08 สิงหาคม 2016

Page 1


บทอ่านที่ 1

ระลึกถึง น.อัลฟองโซ มารีย์ เด ลิกวอรี พระสังฆราชและ นักปราชญ์แห่ง พระศาสนจักร สดด 118:29,43, 79-80,95-96 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

พระวรสาร

ยรม 28:1-17

ปีเดียวกันนั้น เมื่อเริ่มรัชกาลของกษัตริย์เศเดคียาห์แห่งยูดาห์... ประกาศก ฮานันยาห์ บุตรของอัสซูร์จากเมืองกิเบโอน พูดกับข้าพเจ้าในพระวิหารขององค์พระผู้ เป็นเจ้าต่อหน้าบรรดาสมณะและประชากรทั้งปวงว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ ‘เราได้หักแอกของกษัตริย์แห่งบาบิโลนแล้ว ภายใน สองปี เราจะน�ำเครื่องใช้ทั้งหมดของพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งกษัตริย์ เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลนริบจากที่นี่ขนไปยังกรุงบาบิโลน กลับมาที่นี่อีก เราจะน�ำ เยโคนิยาห์ พระโอรสของกษัตริย์เยโฮยาคิมแห่งยูดาห์ และบรรดาผู้ถูกกวาดต้อนจาก ยูดาห์ไปยังกรุงบาบิโลนกลับมา... ’” ประกาศกเยเรมีย์จึงตอบประกาศกฮานันยาห์...พูดว่า “สาธุ ขอองค์พระผู้เป็นเจ้า ทรงท�ำเช่นนี้เถิด ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงท�ำให้ถ้อยค�ำที่ท่านได้ประกาศนั้นเป็นจริง...” เมือ่ ประกาศกฮานันยาห์ได้หกั แอกจากบ่าของประกาศกเยเรมียแ์ ล้ว องค์พระผูเ้ ป็น เจ้าตรัสกับประกาศกเยเรมียว์ า่ “จงไปบอกฮานันยาห์วา่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสดังนี้ ‘ท่าน ได้หกั แอกไม้ แต่เราจะท�ำแอกเหล็กมาวางไว้แทน เพราะองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาล พระเจ้าแห่งอิสราเอล ตรัสดังนี้ เราได้วางแอกเหล็กไว้บนบ่าของชนชาติทงั้ หมดนีใ้ ห้เป็น ทาสรับใช้กษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์แห่งบาบิโลน เขาทั้งหลายจะรับใช้พระองค์ เรายังได้ มอบสัตว์ป่าต่างๆ แก่พระองค์ด้วย’”...

มธ 14:13-21

เมื่อพระเยซูเจ้าทรงทราบข่าวนี้ ได้เสด็จออกจากที่นั่น ลงเรือไปยังที่สงัดตามล�ำพัง เมื่อประชาชนรู้ต่าง ก็เดินเท้าจากเมืองต่างๆ มาเฝ้าพระองค์ เมื่อเสด็จขึ้นจากเรือ ทรงเห็นประชาชนจ�ำนวนมากก็ทรงสงสาร และ ทรงรักษาผู้เจ็บป่วยให้หายจากโรค เมื่อถึงเวลาเย็น บรรดาศิษย์เข้ามาทูลพระองค์ว่า “สถานที่นี้เป็นที่เปลี่ยว และเป็นเวลาเย็นมากแล้ว ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้ประชาชนไปตามหมูบ่ า้ นเพือ่ ซือ้ อาหารเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เขาไม่จำ� เป็นต้อง ไปจากที่นี่ ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด” เขาทูลตอบว่า “ที่นี่เรามีขนมปังเพียงห้าก้อนกับปลาสอง ตัวเท่านั้น” พระองค์จึงตรัสว่า “เอามาให้เราที่นี่เถิด” พระองค์ทรงสั่งให้ประชาชนนั่งลงบนพื้นหญ้า ทรงรับ ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวขึน้ มา ทรงแหงนพระพักตร์ขนึ้ มองท้องฟ้า ทรงกล่าวถวายพระพร ทรงบิขนมปัง ส่งให้บรรดาศิษย์ไปแจกแก่ประชาชน ทุกคนได้กินจนอิ่ม แล้วยังเก็บเศษที่เหลือได้ถึงสิบสองกระบุง จ�ำนวน คนที่กินมีผู้ชายประมาณห้าพันคน ไม่นับผู้หญิงและเด็ก เรื่องอัศจรรย์ที่พระเยซูเจ้าทรงทวีขนมปังเป็นเรื่องเดียวที่ปรากฏอยู่ในพระวรสารทั้งสี่ฉบับ เป็นเรื่อง ทีเ่ ตือนใจเราว่า เราเองก็เป็นเหมือนกับบรรดาศิษย์ทมี่ ไี ม่พอ และความไม่พอนีด้ เู หมือนเป็นส่วนหนึง่ ในชีวติ ของเราโดย ส่วนใหญ่ แต่เมื่อเราน�ำมามอบให้พระเจ้าและร�ำลึกถึงบทภาวนาข้าแต่พระบิดาว่า เป็นพระเจ้าที่ทรงประทานอาหาร ประจ�ำวันให้แก่เรา และด้วยความวางใจอันแท้จริง เราก็รู้สึกได้ถึงความอิ่มเอม วันนี้เป็นวันฉลองนักบุญอัลฟองโซ เด ลิกวอรี พระสังฆราชและนักปราชญ์ที่เป็นอีกคนที่มีจิตใจร้อนรนต่อผู้ที่ถูกทอดทิ้งมากที่สุดในสังคม จากชีวิตที่เพียบ พร้อมทุกอย่าง ท่านสละเพื่อมาใช้ชีวิตเทศน์สอนชาวปศุสัตว์ในถิ่นที่ห่างไกล และด้วยความเข้าใจในความเป็นจริงใน สังคม ท่านได้ปรับเปลี่ยนท่าทีของคริสตจริยศาสตร์ให้สอดคล้อง เปิดกว้าง และเชื้อเชิญให้คนกลับมาสู่อ้อมพระหัตถ์


บทอ่านที่ 1

ยรม 30:1-2,12-15,18-22

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเยเรมีย์ว่า “...องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ บาดแผลของ ท่านรักษาไม่หาย รอยฟกช�้ำของท่านก็สาหัส ไม่มีผู้ใดช่วยแก้คดีของท่าน ไม่มียารักษา บาดแผลของท่าน ท่านจะไม่มวี นั หายเจ็บ คนรักทุกคนของท่านได้ลมื ท่าน เขาไม่แสวงหา ท่านอีกแล้ว เพราะเราเฆี่ยนตีท่านเหมือนศัตรูโบยตี เป็นการลงโทษอย่างที่คนโหดร้าย ท�ำ เพราะความผิดของท่านใหญ่หลวง บาปของท่านมากมาย... องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ ดูซิ เราจะตั้งกระโจมของยาโคบให้กลับดีเหมือนเดิม เราจะสงสารที่อาศัยของเขา เมืองจะถูกสร้างขึ้นอีกบนกองซากปรักหักพัง พระราชวัง จะถูกตั้งขึ้นอีกในที่เดิม เพลงขอบพระคุณและเสียงของผู้ฉลองยินดีจะออกมาจากที่ เหล่านั้น เราจะทวีจ�ำนวนของเขา เขาจะไม่ลดจ�ำนวนลง เราจะให้เกียรติเขา เขาจะไม่ ถูกเหยียดหยาม ลูกหลานของเขาจะเป็นเหมือนเดิม ชุมชนของเขาจะมั่นคงอยู่ต่อหน้า เรา เราจะลงโทษทุกคนที่เบียดเบียนเขา... องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส ท่านทั้งหลายจะเป็น ประชากรของเรา และเราจะเป็นพระเจ้าของท่าน”

พระวรสาร

มธ 14:22-36

น.เอวเซบิโอ แห่งแวร์แชลลี พระสังฆราช น.เปโตร ยูเลียน ไรมาร์ด พระสงฆ์ สดด 102:15-17,18-20, 28 และ 21-22 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

ทันทีหลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งให้บรรดาศิษย์ลงเรือข้ามทะเลสาบล่วงหน้าพระองค์ไปในขณะที่ พระองค์ทรงจัดให้ประชาชนกลับ เมื่อทรงลาประชาชนแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่อทรงอธิษฐาน ภาวนาตามล�ำพัง ครัน้ เวลาค�ำ่ พระองค์ทรงอยูท่ นี่ นั่ เพียงพระองค์เดียว ส่วนเรืออยูห่ า่ งจากฝัง่ หลายร้อยเมตร ก�ำลังแล่นโต้คลื่นอย่างหนักเพราะทวนลม เมื่อถึงยามที่สี่ พระองค์ทรงด�ำเนินบนทะเลไปหาบรรดาศิษย์ เมื่อ บรรดาศิษย์เห็นพระองค์ทรงด�ำเนินอยู่บนทะเลดังนั้น ต่างตกใจมากกล่าวว่า “ผีมา” และส่งเสียงอื้ออึงด้วย ความกลัว ทันใดนั้นพระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ท�ำใจให้ดี เราเอง อย่ากลัวเลย” เปโตรทูลตอบว่า “พระเจ้าข้า ถ้าเป็นพระองค์ ก็จงสั่งให้ข้าพเจ้าเดิน บนน�้ำไปหาพระองค์เถิด” พระองค์ตรัสว่า “มาเถิด” เปโตรจึงลงจากเรือ เดินบนน�้ำไปหาพระเยซูเจ้า แต่เมื่อ เห็นว่าลมแรง เขาก็กลัวและเริ่มจมลง แล้วร้องว่า “พระเจ้าข้า ช่วยข้าพเจ้าด้วย” ทันใดนั้นพระเยซูเจ้าทรง ยื่นพระหัตถ์จับเขา ตรัสว่า “ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง สงสัยท�ำไมเล่า” เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นมาประทับ ในเรือพร้อมกับเปโตรแล้ว ลมก็สงบ คนที่อยู่ในเรือจึงเข้ามากราบนมัสการพระองค์ ทูลว่า “พระองค์เป็น พระบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง” พระเยซูเจ้าทรงข้ามฟากพร้อมกับบรรดาศิษย์มาขึน้ ฝัง่ ทีเ่ มืองเยนเนซาเรท ผูค้ นทีน่ นั่ จ�ำพระองค์ได้ จึงส่ง ข่าวต่อๆ กันไปทั่วบริเวณนั้น เขาน�ำผู้เจ็บป่วยทุกคนมาเฝ้าพระองค์ ทูลขอสัมผัสเพียงฉลองพระองค์เท่านั้น และทุกคนที่สัมผัสแล้ว ก็หายจากโรค สิง่ ทีน่ า่ ชืน่ ชมส�ำหรับเปโตรคือการทีเ่ ขากล้าทีจ่ ะออกไปจากเรือเพือ่ ออกไปเผชิญกับสิง่ ทีเ่ ขาคิดว่าเป็นไป ไม่ได้ ในขณะเดียวกัน เปโตรเองก็มีความไว้ใจและเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าเป็นแรงผลักดันให้เขากล้าที่จะก้าวพ้นความ กังวลว่าจะท�ำไม่ได้ เมื่อเวลาที่เปโตรก�ำลังจมลงเพราะความกลัวปกคุลมในจิตใจ เขาเองก็กล้าที่จะเรียกหาความช่วย เหลือจากพระเยซูเจ้า และเปิดรับการช่วยเหลือจากพระองค์ เพราะฉะนั้น การที่เราร้องเรียกหาพระองค์อยู่เสมอๆ เป็นการแสดงออกถึงความเชื่อมั่นและความไว้ใจว่าพระเยซูเจ้าทรงเดินอยู่ข้างเราตลอดเวลา พระองค์ไม่ทรงทิ้งเรา ให้เดินเดียวดาย เพียงแต่ขอให้เราเชื่อมั่นและไว้วางใจในพระเยซูเจ้าอยู่เสมอ


บทอ่านที่ 1

สัปดาห์ที่ 18 เทศกาลธรรมดา ยรม 31:10,11-12ก 13-14ก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

ยรม 31:1-7 วันนัน้ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัส เราจะเป็นพระเจ้าของทุกเผ่าแห่งอิสราเอล และเขา จะเป็นประชากรของเรา องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ประชากรที่รอดชีวิตจากดาบ ได้พบพระกรุณาใน ถิน่ ทุรกันดาร ขณะทีอ่ สิ ราเอลเดินไปหาทีพ่ กั ผ่อน องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงส�ำแดงพระองค์ แก่เขาจากที่ไกล ตรัสว่า เรารักท่านด้วยความรักนิรนั ดร ดังนัน้ เราจึงมีความรักมั่นคงต่อ ท่านตลอดไป อิสราเอลพรหมจารีเอ๋ย เราจะสร้างท่านอีก และท่านจะถูกสร้างขึ้นใหม่ ท่านจะแต่งตัวงดงามถือร�ำมะนาอีก ออกไปเต้นร�ำกับผู้ที่ฉลองยินดี ท่านจะปลูกสวน องุ่นบนภูเขาของสะมาเรียอีก ผู้ปลูกจะปลูก และเก็บผลผลิต วันนั้นจะมาถึง เมื่อคน ยามจะร้องเรียกบนภูเขาแห่งเอฟราอิมว่า ‘จงลุกขึน้ เถิด เราจงไปยังศิโยนกันเถิด ไปเฝ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเรา’” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “จงร้องเพลงด้วยความยินดีส�ำหรับยาโคบ และโห่ ร้องต้อนรับผู้น�ำของนานาชาติ จงประกาศสรรเสริญร้องว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วย ประชากรของพระองค์ให้รอดพ้น คือผู้ที่รอดชีวิตของอิสราเอล’”

พระวรสาร

มธ 15:21-28

เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จจากทีน่ นั่ มุง่ ไปเขตเมืองไทระและเมืองไซดอน ทันใดนัน้ หญิงชาวคานาอันคนหนึ่งจากเขตแดนนี้ ร้องว่า “โอรสกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตา ข้าพเจ้าด้วยเถิด บุตรสาวของข้าพเจ้าถูกปีศาจสิงต้องทรมานมาก” แต่พระองค์มไิ ด้ตรัส ตอบประการใด บรรดาศิษย์จงึ เข้ามาทูลพระองค์วา่ “โปรดประทานตามทีน่ างทูลขอเถิด เพราะนางร้องตะโกนตามหลังพวกเรามา” พระองค์ทรงตอบว่า “เราถูกส่งมาเพื่อแกะ ที่พลัดหลงของวงศ์วานอิสราเอลเท่านั้น แต่นางเข้ามากราบพระองค์ทูลว่า “พระเจ้าข้า โปรดช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด” พระองค์ทรงตอบว่า “ไม่สมควรที่จะเอาอาหารของลูก มา โยนให้ลกู สุนขั กิน” นางทูลว่า “ถูกแล้วพระเจ้าข้า แต่แม้แต่ลกู สุนขั ก็ยงั ได้กนิ เศษอาหาร ทีต่ กจากโต๊ะของนาย” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับนางว่า “นางเอ๋ย ความเชือ่ ของเจ้ายิง่ ใหญ่ จงเป็นไปตามที่เจ้าปรารถนาเถิด” และบุตรหญิงของนางก็หายเป็นปกติตั้งแต่บัดนั้น

หลายๆ ครั้ง พระเยซูเจ้าทรงทดสอบความเชื่อของคนที่เข้ามาขอความช่วยเหลือ หญิงชาวคานาอัน ก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกพระเยซูเจ้าทดสอบความเชื่อ เพราะพระองค์มีสิทธิ์ที่จะท�ำเช่นนี้ และเพราะเช่นนี้ที่ท�ำให้ความเชื่อ ความศรัทธาของหญิงชาวคานาอันในองค์พระเยซูเจ้าเพิ่มพูนมากขึ้น การด�ำเนินชีวิตในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องง่าย เราต้องเผชิญความยากล�ำบากต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในแต่ละวัน หลายๆ ครั้ง เราจึงเข้ามาวอนขอความช่วยเหลือจากพระเจ้า พระองค์จะประทานให้ตามที่เราวอนขอหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องส�ำคัญ ที่สุด สิ่งส�ำคัญคือ การที่เราไม่หันหลังเดินหนีจากพระเจ้า เพราะนั่นคือความเชื่อที่จะท�ำให้เราได้พบกับสัมผัสที่ให้การ เยียวยารักษา พระวาจาแห่งการให้อภัย และค้นพบความรักของพระเยซูเจ้าที่มีให้เราในทุกๆ วัน


บทอ่านที่ 1

ยรม 31:31-34

“ดูซิ วันเวลาจะมาถึง องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เมื่อเราจะท�ำพันธสัญญาใหม่กับ พงศ์พันธุ์อิสราเอลและพงศ์พันธุ์ยูดาห์ จะไม่เหมือนกับพันธสัญญาที่เราท�ำไว้กับ บรรพบุรษุ ของเขา เมือ่ เราจูงมือเขาให้ออกมาจากแผ่นดินอียปิ ต์ เขาได้ละเมิดพันธสัญญา นัน้ แม้วา่ เราเป็นเจ้านายของเขา” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัส “นีจ่ ะเป็นพันธสัญญาทีเ่ ราจะท�ำ กับพงศ์พนั ธุอ์ สิ ราเอลเมือ่ เวลานัน้ มาถึง” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัส “เราจะใส่ธรรมบัญญัติ ของเราไว้ภายในเขา เราจะเขียนธรรมบัญญัติไว้ในใจของเขา เราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา ไม่มีผใู้ ดจะต้องสอนเพือ่ นบ้านของตน หรือบอกพีน่ อ้ ง ของตนอีกต่อไปว่า ‘จงรูจ้ กั องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าเถิด’ เพราะทุกคนจะรูจ้ กั เรา ตัง้ แต่คนเล็ก น้อยทีส่ ดุ จนถึงคนใหญ่โตทีส่ ดุ ” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัส “เราจะให้อภัยความผิดของเขา และจะไม่ระลึกถึงบาปของเขาอีกต่อไป”

พระวรสาร

ระลึกถึง น.ยอห์น มารีย์ เวียนเนย์ พระสงฆ์ สดด 51:10-12ก, 12ข-13,16-17 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

มธ 16:13-23

เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเขตเมืองซีซารียาแห่งฟีลปิ และตรัสถามบรรดาศิษย์ ว่า “คนทัง้ หลายกล่าวว่าบุตรแห่งมนุษย์เป็นใคร” เขาทูลตอบว่า “บ้างกล่าวว่าเป็นยอห์น ผู้ท�ำพิธีล้าง บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเอลียาห์ บ้างกล่าวว่าเป็นประกาศกเยเรมีย์หรือ ประกาศกองค์ใดองค์หนึ่ง” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” ซีโมนเปโตรทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ซีโมนบุตรของยอห์น ท่านเป็นสุขเพราะไม่ใช่ มนุษย์ท่ีเปิดเผยให้ท่านรู้ แต่พระบิดาเจ้าของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผย เราบอกท่านว่า ท่านเป็นศิลา และบนศิลานี้ เราจะสร้างพระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้ เราจะมอบกุญแจ อาณาจักรสวรรค์ให้ ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้ จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วย ทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ ก็ จะแก้ในสวรรค์ด้วย” แล้วพระองค์ทรงก�ำชับบรรดาศิษย์มิให้บอกใครว่าพระองค์คือพระคริสตเจ้า ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูเจ้าทรงเริ่มแจ้งแก่บรรดาศิษย์ว่า พระองค์จะต้องเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มเพื่อรับการ ทรมานอย่างมากจากบรรดาผูอ้ าวุโส หัวหน้าสมณะและธรรมาจารย์ จะถูกประหารชีวติ แต่จะทรงกลับคืนพระ ชนมชีพในวันที่สาม เปโตรน�ำพระองค์แยกออกไป ทูลทัดทานว่า “ขอเถิด พระเจ้าข้า เหตุการณ์นี้จะไม่เกิดขึ้นกับพระองค์ อย่างแน่นอน” แต่พระองค์ทรงหันมาตรัสแก่เปโตรว่า “เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลังเรา เจ้าเป็นเครื่องกีดขวาง เรา เจ้าไม่คิดอย่างพระเจ้า แต่คิดอย่างมนุษย์” ทั้งท่านนักบุญยอห์น มารีย์ เวียนเนย์ และประกาศกเยเรมีย์ในบทอ่านแรก ได้ยินและได้เห็นกระแส ด�ำรัสของพระเจ้า และมองเห็นถึงวิถที างทีพ่ ระเจ้าทรงปรารถนาอย่างแจ่มแจ้ง และไม่วา่ จะยากล�ำบากขนาดไหน ท่าน ได้ชี้ให้เห็นความไม่ถูกต้องของสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม ทั้งยังชี้ให้เห็นผลแห่งบาปที่ตามมา ทั้งสองได้น�ำฝูงชนที่ท่านได้ดูแล ให้กา้ วหน้าไปสูอ่ สิ รภาพจากภายใน และการตืน่ ตัวจากความมืดบอดของสังคมทีน่ ำ� พวกเขาให้ออกห่างไปจากพระเมตตา ของพระเจ้า


วันถวายพระวิหาร แม่พระแห่งหิมะ ฉธบ 32:35-36,39,41 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 2 วันศุกร์ตนเดือน

บทอ่านที่ 1

นฮม 2:1,3;3:1-3,6-7

พระวรสาร

มธ 16:24-28

ดูซิ เท้าของผู้น�าข่าวดีอยู่บนภูเขาแล้ว เขาประกาศว่า “สันติภาพ” ยูดาห์เอ๋ย จง เฉลิมฉลองเทศกาลของเจ้าเถิด จงแก้บนของเจ้า เพราะคนชัว่ ร้ายจะไม่มารุกรานเจ้าอีก เขาถูกตัดออกไปหมดแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงฟืนฟูสวนองุ่นของยาโคบให้กลับสู่สภาพเดิม เหมือนสวน องุน่ ของอิสราเอล เพราะผูป้ ล้นได้ปล้นสวนองุน่ เหล่านี้ และได้ทา� ลายกิง่ ก้านจนหมดสิน้ วิบัติจงเกิดแก่เมืองที่แปดเปือนด้วยโลหิต เต็มไปด้วยการมุสาและของเชลย ไม่ เคยหยุดปล้น เสียงขวับของแส้ เสียงโครมครามของล้อรถ เสียงม้าควบ และเสียงรถ รบก�าลังทะยานไปพลม้าเข้าประจัญบาน คมดาบแวบวาบ หอกแวววาว คนจ�านวนมาก ถูกแทง คนตายกองเป็นพะเนิน มีศพนับไม่ถ้วน คนเดินสะดุดศพเหล่านั้น เราจะโยนของโสโครกใส่เจ้า ท�าให้เจ้าต้องอับอาย เป็นที่เยาะเย้ย แล้วทุกคนที่ เห็นเจ้าก็จะหนีไปจากเจ้า พูดว่า ‘กรุงนีนะเวห์ถูกท�าลายแล้ว ใครจะสงสารเธอ เราจะ ไปหาใครที่ไหนมาปลอบโยนเธอได้’” เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ถ้าผู้ใดอยากตามเรา ก็จงเลิกคิดถึง ตนเอง จงแบกไม้กางเขนของตนและติดตามเรา ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้น ก็ จะสูญเสียชีวิต แต่ถ้าผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา ก็จะพบชีวิต มนุษย์จะได้ประโยชน์ ใดในการที่ได้โลกทั้งโลกเป็นก�าไร แต่ต้องเสียชีวิต มนุษย์จะต้องให้สิ่งใดเพื่อแลกกับ ชีวิตที่สูญเสียไปให้กลับคืนมา บุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จกลับมาในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระบิดาพร้อมกับบรรดาทูต สวรรค์ เมื่อนั้นพระองค์จะประทานรางวัลแก่ทุกคนตามความประพฤติของเขา เราบอก ความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า บางท่านที่ยืนอยู่ที่นี่จะยังไม่ตาย จนกว่าจะได้เห็นบุตรแห่ง มนุษย์เสด็จกลับมาในพระอาณาจักรของพระองค์” พระเยซูเจ้าทรงเรียกร้องให้คนที่เป็นศิษย์ของพระองค์เลิกคิดถึงตนเอง หรือ พูดในอีกด้านหนึ่งคือ เลิกเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง แต่ให้พระเจ้าเป็นศูนย์กลางชีวิตเรา ทุกสิ่ง ที่เรามีล้วนมาจากพระเจ้า แม้แต่ตัวตนของเรา ก็เป็นของพระเจ้า เมื่อเรารับรู้ได้อย่างสมบูรณ์ ถึงเจ้าของที่แท้จริง เราจะสัมผัสได้ถึง “ชีวิต” หรืออิสรภาพที่พระเยซูเจ้าหมายถึง เมื่อนั้นเรา จะเริ่มรู้สึกว่าเราไม่จ�าเป็นต้องแสวงหาความมั่งคั่ง ชื่อเสียง หรือสมบัติต่างๆ เรารู้สึกว่าภาระ ต่างๆ ในการแสวงหาสิง่ เหล่านีไ้ ม่ได้หนักเท่าเมือ่ ก่อน และเมือ่ นัน้ เราจะรักพระเจ้าด้วยสิน้ สุดจิต ใจ และเราจะรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเองได้โดยไม่มีสิ่งกีดขวาง


บทอ่านที่ 1

ดนล 7:9-10,13-14

ขณะทีข่ า้ พเจ้าก�ำลังมองดูอยูน่ นั้ ข้าพเจ้าเห็นบัลลังก์หลายองค์ถกู น�ำมาตัง้ ไว้ และ ผู้สูงด้วยวัยวุฒิท่านหนึ่งมานั่งบนบัลลังก์ สวมอาภรณ์ขาวอย่างหิมะ ผมบนศีรษะขาว เหมือนขนแกะ บัลลังก์ของเขาเหมือนเปลวเพลิง มีล้อเหมือนไฟลุกโพลง เบื้องหน้า เขามีธารไฟไหลออกมา ผู้รับใช้จ�ำนวนมาก นับล้านนับโกฏิอสงไขย คอยเฝ้ารับใช้เขา การพิจารณาคดีเริ่มขึ้น และบรรดาหนังสือก็เปิดออก ข้าพเจ้ายังเห็นนิมิตเวลากลางคืนต่อไป ข้าพเจ้าเห็นท่านผู้หนึ่งเหมือนบุตรแห่ง มนุษย์ มาพร้อมกับหมู่ก้อนเมฆในท้องฟ้า เขามาพบผู้สูงด้วยวัยวุฒิ และมีผู้แนะน�ำเขา แก่ทา่ นผูน้ นั้ เขาได้รบั มอบอ�ำนาจปกครอง สิรริ งุ่ โรจน์ และอาณาจักร ประชาชนทุกชาติ ทุกภาษารับใช้เขา อ�ำนาจปกครองของเขาเป็นอ�ำนาจทีค่ งอยูต่ ลอดไปไม่มวี นั สิน้ สุด และ อาณาจักรของเขาจะไม่มีวันถูกท�ำลายเลย

พระวรสาร

ฉลองพระเยซูเจ้า ทรงประจักษ์ พระวรกายต่อหน้า อัครสาวก สดด 97:1-2,5-6,9

ลก 9:28ข-36

เวลานัน้ พระเยซูเจ้าทรงพาเปโตร ยอห์น และยากอบ ขึน้ ไปบนภูเขาเพือ่ อธิษฐาน ภาวนา ขณะที่ทรงอธิษฐานภาวนาอยู่น้ัน ลักษณะของพระพักตร์เปลี่ยนไปและฉลอง พระองค์มีสีขาวเจิดจ้า ทันใดนั้น บุรุษสองคนคือโมเสสและประกาศกเอลียาห์มา สนทนากับพระองค์ ทั้งสองคนปรากฏมาในสิริรุ่งโรจน์ กล่าวถึงการจากไปของพระองค์ ที่ก�ำลังจะส�ำเร็จในกรุงเยรูซาเล็ม เปโตรและเพื่อนที่อยู่ด้วยต่างก็ง่วงนอนมาก เมื่อตื่น ขึ้นก็เห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์และเห็นบุรุษทั้งสองคนยืนอยู่กับพระองค์ ขณะที่ บุรุษทั้งสองคนก�ำลังจะจากพระเยซูเจ้าไป เปโตรทูลพระองค์ว่า “พระอาจารย์เจ้าข้า ที่ นี่สบายน่าอยู่จริงๆ เราจงสร้างเพิงขึ้นสามหลังเถิด หลังหนึ่งส�ำหรับพระองค์ หลังหนึ่ง ส�ำหรับโมเสส อีกหลังหนึ่งส�ำหรับประกาศกเอลียาห์” เขาไม่รู้ว่าก�ำลังพูดอะไร ขณะที่ เขาก�ำลังพูดอยูน่ นั้ เมฆก้อนหนึง่ ลอยมาปกคลุมเขาไว้ เมือ่ อยูใ่ นเมฆ เขากลัวมาก เสียง หนึ่งดังออกมาจากเมฆว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรของเรา ผู้ที่เราได้เลือกสรร จงฟังท่านเถิด” เมื่อสิ้นเสียงนั้นแล้ว ศิษย์ทั้งสามคนก็เห็นพระเยซูเจ้าเพียงพระองค์เดียว เขาเก็บเรื่อง นี้เป็นความลับ ไม่ได้บอกเรื่องที่เห็นให้ผู้ใดรู้เลยในเวลานั้น

“นี่คือบุตรสุดที่รักของเรา ผู้ที่เราได้เลือกสรร จงเชื่อฟังท่านเถิด” นี่คือเสียงของพระเจ้าพระบิดา ที่ ตรัสแก่บรรดาอัครสาวกที่อยู่บนเขา และก็เป็นเสียงของพระเจ้าที่ตรัสแก่เราแต่ละคน เพราะว่าเราเองแต่ละคนก็เป็น ส่วนหนึ่งในพระวรกายของพระเยซูเจ้า เป็นเสียงที่ตรัสอย่างนิ่มนวลในหัวใจของเราว่า “ท่านเป็นบุตรสุดที่รักของเรา” ทุกวันนี้ ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการเข้าถึงสือ่ ต่างๆ อย่างง่าย หลายครัง้ ท�ำให้เกิดการรับรูข้ า่ วสาร ต่างๆ ทีไ่ ม่ชว่ ยท�ำให้มนุษย์เกิดการพัฒนา แต่นำ� ไปสูค่ วามเสือ่ มถอยของศีลธรรมทีม่ มี ากขึน้ ดังนัน้ วันนีพ้ ระเจ้าทรงเชือ้ เชิญเราให้รจู้ กั ทีจ่ ะหยุดรับฟังเสียงทีไ่ ม่ดตี า่ งๆ แล้วหันกลับมาฟังเสียงแห่งความรักของพระเจ้าพระบิดา ผูท้ รงรักเราทุก คนดังเช่นลูกๆ ของพระองค์ ให้เราเชือ่ เสมอกับเสียงทีบ่ อกกับเราในทุกๆ วันว่า “ท่านเป็นลูกชายและลูกสาวทีเ่ รารักทีส่ ดุ ”


สัปดาห์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 3 วันสื่อมวลชนส�กล

บทอ่านจากหนังสือปรีชาญาณ

ปชญ 18:6-9

เพลงสดุดี

สดด 33:1,11-12,18-19,20-22

บรรพบุรุษของข้าพเจ้าทั้งหลายได้รับรู้ล่วงหน้าถึงคืนนั้น เขาจะได้มีใจกล้าหาญ เพราะมัน่ ใจในพระสัญญาทีเ่ ขาเคยเชือ่ ประชากรของพระองค์รอคอยความรอดพ้นของ ผู้ชอบธรรม และรอคอยความพินาศของศัตรู ถูกต้องแล้ว สิ่งที่พระองค์ทรงใช้ลงโทษ ศัตรู พระองค์ก็ทรงใช้ประทานเกียรติแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายที่ทรงเรียกมาอยู่กับพระองค์ บรรดาบุตรหลานศักดิ์สิทธิ์ของผู้ชอบธรรมถวายสักการบูชาอย่างลับๆ พร้อมใจกันจะ ปฏิบัติตามพระบัญญัติข้อนี้ของพระเจ้า คือบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์จะร่วมทุกข์ ร่วมสุขด้วยกัน เขาจึงขับร้องเพลงสดุดีของบรรพบุรุษ ก) ผูช้ อบธรรมทัง้ หลาย จงร้องสรรเสริญองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าด้วยความเบิกบานเถิด ค�าสรรเสริญคู่ควรกับผู้สุจริต แต่แผนการขององค์พระผู้เป็นเจ้ามั่นคงตลอดกาล โครงการที่ตั้งพระทัยไว้ก็คงอยู่ต่อไปทุกยุคทุกสมัย ชนชาติที่มีองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระเจ้าของตนย่อมเป็นสุข คือประชากรที่ทรงเลือกไว้เป็นสมบัติของพระองค์ ข) แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเฝ้าพิทักษ์ผู้ที่ย�าเกรงพระองค์ ผู้ที่หวังในความรักมั่นคงของพระองค์ เพื่อจะช่วยชีวิตของเขาให้พ้นจากความตาย และรักษาเขาไว้ในยามขาดแคลนอาหาร ค) จิตใจของเราทั้งหลายก�าลังรอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นความช่วยเหลือและทรงเป็นโล่ป้องกันภัยของเรา ใช่แล้ว จิตใจของเราชื่นชมในพระองค์ เพราะเราวางใจในพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอความรักมั่นคงของพระองค์สถิตกับข้าพเจ้าทั้งหลาย เพราะข้าพเจ้าทั้งหลายมีความหวังในพระองค์

บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู ฮบ 11:1-2,8-12

พี่น้อง ความเชื่อคือความมั่นใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นข้อพิสูจน์ถึงสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะความเชื่อนี้ คนในสมัยก่อนจึงได้รับการยกย่องในพระคัมภีร์ เพราะความเชือ่ อับราฮัมเชือ่ ฟังเมือ่ พระเจ้าทรงเรียกให้ออกเดินทางไปสูส่ ถานทีท่ ี่ เขาจะได้รบั เป็นมรดก เขาออกเดินทางไปโดยไม่รวู้ า่ จะไปไหน เพราะความเชือ่ เขาพ�านัก ในดินแดนแห่งพระสัญญาเยีย่ งคนต่างด้าวในต่างแดน เขาอาศัยอยูใ่ นกระโจมเช่นเดียว กับอิสอัคและยาโคบผูเ้ ป็นทายาทร่วมพระสัญญาเดียวกัน เขารอคอยนครทีม่ รี ากฐานซึง่ พระเจ้าทรงเป็นผู้ออกแบบและทรงก่อสร้าง


เพราะความเชือ่ แม้นางซาราห์จะพ้นวัยให้กำ� เนิดแล้ว พระเจ้ายังทรงบันดาลให้ตงั้ ครรภ์ได้ เพราะนาง เชื่อว่าพระองค์ผู้ทรงสัญญาจะทรงซื่อสัตย์ต่อค�ำสัญญานั้น ดังนั้น จากคนเดียวซึ่งเปรียบเสมือนกับตาย แล้ว กลับเกิดลูกหลานจ�ำนวนมากเหมือนดวงดาวในท้องฟ้า และเหมือนเม็ดทรายทีน่ บั ไม่ได้บนชายทะเล

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา

ลก 12:32-48

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “ฝูงแกะน้อยๆ เอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะพระบิดาของท่านพอพระทัยจะประทานพระอาณาจักรให้ แก่ท่าน จงขายทรัพย์สินของท่านและให้ทาน จงหาถุงเงินที่ไม่มีวันช�ำรุด จงหาทรัพย์สมบัติที่ไม่มีวันหมด สิ้นในสวรรค์ ที่นั่นขโมยเข้าไม่ถึงและตัวขมวนไม่ท�ำลาย เพราะทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ใด ใจของท่าน ก็จะอยู่ที่นั่นด้วย ท่านทั้งหลายจงคาดสะเอวและจุดตะเกียงเตรียมพร้อมไว้ จงเป็นเสมือนผู้รับใช้ที่ก�ำลังคอยนาย กลับจากงานมงคลสมรส เมื่อนายมาและเคาะประตูจะได้เปิดรับ ผู้รับใช้เหล่านั้นเป็นสุข ถ้านายกลับมา พบเขาก�ำลังตื่นเฝ้าอยู่ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะคาดสะเอวพาผู้รับใช้เหล่านั้นไปนั่ง โต๊ะและจะรับใช้เขาด้วย ไม่ว่านายจะมาเวลาสองยามหรือสามยาม ถ้าพบผู้รับใช้ก�ำลังท�ำเช่นนี้ ผู้รับใช้ เหล่านั้นก็เป็นสุข พึงรู้ไว้เถิด ถ้าเจ้าของบ้านรู้ว่าขโมยจะมาเวลาใด เขาคงไม่ปล่อยให้ขโมยงัดแงะบ้าน ของตน ท่านทั้งหลายจงเตรียมพร้อมไว้ เพราะบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในเวลาที่ท่านมิได้คาดหมาย” เปโตรทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ตรัสอุปมานีส้ ำ� หรับพวกเราหรือส�ำหรับทุกคน” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ตรัสว่า “ใครเป็นผู้จัดการที่ซอื่ สัตย์และรอบคอบซึ่งนายจะแต่งตั้งให้ดูแลผู้รับใช้อื่นๆ เพื่อปันส่วนอาหาร ให้ตามเวลาที่ก�ำหนด ผู้รับใช้คนนั้นเป็นสุข ถ้านายกลับมาพบเขาก�ำลังท�ำดังนี้ เราบอกความจริงแก่ท่าน ทั้งหลายว่า นายจะแต่งตั้งเขาให้ดูแลทรัพย์สินทั้งหมดของตน แต่ถ้าผู้รับใช้คนนั้นคิดว่า “นายจะมาช้า” และเริ่มตบตีผู้รับใช้ทั้งชายและหญิง กินดื่มจนเมามาย นายของผู้รับใช้คนนั้นจะกลับมาในวันที่เขามิได้ คาดหมาย ในเวลาที่เขาไม่รู้ นายจะแยกเขาออก ให้ไปอยู่กับพวกคนที่ไม่ซื่อสัตย์ ผู้รับใช้ที่รู้ใจนายของตน แต่ไม่เตรียมพร้อมและไม่ท�ำตามใจนาย จะต้องถูกเฆี่ยนมาก แต่ผู้รับใช้ ที่ไม่รู้ใจนาย แม้ท�ำสิ่งที่ควรจะถูกเฆี่ยน ก็จะถูกเฆี่ยนน้อย ผู้ใดได้รับฝากไว้มาก ผู้นั้นก็จะถูกทวงกลับ ไปมากด้วย”

เมือ่ เราพิจารณาดูความเชือ่ ของอับราฮัมทีม่ ตี อ่ เสียงเรียกของพระเจ้าทีท่ า่ นไม่รจู้ กั เราเชือ่ ว่าต้อง มีอกี ด้านทีท่ ำ� ให้ทา่ นท�ำตามเสียงเรียกอย่างไม่ลมื หูลมื ตาหรืออย่างไร้กงั ขา แม้เสียงนัน้ สัง่ ให้ทา่ นน�ำบุตรชายมาฆ่า ถวาย อีกด้านที่เราควรสนใจคือ ความสัมพันธ์ต่อพระเจ้าที่ท่านมี การตัดสินใจอันเด็ดเดี่ยวจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าท่าน ไม่มีความเชื่อมั่น ความสัมพันธ์อันแนบแน่น ความคุ้นเคยต่อพระเจ้าที่ท่านฟังเสียงอยู่ สิ่งนี้คือชีวิตภายในที่เกิด ขึ้นในตัวท่านที่ลึกซึ้งดื่มด�่ำ การกระท�ำเป็นเพียงผลแห่งความสัมพันธ์นี้ที่อยู่เบื้องลึกในตัวท่าน


บทอ่านที่ 1

อสค 1:2-5,24-28ค

วันที่ห้าของเดือน คือในปีที่ห้าที่กษัตริย์เยโฮยาคีนทรงถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับสมณะเอเสเคียล บุตรของบุซีในแผ่นดินของชาวเคลเดีย ริม แม่น�้ำเคบาร์ พระหัตถ์องค์พระผู้เป็นเจ้ามาอยู่เหนือเขาที่นั่น ข้าพเจ้ามองดู ก็เห็นลมพายุพัดมาจากทิศเหนือ เห็นเมฆก้อนใหญ่ที่มีไฟล้อมอยู่ มีความสุกใสลุกอยู่โดยรอบ ตรงใจกลางกองไฟมีแสงที่มีสีเหมือนอ�ำพันแวบวาบออก ระลึกถึง น.โดมินิก มาเหมือนไฟ พระสงฆ์ จากกลางกองไฟนีม้ รี า่ งสิง่ มีชวี ติ สีต่ นปรากฏออกมา รูปร่างมีสณ ั ฐานเหมือนมนุษย์ สดด 148:1-2,11-12, เมือ่ สิง่ มีชวี ติ เหล่านีเ้ คลือ่ นไหว ข้าพเจ้าได้ยนิ เสียงของปีกเหมือนเสียงน�ำ้ มากมาย 13-14 เหมือนเสียงฟ้าร้องของพระผู้ทรงสรรพานุภาพ เหมือนเสียงพายุ เหมือนเสียงโกลาหล ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 วุน่ วายในค่าย เมือ่ สิง่ มีชวี ติ เหล่านีห้ ยุด ก็หบุ ปีกลง มีเสียงมาจากแผ่นฟ้าเบือ้ งบนเหนือ ศีรษะของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ เหนือแผ่นฟ้าเหนือศีรษะของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้มีสิ่งหนึ่งคล้ายอัญมณีสีน�้ำเงิน มีลักษณะเหมือนบัลลังก์ และเหนือบัลลังก์ที่อยู่เบื้องบนนี้มีผู้หนึ่งลักษณะเหมือนมนุษย์ แล้วข้าพเจ้าก็เห็นแสงทีม่ สี เี หมือนอ�ำพันจากเหนือบัน้ เอวขึน้ ไป และเห็นแสงเหมือนไฟจากใต้บนั้ เอวลง มา เห็นความสุกใสอยู่รอบท่านผู้นั้น ท่านผู้นั้นมีความสุกใสเหมือนสายรุ้งบนเมฆในวันที่ฝนตกอยู่โดยรอบ ข้าพเจ้าเห็นรูปทรงของพระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเช่นนี้ เมื่อเห็นแล้ว ข้าพเจ้าก็ซบหน้าลงจรดพื้น

พระวรสาร

มธ 17:22-27

เวลานัน้ เมือ่ บรรดาศิษย์ชมุ นุมอยูก่ บั พระเยซูเจ้าในแคว้นกาลิลี พระองค์ตรัสแก่เขาว่า “บุตรแห่งมนุษย์ จะถูกมอบในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย และถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สาม บุตรแห่งมนุษย์จะกลับคืนชีพ” บรรดาศิษย์รู้สึกเป็นทุกข์ยิ่งนัก เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงเมืองคาเปอรนาอุมพร้อมกับบรรดาศิษย์ ผู้เก็บภาษีบ�ำรุงพระวิหารเข้ามาหา เปโตร ถามว่า “อาจารย์ของท่านไม่เสียเงินบ�ำรุงพระวิหารหรือ” เปโตรตอบว่า “เสียซิ” เมื่อเปโตรเข้าไปในบ้าน พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาก่อนว่า “ซีโมน ท่านมีความเห็น อย่างไร กษัตริย์ในโลกนี้ทรงเก็บภาษีจากใคร จากโอรสธิดาหรือจากคนอื่น” เปโตรทูลตอบว่า “จากคนอื่น” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ถ้าเช่นนั้นโอรสธิดาย่อมได้รับการยกเว้น แต่เพื่อมิให้ใครต�ำหนิเรา ท่านจงไปที่ทะเล หย่อนเบ็ดลงไป จับปลาตัวแรกที่ตกได้ เปิดปากปลา ท่านจะพบเงินหนึ่งเหรียญ จงน�ำเงินนั้นไปเสียภาษีเพื่อ เราและท่านเถิด” มิตรภาพที่พระเยซูเจ้าทรงมีต่อบรรดาศิษย์ ไม่ได้มีเพียงแต่ในแง่ของอาจารย์และศิษย์ เป็นเพื่อนร่วม เคียงบ่าเคียงไหล่ ใช้ชีวิตเดินทางร่วมกัน แต่พระองค์ทรงแบ่งปันความทุกข์เศร้า เมื่อพระองค์พูดถึงการสิ้นพระชนม์ และความหวัง คือการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ ไม่เพียงท่านั้น พระองค์ทรงร่วมกับเปโตรผู้เป็นศิษย์ในด้าน วัตถุสิ่งของ ในการที่บอกวิธีให้นักบุญเปโตรน�ำมาซึ่งเงินส�ำหรับจ่ายภาษี ความสัมพันธ์ที่พระองค์ทรงมีต่อบรรดาอัคร สาวกเป็นความสัมพันธ์อันลึกซึ้งและมีหลายมิติ แล้วเราเล่า ความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์เป็นอย่างไร


บทอ่านที่ 1

อสค 2:8-3:4

พระวรสาร

มธ 18:1-5,10,12-14

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “แต่ท่าน บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงฟังสิ่งที่เราพูดกับ ท่าน อย่าเป็นคนกบฏเหมือนพงศ์พันธุ์กบฏ จงอ้าปากและกินสิ่งที่เราก�ำลังจะให้ท่าน” เมือ่ ข้าพเจ้ามองดูกเ็ ห็นพระหัตถ์เหยียดออกมาหาข้าพเจ้า พระหัตถ์นนั้ ถือหนังสือ ม้วนหนึ่ง พระองค์ทรงคลี่หนังสือม้วนนั้นออกต่อหน้าข้าพเจ้า มีอักษรเขียนอยู่ทั้งด้าน หน้าและด้านหลัง มีบทคร�่ำครวญ ค�ำไว้ทุกข์ และค�ำวิบัติเขียนอยู่ในม้วนหนังสือนั้น พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงกินสิง่ ทีท่ า่ นเห็น จงกินหนังสือ น.เทเรซา เบเนดิกตา แห่งไม้กางเขน ม้วนนี้ แล้วจงไปพูดกับพงศ์พันธุ์อิสราเอลเถิด” ข้าพเจ้าจึงอ้าปาก พระองค์ก็ประทาน พรหมจารี หนังสือม้วนนั้นให้ข้าพเจ้ากิน แล้วตรัสว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงกินหนังสือม้วนนี้ซึ่ง และมรณสักขี เราให้ท่าน จงกินให้อิ่ม” ข้าพเจ้าจึงกินหนังสือม้วนนั้น ซึ่งมีรสหวานเหมือนน�้ำผึ้งใน สดด 119:13-14,24,72, ปากของข้าพเจ้า 102-103,111-112,131-132 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงไปพบพงศ์พนั ธุอ์ สิ ราเอล ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 และประกาศถ้อยค�ำของเราแก่เขา

ขณะนัน้ บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “ผูใ้ ดยิง่ ใหญ่ทสี่ ดุ ในอาณาจักรสวรรค์” พระเยซูเจ้า ทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งให้มายืนอยู่กลางกลุ่มพวกเขา แล้วตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย ดังนัน้ ผูใ้ ดทีถ่ อ่ มตนลงเป็นเหมือน เด็กเล็กๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ผู้ใดต้อนรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้ในนามของเรา ผู้นั้นต้อนรับเรา จงระวังให้ดี อย่าดูหมิน่ คนธรรมดาๆ เหล่านีค้ นใดเลย เราบอกท่านทัง้ หลายว่า ตลอดเวลาในสวรรค์ ทูต สวรรค์ของเขาเฝ้าชมพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ท่านทัง้ หลายคิดอย่างไร ถ้าชายคนหนึง่ มีแกะอยูร่ อ้ ยตัว แล้วแกะตัวหนึง่ บังเอิญหลงทาง เขาจะไม่ปล่อย แกะเก้าสิบเก้าตัวไว้บนภูเขา เพื่อค้นหาแกะตัวที่หลงไปหรือ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าเขาหาแกะตัวนั้นพบแล้ว เขาจะรู้สึกยินดีที่พบมัน มากกว่ายินดี ในแกะเก้าสิบเก้าตัวที่มิได้พลัดหลง พระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์ก็เช่นเดียวกัน ไม่ทรงปรารถนาให้คนธรรมดาๆ เหล่านี้แม้เพียงผู้เดียว ต้องพินาศไป” ในหนังสือเอเสเคียล พระเจ้าทรงใช้การกินเป็นภาพที่แสดงถึงความเข้าใจอันถ่องแท้ ความเป็นเนื้อ เดียวกันกับสิ่งที่ประกาศกกิน คือม้วนหนังสือที่บรรจุพระวาจา และตามพระวรสารของนักบุญยอห์น พระวาจาคือ องค์พระเจ้าที่ทรงมีอยู่ก่อนปฐมกาล เป็นภาพที่แสดงล่วงหน้าถึงความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างเรากับพระคริสตเจ้า ในศีลมหาสนิท แต่การรับศีลไม่ได้หยุดอยู่แค่การกินปัง ดังในบทอ่านที่พระเจ้าสั่งให้ประกาศกออกไปพบพงศ์พันธุ์และ ประกาศถ้อยค�ำของเรา ชีวิตพระที่เป็นหนึ่งเดียวในตัวเราจะต้องได้รับการประกาศออกไปสู่ผู้อื่น


ฉลอง น.ลอเรนซ์ สังฆานุกร มรณสักขี สดด 112:1-2,5-6 7-8,9

บทอ่านที่ 1

2 คร 9:6-10

พระวรสาร

ยน 12:24-26

พี่น้อง พึงจ�าไว้ว่าผู้ที่หว่านเมล็ดพืชเพียงเล็กน้อย ก็จะเก็บเกี่ยวได้เพียงเล็ก น้อย ผู้ที่หว่านเมล็ดพืชมากก็จะเก็บเกี่ยวได้มาก แต่ละคนจงให้ตามที่ตั้งใจไว้ มิใช่ให้ โดยนึกเสียดาย มิใช่ให้โดยฝืนใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักผู้ท่ีให้ด้วยใจยินดี พระเจ้า ประทานพระหรรษทานทุกประการแก่ทา่ นได้อย่างอุดม เพือ่ ให้ทา่ นมีทกุ สิง่ เพียงพอ และ ยังมีเหลือเฟือส�าหรับกิจการดีทุกประการอีกด้วย ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เขา เอื้อเฟือแจกจ่าย เขาให้แก่คนยากจน ความชอบธรรมของเขาด�ารงอยู่ตลอดนิรันดร” พระองค์ผู้ประทานเมล็ดพืชแก่ผู้หว่านและประทานอาหารเลี้ยงชีวิตจะทรงจัดหา และทรงทวีเมล็ดพืชทีท่ า่ นหว่าน และจะทรงเพิม่ พูนผลแห่งความชอบธรรมของท่านด้วย เวลานั้นพระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงในดินและตายไป มัน ก็จะเป็นเพียงเมล็ดเดียวเท่านัน้ แต่ถา้ มันตาย มันก็จะบังเกิดผลมากมาย ผูท้ รี่ กั ชีวติ ของ ตนย่อมจะเสียชีวติ นัน้ ส่วนผูท้ พี่ ร้อมจะสละชีวติ ของตนในโลกนี้ ก็ยอ่ มจะรักษาชีวติ นัน้ ไว้สา� หรับชีวติ นิรนั ดร ผูใ้ ดรับใช้เรา ผูน้ นั้ จงตามเรามา เราอยูท่ ใี่ ด ผูร้ บั ใช้ของเราก็จะอยู่ ที่นั่นด้วย ผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาจะประทานเกียรติแก่เขา” ในปัจจุบนั มีคนเพียงจ�านวนน้อยทีถ่ อื ครองทรัพยากรส่วนใหญ่ของโลก ในขณะ ทีค่ นส่วนใหญ่เป็นเพียงคนจนทีไ่ ด้สดั ส่วนของทรัพยากรเพียงน้อยนิด พระเยซูเจ้าเชือ้ เชิญให้เรา มาสู่ความมั่งมีที่แท้จริง ความมั่งมีที่ไม่ได้มาจากการเก็บสะสม หรือมีมาก แต่ความมั่งมีที่แท้ จริงคือความใจกว้าง คือการได้แจกจ่ายสิ่งที่มีออกไป จงมีใจกว้าง แล้วท่านจะมีสุข จะให้เมล็ด ข้าวที่ถูกเก็บไว้ ถูกขมวนกัดกิน หรือจะยอมให้มันตกลงดินแล้วเกิดผล พระเจ้าจะทรง “...ทวี เมล็ดที่ท่านหว่านและจะทรงเพิ่มพูนผลแห่งความชอบธรรมของท่านด้วย” (2 คร 10)


บทอ่านที่ 1

อสค 12:1-12

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ท่านอาศัยอยู่ในหมู่ พงศ์พันธุ์กบฏ เขามีตาเพื่อเห็น แต่ไม่ยอมดู มีหูเพื่อฟัง แต่ไม่ยอมฟัง เพราะเขาเป็น พงศ์พันธุ์กบฏ บัดนี้ บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ท่านจงจัดเตรียมข้าวของส�ำหรับถูกกวาดต้อน ไปเป็นเชลย แล้วออกเดินทางไปเป็นเชลยในเวลากลางวันเพื่อให้ทุกคนเห็น...” ข้าพเจ้าก็ท�ำตามที่ข้าพเจ้าได้รับค�ำสั่ง ข้าพเจ้าน�ำข้าวของออกมาเวลากลางวัน เหมือนเป็นข้าวของของผู้ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลย ในเวลาเย็นข้าพเจ้าใช้มือเจาะช่อง ในก�ำแพง เมื่อมืดแล้ว ข้าพเจ้าก็ออกไป แบกข้าวของออกไปต่อหน้าเขา เช้าวันรุ่งขึ้น องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย พงศ์พันธุ์ อิสราเอล พงศ์พันธุ์กบฏได้ถามท่านหรือไม่ว่า ‘ท่านก�ำลังท�ำอะไร’ จงตอบเขาว่า ‘องค์ พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้... จงพูดว่า ‘ข้าพเจ้าเป็นเครือ่ งหมายส�ำหรับท่าน ข้าพเจ้า ได้ท�ำอย่างไร เขาทั้งหลายก็จะถูกบังคับให้ท�ำอย่างนั้น...

พระวรสาร

ระลึกถึง น.กลารา พรหมจารี สดด 78:56-57,58-59, 61-63 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

มธ 18:21-19:1

เวลานั้น เปโตรเข้ามาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพี่น้องท�ำผิดต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้าต้องยกโทษ ให้เขาสักกี่ครั้ง ถึงเจ็ดครั้งหรือไม่” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราไม่ได้บอกท่านว่าต้องยกโทษให้เจ็ดครั้ง แต่ ต้องยกโทษให้เจ็ดคูณเจ็ดสิบครั้ง อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงประสงค์จะตรวจบัญชีหนี้สินของผู้รับใช้ ขณะที่ ทรงเริ่มตรวจบัญชีนั้น มีผู้น�ำชายผู้หนึ่งเข้ามา ชายผู้นี้เป็นหนี้อยู่เป็นพันล้านบาท เขาไม่มีสิ่งใดจะช�ำระหนี้ได้ กษัตริยจ์ งึ ตรัสสัง่ ให้ขายทัง้ ตัวเขา บุตรภรรยาและทรัพย์สนิ ทัง้ หมดเพือ่ ใช้หนี้ ผูร้ บั ใช้กราบพระบาททูลอ้อนวอน ว่า ‘ขอทรงพระกรุณาผัดหนีไ้ ว้กอ่ นเถิด แล้วข้าพเจ้าจะช�ำระหนีใ้ ห้ทงั้ หมด’ กษัตริยท์ รงสงสารจึงทรงปล่อยเขา ไปและทรงยกหนี้ให้ ขณะที่ผู้รับใช้ออกไป ก็พบเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกันซึ่งเป็นหนี้เขาอยู่ไม่กี่พันบาท เขาเข้าไป คว้าคอบีบไว้แน่น พูดว่า ‘เจ้าเป็นหนี้ข้าอยู่เท่าไร จงจ่ายให้หมด’ เพือ่ นคนนัน้ คุกเข่าลงอ้อนวอนว่า ‘กรุณาผัดหนีไ้ ว้กอ่ นเถิด แล้วข้าพเจ้าจะช�ำระหนีใ้ ห้’ แต่เขาไม่ยอมฟัง น�ำลูกหนี้ไปขังไว้จนกว่าจะช�ำระหนี้ทั้งหมด เพื่อนผู้รับใช้อื่นๆ เห็นดังนั้นต่างสลดใจมาก จึงน�ำความทั้งหมด ไปทูลกษัตริย์ พระองค์จึงทรงเรียกชายผู้นั้นมา ตรัสว่า ‘เจ้าคนสารเลว ข้ายกหนี้สินของเจ้าทั้งหมดเพราะเจ้า ขอร้อง เจ้าต้องเมตตาเพื่อนผู้รับใช้ด้วยกัน เหมือนกับที่ข้าได้เมตตาเจ้ามิใช่หรือ’ กษัตริย์กริ้วมาก ตรัสสั่งให้ น�ำผูร้ บั ใช้นนั้ ไปทรมานจนกว่าจะช�ำระหนีท้ งั้ หมด พระบิดาของเราผูส้ ถิตในสวรรค์จะทรงกระท�ำต่อท่านท�ำนอง เดียวกัน ถ้าท่านแต่ละคนไม่ยอมยกโทษให้พี่น้องจากใจจริง” เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสเรื่องนี้จบแล้ว จึงเสด็จออกจากแคว้นกาลิลีเข้าไปในแคว้นยูเดีย อีกฟากหนึ่งของ แม่น�้ำจอร์แดน นักบุญกลารา เป็นนักบุญร่วมสมัยกับนักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซี ท่านเป็นผู้ก่อตั้งคณะนักพรตหญิงที่ ใช้ชีวิตอย่างยากจนในอาราม ท่านปฏิบัติตามพระวินัยอย่างเคร่งครัด เช่น การไม่สวมรองเท้า ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ นอนบนพื้น พูดเมื่อจ�ำเป็น เป็นสิ่งที่ปฏิบัติโดยทั่วไป แต่ท่านเองก็ได้ท�ำในสิ่งที่มากไปกว่านั้น เช่น การจูบเท้าซิสเตอร์ ทีก่ ลับมาจากการขอทาน สิง่ เหล่านีเ้ ป็นการใช้ชวี ติ เป็นประจักษ์พยานในการร่วมพระทรมานและการไถ่กขู้ องพระคริสต เจ้า


น.ฌาน ฟรังซัวส์ เดอ ชังตาล นักบวช อสย 12:2-3,4-5,6 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 3 วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจาฯ พระบรมราชินีนาถ

บทอ่านที่ 1

อสค 16:59-63

พระวรสาร

มธ 19:3-12

องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส เราจะท�ากับเจ้าอย่างที่เจ้าได้ท�า เจ้าได้ดูหมิ่นค�า สาบานและละเมิดพันธสัญญา แต่เรายังระลึกถึงพันธสัญญาของเรากับเจ้าเมื่อเจ้ายัง เป็นสาว เราจะท�าพันธสัญญากับเจ้าซึ่งจะคงอยู่ตลอดไป แล้วเจ้าจะระลึกถึงความ ประพฤติของเจ้าและจะอับอาย เมื่อเจ้าจะรับทั้งพี่และน้องสาวของเจ้า เราจะมอบเขา ให้เป็นบุตรสาวของเจ้า แม้ไม่เป็นเงื่อนไขของพันธสัญญาที่เราท�ากับเจ้า เราจะรื้อฟืน พันธสัญญาของเรากับเจ้า เจ้าจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเจ้าจะได้จดจ�าและมี ความละอาย และจะไม่อ้าปากพูดอีกเพราะความอับอาย เมื่อเราจะให้อภัยทุกสิ่งที่เจ้า ได้ท�า” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส เวลานั้น ชาวฟาริสีบางคนเข้ามาเพื่อจับผิดพระองค์ ทูลถามว่า “เป็นการถูกต้อง หรือไม่ ที่ชายจะหย่าร้างกับภรรยาเนื่องด้วยเหตุใดก็ตาม” พระองค์ทรงตอบว่า “ท่านไม่ได้อ่านพระคัมภีร์หรือว่าเมื่อแรกนั้นพระผู้สร้างทรง สร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง และตรัสว่า ดังนี้ ชายจะละบิดามารดาไปสนิทอยู่กับ ภรรยาของตนและชายหญิงจะเป็นเนื้อเดียวกัน เขาจึงไม่เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อเดียวกัน ดังนั้น สิ่งที่พระเจ้าทรงรวมกันไว้ มนุษย์อย่าได้แยกเลย” ชาวฟาริสีจึงทูลถามว่า “แล้วท�าไมโมเสสจึงสั่งให้ชายท�าหนังสือหย่าร้าง แล้วหย่า ร้างได้” พระองค์ตรัสว่า “เพราะใจดื้อแข็งกระด้างของท่าน โมเสสจึงยอมอนุญาตให้ หย่าร้างได้ แต่เมื่อแรกเริ่มนั้น หาเป็นเช่นนี้ไม่ เราบอกท่านทัง้ หลายว่า ผูใ้ ดหย่าร้างภรรยาและแต่งงานกับอีกคนหนึง่ เขาก็ทา� ผิด ประเวณี เว้นแต่ในกรณีแต่งงานไม่ถูกต้อง” บรรดาศิษย์ทูลพระองค์ว่า “ถ้าสภาพของสามีกับภรรยาเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ควรจะ แต่งงานเลย” พระองค์ตรัสว่า “ไม่ใช่ทุกคนเข้าใจค�าสอนนี้ คนที่เข้าใจคือคนที่พระเจ้า ประทานให้ เพราะว่า บางคนเป็นขันทีตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา บางคนถูกมนุษย์ท�าให้ เป็นขันที และบางคนท�าตนเป็นขันทีเพราะเห็นแก่อาณาจักรสวรรค์ ผู้ที่เข้าใจได้ ก็จง เข้าใจเถิด” ดูเหมือนว่าในความเป็นมนุษย์ของเรานัน้ การท�าตามพันธสัญญาหรือข้อผูกมัด เป็นสิง่ ทีไ่ ม่งา่ ยเลย เพราะมนุษย์เองสนใจต่อความต้องการของตนเองมากกว่าสิง่ ทีต่ อ้ งท�าร่วม กันเพือ่ ให้บรรลุตอ่ ค�าสัญญา นับตัง้ แต่อดีตกาล พระเจ้าเองก็เป็นฝายทีต่ งั้ พันธสัญญากับมนุษย์ พระองค์ท�าในส่วนของพระองค์ มากกว่านั้นพระองค์ทรงสอน เตือน ดึงมนุษย์กลับมาเมื่อเริ่ม ออกนอกทางในส่วนของมนุษย์ เพื่อให้เราได้เติบโต และเรียนรู้ที่จะท�าตามข้อผูกมัดและได้รับ ผลแห่งพันธสัญญานั้น


บทอ่านที่ 1

อสค 18:1-10,13ข,30-32

องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ท�าไมท่านทัง้ หลายจึงกล่าวค�าพังเพยนีซ้ า�้ ซาก ในแผ่นดินอิสราเอลว่า ‘พ่อกินผลองุ่นเปรี้ยว แต่ลูกเข็ดฟัน’ เรามีชีวิตอยู่แน่ฉันใด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส ท่านทั้งหลายจะต้องไม่ใช้ค�า พังเพยนี้อีกต่อไปในอิสราเอล ดูซิ ชีวิตทั้งหลายเป็นของเรา ชีวิตของพ่อเป็นของเรา ฉันใด ชีวิตของลูกก็เป็นของเราฉันนั้น ผู้ใดท�าบาป ผู้นั้นจะต้องตาย” “ถ้าคนหนึง่ เป็นผูช้ อบธรรม ปฏิบตั คิ วามถูกต้องและความยุตธิ รรม ถ้าเขาไม่กนิ ของ ถวายตามสักการสถานบนทีส่ งู ไม่เงยหน้าขึน้ คารวะรูปเคารพของพงศ์พนั ธุอ์ สิ ราเอล ไม่ ล่วงเกินภรรยาของเพื่อนบ้าน ไม่เข้าหาหญิงที่มีประจ�าเดือน ไม่ข่มเหงผู้อื่น แต่คืนของ ประกันแก่ลูกหนี้ ไม่ลักทรัพย์ แต่ให้อาหารแก่ผู้หิวโหยและให้เสื้อผ้าแก่ผู้ไม่มีเสื้อผ้า คลุมกาย ไม่ให้ผอู้ นื่ ยืมเงินเพือ่ เรียกดอกเบีย้ หรือหาก�าไร ยัง้ มือไว้ไม่ทา� ความชัว่ ตัดสิน คู่ความอย่างยุติธรรม ด�าเนินชีวิตตามข้อก�าหนดและปฏิบัติตามค�าวินิจฉัยของเราอย่าง ซื่อสัตย์ คนนั้นก็เป็นผู้ชอบธรรม เขาจะมีชีวิต” องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส “แต่ถ้าคนหนึ่งมีบุตรเป็นโจร เป็นฆาตกร และท�าความชั่วเหล่านี้ เขาจะต้องตาย แน่ๆ เพราะเขาได้ท�าสิ่งน่าสะอิดสะเอียน และจะต้องตายเพราะความผิดของตน” ดังนัน้ พงศ์พนั ธุอ์ สิ ราเอลเอ๋ย เราจะพิพากษาแต่ละคนตามความประพฤติของเขา องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส จงกลับใจและเลิกการล่วงละเมิดทั้งหมดของท่าน แล้ว ความผิดของท่านจะไม่เป็นเหตุให้ท่านพินาศ จงละทิ้งการล่วงละเมิดทั้งหมดที่ท่านได้ ท�า จงท�าตนให้มีใจใหม่และจิตใหม่ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย ท�าไมท่านจะต้องตายเล่า เราไม่พอใจในความตายของผู้ใด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส จงกลับใจเถิด แล้ว ท่านจะมีชีวิต”

พระวรสาร

มธ 19:13-15

ขณะนัน้ มีผนู้ า� เด็กเล็กๆ มาให้พระองค์ทรงปกพระหัตถ์อวยพร แต่บรรดาศิษย์กลับ ดุว่าคนเหล่านั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “ปล่อยให้เด็กเล็กๆ มาหาเราเถิด อย่าห้าม เลย เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของคนทีเ่ หมือนเด็กเหล่านี”้ พระองค์ทรงปกพระหัตถ์ ให้เด็กเหล่านั้น แล้วจึงเสด็จไปจากที่นั่น มีความเชือ่ ว่าการทีเ่ ราปลูกฝังคุณธรรมบางประการให้กบั สังคม บางครัง้ ต้อง ทุม่ เวลาเป็นหลายชัว่ อายุคน จึงเป็นการเปลีย่ นแปลงสิง่ ทีเ่ รามองเห็นว่าเป็นสิง่ ดีในคนยุคนี ้ มัน คือการอบรมบ่มสอนที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่บรรดาปู ย่า ตา ยายของเขา ต้นไม้แห่งความดีต้องใช้ เวลาและยากที่จะปลูก แต่เมื่อมันเติบโตแล้วก็จะเป็นสิ่งที่มีคุณค่า ผิดจากการหันเหไปสู่บาปที่ ง่ายกว่ามากนัก การฟังค�าสัง่ สอนเป็นเสมือนการดูแลต้นไม้แห่งคุณธรรมทีอ่ ยูใ่ นตัวเรา ให้คอ่ ยๆ เติบโตและเราก็จะส่งต่อต้นไม้นี้สู่คนรุ่นหลังด้วยความคิดและการกระท�าของเรา

น.ปอนซีอาโน พระสันตะปาปา น.ฮิปโปลิต พระสงฆ์ และมรณสักขี สดด 51:10-12ก, 12ข-13,16-17 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 3


บทอ่านจากหนังสือประกาศกเยเรมีย

สัปดาห์ที่ 20 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 4

ยรม 38:4-6,8-10

บรรดาเจ้านายจึงทูลกษัตริยว์ า่ “ขอพระองค์ประหารชีวติ ชายคนนี้ เพราะเขาท�าให้ ทหารซึง่ เหลืออยูใ่ นเมืองหมดก�าลังใจ และท�าให้ประชาชนทีไ่ ด้ยนิ ค�าพูดเช่นนีห้ มดก�าลัง ใจด้วย ชายคนนี้ไม่ได้แสวงหาความเป็นอยู่อย่างดีของประชาชน แต่แสวงหาหายนะ” กษัตริยเ์ ศเดคียาห์ตรัสตอบว่า “เขาอยูใ่ นมือของท่านทัง้ หลายแล้ว กษัตริยไ์ ม่อาจท�าสิง่ ใดขัดแย้งกับท่านได้” เขาจึงจับเยเรมีย์หย่อนลงไปในบ่อเก็บน�้าของมัลคียาห์พระโอรส ซึ่งอยู่ในลานกองทหารองครักษ์ เขาใช้เชือกมัดหย่อนเยเรมีย์ลงไป ในบ่อนั้นไม่มีน�้า มี แต่โคลน เยเรมีย์จึงจมลงไปในโคลน เอเบดเมเลคจึงออกจากพระราชวังไปทูลกษัตริย์ว่า “ข้าแต่พระราชาของข้าพเจ้า คนเหล่านี้ท�าสิ่งเลวร้ายกับประกาศกเยเรมีย์ โดยหย่อนเขาลงไปในบ่อ ประกาศกคงจะ ต้องตายที่นั่นเพราะขาดอาหาร เพราะไม่มีขนมปังเหลืออยู่ในเมืองอีกแล้ว” กษัตริย์จึง ทรงสั่งเอเบดเมเลคชาวเอธิโอเปียว่า “จงน�าคนจากที่นี่สามสิบคนไปกับท่าน แล้วฉุด ประกาศกเยเรมีย์ขึ้นมาจากบ่อก่อนที่เขาจะตาย”

เพลงสดุดี

สดด 40:1,2,3,17

ก) ข้าพเจ้ารอคอยองค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยความหวัง แล้วพระองค์ก็ทรงก้มลงมาหาข้าพเจ้า และทรงฟังเสียงร้องขอความช่วยเหลือของข้าพเจ้า ข) พระองค์ทรงฉุดข้าพเจ้าขึ้นจากขุมลึกแห่งความพินาศ จากโคลนตมในปลักเลน ทรงให้ข้าพเจ้ายืนบนก้อนหิน ให้ก้าวเดินไปอย่างมั่นคง ค) พระองค์ทรงใส่เพลงบทใหม่ไว้ในปากข้าพเจ้า เป็นบทเพลงสรรเสริญพระเจ้าของเรา หลายคนจะแลเห็นและมีความย�าเกรง จะวางใจในองค์พระผู้เป็นเจ้า ง) ข้าพเจ้ายากจนและขัดสน องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ยังเอาพระทัยใส่ข้าพเจ้า พระองค์ทรงช่วยเหลือและประทานความรอดพ้นแก่ข้าพเจ้า ข้าแต่พระเจ้าของข้าพเจ้า ขออย่าทรงรอช้าอยู่เลย

บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู ฮบ 12:1-4

พีน่ อ้ ง พวกเรา ก็เช่นเดียวกัน เมือ่ มีพยานจ�านวนมากห้อมล้อมอยู่ เราจงละทิง้ ทุก สิง่ ทีถ่ ว่ งอยูแ่ ละบาปทีเ่ กาะแน่น เราจงมีมานะวิง่ ต่อไปในการแข่งขันซึง่ ก�าหนดไว้สา� หรับ


เรา จงเพ่งมองไปยังพระเยซูเจ้าผู้ทรงบุกเบิกความเชื่อ และทรงท�าให้ความเชื่อนั้นสมบูรณ์ พระองค์ทรงยอม สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ไม่ทรงถือว่าเป็นความตาย ทีน่ า่ อับอาย เพราะทรงค�านึงถึงความยินดีทพี่ ระเจ้าทรง จัดเตรียมไว้ บัดนี้พระองค์ประทับ ณ เบื้องขวาแห่ง พระทีน่ งั่ ของพระเจ้าแล้ว ท่านทัง้ หลายจงคิดถึงพระองค์ ที่ทรงอดทนต่อการคัดค้านเช่นนี้ของคนบาป ท่านจะได้ ไม่ท้อถอยหมดก�าลังใจ ในการต่อสู้กับบาป ท่านยังมิได้ ต้านทานจนถึงกับต้องหลั่งเลือดเลย

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 12:49-53

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เรามาเพื่อจุดไฟในโลก เราปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้โลกนี้ลุกเป็นไฟ เรามีการล้างที่จะต้องรับ และ เราเป็นทุกข์กังวลใจอย่างมากจนกว่าการล้างนี้จะส�าเร็จ ท่านคิดว่าเรามาเพือ่ น�าสันติภาพมาสูโ่ ลกหรือ มิได้ เราบอกท่านทัง้ หลายว่า เราน�าความแตกแยกมา ต่างหาก ตั้งแต่นี้ไป คนห้าคนในบ้านหนึ่งจะแตกแยกกัน คนสามคนจะแตกแยกกับคนสองคน และคน สองคนจะแตกแยกกับคนสามคน บิดาจะแตกแยกกับบุตรชาย และบุตรชายจะแตกแยกกับบิดา มารดา จะแตกแยกกับบุตรหญิง และบุตรหญิงจะแตกแยกกับมารดา มารดาของสามีจะแตกแยกกับบุตรสะใภ้ และบุตรสะใภ้จะแตกแยกกับมารดาของสามี” ค�าว่า “ไฟ” ทีใ่ ช้ในพระคัมภีรน์ นั้ คือสัญลักษณ์ของพระเจ้าและฤทธิอ์ า� นาจของพระองค์ทปี่ รากฏ แก่ประชากรของพระองค์ ในพันธสัญญาเดิมพระเจ้าเคยปรากฏพระองค์มาในเปลวไฟที่ลุกไหม้อยู่ในพุ่มไม้ ไฟ ของพระเจ้ายังมีความหมายถึงการช�าระล้างให้สะอาด ภาพพจน์เกี่ยวกับไฟนี้ท�าให้ประชากรของพระเจ้ามีความ ย�าเกรงในพระองค์ พระเยซูเองทรงกล่าวถึงพระอาณาจักรของพระเจ้าทีจ่ ะมาถึงในช่วงเวลาของวันพิพากษา ค�า พิพากษาตัดสินของพระองค์จะช่วยให้ประชากรของพระองค์ตระหนักถึงความส�าคัญของการตัดสินใจเลือกที่จะ ด�าเนินชีวิตและผลลัพธ์ที่จะตามมาจากการกระท�าเหล่านั้น ซึ่งสาระส�าคัญของการเป็นคริสตชนก็คือ ความจงรัก ภักดีต่อองค์พระเยซูเจ้านั่นเอง และความส�าคัญประการนี้จะต้องอยู่เหนือพันธะใดๆ ของเรามนุษย์


บทอ่านที่ 1

สัปดาห์ที่ 20 เทศกาลธรรมดา ฉธบ 32:18-19,20,21 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

พระวรสาร

อสค 24:15-24

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย ดูซิ เราจะพรากผู้เป็น แก้วตาของท่านไปจากท่านโดยกะทันหัน แต่ท่านอย่าคร�่ำครวญ อย่าร้องไห้หรือหลั่ง น�ำ้ ตาเลย จงร�ำ่ ไห้คร�ำ่ ครวญอย่างเงียบๆ อย่าท�ำพิธไี ว้ทกุ ข์ให้ผตู้ าย จงสวมผ้าโพกศีรษะ จงสวมรองเท้า อย่าเอาผ้าปกปิดหนวด อย่ากินอาหารไว้ทกุ ข์” ข้าพเจ้าจึงบอกเรือ่ งนีแ้ ก่ ประชาชนในเวลาเช้า ในเวลาเย็นภรรยาของข้าพเจ้าก็ถึงแก่กรรม เช้าวันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้า ท�ำตามที่ได้รับพระบัญชา ประชาชนบอกข้าพเจ้าว่า “จงอธิบายความหมายการกระท�ำ ของท่านให้เรารู้เถิด” ข้าพเจ้าจึงตอบว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า ‘จงบอกพงศ์พนั ธุอ์ สิ ราเอลว่า องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ ดูซิ เราจะท�ำให้สกั การ สถานของเราเป็นมลทิน สักการสถานที่ท่านภาคภูมิใจว่าจะได้รับพลังความช่วยเหลือ เป็นเหมือนแก้วตาของท่าน และเป็นความยินดีในจิตใจของท่าน บุตรชายหญิงที่ท่าน ทิ้งไว้เบื้องหลังจะถูกฆ่าด้วยดาบ ท่านทั้งหลายจะท�ำเหมือนกับที่ข้าพเจ้าได้ท�ำ ท่านจะ ไม่เอาผ้าปกปิดหนวด จะไม่กินอาหารไว้ทุกข์ จะสวมผ้าโพกศีรษะและจะสวมรองเท้า ท่านจะไม่คร�่ำครวญหรือร้องไห้ แต่จะหมดเรี่ยวแรงเพราะความผิดของท่าน และจะ ร�่ำไห้คร�่ำครวญปรับทุกข์กัน เอเสเคียลจะเป็นเครื่องหมายส�ำหรับท่าน เมื่อเหตุการณ์ เหล่านีเ้ กิดขึน้ ท่านจะท�ำอย่างทีเ่ ขาท�ำ แล้วท่านจะรูว้ า่ เราเป็นองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้า’”

มธ 19:16-22

เวลานัน้ ชายคนหนึง่ มาเฝ้าพระเยซูเจ้าทูลถามว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าต้องท�ำความดีอะไรเพือ่ จะมีชวี ติ นิรันดร” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “เหตุใดจึงถามเราถึงความดี ผู้ทรงความดีมีแต่ผู้เดียวเท่านั้น ถ้าท่านอยาก เข้าสู่ชีวิตนิรันดร ก็จงปฏิบัติตามบทบัญญัติเถิด” เขาทูลถามว่า “บทบัญญัติข้อใด” พระเยซูเจ้าตรัสตอบ ว่า “อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณี อย่าลักขโมย อย่าเป็นพยานเท็จ จงนับถือบิดามารดา จงรักผู้อื่นเหมือน รักตนเอง” ชายหนุ่มผู้นั้นทูลถามว่า “ข้าพเจ้าปฏิบัติตามบทบัญญัติเหล่านี้ทุกข้อแล้วยังขาดอะไรอีกหรือ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ถ้าท่านอยากเป็นคนดีอย่างสมบูรณ์ จงไปขายทุกสิ่งที่มี มอบเงินให้คนยากจน และท่านจะมีขุมทรัพย์ในสวรรค์ แล้วจงติดตามเรามาเถิด” เมื่อได้ยินพระวาจานี้ ชายหนุ่มผู้นั้นจากไปด้วย ความทุกข์ เพราะเขามีทรัพย์สมบัติจ�ำนวนมาก พระเยซูเจ้าทรงบอกให้ชายคนทีเ่ ข้ามาหาพระองค์ในวันนีก้ ลับไปขายทุกสิง่ ทุกอย่างทีเ่ ขามี และติดตาม พระองค์ไป พระเยซูเจ้าไม่ได้บอกบรรดาศิษย์คนอื่นๆ เมื่อพระองค์บอกให้เขาติดตามพระองค์ นั่นคือชายคนนี้ร�่ำรวย อย่างมาก และเขายึดความร�่ำรวยเป็นสิ่งส�ำคัญที่สุดในชีวิตของเขา ที่ท�ำให้เขาด�ำรงชีวิตในสังคมอย่างภาคภูมิใจ จน เขาไม่สามารถที่จะให้จิตใจของเขาคิดถึงพระเจ้าได้ ทุกวันนี้ เรามีสิ่งที่เรายึดเหนี่ยวไว้เป็นสิ่งส�ำคัญในชีวิต เพื่อที่เราจะได้อยู่ในสังคมอย่างภาคภูมิใจ ไม่ว่าจะเป็น ทัศนคติของการด�ำรงชีวิตที่จะสร้างให้เรามีฐานะและสร้างความร�่ำรวย มองเห็นแต่เรื่องของตนเอง จนไม่สนใจผู้อื่น จนลืมที่จะเปิดใจคิดถึงคนอื่นๆ ไม่เกิดความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ดังนั้น ในวันนี้พระเยซูเจ้าทรงเชิญชวนให้เรา แต่ละคนละทิง้ ทัศนคติทไี่ ม่ดี และเปิดใจเปิดตาให้สามารถมองเห็นพีน่ อ้ งทีอ่ ยูร่ อบข้างเรา โดยเฉพาะคนทีต่ อ้ งการความ ช่วยเหลือ ให้ตัวเราแต่ละคนเป็นคนหนึ่งที่ได้หยิบยื่นความช่วยเหลือด้วยความจริงใจ


บทอ่านที่ 1

อสค 28:1-10

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงบอกเจ้าเมืองไทระว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ ‘ใจของท่านผยองขึ้น และคิดว่า “ข้าเป็นพระเจ้า ข้านั่งบนที่นั่งของพระเจ้า อยู่ กลางทะเล” แม้ท่านคิดว่าตนฉลาดเหมือนพระเจ้า แต่ท่านก็เป็นเพียงมนุษย์ ไม่ใช่ พระเจ้า ดูซิ ท่านมีปรีชามากกว่าดาเนียล ไม่มีความลับใดซ่อนไว้จากท่าน ท่านใช้ ปรีชาญาณและความเข้าใจ สร้างความร�่ารวย สะสมทองค�าและเงินมาไว้ในคลังสมบัติ ของท่าน ท่านใช้สติปัญญามากในการค้า ทวีทรัพย์สมบัติของท่าน ใจของท่านก็ผยอง ขึ้น เพราะทรัพย์สมบัติของท่าน’ องค์พระผู้เป็นเจ้า พระจ้าจึงตรัสดังนี้ ‘เพราะท่านคิดว่าตนฉลาดเหมือนพระเจ้า ดีแล้ว เราจะน�าคนต่างด้าวที่โหดร้ายกว่าชนชาติใดๆ มาต่อสู้กับท่าน เขาทั้งหลายจะชัก ดาบต่อสูก้ บั ปรีชาญาณทีง่ ดงามของท่าน จะท�าให้ความรุง่ เรืองของท่านหม่นหมอง เขาทัง้ หลายจะโยนท่านลงไปในขุมลึก ท่านจะตายในท้องทะเลเหมือนคนที่ถูกฆ่า แล้วท่านยัง จะพูดอีกหรือว่า “ข้าเป็นพระเจ้า” ต่อหน้าคนทีฆ่ า่ ท่าน ท่านเป็นเพียงมนุษย์ ไม่ใช่พระเจ้า อยู่ในมือของผู้ที่ฆ่าท่าน ท่านจะตายอย่างไร้เกียรติ โดยมือของคนต่างด้าว เพราะเราได้ พูดไว้แล้ว’ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส”

พระวรสาร

มธ 19:23-30

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนมั่งมีจะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ยาก เรา บอกท่านอีกว่า อูฐจะลอดรูเข็ม ยังง่ายกว่าคนมั่งมีเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์” เมื่อบรรดา ศิษย์ได้ยินเช่นนี้ ต่างรู้สึกประหลาดใจมาก จึงทูลถามว่า “แล้วดังนี้ ใครเล่าจะรอดพ้น ได้” พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรบรรดาศิษย์ แล้วตรัสว่า “ส�าหรับมนุษย์เป็นไปไม่ได้ แต่ ส�าหรับพระเจ้า ทุกอย่างเป็นไปได้” เปโตรจึงทูลถามว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลายสละทุกสิ่งและติดตามพระองค์แล้ว จะได้ อะไรบ้าง” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในโลกใหม่ เมื่อบุตรแห่งมนุษย์จะประทับเหนือพระที่นั่งอันรุ่งโรจน์ ท่านทั้งหลายที่ติดตามเรา ก็จะ นั่งบนบัลลังก์ทั้งสิบสองบัลลังก์ เพื่อพิพากษาตระกูลอิสราเอลทั้งสิบสองตระกูลด้วย และผู้ใดที่สละบ้านเรือน พี่น้องชายหญิง บิดามารดา บุตร ไร่นาเพราะเห็นแก่เรา ก็จะ ได้รับตอบแทนร้อยเท่า และจะได้รับชีวิตนิรันดรเป็นมรดกด้วย หลายคนที่เป็นกลุ่มแรกจะกลับเป็นกลุ่มสุดท้าย และกลุ่มสุดท้ายจะกลับเป็น กลุ่มแรก” ความฉลาดแบบชาวโลก คือ สร้างความร�่ารวย สะสมเงินทอง แสวงหา อ�านาจและคิดว่าตนฉลาด.....ความฉลาดแบบชาวสวรรค คือ การด�าเนินชีวิตติดตามพระ คริสตเจ้า ถือบัญญัติและพร้อมเสียสละทุกสิ่งเพื่อพระอาณาจักรพระเจ้า

น.สเตเฟน แห่งประเทศฮังการี ฉธบ 32:26-27, 28-29,30,35-36 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 4


บทอ่านที่ 1

สัปดาห์ที่ 20 เทศกาลธรรมดา สดด 23:1-6 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

พระวรสาร

อสค 34:1-11

องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงประกาศพระวาจากล่าว โทษบรรดาผูเ้ ลีย้ งแกะแห่งอิสราเอล จงประกาศพระวาจาบอกบรรดาผูเ้ ลีย้ งแกะว่า องค์ พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ ‘วิบตั จิ งเกิดแก่ผเู้ ลีย้ งแกะแห่งอิสราเอลซึง่ เลีย้ งตนเอง ผู้ เลีย้ งแกะย่อมต้องเลีย้ งฝูงแกะมิใช่หรือ แต่ทา่ นกินน�ำ้ นม ใช้ขนแกะคลุมกาย ฆ่าแกะตัว อ้วนๆ แต่ไม่เลี้ยงฝูงแกะ แกะที่อ่อนแอ ท่านไม่ได้เสริมก�ำลัง แกะที่เจ็บป่วย ท่านก็ไม่ รักษา แกะทีบ่ าดเจ็บ ท่านก็ไม่ได้พนั แผลให้ และแกะทีพ่ ลัดหลง ท่านก็ไม่ได้ไปตามกลับ มา แกะที่หายไป ท่านก็ไม่ได้แสวงหา แต่ท่านได้ปกครองบรรดาแกะโดยใช้ก�ำลังอย่าง โหดร้าย บรรดาแกะจึงกระจัดกระจายไป เพราะไม่มีผู้เลี้ยง กลายเป็นเหยื่อของสัตว์ป่า และกระจัดกระจายไป ฝูงแกะของเราระเหเร่ร่อนไปทั่วทุกภูเขาและตามเนินเขาสูงทุก ลูก ฝูงแกะของเรากระจัดกระจายไปทัว่ แผ่นดิน ไม่มผี ใู้ ดเอาใจใส่ ไม่มผี ใู้ ดแสวงหา’”...

มธ 20:1-16ก

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์เป็นค�ำอุปมาดังนี้ “อาณาจักรสวรรค์เปรียบเหมือนพ่อบ้านผูห้ นึง่ ซึง่ ออกไปตัง้ แต่เช้าตรู่ เพือ่ จ้างคนงานมาท�ำงานในสวนองุน่ ครั้นได้ตกลงค่าจ้างวันละหนึ่งเหรียญกับคนงานแล้ว ก็ส่งไปท�ำงานในสวนองุ่น ประมาณสามโมงเช้า พ่อบ้าน ออกมาก็เห็นคนอืน่ ๆ ยืนอยูท่ ลี่ านสาธารณะโดยไม่ทำ� งาน จึงพูดกับคนเหล่านีว้ า่ ‘จงไปท�ำงานในสวนองุน่ ของ ฉันเถิด ฉันจะให้คา่ จ้างตามสมควร’ คนเหล่านีก้ ไ็ ป พ่อบ้านออกไปอีกประมาณเทีย่ งวันและบ่ายสามโมง กระท�ำ เช่นเดียวกัน ประมาณห้าโมงเย็น พ่อบ้านออกไปอีก พบคนอื่นๆ ยืนอยู่ จึงถามเขาว่า ‘ท�ำไมท่านยืนอยู่ที่นี่ทั้ง วันโดยไม่ท�ำอะไร’ เขาตอบว่า ‘เพราะไม่มีใครมาจ้าง’ พ่อบ้านจึงพูดว่า ‘จงไปท�ำงานในสวนองุ่นของฉันเถิด’ ครัน้ ถึงเวลาค�ำ่ เจ้าของสวนบอกผูจ้ ดั การว่า ‘ไปเรียกคนงานมา จ่ายค่าจ้างให้เขาโดยเริม่ ตัง้ แต่คนสุดท้าย จนถึงคนแรก’ เมื่อพวกที่เริ่มงานเวลาห้าโมงเย็นมาถึง เขาได้รับคนละหนึ่งเหรียญ เมื่อคนงานพวกแรกมา ถึง เขาคิดว่าตนจะได้รับมากกว่านั้น แต่ก็ได้รับคนละหนึ่งเหรียญเช่นเดียวกัน ขณะรับค่าจ้างเขาก็บ่นต่อหน้า เจ้าของสวนว่า ‘พวกที่มาสุดท้ายนี้ท�ำงานเพียงชั่วโมงเดียว ท่านก็ให้ค่าจ้างแก่เขาเท่ากับเรา ซึ่งต้องตรากตร�ำ อยู่กลางแดดตลอดวัน’ เจ้าของสวนจึงพูดกับคนหนึ่งในพวกนี้ว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ฉันไม่ได้โกงท่านเลย ท่านไม่ได้ ตกลงกับฉันคนละหนึง่ เหรียญหรือ จงเอาค่าจ้างของท่านไปเถิด ฉันอยากจะให้คนทีม่ าสุดท้ายนีเ้ ท่ากับให้ทา่ น ฉันไม่มีสิทธิ์ใช้เงินของฉันตามที่ฉันพอใจหรือ ท่านอิจฉาริษยาเพราะฉันใจดีหรือ’ ดังนี้แหละ คนกลุ่มสุดท้ายจะกลับเป็นคนกลุ่มแรก และคนกลุ่มแรกจะกลับเป็นคนกลุ่มสุดท้าย” การได้รับเรียกให้ท�ำงานของพระเจ้า เป็นพระพรจากพระเจ้า มิใช่เป็นสิทธิส่วนบุคคลของมนุษย์.... และการจะนั่งข้างซ้าย ข้างขวา หรือค่าตอบแทนใดๆ เป็นสิทธิของพระเจ้า มิใช่เป็นสิทธิของมนุษย์ แม้ชีวิตและความ ตาย มนุษย์ก็ไม่สามารถเรียกร้องได้เช่นกัน ชีวิตทั้งหมดเป็นกรรมสิทธิ์ของพระเจ้า บทบาทหน้าที่ของเรามนุษย์คือ ขอบพระคุณพระเจ้าและท�ำตามพระประสงค์ของพระองค์ เราทราบดีว่าที่ผ่านมาพระองค์พระทัยดี ทรงเป็นความ รัก ทรงกระท�ำดีต่อเรามาตลอด


บทอ่านที่ 1

อสค 36:23-28

เราจะท�าให้นามยิ่งใหญ่ของเราศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งหนึ่ง นามที่ได้เป็นมลทินในหมู่ นานาชาติ และที่ท่านท�าให้เป็นมลทินในหมู่เขา แล้วนานาชาติจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้ เป็นเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัส เมื่อเราจะแสดงความศักดิ์สิทธิ์ของเราในท่าน ต่อหน้าเขาทั้งหลาย เราจะน�าท่านทั้งหลายออกมาจากนานาชาติ เราจะรวบรวมท่านมา จากทุกแผ่นดิน และน�าท่านเข้ามาในแผ่นดินของท่าน เราจะพรมน�้าสะอาดเหนือท่าน ทั้งหลาย แล้วท่านจะสะอาดพ้นจากมลทิน เราจะช�าระท่านจากมลทินทั้งหมดและจาก รูปเคารพทัง้ หลายของท่าน เราจะให้ใจใหม่แก่ทา่ น เราจะใส่จติ ใหม่ไว้ภายในท่าน เราจะ น�าใจหินออกไปจากร่างของท่าน และจะให้ใจเนือ้ แก่ทา่ น เราจะใส่จติ ของเราภายในท่าน จะท�าให้ทา่ นด�าเนินชีวติ ตามข้อก�าหนดของเรา ท่านจะรักษาและปฏิบตั ติ ามกฎเกณฑ์ของ เรา ท่านจะอาศัยอยู่ในแผ่นดินที่เราให้แก่บรรพบุรุษของท่าน ท่านจะเป็นประชากรของ เรา และเราจะเป็นพระเจ้าของท่าน

พระวรสาร

มธ 22:1-14

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรื่องหนึ่งว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบ ได้กับกษัตริย์พระองค์หนึ่งซึ่งทรงจัดงานอภิเษกสมรสให้พระโอรส ทรงส่งผู้รับใช้ไป เรียกผู้รับเชิญให้มาในงานวิวาห์ แต่พวกเขาไม่ต้องการมา พระองค์จึงทรงส่งผู้รับใช้อื่น ไปอีก รับสั่งว่า ‘จงไปบอกผู้รับเชิญว่า บัดนี้เราได้เตรียมการเลี้ยงไว้พร้อมแล้ว ได้ฆ่าวัว และสัตว์อ้วนพีแล้ว ทุกสิ่งพร้อมสรรพ เชิญมาในงานวิวาห์เถิด’ แต่ผู้รับเชิญมิได้สนใจ คนหนึง่ ไปทีท่ งุ่ นา อีกคนหนึง่ ไปท�าธุรกิจ คนทีเ่ หลือได้จบั ผูร้ บั ใช้ของกษัตริย์ ท�าร้ายและ ฆ่าเสีย กษัตริย์กริ้ว จึงทรงส่งกองทหารไปท�าลายฆาตกรเหล่านั้นและเผาเมืองของเขา ด้วย แล้วพระองค์ตรัสแก่ผู้รับใช้ว่า ‘งานวิวาห์พร้อมแล้ว แต่ผู้รับเชิญไม่เหมาะสมกับ งานนี้ จงไปตามทางแยก พบผูใ้ ดก็ตาม จงเชิญมาในงานวิวาห์เถิด’ บรรดาผูร้ บั ใช้จงึ ออก ไปตามถนน เชิญทุกคนที่พบมารวมกัน ทั้งคนเลวและคนดี แขกรับเชิญจึงมาเต็มห้อง งานอภิเษกสมรส กษัตริยเ์ สด็จมาทอดพระเนตรแขกรับเชิญ ทรงเห็นคนหนึง่ ไม่สวมเสือ้ ส�าหรับงานวิวาห์ จึงตรัสแก่เขาว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ท่านไม่ได้สวมเสื้อส�าหรับงานวิวาห์ แล้ว เข้ามาที่นี่ได้อย่างไร’ คนนั้นก็นิ่ง กษัตริย์จึงตรัสสั่งผู้รับใช้ว่า ‘จงมัดมือมัดเท้าของเขา เอาไปทิ้งในที่มืดข้างนอกเถิด ที่นั่น จะมีแต่การร�่าไห้คร�่าครวญ และขบฟันด้วยความ ขุ่นเคือง เพราะผู้รับเชิญมีมาก แต่ผู้รับเลือกมีน้อย’”

การเปนคริสตชน เป็นพระพรพิเศษทีพ่ ระเจ้าโปรดประทานให้เปล่า พระองค์ ทรงสร้างจิตใจใหม่ให้แก่เรา เป็นจิตที่แสวงหาน�้าพระทัยพระเจ้า และบทบัญญัติของพระองค์ โดยอาศัยเส้นทางนี้ เราจึงกลายเป็นประชากรของพระเจ้าครบสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

สัปดาห์ที่ 20 เทศกาลธรรมดา สดด 51:10-12ก, 12ข-13,16-17 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 4


บทอ่านที่ 1

อสค 37:1-14

พระหัตถ์องค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เหนือข้าพเจ้า พระจิตขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรง น�ำข้าพเจ้าออกมา และวางข้าพเจ้าไว้กลางหุบเขาที่มีกระดูกเต็มไปหมด พระองค์ทรง น�ำข้าพเจ้าเดินไปโดยรอบใกล้ๆ กระดูกเหล่านั้น ข้าพเจ้าเห็นว่ามีกระดูกมากทีเดียว ในหุบเขานั้น เป็นกระดูกแห้งสนิท พระองค์ตรัสถามข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย กระดูกเหล่านีจ้ ะกลับมีชวี ติ ได้ไหม” ข้าพเจ้าทูลตอบว่า “ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้า พระองค์กท็ รงทราบอยูแ่ ล้ว” พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า “จงประกาศพระวาจาเหนือ น.ยอห์น เอิ๊ด กระดูกเหล่านี้ จงกล่าวแก่กระดูกเหล่านี้ว่า ‘กระดูกแห้งเอ๋ย จงฟังพระวาจาขององค์ พระสงฆ์ พระผู้เป็นเจ้าเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสแก่กระดูกเหล่านี้ว่า ดูซิ เราจะน�ำจิต สดด 107:2-3,4-6, เข้าไปในเจ้า และเจ้าจะมีชีวิตอีก เราจะวางเส้นเอ็นไว้บนเจ้า จะท�ำให้เนื้อขึ้นมา จะเอา 7-8ก,8ข-9 หนังมาคลุมไว้ จะใส่จิตในเจ้า และเจ้าจะมีชีวิต แล้วเจ้าจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็น ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 เจ้า’” ข้าพเจ้าจึงประกาศพระวาจาตามทีข่ า้ พเจ้าได้รบั พระบัญชา ขณะทีข่ า้ พเจ้าประกาศ พระวาจาอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงกรุกกริก และเห็นกระดูกเหล่านั้นเข้ามาต่อติดกัน ข้าพเจ้ามองดูก็เห็นเส้นเอ็นอยู่เหนือกระดูก มีเนื้อขึ้นมา และหนังก็มาหุ้มไว้ แต่ยังไม่มี จิตในร่างเหล่านั้น แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงประกาศพระวาจาแก่จิตเถิด บุตร แห่งมนุษย์เอ๋ย จงประกาศพระวาจาและบอกจิตว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ จิตเอ๋ย จงมาจากทิศทั้งสี่และพ่นเข้าไปในผู้ที่ถูกฆ่าเหล่านี้ ให้เขามีชีวิตอีก’” ข้าพเจ้า ประกาศพระวาจาตามพระบัญชา จิตก็เข้ามาในร่างเหล่านั้น เขาก็มีชีวิตและยืนขึ้น เป็น กองทัพใหญ่มหึมาจริงๆ แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย กระดูกเหล่านี้คือพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งหลาย ดูซิ เขาทัง้ หลายพูดว่า ‘กระดูกของเราแห้ง ความหวังของเราสูญหายไป พวกเราถูกท�ำลายจนหมดสิน้ แล้ว’ ดังนัน้ จงประกาศพระวาจาและบอกเขาว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าตรัสดังนี้ ดูซิ ประชากรของเราเอ๋ย เราก�ำลังจะ เปิดหลุมฝังศพของท่านและยกท่านขึ้นมาจากหลุมศพ น�ำท่านกลับมายังแผ่นดินอิสราเอล ประชากรของเรา เอ๋ย ท่านจะรู้ว่าเราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เมื่อเราเปิดหลุมศพของท่าน และยกท่านขึ้นมาจากหลุมศพ เราจะ ให้จิตของเราเข้าไปในท่าน และท่านจะมีชีวิต เราจะให้ท่านตั้งหลักแหล่งในแผ่นดินของท่าน แล้วท่านจะรู้ว่า เราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เราได้พูดและได้ท�ำแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส”

พระวรสาร

มธ 22:34-40

เวลานั้น เมื่อชาวฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูเจ้าทรงท�ำให้ชาวสะดูสีนิ่งอึ้งไป จึงมาชุมนุมพร้อมกัน มีคนหนึ่ง เป็นบัณฑิตทางกฎหมายได้ทูลถามเพื่อจะจับผิดพระองค์ว่า “พระอาจารย์ บทบัญญัติข้อใดเป็นเอกในธรรม บัญญัติ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุด สติปัญญาของท่าน นี่คือบทบัญญัติเอกและเป็นบทบัญญัติแรก บทบัญญัติประการที่สองก็เช่นเดียวกัน คือ ท่านต้องรักเพือ่ นมนุษย์เหมือนรักตนเอง ธรรมบัญญัตแิ ละค�ำสอนของบรรดาประกาศกก็ขนึ้ อยูก่ บั บทบัญญัติ สองประการนี้” พระวาจาทีใ่ ห้ชวี ติ แก่ทกุ คน คือท่านต้องรักองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าสุดจิตสุดใจ สุดสติปญ ั ญา และรักเพือ่ น มนุษย์เหมือนรักตนเอง พระวาจานี้ท�ำให้คนตายกลับฟื้นคืนชีพ และผู้มีชีวิตก็จะมีชีวิตที่เป็นนิรันดร์


บทอ่านที่ 1

อสค 43:1-7ก

พระวรสาร

มธ 23:1-12

เขาน�าข้าพเจ้าไปยังประตูซงึ่ หันไปทางทิศตะวันออก ข้าพเจ้าเห็นพระสิรริ งุ่ โรจน์ของ พระเจ้าแห่งอิสราเอลมาจากทิศตะวันออก มีเสียงดังมากับพระองค์เหมือนเสียงน�า้ มาก และแผ่นดินก็ส่องแสงสะท้อนพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์ นิมิตที่ข้าพเจ้าเห็นนี้เหมือน กับนิมิตที่ข้าพเจ้าเคยเห็นเมื่อข้าพเจ้ามาดูเมืองนี้ถูกท�าลาย และเหมือนนิมิตที่ข้าพเจ้า ได้เห็นที่ริมแม่น�้าเคบาร์ ข้าพเจ้าจึงกราบลงหน้าจรดพื้น พระสิริรุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเข้าไปในพระวิหารทางประตูที่หันไปทางทิศ ระลึกถึง น.เบอร์นาร์ด เจ้าอธิการ ตะวันออก พระจิตยกข้าพเจ้าขึ้น น�าข้าพเจ้าเข้าไปในลานชั้นใน ข้าพเจ้าเห็นพระสิริ และนั กปราชญ์ รุ่งโรจน์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าเต็มพระวิหาร ขณะที่ชายคนนั้นยังยืนอยู่ข้างข้าพเจ้า แห่งพระศาสนจักร ข้าพเจ้าก็ได้ยนิ เสียงอีกคนหนึง่ ดังออกมาจากพระวิหารพูดกับข้าพเจ้า เสียงนัน้ เป็นเสียง สดด 85:8-9,10-11, ขององค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย สถานที่นี้เป็นบัลลังก์ของเรา เป็นที่ 12-13 วางเท้าของเรา เราพ�านักอยู่ที่นี่ในหมู่ชาวอิสราเอลตลอดไป ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 4 ครัง้ นัน้ พระเยซูเจ้าตรัสแก่ประชาชนและบรรดาศิษย์วา่ “พวกธรรมาจารย์และชาว ฟาริสีนั่งบนธรรมาสน์ของโมเสส ถ้าเขาสั่งสอนเรื่องใด ท่านจงปฏิบัติตามเถิด แต่อย่า ปฏิบัติตามพฤติกรรมของเขา เพราะเขาพูด แต่ไม่ปฏิบัติ เขามัดสัมภาระหนักวางบนบ่า คนอืน่ แต่เขาเองไม่ปรารถนาแม้แต่จะขยับนิว้ ไปยกขึน้ เขาท�ากิจการทุกอย่างเพือ่ ให้คน เห็น เช่น เขาขยายกลักบรรจุพระวาจาให้ใหญ่ขึ้น ผ้าคลุมของเขามีพู่ยาวกว่าของคนอื่น เขาชอบทีน่ งั่ มีเกียรติในงานเลีย้ ง ชอบนัง่ แถวหน้าในศาลาธรรม ชอบให้ผคู้ นค�านับตาม ลานสาธารณะ ชอบให้ทุกคนเรียกว่า ‘รับบี’ ส่วนท่านทัง้ หลาย อย่าให้ผใู้ ดเรียกว่า ‘รับบี’ เพราะอาจารย์ของท่านมีเพียงผูเ้ ดียว และทุกคนเป็นพี่น้องกัน ในโลกนี้อย่าเรียกผู้ใดว่า ‘บิดา’ เพราะว่าพระบิดาของท่าน มีเพียงพระองค์เดียวคือพระบิดาในสวรรค์ อย่าให้ผู้ใดเรียกท่านว่า ‘อาจารย์’ เพราะ พระอาจารย์ของท่านมีเพียงพระองค์เดียวคือพระคริสตเจ้า ในกลุ่มของท่าน ผู้ใดเป็น ใหญ่จะต้องเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น ผู้ใดที่ยกตนขึ้น จะถูกกดให้ต�่าลง ผู้ใดถ่อมตนลง จะได้ รับการยกย่องให้สูงขึ้น” พระวาจาของพระเจ้า เปรียบเหมือนน�้าที่ให้ชีวิต ผู้ปฏิบัติตามย่อมได้รับพระ สิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า พระวาจาประจ�าวันนี้ คือ “พระเจ้าทรงเป็นบิดาของเรา และพระ คริสตเจ้าทรงเป็นพระอาจารย์ ส่วนเราต้องเรียนรู้คุณธรรม ความถ่อมตน และเรียนรู้ที่จะรับ ใช้ผู้อื่น”


สมโภช พระนางมารีย์ รับเกียรติเข้าสู่สวรรค์ ทั้งกายและวิญญาณ

บทอ่านจากหนังสือวิวรณ

วว 11:19ก;12:1-6ก,10ก

เพลงสดุดี

สดด 45:9,10-11,14-15

พระวิหารของพระเจ้าในสวรรค์เปิดออก มองเห็นหีบพันธสัญญาในพระวิหาร เครื่องหมายยิ่งใหญ่ปรากฏในสวรรค์ คือสตรีผู้หนึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์ มีดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า มีมงกุฎดาวสิบสองดวงประดับศีรษะ นางมีครรภ์แก่ ก�าลังร้อง ครวญครางด้วยความเจ็บปวดจะคลอดบุตร เครือ่ งหมายอีกประการหนึง่ ปรากฏในสวรรค์ คือมังกรใหญ่สีแดง มีเจ็ดหัวและสิบเขา แต่ละหัวสวมมงกุฎ หางของมันตวัดดวงดาว หนึ่งในสามบนท้องฟ้าให้ตกลงมาบนแผ่นดิน มังกรยืนอยู่ตรงหน้าสตรีที่ก�าลังจะคลอด บุตรเพื่อจะกินบุตรของนางทันทีที่คลอด นางคลอดบุตรเป็นชาย ซึ่งจะต้องปกครอง ชาติทั้งหลายด้วยคทาเหล็ก แต่บุตรของนางถูกคว้าตัวขึ้นไปเฝ้าพระเจ้ายังพระบัลลังก์ ของพระองค์ ส่วนสตรีนั้นหลบหนีไปในถิ่นทุรกันดาร ที่นั่นนางมีที่พ�านักซึ่งพระเจ้าทรง จัดเตรียมไว้ให้ ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังจากสวรรค์ว่า “บัดนี้ ความรอดพ้น พระอานุภาพและพระ อาณาจักรเป็นของพระเจ้าของเราแล้ว และอ�านาจเป็นของพระคริสต์ของพระองค์ เพราะ ผู้กล่าวหาบรรดาพี่น้องของเรา คือผู้ที่กล่าวหาเขาทั้งกลางวันกลางคืนเฉพาะพระพักตร์ พระเจ้าของเราก็ถูกโยนลงไปแล้ว ก) ราชธิดาของพระราชาทั้งหลายเสด็จมาพบพระองค์ พระราชินีเสด็จเข้ามาประทับอยู่เบื้องพระหัตถ์ขวา ประดับองค์ด้วยทองค�าจากโอฟีร์ ข) ฟังเถิด ธิดาเอ๋ย จงดูและตั้งใจฟัง จงลืมชาติของท่านและบ้านบิดาของท่านเถิด พระราชาจะทรงหลงรักความงามของท่าน พระองค์ทรงเป็นเจ้าเป็นนายของท่าน จงน้อมกายเคารพพระองค์เถิด ค) ทรงอาภรณ์ปักลวดลายเสด็จมาเฝ้าพระราชา บรรดาเพื่อนสาวติดตามนางมาเฝ้าพระองค์ด้วย เขาทั้งหลายเดินเป็นขบวนและโห่ร้องด้วยความยินดี เข้ามาในพระราชวังของพระราชา

บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโครินธ ฉบับที่หนึ่ง 1 คร 15:20-26

พีน่ อ้ ง ความจริงพระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ าย เป็นผลแรก ของบรรดาผู้ล่วงหลับไปแล้ว ความตายมาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันใด การกลับคืนชีพของ บรรดาผู้ตายก็มาจากมนุษย์คนหนึ่งฉันนั้น มนุษย์ทุกคนตายเพราะอาดัมฉันใด มนุษย์ ทุกคนก็จะกลับมีชีวิตเพราะพระคริสตเจ้าฉันนั้น แต่จะเป็นไปตามล�าดับของแต่ละคน


พระคริสตเจ้าทรงเป็นผลแรก ต่อไปก็คือผู้ที่เป็นของ พระคริสตเจ้า เมื่อพระองค์จะเสด็จมา แล้วจะถึงวาระ สุดท้าย เวลานั้นพระองค์จะทรงมอบพระอาณาจักรให้ แก่พระเจ้าพระบิดา หลังจากทรงท�ำลายการปกครอง อ�ำนาจและอานุภาพทั้งหลาย เพราะพระคริสตเจ้าจะ ต้องทรงครองราชย์จนกว่าพระเจ้าจะทรงปราบศัตรูทั้ง มวลให้อยู่ใต้พระบาทของพระองค์ ศัตรูสุดท้ายที่จะถูก ท�ำลายคือความตาย เพราะพระเจ้าทรงปราบทุกสิง่ ให้อยู่ ใต้พระบาทของพระองค์

บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 1:39-56

หลังจากนั้นไม่นาน พระนางมารีย์ทรงรีบออกเดิน ทางไปยังเมืองหนึง่ ในแถบภูเขาแคว้นยูเดีย พระนางเสด็จเข้าไปในบ้านของเศคาริยาห์และทรงทักทายนาง เอลีซาเบธ เมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินค�ำทักทายของพระนางมารีย์ บุตรในครรภ์ก็ดิ้น นางเอลีซาเบธได้รับ พระจิตเจ้าเต็มเปีย่ ม ร้องเสียงดังว่า “เธอได้รบั พระพรยิง่ กว่าหญิงใดๆ และลูกของเธอก็ได้รบั พระพรด้วย ท�ำไมพระมารดาขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจึงเสด็จมาเยีย่ มข้าพเจ้า เมือ่ ฉันได้ยนิ ค�ำทักทายของเธอ ลูกในครรภ์ ของฉันก็ดิ้นด้วยความยินดี เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง” พระนางมารียต์ รัสว่า “วิญญาณข้าพเจ้าประกาศความยิง่ ใหญ่ขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า จิตใจของข้าพเจ้า ชื่นชมยินดีในพระเจ้า พระผู้ทรงกอบกู้ข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทอดพระเนตรผู้รับใช้ต�่ำต้อยของพระองค์ ตั้งแต่นี้ไป ชนทุกสมัยจะกล่าวว่าข้าพเจ้าเป็นสุข พระผู้ทรงสรรพานุภาพทรงกระท�ำกิจการยิ่งใหญ่ส�ำหรับ ข้าพเจ้า พระนามพระองค์ศักดิ์สิทธิ์ พระกรุณาต่อผู้ย�ำเกรงพระองค์แผ่ไปตลอดทุกยุคทุกสมัย พระองค์ ทรงยกพระกรแสดงพระอานุภาพ ทรงขับไล่ผมู้ ใี จมักใหญ่ใฝ่สงู ให้กระจัดกระจายไป ทรงคว�ำ่ ผูท้ รงอ�ำนาจ จากบัลลังก์ และทรงยกย่องผูต้ ำ�่ ต้อยให้สงู ขึน้ พระองค์ประทานสิง่ ดีทงั้ หลายแก่ผอู้ ดอยาก ทรงส่งเศรษฐี ให้กลับไปมือเปล่า พระองค์ทรงช่วยเหลืออิสราเอล ผูร้ บั ใช้พระองค์ โดยทรงระลึกถึงพระกรุณา ดังทีท่ รง สัญญาไว้แก่บรรพบุรุษของเรา แก่อับราฮัมและบุตรหลานตลอดไป” พระนางมารีย์ประทับอยู่กับนางเอลีซาเบธประมาณสามเดือนจึงเสด็จกลับ ถ้าเรามองดูการประจักษ์ของแม่พระในทีต่ า่ งๆ ทัว่ โลกทีม่ จี ำ� นวนมากมาย ทัง้ ทีม่ กี ารรับรองพิสจู น์ และอีกมากมายทีถ่ กู ปล่อยผ่านเลยไป ท�ำให้ตอ้ งย้อนกลับมาดูการเฉลิมฉลองแม่พระรับเกียรติยกขึน้ สูส่ วรรค์ทเี่ ริม่ ด้วยการฉลองแม่พระบรรทมหลับในยุคแรกๆ การทีพ่ ระวรกายของพระนางทีห่ ายไปอย่างไร้รอ่ งรอย เป็นความเชือ่ ของทุกคนทีม่ นั่ ใจว่าพระเจ้าทรงรับพระนางขึน้ สูส่ วรรค์ทงั้ ร่างกายและวิญญาณ พระแม่ผเู้ สด็จกลับสูบ่ า้ นแท้กอ่ น พวกเรา พระแม่ยังคงเตือนย�้ำในการประจักษ์ต่างๆ ถึงหนทางที่จะเดินทางสู่บ้านแท้ คือการท�ำแต่ความดี ทางที่ ต้องหลีกเลี่ยง นั่นคือวิถีแห่งบาป การท�ำงานของปีศาจ ทรงให้อาวุธง่ายๆ คือสายประค�ำเพื่อให้เราสามารถรวม กันเป็นหนึ่งในเสียงภาวนา และเสียงที่เป็นหนึ่งเดียวนี้ที่พระแม่บอกว่าจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับปัญหา ต่างๆ ในโลก


บทอ่านที่ 1

ระลึกถึง พระนางมารีย์ ราชินีแห่งสากลโลก สดด 96:1-3,4-6 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

พระวรสาร

2 ธส 1:1-5,11ข-12

จากเปาโล สิลวานัสและทิโมธี ถึงพระศาสนจักรของชาวเธสะโลนิกาซึง่ อยู่ในพระเจ้าพระบิดาของเราและในพระ เยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอพระหรรษทานและสันติจากพระเจ้าพระบิดา และจากพระเยซูคริสต์องค์พระผู้ เป็นเจ้า สถิตกับท่านทั้งหลายเถิด พี่น้องทั้งหลาย เราต้องขอบพระคุณพระเจ้าเพราะท่านอยู่เสมอ การกระท�ำเช่นนี้ เป็นการสมควรแล้ว เพราะความเชื่อของท่านก�ำลังเจริญขึ้นมากและความรักของท่าน ต่อกันก็เพิ่มขึ้นด้วย จนเราภูมิใจในท่านทั้งหลาย และบอกกล่าวให้พระศาสนจักรต่างๆ ของพระเจ้าทราบถึงความมั่นคงและความเชื่อของท่าน ในเมื่อท่านอดทนต่อการถูก เบียดเบียนและความทุกข์ต่างๆ แสดงให้เห็นว่าการพิพากษาของพระเจ้านั้นยุติธรรม และจะท�ำให้ท่านเหมาะสมที่จะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า ท่านก�ำลังทนทุกข์อยู่ก็ เพื่อพระอาณาจักรนี้ ขอพระเจ้าของเราโปรดให้ท่านเหมาะสมกับการที่พระองค์ทรงเรียก และขอ พระองค์ทรงบันดาลเจตจ�ำนงที่ดีทุกอย่างของท่าน รวมทั้งกิจการแห่งความเชื่อให้บรรลุ ผลส�ำเร็จเดชะพระอานุภาพของพระองค์ เมือ่ เป็นเช่นนี้ พระนามพระเยซูองค์พระผูเ้ ป็น เจ้าของเราจะได้รับเกียรติเพราะท่านและท่านก็จะได้รับเกียรติเดชะพระองค์ ตามพระ หรรษทานของพระเจ้าของเราและของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า

มธ 23:13,15-22

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “วิบัติจงเกิดแก่ท่านทั้งหลาย ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านปิดประตูอาณาจักรใส่หน้ามนุษย์ ท่านไม่เข้าไปและไม่ปล่อยคนที่อยากเข้า ให้เข้าไปได้ วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านเดินทางข้ามน�้ำข้ามทะเลเพื่อท�ำให้คนเพียง คนเดียวกลับใจ และเมื่อเขากลับใจแล้ว ท่านก็ท�ำให้เขาสมควรจะไปนรกมากกว่าท่านสองเท่า วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ผู้น�ำทางที่ตาบอด ท่านกล่าวว่า ‘ถ้าใครสาบานอ้างถึงพระวิหาร ก็เป็นโมฆะ แต่ถ้า ใครสาบานอ้างถึงทองค�ำในพระวิหาร ก็ต้องปฏิบัติตามค�ำสาบาน’ คนโง่เขลาและตาบอดเอ๋ย สิ่งใดส�ำคัญยิ่ง กว่ากัน ทองค�ำหรือพระวิหารที่ท�ำให้ทองค�ำนั้นศักดิ์สิทธิ์ ท่านยังกล่าวอีกว่า ‘ถ้าใครสาบานอ้างถึงพระแท่น ก็ เป็นโมฆะ แต่ถ้าใครสาบานอ้างถึงเครื่องบูชาบนพระแท่น ก็ต้องปฏิบัติตามค�ำสาบาน’ คนตาบอดเอ๋ย สิ่งใด ส�ำคัญยิ่งกว่ากัน เครื่องบูชาหรือพระแท่นที่ท�ำให้เครื่องบูชานั้นศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น ผู้ที่สาบานอ้างถึงพระแท่น ก็ สาบานอ้างถึงพระแท่นรวมทั้งทุกสิ่งที่อยู่บนพระแท่นนั้นด้วย และผู้ที่สาบานอ้างถึงพระวิหาร ก็สาบานอ้างถึง พระวิหาร รวมทัง้ พระผูส้ ถิตในพระวิหารนัน้ ด้วย ผูท้ สี่ าบานอ้างถึงสวรรค์ ก็สาบานอ้างถึงพระทีน่ งั่ ของพระเจ้า รวมทั้งพระผู้ประทับอยู่บนพระที่นั่งนั้นด้วย” เครือ่ งป้องกันตน สิง่ ทีป่ อ้ งกันตัวได้ดที สี่ ดุ คือคุณค่าของการเป็นคริสตชน การเจริญชีวติ ในความเชือ่ มีความรักต่อกันและกัน อดทนต่อการถูกเบียดเบียนและต่อความทุกข์ยากทุกชนิด


บทอ่านที่ 1

2 ธส 2:1-3ก,14-17

พีน่ อ้ งทัง้ หลาย เรือ่ งการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของเรา และ เรื่องการชุมนุมของเราเพื่อพบกับพระองค์นั้น เราวอนขอท่านอย่ารีบด่วนหวั่นไหวหรือ ตกใจไม่ว่าเพราะค�าพยากรณ์ที่อ้างว่ามาจากพระจิตเจ้า หรือเพราะค�าพูดหรือจดหมาย ที่อ้างว่ามาจากเรา ประหนึ่งว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาถึงแล้ว อย่าให้ใครหลอก ลวงท่านโดยวิธีใดเลย พระองค์ทรงเรียกท่านมาเพราะข่าวดีที่เราเทศน์สอน เพื่อท่านจะได้รับพระสิริ รุ่งโรจน์ของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ดังนั้น พี่น้องทั้งหลายจงยืนหยัด มั่นคงและยึดถือธรรมประเพณีที่ท่านเรียนรู้มาทั้งด้วยวาจาและด้วยจดหมายของเรา ขอพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า และพระเจ้าพระบิดาของเรา ผู้ทรงรักเรา ประทาน ก�าลังใจนิรันดรและความหวังที่ดีให้เราเดชะพระหรรษทาน

พระวรสาร

มธ 23:23-26

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจ คด ท่านถวายหนึ่งในสิบของสะระแหน่ ผักชี ยี่หร่า แต่ได้ละเลยธรรมบัญญัติในเรื่อง ที่ส�าคัญ เช่น ความยุติธรรม ความเมตตากรุณา และความซื่อสัตย์ บทบัญญัติเหล่านี้ จ�าเป็นต้องปฏิบัติโดยไม่ละเว้นบทบัญญัติเหล่านั้นด้วย ผู้น�าทางตาบอดเอ๋ย ท่านกรองลูกน�้า แต่กลับกลืนอูฐทั้งตัว วิบัติจงเกิดแก่ท่าน ธรรมาจารย์และฟาริสีหน้าซื่อใจคด ท่านล้างถ้วยชามด้านนอก ด้านในมีแต่ความสกปรกคือการข่มขูแ่ ย่งชิง และราคตัณหา ฟาริสตี าบอดเอ๋ย จงล้างด้าน ในของถ้วยชามให้สะอาดเสียก่อน แล้วด้านนอกก็จะสะอาดด้วย” ภารกิจส�าคัญของชีวิต คือ ขจัดความชั่วร้ายออกจากจิตใจ และด�าเนินชีวิต ในความยุติธรรม มีเมตตากรุณาและความซื่อสัตย์ต่อบทบัญญัติ ส่วนที่เหลือเป็นเรื่องรอง มี ความส�าคัญน้อย

น.โรซา ชาวลีมา พรหมจารี สดด 96:10-13 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 1


ฉลอง น.บาร์โธโลมิว อัครสาวก สดด 145:10-11, 12-13,16-19

บทอ่านที่ 1

วว 21:9ข-14

พระวรสาร

ยน 1:45-51

ทูตสวรรค์องค์หนึ่งกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “มาเถิด ข้าพเจ้าจะให้ดูสตรีที่เป็นเจ้าสาว ของลูกแกะ” ทูตสวรรค์น�าข้าพเจ้าเดชะพระจิตเจ้าไปบนภูเขาสูงใหญ่ลูกหนึ่ง ชี้ให้ ข้าพเจ้าเห็นกรุงเยรูซาเล็ม นครศักดิ์สิทธิ์ซึ่งก�าลังลงมาจากสวรรค์ มาจากพระเจ้า นคร นี้มีพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า มีความสุกใสเหมือนเพชรพลอยล�้าค่า คล้ายแก้วมณี โชติช่วงเป็นผลึกสดใส มีก�าแพงสูงใหญ่ ประตูสิบสองประตู แต่ละประตูมีทูตสวรรค์ ประจ�าอยู่และมีชื่อจารึกไว้ คือชื่อตระกูลอิสราเอลสิบสองตระกูล ทางทิศตะวันออกมี สามประตู ทางทิศเหนือมีสามประตู ทางทิศใต้มีสามประตู และทางทิศตะวันตกมีสาม ประตู ก�าแพงเมืองตั้งอยู่บนฐานศิลาสิบสองฐาน บนฐานศิลานั้นมีชื่อของบรรดาอัคร สาวกทั้งสิบสององค์ของลูกแกะ เวลานัน้ ฟีลปิ พบนาธานาเอล และบอกเขาว่า “เราพบผูท้ โี่ มเสสในธรรมบัญญัตแิ ละ บรรดาประกาศกเขียนถึง ผู้นั้นคือพระเยซู บุตรของโยเซฟ ชาวนาซาเร็ธ” นาธานาเอล จึงพูดกับฟีลิปว่า “จะมีอะไรดีมาจากนาซาเร็ธได้รึ” ฟีลปิ ตอบว่า “มาดูซ”ิ พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นนาธานาเอลเข้ามาเฝ้า จึงตรัส ถึงเขาว่า “นี่คือชาวอิสราเอลแท้ เป็นคนไม่มีมารยา” นาธานาเอลทูลถามว่า “พระองค์ ทรงรู้จักข้าพเจ้าได้อย่างไร” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ก่อนทีฟ่ ลี ปิ จะเรียกท่าน เราเห็นท่านอยูใ่ ต้ตน้ มะเดือ่ เทศ” นาธานาเอลทูลตอบว่า “รับบี พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ ของชนชาติอิสราเอล” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านเชื่อเพราะเราพูดว่า เราเห็นท่านอยู่ใต้ ต้นมะเดื่อเทศหรือ ท่านจะเห็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก” แล้วพระองค์ตรัสเสริม ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ท่านจะเห็นท้องฟ้าเปิด และจะเห็นบรรดาทูต สวรรค์ของพระเจ้าขึ้นลงรับใช้บุตรแห่งมนุษย์” นครศักดิ์สิทธิ์หรืออาณาจักรพระเจ้า เป็นอาณาจักรแห่งจิตใจที่แสวงหา พระเจ้าและด�าเนินชีวิตตามพระธรรมค�าสอนของพระองค์ นอกนั้น ควรเชื่อฟังบรรดาพระ สังฆราช พระสงฆ์ นักบวช และผูท้ มี่ คี วามเชือ่ รักษาค�าสอนทัง้ หมดในพระคัมภีรจ์ นถึงปัจจุบนั


บทอ่านที่ 1

1 คร 1:1-9

จากเปาโล ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกให้เป็นอัครสาวกของพระคริสตเยซูตามพระ ประสงค์ของพระองค์ และจากโสสเธเนสพี่น้องของเรา ถึงพระศาสนจักรของพระเจ้าที่อยู่ ณ เมืองโครินธ์ ถึงผู้ที่ได้รับความศักดิ์สิทธิ์ใน พระคริสตเยซู คือได้รับเรียกให้เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับทุกคนในทุกสถานที่ ทุกคนซึ่ง เรียกหาพระนามพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าทั้งของเขาและของเราด้วย ขอพระหรรษทานและสันติสขุ จากพระเจ้าพระบิดาของเรา และจากพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้าอยู่เสมอเพื่อท่านทั้งหลาย เพราะพระหรรษทานซึ่ง พระเจ้าประทานแก่ท่านเดชะพระคริสตเยซู ท่านได้รับพระพรทุกด้านและทุกประการ เดชะพระองค์ คือการประกาศพระวาจาและความรู้ทุกอย่าง ท่านทั้งหลายเป็นพยานถึง พระคริสตเจ้าอย่างเข้มแข็งจนถึงทีส่ ดุ จนกระทัง่ ท่านไม่ขาดพระคุณใดในขณะทีร่ อคอย การเสด็จมาของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระองค์จะทรงค�้าจุนท่านให้ มัน่ คงจนถึงวาระสุดท้าย ไม่มที ตี่ ใิ นวันทีพ่ ระเยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของเราจะเสด็จ มา พระเจ้าทรงเรียกท่านให้สนิทสัมพันธ์กบั พระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ องค์ พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้ว พระองค์ทรงมั่นคงในการรักษาค�าสัญญา

พระวรสาร

น.หลุยส์ กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส น.โยเซฟ กาลาซานส์ พระสงฆ์ สดด 145:2-3,4-5, 6-7 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 1

มธ 24:42-51

เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงตื่นเฝ้าระวังเถิด เพราะท่านไม่รู้ว่า นายของท่านจะมาเมื่อไร พึงรู้ไว้เถิด ถ้าเจ้าบ้านรู้ว่าขโมยจะมาในยามใด เขาคงจะตื่น เฝ้าไม่ปล่อยให้ขโมยงัดแงะบ้านของตนได้ ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน จงเตรียมพร้อม ไว้ เพราะว่าบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในเวลาที่ท่านมิได้คาดหมาย ใครเล่าเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์และรอบคอบซึ่งนายแต่งตั้งให้ดูแลผู้รับใช้ เพื่อแจก จ่ายอาหารให้ตามเวลาที่ก�าหนด ผู้รับใช้นั้นย่อมเป็นสุข เมื่อนายกลับมาพบเขาก�าลัง ท�าเช่นนี้ เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า นายจะแต่งตัง้ เขาให้ดแู ลทรัพย์สนิ ทัง้ ปวง ของตน แต่ถ้าผู้รับใช้นั้นคิดว่า ‘นายจะมาช้า’ แล้วเขาก็เริ่มตบตีเพื่อนผู้รับใช้ กินดื่มกับ พวกขีเ้ มา นายของผูร้ บั ใช้นนั้ จะกลับมาในวันทีเ่ ขามิได้คาดหมาย ในเวลาทีเ่ ขาไม่รู้ นาย ก็จะแยกเขาออกให้ไปอยูก่ บั พวกหน้าซือ่ ใจคด ทีน่ นั่ จะมีแต่การร�า่ ไห้คร�า่ ครวญ และขบ ฟันด้วยความขุ่นเคือง” วิธีการรักษาชีวิตให้ยึดมั่นพระเจ้าอย่างยั่งยืน 1. ให้ขอบพระคุณพระเจ้าอย่างสม�่าเสมอ ด้วยการสวดภาวนาและร่วมบูชามิสซา... 2. เรียนรู้พระคัมภีร์และประกาศพระวาจาค�าสั่งสอนของพระเจ้า... 3. รักและรับใช้เพื่อนพี่น้อง เป็นต้น ผู้ที่อยู่ในภาวะล�าบาก

น.หลุยส กษัตริยแหงฝรั่งเศส


บทอ่านที่ 1

1 คร 1:17-25

พี่น้อง พระคริสตเจ้ามิได้ทรงส่งข้าพเจ้ามาท�ำพิธีล้างบาป แต่ทรงส่งมาประกาศ ข่าวดีมิใช่ด้วยการใช้โวหารอันชาญฉลาด ด้วยเกรงว่าจะท�ำให้ไม้กางเขนของพระคริสต เจ้าเสื่อมประสิทธิภาพ ผู้ที่จะพินาศนั้นเห็นว่าค�ำสอนเรื่องไม้กางเขนเป็นความโง่เขลา แต่พวกเราทีก่ ำ� ลังจะรอดพ้นเห็นว่าเป็นพระอานุภาพของพระเจ้า มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ ว่า “เราจะท�ำลายความปรีชาของผู้มีปัญญา และจะท�ำให้ไหวพริบของคนฉลาดหมดสิ้น สัปดาห์ที่ 21 ไป คนฉลาดปราดเปรื่องอยู่ที่ใด บัณฑิตอยู่ที่ใด” และนักโต้ปัญหาของโลกนี้อยู่ที่ใด เทศกาลธรรมดา พระเจ้ามิได้ทรงบันดาลให้ความปรีชาฉลาดของโลกนี้ กลายเป็นความโง่เขลาไปดอก สดด 33:1-2,4-5, หรือ เพราะตามพระปรีชาญาณของพระเจ้า โลกมิได้รู้จักพระองค์โดยอาศัยความปรีชา 10-12 ฉลาดของตน พระเจ้าจึงพอพระทัยช่วยผูม้ คี วามเชือ่ ให้รอดพ้นโดยมีการเทศน์สอนเรือ่ ง ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 ทีด่ เู หมือนโง่เขลา ขณะทีช่ าวยิวเรียกร้องขอดูอศั จรรย์ และชาวกรีกแสวงหาปรีชาญาณ เรากลับประกาศเรื่องพระคริสตเจ้าผู้ทรงถูกตรึงกางเขน อันเป็นเรื่องที่ชาวยิวรับไม่ได้ และชาวกรีกเห็นเป็นเรื่องโง่เขลา แต่ส�ำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกนั้น ไม่ว่าจะเป็นชาวยิวหรือชาวกรีก พระ คริสตเจ้าทรงเป็นทั้งพระอานุภาพและพระปรีชาญาณของพระเจ้า เพราะความโง่เขลาของพระเจ้ายังฉลาดยิ่ง กว่าปรีชาญาณของมนุษย์ และความอ่อนแอของพระเจ้าก็ยังเข้มแข็งยิ่งกว่าพละก�ำลังของมนุษย์

พระวรสาร

มธ 25:1-13

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าเรื่องอุปมาให้บรรดาศิษย์ฟังว่าดังนี้ “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับหญิงสาวสิบคนถือตะเกียงออกไปรอรับเจ้าบ่าว ห้าคนเป็นคนโง่ อีกห้า คนเป็นคนฉลาด หญิงโง่น�ำตะเกียงไป แต่มิได้น�ำน�้ำมันไปด้วย ส่วนหญิงฉลาด น�ำน�้ำมันใส่ขวดไปพร้อมกับตะเกียง ทุก คนต่างง่วงและหลับไปเพราะเจ้าบ่าวมาช้า ครั้นเวลาเที่ยงคืน มีเสียงตะโกนบอกว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออก ไปรับกันเถิด’ หญิงสาวทุกคนจึงตื่นขึ้นแต่งตะเกียง หญิงโง่พูดกับหญิงฉลาดว่า ‘ขอน�้ำมันให้เราบ้าง เพราะตะเกียง ของเราจวนจะดับแล้ว’ หญิงฉลาดจึงตอบว่า ‘ไม่ได้ เพราะน�้ำมันอาจไม่พอส�ำหรับเราและส�ำหรับพวกเธอด้วย จงไปหาคนขาย แล้วซื้อเอาเองดีกว่า’ ขณะที่หญิงเหล่านั้นก�ำลังไปซื้อน�้ำมัน เจ้าบ่าวก็มาถึง หญิงสาวที่เตรียมพร้อมจึงเข้าไป ในห้องงานแต่งงานพร้อมกับเจ้าบ่าว แล้วประตูก็ปิด ในที่สุด พวกหญิงโง่ก็มาถึง พูดว่า ‘นายเจ้าขา นายเจ้าขา เปิดรับพวกเราด้วย’ แต่เขาตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ทา่ นทัง้ หลายว่า เราไม่รจู้ กั ท่าน’ ดังนัน้ จงตืน่ เฝ้าระวัง ไว้เถิด เพราะท่านไม่รู้วันและเวลา” การเตรียมพร้อมส�ำหรับวันข้างหน้า มีหลายมิติที่ต้องค�ำนึงถึง... (1) เพื่อมีเงินทองของใช้ ต้องรู้จัก อดออม... (2) เพื่อจะมีมิตรภาพต้องรู้จักรักและรับใช้เพื่อนๆ... (3) เพื่อไม่เป็นภาระต่อสังคมต้องเคารพกติกาสังคม.. (4) เพือ่ จะเป็นคาทอลิกต้องเรียนรูท้ จี่ ะแบกกางเขน อดทนต่อความทุกข์ยากทุกชนิดร่วมกับพระเยซูเจ้า พระองค์ถวาย ชีวิตทั้งหมดเป็นสักการบูชาแด่พระบิดาเจ้า


บทอ่านที่ 1

1 คร 1:26-31

พี่น้องทั้งหลาย จงพิจารณาดูเถิด เมื่อพระเจ้าทรงเรียกท่านนั้น มีน้อยคนที่ ฉลาดตามมาตรฐานของมนุษย์ น้อยคนที่มีอิทธิพล น้อยคนที่มีตระกูลสูง แต่พระเจ้า ทรงเลือกสรรคนโง่เขลาในสายตาของโลกเพื่อท�ำให้คนฉลาดต้องอับอาย พระเจ้า ทรงเลือกสรรคนที่โลกถือว่าอ่อนแอเพื่อท�ำให้ผู้แข็งแรงต้องอับอาย และพระเจ้าทรง เลือกสรรสิ่งต�่ำช้าน่าดูหมิ่นไร้คุณค่าในสายตาของชาวโลกเพื่อท�ำลายสิ่งที่โลกเห็นว่า ส�ำคัญ ทั้งนี้ เพื่อมิให้มนุษย์โอ้อวดเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ เดชะพระองค์ ท่านจึงมี ความเป็นอยู่ในพระคริสตเยซูผู้ที่พระเจ้าทรงตั้งให้เป็นปรีชาญาณส�ำหรับเรา ทั้งยังทรง เป็นผู้บันดาลความชอบธรรม ความศักดิ์สิทธิ์และการไถ่กู้อีกด้วย เพื่อให้เป็นไปตาม ที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ผู้ใดจะโอ้อวด ก็ให้ผู้นั้นโอ้อวดในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด”

พระวรสาร

ระลึกถึง น.โมนิกา สดด 33:11-13, 18-19,20-22 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

มธ 25:14-30

เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าเรื่องอุปมาให้บรรดาศิษย์ฟังว่าดังนี้ “อาณาจักรสวรรค์ยังจะเปรียบได้กับบุรุษผู้หนึ่งก�ำลังจะเดินทางไกล เรียกผู้รับใช้ มามอบทรัพย์สินให้ ให้คนที่หนึ่งห้าตะลันต์ ให้คนที่สองสองตะลันต์ ให้คนที่สามหนึ่ง ตะลันต์ ตามความสามารถของแต่ละคน แล้วจึงออกเดินทางไป คนที่รับห้าตะลันต์รีบน�ำเงินนั้นไปลงทุน ได้ก�ำไรมาอีกห้าตะลันต์ คนที่รับสอง ตะลันต์ก็ได้ก�ำไรมาอีกสองตะลันต์เช่นเดียวกัน แต่คนที่รับหนึ่งตะลันต์ไปขุดหลุมซ่อน เงินของนายไว้ หลังจากนัน้ อีกนาน นายของผูร้ บั ใช้พวกนีก้ ก็ ลับมาและตรวจบัญชีของพวกเขา คนทีร่ บั ห้าตะลันต์เข้ามา น�ำก�ำไรอีกห้าตะลันต์มาด้วย กล่าวว่า ‘นายขอรับ ท่านให้ข้าพเจ้าห้าตะลันต์ นี่คือเงินอีกห้าตะลันต์ที่ข้าพเจ้า ท�ำก�ำไรได้’ นายพูดว่า ‘ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในสิ่งเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่อง ใหญ่ๆ จงมาร่วมยินดีกบั นายของเจ้าเถิด’ คนทีร่ บั สองตะลันต์เข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับ ท่านให้ขา้ พเจ้าสอง ตะลันต์ นี่คือเงินอีกสองตะลันต์ที่ข้าพเจ้าท�ำก�ำไรได้’ นายพูดว่า ‘ดีมาก ผู้รับใช้ที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ ในสิ่งเล็กน้อย เราจะให้เจ้าจัดการในเรื่องใหญ่ๆ จงมาร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด’ คนที่รับหนึ่งตะลันต์เข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับ ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเป็นคนเข้มงวด เก็บเกี่ยวในที่ที่ท่านไม่ ได้หว่าน เก็บรวบรวมในที่ที่ท่านไม่ได้โปรย ข้าพเจ้ามีความกลัว จึงน�ำเงินของท่านไปฝังดินซ่อนไว้ นี่คือเงิน ของท่าน’ นายจึงตอบว่า ‘ผู้รับใช้เลวและเกียจคร้าน เจ้ารู้ว่าข้าเก็บเกี่ยวในที่ที่ข้ามิได้หว่าน เก็บรวบรวมในที่ ที่ข้ามิได้โปรย เจ้าก็ควรน�ำเงินของข้าไปฝากธนาคารไว้ เมื่อข้ากลับมาจะได้ถอนเงินของข้าพร้อมกับดอกเบี้ย จงน�ำเงินหนึ่งตะลันต์จากเขาไปให้แก่ผู้ที่มีสิบตะลันต์ เพราะผู้ที่มีมาก จะได้รับมากขึ้น และเขาจะมีเหลือเฟือ แต่ผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามีก็จะถูกริบไปด้วย ส่วนผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์นี้ จงน�ำไปทิ้งในที่มืดข้างนอก ที่ นั่นจะมีแต่การร�่ำไห้คร�่ำครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง’” ไม่มใี ครสามารถเข้าเป็นคริสตชนได้ ถ้าพระบิดามิทรงชักน�ำ...(ยน 6:44) การเป็นคริสตชนจึงเป็นพระพร พิเศษ พระเป็นเจ้าทรงเป็นผู้บันดาลความชอบธรรม ความศักดิ์สิทธิ์และการไถ่กู้ แต่พระเจ้าก็ทรงเรียกร้องจากคริสต ชนด้วย กล่าวคือต้องซื่อสัตย์ต่อพระประสงค์...ยิ่งได้รับพรมาก ยิ่งต้องท�ำให้เกิดผลมาก


สัปดาห์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 2

บทอ่านจากหนังสือบุตรสิรา

บสร 3:17-20,28-30

เพลงสดุดี

สดด 68:3-4ก,5-6ก,9-10

ลูกเอ๋ย ไม่ว่าท่านจะท�าสิ่งใด จงท�าด้วยความอ่อนโยนเถิด แล้วท่านจะเป็นที่รัก มากกว่าคนให้ของก�านัล ท่านยิ่งเป็นใหญ่มากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งต้องถ่อมตนลงมากเท่านั้น แล้วพระเจ้าจะโปรดปรานท่าน เพราะพระอานุภาพขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้นยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงได้รับเกียรติจากผู้ต�่าต้อย ผู้มีใจดื้อดึงจะรับทุกข์ทรมานอย่างหนัก คนบาป ยิง่ จะสะสมบาปมากขึน้ ผลร้ายของความเย่อหยิง่ ยากอย่างยิง่ ทีจ่ ะบ�าบัดได้ เพราะความ ชั่วร้ายฝังรากลึกในตัวเขา จิตใจของคนฉลาดย่อมไตร่ตรองเรื่องอุปมา ผู้มีปัญญาย่อม ใฝ่หาคนที่ตั้งใจฟัง ก) ผู้ชอบธรรมจะยินดีร่าเริงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และจะร้องเพลงด้วยความปรีดา จงร้องเพลงถวายพรพระเจ้าเถิด จงร้องเพลงสดุดีสรรเสริญพระนามพระองค์ จงเตรียมทางแด่พระองค์ผู้เสด็จมาโดยมีเมฆเป็นพาหนะ ข) พระเจ้าในที่ประทับศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ทรงเป็นบิดาของลูกก�าพร้า ทรงปกป้องหญิงม่าย พระองค์ประทานบ้านเรือนให้คนเดียวดายพ�านักอยู่ ทรงน�าผู้ต้องขังออกมารับความรุ่งเรือง ค) ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ประทานฝนมากมายลงมา พระองค์ทรงบันดาลให้แผ่นดินที่แห้งแล้งกลับชุ่มชื่น ประชากรของพระองค์เข้าพ�านักในแผ่นดินนั้น ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงพระทัยดี เตรียมแผ่นดินนี้ไว้ส�าหรับคนขัดสน

บทอ่านจากจดหมายถึงชาวฮีบรู ฮบ 12:18-19,22-24ก

พี่น้อง ท่านทั้งหลายมิได้เข้าใกล้สิ่งที่ประสาทสัมผัสได้ หรือสิ่งที่มีเปลวไฟลุกโชติ ช่วง หรือสิง่ ทีม่ คี วามมืดมัวและมืดมิดหรือพายุ หรือเสียงแตรหรือพระสุรเสียง ซึง่ ท�าให้ ทุกคนทีไ่ ด้ยนิ พากันร้องขอให้ยตุ ิ เพราะพวกเขาทนไม่ได้ทจี่ ะฟังพระบัญชาทีว่ า่ ใครก็ตาม แม้สัตว์ ถ้าสัมผัสกับภูเขาจะต้องถูกหินทุ่มให้ตาย ภาพที่เห็นช่างน่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก จนโมเสสถึงกับพูดว่า “ข้าพเจ้ากลัวจนตัวสัน่ ” แต่ทา่ นเข้ามาถึงภูเขาศิโยนและนครแห่ง พระเจ้าผู้ทรงชีวิต คือ นครเยรูซาเล็มในสวรรค์ ซึ่งมีทูตสวรรค์เหลือคณานับ ท่านเข้า มาถึงทีช่ มุ นุมฉลองชัยและมาถึงชุมนุมของบุตรคนแรกทีไ่ ด้รบั การลงชือ่ ไว้ในสวรรค์แล้ว มาถึงพระเจ้า พระตุลาการของมนุษย์ทุกคน ร่วมกับบรรดาจิตของผู้ชอบธรรมที่บรรลุ ถึงความสมบูรณ์แล้ว และยังเข้ามาถึงพระเยซูเจ้าผู้เป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาใหม่


บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 14:1,7-14

วันสับบาโตวันหนึ่ง พระเยซูเจ้าเสด็จไปเสวย พระกระยาหารทีบ่ า้ นของหัวหน้าชาวฟาริสผี หู้ นึง่ ผูท้ อ่ี ยู่ ที่นั่นต่างจ้องมองพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงสังเกตเห็นผู้รับเชิญต่างเลือกที่ นั่งที่มีเกียรติ จึงตรัสเป็นอุปมากับเขาว่า “เมื่อมีใคร เชิญท่านไปในงานมงคลสมรส อย่าไปนั่งในที่ที่มีเกียรติ เพราะถ้ามีคนส�าคัญกว่าท่านได้รบั เชิญมาด้วย เจ้าภาพที่ เชิญท่านและเชิญเขาจะมาบอกท่านว่า ‘จงให้ทนี่ งั่ แก่ผนู้ ี้ เถิด’ แล้วท่านจะต้องอับอายไปนัง่ ทีส่ ดุ ท้าย แต่เมือ่ ท่าน ได้รับเชิญ จงไปนั่งในที่สุดท้ายเถิด เพื่อเจ้าภาพที่เชิญ ท่านจะมาบอกท่านว่า ‘เพื่อนเอ๋ย จงไปนั่งในที่ที่ดีกว่านี้เถิด’ แล้วท่านจะได้รับเกียรติต่อหน้าผู้ร่วมโต๊ะ ทั้งหลาย เพราะทุกคนที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต�่าลง แต่ทุกคนที่ถ่อมตนลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น” พระองค์ตรัสกับผู้ที่เชิญพระองค์ว่า “เมื่อท่านจัดเลี้ยงอาหารกลางวันหรืออาหารค�่า อย่าเชิญมิตร สหาย พี่น้องหรือเพื่อนบ้านที่มั่งมี เพราะเขาจะเชิญท่านและท่านจะได้รับการตอบแทน แต่เมื่อท่านจัด งานเลี้ยง จงเชิญคนยากจน คนพิการ คนง่อย คนตาบอด แล้วท่านจะเป็นสุข เพราะคนเหล่านั้นไม่มีสิ่ง ใดตอบแทนท่านได้ ท่านจะได้รับการตอบแทนจากพระเจ้าเมื่อผู้ชอบธรรมกลับคืนชีวิต” พระเจ้าทรงถอดผูม้ อี า� นาจออกจากบัลลังก ทรงยกย่องผูต้ า�่ ต้อยขึน้ ดัง่ พระคัมภีรป์ ระจ�าอาทิตย์ นี้สอน ให้ท�าทุกสิ่งด้วยความสุภาพ อ่อนโยน ผู้ที่ยิ่งใหญ่ก็ยิ่งให้ถ่อมตนลง อย่านั่งในที่มีเกียรติ เมื่อจัดงานเลี้ยง ก็เชิญให้คนยากจน คนพิการ คนง่อย คนตาบอด ความประพฤติเช่นนี้ย่อมท�าให้พระเจ้าทรงได้รับเกียรติ


ระลึกถึง น.ยอห์น แบปติสต์ ถูกตัดศีรษะ สดด 71:1-3ก,3ข-5 6,14-15 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1

ยรม 1:17-19

พระวรสาร

มก 6:17-29

องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ท่านจงคาดสะเอว จงลุกขึ้นไปบอกทุกสิ่งที่ เราจะสั่งท่านให้เขาฟัง อย่ากลัวเขาเลย เพราะเราจะท�าให้ท่านไม่พรั่นพรึงต่อหน้าเขา ดู ซิ วันนีเ้ ราท�าให้ทา่ นเป็นเหมือนเมืองป้อม เป็นเหมือนเสาเหล็ก และเป็นเหมือนก�าแพง ทองสัมฤทธิ์ ต่อสูก้ บั ทัว่ แผ่นดิน กับบรรดากษัตริยแ์ ห่งยูดาห์และเจ้านาย บรรดาสมณะ และประชากรของแผ่นดิน เขาทั้งหลายจะต่อสู้กับท่าน แต่จะไม่ชนะท่าน เพราะเราอยู่ กับท่านเพื่อช่วยท่านให้รอดพ้น” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส เวลานัน้ กษัตริยเ์ ฮโรดองค์นเี้ คยทรงสัง่ ให้จบั กุมยอห์น และล่ามโซ่ขงั คุกไว้ เพราะ เรือ่ งของนางเฮโรเดียส ภรรยาของฟีลปิ พระอนุชา ซึง่ กษัตริยเ์ ฮโรดทรงรับมาเป็นมเหสี ยอห์นเคยทูลกษัตริย์เฮโรดว่า “ไม่ถูกต้องที่พระองค์ทรงรับภรรยาของน้องชายมาเป็น มเหสี” นางเฮโรเดียสจึงโกรธแค้นและปรารถนาจะฆ่ายอห์นเสีย แต่ฆ่าไม่ได้ เพราะ กษัตริย์เฮโรดยังทรงเกรงยอห์นอยู่ ทรงทราบว่ายอห์นเป็นคนชอบธรรมและศักดิ์สิทธิ์ จึงทรงป้องกันไว้ เมื่อกษัตริย์เฮโรดทรงฟังค�าพูดของยอห์น ทรงรู้สึกสับสน แต่ก็ทรง ยินดีที่จะฟัง นางเฮโรเดียสได้โอกาสเมือ่ กษัตริยเ์ ฮโรดทรงจัดให้มงี านเลีย้ งขุนนางกับนายทหาร ชัน้ ผูใ้ หญ่และคนส�าคัญในแคว้นกาลิลใี นวันคล้ายวันประสูตขิ องพระองค์ บุตรหญิงของ นางเฮโรเดียสออกมาเต้นร�าเป็นทีพ่ อพระทัยของกษัตริยเ์ ฮโรด และเป็นทีพ่ อใจของผูร้ บั เชิญ กษัตริย์จึงตรัสกับหญิงคนนั้นว่า “ท่านอยากได้อะไรก็ขอมาเถิด เราจะให้” และ ยังทรงสาบานอีกว่า “ท่านขออะไรเราก็จะให้ แม้จะเป็นครึ่งหนึ่งของอาณาจักรของเรา ก็ตาม” หญิงสาวจึงออกไปถามมารดาว่า “ลูกจะขออะไรดี” มารดาตอบว่า “จงขอศีรษะ ของยอห์น ผู้ท�าพิธีล้าง” หญิงสาวจึงรีบกลับมาทูลกษัตริย์ทันทีว่า “หม่อมฉันขอศีรษะ ของยอห์นผู้ท�าพิธีล้างใส่ถาดมาให้เดี๋ยวนี้” กษัตริย์ทรงเป็นทุกข์อย่างยิ่ง แต่เพราะได้ ทรงสาบานไว้ และเพราะทรงเห็นแก่ผู้รับเชิญ ไม่ทรงปรารถนาจะขัดใจหญิงสาว จึงทรง สั่งเพชฌฆาตไปตัดศีรษะของยอห์นมาทันที เพชฌฆาตไปตัดศีรษะของยอห์นในคุก ใส่ ถาดน�ามาให้หญิงสาว หญิงสาวจึงน�าไปให้มารดา เมื่อบรรดาศิษย์ของยอห์นรู้เรื่อง จึง มารับศพของยอห์น น�าไปฝังไว้ในคูหา

บุคคลหนึ่งที่จะยอมตายเพื่อพิทักษค�าสอนของศาสนา เขาต้องได้รับพระพร พิเศษจากพระเจ้าดังประกาศกเยเรมียไ์ ด้บนั ทึกไว้ “พระเจ้าจะท�าให้ทา่ นไม่พรัน่ พรึงต่อหน้าศัตรู ท่านจะเป็นเหมือนเมืองป้อม เป็นเหมือนเสาเหล็ก เขาจะต่อสู้ท่าน แต่จะไม่ชนะท่าน เพราะ พระเจ้าอยู่กับท่านเพื่อช่วยเหลือท่าน”


บทอ่านที่ 1

1 คร 2:10ข-16

พี่น้อง พระจิตเจ้าทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้กระทั่งสิ่งที่ลึกล�้าของพระเจ้า ใครเล่าล่วงรู้ ความคิดของมนุษย์ ถ้ามิใช่จิตของมนุษย์ที่อยู่ในตัวมนุษย์คนนั้น เช่นเดียวกัน ไม่มีผู้ ใดล่วงรู้ถึงความคิดของพระเจ้านอกจากพระจิตของพระเจ้า เรามิได้รับจิตของโลก แต่ รับพระจิตซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อให้รู้ถึงสิ่งต่างๆ ซึ่งพระเจ้าประทานแก่เรา เราพูดถึงสิ่ง เหล่านี้ มิใช่ด้วยวาจาซึ่งปรีชาญาณของมนุษย์สอนให้ แต่พูดด้วยถ้อยค�าที่พระจิตเจ้า ทรงสอน เราจึงอธิบายเรือ่ งฝ่ายจิตโดยใช้ถอ้ ยค�าของพระจิตเจ้า มนุษย์ทดี่ า� เนินชีวติ ตาม ธรรมชาติรบั สิง่ ทีเ่ ป็นของพระจิตของพระเจ้าไม่ได้ เรือ่ งนีเ้ ป็นเรือ่ งโง่เขลาส�าหรับเขา เขา ไม่อาจเข้าใจได้ เพราะต้องใช้จิตพิจารณา อาศัยพระจิตเจ้าเท่านั้น ส่วนผู้ที่ด�าเนินชีวิต อาศัยพระจิตเจ้าย่อมตัดสินทุกสิ่งและไม่มีใครตัดสินเขาได้ ใครเล่าหยั่งรู้ความคิดของ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า เพือ่ ให้คา� แนะน�าแก่พระองค์ได้ แต่เราเองมีความคิดของพระคริสตเจ้า

พระวรสาร

ลก 4:31-37

เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จลงไปยังเมืองคาเปอรนาอุม เมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลี ทรงสั่งสอนประชาชนในวันสับบาโต ค�าสั่งสอนของพระองค์ท�าให้ผู้ฟังประทับใจอย่าง มาก เพราะพระวาจาของพระองค์ทรงไว้ซึ่งอ�านาจ ในศาลาธรรม ชายคนหนึ่งถูกจิตของปีศาจร้ายสิง ร้องตะโกนเสียงดังว่า “ท่านมา ยุ่งกับพวกเราท�าไม เยซูชาวนาซาเร็ธ ท่านมาท�าลายพวกเราใช่ไหม ฉันรู้ว่าท่านเป็นใคร ท่านคือองค์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า” พระเยซูเจ้าทรงดุปีศาจและทรงสั่งว่า “จงเงียบ ออกไปจากผู้นี้” ปีศาจผลักชายนั้นล้มลงต่อหน้าทุกคน แล้วออกไปจากเขาโดยมิได้ ท�าร้ายแต่ประการใด ทุกคนต่างประหลาดใจมากและถามกันว่า “วาจานี้คือสิ่งใด จึงมี อ�านาจและอานุภาพบังคับปีศาจร้าย และมันก็ออกไป” กิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือ ไปทั่วทุกแห่งในบริเวณนั้น พระพรและพระอานุภาพของพระจิตเจ้า 1. พระองค์ทรงหยั่งรู้ทุกสิ่งแม้สิ่งที่ลึกล�้าของพระเจ้า... 2. ทรงช่วยเราให้สามารถอธิบายเรื่องฝายจิต... 3. สามารถตัดสินตามความคิดของพระคริสตเจ้า

สัปดาห์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา สดด 145:8-10,11-12, 13-14 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 2


สัปดาห์ที่ 22 เทศกาลธรรมดา สดด 33:11-12,13-15, 20-22 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1

1 คร 3:1-9

พระวรสาร

ลก 4:38-44

พี่น้องทั้งหลาย จนถึงบัดนี้ข้าพเจ้าไม่อาจพูดกับท่านเหมือนพูดกับผู้ที่ด�าเนินชีวิต อาศัยพระจิตเจ้าได้ แต่พูดเหมือนพูดกับคนที่ด�าเนินชีวิตตามธรรมชาติ เหมือนพูดกับ ทารกในพระคริสตเจ้า ข้าพเจ้าใช้น�้านมเลี้ยงท่าน ไม่ให้อาหารแข็ง เพราะขณะนั้นท่าน ยังรับไม่ได้ และแม้เวลานี้ ท่านก็ยังรับไม่ได้ เพราะท่านยังเป็นผู้ด�ารงชีวิตตามธรรมชาติ ในเมื่อท่านยังอิจฉาริษยาและทะเลาะวิวาทกัน ท่านก็ยังด�ารงชีวิตตามธรรมชาติ และ ด�าเนินชีวิตเหมือนมนุษย์ทั่วไปมิใช่หรือ เพราะเมื่อคนหนึ่งพูดว่า “ฉันเป็นพวกของ เปาโล” และอีกคนหนึ่งพูดว่า “ฉันเป็นพวกของอปอลโล” ท่านก็มิได้เป็นเพียงมนุษย์ ทั่วๆ ไปเท่านั้นดอกหรือ อปอลโลเป็นใคร เปาโลเป็นใคร ทัง้ สองคนเป็นผูร้ บั ใช้ทนี่ า� ความเชือ่ มาให้ทา่ น ต่าง ก็ท�าตามที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงก�าหนดให้ท�าเท่านั้น ข้าพเจ้าเป็นผู้ปลูก อปอลโลเป็น ผู้รดน�้า แต่พระเจ้าทรงเป็นผู้บันดาลให้เติบโตขึ้น เพราะฉะนั้น ทั้งผู้ปลูกและผู้รดน�้าก็ ไม่ส�าคัญ แต่ผู้มีความส�าคัญแท้จริงคือพระเจ้าผู้ทรงบันดาลให้เติบโตขึ้น ผู้ปลูกและผู้ รดน�้ามีความส�าคัญเท่ากัน แต่ละคนจะได้รับค่าจ้างของตนตามส่วนของงานที่ท�า เพราะ เราเป็นผู้ร่วมงานกับพระเจ้า ท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า เป็นอาคารของพระเจ้า เวลานัน้ พระเยซูเจ้าเสด็จจากศาลาธรรมเข้าไปในบ้านของซีโมน มารดาของภรรยา ซีโมนก�าลังป่วยเป็นไข้หนัก คนที่อยู่ที่นั่นอ้อนวอนพระองค์ให้ทรงช่วยนาง พระองค์จึง ทรงก้มลงเหนือนางและทรงสั่งไข้ให้ออกไป นางก็หายไข้ ลุกขึ้นมารับใช้ทุกคนทันที เมื่อดวงอาทิตย์ตก ผู้ที่มีคนเจ็บป่วยเป็นโรคต่างๆ น�าผู้เจ็บป่วยเหล่านั้นมาเฝ้า พระองค์ พระองค์ทรงปกพระหัตถ์เหนือผู้ป่วยแต่ละคนและทรงรักษาเขาให้หายจาก โรค ปีศาจออกจากคนจ�านวนมาก พลางร้องตะโกนว่า “ท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า” แต่พระองค์ทรงสั่งไม่ให้ปีศาจพูด เพราะมันรู้ว่าพระองค์เป็นพระคริสตเจ้า เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น พระองค์เสด็จออกไปยังที่สงัด ประชาชนต่างเสาะหาพระองค์จน พบ แล้วหน่วงเหนี่ยวพระองค์ไม่ยอมให้จากพวกเขาไป แต่พระองค์ตรัสว่า “เราต้อง ประกาศข่าวดีเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าให้แก่เมืองอื่นด้วย เพราะเราถูกส่งมาก็ เพื่อการนี้” พระองค์จึงทรงเทศน์สอนตามศาลาธรรมแห่งแคว้นยูเดีย ภารกิจรักและรับใช้ของพระเยซูเจ้าเด่นชัด เมื่อทรงรักษาคนเจ็บปวย ขับไล่ ปีศาจ สวดภาวนา และประกาศพระวรสาร บรรดาศิษย์ก็ท�าเช่นเดียวกัน นี่เป็นคุณสมบัติของ ผู้มีวุฒิภาวะทางความเชื่อ มีพระจิตเจ้าเป็นผู้น�า ส่วนคนที่ด�าเนินชีวิตตามธรรมชาติ คนพวกนี้ ชอบอิจฉาริษยาและทะเลาะวิวาท



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.