บทอ่านที่ 1 อสย 66:10-14 ท่านทัง้ หลายจงยินดีกบั กรุงเยรูซาเล็ม ท่านทัง้ หลายทีร่ กั กรุงเยรูซาเล็ม จงชืน่ ชม กับกรุงนีเ้ ถิด ท่านทัง้ หลายทีเ่ คยไว้ทกุ ข์ให้กรุงเยรูซาเล็ม จงร่วมยินดีกบั กรุงนีด้ ว้ ยความ ชืน่ บานเถิด ท่านจะได้รบั การปลอบโยนอย่างเต็มเปีย่ มจากกรุงเยรูซาเล็ม ทารกมีความ ยินดีเมื่อดูดนมจากทรวงอกของมารดาฉันใด ท่านทั้งหลายก็จะมีความยินดีจากความ อุดมสมบูรณ์ของกรุงนี้ฉันนั้น เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ดูซิ เราจะบันดาลให้สันติสุขหลั่งไหลมาสู่ กรุงนีเ้ หมือนแม่นาํ้ จะนำ�ความมัง่ คัง่ ของนานาชาติมายังกรุงนีเ้ หมือนสายนํา้ ทีก่ ำ�ลังล้น ฝั่ง กรุงนี้จะอุ้มท่านทั้งหลายไว้ ให้ท่านดูดนม และหยอกล้อท่านบนตัก มารดา ปลอบโยนบุตรฉันใด เราก็จะปลอบโยนท่านทัง้ หลายฉันนัน้ ท่านจะได้รบั การปลอบโยน ในกรุงเยรูซาเล็ม ท่านทัง้ หลายจะเห็น และใจของท่านจะโลดเต้นยินดี กระดูกของท่าน จะสดชื่นขึ้นเหมือนหญ้าอ่อน องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงแสดงพระอานุภาพแก่ผู้รับใช้ ของพระองค์ แต่จะทรงพระพิโรธต่อบรรดาศัตรู พระวรสาร มธ 18:1-4 ขณะนั้น บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “ผู้ใดยิ่งใหญ่ที่สุดใน อาณาจักรสวรรค์” พระเยซูเจ้าทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งให้มายืนอยู่กลางกลุ่มพวก เขา แล้วตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็ก เล็กๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย ดังนั้น ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็ก เล็กๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ผู้ใดต้อนรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้ใน นามของเรา ผู้นั้นต้อนรับเรา” พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนและประกาศพระอาณาจักรสวรรค์ พร้อมทัง้ ทรงเชือ้ เชิญให้มกี ารกลับใจเพือ่ ต้อนรับพระอาณาจักรและเริม่ เข้าอยูใ่ นพระอาณาจักร กลับใจคือเปลีย่ นท่าที เปลีย่ นทัศนคติ เปลีย่ นตรรกะ เนือ่ งจากมีความแตกต่างระหว่าง พระอาณาจักรและอาณาจักรแห่งโลกนี้ อย่างเช่นเรือ่ งของการเป็นใหญ่ โลกนีม้ องความ เป็นใหญ่อยู่ในการมีอำ�นาจและมีคนอื่นคอยรับใช้ ในขณะที่ในพระอาณาจักรพระเจ้า นัน้ ความยิง่ ใหญ่คอื ยิง่ ใหญ่เหมือนพระเจ้า พระเจ้าผูท้ รงเป็นความรัก ความยิง่ ใหญ่จงึ อยู่ในการรักอย่างที่พระเจ้าทรงรัก ใครที่ดำ�เนินชีวิตมีความรักเป็นที่ตั้ง ก็เป็นคน ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ยิ่งใหญ่แบบมนุษย์ แต่ยิ่งใหญ่แบบพระเจ้า
ฉลอง น.เทเรซา แห่งพระกุมารเยซู พรหมจารี และนักปราชญ์ สดด 131:1,2-3 วันออกพรรษา
ระลึกถึง ทูตสวรรค์ผู้อารักขา สดด 91:1-2,3-5,6,9-11
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 วันศุกร์ต้นเดือน
บทอ่านที่ 1 อพย 23:20-23ก องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ “เราจะส่งทูตสวรรค์ไปข้างหน้าท่าน เพื่อป้องกันท่านตามทาง และนำ�ท่านไปถึง สถานที่ที่เราจัดเตรียมไว้ จงเคารพทูตสวรรค์และเชื่อฟังถ้อยคำ�ของเขา อย่าต่อต้าน เพราะเขาทำ�ไปในนามของเรา และจะไม่ยอมอภัยความผิดของท่านเลย แต่ถ้าท่าน เชื่อฟังเขาและทำ�ตามที่เราสั่งทุกประการ เราจะเป็นศัตรูกับศัตรูของท่าน เป็นปฏิปักษ์ กับปฏิปักษ์ของท่าน ทูตสวรรค์ของเราจะเดินข้างหน้าและนำ�ท่าน” พระวรสาร มธ 18:1-5,10 ขณะนั้น บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “ผู้ใดยิ่งใหญ่ที่สุดใน อาณาจักรสวรรค์” พระเยซูเจ้าทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งให้มายืนอยู่กลางกลุ่มพวก เขา แล้วตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็ก เล็กๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย ดังนั้น ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็ก เล็กๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์” “ผู้ใดต้อนรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้ในนามของเรา ผู้นั้นต้อนรับเรา จงระวังให้ดี อย่า ดูหมิ่นคนธรรมดาๆ เหล่านี้คนใดเลย เราบอกท่านทั้งหลายว่า ตลอดเวลาในสวรรค์ ทูตสวรรค์ของเขาเฝ้าชมพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์” คนเรามักจะมองว่าศักดิ์ศรีและคุณค่าของแต่ละคนมาจากสิ่งที่เขาทำ� และสิง่ ทีเ่ ขามี ยิง่ ในบริบทแห่งวัตถุนยิ มและบริโภคนิยมของทุกวันนีด้ ว้ ย ทว่าในความ เป็นจริงแล้วแต่ละคนมีศักดิ์ศรีและคุณค่าตั้งแต่ปฏิสนธิเป็นมนุษย์แล้ว ศักดิ์ศรีและ คุณค่าแห่งความเป็นคน ในขณะที่คนให้ความสำ�คัญแก่ร่างกาย รูปร่าง ฐานะ อาชีพ การงาน...พระเจ้าทรงให้ความสำ�คัญแก่แต่ละคนในแก่นแห่งความเป็นคน...ทรงสร้าง แต่ละคนตามพระฉายา ทรงถือว่าทุกคนเป็นบุตร ทรงให้การดูแลเอาใจใส่ถงึ ขนาดทรง ให้ทตู สวรรค์ของพระองค์คอยติดตามดูแลเอาใจใส่...นำ�หน้าและตามหลัง...จึงทรงยอม ไม่ได้ที่ลูกของพระองค์คนใดคนหนึ่งถูกดูหมิ่น
บทอ่านที่ 1 โยบ 42:1-3,5-6,12-17 โยบจึงทูลตอบองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าว่า “ข้าพเจ้าเข้าใจว่าพระองค์ทรงกระทำ�ได้ทกุ สิง่ ไม่มีผู้ใดขัดขวางพระประสงค์ของพระองค์ได้ พระองค์เคยตรัสถามว่า ‘ผู้นี้เป็นใครที่ ใช้ถ้อยคำ�ไร้ความรู้ ทำ�ให้แผนการของเรามืดไป’ ข้าพเจ้าจึงพูดถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่เข้าใจ และเป็นสิ่งน่าพิศวงเกินกว่าที่ข้าพเจ้าจะรู้ได้ ข้าพเจ้าเคยรู้จักพระองค์เพียงจากคำ�พูด ของผู้อื่น แต่บัดนี้ดวงตาของข้าพเจ้าแลเห็นพระองค์ ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงขอถอนคำ�พูด และเป็นทุกข์เสียใจ โปรยฝุ่นดินและขี้เถ้าบนศีรษะ” พระเจ้าทรงอวยพระพรชีวิตใหม่ของโยบมากกว่าชีวิตเดิม เขามีแกะหนึ่งหมื่นสี่ พันตัว อูฐหกพันตัว โคเพศผู้หนึ่งพันคู่ และลาเพศเมียหนึ่งพันตัว เขามีบุตรชายเจ็ด คน และบุตรหญิงสามคน เขาเรียกชื่อบุตรหญิงคนแรกว่า “เยมีมาห์” คนที่สองว่า “เคสิยาห์” และคนที่สามว่า “เคเรนหัปปุค” ทั่วแผ่นดินไม่มีหญิงใดงดงามเท่ากับบุตร หญิงของโยบ บิดาให้เธอมีสิทธิรับมรดกเหมือนกับพี่ชายและน้องชายของเธอ โยบยังมีชีวิตอยู่ต่อมาอีกหนึ่งร้อยสี่สิบปี ได้เห็นบุตร หลาน เหลน ถึงสี่ชั่วอายุ แล้วโยบก็สิ้นชีวิตในวัยชราอันยาวนานและผาสุก
สัปดาห์ที่ 26 เทศกาลธรรมดา สดด 119:65-66,70-71, 75,91,125,129-130
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
พระวรสาร ลก 10:17-24 เวลานั้น ศิษย์ทั้งเจ็ดสิบสองคนกลับมาด้วยความชื่นชมยินดี ทูลว่า “พระเจ้าข้า แม้แต่ปีศาจก็ยัง อ่อนน้อมต่อเราเดชะพระนามของพระองค์” พระองค์ตรัสตอบว่า “เราเห็นซาตานตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ จงฟังเถิด เราให้อำ�นาจแก่ท่านที่จะเหยียบงูและแมงป่อง มีอำ�นาจเหนือกำ�ลังทุกอย่างของศัตรู ไม่มีอะไรจะ ทำ�ร้ายท่านได้ อย่าชื่นชมยินดีที่ปีศาจอ่อนน้อมต่อท่าน แต่จงชื่นชมยินดีมากกว่าที่ชื่อของท่านจารึกไว้ใน สวรรค์แล้ว” ในเวลานัน้ พระเยซูเจ้าทรงปลาบปลืม้ พระทัยเดชะพระจิตเจ้าตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ ที่พระองค์ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้จากบรรดาผู้ปรีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่ บรรดาผูต้ าํ่ ต้อย ถูกแล้ว พระบิดาเจ้าข้า พระองค์พอพระทัยเช่นนัน้ พระบิดาทรงมอบทุกสิง่ แก่ขา้ พเจ้า ไม่มี ใครรู้ว่าพระบุตรเป็นใครนอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้ว่าพระบิดาเป็นใครนอกจากพระบุตร และผู้ที่ พระบุตรทรงเปิดเผยให้รู้” แล้วพระองค์ทรงหันพระพักตร์ไปยังบรรดาศิษย์ ตรัสกับเขาโดยเฉพาะ “นัยน์ตาของท่านเป็นสุขทีม่ อง เห็นสิง่ ต่างๆ ทีท่ า่ นเห็น เราบอกท่านทัง้ หลายว่า ประกาศกและกษัตริยจ์ ำ�นวนมากปรารถนาจะเห็นสิง่ ทีท่ า่ น ได้เห็นแต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านได้ฟังแต่ก็ไม่ได้ฟัง” นักบุญลูกาเน้นจำ�นวนศิษย์ 72 คน คงไม่ใช่เรื่องของจำ�นวน แต่สะท้อนไปถึงจำ�นวน 72 ชนชาติทมี่ กี ล่าวถึงในพระคัมภีร์ เป็นการบ่งบอกโดยนัยว่าข่าวดีของพระเจ้าต้องไปถึงทุกคน ทุกชนชาติ ทุก แห่งหน รวมทั้งบริบทไทยที่ตลอดช่วงประวัติศาสตร์ 350 ปีมิสซังสยาม ข่าวดีของพระเยซูเจ้ามาถึงแผ่นดิน สยามผ่านทางธรรมทูต คนทีไ่ ด้รบั ข่าวดีแล้วมีจ�ำ นวนน้อย ในขณะทีค่ นยังไม่ได้รบั ข่าวดีมจี �ำ นวนมาก น่าจะ เป็นโอกาสสร้างความสำ�นึกว่าคนที่ได้รับข่าวดีแล้วมีพันธกิจประกาศข่าวดีต่อ เพราะนั่นเป็นธรรมชาติของ ข่าวดี ข่าวดีเป็นพลวัตที่ต้องเลยตัวตนไป และเพื่อประกาศข่าวดีได้ต้องมีข่าวดี ข่าวดีกลายเป็นชีวิต ซึ่งจะ ทำ�ให้สามารถประกาศข่าวดีได้ตลอดเวลา
สัปดาห์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 5:1-7 ข้าพเจ้าอยากร้องเพลงถึงเพื่อนรักของข้าพเจ้า เป็นเพลงเกี่ยวกับเพื่อนรักและ สวนองุ่นของเขา เพื่อนรักของข้าพเจ้าเคยมีสวนองุ่นแปลงหนึ่ง อยู่บนเนินเขาที่อุดม สมบูรณ์ เขาขุดดิน เก็บก้อนหินออกจนหมด แล้วจึงปลูกองุ่นชนิดดีไว้ เขาสร้างหอ เฝ้าไว้กลางสวน สกัดบ่อยํ่าองุ่นไว้ที่นั่นด้วย เขารอคอยให้สวนผลิตผลองุ่น แต่สวน นั้นผลิตผลองุ่นเปรี้ยว เพือ่ นรักของข้าพเจ้าพูดว่า “บัดนี้ ชาวกรุงเยรูซาเล็มและชาวยูดาห์เอ๋ย จงตัดสิน ระหว่างฉันกับสวนองุ่นของฉันเถิด มีอะไรอีกที่ฉันจะทำ�ได้เพื่อสวนองุ่นของฉัน แต่ยัง ไม่ได้ทำ� ขณะที่ฉันรอคอยให้สวนผลิตผลองุ่น ทำ�ไมสวนจึงผลิตผลองุ่นเปรี้ยว บัดนี้ ฉันอยากบอกให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า ฉันจะทำ�อะไรกับสวนองุ่นของฉัน ฉันจะรื้อรั้วหนาม ออก แล้วสวนจะกลับเป็นทุง่ หญ้า ฉันจะพังกำ�แพงทีล่ อ้ มลง และสวนก็จะถูกเหยียบยํา่ ฉันจะปล่อยให้สวนรกร้าง จะไม่มีใครลิดกิ่งหรือพรวนดิน ต้นหนามและกอหนามจะ งอกขึ้น ฉันจะสั่งเมฆไม่ให้โปรยฝนรดสวนนั้น” ฟังเถิด สวนองุ่นขององค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลคือพงศ์พันธุ์อิสราเอล ชาว ยูดาห์เป็นสวนที่พระองค์โปรดปราน พระองค์ทรงหวังความยุติธรรม แล้วทรงพบแต่ การนองเลือด ทรงหวังความชอบธรรม กลับทรงพบเสียงร้องให้ช่วย เพลงสดุดี สดด 80:8,10-11,12-13,14-15,18-19 ก) พระองค์ทรงถอนเถาองุ่นออกจากอียิปต์ ทรงขับไล่นานาชาติออกไปเพื่อจะปลูกเถาองุ่นนั้น ร่มเงาขององุ่นเถานี้ปกคลุมภูเขาหลายลูก กิ่งก้านก็แผ่ออกไปปกคลุมต้นสนสีดาร์สูงส่ง แขนงของมันแผ่ขยายออกไปจนถึงทะเล และหน่อก็ไปไกลถึงแม่นํ้ายูเฟรติส ข) เหตุไฉนพระองค์จึงทรงทำ�ลายรั้วที่กั้น จนผู้ที่ผ่านไปมาเด็ดผลองุ่นได้โดยง่าย หมูป่าจากพงไพรมาทำ�ลายเถาองุ่นนั้น สัตว์ป่าก็มากินเป็นอาหาร ค) ข้าแต่พระเจ้าจอมจักรวาล โปรดเสด็จกลับมา โปรดทอดพระเนตรลงมาจากสวรรค์และทรงพิจารณาเถิด โปรดเสด็จมาเยี่ยมองุ่นเถานี้ โปรดทรงคุ้มครองเถาองุ่นที่พระหัตถ์ขวาปลูกไว้ โปรดทรงพิทักษ์บุตรที่ทรงทำ�นุบำ�รุงให้เข้มแข็งสำ�หรับพระองค์
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟีลิปปี ฟป 4:6-9 พีน่ อ้ ง อย่ากระวนกระวายใจถึงสิง่ ใดเลย จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบถึงความปรารถนาทุกอย่างของท่าน โดยคำ�อธิษฐาน การวอนขอพร้อมด้วยการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขของพระเจ้าซึ่งเกินสติปัญญาจะเข้าใจ ได้นั้นจะคุ้มครองดวงใจและความคิดของท่านไว้ในพระคริสตเยซู ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย สิ่งใดจริง สิ่งใด ประเสริฐ สิ่งใดชอบธรรม สิ่งใดบริสุทธิ์ สิ่งใดน่ารัก สิ่งใดควรยกย่อง ถ้ามีสิ่งใดเป็นคุณธรรม ถ้ามีสิ่งใดน่า สรรเสริญ ท่านจงพิจารณาสิ่งเหล่านี้ด้วยการใคร่ครวญเถิด สิ่งต่างๆ ที่ท่านได้เรียนรู้ ได้รับ ได้ฟังและได้เห็น ในตัวข้าพเจ้านั้น จงนำ�ไปปฏิบัติเถิด แล้วพระเจ้าแห่งสันติจะสถิตกับท่าน บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 21:33-43 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาหัวหน้าสมณะและผู้อาวุโสของประชาชนว่า “ท่านทั้งหลาย จงฟังอุปมาอีกเรื่องหนึ่งเถิด คหบดีผู้หนึ่งปลูกองุ่นไว้สวนหนึ่ง ทำ�รั้วล้อม ขุดบ่อยํ่า องุ่น สร้างหอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมือง เมื่อใกล้ถึงฤดูเก็บผล เจ้าของสวนจึงให้ ผู้รับใช้ไปพบคนเช่าสวนเพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิต แต่คนเช่าสวนได้จับคนใช้ ทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง เอาหินทุ่มอีกคนหนึ่ง เจ้าของสวนจึงส่งผู้รับใช้จำ�นวนมากกว่าพวกแรกไปอีก คนเช่าสวนก็ทำ�กับพวกนี้เช่น เดียวกัน ในทีส่ ดุ เจ้าของสวนได้สง่ บุตรชายของตนไปพบคนเช่าสวน คิดว่า ‘คนเช่าสวนคงจะเกรงใจลูกของ เราบ้าง’ แต่เมื่อคนเช่าสวนเห็นบุตรเจ้าของสวนมา ก็พูดกันว่า ‘คนนี้เป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเสียเถิด เราจะ ได้มรดกของเขา’ เขาจึงจับบุตรเจ้าของสวน นำ�ตัวออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเสีย ดังนี้ เมือ่ เจ้าของสวนมา เขาจะทำ�อย่างไร กับคนเช่าสวนพวกนั้น” บรรดาผู้ฟังตอบว่า “เจ้าของสวนจะกำ�จัดพวกใจอำ�มหิตนี้อย่างโหดเหี้ยม และจะ ยกสวนให้คนอื่นเช่า ซึ่งจะแบ่งผลคืนให้เขาตามกำ�หนดเวลา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ท่านมิได้อ่านในพระ คัมภีร์หรือว่า ‘หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำ�เช่นนั้น เป็นที่น่า อัศจรรย์แก่เรายิ่งนัก’ ดังนั้น เราบอกท่านว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าจะถูกยกจากท่านทั้งหลาย ไปมอบให้แก่ชนชาติอื่นที่ จะทำ�ให้บังเกิดผล”
เมือ่ หัวหน้าสมณะ ผูอ้ าวุโสและฟาริสถี ามพระเยซูเจ้าว่าทรงได้รบั อำ�นาจมาจากไหน พระองค์ ทรงเล่าอุปมาเรือ่ งสวนองุน่ เพือ่ เผยถึงทีม่ าของอำ�นาจของพระองค์ กล่าวคือทรงเป็นพระบุตร ทรงเป็นทายาท พร้อมกันนัน้ ก็ต�ำ หนิการใช้อ�ำ นาจของหัวหน้าสมณะและผูอ้ าวุโส ไม่ใช่เพือ่ ประชากรของพระเจ้า แต่เพือ่ ผล ประโยชน์ของตน ทรงยืนยันอำ�นาจของประกาศกที่มาในพระนามพระเจ้า และทรงกระชากหน้ากากผู้มี อำ�นาจที่ใช้ศาสนาเพื่อฆ่าพระบุตรเพราะไม่ต้องการสูญเสียผลประโยชน์ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา อุปมา ทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงเล่ายังคงต่อเนือ่ งทัง้ ในระดับพระศาสนจักรและในสังคม ตราบใดทีค่ นยังใช้อ�ำ นาจเพือ่ ผล ประโยชน์แห่งตนมากกว่าเพื่อรับใช้
น.โฟสตินา โควัลสกา พรหมจารี ยนา 2:2,3-4,7
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านที่ 1 กท 1:6-12 พี่น้อง ข้าพเจ้าประหลาดใจที่ท่านทั้งหลายหันเหอย่างรวดเร็วจากพระบิดาผู้ทรง เรียกท่านด้วยพระหรรษทานของพระคริสตเจ้า ไปเชือ่ ข่าวดีอนื่ อันทีจ่ ริงแล้ว ข่าวดีอนื่ นัน้ ไม่มี แต่มบี างคนก่อความวุน่ วายในหมูท่ า่ นทัง้ หลาย และประสงค์จะบิดเบือนข่าวดี ของพระคริสตเจ้า แต่ถ้าเราหรือทูตสวรรค์ประกาศข่าวดีขัดแย้งกับที่เราเคยประกาศ แก่ท่าน ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่งเถิด บัดนี้ ข้าพเจ้าขอพูดยํ้าสิ่งที่ข้าพเจ้าเคยพูดไว้ก่อน อีกครั้งหนึ่งว่า ถ้าใครประกาศข่าวดีแก่ท่านขัดแย้งกับข่าวดีที่ท่านเคยรับไว้ ก็ขอให้ผู้ นัน้ ถูกสาปแช่งเถิด บัดนี้ ข้าพเจ้ากำ�ลังเอาใจมนุษย์หรือพระเจ้า ข้าพเจ้าพยายามเอาใจ มนุษย์กระนัน้ หรือ หากข้าพเจ้ายังเอาใจมนุษย์ ข้าพเจ้าก็คงไม่เป็นผูร้ บั ใช้ของพระคริสตเจ้า พีน่ อ้ ง ข้าพเจ้าต้องการให้ทา่ นทัง้ หลายรูว้ า่ ข่าวดีทขี่ า้ พเจ้าประกาศไปแล้วนัน้ มิใช่ ข่าวทีม่ าจากมนุษย์ เพราะข้าพเจ้าไม่ได้รบั มาจากมนุษย์ มิได้เรียนรูจ้ ากมนุษย์ แต่ได้รบั จากการเปิดเผยของพระเยซูคริสตเจ้า
พระวรสาร ลก 10:25-37 ขณะนั้น นักกฎหมายคนหนึ่งยืนขึ้นทูลถามเพื่อจะจับผิดพระองค์ว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำ� สิง่ ใดเพือ่ จะได้ชวี ติ นิรนั ดร” พระองค์ตรัสถามเขาว่า “ในธรรมบัญญัตมิ เี ขียนไว้อย่างไร ท่านอ่านว่าอย่างไร” เขาทูลตอบว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดกำ�ลัง และสุด สติปัญญาของท่าน ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านตอบถูกแล้ว จงทำ�เช่นนี้ แล้วจะได้ชีวิต” ชายคนนั้นต้องการแสดงว่าตนถูกต้อง จึงทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “แล้วใครเล่าเป็นเพื่อนมนุษย์ของ ข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า “ชายคนหนึ่งกำ�ลังเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโค เขาถูก โจรปล้น พวกโจรปล้นทุกสิ่ง ทุบตีเขา แล้วก็จากไป ทิ้งเขาไว้อาการสาหัสเกือบสิ้นชีวิต สมณะผู้หนึ่งเดิน ผ่านมาทางนั้นโดยบังเอิญ เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่ง ชาวเลวีคนหนึ่งผ่านมาทางนั้น เห็นเขา และเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึง่ เช่นเดียวกัน แต่ชาวสะมาเรียผูห้ นึง่ เดินทางผ่านมาใกล้ๆ เห็นเขาก็รสู้ กึ สงสาร จึงเดินเข้าไปหา เทนํา้ มันและเหล้าองุน่ ลงบนบาดแผลแล้วพันผ้าให้ นำ�เขาขึน้ หลังสัตว์ของตนพาไปถึงโรงแรม แห่งหนึ่งและช่วยดูแลเขา วันรุ่งขึ้นชาวสะมาเรียผู้นั้นนำ�เงินสองเหรียญออกมามอบให้เจ้าของโรงแรมไว้ กล่าวว่า ‘ช่วยดูแลเขาด้วย เงินที่ท่านจะจ่ายเกินไปนั้น ฉันจะคืนให้เมื่อกลับมา’ ท่านคิดว่าในสามคนนี้ ใครเป็นเพื่อนมนุษย์ของคนที่ถูกโจรปล้น” เขาทูลตอบว่า “คนที่แสดงความเมตตาต่อเขา” พระเยซูเจ้าจึง ตรัสกับเขาว่า “ท่านจงไปและทำ�เช่นเดียวกันเถิด” นักบุญเปาโลแปลกใจที่คริสตชนของท่านได้รับข่าวดีของพระเยซูเจ้าแล้วหันไปเชื่อข่าวดีอื่น มีการบิดเบือนข่าวดีของพระคริสตเจ้า ซึ่งก็พอเข้าใจได้ ตราบใดที่คนยังเข้าไม่ถึงข่าวดีของพระองค์อย่าง แท้จริง ข่าวดีของพระองค์เป็นข่าวดีสำ�หรับชีวิตทั้งครบ เข้าถึงความรักแท้อันเป็นแก่นแห่งชีวิต จนกระทั่ง ชีวิตกลับเป็นข่าวดี เพื่อเป็นเช่นนี้ได้ ต้องยืนหยัดหนักแน่นในท่ามกลางข่าวดีอย่างอื่นที่เน้นความสุข สนุกสนานชัว่ ครูช่ วั่ ยาม เน้นความเห็นแก่ตวั เป็นหลัก ตราบใดทีย่ งั เข้าไม่ถงึ ข่าวดีอย่างแท้จริง ชีวติ คริสตชน ก็ขาดความหนักแน่น เปลี่ยนไปมาตามกระแสนิยม แทนที่จะประกาศข่าวดีของพระคริสต์ ชีวิตคริสตชน กลายเป็นความขัดแย้งกับข่าวดีของพระองค์
บทอ่านที่ 1 กท 1:13-24 พี่น้อง ท่านทั้งหลายต้องเคยได้ยินเรื่องความประพฤติในอดีตของข้าพเจ้าเมื่อยัง ยึดถือลัทธิยิวว่า ข้าพเจ้าเคยเบียดเบียนพระศาสนจักรของพระเจ้าอย่างรุนแรง และ พยายามทำ�ลายด้วย ข้าพเจ้าเคร่งครัดในลัทธิยวิ มากกว่าเพือ่ นชาวยิวรุน่ เดียวกันหลาย คน และมีความกระตือรือร้นอย่างยิ่งในการรักษาประเพณีของบรรพบุรุษ แต่พระเจ้า ผูท้ รงเลือกสรรข้าพเจ้าไว้ตงั้ แต่ยงั อยูใ่ นครรภ์มารดา ก็ทรงเรียกข้าพเจ้าเดชะพระหรรษ ทานของพระองค์ และพอพระทัยที่จะสำ�แดงพระบุตรของพระองค์ในตัวข้าพเจ้า เพื่อ ข้าพเจ้าจะได้ประกาศข่าวดีถึงพระบุตรแก่บรรดาคนต่างศาสนา ข้าพเจ้าไม่รีรอที่จะ ปรึกษากับมนุษย์ผใู้ ดเลย หรือแม้แต่จะขึน้ ไปกรุงเยรูซาเล็ม เพือ่ พบกับผูเ้ ป็นอัครสาวก ก่อนข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าออกเดินทางไปยังอาราเบีย และกลับมายังเมืองดามัสกัสอีก สามปีต่อมา ข้าพเจ้าขึน้ ไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อทำ�ความรู้จักกับเคฟาส และพักอยู่กับเขา เป็นเวลาสิบห้าวัน ข้าพเจ้าไม่พบอัครสาวกอื่นๆ นอกจากยากอบ ผู้เป็นน้องชายของ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ข้าพเจ้าขอสาบานเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าว่า สิง่ ทีข่ า้ พเจ้าเขียน นี้ มิใช่ความเท็จ หลังจากนั้น ข้าพเจ้าไปในเขตแดนซีเรียและซิลิเซีย พระศาสนจักร ต่างๆ ในแคว้นยูเดียยังไม่เคยรู้จักหน้าข้าพเจ้าเลย เขาเหล่านั้นเคยแต่ได้ยินว่า “ผู้ที่ เคยข่มเหงพวกเรา บัดนี้กลับมาประกาศความเชื่อที่เขาเคยพยายามจะทำ�ลาย” เขา เหล่านั้นจึงถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเพราะข้าพเจ้า
น.บรูโน พระสงฆ์ ลก 1:46-48,49-50, 51-52,54-55
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
พระวรสาร ลก 10:38-42 เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำ�เนินพร้อมกับบรรดาศิษย์ พระองค์เสด็จ เข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง สตรีผู้หนึ่งชื่อมารธารับเสด็จพระองค์ที่บ้าน นางมีน้องสาว ชื่อมารีย์ซึ่งนั่งอยู่แทบพระบาทขององค์พระผู้เป็นเจ้า คอยฟังพระวาจาของพระองค์ มารธากำ�ลังยุ่งอยู่กับการปรนนิบัติรับใช้จึงเข้ามาทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ไม่ สนพระทัยหรือทีน่ อ้ งสาวปล่อยดิฉนั คนเดียวให้ปรนนิบตั ริ บั ใช้ ขอพระองค์บอกเขาให้ มาช่วยดิฉันบ้าง” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “มารธา มารธา เธอเป็นห่วงและ วุ่นวายหลายสิ่งนัก สิ่งที่จำ�เป็นมีเพียงสิ่งเดียว มารีย์ได้เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุดที่จะไม่มี ใครเอาไปจากเขาได้” ในบริบทของชาวยิวในสมัยพระเยซูเจ้า สตรีถูกถือว่ามีฐานะตํ่ากว่าบุรุษ ทั้งในบ้าน ในสังคม ในพิธกี รรมศาสนา พระเยซูเจ้าทรงเป็นอาจารย์ผเู้ ดียวทีเ่ ปิดโอกาสให้สตรีได้เป็นศิษย์และร่วมมือในพันธกิจ ของพระองค์ ทรงต้องการจะตอกยาํ้ ถึงศักดิศ์ รีชายและหญิงเท่าเทียมกันเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า นีค่ อื ข่าวดี ที่พระองค์ทรงประกาศ พระองค์ทรงอนุญาตให้มารธาต้อนรับพระองค์ ซึ่งขัดกับธรรมเนียมสมัยนั้นที่ผู้ชาย ต้องเป็นผูต้ อ้ นรับแขก พระองค์ทรงโปรดปรานมารียท์ นี่ งั่ แทบพระบาทพูดคุยกับพระองค์ ขัดกับการกระทำ� ของอาจารย์สมัยนั้น เงื่อนไขแรกของการเป็นศิษย์คือ การฟังอาจารย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่มารีย์ทำ� ในขณะที่มารธา ยังสลวนอยู่กับเรื่องอื่น
บทอ่านที่ 1 กท 2:1-2,7-14 พี่น้อง สิบสี่ปีต่อมา ข้าพเจ้าขึ้นไปกรุงเยรูซาเล็มอีกพร้อมกับบารนาบัส และพา ทิตัสไปด้วย ข้าพเจ้าไปตามที่พระเจ้าทรงเปิดเผย ชี้แจงให้บรรดาพี่น้องที่นั่นรู้ข่าวดีที่ ข้าพเจ้าประกาศแก่คนต่างศาสนา เล่าให้คนสำ�คัญฟังเป็นการส่วนตัว เพื่อข้าพเจ้าจะ ไม่วิ่งโดยไร้ประโยชน์ ยิง่ กว่านัน้ บุคคลสำ�คัญเหล่านีเ้ ห็นว่าข้าพเจ้าได้รบั มอบหน้าทีใ่ ห้ประกาศข่าวดีแก่ ระลึกถึง แม่พระแห่งลูกประคำ� ผูท้ ไี่ ม่ได้เข้าสุหนัต เช่นเดียวกับเปโตรได้รบั มอบหน้าทีใ่ ห้ประกาศแก่ผทู้ เี่ ข้าสุหนัตแล้ว เพราะพระเจ้าผูท้ รงบันดาลให้เปโตรเป็นธรรมทูตไปพบผูท้ เี่ ข้าสุหนัตแล้ว ก็ทรงบันดาล สดด 117:1,2,13 ให้ข้าพเจ้าไปพบคนต่างศาสนาเช่นเดียวกัน ดังนั้น เมื่อยากอบ เคฟาสและยอห์น ซึ่ง ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ได้รับความนับถือว่าเป็นหลักรู้เรื่องพระหรรษทานที่พระเจ้าประทานแก่ข้าพเจ้าแล้วก็ จับมือกับข้าพเจ้าและบารนาบัส แสดงความเป็นเพื่อนร่วมงานกัน ตกลงกันว่า เราจะ ไปพบคนต่างศาสนา ส่วนพวกเขาจะไปพบผู้เข้าสุหนัตแล้ว เขาเหล่านี้ขอเพียงแต่ไม่ ให้เราลืมคนยากจน คำ�ขอนี้เป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาจะทำ�อยู่แล้ว เมื่อเคฟาสมาที่เมืองอันทิโอก ข้าพเจ้าคัดค้านเขาซึ่งๆ หน้าเพราะเขาเป็นฝ่ายผิด เพราะก่อนที่คนของ ยากอบจะมา เคฟาสกินอาหารร่วมกับคนต่างชาติ แต่ครั้นพวกนั้นมา เขาก็ปลีกตัว และแยกออกมาเพราะ กลัวพวกทีเ่ ข้าสุหนัต ชาวยิวคนอืน่ จึงแสร้งทำ�ตามเขาบ้าง แม้กระทัง่ บารนาบัสเองก็หลงแสร้งทำ�ตามพวกเขา เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่าเขาเหล่านั้นประพฤติตนไม่ถูกต้องตามความหมายแท้จริงของข่าวดี ข้าพเจ้าพูดกับ เคฟาสต่อหน้าทุกคนว่า “ท่านเป็นชาวยิว ยังประพฤติตนอย่างคนต่างชาติ มิใช่อย่างชาวยิว แล้วเหตุไฉน ท่านจึงบังคับคนต่างชาติให้ประพฤติตนอย่างชาวยิวเล่า” พระวรสาร ลก 11:1-4 วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง เมื่อทรงอธิษฐานจบแล้ว ศิษย์คนหนึ่ง ทูลพระองค์วา่ “พระเจ้าข้า โปรดสอนเราให้อธิษฐานภาวนาเหมือนกับทีย่ อห์นสอนศิษย์ของเขาเถิด” พระองค์ จึงตรัสกับเขาว่า “เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐานภาวนา จงพูดว่า ข้าแต่พระบิดา พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง โปรดประทานอาหารประจำ� วันแก่ขา้ พเจ้าทัง้ หลายทุกวัน โปรดประทานอภัยแก่ขา้ พเจ้าทัง้ หลาย เหมือนข้าพเจ้าทัง้ หลายให้อภัยแก่ผอู้ นื่ โปรดช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ให้แพ้การผจญ” ในพระวรสาร มีพูดถึงการที่พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนา ทรงปลีกตัวไปตามลำ�พัง บาง ครัง้ ก็ทรงอธิษฐานภาวนาทัง้ คืน ศิษย์และสาวกเห็นและอยากจะสวดเหมือนพระองค์ จึงขอให้พระองค์สอน ให้พวกเขาสวดเหมือนกับทีย่ อห์นสอนศิษย์ให้สวด พระองค์ทรงสอนการสวดมากกว่าบทสวด เพราะสำ�หรับ พระองค์การสวดคือการเข้าสู่โลกของพระเจ้า เมื่อเข้าสู่โลกพระเจ้าก็จะรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นใคร ทรงคิด อย่างไร ทรงประสงค์อะไร ทรงถือว่ามนุษย์เป็นใคร บท “ข้าแต่พระบิดา” คือการเข้าถึงพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ทรงเป็นบิดา ผู้สถิตในสวรรค์ ทรงประสงค์ความสุขของมนุษย์ ทรงรัก ทรงเมตตา ทรงให้อภัย... สวดคือ การเข้าสู่ความสัมพันธ์พ่อลูก
บทอ่านที่ 1 กท 3:1-5 ชาวกาลาเทียโง่เขลาเอ๋ย ใครสะกดท่านให้มึนงงไปได้ ทั้งๆ ที่ภาพของพระเยซู คริสตเจ้าผูท้ รงถูกตรึงบนไม้กางเขนปรากฏอยูต่ อ่ หน้าท่านแล้ว ข้าพเจ้าอยากรูจ้ ากท่าน เพียงข้อเดียวเท่านั้นว่า ท่านได้รับพระจิตเจ้าเพราะท่านปฏิบัติตามธรรมบัญญัติหรือ เพราะท่านเชื่อการประกาศข่าวดี ท่านโง่เขลาถึงเพียงนี้เทียวหรือ ท่านเริ่มต้นด้วย พระจิตเจ้า แต่บัดนี้ท่านจะมาจบลงด้วยการกระทำ�ตามธรรมชาติอีก ประสบการณ์ มากมายทีท่ า่ นได้รบั มานัน้ ไร้ประโยชน์เสียแล้วหรือ ก็ดเู หมือนจะไร้ประโยชน์เสียแล้ว จริงๆ พระองค์ผปู้ ระทานพระจิตเจ้าให้ทา่ น และทรงแสดงการอัศจรรย์ตา่ งๆ ในหมูท่ า่ น ทัง้ หลายทรงกระทำ�เช่นนัน้ เพราะท่านปฏิบตั ติ ามธรรมบัญญัติ หรือเพราะท่านยอมเชือ่ การประกาศข่าวดี พระวรสาร ลก 11:5-13 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์อกี ว่า “สมมติวา่ ท่านคนหนึง่ มีเพือ่ นและ ไปพบเพื่อนนั้นตอนเที่ยงคืนกล่าวว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ให้ฉันขอยืมขนมปังสักสามก้อนเถิด เพราะเพื่อนของฉันเพิ่งเดินทางมาถึงบ้านของฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้เขากิน’ สมมติว่า เพื่อนคนนั้นตอบจากในบ้านว่า ‘อย่ารบกวนฉันเลย ประตูปิดแล้ว ลูกๆ กับฉันก็เข้า นอนแล้ว ฉันลุกขึ้นให้สิ่งใดท่านไม่ได้หรอก’ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าคนนั้นไม่ลุก ขึน้ ให้ขนมปังเพราะเป็นเพือ่ นกัน เขาก็จะลุกขึน้ มาให้สงิ่ ทีเ่ พือ่ นต้องการเพราะถูกรบเร้า เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะ พบ จงเคาะประตูเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรับท่าน เพราะคนที่ขอย่อมได้รับ คนที่ แสวงหาย่อมพบ คนที่เคาะประตูย่อมมีผู้เปิดประตูให้ ท่านที่เป็นพ่อ ถ้าลูกขอปลา จะ ให้งูแทนปลาหรือ ถ้าลูกขอไข่ จะให้แมงป่องหรือ แม้แต่ท่านทั้งหลายที่เป็นคนชั่วยัง รู้จักให้ของดีๆ แก่ลูก แล้วพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะไม่ประทานพระจิตเจ้าแก่ผู้ที่ทูล ขอพระองค์มากกว่านั้นหรือ”
มีความคิดกันมาโดยตลอดว่าเพือ่ จะได้รบั สิง่ ทีข่ อจากพระเจ้าต้องรบเร้า จนกระทั่งพระองค์ทรงใจอ่อน พระเยซูเจ้าทรงนำ�ภาพลักษณ์ใหม่และแท้จริงของ พระเจ้ามาประกาศ พระเจ้าทรงเป็นพ่อ พระเจ้าทรงรักลูกมากกว่าลูกรักตัวเอง พระองค์จึงทรงยืนยันว่าพระเจ้าทรงรู้ว่าลูกของพระองค์ต้องการอะไรที่แท้จริงก่อนที่ ลูกคิดจะวอนขอเสียอีก ถ้าเป็นดังนัน้ การภาวนาและท่าทีการภาวนาคงต้องเปลีย่ นไป ผลของการภาวนาไม่ได้ขนึ้ อยูก่ ารพูดพรํา่ พรรณนามากมาย ขนาดพ่อทีเ่ ป็นมนุษย์ยงั รู้ ว่าควรจะให้อะไรดีสำ�หรับลูก สาอะไรกับพระบิดาเจ้าสวรรค์ เพียงแต่ลูกยังขอผิดขอ ถูก แทนที่จะขอปลาก็เอาแต่ของู แทนที่จะขอไข่ก็เอาแต่ขอแมงป่อง
สัปดาห์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา ลก 1:69-70,71-72, 73-76
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
น.ดิโอนีซิโอ พระสังฆราช และเพื่อนมรณสักขี น.ยอห์น เลโอนาร์ดี พระสงฆ์ สดด 111:1-2,3-4,5-6
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
บทอ่านที่ 1 กท 3:7-14 พี่น้อง ท่านทั้งหลายจงรู้เถิดว่า คนที่มีความเชื่อนั่นแหละคือบุตรของอับราฮัม พระคัมภีร์เห็นล่วงหน้าแล้วว่าพระเจ้าจะโปรดให้คนต่างศาสนาเป็นผู้ชอบธรรมโดย ความเชื่อ... ผูใ้ ดทีพ่ งึ่ การปฏิบตั ติ ามธรรมบัญญัตยิ อ่ มถูกสาปแช่ง เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ ว่า ทุกคนที่ไม่มั่นคงในการปฏิบัติตามทุกสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติย่อมถูก สาปแช่ง เป็นทีช่ ดั เจนอยูแ่ ล้วว่า ไม่มผี ใู้ ดเป็นผูช้ อบธรรมเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า ได้เพราะธรรมบัญญัติ เพราะผู้ชอบธรรมจะดำ�รงชีวิตอยู่โดยความเชื่อ ธรรมบัญญัติ มิได้มาจากความเชือ่ ยิง่ กว่านัน้ ผูท้ ปี่ ฏิบตั ติ ามธรรมบัญญัตกิ จ็ ะพบชีวติ อาศัยการปฏิบตั ิ ตามธรรมบัญญัติเหล่านั้น พระคริสตเจ้าทรงไถ่กู้เราให้รอดพ้นจากการสาปแช่งของ ธรรมบัญญัติโดยทรงถูกสาปแช่งแทนเรา เพราะมีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ทุกคนที่ถูก แขวนประจานบนต้นไม้ จงถูกสาปแช่ง เพื่อพระพรที่อับราฮัมได้รับจะได้ผ่านทางพระ เยซูคริสตเจ้าไปถึงคนต่างศาสนาด้วย เพื่อเราจะได้รับพระจิตเจ้าตามพระสัญญาโดย อาศัยความเชื่อ
พระวรสาร ลก 11:14-26 เวลานั้น พระเยซูเจ้ากำ�ลังทรงขับไล่ปีศาจซึ่งทำ�ให้คนเป็นใบ้ เมื่อปีศาจออกไปแล้ว คนใบ้ก็พูดได้ ประชาชนต่างประหลาดใจ แต่บางคนกล่าวว่า “เขาขับไล่ปีศาจด้วยอำ�นาจของเบเอลเซบูล เจ้าแห่งปีศาจ นัน่ เอง” บางคนต้องการจับผิดพระองค์ จึงขอให้พระองค์ทรงแสดงเครือ่ งหมายจากสวรรค์ พระเยซูเจ้าทรง ทราบความคิดของเขาจึงตรัสว่า “อาณาจักรใดแตกแยกภายใน อาณาจักรนั้นย่อมพินาศ บ้านเรือนย่อมพัง ทลายทับกัน ถ้าซาตานแตกแยกกันเอง อาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร เพราะท่านบอกว่า เราขับไล่ ปีศาจด้วยอำ�นาจของเบเอลเซบูล ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำ�นาจของเบเอลเซบูล พวกพ้องของท่านขับไล่มัน ด้วยอำ�นาจของใครเล่า พวกพ้องของท่านจะเป็นผู้ตัดสินลงโทษท่าน แต่ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำ�นาจของ พระเจ้า ก็หมายความว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงท่านแล้ว เมือ่ คนแข็งแรงมีอาวุธครบมือเฝ้าบ้านของ ตน ทรัพย์สมบัติของเขาก็ปลอดภัย แต่ถ้าผู้ใดแข็งแรงกว่าเข้ามาโจมตีและเอาชนะเขาได้ ก็ย่อมริบอาวุธที่ เขามัน่ ใจนัน้ และแบ่งปันข้าวของทีป่ ล้นได้ ผูใ้ ดไม่อยูก่ บั เรา ย่อมเป็นปฏิปกั ษ์กบั เรา ใครไม่รวบรวมสิง่ ต่างๆ ไว้กับเรา ย่อมทำ�ให้สิ่งเหล่านั้นกระจัดกระจายไป เมื่อปีศาจออกไปจากมนุษย์แล้ว มันท่องเที่ยวไปในที่แห้งแล้งเพื่อหาที่พัก เมื่อไม่พบมันจึงคิดว่า ‘ข้า จะกลับไปยังบ้านทีข่ า้ จากมา’ เมือ่ กลับมาถึง มันพบว่าบ้านนัน้ ปัดกวาดตกแต่งไว้เรียบร้อย มันจึงไปพาปีศาจ อีกเจ็ดตนที่ชั่วร้ายยิ่งกว่ามันเข้ามาอาศัยที่นั่น สภาพสุดท้ายของมนุษย์ผู้นั้นจึงเลวร้ายกว่าเดิม” พระเยซูเจ้าทรงตัดพ้อผูค้ นในเมืองทีไ่ ด้รบั อัศจรรย์ของพระองค์ ซึง่ น่าจะมีทา่ ทีและพฤติกรรม ที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แต่กลับไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทั้งนี้และทั้งนั้นอาจจะถือว่าถึงอย่างไรพระองค์ ก็ต้องทำ�อัศจรรย์ให้แก่คนในชนชาติของพระองค์อยู่แล้ว และไม่เห็นว่าเป็นความเมตตาของพระองค์ที่น่า จะมีการตอบสนองด้วยชีวิตดีงามประสาคนมีบุญได้รับและได้เห็นอัศจรรย์ มีวลีในภาษาอังกฤษ “to take for granted” ซึ่งแปลความง่ายๆ ว่า “ของตาย” ได้รับความรักความเมตตาของพระเจ้าก็ถือว่าของตาย ถึงอย่างไรพระองค์ก็ต้องรักและเมตตาอยู่แล้ว คนที่มีท่าทีอย่างนี้จึงไม่เห็นความรักและความเมตตาของ พระเจ้าเป็นอัศจรรย์ที่ต่อเนื่อง
บทอ่านที่ 1 กท 3:22-29 พีน่ อ้ ง พระคัมภีรเ์ ขียนไว้วา่ ทุกสิง่ ถูกจองจำ�ไว้ใต้อำ�นาจแห่งบาป เพือ่ พระสัญญา จะประทานให้แก่ผู้ที่มีความเชื่อเพราะความเชื่อในพระเยซูคริสตเจ้า ก่อนทีค่ วามเชือ่ จะมาถึง ธรรมบัญญัตคิ วบคุมดูแลเราอย่างเคร่งครัด จนกว่าความ เชื่อจะถูกเปิดเผย ดังนั้น ธรรมบัญญัติจึงเป็นเหมือนครูพี่เลี้ยงนำ�เราไปพบพระคริสต เจ้า เพื่อเราจะได้เป็นผู้ชอบธรรมโดยอาศัยความเชื่อ แต่เมื่อความเชื่อมาถึงแล้ว เราก็ ไม่ถูกครูพี่เลี้ยงควบคุมดูแลอีกต่อไป ท่านทุกคนเป็นบุตรของพระเจ้า โดยอาศัยความ เชื่อในพระคริสตเยซู เพราะท่านทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปในพระคริสตเจ้า ก็สวมพระ คริสตเจ้าไว้ ไม่มีชาวยิวหรือชาวกรีก ไม่มีทาสหรือไทย ไม่มีชายหรือหญิงอีกต่อไป เพราะท่านทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันในพระคริสตเยซู และถ้าท่านเป็นของพระคริสตเจ้า แล้ว ท่านก็เป็น “เชื้อสาย” ของอับราฮัม เป็นทายาทตามพระสัญญา พระวรสาร ลก 11:27-28 เวลานัน้ ขณะทีพ่ ระเยซูเจ้ากำ�ลังตรัสอยูน่ นั้ สตรีผหู้ นึง่ ร้องขึน้ ในหมูป่ ระชาชนว่า “หญิงที่ให้กำ�เนิดและให้นมเลี้ยงท่านช่างเป็นสุขจริง” แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “คน ทั้งหลายที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและปฏิบัติตามย่อมเป็นสุขกว่านั้นอีก” พระเยซูเจ้าเสด็จมาประกาศความรักและความเมตตาของพระเจ้าให้ มนุษย์ทุกคน โดยทรงเริ่มต้นจากชนชาติอิสราเอลที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้รับพระ สัญญาและส่งทอดกันมาหลายชั่วอายุคน ตั้งแต่เมื่อทรงประกาศข่าวดีแล้วที่พระองค์ ทรงยืนยันว่าพระองค์เสด็จมาสำ�หรับมนุษย์ทุกคน พร้อมกันนั้นก็ทรงแสดงให้เห็นว่า สายเลือดไม่เป็นตัวแปรสำ�คัญในความสัมพันธ์กับพระองค์และกับพระบิดาเจ้า เพราะ พระองค์ทรงมาเริ่มความสัมพันธ์ใหม่ที่ไม่ได้ตั้งอยู่ในสายเลือด แต่เป็นสายใยที่ลึกซึ้ง กว่านั้น นั่นคือสายใยแห่งพระวาจา พระวาจาไม่ใช่คำ�พูด แต่เป็นตัวพระองค์เองผู้ทรง เป็น “พระวจนะทรงรับเอากาย” ฟังและปฏิบัติตามพระวาจาจึงเป็นบุญอันยิ่งใหญ่
สัปดาห์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา สดด 105:2-5,6-8
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
สัปดาห์ที่ 28 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 25:6-10ก องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาลทรงจัดเตรียมงานเลีย้ งฉลอง สำ�หรับประชากรทุก ชาติบนภูเขานี้ เป็นงานเลี้ยงที่มีอาหารนานาชนิด เป็นงานเลี้ยงที่มีเหล้าองุ่นชั้นดี มี อาหารเลิศรสและเหล้าองุ่นที่เลือกสรรแล้ว บนภูเขานี้ พระองค์จะทรงทำ�ลายผ้าคลุม ทีค่ ลุมหน้าประชากรทัง้ หลาย และจะทรงทำ�ลายม่านซึง่ กางอยูเ่ หนือนานาชาติ พระองค์ จะทรงทำ�ลายความตายตลอดไป องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจะทรงเช็ดนํา้ ตาจากใบหน้าของทุก คน จะทรงช่วยประชากรของพระองค์ ให้พ้นจากการถูกลบหลู่ทั่วแผ่นดิน เพราะองค์ พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสแล้ว วันนั้น เขาจะพูดกันว่า “นี่คือพระเจ้าของเรา เราเคยหวังว่าพระองค์จะทรงช่วย เราให้รอดพ้น นี่คือองค์พระผู้เป็นเจ้า เราเคยมีความหวังในพระองค์ เราจงชื่นชมยินดี ที่พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดพ้นเถิด” เพราะพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะพักอยู่ บนภูเขานี้ เพลงสดุดี สดด 23:1-6 ก) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าอย่างผู้เลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจึงไม่ขาดสิ่งใด พระองค์ทรงให้ข้าพเจ้านอนพักอยู่ในทุ่งหญ้าเขียวขจี ทรงนำ�ข้าพเจ้าไปริมสายนทีที่เงียบสงบ เพื่อฟื้นฟูจิตใจของข้าพเจ้า ทรงชี้ทางให้ข้าพเจ้าเดินไปบนมรรคาแห่งความชอบธรรม เพราะเห็นแก่พระนามของพระองค์ ข) แม้ข้าพเจ้าจะต้องเดินไปในหุบเขาที่มืดมิด ข้าพเจ้าก็จะไม่กลัวอันตรายใดๆ เพราะพระองค์ทรงอยู่กับข้าพเจ้า พระคทาและธารพระกรของพระองค์ช่วยให้ข้าพเจ้าอุ่นใจ พระองค์ทรงจัดเตรียมโต๊ะอาหารไว้สำ�หรับข้าพเจ้าต่อหน้าเหล่าศัตรู ทรงเทนํ้ามันเจิมศีรษะของข้าพเจ้า ทรงเทเครื่องดื่มลงในถ้วยของข้าพเจ้าจนล้นปรี่ ค) พระกรุณาและความรักมั่นคงของพระองค์จะติดตามข้าพเจ้าไปทุกวัน ตลอดชีวิต ข้าพเจ้าจะพำ�นักอยู่ในพระเคหาขององค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไปเป็นนิจนิรันดร์ บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟีลิปปี ฟป 4:12-14,19-20 พี่น้อง ข้าพเจ้ารู้จักมีชีวิตอยู่อย่างอดออม และรู้จักมีชีวิตอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ ข้าพเจ้าได้เรียนรูท้ จี่ ะเผชิญกับทุกสิง่ ทุกกรณี เผชิญกับความอิม่ ท้องและความหิวโหย เผชิญกับความมั่งคั่งและความขัดสน ข้าพเจ้าทำ�ทุกสิ่งได้ในพระองค์ผู้ประทาน พละกำ�ลังแก่ข้าพเจ้า แต่ท่านทำ�ดีแล้วที่มาร่วมทุกข์กับข้าพเจ้า
พระเจ้าของข้าพเจ้าจะทรงตอบแทน โดยประทานทุก สิง่ ทีท่ า่ นต้องการอย่างสมศักดิศ์ รีกบั ความมัง่ คัง่ ของพระองค์ ในพระคริสตเยซู ดังนั้น ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระเจ้า พระบิดาของเราตลอดนิรันดรเทอญ อาเมน
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 22:1-14 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กบั กษัตริยพ์ ระองค์หนึง่ ซึง่ ทรงจัดงานอภิเษกสมรสให้พระโอรส ทรงส่งผู้รับใช้ไปเรียก ผู้ รั บ เชิ ญ ให้ ม าในงานวิ ว าห์ แต่ พ วกเขาไม่ ต้ อ งการมา พระองค์จึงทรงส่งผู้รับใช้อื่นไปอีก รับสั่งว่า ‘จงไปบอกผู้รับ เชิญว่า บัดนีเ้ ราได้เตรียมการเลีย้ งไว้พร้อมแล้ว ได้ฆา่ วัวและ สัตว์อ้วนพีแล้ว ทุกสิ่งพร้อมสรรพ เชิญมาในงานวิวาห์เถิด’ แต่ผู้รับเชิญมิได้สนใจ คนหนึ่งไปที่ทุ่งนา อีกคน หนึ่งไปทำ�ธุรกิจ คนที่เหลือได้จับผู้รับใช้ของกษัตริย์ ทำ�ร้ายและฆ่าเสีย กษัตริย์กริ้ว จึงทรงส่งกองทหารไป ทำ�ลายฆาตกรเหล่านั้นและเผาเมืองของเขาด้วย แล้วพระองค์ตรัสแก่ผู้รับใช้ว่า ‘งานวิวาห์พร้อมแล้ว แต่ ผู้รับเชิญไม่เหมาะสมกับงานนี้ จงไปตามทางแยก พบผู้ใดก็ตาม จงเชิญมาในงานวิวาห์เถิด’ บรรดาผู้รับใช้ จึงออกไปตามถนน เชิญทุกคนที่พบมารวมกัน ทั้งคนเลวและคนดี แขกรับเชิญจึงมาเต็มห้องงานอภิเษก สมรส กษัตริยเ์ สด็จมาทอดพระเนตรแขกรับเชิญ ทรงเห็นคนหนึง่ ไม่สวมเสือ้ สำ�หรับงานวิวาห์ จึงตรัสแก่เขา ว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ท่านไม่ได้สวมเสื้อสำ�หรับงานวิวาห์ แล้วเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร’ คนนั้นก็นิ่ง กษัตริย์จึงตรัสสั่ง ผู้รับใช้ว่า ‘จงมัดมือมัดเท้าของเขา เอาไปทิ้งในที่มืดข้างนอกเถิด ที่นั่น จะมีแต่การรํ่าไห้ครํ่าครวญ และ ขบฟันด้วยความขุ่นเคือง เพราะผู้รับเชิญมีมาก แต่ผู้รับเลือกมีน้อย’” พระอาณาจักรพระเจ้าเป็นดัง่ งานเลีย้ ง ทรงเริม่ ต้นเชิญชนชาติที่พระองค์ทรงเลือกสรรให้เข้า มาในงานเลี้ยงดังที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ แต่ชนชาติของพระองค์ไม่ให้ความสนใจ เพราะพระอาณาจักร พระเจ้าไม่เป็นดังที่พวกเขาคาดหวัง พวกเขาต้องการเห็นพระอาณาจักรทำ�นองเดียวกับอาณาจักรต่างๆ ใน โลก เพียงแต่ยิ่งใหญ่กว่าหมดในทุกด้าน พระเจ้าจึงทรงเชิญชนชาติต่างๆ ให้เข้ามาในงานเลี้ยงแห่งพระ อาณาจักร กระนัน้ ก็ดี ในเมือ่ เข้าสูง่ านเลีย้ งก็ตอ้ งสวมใส่ชดุ ให้เหมาะสม ซึง่ โดยปกติเจ้าภาพจะจัดไว้ให้พร้อม และชุดที่ต้องใส่คือความรัก เนื่องด้วยอาณาจักรพระเจ้าเป็นอาณาจักรแห่งความรัก เมื่อไม่มีความรักก็อยู่ ในความมืด ความขัดแย้ง และความเกลียดชัง
สัปดาห์ที่ 28 เทศกาลธรรมดา สดด 113:1-3,4-6,7
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านที่ 1 กท 4:22-24,26-27,31-5:1 พี่น้อง มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่าอับราฮัมมีบุตรสองคน คนหนึ่งเกิดจากหญิงที่ เป็นทาส อีกคนหนึ่งเกิดจากหญิงที่ไม่เป็นทาส เด็กที่เกิดมาจากหญิงที่เป็นทาสนั้นเกิด มาตามธรรมชาติ ส่วนเด็กที่เกิดจากหญิงที่ไม่เป็นทาสนั้นเกิดมาตามพระสัญญา เรื่อง นีก้ ล่าวไว้เป็นอุปมา หญิงสองคนนีห้ มายถึงพันธสัญญาทัง้ สองฉบับ ฉบับหนึง่ จากภูเขา ซีนาย คือนางฮาการ์ ซึ่งให้กำ�เนิดบุตรมาเป็นทาส แต่กรุงเยรูซาเล็มที่อยู่เบื้องบนนั้นไม่เป็นทาส และเป็นมารดาของเรา เพราะมี เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า จงชื่นชมเถิด หญิงหมันผู้ไม่มีบุตร จงเปล่งเสียงโห่ร้องเถิด ท่านที่ไม่เคยเจ็บครรภ์คลอดบุตร เพราะบุตรของหญิงที่ถูกทอดทิ้งมีมากกว่าบุตรของ หญิงที่ยังมีสามีอยู่ด้วย เพราะฉะนัน้ พีน่ อ้ งทัง้ หลาย เรามิใช่บตุ รของหญิงทีเ่ ป็นทาส แต่เป็นบุตรของหญิง ทีไ่ ม่เป็นทาส พระคริสตเจ้าทรงปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระแล้ว ฉะนัน้ จงยืนหยัดมัน่ คง และอย่าเข้าเทียมแอกเป็นทาสอีกเลย พระวรสาร ลก 11:29-32 เวลานั้น เมื่อประชาชนมาชุมนุมกันมากขึ้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “คนยุคนี้เป็นคนชั่วร้าย อยากเห็นเครื่องหมาย แต่จะไม่มีเครื่องหมายใดให้เห็น นอกจากเครื่องหมายของประกาศกโยนาห์เท่านั้น โยนาห์เป็นเครื่องหมายสำ�หรับชาว นีนะเวห์ฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเป็นเครื่องหมายสำ�หรับคนยุคนี้ฉันนั้น ในวัน พิพากษา พระราชินีแห่งทิศใต้จะทรงลุกขึ้นและทรงกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะพระนาง เสด็จมาจากสุดปลายแผ่นดิน เพื่อฟังพระปรีชาสุขุมของกษัตริย์ซาโลมอน แต่ที่นี่มีผู้ ยิ่งใหญ่กว่ากษัตริย์ซาโลมอนอีก ในวันพิพากษา ชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นและกล่าวโทษ คนยุคนี้ เพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเมื่อได้ฟังคำ�เทศน์ของประกาศกโยนาห์ แต่ที่นี่มี ผู้ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์อีก” เครื่องหมายหรืออัศจรรย์เป็นตัวช่วยเสริมความเชื่อ ไม่ใช่ตัวก่อให้เกิด ความเชื่อ ใครที่คิดว่าถ้าเห็นอัศจรรย์แล้วจะเชื่อ มักจะไม่ได้เห็นทั้งอัศจรรย์ ทั้งไม่พบ ความเชื่อแท้จริง เพราะความเชื่อเป็นเรื่องกระทบถึงแก่นแห่งชีวิต ก่อให้เกิดความ ตระหนัก ความเชื่อมั่น และการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง อะไรก็ตามที่ไม่สอดคล้อง กับความเชื่อต้องเปลี่ยนให้สอดคล้อง ในขณะที่อัศจรรย์เป็นเรื่องภายนอก ซึ่งแม้จะ ทำ�ให้ต้องทึ่ง ต้องพิศวง แต่ก็อยู่แค่นั้น พระเจ้าทรงยืนยันว่าทรงเป็นอัศจรรย์ ทรงเป็น เครื่องหมาย ชีวิตและคำ�สอนของพระองค์เจาะลึกเข้าถึงแก่น มนุษย์ช่วยเติมเต็ม ช่วย ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น อย่างที่โยนาห์เป็นเครื่องหมายสำ�หรับชาว นีนะเวห์
บทอ่านที่ 1 กท 5:1-6 พีน่ อ้ ง พระคริสตเจ้าทรงปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระแล้ว ฉะนัน้ จงยืนหยัดมัน่ คง และอย่าเข้าเทียมแอกเป็นทาสอีกเลย จงฟังเถิด ข้าพเจ้า เปาโล ขอบอกท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านเข้าสุหนัต พระคริสต เจ้าก็จะไม่มีประโยชน์อะไรกับท่าน ข้าพเจ้าขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งกับทุกคนที่เข้าสุหนัต ว่า จำ�เป็นต้องปฏิบัติตามธรรมบัญญัติทุกข้อด้วย ท่านที่คิดว่าเป็นผู้ชอบธรรมอาศัย ธรรมบัญญัติ ก็แยกตัวออกไปจากพระคริสตเจ้า และขาดจากพระหรรษทาน ส่วนเรา นั้น พระจิตเจ้าทรงนำ�เราให้รอคอยความชอบธรรมที่หวังจะได้รับจากความเชื่อ เพราะ ในพระคริสตเยซูนั้น การเข้าสุหนัตหรือไม่เข้าสุหนัตนั้นไม่สำ�คัญ เรื่องที่สำ�คัญก็คือมี ความเชื่อที่แสดงออกเป็นการกระทำ�อาศัยความรัก พระวรสาร ลก 11:37-41 เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสจบแล้ว ชาวฟาริสีคนหนึ่งทูลเชิญพระองค์ไปเสวย พระกระยาหารที่บ้าน พระองค์จึงเสด็จเข้าไปประทับที่โต๊ะ ชาวฟาริสีคนนั้นประหลาด ใจเมือ่ เห็นว่าพระองค์ไม่ทรงล้างพระหัตถ์ตามธรรมเนียมก่อนเสวยพระกระยาหาร องค์ พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “ชาวฟาริสีเอ๋ย ท่านล้างถ้วยชามด้านนอก แต่ใจของท่าน เต็มไปด้วยของทีข่ โมยมาและความชัว่ ร้าย คนโง่เอ๋ย พระเจ้าผูท้ รงสร้างภายนอก มิได้ ทรงสร้างภายในด้วยหรือ ถ้าจะให้ดีแล้ว จงให้สิ่งที่อยู่ภายในเป็นทานเถิด แล้วทุกสิ่ง ก็จะสะอาดสำ�หรับท่าน” ชาวฟาริสีเชิญพระเยซูเจ้าไปเสวยพระกระยาหารที่บ้าน แต่ยังไม่พร้อม จะเชิญพระองค์เข้าสู่ชีวิตและจิตใจ การต้อนรับจึงเน้นแค่ประเด็นภายนอก สถานที่ อาหาร... เมื่อเห็นว่าพระองค์ไม่ทรงล้างพระหัตถ์ตามธรรมเนียมก็ถือเป็นเรื่องใหญ่โต ทั้งๆ ที่การล้างมือช่วยให้มือสะอาดสำ�หรับหยิบอาหารเข้าปาก แต่พวกเขาใช้การล้าง มือ ล้างถ้วยชามเป็นการหมายถึงการชำ�ระล้างจิตใจไปด้วย พอจิตใจสกปรกมากๆ แทนที่จะชำ�ระจิตใจ กลับไม่พร้อม ไม่อยาก ก็เลยหันมาพิถีพิถันล้างมือ ล้างถ้วยชาม แทน เพื่อให้รู้สึกว่าจิตใจพลอยสะอาดไปด้วย พระเยซูเจ้าจึงทรงชี้ให้เห็นว่าเป็นคนละ เรื่องกัน เป็นใจต่างหากที่ชี้บอกภายนอก ไม่ใช่ภายนอกไปแทนใจ
สัปดาห์ที่ 28 เทศกาลธรรมดา สดด 119:41,43, 44-45,47-48
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 วันคล้ายวันสวรรคต รัชกาลที่ 9
น.กัลลิสตัส ที่ 1 พระสันตะปาปา และมรณสักขี สดด 62:1-2,5-7,8
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านที่ 1 กท 5:18-25 พี่น้อง ถ้าท่านมีพระจิตเจ้าเป็นผู้นำ� ท่านก็ไม่อยู่ภายใต้ธรรมบัญญัติ กิจการของ ธรรมชาติมนุษย์นั้นปรากฏชัดแจ้ง คือ การผิดประเวณี ความลามกโสมม การปล่อย ตัวตามราคตัณหา การกราบไหว้รูปเคารพ การใช้เวทมนตร์คาถา การเป็นศัตรูกัน การ ทะเลาะวิวาท ความอิจฉาริษยา ความโกรธเคือง การแก่งแย่งชิงดี การแตกแยก การ แบ่งพรรคแบ่งพวก การเมามาย การสำ�มะเลเทเมา และอีกหลายประการในทำ�นอง เดียวกันนี้ ข้าพเจ้าขอเตือนท่านทั้งหลายอีกครั้งหนึ่งดังที่เคยเตือนมาแล้วว่า ผู้ที่ ประพฤติตนเช่นนีจ้ ะไม่ได้อาณาจักรของพระเจ้าเป็นมรดก ส่วนผลของพระจิตเจ้าก็คอื ความรัก ความชื่นชม ความสงบ ความอดทน ความเมตตา ความใจดี ความซื่อสัตย์ ความอ่อนโยน และการรู้จักควบคุมตนเอง เรื่องเหล่านี้ไม่มีธรรมบัญญัติใดห้ามไว้เลย ผูท้ เี่ ป็นของพระคริสตเยซู ก็ตรึงธรรมชาติของตนพร้อมกับกิเลสตัณหาไว้กบั ไม้กางเขน แล้ว ถ้าเรามีชีวิตเดชะพระจิตเจ้าแล้ว เราจงดำ�เนินชีวิตตามพระจิตเจ้าด้วย พระวรสาร ลก 11:42-46 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “วิบตั จิ งเกิดแก่ทา่ น บรรดาชาวฟาริสี ท่านถวายหนึง่ ในสิบของสะระแหน่ สมุนไพร และผักทุกชนิด แต่ละเลยความยุติธรรมและความรักต่อพระเจ้า บทบัญญัติเหล่านี้ จำ�เป็นต้องปฏิบัติโดยไม่ละเว้นบทบัญญัติอื่นๆ วิบัติจงเกิดแก่ท่าน บรรดาชาวฟาริสี ท่านชอบนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม และชอบให้ผู้คนคำ�นับตามลานสาธารณะ วิบัติจง เกิดแก่ท่าน ท่านเป็นเหมือนหลุมศพที่มองไม่เห็น คนจะเดินเหยียบไปโดยไม่รู้” นักกฎหมายคนหนึ่งจึงทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์ ท่านพูดเช่นนี้ ท่านก็สบ ประมาทพวกเราด้วย” พระองค์ตรัสตอบว่า “ท่านนักกฎหมายทั้งหลาย วิบัติจงเกิด แก่ท่านด้วย ท่านให้ผู้อื่นแบกสัมภาระหนักเกินกำ�ลัง แต่ท่านไม่ยอมแม้แต่จะใช้นิ้ว แตะต้องสัมภาระนั้น” พระเยซูเจ้าทรงรักและเมตตาทุกคน ทัง้ ทีพ่ ยายามเป็นคนดี ทัง้ ทีร่ สู้ กึ ว่า ตนยังไม่ดีอย่างที่ควร ขอเพียงให้แต่ละคนมีความจริงใจ แม้จะหลงผิดและผิดพลาด แต่รู้ตัวและยอมรับตามความเป็นจริง พระองค์ทรงพร้อมให้ความเมตตา ให้อภัยและ ช่วยเหลือ เพื่อให้กลับมาสู่ความดี ความถูกต้อง แต่คนที่หลงผิดและผิดพลาดและยัง ยืนกรานว่าเป็นคนดี สร้างภาพ เสแสร้ง...ก็ยากที่พระองค์จะช่วยได้ เพราะเขายังไม่ พร้อมจะเปลี่ยนแปลงตนเอง เช่นนี้แล้วใครจะช่วยได้ ดังเช่นกรณีของฟาริสีที่ต้อง เหน็ดเหนื่อยกับการสร้างภาพ จนแทบไม่มีเรี่ยวแรงเปลี่ยนแปลงชีวิตไปในทางที่ดีขึ้น
บทอ่านที่ 1 อฟ 1:1-10 จากเปาโล อัครสาวกของพระคริสตเยซู ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ถึงบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีความเชื่อในพระคริสตเยซู ขอพระหรรษทานและสันติสขุ จากพระเจ้า พระบิดาของเรา และจากพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า สถิตกับท่านทั้งหลายเถิด ขอถวายพระพรแด่พระเจ้า พระบิดาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ระลึกถึง พระองค์ทรงอวยพรแก่เราโดยประทานพระพรนานาประการของพระจิตเจ้าจากสวรรค์ น.เทเรซา แห่งอาวีลา เดชะพระคริสตเจ้า พรหมจารี พระเจ้าทรงเลือกสรรเราในพระคริสตเจ้าแล้ว ตัง้ แต่กอ่ นการเนรมิตสร้างโลก เพือ่ และนักปราชญ์ ให้เราศักดิส์ ทิ ธิแ์ ละปราศจากมลทินเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ดว้ ยความรัก พระเจ้า แห่งพระศาสนจักร ทรงกำ�หนดไว้ล่วงหน้าแล้วที่จะให้เราเป็นบุตรบุญธรรม เดชะพระเยซูคริสตเจ้า ตาม สดด 98:1-2,3-4,5-6 พระประสงค์ทพี่ อพระทัย เพือ่ สรรเสริญพระสิรริ งุ่ โรจน์แห่งพระหรรษทานของพระองค์ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 ซึง่ โปรดประทานให้เรา เดชะพระบุตรผูท้ รงเป็นทีร่ กั ในองค์พระคริสตเจ้า เราได้รบั การ ไถ่กู้เดชะพระโลหิต คือได้รับการอภัยบาป นี่คือพระหรรษทานอันอุดมซึ่งพระเจ้า ประทานแก่เราอย่างล้นเหลือ ให้มปี รีชาและรอบรูท้ กุ อย่าง พระองค์ทรงเผยให้เรารูถ้ งึ พระประสงค์อันเร้นลับของพระองค์ ซึ่งพอพระทัยดำ�ริไว้ล่วงหน้าในพระคริสตเจ้า พระองค์จะทรงกระทำ� ตามแผนการนี้เมื่อถึงเวลากำ�หนด โดยทรงนำ�ทุกสิ่งทั้งที่อยู่บนสวรรค์และบนแผ่นดิน ให้มารวมกันอยูใ่ ต้ ปกครองของพระคริสตเจ้าพระประมุขแต่เพียงพระองค์เดียว พระวรสาร ลก 11:47-54 เวลานั้น พระคริสตเจ้าตรัสว่า “วิบัติจงเกิดแก่ท่านทั้งหลาย ท่านสร้างหลุมฝังศพของบรรดาประกาศก ที่บรรพบุรุษของท่านฆ่า จึงแสดงว่าท่านเห็นด้วยกับการกระทำ�ของบรรพบุรุษ บรรพบุรุษของท่านฆ่าบรรดา ประกาศกและท่านก็สร้างหลุมฝังศพให้” พระปรีชาญาณของพระเจ้าตรัสว่า “เราจะส่งประกาศกและทูตไปพบเขา เขาจะฆ่าประกาศกและทูต บางคนและเบียดเบียนบางคน คนรุ่นนี้ต้องรับผิดชอบต่อโลหิตของบรรดาประกาศกทุกคน โลหิตที่ได้หลั่ง ตั้งแต่สร้างโลกเป็นต้นมา นับตั้งแต่โลหิตของอาแบลจนถึงโลหิตของเศคาริยาห์ซึ่งถูกประหารระหว่างแท่น บูชากับพระวิหาร ถูกแล้ว เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่าคนรุ่นนี้จะต้องรับผิดชอบต่อการกระทำ�นี้ วิบัติจงเกิดแก่ท่าน บรรดานักกฎหมาย ท่านนำ�กุญแจไขความรู้ไป ท่านไม่เข้าไปแล้วยังขัดขวางคนที่ ต้องการจะเข้าไปด้วย” พระเยซูเจ้าเสด็จมาเพือ่ นำ�ทุกคนเข้าสูอ่ าณาจักรพระเจ้า พระองค์ทรงเชิญชวนให้ทกุ คนเตรียม จิตใจ ดังทีย่ อห์นผูท้ �ำ พิธลี า้ งเตรียมจิตใจคนให้พร้อมสำ�หรับการต้อนรับพระองค์ในฐานะพระเมสสิยาห์ เป็น แนวทางเดียวกันคือการเข้าถึงแก่นแห่งจิตใจ เปลีย่ นแปลงจิตใจ สิง่ แรกทีต่ อ้ งเปลีย่ นแปลงในจิตใจคือทำ�ให้ จิตใจโปร่งใส เป็นอย่างไรยอมรับว่าเป็นอย่างนั้น แล้วจึงจะเป็นอย่างที่ควรจะเป็นได้ อันเป็นกระบวนการ แห่งการกลับใจ พระองค์ทรงเผชิญหน้ากับหัวหน้าประชาชน ธรรมาจารย์ ฟาริสี... เพราะพวกเขาเอาแต่ สอนคนให้อยู่ในความจอมปลอมภายนอกอย่างที่พวกเขาเป็นกัน ซึ่งเป็นการสกัดกั้นไม่ให้ผู้คนเปิดใจเข้าสู่ พระอาณาจักร
น.เฮดวิก นักบวช น.มาร์การีตา มารีย์ อาลาก๊อก พรหมจารี สดด 33:1-3,4-5,13-15
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านที่ 1 อฟ 1:11-14 พีน่ อ้ ง ในองค์พระคริสตเจ้านี้ เราได้รบั เลือกเป็นพิเศษไว้ลว่ งหน้าตามพระประสงค์ ของพระองค์ผู้ทรงกระทำ�ทุกสิ่งให้เป็นไปตามแผนการนั้น เพื่อเราจะได้สรรเสริญพระ สิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ เพราะเราเป็นคนแรกที่มีความหวังในพระคริสตเจ้า ในองค์พระคริสตเจ้านี้ ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกันได้ฟังพระวาจาแห่งความจริง คือข่าวดีอันนำ�ความรอดพ้นมาให้ ท่านได้เชื่อแล้ว จึงได้รับพระจิตเจ้า ซึ่งพระเจ้าทรง สัญญาจะประทานให้นั้น เป็นตราประทับ และเป็นประกันของมรดกที่เราจะได้รับเพื่อ ปลดปล่อยเราให้เป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า เป็นการสรรเสริญพระสิริรุ่งโรจน์ของ พระองค์ พระวรสาร ลก 12:1-7 เวลานั้น ขณะที่ประชาชนนับพันๆ คนพากันเบียดเสียดจนเกือบจะเหยียบกัน พระเยซูเจ้าทรงเริ่มตรัสกับบรรดาศิษย์ก่อนว่า “จงระวังเชื้อแป้งของบรรดาชาวฟาริสี คือความหน้าซื่อใจคดของเขา ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้จะไม่ถูกเปิดเผย ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อน เร้นจะไม่มีใครรู้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ท่านกล่าวในที่มืดจะมีผู้ได้ยินในที่แจ้ง สิ่งที่ท่าน กระซิบที่หูภายในห้องจะถูกประกาศบนดาดฟ้าของบ้าน เรากล่าวแก่ท่านที่เป็นมิตรของเราว่า อย่าเกรงกลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กายและหลังจาก นั้นก็ไม่อาจทำ�อะไรได้อีก เราจะชี้ให้ท่านเห็นว่าท่านต้องเกรงกลัวผู้ใด จงเกรงกลัวผู้ที่ ฆ่าแล้วยังมีอำ�นาจโยนท่านลงไปในนรกด้วย ใช่แล้ว เราบอกท่านทัง้ หลาย จงเกรงกลัว ผู้นี้เถิด นกกระจอกห้าตัวราคาขายสองบาทมิใช่หรือ แม้กระนั้นไม่มีนกสักตัวเดียวที่ พระเจ้าทรงลืม ผมทุกเส้นบนศีรษะของท่านถูกนับไว้หมดแล้ว อย่าเกรงกลัวเลย ท่าน มีค่ามากกว่านกกระจอกจำ�นวนมาก” พระเยซูเจ้าทรงเตือนศิษย์ของพระองค์รวมถึงตัวเราแต่ละคนด้วย อย่า กลายเป็นคนหน้าซื่อใจคดเหมือนบรรดาชาวฟาริสี พวกเขาทำ�ทุกอย่างเพื่อให้คนอื่น เห็นและชมเชย ไม่ได้มาจากความจริงใจ ไม่ได้มาจากความรักพระเจ้าและเพือ่ นมนุษย์ เป็นคนที่ถือระเบียบแต่ภายนอก แต่ขาดการเป็นพยานในชีวิตประจำ�วัน พระองค์จึง ทรงเน้นยํ้าเตือนศิษย์ของพระองค์และเราแต่ละคนมิให้เจริญชีวิตอย่างผิวเผิน เพราะ “ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนเร้นจะไม่มีใครรู้” ฉะนั้น ศิษย์จะต้องหนักแน่นในความเชื่อ กล้าเดิน หน้าประกาศข่าวดีอย่างกล้าหาญ “อย่าเกรงกลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย” ให้ไว้วางใจในองค์ พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็น “ผู้ที่ฆ่าแล้วยังมีอำ�นาจโยนท่านลงไปนรกด้วย”
บทอ่านที่ 1 อฟ 1:15-23 พี่น้อง เมื่อข้าพเจ้ารู้ถึงความเชื่อของท่านทั้งหลายในพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า และรู้ถึงความรักที่ท่านมีต่อบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ทุกคน ข้าพเจ้าจึงขอบพระคุณพระเจ้า เพื่อท่าน และระลึกถึงท่านทั้งหลายในคำ�อธิษฐานภาวนาอยู่เสมอ ขอพระเจ้าแห่งพระ เยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระบิดาผู้ทรงพระสิริรุ่งโรจน์ประทานพระพรแห่ง ปรีชาญาณและการเปิดเผยให้แก่ท่านเดชะพระจิตเจ้า เพื่อท่านจะได้รู้ซึ้งถึงพระองค์ ยิ่งๆ ขึ้น ขอพระองค์โปรดให้ตาแห่งใจของท่านสว่างขึ้น เพื่อจะรู้ว่าพระองค์ทรงเรียก ท่านให้มีความหวังประการใด และความรุ่งเรืองที่บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์จะได้รับเป็นมรดก นั้นบริบูรณ์เพียงใด อีกทั้งรู้ด้วยว่า พระอานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์ต่อเราผู้มีความ เชื่อนั้นลํ้าเลิศเพียงใด พระอานุภาพและพละกำ�ลังนี้ พระองค์ทรงแสดงในองค์พระ คริสตเจ้า เมื่อทรงบันดาลให้พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย และให้ประทับเบือ้ งขวาของพระองค์ในสวรรค์ เหนือเทพนิกรเจ้า เทพนิกรอำ�นาจ เทพ นิกรฤทธิ์ เทพนิกรนายและเหนือนามทั้งปวง ที่อาจเรียกขานได้ทั้งในยุคนี้และในยุค หน้า พระเจ้าทรงวางทุกสิ่งไว้ใต้พระบาทของพระคริสตเจ้า และทรงแต่งตั้งพระคริสต เจ้าไว้เหนือสรรพสิง่ ให้ทรงเป็นศีรษะของพระศาสนจักร ซึง่ เป็นพระวรกายของพระองค์ เป็นความบริบูรณ์ของพระผู้ทรงอยู่ในทุกสิ่งและทรงกระทำ�ให้ทุกสิ่งบริบูรณ์
ระลึกถึง น.อิกญาซีโอ ชาวอันติโอค พระสังฆราช และมรณสักขี
สดด 8:1-2ก,3-4ก, 4ข-6
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
พระวรสาร ลก 12:8-12 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ทุกคนที่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ บุตรแห่งมนุษย์จะ ยอมรับผู้นั้นต่อหน้าทูตสวรรค์ของพระเจ้า แต่ผู้ที่ปฏิเสธไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ จะถูกปฏิเสธไม่ยอมรับต่อหน้าทูตสวรรค์ของพระเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน” “ทุกคนทีก่ ล่าวร้ายต่อบุตรแห่งมนุษย์จะได้รบั การอภัย แต่ผทู้ กี่ ล่าวร้ายต่อพระจิต เจ้าจะไม่ได้รับการอภัยเลย” “เมื่อเขาจะนำ�ท่านไปยังศาลาธรรมต่อหน้าผู้ปกครองและผู้ทรงอำ�นาจ ท่าน ทั้งหลายอย่าวิตกกังวลว่าจะหาเหตุผลป้องกันตัวอย่างไรหรือจะพูดอะไร เพราะพระ จิตเจ้าจะทรงสอนท่านในเวลานั้นว่าจะต้องพูดอะไร” คริสตชนทุกคนต่างถูกเรียกให้มาเป็นพยานด้วยคำ�พูดและการกระทำ� ถ่ายทอดข่าวดีเกีย่ วกับ พระเยซูเจ้าพระเจ้าผู้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ ผ่านทางพระองค์เรารู้ว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์ทุกคน ผ่านทาง ศีลล้างบาปคริสตชนมีหน้าทีเ่ ป็นพยานถึงพระเยซูเจ้าตามคุณลักษณะและพระพรพิเศษของตน วันนีเ้ ราต่าง ถูกท้าทายให้เป็นพยานปลุกเร้าคริสตชนด้วยการตระหนักถึงศักดิศ์ รีหน้าทีก่ ารเป็นศิษย์พระคริสต์ และกล้า เป็นพยานให้ผู้ที่ยังไม่รู้จักพระเยซูเจ้า มารู้จักพระองค์ ด้วยชีวิตและคำ�พูด รางวัลของการเป็นพยานที่ได้รับ ก็คือ “ทุกคนที่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ บุตรแห่งมนุษย์จะยอมรับผู้นั้นต่อหน้าทูตสวรรค์ของพระเจ้า”
สัปดาห์ที่ 29 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 วันแพร่ธรรมสากล
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 45:1-2,4-6 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับกษัตริย์ไซรัส ผู้รับเจิมของพระองค์ว่า “เราจับมือขวาของท่านไว้ เพื่อปราบชนหลายชาติให้อยู่ใต้อำ�นาจ ปลดอาวุธจาก บั้นเอวของบรรดากษัตริย์ เปิดประตูที่อยู่ต่อหน้าท่าน ไม่มีประตูเมืองใดปิดอยู่ได้ เพราะเห็นแก่ยาโคบผู้รับใช้ของเรา เราออกชื่อของท่าน เรียกท่านมา เราให้ ตำ�แหน่งแก่ท่าน แม้ท่านไม่รู้จักเรา เราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีก นอกจากเราไม่มีพระเจ้า แม้ท่านไม่รู้จักเรา เราก็จะคาดอาวุธให้ท่าน เพื่อคนทั้งหลาย จากทิศตะวันออก และจากทิศตะวันตก จะได้รู้ว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากเรา เรา เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีก” เพลงสดุดี สดด 96:1-3,4-6,7-9,10-11 ก) จงร้องเพลงบทใหม่ถวายองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด จงร้องเพลงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าจากทั่วแผ่นดิน จงร้องเพลงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า จงถวายพระพรแด่พระนามของพระองค์เถิด จงประกาศทุกวันว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดพ้น จงเล่าถึงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์แก่นานาชาติ จงประกาศกิจการน่าพิศวงของพระองค์แก่บรรดาประชาชาติ ข) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยิ่งใหญ่ ทรงสมควรได้รับคำ�สรรเสริญอย่างยิ่ง ทรงน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเทพเจ้าใดๆ เพราะเทพเจ้าทั้งปวงแห่งประชาชาติทั้งหลายล้วนเป็นความว่างเปล่า แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างท้องฟ้า ความสง่างามและความรุ่งเรืองอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ พระอานุภาพและความงดงามอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ค) ครอบครัวประชาชาติทั้งหลาย จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด จงสรรเสริญพระสิริรุ่งโรจน์และพระอานุภาพของพระองค์ จงสรรเสริญพระสิริรุ่งโรจน์แห่งพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด จงนำ�ของถวายและจงเข้ามาในท้องพระโรงของพระองค์ จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อทรงสำ�แดงความศักดิ์สิทธิ์ มนุษย์ทั่วแผ่นดินจงตัวสั่นเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์เถิด ง) จงกล่าวแก่นานาชาติว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ปกครอง พระองค์ทรงตั้งโลกไว้อย่างมั่นคง จะคลอนแคลนมิได้ พระองค์จะทรงพิพากษาประชาชาติด้วยความยุติธรรม” สวรรค์จงยินดี แผ่นดินจงเปรมปรีดิ์ ทะเลและทุกสิ่งที่อยู่ในทะเลจงส่งเสียงครึกโครมดังฟ้าคะนองเถิด
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวเธสะโลนิกา ฉบับที่หนึ่ง 1 ธส 1:1-5ข จากเปาโล สิลวานัสและทิโมธี ถึงพระศาสนจักรที่เมืองเธสะโลนิกา ซึ่งอยู่ในพระเจ้า พระบิดา และในพระเยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ขอพระหรรษทานและสันติสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด เราขอบพระคุณพระเจ้าทุกเวลาเพื่อท่านทุกคน ระลึก ถึงท่านในคำ�ภาวนา เราวอนขอเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าพระ บิดา เฝ้าระลึกอยูเ่ สมอถึงกิจการซึง่ แสดงความเชือ่ ของท่าน และระลึกถึงการงานทีแ่ สดงความรักและความพากเพียร ซึง่ เกิดจากความหวังในพระคริสตเยซูองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของเรา พีน่ อ้ งทัง้ หลายผูเ้ ป็นทีร่ กั ของพระเจ้า เรารูว้ า่ ท่านได้รบั เลือกสรร เพราะข่าวดีที่เราประกาศมาถึงท่าน มิใช่ด้วยคำ�พูดเท่านั้น แต่ด้วยพระอานุภาพเดชะพระจิตเจ้า และด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 22:15-21 ครั้งนั้น ชาวฟาริสีปรึกษากันเพื่อจับผิดพระวาจาของพระเยซูเจ้า จึงส่งศิษย์ของตนพร้อมกับคนที่นิยม กษัตริย์เฮโรดมาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์ พวกเรารู้ว่าท่านเป็นคนเที่ยงตรง สั่งสอนวิถีทางของ พระเจ้าตามความจริง โดยไม่ลำ�เอียง เพราะท่านไม่เห็นแก่หน้าใคร ดังนั้น โปรดบอกเราเถิดว่า ท่านมีความ เห็นว่าการเสียภาษีแก่พระจักรพรรดิซีซาร์เป็นการถูกต้องหรือไม่” พระเยซูเจ้าทรงหยั่งรู้เจตนาร้ายของเขา จึงตรัสว่า “พวกคนเจ้าเล่ห์ เจ้ามาทดลองเราทำ�ไม จงนำ�เงินทีใ่ ช้เสียภาษีมาให้ดสู กั เหรียญหนึง่ ” เขาก็นำ�เงิน เหรียญมาถวาย พระองค์จงึ ตรัสถามว่า “รูปและคำ�จารึกนีเ้ ป็นของใคร” เขาตอบว่า “เป็นของพระจักรพรรดิ ซีซาร์” พระองค์จึงตรัสว่า “ของของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด” การตกอยู่ภายใต้พลังอำ�นาจครอบงำ�ของบาป “อิจฉา” ชาวฟาริสีไม่พอใจ “ความดี” ที่ พระเยซูเจ้าทรงกระทำ� พวกเขาเลือกวิธี “ชั่วร้าย” งุบงิบปรึกษากันเพื่อจับผิดพระวาจาของพระองค์ เป็น ช่องทางดึงกระแสนิยมในตัวพวกเขากลับคืนมา แต่พระเยซูเจ้าองค์พระผูไ้ ถ่ ผูเ้ ป็นพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้ ไม่เลือกวิธีที่จะเผชิญหน้าด้วยการทะเลาะวิวาท แต่เลือกประกาศ “ความยุติธรรม” “ของซีซาร์ จงคืนให้ ซีซาร์ และของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด” เป็นการดีหากคริสตชนทุกคนจะตระหนักเสมอว่า มีพระเยซู คริสตเจ้าเป็นพระอาจารย์ พระองค์ทรงสอนเราทั้งด้วยแบบอย่างและคำ�พูด ให้เราเลียนแบบพระองค์
บทอ่านที่ 1 อฟ 2:1-10 พี่น้อง ท่านทั้งหลายตายแล้วเพราะการล่วงละเมิดและเพราะบาป ครั้งหนึ่งท่าน เคยดำ�เนินชีวิตตามโลกียวิสัย อยู่ใต้อำ�นาจเทพนิกรเจ้าผู้ปกครองชั้นบรรยากาศ คือ จิตที่ทำ�งานอยู่ในมนุษย์ที่ไม่ยอมเชื่อฟัง เราทุกคนก็เคยประพฤติเช่นนี้ในอดีต ปล่อย ตนตามราคตัณหา ปฏิบัติตนตามความต้องการและความคิดโดยธรรมชาติฝ่ายตํ่า เรา น.ยอห์นแห่งเบรเบิฟ จึงน่าจะถูกพระเจ้าลงโทษเช่นเดียวกับคนอืน่ แต่พระเจ้าทรงเปีย่ มด้วยพระเมตตา ทรง และ น.อิสอัค โยเกอ สำ�แดงความรักยิ่งใหญ่ต่อเรา เมื่อเราตายไปแล้วเพราะการล่วงละเมิด พระองค์ก็ทรง บันดาลให้เรากลับมีชีวิตกับพระคริสตเจ้า ท่านได้รับความรอดพ้นก็เพราะพระหรรษ พระสงฆ์ และเพื่อนมรณสักขี ทาน พระเจ้าโปรดให้เรากลับคืนชีพพร้อมกับพระคริสตเยซู โปรดให้เรามีทนี่ งั่ ในสวรรค์ น.เปาโลแห่งไม้กางเขน พร้อมกับพระคริสตเจ้า เพื่อจะทรงแสดงพระหรรษทานอันอุดมเหลือล้นของพระองค์ แก่มนุษย์ทุกยุคสมัยในอนาคต โดยทรงพระกรุณาต่อเราในพระคริสตเยซู ท่านได้รับ พระสงฆ์ ความรอดพ้นเพราะพระหรรษทานอาศัยความเชื่อ ความรอดพ้นนี้มิได้มาจากท่าน แต่ สดด 100:1-5 เป็นของประทานจากพระเจ้า มิได้มาจากการกระทำ�ใดๆ ของท่าน เพื่อมิให้ใครโอ้อวด ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ตนได้ เราเป็นผลงานของพระองค์ ถูกสร้างมาในพระคริสตเยซูเพื่อให้ประกอบกิจการ ดี ซึ่งพระเจ้าทรงกำ�หนดล่วงหน้าให้เราปฏิบัติ พระวรสาร ลก 12:13-21 เวลานั้น ประชาชนคนหนึ่งทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์ โปรดบอกพี่ชาย ข้าพเจ้าให้แบ่งมรดกให้ข้าพเจ้าเถิด” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “มนุษย์เอ๋ย ใครตั้งเรา เป็นผูพ้ พิ ากษาหรือเป็นผูแ้ บ่งมรดกของท่าน” แล้วพระองค์ตรัสกับคนเหล่านัน้ ว่า “จง ระวังและรักษาตัวไว้ให้พ้นจากความโลภทุกชนิด เพราะชีวิตของคนเราไม่ขึ้นกับทรัพย์ สมบัติของเขา แม้ว่าเขาจะมั่งมีมากเพียงใดก็ตาม” พระองค์ยงั ตรัสอุปมาเรือ่ งหนึง่ ให้เขาทัง้ หลายฟังอีกว่า “เศรษฐีคนหนึง่ มีทดี่ นิ ทีเ่ กิดผลดีอย่างมาก เขา จึงคิดว่า ‘ฉันจะทำ�อย่างไรดี ฉันไม่มีที่พอจะเก็บพืชผลของฉัน’ เขาคิดอีกว่า ‘ฉันจะทำ�อย่างนี้ จะรื้อยุ้งฉาง เก่าแล้วสร้างใหม่ให้ใหญ่โตกว่าเดิม จะได้เก็บข้าวและสมบัติทั้งหมดไว้’ แล้วฉันจะพูดกับตนเองว่า ‘ดีแล้ว เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากมายเก็บไว้ใช้ได้หลายปี จงพักผ่อน กินดื่มและสนุกสนานเถิด’ แต่พระเจ้าตรัสกับเขา ว่า ‘คนโง่เอ๋ย คืนนี้ เขาจะเรียกเอาชีวิตเจ้าไป แล้วสิ่งที่เจ้าได้เตรียมไว้จะเป็นของใครเล่า คนที่สะสมทรัพย์ สมบัติไว้สำ�หรับตนเองแต่ไม่เป็นคนมั่งมีสำ�หรับพระเจ้าก็จะเป็นเช่นนี้’” ในเรื่องราวการแย่งมรดกพี่และน้อง พร้อมเรื่องราวผลลัพธ์บั้นปลายชีวิตเศรษฐีรํ่ารวยที่ดิน พระเยซูเจ้าทรงใช้สองเรื่องนี้สอนเพื่อกระตุ้นเตือนให้ศิษย์ของพระองค์และตัวเรากำ�จัดความโลภ ความ ลุม่ หลงอยากได้ทรัพย์ของคนอืน่ ออกจากชีวติ พระองค์ตอกยํา้ ว่าอำ�นาจของความโลภทำ�ให้เรามองข้ามสิทธิ และความจำ�เป็นของเพือ่ นมนุษย์ เมือ่ บุคคลหนึง่ สนใจแต่แสวงหาความราํ่ รวย บุคคลนัน้ ย่อมลืมว่าเขามีหน้า ที่แบ่งปันความรํ่ารวยกับบุคคลที่ขัดสน พระองค์ชี้ให้เห็นความจริงว่า ความรํ่ารวยไม่ใช่สิ่งเลวร้ายในตัวมัน เอง แท้จริงแล้วทรัพย์สินเงินทองเป็นสิ่งที่ดี หากเราไม่ใช้มัน “เพื่อตัวเอง” เท่านั้น ฉะนั้นเราต้องตระหนัก ว่า “คนที่สะสมทรัพย์ไว้สำ�หรับตนเอง ไม่เป็นคนมั่งมีสำ�หรับพระเจ้า”
บทอ่านที่ 1 อฟ 2:12-22 พี่น้อง จงระลึกเถิดว่า เวลานั้น ท่านอยู่ห่างจากพระคริสตเจ้า ถูกกีดกันมิให้เป็น ประชากรอิสราเอล เป็นคนต่างด้าว ไม่มีส่วนในพันธสัญญาที่ทรงสัญญาไว้ อยู่ในโลก นี้โดยไม่มีความหวังและไม่มีพระเจ้า แต่บัดนี้ในองค์พระคริสตเยซู ท่านทั้งหลายซึ่งใน อดีตเคยอยู่ห่างไกลได้เข้ามาอยู่ใกล้ เดชะพระโลหิตของพระคริสตเจ้า พระองค์คือ สันติของเรา ทรงกระทำ�ให้ทงั้ สองฝ่ายเป็นหนึง่ เดียว โดยทรงทำ�ลายการเป็นศัตรูกนั ซึง่ เป็นเหมือนกำ�แพงที่แบ่งแยก ทรงล้มเลิกธรรมบัญญัติพร้อมกับข้อบังคับและข้อห้าม ต่างๆ เมือ่ ทรงรับร่างกายเป็นมนุษย์เพือ่ สร้างสันติ ทำ�ให้ทงั้ สองฝ่ายกลับเป็นมนุษย์คน ใหม่คนเดียวในพระองค์ โดยทางไม้กางเขนทรงทำ�ให้ทั้งสองฝ่ายกลับคืนดีกับพระเจ้า รวมเป็นกายเดียว และทรงขจัดการเป็นศัตรูกนั เดชะพระองค์ พระองค์เสด็จมาประกาศ สันติเป็นข่าวดีสำ�หรับท่านทั้งหลายที่อยู่ห่างไกล และประกาศสันติเป็นข่าวดีสำ�หรับผู้ ที่อยู่ใกล้ เดชะพระองค์เราทั้งสองฝ่ายจึงเข้าไปเฝ้าพระบิดาเจ้าได้ในพระจิตเจ้าองค์ เดียวกัน ท่านจึงไม่เป็นคนต่างด้าวหรือผู้อาศัยอีกต่อไป แต่เป็นเพื่อนร่วมชาติกับบรรดาผู้ ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า ถูกสร้างขึ้นเป็นอาคารโดยมีบรรดา อัครสาวกและประกาศกเป็นรากฐาน มีพระคริสตเยซูทรงเป็นศิลาหัวมุม พระคริสต เจ้าทรงทำ�ให้อาคารทุกส่วนต่อกันสนิทเจริญขึ้นเป็นพระวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อองค์พระผู้ เป็นเจ้า ในพระคริสตเจ้า ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกันกำ�ลังถูกก่อสร้างร่วมกันขึ้นเป็นที่ ประทับของพระเจ้าเดชะพระจิตเจ้า
สัปดาห์ที่ 29 เทศกาลธรรมดา สดด 85:8-9,10-11, 12-13
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
พระวรสาร ลก 12:35-38 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านทัง้ หลายจงคาดสะเอวและจุดตะเกียงเตรียมพร้อมไว้ จงเป็นเสมือนผูร้ บั ใช้ ที่กำ�ลังคอยนายกลับจากงานสมรส เมื่อนายมาและเคาะประตูจะได้เปิดรับ ผู้รับใช้ เหล่านัน้ เป็นสุข ถ้านายกลับมาพบเขากำ�ลังตืน่ เฝ้าอยู่ เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลาย ว่า นายจะคาดสะเอวพาผู้รับใช้เหล่านั้นไปนั่งโต๊ะและจะรับใช้เขาด้วย ไม่ว่านายจะมา เวลาสองยามหรือสามยาม ถ้าพบผู้รับใช้กำ�ลังทำ�เช่นนี้ ผู้รับใช้เหล่านั้นก็เป็นสุข” พระเยซูเจ้ายํา้ อย่างชัดเจนว่า ผูท้ จี่ ะติดตามพระองค์นนั้ ต้องพึงระลึกเสมอว่า พวกเขาจะต้อง เตรียมพร้อมเพื่อจะได้พบพระองค์ในฐานะเป็นผู้พิพากษา พระองค์รู้ดีว่าอิทธิพลแห่งความอ่อนแอสิงอยู่ใน ธรรมชาติความเป็นมนุษย์ของพวกเขา จึงเตือนด้วยความเป็นห่วง ให้ผู้ติดตามพระองค์ดำ�เนินชีวิตในพระ หรรษทาน ระวังไม่ตกอยู่ในอำ�นาจความอ่อนแอของตนเอง เฝ้าระวังดั่ง “ผู้รับใช้ที่กำ�ลังคอยนายกลับจาก งานมงคลสมรส” เราคริสตชนทราบดีว่าชะตาแห่งความรอดนิรันดร์ของเราขึ้นอยู่กับการดำ�เนินชีวิตในโลก นี้ ถามตัวเองว่า เราจะจากโลกนี้ไปในฐานะผู้ใคร่ธรรมหรือในฐานะเป็นศัตรูกับพระเจ้า ฉะนั้นเราต้องพึง ระวัง
บทอ่านที่ 1 อฟ 3:2-12 พีน่ อ้ ง ท่านคงรูแ้ ล้วถึงพระหรรษทานซึง่ พระเจ้าประทานให้ขา้ พเจ้าประกอบพันธ กิจเพือ่ ประโยชน์ของท่าน ข้าพเจ้ารูธ้ รรมลํา้ ลึกนีเ้ พราะพระเจ้าทรงเปิดเผย ดังทีข่ า้ พเจ้า เขียนไว้ก่อนหน้านี้โดยสังเขป เมื่ออ่านแล้ว ท่านจะเข้าใจว่าข้าพเจ้ารู้ธรรมลํ้าลึกเรื่อง พระคริสตเจ้าได้อย่างไร ธรรมลํ้าลึกนี้พระองค์มิได้ทรงเปิดเผยให้มนุษย์ในอดีตรู้ แต่ บัดนี้พระเจ้าทรงเปิดเผยเดชะพระจิตเจ้าให้แก่บรรดาอัครสาวกและประกาศกผู้ สัปดาห์ที่ 29 ศักดิ์สิทธิ์รู้ว่า คนต่างชาติเข้ามามีส่วนร่วมในกองมรดกเดียวกัน ร่วมเป็นกายเดียวกัน เทศกาลธรรมดา ร่วมรับพระสัญญาเดียวกันในพระคริสตเยซูอาศัยข่าวดี ข้าพเจ้ามาเป็นผู้รับใช้ข่าวดีนี้ อสย 12:2-3,4-5,6 เดชะพระหรรษทานที่พระเจ้าทรงพระกรุณาประทานให้ เพื่อสำ�แดงพระอานุภาพของ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 พระองค์ ข้าพเจ้าผู้ตํ่าต้อยที่สุดในบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้รับมอบพระหรรษทานนี้ เพื่อ ประกาศให้คนต่างชาติรถู้ งึ ความไพบูลย์สดุ ทีจ่ ะหยัง่ รูไ้ ด้ของพระคริสตเจ้า และอธิบาย ให้เข้าใจถึงแผนการลํ้าลึก ซึ่งซ่อนเร้นอยู่เป็นเวลานานมาแล้วในพระเจ้าพระผู้ทรงสร้างสรรพสิ่ง เพื่อ เทพนิกรเจ้าและเทพนิกรอำ�นาจในสวรรค์ได้รู้พระปรีชาญาณของพระเจ้าในรูปแบบต่างๆ ณ บัดนี้โดยทาง พระศาสนจักร ตามพระประสงค์นิรันดรที่ทรงกระทำ�ให้สำ�เร็จไปในพระคริสตเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เดชะพระคริสตเจ้าและด้วยความเชื่อในพระองค์ เราจึงกล้าเข้าไปเฝ้าพระเจ้าด้วยความมั่นใจ พระวรสาร ลก 12:39-48 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “พึงรู้ไว้เถิด ถ้าเจ้าของบ้านรู้ว่าขโมยจะมาเวลาใด เขาคงไม่ปล่อยให้ขโมยงัดแงะบ้านของตน ท่าน ทั้งหลายจงเตรียมพร้อมไว้ เพราะบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในเวลาที่ท่านมิได้คาดหมาย” เปโตรทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ตรัสอุปมานี้สำ�หรับพวกเราหรือสำ�หรับทุกคน” องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสว่า “ใครเล่าเป็นผูจ้ ดั การทีซ่ อื่ สัตย์และรอบคอบซึง่ นายจะแต่งตัง้ ให้ดแู ลผูร้ บั ใช้อนื่ ๆ เพือ่ ปันส่วนอาหาร ให้ตามเวลาที่กำ�หนด ผู้รับใช้คนนั้นเป็นสุข ถ้านายกลับมาพบเขากำ�ลังทำ�ดังนี้ เราบอกความจริงแก่ท่าน ทัง้ หลายว่า นายจะแต่งตัง้ เขาให้ดแู ลทรัพย์สนิ ทัง้ หมดของตน แต่ถา้ ผูร้ บั ใช้คนนัน้ คิดว่า ‘นายจะมาช้า’ และ เริม่ ตบตีผรู้ บั ใช้ทงั้ ชายและหญิง กินดืม่ จนเมามาย นายของผูร้ บั ใช้คนนัน้ จะกลับมาในวันทีเ่ ขามิได้คาดหมาย ในเวลาที่เขาไม่รู้ นายจะแยกเขาออก ให้ไปอยู่กับพวกคนที่ไม่ซื่อสัตย์ ผู้รับใช้ที่รู้ใจนายของตน แต่ไม่เตรียมพร้อมและไม่ทำ�ตามใจนาย จะต้องถูกเฆี่ยนมาก แต่ผู้รับใช้ที่ไม่รู้ ใจนาย แม้ทำ�สิง่ ทีค่ วรจะถูกเฆีย่ น ก็จะถูกเฆีย่ นน้อย ผูใ้ ดได้รบั ฝากไว้มาก ผูน้ นั้ ก็จะถูกทวงกลับไปมากด้วย” คุณสมบัติของผู้จัดการที่ดีคือ ความซื่อสัตย์และรอบคอบ เขาจะต้องมีความรับผิดชอบต่อ หน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย เพราะตำ�แหน่งหน้าที่มาพร้อมกับความรับผิดชอบ โดยศีลล้างบาปคริสตชนแต่ละ คนเป็นดั่ง “ผู้จัดการ” ในพระวรสาร ในฐานะเป็นศิษย์พระคริสต์ ไม่ว่าพระสงฆ์ นักบวช หรือฆราวาส มี ตำ�แหน่งพร้อมความรับผิดชอบ ไม่ใช่ตำ�แหน่งแห่งเกียรติยศ แต่เป็นผู้รับใช้ด้วยใจสุภาพตามแบบฉบับของ พระอาจารย์ คืออุทิศตนอย่างซื่อสัตย์และรอบคอบในการดำ�เนินชีวิตของตน ทั้งในการรับใช้พระเจ้าและ เพื่อนพี่น้อง โดยใช้พระพรและความสามารถต่างๆ ตามบทบาทหน้าที่ของตนในพระศาสนจักรและสังคม พระเยซูเจ้าบอกว่า “ผู้ใดได้รับฝากไว้มาก ผู้นั้นก็จะถูกทวงกลับไปมากด้วย”
บทอ่านที่ิ 1 อฟ 3:14-21 พี่น้อง ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าเฉพาะพระพักตร์ของพระบิดา ผู้ทรงเป็นที่มาของ ครอบครัวทั้งหลาย ไม่ว่าบนสวรรค์หรือบนแผ่นดิน ขอพระองค์ประทานพละกำ�ลังแก่ ท่านเดชะพระจิตเจ้าตามความไพบูลย์แห่งพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ ให้ชีวิตภายใน ของท่านเข้มแข็งยิ่งขึ้น พระคริสตเจ้าจะได้ทรงพำ�นักในจิตใจของท่านอาศัยความเชื่อ เมื่อท่านฝังรากและตั้งมั่นอยู่บนความรักแล้ว ท่านและบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจะ ได้เข้าใจถึงความกว้าง ความยาว ความสูง ความลึก อีกทั้งหยั่งรู้ซึ้งถึงความรักซึ่งเกิน กว่าจะหยัง่ รูไ้ ด้ของพระคริสตเจ้า เพือ่ ท่านจะได้รบั ความไพบูลย์ทงั้ ปวงของพระเจ้าอย่าง เต็มเปี่ยม ขอพระสิรริ งุ่ โรจน์จงมีแด่พระเจ้า ผูท้ รงกระทำ�ทุกอย่างได้ตามพระอานุภาพทีแ่ สดง พลังอยู่ในตัวเรามากกว่าที่เราอาจขอหรือคาดคิด ขอพระสิรริ ุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์ใน พระศาสนจักร และในพระคริสตเยซู ทุกยุคสมัยตลอดนิรันดร อาเมน พระวรสาร ลก 12:49-53 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “เรามาเพือ่ จุดไฟในโลก เราปรารถนาอย่างยิง่ ทีจ่ ะให้โลกนีล้ กุ เป็นไฟ เรามีการล้าง ที่จะต้องรับ และเราเป็นทุกข์กังวลใจอย่างมากจนกว่าการล้างนี้จะสำ�เร็จ ท่านคิดว่าเรามาเพื่อนำ�สันติภาพมาสู่โลกหรือ มิได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า เรา นำ�ความแตกแยกมาต่างหาก ตั้งแต่นี้ไป คนห้าคนในบ้านหนึ่งจะแตกแยกกัน คนสาม คนจะแตกแยกกับคนสองคน และคนสองคนจะแตกแยกกับคนสามคน บิดาจะ แตกแยกกับบุตรชาย และบุตรชายจะแตกแยกกับบิดา มารดาจะแตกแยกกับบุตรหญิง และบุตรหญิงจะแตกแยกกับมารดา มารดาของสามีจะแตกแยกกับบุตรสะใภ้ และบุตร สะใภ้จะแตกแยกกับมารดาของสามี”
ชาวยิวรอคอยการเสด็จมาของ “พระเมสสิยาห์” เป็นเวลายาวนาน “พระเมสสิยาห์” ต้องเป็นกษัตริย์นำ�ชาวยิวไปสู่ความยิ่งใหญ่ นี่เป็นความเชื่อและ ความหวังของพวกเขา พระเยซูเจ้าชี้ให้พวกเขาเข้าใจว่าการเสด็จมาของพระองค์ “พระเมสสิยาห์” (ที่พวกเขารอคอย) จะทำ�ให้พวกเขาผิดหวัง เพราะทุกสิ่งกลับเป็น ตรงกันข้ามกับที่พวกเขาคิดและคาดหวังไว้ ในความเป็นจริง “พระเมสสิยาห์” จะมา เพื่อรับทนทุกข์ทรมานและตายเพื่อความรอดพ้น ความเชื่อในความตายบนไม้กางเขน จะทำ�ให้เกิดการแตกแยก เพราะผู้ติดตามพระองค์ยึดกางเขนเป็นหนทางแห่งความ รอดพ้น พึงตระหนักว่าติดตามพระเยซูเจ้านัน้ ต้องการการตัดสินใจทีช่ ดั เจน พร้อมเผชิญ ทุกสิง่ แม้ตอ้ งแยกจากสิง่ ของ จากบุคคล เพือ่ บอกว่าพระ “เมสสิยาห์” ได้เสด็จมาแล้ว คือพระเยซูคริสตเจ้า
น.ยอห์น ปอล ที่ 2 พระสันตะปาปา สดด 33:1-2,4-5, 11-12,18-19
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านที่ 1 อฟ 4:1-6 พีน่ อ้ ง ข้าพเจ้าผูถ้ กู จองจำ�เพราะองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า วอนขอท่านทัง้ หลายให้ดำ�เนิน ชีวิตสมกับการที่ท่านได้รับเรียก จงถ่อมตนอยู่เสมอ จงมีความอ่อนโยน พากเพียร อดทนต่อกันด้วยความรัก พยายามรักษาเอกภาพแห่งพระจิตเจ้าด้วยสายสัมพันธ์แห่ง สันติ มีกายเดียวและจิตเดียว ดังทีพ่ ระเจ้าทรงเรียกท่านให้มคี วามหวังประการเดียว มี น.ยอห์น กาปิสตราโน องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว ความเชื่อหนึ่งเดียว ศีลล้างบาปหนึ่งเดียว พระเจ้าหนึ่ง เดียว ผู้ทรงเป็นพระบิดาของทุกคน พระองค์ทรงอยู่เหนือทุกคน ทรงกระทำ�การผ่าน พระสงฆ์ ทุกคน และสถิตในทุกคน สดด 24:1-2,3-4,5-6
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 วันปิยมหาราช
พระวรสาร ลก 12:54-59 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า “เมื่อท่านเห็นเมฆก่อตัวขึ้นทางทิศตะวันตก ท่านก็กล่าวได้ทันทีว่าฝนจะตก และ ก็เป็นเช่นนั้น เมื่อลมทิศใต้พัดมา ท่านก็กล่าวว่าอากาศจะร้อน และก็เป็นเช่นนั้น คน หน้าซื่อใจคดเอ๋ย ท่านรู้จักวินิจฉัยลักษณะดินฟ้าอากาศ แล้วทำ�ไมจึงไม่วินิจฉัยเวลา ปัจจุบันนี้เล่า ทำ�ไมท่านจึงไม่ตดั สินด้วยตนเองว่าสิง่ ใดถูกต้องเล่า ขณะทีท่ า่ นกำ�ลังไปศาลกับคู่ ความของท่าน จงพยายามตกลงกันเสียระหว่างทาง เพื่อมิให้คู่ความของท่านลากท่าน ไปต่อหน้าผู้พิพากษาและผู้พิพากษาจะมอบท่านให้แก่ผู้คุม และผู้คุมจะขังท่านไว้ใน คุก เราบอกท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้จนกว่าท่านจะชำ�ระหนี้จนถึงเศษสตางค์ สุดท้าย” พระเยซูเจ้าบ่นเหมือนกับน้อยใจ ที่ประชาชนชาวยิวใช้สติปัญญาที่ พระเจ้าให้มานั้น วินิจฉัยสิ่งที่กำ�ลังเกิดขึ้นตามธรรมชาติได้อย่างถูกต้อง แต่ในขณะ เดียวกันพวกเขาเหมือนกับคนตาบอด พวกเขามองไม่เห็น “เครือ่ งหมายแห่งกาลเวลา” ไม่ตระหนักว่า ขณะนีพ้ ระผูไ้ ถ่ทพี่ วกเขารอคอยได้เสด็จมาแล้ว ความรอดพ้นมาถึงแล้ว พระเยซูเจ้าพยายามสอนให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง ถึงเวลาแล้วที่แต่ละคนต้อง “กล้า ตัดสินใจด้วยตนเองว่าสิง่ ใดถูกต้อง” หากวินจิ ฉัยว่าทำ�ผิดต่อพระเจ้า ก็คนื ดีกบั พระเจ้า หากทำ�ผิดต่อเพื่อนมนุษย์ ก็รีบคืนดีกับเพื่อนบ้าน อย่ารอจนถึงวาระสุดท้าย ยืนอยู่ “ต่อหน้าผู้พิพากษา”
บทอ่านที่ 1 อฟ 4:7-16 พีน่ อ้ ง เราแต่ละคนได้รบั พระหรรษทานตามสัดส่วนทีพ่ ระคริสตเจ้าประทานให้ ดัง นั้น จึงมีคำ�กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นสู่เบื้องสูง พระองค์ทรงนำ�บรรดาเชลยไปด้วย และทรงแจกจ่ายของประทานแก่บรรดามนุษย์” คำ�ว่า “พระองค์เสด็จขึน้ ” นัน้ หมายความว่าอย่างไร ถ้ามิใช่หมายความว่า พระองค์ น.อันตน มารีย์ ได้เสด็จลงไปยังแผ่นดินเบื้องล่างก่อนแล้ว และพระองค์ผู้เสด็จลงไปก็เป็นองค์เดียว คลาเรต์ กับผูเ้ สด็จขึน้ ไปเหนือสวรรค์ทกุ ชัน้ เพือ่ จะทรงครอบครองทุกสิง่ อย่างสมบูรณ์ พระองค์ พระสังฆราช ประทานให้บางคนเป็นอัครสาวก บางคนเป็นประกาศก บางคนเป็นผูป้ ระกาศข่าวดี บาง สดด 122:1-2,3-5 คนเป็นผู้อภิบาลและอาจารย์ เพื่อเตรียมบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ไว้สำ�หรับงานรับใช้เสริม สร้างพระกายของพระคริสตเจ้า จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันใน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ความเชื่อและในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า เป็นผู้ใหญ่เต็มที่ตามมาตรฐานความ สมบูรณ์ของพระคริสตเจ้า เราจะได้ไม่เป็นเหมือนเด็ก ถูกคลื่นลมซัดโคลงเคลงล่องลอยไปตามกระแส คำ�สัง่ สอนทุกอย่างทีเ่ กิดจากเล่หก์ ลของมนุษย์ดว้ ยอุบายชาญฉลาดทีค่ อยหลอกลวงให้หลงผิดอีกต่อไป แต่ ให้เราดำ�เนินชีวิตในความจริงด้วยความรัก เจริญเติบโตขึ้นจนบรรลุถึงความสมบูรณ์ในพระคริสตเจ้าผู้ทรง เป็นพระเศียร พระองค์ทรงทำ�ให้ร่างกายทุกส่วนประสานสัมพันธ์กันอย่างสนิทแน่นแฟ้น ทรงจัดให้ข้อต่อ ทุกข้อเสริมกำ�ลังให้แต่ละส่วนทำ�หน้าที่ของตน ร่างกายจึงเจริญเติบโตและเสริมสร้างตนเองอย่างสมบูรณ์ ขึ้นด้วยความรัก พระวรสาร ลก 13:1-9 ในเวลานั้น คนบางคนเข้ามาทูลพระเยซูเจ้าถึงเรื่องชาวกาลิลีซึ่งถูกปีลาตสั่งประหารชีวิตในขณะที่เขา กำ�ลังถวายเครือ่ งบูชา พระองค์จงึ ตรัสตอบเขาว่า “ท่านคิดว่าชาวกาลิลเี หล่านีเ้ ป็นคนบาปมากกว่าชาวกาลิลี ทุกคนหรือ จึงต้องถูกฆ่าเช่นนี้ มิได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ทุกท่านจะพินาศ ไปเช่นกัน แล้วคนสิบแปดคนที่ถูกหอสิโลอัมพังทับเสียชีวิตเล่า ท่านคิดว่าคนเหล่านั้นมีความผิดมากกว่า คนอื่นทุกคนที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มหรือ มิได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่าถ้าท่านไม่กลับใจเปลี่ยนชีวิต ทุก ท่านจะพินาศไปเช่นเดียวกัน” พระเยซูเจ้าตรัสเป็นอุปมาเรื่องนี้ว่า “ชายผู้หนึ่งปลูกต้นมะเดื่อเทศต้นหนึ่งในสวนองุ่นของตน เขามา มองหาผลที่ต้นนั้น แต่ไม่พบ จึงพูดกับคนสวนว่า ‘ดูซิ สามปีแล้วที่ฉันมองหาผลจากมะเดื่อเทศต้นนี้แต่ไม่ พบ จงโค่นมันเสียเถิด เสียทีเ่ ปล่าๆ’ แต่คนสวนตอบว่า ‘นายครับ ปล่อยมันไว้อกี สักปีหนึง่ เถิด ผมจะพรวน ดินรอบต้น ใส่ปุ๋ย ดูซิว่าปีหน้ามันจะออกผลหรือไม่ ถ้าไม่ออกผล ท่านจะโค่นทิ้งเสียก็ได้’” พระเยซูเจ้าทรงใช้สองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ของชาวยิว ทรงสอนกลุ่มชนที่ ติดตามพระองค์ว่า ความพินาศของพวกเขาจะเกิดขึ้นเช่นบุคคลเหล่านั้น หากไม่กลับใจ ปรับปรุงเปลี่ยน ชีวิตตนเองให้ดีขึ้น เพราะการดำ�เนินชีวิตในบาปก็คือการเดินบนทางที่นำ�ไปสู่ความพินาศ เพื่อให้เห็นภาพ แห่งความเมตตาของพระเจ้า พระเยซูเจ้าทรงเล่าเรื่องเปรียบเทียบชีวิตที่ตกในบาปว่าเหมือนกับต้นไม้ที่ไม่ ออกผล ซึ่งได้รับโอกาสอีกครั้งหนึ่งให้ปรับปรุงตนเอง ให้พระวาจาของพระเจ้าที่ท้าทายเราในวันนี้เตือนใจ เราให้ออกจากตัวเอง เปิดใจเราสู่ความเชื่อในความจริงแห่งความเมตตากรุณาและความรักของพระเจ้า
สัปดาห์ที่ 30 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านจากหนังสืออพยพ อพย 22:20-26 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ท่านจะต้องไม่ข่มเหงหรือรังแกคนต่างชาติ เพราะ ท่านทัง้ หลายก็เคยเป็นคนต่างชาติในแผ่นดินอียปิ ต์ ท่านจะต้องไม่ขม่ เหงหญิงม่ายหรือ ลูกกำ�พร้า ถ้าท่านข่มเหงเขา เขาจะร้องขอความช่วยเหลือจากเรา เราจะฟังเสียงร้องขอ ของเขาอย่างแน่นอน เราจะโกรธมาก และจะฆ่าท่านในสงคราม ภรรยาของท่านจะต้อง เป็นม่าย และลูกของท่านจะเป็นกำ�พร้า ถ้าท่านให้ประชากรยากจนคนใดคนหนึ่งของ เราซึ่งอาศัยอยู่กับท่านขอยืมเงิน ท่านจะต้องไม่ทำ�เหมือนคนออกเงินกู้ที่เรียกร้องให้ เขาเสียดอกเบี้ย ถ้าท่านยึดเสือ้ คลุมของเพือ่ นไว้เป็นประกัน ท่านจะต้องคืนให้เขาก่อนตะวันตกดิน เพราะเสื้อคลุมเป็นผ้าห่มกายผืนเดียวที่เขามี เขาจะใช้สิ่งใดป้องกันความหนาวเมื่อ นอน ถ้าเขาร้องขอความช่วยเหลือจากเรา เราก็จะฟังคำ�ร้องขอของเขา เพราะเราเป็น ผู้มีเมตตากรุณา เพลงสดุดี สดด 18:1-2ก,2ข-3,46,50 ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้ารักพระองค์ผู้ทรงเป็นพลังของข้าพเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นหลักศิลาและป้อมปราการของข้าพเจ้า ทรงเป็นผู้ช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น ข) ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าลี้ภัยมาพึ่งพระองค์ผู้ทรงเป็นหลักศิลาของข้าพเจ้า ทรงเป็นโล่กำ�บัง เป็นพลังแห่งความรอดพ้นของข้าพเจ้า ทรงเป็นที่มั่นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเรียกหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงคู่ควรแก่การยกย่องสรรเสริญ แล้วข้าพเจ้าก็จะรอดพ้นจากศัตรู ค) ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ ถวายพระพรแด่องค์พระผู้ทรงเป็นหลักศิลาของข้าพเจ้า ขอพระเจ้าผู้ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นได้รับการเทิดทูนอย่างสูงส่ง พระองค์ประทานชัยชนะยิ่งใหญ่แก่กษัตริย์ของพระองค์ ทรงสำ�แดงความรักมั่นคงต่อผู้รับเจิมของพระองค์แก่ดาวิด และเชื้อสายของเขาตลอดไป บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเธสะโลนิกาฉบับที่หนึ่ง 1 ธส 1:5ค-10 พี่น้อง ท่านทั้งหลายรู้ว่าเราปฏิบัติตนอย่างไรในหมู่ท่านเพื่อท่าน และท่านก็ได้ทำ� ตามอย่างเราและตามแบบฉบับขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า โดยท่านได้รบั พระวาจาด้วยความ ทุกข์ยากหลายประการ แต่ท่านก็ยังมีความปีติยินดีของพระจิตเจ้า ด้วยเหตุนี้ ท่านจึง เป็นแบบอย่างให้กับผู้มีความเชื่อทุกคนในแคว้นมาซิโดเนียและแคว้นอาคายา พระ
วาจาขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าดังก้องมาจากท่าน ไม่เพียงแต่ใน แคว้นมาซิโดเนียและแคว้นอาคายาเท่านั้น ความเชื่อของ ท่านในพระเจ้ายังเลื่องลือไปทั่วทุกหนทุกแห่ง จนเราไม่ จำ�เป็นต้องพูดอะไรอีก เพราะคนเหล่านั้นพูดถึงเรื่องราว เกีย่ วกับเราว่า เราได้เริม่ งานในหมูท่ า่ นอย่างไร และท่านกลับ ใจละทิ้งรูปเคารพมาสู่พระเจ้าอย่างไร เพื่อรับใช้พระเจ้า แท้จริงผูท้ รงชีวติ และรอคอยให้พระบุตรของพระองค์เสด็จ มาจากสวรรค์ คื อ พระเยซู เจ้ า ผู้ ท รงช่ ว ยเราให้ พ้ นจาก พระพิโรธที่จะมาถึง พระเยซูเจ้านี้ พระเจ้าทรงบันดาลให้ กลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 22:34-40 เมื่อชาวฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูเจ้าทรงทำ�ให้ชาวสะดูสีนิ่งอึ้งไป จึงมาชุมนุมพร้อมกัน มีคนหนึ่งเป็น บัณฑิตทางกฎหมายได้ทูลถามเพื่อจะจับผิดพระองค์ว่า “พระอาจารย์ บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกในธรรม บัญญัติ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน นี่คือบทบัญญัติเอกและเป็นบทบัญญัติแรก บทบัญญัติประการที่สองก็เช่นเดียวกัน คือท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ธรรมบัญญัติและคำ�สอนของบรรดาประกาศกก็ขึ้นอยู่กับ บทบัญญัติสองประการนี้” บทอ่านที่หนึ่งไม่ได้พูดถึง “ความรัก” แต่ก็บรรยายธรรมชาติที่แท้จริงของความรักได้อย่าง ทรงพลัง “ท่านจะต้องไม่ขม่ เหงหรือรังแกคนต่างชาติ...ท่านจะต้องไม่ขม่ เหงหญิงม่ายหรือลูกกำ�พร้า...” หรือ อีกนัยหนึ่งเราต้องปฏิบัติต่อคนตํ่าต้อย หรือผู้ถูกทอดทิ้งด้วยความเมตตาและสงสาร นี่คือความหมายของ คำ�ว่ารัก และคำ�ตอบสู่คำ�ถาม พระบัญญัติข้อใดสำ�คัญที่สุด พระเยซูเจ้าทรงสรุปบัญญัติแห่งความรัก “รัก องค์พระผู้เป็นเจ้า” และ “รักเพือ่ นมนุษย์” ความรักต่อพระเจ้ามาคู่กับความรักต่อเพื่อนมนุษย์ “ถ้าผู้ใดพูด ว่า ฉันรักพระเจ้า แต่เกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นย่อมเป็นคนพูดเท็จ” (1 ยน 4:20) บัญญัติแห่งความรัก จึงเป็นหัวใจของชีวิตคริสตชน ศิษย์พระคริสต์
สัปดาห์ที่ 30 เทศกาลธรรมดา สดด 1:1-6
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1 อฟ 4:32-5:8 พี่น้อง จงมีใจโอบอ้อมอารี มีเมตตาต่อกัน ให้อภัยกันดังที่พระเจ้าทรงให้อภัยแก่ ท่านในองค์พระคริสตเจ้าเถิด ท่านทัง้ หลายจงทำ�ตามแบบฉบับของพระเจ้า ประดุจบุตรสุดทีร่ กั ของพระองค์ จง ดำ�เนินชีวิตในความรักดังที่พระคริสตเจ้าทรงรักเราและทรงมอบพระองค์เพื่อเรา เป็น เครื่องบูชาที่มีกลิ่นหอมถวายแด่พระเจ้า ในหมู่ท่านทั้งหลาย อย่าให้มีการผิดประเวณี ความลามกโสมมต่างๆ หรือความ โลภ อย่าให้มีแม้แต่การพูดถึง จึงจะเป็นการเหมาะสมกับผู้ศักดิ์สิทธิ์ อย่าให้มีทั้งการ พู ด หยาบคาย พู ด ไร้ ส าระและตลกหยาบโลนซึ่งไม่เป็นการสมควร แต่ให้มีก าร ขอบพระคุณ ท่านทั้งหลายจงรู้ไว้เถิดว่า คนผิดประเวณี คนลามกโสมม และคนโลภซึ่งเป็น เสมือนคนนับถือรูปเคารพ ไม่ได้รับมรดกในพระอาณาจักรของพระคริสตเจ้าและของ พระเจ้าเลย อย่าให้ใครใช้คำ�พูดไร้สาระหลอกลวงท่าน ผู้ที่ไม่ยอมเชื่อฟังและทำ�ความ ผิดเหล่านีส้ มควรจะได้รบั โทษจากพระเจ้า จงอย่าสมาคมกับคนเหล่านีเ้ ลย ในอดีตท่าน เคยเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงดำ�เนินชีวิตเช่น บุตรแห่งความสว่างเถิด
พระวรสาร ลก 13:10-17 ขณะนั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนอยู่ในศาลาธรรมแห่งหนึ่งในวันสับบาโต สตรีคนหนึ่งถูกปีศาจสิง เจ็บป่วยมาสิบแปดปีแล้ว หลังค่อม ยืดตัวตรงไม่ได้เลย เมื่อพระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็น จึงทรงเรียกนาง เข้ามาและตรัสว่า “หญิงเอ๋ย เธอพ้นจากความพิการของเธอแล้ว” พระองค์ทรงปกพระหัตถ์เหนือนาง ทันใด นั้น นางก็ยืดตัวตรงและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า แต่หัวหน้าศาลาธรรมรู้สึกขัดเคืองที่พระเยซูเจ้าทรงรักษาโรคในวันสับบาโต จึงกล่าวแก่ประชาชนว่า “วันที่ทำ�งานได้มีถึงหกวัน จงมารับการรักษาโรคในวันเหล่านั้นเถิด อย่ามาในวันสับบาโตเลย” องค์พระผู้ เป็นเจ้าจึงตรัสตอบว่า “เจ้าคนหน้าซื่อใจคด เจ้าแต่ละคนมิได้แก้โคหรือลาจากรางหญ้า พาไปกินนํ้าใน วันสับบาโตดอกหรือ หญิงผูน้ เี้ ป็นบุตรหญิงของอับราฮัม ซึง่ ซาตานล่ามไว้เป็นเวลาสิบแปดปีแล้ว ไม่สมควร ทีจ่ ะถูกแก้จากพันธนาการนีใ้ นวันสับบาโตด้วยหรือ” เมือ่ พระองค์ตรัสดังนีแ้ ล้ว ผูต้ อ่ ต้านทุกคนของพระองค์ รู้สึกอับอาย ขณะที่ประชาชนต่างชื่นชมยินดีเมื่อเห็นการอัศจรรย์ทั้งหลายที่ทรงกระทำ� นักบุญลูกาเล่าเรื่องการเปิดฉากแบบไม่พลิกโผสำ�หรับศึก “วันสับบาโต” ในศาลาธรรมแห่ง หนึ่ง เรื่องมีว่าด้วยความรักและเมตตา พระเยซูเจ้าทรงรักษา “สตรีเจ็บป่วย...หลังค่อม ยืดตัวตรงไม่ได้” ใน วันสับบาโต วันศักดิ์สิทธิ์ วันห้ามทำ�งาน หัวหน้าศาลาธรรมและประชาชนบางคนได้แสดงออกถึงความ ขุน่ เคืองและลุกขึน้ ต่อต้าน แต่เรียกได้วา่ เรือ่ งราวในพระวรสารวันนีจ้ บลงแบบทีป่ ระทับใจสุดๆ เมือ่ พระเยซู เจ้าย้อนถามพวกเขาว่า “เจ้าแต่ละคนมิได้แก้โค...พาไปกินนํา้ ในวันสับบาโตดอกหรือ หญิงผูน้ เี้ ป็นบุตรหญิง ของอับราฮัม ...ไม่สมควรทีจ่ ะถูกแก้จากพันธนาการนีใ้ นวันสับบาโตด้วยหรือ”....ศิษย์พระคริสต์ไม่ลมื เจริญ ชีวิตแห่งความรัก และเมตตาธรรม
บทอ่านที่ 1 อฟ 5:21-33 พี่น้อง จงยอมอยู่ใต้อำ�นาจของกันและกันด้วยความเคารพยำ�เกรงพระคริสตเจ้า ภรรยาจงยอมอยู่ใต้อำ�นาจของสามี เหมือนยอมอยู่ใต้อำ�นาจขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะสามีเป็นศีรษะของภรรยา เหมือนพระคริสตเจ้าทรงเป็นศีรษะของพระศาสนจักร พระองค์ทรงเป็นผูช้ ว่ ยพระศาสนจักรซึง่ เป็นพระกายให้รอดพ้น พระศาสนจักรยอมอยู่ ใต้อำ�นาจของพระคริสตเจ้าฉันใด ภรรยาก็ตอ้ งยอมอยูใ่ ต้อำ�นาจของสามีทกุ เรือ่ งฉันนัน้ สามีก็จงรักภรรยาดังที่พระคริสตเจ้าทรงรักพระศาสนจักร และทรงพลีพระองค์ เพือ่ พระศาสนจักร ทรงบันดาลให้พระศาสนจักรศักดิส์ ทิ ธิ์ ทรงใช้นาํ้ และพระวาจาชำ�ระ พระศาสนจักรให้บริสุทธิ์ พระองค์จะได้ทรงพบว่าพระศาสนจักรนั้นรุ่งโรจน์ ศักดิ์สิทธิ์ ปราศจากมลทิน ปราศจากตำ�หนิริ้วรอยหรือสิ่งใดๆ ในลักษณะดังกล่าว เช่นเดียวกัน สามีตอ้ งรักภรรยาเหมือนรักกายของตน ผูท้ รี่ กั ภรรยาก็รกั ตนเอง เพราะไม่มใี ครเกลียด ชังเนื้อหนังของตน แต่ย่อมเลี้ยงดูและทะนุถนอมอย่างดียิ่ง พระคริสตเจ้าทรงกระทำ� เช่นเดียวกันกับพระศาสนจักร เพราะเราเป็นส่วนแห่งพระกายของพระองค์ พระคัมภีร์ กล่าวว่า “เพราะเหตุนี้ ชายจะละบิดามารดาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และทั้งสองจะเป็น เนื้อเดียวกัน” ธรรมลํ้าลึกประการนี้ยิ่งใหญ่นัก ข้าพเจ้าหมายถึงพระคริสตเจ้ากับ พระศาสนจักร ดังนั้น แต่ละท่านจงรักภรรยาของตนเหมือนรักตนเอง และภรรยาก็จง เคารพยำ�เกรงสามี
สัปดาห์ที่ 30 เทศกาลธรรมดา สดด 128:1-2,3,4-5
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
พระวรสาร ลก 13:18-21 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสต่อไปว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนกับสิง่ ใด เรา จะเปรียบพระอาณาจักรกับสิ่งใด พระอาณาจักรก็เหมือนกับเมล็ดมัสตาร์ดซึ่งชายคน หนึ่งทิ้งไว้ในสวนของตน มันเติบโตขึ้นและกลายเป็นต้นไม้ จนกระทั่งบรรดานกใน อากาศมาทำ�รังอาศัยบนกิ่งได้” พระองค์ยังตรัสอีกว่า “เราจะเปรียบพระอาณาจักรของพระเจ้ากับสิ่งใด พระ อาณาจักรก็เหมือนกับเชื้อแป้งที่หญิงคนหนึ่งนำ�มาเคล้าผสมกับแป้งสามถัง จนแป้งฟู ขึ้นทั้งหมด” พระเยซูเจ้าทรงตั้งพระศาสนจักรเพื่อแผ่ขยายพระอาณาจักรให้เติบโต เป็นดังเมล็ดมัสตาร์ด ดังเชื้อแป้ง ผ่านการประกาศข่าวดี กฤษฎีกาสมัชชาใหญ่เขียนไว้ว่า กลุ่มเป้าหมายหลักของการประกาศ ข่าวดีคือ (1) “ผู้ที่ยังไม่รู้จักพระเยซูคริสตเจ้า” พวกเขามีสิทธิที่จะได้รับข่าวดี (2) “คริสตชนที่มาร่วมพบปะ เป็นประจำ�และผู้ที่มาชุมนุมกันในวันพระเจ้า” ต้องเอาใจใส่อภิบาลพวกเขา (3) “บุคคลที่ได้รับศีลล้างบาป แล้วแต่มิได้ดำ�เนินชีวิตตามพันธกิจของศีลล้างบาป” ต้องเร่งด่วนให้คนเหล่านี้ได้สัมผัสความรักและความ เมตตาของพระเจ้าผ่านทางศีลล้างบาป คริสตชนทุกคนต้องเป็นเสมือนเมล็ดมัสตาร์ดและเชื้อแป้งใน พระวรสารวันนี้
ฉลอง น.ซีโมน และ น.ยูดาห์ อัครสาวก สดด 19:1-2,3-4
บทอ่านที่ 1 อฟ 2:19-22 พี่น้อง ท่านจึงไม่เป็นคนต่างด้าวหรือผู้อาศัยอีกต่อไป แต่เป็นเพื่อนร่วมชาติกับ บรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า ถูกสร้างขึ้นเป็นอาคารโดยมี บรรดาอัครสาวกและประกาศกเป็นรากฐาน มีพระคริสตเยซูทรงเป็นศิลาหัวมุม พระ คริสตเจ้าทรงทำ�ให้อาคารทุกส่วนต่อกันสนิทเจริญขึ้นเป็นพระวิหารศักดิ์สิทธิ์เพื่อองค์ พระผูเ้ ป็นเจ้า ในพระคริสตเจ้า ท่านทัง้ หลายก็เช่นเดียวกันกำ�ลังถูกก่อสร้างร่วมกันขึน้ เป็นที่ประทับของพระเจ้าเดชะพระจิตเจ้า พระวรสาร ลก 6:12-19 ครั้งนั้น พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนาและทรงอธิษฐาน ภาวนาต่อพระเจ้าตลอดทัง้ คืน ครัน้ รุง่ เช้า พระองค์ทรงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามาแล้วทรง คัดเลือกไว้สิบสองคน ประทานนามว่า “อัครสาวก” คือซีโมน ซึ่งเรียกว่าเปโตร อันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบ ยอห์น ฟีลิป บาร์โธโลมิว มัทธิว โธมัส ยากอบบุตร อัลเฟอัส ซีโมนผู้มีสมญาว่า “ผู้รักชาติ” ยูดาสบุตรของยากอบ และยูดาสอิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้จะเป็นผู้ทรยศ พระเยซูเจ้าเสด็จลงมาจากภูเขาพร้อมกับบรรดาศิษย์และทรงหยุดอยู่ ณ ที่ราบ แห่งหนึ่ง ที่นั่นมีศิษย์กลุ่มใหญ่และประชาชนจำ�นวนมากจากทั่วแคว้นยูเดีย จากกรุง เยรูซาเล็ม จากเมืองไทระ และจากเมืองไซดอนซึ่งอยู่ริมทะเลมาฟังพระองค์ และรับ การรักษาให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บของตน บรรดาผู้ที่ถูกปีศาจรบกวนได้รับการรักษา ด้วย ประชาชนทุกคนพยายามสัมผัสพระองค์ เพราะมีพระอานุภาพออกจากพระองค์ รักษาทุกคนให้หาย ทุกคนที่เข้ามาหาพระเยซูเจ้า ไม่ว่าเขาจะเป็นคนจนหรือคนรวย เด็ก หรือผู้ใหญ่ คนโง่หรือคนฉลาด พระวรสารวันนี้บ่งบอกว่า ผู้เหน็ดเหนื่อยท้อแท้ หมด หวังกับชีวิต เพราะโรคภัยไข้เจ็บ เพราะถูกปีศาจรบกวน ทุกคนจะได้รับการต้อนรับ ดูแล และช่วยเหลือด้วยความรัก ความเมตตาและความสงสาร “พระองค์รักษาทุกคน ให้หาย” อีกครัง้ หนึง่ พระเยซูเจ้าสอนให้เรามีความเข้าใจทีถ่ กู ต้องว่า นีแ่ หละคือแนวทาง แสดงออกถึงความรักต่อเพื่อนมนุษย์ในชีวิตคริสตชน
บทอ่านที่ 1 อฟ 6:10-20 พี่นอ้ ง ท่านทั้งหลายจงเป็นผูเ้ ข้มแข็งในองค์พระผู้เป็นเจ้า จงตักตวงพลังจากพระ พลานุภาพของพระองค์ จงสวมใส่อาวุธครบชุดของพระเจ้า เพือ่ ท่านจะยืนหยัดต่อต้าน เล่ห์กลของปีศาจได้ เพราะเรามิได้ต่อสู้กับพลังมนุษย์ แต่ต่อสู้กับเทพนิกรเจ้า และ เทพนิกรอำ�นาจ ต่อสูก้ บั ผูป้ กครองพิภพแห่งความมืดมนนี้ ต่อสูก้ บั บรรดาจิตแห่งความ ชั่วร้ายที่อยู่บนท้องฟ้า เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงสวมใส่อาวุธครบชุดของพระเจ้า เพื่อจะต้านทานทุกสิ่งได้ในวันเลวร้าย และยืนหยัดอยู่ได้จนถึงที่สุด จงยืนหยัดมั่นคง จงคาดสะเอวด้วยความจริง จงสวมความชอบธรรมเป็น เสื้อเกราะ จงสวมความกระตือรือร้นที่จะประกาศข่าวดีแห่งสันติเป็นรองเท้า จงถือ ความเชื่อเป็นโล่ไว้เสมอ เพื่อใช้ดับธนูไฟของมาร จงใช้ความรอดพ้นเป็นเกราะป้องกันศีรษะ จงถือดาบของพระจิตเจ้าคือพระวาจา ของพระเจ้าไว้ จงอธิษฐานภาวนาอยู่เสมอ ขอพระจิตเจ้าทรงดลใจคำ�อธิษฐานวอนขอ ต่างๆ ทุกโอกาส จงตืน่ เฝ้า อย่าท้อถอยทีจ่ ะวอนขอเพือ่ บรรดาผูศ้ กั ดิส์ ทิ ธิท์ งั้ หลายและ เพื่อข้าพเจ้าด้วย พระองค์จะได้ประทานถ้อยคำ�ให้ข้าพเจ้ามีโอกาสเปิดปากพูด และ ประกาศธรรมลํ้าลึกของข่าวดีได้อย่างองอาจ ข้าพเจ้าเป็นทูตที่ถูกจองจำ�เพราะข่าวดีนี้ ขอให้ข้าพเจ้ามีความกล้าหาญที่จะพูดอย่างเหมาะสมด้วยเถิด
สัปดาห์ที่ 30 เทศกาลธรรมดา สดด 114:1,2,9-11ก
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
พระวรสาร ลก 13:31-35 เวลานั้น ชาวฟาริสีบางคนเข้ามาทูลพระเยซูเจ้าว่า “ท่านจงเดินทางออกไปจากที่ นี่เถิด เพราะกษัตริย์เฮโรดต้องการจะฆ่าท่าน” พระองค์ตรัสตอบว่า “จงไปบอกเจ้า สุนัขจิ้งจอกตัวนั้นว่าเราขับไล่ปีศาจและรักษาโรค วันที่สาม เราจะบรรลุถึงเป้าหมาย แต่วันนี้ พรุ่งนี้ และมะรืนนี้ เราจะต้องเดินทางต่อไป เพราะประกาศกจะตายนอกกรุง เยรูซาเล็มไม่ได้ เยรูซาเล็มเอ๋ย เยรูซาเล็ม เจ้าฆ่าประกาศก เอาหินทุ่มผู้ที่พระเจ้าทรงส่งมาหาเจ้า กี่ครั้งกี่หนแล้วที่เราต้องการรวบรวมบุตรของเจ้าเหมือนดังแม่ไก่รวบรวมลูกไว้ใต้ปีก แต่เจ้าไม่ต้องการ บัดนี้ บ้านของท่านทั้งหลายจะต้องถูกทิ้งร้าง เราบอกท่านทั้งหลาย ว่า ท่านจะไม่เห็นเราอีกจนถึงเวลาที่ท่านจะกล่าวว่า ‘ขอถวายพระพรแด่ผู้ที่มาใน พระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า’” พระเยซูเจ้ากำ�ลังชี้ให้เราเห็นว่า ความกล้าหาญคือพลังของการประกาศข่าวดี พระองค์ไม่มี ความหวั่นกลัว ท้าทายแม้กระทั่งอำ�นาจของเฮโรด พระองค์ได้สอนบรรดาศิษย์ว่า “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่ กาย” บัดนี้เป็นโอกาสเหมาะที่พระองค์ได้แสดงให้พวกเขาเห็นว่า พระองค์ไม่กลัวอำ�นาจใดๆ แม้แต่อำ�นาจ ของผูป้ กครองประเทศ สำ�คัญกว่านัน้ ก็คอื ต้องประกาศข่าวดี ข่าวดีคอื พระเจ้าทรงรักพวกเขา บัดนีพ้ ระองค์ ทรงส่งองค์พระผู้ไถ่มาอยู่ท่ามกลางพวกเขาแล้ว พระองค์เป็นยิ่งกว่าประกาศก ให้เราภาวนาเพื่อความ กล้าหาญที่จะแสดงออกถึงความเป็นศิษย์พระคริสต์ในการดำ�เนินชีวิตประกาศข่าวดีใหม่ในแต่ละวัน
สัปดาห์ที่ 30 เทศกาลธรรมดา สดด 111:1-2,3-4,5-6
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1 ฟป 1:1-11 จากเปาโลและทิโมธี ผู้รับใช้พระคริสตเยซู ถึงผู้ศักดิ์สิทธิ์ในพระคริสตเยซูทุกคนซึ่งอยู่ที่เมืองฟิลิปปี รวมทั้งผู้ปกครองดูแล และสังฆานุกร ขอพระหรรษทานและสันติสขุ จากพระเจ้าพระบิดาของเรา และจากพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้า สถิตกับท่านทั้งหลายเถิด ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าของข้าพเจ้าทุกครั้งที่ระลึกถึงท่าน ในการอธิษฐาน ภาวนาทุกครั้งข้าพเจ้าวอนขอพระพรเพื่อทุกท่านอยู่เสมอด้วยความชื่นชม เพราะท่าน ทั้งหลายร่วมมือประกาศข่าวดีตั้งแต่วันแรก จนกระทั่งบัดนี้ ข้าพเจ้ามั่นใจว่าพระเจ้า ผู้ทรงเริ่มกิจการดีนี้ในท่านแล้ว จะทรงกระทำ�ต่อไปให้สำ�เร็จบริบูรณ์จนถึงวันของ พระคริสตเยซู ข้าพเจ้ารู้สึกเช่นนี้เกี่ยวกับท่านทั้งหลายก็เหมาะสมแล้ว เพราะข้าพเจ้า มีท่านอยู่ในใจ ท่านทั้งหลายได้รับส่วนในพระหรรษทานร่วมกับข้าพเจ้า ทั้งเมื่อข้าพเจ้า ถูกจองจำ� และเมือ่ ข้าพเจ้าทำ�งานปกป้องให้การประกาศข่าวดีมนั่ คงอยูไ่ ด้ พระเจ้าทรง เป็นพยานให้ข้าพเจ้าได้ว่า ข้าพเจ้ารักและเอ็นดูท่านเพียงใดในความรักของพระคริสต เยซู ข้าพเจ้าอธิษฐานภาวนาขอให้ความรักของท่านทวียิ่งขึ้น ทำ�ให้เกิดความรู้และ วิจารณญาณทุกเรือ่ ง ท่านจะแยกได้วา่ สิง่ ใดดีเยีย่ มจะได้เป็นผูบ้ ริสทุ ธิป์ ราศจากคำ�ตำ�หนิ จนถึงวันของพระคริสตเจ้า จะได้บริบูรณ์ด้วยผลแห่งความชอบธรรมซึ่งจะเกิดขึ้นโดย ทางพระเยซูคริสตเจ้า เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์และการสรรเสริญพระเจ้า พระวรสาร ลก 14:1-6 วันสับบาโตวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จไปเสวยพระกระยาหารที่บ้านของหัวหน้า ชาวฟาริสีผู้หนึ่ง ผู้ที่อยู่ที่นั่นต่างจ้องมองพระองค์ ขณะนั้นชายคนหนึ่งเป็นโรคบวม กำ�ลังอยู่เฉพาะพระพักตร์ พระเยซูเจ้าจึงตรัสถามบรรดานักกฎหมายและชาวฟาริสีว่า “อนุญาตให้รักษาโรคในวันสับบาโตหรือไม่” แต่คนเหล่านั้นนิ่งเงียบ พระองค์จึงทรง สัมผัสผู้ป่วย ทรงรักษาเขา แล้วให้กลับไป พระองค์ตรัสกับคนเหล่านั้นอีกว่า “ถ้าผู้ใด มีบุตรหรือมีโคตกลงไปในบ่อ จะไม่รีบฉุดขึ้นมาทันทีแม้เป็นวันสับบาโตหรือ” แต่คน เหล่านั้นตอบคำ�ถามนี้ไม่ได้
การยึดกฎบัญญัตขิ องชาวยิวเป็นหลัก พาให้จติ สำ�นึกของนักกฏหมายและชาวฟาริสอี อกห่าง จากความรัก ความเมตตา ความห่วงใย ความเห็นใจต่อเพื่อนมนุษย์ พวกเขาจึงเห็น “กฎ” เหนือความรัก และความเมตตา นักบุญลูกาเล่าว่าพวกเขา “ต่างจ้องมอง” หวังจับผิดพระองค์ พระเยซูเจ้าต้องการเปลี่ยน ทัศนคติและวิธคี ดิ ของพวกเขา เพือ่ พัฒนาแนวคิดในทางบวก พระองค์จงึ ทรงรักษาคนป่วย “โรคบวม” คน นั้น ทั้งๆ ที่เป็นวันสับบาโต พร้อมกับย้อนถามบรรดานักกฎหมายและชาวฟาริสีว่า “ถ้าผู้ใดมีบุตรหรือมีโค ตกลงไปในบ่อ จะไม่รีบฉุดขึ้นมาทันทีแม้เป็นวันสับบาโตหรือ”...ความรัก เมตตา และโอกาสหาได้ใน พระเยซูเจ้า
บทอ่านที่ 1 ฟป 1:18ข-26 พี่น้อง พระคริสตเจ้าก็ทรงได้รับการประกาศแล้ว เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงมีความ ยินดี และจะยินดีตอ่ ไป ข้าพเจ้ารูว้ า่ สิง่ นีจ้ ะทำ�ให้ขา้ พเจ้ารอดพ้น ด้วยคำ�อธิษฐานภาวนา ของท่านทั้งหลาย และด้วยความช่วยเหลือจากพระจิตของพระเยซูคริสตเจ้า ตามที่ ข้าพเจ้ามุง่ มัน่ รอคอยอย่างกระตือรือร้น และหวังว่าข้าพเจ้าจะไม่อบั อายเลย แต่จะพูด อย่างกล้าหาญว่า พระคริสตเจ้าจะทรงได้รับเกียรติในร่างกายของข้าพเจ้า ณ บัดนี้ เหมือนกับในอดีต ไม่ว่าข้าพเจ้าจะเป็นหรือตายก็ตาม ข้าพเจ้าคิดว่าการมีชีวิตอยู่ก็คือ พระคริสตเจ้า และการตายก็เป็นกำ�ไร หากการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้เป็นโอกาสให้ข้าพเจ้า ทำ�งานได้ผลแล้ว ข้าพเจ้าก็ไม่รวู้ า่ จะเลือกสิง่ ใดดี ข้าพเจ้ารูส้ กึ ลังเล คือปรารถนาจะพ้น จากชีวิตนี้ไปเพื่ออยู่กับพระคริสตเจ้า ซึ่งจะเป็นการดีกว่ามาก แต่การมีชีวิตอยู่ในโลก นี้ต่อไปก็จำ�เป็นอย่างยิ่งสำ�หรับท่านทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ามั่นใจเช่นนี้แล้วข้าพเจ้าก็รู้ว่า ข้าพเจ้าจะอยู่ต่อไปและอยู่เคียงข้างท่านทุกคน เพื่อช่วยให้ท่านก้าวหน้าและชื่นชมใน ความเชื่อ เพื่อท่านทั้งหลายจะได้ภูมิใจพระคริสตเยซูยิ่งขึ้น เพราะข้าพเจ้าได้กลับมา อยู่กับท่านอีกครั้งหนึ่ง พระวรสาร ลก 14:1,7-11 วันสับบาโตวันหนึง่ พระเยซูเจ้าเสด็จไปเสวยพระกระยาหารทีบ่ า้ นของหัวหน้าชาว ฟาริสีผู้หนึ่ง ผู้ที่อยู่ที่นั่นต่างจ้องมองพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงสังเกตเห็นผูร้ บั เชิญต่างเลือกทีน่ งั่ ทีม่ เี กียรติ จึงตรัสเป็นอุปมากับ เขาว่า “เมื่อมีใครเชิญท่านไปในงานมงคลสมรส อย่าไปนั่งในที่ที่มีเกียรติ เพราะถ้ามี คนสำ�คัญกว่าท่านได้รับเชิญมาด้วย เจ้าภาพที่เชิญท่านและเชิญเขาจะมาบอกท่านว่า ‘จงให้ที่นั่งแก่ผู้นี้เถิด’ แล้วท่านจะต้องอับอายไปนั่งที่สุดท้าย แต่เมื่อท่านได้รับเชิญ จง ไปนั่งในที่สุดท้ายเถิด เพื่อเจ้าภาพที่เชิญท่านจะมาบอกท่านว่า ‘เพื่อนเอ๋ย จงไปนั่งใน ที่ที่ดีกว่านี้เถิด’ แล้วท่านจะได้รับเกียรติต่อหน้าผู้ร่วมโต๊ะทั้งหลาย เพราะทุกคนที่ยก ตนขึ้นจะถูกกดให้ตํ่าลง แต่ทุกคนที่ถ่อมตนลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น” ทุกคำ�พูดที่เราประกาศ ทุกการกระทำ�ที่เราทำ� ทุกทางที่เราเดิน ถ้าเรา ทำ�ด้วยความเชื่อ ถ้าเราเดินโดยให้พระเยซูเจ้านำ�ย่างก้าวของเรา เราจะเดินในหนทาง ที่ถูกต้อง ในหนทางแห่งพระพร บนถนนที่มีแสงสว่างส่องทาง จากเรื่องราวในพระ วรสารประจำ�วันนี้ พระเยซูเจ้าทรงกำ�ชับผูต้ ดิ ตามพระองค์ไม่ให้เย่อหยิง่ แต่ให้มงุ่ กำ�จัด ความหยิ่งผยองจากใจของตน แล้วเติมความสุภาพถ่อมตนเข้าทดแทน “เพราะทุกคน ที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ตํ่าลง แต่ทุกคนที่ถ่อมตัวลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น” พระเยซูเจ้าตรัสสอนดังนี้เป็นบทเรียน
สัปดาห์ที่ 30 เทศกาลธรรมดา สดด 42:1,2,4
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2