ระลึกถึง น.ยุสติน มรณสักขี สดด 91:1-2,14-16
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านที่ 1 2 ปต 1:1-7 ซีโมนเปโตร ผู้รับใช้และอัครสาวกของพระเยซูคริสตเจ้า ถึงท่านทัง้ หลายผูไ้ ด้รบั ความเชือ่ ลํา้ ค่าเท่าเทียมกับความเชือ่ ซึง่ เราได้รบั จากความ เที่ยงธรรมของพระเยซูคริสต์พระเจ้าและพระผู้ไถ่ของเรา ขอพระหรรษทานและสันติจงมีแด่ท่านอย่างสมบูรณ์... พระคริสตเจ้าประทานทุกสิง่ ทีจ่ ำ�เป็นเพือ่ ให้เรามีชวี ติ อย่างเลือ่ มใสศรัทธา เพราะ เรารู้จักพระองค์ผู้ทรงเรียกเราอาศัยพระสิริรุ่งโรจน์ และพระฤทธานุภาพของพระองค์ พระองค์จึงประทานพระพรยิ่งใหญ่ลํ้าค่าให้เราตามที่ทรงสัญญาไว้... ดังนั้น ท่าน ทั้งหลาย จงพยายามทุกวิถีทางที่จะใช้คุณธรรมเพิ่มพูนความเชื่อของท่าน ใช้ความรู้ เพิ่มพูนคุณธรรม ใช้การรู้จักบังคับตนเพิ่มพูนความรู้ ใช้ความอดทนเพิ่มพูนการรู้จัก บังคับตน ใช้ความเลื่อมใสศรัทธาเพิ่มพูนความอดทน ใช้มิตรภาพฉันพี่น้องเพิ่มพูน ความเลื่อมใสศรัทธา ใช้ความรักเพิ่มพูนมิตรภาพฉันพี่น้อง
พระวรสาร มก 12:1-12 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสเรื่องอุปมาให้บรรดาผู้นำ�ชาวยิวฟังว่า “ชายคนหนึ่งปลูกองุ่นไว้สวนหนึ่ง ทำ� รั้วล้อม ขุดบ่อยํ่าผลองุ่น สร้างหอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมือง เมื่อถึงเวลากำ�หนด เขาก็ใช้ผู้รับใช้คนหนึ่งไปหาคนเช่าสวน เพื่อรับส่วนแบ่งจากผลผลิตของสวน แต่คนเช่าสวนจับผู้รับใช้คน นัน้ ทุบตี แล้วไล่กลับไปมือเปล่า เจ้าของสวนจึงส่งผู้รบั ใช้ไปอีกคนหนึง่ คนเช่าสวนตีหัวและด่าว่าผูร้ ับใช้คน นี้อย่างหยาบคาย เจ้าของสวนส่งผู้รับใช้ไปอีกคนหนึ่ง คนเช่าสวนก็ฆ่าเขา เจ้าของสวนยังส่งผู้รับใช้คนอื่น ไปอีกหลายคน ก็ถูกคนเช่าสวนทุบตีบ้าง ฆ่าเสียบ้าง เจ้าของสวนยังมีคนเหลืออยู่อีกคนหนึ่ง คือบุตรสุด ทีร่ กั เขาจึงส่งบุตรไปเป็นคนสุดท้าย โดยคิดว่า ‘พวกนัน้ คงจะเกรงใจลูกของเราบ้าง’ แต่คนเช่าสวนเหล่านัน้ พูดกันว่า ‘คนคนนีเ้ ป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเถิด มรดกจะได้ตกเป็นของเรา’ แล้วเขาก็จบั บุตรของเจ้าของสวน ฆ่า ทิ้งศพไว้นอกสวน เจ้าของสวนจะทำ�อย่างไร เขาจะมาทำ�ลายคนเช่าสวนเหล่านั้น แล้วยกสวนให้คนอื่น เช่า ท่านทั้งหลายไม่ได้อ่านพระคัมภีร์ตอนนี้หรือว่า ‘หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำ�เช่นนั้น เป็นที่น่าอัศจรรย์กับเรายิ่งนัก’” บรรดาผูน้ ำ�ชาวยิวพยายามจับกุมพระองค์ เพราะรูว้ า่ พระองค์ตรัสอุปมานีก้ ระทบถึงเขา แต่เขายังเกรง ประชาชนอยู่จึงผละจากพระองค์ไป หลายครั้ง เราคริสตชนตั้งคำ�ถามกับตัวเองว่า ทำ�ไมลูกของพระเป็นเจ้าถึงต้องเจอกับเรื่อง ร้ายๆ ทำ�ไมต้องป่วยด้วยโรคร้ายแรง ทำ�ไมต้องยากจน ทำ�ไมต้องพบเจอกับคู่สมรสที่ไม่ซื่อสัตย์ ทำ�ไมต้อง ถูกกลั่นแกล้งในที่ทำ�งาน และอื่นๆ อีกมากมาย เราไม่พบคำ�ตอบต่อคำ�ถามถึงเรื่องความทุกข์ทรมานที่เป็น รหัสธรรมนี้ แต่เราพบความจริงที่ว่า การประกาศข่าวดีด้วยการเผชิญหน้ากับข่าวร้ายในชีวิตอย่างซื่อสัตย์ ด้วยใจสุภาพและอดทนนัน้ เป็นอีกหนทางหนึง่ ทีเ่ ราสามารถเลียนแบบอย่างองค์พระเยซูเจ้าทีพ่ ระวรสารใน วันนีอ้ ปุ มาถึง เหมือนกับทีน่ กั บุญยุสตินได้เลียนแบบอย่างพระองค์ดว้ ยเช่นกันในการเผชิญหน้าและยอมรับ ความทุกข์ทรมานในชีวิต แม้กระทั่งความตาย ให้เราวิงวอนขอพระพรจากพระเป็นเจ้า ให้เราสามารถเป็น คริสตชนที่สามารถมีพระหรรษทานเพียงพอที่จะแบกกางเขนในชีวิตประจำ�วันของเรา
บทอ่านที่ 1 2 ปต 3:12-15ก,17-18 ท่านที่รักทั้งหลาย จงรอคอยวันของพระเจ้าและพยายามเร่งให้วันนั้นมาถึง ในวัน นั้นท้องฟ้าจะถูกไฟเผาผลาญ และโลกธาตุจะถูกไฟเผาละลายไป เรากำ�ลังรอคอยฟ้า ใหม่และแผ่นดินใหม่ ซึง่ เป็นทีอ่ ยูถ่ าวรของความชอบธรรมตามพระสัญญา ดังนัน้ ท่าน ที่รักทั้งหลาย ขณะที่ท่านกำ�ลังรอคอยเหตุการณ์เหล่านี้ จงพยายามให้พระเจ้าทรงพบ ท่านดำ�เนินชีวิตอย่างสันติปราศจากมลทินและไร้ข้อตำ�หนิ จงคิดเถิดว่า ความอดกลั้น ขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือความรอดพ้นของเรา ท่านที่รักทั้งหลาย เมื่อท่านรู้ล่วงหน้าเช่นนี้แล้ว จงระมัดระวังอย่าปล่อยตัวไป ตามความหลงผิดของคนอธรรม และสูญเสียความมัน่ คงของท่านไป จงเจริญขึน้ ในพระ หรรษทานและในความรู้จักพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ไถ่ของเรา ขอ พระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระองค์ทั้งในปัจจุบันและตลอดนิรันดร อาเมน พระวรสาร มก 12:13-17 ต่อมา เขาได้สง่ ชาวฟาริสแี ละคนบางคนทีเ่ ป็นผูน้ ยิ มกษัตริยเ์ ฮโรดมาพบพระเยซู เจ้า หมายจะจับผิดพระวาจาของพระองค์ คนเหล่านั้นทูลว่า “พระอาจารย์ พวกเรารู้ ว่า ท่านเป็นคนเที่ยงตรง ไม่ลำ�เอียง ท่านไม่เห็นแก่หน้าใคร แต่สั่งสอนวิถีทางของ พระเจ้าตามความจริง เป็นการถูกต้องหรือไม่ทจี่ ะเสียภาษีแก่ซซี าร์ เราต้องเสียภาษีหรือ ไม่ต้องเสียภาษี” พระองค์ทรงทราบความเจ้าเล่ห์ของเขา จึงตรัสว่า “มาทดสอบเรา ทำ�ไม เอาเงินเหรียญมาให้เราดูสักเหรียญหนึ่งซิ” เขาก็นำ�เงินเหรียญหนึ่งมาถวาย พระองค์จึงตรัสถามว่า “รูปและคำ�จารึกนี้เป็นของใคร” เขาก็ตอบว่า “เป็นของซีซาร์” พระองค์จงึ ตรัสว่า “ของของซีซาร์จงคืนให้ซซี าร์ และของของพระเจ้าก็จงคืนให้พระเจ้า คำ�ถามลวงของคนทีถ่ กู ส่งมาโดยชาวฟาริสแี ละผูท้ นี่ ยิ มกษัตริยเ์ ฮโรดนัน้ ทำ�ให้เราเข้าใจถึงความรักของพระเป็นเจ้าทีม่ ตี อ่ เรา คำ�ตอบของพระเยซูเจ้าทีว่ า่ “ของ ของซีซาร์จงคืนให้ซซี าร์ และของของพระเจ้าก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด” ทำ�ให้เราตระหนัก ในความจริงที่ว่า เราแต่ละคนถูกสร้างมาโดยมีภาพลักษณ์ของพระเจ้า และเราแต่ละ คนนั้นเป็นของพระองค์ นี่คือความจริงที่หลายๆ ครั้งเราลืมไป เราแต่ละคนเป็นของ พระเป็นเจ้า ดังนัน้ จงมีความรักในการดำ�เนินชีวติ ให้เหมาะสมกับการเป็นลูกของพระ จงมีความเชื่อเพียงพอเวลาพบเจอกับอุปสรรคว่า พระหรรษทานของพระจะมีให้กับ เราอย่างเพียงพอที่จะทำ�ให้เราผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปได้ และจงมีความหวังเสมอว่า สักวันเราแต่ละคนที่เป็นลูกของพระจะกลับไปหาพระองค์
น.มาร์แชลลิน และ น.เปโตร มรณสักขี สดด 90:2-4,10-11, 14 และ 16
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
ระลึกถึง น.ชาร์ล ลวงก้า และเพื่อนมรณสักขี สดด 123:1-2
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี
บทอ่านที่ 1 2 ทธ 1:1-3,6-12 จากเปาโล อัครสาวกของพระคริสตเยซูโดยพระประสงค์ของพระเจ้าตามพระ สัญญาที่จะประทานชีวิตให้เราในพระคริสตเยซู ถึงทิโมธีลูกรัก... ข้าพเจ้าจึงเตือนความจำ�ของท่านเพือ่ ให้พระพรพิเศษของพระเจ้าเป็นไฟทีร่ งุ่ โรจน์ ขึน้ อีก ท่านได้รบั พระพรนีโ้ ดยการปกมือของข้าพเจ้า พระเจ้าไม่ได้ประทานจิตทีบ่ นั ดาล ความขลาดกลัว แต่ประทานจิตทีบ่ นั ดาลความเข้มแข็ง ความรักและการควบคุมตนเอง แก่เรา ดังนัน้ ท่านอย่าอายทีจ่ ะเป็นพยานถึงองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของเรา หรืออายทีข่ า้ พเจ้า ต้องถูกจองจำ�เพราะพระองค์ แต่จงเข้ามามีสว่ นร่วมทนทุกข์ทรมานกับข้าพเจ้าเพือ่ ข่าวดี โดยพระอานุภาพของพระเจ้า ผู้ทรงช่วยเราให้รอดพ้น และทรงเรียกเราให้เป็นผู้ ศักดิส์ ทิ ธิ์ ไม่ใช่เพราะสิง่ ทีเ่ ราทำ� แต่เพราะพระประสงค์และพระหรรษทานของพระองค์ พระองค์ประทานพระหรรษทานนี้แก่เราแล้วในพระคริสตเยซูก่อนกาลเวลา แต่บัดนี้ ทรงเปิดเผยโดยการสำ�แดงพระองค์ของพระผูไ้ ถ่คอื พระคริสตเยซู ผูท้ รงทำ�ลายความ ตาย และทรงนำ�ชีวติ และความไม่รจู้ กั ตายให้ปรากฏอย่างชัดแจ้งโดยทางข่าวดี ข้าพเจ้า ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกาศ เป็นอัครสาวกและเป็นครู เพื่อประกาศข่าวดีนี้...
พระวรสาร มก 12:18-27 ต่อมา ชาวสะดูสีบางคนมาพบพระเยซูเจ้า คนเหล่านี้สอนว่าไม่มีการกลับคืนชีพ เขาทูลถามพระองค์ ว่า “พระอาจารย์ โมเสสเขียนสั่งไว้ว่า ถ้าพี่ชายตาย ทิ้งภรรยาไว้โดยไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายของเขารับเอา หญิงนั้นมาเป็นภรรยา เพื่อจะได้สืบสกุลของพี่ชาย ยังมีพี่น้องเจ็ดคน คนแรกมีภรรยาแล้วตายไปโดยไม่มี บุตร คนที่สองก็รับนางเป็นภรรยาแล้วตายไปโดยไม่มีบุตร คนที่สามก็เช่นเดียวกัน ทั้งเจ็ดคนไม่มีบุตรเลย ในที่สุดหญิงคนนั้นก็ตายไปด้วย เมื่อมนุษย์จะกลับคืนชีพในวันกลับคืนชีพ หญิงนั้นจะเป็นภรรยาของใคร เพราะทั้งเจ็ดคนต่างได้นางเป็นภรรยา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ท่านคิดผิดไปแล้วมิใช่หรือ ท่านไม่เข้าใจพระคัมภีรแ์ ละไม่รจู้ กั พระอานุภาพของ พระเจ้า เมือ่ ผูต้ ายจะกลับคืนชีพนัน้ จะไม่มกี ารแต่งงานเป็นสามีภรรยากันอีก แต่เขาจะเป็นเหมือนทูตสวรรค์ ส่วนเรื่องผู้ตายกลับคืนชีพนั้น ท่านไม่ได้อ่านหนังสือของโมเสสตอนที่กล่าวถึงพุ่มไม้หรือว่าพระเจ้าตรัสกับ เขาอย่างไร พระองค์ตรัสว่า ‘เราคือพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัคและพระเจ้าของยาโคบ’ พระองค์ มิใช่พระเจ้าของผู้ตาย แต่เป็นพระเจ้าของผู้เป็น ท่านคิดผิดไปมากทีเดียว” ในปี ค.ศ. 1886-1887 ที่ประเทศอูกันดา ทวีปแอฟริกา น.ชาร์ลส์ ลวงก้า และอีกหลายๆ คน ได้ถูกคำ�สั่งของกษัตริย์มวังกาจับบุคคลที่เชื่อในพระเยซูคริสตเจ้าทรมาน ท่านและคนอื่นๆ ถูกทรมานก่อน ที่จะถูกเผาให้ตาย ที่น่าสังเกตคือ บุคคลต่างๆ เหล่านี้ ไม่ได้มีเฉพาะพระสงฆ์หรือนักบวช แต่เป็นฆราวาสที่ ยังอยูใ่ นวัยหนุม่ สาว เป็นวัยทีย่ งั มีอนาคต เป็นวัยทีย่ งั มีความหวัง แต่อนาคตและความหวังของบรรดานักบุญ มรณสักขีเหล่านี้ ไม่ได้หยุดอยู่ที่ในโลกนี้ แต่เป็นอนาคตและความหวังที่อยู่ในความรักของพระในโลกหน้า ในโอกาสที่เราระลึกถึงบรรดานักบุญมรณสักขีเหล่านี้ ขอให้เราภาวนาวิงวอนขอพระพรจากพระเป็นเจ้าให้ เราดำ�เนินชีวติ โดยมีเป้าหมายไม่ใช่เฉพาะในโลกนีเ้ ท่านัน้ แต่ในโลกหน้า ในเมืองสวรรค์ทเี่ ป็นบ้านแท้นริ นั ดร เป็นที่ที่บรรดาผู้ล่วงหลับจะกลับคืนชีพไปอยู่กับพระเจ้า
บทอ่านที่ 1 2 ทธ 2:8-15 พี่น้อง จงระลึกถึง “พระเยซูคริสตเจ้า ผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ ตาย ทรงสืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด” ตามข่าวดีที่ข้าพเจ้าประกาศ เพราะข่าวดีนี้ เอง ข้าพเจ้าจึงต้องทนทุกข์จนต้องถูกจองจำ�เหมือนเป็นอาชญากร แต่พระวาจาของ พระเจ้าจะถูกจองจำ�ไม่ได้ ดังนัน้ ข้าพเจ้าจึงทนทุกสิง่ เพือ่ เห็นแก่ผทู้ ไี่ ด้รบั เลือกสรร เพือ่ สัปดาห์ที่ 9 พวกเขาจะได้รบั ความรอดพ้นซึง่ อยูใ่ นพระคริสตเยซู พร้อมกับชีวติ ในสิรริ งุ่ โรจน์ตลอด เทศกาลธรรมดา นิรันดรด้วย ต่อไปนี้คือถ้อยคำ�ที่เชื่อถือได้ ถ้าเราตายพร้อมกับพระองค์ เราจะมีชีวิตอยู่กับ สดด 25:4-6,7,8-10 พระองค์ ถ้าเราอดทนมั่นคง เราย่อมจะครองราชย์พร้อมกับพระองค์ ถ้าเราปฏิเสธ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 พระองค์ พระองค์ยอ่ มจะทรงปฏิเสธเรา ถ้าเราไม่ซอื่ สัตย์ พระองค์กย็ งั ทรงซือ่ สัตย์ตอ่ ไป เพราะจะทรงปฏิเสธพระองค์ไม่ได้ จงเตือนทุกคนให้ระลึกถึงเรื่องนี้และจงกำ�ชับเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า อย่าโต้เถียงกันเรื่องถ้อยคำ� เพราะไม่มีประโยชน์ใดนอกจากความพินาศของผู้ฟัง ท่านจงขวนขวายที่จะแสดงตนว่าพระเจ้าทรงรับรอง ท่านแล้ว เป็นคนงานที่ไม่ต้องอายใคร เป็นผู้สั่งสอนพระวาจาแห่งความจริงอย่างถูกต้อง พระวรสาร มก 12:28-34 เวลานั้น ธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ได้ฟังการโต้เถียงเรื่องนี้ และเห็นว่าพระองค์ทรง ตอบได้ดี จึงทูลถามพระองค์ว่า “บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกกว่าบทบัญญัติข้ออื่นๆ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “บทบัญญัติเอกก็คือ อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของ เราทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านสุด จิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาและสุดกำ�ลังของท่าน บทบัญญัติประการที่สองก็คือ ท่านจะต้องรักเพื่อน มนุษย์เหมือนรักตนเอง ไม่มบี ทบัญญัตขิ อ้ ใดยิง่ ใหญ่กว่าบทบัญญัตสิ องประการนี”้ ธรรมาจารย์คนนัน้ ทูลว่า “พระอาจารย์ ท่านตอบได้ดี จริงทีเดียวทีท่ า่ นกล่าวว่า พระเจ้ามีแต่เพียงพระองค์เดียวและนอกจากพระองค์ แล้วไม่มพี ระเจ้าอืน่ เลย การจะรักพระองค์สดุ จิตใจ สุดความเข้าใจและสุดกำ�ลัง และรักเพือ่ นมนุษย์เหมือน รักตนเองนี้มีคุณค่ามากกว่าเครื่องเผาบูชา หรือเครื่องสักการบูชาใดๆ ทั้งสิ้น” พระเยซูเจ้าทรงเห็นว่าเขาพูดอย่างเฉลียวฉลาด จึงตรัสว่า “ท่านอยู่ไม่ไกลจากพระอาณาจักรของ พระเจ้า” หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าทูลถามพระองค์อีกเลย ท่ามกลางกฎข้อบังคับต่างๆ เป็นจำ�นวนพันข้อของชาวยิว มีการถกเถียงกันว่า กฎข้อใดสำ�คัญ ที่สุด อาจารย์สอนศาสนาหลายๆ คนก็ให้คำ�ตอบที่แตกต่างกัน บ้างก็ว่ากฎของการชำ�ระตนสำ�คัญกว่า บ้าง ก็ว่ากฎของการทำ�ทานสำ�คัญกว่า หลายๆ ครั้งเป็นเรื่องยากที่จะจำ�แนกว่าอะไรสำ�คัญกว่ากัน เพราะเราคิดว่า สิ่งนี้ก็ดี สิ่งนั้นก็ดี แต่พระ เยซูเจ้าทรงเป็นตัวอย่างสำ�หรับเราในวันนี้คือ ให้เราละทิ้งสิ่งที่ดี เพื่อสิ่งที่ดีที่สุด และสำ�หรับพระองค์ สิ่งที่ดี ทีส่ ดุ คือ การดำ�เนินชีวติ ด้วยความรักทีม่ ตี อ่ พระเจ้า และต่อเพือ่ นมนุษย์ ให้เราวิงวอนขอพระหรรษทานจาก พระเจ้า ได้โปรดประทานปรีชาญาณเพื่อให้เราสามารถแยกแยะและรู้ได้ว่า อะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดสำ�หรับชีวิต และวิญญาณของเรา
ระลึกถึง น.บอนีฟาส พระสังฆราช และมรณสักขี สดด 119:157,160,161, 165-166,167-168
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 วันศุกร์ต้นเดือน วันสิ่งแวดล้อมโลก
บทอ่านที่ 1 2 ทธ 3:10-17 ลูกรัก ท่านติดตามเรื่องของข้าพเจ้าอย่างใกล้ชิด รู้คำ�สอน ความประพฤติ ความ ตั้งใจ ความเชื่อ ความพากเพียร ความรัก ความอดทน การเบียดเบียน ความทุกข์เช่น ที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าที่เมืองอันทิโอก อิโคนิยุมและลิสตรา ท่านรู้เรื่องการเบียดเบียนที่ ข้าพเจ้าได้รับ และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นได้ทุกครั้ง ทุกคนที่ ต้องการดำ�เนินชีวิตด้วยความเคารพเลื่อมใสพระคริสตเยซู จะถูกเบียดเบียนอย่าง แน่นอน ส่วนคนชั่วและคนเจ้าเล่ห์จะยิ่งเลวร้ายลง ทั้งหลอกลวงคนอื่นและถูกหลอก ลวงด้วย จงมัน่ คงในคำ�สอนทีท่ า่ นได้เรียนและมีความเชือ่ มัน่ ท่านก็รวู้ า่ ท่านเรียนรูจ้ ากผูใ้ ด ตั้งแต่ยังเป็นเด็กท่านรู้จักพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งช่วยท่านให้มีความเฉลียวฉลาดเพื่อ รับความรอดพ้นโดยอาศัยความเชือ่ ในพระคริสตเยซู ทุกถ้อยคำ�ในพระคัมภีรไ์ ด้รบั การ ดลใจจากพระเจ้า และมีประโยชน์เพื่อสั่งสอน ว่ากล่าวตักเตือนให้ปรับปรุงแก้ไขและ อบรมให้ดำ�เนินชีวติ อย่างชอบธรรม คนของพระเจ้าจะได้เตรียมพร้อมและพร้อมสรรพ เพื่อกิจการดีทุกอย่าง พระวรสาร มก 12:35-37 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าทรงสัง่ สอนอยูใ่ นพระวิหาร ตรัสถามว่า “บรรดาธรรมาจารย์ พูดได้อย่างไรว่าพระคริสต์เป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิด เพราะกษัตริย์ดาวิดเอง เมื่อได้ รับการดลใจจากพระจิตเจ้า ได้ตรัสว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าว่า เชิญประทับนั่งเบื้องขวาของเรา จนกว่าเราจะทำ�ให้ศัตรูของท่าน อยู่ใต้เท้าของท่าน เมื่อกษัตริย์ดาวิดทรงเรียกพระคริสต์ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระคริสต์จะทรง เป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิดได้อย่างไร” ประชาชนจำ�นวนมากฟังพระองค์ด้วยความ พอใจ
นักบุญบอนีฟาสเกิดที่ประเทศอังกฤษ ในปี ค.ศ. 673 ท่านได้เข้าอารามคณะเบเนดิกต์ และ หลังจากนั้นท่านได้รับผิดชอบงานของคณะฯ ด้วยการสอนหนังสือ และด้วยบุคลิกของท่าน ท่านสามารถ ดึงดูดใจให้หลายๆ คนเข้ามาสนใจในคริสตศาสนา ในปี ค.ศ. 718 ท่านได้รับมอบหมายจากสมเด็จ พระสันตะปาปาเกรโกรี ที่ 2 ให้ประกาศพระวรสารทีป่ ระเทศเยอรมัน งานแพร่ธรรมของท่านดำ�เนินไปด้วย ดี พร้อมๆ กับการปองร้ายจากศัตรูทางความเชื่อ ในที่สุด ปี ค.ศ. 754 ท่านได้ถูกลอบฆ่าจากกลุ่มคนต่าง ศาสนา และนีค่ อื ตัวอย่างสำ�หรับเราคริสตชน เหมือนกับคำ�สอนทีน่ กั บุญเปาโลได้แนะนำ�ทิโมธีเกีย่ วกับความ ทุกข์และการเบียดเบียนว่า เป็นสิ่งที่ผู้เชื่อในพระเยซูคริสตเจ้าต้องเผชิญอย่างแน่นอน แต่ขอให้มีความเชื่อ และมั่นใจว่า พระหรรษทานของพระเจ้าจะมีอย่างเพียงพอเสมอ
บทอ่านที่ 1 2 ทธ 4:1-8 พี่น้อง ข้าพเจ้าขอกำ�ชับท่านเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเฉพาะพระพักตร์พระ คริสตเยซูผจู้ ะทรงพิพากษาทัง้ ผูเ้ ป็นและผูต้ าย โดยอ้างถึงการสำ�แดงพระองค์และพระ อาณาจักรของพระองค์ จงประกาศพระวาจา จงพร้อมสรรพทั้งเมื่อมีโอกาสและเมื่อ ไม่มีโอกาส จงว่ากล่าว จงตักเตือน จงให้กำ�ลังใจ โดยพรํ่าสอนด้วยความพากเพียร อย่างเต็มที่ จะถึงเวลาหนึ่งที่ผู้คนจะไม่ต้องการฟังคำ�สอนที่ถูกต้อง แต่จะแสวงหาผู้ สอนจำ�นวนมากมาอยู่ร่วมกัน เพื่อจะได้สอนสิ่งที่ตนอยากฟัง เขาจะไม่ยอมฟังความ จริง แต่จะเปลี่ยนไปฟังเทพนิยาย ส่วนท่านจงหนักแน่นมั่นคงในทุกกรณี จงอดทนต่อ ความทุกข์ยาก จงทำ�งานของผู้ประกาศข่าวดี จงปฏิบัติศาสนบริการให้สำ�เร็จ ชีวิตของข้าพเจ้ากำ�ลังจะถูกถวายเป็นเครื่องบูชาอยู่แล้ว ถึงเวลาแล้วที่ขา้ พเจ้าจะ ต้องจากไป ข้าพเจ้าต่อสูม้ าอย่างดี วิง่ มาถึงเส้นชัย และรักษาความเชือ่ ไว้แล้ว ยังเหลือ อยู่ก็เพียงมงกุฎแห่งความชอบธรรม ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพิพากษาอย่างเที่ยง ธรรมจะประทานให้ข้าพเจ้าในวันนั้น และไม่ใช่เพียงให้ข้าพเจ้าเท่านั้น แต่จะประทาน ให้ทุกคนที่มีความรักเฝ้ารอคอยการสำ�แดงพระองค์ด้วยเช่นเดียวกัน
น.นอร์เบิร์ต พระสังฆราช สดด 71:8-9,14-15, 16-18ก,22
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
พระวรสาร มก 12:38-44 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนขณะทีท่ รงสัง่ สอนว่า “จงระวังบรรดาธรรมาจารย์ทชี่ อบสวมเสือ้ ยาวเดินไปมา พอใจให้คนทั้งหลายคำ�นับตามลานสาธารณะ พอใจนั่งแถวหน้าในศาลาธรรม พอใจนั่งที่หัว โต๊ะในงานเลี้ยง คนพวกนี้กินบ้านของหญิงม่าย และอธิษฐานภาวนายืดยาวเพื่อให้คนมอง คนเหล่านี้จะ รับโทษหนักกว่าผู้อื่น” ขณะที่พระองค์ประทับนั่งตรงหน้าตู้ทาน ทอดพระเนตรเห็นประชาชนใส่เงินลงในตู้ทาน คนมั่งมีหลาย คนใส่เงินจำ�นวนมาก หญิงม่ายยากจนคนหนึง่ เข้ามา เอาเหรียญทองแดงสองเหรียญใส่ลงในตูท้ าน พระองค์ จึงทรงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามาตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า หญิงม่ายยากจนคนนี้ได้ทำ�ทาน มากกว่าทุกคนที่ได้ใส่เงินลงในตู้ทาน เพราะทุกคนเอาเงินที่เหลือใช้มาทำ�ทาน แต่หญิงคนนี้ขัดสนอยู่แล้ว ยังนำ�เงินทั้งหมด นำ�ทุกอย่างที่มีอยู่สำ�หรับเลี้ยงชีวิตมาทำ�ทาน” คุณแม่นักบุญเทเรซาแห่งกัลกัตตาเคยกล่าวไว้ว่า “เราไม่สามารถทำ�สิ่งที่ยิ่งใหญ่กันได้ทุกคน แต่เราสามารถทีจ่ ะทำ�สิง่ เล็กๆ ด้วยความรักทีย่ งิ่ ใหญ่” นีค่ อื จิตตารมณ์ทพี่ ระวรสารในวันนีบ้ อกกับเรา หญิง ม่ายยากจนทำ�สิ่งดีเล็กๆ ด้วยความรักที่ยิ่งใหญ่ และสิ่งนี้เป็นของถวายที่เป็นที่โปรดปรานของพระเป็นเจ้า ดังนั้น เราคริสตชน แม้เราจะเป็นเพียงแม่บ้านที่เลี้ยงดูลูกๆ เป็นพ่อบ้านที่ทำ�งานหนักเพื่อครอบครัว เป็น เด็กและเยาวชนทีต่ อ้ งเรียนหนังสือ เป็นผูส้ งู อายุ ผูป้ ว่ ย ทีไ่ ม่สามารถทำ�อะไรได้มาก ความรูเ้ กีย่ วกับพระเจ้า ก็ไม่ได้สูง แต่ไม่ได้หมายความว่า ต่อหน้าพระเป็นเจ้า เราจะไม่มีคุณค่า ขอเพียงแต่เราทำ�สิ่งต่างๆ ตามที่เรา ต้องรับผิดชอบด้วยความรัก ด้วยความซื่อสัตย์ และถวายสิ่งต่างๆ เหล่านั้นให้กับพระเป็นเจ้า แม้สิ่งที่เราทำ� ทั้งหมดจะดูเป็นเพียงเหรียญทองแดงสองเหรียญต่อหน้าคนอื่น แต่ให้เชื่อมั่นว่า ต่อหน้าพระเป็นเจ้า ของ ถวายที่เล็กน้อยแต่ยิ่งใหญ่นี่แหละ เป็นที่พอพระทัยพระองค์เสมอ
สมโภช พระตรีเอกภาพ
บทอ่านจากหนังสืออพยพ อพย 34:4ข-6,8-9 เช้าวันรุ่งขึ้นโมเสสขึ้นไปบนภูเขาซีนาย ถือศิลาสองแผ่นตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงบัญชา องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาในเมฆ ประทับอยู่กับโมเสสที่นั่น ทรงประกาศ พระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จผ่านไปข้างหน้าโมเสส ทรงประกาศว่า “เราเป็นองค์พระ ผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้เมตตาและกรุณา ไม่โกรธง่าย เปี่ยมด้วยความรักมั่นคง และความ ซื่อสัตย์” โมเสสรีบก้มกราบกับพืน้ ดินนมัสการพระองค์ เขาทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้ที่พระองค์โปรดปราน ขอพระองค์เสด็จไปกับข้าพเจ้าทั้งหลายเถิด ประชากรเหล่านีด้ อื้ ดึงก็จริงอยู่ แต่ขอพระองค์ทรงยกโทษความผิดและบาปของข้าพเจ้า ทั้งหลายด้วยเถิด ขอพระองค์ทรงรับข้าพเจ้าทั้งหลายไว้เป็นสมบัติของพระองค์ด้วย เถิด” เพลงสดุดี ดนล 3:52,53,54,55,56 ก) “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอถวายพระพรแด่พระองค์ สมควรแล้วที่พระองค์ทรงได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป ขอถวายพระพรแด่พระนามศักดิ์สิทธิ์และทรงเกียรติของพระองค์ สมควรแล้วที่พระนามจะได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป ข) ขอถวายพระพรแด่พระองค์ในพระวิหารแห่งพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ สมควรแล้วที่พระองค์ทรงได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป ค) ขอถวายพระพรแด่พระองค์ผู้ประทับบนพระบัลลังก์แห่งพระอาณาจักร ของพระองค์ สมควรแล้วที่พระองค์ทรงได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป ง) ขอถวายพระพรแด่พระองค์ผู้ทอดพระเนตรเห็นแม้กระทั่งในที่ลึก พระองค์ประทับบนพระบัลลังก์เหนือบรรดาเครูบ สมควรแล้วที่พระองค์ทรงได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป จ) ขอถวายพระพรแด่พระองค์ผู้ประทับเหนือแผ่นฟ้าในสวรรค์ สมควรแล้วที่พระองค์ทรงได้รับการยกย่องและสรรเสริญตลอดไป บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่สอง 2 คร 13:11-13 พี่น้องทั้งหลาย จงชื่นชมเถิด จงปรับปรุงตนให้ดีพร้อม จงให้กำ�ลังใจกัน จงเป็น นํ้าหนึ่งใจเดียวกัน จงดำ�เนินชีวิตอย่างสันติ แล้วพระเจ้าแห่งความรักและสันติจะสถิต กับท่าน
จงทักทายกันด้วยการจุมพิตศักดิ์สิทธิ์ ผู้ศักดิ์สิทธิ์ทุก คนฝากความคิดถึงท่าน ขอพระหรรษทานของพระเยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ขอความรักของพระเจ้าและความสนิทสัมพันธ์ของพระจิต เจ้า สถิตกับทุกท่านเทอญ
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 3:16-18 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสกับนิโคเดมัสว่า “พระเจ้าทรง รักโลกอย่างมากจึงประทานพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของ พระองค์ เพือ่ ทุกคนทีม่ คี วามเชือ่ ในพระบุตรจะไม่พนิ าศ แต่ จะมีชีวิตนิรันดร เพราะพระเจ้าทรงส่งพระบุตรมาในโลกนี้ มิใช่เพือ่ ตัดสินลงโทษโลก แต่เพือ่ โลกจะได้รบั ความรอดพ้น เดชะพระบุตรนั้น ผู้ที่มีความเชื่อในพระบุตรจะไม่ถูกตัดสินลงโทษ แต่ผู้ที่ไม่มีความเชื่อก็ถูกตัดสินลงโทษ อยู่แล้ว เพราะเขามิได้มีความเชื่อในพระนามของพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระเจ้า” โดยอาศัยความเชื่อ เราได้รับการเผยแสดงจากพระคัมภีร์ว่าพระตรีเอกภาพนั้นเป็นพระเจ้า แห่งความรัก พระบิดา พระบุตรและพระจิต เป็นสามพระบุคคลที่แตกต่างกันแต่เป็นหนึ่งเดียวกัน และนี่ คือตัวอย่างในการดำ�เนินชีวิตสำ�หรับเราคริสตชน โดยอาศัยความรักเป็นศูนย์กลาง เราสามารถที่จะมีความ แตกต่างกันได้ โดยที่ไม่ต้องมีความแตกแยก ถ้าชีวิตครอบครัว ชีวิตหมู่คณะนักบวช ชีวิตในสังคมต่างๆ เกิด ความไม่เข้าใจกันจนนำ�ไปสูค่ วามเกลียดชัง ทะเลาะเบาะแว้งกัน สาเหตุคงไม่ใช่เพราะว่า เรามีความแตกต่าง กัน แต่คงจะเป็นเพราะว่า เรายังรักกันไม่มากพอ เพราะถ้าเรารักกันมากเพียงพอ เหมือนอย่างที่พระ ตรีเอกภาพทรงเป็นองค์ความรักแล้วนั้น ความแตกต่างระหว่างบุคคล ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติ เชื้อชาติ ฐานะ การศึกษา ฯลฯ จะไม่ทำ�ให้เราแตกแยกกันเด็ดขาด
สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา สดด 121:1-2,3-5,6-8
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1 1 พกษ 17:1-6 ครั้งนั้น เอลียาห์ชาวทิชบีจากเมืองทิชบีในแคว้นกิเลอาด ทูลกษัตริย์อาคับว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าแห่งอิสราเอล ซึ่งข้าพเจ้ารับใช้ทรงพระชนม์อยู่ฉันใด จะไม่ มีนํ้าค้างหรือฝนตกในปีต่อๆ ไป จนกว่าข้าพเจ้าจะสั่งฉันนั้น” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาเอลียาห์ว่า “จงไปจากที่นี่ ไปทางทิศตะวันออก แล้ว ซ่อนตัวอยู่ใกล้ลำ�ธารเครีท ทางฟากตะวันออกของแม่นํ้าจอร์แดน ท่านจะดื่มนํ้าจาก ลำ�ธาร และเราจะสั่งนกกาให้นำ�อาหารไปให้ท่านที่นั่น” เอลียาห์ก็ไป และปฏิบัติตาม พระบัญชาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาไปอยู่ข้างลำ�ธารเครีท ทางฟากตะวันออกของ แม่นํ้าจอร์แดน นกกานำ�ขนมปังและเนื้อมาให้เขาเวลาเช้า และนำ�ขนมปังและเนื้อมา ให้เขาเวลาเย็น เขาดื่มนํ้าจากลำ�ธาร
พระวรสาร มธ 5:1-12 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นประชาชนจำ�นวนมาก จึงเสด็จขึ้นบนภูเขา เมื่อประทับแล้ว บรรดาศิษย์เข้ามาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์ทรงเริ่มตรัสสอนว่า “ผู้มีใจยากจน ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก ผู้หิวกระหายความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะอิ่ม ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า ผู้ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา ท่านทั้งหลายย่อมเป็นสุข เมื่อถูกดูหมิ่น ข่มเหงและใส่ร้ายต่างๆ นานาเพราะเรา จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบำ�เหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นนั้ ยิง่ ใหญ่นกั บรรดาประกาศกก่อนหน้าท่านก็เคยถูกเบียดเบียนเช่น เดียวกัน” บ่อยครั้ง งานของประกาศกเป็นงานที่ยาก ที่ไม่มีใครอยากจะทำ� เหมือนอย่างเรื่องราวที่เรา ได้ยินในวันนี้ ซึ่งเป็นการพบกันครั้งแรกของประกาศกเอลียาห์ที่ถูกส่งมาโดยพระเจ้าให้มาตักเตือนกษัตริย์ อาคับ ซึ่งเป็นกษัตริย์ของอาณาจักรทางเหนือของอิสราเอล กษัตริย์อาคับกระทำ�บาปผิดมากมายในสาย พระเนตรของพระเจ้า พระคัมภีรไ์ ด้กล่าวถึงกษัตริยอ์ งค์นวี้ า่ “พระองค์ได้กระทำ�บาปผิดต่อพระเจ้ามากกว่า บรรพบุรุษทั้งสิ้นของพระองค์” (1 พกษ 16:30) อย่างที่เราทราบ แม้งานของประกาศกเอลียาห์จะยาก ลำ�บากและเสี่ยงต่อชีวิต แต่ท่านก็ซื่อสัตย์ต่อภารกิจ และนี่คือตัวอย่างของเราแต่ละคนเช่นกัน ในฐานะที่ เราเป็นคริสตชน ไม่ว่าเราจะมีบทบาทเป็น พ่อ แม่ สามี ภรรยา ลูก เราต่างถูกเรียกร้องให้ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ของการเป็นคริสตชน แม้ว่า การกระทำ�ดังนี้จะนำ�มาซึ่งการถูกดูหมิ่น การถูกข่มเหงและใส่ร้ายต่างๆ แต่ขอ ให้เรามีความเชือ่ และความหวังไว้ใจในพระวาจาของพระเยซูเจ้าทีส่ ญ ั ญากับเราว่า “จงชืน่ ชมยินดีเถิด เพราะ บำ�เหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นัก บรรดาประกาศกก่อนหน้าท่านก็เคยถูกเบียดเบียนเช่น เดียวกัน”
บทอ่านที่ 1 1 พกษ 17:7-16 ต่อมาไม่นาน นํ้าในลำ�ธารก็แห้ง เพราะฝนไม่ตกบนแผ่นดิน องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เอลียาห์ว่า “จงออกเดินทางไปเมืองศาเรฟัทในเขต ไซดอนและจงอยู่ที่นั่น เราได้สั่งหญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นให้เลี้ยงดูท่าน” เขาจึงออกเดิน ทางไปเมืองศาเรฟัท เมื่อมาถึงประตูเมือง ก็พบหญิงม่ายคนหนึ่งกำ�ลังเก็บฟืนอยู่ เขา จึงเรียกนางสั่งว่า “จงนำ�นํ้าในเหยือกมาให้ฉันดื่มสักหน่อยเถิด” ขณะที่นางกำ�ลังเดิน ไปตักนํ้า เขาก็ตะโกนสั่งว่า “จงนำ�ขนมปังสักชิ้นหนึ่งมาให้ฉันด้วย” นางตอบว่า “ดิฉัน ขอสาบานอ้างถึงองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านผู้ทรงพระชนมชีพว่า ดิฉันไม่มี ขนมปังเลย มีแต่แป้งอยู่ในไหเพียงหนึ่งกำ�มือ และมีนํ้ามันมะกอกเทศนิดหน่อยใน เหยือก ดิฉันกำ�ลังเก็บฟืนสองสามท่อน จะกลับไปทำ�อาหารสำ�หรับดิฉันและลูกชาย เราจะกิน แล้วเราจะตาย” เอลียาห์บอกนางว่า “อย่ากลัวเลย ไปทำ�ตามที่เธอพูดเถิด แต่จงทำ�ขนมปังก้อนเล็กๆ นำ�มาให้ฉนั กินก่อน แล้วจึงค่อยทำ�สำ�หรับเธอและลูก เพราะ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ว่า “แป้งในไหจะไม่หมด นํ้ามันในเหยือกจะไม่แห้ง จนถึงวันที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงส่งฝนให้ตกบนแผ่นดิน” หญิงม่ายกลับไปทำ�ตามทีเ่ อลียาห์สงั่ เอลียาห์ หญิงม่ายและบุตรมีอาหารกินเป็น เวลาหลายวัน แป้งในไหไม่ขาด และนํ้ามันในเหยือกไม่แห้ง ตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสไว้โดยทางเอลียาห์
น.เอเฟรม สังฆานุกร และนักปราชญ์ สดด 4:1,2,3-4,6-7
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
พระวรสาร มธ 5:13-16 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านทั้งหลายเป็นเกลือดองแผ่นดิน ถ้าเกลือจืดไปแล้ว จะเอาอะไรมาทำ�ให้เค็ม ได้อีกเล่า เกลือนั้นย่อมไม่มีประโยชน์อะไร นอกจากจะถูกทิ้งให้คนเหยียบยํ่า” “ท่านทั้งหลายเป็นแสงสว่างส่องโลก เมืองที่ตั้งอยู่บนภูเขาจะไม่ถูกปิดบัง ไม่มีใครจุดตะเกียงแล้วเอา มาวางไว้ใต้ถัง แต่ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนในบ้าน ในทำ�นองเดียวกัน แสงสว่าง ของท่านต้องส่องแสงต่อหน้ามนุษย์ เพือ่ คนทัง้ หลายจะได้เห็นกิจการดีของท่าน และสรรเสริญพระบิดาของ ท่านผู้สถิตในสวรรค์” Jonh Henry Newman นักเทววิทยาที่สำ�คัญคนหนึ่งในปัจจุบัน ได้เขียนบทภาวนาที่ควรจะ เป็นบทภาวนาของเราแต่ละคนด้วย บทภาวนาสั้นๆ นี้มีใจความว่า “ข้าแต่พระเยซูเจ้า ขอพระองค์ได้ทรง ส่องสว่าง และประทับในตัวของข้าพเจ้า เพือ่ ทีว่ า่ ทุกคนทีข่ า้ พเจ้าได้พบ พวกเขาจะสามารถสัมผัสได้ถงึ การ ประทับอยู่ของพระองค์ในจิตวิญญาณของข้าพเจ้า” ซึ่งการจะกระทำ�อย่างนี้ได้นั้น เราต้องมีความพยายาม ในทุกๆ วัน ที่จะคิด พูด และกระทำ�ในแบบอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ� เพื่อว่า ใครก็ตามที่พบกับเรา จะ สามารถสัมผัสและเข้าใจได้ว่า พระเยซูเจ้านั้นพระองค์ทรงเป็นบุคคลเช่นไร
บทอ่านที่ 1 1 พกษ 18:20-39 กษัตริย์อาคับทรงส่งคนไปเรียกชาวอิสราเอลทุกคนและประกาศกมาที่ภูเขา คารเมล เอลียาห์เข้ามายืนต่อหน้าประชากรทั้งหลาย พูดว่า “ท่านทั้งหลายจะเหยียบ เรือสองแคมอยูอ่ กี นานเท่าใด ถ้าองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้า ก็จงติดตามพระองค์ เถิด แต่ถ้าพระบาอัลเป็นพระเจ้า ก็จงตามพระบาอัลไป” ประชาชนไม่ตอบว่ากระไร เอลียาห์จึงพูดกับประชาชนต่อไปว่า “...จงนำ�โคเพศผู้มาสองตัว ให้เขาเลือกตัวหนึ่ง สัปดาห์ที่ 10 ฆ่าแล้วตัดเป็นท่อนๆ วางบนกองฟืน แต่อย่าจุดไฟ ส่วนข้าพเจ้าก็จะเตรียมโคอีกตัว เทศกาลธรรมดา หนึ่ง วางบนกองฟืนและไม่จุดไฟ ท่านทั้งหลายจงเรียกพระนามพระเจ้าของท่าน ส่วน สดด 16:1-2,4-5,8,11 ข้าพเจ้าจะเรียกพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ใดทรงส่งไฟมา พระองค์นั้นทรง เป็นพระเจ้า” ประชากรทุกคนตอบว่า “เป็นข้อเสนอที่ดี” เอลียาห์พูดกับประกาศก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 ของพระบาอัลว่า “จงเลือกโคตัวหนึง่ และจัดเตรียมก่อน เพราะท่านมีหลายคนด้วยกัน จงเรียกพระนามพระเจ้าของท่าน แต่อย่าจุดไฟ” เขานำ�โคมาจัดเตรียม แล้วเรียกพระนามพระบาอัลตั้งแต่ เช้าจนถึงเที่ยงวัน...เที่ยงวันผ่านไป เขายังคงพูดพรํา่ อยูใ่ นภวังค์ตอ่ ไปจนถึงเวลาถวายเครือ่ งบูชา แต่ไม่มเี สียง ไม่มคี ำ�ตอบ ไม่มใี ครฟัง เอลียาห์จึงพูดกับประชากรทั้งหลายว่า “จงเข้ามาใกล้ข้าพเจ้าเถิด” ประชากรทุกคนเข้ามาใกล้เขา... ประกาศกเอลียาห์ก็เข้าไปใกล้พระแท่นบูชา ทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า... พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และอิสราเอล วันนี้โปรดทรงสำ�แดงให้เขาทั้งหลายรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าในหมู่ชาวอิสราเอล และ ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ทุกคนจะได้รู้ว่าข้าพเจ้าได้ทำ�สิ่งเหล่านี้ตามพระบัญชาของพระองค์...” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งไฟลงมาเผาเครื่องบูชา ฟืน หินและฝุ่นจนหมด ทำ�ให้นํ้าในร่องแห้งไปด้วย ประชากรทุกคนเห็นดังนัน้ ก็ซบหน้าลงจรดพืน้ ดิน ร้องว่า “องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงเป็นพระเจ้า องค์พระผูเ้ ป็น เจ้าทรงเป็นพระเจ้า” พระวรสาร มธ 5:17-19 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงอย่าคิดว่าเรามาเพือ่ ลบล้างธรรมบัญญัตหิ รือคำ�สอนของบรรดาประกาศก เรามิได้มาเพือ่ ลบล้าง แต่ มาเพื่อปรับปรุงให้สมบูรณ์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินยังไม่สูญสิ้นไป แม้แต่ ตัวอักษรหรือจุดเพียงจุดเดียวจะไม่ขาดหายไปจากธรรมบัญญัตจิ นกว่าทุกอย่างจะสำ�เร็จไป ดังนัน้ ผูใ้ ดละเมิด ธรรมบัญญัติเพียงข้อเดียว แม้เล็กน้อยที่สุดและสอนผู้อื่นให้ละเมิดด้วย จะได้ช่ือว่าเป็นผู้ตํ่าต้อยที่สุดใน อาณาจักรสวรรค์ ส่วนผู้ที่ปฏิบัติและสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติด้วย จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในอาณาจักรสวรรค์” จิตตารมณ์ของพระวรสารในวันนีต้ อ้ งการจะชีใ้ ห้เราเห็นความจริงอย่างหนึง่ ว่า หน้าทีข่ องการ เป็นคริสตชนนัน้ เราไม่ได้ด�ำ เนินชีวติ เฉพาะแต่ตวั ของเราเองอย่างเดียวเท่านัน้ แต่เรามีบทบาทต่อสังคมและ บุคคลอื่นๆ ด้วย บ่อยครั้ง เราจะได้ยินเหตุผลของบุคคลที่อยากจะทำ�อะไรตามใจตัวเองโดยไม่สนใจความ ถูกต้องทีม่ ตี อ่ คนอืน่ ว่า “ฉันจะทำ�อะไรก็ได้ ถ้าสิง่ นัน้ ไม่เบียดเบียนคนอืน่ ” “ฉันจะสูบบุหรีก่ ไ็ ด้เพราะฉันสูบ เฉพาะในบ้านของฉัน” “เวลาฉันป่วยหนักและมีความทุกข์ทรมาน ฉันอยากจะฆ่าตัวตายก็ได้ เพราะชีวิต เป็นของฉัน ฉันไม่ได้ไปทำ�ลายชีวิตคนอื่น” ฯลฯ แต่อย่าลืมว่า เรามีบทบาทที่เป็นตัวอย่างสำ�หรับบุคคลอื่น ในสังคมและในครอบครัวด้วย เพราะการมีอยูข่ องเรานัน้ มีความเกีย่ วเนือ่ งกันระหว่างตัวเราเองกับพระเป็น เจ้า และตัวของเราเองกับสังคมที่อยู่รอบตัวเราด้วย
บทอ่านที่ 1 กจ 11:21ข-26;13:1-3 เวลานั้น คนจำ�นวนมากเชื่อและกลับใจมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า บรรดาศิษย์ในพระศาสนจักรที่กรุงเยรูซาเล็มรู้ข่าวนี้ จึงส่งบารนาบัสไปยังเมือง อันทิโอก เมือ่ บารนาบัสมาถึงและเห็นผลแห่งพระหรรษทานของพระเจ้า ก็มคี วามชืน่ ชม จึงเตือนทุกคนให้มีจิตใจซื่อสัตย์มั่นคงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า บารนาบัสเป็นคนดี เปี่ยม ระลึกถึง ด้วยความเชื่อและพระจิตเจ้า จึงมีผู้คนจำ�นวนมากเข้ามาเป็นศิษย์ขององค์พระผู้เป็น น.บาร์ นาบัส เจ้า อัครสาวก บารนาบัสเดินทางไปที่เมืองทาร์ซัสเพื่อตามหาเซาโล เมื่อพบแล้ว ก็พามาที่เมือง อันทิโอก ทั้งสองคนอยู่ร่วมกันในพระศาสนจักรที่นั่นเป็นเวลาหนึ่งปีเต็ม สั่งสอนคน สดด 98:1,2,3,4,5-6 จำ�นวนมาก ที่เมืองอันทิโอกนี้เองบรรดาศิษย์ได้รับชื่อว่า “คริสตชน” เป็นครั้งแรก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 ในพระศาสนจักรที่เมืองอันทิโอก มีประกาศกและอาจารย์คือบารนาบัส สิเมโอน ที่เรียกกันว่าคนดำ� ลูสิอัสชาวไซรีน มานาเอนซึ่งได้รับการศึกษาอบรมมาด้วยกันกับ กษัตริย์เฮโรดอันทิปาสและเซาโล ขณะที่เขาร่วมพิธีนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าและจำ�ศีลอดอาหาร พระจิต เจ้าตรัสว่า “ท่านทัง้ หลายจงแยกบารนาบัสและเซาโลไว้ปฏิบตั ภิ ารกิจทีเ่ ราเรียกเขาให้มาปฏิบตั เิ ถิด” เมือ่ เขา จำ�ศีลอดอาหารและอธิษฐานภาวนาแล้ว จึงปกมือเหนือบารนาบัสและเซาโล แล้วส่งเขาทั้งสองคนออกไป พระวรสาร มธ 10:7-13 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับศิษย์ทั้งสิบสองคนว่า “จงไปประกาศว่าอาณาจักรสวรรค์ใกล้เข้ามาแล้ว จงรักษาคนเจ็บไข้ จงปลุกคนตายให้กลับคืนชีพ จง รักษาคนโรคเรื้อนให้สะอาด จงขับไล่ปีศาจให้ออกไป ท่านได้รับมาโดยไม่เสียค่าตอบแทนก็จงให้เขาโดยไม่ รับค่าตอบแทนด้วย อย่าหาเหรียญทอง เหรียญเงินหรือเหรียญทองแดงใส่ในไถ้ เมือ่ เดินทาง อย่ามียา่ ม อย่า มีเสื้อสองตัว อย่าสวมรองเท้า อย่าถือไม้เท้า เพราะคนงานย่อมมีสิทธิ์ได้รับอาหารอยู่แล้ว เมื่อท่านเข้าไปในเมืองหรือหมู่บ้าน จงดูว่าผู้ใดที่นั่นเป็นผู้เหมาะสมที่จะต้อนรับท่าน แล้วจงพักอยู่กับ เขาจนกว่าท่านจะจากไป เมือ่ ท่านเข้าไปในบ้านใดจงให้พรแก่บา้ นนัน้ ถ้าบ้านนัน้ สมควรได้รบั พร จงให้สนั ติสขุ ของท่านมาสู่บ้านนั้น ถ้าบ้านนั้นไม่สมควรได้รับพร จงให้สันติสุขกลับมาหาท่าน” นักบุญบาร์นาบัสเป็นชาวเลวีที่รํ่ารวย ชื่อเดิมของท่านคือ โยเซฟ ท่านคือบุคคลที่ในหนังสือ กิจการอัครสาวก (กจ 4:35-37) เล่าว่า เป็นคริสตชนรุ่นแรกที่ขายข้าวของทั้งหมด และเอามาวางแทบเท้า อัครสาวก เพื่อแจกจ่ายให้แก่ผู้ที่มีความต้องการมากกว่า และด้วยความใจกว้างนี้ ท่านจึงได้รับชื่อว่า “บาร์นาบัส” ซึ่งแปลว่า “บุตรแห่งการบรรเทา” เพราะเป็นผู้ที่คอยสนับสนุนช่วยเหลือคนยากจนและผู้ที่ ตกทุกข์ได้ยาก นอกจากนี้ ท่านยังเป็นญาติกับนักบุญมาระโก ผู้นิพนธ์พระวรสาร และตัวท่านเองเป็นผู้ ประกาศพระวรสารให้กับคนต่างศาสนา ท่านเคยร่วมงานกับนักบุญเปาโล ซึ่งเป็นลูกทูนหัวของท่าน (กจ 9:27, 11:25) ในการแพร่ธรรมไปยังที่ต่างๆ ด้วย ดังนั้น ในโอกาสที่เราระลึกถึงนักบุญบาร์นาบัส ให้เราขอบพระคุณพระเป็นเจ้าสำ�หรับตัวอย่างที่ดีของ ท่านในการเป็นบุคคลที่มีใจกว้าง ให้โดยไม่นึกเสียดาย ให้โดยไม่หวังผลตอบแทน และมีความพร้อมเสมอที่ จะเผชิญหน้ากับความลำ�บากในการประกาศข่าวดีด้วยชีวิตของท่าน
สัปดาห์ที่ 10 เทศกาลธรรมดา สดด 27:7-9,13-14
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1 1 พกษ 19:9ก,11-16 ที่นั่น เอลียาห์เข้าไปค้างคืนในถํ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงออกไปยืน อยู่บนภูเขาเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า” แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าก็เสด็จผ่านมา ทรงบันดาลให้เกิดลมพัดแรงกล้า ผ่าภูเขาทำ�ให้หินแตกออกเป็นเสี่ยงๆ เฉพาะ พระพักตร์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า แต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้ามิได้ประทับอยูใ่ นลมนัน้ เมือ่ ลมหยุด ก็เกิดแผ่นดินไหว แต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้ามิได้ประทับอยูใ่ นแผ่นดินไหว หลังจากแผ่นดิน ไหวก็เกิดไฟลุก แต่องค์พระผู้เป็นเจ้ามิได้ประทับอยู่ในไฟนั้น หลังจากไฟก็มีเสียง กระซิบเบาๆ เมือ่ เอลียาห์ได้ยนิ ก็เอาเสือ้ คลุมปิดหน้าไว้ ออกมายืนอยูท่ ปี่ ากถํา้ ได้ยนิ เสียงพูดกับเขาว่า “เอลียาห์ ท่านมาทำ�อะไรอยู่ที่นี่” เขาตอบว่า “ข้าพเจ้ามีความ กระตือรือร้นอย่างยิง่ ต่อองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าจอมจักรวาล เพราะชาวอิสราเอลได้ ละเมิ ด พั นธสั ญ ญาที่ ทำ�ไว้ กั บ พระองค์ ได้ รื้ อ พระแท่ น บู ช าของพระองค์ แ ละฆ่ า ประกาศกของพระองค์ มีแต่ขา้ พเจ้าเพียงผูเ้ ดียวเท่านัน้ ทีเ่ หลืออยู่ แล้วเขายังพยายาม จะฆ่าข้าพเจ้าด้วย” องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสั่งว่า “จงกลับไปทางที่ท่านมา ไปยังถิ่น ทุรกันดารใกล้กรุงดามัสกัส เมือ่ ไปถึงแล้วจงเจิมฮาซาเอลขึน้ เป็นกษัตริยแ์ ห่งอารัม แล้ว จงเจิมเยฮูบุตรของนิมซีขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอิสราเอล เจิมเอลีชาบุตรของชาฟัทชาว เมืองอาเบลเมโคลาห์ให้เป็นประกาศกสืบแทนท่าน
พระวรสาร มธ 5:27-32 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านได้ยินคำ�กล่าวที่ว่า อย่าล่วงประเวณี แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองหญิงด้วยความใคร่ ก็ได้ล่วงประเวณีกับนางในใจแล้ว ถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำ�บาป จงควักมันทิ้งเสีย เพราะเพียง แต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้ร่างกายทั้งหมดของท่านตกนรก ถ้ามือขวาของท่านเป็นเหตุให้ ท่านทำ�บาป จงตัดมันทิง้ เสีย เพราะเพียงแต่เสียอวัยวะส่วนเดียว ยังดีกว่าปล่อยให้รา่ งกายทัง้ หมดตกนรก” “มีคำ�กล่าวว่า ผู้ใดจะหย่ากับภรรยา ก็จงทำ�หนังสือหย่ามอบให้นาง แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้ ใดที่หย่ากับภรรยา ยกเว้นกรณีแต่งงานไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ก็เท่ากับทำ�ให้นางล่วงประเวณี และผู้ใดที่ แต่งงานกับหญิงที่ได้หย่าร้าง ก็ล่วงประเวณีด้วย” มาตรฐานคุณธรรมแบบคริสตชนทีพ่ ระเยซูเจ้าทรงสอนนัน้ ตัง้ อยูบ่ นพืน้ ฐานของความรัก เป็น ความรักที่เคารพในคุณค่าและศักดิ์ศรีของบุคคลอื่นๆ ในฐานะที่เขาก็เป็นลูกของพระและมีภาพลักษณ์ของ พระเป็นเจ้าเช่นกัน สังคมชาวยิวในอดีต สตรีมคี ณ ุ ค่าเพียงสิง่ ของ สามีสามารถทีจ่ ะหย่ากับภรรยาของตนเอง ได้ง่ายๆ เพียงเพราะว่าเธอทำ�อาหารไม่อร่อย และผู้หญิงที่ถูกฟ้องหย่าจะดำ�เนินชีวิตต่อไปอย่างไร ความรู้ ความสามารถก็ไม่มี เรื่องการหย่าร้าง หรือการล่วงประเวณีเป็นหนึ่งในตัวอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงยกมาเพื่อ สอนเราถึงความจริงที่ว่า เราไม่สามารถปฏิบัติกับบุคคลอื่นๆ เหมือนเขาเป็นวัตถุสิ่งของได้ พระเป็นเจ้าไม่ ทรงอนุญาตให้กระทำ�เช่นนัน้ แต่เราต้องปฏิบตั ติ อ่ กันและกันตามความเป็นจริงคือ แต่ละคนเป็นลูกของพระ มีภาพลักษณ์ของพระเจ้าปรากฏอยู่ในตัวตนของแต่ละคน
บทอ่านที่ 1 1 พกษ 19:19-21 เอลียาห์ออกจากที่นั่นไปพบเอลีชาบุตรของชาฟัท เขากำ�ลังไถนา ข้างหน้าเขามี โคสิบสองคู่ เขาไถนาอยู่กับคู่สุดท้าย เอลียาห์เดินผ่านเข้าไปใกล้ๆ ถอดเสื้อคลุมของ ตนห่มให้เอลีชา เอลีชาจึงละโคเหล่านั้นวิ่งตามเอลียาห์ไป พูดว่า “ขอให้ข้าพเจ้าไปจูบ ลาบิดามารดาก่อน แล้วข้าพเจ้าจะติดตามท่าน” เอลียาห์ตอบว่า “ไปเถิด แล้วจงกลับ มา ท่านเข้าใจแล้วว่าข้าพเจ้าทำ�อะไรให้ท่าน” เอลีชาก็กลับไปบ้าน ฆ่าโคคู่หนึ่ง ใช้แอก และคันไถเป็นฟืนปรุงเนื้อโคเป็นอาหาร แจกเนื้อให้ประชาชนกิน แล้วจึงออกเดินทาง ติดตามไปรับใช้เอลียาห์ พระวรสาร มธ 5:33-37 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านยังได้ยนิ คำ�กล่าวแก่คนโบราณว่า อย่าผิดคำ�สาบาน แต่จงทำ�ตามทีไ่ ด้สาบาน ไว้ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่าสาบานเลย อย่าอ้างถึงสวรรค์ เพราะเป็นที่ประทับของพระเจ้า อย่าอ้างถึงแผ่นดิน เพราะเป็นที่รองพระบาทของ พระองค์ อย่าอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็ม เพราะเป็นนครหลวงของพระมหากษัตริย์ อย่าอ้าง ถึงศีรษะของท่าน เพราะท่านไม่อาจเปลี่ยนผมสักเส้นให้เป็นดำ�เป็นขาวได้ ท่านจงพูด เพียงว่า ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ คำ�พูดที่มากไปกว่านั้นมาจากมารร้าย”
นักบุญอันตนแห่งปาดัวเกิดทีก่ รุงลิสบอน ประเทศโปรตุเกส ท่านได้เป็น สมาชิกคณะนักบวชฟรังซิสกัน ด้วยความสุภาพของท่าน ทำ�ให้พระเป็นเจ้าได้ประทาน พระพรให้ท่านมีความสามารถในด้านของการเทศน์สอน ในปี ค.ศ. 1224 ท่านได้รับ มอบหมายจากคณะฯ ให้รบั ผิดชอบสอนบรรดาผูร้ บั การอบรมของคณะฯ ท่านมีหนังสือ บทเพลงสดุดีที่ท่านจดคำ�อธิบายและสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการสอนไว้ เป็นหนังสือที่ มีคา่ มาก และเกิดเหตุการณ์ทนี่ วกชนของท่านได้ตดั สินใจออกจากคณะฯ และได้ขโมย หนังสือเล่มนั้นไปด้วย ท่านวิงวอนขอพระเป็นเจ้าได้โปรดให้ท่านได้พบเจอหนังสือนั้น หรือถ้ามีคนขโมยไป ขอให้ขโมยได้นำ�มาคืน ที่สุด ด้วยพระประสงค์ของพระเป็นเจ้า นวกชนคนนั้นได้นำ�หนังสือมาคืนท่าน และได้กลับมาเข้าคณะฯ อีกครั้งหนึ่งด้วย คริสตชนยกย่องให้ท่านเป็นองค์อุปถัมภ์สำ�หรับผู้ทำ�ของหาย แต่จากตัวอย่างนี้ สิ่งที่ ท่านได้คืนมา ไม่ใช่เพียงหนังสืออย่างเดียว แต่เป็นวิญญาณของคนที่ได้ทำ�ผิดบาปและ กลับใจ สิง่ นีน้ า่ จะเป็นตัวอย่างสำ�หรับเรา ให้เราวิงวอนขอพระเป็นเจ้าผ่านทางคำ�เสนอ ของนักบุญอันตนได้โปรดนำ�วิญญาณที่หายไปเพราะบาป หรือความผิดหลงต่างๆ ได้ กลับมา ขอนักบุญอันตนช่วยวิงวอนเพื่อเราแต่ละคนด้วย ให้เราคิดถึงวิญญาณที่หาย ไปมากกว่าที่จะคิดถึงสิ่งของที่หายไป
ระลึกถึง น.อันตนแห่งปาดัว พระสงฆ์ และนักปราชญ์ สดด 16:1-2,5-6, 7-8,9-10
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
สมโภช พระวรกาย และพระโลหิต ของพระคริสตเจ้า
บทอ่านจากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ ฉธบ 8:2-3, 14ข-16ก โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “จงระลึกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านทรง นำ�ท่านให้เดินทางผ่านถิ่นทุรกันดารตลอดเวลาสี่สิบปี ทรงให้ท่านพบอุปสรรค เพื่อ ทดสอบดูว่าจิตใจของท่านเป็นอย่างไร จะปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์หรือไม่ พระองค์ทรงทำ�ให้ทา่ นพบอุปสรรค ทรงปล่อยให้หวิ โหย แล้วประทานมานนาเป็นอาหาร เลี้ยงท่าน ซึ่งเป็นอาหารที่ทั้งท่านและบรรพบุรุษไม่เคยรู้จักมาก่อน เพื่อจะสอนท่านว่า มนุ ษ ย์ มิ ได้ มี ชี วิ ต อยู่ ด้ ว ยอาหารเท่ า นั้ น แต่ มี ชี วิ ต ด้ ว ยพระวาจาทุ ก คำ�ที่ อ อกจาก พระโอษฐ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า อย่ามีใจหยิง่ ผยองจนลืมองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน ผูท้ รงนำ�ท่านออกจาก แผ่นดินอียิปต์ที่ท่านเคยเป็นทาสอยู่นั้น พระองค์ผู้ทรงนำ�ท่านผ่านถิ่นทุรกันดารอัน อ้างว้างน่ากลัวนี้ ซึ่งเป็นที่อาศัยของงูพิษและแมงป่อง เป็นแผ่นดินแห้งแล้งไม่มีนํ้า พระองค์ทรงบันดาลให้นา้ํ ไหลจากหินแข็งให้ทา่ นดืม่ พระองค์ประทานมานนาเป็นอาหาร เลี้ยงท่าน อาหารนี้บรรพบุรุษของท่านไม่เคยรู้จัก” เพลงสดุดี สดด 147:12-14,15-17,19-20 ก) เยรูซาเล็มเอ๋ย จงถวายพระเกียรติแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด ศิโยนเอ๋ย จงสรรเสริญพระเจ้าของท่านเถิด เพราะพระองค์ทรงเสริมกำ�ลังแก่ดาลประตูเมืองของท่าน ทรงอวยพระพรบรรดาบุตรของท่านที่อยู่ภายใน ทรงบันดาลให้เขตแดนของท่านอยู่ในสันติ ประทานข้าวสาลีอย่างดีเยี่ยมเลี้ยงท่านจนอิ่ม ข) พระองค์ทรงส่งพระบัญชาไปทั่วแผ่นดิน พระวาจาวิ่งไปอย่างรวดเร็ว พระองค์ประทานหิมะประดุจขนแกะ และทรงโปรยนํ้าค้างแข็งประดุจขี้เถ้า พระองค์ทรงโยนลูกเห็บลงมาประดุจก้อนกรวด ผู้ใดจะทนความหนาวเย็นจากพระองค์ได้ ค) พระองค์ทรงประกาศพระวาจาแก่ยาโคบ ประทานข้อกำ�หนดและกฎเกณฑ์แก่อิสราเอล พระองค์มิได้ทรงกระทำ�ดังนี้กับชนชาติอื่นใด ไม่ทรงสอนกฎเกณฑ์ของพระองค์แก่เขาเลย บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 10:16-17 พีน่ อ้ ง ถ้วยถวายพระพร ซึง่ เราใช้ขอบพระคุณพระเจ้านัน้ มิได้ทำ�ให้เรามีสว่ นร่วม
ในพระโลหิตของพระคริสตเจ้าหรือ และปังที่เราบินั้น มิได้ ทำ�ให้เรามีส่วนร่วมในพระกายของพระคริสตเจ้าหรือ มีปัง ก้อนเดียว แม้ว่าจะมีหลายคนเราก็เป็นกายเดียวกัน เพราะ เราทุกคนมีส่วนร่วมกินปังก้อนเดียวกัน
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญยอห์น ยน 6:51-59 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนชาวยิวว่า “เรา เป็นปังทรงชีวติ ทีล่ งมาจากสวรรค์ ใครทีก่ นิ ปังนีจ้ ะมีชวี ติ อยู่ ตลอดไป และปังที่เราจะให้นี้ คือเนื้อของเรา เพื่อให้โลกมี ชีวิต” ชาวยิวจึงเถียงกันว่า “คนนี้เอาเนื้อของตนให้เรากินได้ อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า “ถ้าท่านไม่กนิ เนือ้ ของบุตรแห่งมนุษย์ และไม่ดื่มโลหิตของเขา ท่านจะไม่มีชีวิตในตนเอง ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็มีชีวิตนิรันดร เราจะทำ�ให้เขากลับคืนชีพในวันสุดท้าย เพราะเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราเป็นเครื่องดื่มแท้ ผู้ที่กินเนื้อของเรา และดื่มโลหิตของเรา ก็ดำ�รงอยู่ในเรา และเราก็ดำ�รงอยู่ในเขา พระบิดาผู้ทรงชีวิตทรงส่ง เรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดาฉันใด ผู้ที่กินเนื้อของเราจะมีชีวิตเพราะเราฉันนั้น นี่คือปังที่ลงมาจาก สวรรค์ ไม่เหมือนปังที่บรรดาบรรพบุรุษได้กิน แล้วยังตาย ผู้ที่กินปังนี้จะมีชีวิตอยู่ตลอดไป” พระองค์ตรัสเช่นนี้ขณะที่ทรงสอนในศาลาธรรมที่เมืองคาเปอรนาอุม พระเยซูเจ้าทรงเลือก “ปัง” และ “เหล้าองุ่น” เป็นเครื่องหมายแทน “กาย” และ “โลหิต” และทรง “มอบ” ให้กับเราแต่ละคนได้ “กิน” พระองค์ทรงเลือกภาพลักษณ์ของ “อาหาร” แทนความรัก ของพระองค์ เพราะอาหารในตัวมันเองไม่มีอะไร จนกระทั่งมันถูก “กิน” เข้าไป จึงทำ�ให้เกิดประโยชน์แก่ ผู้ที่กินอาหารนั้น และนี่คือพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงเป็นมนุษย์เพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อตนเอง และนี่คือสิ่งที่เรา ควรตระหนัก และพยายามเลียนแบบอย่างพระองค์คือ การดำ�เนินชีวิตในแต่ละวันนั้น เราพยายามกระทำ� สิ่งต่างๆ เพื่อความดีของผู้อื่นบ้างหรือไม่ ความรักแบบคริสตชนนำ�เราไปสู่การดำ�เนินชีวิต เสียสละตนเอง เพื่อความดีของบุคคลอื่นๆ หรือไม่
บทอ่านที่ 1 1 พกษ 21:1-16 ต่อมาไม่นาน นาโบทชาวยิสเรเอลมีสวนองุ่นที่เมืองยิสเรเอลใกล้พระราชวังของ กษัตริย์อาคับแห่งสะมาเรีย กษัตริย์อาคับตรัสแก่นาโบทว่า “จงยกสวนองุ่นของท่าน ให้เราทำ�เป็นสวนผักเถิด เพราะสวนนีอ้ ยูใ่ กล้วงั ของเรา เราจะให้สวนองุน่ ทีด่ กี ว่านีแ้ ทน หรือถ้าท่านยินดีขาย เราจะจ่ายเงินให้ตามราคา” นาโบททูลตอบกษัตริยอ์ าคับว่า “องค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงห้ามมิให้ข้าพเจ้ายกมรดกของบรรพบุรุษให้พระองค์” สัปดาห์ที่ 11 กษัตริย์อาคับเสด็จกลับพระราชวังด้วยพระทัยขุ่นเคืองและทรงพระพิโรธ ที่ เทศกาลธรรมดา นาโบทชาวยิสเรเอลทูลพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าจะไม่ยกมรดกของบรรพบุรุษให้แก่ สดด 5:1-2,3-4, พระองค์”... พระมเหสีเยเซเบลจึงทูลว่า “พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ปกครองอิสราเอล 5-6 เช่นนี้หรือ ขอทรงลุกขึ้นเสวยพระกระยาหารให้สบายพระทัยเถิด หม่อมฉันเองจะให้ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 สวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอลแก่พระองค์” พระนางทรงพระอักษรลงพระนามกษัตริย์อาคับ ประทับตราของพระองค์ ส่งไปถึงผู้อาวุโสและบุคคล สำ�คัญทีอ่ ยูใ่ นเมืองเดียวกับนาโบท พระนางทรงเขียนในลายพระหัตถ์วา่ “ท่านทัง้ หลายจงประกาศวันถือศีล อดอาหาร เรียกประชาชนมาชุมนุมกัน และให้นาโบทนั่งอยู่แถวหน้า แล้วจงหาอันธพาลสองคน ให้มานั่ง เผชิญหน้ากับนาโบทและกล่าวหาเขาว่า ‘ท่านสาปแช่งพระเจ้าและกษัตริย์’ แล้วท่านทั้งหลายจะนำ�เขาออก ไปนอกเมืองและเอาหินทุ่มเขาให้ตาย” คนในเมืองของนาโบท บรรดาผูอ้ าวุโสและบุคคลสำ�คัญทีอ่ าศัยอยูใ่ นเมืองปฏิบตั ติ ามรับสัง่ ของพระนาง เยเซเบลทีเ่ ขียนไว้ในลายพระหัตถ์ทพี่ ระนางทรงส่งไป... เมือ่ พระนางเยเซเบลทรงได้ยนิ ว่านาโบทถูกหินทุม่ ตายแล้ว ก็ทูลกษัตริย์อาคับว่า “ขอทรงลุกขึ้น เสด็จไปยึดครองสวนองุ่นที่นาโบทชาวยิสเรเอลเคยปฏิเสธ ไม่ยอมขายให้พระองค์ เพราะนาโบทไม่มีชีวิตอยู่อีกต่อไป เขาตายแล้ว” เมื่อกษัตริย์อาคับทรงได้ยินว่า นาโบทตายแล้ว พระองค์ก็เสด็จลงไปยังสวนองุ่นของนาโบทชาวยิสเรเอล เพื่อยึดครองสวนองุ่นนั้น พระวรสาร มธ 5:38-42 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านเคยได้ยินเขากล่าวว่า ‘ตาต่อตา ฟันต่อฟัน’ แต่เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่า อย่าโต้ตอบคนชั่ว ผู้ ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย ผู้ใดอยากฟ้องท่านที่ศาลเพื่อจะได้เสื้อยาวของท่าน ก็จง แถมเสือ้ คลุมให้เขาด้วย ผูใ้ ดจะเกณฑ์ให้ทา่ นเดินไปกับเขาหนึง่ หลัก จงไปกับเขาสองหลักเถิด ผูใ้ ดขออะไร จากท่าน ก็จงให้ อย่าหันหลังให้ผู้ที่มาขอยืมสิ่งใดจากท่าน” พระวรสารในวันนีเ้ ชิญชวนให้เรารำ�พึงเกีย่ วกับการให้แบบคริสตชน มีค�ำ กล่าวว่า “เราสามารถ ให้อะไรใครก็ได้ โดยที่เราไม่ต้องมีความรักต่อคนๆ นั้นเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ว่า เราไม่สามารถรักใคร โดยที่ ไม่ให้อะไรเลย” สิ่งนี้สะท้อนการให้แบบคริสตชนที่มีพื้นฐานมาจากความรัก การให้นี้ไม่จำ�กัดเฉพาะอยู่ท่ี การให้ทางวัตถุ เราสามารถให้รอยยิ้มกับคนที่มีความทุกข์ ให้คำ�ปรึกษากับคนที่กำ�ลังกลัดกลุ้มใจ ให้เวลา กับการมีอยู่ของเราเมื่อเราไปเยี่ยมให้กำ�ลังใจผู้ป่วย ผู้ที่ถูกทอดทิ้ง ให้คำ�พูดที่อ่อนโยนกับคนในครอบครัว ให้ค�ำ ภาวนากับบุคคลต่างๆ ทีต่ อ้ งการคำ�ภาวนาจากเรา และการกระทำ�ทัง้ หมดนีแ้ หละ ให้เรายกถวายเพือ่ เป็นเครื่องบูชาให้กับพระเป็นเจ้าในแต่ละวันของเรา เพราะชีวิตคริสตชนเราไม่ได้ถวายเครื่องบูชาเฉพาะใน วัดเท่านั้น แต่เราต้องถวายเครื่องบูชาในชีวิตประจำ�วันของเราด้วย
บทอ่านที่ 1 1 พกษ 21:17-29 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เอลียาห์ชาวทิชบีว่า “จงออกเดินทางลงไปเฝ้ากษัตริย์ อาคับแห่งอิสราเอลที่กรุงสะมาเรียเถิด เขากำ�ลังอยู่ในสวนองุ่นของนาโบท เขาลงไป ยึดครองสวนองุ่นนั้น ท่านจะต้องบอกเขาว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ท่านฆ่าคน และบัดนี้ท่านยังยึดสมบัติของเขาอีกหรือ ท่านจะต้องบอกเขาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้า ตรัสดังนี้ ณ ที่ซึ่งสุนัขเลียเลือดของนาโบท สุนัขจะเลียเลือดของท่านด้วย” กษัตริย์ สัปดาห์ที่ 11 อาคับตรัสกับเอลียาห์วา่ “คูป่ รับของเราเอ๋ย ท่านมาจับผิดเราใช่ไหม” เอลียาห์ทลู ตอบ เทศกาลธรรมดา ว่า “ใช่แล้ว เพราะพระองค์ทรงยอมปล่อยตัวทำ�สิ่งชั่วร้ายเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้ สดด 51:1-2,3-5, เป็นเจ้า” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจึงตรัสว่า “เราจะนำ�หายนะมาสูท่ า่ น เราจะทำ�ลายลูกหลาน 9,14 ของท่านให้หมดสิ้นไป และจะกวาดล้างชายทุกคนในตระกูลอาคับ ไม่ว่าจะเป็นทาส ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 หรือเป็นอิสระในอิสราเอล เราจะทำ�ให้ราชวงศ์ของท่านเป็นเหมือนราชวงศ์เยโรโบอัมบุตรของเนบัท และ เหมือนราชวงศ์บาอาชาบุตรของอาคิยาห์ เพราะท่านได้ย่ัวยุให้เราโกรธ และนำ�อิสราเอลให้ทำ�บาป” องค์ พระผูเ้ ป็นเจ้ายังตรัสเกีย่ วกับพระนางเยเซเบลด้วยว่า “สุนขั จะกินเนือ้ ของเยเซเบลในเมืองยิสเรเอล คนใน ตระกูลของอาคับซึ่งตายในเมือง สุนัขจะมากัดกิน ส่วนคนที่ตายในทุ่งนา นกในอากาศจะมาจิกกิน”... เมื่อกษัตริย์อาคับทรงได้ยินถ้อยคำ�เหล่านี้ พระองค์ทรงฉีกฉลองพระองค์ด้วยความทุกข์ ทรงสวมใส่ เสื้อผ้ากระสอบ ไม่ทรงยอมเสวยพระกระยาหาร บรรทมทั้งๆ ที่ยังฉลองพระองค์ด้วยผ้ากระสอบ ทรงพระ ดำ�เนินโดยก้มพระเศียรแสดงความทุกข์ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสถามเอลียาห์ชาวทิชบีว่า “ท่านสังเกตเห็น ไหมว่าอาคับถ่อมตนลงต่อหน้าเราอย่างไร เพราะเขาได้ถ่อมตนลงต่อหน้าเรา เราจะไม่นำ�หายนะมาในช่วง ชีวิตของเขา แต่จะนำ�หายนะมาสู่ราชวงศ์ในช่วงชีวิตบุตรของเขา” พระวรสาร มธ 5:43-48 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำ�กล่าวว่า จงรักเพื่อนบ้าน จงเกลียดศัตรู แต่เรากล่าวแก่ท่านว่า จงรักศัตรู จง อธิษฐานภาวนาให้ผู้ที่เบียดเบียนท่าน เพื่อท่านจะได้เป็นบุตรของพระบิดาเจ้าสวรรค์ พระองค์โปรดให้ดวง อาทิตย์ของพระองค์ขนึ้ เหนือคนดีและคนชัว่ โปรดให้ฝนตกเหนือคนชอบธรรมและคนอธรรม ถ้าท่านรักแต่ คนที่รักท่าน ท่านจะได้บำ�เหน็จรางวัลอะไรเล่า บรรดาคนเก็บภาษีมิได้ทำ�เช่นนี้ดอกหรือ ถ้าท่านทักทายแต่ พี่น้องของท่านเท่านั้น ท่านทำ�อะไรพิเศษเล่า คนต่างศาสนามิได้ทำ�เช่นนี้ดอกหรือ ฉะนั้น ท่านจงเป็นคนดี อย่างสมบูรณ์ ดังที่พระบิดาเจ้าสวรรค์ของท่าน ทรงความดีอย่างสมบูรณ์เถิด” เวลาทีเ่ ราหลงทางไป อาจเกิดจากคนทีเ่ ราใช้ชวี ติ อยูด่ ว้ ยมีอทิ ธิพลเหนือเรา มเหสีเยเซเบลนำ� เอาพระเท็จเทียมเข้ามาในแผ่นดินอิสราเอลและกษัตริยอ์ าคับก็ทรงอ่อนโอนไปไหว้พระเท็จเทียมตามมเหสี ทั้งๆ ที่ราชวงศ์กษัตริย์ดาวิดสืบต่อมาได้ก็เพราะพระยาห์เวห์ พระเจ้าเที่ยงแท้ทรงอุปถัมภ์คํ้าชู เมื่อเรา แต่งงานกับผูท้ ไี่ ม่ใช่คริสตชน เราจึงต้องหนักแน่นเป็นแบบอย่างยึดมัน่ ในความเชือ่ ต่อองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ผูท้ ี่ เราอยูด่ ว้ ยเขาจะมีความเชือ่ ศรัทธาก็ขนึ้ กับการเอาจริงเอาจังปฏิบตั ศิ าสนกิจของเรา หากเราไม่ศรัทธาไม่ไป วัดวันอาทิตย์ ไม่สวดภาวนา ไม่ปฏิบตั คิ วามรักต่อเพือ่ นพีน่ อ้ งในชีวติ จริง เขาก็ดถู กู ความเชือ่ ของเราและเอา ของเขามาใส่ทดแทนความเชื่อของเราในที่สุด
บทอ่านที่ 1 2 พกษ 2:1,6-14 เมื่อถึงเวลาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงบันดาลให้พายุหมุนหอบเอลียาห์ขึ้นไปบนฟ้า เอลียาห์และเอลีชาออกเดินทางจากเมืองกิลกาล เอลียาห์สงั่ เขาว่า “จงอยูท่ นี่ ี่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงส่งข้าพเจ้าไปทีแ่ ม่นาํ้ จอร์แดน” เอลีชาตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์และท่านมีชีวิตอยู่ฉันใด ข้าพเจ้าจะไม่ สัปดาห์ที่ 11 ยอมละทิ้งท่านฉันนั้น” เขาทั้งสองคนจึงออกเดินทางต่อไป... เทศกาลธรรมดา เอลียาห์ถามเอลีชาว่า “บอกมาเถิด ท่านต้องการให้ข้าพเจ้าทำ�อะไรให้ท่านก่อน สดด 31:19-20,23-24 ทีข่ า้ พเจ้าจะถูกรับตัวไป” เอลีชาตอบว่า “ขอให้ขา้ พเจ้าได้รบั จิตของท่านสองส่วนเถิด” เอลียาห์ตอบว่า “ท่านขอสิง่ ทีท่ ำ�ได้ยาก แต่ถา้ ท่านเห็นข้าพเจ้าเมือ่ จะถูกรับไปจากท่าน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ท่านก็จะได้รับตามที่ขอ ถ้าท่านไม่เห็น ท่านก็จะไม่ได้รับ” ขณะที่เขาทั้งสองคนกำ�ลัง เดินสนทนากันอยู่นั้น รถม้าเพลิงคันหนึ่งเทียมม้าเพลิงปรากฏขึ้น แยกคนทั้งสองออก จากกัน เอลียาห์ถูกยกขึ้นไปบนฟ้าในพายุหมุน เอลีชาเห็นปรากฏการณ์ ก็ร้องเรียกว่า “บิดาของข้าพเจ้า บิดาของข้าพเจ้า รถศึกและสารถีของอิสราเอล” แล้วเขาก็ไม่เห็นเอลียาห์อีก... พระวรสาร มธ 6:1-6,16-18 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงระวัง อย่าปฏิบัติศาสนกิจของท่านต่อหน้ามนุษย์เพื่อ อวดคนอื่น มิฉะนั้น ท่านจะไม่ได้รับบำ�เหน็จจากพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ดังนั้น เมื่อท่านให้ทาน จงอย่าเป่าแตรข้างหน้าท่านเหมือนทีบ่ รรดาคนหน้าซือ่ ใจคดมักทำ�ในศาลาธรรมและตามถนนเพือ่ จะได้รบั คำ� สรรเสริญจากมนุษย์ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เขาได้รับบำ�เหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่อให้ ทาน อย่าให้มือซ้ายของท่านรู้ว่ามือขวากำ�ลังทำ�สิ่งใด เพื่อทานของท่านจะได้เป็นทานที่ไม่เปิดเผย แล้วพระ บิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง จะประทานบำ�เหน็จให้ท่าน” “เมือ่ ท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าเป็นเหมือนบรรดาคนหน้าซือ่ ใจคด เขาชอบยืนอธิษฐานภาวนาในศาลา ธรรม และตามมุมลานเพือ่ ให้ใครๆ เห็น เราบอกความจริงแก่ทา่ นว่า เขาได้รบั บำ�เหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่ออธิษฐานภาวนา จงเข้าไปในห้องส่วนตัว ปิดประตู อธิษฐานต่อพระบิดาของท่านผู้สถิตทั่วทุกแห่ง แล้ว พระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งจะประทานบำ�เหน็จให้ท่าน” “เมื่อท่านทั้งหลายจำ�ศีลอดอาหาร จงอย่า ทำ�หน้าเศร้าหมองเหมือนบรรดาคนหน้าซือ่ ใจคด เขาทำ�หน้าหมองคลํา้ เพือ่ แสดงให้ผคู้ นรูว้ า่ เขากำ�ลังจำ�ศีล อดอาหาร เราบอกความจริงแก่ท่านว่า เขาได้รับบำ�เหน็จของเขาแล้ว ส่วนท่าน เมื่อจำ�ศีลอดอาหาร จงล้าง หน้า ใช้นาํ้ มันหอมใส่ศรี ษะ เพือ่ ไม่แสดงให้ผคู้ นรูว้ า่ ท่านกำ�ลังจำ�ศีลอดอาหาร แต่ให้พระบิดาของท่านผูส้ ถิต ทั่วทุกแห่งทรงทราบ และพระบิดาของท่านผู้ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่ง ก็จะประทานบำ�เหน็จให้ท่าน” หนังสือพงษ์กษัตริย์เล่าเรื่องยุคสมัยที่กษัตริย์ในชาติอิสราเอลประชากรของพระเจ้าอ่อนแอ ทำ�บาปผิดต่อพระเจ้า แต่พระเจ้าประทานประกาศกผู้ศักดิ์สิทธิ์มาตักเตือนและช่วยเหลือประชาชนผู้น่า สงสาร ขาดผูน้ ำ�ทีด่ ี ความศักดิส์ ิทธิ์ของประกาศกเอลียาห์ปรากฏออกมาตลอดชีวติ ของท่านมิใช่ดว้ ยเสือ้ ผ้า เครื่องแต่งกายภายนอก แต่เกิดจากการช่วยเหลือผู้ประสบเคราะห์ร้ายให้กลับสู่สภาพที่ดี จนถึงวันที่ท่าน จากไปบนท้องฟ้า ความศักดิส์ ทิ ธิข์ องท่านก็ยงั อยูก่ บั ลูกศิษย์เอลีชาสืบต่อไป ความศักดิส์ ทิ ธิจ์ งึ มิได้อยูก่ บั คน ทีป่ ฏิบตั ศิ าสนกิจเพียงภายนอก แต่อยูใ่ นจิตใจทีเ่ ป็นทุกข์กลับใจเลิกทำ�บาปและมีความรักให้กบั เพือ่ นพีน่ อ้ ง ที่ตกทุกข์ได้ยาก
บทอ่านที่ 1 บสร 48:1-14 ต่อจากนั้นก็มีเรื่องราวของประกาศกเอลียาห์ซึ่งเป็นเหมือนไฟ วาจาของเขาเผา ผลาญเหมือนคบไฟ เขาทำ�ให้เกิดขาดแคลนอาหารในหมู่ประชากร ความกระตือรือร้น ของเขาทำ�ให้ประชากรลดจำ�นวนลง เขาปิดท้องฟ้าตามพระบัญชาขององค์พระผู้เป็น เจ้า ทำ�ให้ไฟลงมาจากท้องฟ้าถึงสามครัง้ ข้าแต่เอลียาห์ ท่านช่างมีชอื่ เสียงรุง่ เรืองเพราะ การอัศจรรย์ทไี่ ด้ทำ� ใครบ้างจะอวดตัวได้วา่ ตนเท่าเทียมกับท่าน ท่านปลุกผูต้ ายคนหนึง่ สัปดาห์ที่ 11 ให้กลับคืนชีพ และพ้นจากแดนมรณะตามพระบัญชาของพระผูส้ งู สุด ท่านผลักกษัตริย์ เทศกาลธรรมดา หลายพระองค์ให้พนิ าศ และผลักบรรดาผูท้ รงเกียรติลงจากทีน่ อน ท่านได้ยนิ พระวาจา สดด 97:1-2,3-5, ติเตียนที่ภูเขาซีนาย ได้ยินพระวินิจฉัยลงโทษบนภูเขาโฮเรบ ท่านเจิมกษัตริย์หลาย 6-7 พระองค์ให้ลงโทษผูท้ ำ�ผิด และเจิมบรรดาประกาศกให้สบื ตำ�แหน่งต่อจากท่าน ท่านถูก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ยกขึ้นไปในพายุหมุนที่เป็นไฟ บนรถเทียมม้าเพลิง ท่านถูกกำ�หนดไว้ให้มาตำ�หนิ ประชากรในอนาคต เพื่อจะได้ระงับพระพิโรธก่อนที่จะลุกเป็นไฟ เพื่อนำ�จิตใจของบิดามาคืนดีกับบุตร และ แต่งตั้งบรรดาเผ่าของยาโคบขึ้นใหม่ บรรดาผู้ที่เคยเห็นท่านย่อมเป็นสุข เขาตายในความรัก เพราะเรา ทั้งหลายจะได้มีชีวิตอย่างแน่นอนเช่นเดียวกัน เมื่อเอลียาห์ถูกยกขึ้นไปในพายุหมุน เอลีชาก็ได้รับจิตของ เขาอย่างเต็มเปีย่ ม เขาไม่เคยหวาดกลัวผูท้ รงอำ�นาจใดๆ ตลอดชีวติ ไม่มผี ใู้ ดบังคับเขาได้ ไม่มสี งิ่ ใดยากเกิน ไปสำ�หรับเขา แม้ในหลุมศพ ร่างกายของเขาก็ยังประกาศพระวาจา ขณะที่มีชีวิตอยู่ เขาทำ�ปาฏิหาริย์ต่างๆ แม้เมื่อเขาตายแล้ว กิจการของเขาก็ยังน่าพิศวง พระวรสาร มธ 6:7-15 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์วา่ “เมือ่ ท่านอธิษฐานภาวนา จงอย่าพูดซํา้ เหมือนคนต่างศาสนา เขาคิดว่าถ้าเขาพูดมากพระเจ้าจะทรงสดับฟัง อย่าทำ�เหมือนเขาเลย เพราะพระบิดาของท่านทรงทราบแล้ว ว่าท่านต้องการอะไร ก่อนที่ท่านจะขอเสียอีก ดังนั้น ท่านทั้งหลายจงอธิษฐานภาวนาดังนี้ ‘ข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย พระองค์สถิตในสวรรค์ พระนามพระองค์จงเป็นที่สักการะ พระอาณาจักรจงมาถึง พระประสงค์จงสำ�เร็จในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์ โปรดประทานอาหารประจำ�วันแก่ ข้าพเจ้าทั้งหลายในวันนี้ โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น โปรดช่วยข้าพเจ้าไม่ ให้แพ้การผจญ แต่โปรดช่วยให้พ้นจากความชั่วร้ายเทอญ’” “เพราะถ้าท่านให้อภัยผู้ทำ�ความผิด พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ ก็จะประทานอภัยแก่ท่านด้วย แต่ถ้าท่านไม่ให้อภัยผู้ทำ�ความผิด พระบิดาของท่านก็จะไม่ประทานอภัยแก่ท่านเช่นเดียวกัน” เมื่อจบเรื่องราวของเอลียาห์ เราจึงนำ�เอาบทความสรรเสริญท่านในหนังสือบุตรสิรามาอ่าน สรุป ข้อความตอนนี้เป็นข้อความสรรเสริญเอลียาห์ที่ไพเราะมาก บุตรสิราเป็นหนังสือรวบรวมคำ�สอนของ ปู่ยาตายายของอิสราเอลประชากรของพระเจ้า เอาไว้ใช้สอนลูกหลานไม่ให้หลงใหลไปกับวัฒนธรรมกรีก ตามยุคสมัยเป็นแฟชั่น บุตรสิราจึงเล่าให้อนุชนคนรุ่นหลังได้รู้จักความรักของพระเจ้าที่ประทานคนดีมี ปรีชาญาณยิง่ กว่าหลักปรัชญาของวัฒนธธรรมกรีกทีแ่ พร่กระจายในยุคนัน้ ปรีชาญาณทีแ่ ท้จริงคือการเคารพ ยำ�เกรงพระเจ้าและการสวดภาวนา เป็นการประกาศพระฤทธานุภาพของพระเจ้าเทีย่ งแท้ว่าทรงช่วยเหลือ เราได้
สมโภช พระหฤทัย ของพระเยซูเจ้า สดด 103:1-2, 3-4,7,8-10
บทอ่านที่ 1 ฉธบ 7:6-11 ครั้งนั้น โมเสสกล่าวกับประชาชนว่า “ท่านเป็นประชากรศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่องค์ พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านทรงเลือกท่านไว้เป็น ประชากรของพระองค์ เป็นสมบัติพิเศษจากประชากรทั้งหมดบนแผ่นดิน องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงมีความผูกพันกับท่านและเลือกสรรท่าน มิใช่เพราะท่านเป็น ชนชาติทมี่ จี ำ�นวนประชากรมากกว่าชนชาติอนื่ ๆ ท่านเป็นเพียงชนชาติทเี่ ล็กทีส่ ดุ ในหมู่ ประชาชาติ แต่เพราะองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงรักท่าน และทรงต้องการจะรักษาพระสัญญา ที่ทรงสาบานไว้กับบรรพบุรุษของท่าน... จงรู้เถิดว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน ทรงเป็นพระเจ้าโดยแท้จริง ทรงเป็นพระเจ้าผู้ซื่อสัตย์ ทรงรักษาพันธสัญญาและความ รักมั่นคงต่อผู้ที่รักและปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ถึงพันชั่วอายุคน...”
บทอ่านที่ 2 1 ยน 4:7-16 ท่านที่รักทั้งหลาย เราจงรักกัน เพราะความรักมาจากพระเจ้า และทุกคนที่มีความรัก ย่อมบังเกิดจาก พระเจ้า และรู้จักพระองค์ ผู้ไม่มีความรัก ย่อมไม่รู้จักพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก ความรักของ พระเจ้าปรากฏให้เราเห็นดังนี้ คือ พระเจ้าทรงส่งพระบุตรพระองค์เดียวมาในโลก เพื่อเราจะได้มีชีวิตโดย ทางพระบุตรนั้น ความรักอยู่ที่ว่าพระเจ้าทรงรักเรา และทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาเพื่อชดเชยบาปของ เรา มิใช่อยูท่ เี่ รารักพระเจ้า ท่านทีร่ กั ทัง้ หลาย ถ้าพระเจ้าทรงรักเราเช่นนี้ เราก็ควรจะรักกันด้วย ไม่มผี ใู้ ดเคย เห็นพระเจ้า แต่ถ้าเรารักกัน พระเจ้าย่อมทรงดำ�รงอยู่ในเรา และความรักของพระองค์ในเราก็จะสมบูรณ์... เรารู้และเชื่อในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา พระเจ้าทรงเป็นความรัก ผู้ใดดำ�รงอยู่ในความรัก ย่อมดำ�รง อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าย่อมทรงดำ�รงอยู่ในเขา พระวรสาร มธ 11:25-30 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ที่ทรงปิดบัง เรือ่ งเหล่านีจ้ ากบรรดาผูม้ ปี รีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่บรรดาผูต้ าํ่ ต้อย ถูกแล้ว พระบิดาเจ้าข้า พระองค์ พอพระทัยเช่นนั้น พระบิดาทรงมอบทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้า ไม่มีใครรู้จักพระบุตร นอกจากพระบิดา และไม่มีใคร รู้จักพระบิดา นอกจากพระบุตรและผู้ที่พระบุตรเปิดเผยให้รู้ ท่านทั้งหลายที่เหน็ดเหนื่อย และแบกภาระหนัก จงมาพบเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน จงรับแอก ของเราแบกไว้ และมาเป็นศิษย์ของเรา เพราะเรามีใจสุภาพ อ่อนโยน และถ่อมตน จิตใจของท่านจะได้รับ การพักผ่อน เพราะว่าแอกของเราอ่อนนุ่มและภาระที่เราให้ท่านแบกก็เบา” หนังสือเฉลยธรรมบัญญัติเป็นการพูดถึงจิตตารมณ์ของธรรมบัญญัติผ่านทางบทเทศน์ของ โมเสส พระเจ้าผูกพันกับท่านไม่ใช่เหตุผลอื่นใด ไม่ใช่จำ�นวน ไม่ใช่ความดีของท่าน ไม่ใช่ความยิ่งใหญ่ของ ท่าน “แต่เพราะพระองค์ทรงรักท่าน” เราชอบฟังประโยคนี้บ่อยๆ “แต่เพราะพระเจ้าทรงรักท่าน” พระหฤทัยของพระเยซูเจ้ารักเราจนลุกร้อนเป็นไฟ แต่เราไม่รักตอบ กลับไปทำ�บาป คล้ายเอาหนามมาทิ่ม แทงเนื้ออ่อนที่ดวงใจของพระเยซูเจ้า พระบิดาทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้...เรื่องอะไร?..ก็เรื่องการเข้ามาหา พระเจ้านั้นเป็นเรื่องง่ายๆ คนมีปรีชามีเหตุผลเป็นกำ�แพงขวางกั้น ต้องพิสูจน์ให้ได้ว่ามีพระเจ้าจริง แต่คน ตาํ่ ต้อยเขาเข้าหาพระเจ้าด้วยความรัก...เขาได้สมั ผัสความรักของพระเรียบร้อยแล้ว ในขณะทีผ่ มู้ ปี รีชายุง่ อยู่ กับการหาเหตุผลกับพระตลอดชีวิต
บทอ่านที่ 1 อสย 61:10-11 ข้าพเจ้าจะเปรมปรีดิ์อย่างยิ่งในองค์พระผู้เป็นเจ้า วิญญาณของข้าพเจ้าจะชื่นชม ยินดีในพระเจ้าของข้าพเจ้า เพราะพระองค์ประทานความรอดพ้นแก่ขา้ พเจ้าเป็นเสมือน อาภรณ์ที่ทรงสวมให้ ประทานความชอบธรรมให้ข้าพเจ้าเป็นเสมือนเสื้อคลุม ข้าพเจ้า เป็นเหมือนเจ้าบ่าวทีโ่ พกศีรษะอย่างงดงาม เหมือนเจ้าสาวประดับตนด้วยเพชรนิลจินดา เพราะแผ่นดินบังเกิดพืชผล และสวนทำ�ให้เมล็ดพืชงอกขึ้นฉันใด องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าก็ทรงบันดาลให้เกิดความชอบธรรม และการสรรเสริญต่อหน้านานาชาติฉนั นัน้ พระวรสาร ลก 2:41-51 โยเซฟพร้อมกับพระมารดาของพระเยซูเจ้าเคยขึน้ ไปยังกรุงเยรูซาเล็มในเทศกาล ปัสกาทุกปี เมื่อพระองค์มีพระชนมายุสิบสองพรรษา โยเซฟพร้อมกับพระมารดาก็ขึ้น ไปกรุงเยรูซาเล็มตามธรรมเนียมของเทศกาลนั้น เมื่อวันฉลองสิ้นสุดลง ทุกคนก็เดิน ทางกลับ แต่พระเยซูเจ้ายังประทับอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็มโดยที่บิดามารดาไม่รู้ เพราะคิด ว่า พระองค์ทรงอยู่ในหมู่ผู้ร่วมเดินทาง เมื่อเดินทางไปได้หนึ่งวันแล้ว โยเซฟพร้อมกับ พระนางมารียต์ ามหาพระองค์ในหมูญ ่ าติและคนรูจ้ กั เมือ่ ไม่พบจึงกลับไปกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อตามหาพระองค์ที่นั่น ในวันที่สาม โยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์พบพระองค์ในพระวิหารประทับนั่งอยู่ ในหมู่อาจารย์ ทรงฟังและทรงไต่ถามพวกเขา ทุกคนที่ได้ฟังพระองค์ต่างประหลาดใจ ในพระปรีชาที่ทรงแสดงในการตอบคำ�ถาม เมื่อโยเซฟพร้อมกับพระนางมารีย์เห็น พระองค์ก็รู้สึกแปลกใจ พระมารดาจึงตรัสถามพระองค์ว่า “ลูกเอ๋ย ทำ�ไมจึงทำ�กับเรา เช่นนี้ ดูซิ พ่อกับแม่ต้องกังวลใจตามหาลูก” พระองค์ตรัสตอบว่า “พ่อกับแม่ตามหา ลูกทำ�ไม พ่อแม่ไม่รู้หรือว่า ลูกต้องอยู่ในบ้านของพระบิดาของลูก” โยเซฟพร้อมกับ พระนางมารีย์ไม่เข้าใจที่พระองค์ตรัส พระเยซูเจ้าเสด็จกลับไปทีเ่ มืองนาซาเร็ธกับบิดามารดาและเชือ่ ฟังท่านทัง้ สองคน พระมารดาทรงเก็บเรื่องทั้งหมดเหล่านี้ไว้ในพระทัย ประกาศกอิสยาห์เขียนบทภาวนาเป็นเพลงสดุดคี ล้ายกันกับบททีแ่ ม่พระ ตอบนางเอลีซาเบ็ธ “วิญญาณข้าพเจ้าถวายสดุดีแด่พระเจ้า และจิตใจข้าพเจ้าโสมนัส ยินดีในพระผู้ไถ่ของข้าพเจ้า” แม่พระคงเคยอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้ แม่พระเป็นมารดา ของพระศาสนจักร แม่พระและพระศาสนจักรเป็นเจ้าสาวประดับเพชรนิลจินดาสำ�หรับ เจ้าบ่าว คือพระบุตรที่จะเป็นคู่ชีวิตของพระศาสนจักรและเราทุกคนตลอดนิรันดร เพราะแม่พระได้ร่วมแผนการไถ่บาปกับพระเยซูเจ้าก่อเกิดพระศาสนจักร พระบุตร ไถ่บาปมนุษย์ด้วยความยากลำ�บากบนไม้กางเขนฉันใด พระมารดาก็จะมีกระบี่เสียบ แทงดวงใจในหน้าทีพ่ ระมารดาของพระบุตรฉันนัน้ พระบุตรทรงกลับคืนชีพหลังความ ตายฉันใด พระมารดามารีย์ก็จะเข้าสู่สวรรค์มีดวงพระทัยนิรมลกับพระบุตรฉันนั้น
ระลึกถึง ดวงหทัยนิรมล ของพระนางมารีย์ พรหมจารี 1 ซมอ 2:1,4-8
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3
สัปดาห์ที่ 12 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย์ ยรม 20:10-13 ประกาศกเยเรมีย์กล่าวว่า “ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหลายคนซุบซิบว่า ‘ความหวาดกลัวอยู่โดยรอบมาแล้ว จง กล่าวหาเขา พวกเราจงกล่าวหาเขาเถิด’ มิตรสหายทุกคนของข้าพเจ้า คอยเฝ้าดูความ ล่มจมของข้าพเจ้า พูดว่า ‘เขาคงจะยอมถูกหลอกลวง แล้วเราจะเอาชนะเขาได้ และ จะแก้แค้นเขา’ แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ข้างข้าพเจ้าเหมือนนักรบทรงพลัง ดังนั้น ผู้ข่มเหง ข้าพเจ้าจะสะดุดล้ม จะเอาชนะข้าพเจ้าไม่ได้ เขาจะต้องอับอายมาก เพราะไม่ประสบ ความสำ�เร็จ ความอัปยศอดสูของเขาจะคงอยู่ตลอดไป ไม่มีวันถูกลืม ข้าแต่องค์พระ ผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาล พระองค์ทรงทดสอบผูช้ อบธรรม ทรงสำ�รวจใจและจิต ขอโปรด ให้ข้าพเจ้าเห็นว่าพระองค์ทรงลงโทษเขา เพราะข้าพเจ้าได้ทูลเสนอคดีของข้าพเจ้าให้ ทรงทราบแล้ว จงร้องเพลงถวายองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า จงสรรเสริญองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า เพราะ พระองค์ทรงช่วยชีวิตของผู้ขัดสน ให้พ้นมือของผู้ทำ�ความชั่วร้าย เพลงสดุดี สดด 69:7-9,13 และ 16,32-34 ก) ข้าพเจ้าทนรับการสบประมาทเพื่อพระองค์ รู้สึกอับอายจนไม่กล้ามองหน้าใคร กลายเป็นคนแปลกหน้าสำ�หรับบรรดาพี่น้อง เป็นคนต่างถิ่นสำ�หรับบรรดาบุตรของมารดาข้าพเจ้า เพราะความกระตือรือร้นที่ข้าพเจ้ามีต่อบ้านของพระองค์ เป็นเสมือนไฟที่เผาผลาญข้าพเจ้า คำ�สบประมาทที่เขามุ่งใส่ร้ายพระองค์ตกอยู่เหนือข้าพเจ้า ข) ดังนั้น ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าจึงอธิษฐานภาวนาต่อพระองค์ ในเวลาที่ทรงโปรดปราน ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงตอบข้าพเจ้าด้วยความรักมั่นคงยิ่งใหญ่ ของพระองค์ เพราะพระองค์ทรงซื่อสัตย์ในการช่วยให้รอดพ้น ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงตอบข้าพเจ้าเถิด เพราะความรักมั่นคงของพระองค์นั้นประเสริฐยิ่ง พระกรุณาของพระองค์นั้นยิ่งใหญ่ โปรดผินพระพักตร์มาหาข้าพเจ้าเถิด ค) ท่านทั้งหลายผู้ถ่อมตน จงเห็นและยินดีเถิด ท่านทั้งหลายที่แสวงหาพระเจ้า จงมีกำ�ลังใจขึ้นเถิด เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฟังคนยากจน พระองค์ไม่ทรงเมินเฉยผู้ถูกจองจำ�
ขอท้องฟ้าและแผ่นดิน ขอทะเลและทุกสิ่ง ที่เคลื่อนไหวอยู่ในทะเล จงโห่ร้องสรรเสริญพระองค์เถิด
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 5:12-15 พี่น้อง บาปเข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียว และความตายเข้ามาเพราะบาปฉันใด ความตายก็แพร่ กระจายไปถึงมนุษย์ทุกคนเพราะทุกคนทำ�บาปฉันนั้น ก่อนที่จะมีธรรมบัญญัติ บาปมีอยู่ในโลกแล้ว แต่เมื่อ ยังไม่มธี รรมบัญญัตกิ ไ็ ม่นบั ว่าเป็นบาป ถึงกระนัน้ ความตายก็มอี านุภาพเหนือมนุษยชาติตงั้ แต่อาดัมมาจนถึง โมเสส มีอานุภาพเหนือแม้คนทีไ่ ม่ได้ทำ�บาปเหมือนกับอาดัมทีไ่ ด้ลว่ งละเมิด อาดัมเป็นรูปแบบล่วงหน้าของ ผู้ที่จะมาในภายหลัง แต่การล่วงละเมิดต่างกับของประทานให้เปล่า ถ้ามวลมนุษย์ต้องตายเพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์ คนเดียว พระหรรษทานของพระเจ้าและของประทานโดยทางพระหรรษทานจากมนุษย์คนเดียว คือพระเยซู คริสตเจ้า ก็ยิ่งสมบูรณ์ขึ้นสำ�หรับมวลมนุษย์ บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 10:26-33 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า “อย่ากลัวมนุษย์เลย ไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ จะไม่ถูกเปิดเผย ไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนเร้น จะไม่มีใครรู้ สิ่งที่เรา บอกท่านในทีม่ ดื ท่านจงกล่าวออกมาในทีส่ ว่าง สิง่ ทีท่ า่ นได้ยนิ กระซิบทีห่ ู จงประกาศบนดาดฟ้าหลังคาเรือน อย่ากลัวผูท้ ฆี่ า่ ได้แต่กาย แต่ไม่อาจฆ่าวิญญาณได้ จงกลัวผูท้ ที่ ำ�ลายทัง้ กายและวิญญาณให้พนิ าศไปใน นรก นกกระจอกสองตัว เขาขายกันเพียงหนึ่งบาทมิใช่หรือ ถึงกระนั้น ก็ไม่มีนกสักตัวเดียวที่ตกถึงพื้นดิน โดยที่พระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ ผมทุกเส้นบนศีรษะของท่านถูกนับไว้หมดแล้ว ดังนั้น อย่ากลัวเลย ท่านมีค่ามากกว่านกกระจอกจำ�นวนมาก ทุกคนที่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะยอมรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ และผูท้ ไี่ ม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่รบั ผูน้ นั้ เฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผูส้ ถิตในสวรรค์ดว้ ย”
การเบียดเบียนผูท้ เี่ ชือ่ ในพระเยซูเจ้ายังคงมีอยูใ่ นโลกปัจจุบนั นัน่ ย่อมแสดงว่าพระเยซูเจ้าทรง เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ เพราะถ้าพระเยซูเจ้าไม่ใช่พระเจ้าที่ทรงทำ�ให้ทุกคนเข้ามาหาพระองค์ ได้รับความ รอดพ้นและได้รับความช่วยเหลือในเครื่องหมายอัศจรรย์ ผู้เบียดเบียนเหล่านั้นจะมาสนใจพระองค์ทำ�ไม? เพราะเขารู้ว่าคริสตชนและผู้เชื่อถึงพระเยซูเจ้าจะทำ�ให้เขาเป็นตัวตลกที่ไม่เชื่อในพระเจ้า แต่พระเยซูเจ้า ทรงยืนยันกับเราในพระวรสารวันนี้ว่า พระองค์ทรงรับรองการสู้ทนต่อการเบียดเบียนของเราว่าเป็นของมี ค่า ทุกกิจการทีเ่ รายืนยันความเชือ่ ต่อหน้าสังคมมีคา่ ในสายพระเนตรของพระเจ้า เมือ่ เรามีคา่ สำ�หรับพระเจ้า พระองค์ยอ่ มทรงปกป้องเราตัง้ แต่ในโลกนีจ้ นถึงเมืองสวรรค์ บทอ่านทัง้ สามบทสะท้อนเรือ่ งการเบียดเบียน และการสู้ทนเพราะเป็นของมีค่าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ส่งผลให้เราได้ไปสวรรค์และรับความช่วยเหลือ แม้ในโลกนี้
บทอ่านที่ 1 2 พกษ 17:5-8,13-15ก,18 กษัตริยแ์ ห่งอัสซีเรียทรงยกทัพมารุกรานแผ่นดินทัง้ หมด เสด็จมาถึงกรุงสะมาเรีย และทรงล้อมเมืองเป็นเวลาสามปี ปีทเี่ ก้าในรัชกาลกษัตริยโ์ ฮเชยา กษัตริยแ์ ห่งอัสซีเรีย ทรงยึดกรุงสะมาเรียได้ ทรงกวาดต้อนชาวอิสราเอลไปเป็นเชลยที่อัสซีเรีย ให้ตั้งหลัก แหล่ง บางส่วนอยู่ที่เมืองคาลาห์ บางส่วนอยู่ที่แม่นํ้าคาโบร์ในแคว้นโกซาน บางส่วน น.เปาลิน แห่งโนลา อยู่ตามเมืองต่างๆ ของชาวมีเดีย เหตุการณ์นเี้ กิดขึน้ เพราะชาวอิสราเอลทำ�บาปผิดต่อองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของ พระสังฆราช ตน พระองค์ทรงนำ�เขาออกจากแผ่นดินอียปิ ต์ พ้นจากมือของกษัตริยฟ์ าโรห์แห่งอียปิ ต์ น.ยอห์น ฟิชเชอร์ แต่เขากลับไปนมัสการเทพเจ้าอื่น ปฏิบัติตามประเพณีของชนชาติที่องค์พระผู้เป็นเจ้า และ น.โทมัส โมร์ ทรงขับไล่ออกไปเมื่อชาวอิสราเอลเข้ามาอาศัยอยู่ และปฏิบัติตามประเพณีต่างๆ ที่ มรณสักขี กษัตริย์แห่งอิสราเอลทรงนำ�เข้ามา สดด 60:1,2-3,10-11 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงใช้บรรดาประกาศกและผูท้ ำ�นาย มาเตือนชาวอิสราเอลและ ชาวยู ดาห์ว่า “จงละทิ้งหนทางชั่วร้ายของท่าน จงปฏิบัติตามบทบัญญัติและข้อกำ�หนด ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 ดังทีม่ เี ขียนไว้ในธรรมบัญญัตทิ เี่ รามอบให้แก่บรรพบุรษุ ของท่าน และตกทอดมาถึงท่าน ทางบรรดาประกาศกผูร้ บั ใช้ของเรา” แต่เขาไม่ยอมเชือ่ ฟัง มีจติ ใจดือ้ รัน้ เหมือนบรรพบุรษุ ซึง่ ไม่ยอมเชือ่ องค์ พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของตน ดูหมิ่นข้อกำ�หนดและพันธสัญญาซึ่งพระองค์ทรงทำ�กับบรรพบุรุษของเขา ดูหมิ่นคำ�ตักเตือนที่ทรงให้ไว้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระพิโรธชาวอิสราเอลอย่างยิ่ง และทรงผลักไสเขาให้พ้นจากพระพักตร์ เหลือ ไว้แต่เผ่ายูดาห์เท่านั้น พระวรสาร มธ 7:1-5 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “อย่าตัดสินเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน ท่านตัดสินเขาอย่างไร พระเจ้าจะทรงตัดสินท่านอย่าง นั้น ท่านใช้ทะนานใดตวงให้เขา พระเจ้าจะทรงใช้ทะนานนั้นตวงให้ท่าน ทำ�ไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตา ของพี่น้อง แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย ท่านจะกล่าวแก่พี่น้องได้อย่างไรว่า ‘ปล่อยให้ฉัน เขีย่ เศษฟางออกจากดวงตาของท่านเถิด’ ขณะทีม่ ที อ่ นซุงอยูใ่ นดวงตาของท่าน ท่านคนหน้าซือ่ ใจคดเอ๋ย จง เอาท่อนซุงออกจากดวงตาของท่านก่อนเถิด แล้วจะได้เห็นชัดก่อนไปเขีย่ เศษฟางออกจากดวงตาของพีน่ อ้ ง” ปี 721 ก่อนคริสตศักราช อาณาจักรอิสราเอล (ฝ่ายเหนือ) ก็ล่มสลายไม่ใช่แค่เมืองเท่านั้นแต่ อัสซีเรียนำ�เอาผู้ชายชาวยิวไปยังดินแดนอื่นและเอาผู้ชายจากดินแดนอื่นให้มาแต่งงานกับผู้หญิงชาวยิวจน กลายเป็นลูกผสมสิน้ ความเป็นชาวยิวเลยทีเดียว พวกเขาได้รบั ชือ่ ใหม่ “ชาวสะมาเรีย” อาณาจักรยูดาห์ฝา่ ย ใต้ทยี่ งั คงเป็นชาวยิวอยูแ่ ทนทีจ่ ะเห็นใจเพราะเป็นพีน่ อ้ งกันกลับเหยียดหยามและดูถกู ชาวสะมาเรียว่าไม่ใช่ ลูกพระ ไม่เป็นประชากรของพระเจ้า ไม่คบค้าด้วย แต่นี่เป็นโทษบาปที่เริ่มต้นเพียงครึ่งเดียว เมื่อขาดความ รักและไปดูถูกเขา ปี 586 ก.ค.ศ. อาณาจักรยูดาห์ฝ่ายใต้ก็โดนอาณาจักรบาบิโลนมาตีแตก ประชากรถูก กวาดต้อนไปเป็นเชลยที่บาบิโลนนาน 50 ปี เป็นการสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินอย่างแท้จริง ท่านใช้ทะนานใดตวง ให้เขาเล่า?
บทอ่านที่ 1 2 พกษ 19:9ข-11,14-21,31-35ก,36 เมื่อกษัตริย์เซนนาเคริบทรงทราบว่ากษัตริย์ทีรหะคาห์ชาวคูชกำ�ลังยกทัพอียิปต์ มาโจมตีพระองค์ จึงทรงส่งผู้นำ�สารมาเฝ้ากษัตริย์เฮเซคียาห์ ทรงสั่งว่า “ท่านทั้งหลาย จงบอกเฮเซคียาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ว่า “อย่าให้พระเจ้าซึ่งท่านวางใจนั้นลวงท่านได้ โดยสัญญาว่ากรุงเยรูซาเล็มจะไม่ตกอยู่ในมือของกษัตริย์แห่งอัสซีเรีย บัดนี้ ท่านก็รู้ สัปดาห์ที่ 12 แล้วว่า บรรดากษัตริย์แห่งอัสซีเรียทรงทำ�สิ่งใดกับแผ่นดินทั้งหลายที่ทรงทำ�ลายล้าง เทศกาลธรรมดา แล้วท่านจะรอดพ้นหรือ” กษัตริยเ์ ฮเซคียาห์ทรงอ่านพระราชสาสน์จากผูน้ ำ�สาร แล้วเสด็จขึน้ ไปยังพระวิหาร สดด 48:1-2,3,9-10 ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงกางพระราชสาสน์นั้นเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 แล้วทรงอธิษฐาน... อิสยาห์บุตรของอามอสจึงส่งคนไปทูลกษัตริย์เฮเซคียาห์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสว่า “เราได้ยนิ คำ�อธิษฐานภาวนาของท่านเรือ่ งกษัตริยเ์ ซนนาเคริบแห่งอัสซีเรียแล้ว” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัส พระวาจานี้กล่าวโทษเขาว่า “ศิโยนซึ่งเป็นเสมือนหญิงสาวพรหมจารี สบประมาทท่าน ดูถูกท่าน กรุงเยรูซาเล็มสั่นศีรษะเย้ยหยัน ท่าน ชนส่วนที่เหลือจะออกมาจากกรุงเยรูซาเล็ม ผู้รอดชีวิตจะออกมาจากภูเขาศิโยน องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าแห่งสากลโลก จะทรงกระทำ�เช่นนี้ เพราะความรักเปี่ยมล้นของพระองค์” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสถึงกษัตริยแ์ ห่งอัสซีเรียว่า “เขาจะไม่เข้าเมืองนี้ จะไม่ยงิ ธนูใส่เมืองนี้ จะไม่มที หาร ถือโล่เข้ามาใกล้ จะไม่สร้างเนินดินเพื่อปีนกำ�แพงเมือง เขาจะต้องกลับไปตามทางที่เขามา เขาจะไม่เข้าเมือง นี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เราจะป้องกันและช่วยเมืองนี้ให้รอดพ้น เพราะเห็นแก่เรา และเห็นแก่ดาวิด ผู้รับใช้ของเรา”... พระวรสาร มธ 7:6,12-14 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “อย่าให้ของศักดิส์ ทิ ธิแ์ ก่สนุ ขั อย่าโยนไข่มกุ ให้สกุ รเพราะมันจะเหยียบยํา่ ทำ�ให้เสียของ และหันมากัด ท่านอีกด้วย ท่านอยากให้เขาทำ�กับท่านอย่างไร ก็จงทำ�กับเขาอย่างนั้นเถิด นี่คือธรรมบัญญัติและคำ�สอน ของบรรดาประกาศก จงเข้าทางประตูแคบ เพราะประตูและทางที่นำ�ไปสู่หายนะนั้นกว้างขวาง คนที่เข้าทาง นี้มีจำ�นวนมาก แต่ประตูและทางซึ่งนำ�ไปสู่ชีวิตนั้นคับแคบ คนที่พบทางนี้มีจำ�นวนน้อย” ทุกวันนี้นักประวัติศาสตร์ยังหาคำ�ตอบไม่ได้ว่าเหตุการณ์ครั้งนั้นทำ�ไมกษัตริย์เซนนาเคริบจึง ยกทัพกลับทัง้ ๆ ทีเ่ ป็นฝ่ายได้เปรียบเหนือกว่าทุกประการ แต่เราเชือ่ ว่าเป็นคำ�ภาวนาของกษัตริยเ์ ฮเซคียาห์ ทีพ่ ระเจ้าทรงพระกรุณาทำ�เครือ่ งหมายอัศจรรย์รอดพ้นจากการรุกรานนี้ เหตุรา้ ยเฉพาะหน้าทีเ่ ราเผชิญหลัง ชนฝามืดแปดด้าน ลืมนึกไปว่าแค่คกุ เข่าลงไปกราบไหว้วงิ วอนต่อพระเจ้าด้วยความเชือ่ พระองค์ทรงเปลีย่ น ดำ�เป็นขาว ร้ายกลายดีดว้ ยเพียงชัว่ พริบตา คุณต้องกล้าคุกเข่าลงวิงวอนขอด้วยสิน้ สุดจิตใจเหมือนคนอับจน หนทาง คุณต้องเข้าไปหาพระเจ้าด้วยท่าทีของคนไม่มีทางไปแล้ว คุณต้องรู้จักยอมศิโรราบต่อพระเจ้าด้วย สุดจิตสุดใจ แล้วพระเจ้าจะทรงกอบกู้ลูกๆ ของพระองค์ทุกคน
สมโภชการบังเกิด ของ น.ยอห์น ผู้ทำ�พิธีล้าง สดด 139:1-3, 13-14,15-16
บทอ่านที่ 1 อสย 49:1-6 ดินแดนชายทะเลและเกาะทัง้ หลายเอ๋ย จงฟังข้าพเจ้าเถิด ประชาชนทีอ่ ยูส่ ดุ แดน ไกล จงตั้งใจฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกข้าพเจ้าก่อนที่ข้าพเจ้าเกิด ทรงขานชื่อ ข้าพเจ้าตัง้ แต่อยูใ่ นครรภ์มารดา พระองค์ทรงทำ�ให้ปากข้าพเจ้าเป็นเสมือนดาบคม ทรง ซ่อนข้าพเจ้าไว้ในร่มเงาพระหัตถ์ของพระองค์ ทรงทำ�ให้ข้าพเจ้าเป็นเสมือนลูกศร แหลมคม และทรงซ่อนข้าพเจ้าไว้ในแล่งเก็บลูกศรของพระองค์... พระองค์ตรัสว่า “เป็นการน้อยไปที่ท่านจะเป็นผู้รับใช้ของเรา เพื่อสถาปนาเผ่า พันธุย์ าโคบขึน้ ใหม่ และรวบรวมอิสราเอลทีเ่ หลืออยูอ่ กี ครัง้ หนึง่ เราจะให้ทา่ นเป็นแสง สว่างส่องนานาชาติ เพื่อความรอดพ้นที่เรานำ�มาให้จะได้แผ่ไปจนสุดปลายแผ่นดิน”
บทอ่านที่ 2 กจ 13:22-26 เมื่อทรงปลดกษัตริย์ซาอูลจากตำ�แหน่งแล้ว ก็ทรงแต่งตั้งดาวิดให้เป็นกษัตริย์ปกครองประชากร อิสราเอล... จากเชือ้ สายของกษัตริยด์ าวิดนี้ พระเจ้าประทานพระเยซูเจ้าเป็นผูช้ ว่ ยอิสราเอลให้รอดพ้นตาม พระสัญญา ยอห์นเตรียมรับเสด็จพระองค์ ประกาศพิธีล้างให้ประชาชนอิสราเอลทั้งปวงกลับใจ ขณะที่ ยอห์นกำ�ลังทำ�ภารกิจของตนให้สำ�เร็จไป เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้ามิได้เป็นอย่างที่ท่านทั้งหลายคิด แต่บัดนี้ มี ผู้หนึ่งกำ�ลังมาภายหลังข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่สมควรแม้แต่จะแก้สายรัดรองเท้าของเขา”... พระวรสาร ลก 1:57-66,80 เมื่อครบกำ�หนดคลอด นางเอลีซาเบธให้กำ�เนิดบุตรชายคนหนึ่ง เพื่อนบ้านและบรรดาญาติรู้ว่าองค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงแสดงพระกรุณายิ่งใหญ่ต่อนาง จึงมาร่วมยินดีกับนาง เมื่อเด็กเกิดได้แปดวัน เพื่อนบ้านและญาติพี่น้องมาทำ�พิธีสุหนัตให้ เขาต้องการเรียกเด็กว่าเศคาริยาห์ ตามชื่อบิดา แต่มารดาของเด็กค้านว่า “ไม่ได้ เขาจะต้องชื่อยอห์น” คนเหล่านั้นจึงพูดกับนางว่า “ท่านไม่มี ญาติคนใดมีชื่อนี้” เขาเหล่านั้นจึงส่งสัญญาณถามบิดาของเด็กว่าต้องการให้บุตรชื่ออะไร เศคาริยาห์ขอ กระดานแผ่นหนึ่งแล้วเขียนว่า “เขาชื่อยอห์น” ทุกคนต่างประหลาดใจ ทันใดนั้น เศคาริยาห์ก็กลับพูดได้ อีก เขาจึงกล่าวถวายพระพรพระเจ้า เพื่อนบ้านทุกคนต่างรู้สึกกลัว และเรื่องทั้งหมดนี้ได้เล่าลือกันไปทั่ว แถบภูเขาของแคว้นยูเดีย ทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้ต่างก็แปลกใจและถามกันว่า “แล้วเด็กคนนี้จะเป็นอะไร” เพราะพระหัตถ์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่กับเขา เด็กนั้นเจริญเติบโตขึ้น จิตใจของเขาเข้มแข็งขึ้นด้วย เขา อาศัยอยู่ในถิ่นทุรกันดารจนถึงวันที่เขาแสดงตนแก่ประชากรอิสราเอล บทอ่านที่ 1 เป็น “บทเพลงผู้รับใช้พระยาห์เวห์” 1 ใน 4 บทซึ่งประกาศกอิสยาห์เขียนไว้ว่า ชาวอิสราเอลในแดนเนรเทศทีก่ รุงบาบิโลนกำ�ลังรับใช้พระยาห์เวห์โดยยอมแบกบาปความผิดของบรรพบุรษุ ถูกกวาดต้อนเป็นเชลยมายังดินแดนไกลในบาบิโลน เรื่องนี้พระเจ้าทรงเตรียมพวกเราไว้แล้วตั้งแต่ในครรภ์ มารดา “ผู้รับใช้” เล่นบทล้มลงเพื่อพระเจ้าจะได้ทรงอุ้มชูเขาขึ้นต่อหน้าต่อตาคนต่างชาติและพาเขาพร้อม กับนานาชาติเหล่านั้นให้หันมาหาพระเจ้า บางครั้งดูเหมือนเหนื่อยเปล่า แต่ที่ไหนได้ รางวัลของเราพระเจ้า ทรงเตรียมไว้ให้แล้ว ภารกิจไม่ใช่แค่พาลูกหลานยาโคบหรือชาวอิสราเอลกลับบ้านเท่านั้น พระองค์ให้เขา มาที่นี่ทำ�มากกว่านั้น เพื่อจะได้พานานาชาติมารู้จักพระองค์ แต่บทกวีที่อิสยาห์เขียนนี้อ่านไปอ่านมา อดคิดถึงภารกิจของพระเยซูเจ้าและยอห์นบัปติสต์ไม่ได้ ผูแ้ บกบาปความผิดของทุกคนไว้บนร่างกายของตน พระเจ้าทรงเตรียมยอห์นไว้ตั้งแต่ในครรภ์มารดาเช่นกัน
บทอ่านที่ 1 2 พกษ 24:8-17 เยโฮยาคีนทรงเป็นกษัตริยเ์ มือ่ พระชนมายุสบิ แปดพรรษา และทรงครองราชย์เป็น เวลาสามเดือนที่กรุงเยรูซาเล็ม พระมารดาทรงพระนามว่าเนคุชทา เป็นบุตรหญิงของ เอลนาธันชาวกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงทำ�ความชั่วเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็น เจ้าดังที่พระบิดาทรงทำ� สมัยนั้น นายทหารของกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน ยกทัพมาล้อมกรุง สัปดาห์ที่ 12 เยรูซาเล็ม ขณะทีน่ ายทหารล้อมเมืองอยูน่ นั้ กษัตริยเ์ นบูคดั เนสซาร์แห่งบาบิโลนเสด็จ เทศกาลธรรมดา มาที่นั่น กษัตริย์เยโฮยาคีนแห่งยูดาห์เสด็จมายอมจำ�นนกษัตริย์แห่งบาบิโลน พร้อม สดด 79:1-2,3-5, กับพระมารดา ข้าราชบริพาร นายทหารและข้าราชสำ�นัก กษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงนำ� 8-9 กษัตริย์เยโฮยาคีนไปเป็นเชลยในปีที่แปดของรัชกาล... ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 กษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงกวาดต้อนชาวเยรูซาเล็มทั้งหมดจำ�นวนหนึ่งหมื่นคนไป เป็นเชลย คือนายทหารและพลทหาร ช่างไม้และช่างเหล็กทุกคน เหลือไว้แต่คนยากจน ที่สุดของแผ่นดิน พระองค์ทรงนำ�กษัตริย์เยโฮยาคีนเป็นเชลยไปกรุงบาบิโลน พร้อมกับพระมารดา บรรดา มเหสี ข้าราชบริพาร และชนชั้นนำ�ของแผ่นดิน... กษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงแต่งตั้งมัทธานียาห์ พระปิตุลา ของกษัตริย์เยโฮยาคีนขึ้นเป็นกษัตริย์แทน และทรงเปลี่ยนพระนามเป็นเศเดคียาห์ พระวรสาร มธ 7:21-29 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “คนที่กล่าวแก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า’ นั้นมิใช่ทุกคนจะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติ ตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผูส้ ถิตในสวรรค์นนั่ แหละจะเข้าสูส่ วรรค์ได้ ในวันนัน้ หลายคนจะกล่าว แก่เราว่า ‘พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าทั้งหลายได้ประกาศพระวาจาในพระนามพระองค์ ขับไล่ปีศาจใน พระนามพระองค์ และได้ทำ�อัศจรรย์หลายประการในพระนามพระองค์มใิ ช่หรือ’ เมือ่ นัน้ เราจะกล่าวแก่เขา ว่า ‘เราไม่เคยรู้จักท่านทั้งหลายเลย ท่านผู้ทำ�ความชั่ว จงไปให้พ้นหน้าเรา’” “ผู้ใดฟังถ้อยคำ�เหล่านี้ของเราและปฏิบัติตาม ก็เปรียบเสมือนคนมีปัญญาที่สร้างบ้านไว้บนหิน ฝนจะ ตก นํา้ จะไหลเชีย่ ว ลมจะพัดโหมเข้าใส่บา้ นหลังนัน้ บ้านก็ไม่พงั เพราะมีรากฐานอยูบ่ นหิน ผูใ้ ดทีฟ่ งั ถ้อยคำ� เหล่านี้ของเรา และไม่ปฏิบัติตามก็เปรียบเสมือนคนโง่เขลาที่สร้างบ้านไว้บนทราย เมื่อฝนตก นํ้าไหลเชี่ยว ลมพัดโหมเข้าใส่บ้านหลังนั้น มันก็พังทลายลงและเสียหายมาก” เมือ่ พระเยซูเจ้าตรัสถ้อยคำ�เหล่านีจ้ บแล้ว ประชาชนต่างพิศวงในคำ�สัง่ สอนของพระองค์ เพราะพระองค์ ทรงสอนเขาอย่างผู้มีอำ�นาจ ไม่ใช่สอนเหมือนบรรดาธรรมาจารย์ของเขา การฟังมากสู้การลงมือปฏิบัติไม่ได้ คนลงมือปฏิบัติความรักอย่างที่พระเยซูเจ้าสอนจะมีชีวิต ที่มั่นคงเหมือนสร้างบ้านบนหิน การฟังมาก พูดมาก รู้มากแต่ไม่ปฏิบัติงานความรักในชีวิตจริง ชีวิตจะ เลื่อนลอยไม่มีแก่นสาร บรรดาธรรมาจารย์พูดสิ่งที่ตนรู้มากแต่ไม่ทำ� พวกเขาจึงไม่กล้าสอนอย่างที่พระเยซู เจ้าทรงสอน ประชาชนต้องรูส้ กึ ทึง่ เป็นธรรมดาว่าทำ�ไมไม่มธี รรมาจารย์คนไหนเคยสอนอย่างผูม้ อี �ำ นาจเช่น นี้มาก่อน ธรรมาจารย์สอนโดยอ้างสิ่งที่ตนท่องจำ�มา แต่พระเยซูเจ้าทรงสอนจากสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น คือ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ผู้ทรงรักเราโดยการเสด็จลงมาบังเกิด สิ้นพระชนม์และกลับคืนชีพเพื่อไถ่บาปเรา พระองค์ทรงสอนด้วยชีวิตที่ให้ไปก่อนแล้ว
บทอ่านที่ 1 2 พกษ 25:1-12 ปีทเี่ ก้าในรัชกาลกษัตริยเ์ ศเดคียาห์ วันทีส่ บิ เดือนสิบ กษัตริยเ์ นบูคดั เนสซาร์แห่ง บาบิโลนทรงยกทัพมาโจมตีกรุงเยรูซาเล็ม ทรงตั้งค่ายอยู่หน้าเมือง และทรงสร้างเนิน ดินขึ้นโดยรอบเพื่อปีนกำ�แพงเมือง เมืองถูกล้อมอยู่จนถึงปีที่สิบเอ็ดในรัชกาลกษัตริย์ เศเดคียาห์ ปีนนั้ เกิดความอดอยากอย่างสาหัสในเมืองจนไม่มอี าหารสำ�หรับประชาชน สัปดาห์ที่ 12 ของแผ่นดิน วันที่เก้าเดือนสี่ ชาวบาบิโลนพังกำ�แพงเมืองลงส่วนหนึ่ง ในคืนนั้น เทศกาลธรรมดา ทหารทุกคนต่างหลบหนีผ่านทางประตูระหว่างกำ�แพงใกล้พระราชอุทยาน ทั้งๆ ที่ชาว เคลเดียกำ�ลังล้อมเมืองอยู่ กษัตริย์เสด็จไปทางลุ่มแม่นํ้าจอร์แดน กองทัพชาวเคลเดีย สดด 137:1-3,4-6 ไล่ตามกษัตริย์ไปทันที่บริเวณที่ราบใกล้เมืองเยรีโค ทหารของพระองค์ต่างละทิ้ง ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 พระองค์ไว้แล้วหลบหนีไป ชาวเคลเดียจับกุมพระองค์เป็นเชลยและนำ�ไปเฝ้ากษัตริย์ แห่งบาบิโลนที่เมืองริบลาห์ พระองค์ทรงถูกพิพากษาที่นั่น พระโอรสของกษัตริย์ เศเดคียาห์ถูกประหารชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระบิดา กษัตริย์แห่งบาบิโลนทรงสั่งให้ ควักพระเนตรของกษัตริย์เศเดคียาห์ แล้วทรงพันธนาการนำ�ไปยังกรุงบาบิโลน วันที่เจ็ดเดือนห้า ปีที่สิบเก้า ในรัชกาลกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน เนบูซาระดานผู้บัญชาการ ทหารองครักษ์ เป็นผู้แทนกษัตริย์แห่งบาบิโลน ยกพลเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม เขาเผาพระวิหารขององค์พระผู้ เป็นเจ้า พระราชวังและบ้านเรือนทั้งหมดในกรุงเยรูซาเล็ม อาคารใหญ่ทุกหลังถูกเผาไฟ กองทหารชาวเคล เดียซึ่งอยู่กับผู้บัญชาการทหารองครักษ์ทำ�ลายกำ�แพงรอบกรุงเยรูซาเล็ม เนบูซาระดานผู้บัญชาการทหาร องครักษ์ กวาดต้อนผู้คนที่เหลืออยู่ในเมือง รวมทั้งทุกคนที่หนีไปอยู่กับกษัตริย์แห่งบาบิโลนและประชาชน ที่เหลือไปเป็นเชลย แต่ผู้บัญชาการทหารองครักษ์ปล่อยคนยากจนของแผ่นดินไว้บางส่วน เพื่อทำ�งานใน สวนองุ่น และทำ�ไร่ไถนา พระวรสาร มธ 8:1-4 เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จลงมาจากภูเขา ประชาชนจำ�นวนมากติดตามพระองค์ ทันใดนั้น คนโรค เรื้อนคนหนึ่งมาเฝ้าพระองค์ กราบลงทูลว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์พอพระทัย ก็ทรงรักษาข้าพเจ้าให้หาย ได้” พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์สัมผัสเขา ตรัสว่า “เราพอใจ จงหายเถิด” โรคเรื้อนก็หายไปทันที พระเยซู เจ้าตรัสกับเขาอีกว่า “ระวัง อย่าบอกให้ใครรู้เลย จงไปแสดงตนแก่สมณะและถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสส กำ�หนด เพื่อเป็นพยานหลักฐานแก่คนทั้งหลาย” นี่เป็นเวลาสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินสำ�หรับประชากรอิสราเอล คำ�สัญญาที่พระเจ้าทรงให้ไว้กับ อับราฮัมว่าจะมีแผ่นดิน มีลูกหลาน เป็นชนชาติใหญ่ พันธสัญญาที่พระเจ้าทรงกระทำ�กับชาติอิสราเอลผ่าน ทางโมเสสทีภ่ เู ขาซีนาย ดูเหมือนจะจบสิน้ แล้ว บัดนีพ้ วกเขารูส้ กึ อับอายขายหน้าชาติตา่ งๆ คล้ายว่าพระเจ้า เที่ ย งแท้ ข องพวกเขาแพ้ เขาถู ก กวาดต้ อ นไปยั ง อาณาจั ก รบาบิ โ ลนอย่ า งคนไร้ ศั ก ดิ์ ศ รี แ ละหมดหวั ง พันธสัญญาเดิมจบลงเพราะประชากรชาวอิสราเอลละเมิดละทิง้ พระเจ้าไปนับถือพระเท็จเทียม คนโรคเรือ้ น เป็นสัญลักษณ์ของการไร้ศกั ดิศ์ รี เป็นทีร่ งั เกียจของสังคม พันธสัญญาใหม่มาถึงโดยทางพระเยซูเจ้า พระองค์ ทรงพอพระทัยเขา ไม่ทรงโกรธเขาอีกต่อไป...ทรงรักษาชีวิตตกตํ่าของเขาให้หายเป็นปกติ
บทอ่านที่ 1 พคค 2:2,10-14,18-19 องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำ�ลายที่อาศัยทั้งหมดของยาโคบอย่างไร้พระเมตตา ทรง พังป้อมปราการของธิดาแห่งยูดาห์ด้วยความกริ้ว ทรงกดให้ตํ่าลงถึงพื้นดิน ทรงทำ�ให้ อาณาจักรและเจ้านายของเธอเป็นมลทิน บรรดาผูอ้ าวุโสของธิดาแห่งศิโยนนัง่ เงียบอยูบ่ นพืน้ ดิน โปรยฝุน่ ดินบนศีรษะ สวม ผ้ากระสอบ สาวพรหมจารีแห่งกรุงเยรูซาเล็มก้มศีรษะมองพื้นดิน นัยน์ตาของข้าพเจ้า แดงกํ่าเพราะร้องไห้ จิตใจวุ่นวาย กำ�ลังก็ทรุดลง เพราะความพินาศของธิดาแห่ง ประชากรของข้าพเจ้า เพราะเด็กและทารกเป็นลมสลบอยู่ตามลานในเมือง... เชิงเทินของธิดาแห่งศิโยนเอ๋ย จงร้องทูลองค์พระผู้เป็นเจ้า จงหลั่งนํ้าตาเหมือน ลำ�ธารทัง้ วันทัง้ คืน อย่าหยุดหย่อนเลย... จงชูมอื ขึน้ หาพระองค์ เพือ่ ขอชีวติ ของบรรดา เด็กของเจ้า ที่หิวจนเป็นลมสลบไปตามมุมถนนทุกแห่ง
น.ซีริล แห่งอเล็กซานเดรีย พระสังฆราช และนักปราชญ์ แห่งพระศาสนจักร สดด 74:1-2,3-4, 5-7,20-21
พระวรสาร มธ 8:5-17 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จเข้าเมืองคาเปอรนาอุม นายร้อยคนหนึ่งเข้ามาเฝ้า พระองค์ ทูลอ้อนวอนว่า “พระองค์เจ้าข้า ผูร้ บั ใช้ของข้าพเจ้าเป็นอัมพาตนอนอยูท่ บี่ า้ น ต้องทรมานอย่างสาหัส” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “เราจะไปรักษาเขาให้หาย” แต่นายร้อยทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่สมควรให้พระองค์เสด็จเข้ามาในบ้านของข้าพเจ้า แต่ขอพระองค์ตรัสเพียงคำ� เดียวเท่านัน้ ผูร้ บั ใช้ของข้าพเจ้าก็จะหายจากโรค ข้าพเจ้าเป็นคนอยูใ่ ต้บงั คับบัญชา แต่ยงั มีทหารอยูใ่ ต้บงั คับ บัญชาด้วย ข้าพเจ้าสั่งทหารคนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็ไป สั่งอีกคนหนึ่งว่า ‘มา’ เขาก็มา ข้าพเจ้าสั่งผู้รับใช้ว่า ‘ทำ�นี่’ เขาก็ทำ�” เมือ่ พระเยซูเจ้าทรงได้ยนิ เช่นนี้ ทรงประหลาดพระทัย จึงตรัสแก่บรรดาผูต้ ดิ ตามว่า “เราบอกความ จริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เรายังไม่เคยพบใครมีความเชื่อมากเช่นนี้ในอิสราเอลเลย เราบอกท่านทั้งหลายว่า คนจำ�นวนมากจะมาจากทิศตะวันออกและตะวันตก และจะนั่งร่วมโต๊ะกับอับราฮัม อิสอัคและยาโคบใน อาณาจักรสวรรค์ แต่บุตรแห่งอาณาจักรจะถูกขับไล่ออกไปในที่มืดข้างนอก ที่นั่นจะมีแต่การรํ่าไห้ครํ่าครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง” แล้วพระเยซูเจ้าจึงตรัสกับนายร้อยว่า “จงไปเถิด จงเป็นไปตามที่ท่านเชื่อ นั้นเถิด” ผู้รับใช้ของเขาก็หายจากโรคในเวลานั้นเอง เมือ่ พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าไปในบ้านของเปโตร ทรงเห็นมารดาของภรรยาเปโตรนอนป่วยเป็นไข้ พระองค์ จึงทรงจับมือนาง นางก็หายไข้ ลุกขึ้นและปรนนิบัติรับใช้พระองค์ เย็นวันนั้น ประชาชนนำ�ผู้ถูกปีศาจสิงจำ�นวนมากมาเฝ้าพระองค์ พระองค์ทรงขับปีศาจเหล่านี้ออกไป ด้วยพระวาจา และทรงบำ�บัดรักษาผู้ป่วยทุกคน เพื่อให้พระวาจาที่ได้ตรัสไว้ทางประกาศกอิสยาห์เป็นความ จริงว่า พระองค์ทรงรับเอาความอ่อนแอของเราไว้ และทรงแบกความเจ็บป่วยของเรา หนังสือเพลงครํ่าครวญบรรยายฉากการสิ้นชาติสิ้นแผ่นดินชาติอิสราเอลได้อย่างสะเทือนใจ แต่พวกเขาเป็นประชากรของพระเจ้า เขาราํ่ ไห้และเข้าหาพระเจ้า อ้อนวอนอย่างคนสิน้ ไร้ไม้ตอก หมดศักดิศ์ รี และอับอายชาติเพือ่ นบ้าน เขายังหวังว่าพระองค์ตอ้ งทรงกอบกูพ้ วกเขา ยามนีเ้ หลือเพียงสิง่ เดียวทีเ่ ป็นกำ�ลัง ให้ยงั สูช้ วี ติ ต่อไปได้คอื ความเชือ่ ในองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าว่าจะทรงกอบกูพ้ วกเขา สิง่ เดียวทีเ่ ราต้องรักษาไว้ให้ได้ ในยามตกตาํ่ คือความเชือ่ ในพระเจ้า พระเจ้าข้า..ผูท้ คี่ อยท่าพระองค์จะไม่ได้รบั ความอับอาย “จงเป็นไปตาม ที่ท่านเชื่อนั้นเถิด”
สัปดาห์ที่ 13 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านจากหนังสือพงศ์กษัตริย์ ฉบับที่สอง 2 พกษ 4:8-11,14-16ก วันหนึ่ง เอลีชาเดินทางไปที่เมืองชูเนม หญิงมั่งมีคนหนึ่งอยู่ที่ในเมืองนั้น เชิญ เอลีชามากินอาหาร ตั้งแต่นั้นมา ทุกครั้งที่เอลีชาผ่านเมืองนั้น ก็จะแวะกินอาหารที่ นัน่ นางบอกสามีวา่ “ดิฉนั รูว้ า่ ชายทีม่ าบ้านของเราบ่อยๆ เป็นคนของพระเจ้า และเป็น คนศักดิ์สิทธิ์ เราจงสร้างห้องเล็กๆ ไว้บนดาดฟ้าให้เขาสักห้องหนึ่ง ตั้งเตียง โต๊ะ เก้าอี้ และตะเกียงไว้ให้ เมื่อเขามาเยี่ยมเรา เขาจะได้พักในห้องนั้น” วันหนึ่ง เอลีชามาที่นั่น และขึ้นไปนอนพักในห้องนั้น เอลีชาถามเกหะซีว่า “ถ้าเช่นนั้น ข้าพเจ้าจะทำ�อะไรให้นางได้” เขาตอบว่า “นาง ไม่มีบุตรและสามีก็ชราแล้ว” เอลีชาสั่งว่า “จงไปเรียกนางมาซิ” เขาก็ไปเรียกนาง นาง เข้ามายืนอยู่ที่ประตู เอลีชากล่าวว่า “ปีหน้าเวลานี้ท่านจะได้อุ้มลูกชาย” เพลงสดุดี สดด 89:1-2,15-16,17-18 ก) ข้าพเจ้าจะขับร้องสรรเสริญความรักมั่นคงขององค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดไป ปากข้าพเจ้าจะประกาศความซื่อสัตย์ของพระองค์ทุกยุคทุกสมัย ข้าพเจ้ากล่าวว่า “ความรักมั่นคงของพระองค์ดำ�รงอยู่เป็นนิตย์ พระองค์ทรงสถาปนาความซื่อสัตย์ของพระองค์ไว้อย่างมั่นคงในสวรรค์” ข) ประชากรที่รู้จักเฉลิมฉลองพระองค์ย่อมเป็นสุข ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า เขาดำ�เนินชีวิตในแสงสว่างแห่งพระพักตร์พระองค์ เขายินดีในพระนามตลอดวัน เขาภูมิใจในความเที่ยงธรรมของพระองค์ ค) พระองค์ทรงเป็นเกียรติยศและทรงเป็นพละกำ�ลังของเขา พระองค์โปรดปราน เขาจึงมีชัยชนะ ใช่แล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นโล่กำ�บังของเรา องค์พระผู้ศักดิ์สิทธิ์แห่งอิสราเอลทรงเป็นกษัตริย์ของเรา บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 6:3-4,8-11 ท่านทัง้ หลายไม่รหู้ รือว่า เราทุกคนทีไ่ ด้รบั ศีลล้างบาปเดชะพระคริสตเยซู ก็ได้รบั ศีลล้างบาปเข้าร่วมกับการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ด้วย ดังนั้น เราถูกฝังไว้ในความ ตายพร้อมกับพระองค์ อาศัยศีลล้างบาป เพือ่ ว่าพระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ จากบรรดาผู้ตายเดชะพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาฉันใด เราก็จะดำ�เนินชีวิตแบบใหม่ ด้วยฉันนั้น แต่เราเชื่อว่า ถ้าเราตายพร้อมกับพระคริสตเจ้าแล้ว เราก็จะมีชีวิตพร้อมกับ พระองค์ด้วย เรารู้ว่าพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้วจะ ไม่สนิ้ พระชนม์อกี ความตายไม่มอี ำ�นาจเหนือพระองค์อกี ต่อไป เพราะเมือ่ สิน้ พระชนม์ พระองค์ก็ทรงตายครั้งเดียวจากบาปตลอดไป เมื่อมีพระชนมชีพก็มีพระชนมชีพเพื่อ พระเจ้า
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 10:37-42 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาอัครสาวกว่า “ผู้ที่รักบิดามารดามากกว่ารักเรา ก็ไม่คู่ควรกับเรา ผู้ ทีร่ กั บุตรชายหญิงมากกว่ารักเรา ก็ไม่คคู่ วรกับเรา ผูใ้ ดไม่รบั เอาไม้กางเขนของตนแบกตามเรา ผู้นั้นก็ไม่คู่ควรกับเรา ผูท้ หี่ วงชีวติ ของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวติ นัน้ แต่ผทู้ ยี่ อม เสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เรา จะพบชีวิตนั้นอีก ผู้ที่ต้อนรับท่านทั้งหลาย ก็ต้อนรับเรา ผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา ผูท้ ตี่ อ้ นรับประกาศก เพราะเราเป็นประกาศก จะได้รบั บำ�เหน็จรางวัลของประกาศก ผูท้ ตี่ อ้ นรับผูช้ อบธรรม เพราะ เขาเป็นผู้ชอบธรรม จะได้รับบำ�เหน็จรางวัลของผู้ชอบธรรม ผูใ้ ดทีใ่ ห้นาํ้ เย็นแม้เพียงหนึง่ แก้วแก่คนใดคนหนึง่ ในบรรดาคนธรรมดาๆ เหล่านี้ เพราะเขาเป็นศิษย์ของ เรา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้นั้นจะได้รับบำ�เหน็จรางวัลอย่างแน่นอน” การต้อนรับผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า คือการต้อนรับพระพรของพระเจ้าเข้ามาในชีวิต การ ต้อนรับผู้ยากจนขัดสนคือการได้ต้อนรับองค์พระเจ้าเอง แต่การตอบรับพระเจ้าให้พระเจ้ามาดำ�เนินชีวิตใน ตัวเราเป็นกระแสเรียกที่เด็ดขาด จับคันไถแล้วไม่เหลียวหลังกลับ การเลือกเอาพระเจ้าเป็นอันดับหนึ่งใน ชีวิตไม่สามารถประนีประนอมแบ่งรับแบ่งสู้กับบาปและทรัพย์สมบัติฝ่ายโลกได้อีกต่อไป พระเยซูเจ้าไม่ได้ สอนให้เราเกลียดชังพ่อแม่ แต่ถา้ เราจะติดตามพระเยซูเจ้าจงตัง้ ใจเด็ดเดีย่ วแบกกางเขนของตน แล้วทีเ่ หลือ พระเจ้าจะทรงเลี้ยงดูพ่อแม่ในแบบที่เราต้องวางใจในพระองค์ พูดง่ายๆ เราไม่อาจเอาข้ออ้างใดๆ มาเอ่ย เพื่อจะเลิกแบกไม้กางเขนของตนแล้วติดตามพระเยซูเจ้าไป เพราะเป็นการประกาศว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็น อันดับหนึ่งในชีวิตของเรา เป็นพระเจ้าที่ทรงดูแลความกังวลส่วนที่เหลือในชีวิตของเราได้
สัปดาห์ที่ 13 เทศกาลธรรมดา สดด 50:16-18, 19-21,22-23
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านที่ 1 อมส 2:6-10,13-16 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสดังนี้ “เพราะชาวอิสราเอลได้ลว่ งละเมิดสามครัง้ และสีค่ รัง้ เราจะตัดสินลงโทษและจะไม่กลับคำ� เพราะเขาได้ขายผูช้ อบธรรมเพือ่ เงิน ขายคนขัดสน เพื่อรองเท้าแตะคู่เดียว เขาทั้งหลายได้เหยียบยํ่าศีรษะของคนยากจนลงไปในฝุ่นของ แผ่นดิน ทำ�ให้หนทางของผู้ตํ่าต้อยต้องหันเหไป บุตรและบิดาเข้าหาหญิงสาวคน เดียวกัน เป็นการลบหลู่นามศักดิ์สิทธิ์ของเรา เขาใช้เสื้อผ้าที่ยึดเป็นประกันมาปูนอน อยูข่ า้ งพระแท่นบูชาทุกแท่น เขาดืม่ เหล้าองุน่ ทีเ่ ป็นค่าปรับจากประชาชน ในบ้านพระเจ้า ของตน เราเองได้ทำ�ลายชนเผ่าอาโมไรต์ต่อหน้าเขา แม้ชาวอาโมไรต์มีร่างสูงเหมือน ต้นสนสีดาร์ และแข็งแรงเหมือนต้นโอ๊ก เราได้ทำ�ลายผลของเขาจากเบื้องบน และ ทำ�ลายรากของเขาจากเบือ้ งล่าง เราได้ให้ทา่ นทัง้ หลายขึน้ มาจากแผ่นดินอียปิ ต์ นำ�ทาง ท่านในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลาสี่สิบปี เพื่อท่านจะได้ครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินของชน เผ่าอาโมไรต์ เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะกดท่านลงในที่ที่ท่านอยู่ เหมือนเกวียนที่บรรทุกฟ่อนข้าว อัดแน่นจมลงในดิน แม้ผวู้ งิ่ เร็วก็จะหนีไม่ทนั คนแข็งแรงจะใช้กำ�ลังของตนก็ไม่ได้ ทหาร ชำ�นาญศึกจะช่วยชีวิตของตนให้รอดพ้นก็ไม่ได้ ผู้ยิงธนูจะยืนหยัดอยู่ไม่ได้ ผู้มีฝีเท้า เร็วช่วยตนเองไม่ได้ ผู้ขี่ม้าก็ช่วยชีวิตตนเองไม่ได้ ในวันนั้นแม้แต่นักรบกล้าหาญที่สุด ก็จะทิ้งอาวุธหนีไป” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส พระวรสาร มธ 8:18-22 เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเห็นประชาชนห้อมล้อมพระองค์ จึงทรงสั่งบรรดาศิษย์ ให้ข้ามทะเลสาบไปอีกฝั่งหนึ่ง ธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาทูลว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้า อยากติดตามพระองค์ไปทุกแห่งทีพ่ ระองค์จะเสด็จ” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “สุนขั จิ้งจอกยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรแห่งมนุษย์ไม่มีที่จะวางศีรษะ” ศิษย์อีกคนหนึ่งทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ขอทรงอนุญาตให้ข้าพเจ้าไปฝังศพบิดา ของข้าพเจ้าเสียก่อน” แต่พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามา และปล่อยให้คน ตายฝังคนตายของตนเถิด”
ประกาศกอาโมสเป็นคนทางใต้แต่ขึ้นไปทำ�งานในอาณาจักรอิสราเอล (ทางเหนือ) เพราะ พวกเขามีปัญหาอันเกิดจากจิตใจตกตํ่า เนื่องจากไปสร้างสักการสถานสูงเพื่อนมัสการพระเท็จเทียมตามใจ ชอบของตนและห่างไกลจากการถวายสักการบูชาแด่พระเจ้าที่พระวิหารกรุงเยรูซาเล็มซึ่งอยู่ทางใต้ (อาณาจักรยูดาห์) จิตใจตกตํ่าจึงกระทำ�บาปผิดความยุติธรรม เอารัดเอาเปรียบคนยากจน ประกาศกของ พระเจ้าเทศน์สอนเพือ่ คืนความยุตธิ รรมแก่สงั คม ประกาศกจึงมีวถิ ชี วี ติ ทีต่ อ้ งเดินทาง คํา่ ไหนนอนนัน่ พร้อม จะรับใช้พระเจ้าในทุกพื้นที่ พระเยซูเจ้าทรงเป็นสุดยอดแห่งประกาศกก็เช่นกัน พระองค์ทรงเตือนคนที่จะ มารับใชัพระเจ้าว่าทำ�ได้หรือไม่? เด็ดเดี่ยวพอจะละทิ้งทุกสิ่งเพื่อมอบตนแด่พระเจ้าได้หรือไม่
บทอ่านที่ 1 อมส 3:1-8 และ 4:11-12 ชาวอิสราเอลเอ๋ย จงฟังพระวาจานีท้ อี่ งค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสคาดโทษท่านทัง้ หลาย และคาดโทษชนทั้งเผ่าที่เราได้นำ�ขึ้นมาจากแผ่นดินอียิปต์ว่า “ในบรรดาชนเผ่าทัง้ หลายบนแผ่นดิน เราได้เลือกท่านเท่านัน้ เราจึงจะลงโทษท่าน เพราะความผิดทั้งหมดของท่าน” “คนสองคนจะเดินไปด้วยกันได้หรือ ถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้ก่อน สิงโตจะคำ�รามใน ป่าได้หรือ ถ้าไม่มีเหยื่อ สิงห์หนุ่มจะร้องออกมาจากถํ้าหรือ ถ้าจับอะไรไม่ได้ นกจะลง มาติดกับบนพื้นดินได้หรือ ถ้าไม่มีผู้ใดวางกับดักไว้ ถ้าไม่มีอะไรเข้าไปติด กับจะลั่นขึ้น จากพื้นดินได้หรือ ถ้ามีเสียงเป่าแตรเขาสัตว์ในเมือง ประชาชนจะไม่ตกใจกลัวหรือ หายนะจะตกกับเมืองหนึ่งได้หรือ ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงกระทำ�ให้เกิดขึ้น” “ใช่แล้ว องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าไม่ทรงกระทำ�สิง่ ใด ถ้าไม่ทรงเปิดเผยความลับ แก่บรรดาประกาศกผู้รับใช้พระองค์ สิงโตคำ�รามแล้ว ผู้ใดจะไม่กลัวบ้าง องค์พระผู้ เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสแล้ว ผู้ใดจะไม่ประกาศพระวาจา” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “คู่อริจะมาล้อมแผ่นดินไว้ จะทำ�ลายกำ�ลัง ของท่าน และจะปล้นป้อมปราการของท่าน” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสดังนี้ “ผูเ้ ลีย้ งแกะแย่งขาสองขาหรือหูสองหู จากปากสิงโต มาได้ฉันใด ชาวอิสราเอลที่นอนเอกเขนกอยู่บนเตียง หรือห่มผ้าแพรอยู่บนที่นอนใน กรุงสะมาเรีย จะรอดชีวิตได้ฉันนั้น” พระวรสาร มธ 8:23-27 เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จลงเรือ บรรดาศิษย์ติดตามพระองค์ไปด้วย ทันใดนั้น เกิดพายุแรงกล้าในทะเลสาบ คลื่นสูงจนไม่เห็นเรือ แต่พระองค์บรรทมหลับ บรรดา ศิษย์จึงเข้ามาปลุกพระองค์ ทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ช่วยด้วยเถิด เรากำ�ลังจะพินาศอยู่ แล้ว” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ทำ�ไมจึงตกใจกลัวเล่า ท่านช่างมีความเชื่อน้อยเหลือ เกิน” แล้วทรงลุกขึ้นบังคับลมและทะเล ท้องทะเลก็สงบราบเรียบ คนทั้งหลายต่าง ประหลาดใจ พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นใครหนอ ลมและทะเลจึงยอมเชื่อฟังเช่นนี้” ประกาศกอาโมสกำ�ลังบอกกับชาวอิสราเอลว่าเพราะท่านได้ทำ�บาป ผลร้ายของบาปจึงได้เกิดขึ้นตามมา มันต้องมีเหตุ ผลจึงตามมา ดุ้นฟืนหมายถึงชีวิต เมื่อชักออกจากกองไฟ ก็มีแต่จะดับมอด หากเราตกอยู่ในบาปเหมือนชีวิตเป็นดั่งเรือ ที่กำ�ลังถูกพายุซัดกระหนํ่าจะล่มอยู่แล้ว เราต้องปลุกองค์พระเยซูเจ้า และทูลบอก พระองค์วา่ “เรากำ�ลังจะพินาศอยูแ่ ล้ว ทรงช่วยด้วยเถิดพระเจ้าข้า” วันนีช้ วี ติ เรากำ�ลัง รับผลของบาปอยูห่ รือไม่ ชีวติ ของเราเดือดร้อนจะพินาศอยูแ่ ล้วหรือไม่...เราจงวอนขอ พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงปราบคลื่นลมทะเลในชีวิตเราได้
น.ปฐมมรณสักขี แห่งพระศาสนจักร กรุงโรม สดด 5:3-4,5-7
ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1