักปราชญ์ สดด 85:1-3,4-5, 6-7

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4


22 พุธ

บทอ่านที่ 1 2 คร 5:14-17 พี่น้อง เพราะความรักของพระคริสตเจ้าผลักดันเรา เราแน่ใจว่า ถ้าคนหนึ่งตาย เพื่อทุกคน ก็เหมือนกับว่าทุกคนได้ตายด้วย พระองค์สิ้นพระชนม์แทนทุกคน เพื่อผู้ที่ มีชีวิตจะได้ไม่มีชีวิตเพื่อตนเองอีกต่อไป แต่มีชีวิตเพื่อพระองค์ผู้ได้สิ้นพระชนม์ และ ทรงกลับคืนพระชนมชีพเพื่อเขา ฉลอง ตัง้ แต่บดั นีเ้ ป็นต้นไป เราจะไม่พจิ ารณาผูใ้ ดตามมาตรฐานมนุษย์อกี แม้วา่ ครัง้ หนึง่ น.มารีย์ ชาวมักดาลา เราเคยพิจารณาพระคริสตเจ้าตามมาตรฐานมนุษย์ แต่บดั นีเ้ ราไม่พจิ ารณาพระองค์ตาม มาตรฐานนี้อีกต่อไป ดังนั้น ถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสตเจ้า ผู้นั้นก็เป็นสิ่งสร้างใหม่ สภาพ สดด 63:1-2,3-5, เก่าผ่านพ้นไป สภาพใหม่เกิดขึ้นแล้ว 6-9

กรกฎาคม

พระวรสาร ยน 20:1,11-18 เช้าตรู่วันต้นสัปดาห์ขณะที่ยังมืด มารีย์ชาวมักดาลาออกไปที่พระคูหา ก็เห็นหิน ถูกเคลื่อนออกไปจากพระคูหาแล้ว มารียย์ งั คงยืนร้องไห้อยูน่ อกพระคูหา ขณะทีร่ อ้ งไห้นนั้ นางก้มลงมองในพระคูหา ก็เห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ตรงที่ที่เขาวางพระศพของพระเยซูเจ้าไว้ องค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระเศียร อีกองค์หนึ่งนั่งอยู่ทางเบื้องพระบาท ทูตสวรรค์ทั้ง สององค์ถามนางว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำ�ไม” นางตอบว่า “เขานำ�องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของ ดิฉันไปแล้ว ดิฉันไม่รู้ว่า เขานำ�พระองค์ไปไว้ที่ใด” เมื่อตอบดังนี้แล้ว นางก็หันกลับมา และเห็นพระเยซูเจ้าทรงยืนอยู่ที่นั่น แต่ไม่รู้ว่าเป็นพระเยซูเจ้า พระองค์ตรัสถามนาง ว่า “นางเอ๋ย ร้องไห้ทำ�ไม กำ�ลังเสาะหาผู้ใด” นางคิดว่าพระองค์เป็นคนสวน จึงตอบ ว่า “นายเจ้าขา ถ้าท่านนำ�พระองค์ไป ช่วยบอกดิฉนั ว่าท่านนำ�พระองค์ไปไว้ทไี่ หน ดิฉนั จะได้ไปนำ�พระองค์กลับมา” พระเยซูเจ้าตรัสเรียกนางว่า “มารีย์” นางจึงหันไปทูล พระองค์เป็นภาษาฮีบรูว่า “รับโบนี” ซึ่งแปลว่า พระอาจารย์ พระเยซูเจ้าตรัสกับนาง ว่า “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้เลย เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปเฝ้าพระบิดา แต่จงไปหาพี่น้อง ของเรา และบอกเขาว่า เรากำ�ลังขึ้นไปเฝ้าพระบิดาของเรา และพระบิดาของท่าน ทั้งหลาย ไปเฝ้าพระเจ้าของเรา และพระเจ้าของท่านทั้งหลาย” มารีย์ชาวมักดาลาจึง ไปแจ้งข่าวกับบรรดาศิษย์ว่า “ดิฉันได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว” และเล่าเรื่องที่ พระองค์ตรัสกับนาง ความรักของพระคริสตเจ้าผลักดันเรา... ผูใ้ ดอยูใ่ นพระคริสตเจ้าผูน้ นั้ ก็เป็นสิง่ สร้างใหม่ สภาพ เก่าผ่านพ้นไป....นักบุญมารีย์ ชาวมักดาลา เป็นสตรีที่พระวรสารบันทึกไว้ว่าเป็นหนึ่งในศิษย์ที่ติดตามรับใช้ พระเยซูเจ้าและอัครสาวกในช่วงชีวิตเปิดเผยของพระองค์ และท่านก็ติดตามพระเยซูเจ้าจนถึงเนินกัลวารี โอ (ลก 8:1-3) ท่านเป็นประจักษ์พยานแรกของการกลับคืนพระชนมชีพของพระคริสตเจ้า...ด้วยรูปแบบ ของพระศาสนจักรทีเ่ ป็นเจ้าสาวและวิญญาณทีแ่ สวงหาพระคริสตเจ้าด้วยนํา้ ตาแห่งความรักในความมืดมิด และไม่เข้าใจในสถานการณ์... ผู้แสวงหาก็จะได้พบ


23

พฤหัสบดี

บทอ่านที่ 1 ยรม 2:1-3,7-8,12-13 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า จงไปประกาศให้ชาวกรุงเยรูซาเล็มได้ยินว่า “องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสดังนีว้ า่ เรายังระลึกถึงความจงรักภักดีในวัยสาวของท่าน ระลึก ถึงความรักเมื่อท่านยังเป็นคู่หมั้น เมื่อท่านติดตามเราในถิ่นทุรกันดาร ในแผ่นดินที่ไม่มี ผูใ้ ดหว่านพืช อิสราเอลถูกแยกไว้เป็นขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า เป็นผลิตผลแรกทีท่ รงเก็บ เกีย่ ว ทุกคนทีก่ นิ ผลแรกนีย้ อ่ มมีความผิด เหตุรา้ ยจะมาถึงเขา องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัส” เราได้นำ�ท่านทัง้ หลายเข้ามาในแผ่นดินอุดมสมบูรณ์ เพือ่ จะได้กนิ ผลผลิตและสิง่ ดีๆ แต่เมือ่ ท่านเข้ามา ท่านทำ�ให้แผ่นดินของเราเป็นมลทิน และทำ�ให้มรดกของเราเป็น สิ่งน่าสะอิดสะเอียน บรรดาสมณะไม่เคยถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ที่ไหน” ผู้ เชี่ยวชาญธรรมบัญญัติไม่รู้จักเรา บรรดาผู้ปกครองก็เป็นกบฏต่อเรา บรรดาประกาศก ประกาศวาจาในนามของพระบาอัล และดำ�เนินตามสิ่งที่ไร้ประโยชน์ สวรรค์เอ๋ย จงตกตะลึงเพราะเหตุการณ์เช่นนี้ จงสยดสยองและจงตกใจอย่างทีส่ ดุ เถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส ประชากรของเราได้ทำ�ความชั่วสองประการ เขาได้ละทิ้ง เราซึง่ เป็นพุนา้ํ ไหล แล้วไปสกัดหินเป็นทีข่ งั นํา้ สำ�หรับตน เป็นทีข่ งั นํา้ รัว่ ซึง่ เก็บนํา้ ไว้ไม่ได้

กรกฎาคม น.บรียิต นักบวช สดด 36:5-6,7-8, 9-10

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

พระวรสาร มธ 13:10-17 เวลานั้น บรรดาศิษย์เข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “ทำ�ไมพระองค์ตรัสแก่พวกเขา เป็นอุปมา” พระองค์ทรงตอบว่า “พระเจ้าประทานธรรมลํา้ ลึกเรือ่ งอาณาจักรสวรรค์ให้ ท่านทัง้ หลายรู้ แต่ไม่ได้ประทานให้แก่ผอู้ นื่ เพราะผูท้ มี่ มี ากจะได้รบั มากขึน้ จนเหลือเฟือ ส่วนผู้ที่มีน้อย จะถูกริบสิ่งเล็กน้อยที่มีไปด้วย ดังนั้น เรากล่าวแก่คนเหล่านี้เป็นอุปมา ถึงแม้พวกเขามองดู ก็ไม่เห็น แม้ฟัง ก็ไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ สำ�หรับคนเหล่านี้ คำ� ทำ�นายของประกาศกอิสยาห์ก็เป็นความจริงที่ว่า ท่านทั้งหลายจะฟังแล้วฟังเล่า แต่จะไม่เข้าใจ จะมองแล้วมองเล่า แต่จะไม่เห็น เพราะจิตใจของประชาชนนี้แข็งกระด้าง เขาทำ�หูทวนลม และปิดตา เพื่อไม่ต้องมอง ด้วยตา ไม่ต้องฟังด้วยหู จะได้ไม่เข้าใจ จะได้ไม่ต้องกลับใจ เราจะได้ไม่ต้องรักษาเขา ส่วนท่านทัง้ หลาย ตาของท่านเป็นสุขทีม่ องเห็น หูของท่านเป็นสุขทีไ่ ด้ฟงั เราบอก ความจริงแก่ทา่ นว่า ประกาศกและผูช้ อบธรรมจำ�นวนมากปรารถนาจะเห็นสิง่ ทีท่ า่ นได้ เห็นอยู่ แต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านฟังอยู่ แต่ก็ไม่ได้ฟัง” เมื่อชาวอิสราเอลเข้าครอบครองและอาศัยในแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ ดำ�เนินชีวิตมีความสุข สบายแล้วกลับลืมพระเจ้าแท้แต่ผู้เดียว หันเหไปนมัสการพระเท็จเทียม ลืมว่าพระองค์เท่านั้นทรงเป็นผู้นำ� แท้จริงของพวกเขา เขาทำ�ผิดร้ายแรงสองประการ คือหนึ่ง “เขาได้ละทิ้งเราซึ่งเป็นพุนํ้าไหล” (สมณะและ ผู้เชี่ยวชาญธรรมบัญญัติไม่รู้จักพระองค์ ผู้ปกครองเป็นกบฏ) และสอง “แล้วไปสกัดหินเป็นนํ้าที่ขังสำ�หรับ ตน เป็นที่ขังนํ้ารั่วเก็บนํ้าไว้ไม่ได้” (ประกาศกประกาศพระบาอัล ดำ�เนินตามสิ่งที่ไร้ประโยชน์) พระเจ้าทรง ส่งประกาศกเยเรมีห์มาประกาศเตือนถึงเหตุการณ์สยดสยองและน่าตกใจอย่างที่สุดที่จะเกิดขึ้น


24 ศุกร

บทอ่านที่ 1 ยรม 3:14-17 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ลูกหลานที่ไม่ซื่อสัตย์เอ๋ย จงกลับมาเถิด เพราะเรา เป็นเจ้านายของท่าน เราจะนำ�ท่านกลับมายังศิโยน จะนำ�คนหนึ่งจากแต่ละเมือง และ สองคนจากแต่ละครอบครัว เราจะให้ผู้เลี้ยงที่ทำ�ตามใจเราแก่ท่าน เขาจะเลี้ยงดูท่าน ด้วยความรู้และความเข้าใจ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เมื่อท่านทั้งหลายจะทวีจำ�นวนใน น.ชาร์เบล มาคลุฟ แผ่นดิน เวลานั้น เขาทั้งหลายจะไม่พูดถึง ‘หีบพันธสัญญาขององค์พระผู้เป็นเจ้า’ อีก พระสงฆ์ ต่อไป จะไม่มีใครคิดถึง ไม่มีใครจดจำ� ไม่มีใครรู้สึกเสียดาย ไม่มีใครทำ�ขึ้นใหม่เลย ยรม 31:10.11-12กข,13 เวลานั้นเขาจะเรียกกรุงเยรูซาเล็มว่าเป็นพระบัลลังก์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า นานาชาติ จะรวมกันเข้ามาทีน่ นั่ ทีก่ รุงเยรูซาเล็ม เดชะพระนามองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า เขาจะไม่ปฏิบตั ิ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 ตามใจชั่วและดื้อกระด้างอีกต่อไป”

กรกฎาคม

พระวรสาร มธ 13:18-23 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงฟังความหมายของอุปมาเรื่องผู้หว่านเถิด เมื่อคนหนึ่งฟังพระวาจาเรื่องพระ อาณาจักรและไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาและถอนสิง่ ทีห่ ว่านลงในใจของเขาไปเสีย นัน่ ได้แก่ เมล็ดทีต่ กริมทาง เมล็ดทีต่ กบนหินคือผูฟ้ งั พระวาจาและมีความยินดีรบั ไว้ทนั ที แต่เขา ไม่มีรากในตัว จึงไม่มั่นคง เมื่อเผชิญความยากลำ�บากหรือถูกเบียดเบียนเพราะพระ วาจานั้น เขาก็ยอมแพ้ทันที เมล็ดที่ตกในพงหนามหมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจา แต่ ความวุน่ วายในทางโลก ความลุม่ หลงในทรัพย์สมบัตเิ ข้ามาบดบังพระวาจาไว้ จึงไม่เกิด ผล ส่วนเมล็ดที่หว่านลงในดินดี หมายถึงบุคคลที่ฟังพระวาจาและเข้าใจ จึงเกิดผล ร้อยเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง สามสิบเท่าบ้าง” “จงกลับมาเถิด” คำ�นีเ้ ป็นคำ�เชือ้ เชิญให้เปลีย่ นวิถชี วี ติ ...น้อมรับพระเจ้า และยินยอมให้พระองค์ทรงเป็นผู้มีอำ�นาจสูงสุด...ทำ�ตามพระประสงค์ของพระองค์ มิใช่เดินตามแผนการของตนเองอีก ตัวบทพระวรสารวันนีเ้ ป็น “คำ�อธิบายอุปมาเรือ่ งผูห้ ว่าน” ...การเข้าใจพระวาจา เป็นเรื่องสำ�คัญ เพราะผลจะเกิดหรือไม่ เกิดมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความเข้าใจเป็น สำ�คัญ ดังนั้น เมื่อเราฟังพระวาจาทุกครั้ง เราจึงถามตัวเราเองว่า “พระวาจาตอนนี้ หมายความว่าอะไร” ประสบการณ์สอนเราว่า การฟังพระวาจาให้เข้าใจทุกบททุกตอนนัน้ มิใช่เรือ่ งง่าย จึงจำ�เป็นต้องศึกษาด้วยการอ่าน ไต่ถามผู้รู้ สนทนาแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกัน แล้วเราจะเข้าใจพระวาจานั้นทีละเล็กละน้อย ที่สำ�คัญ ก่อนอ่านพระวาจา เราต้องสวดขอความสว่างจากองค์พระจิตเจ้า ช่วย เราให้เข้าใจสิ่งที่อ่าน เพราะพระองค์ตรัสว่า “จงขอแล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหา แล้ว ท่านจะพบ”


25 เสาร

บทอ่านที่ 1 2 คร 4:7-15 พี่น้อง เรามีสมบัตินี้เก็บไว้ในภาชนะดินเผา เพื่อแสดงว่าอานุภาพลํ้าเลิศนั้นมา จากพระเจ้า มิใช่มาจากตัวเรา เราทนทุกข์ทรมานรอบด้าน แต่ไม่อับจน เราจนปัญญา แต่ก็ไม่หมดหวัง เราถูกเบียดเบียน แต่ไม่ถูกทอดทิ้ง เราถูกตีล้มลง แต่ไม่ถึงตาย เรา แบกความตายของพระเยซูเจ้าไว้ในร่างกายของเราอยู่เสมอ เพื่อว่าชีวิตของพระเยซู เจ้าจะปรากฏอยู่ในร่างกายของเราด้วย ขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่เราเสี่ยงกับความตายอยู่ เสมอเพราะความรักต่อพระเยซูเจ้า เพือ่ ให้ชวี ติ ของพระเยซูเจ้าปรากฏชัดในธรรมชาติ ที่ตายได้ของเรา ดังนั้น ความตายกำ�ลังทำ�งานอยู่ในเรา แต่ชีวิตกำ�ลังทำ�งานอยู่ในท่าน มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ข้าพเจ้าได้เชื่อ จึงได้พูด เรามีจิตแห่งความเชื่อเดียวกัน นี้ เราเชื่อ เราจึงพูด เพราะรู้ว่าพระองค์ผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าทรง กลับคืนพระชนมชีพ จะทรงบันดาลให้เรากลับคืนชีพพร้อมกับพระเยซูเจ้า และจะทรง นำ�เราและท่านทั้งหลายไปอยู่กับพระองค์ด้วย เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นสำ�หรับท่าน เพือ่ ว่าเมือ่ พระหรรษทานแผ่ไปถึงคนมากขึน้ การขอบพระคุณจะทวียงิ่ ขึน้ เป็นการถวาย พระเกียรติแด่พระเจ้า

¡Ã¡®Ò¤Á ฉลอง น.ยากอบ อัครสาวก สดด 126:1-2,3-4, 5-6

พระวรสาร มธ 20:20-28 เวลานั้น มารดาของบุตรเศเบดีเข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้าพร้อมกับบุตร นางกราบลงทูลขอสิ่งหนึ่งจาก พระองค์ พระองค์จงึ ตรัสถามนางว่า “ท่านต้องการอะไร” นางทูลว่า “ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้บตุ รทัง้ สอง คนของข้าพเจ้า นั่งข้างขวาคนหนึ่ง นั่งข้างซ้ายคนหนึ่งในพระอาณาจักรของพระองค์” พระเยซูเจ้าตรัสตอบ ว่า “ท่านไม่รู้ว่ากำ�ลังขออะไร ท่านดื่มถ้วยซึ่งเราจะดื่มได้หรือไม่” เขาทั้งสองคนทูลตอบว่า “ได้ พระเจ้าข้า” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านจะดืม่ ถ้วยของเรา แต่การทีจ่ ะนัง่ ข้างขวาหรือข้างซ้ายของเรานัน้ ไม่ใช่หน้าทีข่ อง เราที่จะให้ แต่สงวนไว้สำ�หรับผู้ที่พระบิดาของเราทรงจัดเตรียมไว้” เมื่อได้ยินดังนั้น อัครสาวกอีกสิบคนรู้สึกโกรธพี่น้องสองคนนั้น พระเยซูเจ้าจึงทรงเรียกทุกคนมาพบ ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายย่อมรู้ว่าในหมู่คนต่างชาติ ผู้ปกครองย่อมเป็นเจ้านายเหนือผู้อื่น และผู้ใหญ่ย่อมใช้ อำ�นาจบังคับ แต่ทา่ นทัง้ หลายไม่ควรเป็นเช่นนัน้ ผูท้ ปี่ รารถนาจะเป็นใหญ่ จะต้องทำ�ตนเป็นผูร้ บั ใช้ผอู้ นื่ และ ผูใ้ ดทีป่ รารถนาจะเป็นคนทีห่ นึง่ ในบรรดาท่านทัง้ หลาย ก็จะต้องทำ�ตนเป็นผูร้ บั ใช้ เหมือนกับทีบ่ ตุ รแห่งมนุษย์ มิได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่มาเพื่อรับใช้ผู้อื่น และมอบชีวิตของตนเป็นสินไถ่เพื่อมวลมนุษย์ทั้งหลาย” วันนี้เป็นวันฉลองนักบุญยากอบอัครสาวก ท่านเป็นพี่ชายของยอห์นผู้ที่พระเยซูเจ้าทรงเรียก เป็นอัครสาวกของพระองค์เช่นเดียวกัน ท่านมาจากหมูบ่ า้ นเบธไซดา เช่นเดียวกับเปโตรและอันดรูว์ มีอาชีพ เป็นชาวประมงเหมือนกัน เป็นหนึง่ ในศิษย์สคี่ นแรกทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงเรียกและเลือกมาร่วมงานกับพระองค์ คือ เปโตร อันดรูว์ ยากอบ และยอห์น อยู่ใกล้ชิดพระองค์ในเหตุการณ์สำ�คัญๆ และเป็นประจักษ์พยานถึง เหตุการณ์ตา่ งๆ พร้อมกับพระองค์ ท่านถูกเฮโรดอากริปปาประหารชีวติ ในปี ค.ศ. 44 ท่านจึงเป็นอัครสาวก องค์แรกทีห่ ลัง่ เลือดเป็นมรณสักขี ส่วนยอห์นแม้มไิ ด้เป็นมรณสักขีดว้ ยการหลัง่ โลหิต แต่ชวี ติ ของท่านก็ทกุ ข์ ทรมานมากมายเพราะพระวาจาของพระเจ้า


26 อาทิตย

กรกฎาคม สัปดาห์ที่ 17 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่หนึ่ง 1 พกษ 3:5-12 คืนนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสำ�แดงพระองค์แก่กษัตริย์ซาโลมอนในพระสุบิน ที่ เมืองกิเบโอน พระเจ้าตรัสว่า “จงขอสิ่งที่ท่านอยากให้เราประทานแก่ท่าน” กษัตริย์ ซาโลมอนทูลตอบว่า “พระองค์ทรงสำ�แดงความรักมั่นคงยิ่งใหญ่ต่อดาวิดพระบิดา ข้ารับใช้พระองค์ เพราะพระบิดาทรงดำ�เนินชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระองค์ด้วยความ ซือ่ สัตย์ ความชอบธรรมและด้วยใจซือ่ ตรง พระองค์ยงั ทรงรักษาความรักมัน่ คงยิง่ ใหญ่ นี้ต่อพระบิดาโดยประทานให้บุตรคนหนึ่งได้สืบพระบัลลังก์ ดังที่เป็นอยู่ในวันนี้ บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์ทรงตั้งข้าพเจ้าขึ้นเป็น กษัตริยส์ บื ต่อจากดาวิดพระบิดา แต่ขา้ พเจ้ายังเป็นเด็ก ไม่รวู้ า่ จะต้องปฏิบตั ติ นอย่างไร ผูร้ บั ใช้ของพระองค์ตอ้ งปกครองประชากรทีท่ รงเลือกสรร ซึง่ เป็นประชากรจำ�นวนมาก จนนับไม่ถ้วน ขอประทานความเข้าใจแก่ผู้รับใช้ของพระองค์ เพื่อจะได้ปกครอง ประชากรของพระองค์อย่างยุติธรรม และรู้จักวินิจฉัยแยกความดีจากความชั่ว ถ้า พระองค์ไม่ประทาน ใครเล่าจะปกครองประชากรจำ�นวนมากเช่นนี้ของพระองค์ได้” องค์พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยที่กษัตริย์ซาโลมอนทูลขอเช่นนี้ พระเจ้าจึงตรัสตอบ ว่า “เพราะท่านได้วอนขอเช่นนี้ แทนที่จะวอนขอชีวิตยืนยาว หรือความมั่งคั่ง หรือขอ ให้เราทำ�ลายชีวติ ของศัตรู แต่ได้ขอความเข้าใจเพือ่ จะตัดสินอย่างถูกต้อง เราจะทำ�ตาม ที่ท่านขอ เราจะให้ความเข้าใจและปรีชาญาณในการตัดสินอย่างที่ผู้ใดไม่เคยมีมาก่อน หรือจะมีในภายหลัง” เพลงสดุดี สดด 119:57 และ 72,76-77,127-128,129-130 ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นส่วนมรดกของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสัญญาจะปฏิบัติตามพระวาจาของพระองค์ ธรรมบัญญัติจากพระโอษฐ์ของพระองค์ มีค่าสำ�หรับข้าพเจ้ายิ่งกว่าเงินทองนับพันแท่ง ข) ขอให้ความรักมั่นคงของพระองค์บรรเทาใจข้าพเจ้า ดังที่ทรงสัญญาไว้กับผู้รับใช้ของพระองค์ ขอพระองค์ทรงเมตตาสงสารข้าพเจ้า แล้วข้าพเจ้าจะมีชีวิต เพราะข้าพเจ้าชื่นชมในธรรมบัญญัติของพระองค์ ค) ข้าพเจ้าจึงรักบทบัญญัติของพระองค์ ยิ่งกว่าทองคำ� ยิ่งกว่าทองคำ�บริสุทธิ์ ข้าพเจ้าคิดว่าข้อบังคับของพระองค์ล้วนถูกต้อง และเกลียดหนทางทั้งมวลที่หลอกลวง ง) กฤษฎีกาของพระองค์น่าพิศวงยิ่งนัก ข้าพเจ้าจึงปฏิบัติตาม การเปิดเผยของพระวาจาให้ความสว่าง ประทานปัญญาแก่ผู้รู้น้อย


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวโรม รม 8:28-30 พี่น้อง เรารู้ว่า พระเจ้าทรงบันดาลให้ทุกสิ่งกลับเป็น ประโยชน์ แ ก่ ผู้ ที่ รั ก พระองค์ ผู้ ที่ ท รงเรี ย กมาตามพระ ประสงค์ของพระองค์ เพราะผู้ที่พระองค์ทรงทราบล่วงหน้า นั้น พระองค์ทรงกำ�หนดจะให้เป็นภาพลักษณ์ของพระบุตร ของพระองค์ด้วย เพื่อพระบุตรจะได้เป็นบุตรคนแรกใน บรรดาพี่น้องจำ�นวนมาก ผู้ที่ทรงกำ�หนดไว้แล้วนั้นพระองค์ ทรงเรียก ผูท้ ที่ รงเรียกนัน้ พระองค์ทรงบันดาลให้เป็นผูช้ อบ ธรรม ผูท้ ที่ รงบันดาลให้ชอบธรรมนัน้ พระองค์ประทานพระ สิริรุ่งโรจน์ให้ด้วย บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 13:44-52 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับขุมทรัพย์ที่ซ่อนอยู่ในทุ่งนา คนที่พบก็ฝังซ่อนสมบัตินั้น และยินดีกลับ ไปขายทุกสิ่งที่มี นำ�เงินมาซื้อนาแปลงนั้น อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุกเม็ดงาม เมื่อได้พบไข่มุกที่มีค่าสูง เขาจะไป ขายทุกสิ่งที่มี นำ�เงินมาซื้อไข่มุกเม็ดนั้น อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้อีกกับอวนที่หย่อนลงในทะเล ติดปลาทุกชนิด เมื่ออวนเต็มแล้ว ชาว ประมงจะลากขึ้นฝั่ง นั่งลงเลือกปลาดีใส่ตะกร้า ส่วนปลาเลวก็โยนทิ้งไป เมื่อถึงเวลาสิ้นโลกก็จะเป็นเช่นนี้ เมือ่ ถึงคราวสิน้ โลก ทูตสวรรค์จะมาแยกคนชัว่ ออกจากคนชอบธรรม ทิง้ คนชัว่ ลงในขุมไฟ ทีน่ นั่ จะมีแต่การ รํา่ ไห้ครํา่ ครวญและขบฟันด้วยความขุน่ เคือง ท่านทัง้ หลายเข้าใจเรือ่ งทัง้ หมดนีห้ รือไม่” บรรดาศิษย์ทลู ตอบ ว่า “เข้าใจแล้ว” พระองค์จึงตรัสว่า “ดังนั้น ธรรมาจารย์ทุกคนที่มาเป็นศิษย์แห่งอาณาจักรสวรรค์ก็เหมือนกับเจ้าบ้านที่ นำ�ทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน” พระเยซูเจ้าทรงเปรียบอาณาจักรสวรรค์เป็นขุมทรัพย์ในทุ่งนา เป็นไข่มุกเม็ดงาม ผู้ที่พบจะ ยินดีขายทุกสิ่งที่มีเพื่อนำ�มาซื้อไข่มุกและที่นาแปลงนั้น..และยังทรงเปรียบพระอาณาจักรสวรรค์กับการ หย่อนอวนลงในทะเล ติดปลาทุกชนิด แล้วปลาเลวก็จะถูกโยนทิ้งไป เช่นเดียวกับที่ทูตสวรรค์จะแยกคนชั่ว ออกจากคนชอบธรรมและทิ้งลงในขุมไฟเมื่อถึงวันสิ้นโลก บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ฉบับที่หนึ่ง แสดงความโปรดปรานของพระเจ้าที่ทรงมีต่อกษัตริย์ซา โลมอนผูท้ ลู ขอของประทานเป็นความเข้าใจเพือ่ จะปกครองประชากรจำ�นวนมากของพระเจ้าอย่างยุตธิ รรม และรู้จักวินิจฉัยแยกความดีจากความชั่ว แทนที่จะขอชีวิตที่ยืนยาว หรือความมั่งคั่ง หรืออำ�นาจในทางโลก พระเจ้าทรงพอพระทัย ทรงประทานความเข้าใจและปรีชาญาณในการตัดสินอย่างไม่เคยมีในผู้ใดมาก่อน หรือในภายหลัง...เช่นที่นักบุญเปาโลเขียนไว้ในจดหมายถึงชาวโรม “พระเจ้าทรงบันดาลให้ทุกสิ่งกลับเป็น ประโยชน์แก่ผู้ทรี่ กั พระองค์... ผูท้ พี่ ระองค์ทรงเรียกนัน้ ทรงบันดาลให้เป็นผูช้ อบธรรม และจะทรงประทาน พระสิริรุ่งโรจน์ให้ด้วย


27 จันทร

บทอ่านที่ 1 ยรม 13:1-11 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่ข้าพเจ้าดังนี้ว่า “จงไปซื้อผ้าป่านคาดสะเอวมาผืนหนึ่ง และคาดสะเอวของท่านไว้ แต่อย่าให้ผ้านั้นถูกนํ้า” ข้าพเจ้าจึงไปซื้อผ้าคาดสะเอวตาม พระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า นำ�มาคาดสะเอวไว้ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้า อีกว่า “จงรีบนำ�ผ้าคาดสะเอวที่ท่านซื้อมาคาดสะเอวนี้ ไปยังแม่นํ้ายูเฟรติส แล้วซ่อน ผ้านั้นไว้ในซอกหินแห่งหนึ่ง” ข้าพเจ้าก็ไปและซ่อนผ้าผืนนั้นไว้ริมแม่นํ้ายูเฟรติสตาม สัปดาห์ที่ 17 ที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชา ต่อมาอีกหลายวัน องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า เทศกาลธรรมดา “จงรีบไปที่ริมแม่นํ้ายูเฟรติส และนำ�ผ้าคาดสะเอวที่เราได้สั่งท่านให้ซ่อนไว้ที่นั่นกลับ ฉธบ 32:18-19,20,21 มา” ข้าพเจ้าจึงไปที่แม่นํ้ายูเฟรติส ค้นหาผ้าคาดสะเอวในที่ซึ่งข้าพเจ้าซ่อนไว้และนำ� ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ออกมาก็เห็นว่าผ้าคาดสะเอวนั้นเปื่อยยุ่ยจนใช้การไม่ได้ แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส กับข้าพเจ้าว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ เราจะทำ�ลายความเย่อหยิ่งของยูดาห์และ ความหยิ่งยโสของกรุงเยรูซาเล็มเช่นเดียวกัน ประชากรชั่วนี้ที่ปฏิเสธไม่ยอมฟังถ้อยคำ�ของเรา ดื้อรั้นทำ� ตามใจของตนและติดตามเทพเจ้าอื่น เพื่อรับใช้และกราบนมัสการเทพเจ้าเหล่านั้น จะเป็นเหมือนผ้าคาด สะเอวผืนนี้ที่ใช้การไม่ได้ ผ้าคาดสะเอวติดอยู่ที่บั้นเอวของมนุษย์ฉันใด เราก็ได้ทำ�ให้พงศ์พันธุ์ทั้งหมดของ อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ทั้งหมดของยูดาห์ติดอยู่กับเราฉันนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เพื่อเขาทั้งหลายจะได้ เป็นประชากร เป็นชื่อเสียง เป็นที่สรรเสริญ เป็นความภูมิใจของเรา แต่เขาทั้งหลายก็ไม่ยอมฟัง”

กรกฎาคม

พระวรสาร มธ 13:31-35 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งมีผู้นำ�ไปหว่านในนา และเป็นเมล็ดเล็กกว่าเมล็ด ทัง้ หลาย แต่เมือ่ เมล็ดงอกขึน้ เป็นต้นแล้ว กลับมีขนาดโตกว่าต้นผักอืน่ ๆ และกลายเป็นต้นไม้ จนกระทัง่ นก ในอากาศมาทำ�รังอาศัยบนกิ่งได้” พระองค์ยังตรัสเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์ยังเปรียบได้กับเชื้อแป้งที่หญิงคนหนึ่งนำ� มาเคล้าผสมกับแป้งสามถัง จนแป้งทั้งหมดฟูขึ้น” พระเยซูเจ้าตรัสเรือ่ งทัง้ หมดนีแ้ ก่ประชาชนเป็นอุปมา พระองค์ไม่ตรัสสิง่ ใดกับเขาโดยไม่ใช้อปุ มา ทัง้ นี้ เพือ่ ให้พระดำ�รัสทีต่ รัสไว้ทางประกาศกเป็นความจริงว่า เราจะเปิดปากกล่าวเป็นอุปมา เราจะกล่าวเรือ่ งทีย่ งั ไม่เคยเปิดเผยตั้งแต่สร้างโลก วันนีเ้ ราได้ฟงั อ่านเรือ่ ง “ผ้าป่านคาดสะเอว” ซึง่ เป็นสัญลักษณ์ทชี่ ว่ ยเราเข้าใจความหมายของ พระคัมภีร์เรื่อง “บาปของมนุษย์” ความหมายของ “ผ้าป่านคาดสะเอว” ก็คือพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงใช้ ผูกอิสราเอลติดกับพระองค์ “เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เป็นประชากร เป็นชื่อเสียง เป็นที่สรรเสริญ เป็นความ ภูมิใจของเรา....” “ผ้าป่านเปื่อยยุ่ย” ยังหมายถึงบาป ซึ่งเป็นการตัดขาดจากพระ ไม่เอาพระองค์เป็นที่พึ่ง ชีวิตมีแต่ทางอับจน อาจจะถึงซึ่งความพินาศในที่สุด ดังนั้น เราจึงได้รับการเชื้อเชิญให้รักษา “ผ้าป่านนี้” อันได้แก่พันธสัญญากับพระเจ้ามิให้เปื่อย มิให้ขาด เราจะได้รับพระพรจากพระองค์ เราจะทำ�ให้พระองค์ได้ รับเกียรติ การสรรเสริญ และสิริรุ่งโรจน์เสมอไป


28 อังคาร

บทอ่านที่ 1 ยรม 14:17-22 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งข้าพเจ้า ให้ไปประกาศถ้อยคำ�นี้แก่เขาทั้งหลายว่า “ตา ของเราน่าจะหลัง่ นํา้ ตาทัง้ คืนทัง้ วันโดยไม่หยุด เพราะบุตรหญิงพรหมจารีของประชากร ของเราได้รับภัยพิบัติยิ่งใหญ่ เป็นบาดแผลสาหัสไม่มีทางรักษาให้หายได้ ถ้าเราออกไป ในทุ่งนา ก็เห็นผู้ถูกฆ่าด้วยดาบ ถ้าเราเข้าไปในกรุง ก็เห็นผู้ที่อดอาหารตาย ทั้งบรรดา ประกาศกและสมณะเดินไปมาในแผ่นดิน โดยไม่รู้ว่าจะไปไหน” สัปดาห์ที่ 17 ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงทอดทิ้งยูดาห์โดยสิ้นเชิงแล้วหรือ พระองค์ เทศกาลธรรมดา ทรงรังเกียจศิโยนแล้วหรือ ทำ�ไมพระองค์จึงทรงเฆี่ยนตีข้าพเจ้าทั้งหลายให้บาดเจ็บจน สดด 79:8-9,11,13 ไม่มีทางรักษา ข้าพเจ้าทั้งหลายรอคอยสันติภาพ แต่ไม่มีอะไรดีเกิดขึ้น รอคอยเวลาให้ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 หายจากโรค ก็มแี ต่ความน่าสยดสยอง ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ข้าพเจ้าทัง้ หลายยอมรับ ความเลวร้ายของตน และความชัว่ ร้ายของบรรพบุรษุ ข้าพเจ้าได้ทำ�บาปผิดต่อพระองค์ วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จ เพราะเห็นแก่พระนามพระองค์ ขออย่าทรงทอดทิง้ ข้าพเจ้าทัง้ หลาย ขออย่าทรงปล่อย พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้ที่ประทับแห่งพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ถูกลบหลู่ โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าทั้ง รัชกาลที่ 10 หลาย และอย่าทรงเพิกถอนพันธสัญญาที่ทรงทำ�ไว้กับข้าพเจ้าทั้งหลายเลย ในบรรดา รูปเคารพของนานาชาติ มีรูปเคารพใดบ้างทำ�ให้ฝนตกได้ ท้องฟ้าจะให้ฝนตกหนักได้โดยลำ�พังตนเองหรือ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย มิใช่พระองค์หรือที่ทรงทำ�เช่นนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลายจึง วางใจในพระองค์ เพราะพระองค์ทรงทำ�สิ่งเหล่านี้ทั้งหมด

กรกฎาคม

พระวรสาร มธ 13:36-43 หลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงแยกจากประชาชนเข้าไปในบ้าน บรรดาศิษย์จึงเข้ามาทูลว่า “โปรดอธิบาย อุปมาเรื่องข้าวละมานในนาเถิด” พระองค์ตรัสว่า “ผู้หว่านเมล็ดพันธุ์ดีคือบุตรแห่งมนุษย์ ทุ่งนาคือโลก เมล็ดพันธุ์ดีคือพลเมืองแห่งพระอาณาจักร ข้าวละมานคือพลเมืองของมารร้าย ศัตรูที่หว่านคือปีศาจ ฤดู เก็บเกี่ยวคือเวลาอวสานแห่งโลก ผู้เก็บเกี่ยวคือทูตสวรรค์” “ข้าวละมานถูกมัดเผาไฟฉันใด เวลาอวสานแห่งโลกก็จะเป็นฉันนั้น บุตรแห่งมนุษย์จะใช้ทูตสวรรค์มา รวบรวมทุกสิ่งที่ทำ�ให้หลงผิดและทุกคนที่ประกอบการอธรรม ให้ออกจากพระอาณาจักร แล้วเอาไปทิ้งใน กองไฟ ที่นั่น จะมีแต่การรํ่าไห้ครํ่าครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง ส่วนผู้ชอบธรรมจะส่องแสงเหมือน ดวงอาทิตย์ในพระอาณาจักรของพระบิดา ใครมีหูก็จงฟังเถิด” เมือ่ บรรดาประกาศกและปุโรหิต “ต่างทำ�การค้าขายในแผ่นดิน และไม่มคี วามรู”้ พวกเขาไม่ สนใจศึกษาหาความรูแ้ ละทำ�หน้าทีอ่ ธิบายพระวาจาของพระเจ้าตามหน้าที่ แต่กลับไปค้าขายซึง่ อาจเป็นเหตุ ให้เกิดความยากลำ�บากในแผ่นดิน เหตุการณ์ทำ�นองนี้ได้ถูกนำ�มาเล่าไว้ในพระวรสารโดยนักบุญยอห์น เวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงชำ�ระแผ่นดิน พวกเขาจึงภาวนาต่อพระเจ้าด้วยคำ�ภาวนาของการ กลับใจว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าทัง้ หลายขอสารภาพความอธรรมของตน ขอสารภาพความผิดของบรรดา บรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายได้ทำ�บาปต่อพระองค์” ความเสียหายได้มาสู่ ประชากรแล้ว เขาจึงภาวนาต่อพระเจ้าให้พระองค์ทรงเมตตา คำ�ภาวนาเหล่านี้เต็มไปด้วยความหวังใน พระเจ้า เป็นรูปแบบการภาวนาที่เราได้ยินได้ฟังประชาชนเหล่านั้นภาวนาต่อพระเจ้า


29 พุธ

บทอ่านที่ 1 1 ยน 4:7-16 ท่านทีร่ กั ทัง้ หลาย เราจงรักกัน เพราะความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนทีม่ คี วาม รัก ย่อมเกิดจากพระเจ้า และรู้จักพระองค์ ผู้ไม่มีความรัก ย่อมไม่รู้จักพระเจ้า เพราะ พระเจ้าทรงเป็นความรัก ความรักของพระเจ้าปรากฏให้เราเห็นดังนี้ คือ พระเจ้าทรงส่ง พระบุตรเพียงพระองค์เดียวมาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิตโดยทางพระบุตรนั้น ความ รักอยู่ที่ว่าพระเจ้าทรงรักเรา และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเพื่อชดเชยบาปของ ระลึกถึง เรา มิใช่อยู่ที่เรารักพระเจ้า น.มาร์ธา ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้าทรงรักเราเช่นนี้ เราก็ควรจะรักกันด้วย ไม่มีผู้ใดเคย สดด 69:4,7-9,13 เห็นพระเจ้า แต่ถ้าเรารักกัน พระเจ้าย่อมทรงดำ�รงอยู่ในเรา และความรักของพระองค์ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ในเราก็จะสมบูรณ์ เรารูว้ า่ เราดำ�รงอยูใ่ นพระองค์ และพระองค์ทรงดำ�รงอยูใ่ นเรา เพราะ พระองค์ประทานพระพรของพระจิตเจ้าให้เรานัน่ เอง เราเห็นและเราเป็นพยานได้วา่ พระบิดาทรงส่งพระบุตร ของพระองค์มาเป็นพระผู้ไถ่โลก ผู้ใดยอมรับว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า พระเจ้าย่อมทรง ดำ�รงอยู่ในเขา และเขาย่อมอยู่ในพระเจ้า เรารู้และเชื่อในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา พระเจ้าทรงเป็น ความรัก ผู้ใดดำ�รงอยู่ในความรัก ย่อมดำ�รงอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าย่อมทรงดำ�รงอยู่ในเขา

กรกฎาคม

พระวรสาร ยน 11:19-27 เวลานัน้ ชาวยิวจำ�นวนมากมาหามารธาและมารียเ์ พือ่ ปลอบใจนางในการตายของพีช่ าย เมือ่ มารธารูว้ า่ พระเยซูเจ้ากำ�ลังเสด็จมา นางก็ออกไปรับเสด็จ ส่วนมารียย์ งั คงนัง่ อยูท่ บี่ า้ น มารธาทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้า ข้า ถ้าพระองค์ทรงอยูท่ นี่ ี่ พีช่ ายของดิฉนั คงไม่ตาย แต่บดั นีด้ ฉิ นั รูด้ วี า่ สิง่ ใดทีพ่ ระองค์ทรงวอนขอจากพระเจ้า พระเจ้าจะประทานให้” พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “พี่ชายของท่านจะกลับคืนชีพ” มารธาทูลว่า “ดิฉันรู้ว่า เขาจะกลับคืนชีพเมื่อมนุษย์ทุกคนจะกลับคืนชีพในวันสุดท้าย” พระเยซูเจ้าตรัสกับนางว่า “เราเป็นการกลับคืนชีพและเป็นชีวิต ใครเชื่อในเรา แม้ตายไปแล้ว ก็จะมี ชีวิต และทุกคนที่มีชีวิต และเชื่อในเรา จะไม่มีวันตายเลย ท่านเชื่อเช่นนี้หรือ” มารธาทูลตอบว่า “เชือ่ พระเจ้าข้า ดิฉนั เชือ่ ว่าพระองค์เป็นพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าทีจ่ ะต้อง เสด็จมาในโลกนี้” พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ เป็นพระวาจาที่มีพลัง พระวาจานั้นเป็นแรงบันดาลใจ เมื่อ เยเรมีย์รับพระวาจานั้นแล้ว ทำ�ให้ท่านมิอาจอยู่เฉยได้ จำ�เป็นต้องประกาศ พระวาจาของพระเจ้าเป็นพระ วาจาที่ท้าทาย พระองค์ทรงท้าทายเยเรมีย์ บอกให้เขากลับใจ ให้เปลี่ยนเส้นทางชีวิต กลับมาหาพระเจ้า และไว้ใจในพระวาจาของพระเจ้ามากยิ่งขึ้น ส่วนพระวรสารโดยนักบุญมัทธิวนำ�ภาพสองภาพ คือ ภาพ “ขุมทรัพย์” และ “ไข่มุก” มาเปรียบเทียบ ให้เข้าใจเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า วิธีปฏิบัติของคนที่พบขุมทรัพย์และพ่อค้าที่แสวงหาไข่มุก เป็นวิธี ที่น่าชมเชย ทั้งสองคนกระทำ�การอย่างถูกต้องและชอบธรรม ทั้ง “ขุมทรัพย์” และ “ไข่มุก” เป็นสิ่งมีค่า สำ�หรับคนที่พบ จนเขายอมขายทุกสิ่งที่มี เพื่อมาซื้อที่นา หรือไข่มุก พระเยซูเจ้าทรงปรารถนาจะสอนศิษย์ของพระองค์ว่า อาณาจักรสวรรค์นั้นมีค่ามหาศาล ควรแก่การ ยอมขายทุกสิ่ง เพื่อได้มาซึ่งอาณาจักรนั้น


30 พฤหัสบดี

บทอ่านที่ 1 ยรม 18:1-6 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับเยเรมียด์ งั นีว้ า่ “จงรีบไปทีบ่ า้ นของช่างปัน้ หม้อ แล้วเรา จะแจ้งถ้อยคำ�ของเราแก่ทา่ นทีน่ นั่ ” ข้าพเจ้าจึงลงไปทีบ่ า้ นของช่างปัน้ หม้อ เห็นเขากำ�ลัง ทำ�งานอยู่ที่แป้นหมุน แต่ภาชนะที่เขากำ�ลังใช้ดินเหนียวปั้นอยู่นั้นเสียรูปใช้ไม่ได้ ดังที่ อาจเกิดกับดินเหนียว ในมือของช่างปั้นหม้อ เขาจึงใช้ดินเหนียวนั้นปั้นภาชนะอีกใบ หนึ่งตามที่เขาคิดว่าเหมาะสม แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “พงศ์พันธุ์ อิสราเอลเอ๋ย เราจะทำ�กับท่านอย่างที่ช่างปั้นหม้อคนนี้ทำ�ไม่ได้หรือ องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัส ดูซิ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ดินเหนียวอยู่ในมือของช่างปั้นหม้ออย่างไร ท่าน ทั้งหลายก็อยู่ในมือของเราอย่างนั้น” พระวรสาร มธ 13:47-53 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนว่า “อาณาจักรสวรรค์ยงั เปรียบได้อกี กับอวนทีห่ ย่อนลงในทะเล ติดปลาทุกชนิด เมือ่ อวนเต็มแล้ว ชาวประมงจะลากขึ้นฝั่ง นั่งลงเลือกปลาดีใส่ตะกร้า ส่วนปลาเลวก็โยน ทิ้งไป เมื่อถึงเวลาสิ้นโลกก็จะเป็นเช่นนี้ เมื่อถึงคราวสิ้นโลก ทูตสวรรค์จะมาแยกคน ชั่วออกจากคนชอบธรรม ทิ้งคนชั่วลงในขุมไฟ ที่นั่น จะมีแต่การรํ่าไห้ครํ่าครวญและ ขบฟันด้วยความขุ่นเคือง” “ท่านทั้งหลายเข้าใจเรื่องทั้งหมดนี้หรือไม่” บรรดาศิษย์ทูลตอบว่า “เข้าใจแล้ว” พระองค์จึงตรัสว่า “ดังนั้น ธรรมาจารย์ทุกคนที่มาเป็นศิษย์แห่งอาณาจักรสวรรค์ ก็เหมือนกับเจ้าบ้านที่นำ�ทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน” เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องอุปมาเหล่านี้จบแล้ว พระองค์เสด็จออกจากที่นั่น ความหมายของคำ�พยากรณ์นี้ชัดเจน คือ ประชากรอยู่ในพระหัตถ์ของ พระเจ้า เหมือนดินเหนียวอยูใ่ นมือของช่างปัน้ ...ปัญหาอยูท่ วี่ า่ เราจะยอมให้พระเจ้าปัน้ แต่ง เหมือนดินเหนียวในมือของช่างปั้นหรือเปล่า นักบุญเปาโลเขียนไว้ในจดหมายถึงชาวโรมว่า “มนุษย์เอ๋ย เจ้าเป็นใครกัน จึง บังอาจมาเถียงกับพระเจ้า รูปปัน้ จะพูดกับผูป้ นั้ ได้หรือว่า “ทำ�ไมจึงทำ�ฉันอย่างนี”้ ช่าง ปัน้ ย่อมมีอ�ำ นาจเหนือก้อนดินเหนียวมิใช่หรือ ช่างปัน้ ย่อมใช้ดนิ ก้อนเดียวกันปัน้ ให้เป็น ภาชนะที่มีเกียรติ หรือภาชนะธรรมดาก็ได้” (รม 9:20-21) “ชีวิตของเราอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า” เป็นพระหัตถ์ที่โอบกอด ปกป้อง เฝ้า ระวัง คํ้าจุน แต่พระหัตถ์นี้ไม่บังคับใคร ให้อิสรภาพแก่ทุกคน เดินไปตามเส้นทางที่ตน อยากเดิน แต่ก็พร้อมให้การต้อนรับและโอบกอดทุกคนที่กลับมาหาพระองค์ทุกเวลา

กรกฎาคม

น.เปโตร คริโซโลโก พระสังฆราช และนักปราชญ์ สดด 146:1-2,3-4,5-6

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1


31 ศุกร

บทอ่านที่ 1 ยรม 26:1-9 เมื่อเริ่มรัชกาลของกษัตริย์เยโฮยาคิม พระโอรสของกษัตริย์โยสิยาห์แห่งยูดาห์ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับประกาศกเยเรมีย์ “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า จงไปยืนที่ ลานพระวิหารขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า จงพูดกับชาวเมืองทุกเมืองแห่งยูดาห์ทมี่ านมัสการ ในพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงพูดทุกคำ�ที่เราสั่งให้ท่านพูดกับเขา อย่าละเว้น แม้แต่คำ�เดียว เขาอาจจะฟัง และแต่ละคนจะกลับใจละทิ้งความประพฤติชั่วของตน ระลึกถึง แล้วเราจะเปลีย่ นใจไม่ลงโทษดังทีเ่ ราได้ตงั้ ใจจะทำ�ต่อเขาเพราะความชัว่ ทีเ่ ขาได้ทำ� ท่าน น.อิกญาซีโอ จงพูดกับเขาทั้งหลายว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ถ้าท่านทั้งหลายไม่ยอมฟังเรา ไม่ แห่งโลโยลา ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติที่เราให้ท่านไว้ ถ้าท่านไม่ยอมฟังถ้อยคำ�ของบรรดาประกาศก พระสงฆ์ ผูร้ บั ใช้ของเรา ทีเ่ ราส่งไปหาท่านครัง้ แล้วครัง้ เล่า และท่านไม่ได้ฟงั เขา เราจะทำ�ให้เมือง สดด 69:4,7-9,13 นี้เป็นเหมือนเมืองชิโลห์ เป็นที่สาปแช่งให้ชนทุกชาติในแผ่นดินได้เห็นเป็นตัวอย่าง’” ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 บรรดาสมณะ ประกาศก และประชากรทัง้ หมดได้ยนิ เยเรมียพ์ ดู ถ้อยคำ�เหล่านีใ้ น พระวิหารขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า เมือ่ เยเรมียก์ ล่าวถ้อยคำ�ทีอ่ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงบัญชา ให้เขาพูดแก่ประชากรทุกคนจบแล้ว บรรดาสมณะ ประกาศก และประชากรทั้งหมด ได้จับกุมเขา ร้องตะโกนว่า “ท่านต้องตายแน่ ทำ�ไมท่านจึงกล้าประกาศถ้อยคำ�นี้ในพระนามองค์พระผูเ้ ป็น เจ้าว่า ‘พระวิหารนีจ้ ะเป็นเหมือนเมืองชิโลห์ และเมืองนีจ้ ะเป็นซากปรักหักพังทีไ่ ม่มผี อู้ าศัย’” ประชากรทัง้ หมด พากันมาจับกุมเยเรมียใ์ นพระวิหารขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า

กรกฎาคม

พระวรสาร มธ 13:54-58 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จมายังถิน่ กำ�เนิดของพระองค์ ทรงสัง่ สอนในศาลาธรรมของชาวยิว ประชาชน ต่างประหลาดใจและพูดว่า “คนนีเ้ อาปรีชาญาณและอำ�นาจทำ�อัศจรรย์มาจากทีใ่ ด เขาเป็นลูกช่างไม้มใิ ช่หรือ แม่ของเขาชื่อมารีย์ พี่ชายน้องชายของเขามิใช่ยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาหรือ พี่สาวน้องสาวทุกคน ของเขาก็อยู่กับเรามิใช่หรือ เขาไปได้สิ่งเหล่านี้มาจากที่ใด” คนเหล่านี้รู้สึกสะดุดใจและไม่ยอมรับพระองค์ พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ประกาศกย่อมไม่ถูกเหยียดหยามนอกจากในถิ่นกำ�เนิดและในบ้านของตน” พระองค์ทรงทำ�อัศจรรย์ที่นั่นไม่มากนัก เพราะเขาเหล่านั้นไม่มีความเชื่อ การประกอบพันธกิจการประกาศพระวาจา ทำ�ให้เยเรมีย์ตกอยูใ่ นอันตรายตลอดเวลา... การ ประกาศของท่านที่มีลักษณะดุดัน แข็งกร้าว ไม่ได้รับการต้อนรับ ยิ่งกว่านั้น พระยาห์เวห์ทรงกำ�ชับอย่าง หนักแน่นให้ท่าน “พูดทุกคำ�ที่(เรา)พระองค์ทรงสั่งให้ท่านพูดกับเขา อย่าละเว้นแม้แต่คำ�เดียว” (ข้อ 2) สิ่ง นี้ยิ่งสร้างความลำ�บากแก่เยเรมีย์เป็นทวีคูณ บทอ่านทั้งสองมีความต่างกันตรงที่ว่า ประกาศกเยเรมีย์มิได้รับการยอมรับจากบรรดาสมณะ ประกา ศก และประชาชน เพราะเนือ้ หาสาระของการประกาศของท่านไปกระทบกับพระวิหาร และนครเยรูซาเล็ม อีกทั้งกระทบความประพฤติของพวกเขา ส่วนพระเยซูเจ้ามิได้รับการยอมรับ เพราะพระองค์เป็นชาวนาซาเร็ธ บ้านเดียวกับพวกเขา พวกเขา รู้จักดีทั้งครอบครัว พวกเขายอมรับไม่ได้กับความสามารถ ความเหนือชั้นของพระองค์ ดังนั้น จึงไม่มีความ เชื่อในพระองค์ ผลที่ตามมาก็คือ พวกเขาไม่ได้รับพระพรมากนัก เนื่องจากขาดความเชื่อ



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.