10 october 2017

Page 1


สัปดาห์ที่ 26 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านจากหนังสือประกาศกเอเสเคียล อสค 18:25-28 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า “ท่านพูดว่า ‘วิธีการขององค์พระผู้เป็น เจ้าไม่ยุติธรรม’ พงศ์พันธุ์อิสราเอลเอ๋ย จงฟังเถิด วิธีการของเราไม่ยุติธรรม หรือ วิธีการของท่านไม่ยุติธรรม เมื่อผู้ชอบธรรมเปลี่ยนใจไม่ปฏิบัติความชอบธรรม มาทำ�ผิด เขาจะต้องตายเพราะการนี้ เขาจะต้องตายเพราะความผิดทีเ่ ขาได้ท�ำ ถ้า คนชั่วร้ายเลิกทำ�ความชั่วร้ายที่เขาได้ทำ� มาปฏิบัติความยุติธรรมและความชอบ ธรรม เขาก็จะรักษาชีวติ ของตนไว้ เขาเลือกจะเลิกการล่วงละเมิดทัง้ หมดทีเ่ คยทำ� เขาจะมีชีวิตอย่างแน่นอน เขาจะไม่ต้องตาย” เพลงสดุดี สดด 25:4-6,7,8-10 ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้ารู้จักทางของพระองค์ โปรดทรงสอนมรรคาของพระองค์แก่ข้าพเจ้า โปรดทรงนำ�ข้าพเจ้าด้วยความจริงของพระองค์และทรงสอนข้าพเจ้า เพราะพระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น ข้าพเจ้าหวังในพระองค์ตลอดทั้งวัน ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงระลึกถึงพระกรุณา และความรักมั่นคงที่ทรงมีตลอดมา ข) ขออย่าได้ทรงระลึกถึงบาปและความผิดที่ข้าพเจ้าทำ�ไว้ในวัยเยาว์ โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าตามความรักมั่นคงของพระองค์ ค) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าเพราะพระทัยดี ของพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงความดีและทรงเที่ยงธรรม พระองค์จึงทรงสอนทางให้คนบาป ทรงนำ�ผู้ถ่อมตนให้เดินตามทางแห่งความยุติธรรม ทรงสอนคนยากจนให้รู้ทางของพระองค์ มรรคาทุกสายขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือความรักมั่นคงและความสัตย์จริง สำ�หรับผู้ที่ปฏิบัติตามพันธสัญญาและกฤษฎีกาของพระองค์ บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟีลิปปี ฟป 2:1-11 พี่น้อง ถ้าท่านได้รับกำ�ลังใจจากการเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้า ถ้าท่าน ได้รับกำ�ลังใจจากความรัก ถ้าท่านเป็นหนึ่งเดียวกันในพระจิตเจ้า ถ้าท่านเห็นอก เห็นใจสงสารกัน ท่านจงทำ�ให้ข้าพเจ้ามีความยินดีอย่างเต็มเปี่ยมโดยการเป็น นํ้าหนึ่งใจเดียวกัน มีความรักแบบเดียวกัน มีความรู้สึกนึกคิดอย่างเดียวกัน อย่า กระทำ�การใดเพื่อชิงดีกันหรือเพื่อโอ้อวด แต่จงถ่อมตนคิดว่าผู้อื่นดีกว่าตน อย่า


เห็ นแก่ ผลประโยชน์ ข องตนฝ่ายเดียว จงเห็น แก่ผล ประโยชน์ของผูอ้ นื่ ด้วย จงมีความรูส้ กึ นึกคิดเช่นเดียวกับ ที่พระคริสตเยซูทรงมีเถิด แม้ว่าพระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์ก็ มิได้ทรงถือว่าศักดิ์ศรีเสมอพระเจ้านั้น เป็นสมบัติที่จะ ต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น ทรงรับ สภาพดุจทาส เป็นมนุษย์ดุจเรา ทรงแสดงพระองค์ใน ธรรมชาติมนุษย์ ทรงถ่อมพระองค์จนถึงกับทรงยอมรับ แม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงเทิดทูนพระองค์ขึ้นสูงส่ง และประทาน พระนามให้แก่พระองค์ พระนามนีป้ ระเสริฐกว่านามอืน่ ใดทั้งสิ้น เพื่อทุกคนในสวรรค์และบนแผ่นดินรวมทั้งใต้ พื้นพิภพจะย่อเข่าลงนมัสการพระนาม “เยซู” นี้ และเพื่อชนทุกภาษาจะได้ร้องประกาศว่า พระเยซู คริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้าพระบิดา บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 21:28-32 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาหัวหน้าสมณะและผู้อาวุโสของประชาชนว่า “ท่านทัง้ หลายคิดเห็นอย่างไร ชายคนหนึง่ มีบตุ รสองคน เขาไปพบบุตรคนแรกพูดว่า “ลูกเอ๋ย วัน นี้ จงไปทำ�งานในสวนองุ่นเถิด” บุตรตอบว่า “ลูกไม่อยากไป” แต่ต่อมาก็เปลี่ยนใจและไปทำ�งาน พ่อ จึงไปพบบุตรคนที่สอง พูดอย่างเดียวกัน บุตรคนที่สองตอบว่า “ครับพ่อ” แต่แล้วก็ไม่ได้ไป สองคนนี้ ใครทำ�ตามใจพ่อ” พวกเขาตอบว่า “คนแรก” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้ง หลายว่า คนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีจะเข้าสู่พระอาณาจักรของพระเจ้าก่อนท่าน เพราะยอห์นได้มา พบท่าน ชี้หนทางแห่งความชอบธรรม ท่านก็ไม่เชื่อยอห์น ส่วนคนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีเชื่อ แต่ ท่านทั้งหลายเห็นดังนี้แล้ว ก็ยังคงไม่เปลี่ยนใจมาเชื่อยอห์น” พระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้ชี้ให้เราเห็นถึงความแตกต่างระหว่างพฤติกรรมของพวกฟารีสี กับบุคคลทีถ่ กู เรียกว่าเป็นคนบาปและคนชายขอบ ธรรมาจารย์และฟารีสคี ดิ ว่าตัวเองรูจ้ กั พระประสงค์ของ พระเจ้าเป็นอย่างดีผา่ นทางธรรมบัญญัติ แต่เมือ่ พวกเขาเผชิญหน้ากับพระเยซูเจ้า พวกเขาปฏิเสธพระองค์ ตรงกันข้ามพวกคนบาปที่ไม่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติอยู่บ่อยครั้ง เมื่อพบกับพระเยซูเจ้า พวกเขากลับใจ ดัง นัน้ พระเยซูเจ้าจึงพูดกับพวกฟารีสวี า่ “คนเก็บภาษีและหญิงโสเภณีจะเข้าสูพ่ ระอาณาจักรของพระเจ้าก่อน ท่าน” เมื่อยอห์นบัปติสต์เทศน์สอน พวกคนบาปกลุ่มนี้ก็กลับใจ แต่ฟารีสีไม่ได้สนใจสิ่งที่ยอห์นสอนเลย และ พวกเขาก็ไม่ได้สนใจคำ�สอนของพระเยซูเจ้าเฉกเช่นกัน สิ่งสำ�คัญสำ�หรับเราคริสตชนก็คือ “การกระทำ�สำ�คัญกว่าคำ�พูด” ความสัมพันธ์ที่เรามีต่อพระเจ้าและ พระเยซูเจ้าที่นี้และเดี๋ยวนี้ ถือว่าสำ�คัญที่สุด ไม่ใช่สิ่งที่เราเป็นในอดีตหรือจะเป็นในอนาคต


ระลึกถึง ทูตสวรรค์ผู้อารักขา สดด 91:1-2,3-5, 6,9-11

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 อพย 23:20-23ก องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ “เราจะส่งทูตสวรรค์ไปข้างหน้าท่าน เพื่อป้องกันท่านตามทาง และนำ�ท่าน ไปถึงสถานที่ที่เราจัดเตรียมไว้ จงเคารพเชื่อฟังถ้อยคำ�ของทูตสวรรค์นั้น อย่าต่อ ต้าน เพราะเขาทำ�ไปในนามของเรา และจะไม่ยอมอภัยความผิดของท่านเลย แต่ ถ้าท่านเชื่อฟังเขาและทำ�ตามที่เราสั่งทุกประการ เราจะเป็นศัตรูกับศัตรูของท่าน เป็นปฏิปักษ์กับปฏิปักษ์ของท่าน ทูตสวรรค์ของเราจะเดินข้างหน้าและนำ�ท่าน” พระวรสาร มธ 18:1-5,10 ขณะนั้น บรรดาศิษย์เข้ามาเฝ้าพระเยซูเจ้า ทูลถามว่า “ผู้ใดยิ่งใหญ่ที่สุดใน อาณาจักรสวรรค์” พระเยซูเจ้าทรงเรียกเด็กเล็กๆ คนหนึ่งให้มายืนอยู่กลางกลุ่ม พวกเขา แล้วตรัสว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กลับเป็น เหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะเข้าอาณาจักรสวรรค์ไม่ได้เลย ดังนั้น ผู้ใดที่ถ่อมตนลง เป็นเหมือนเด็กเล็กๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ ผู้ใดต้อนรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้ในนามของเรา ผู้นั้นต้อนรับเรา จงระวังให้ดี อย่า ดูหมิน่ คนธรรมดาๆ เหล่านีค้ นใดเลย เราบอกท่านทัง้ หลายว่า ตลอดเวลาในสวรรค์ ทูตสวรรค์ของเขาเฝ้าชมพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์” ทูตสวรรค์ผอู้ ารักขาเป็นสิง่ สร้างจากสวรรค์ทพี่ ระเจ้าส่งมาเพือ่ ปกป้อง เราทัง้ ฝ่ายกายและฝ่ายจิต ในพระคัมภีรร์ ะบุไว้วา่ บางครัง้ ทูตสวรรค์กท็ �ำ ภารกิจในนาม ของพระเจ้า และพูดในนามของพระเจ้า ทูตสวรรค์เป็นผู้ส่งสารที่คอยกระตุ้นเราให้มี ความเพียรในการอุทศิ ตนทัง้ ความคิดและการกระทำ� เพือ่ เป็นสัญลักษณ์ถงึ ความห่วงใย ของพระเจ้าต่อมนุษย์ พระเจ้าทรงมอบทูตสวรรค์ผู้อารักขาให้แก่เราแต่ละคน แต่เรา ก็ยังมีเสรีภาพ ทูตสวรรค์ไม่สามารถบังคับเราให้เลือกทำ�ความดีได้ อย่างไรก็ตาม เรา ยังสามารถวอนขอต่อพระคริสตเจ้าให้ชว่ ยเราให้เปิดตัวเองยอมรับความช่วยเหลือของ ทูตสวรรค์ในชีวติ ทูตสวรรค์ผอู้ ารักขาเป็นของขวัญจากพระเจ้าทีเ่ ราได้มาฟรีๆ เมือ่ เรา เชื่อฟังผู้ที่พระเจ้าส่งมา เราจะค้นพบเป้าหมายของชีวิตนี้ และเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น


บทอ่านที่ 1 ศคย 8:20-23 องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลตรัสดังนี้ “บรรดาประชาชนและผู้อาศัยใน หลายเมืองจะมาด้วย ชาวเมืองหนึ่งจะไปหาชาวเมืองอีกเมืองหนึ่ง พูดว่า ‘พวก เราจงรีบไปทูลขอพระกรุณาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ไปแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า จอมจักรวาลกันเถิด ข้าพเจ้าจะไปด้วย’ ประชาชนจำ�นวนมากและชนหลายชาติ ที่มีอำ�นาจจะแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลที่กรุงเยรูซาเล็ม และทูลขอ พระกรุณาจากองค์พระผู้เป็นเจ้า” องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลตรัสดังนี้ “ในวันเหล่านั้น ชายสิบคนจาก ชนชาติทุกภาษาจะยึดชายเสื้อคลุมของชาวยิวคนหนึ่งไว้ พูดว่า ‘ขอให้พวกเราไป กับท่านทั้งหลายเถิด เพราะพวกเราได้ยินว่าพระเจ้าสถิตกับท่าน’” พระวรสาร ลก 9:51-56 เวลาที่พระเยซูเจ้าจะต้องทรงจากโลกนี้ไปใกล้เข้ามาแล้ว พระองค์ทรงตั้ง พระทัยแน่วแน่จะเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม และทรงส่งผูน้ �ำ สารไปล่วงหน้า คนเหล่า นีอ้ อกเดินทางและเข้าไปในหมูบ่ า้ นแห่งหนึง่ ของชาวสะมาเรียเพือ่ เตรียมรับเสด็จ พระองค์ แต่ประชาชนที่นั่นไม่ยอมรับเสด็จเพราะพระองค์กำ�ลังเสด็จไปกรุง เยรูซาเล็ม เมื่อยากอบและยอห์นศิษย์ของพระองค์เห็นดังนี้ก็ทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ทรงพระประสงค์ให้เราเรียกไฟจากฟ้าลงมาเผาผลาญคน เหล่านี้หรือไม่” พระเยซูเจ้าทรงหันไปตำ�หนิศิษย์ทั้งสองคน แล้วทรงพระดำ�เนิน ต่อไปยังหมู่บ้านอื่นพร้อมกับบรรดาศิษย์ พระเยซูเจ้าพบการต่อต้านโดยทันทีที่พระองค์เริ่มการเดินทางสู่กรุง เยรูซาเล็ม บรรดาศิษย์ถามพระเยซูเจ้าว่าจะให้พวกเขาใช้ไฟจากฟ้าลงมาลงโทษพวก ที่ต่อต้านพระองค์หรือไม่ แต่พระเยซูเจ้าทราบว่าวิธีเช่นนี้ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหา ความ รุนแรงไม่สามารถทำ�ให้พระเจ้าชนะใจคนเหล่านี้ได้ ความสัมพันธ์ต่างหากที่เที่ยงแท้ และยั่งยืน ประชาชนต้องเลือกอย่างอิสระที่จะเข้ามาหาพระเจ้า มีใครหรือสถานที่ใดในชีวิตเราหรือไม่ที่ทำ�ให้เราตระหนักถึงการประทับอยู่ของ พระเจ้าในชีวิตประจำ�วันของเรา? เรามีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะใกล้ชิด พระเจ้าหรือไม่?

สัปดาห์ที่ 26 เทศกาลธรรมดา สดด 87:1-4ก, 4ข-5,6-7

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2


บทอ่านที่ 1 นหม 2:1-8 เดือนนิสาน ปีทยี่ สี่ บิ แห่งรัชกาลกษัตริยอ์ ารทาเซอร์ซสี เมือ่ ถึงเวลาทีก่ ษัตริย์ ต้องเสวยเหล้าองุ่น ข้าพเจ้าก็นำ�เหล้าองุ่นมาถวายพระองค์ ข้าพเจ้าไม่เคยเศร้า โศกเฉพาะพระพักตร์พระองค์ กษัตริยต์ รัสถามข้าพเจ้าว่า “ทำ�ไมท่านจึงมีใบหน้า เศร้าหมอง ท่านไม่ได้เจ็บป่วย ท่านคงจะเป็นทุกข์ใจแน่ๆ” ข้าพเจ้ามีความกลัวยิ่ง นัก ทูลตอบกษัตริย์ว่า “ขอพระราชาทรงพระเจริญตลอดไปเถิด ใบหน้าของ ระลึกถึง ข้าพเจ้าจะไม่เศร้าหมองได้อย่างไรในเมือ่ เมืองทีบ่ รรพบุรษุ ของข้าพเจ้าถูกฝังไว้ยงั น.ฟรังซิส เป็นซากปรักหักพัง และประตูเมืองก็ถูกไฟเผาทำ�ลาย” กษัตริย์ตรัสถามข้าพเจ้า แห่งอัสซีซี ว่า “ท่านอยากจะขออะไร” ข้าพเจ้าจึงอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าแห่งสวรรค์ แล้ว สดด 137:1-3,4-6 ทูลกษัตริยว์ า่ “ถ้าพระองค์พอพระทัย และถ้าผูร้ บั ใช้ของพระองค์เป็นทีโ่ ปรดปราน ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 เฉพาะพระพักตร์ ขอทรงอนุญาตให้ขา้ พเจ้าไปยังแคว้นยูดาห์ ในเมืองทีม่ หี ลุมศพ ของบรรพบุรุษ เพื่อข้าพเจ้าจะได้สร้างเมืองขึ้นใหม่”... พระองค์ก็พอพระทัย จึง ทรงอนุญาต ข้าพเจ้าทูลขอกษัตริยอ์ กี ว่า “ถ้าพระราชาพอพระทัย ขอประทานพระราชสาสน์ให้ขา้ พเจ้านำ�ไป ถึงผู้ว่าราชการแคว้นตะวันตกของแม่นํ้ายูเฟรติส เพื่อเขาจะได้อนุญาตให้ข้าพเจ้าผ่านไปจนถึงแคว้น ยูดาห์ และขอพระองค์ประทานพระราชสาสน์ถงึ อาสาฟเจ้าพนักงานป่าไม้หลวง เพือ่ เขาจะได้จดั หาไม้ ให้ข้าพเจ้าสำ�หรับทำ�ประตูป้อมของพระวิหาร ทำ�ประตูที่กำ�แพงเมือง และสร้างบ้านที่ข้าพเจ้าจะเข้า พักอาศัย” กษัตริย์ประทานให้ตามที่ข้าพเจ้าทูลขอ... พระวรสาร ลก 9:57-62 เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำ�เนินตามทางพร้อมกับบรรดาศิษย์ ชายผู้หนึ่งทูลพระองค์ ว่า “ข้าพเจ้าจะติดตามพระองค์ไปทุกแห่งที่พระองค์จะเสด็จ” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “สุนัข จิ้งจอกยังมีโพรง นกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรแห่งมนุษย์ไม่มีที่จะวางศีรษะ” พระองค์ตรัสกับอีกคนหนึ่งว่า “จงตามเรามาเถิด” แต่เขาทูลว่า “ขออนุญาตให้ข้าพเจ้าไปฝังศพ บิดาของข้าพเจ้าเสียก่อน” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “จงปล่อยให้คนตายฝังคนตายของตนเถิด ส่วนท่าน จงไปประกาศพระอาณาจักรของพระเจ้า” อีกคนหนึ่งทูลว่า “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะตามพระองค์ไป แต่ขออนุญาตกลับไปรํ่าลาคนที่บ้าน ก่อน” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ผู้ใดที่จับคันไถแล้วเหลียวดูข้างหลัง ผู้นั้นก็ไม่เหมาะสมกับพระอาณาจักร ของพระเจ้า” ทุกๆ การเลือก เราต้องเสียสละบางสิ่งบางอย่าง ยิ่งเป็นทางเลือกที่ยิ่งใหญ่ การเสียสละ ของเราก็ตอ้ งมีมากขึน้ การติดตามพระเยซูเจ้าก็เป็นทางเลือกทีย่ งิ่ ใหญ่และเรียกร้องการเสียสละอย่างใหญ่ หลวงเพือ่ จะประกาศความยิง่ ใหญ่ของพระเจ้า การติดตามพระเยซูเจ้าไม่ใช่เรือ่ งของการเลียนแบบพระองค์ แต่เป็นการเลือกที่จะเข้ามามีประสบการณ์ชีวิต มีภารกิจ และมีชะตากรรมแบบพระเยซูเจ้า แค่ความ กระตือรือร้นอย่างเดียวไม่พอ ความตัง้ ใจดีนเี้ รียกร้องการเสียสละ ศิษย์ของพระเยซูเจ้าต้องเตรียมเสียสละ ความมั่นคงในชีวิต ครอบครัว และความต้องการของตัวเอง และไม่ใช่เรื่องการตัดขาดความสัมพันธ์จาก ครอบครัว แต่มากกว่านั้นคือความซื่อสัตย์ต่อเสียงเรียกสู่พระอาณาจักรของพระเจ้า


บทอ่านที่ 1 นหม 8:1-4ก,5-6,7ข-12 ประชาชนทัง้ ปวงมาชุมนุมพร้อมกันทีล่ านหน้าประตูนาํ้ ขอให้เอสราธรรมาจารย์น�ำ หนังสือธรรมบัญญัตขิ องโมเสส ซึง่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าประทานแก่อสิ ราเอล มาด้วย วันที่หนึ่งเดือนเจ็ด เอสราสมณะนำ�ธรรมบัญญัติออกมาต่อหน้าชุมชนทั้ง ชายหญิงและเด็กทีม่ วี ยั พอจะฟังเข้าใจได้ เอสราอ่านหนังสือทีล่ านหน้าประตูนาํ้ .. ระลึกถึง ประชากรทุกคนที่ฟังถ้อยคำ�ของธรรมบัญญัติก็ร้องไห้ เนหะมีย์ซึ่งเป็นผู้ว่า ราชการ เอสราซึ่งเป็นสมณะและธรรมาจารย์ และชนเลวีผู้สอนประชากรจึงพูด น.โฟสตีนา โควัลสกา กับประชากรทั้งปวงว่า “วันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า สดด 19:7-8,9-10 ของท่าน อย่าเป็นทุกข์โศกเศร้าหรือรํ่าไห้เลย จงกลับไปบ้าน เลี้ยงอาหารเลิศรส ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 ดื่มเหล้าองุ่นอย่างดี และแบ่งปันอาหารให้คนที่ไม่มี เพราะวันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ วันออกพรรษา ถวายแด่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา อย่าเศร้าใจเลย เพราะความยินดีจากองค์พระ ผูเ้ ป็นเจ้าเป็นพละกำ�ลังของท่าน” บรรดาชนเลวีจงึ ให้ประชากรทัง้ ปวงสงบลง พูด ว่า “อย่ารํ่าไห้เลย เพราะวันนี้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์ อย่าโศกเศร้าไปเลย” ประชากร ทุกคนจึงกลับบ้านไป กินและดื่ม แล้วแบ่งปันอาหารแก่ผู้อื่น เขาทั้งหลายมีความ ยินดีเพราะเข้าใจความหมายของถ้อยคำ�ที่ได้ฟัง พระวรสาร ลก 10:1-12 ต่อจากนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแต่งตั้งศิษย์อีกเจ็ดสิบสองคน และทรงส่งเขาล่วงหน้าพระองค์ เป็นคู่ๆ ไปทุกตำ�บลทุกเมืองที่พระองค์จะเสด็จ พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ข้าวที่จะเกี่ยวมีมาก แต่คน งานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด จงไปเถิด เราส่งท่านทั้ง หลายไปดุจลูกแกะในฝูงสุนัขป่า อย่านำ�ถุงเงิน ย่ามหรือรองเท้าไปด้วย อย่าเสียเวลาทักทายผู้ใดตาม ทาง เมื่อท่านเข้าบ้านใด จงกล่าวก่อนว่า ‘สันติสุขจงมีแก่บ้านนี้เถิด’ ถ้ามีผู้สมควรจะรับสันติสุขอยู่ที่ นั่น สันติสุขของท่านจะอยู่กับเขา มิฉะนั้น สันติสุขของท่านจะกลับมาอยู่กับท่านอีก จงพักอาศัยใน บ้านนั้น กินและดื่มของที่เขาจะนำ�มาให้ เพราะว่าคนงานสมควรที่จะได้รับค่าจ้างของตน อย่าเข้าบ้าน นี้ออกบ้านโน้น เมื่อท่านเข้าไปในเมืองใดและเขาต้อนรับท่าน จงกินของที่เขาจะนำ�มาตั้งให้ จงรักษาผู้ เจ็บป่วยในเมืองนั้นและบอกเขาว่า ‘พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้ท่านทั้งหลายแล้ว’ แต่ถ้าท่าน เข้าไปในเมืองใดและเขาไม่ต้อนรับ ก็จงออกไปกลางลานสาธารณะ และกล่าวว่า ‘แม้แต่ฝุ่นจากเมือง ของท่านทีต่ ดิ เท้าของเรา เราจะสลัดทิง้ ไว้กล่าวโทษท่าน จงรูเ้ ถิดว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้า มาแล้ว’ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในวันพิพากษา ชาวเมืองโสโดมจะรับโทษเบากว่าชาวเมืองนั้น” ในพระวรสารศิษย์เจ็ดสิบสองคนทีเ่ ต็มเปีย่ มด้วยพลังและทัศนคติทดี่ ถี กู ส่งไปในงานประกาศ ข่าวดีครั้งแรก พวกเขาขับไล่ความชั่วร้ายมากมายในนามของพระเยซูเจ้าภายใต้การสนับสนุนของพระองค์ พลังแห่งการอุทศิ ตนของพวกเขาได้รบั การยอมรับจากพระเยซูเจ้า เมือ่ พวกเขากลับมา พระเยซูเจ้าร่วมยินดี กับพวกเขาโดยกล่าวว่า “เราเห็นซาตานตกจากฟ้าเหมือนฟ้าแลบ” พระองค์ยกความสำ�เร็จนี้ให้กับพยายาม ของพวกเขา บางครั้งพวกเราเองก็สามารถร่วมส่วนในงานขจัดความชั่วร้ายกับพระเยซูเจ้าได้ และเมื่อนั้น เราก็จะร่วมยินดีกับบรรดาศิษย์เช่นกัน


น.บรูโน พระสงฆ์

สดด 79:1-2, 3-5,8-9

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 วันศุกร์ต้นเดือน

บทอ่านที่ 1 บรค 1:15-22 ท่านทั้งหลายต้องอธิษฐานภาวนาดังนี้ “องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเรา ทรงความเทีย่ งธรรม ส่วนเราต้องอับอายดังทีเ่ ห็นได้ในวันนี้ ชาวยูดาห์และชาวกรุง เยรูซาเล็มก็ต้องอับอาย รวมทั้งบรรดากษัตริย์ บรรดาผู้ปกครอง บรรดาสมณะ บรรดาประกาศกและบรรพบุรษุ ของเราด้วย เพราะเราได้ท�ำ บาปผิดต่อองค์พระผู้ เป็นเจ้า ไม่เชื่อฟังพระองค์ ไม่ฟังพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของ เรา และไม่เดินตามบทบัญญัติที่องค์พระผู้เป็นเจ้าประทานแก่เรา ตั้งแต่วันที่องค์ พระผู้เป็นเจ้าทรงนำ�บรรพบุรุษของเราออกจากแผ่นดินอียิปต์จนถึงทุกวันนี้ เรา ไม่เชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเรา เราละเลยไม่ยอมฟังพระสุรเสียงของ พระองค์ เหตุร้ายและคำ�สาปแช่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสำ�ทับไว้กับโมเสสผู้รับ ใช้พระองค์ เมือ่ ทรงนำ�บรรพบุรษุ ของเราออกจากแผ่นดินอียปิ ต์เพือ่ ประทานแผ่น ดินทีม่ นี าํ้ นมและนาํ้ ผึง้ ไหลอย่างบริบรู ณ์ ยังอยูก่ บั เราแม้ในวันนี้ เราทัง้ หลายไม่ฟงั พระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเรา ซึ่งตรัสไว้โดยทางประกาศกที่ ทรงส่งมาพบเรา เราแต่ละคนกลับทำ�ตามความคิดจากใจชัว่ ร้ายของเรา ไปนับถือ เทพเจ้าอืน่ ๆ และทำ�ความชัว่ เฉพาะพระพักตร์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของเรา” พระวรสาร ลก 10:13-16 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “วิบตั จิ งเกิดแก่เจ้า เมืองโคราซิน วิบตั จิ งเกิดแก่เจ้า เมืองเบธไซดา ถ้าอัศจรรย์ ที่ได้เกิดขึ้นในเจ้าได้เกิดขึ้นที่เมืองไทระและเมืองไซดอนแล้ว เขาเหล่านั้นคงได้นุ่ง กระสอบนัง่ บนกองขีเ้ ถ้ากลับใจเสียนานแล้ว ดังนัน้ เมืองไทระและเมืองไซดอนจะ รับโทษเบากว่าเจ้าในวันพิพากษา ส่วนเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม เจ้าจะยกตนขึน้ ถึง ฟ้าเทียวหรือ เจ้าจะตกลงไปถึงแดนผู้ตาย ผู้ใดฟังท่าน ผู้นั้นฟังเรา ผู้ใดสบประมาทท่าน ผู้นั้นสบประมาทเรา ผู้ที่สบ ประมาทเรา ก็สบประมาทผู้ที่ทรงส่งเรามา” ความผิดหวังของพระเยซูเจ้าที่ถูกชาวกาลิลีปฏิเสธแสดงให้เราเห็นใน พระวรสารวันนี้ พระองค์ทำ�ทุกอย่างเพื่อคนดื้อรั้นพวกนี้ แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามันช่าง น่าผิดหวังเสียจริงๆ ประสบการณ์เช่นนี้คงเป็นประสบการณ์ของผู้ประกาศพระวาจาของพระเจ้า ไม่ ว่าจะประกาศแก่ใครก็ตาม เป็นการยากที่ตัวผู้ประกาศจะไม่ถูกปฏิเสธ แต่พระวาจา ต่างหากที่สำ�คัญที่สุด ถ้าเราประสบความสำ�เร็จในการประกาศพระวาจา นั่นเป็นพระ วาจาเองที่ได้รับการยอมรับ ไม่ใช่ตัวเรา


บทอ่านที่ 1 กจ 1:12-14 หลังจากที่พระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์แล้ว บรรดาอัครสาวกเดินทางจากภูเขา ทีเ่ รียกว่า “ภูเขามะกอกเทศ” กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ภูเขานีอ้ ยูใ่ กล้กรุงเยรูซาเล็ม เป็นระยะทางที่อนุญาตให้เดินได้ในวันสับบาโต เมื่อเข้าไปในเมืองแล้ว เขาขึ้นไป ยังห้องชั้นบนซึ่งเคยเป็นที่พักของเขา อัครสาวกเหล่านั้นคือเปโตร ยอห์น ยากอบ อันดรูว์ ฟีลิป โทมัส บาร์โธโลมิว มัทธิว ยากอบบุตรของอัลเฟอัส ซีโมนผู้เป็น ชาตินิยมและยูดาสบุตรของยากอบ ทุกคนร่วมอธิษฐานภาวนาสมํ่าเสมอเป็น นํ้าหนึ่งใจเดียวกัน พร้อมกับบรรดาสตรี รวมทั้งมารีย์พระมารดาของพระเยซูเจ้า และพระประยูรญาติของพระองค์

ระลึกถึง แม่พระแห่งลูกประคำ� ลก 1:46-48,49-50, 51-53,54-56

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 พระวรสาร ลก 1:26-38 เมื่ อ นางเอลี ซ าเบธตั้ ง ครรภ์ ไ ด้ ห กเดื อ นแล้ ว พระเจ้ า ทรงส่ ง ทู ต สวรรค์ กาเบรียลมายังเมืองหนึ่งในแคว้นกาลิลีชื่อเมืองนาซาเร็ธ มาพบหญิงพรหมจารี คนหนึ่งซึ่งหมั้นอยู่กับชายชื่อโยเซฟ ในราชวงศ์ของกษัตริย์ดาวิด หญิงพรหมจารี ผู้นั้นชื่อมารีย์ ทูตสวรรค์เข้าในบ้านกล่าวกับพระนางว่า “จงยินดีเถิด ท่านผู้ที่ พระเจ้าโปรดปราน องค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับท่าน” เมื่อทรงได้ยินถ้อยคำ�นี้ พระนางมารี ย์ ท รงวุ่ น วายพระทั ย มากทรงถามพระองค์ เ องว่ า คำ � ทั ก ทายนี้ หมายความว่ากระไร แต่ทูตสวรรค์กล่าวแก่พระนางว่า “มารีย์ อย่ากลัวเลย ท่าน เป็นผู้ที่พระเจ้าโปรดปราน ท่านจะตั้งครรภ์และให้กำ�เนิดบุตรชายคนหนึ่ง ท่านจะตั้งชื่อเขาว่าเยซู เขา จะเป็นผูย้ งิ่ ใหญ่และพระเจ้าผูส้ งู สุดจะทรงเรียกเขาเป็นบุตรของพระองค์ องค์พระ ผู้เป็นเจ้าจะประทานพระบัลลังก์ของกษัตริย์ดาวิดบรรพบุรุษให้แก่เขา เขาจะ ปกครองวงศ์ตระกูลของยาโคบตลอดไปและพระอาณาจักรของเขาจะไม่สิ้นสุด เลย” พระนางมารีย์จึงทรงถามทูตสวรรค์ว่า “เหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไร เพราะข้าพเจ้าตั้งใจจะเป็นพรหมจารี” ทูตสวรรค์ตอบว่า “พระจิตเจ้าจะเสด็จลง มาเหนือท่านและพระอานุภาพของพระผูส้ งู สุดจะแผ่เงาปกคลุมท่าน เพราะฉะนัน้ บุตรทีเ่ กิดมาจะเป็น ผู้ศักดิ์สิทธิ์และจะรับนามว่าบุตรของพระเจ้า ดูซิ เอลีซาเบธ ญาติของท่าน ทั้งๆ ที่ชราแล้ว ก็ยังตั้ง ครรภ์บุตรชาย ใครๆ คิดว่านางเป็นหมัน แต่นางก็ตั้งครรภ์ได้หกเดือนแล้ว เพราะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้า จะทรงกระทำ�ไม่ได้” พระนางมารีย์จึงตรัสว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้เป็นไป กับข้าพเจ้าตามวาจาของท่านเถิด” แล้วทูตสวรรค์ก็จากพระนางไป เหตุการณ์เดียวทีพ่ ระนางมารียไ์ ด้รบั การเอ่ยถึงในหนังสือกิจการอัครสาวกอันมีความสำ�คัญ มากต่อความเชือ่ คาทอลิก ก็คอื การร่วมอยูข่ องพระนางมารียก์ บั บรรดาศิษย์ในห้องชัน้ บนหลังจากพระเยซู เจ้าเสด็จสู่สวรรค์ และสวดภาวนาอย่างไม่หยุดหย่อนเพื่อรอการเสด็จมาของพระจิตเจ้า เมือ่ ใดก็ตามทีเ่ ราต้องการการดลใจจากองค์พระจิตเจ้าในชีวติ ฝ่ายจิต เราควรจะนำ�รูปแบบชีวติ ฝ่ายจิต จากห้องชั้นบนมาเป็นแนวทาง โดยร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระนางมารีย์และพระศาสนจักรในการอธิษฐาน ภาวนาอย่างร้อนรนและไม่หยุดหย่อน


สัปดาห์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 5:1-7 ข้าพเจ้าอยากร้องเพลงถึงเพื่อนรักของข้าพเจ้า เป็นเพลงเกี่ยวกับเพื่อนรัก และสวนองุน่ ของเขา เพือ่ นรักของข้าพเจ้าเคยมีสวนองุน่ แปลงหนึง่ อยูบ่ นเนินเขา ที่อุดมสมบูรณ์ เขาขุดดิน เก็บก้อนหินออกจนหมด แล้วจึงปลูกองุ่นชนิดดีไว้ เขา สร้างหอเฝ้าไว้กลางสวน สกัดบ่อยํา่ องุน่ ไว้ทนี่ นั่ ด้วย เขารอคอยให้สวนผลิตผลองุน่ แต่สวนนั้นผลิตผลองุ่นเปรี้ยว เพื่อนรักของข้าพเจ้าพูดว่า “บัดนี้ ชาวกรุงเยรูซาเล็มและชาวยูดาห์เอ๋ย จง ตัดสินระหว่างฉันกับสวนองุน่ ของฉันเถิด มีอะไรอีกทีฉ่ นั จะทำ�ได้เพือ่ สวนองุน่ ของ ฉัน แต่ยังไม่ได้ทำ� ขณะที่ฉันรอคอยให้สวนผลิตผลองุ่น ทำ�ไมสวนจึงผลิตผลองุ่น เปรี้ยว บัดนี้ ฉันอยากบอกให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า ฉันจะทำ�อะไรกับสวนองุ่นของฉัน ฉันจะรือ้ รัว้ หนามออก แล้วสวนจะกลับเป็นทุง่ หญ้า ฉันจะพังกำ�แพงทีล่ อ้ มลง และ สวนก็จะถูกเหยียบยํ่า ฉันจะปล่อยให้สวนรกร้าง จะไม่มีใครลิดกิ่งหรือพรวนดิน ต้นหนามและกอหนามจะงอกขึ้น ฉันจะสั่งเมฆไม่ให้โปรยฝนรดสวนนั้น” ฟังเถิด สวนองุ่นขององค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลคือพงศ์พันธุ์อิสราเอล ชาวยูดาห์เป็นสวนทีพ่ ระองค์โปรดปราน พระองค์ทรงหวังความยุตธิ รรม แล้วทรง พบแต่การนองเลือด ทรงหวังความชอบธรรม กลับทรงพบเสียงร้องให้ช่วย เพลงสดุดี สดด 128:1-2,3,4-5,6 ก) ผู้ย�ำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าย่อมเป็นสุข เขาเดินอยู่ในมรรคาของพระองค์ ท่านจะมีอาหารกินจากงานที่ท่านท�ำ ท่านจะเป็นสุขและเจริญรุ่งเรือง ข) ภรรยาของท่านจะเป็นดั่งเถาองุ่นที่มีผลดกภายในบ้านของท่าน บุตรของท่านจะเป็นเหมือนหน่อต้นมะกอกเทศนั่งอยู่รอบโต๊ะอาหาร ค) บุรุษผู้ย�ำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าจะได้รับพระพรเช่นนี้ ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าประทานพระพรแก่ท่านจากศิโยน ขอให้ท่านเห็นความรุ่งเรืองของกรุงเยรูซาเล็ม ทุกวันตลอดชีวิตของท่าน ง) ขอให้ท่านมีชีวิตยืนนานจนเห็นหลานเห็นเหลน สันติสุขจงมีแด่อิสราเอล บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟีลิปปี ฟป 4:6-9 พีน่ อ้ ง อย่ากระวนกระวายใจถึงสิง่ ใดเลย จงทูลพระเจ้าให้ทรงทราบถึงความ ปรารถนาทุกอย่างของท่านโดยคำ�อธิษฐาน การวอนขอพร้อมด้วยการขอบพระคุณ แล้วสันติสุขของพระเจ้าซึ่งเกินสติปัญญาจะเข้าใจได้นั้นจะคุ้มครองดวงใจและ ความคิดของท่านไว้ในพระคริสตเยซู ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย สิ่งใดจริง สิ่งใด


ประเสริฐ สิ่งใดชอบธรรม สิ่งใดบริสุทธิ์ สิ่งใดน่ารัก สิ่งใด ควรยกย่อง ถ้ามีสงิ่ ใดเป็นคุณธรรม ถ้ามีสงิ่ ใดน่าสรรเสริญ ท่านจงพิจารณาสิง่ เหล่านีด้ ว้ ยการใคร่ครวญเถิด สิง่ ต่างๆ ที่ท่านได้เรียนรู้ ได้รับ ได้ฟังและได้เห็นในตัวข้าพเจ้านั้น จงนำ�ไปปฏิบัติเถิด แล้วพระเจ้าแห่งสันติจะสถิตกับท่าน บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 21:33-43 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาหัวหน้าสมณะ และผู้อาวุโสของประชาชนว่า “ท่านทั้งหลาย จงฟังอุปมาอีกเรื่องหนึ่งเถิด คหบดี ผูห้ นึง่ ปลูกองุน่ ไว้สวนหนึง่ ทำ�รัว้ ล้อม ขุดบ่อยาํ่ องุน่ สร้าง หอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ออกเดินทางไปต่างเมือง เมือ่ ใกล้ถงึ ฤดูเก็บผล เจ้าของสวนจึงให้ผรู้ บั ใช้ไปพบคนเช่าสวนเพือ่ รับส่วนแบ่งจากผลผลิต แต่คนเช่าสวน ได้จับคนใช้ ทุบตีคนหนึ่ง ฆ่าอีกคนหนึ่ง เอาหินทุ่มอีกคนหนึ่ง เจ้าของสวนจึงส่งผู้รับใช้จำ�นวนมากกว่า พวกแรกไปอีก คนเช่าสวนก็ทำ�กับพวกนี้เช่นเดียวกัน ในที่สุด เจ้าของสวนได้ส่งบุตรชายของตนไปพบ คนเช่าสวน คิดว่า ‘คนเช่าสวนคงจะเกรงใจลูกของเราบ้าง’ แต่เมื่อคนเช่าสวนเห็นบุตรเจ้าของสวนมา ก็พูดกันว่า ‘คนนี้เป็นทายาท เราจงฆ่าเขาเสียเถิด เราจะได้มรดกของเขา’ เขาจึงจับบุตรเจ้าของสวน นำ�ตัวออกไปนอกสวนแล้วฆ่าเสีย ดังนี้ เมื่อเจ้าของสวนมา เขาจะทำ� อย่างไรกับคนเช่าสวนพวกนั้น” บรรดาผู้ฟังตอบว่า “เจ้าของสวนจะกำ�จัดพวกใจอำ�มหิตนี้อย่างโหด เหีย้ ม และจะยกสวนให้คนอืน่ เช่า ซึง่ จะแบ่งผลคืนให้เขาตามกำ�หนดเวลา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “ท่าน มิได้อ่านในพระคัมภีร์หรือว่า ‘หินที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียนั้น ได้กลายเป็นศิลาหัวมุม องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกระทำ�เช่นนั้น เป็นที่น่าอัศจรรย์แก่เรายิ่งนัก’ ดังนัน้ เราบอกท่านว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าจะถูกยกจากท่านทัง้ หลาย ไปมอบให้แก่ชนชาติ อื่นที่จะทำ�ให้บังเกิดผล” ไม่มีใครอยากถูกตำ�หนิเกี่ยวกับความรับผิดชอบในหน้าที่ของตน โดยเฉพาะเมื่อผู้นั้นดำ�เนิน ชีวิตไปวันๆ อุปมาสองเรื่องจากประกาศกอิสยาห์และพระวรสารของ น.มัทธิว ให้ภาพของพระเจ้าผู้ใจดีมี เมตตา ปลูกสวนองุ่น จัดเตรียมทุกอย่าง เพียงขอให้ผู้เช่าสวนดูแลมันให้ออกดอกออกผล สวนองุ่นแสดง ถึงประชากรของพระเจ้า แต่มนั กลับไม่ออกดอกออกผล และในพระวรสารผูเ้ ช่าสวนกลับปฏิเสธและทำ�ร้าย ผู้ที่พระเจ้าส่งมาเพื่อเตือนพวกเขาให้อุทิศตนทำ�งาน ในทำ�นองเดียวกัน พระเจ้าส่งผู้นำ�สารมาเตือนเราว่า เราเป็นใครและเราอยู่เพื่ออะไร เราไม่ได้เกิดมาเพื่อผลประโยชน์ของตน แต่เราอยู่เพื่อเรียนรู้จักความรัก และการอุทิศตน เราต้องเติบโตในปรีชาญาณโดยผ่านทางประสบการณ์ที่เราได้รับ พยายามที่จะใกล้ชิด พระเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์


น.ดิโอนีซิโอ พระสังฆราช และเพื่อนมรณสักขี น.ยอห์น เลโอนาร์ดี พระสงฆ์ ยนา 2:2,3-4,7

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1 ยนา 1:1-7 และ 2:1,11 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยนาห์ บุตรของอามิททัยว่า “จงลุกขึ้น ไปยังกรุง นีนะเวห์นครใหญ่ และประกาศแก่เมืองนั้นว่าความชั่วของเขาขึ้นมาถึงเรา” แต่ โยนาห์ลุกขึ้นหนีจากพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าไปยังเมืองทารชิช... แต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงส่งลมแรงเหนือทะเลทำ�ให้เกิดพายุใหญ่ในทะเล จน น่ากลัวว่าเรือจะอับปาง บรรดาลูกเรือมีความกลัว ต่างร้องหาเทพเจ้าของตน และ โยนข้าวของในเรือลงทะเล เพื่อให้เรือเบาลง ส่วนโยนาห์ลงไปใต้ท้องเรือ นอนลง และหลับสนิท... แล้วทุกคนพูดกันว่า “มาเถอะ เราจงจับสลากกัน เพื่อจะรู้ว่าใคร เป็นเหตุทำ�ให้ภัยนี้เกิดแก่เรา” เขาจึงจับสลาก สลากก็ตกแก่โยนาห์ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดให้ปลาใหญ่ตัวหนึ่งกลืนโยนาห์เข้าไป โยนาห์อยู่ใน ท้องปลาเป็นเวลาสามวันสามคืน แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสสั่งปลาให้สำ�รอก โยนาห์ออกไว้บนแผ่นดินแห้ง

พระวรสาร ลก 10:25-37 ขณะนั้น นักกฎหมายคนหนึ่งยืนขึ้นทูลถามเพื่อจะจับผิดพระองค์ว่า “พระ อาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำ�สิ่งใดเพื่อจะได้ชีวิตนิรันดร” พระองค์ตรัสถามเขาว่า “ในธรรมบัญญัติมีเขียนไว้อย่างไร ท่านอ่านว่าอย่างไร” เขาทูลตอบว่า “ท่านจะ ต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดกำ�ลัง และสุด สติปัญญาของท่าน ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง”... ชายคนนัน้ ต้องการแสดงว่าตนถูกต้อง จึงทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “แล้วใครเล่าเป็นเพือ่ นมนุษย์ของ ข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าจึงตรัสต่อไปว่า “ชายคนหนึ่งกำ�ลังเดินทางจากกรุงเยรูซาเล็มไปยังเมืองเยรีโค เขาถูกโจรปล้น พวกโจรปล้นทุกสิ่ง ทุบตีเขา แล้วก็จากไป ทิ้งเขาไว้อาการสาหัสเกือบสิ้นชีวิต สมณะ ผู้หนึ่งเดินผ่านมาทางนั้นโดยบังเอิญ เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึ่ง ชาวเลวีคนหนึ่งผ่านมา ทางนัน้ เห็นเขาและเดินผ่านเลยไปอีกฟากหนึง่ เช่นเดียวกัน แต่ชาวสะมาเรียผูห้ นึง่ เดินทางผ่านมาใกล้ๆ เห็นเขาก็รสู้ กึ สงสาร จึงเดินเข้าไปหา เทนาํ้ มันและเหล้าองุน่ ลงบนบาดแผลแล้วพันผ้าให้ นำ�เขาขึน้ หลัง สัตว์ของตนพาไปถึงโรงแรมแห่งหนึ่งและช่วยดูแลเขา วันรุ่งขึ้นชาวสะมาเรียผู้นั้นนำ�เงินสองเหรียญ ออกมามอบให้เจ้าของโรงแรมไว้ กล่าวว่า ‘ช่วยดูแลเขาด้วย เงินที่ท่านจะจ่ายเกินไปนั้น ฉันจะคืนให้ เมื่อกลับมา’ ท่านคิดว่าในสามคนนี้ใครเป็นเพื่อนมนุษย์ของคนที่ถูกโจรปล้น” เขาทูลตอบว่า “คนที่ แสดงความเมตตาต่อเขา” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “ท่านจงไปและทำ�เช่นเดียวกันเถิด” ในพระวรสาร นักกฎหมายถามพระเยซูเจ้าไม่ใช่เรื่องธรรมบัญญัติแต่เป็นเรื่องชีวิตนิรันดร เป็นสิ่งแปลกประหลาดในอุปมาเรื่องนี้ ที่ไม่ใช่สมณะหรือเลวี ผู้เป็นชนชั้นสูงส่งในสังคมชาวยิว ที่ช่วยชายที่ ถูกโจรปล้น แต่กลับเป็นชาวสะมาเรีย ซึง่ นับว่าเป็นคนต่างชาติแสดงความเมตตากรุณาและความรักต่อชาย ที่ถูกปล้น เพราะการช่วยคนที่ต้องการความช่วยเหลือ เขาจึงกลายเป็นฮีโร่ในอุปมาของพระเยซูเจ้า เราต้องทำ�เช่นไรจึงจะได้ชีวิตนิรันดร? พระเยซูเจ้าเชื้อเชิญเราให้เป็นเครื่องมือนำ�ความรักของพระเจ้า ไปสู่ผู้อื่น ไม่ว่าเราจะต่างชนชาติ ต่างภาษา ต่างความเชื่อ ซึ่งไม่ง่ายเลย และบ่อยครั้งง่ายกว่าที่จะเลี่ยงๆ ไปแบบสมณะและเลวี พระเยซูเจ้าเชื้อเชิญเราให้เห็นแก่ผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ ก่อนอื่นหมดก็คือเพื่อน มนุษย์ร่วมโลก เราถูกเชื้อเชิญให้ตอบสนองต่อเรื่องนี้ เราถูกเรียกมาเพื่อมอบความรักที่เราได้มาให้กับผู้อื่น


บทอ่านที่ 1 ยนา 3:1-10 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับโยนาห์อีกครั้งหนึ่งว่า “จงลุกขึ้นไปยังกรุงนีนะเวห์ นครใหญ่ และประกาศเรื่องที่เราจะบอกท่านแก่เมืองนั้น” โยนาห์ก็ลุกขึ้นไปยัง กรุงนีนะเวห์ตามพระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้า กรุงนีนะเวห์เป็นนครใหญ่มาก ถ้าจะเดินข้ามเมืองก็กินเวลาสามวัน โยนาห์เริ่มเดินเข้าไปในเมืองเป็นระยะทาง เดินหนึ่งวัน ร้องประกาศว่า “อีกสี่สิบวัน กรุงนีนะเวห์จะถูกทำ�ลาย” ชาวกรุง นีนะเวห์เชื่อฟังพระเจ้า และประกาศให้อดอาหาร สวมผ้ากระสอบทุกคน ตั้งแต่ คนยิ่งใหญ่ที่สุดจนถึงคนตํ่าต้อยที่สุด ข่าวนี้ลือไปถึงกษัตริย์กรุงนีนะเวห์ พระองค์ ทรงลุกขึน้ จากพระบัลลังก์ ทรงเปลือ้ งฉลองพระองค์ออก ทรงสวมผ้ากระสอบและ ประทับนั่งบนกองขี้เถ้า กษัตริย์ทรงประกาศกฤษฎีกาในกรุงนีนะเวห์พร้อมกับ ข้าราชบริพารชั้นสูงว่า “ทั้งคนและสัตว์ไม่ว่าใหญ่หรือเล็กอย่ากินสิ่งใด อย่ากิน หญ้าหรือดืม่ นาํ้ เลย ทัง้ คนและสัตว์จงสวมผ้ากระสอบและร้องหาพระเจ้าสุดกำ�ลัง แต่ละคนจงกลับใจจากความประพฤติชั่วและเลิกใช้การกระทำ�ที่รุนแรง ใครจะรู้ ได้ พระเจ้าอาจทรงเปลี่ยนพระทัย ทรงพระเมตตา และคลายพระพิโรธที่รุนแรง เพื่อเราจะไม่ต้องพินาศ” พระเจ้าทอดพระเนตรเห็นความพยายามของเขา ที่จะ กลับใจไม่ประพฤติชั่วอีกต่อไป พระเจ้าทรงพระเมตตาไม่ลงโทษตามที่ตรัสไว้ว่า จะทรงลงโทษเขา

สัปดาห์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา

สดด 130:1-2,3-4,7-8

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

พระวรสาร ลก 10:38-42 เวลานั้น ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระดำ�เนินพร้อมกับบรรดาศิษย์ พระองค์ เสด็จเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง สตรีผู้หนึ่งชื่อมารธารับเสด็จพระองค์ที่บ้าน นาง มีนอ้ งสาวชือ่ มารียซ์ งึ่ นัง่ อยูแ่ ทบพระบาทขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้า คอยฟังพระวาจา ของพระองค์ มารธากำ�ลังยุง่ อยูก่ บั การปรนนิบตั ริ บั ใช้จงึ เข้ามาทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ไม่สนพระทัยหรือที่น้องสาวปล่อยดิฉันคนเดียวให้ปรนนิบัติรับใช้ ขอ พระองค์บอกเขาให้มาช่วยดิฉันบ้าง” แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “มารธา มารธา เธอเป็นห่วงและวุ่นวายหลายสิ่งนัก สิ่งที่จำ�เป็นมีเพียงสิ่งเดียว มารีย์ได้ เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุดที่จะไม่มีใครเอาไปจากเขาได้” มารธาไม่ผดิ ทีท่ �ำ งานยุง่ แต่ผดิ ทีท่ ศั นคติและความไม่พอใจในงานของเธอ นักบุญฟรังซิส เดอ ซาลส์ กล่าวว่า มารธาขาดความเรียบง่าย มารธาต้องการต้อนรับขับสู้พระเยซูเจ้าอย่างดี เจตนาของเธอ น่าสรรเสริญ หากแต่เป้าหมายของเธอไม่ชัดเจน และเป้าหมายสำ�คัญคือความรักต่อพระเจ้ากลับหายไป ความเรียบง่ายในทีน่ จี้ งึ หมายถึงการไม่สนใจหรือมีเป้าหมายอืน่ นอกจากเป้าหมายเดียวคือการทำ�ให้สบพระทัย พระเจ้า ความเรียบง่ายไม่สามารถแยกจากความรักเมตตา จากวิธีการปฏิบัติของเราต่อผู้อื่นได้ เราจะเป็น ที่สบพระทัยพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อเรารักเพื่อนพี่น้องเหมือนรักตนเอง เมื่อเราฟังอย่างจริงใจ ตอบสนองด้วย ความรัก และใส่ใจต่อความต้องการของผู้อื่น


บทอ่านที่ 1 ยนา 4:1-11 โยนาห์ไม่พอใจอย่างมากและมีความโกรธเคือง เขาอธิษฐานภาวนาต่อองค์ พระผูเ้ ป็นเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า เมือ่ ข้าพเจ้ายังอยูใ่ นแผ่นดินของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าคิดแล้วมิใช่หรือว่าจะเป็นไปเช่นนี้ ข้าพเจ้าจึงรีบหนีไปยังเมืองทารชิช เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้เมตตาและกรุณา ไม่โกรธง่าย เปี่ยม ด้วยความรักมั่นคง และกลับพระทัยไม่ลงโทษ บัดนี้ ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอ ระลึกถึง พระองค์ทรงเอาชีวติ ของข้าพเจ้าไปเถิด เพราะข้าพเจ้าตายเสียยังดีกว่ามีชวี ติ อยู”่ น.ยอห์น ที่ 23 แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านต้องโกรธขนาดนี้เทียวหรือ” พระสันตะปาปา โยนาห์จึงออกจากเมืองไปนั่งอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง เขาสร้างเพิง สดด 86:3-4,5-7, แล้วไปนัง่ ในร่มทีน่ นั่ คอยดูวา่ จะเกิดอะไรขึน้ กับเมืองนัน้ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้า 9-10 ทรงจัดให้ตน้ ละหุง่ ต้นหนึง่ งอกขึน้ มาเหนือโยนาห์เพือ่ ให้รม่ บังศีรษะของเขา ทำ�ให้ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 เขาคลายความกลัดกลุม้ โยนาห์จงึ ยินดียงิ่ นักเพราะต้นละหุง่ ต้นนี้ แต่วนั ต่อมาเมือ่ ตะวันขึน้ พระเจ้าทรงจัดให้หนอนตัวหนึง่ มากัดกินต้นละหุง่ ต้นนัน้ จนเหีย่ วไป เมือ่ ตะวันขึน้ แล้ว พระเจ้า ทรงจัดให้ลมตะวันออกที่ร้อนจัดพัดมา แสงแดดก็แผดเผาศีรษะของโยนาห์จนเป็นลม เขาจึงทูลขอให้ ตาย พูดว่า “ข้าพเจ้าตายเสียยังดีกว่ามีชวี ติ อยู”่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจึงตรัสกับโยนาห์วา่ “ท่านต้องโกรธ ขนาดนี้เพราะต้นละหุ่งต้นนั้นเทียวหรือ” โยนาห์ทูลตอบว่า “ใช่แล้ว พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าโกรธมากจน อยากตาย” แต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสว่า “ท่านสงสารต้นละหุง่ ต้นนัน้ ทีท่ า่ นไม่ได้ลงแรงปลูกหรือทำ�ให้ มันงอกขึ้น มันโตขึ้นในคืนเดียว แล้วก็ตายไปในคืนเดียว แล้วเราจะไม่ต้องสงสารกรุงนีนะเวห์นครยิ่ง ใหญ่นั้น ซึ่งมีประชาชนมากกว่าหนึ่งแสนสองหมื่นคนที่แยกไม่ออกว่าข้างไหนมือขวาข้างไหนมือซ้าย และมีสัตว์เลี้ยงจำ�นวนมากด้วยละหรือ” พระวรสาร ลก 11:1-4 วันหนึ่ง พระเยซูเจ้าทรงอธิษฐานภาวนาอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่ง เมื่อทรงอธิษฐานจบแล้ว ศิษย์คน หนึ่งทูลพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า โปรดสอนเราให้อธิษฐานภาวนาเหมือนกับที่ยอห์นสอนศิษย์ของเขา เถิด” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “เมื่อท่านทั้งหลายอธิษฐานภาวนา จงพูดว่า ‘ข้าแต่พระบิดา พระนามพระองค์จงเป็นทีส่ กั การะ พระอาณาจักรจงมาถึง โปรดประทานอาหาร ประจำ�วันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายทุกวัน โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย เหมือนข้าพเจ้าทั้งหลาย ให้อภัยแก่ผู้อื่น โปรดช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายไม่ให้แพ้การผจญ’” โยนาห์ได้รบั การเลือกและส่งไปแม้เขาต้องการให้พระเจ้าเลือกคนอืน่ เขาประสบความสำ�เร็จ ในการเทศน์สอนและชาวเมืองนีนะเวห์ทงั้ หมดก็กลับใจ แต่เขากลับชอบทีจ่ ะเห็นตัวเองล้มเหลวในการเทศน์ และชาวเมืองทัง้ หมดพินาศ พระเจ้าไม่ได้ท�ำ ดังทีโ่ ยนาห์ตอ้ งการ โยนาห์จงึ บอกว่าเขาเลือกทีจ่ ะตายมากกว่า จะมีชวี ติ อยู่ การลงโทษและการให้อภัยเป็นสิทธิข์ องพระเจ้าและไม่จ�ำ เป็นต้องเป็นไปตามทีเ่ ราคิดหรือตัดสิน พระวรสารเตือนเราให้ขอในสิ่งที่เราจำ�เป็นและต้องการ แต่ยึดพระประสงค์ของพระเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด เพราะพระหรรษทานของพระเจ้า เราจึงสามารถหลีกหนีความชัว่ และตระหนักถึงพระพรทีเ่ ราได้รบั จากความ รักที่พระเจ้ามีต่อเรา


บทอ่านที่ 1 มลค 3:13-20ข “ท่านทั้งหลายได้พูดใส่ร้ายเรา” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัส “แล้วยังมาพูดว่า ‘พวกเราได้พดู ใส่รา้ ยพระองค์อย่างไร’ ท่านพูดว่า ‘รับใช้พระเจ้าก็เปล่าประโยชน์ ปฏิบตั ติ ามพระบัญชาของพระองค์หรือเดินไว้ทกุ ข์เฉพาะพระพักตร์องค์พระผูเ้ ป็น เจ้าจอมจักรวาลมีประโยชน์อะไร...’” เวลานั้น ผู้ที่ยำ�เกรงองค์พระผู้เป็นเจ้าพูดกันถึงเรื่องนี้ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรง สัปดาห์ที่ 27 เงีย่ พระกรรณและทรงฟัง มีผเู้ ขียนหนังสือบันทึกความจำ�เฉพาะพระพักตร์ บันทึก เทศกาลธรรมดา ชือ่ ของผูย้ �ำ เกรงพระองค์และเคารพพระนามพระองค์ ในวันนัน้ เมือ่ เราจะทำ� องค์ สดด 1:1-6 พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลตรัส เขาทั้งหลายจะเป็นกรรมสิทธิ์พิเศษของเรา และ เราจะไม่ลงโทษเขาเหมือนคนหนึง่ ไม่ลงโทษบุตรที่รบั ใช้ตน แล้วท่านจะเห็นอีกว่า ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 ผู้ชอบธรรมแตกต่างจากคนอธรรมอย่างไร ผู้รับใช้พระเจ้าแตกต่างจากผู้ไม่รับใช้ พระองค์อย่างไร “ดูซิ วันนั้นกำ�ลังมาถึง คือวันที่จะลุกไหม้เหมือนเตาอบ แล้วคนอวดดีทั้งหลายและคนทำ�ความ ชั่วร้ายทุกคนจะเป็นเหมือนซังข้าว วันที่จะมานั้นจะไหม้เขาทั้งหลาย องค์พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาล ตรัส จนไม่มรี ากหรือกิง่ ก้านเหลืออยูเ่ ลย แต่ส�ำ หรับท่านทัง้ หลายทีย่ �ำ เกรงนามของเรา ความเทีย่ งธรรม ของเราจะขึ้นมาเหมือนดวงอาทิตย์ซึ่งส่องรัศมีรักษาโรคให้หายได้ พระวรสาร ลก 11:5-13 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์อีกว่า “สมมติว่าท่านคนหนึ่งมีเพื่อนและไปพบเพื่อนนั้น ตอนเที่ยงคืนกล่าวว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ให้ฉันขอยืมขนมปังสักสามก้อนเถิด เพราะเพื่อนของฉันเพิ่งเดินทาง มาถึงบ้านของฉัน ฉันไม่มีอะไรจะให้เขากิน’ สมมติว่าเพื่อนคนนั้นตอบจากในบ้านว่า ‘อย่ารบกวนฉัน เลย ประตูปิดแล้ว ลูกๆ กับฉันก็เข้านอนแล้ว ฉันลุกขึ้นให้สิ่งใดท่านไม่ได้หรอก’ เราบอกท่านทั้งหลาย ว่า ถ้าคนนั้นไม่ลุกขึ้นให้ขนมปังเพราะเป็นเพื่อนกัน เขาก็จะลุกขึ้นมาให้สิ่งที่เพื่อนต้องการเพราะถูก รบเร้า” “เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ จงแสวงหาเถิด แล้วท่านจะพบ จงเคาะ ประตูเถิด แล้วเขาจะเปิดประตูรบั ท่าน เพราะคนทีข่ อย่อมได้รบั คนทีแ่ สวงหาย่อมพบ คนทีเ่ คาะประตู ย่อมมีผู้เปิดประตูให้ ท่านที่เป็นพ่อ ถ้าลูกขอปลา จะให้งูแทนปลาหรือ ถ้าลูกขอไข่ จะให้แมงป่องหรือ แม้แต่ท่านทั้งหลายที่เป็นคนชั่วยังรู้จักให้ของดีๆ แก่ลูก แล้วพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะไม่ประทาน พระจิตเจ้าแก่ผู้ที่ทูลขอพระองค์มากกว่านั้นหรือ” ประกาศกมาลาคีประกาศว่าผู้ที่ยำ�เกรงพระเจ้า เชื่อฟังและวางใจในพระองค์ จะเป็นที่ โปรดปรานของพระเจ้า “เขาทั้งหลายจะเป็นกรรมสิทธิ์พิเศษของเราและเราจะไม่ลงโทษเขาเหมือนคนหนึ่ง ไม่ลงโทษบุตรที่รับใช้ตน” พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์และเราทุกคนว่าพระเจ้าเป็นบิดา และสอนเราสวดถึงพระบิดา พระบิดา เจ้าสวรรค์ทรงห่วงใยต่อความกินดีอยูด่ ขี องเรา และไม่เคยมอบสิง่ ใดทีท่ �ำ ร้ายเรา พระองค์มอบพระจิตของ พระองค์ ผู้ใดดำ�รงอยู่ในพระจิต ผู้นั้นเป็นบุตรของพระเจ้า (รม 8:14,16) ดังนั้น เราต้องเชื่อมั่นในพระบิดา และวางใจว่าพระองค์จะฟังคำ�ภาวนาของเรา ความพากเพียรอดทนจะนำ�เราสูส่ นั ติและพระพรของพระเจ้า


สัปดาห์ที่ 27 เทศกาลธรรมดา สดด 9:1-2,5 และ 15,7-8

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3

บทอ่านที่ 1 ยอล 1:13-15,2:1-2 บรรดาสมณะเอ๋ย จงใช้ผ้ากระสอบคาดสะเอว และร้องโอดครวญเถิด ท่าน ทั้งหลายผู้รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าที่พระแท่นบูชา จงร้องครํ่าครวญ ท่านผู้รับใช้ พระเจ้าของข้าพเจ้า จงมาเถิด จงสวมผ้ากระสอบตืน่ เฝ้าทัง้ คืน เพราะธัญบูชาและ การเทเหล้าองุ่นถวายหายไปจากพระวิหารของพระเจ้าของท่าน จงประกาศให้มี การจำ�ศีลอดอาหาร จงเรียกประชาชนมาชุมนุมกัน จงรวบรวมบรรดาผูอ้ าวุโสและ ผูอ้ าศัยทุกคนในแผ่นดิน ให้มายังพระวิหารขององค์พระผูเ้ ป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน และจงร้องขอความช่วยเหลือจากองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “อนิจจาเอ๋ย วันนั้น วัน ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ใกล้แล้ว วันนั้นจะมาถึง เป็นการทำ�ลายจากพระผู้ทรง สรรพานุภาพ จงเป่าแตรเขาสัตว์ในศิโยน จงส่งสัญญาณเตือนบนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ ของเรา ให้ทุกคนที่อาศัยในแผ่นดินตัวสั่น เพราะวันขององค์พระผู้เป็นเจ้ากำ�ลัง จะมา วันนั้นอยู่ใกล้แล้ว...

พระวรสาร ลก 11:14-26 เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าทรงขับไล่ปีศาจออกไปแล้ว ประชาชนต่างประหลาดใจ แต่บางคนกล่าว ว่า “เขาขับไล่ปีศาจด้วยอำ�นาจของเบเอลเซบูล เจ้าแห่งปีศาจนั่นเอง” บางคนต้องการจับผิดพระองค์ จึงขอให้พระองค์ทรงแสดงเครื่องหมายจากสวรรค์ พระเยซูเจ้าทรงทราบความคิดของเขาจึงตรัสว่า “อาณาจักรใดแตกแยกภายใน อาณาจักรนั้นย่อมพินาศ บ้านเรือนย่อมพังทลายทับกัน ถ้าซาตาน แตกแยกกันเอง อาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร เพราะท่านบอกว่า เราขับไล่ปีศาจด้วยอำ�นาจ ของเบเอลเซบูล ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำ�นาจของเบเอลเซบูล พวกพ้องของท่านขับไล่มันด้วยอำ�นาจ ของใคร พวกพ้องของท่านจะเป็นผู้ตัดสินลงโทษท่าน แต่ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยอำ�นาจของพระเจ้า ก็ หมายความว่าพระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงท่านแล้ว เมือ่ คนแข็งแรงมีอาวุธครบมือเฝ้าบ้านของตน ทรัพย์สมบัติของเขาก็ปลอดภัย แต่ถ้าผู้ใดแข็งแรงกว่าเข้ามาโจมตีและเอาชนะเขาได้ ก็ย่อมริบอาวุธที่ เขามั่นใจนั้น และแบ่งปันข้าวของที่ปล้นได้” “ผู้ใดไม่อยู่กับเรา ย่อมเป็นปฏิปักษ์กับเรา ใครไม่รวบรวมสิ่งต่างๆ ไว้กับเรา ย่อมทำ�ให้สิ่งเหล่า นั้นกระจัดกระจายไป” “เมื่อปีศาจออกไปจากมนุษย์แล้ว มันท่องเที่ยวไปในที่แห้งแล้งเพื่อหาที่พัก เมื่อไม่พบ มันจึงคิด ว่า ‘ข้าจะกลับไปยังบ้านที่ข้าจากมา’ เมื่อกลับมาถึง มันพบว่าบ้านนั้นปัดกวาดตกแต่งไว้เรียบร้อย มัน จึงไปพาปีศาจอีกเจ็ดตนที่ชั่วร้ายยิ่งกว่ามันเข้ามาอาศัยที่นั่น สภาพสุดท้ายของมนุษย์ผู้นั้นจึงเลวร้าย กว่าเดิม” จากบทสนทนาของพระเยซูเจ้ากับชาวยิวแสดงให้เห็นว่าพระองค์นั้นโจมตีเหตุแห่งบาป ถ้า พวกเขาสาละวนกับการทำ�ความดี พวกเขาจะอยู่กับพระเยซูเจ้าและสามารถทำ�ลายบาปและความชั่วร้าย ทัง้ หมดได้ บาปเป็นสิง่ ล่อตาล่อใจ แต่เราต้องตัดสินใจเลือกว่า จะอยูฝ่ า่ ยพระเยซูหรือฝ่ายตรงข้าม ไม่มใี คร สามารถอยู่ร่วมกับบาปและเป็นคริสตชนที่แท้จริงในเวลาเดียวกันได้ คนที่ท�ำ บาปก็จะหลีกหนีไม่ยอมแบก กางเขน การต่อสู้กับบาปก็คือการแบกกางเขนกับพระเยซูเจ้าเพื่อไปสู่ชีวิตนิรันดร


บทอ่านที่ 1 ยอล 4:12-21 องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสดังนีว้ า่ “นานาชาติจงรีบขึน้ มายังหุบเขาเยโฮชาฟัทเถิด เพราะที่นั่นเราจะนั่งพิพากษานานาชาติที่อยู่โดยรอบ จงใช้เคียวเกี่ยวเถิด เพราะ ข้าวทีจ่ ะต้องเกีย่ วสุกแล้ว จงมาเถิด จงเหยียบยาํ่ เพราะบ่อยาํ่ องุน่ เต็มแล้ว ถังเก็บ นํ้าองุ่นล้นแล้ว เพราะความชั่วของเขาทั้งหลายมีมาก ชนจำ�นวนมาก ชนจำ�นวน มาก อยู่ในหุบเขาการตัดสิน เพราะวันแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว ใน หุบเขาการตัดสิน ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มืดไป ดวงดาวก็อับแสง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรง เปล่งพระสุรเสียงจากศิโยน ทรงร้องตะโกนจากกรุงเยรูซาเล็ม ท้องฟ้าและแผ่น ดินสัน่ สะเทือน แต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรงเป็นทีล่ ภี้ ยั สำ�หรับประชากรของพระองค์ ทรงเป็นทีก่ �ำ บังเข้มแข็งสำ�หรับชาวอิสราเอล แล้วท่านทัง้ หลายจะรูว้ า่ เราเป็นองค์ พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่าน เราพำ�นักอยู่ในศิโยน ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา กรุง เยรูซาเล็มจะเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ จะไม่มีคนต่างด้าวยึดครองเมืองนี้อีกเลย เมื่อวันนั้นมาถึง ภูเขาจะหลั่งเหล้าองุ่นใหม่ นํ้านมจะไหลตามเนินเขา ห้วย ต่างๆ ของยูดาห์จะมีนํ้าไหล นํ้าจะไหลออกมาจากพุนํ้าในพระวิหารขององค์พระ ผู้เป็นเจ้า และจะรดหุบเขาชิทธีม อียิปต์จะกลายเป็นที่รกร้าง เอโดมจะกลายเป็น ถิ่นทุรกันดารแห้งแล้ง เพราะความทารุณที่เขาทั้งหลายเคยทำ�แก่พงศ์พันธุ์ยูดาห์ เขาได้หลั่งโลหิตของผู้บริสุทธิ์ในแผ่นดินของตน แต่ยูดาห์จะมีผู้อาศัยอยู่ตลอดไป กรุงเยรูซาเล็มจะมีผอู้ าศัยอยูท่ กุ ชัว่ อายุคน เราจะแก้แค้นแทนโลหิตของเขา จะไม่ ปล่อยผู้ทำ�ผิดให้พ้นโทษ และองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงพำ�นักในศิโยน” พระวรสาร ลก 11:27-28 ขณะที่พระเยซูเจ้ากำ�ลังตรัสอยู่นั้น สตรีผู้หนึ่งร้องขึ้นในหมู่ประชาชนว่า “หญิงที่ให้กำ�เนิดและให้นมเลี้ยงท่านช่างเป็นสุขจริง” แต่พระองค์ตรัสตอบว่า “คนทั้งหลายที่ฟังพระวาจาของพระเจ้าและปฏิบัติตามย่อมเป็นสุขกว่านั้นอีก” พระวรสารวันนีส้ ะท้อนแก่นแท้ของการเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้า นัน่ คือ การฟังและปฏิบัติตามพระวาจา คำ�สรรเสริญของสตรีในพระวรสารเกิดขึ้นเพราะคำ� สอนของพระเยซูเจ้า ซึง่ จริงๆ แล้วหมายถึงพระนางมารีย์ ไม่ใช่เพราะความเป็นมารดา ของพระนาง แต่เพราะพระนางเป็นผู้ที่ฟังพระวาจาและนำ�ไปปฏิบัติ พระนางอุทิศทั้ง ชีวิตเพื่อฟังพระวาจาด้วยจิตและวิญญาณ และปฏิบัติตามอย่างไม่มีเงื่อนไข เราใน ฐานะผู้ติดตามพระเยซูเจ้าก็ต้องทำ�เช่นเดียวกัน และเมื่อเราฟังพระวาจาของพระเจ้า เราก็จะทราบพระประสงค์ของพระองค์ที่มีต่อเราเช่นกัน

น.กัลลิสตัส ที่ 1 พระสันตะปาปา และมรณสักขี สดด 97:1-2,5-6, 11-12

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3


สัปดาห์ที่ 28 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 25:6-10ก องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจอมจักรวาลทรงจัดเตรียมงานเลีย้ งฉลอง สำ�หรับประชากร ทุกชาติบนภูเขานี้ เป็นงานเลี้ยงที่มีอาหารนานาชนิด เป็นงานเลี้ยงที่มีเหล้าองุ่น ชั้นดี มีอาหารเลิศรสและเหล้าองุ่นที่เลือกสรรแล้วบนภูเขานี้ พระองค์จะทรง ทำ�ลายผ้าคลุม ที่คลุมหน้าประชากรทั้งหลาย และจะทรงทำ�ลายม่านซึ่งกางอยู่ เหนือนานาชาติ พระองค์จะทรงทำ�ลายความตายตลอดไป องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าจะทรงเช็ดนาํ้ ตาจากใบหน้าของทุกคน จะทรงช่วยประชากรของพระองค์ ให้พ้นจากการถูกลบหลู่ทั่วแผ่นดิน เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสแล้ว วันนั้น เขาจะพูดกันว่า “นี่คือพระเจ้าของเรา เราเคยหวังว่าพระองค์จะทรง ช่วยเราให้รอดพ้น นี่คือองค์พระผู้เป็นเจ้า เราเคยมีความหวังในพระองค์ เราจง ชื่นชมยินดีที่พระองค์ทรงช่วยเราให้รอดพ้นเถิด” เพราะพระหัตถ์ขององค์พระผู้ เป็นเจ้าจะพักอยู่บนภูเขานี้ เพลงสดุดี สดด 90:12-13,14-15,16-17 ก) โปรดทรงสอนข้าพเจ้าทั้งหลายให้รู้จักนับวันแห่งชีวิตได้ถูกต้อง เพื่อจะได้มีจิตใจปรีชาฉลาด ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดเสด็จกลับมาเถิด ข้าพเจ้าทั้งหลายจะต้องรอคอยอีกนานเพียงใด โปรดทรงเมตตาบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์เถิด ข) ทุกยามเช้าโปรดประทานความรักมั่นคงของพระองค์แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย อย่างเต็มเปี่ยม ข้าพเจ้าทั้งหลายจะได้โห่ร้องด้วยความเบิกบานและมีความยินดีตลอดชีวิต ขอพระองค์ประทานความยินดีแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย นานเท่ากับเวลาที่พระองค์ทรงบันดาลให้ได้รับความทุกข์ยาก เท่ากับปีที่ข้าพเจ้าทั้งหลายต้องประสบความเลวร้าย ค) โปรดส�ำแดงให้ผู้รับใช้ของพระองค์เห็นพระราชกิจของพระองค์ ให้ลูกหลานของเขาได้เห็นความรุ่งเรืองของพระองค์ ขอองค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย โปรดปรานข้าพเจ้า ขอพระองค์ประทานให้ผลงานที่ข้าพเจ้าทั้งหลายกระท�ำส�ำเร็จไป ขอให้ผลงานที่ข้าพเจ้าทั้งหลายกระท�ำมีความมั่นคง บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวฟีลิปปี ฟป 4:12-14,19-20 พีน่ อ้ ง ข้าพเจ้ารูจ้ กั มีชวี ติ อยูอ่ ย่างอดออม และรูจ้ กั มีชวี ติ อยูอ่ ย่างอุดมสมบูรณ์ ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะเผชิญกับทุกสิ่งทุกกรณี เผชิญกับความอิ่มท้องและความ


หิวโหย เผชิญกับความมัง่ คัง่ และความขัดสน ข้าพเจ้าทำ� ทุกสิ่งได้ในพระองค์ผู้ประทานพละกำ�ลังแก่ข้าพเจ้า แต่ ท่านทำ�ดีแล้วที่มาร่วมทุกข์กับข้าพเจ้า พระเจ้าของข้าพเจ้าจะทรงตอบแทน โดยประทาน ทุกสิ่งที่ท่านต้องการอย่างสมศักดิ์ศรีกับความมั่งคั่งของ พระองค์ในพระคริสตเยซู ดังนั้น ขอพระสิริรุ่งโรจน์จงมี แด่พระเจ้า พระบิดาของเรา ตลอดนิรนั ดรเทอญ อาเมน บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 22:1-14 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าทรงเล่าเป็นอุปมาอีกเรือ่ งหนึง่ ว่า “อาณาจักรสวรรค์เปรียบได้กับกษัตริย์พระองค์ หนึ่งซึ่งทรงจัดงานอภิเษกสมรสให้พระโอรส ทรงส่งผู้รับใช้ไปเรียกผู้รับเชิญให้มาในงานวิวาห์ แต่พวก เขาไม่ตอ้ งการมา พระองค์จงึ ทรงส่งผูร้ บั ใช้อนื่ ไปอีก รับสัง่ ว่า ‘จงไปบอกผูร้ บั เชิญว่า บัดนีเ้ ราได้เตรียม การเลี้ยงไว้พร้อมแล้ว ได้ฆา่ วัวและสัตว์อ้วนพีแล้ว ทุกสิ่งพร้อมสรรพ เชิญมาในงานวิวาห์เถิด’ แต่ผู้รบั เชิญมิได้สนใจ คนหนึง่ ไปทีท่ งุ่ นา อีกคนหนึง่ ไปทำ�ธุรกิจ คนทีเ่ หลือได้จบั ผูร้ บั ใช้ของกษัตริย์ ทำ�ร้ายและ ฆ่าเสีย กษัตริยก์ ริว้ จึงทรงส่งกองทหารไปทำ�ลายฆาตกรเหล่านัน้ และเผาเมืองของเขาด้วย แล้วพระองค์ ตรัสแก่ผู้รับใช้ว่า ‘งานวิวาห์พร้อมแล้ว แต่ผู้รับเชิญไม่เหมาะสมกับงานนี้ จงไปตามทางแยก พบผู้ใด ก็ตาม จงเชิญมาในงานวิวาห์เถิด’ บรรดาผู้รับใช้จึงออกไปตามถนน เชิญทุกคนที่พบมารวมกัน ทั้งคน เลวและคนดี แขกรับเชิญจึงมาเต็มห้องงานอภิเษกสมรส กษัตริย์เสด็จมาทอดพระเนตรแขกรับเชิญ ทรงเห็นคนหนึง่ ไม่สวมเสือ้ สำ�หรับงานวิวาห์ จึงตรัสแก่เขาว่า ‘เพือ่ นเอ๋ย ท่านไม่ได้สวมเสือ้ สำ�หรับงาน วิวาห์ แล้วเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร’ คนนั้นก็นิ่ง กษัตริย์จึงตรัสสั่งผู้รับใช้ว่า ‘จงมัดมือมัดเท้าของเขา เอา ไปทิ้งในที่มืดข้างนอกเถิด ที่นั่น จะมีแต่การรํ่าไห้ครํ่าครวญ และขบฟันด้วยความขุ่นเคือง เพราะผู้รับ เชิญมีมาก แต่ผู้รับเลือกมีน้อย’” ฉากงานเลี้ยง งานฉลอง และมื้ออาหาร พบบ่อยมากในพระวรสารและในพระคัมภีร์ทั้งหมด ซึ่งเป็นเครื่องหมายสำ�คัญบ่งบอกถึงชีวิตของพระเยซูเจ้า คำ�สอนของพระองค์อยู่ในบริบทของมื้ออาหาร และที่สำ�คัญที่สุดคืออาหารคํ่ามื้อสุดท้าย เรื่องเล่าและอุปมาต่างๆ ดังเช่นพระวรสารวันนี้ ก็เป็นฉากเกี่ยว กับมื้ออาหารและงานเลี้ยงที่ประชาชนมาทานเลี้ยงด้วยกัน การกินเลี้ยงด้วยอาหารอันอุดมสมบูรณ์และ บรรยากาศอันน่ายินดี เป็นเครือ่ งหมายเด่นชัดแสดงถึงบรรยากาศครอบครัว ซึง่ ก็คอื ครอบครัวของพระเจ้า และยังหมายถึงอาณาจักรของพระองค์อีกด้วย


บทอ่านที่ 1 รม 1:1-7 จากเปาโล ผู้รับใช้ของพระคริสตเยซู ซึ่งพระเจ้าทรงเรียกมาเป็นอัครสาวก และทรงมอบหมายให้ประกาศข่าวดีซงึ่ พระเจ้าทรงสัญญาไว้ทางประกาศกในพระ คัมภีร์ ข่าวดีนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับพระบุตรของพระองค์ ซึ่งโดยธรรมชาติมนุษย์ ทรง น.เฮดวิก นักบวช บังเกิดในราชวงศ์กษัตริย์ดาวิด และโดยทางพระจิตเจ้าผู้บันดาลความศักดิ์สิทธิ์ น.มาร์การีตา มารีย์ ทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นพระบุตรผู้ทรงอำ�นาจของพระเจ้าโดยการกลับคืน อาลาก๊อก พรหมจารี พระชนมชีพจากบรรดาผูต้ าย พระองค์คอื พระเยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของเรา ด้วยเดชะพระเยซูคริสตเจ้านี้ เราได้รบั พระหรรษทานและภารกิจการเป็นอัครสาวก สดด 98:1,2-3,4 เพื่อนำ�ประชาชาติทั้งหลายให้มาปฏิบัติตามความเชื่อ ทั้งนี้เพื่อถวายพระเกียรติ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 แด่พระนามพระองค์ และท่านทั้งหลายก็อยู่ในบรรดาบุคคลเหล่านี้ ท่านเป็นของ พระเยซูคริสตเจ้าแล้วเพราะพระองค์ทรงเรียก ถึ ง ทุ ก ท่ า นในกรุ ง โรมผู้ ที่ พ ระเจ้ า ทรงรั ก และทรงเรี ย กให้ เ ป็ น ประชากร ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ขอพระหรรษทานและสันติสขุ จากพระเจ้าพระบิดาของเรา และจากพระเยซู คริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา สถิตกับท่านทั้งหลายเถิด พระวรสาร ลก 11:29-32 เวลานัน้ เมือ่ ประชาชนมาชุมนุมกันมากขึน้ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “คนยุคนีเ้ ป็น คนชั่วร้าย อยากเห็นเครื่องหมาย แต่จะไม่มีเครื่องหมายใดให้เห็นนอกจาก เครื่องหมายของประกาศกโยนาห์เท่านั้น โยนาห์เป็นเครื่องหมายสำ�หรับชาว นีนะเวห์ฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเป็นเครื่องหมายสำ�หรับคนยุคนี้ฉันนั้น ใน วันพิพากษา พระราชินีแห่งทิศใต้จะทรงลุกขึ้นและทรงกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะ พระนางเสด็ จ มาจากสุ ด ปลายแผ่ น ดิ น เพื่ อ ฟั ง พระปรี ช าสุ ขุ ม ของกษั ต ริ ย์ ซาโลมอน แต่ทนี่ มี่ ผี ยู้ งิ่ ใหญ่กว่ากษัตริยซ์ าโลมอนอีก ในวันพิพากษา ชาวนีนะเวห์ จะลุกขึ้นและกล่าวโทษคนยุคนี้ เพราะชาวนีนะเวห์ได้กลับใจเมื่อได้ฟังคำ�เทศน์ ของประกาศกโยนาห์ แต่ที่นี่มีผู้ยิ่งใหญ่กว่าโยนาห์อีก” ในประวัติศาสตร์แห่งความรอดของชาวยิว พระเจ้าได้ให้เครื่องหมาย ต่างๆ มากมายแก่มนุษย์เพื่อช่วยให้พวกเขาเติบโต เปลี่ยนแปลง และกลับใจ ซึ่งคนที่ เชือ่ ก็มชี วี ติ ทีด่ ขี นึ้ ในความสัมพันธ์กบั พระเจ้า กับเพือ่ นพีน่ อ้ ง และสรรพสิง่ ทัง้ หลายใน โลกนี้ ส่วนคนที่ไม่เชื่อก็จมอยู่กับวิถีชีวิตแบบเดิมที่เต็มไปด้วยความบาป พระเยซูเจ้า คือเครื่องหมายของความรักที่ยิ่งใหญ่ ขอให้เรานึกถึงเครื่องหมายนี้ในทุกๆ วันของ ชีวิต เพราะความรักและความดีของพระเจ้า คือหนทางที่ช่วยให้เราเติบโตและพบกับ ชีวิตที่มีความหมาย


บทอ่านที่ 1 รม 1:16-25 พี่น้อง ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่มีเหตุผลใดที่จะต้องละอายต่อข่าวดี เพราะนี่คือ อานุภาพของพระเจ้าซึ่งนำ�ความรอดพ้นให้แก่ทุกคนที่มีความเชื่อ ให้แก่ชาวยิว ก่อน และให้แก่คนต่างชาติดว้ ยเช่นเดียวกัน เพราะความเทีย่ งธรรมทีพ่ ระเจ้าช่วย ให้รอดพ้นถูกเปิดเผยในข่าวดีนี้ ความเที่ยงธรรมดังกล่าวขึ้นอยู่กับความเชื่อ และ นำ�ไปสู่ความเชื่อ ดังที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ผู้ชอบธรรมจะมีชีวิตโดยอาศัย ความเชื่อ พระเจ้าจากสวรรค์ทรงแสดงให้มนุษย์เห็นการลงโทษ ความไม่เคารพนับถือ พระเจ้า และความอธรรมทุกชนิดของพวกเขาที่ปิดบังความจริงในความอธรรม ของตน ทัง้ ๆ ทีพ่ ระเจ้าทรงทำ�ให้สงิ่ ทีร่ ไู้ ด้เกีย่ วกับพระองค์ปรากฏชัดอยูแ่ ล้ว กล่าว คือ ตั้งแต่เมื่อทรงสร้างโลก คุณลักษณะที่ไม่อาจแลเห็นได้ของพระเจ้า คือพระ อานุภาพนิรนั ดรและเทวภาพของพระองค์ปรากฏอย่างชัดเจนแก่ปญ ั ญามนุษย์ใน สิ่งที่ทรงสร้าง ดังนั้น คนเหล่านี้จึงไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ พวกเขารู้จักพระเจ้า แต่ไม่ได้ เคารพบูชาพระองค์เป็นพระเจ้าหรือขอบพระคุณพระองค์ ความคิดหาเหตุผลของ เขากลับใช้การไม่ได้ และจิตใจที่ไม่ยอมเข้าใจกลับมืดบอดลง เขาคิดว่าตนเป็นคน ฉลาด แต่ในความเป็นจริง เขากลับโง่จนถึงกับนำ�พระสิรริ งุ่ โรจน์ของพระเจ้าผูท้ รง เป็นอมตะมาแลกกับภาพเลียนแบบ คือภาพมนุษย์ที่ไม่เป็นอมตะ ภาพสัตว์ปีก ภาพสัตว์สี่เท้า หรือภาพสัตว์เลื้อยคลาน ดังนัน้ พระเจ้าจึงทรงทอดทิง้ เขาให้ตกอยูใ่ นความปรารถนาฝ่ายตาํ่ ของจิตใจ ที่จะประพฤติชั่ว ล่วงเกินร่างกายของกันและกัน เนื่องจากเขาแลกความจริงของ พระเจ้ากับความเท็จ หันไปนมัสการสิ่งสร้างแทนพระผู้สร้างผู้สมควรได้รับการ ถวายพระพรตลอดนิรันดร อาเมน

ระลึกถึง น.อิกญาซีโอ ชาวอันติโอค พระสังฆราช และมรณสักขี สดด 19:1-3,4

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

พระวรสาร ลก 11:37-41 เวลานั้น เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสจบแล้ว ชาวฟาริสีคนหนึ่งทูลเชิญพระองค์ไปเสวยพระกระยาหารที่ บ้าน พระองค์จึงเสด็จเข้าไปประทับที่โต๊ะ ชาวฟาริสีคนนั้นประหลาดใจเมื่อเห็นว่าพระองค์ไม่ทรงล้าง พระหัตถ์ตามธรรมเนียมก่อนเสวยพระกระยาหาร องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “ชาวฟาริสเี อ๋ย ท่าน ล้างถ้วยชามด้านนอก แต่ใจของท่านเต็มไปด้วยของทีข่ โมยมาและความชัว่ ร้าย คนโง่เอ๋ย พระเจ้าผูท้ รง สร้างภายนอก มิได้ทรงสร้างภายในด้วยหรือ ถ้าจะให้ดีแล้ว จงให้สิ่งที่อยู่ภายในเป็นทานเถิด แล้วทุก สิ่งก็จะสะอาดสำ�หรับท่าน” ท่าทีของพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้สอนเราให้ตระหนักถึงความสำ�คัญของชีวิตภายใน เรือ่ งของใจจึงเป็นสิง่ ทีเ่ ราทุกคนควรดูแลเอาใจใส่อย่างดี เพราะใจนัน้ มีผลอย่างมากต่อทัศนคติและวิธกี าร ดำ�เนินชีวิตของคนเรา เราสามารถสร้างและปรุงแต่งภาพภายนอกให้สวยงามดูดีอย่างไรก็ได้ แต่เราไม่อาจ ปฏิเสธความจริงของใจเราได้เลย ดังนัน้ อย่าพยายามทำ�ให้คนอืน่ รักเราในภาพทีเ่ ราสร้าง แต่ให้เขาเหล่านัน้ รักเราในสิ่งที่เราเป็น ในความดีที่งดงามของใจเรา


ฉลอง น.ลูกา ผู้นิพนธ์พระวรสาร สดด 145:10-11, 12-13,16-19

บทอ่านที่ 1 2 ทธ 4:10-17 ลูกที่รักยิ่ง เดมาสได้ละทิ้งข้าพเจ้าไปแล้วเพราะเขารักโลกนี้ และไปที่เมือง เธสะโลนิกา ส่วนเครสเซนซ์ไปยังแคว้นกาลาเทีย และทิตัสไปยังแคว้นดาลมาเธีย เหลือเพียงลูกาที่ยังอยู่กับข้าพเจ้า จงพามาระโกไปกับท่านด้วย เพราะเขามี ประโยชน์สำ�หรับข้าพเจ้าในการปฏิบัติศาสนบริการ ข้าพเจ้าส่งทีคิกัสไปยังเมือง เอเฟซัส เมื่อท่านจะไป จงนำ�เสื้อคลุมที่ข้าพเจ้าทิ้งไว้กับคารปัสที่เมืองโตรอัสติด ไปด้วย รวมทั้งม้วนหนังสือ โดยเฉพาะม้วนที่ทำ�ด้วยหนังสัตว์ อเล็กซานเดอร์ช่าง ทองแดงทำ�ร้ายข้าพเจ้าไว้มาก องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงตอบแทนเขาตามการ กระทำ�ของเขา จงระวังเขาด้วย เพราะเขาต่อต้านคำ�พูดของข้าพเจ้าอย่างมาก ในการสู้คดีครั้งแรกของข้าพเจ้า ไม่มีใครเป็นพยานให้ข้าพเจ้าเลย ทุกคน ละทิง้ ข้าพเจ้าไปหมด ขออย่าให้พวกเขาถูกลงโทษเลย มีแต่องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทรง ยืนอยู่เคียงข้างและประทานกำ�ลังแก่ข้าพเจ้า เพื่อการประกาศข่าวดีจะได้สำ�เร็จ ไปโดยทางข้าพเจ้า และคนต่างชาติทั้งหลายจะได้ฟังข่าวดี ดังนั้น ข้าพเจ้าจึงถูก ฉุดให้พ้นจากปากสิงโตมาได้ พระวรสาร ลก 10:1-9 ต่อจากนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงแต่งตั้งศิษย์อีกเจ็ดสิบสองคน และทรงส่ง เขาล่วงหน้าพระองค์เป็นคูๆ่ ไปทุกตำ�บลทุกเมืองทีพ่ ระองค์จะเสด็จ พระองค์ตรัส กับเขาว่า “ข้าวที่จะเกี่ยวมีมาก แต่คนงานมีน้อย จงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคน งานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด จงไปเถิด เราส่งท่านทั้งหลายไปดุจลูกแกะ ในฝูงสุนัขป่า อย่านำ�ถุงเงิน ย่ามหรือรองเท้าไปด้วย อย่าเสียเวลาทักทายผูใ้ ดตาม ทาง เมือ่ ท่านเข้าบ้านใด จงกล่าวก่อนว่า ‘สันติสขุ จงมีแก่บา้ นนีเ้ ถิด’ ถ้ามีผสู้ มควร จะรับสันติสุขอยู่ที่นั่น สันติสุขของท่านจะอยู่กับเขา มิฉะนั้น สันติสุขของท่านจะ กลับมาอยู่กับท่านอีก จงพักอาศัยในบ้านนั้น กินและดื่มของที่เขาจะนำ�มาให้ เพราะว่าคนงานสมควรที่จะได้รับค่าจ้างของตน อย่าเข้าบ้านนี้ออกบ้านโน้น เมื่อ ท่านเข้าไปในเมืองใดและเขาต้อนรับท่าน จงกินของที่เขาจะนำ�มาตั้งให้ จงรักษา ผู้เจ็บป่วยในเมืองนั้นและบอกเขาว่า ‘พระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ใกล้ท่านทั้ง หลายแล้ว’” การเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้านั้นต้องมีความรักในอุดมการณ์และต้อง เต็มใจเสียสละตัวเองเพือ่ ความดีของผูอ้ นื่ และส่วนรวม อุดมการณ์ของพระเยซูเจ้าคือ ความรัก และข่าวดีของพระองค์กค็ อื อาณาจักรแห่งความรัก เราปฏิเสธไม่ได้วา่ ความ รักคือสิ่งสำ�คัญและจำ�เป็นต่อชีวิตมนุษย์และการอยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้ เพราะความ รักหล่อเลี้ยงชีวิตและทำ�ให้ชีวิตมีคุณค่ามีความหมาย ทำ�ให้สังคมมีสันติสุข ท่ามกลาง ความท้าทายต่างๆ ของค่านิยมทางโลก เราแต่ละคนต้องกล้าที่จะส่งต่อข่าวดีเรื่อง อาณาจักรแห่งความรักนี้ด้วยอุดมการณ์ที่มั่นคง


บทอ่านที่ 1 รม 3:21-30ก พี่น้อง แต่บัดนี้ ความเที่ยงธรรมที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดพ้นตามที่หนังสือ ธรรมบัญญัติและประกาศกเป็นพยานถึงนั้น ปรากฏให้เห็นแล้วนอกเหนือธรรม บัญญัติ ความเที่ยงธรรมที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดพ้นซึ่งพระองค์ประทานให้ทุก คนทีม่ คี วามเชือ่ ในพระเยซูคริสตเจ้าไม่มคี วามแตกต่างใดๆ อีก ทุกคนทำ�บาปและ ขาดพระสิรริ งุ่ โรจน์ของพระเจ้า แล้วทุกคนก็ได้รบั ความชอบธรรมเป็นของประทาน น.เปาโล โดยทางพระหรรษทานอาศัยการไถ่กเู้ ราให้เป็นอิสระในพระคริสตเยซู พระเจ้าทรง แห่งไม้กางเขน สถาปนาพระเยซูเจ้าเป็นเครือ่ งบูชาชดเชยบาปโดยอาศัยความเชือ่ และโดยอาศัย พระสงฆ์ การหลั่งโลหิต เพื่อจะได้แสดงความเที่ยงธรรมของพระองค์ โดยทรงอดกลั้น ไม่ น.ยอห์น แห่งเบรเบิฟ ทรงลงโทษบาปในอดีต ในเวลาแห่งความพากเพียรของพระองค์ พระองค์ทรง น.อิสอัค โยเกอ แสดงความเที่ยงธรรมในปัจจุบัน เพื่อทรงเป็นผู้ที่เที่ยงธรรมและเพื่อทรงบันดาล พระสงฆ์ ให้ผู้มีความเชื่อในพระเยซูเจ้ากลับเป็นผู้ชอบธรรม และเพื่อนมรณสักขี ดังนั้น คำ�โอ้อวดของเราอยู่ที่ไหน ไม่มีที่สำ�หรับจะโอ้อวดอะไรอีกแล้ว ด้วย สดด 130:1-4,5-6 กฎเกณฑ์อะไรหรือ ด้วยกฎเกณฑ์ของการกระทำ�หรือ ไม่ใช่ แต่ดว้ ยกฎเกณฑ์ของ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 ความเชื่อ เนื่องจากเราถือว่ามนุษย์ได้รับความชอบธรรมโดยความเชื่อ ไม่ใช่โดย ปฏิบัติตามสิ่งที่ธรรมบัญญัติกำ�หนดไว้... พระวรสาร ลก 11:47-54 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “วิบัติจงเกิดแก่ท่านทั้งหลาย ท่านสร้างหลุมฝังศพของบรรดา ประกาศกที่บรรพบุรุษของท่านฆ่า จึงแสดงว่าท่านเห็นด้วยกับการกระทำ�ของบรรพบุรุษ บรรพบุรุษ ของท่านฆ่าบรรดาประกาศกและท่านก็สร้างหลุมฝังศพให้” “พระปรีชาญาณของพระเจ้าตรัสว่า ‘เราจะส่งประกาศกและทูตไปพบเขา เขาจะฆ่าประกาศก และทูตบางคนและเบียดเบียนบางคน คนรุ่นนี้ต้องรับผิดชอบต่อโลหิตของบรรดาประกาศกทุกคน โลหิตที่ได้หลั่งตั้งแต่สร้างโลกเป็นต้นมา นับตั้งแต่โลหิตของอาแบลจนถึงโลหิตของเศคาริยาห์ซึ่ง ถูกประหารชีวิตระหว่างแท่นบูชากับพระวิหาร’ ถูกแล้ว เรากล่าวแก่ท่านทั้งหลายว่าคนรุ่นนี้จะต้อง รับผิดชอบต่อการกระทำ�นี้ วิบัติจงเกิดแก่ท่าน บรรดานักกฎหมาย ท่านนำ�กุญแจไขความรู้ไป ท่านไม่เข้าไปแล้วยังขัดขวาง คนที่ต้องการจะเข้าไปด้วย” ขณะที่พระองค์กำ�ลังเสด็จออกจากที่นั่น บรรดาธรรมาจารย์และชาวฟาริสีเริ่มแสดงตนเป็นศัตรู ซักถามพระองค์ถึงเรื่องต่างๆ วางกับดักพระองค์เพื่อจับผิดพระวาจา พระเยซูเจ้าเชือ้ เชิญให้ชาวยิวพิจารณาถึงความเป็นจริงทีบ่ รรพบุรษุ ของพวกเขาได้กระทำ�ต่อ ผูแ้ ทนของพระเจ้า ความตายและการเบียดเบียนทีบ่ รรดาประกาศกได้รบั นัน้ คือผลจากความดือ้ รัน้ ของจิตใจ มนุษย์ พวกเขาไม่ตอ้ งการทีจ่ ะเปลีย่ นแปลงและกลับใจ พวกเขาเลือกในสิง่ ทีพ่ วกเขาพอใจมากกว่าการเตือน สอนของพระเจ้า คำ�กล่าวโทษที่พระเยซูเจ้าพูดถึงนี้เตือนเราให้พยายามเอาชนะความดื้อรั้นของตัวเองและ พร้อมที่จะกลับใจอยู่เสมอ


สัปดาห์ที่ 28 เทศกาลธรรมดา สดด 32:1-2,5,11

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4

บทอ่านที่ 1 รม 4:1-8 พี่น้อง มีสิ่งใดที่เราจะพูดได้เกี่ยวกับอับราฮัม บรรพบุรุษผู้ซึ่งเราสืบเชื้อสาย ตามธรรมชาติ ถ้าอับราฮัมเป็นผูช้ อบธรรมเพราะกิจการทีเ่ ขาทำ� เขาย่อมมีเหตุผล ที่จะภูมิใจได้ แต่ไม่ใช่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พระคัมภีร์ไม่ได้กล่าวไว้หรือว่า อับราฮัมมีความเชือ่ ในพระเจ้า และนีก่ น็ บั ได้วา่ เป็นความชอบธรรมสำ�หรับเขา เมือ่ คนหนึ่งทำ�งาน ค่าจ้างที่ได้รับจากงานนั้นก็ไม่นับเป็นบุญคุณ แต่เป็นสิทธิที่พึงได้ เมื่อไม่ได้มองที่ความประพฤติ คนที่มีความเชื่อในพระองค์ผู้ทรงบันดาลให้คนชั่ว กลับเป็นผู้ชอบธรรม ความเชื่อของเขานับว่าเป็นความชอบธรรม กษัตริย์ดาวิดก็ ตรัสไว้เช่นเดียวกันนี้ พระองค์ทรงเรียกบางคนว่าเป็นผู้มีความสุข ถ้าพระเจ้า ประทานความชอบธรรมให้ผนู้ นั้ โดยไม่ค�ำ นึงถึงสิง่ ทีเ่ ขาได้ท�ำ โดยตรัสว่า เป็นความ สุขของผู้ที่ได้รับการอภัยความผิด ผู้ซึ่งบาปของเขาถูกลบล้าง เป็นความสุขของผู้ ที่พระเจ้าไม่ทรงถือโทษ พระวรสาร ลก 12:1-7 เวลานั้น ขณะที่ประชาชนนับพันๆ คนพากันเบียดเสียดจนเกือบจะเหยียบ กัน พระเยซูเจ้าทรงเริ่มตรัสกับบรรดาศิษย์ก่อนว่า “จงระวังเชื้อแป้งของบรรดา ชาวฟาริสี คือความหน้าซือ่ ใจคดของเขา ไม่มสี งิ่ ใดทีป่ ดิ บังไว้จะไม่ถกู เปิดเผย ไม่มี สิ่งใดที่ซ่อนเร้นจะไม่มีใครรู้ เพราะฉะนั้น สิ่งที่ท่านกล่าวในที่มืดจะมีผู้ได้ยินในที่ แจ้ง สิ่งที่ท่านกระซิบที่หูภายในห้องจะถูกประกาศบนดาดฟ้าของบ้าน” “เรากล่าวแก่ทา่ นทีเ่ ป็นมิตรของเราว่า อย่าเกรงกลัวผูท้ ฆี่ า่ ได้แต่กายและหลัง จากนัน้ ก็ไม่อาจทำ�อะไรได้อกี เราจะชีใ้ ห้ทา่ นเห็นว่าท่านต้องเกรงกลัวผูใ้ ด จงเกรง กลัวผูท้ ฆี่ า่ แล้วยังมีอ�ำ นาจโยนท่านลงไปในนรกด้วย ใช่แล้ว เราบอกท่านทัง้ หลาย จงเกรงกลัวผู้นี้เถิด นกกระจอกห้าตัวราคาขายสองบาทมิใช่หรือ แม้กระนั้นไม่มี นกสักตัวเดียวที่พระเจ้าทรงลืม ผมทุกเส้นบนศีรษะของท่านถูกนับไว้หมดแล้ว อย่าเกรงกลัวเลย ท่านมีค่ามากกว่านกกระจอกจำ�นวนมาก” การเป็นคนที่ซื่อตรงและจริงใจนั้นสำ�คัญมาก สิ่งนี้เองที่พระเยซูเจ้า ท้าทายการใช้ชีวิตของบรรดาฟาริสีส่วนใหญ่ ภาพที่พวกเขาสร้างหรือแสดงออกใน สังคมมักจะขัดแย้งกับความเป็นจริงภายในของชีวติ ภายนอกทีด่ สู วยงาม อาจมาจาก ภายในที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์ก็เป็นได้ แม้คนอื่นไม่รู้ แต่พระเจ้ารับรู้ทุกอย่างของชีวิตเรา ดังนั้น การสำ�รวจจิตใจและชีวิตภายในเสมอๆ จะช่วยให้เรารู้จักตัวเองมากขึ้น และ การใช้ชีวิตอย่างตรงไปตรงมาจะนำ�เราไปสู่อิสรภาพของชีวิตที่แท้จริง


บทอ่านที่ 1 รม 4:13,16-18 พี่น้อง พระสัญญาที่ประทานให้อับราฮัมและลูกหลานที่ว่าเขาจะได้รับโลก เป็นมรดกนัน้ ไม่ได้เกิดขึน้ โดยธรรมบัญญัติ แต่เกิดขึน้ โดยความชอบธรรมอันเนือ่ ง มาจากความเชื่อ เพราะเหตุนี้ การรับมรดกโดยอาศัยพระสัญญาจึงมาจากความเชื่อ เพื่อให้ พระสัญญาเป็นของประทานที่ให้เปล่า และประทานให้เชื้อสายทั้งหมดของ อับราฮัม มิใช่เพียงให้ผู้ที่ปฏิบัติตามบทบัญญัติเท่านั้น แต่รวมถึงเชื้อสายทุกคนที่ มีความเชื่อเช่นเดียวกับอับราฮัมซึ่งเป็นบิดาของเราทุกคนด้วย ดังที่พระคัมภีร์ บันทึกไว้ว่า เราได้ตั้งเจ้าให้เป็นบิดาของประชาชาติจำ�นวนมาก อับราฮัมเป็นบิดา ของเราเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ผู้เป็นพระเจ้าที่อับราฮัมเชื่อ และทรงเป็นผู้นำ� คนตายให้คนื ชีพ และทรงทำ�ให้สงิ่ ทีย่ งั ไม่มภี าวะความเป็นอยูไ่ ด้มภี าวะความเป็น อยู่ แม้ดูเหมือนจะไม่มีความหวัง แต่อับราฮัมก็หวังและเชื่อว่า เขาจะเป็นบิดา ของประชาชาติจำ�นวนมากสมจริงตามพระสัญญาที่ว่า ลูกหลานของเจ้าจะมี จำ�นวนมากเช่นนั้น พระวรสาร ลก 12:8-12 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่าทุกคน ที่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ บุตรแห่งมนุษย์จะยอมรับผู้นั้นต่อหน้าทูตสวรรค์ของ พระเจ้า แต่ผู้ที่ปฏิเสธไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ จะถูกปฏิเสธไม่ยอมรับต่อหน้า ทูตสวรรค์ของพระเจ้าด้วยเช่นเดียวกัน” “ทุกคนที่กล่าวร้ายต่อบุตรแห่งมนุษย์จะได้รับการอภัย แต่ผู้ที่กล่าวร้ายต่อ พระจิตเจ้าจะไม่ได้รับการอภัยเลย” “เมือ่ เขาจะนำ�ท่านไปยังศาลาธรรมต่อหน้าผูป้ กครองและผูท้ รงอำ�นาจ ท่าน ทั้งหลายอย่าวิตกกังวลว่าจะหาเหตุผลป้องกันตัวอย่างไรหรือจะพูดอะไร เพราะ พระจิตเจ้าจะทรงสอนท่านในเวลานั้นว่าจะต้องพูดอะไร” หลังจากผ่านความตายบนไม้กางเขนแล้ว พระเยซูเจ้าได้แสดงให้เราเห็น ถึงความรอดอันยิ่งใหญ่ นั่นก็คือการกลับคืนชีพในวันสุดท้ายและอยู่ร่วมกับพระองค์ ในอาณาจักรสวรรค์ พระองค์ได้ให้พระจิตเจ้ากับพวกเราทุกคนที่เชื่อ เพื่อที่เราจะได้มี จิตของพระนำ�ทางชีวิตต่อไป พระจิตเจ้าจึงมีบทบาทอย่างมากในชีวิตคริสตชน เรา แต่ละคนจำ�เป็นต้องแยกแยะให้รอบคอบว่าในแต่ละก้าวของชีวิตนั้น เป็นจิตของพระ หรือจิตของความชั่วร้ายที่กำ�ลังทำ�งานอยู่ในตัวเรา

สัปดาห์ที่ 28 เทศกาลธรรมดา สดด 105:6-7,8-9, 42-43

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4


สัปดาห์ที่ 29 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ อสย 45:1-2,4-6 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับกษัตริย์ไซรัส ผู้รับเจิมของพระองค์ว่า “เราจับ มือขวาของท่านไว้ เพื่อปราบชนหลายชาติให้อยู่ใต้อำ�นาจ ปลดอาวุธจากบั้นเอว ของบรรดากษัตริย์ เปิดประตูที่อยู่ต่อหน้าท่าน ไม่มีประตูเมืองใดปิดอยู่ได้ เพราะเห็นแก่ยาโคบผู้รับใช้ของเรา เราออกชื่อของท่าน เรียกท่านมา เราให้ ตำ�แหน่งแก่ท่าน แม้ท่านไม่รู้จักเรา เราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีพระเจ้าอื่นใด อีก นอกจากเราไม่มีพระเจ้า แม้ท่านไม่รู้จักเรา เราก็จะคาดอาวุธให้ท่าน เพื่อคน ทั้งหลายจากทิศตะวันออก และจากทิศตะวันตก จะได้รู้ว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใด นอกจากเรา เราเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีพระเจ้าอื่นใดอีก” เพลงสดุดี สดด 96:1-3,4-6,7-9,10-11 ก) จงร้องเพลงบทใหม่ถวายองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด จงร้องเพลงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าจากทั่วแผ่นดิน จงร้องเพลงถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า จงถวายพระพรแด่พระนามของพระองค์เถิด จงประกาศทุกวันว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดพ้น จงเล่าถึงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระองค์แก่นานาชาติ จงประกาศกิจการน่าพิศวงของพระองค์แก่บรรดาประชาชาติ ข) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงยิ่งใหญ่ ทรงสมควรได้รับคำ�สรรเสริญอย่างยิ่ง ทรงน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าเทพเจ้าใดๆ เพราะเทพเจ้าทั้งปวงแห่งประชาชาติทั้งหลายล้วนเป็นความว่างเปล่า แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างท้องฟ้า ความสง่างามและความรุ่งเรืองอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ พระอานุภาพและความงดงามอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ค) ครอบครัวประชาชาติทั้งหลาย จงสรรเสริญองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด จงสรรเสริญพระสิริรุ่งโรจน์และพระอานุภาพของพระองค์ จงสรรเสริญพระสิริรุ่งโรจน์แห่งพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด จงนำ�ของถวายและจงเข้ามาในท้องพระโรงของพระองค์ จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อทรงสำ�แดงความศักดิ์สิทธิ์ มนุษย์ทั่วแผ่นดินจงตัวสั่นเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์เถิด ง) จงกล่าวแก่นานาชาติว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ปกครอง พระองค์ทรงตั้งโลกไว้อย่างมั่นคง จะคลอนแคลนมิได้ พระองค์จะทรงพิพากษาประชาชาติด้วยความยุติธรรม” สวรรค์จงยินดี แผ่นดินจงเปรมปรีดิ์ ทะเลและทุกสิ่งที่อยู่ในทะเลจงส่งเสียงครึกโครมดังฟ้าคะนองเถิด


บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวก ถึงชาวเธสะโลนิกา ฉบับที่หนึ่ง 1 ธส 1:1-5ข จากเปาโล สิลวานัสและทิโมธี ถึ ง พระศาสนจั ก รที่ เ มื อ งเธสะโลนิ ก า ซึ่ ง อยู่ ใ น พระเจ้าพระบิดา และในพระเยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ขอพระหรรษทานและสันติสถิตกับท่านทั้งหลาย เถิด เราขอบพระคุณพระเจ้าทุกเวลาเพื่อท่านทุกคน ระลึกถึงท่านในคำ�ภาวนา เราวอนขอเฉพาะพระพักตร์ พระเจ้าพระบิดา เฝ้าระลึกอยู่เสมอถึงกิจการซึ่งแสดง ความเชือ่ ของท่าน และระลึกถึงการงานทีแ่ สดงความรัก และความพากเพียรซึ่งเกิดจากความหวังในพระคริสต เยซูองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พีน่ อ้ งทัง้ หลายผูเ้ ป็นทีร่ กั ของพระเจ้า เรารูว้ า่ ท่านได้รบั เลือกสรร เพราะข่าวดีทเี่ ราประกาศมาถึง ท่าน มิใช่ด้วยคำ�พูดเท่านั้น แต่ด้วยพระอานุภาพเดชะพระจิตเจ้า และด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 22:15-21 ครั้งนั้น ชาวฟาริสีปรึกษากันเพื่อจับผิดพระวาจาของพระเยซูเจ้า จึงส่งศิษย์ของตนพร้อมกับคน ที่นิยมกษัตริย์เฮโรดมาทูลถามพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์ พวกเรารู้ว่าท่านเป็นคนเที่ยงตรง สั่งสอน วิถีทางของพระเจ้าตามความจริง โดยไม่ลำ�เอียง เพราะท่านไม่เห็นแก่หน้าใคร ดังนั้น โปรดบอกเรา เถิดว่า ท่านมีความเห็นว่าการเสียภาษีแก่พระจักรพรรดิซซี าร์เป็นการถูกต้องหรือไม่” พระเยซูเจ้าทรง หยั่งรู้เจตนาร้ายของเขา จึงตรัสว่า “พวกคนเจ้าเล่ห์ เจ้ามาทดลองเราทำ�ไม จงนำ�เงินที่ใช้เสียภาษีมา ให้ดูสักเหรียญหนึ่ง” เขาก็นำ�เงินเหรียญมาถวาย พระองค์จึงตรัสถามว่า “รูปและคำ�จารึกนี้เป็นของ ใคร” เขาตอบว่า “เป็นของพระจักรพรรดิซีซาร์” พระองค์จึงตรัสว่า “ของของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด” พระเยซูเจ้าได้ให้คำ�ตอบที่ชัดเจนจนไม่อาจจะแย้งได้ สิ่งที่เป็นของของโลกก็ควรให้มันเป็นไป ตามวิถีทางของโลก ส่วนอะไรที่เกี่ยวกับพระเจ้าก็ควรให้เป็นไปตามวิถีทางของพระเจ้า วิถีของโลกเป็นสิ่งที่ ไม่เที่ยงแท้ถาวร เป็นความสุขชั่วคราวและเปลี่ยนแปลงได้อยู่ตลอดเวลา ส่วนวิถีของพระเจ้านั้นช่วยให้เรา เข้าใจความเป็นจริงของชีวิตบนโลกนี้และมุ่งหน้าแสวงหาสิ่งที่เป็นนิรันดร์ สิ่งที่เป็นของของโลกนั้นจะไม่อยู่ กับเราไปตลอด มีแต่ชีวิตที่พระให้เรามาต่างหากที่จะคงอยู่เสมอไป


น.ยอห์น แห่งกาปิสตราโน พระสงฆ์ ลก 1:69-70,71-72, 73-75

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 วันปิยมหาราช

บทอ่านที่ 1 รม 4:20-25 พีน่ อ้ ง อับราฮัมไม่สงสัยเพราะความไม่เชือ่ ในพระสัญญาของพระเจ้า แต่กลับ ได้รับพละกำ�ลังจากความเชื่อ และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ โดยเชื่อมั่นอย่าง เต็มเปีย่ มว่า สิง่ ใดทีพ่ ระเจ้าทรงสัญญาไว้ พระองค์ยอ่ มมีพระอำ�นาจทีจ่ ะทำ�สิง่ นัน้ ให้เป็นจริงตามพระสัญญาได้ นีค่ อื ความเชือ่ ซึง่ นับได้วา่ เป็นความชอบธรรมสำ�หรับ เขา ประโยคนีม้ ไิ ด้เขียนขึน้ โดยหมายถึงอับราฮัมเท่านัน้ แต่หมายถึงเราทุกคนด้วย ความเชื่อจะนับได้ว่าเป็นความชอบธรรมสำ�หรับเราเช่นกัน เพราะเราเชื่อใน พระองค์ผทู้ รงบันดาลให้พระเยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของเรา ทรงกลับคืนพระ ชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย พระเยซูคริสตเจ้าทรงยอมสละพระชนมชีพเพราะบาป ของเรา และทรงกลับคืนพระชนมชีพเพื่อให้เราเป็นคนชอบธรรม พระวรสาร ลก 12:13-21 เวลานัน้ ประชาชนคนหนึง่ ทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระอาจารย์ โปรดบอกพีช่ าย ข้าพเจ้าให้แบ่งมรดกให้ข้าพเจ้าเถิด” พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “มนุษย์เอ๋ย ใคร ตัง้ เราเป็นผูพ้ พิ ากษาหรือเป็นผูแ้ บ่งมรดกของท่าน” แล้วพระองค์ตรัสกับคนเหล่า นัน้ ว่า “จงระวังและรักษาตัวไว้ให้พน้ จากความโลภทุกชนิด เพราะชีวติ ของคนเรา ไม่ขึ้นกับทรัพย์สมบัติของเขา แม้ว่าเขาจะมั่งมีมากเพียงใดก็ตาม” พระองค์ยงั ตรัสอุปมาเรือ่ งหนึง่ ให้เขาทัง้ หลายฟังอีกว่า “เศรษฐีคนหนึง่ มีทดี่ นิ ที่เกิดผลดีอย่างมาก เขาจึงคิดว่า ‘ฉันจะทำ�อย่างไรดี ฉันไม่มีที่พอจะเก็บพืชผล ของฉัน’ เขาคิดอีกว่า ‘ฉันจะทำ�อย่างนี้ จะรื้อยุ้งฉางเก่าแล้วสร้างใหม่ให้ใหญ่โต กว่าเดิม จะได้เก็บข้าวและสมบัติทั้งหมดไว้ แล้วฉันจะพูดกับตนเองว่า ดีแล้ว เจ้า มีทรัพย์สมบัติมากมายเก็บไว้ใช้ได้หลายปี จงพักผ่อน กินดื่มและสนุกสนานเถิด’ แต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า ‘คนโง่เอ๋ย คืนนี้ เขาจะเรียกเอาชีวิตเจ้าไป แล้วสิ่งที่เจ้า ได้เตรียมไว้จะเป็นของใครเล่า คนทีส่ ะสมทรัพย์สมบัตไิ ว้ส�ำ หรับตนเอง แต่ไม่เป็น คนมั่งมีสำ�หรับพระเจ้า ก็จะเป็นเช่นนี้’” บ่อยครัง้ ทีม่ นุษย์ใช้ชวี ติ ด้วยความละเลยโดยเชือ่ ว่าตัวเองยังมีเวลาอีก มาก เวลาคือสิง่ ทีเ่ รามีอย่างจำ�กัด แต่หลายคนก็ไม่เชือ่ เช่นนัน้ และใช้ชวี ติ อย่างประมาท ความโลภคือหลุมพรางที่ทำ�ให้เรายึดติดกับสิ่งที่ไม่แน่นอนบนโลกใบนี้ สิ่งที่เรามีในวัน นี้ พรุ่งนี้อาจไม่ใช่ของเราอีกต่อไปก็เป็นได้ ความตายเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ทุกเวลา กับทุก คนโดยไม่มีข้อยกเว้น การใช้ชีวิตอย่างมีสติในความรัก ความเข้าใจ และการแบ่งปัน คือหนทางที่จะช่วยให้เราปล่อยวางจากสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้ถาวรของชีวิต


บทอ่านที่ 1 รม 5:12,15ข,17-19,20ข-21 พี่น้อง บาปเข้ามาในโลกเพราะมนุษย์คนเดียว และความตายเข้ามาเพราะ บาปฉันใด ความตายก็แพร่กระจายไปถึงมนุษย์ทุกคนเพราะทุกคนทำ�บาปฉันนั้น ถ้ามวลมนุษย์ต้องตายเพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียว พระหรรษทานของพระเจ้าและของประทานโดยทางพระหรรษทานจากมนุษย์คนเดียว คือ พระเยซูคริสตเจ้า ก็ยงิ่ สมบูรณ์ขนึ้ สำ�หรับมวลมนุษย์ ถ้ามนุษย์คนเดียวล่วงละเมิด ทำ�ให้ความตายมีอ�ำ นาจปกครองเหนือมนุษยชาติเพราะการล่วงละเมิดของมนุษย์ คนเดียวนั้น เดชะพระเยซูคริสตเจ้าพระองค์เดียว ทุกคนที่ได้รับพระหรรษทาน อย่างสมบูรณ์และความชอบธรรมเป็นของประทาน ก็ยิ่งจะมีชีวิตและมีอำ�นาจ ปกครองมากขึ้น ด้วยเหตุนี้ การล่วงละเมิดของมนุษย์คนเดียวเป็นเหตุให้มนุษย์ ทุกคนถูกลงโทษฉันใด กิจการชอบธรรมของมนุษย์คนเดียวก็น�ำ ความชอบธรรมที่ บันดาลชีวติ มาให้มนุษย์ทกุ คนฉันนัน้ มวลมนุษย์กลายเป็นคนบาปเพราะความไม่ เชื่อฟังของมนุษย์คนเดียวฉันใด มวลมนุษย์ก็จะเป็นผู้ชอบธรรมเพราะความเชื่อ ฟังของมนุษย์คนเดียวฉันนั้น ที่ใดบาปทวีขึ้น ที่นั่นพระหรรษทานก็ยิ่งทวีขึ้นมากกว่า ดังนี้ บาปเข้ามามี อำ�นาจปกครองนำ�ความตายมาให้ฉนั ใด พระหรรษทานก็จะมีอ�ำ นาจปกครองโดย อาศัยความชอบธรรมนำ�ไปสู่ชีวิตนิรันดร เดชะพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า ของเราฉันนั้น พระวรสาร ลก 12:35-38 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “ท่านทั้งหลายจงคาดสะเอว และจุดตะเกียงเตรียมพร้อมไว้ จงเป็นเสมือน ผู้รับใช้ที่กำ�ลังคอยนายกลับจากงานมงคลสมรส เมื่อนายมาและเคาะประตูจะได้ เปิดรับ ผูร้ บั ใช้เหล่านัน้ เป็นสุข ถ้านายกลับมาพบเขากำ�ลังตืน่ เฝ้าอยู่ เราบอกความ จริงแก่ท่านทั้งหลายว่า นายจะคาดสะเอวพาผู้รับใช้เหล่านั้นไปนั่งโต๊ะและจะ รับใช้เขาด้วย ไม่วา่ นายจะมาเวลาสองยามหรือสามยาม ถ้าพบผูร้ บั ใช้ก�ำ ลังทำ�เช่น นี้ ผู้รับใช้เหล่านั้นก็เป็นสุข” คำ�ว่า “เดี๋ยว” ทำ�ให้ชีวิตมนุษย์พลาดสิ่งสำ�คัญๆ มานักต่อนัก การเชื่อ ว่ายังมีเวลาอีกมากในการทำ�สิ่งต่างๆ นั้นถือเป็นความประมาทอย่างยิ่ง ชีวิตจำ�เป็นที่ จะต้องเตรียมพร้อมอยูเ่ สมอ ศาสนาไม่ใช่หนทางสำ�หรับการใช้ชวี ติ ในบัน้ ปลายเท่านัน้ แต่มนั คือแนวทางทีช่ ว่ ยเราตลอดการเดินทางของชีวติ เพือ่ ค้นหาคุณค่าและความหมาย ของการมีชีวิตอยู่ เราต้องฝึกฝนตัวเองให้พร้อมอยู่เสมอ และเมื่อเวลาบนโลกนี้ของ เราหมดลง เราจะได้เดินทางต่อไปสู่อาณาจักรสวรรค์บ้านแท้นิรันดรด้วยความมั่นใจ

น.อันตน มารีย์ คลาเรต์ พระสังฆราช

สดด 40:6-7ก,7ข-8, 9,16

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1


สัปดาห์ที่ 29 เทศกาลธรรมดา สดด 124:1-3,4-6, 7-8

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1 รม 6:12-18 พี่น้อง อย่าให้บาปครอบงำ�ร่างกายที่ตายได้ของท่าน จนท่านต้องยอมตาม ราคตัณหาของร่างกาย อย่ามอบร่างกายส่วนหนึ่งส่วนใดให้แก่บาปเพื่อใช้เป็น เครื่องมือในการทำ�ความชั่ว แต่จงถวายตัวของท่านแด่พระเจ้าดุจดังคนที่กลับ คืนชีพจากความตายมามีชีวิตใหม่ จงถวายทุกส่วนของร่างกายแด่พระเจ้าเป็น เครือ่ งมือในการประกอบความชอบธรรม บาปจะไม่เป็นนายเหนือท่านอีก เพราะ ท่านไม่อยู่ใต้อำ�นาจธรรมบัญญัติอีกแล้ว แต่อยู่ใต้อำ�นาจพระหรรษทาน จะเป็นอย่างไรต่อไป เราจะทำ�บาปได้เพราะเราไม่อยูใ่ ต้อ�ำ นาจบทบัญญัติ แต่ อยูใ่ ต้อ�ำ นาจพระหรรษทานกระนัน้ หรือ หามิได้ ท่านทัง้ หลายไม่รหู้ รือว่า เมือ่ ท่าน มอบตัวเป็นทาสเชือ่ ฟังนายคนหนึง่ ท่านก็เป็นทาสของนายคนทีท่ า่ นเชือ่ ฟังนัน้ ไม่ ว่านายคนนั้นจะเป็นบาปซึ่งนำ�ไปสู่ความตาย หรือจะเป็นความเชื่อฟังซึ่งนำ�ไปสู่ ความชอบธรรมก็ตาม ขอบพระคุณพระเจ้าที่ท่านเคยเป็นทาสของบาป แต่ท่าน เต็มใจเชือ่ ฟังพระธรรมคำ�สอนทีท่ า่ นได้รบั มา และเมือ่ เป็นอิสระจากบาปแล้ว ท่าน ก็มาเป็นทาสรับใช้ความชอบธรรม พระวรสาร ลก 12:39-48 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “พึงรูไ้ ว้เถิด ถ้าเจ้าของบ้านรูว้ า่ ขโมยจะมาเวลาใด เขาคงไม่ปล่อยให้ขโมยงัด แงะบ้านของตน ท่านทัง้ หลายจงเตรียมพร้อมไว้ เพราะบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมา ในเวลาที่ท่านมิได้คาดหมาย” เปโตรทูลว่า “พระเจ้าข้า พระองค์ตรัสอุปมานีส้ �ำ หรับพวกเราหรือสำ�หรับทุก คน” องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสว่า “ใครเป็นผู้จัดการที่ซื่อสัตย์และรอบคอบซึ่งนาย จะแต่งตั้งให้ดูแลผู้รับใช้อื่นๆ เพื่อปันส่วนอาหารให้ตามเวลาที่กำ�หนด ผู้รับใช้คน นั้นเป็นสุข ถ้านายกลับมาพบเขากำ�ลังทำ�ดังนี้ เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลาย ว่า นายจะแต่งตั้งเขาให้ดูแลทรัพย์สินทั้งหมดของตน แต่ถ้าผู้รับใช้คนนั้นคิดว่า ‘นายจะมาช้า’ และเริ่มตบตีผู้รับใช้ทั้งชายและหญิง กินดื่มจนเมามาย นายของ ผู้รับใช้คนนั้นจะกลับมาในวันที่เขามิได้คาดหมาย ในเวลาที่เขาไม่รู้ นายจะแยก เขาออก ให้ไปอยู่กับพวกคนที่ไม่ซื่อสัตย์ ผู้รับใช้ที่รู้ใจนายของตน แต่ไม่เตรียมพร้อมและไม่ทำ�ตามใจนาย จะต้องถูก เฆี่ยนมาก แต่ผู้รับใช้ที่ไม่รู้ใจนาย แม้ทำ�สิ่งที่ควรจะถูกเฆี่ยน ก็จะถูกเฆี่ยนน้อย ผู้ ใดได้รับฝากไว้มาก ผู้นั้นก็จะถูกทวงกลับไปมากด้วย”

ความซื่อสัตย์และความรอบคอบคือคุณสมบัติของผู้รับใช้ที่ดีที่พระเยซูเจ้าสอนเราในพระ วรสารวันนี้ หากเราไม่ซื่อสัตย์และรอบคอบต่อชีวิตของเราแล้ว มันก็เหมือนกับการเปิดประตูชีวิตให้ปีศาจ เข้ามาทำ�งานในตัวเราได้ง่ายขึ้น ดังนั้นเราต้องฝึกปฏิบัติคุณสมบัติเหล่านี้อย่างดีในทุกๆ วัน เพราะการใช้ ชีวิตที่รอบคอบและสัตย์ซื่อคือเกราะป้องกันเราจากบาปและความตาย


บทอ่านที่ 1 รม 6:19-23 พี่น้อง ข้าพเจ้าขอพูดตามวิสัยมนุษย์เพราะท่านยังเป็นคนอ่อนแอ แต่เมื่อ ก่อนนี้ ท่านได้มอบร่างกายเป็นทาสของความโสมมและความอธรรมซาํ้ แล้วซาํ้ อีก ฉันใด บัดนี้ ท่านจงมอบร่างกายให้เป็นทาสของความชอบธรรม เพื่อจะได้เป็นผู้ ศักดิ์สิทธิ์ฉันนั้นเถิด เมื่อท่านยังเป็นทาสของบาปอยู่ ท่านมิได้อยู่ในอำ�นาจของความชอบธรรม เลย และเวลานั้น ท่านได้ประโยชน์อะไรบ้างจากการทำ�ความชั่วเช่นนั้น ซึ่งบัดนี้ ทำ�ให้ท่านต้องอับอาย จุดจบของกิจการเหล่านั้นคือความตาย แต่บัดนี้ท่านได้รับ อิสระจากบาปมาเป็นทาสรับใช้พระเจ้าแล้ว ท่านได้รับประโยชน์อันนำ�ไปสู่ความ ศักดิ์สิทธิ์ ผลสุดท้ายก็คือชีวิตนิรันดร เพราะค่าตอบแทนที่ได้จากบาปคือความ ตาย ส่วนของประทานทีพ่ ระเจ้าประทานให้เปล่า คือชีวติ นิรนั ดรในพระคริสตเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา พระวรสาร ลก 12:49-53 เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “เรามาเพื่อจุดไฟในโลก เราปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้โลกนี้ลุกเป็นไฟ เรามี การล้างทีจ่ ะต้องรับ และเราเป็นทุกข์กงั วลใจอย่างมากจนกว่าการล้างนีจ้ ะสำ�เร็จ” “ท่านคิดว่าเรามาเพื่อนำ�สันติภาพมาสู่โลกหรือ มิได้ เราบอกท่านทั้งหลาย ว่า เรานำ�ความแตกแยกมาต่างหาก ตั้งแต่นี้ไป คนห้าคนในบ้านหนึ่งจะแตกแยก กัน คนสามคนจะแตกแยกกับคนสองคน และคนสองคนจะแตกแยกกับคนสาม คน บิดาจะแตกแยกกับบุตรชาย และบุตรชายจะแตกแยกกับบิดา มารดาจะ แตกแยกกับบุตรหญิง และบุตรหญิงจะแตกแยกกับมารดา มารดาของสามีจะ แตกแยกกับบุตรสะใภ้ และบุตรสะใภ้จะแตกแยกกับมารดาของสามี” ไฟของการชำ�ระล้างและความแตกแยกที่พระเยซูเจ้าพูดถึงนี้ อาจเป็น สิ่งที่ไม่ค่อยน่าฟังนัก แต่มันคือความจริงที่มนุษย์ต้องเผชิญ เนื่องจากมนุษย์ทุกคนมี อิสรภาพทีจ่ ะเลือกวิถชี วี ติ ของตน การมาของพระเยซูเจ้านัน้ ก็มที งั้ คนทีเ่ ชือ่ และไม่เชือ่ คนทีพ่ ร้อมจะติดตามและต่อต้าน ความขัดแย้งจึงเกิดขึน้ ได้ แต่ความแตกแยกนีก้ ช็ ว่ ย ให้เราเห็นอย่างชัดเจนระหว่างความดีและความชั่ว ศัตรูของพระเยซูเจ้าไม่ใช่ความ แตกต่างของมนุษย์ แต่คือความบาปทั้งหลายที่ทำ�ลายสิ่งสร้างของพระเจ้า

สัปดาห์ที่ 29 เทศกาลธรรมดา สดด 1:1-6

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1


สัปดาห์ที่ 29 เทศกาลธรรมดา สดด 119:65-67,68-71, 76-77,93-94

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1

บทอ่านที่ 1 รม 7:18-25ข พีน่ อ้ ง เพราะข้าพเจ้ารูว้ า่ ในตัวข้าพเจ้านัน้ ธรรมชาติมนุษย์ไม่มคี วามดีอยูเ่ ลย เพราะความปรารถนานั้นมีอยู่แล้ว แต่ขาดพลังที่จะทำ� เพราะข้าพเจ้าไม่ทำ�ความ ดีทปี่ รารถนา กลับทำ�ความชัว่ ทีไ่ ม่ปรารถนาจะทำ� ถ้าข้าพเจ้าทำ�สิง่ ทีไ่ ม่ปรารถนา จะทำ� การกระทำ�นัน้ ก็มใิ ช่การกระทำ�ทีแ่ ท้จริงของข้าพเจ้า แต่เป็นการกระทำ�ของ บาปซึ่งแฝงอยู่ในตัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงพบกฎนีว้ า่ เมือ่ ใดทีอ่ ยากทำ�ดี เมือ่ นัน้ ความชัว่ ก็มาอยูใ่ กล้ขา้ พเจ้า เสมอ ในส่วนลึกของจิตใจ ข้าพเจ้านิยมชมชอบธรรมบัญญัติของพระเจ้า แต่ ข้าพเจ้าเห็นว่า มีกฎอีกข้อหนึ่งในร่างกายของข้าพเจ้า ซึ่งสู้รบกับกฎแห่งจิตใจ และล่ามข้าพเจ้าไว้กับกฎของบาปซึ่งอยู่ในร่างกายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าช่างเป็นคนน่าสมเพชจริงๆ ใครจะช่วยดึงข้าพเจ้าออกมาให้พ้นจาก ร่างกายที่จะต้องตายนี้ได้ ขอขอบพระคุณพระเจ้า เดชะพระเยซูคริสต์องค์พระผู้ เป็นเจ้าของเรา พระวรสาร ลก 12:54-59 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนว่า “เมือ่ ท่านเห็นเมฆก่อตัวขึน้ ทางทิศ ตะวันตก ท่านก็กล่าวได้ทันทีว่าฝนจะตก และก็เป็นเช่นนั้น เมื่อลมทิศใต้พัดมา ท่านก็กล่าวว่าอากาศจะร้อน และก็เป็นเช่นนั้น คนหน้าซื่อใจคดเอ๋ย ท่านรู้จัก วินิจฉัยลักษณะดินฟ้าอากาศ แล้วทำ�ไมจึงไม่วินิจฉัยเวลาปัจจุบันนี้เล่า” “ทำ�ไมท่านจึงไม่ตดั สินด้วยตนเองว่าสิง่ ใดถูกต้อง ขณะทีท่ า่ นกำ�ลังไปศาลกับ คู่ความของท่าน จงพยายามตกลงกันระหว่างทาง เพื่อมิให้คู่ความของท่านลาก ท่านไปต่อหน้าผู้พิพากษาและผู้พิพากษาจะมอบท่านให้แก่ผู้คุม และผู้คุมจะขัง ท่านไว้ในคุก เราบอกท่านว่า ท่านจะออกจากคุกไม่ได้จนกว่าท่านจะชำ�ระหนีจ้ นถึง เศษสตางค์สุดท้าย” พระเยซูเจ้าสอนเราให้รู้จักอ่านเครื่องหมายของกาลเวลา มีหลายต่อ หลายสิง่ ในชีวติ ทีเ่ ราไม่ตอ้ งใช้หลักการหรือความรูท้ างวิชาการอะไรมากนักในการลงมือ ปฏิบตั ิ โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในเรือ่ งของคุณธรรมพืน้ ฐานทีน่ �ำ ชีวติ ไปสูค่ วามดี ซึง่ แนวทาง แห่งความดีที่พระเยซูเจ้าสอนเรานั้นก็ไม่ได้ซับซ้อนเลย แต่ต้องอาศัยความเชื่อมั่น เด็ดเดี่ยวในการนำ�มาปฏิบัติในชีวิตจริง


บทอ่านที่ 1 อฟ 2:19-22 พีน่ อ้ ง ท่านจึงไม่เป็นคนต่างด้าวหรือผูม้ าขออาศัยอีกต่อไป แต่เป็นเพือ่ นร่วม ชาติกับบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ เป็นสมาชิกในครอบครัวของพระเจ้า ถูกสร้างขึ้นเป็น อาคารโดยมีบรรดาอัครสาวกและประกาศกเป็นรากฐาน มีพระคริสตเยซูทรงเป็น ศิลาหัวมุม พระคริสตเจ้าทรงทำ�ให้อาคารทุกส่วนต่อกันสนิทเจริญขึ้นเป็นพระ วิหารศักดิส์ ทิ ธิเ์ พือ่ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ในพระคริสตเจ้า ท่านทัง้ หลายก็เช่นเดียวกัน กำ�ลังถูกก่อสร้างร่วมกันขึ้นเป็นที่ประทับของพระเจ้าเดชะพระจิตเจ้า พระวรสาร ลก 6:12-19 ครั้งนั้น พระองค์เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนาและทรงอธิษฐาน ภาวนาต่อพระเจ้าตลอดทัง้ คืน ครัน้ รุง่ เช้า พระองค์ทรงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามาแล้ว ทรงคัดเลือกไว้สิบสองคน ประทานนามว่า “อัครสาวก” คือซีโมน ซึ่งเรียกว่า เปโตร อันดรูว์น้องชายของเขา ยากอบ ยอห์น ฟีลิป บาร์โธโลมิว มัทธิว โทมัส ยากอบบุตรอัลเฟอัส ซีโมนผู้มีสมญาว่า “ผู้รักชาติ” ยูดาสบุตรของยากอบ และ ยูดาสอิสคาริโอท ต่อมายูดาสผู้นี้จะเป็นผู้ทรยศ พระเยซูเจ้าเสด็จลงมาจากภูเขาพร้อมกับบรรดาศิษย์และทรงหยุดอยู่ ณ ทีร่ าบแห่งหนึง่ ทีน่ นั่ มีศษิ ย์กลุม่ ใหญ่และประชาชนจำ�นวนมากจากทัว่ แคว้นยูเดีย จากกรุงเยรูซาเล็ม จากเมืองไทระ และจากเมืองไซดอนซึ่งอยู่ริมทะเล มาฟัง พระองค์ และรับการรักษาให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บของตน บรรดาผู้ที่ถูกปีศาจ รบกวนได้รบั การรักษาด้วย ประชาชนทุกคนพยายามสัมผัสพระองค์ เพราะมีพระ อานุภาพออกจากพระองค์รักษาทุกคนให้หาย การภาวนาถือได้ว่าเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำ�คัญและโดดเด่นในชีวิตของพระ เยซูเจ้า พระองค์ใช้เวลาทั้งคืนในการภาวนาก่อนที่จะเลือกอัครสาวกให้มาทำ�งานร่วม กับพระองค์อย่างใกล้ชิด การภาวนาคือสิ่งที่เชื่อมเรากับพระ เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ เราได้ส่ือสารกับพระองค์ในทุกๆ เหตุการณ์ของชีวิต แบบอย่างการภาวนาของพระ เยซูเจ้าในพระวรสารวันนีเ้ ชือ้ เชิญเราให้เรียนรูท้ จี่ ะภาวนาอยูเ่ สมอ ชีวติ ความเชือ่ ทีข่ าด การภาวนานั้นเปรียบได้กับความสัมพันธ์ที่แห้งแล้ง และอาจจะสิ้นสุดลงได้ในสักวัน

ฉลอง น.ซีโมน และ น.ยูดาห์ อัครสาวก สดด 19:1-2,3-4


สัปดาห์ที่ 30 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านจากหนังสืออพยพ อพย 22:20-26 องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ท่านจะต้องไม่ข่มเหงหรือรังแกคนต่างชาติ เพราะท่านทั้งหลายก็เคยเป็นคนต่างชาติในแผ่นดินอียิปต์ ท่านจะต้องไม่ข่มเหง หญิงม่ายหรือลูกกำ�พร้า ถ้าท่านข่มเหงเขา เขาจะร้องขอความช่วยเหลือจากเรา เราจะฟังเสียงร้องขอของเขาอย่างแน่นอน เราจะโกรธมาก และจะฆ่าท่านใน สงคราม ภรรยาของท่านจะต้องเป็นม่าย และลูกของท่านจะเป็นกำ�พร้า ถ้าท่าน ให้ประชากรยากจนคนใดคนหนึง่ ของเราซึง่ อาศัยอยูก่ บั ท่านขอยืมเงิน ท่านจะต้อง ไม่ทำ�เหมือนคนออกเงินกู้ที่เรียกร้องให้เขาเสียดอกเบี้ย ถ้าท่านยึดเสื้อคลุมของเพื่อนไว้เป็นประกัน ท่านจะต้องคืนให้เขาก่อนตะวัน ตกดิน เพราะเสื้อคลุมเป็นผ้าห่มกายผืนเดียวที่เขามี เขาจะใช้สิ่งใดป้องกันความ หนาวเมื่อนอน ถ้าเขาร้องขอความช่วยเหลือจากเรา เราก็จะฟังคำ�ร้องขอของเขา เพราะเราเป็นผู้มีเมตตากรุณา เพลงสดุดี สดด 18:1-2ก,2ข-3,46,50 ก) ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้ารักพระองค์ผู้ทรงเป็นพลังของข้าพเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นหลักศิลาและป้อมปราการของข้าพเจ้า ทรงเป็นผู้ช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น ข) ข้าแต่พระเจ้า ข้าพเจ้าลี้ภัยมาพึ่งพระองค์ผู้ทรงเป็นหลักศิลาของข้าพเจ้า ทรงเป็นโล่กำ�บัง เป็นพลังแห่งความรอดพ้นของข้าพเจ้า ทรงเป็นที่มั่นของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเรียกหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ทรงคู่ควรแก่การยกย่องสรรเสริญ แล้วข้าพเจ้าก็จะรอดพ้นจากศัตรู ค) ขอองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ ถวายพระพรแด่องค์พระผู้ทรงเป็นหลักศิลาของข้าพเจ้า ขอพระเจ้าผู้ทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้นได้รับการเทิดทูนอย่างสูงส่ง พระองค์ประทานชัยชนะยิ่งใหญ่แก่กษัตริย์ของพระองค์ ทรงสำ�แดงความรักมั่นคงต่อผู้รับเจิมของพระองค์แก่ดาวิด และเชื้อสายของเขาตลอดไป บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเธสะโลนิกา ฉบับที่หนึ่ง 1 ธส 1:5ค-10 พี่น้อง ท่านทั้งหลายรู้ว่าเราปฏิบัติตนอย่างไรในหมู่ท่านเพื่อท่าน และท่าน ก็ได้ทำ�ตามอย่างเราและตามแบบฉบับขององค์พระผู้เป็นเจ้า โดยท่านได้รับพระ วาจาด้วยความทุกข์ยากหลายประการ แต่ทา่ นก็ยงั มีความปีตยิ นิ ดีของพระจิตเจ้า ด้วยเหตุนี้ ท่านจึงเป็นแบบอย่างให้กบั ผูม้ คี วามเชือ่ ทุกคนในแคว้นมาซิโดเนียและ


แคว้นอาคายา พระวาจาขององค์พระผู้เป็นเจ้าดังก้อง มาจากท่าน ไม่เพียงแต่ในแคว้นมาซิโดเนียและแคว้น อาคายาเท่านัน้ ความเชือ่ ของท่านในพระเจ้ายังเลือ่ งลือ ไปทั่วทุกหนทุกแห่ง จนเราไม่จำ�เป็นต้องพูดอะไรอีก เพราะคนเหล่านั้นพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับเราว่า เราได้ เริ่มงานในหมู่ท่านอย่างไร และท่านกลับใจละทิ้งรูป เคารพมาสู่พระเจ้าอย่างไร เพื่อรับใช้พระเจ้าแท้จริง ผู้ทรงชีวิต และรอคอยให้พระบุตรของพระองค์เสด็จมา จากสวรรค์ คื อ พระเยซู เจ้ า ผู้ ท รงช่ ว ยเราให้ พ้ น จาก พระพิโรธที่จะมาถึง พระเยซูเจ้านี้ พระเจ้าทรงบันดาล ให้กลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตาย บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 22:34-40 เมื่อชาวฟาริสีได้ยินว่าพระเยซูเจ้าทรงทำ�ให้ชาวสะดูสีนิ่งอึ้งไป จึงมาชุมนุมพร้อมกัน มีคนหนึ่ง เป็นบัณฑิตทางกฎหมายได้ทลู ถามเพือ่ จะจับผิดพระองค์วา่ “พระอาจารย์ บทบัญญัตขิ อ้ ใดเป็นเอกใน ธรรมบัญญัติ” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของท่านสุดจิตใจ สุดวิญญาณ สุดสติปัญญาของท่าน นี่คือบทบัญญัติเอกและเป็นบทบัญญัติแรก บทบัญญัติประการที่ สองก็เช่นเดียวกัน คือท่านต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง ธรรมบัญญัติและคำ�สอนของบรรดา ประกาศกก็ขึ้นอยู่กับบทบัญญัติสองประการนี้” จากกฎหลายร้อยข้อที่ชาวยิวยึดถือและปฏิบัติกันมา พระเยซูเจ้าทำ�ให้พวกเขาเห็นว่า “ความ รัก” คือแก่นแท้ของกฎทัง้ หลาย ความรักนัน้ ยิง่ ใหญ่และทำ�ให้ชวี ติ มีความหมาย บ่อยครัง้ ทีม่ นุษย์ใช้กฎต่างๆ โดยปราศจากความรัก ซึ่งทำ�ให้เกิดภาระและความลำ�บากมากมายต่อชีวิตของกันและกัน หากมนุษย์รู้จักที่ จะรักและรักให้เป็นแล้ว ชีวิตก็มีความหมายและการอยู่ร่วมกันก็จะเต็มไปด้วยความสุขและความดีงาม ขอ ให้เราทำ�ทุกอย่างด้วยความรัก เพราะความรักหล่อเลี้ยงชีวิตเราทุกคน


สัปดาห์ที่ 30 เทศกาลธรรมดา สดด 68:1 และ 3, 5-6,19-20

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2

บทอ่านที่ 1 รม 8:12-17 พีน่ อ้ งทัง้ หลาย เราไม่มภี ารกิจใดๆ ทีจ่ ะต้องดำ�เนินชีวติ ตามธรรมชาติฝา่ ยตํา่ ถ้าท่านดำ�เนินชีวติ ตามธรรมชาติฝา่ ยตาํ่ ท่านก็จะตาย แต่ถา้ ท่านกำ�จัดกิจการตาม ธรรมชาติฝ่ายตํ่า ด้วยเดชะพระจิตเจ้า ท่านก็จะมีชีวิต ทุกคนที่มีพระจิตของพระเจ้าเป็นผู้นำ� ย่อมเป็นบุตรของพระเจ้า ท่านทั้ง หลายไม่ได้รบั จิตการเป็นทาสซึง่ มีแต่ความหวาดกลัวอีก แต่ได้รบั จิตการเป็นบุตร บุญธรรม ซึ่งทำ�ให้เราร้องออกมาว่า “อับบา พระบิดาเจ้าข้า” พระจิตเจ้าทรงเป็น พยานยืนยันร่วมกับจิตของเราว่าเราเป็นบุตรของพระเจ้า เมื่อเราเป็นบุตร เราก็ เป็นทายาทด้วย เป็นทายาทของพระเจ้าและเป็นทายาทร่วมกับพระคริสตเจ้า ถ้า เรารับการทรมานร่วมกับพระองค์ เราก็จะรับพระสิริรุ่งโรจน์ร่วมกับพระองค์ด้วย พระวรสาร ลก 13:10-17 ขณะนัน้ พระเยซูเจ้าทรงสัง่ สอนอยูใ่ นศาลาธรรมแห่งหนึง่ ในวันสับบาโต สตรี คนหนึ่งถูกปีศาจสิง เจ็บป่วยมาสิบแปดปีแล้ว หลังค่อม ยืดตัวตรงไม่ได้เลย เมื่อ พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็น จึงทรงเรียกนางเข้ามาและตรัสว่า “นางเอ๋ย เธอ พ้นจากความพิการของเธอแล้ว” พระองค์ทรงปกพระหัตถ์เหนือนาง ทันใดนั้น นางก็ยืดตัวตรงและถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า แต่หัวหน้าศาลาธรรมรู้สึกขัดเคืองที่พระเยซูเจ้าทรงรักษาโรคในวันสับบาโต จึงกล่าวแก่ประชาชนว่า “วันที่ทำ�งานได้มีถึงหกวัน จงมารับการรักษาโรคในวัน เหล่านัน้ เถิด อย่ามาในวันสับบาโตเลย” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าจึงตรัสตอบว่า “เจ้าคน หน้าซือ่ ใจคด เจ้าแต่ละคนมิได้แก้โคหรือลาจากรางหญ้า พาไปกินนํา้ ในวันสับบาโต ดอกหรือ หญิงผู้นี้เป็นบุตรหญิงของอับราฮัม ซึ่งซาตานล่ามไว้เป็นเวลาสิบแปดปี แล้ว ไม่สมควรทีจ่ ะถูกแก้จากพันธนาการนีใ้ นวันสับบาโตด้วยหรือ” เมือ่ พระองค์ ตรัสดังนีแ้ ล้ว ผูต้ อ่ ต้านทุกคนของพระองค์รสู้ กึ อับอาย ขณะทีป่ ระชาชนต่างชืน่ ชม ยินดีเมื่อเห็นการอัศจรรย์ทั้งหลายที่ทรงกระทำ� พระเยซูเจ้าทรงก้าวผ่านกฎเกณฑ์ของมนุษย์เพื่อสอนเราให้เลือกความ ดีและความเมตตาก่อนสิ่งอื่นใด บ่อยครั้งที่อคติทำ�ให้มนุษย์ตัดสินกันและกันโดยไม่ คำ�นึงถึงความดี พระเยซูเจ้าเองซึ่งทำ�ความดีรักษาคนป่วยที่ทรมานมาอย่างยาวนาน ก็ถกู ตำ�หนิเพราะอคติของหัวหน้าศาลาธรรม แต่พระองค์กไ็ ม่กลัวทีจ่ ะยืนหยัดในความ ดีและความเมตตากรุณา ดังนั้น ขอให้เรากล้าหาญเหมือนกับพระเยซูในการทำ�สิ่งที่ดี งาม โดยเชื่อว่าความดีทำ�ได้ทุกที่ทุกวันทุกเวลา


บทอ่านที่ 1 รม 8:18-25 พีน่ อ้ ง ข้าพเจ้าคิดว่า ความทุกข์ทรมานในปัจจุบนั เปรียบไม่ได้เลยกับพระสิริ รุ่งโรจน์ที่จะทรงบันดาลให้ปรากฏแก่เรา เพราะสรรพสิ่งต่างกำ�ลังรอคอยอย่าง กระวนกระวาย เพื่อพระเจ้าจะได้ทรงบันดาลให้บรรดาบุตรของพระองค์ปรากฏ ในพระสิริรุ่งโรจน์ สรรพสิ่งต้องอยู่ใต้อำ�นาจของความไม่เที่ยงแท้มิใช่โดยสมัครใจ แต่ตามความประสงค์ของผูท้ บี่ งั คับให้สรรพสิง่ ต้องอยูใ่ นสภาพดังกล่าว ถึงกระนัน้ สรรพสิง่ ยังมีความหวังว่า จะได้รบั การปลดปล่อยจากการเป็นทาสของความเสือ่ ม สลายเพื่อไปรับอิสรภาพอันรุ่งเรืองของบรรดาบุตรของพระเจ้า เรารู้ดีว่า จนถึง เวลานี้ สรรพสิง่ กำ�ลังร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดราวกับสตรีคลอดบุตร มิใช่ เพียงแต่สรรพสิ่งเท่านั้น แม้แต่เราเองซึ่งได้รับผลิตผลครั้งแรกของพระจิตเจ้าแล้ว ก็ยังครํ่าครวญอยู่ภายใน ในเมื่อเรามีความกระตือรือร้นรอคอยให้พระเจ้าทรงรับ เราเป็นบุตรบุญธรรม ให้ร่างกายของเราได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระ เพราะเรา ได้รอดพ้นเพียงในความหวัง แต่ความหวังที่มองเห็นได้ก็ไม่ใช่ความหวัง เพราะสิ่ง ที่มองเห็นแล้ว เขาจะหวังอีกทำ�ไม แต่ถ้าเราหวังสิ่งที่เรามองไม่เห็น เราก็ย่อมมี ความมานะพากเพียรรอคอยสิ่งนั้น พระวรสาร ลก 13:18-21 เวลานัน้ พระเยซูเจ้าตรัสว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนกับสิง่ ใด เรา จะเปรียบพระอาณาจักรกับสิง่ ใด พระอาณาจักรก็เหมือนกับเมล็ดมัสตาร์ดซึง่ ชาย คนหนึ่งทิ้งไว้ในสวนของตน มันเติบโตขึ้นและกลายเป็นต้นไม้ จนกระทั่งบรรดา นกในอากาศมาทำ�รังอาศัยบนกิ่งได้” พระองค์ยงั ตรัสอีกว่า “เราจะเปรียบพระอาณาจักรของพระเจ้ากับสิง่ ใด พระ อาณาจักรก็เหมือนกับเชื้อแป้งที่หญิงคนหนึ่งนำ�มาเคล้าผสมกับแป้งสามถัง จน แป้งฟูขึ้นทั้งหมด” ภาพของอาณาจักรพระเจ้าที่พระเยซูเจ้าบอกเราผ่านทางพระวรสารนี้ คือภาพของการเติบโตและการมีคณ ุ ค่า อาณาจักรของพระเจ้านัน้ มีชวี ติ ไม่หยุดนิง่ อยู่ กับที่ ซึ่งเริ่มจากสิ่งเล็กๆ แต่ที่สุดได้ให้คุณประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ อาณาจักรพระเจ้าไม่ใช่ อาณาจักรที่มีอยู่เพื่อตัวเอง แต่มีอยู่เพื่อความดีของมนุษยชาติ เราทุกคนได้รับเชิญให้ เข้ามาในอาณาจักรนีเ้ พือ่ เรียนรูท้ จี่ ะเติบโตและนำ�ข่าวดีเรือ่ งอาณาจักรพระเจ้านีไ้ ปแบ่ง ปันให้กับคนอื่นๆ ในสังคมต่อไป

สัปดาห์ที่ 30 เทศกาลธรรมดา สดด 126:1-2, 3,4-5,6

ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.