บทอ่านที่ 1
ฟป 2:5-11
พี่น้อง จงมีความรู้สึกนึกคิดเช่นเดียวกับที่พระคริสตเยซูทรงมีเถิด แม้ว่าพระองค์ ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์ก็มิได้ทรงถือว่าศักดิ์ศรีเสมอพระเจ้านั้น เป็นสมบัติที่ จะต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิน้ ทรงรับสภาพดุจทาส เป็นมนุษย์ดจุ เรา ทรงแสดงพระองค์ในธรรมชาติมนุษย์ ทรงถ่อมพระองค์จนถึงกับทรงยอมรับแม้ความตาย เป็นความตายบนไม้กางเขน เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงเทิดทูนพระองค์ขึ้นสูงส่ง และ ประทานพระนามให้แก่พระองค์ พระนามนี้ประเสริฐกว่านามอื่นใดทั้งสิ้น เพื่อทุกคนใน สวรรค์และบนแผ่นดิน รวมทัง้ ใต้พนื้ พิภพ จะย่อเข่าลงนมัสการพระนาม “เยซู” นี้ และ เพื่อชนทุกภาษาจะได้ร้องประกาศว่า พระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อพระ สิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า พระบิดา
พระวรสาร
ลก 14:15-24
เวลานั้น ผู้ร่วมโต๊ะคนหนึ่งได้ยินเช่นนี้จึงทูลพระองค์ว่า “ผู้ที่กินอาหารในพระ อาณาจักรของพระเจ้าย่อมเป็นสุข” พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ชายผูห้ นึง่ จัดงานเลีย้ งใหญ่ และเชิญคนเป็นจ�านวนมาก เมื่อถึงเวลางาน เขาส่งผู้รับใช้ไปบอกผู้รับเชิญทั้งหลายว่า ‘เชิญมาเถิด ทุกอย่างพร้อมแล้ว’ แต่ทุกคนต่างขอตัว คนแรกพูดว่า ‘ข้าพเจ้าได้ซื้อที่นา ไว้แปลงหนึ่ง จ�าเป็นต้องไปดู จึงขออภัยที่มางานเลี้ยงไม่ได้’ อีกคนหนึ่งพูดว่า ‘ข้าพเจ้า ซื้อโคไว้ห้าคู่ ก�าลังจะไปทดลองใช้งาน จึงขออภัยที่มางานเลี้ยงไม่ได้’ อีกคนหนึ่งพูดว่า ‘ข้าพเจ้าเพิ่งแต่งงาน จึงมาไม่ได้’ ผู้รับใช้กลับมารายงานทุกอย่างแก่นายของตน นายโกรธมาก พูดกับผู้รับใช้ว่า ‘จง รีบออกไปตามลานสาธารณะและตามถนนในเมือง จงพาคนยากจน คนพิการ คนตาบอด และคนง่อยเข้ามาที่นี่เถิด’ ผู้รับใช้กลับมาบอกนายว่า ‘นายขอรับ ข้าพเจ้าท�าตามค�าสั่ง ของท่านแล้ว แต่ยงั มีทวี่ า่ งอีก’ นายจึงบอกผูร้ บั ใช้วา่ ‘จงออกไปตามทางเดินและตามรัว้ ต้นไม้ เร่งเร้าผู้คนให้เข้ามาเพื่อท�าให้คนเต็มบ้านของเรา เราบอกท่านทั้งหลายว่า ไม่มีผู้ ที่ได้รับเชิญคนใดจะได้ลิ้มรสอาหารของเรา’” อุปมานีท้ า� ให้เห็นอย่างชัดเจน พระเจ้าเชิญชวนให้เราทุกคนเข้าสูพ่ ระอาณาจักร ของพระองค์ แต่ชาวฟาริสีกลับคอยวิพากษ์วิจารณ์ต่อการกระท�าของพระองค์ ในการตอนรับ คนบาปทั้งหลายด้วยความยินดี คนส่วนใหญ่รู้ว่าตนเองเป็นคนบาป ต้องการกลับใจมาเป็นลูก ของพระองค์ โดยการตอบรับค�าเชิญของพระองค์ โดยส�านึกถึงพระเมตตาของพระเจ้าต่อมนุษย์ ทุกคนเสมอ
สัปดาห์ที่ 31 เทศกาลธรรมดา สดด 22:25ข-26,27-31 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 3
บทอ่านที่ 1
วันภาวนาอุทิศ แด่ผู้ล่วงลับ สดด 27:1-14
รม 5:5-11
พี่น้อง ความหวังนี้ไม่ท�าให้เราผิดหวัง เพราะพระจิตเจ้าซึ่งพระเจ้าประทานให้ เรา ทรงหลั่งความรักของพระเจ้าลงในดวงใจของเรา ขณะที่เรายังอ่อนแอ พระคริสต เจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อคนบาปตามเวลาที่ก�าหนด ยากที่จะหาคนที่ยอมตายเพื่อคนชอบ ธรรม บางครัง้ อาจจะมีคนยอมตายแทนคนดีจริงๆ ได้ แต่พระเจ้าทรงพิสจู น์วา่ ทรงรักเรา เพราะพระคริสตเจ้าสิน้ พระชนม์เพือ่ เราขณะทีเ่ รายังเป็นคนบาป บัดนี้ เมือ่ เราได้รบั ความ ชอบธรรมโดยอาศัยพระโลหิตของพระองค์แล้ว เดชะพระองค์ เราก็ยิ่งจะได้รับความ รอดพ้นจากการถูกพระเจ้าลงโทษ ถ้าเรากลับคืนดีกับพระเจ้าเดชะการสิ้นพระชนม์ของ พระบุตรขณะทีเ่ รายังเป็นศัตรูอยู่ ยิง่ กว่านัน้ เมือ่ กลับคืนดีแล้ว เราก็จะรอดพ้นเดชะพระ ชนมชีพของพระองค์ด้วย มิใช่เพียงเท่านั้น เรายังภูมิใจในพระเจ้า เดชะพระเยซูคริสต์ องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าของเรา เดชะพระองค์ บัดนีพ้ ระองค์ทรงท�าให้เราคืนดีกบั พระเจ้าแล้ว
พระวรสาร
ยน 6:37-40
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับประชาชนที่ติดตามพระองค์ว่า “ทุกคนทีพ่ ระบิดาทรงมอบให้เรา จะมาหาเรา และผูท้ มี่ าหาเรา เราจะไม่ผลักไสไป เลย เพราะเราลงมาจากสวรรค์ มิใช่เพื่อท�าตามใจของเรา แต่เพื่อท�าตามพระประสงค์ ของผูท้ รงส่งเรามา พระประสงค์ของผูท้ รงส่งเรามาก็คอื เราจะไม่สญ ู เสียผูใ้ ด ทีพ่ ระองค์ ทรงมอบให้แก่เรา แต่จะให้ผนู้ นั้ กลับคืนชีพในวันสุดท้าย พระประสงค์ของพระบิดาของ เราก็คือ ทุกคนที่เห็นพระบุตร แล้วเชื่อในพระบุตร จะมีชีวิตนิรันดร และเราจะให้เขา กลับคืนชีพในวันสุดท้าย” การภาวนาอุทิศแด่ผู้ล่วงลับในวันนี้ ได้ให้บทเรียนส�าคัญเราแก่คริสตชนหลาย ประการ เช่น เราต้องตระหนักในความรักของพระเจ้า ไม่มใี ครทีม่ ชี วี ติ ทีส่ มบูรณ์พร้อม แต่ความ รักของพระเจ้ายิง่ ใหญ่ พระเจ้าไม่ทรงทอดทิง้ วิญญาณของพีน่ อ้ งชายหญิงของเราทีล่ ว่ งหน้าเรา ไปก่อน เราต้องระลึกถึงญาติพี่น้องผู้ล่วงลับอยู่เสมอ ความตายมิใช่จุดจบ แต่เรายังเป็นหนึ่ง เดียวกับญาติผู้ล่วงลับ ในสายสัมพันธ์แห่งความเชื่อและความรัก และสุดท้ายเราต้องตระหนัก ในชีวิตของเราที่ก�าลังเดินทางกลับไปหาพระบิดาเจ้าของเราเช่นกัน แต่ก่อนที่เราจะไปนั้น เรา จะท�าอะไรเพื่อเป็นการถวายเกียรติแด่พระองค์บ้างในชีวิตเรา
บทอ่านที่ 1
ฟป 3:3-8ก
พวกเราเท่านั้นเป็นผู้ที่เข้าสุหนัตโดยแท้จริง เป็นผู้ประกอบศาสนพิธีด้วยพระจิต ของพระเจ้า และภูมิใจในพระคริสตเยซู ไม่วางใจในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทางกาย แม้ว่าข้าพเจ้ามีเหตุผลที่จะวางใจในการปฏิบัติเช่นนี้ได้ก็ตาม ถ้าผู้ใดคิดว่าตนมีเหตุผล ที่จะวางใจในการปฏิบัติเช่นนี้ ข้าพเจ้าก็ยังมีเหตุผลมากกว่า ข้าพเจ้าได้รับพิธีสุหนัต เมื่อเกิดมาได้แปดวัน เป็นเชื้อสายชนชาติอิสราเอลจากตระกูลเบนยามิน เป็นชาวฮีบรู เกิดจากชาวฮีบรู ในด้านธรรมบัญญัตเิ ป็นชาวฟาริสี มีความกระตือรือร้นทีจ่ ะเบียดเบียน พระศาสนจักร ไม่มีข้อต�าหนิใดได้ในด้านความชอบธรรมตามธรรมบัญญัติ แต่สิ่งที่เคย เป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าละทิ้งเพราะพระคริสตเจ้า นับแต่บัดนี้ข้าพเจ้าเห็น ว่าทุกสิ่งไม่มีประโยชน์อีกเมื่อเปรียบกับประโยชน์ล�้าค่าคือการรู้จักพระคริสตเยซู องค์ พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า
พระวรสาร
ลก 15:1-10
เวลานั้น บรรดาคนเก็บภาษีและคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อฟังพระเยซูเจ้า ชาวฟาริสี และธรรมาจารย์ต่างบ่นว่า “คนนี้ต้อนรับคนบาปและกินอาหารร่วมกับเขา” พระองค์ จึงตรัสอุปมาเรื่องนี้ให้เขาฟัง “ท่านใดที่มีแกะหนึ่งร้อยตัว ตัวหนึ่งหายไป จะไม่ละแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้ในถิ่น ทุรกันดาร ออกไปตามหาแกะที่หายไปจนพบหรือ เมื่อพบแล้ว เขาจะยกมันใส่บ่าด้วย ความยินดี กลับบ้าน เรียกมิตรสหายและเพื่อนบ้านมา พูดว่า ‘จงร่วมยินดีกับฉันเถิด ฉันพบแกะตัวที่หายไปนั้นแล้ว’ เราบอกท่านทั้งหลายว่าในสวรรค์จะมีความยินดีเช่นนี้ เพราะคนบาปคนหนึ่งกลับใจมากกว่าความยินดีเพราะคนชอบธรรมเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ ต้องการกลับใจ” หญิงคนใดที่มีเงินสิบเหรียญแล้วท�าหายไปหนึ่งเหรียญ จะไม่จุดตะเกียง กวาด บ้าน ค้นหาอย่างถี่ถ้วนจนกว่าจะพบหรือ เมื่อพบแล้ว นางจะเรียกมิตรสหายและเพื่อน บ้านมาพูดว่า ‘จงร่วมยินดีกับฉันเถิด ฉันพบเงินเหรียญที่หายไปแล้ว’ เราบอกท่านทั้ง หลายว่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะมีความยินดีเช่นเดียวกัน เมื่อคนบาปคนหนึ่งกลับใจ”
ค�าอุปมาเหล่านี้ได้แสดงให้เห็นถึงท่าทีของพระเจ้าต่อคนบาป พระเจ้าทรง ต้องการคนบาป แม้มนุษย์จะกระท�าชั่วแต่เขาก็ยังมีคุณค่าส�าหรับพระเจ้าและพระองค์ยัง ต้องการเขาอยู ่ ดังนัน้ พระเจ้าจึงทรงส่งพระบุตรของพระองค์มาในโลกเพือ่ ช่วยพวกเขาให้เดินใน หนทางแห่งความรอดพ้น และพระเจ้าทรงเสาะหาคนบาป แสดงถึงความรักยิง่ ใหญ่และการให้ อภัยไม่สนิ้ สุดของพระเจ้าทีไ่ ม่จดจ�าความผิด แต่เพียรทนแสวงหาและรอคอยวันทีเ่ รากลับใจมา หาพระองค์ สิ่งที่เราแต่ละคนควรกระท�าก็คือ การส�านึกผิดและกลับใจ เปลี่ยนแปลงชีวิตของ ตนจากบาปมาสู่หนทางที่ถูกต้อง
น.มาร์ติน เดอ ปอเรส นักบวช สดด 105:2-3,4-5,6-8 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 3
ระลึกถึง น.ชาร์ลส์ โบโรเมโอ พระสังฆราช สดด 122:1-2,3-5 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 3 วันศุกร์ตนเดือน
บทอ่านที่ 1
ฟป 3:17-4:1
พระวรสาร
ลก 16:1-8
พี่น้องทั้งหลาย จงพร้อมใจกันประพฤติตามอย่างข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายเห็นว่า เรา เป็นแบบฉบับอย่างไร ก็จงด�าเนินตามอย่างนั้นเถิด ข้าพเจ้าเคยบอกให้ท่านรู้หลายครั้ง แล้ว บัดนี้ก็ขอบอกซ�้าด้วยน�้าตาอีกว่า หลายคนประพฤติตนเป็นศัตรูกับไม้กางเขนของ พระคริสตเจ้า ปลายทางของพวกเขาเหล่านี้คือความพินาศ พระเจ้าของเขาทั้งหลายคือ ท้อง เขาอ้างความน่าละอายมาโอ้อวด เขาสนใจสิ่งของของโลก แต่บ้านเมืองของเรา นั้นอยู่ในสวรรค์ เราเฝ้าคอยพระผู้ไถ่จากแดนนี้ คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงเปลีย่ นรูปร่างต�า่ ต้อยของเราให้เหมือนพระกายรุง่ โรจน์ของพระองค์ ด้วย พระฤทธานุภาพทีท่ า� ให้พระองค์ทรงบังคับจักรวาลทัง้ หมดให้อยูใ่ ต้อา� นาจของพระองค์ได้ พี่น้องที่รัก ผู้เป็นความปรารถนา เป็นความยินดีและเป็นประดุจมงกุฎของข้าพเจ้า จงยึดมั่นในองค์พระผู้เป็นเจ้าเถิด ท่านที่รักทั้งหลาย เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์อีกว่า “เศรษฐีผู้หนึ่งมีผู้จัดการดูแลผล ประโยชน์คนหนึ่ง มีผู้มาฟ้องว่าผู้จัดการคนนี้ผลาญทรัพย์สินของนาย เศรษฐีจึงเรียกผู้ จัดการมาถามว่า ‘เรื่องที่เราได้ยินเกี่ยวกับเจ้าเป็นอย่างไร จงท�าบัญชีรายงานการจัดการ ของเจ้า เพราะเจ้าจะไม่ได้เป็นผู้จัดการอีกต่อไป’ ผู้จัดการจึงคิดว่า ‘ฉันจะท�าอย่างไร นายจะไล่ฉันออกจากหน้าที่ผู้จัดการแล้ว จะไปขุดดินก็ท�าไม่ไหว จะไปขอทานก็อาย เขา ฉันรู้แล้วว่าจะท�าอย่างไรเพื่อว่าเมื่อฉันถูกไล่ออกจากหน้าที่ผู้จัดการแล้ว จะมีคน รับฉันไว้ในบ้านของเขา’ เขาจึงเรียกลูกหนี้ของนายเข้ามาทีละคน ถามคนแรกว่า ‘ท่านเป็นหนี้นายข้าพเจ้า เท่าไร’ ลูกหนี้ตอบว่า ‘เป็นหนี้น�้ามันมะกอกเทศหนึ่งร้อยถัง’ ผู้จัดการจึงบอกว่า ‘น�าใบ สัญญาของท่านมา นั่งลงเร็วๆ เขียนแก้เป็นห้าสิบถัง’ แล้วเขาถามลูกหนี้อีกคนหนึ่งว่า ‘แล้วท่านล่ะ เป็นหนี้อยู่เท่าไร’ เขาตอบว่า ‘เป็นหนี้ข้าวสาลีหนึ่งร้อยกระสอบ’ ผู้จัดการ จึงบอกว่า ‘เอาใบสัญญาของท่านมาแล้วเขียนแก้เป็นแปดสิบกระสอบ’ นายนึกชมผู้จัดการทุจริตคนนั้นว่าเขาท�าอย่างเฉลียวฉลาด ทั้งนี้ก็เพราะบุตรของ โลกนี้มีความเฉลียวฉลาดในการติดต่อกับคนประเภทเดียวกันมากกว่าบุตรของความ สว่าง” มนุษย์เราต่างก็ได้รบั พระพรในการด�าเนินชีวติ ดัง่ ในพระวรสารวันนี ้ พระองค์ ไม่ได้เห็นด้วยกับการกระท�าที่ไม่ดีของผู้จัดการ แต่พระองค์ทรงชื่นชมในการที่เขาใช้ความ สามารถที่มีอย่างเต็มที่เพื่อให้ตัวเองนั้นอยู่รอด จนประสบความส�าเร็จก็ว่าได้ เช่นกันเราควรใช้ พระพรและความสามารถทีพ่ ระองค์มอบให้อย่างเต็มทีเ่ พือ่ ให้ได้ชวี ติ นิรนั ดร นีค่ อื สิง่ ทีพ่ ระองค์ ปรารถนาจากเราผู้เป็นลูกของพระองค์
บทอ่านที่ 1
ฟป 4:10-19
พระวรสาร
ลก 16:9-15
พี่น้อง ข้าพเจ้าชื่นชมในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างยิ่ง ที่ในที่สุดท่านทั้งหลายแสดง ความห่วงใยต่อข้าพเจ้าอีกครั้งหนึ่ง ท่านมีความห่วงใยข้าพเจ้าอยู่แล้ว แต่ไม่มีโอกาส แสดงออก ข้าพเจ้ามิได้พดู เช่นนีเ้ พราะต้องการสิง่ ใด ข้าพเจ้าได้เรียนรูท้ จี่ ะพอใจในสภาพ ของตน รูจ้ กั มีชวี ติ อยูอ่ ย่างอดออม และรูจ้ กั มีชวี ติ อยูอ่ ย่างอุดมสมบูรณ์ ข้าพเจ้าได้เรียน รู้ที่จะเผชิญกับทุกสิ่งทุกกรณี เผชิญกับความอิ่มท้องและความหิวโหย เผชิญกับความ สัปดาห์ที่ 31 มั่งคั่งและความขัดสน ข้าพเจ้าท�ำทุกสิ่งได้ในพระองค์ผู้ประทานพละก�ำลังแก่ข้าพเจ้า เทศกาลธรรมดา แต่ท่านท�ำดีแล้วที่มาร่วมทุกข์กับข้าพเจ้า พี่น้องชาวฟีลิปปี ท่านทั้งหลายรู้ดีอยู่แล้วว่า เมื่อข้าพเจ้าออกจากแคว้นมาซิโดเนียแล้วเริ่มประกาศข่าวดีนั้น ไม่มีพระศาสนจักรใดมี สดด 112:1-3,5-6,8-9 ส่วนร่วมกับข้าพเจ้าด้านรายรับรายจ่าย มีเพียงท่านทั้งหลายเท่านั้น เมื่อข้าพเจ้าพ�ำนัก ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 3 อยู่ที่เมืองเธสะโลนิกา ท่านส่งปัจจัยที่จ�ำเป็นไปให้ถึงสองครั้ง มิใช่ว่าข้าพเจ้าต้องการ จะได้รับของก�ำนัล แต่ข้าพเจ้าต้องการให้เกิดผลเพิ่มพูนยิ่งขึ้นแก่ท่าน ขณะนี้ข้าพเจ้ามี ทุกสิง่ ทีต่ อ้ งการและมีเหลือใช้ เพราะได้รบั สิง่ ของมากมายทีท่ า่ นทัง้ หลายฝากเอปาโฟรดิทสั ไปให้ เป็นประดุจ เครือ่ งหอม เป็นเครือ่ งสักการบูชาทีพ่ ระเจ้าทรงยินดีรบั และพอพระทัย พระเจ้าของข้าพเจ้าจะทรงตอบแทนโดย ประทานทุกสิ่งที่ท่านต้องการอย่างสมศักดิ์ศรีกับความมั่งคั่งของพระองค์ในพระคริสตเยซู เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์อีกว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงใช้เงินทองของโลกอธรรมนี้ เพื่อสร้างมิตรให้ตนเอง เพื่อว่าเมื่อเงินทองนั้น หมดสิ้นแล้ว ท่านจะได้รับการต้อนรับสู่ที่พ�ำนักนิรันดร ผู้ที่ซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย ก็จะซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ ด้วย ผู้ที่ไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย ก็จะไม่ซื่อสัตย์ในเรื่องใหญ่ด้วย เพราะฉะนั้น ถ้าท่านไม่ซื่อสัตย์ในเรื่อง เงินทองของโลกอธรรมแล้ว ผูใ้ ดจะวางใจมอบสมบัตแิ ท้จริงให้ทา่ นดูแลเล่า ถ้าท่านไม่ซอื่ สัตย์ในการดูแลทรัพย์ สมบัติของผู้อื่น ผู้ใดจะให้ทรัพย์สมบัติของท่านแก่ท่าน ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เขาจะเกลียดชังนายคนหนึ่งและจะรักนายอีกคนหนึ่ง เขาจะ จงรักภักดีต่อนายคนหนึ่งและจะดูหมิ่นนายอีกคนหนึ่ง ท่านทั้งหลายจะปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าและเงินทอง พร้อมกันไม่ได้” ชาวฟาริสีที่รักเงินทอง ได้ยินถ้อยค�ำทั้งหมดนี้ จึงหัวเราะเยาะพระองค์ พระองค์ตรัสกับเขาว่า “ท่านทั้ง หลายคิดว่าท่านเป็นผู้ชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์ แต่พระเจ้าทรงล่วงรู้ใจของท่าน สิ่งที่มนุษย์ยกย่องเป็นสิ่งน่า รังเกียจเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า” พระเยซูเจ้าทรงสอนเราให้รจู้ กั และเรียนรูก้ ารใช้ทรัพย์สนิ เงินทอง ให้รจู้ กั แยกแยะคุณค่าของมัน คุณค่า ของเงินทองนั้นอยู่ในสายตามนุษย์ ในสายพระเนตรพระเจ้า ทรัพย์สินเงินทองไม่มีคุณค่า มนุษย์พยายามยกย่องเงิน ทอง มนุษย์ยอมรับว่าเงินทองมีคณ ุ ค่าสูงส่ง มนุษย์ยอมเป็นทาสของเงินทอง มนุษย์หลงลืมพระเจ้า มนุษย์เรียนรูก้ นั ว่า เงินทองยิง่ ใหญ่ มีคา่ สูง และจับต้องได้ จนบางครัง้ เรานับถือเงินทองเป็นพระเจ้า ส่วนพระเยซูเจ้าทรงสอนว่า พระเจ้า ทรงสร้างมนุษย์ มนุษย์คิดประดิษฐ์เงินทอง เพราะฉะนั้นมนุษย์ต้องเป็นเจ้านาย และรู้จักใช้เงินทอง เพื่อช่วยให้เรามุ่ง ไปสู่พระเจ้าผู้ทรงสร้างเรามา
บทอ่านจากหนังสือวิวรณ์
สมโภช นักบุญทั้งหลาย
วว 7:2-4,9-14
ข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อกี องค์หนึง่ ปรากฏขึน้ ทางทิศตะวันออก ถือตราของพระเจ้า ผูท้ รงชีวติ ทูตสวรรค์องค์นนั้ ร้องเสียงดังบอกทูตสวรรค์ทงั้ สีอ่ งค์ ซึง่ ได้รบั มอบหมายให้ ท�าลายแผ่นดินและทะเลว่า “อย่าท�าลายแผ่นดินหรือทะเลหรือต้นไม้ จนกว่าเราจะได้ ประทับตราไว้ที่หน้าผากของบรรดาผู้รับใช้พระเจ้าของเรา” และข้าพเจ้าได้ยินว่าผู้ที่ได้ รับการประทับตรามีจ�านวนหนึ่งแสนสี่หมื่นสี่พันคน ผู้รับการประทับตราเหล่านี้มาจาก ทุกเผ่าของชาวอิสราเอล หลังจากนั้น ข้าพเจ้าเห็นนิมิต ประชาชนมากมายเหลือคณานับจากทุกชาติ ทุก เผ่า ทุกประเทศและทุกภาษา ก�าลังยืนอยู่เฉพาะพระบัลลังก์และเฉพาะพระพักตร์ลูก แกะ ทุกคนสวมเสื้อขาว ถือใบปาล์ม ร้องสรรเสริญเสียงดังว่า “ความรอดพ้นเป็นของ พระเจ้าของเรา ผู้ประทับอยู่บนพระบัลลังก์ และเป็นของลูกแกะ” ทูตสวรรค์ทั้งหลาย ที่ยืนอยู่รอบพระบัลลังก์ รอบผู้อาวุโส และรอบผู้มีชีวิตทั้งสี่ตน ต่างกราบลงหน้าพระ บัลลังก์ ศีรษะจรดพื้น นมัสการพระเจ้าว่า อาเมน ค�าถวายพระพร พระสิริรุ่งโรจน์ พระปรีชาญาณ ค�าขอบพระคุณ พระเกียรติยศ พระอานุภาพและพระพลานุภาพ เป็นของพระเจ้าของเราตลอดนิรันดร อาเมน ผูอ้ าวุโสคนหนึง่ ถามข้าพเจ้าว่า “คนทีส่ วมเสือ้ ขาวเหล่านีเ้ ป็นใคร และมาจากไหน” ข้าพเจ้าตอบว่า “นายขอรับ ท่านก็รอู้ ยูแ่ ล้ว” เขาจึงบอกข้าพเจ้าว่า “คนเหล่านีค้ อื ผูท้ มี่ า จากการเบียดเบียนครั้งใหญ่ เขาซักเสื้อของเขาจนขาวในพระโลหิตของลูกแกะ”
เพลงสดุดี
สดด 24:1-2,3-4,5-6
ก) แผ่นดินและสรรพสิ่งบนแผ่นดินเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า โลกและผู้อาศัยอยู่ในโลกก็เช่นเดียวกัน พระองค์ทรงวางฐานของโลกไว้เหนือทะเล ทรงตรึงยึดไว้มั่นคงบนกระแสน�้าไหล ข) ใครจะขึ้นไปยังภูเขาขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ ใครจะยืนอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ผู้มีมือสะอาดและใจบริสุทธิ์ ผู้ไม่ใฝ่หารูปเคารพ ผู้ไม่สาบานเพียงเพื่อหลอกลวง ค) บุคคลเช่นนี้จะได้รับพระพรจากองค์พระผู้เป็นเจ้า จะได้รับความเป็นธรรมจากพระเจ้าผู้ทรงช่วยเขาให้รอดพ้น นี่คือพงศ์พันธุ์ที่แสวงหาพระองค์ แสวงหาพระพักตร์พระองค์ ข้าแต่พระเจ้าแห่งยาโคบ
บทอ่านจากจดหมายนักบุญยอห์นอัครสาวก ฉบับที่หนึ่ง 1 ยน 3:1-3
พี่น้องที่รักยิ่ง จงดูเถิดว่า ความรักที่พระบิดา ประทานให้เรานั้นยิ่งใหญ่เพียงใด เพื่อท�ำให้เราได้ชื่อ ว่าเป็นบุตรของพระเจ้า และเราก็เป็นเช่นนั้นจริง โลก ไม่รู้จักเรา เพราะโลกไม่รู้จักพระองค์ ท่านที่รักทั้งหลาย บัดนี้ เราเป็นบุตรของพระเจ้าแล้ว แต่เราจะเป็นอย่างไร ในอนาคตนั้นยังไม่ปรากฏชัดแจ้ง เราตระหนักดีว่า เมื่อ พระองค์ทรงปรากฏ เราจะเป็นเหมือนพระองค์ เพราะ เราจะได้เห็นพระองค์อย่างที่พระองค์ทรงเป็น ทุกคนที่ มีความหวังในพระองค์ ย่อมช�ำระใจของตนให้บริสุทธิ์ เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว
มธ 5:1-12ก
เวลานั้น พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นประชาชนจ�ำนวนมาก จึงเสด็จขึ้นบนภูเขา เมื่อประทับแล้ว บรรดาศิษย์เข้ามาห้อมล้อมพระองค์ พระองค์ทรงเริ่มตรัสสอนว่า “ผู้มีใจยากจน ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน ผู้มีใจอ่อนโยน ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับแผ่นดินเป็นมรดก ผู้หิวกระหายความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะอิ่ม ผู้มีใจเมตตา ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา ผู้มีใจบริสุทธิ์ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้เห็นพระเจ้า ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า ผู้ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา ท่านทั้งหลายย่อมเป็นสุข เมื่อถูกดูหมิ่น ข่มเหงและใส่ร้ายต่างๆ นานาเพราะเรา จงชื่นชมยินดีเถิด เพราะบ�ำเหน็จรางวัลของท่านในสวรรค์นั้นยิ่งใหญ่นัก”
ในวันสมโภชนี้ ขอให้ชีวิตของบรรดานักบุญเป็นตัวอย่างแก่เรา เพื่อเราจะพบหนทางที่จะรัก พระเจ้า และด�ำเนินชีวิตเพื่อพระองค์ แม้บรรดานักบุญเหล่านี้มีความอ่อนแอตามประสามนุษย์ แต่พวกเขาก็ สามารถที่จะถวายเกียรติและสรรเสริญพระเจ้าในการด�ำเนินชีวิตของตน ชีวิตของท่านนักบุญเหล่านี้แสดงให้เห็น ว่า เป็นไปได้ที่เราจะด�ำเนินชีวิตอย่างซื่อสัตย์ต่อความเชื่อในพระเจ้าในโลกที่เต็มไปด้วยบาปนี้ ให้เราเลือกยืนอยู่ ข้างพระเจ้าและบรรดานักบุญ บอกทั้งโลกให้รู้ว่า เรายึดถือค�ำสั่งสอนทั้งมวลของพระเยซูเจ้า ละทิ้งสิ่งชั่วร้ายทั้ง ปวงที่เป็นกิจการของมาร
บทอ่านที่ 1
สัปดาห์ที่ 32 เทศกาลธรรมดา สดด 24:1-2, 3-4,5-6 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4
พระวรสาร
ทต 1:1-9
จากเปาโล ผู้รับใช้ของพระเจ้า และเป็นอัครสาวกของพระเยซูคริสต์ ผู้รับมอบ หมายให้นำ� ความเชือ่ มาสูผ่ ทู้ พี่ ระเจ้าทรงเลือกสรร เพือ่ ให้รคู้ วามจริงซึง่ เป็นพืน้ ฐานของ ความเคารพเลื่อมใสพระเจ้า เพื่อให้เขามีความหวังว่าจะได้รับชีวิตนิรันดร พระเจ้าไม่ ทรงมุสา พระองค์ทรงสัญญาจะประทานชีวิตนิรันดรนี้นานมาแล้ว เมื่อถึงเวลาที่ก�ำหนด พระเจ้าพระผูไ้ ถ่ของเราทรงเผยพระวาจาโดยมีพระบัญชาให้ขา้ พเจ้าประกาศพระวาจานี้ ถึงทิตัสผู้เป็นบุตรแท้จริงของข้าพเจ้าในความเชื่อที่เรามีร่วมกัน ขอพระหรรษทานและสันติจากพระเจ้า พระบิดา และจากพระคริสตเยซู พระผู้ไถ่ ของเรา สถิตกับท่านเถิด ข้าพเจ้าทิ้งท่านไว้ที่เกาะครีต เพื่อท่านจะได้จัดการเรื่องที่ยังค้างอยู่ให้เรียบร้อย และเพื่อแต่งตั้งกลุ่มผู้อาวุโสทุกเมืองตามวิธีการที่ข้าพเจ้าบอกไว้ ผู้อาวุโสแต่ละคนจะ ต้องประพฤติดีไม่มีที่ต�ำหนิ ต้องแต่งงานเพียงครั้งเดียว และบุตรของเขาก็ต้องมีความ เชื่อ ไม่ถูกครหาว่าประพฤติเสเพลและดื้อรั้น ส่วนผู้ปกครองดูแลต้องประพฤติดีไม่มีที่ ต�ำหนิ เพราะเขาเป็นผู้ดูแลบ้านของพระเจ้า ต้องไม่หยิ่งยโส ไม่เป็นคนเจ้าอารมณ์ ไม่ เป็นนักดื่ม ไม่ชอบใช้ความรุนแรง ไม่โลภ แต่ต้องมีอัธยาศัยไมตรี รักคุณงามความดี มี เหตุผล เที่ยงตรง ศักดิ์สิทธิ์และรู้จักบังคับตนเอง เขายังต้องยึดมั่นในหลักค�ำสอนที่ถูก ต้องตามทีไ่ ด้รบั สืบทอดต่อกันมา เพือ่ เขาจะตักเตือนผูอ้ นื่ ได้ ทัง้ ให้คำ� แนะน�ำด้วยค�ำสอน ที่ถูกต้อง ตอบโต้ผู้ที่คัดค้านค�ำสอนนั้นได้
ลก 17:1-6
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เหตุที่ชักน�ำให้ท�ำบาปจะเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่วิบัติจงเกิดแก่ผู้ที่เป็นเหตุให้บาปเกิดขึ้น ถ้าจะ เอาหินโม่แขวนคอเขาและโยนเขาลงทะเล จะเป็นการดีกว่าปล่อยให้เขาเป็นเหตุชกั น�ำคนธรรมดาๆ เหล่านีแ้ ม้ เพียงคนเดียวให้ท�ำบาป ท่านทั้งหลายจงระวังตนให้ดีเถิด ถ้าพี่น้องของท่านท�ำผิด จงตักเตือนเขา ถ้าเขากลับใจ จงให้อภัยแก่เขา ถ้าเขาท�ำผิดต่อท่านวันละเจ็ด ครั้ง และกลับมาหาท่านทั้งเจ็ดครั้ง พูดว่า ‘ฉันเสียใจ’ ท่านจงให้อภัยเขาเถิด” บรรดาอัครสาวกทูลองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “โปรดเพิ่มความเชื่อให้พวกเราเถิด” องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงตรัส ว่า “ถ้าท่านมีความเชื่อเท่าเมล็ดมัสตาร์ด และพูดกับต้นหม่อนต้นนี้ว่า ‘จงถอนรากแล้วไปขึ้นอยู่ในทะเลเถิด’ ต้นหม่อนต้นนั้นก็จะเชื่อฟังท่าน” ทุกวันนีเ้ ราอยูใ่ นโลกทีเ่ จริญก้าวหน้าด้านวัตถุอย่างมาก จึงท�ำให้เราหลงอยูก่ บั ความสุขอันจอมปลอมที่ เราสร้างขึ้นด้วยความเข้าใจที่ผิดๆ ที่สังคมหยิบยื่นให้เรา เป็นต้นว่าอิทธิพลจากสื่อออนไลน์ต่างๆ ทั้งหลาย ท�ำให้เรามี แต่ความต้องการที่ไม่รู้จักจบสิ้น ไม่ได้สนใจบุคคลอื่นนอกจากตัวเราเองเท่านั้น ท�ำให้เรามีความเชื่อมั่นในตนเองสูง จน ขาดความเชื่อในพระเจ้าได้อย่างง่ายดาย ฉะนั้นเราจะต้องด�ำเนินชีวิตโดยมีพระเจ้าเป็นผู้น�ำทางเราเสมอ
บทอ่านที่ 1
ทต 2:1-8,11-14
พี่น้อง ท่านจงเทศน์สอนสิ่งที่สอดคล้องกับหลักค�าสอนที่ถูกต้อง จงสอนชายสูง อายุให้มัธยัสถ์ในการกินการดื่ม ท�าตนเป็นที่ควรเคารพนับถือ มีเหตุผล มีความมั่นคง ในความเชื่อ ความรัก และความอดทน ท�านองเดียวกัน จงสอนสตรีสูงอายุให้ประพฤติ ตนเหมาะสมกับการเป็นผู้มีความเชื่อ ไม่ใส่ความ ไม่นินทาและไม่ติดสุรา พวกเขาเหล่า นัน้ จะเป็นผูอ้ บรมสัง่ สอนหญิงทีเ่ ยาว์วยั กว่าให้รวู้ า่ จะต้องรักสามีและบุตรของตนอย่างไร จะต้องมีเหตุผลและท�าตนให้บริสทุ ธิอ์ ย่างไร จะต้องท�างานบ้าน ต้องสุภาพอ่อนโยนและ นอบน้อมต่อสามีอย่างไร เพื่อจะไม่ท�าให้พระวาจาของพระเจ้าถูกกล่าวร้าย จงตักเตือน ชายหนุม่ ให้รจู้ กั มีเหตุผลในทุกสิง่ โดยท่านจะต้องเป็นแบบอย่างในกิจการทีด่ ี เมือ่ สอนก็ จงสอนด้วยความจริงใจและจริงจัง โดยสอนค�าสอนทีถ่ กู ต้องไม่มผี ใู้ ดต�าหนิได้ เพือ่ ฝ่าย ปฏิปักษ์จะรู้สึกอายและไม่มีสิ่งใดต�าหนิเราได้ พระหรรษทานของพระเจ้าปรากฏขึ้นเพื่อช่วยมนุษย์ทุกคนให้รอดพ้น สอนเราให้ ละทิ้งอธรรมและโลกียตัณหา เพื่อด�าเนินชีวิตอย่างมีสติสัมปชัญญะด้วยความชอบ ธรรมและด้วยความเคารพเลื่อมใสพระเจ้าในโลกนี้ ขณะที่เราก�าลังรอคอยความหวัง ที่ให้ความสุข คือการส�าแดงพระองค์ในพระสิริรุ่งโรจน์ของพระคริสตเยซู พระเจ้าผู้ยิ่ง ใหญ่และพระผู้ไถ่ของเรา พระองค์ทรงมอบพระองค์เพื่อเรา เพื่อไถ่กู้เราจากอธรรมทั้ง หลาย ช�าระประชากรให้บริสุทธิ์เพื่อจะเป็นประชากรของพระองค์ และเป็นผู้ปรารถนา จะท�าแต่ความดี
พระวรสาร
ลก 17:7-10
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสว่า “ท่านผูใ้ ดทีม่ ผี รู้ บั ใช้ออกไปไถนา หรือไปเลีย้ งแกะ เมือ่ ผูร้ บั ใช้กลับจากทุง่ นา ผูน้ นั้ จะพูดกับผูร้ บั ใช้หรือว่า ‘เร็วเข้า มานัง่ โต๊ะเถิด’ แต่จะพูดมิใช่หรือว่า ‘จงเตรียมอาหารมา ให้ฉันเถิด จงคาดสะเอว คอยรับใช้ฉันขณะที่ฉันกินและดื่ม หลังจากนั้นเจ้าจึงกินและ ดื่ม’ นายย่อมไม่ขอบใจผู้รับใช้ที่ปฏิบัติตามค�าสั่งมิใช่หรือ ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน เมื่อท่านได้ท�าตามค�าสั่งทุกประการแล้ว จงพูดว่า ‘ฉันเป็นผู้รับใช้ที่ไร้ประโยชน์ เพราะ ฉันท�าตามหน้าที่ที่ต้องท�าเท่านั้น’” เราทั้งหลายผู้ตรากตร�าท�างานและด�าเนินชีวิตตามวิถีทางของพระเจ้าด้วย ความซื่อสัตย์เป็นอันดับแรก พระเจ้าก็จะประทานเกียรติให้แก่ผู้นั้น โดยผ่านทางพระเมตตา และความรักของพระองค์ เราเองก็เป็นเพียงผู้รับใช้ที่ปฏิบัติตามพระองค์ด้วยความสุภาพ ถ่อมตน ดั่งคนใช้ที่ไร้ประโยชน์ โดยที่เราไม่มีสิ่งใดจะมาอวดอ้างต่อหน้าพระองค์
สัปดาห์ที่ 32 เทศกาลธรรมดา สดด 37:3-4,18-19, 23,27,29 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 4
ฉลองวันครบรอบ การถวายพระวิหาร ลาเตรัน สดด 46:2-3,5-6,8-9
บทอ่านที่ 1
1 คร 3:9ค-11,16-17
พระวรสาร
ยน 2:13-22
พี่น้อง ท่านทั้งหลายเป็นอาคารของพระเจ้า พระเจ้าประทานพระหรรษทานแก่ ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้วางรากฐานไว้ประหนึ่งเป็นสถาปนิกผู้เชี่ยวชาญ และผู้อื่นก็สร้าง ขึน้ บนรากฐานนัน้ แต่ละคนจะต้องระมัดระวังว่าเขาก่อสร้างอย่างไร รากฐานทีว่ างไว้แล้ว นี้คือพระเยซูคริสตเจ้าและไม่มีใครวางรากฐานอื่นได้อีก ท่านทัง้ หลายไม่รหู้ รือว่าท่านเป็นพระวิหารของพระเจ้า และพระจิตของพระเจ้าทรง พ�านักอยู่ในท่าน ถ้าใครท�าลายพระวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงท�าลายเขา เพราะ พระวิหารของพระเจ้านั้นศักดิ์สิทธิ์ และท่านก็คือพระวิหารนั้น เทศกาลปัสกาของชาวยิวใกล้จะมาถึง พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ในบริเวณพระวิหาร พระองค์ทรงพบพ่อค้าขายโค พ่อค้าขายแกะ พ่อค้าขายนกพิราบ และคนแลกเงินนั่งอยู่ที่โต๊ะ พระองค์ทรงใช้เชือกเป็นแส้ ทรงขับไล่ทุกคนรวมทั้งแกะ และโคออกจากพระวิหาร ทรงปัดเงินกระจายเกลื่อนกลาด และทรงคว�่าโต๊ะของผู้แลก เงิน แล้วตรัสกับคนขายนกพิราบว่า “จงน�าของเหล่านี้ออกไป อย่าท�าบ้านของพระบิดา ของเราให้เป็นตลาด” บรรดาศิษย์จงึ ระลึกได้ถงึ ค�าทีเ่ ขียนไว้ในพระคัมภีรว์ า่ “ความรักที่ ข้าพเจ้ามีตอ่ บ้านของพระองค์เป็นเสมือนไฟทีเ่ ผาผลาญข้าพเจ้า” ชาวยิวจึงเข้ามาทูลถาม พระองค์ว่า “ท่านมีเครื่องหมายอะไรแสดงให้เรารู้ว่าท่านมีอ�านาจท�าดังนี้” พระเยซูเจ้า ตรัสตอบว่า “จงท�าลายพระวิหารนี้ แล้วเราจะสร้างขึน้ ใหม่ภายในสามวัน” ชาวยิวพูดว่า “พระวิหารหลังนีต้ อ้ งใช้เวลาสร้างถึงสีส่ บิ หกปี แล้วท่านจะสร้างขึน้ ใหม่ในสามวันหรือ” แต่พระองค์ก�าลังตรัสถึงพระวิหารซึ่งหมายถึงพระกายของพระองค์ ดังนั้นเมื่อพระองค์ ทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายแล้ว บรรดาศิษย์จึงระลึกได้ว่าพระองค์ตรัสไว้ ดังนี้ เขาจึงเชื่อทั้งพระคัมภีร์และพระวาจาที่พระองค์ตรัสไว้ การกระท�าของพระองค์ครัง้ นีถ้ อื ว่าเป็นเรือ่ งส�าคัญทีพ่ ระองค์แสดงออกอย่าง จริงจังและรุนแรงด้วย จึงเป็นเหตุให้ชาวยิวไม่พอใจและมาถามพระองค์วา่ “ท่านมีเครือ่ งหมาย อะไรแสดงให้เรารู้ว่าท่านมีอ�านาจท�าเช่นนี้ได้” พระองค์ตรัสว่า “จงท�าลายพระวิหารนี้และเรา จะสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวัน” ค�าพูดของพระองค์นั้นท�าให้พวกเขาไม่เข้าใจสิ่งที่พระองค์ตรัส พระองค์ตอ้ งการบอกว่าพระวรกายของพระองค์ผทู้ รงกลับคืนพระชนมชีพจะเป็นศูนย์กลางของ การนมัสการ เป็นพระวิหารที่ประทับของพระเจ้า ซึ่งจะมีน�้าทรงชีวิตไหลออกมา
บทอ่านที่ 1
ฟม 1:7-20
พระวรสาร
ลก 17:20-25
น้องรัก ความรักของท่านท�ำให้ขา้ พเจ้ายินดีและได้รบั ก�ำลังใจอย่างมาก เพราะท่าน น�ำความสงบสุขมาสู่ดวงใจของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ เดชะพระคริสตเจ้า แม้ว่าข้าพเจ้ามีอ�ำนาจจะสั่งท่านให้ท�ำสิ่งใดก็ได้ แต่ข้าพเจ้าก็ เลือกที่จะขอร้องให้ท่านท�ำด้วยความรักมากกว่า ผู้ที่ขอร้องนี้คือข้าพเจ้า เปาโล ซึ่งเป็น คนชราและขณะนี้เป็นนักโทษเนื่องจากพระคริสตเยซูด้วย ข้าพเจ้าขอร้องท่านเพื่อบุตร ระลึกถึง คนหนึ่งของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าได้ให้ก�ำเนิดขณะที่ถูกจองจ�ำคือโอเนสิมัส ในอดีต เขา น.เลโอ ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีประโยชน์ใดต่อท่าน แต่ขณะนี้ เขามีประโยชน์ทั้งต่อท่านและต่อข้าพเจ้า ข้าพเจ้า พระสันตะปาปา ก�ำลังส่งเขากลับมาหาท่าน นั่นคือข้าพเจ้าส่งดวงใจของข้าพเจ้ามาด้วย อันที่จริงแล้ว และนักปราชญ์ ข้าพเจ้าต้องการให้เขาอยู่กับข้าพเจ้าที่นี่ เขาจะได้รับใช้ข้าพเจ้าแทนท่านขณะที่ข้าพเจ้า แห่ งพระศาสนจักร ถูกจองจ�ำเพราะข่าวดี แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องการท�ำสิ่งใดโดยท่านไม่เห็นชอบ เพื่อมิให้ท่าน สดด 146:7,8-9ก ท�ำความดีเพราะถูกบังคับ แต่ท�ำด้วยความสมัครใจ ข้าพเจ้าคิดว่า เขาถูกพรากไปจาก 9ข-10 ท่านระยะหนึ่ง เพื่อจะกลับมาอยู่กับท่านตลอดไป มิใช่ในฐานะทาส แต่ในฐานะที่ดีกว่า ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 4 มาก คือเป็นน้องชายที่รัก ถ้าเขาเป็นที่รักอย่างยิ่งของข้าพเจ้า เขาจะต้องเป็นที่รักของ ท่านมากกว่าสักเท่าใดเล่า ทัง้ ในฐานะทีเ่ ป็นเพือ่ นมนุษย์และในฐานะทีเ่ ป็นพีน่ อ้ งในองค์ พระผู้เป็นเจ้า ถ้าท่านยังยอมรับว่าข้าพเจ้าเป็นมิตรกับท่าน ก็จงต้อนรับเขาเช่นเดียวกับ ที่ท่านจะต้อนรับข้าพเจ้า ถ้าเขาท�ำผิดต่อท่านเรื่องใด หรือเป็นหนี้ท่านเท่าใด ก็จงจดลง ในบัญชีของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเขียนด้วยมือของข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้า เปาโล จะชดใช้ให้ทั้งหมด ข้าพเจ้าจะไม่พูด ถึงหนี้สินอื่นที่ท่านเป็นหนี้ข้าพเจ้า ดีแล้ว น้องรัก หวังว่าท่านจะท�ำตามที่ข้าพเจ้าขอร้อง เพราะท่านศรัทธาต่อ องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดท�ำให้ดวงใจของข้าพเจ้าเป็นสุขสงบในพระคริสตเจ้าเถิด เวลานั้น เมื่อชาวฟาริสีทูลถามว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อใด” พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า “พระอาณาจักรของพระเจ้ามิได้มาอย่างที่จะสังเกตเห็นได้ จะไม่มีใครพูดว่า ‘พระอาณาจักรอยู่ที่นี่ หรืออยู่ที่ นั่น’ เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าอยู่ในหมู่ท่านทั้งหลายแล้ว” พระเยซูเจ้าตรัสกับบรรดาศิษย์ว่า “เวลานั้นจะมาถึง เมื่อท่านปรารถนาเห็นวันของบุตรแห่งมนุษย์แม้ เพียงวันเดียว แต่จะไม่ได้เห็น จะมีหลายคนกล่าวกับท่านว่า ‘บุตรแห่งมนุษย์อยู่ที่นั่น’ หรือ ‘บุตรแห่งมนุษย์ อยู่ที่นี่’ ท่านอย่าออกไป อย่าตามไป เพราะเมื่อสายฟ้าแลบ ย่อมส่องสว่างจากขอบฟ้าหนึ่งไปถึงอีกขอบฟ้า หนึ่งฉันใด บุตรแห่งมนุษย์ก็จะเสด็จมาในวันของพระองค์ฉันนั้น แต่ก่อนจะถึงวันนั้น บุตรแห่งมนุษย์จ�ำเป็น ต้องรับการทรมานอย่างมาก และจ�ำเป็นที่คนยุคนี้ไม่ยอมรับพระองค์” ชาวยิวในสมัยของพระเยซูเจ้ามีความสนใจเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นอย่างมาก อยากรู้วัน เวลาว่าจะมาถึงเมื่อไร เหมือนการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ เป็นต้น จะมีประกาศกเท็จที่ออกมาประกาศถึงการเสด็จ มาของบุตรแห่งมนุษย์ แต่เราอย่าปล่อยให้ตัวเราถูกหลอกลวงไปกับสิ่งผิดๆ เพราะก่อนเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้น พระเยซู เจ้าต้องมีชวี ติ อยูจ่ นถึงทีส่ ดุ พระองค์จะได้รบั การทรมานมากมาย ถูกคนในยุคนีด้ ถู กู นีค่ อื ชะตากรรมของผูร้ บั ใช้ของพระ ยาห์เวห์ ดังนั้นพระเยซูเจ้ามิได้เสด็จมาเพื่อน�ำความทุกข์ออกไปจากโลก แต่พระองค์ทรงร่วมทนทุกข์กับเรา เพื่อแสดง ให้เห็นว่าทรงรักเราอย่างแท้จริง
ระลึกถึง น.มาร์ติน แห่งตูร์ พระสังฆราช สดด 119:1-2, 10-11,17-19 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 4
บทอ่านที่ 1
2 ยน 4-9
พระวรสาร
ลก 17:26-37
ข้าพเจ้ามีความปีติมากที่รู้ว่า บุตรบางคนของท่านด�าเนินชีวิตตามความจริงตลอด มา โดยปฏิบัติตามที่เราได้รับพระบัญชาจากพระบิดา เวลานี้ ข้าพเจ้าเขียนมาขอให้ท่าน ทั้งหลายที่เป็นพระศาสนจักรท�าสิ่งหนึ่ง สิ่งนี้ไม่ใช่บทบัญญัติใหม่ แต่เป็นบทบัญญัติที่ เรามีมาตั้งแต่แรกเริ่ม นั่นคือ เราจงรักกันเถิด ความรักคือการด�าเนินชีวิตตามพระบัญญัติ บทบัญญัตินี้ท่านเรียนรู้มาแล้วตั้งแต่ แรกเริ่ม คือให้ด�าเนินชีวิตในความรัก คนหลอกลวงจ�านวนมากออกไปทัว่ โลก พวกนีไ้ ม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสตเจ้าเสด็จ มาเป็นมนุษย์ คนเหล่านีค้ อื คนหลอกลวงและเป็นปฏิปกั ษ์ตอ่ พระคริสตเจ้า ท่านจงระวัง ไว้ มิฉะนัน้ งานทุกอย่างของเราจะสูญเปล่า และท่านจะไม่ได้รบั ค่าตอบแทนอย่างสมบูรณ์ ผู้ใดไม่ด�ารงอยู่ในค�าสอนของพระคริสตเจ้า และออกไปจากค�าสอนนั้น เขาไม่มีพระเจ้า อยู่กับตน แต่ผู้ที่ด�ารงอยู่ในสิ่งที่ทรงสอนเท่านั้นมีพระบิดาและพระบุตรอยู่ด้วย เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาสาวกว่า “เหตุการณ์ได้เกิดขึ้นในสมัยของโนอาห์ฉันใด ก็จะเกิดขึ้นในสมัยของบุตรแห่ง มนุษย์ฉันนั้น ผู้คนกิน ดื่ม แต่งงานเป็นสามีภรรยากันจนถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือ น�้า วินาศก็ได้ท่วมเขาเหล่านั้นจนตายสิ้น ในสมัยของโลทก็เช่นเดียวกัน ผู้คนกิน ดื่ม ซื้อ ขาย ปลูกพืช สร้างบ้าน แต่ในวันที่โลทออกจากเมืองโสโดม ไฟและก�ามะถันได้ตกจาก ท้องฟ้ามาเผาผลาญเขาเหล่านั้นจนตายสิ้น ในวันที่บุตรแห่งมนุษย์จะทรงส�าแดงองค์ ก็ จะเป็นเช่นเดียวกันด้วย ในวันนั้น คนที่อยู่บนดาดฟ้าและมีข้าวของอยู่ในบ้าน จงอย่าลงมาเอาของเหล่า นั้นเลย คนที่อยู่ในทุ่งนาก็เช่นเดียวกัน จงอย่าหวนกลับมาอีก ท่านทั้งหลายจงระลึก ถึงเรื่องภรรยาของโลทไว้เถิด ผู้ใดที่พยายามรักษาชีวิตของตนไว้ ก็จะสูญเสียชีวิตนั้น และผู้ใดที่เสียชีวิตของตน ก็จะรักษาชีวิตนั้นไว้ได้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในคืนนั้น สองคนที่นอนเตียงเดียวกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ หญิงสองคนที่ ก�าลังโม่แป้งอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้” บรรดาศิษย์จึงทูล ถามว่า “เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นที่ใด พระเจ้าข้า” พระองค์ทรงตอบว่า “ที่ใดมีซากศพ ที่ นั่นบรรดาแร้งจะมาชุมนุมกัน” สังคมที่เราด�ารงชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เป็นสังคมเทคโนโลยีที่มีบทบาทส�าคัญอย่าง มาก เราได้เห็นการประดิษฐ์เครื่องอ�านวยความสะดวกต่างๆ เมื่อเราอยู่ในสภาพแบบนี้ อาจ ท�าให้เราเหินห่างจากองค์พระผู้สร้างของเราโดยไม่รู้ตัว เราเองจะต้องด�าเนินชีวิตอยู่ในความ จริงที่พระเจ้าน�ามาสู่เรามนุษย์ และวอนขอพระองค์ให้เราไวต่อการดลใจของพระจิตในชีวิต ของเราเช่นกัน เพื่อเราจะได้ไม่หลงอยู่ในโลกที่ไร้แก่นสาร
บทอ่านที่ 1
3 ยน 5-8
เพื่อนรัก ท่านท�างานอย่างซื่อสัตย์โดยช่วยเหลือพี่น้องแปลกหน้าเหล่านี้ เขาเป็น พยานยืนยันต่อพระศาสนจักรถึงความรักของท่าน เป็นการดีที่ท่านจะช่วยเขาให้เดิน ทางต่อไปตามพระประสงค์ของพระเจ้า เขาเดินทางไปเพราะเห็นแก่พระนามพระคริสต เจ้าเท่านั้น และไม่ได้รับสิ่งใดจากคนต่างศาสนา เป็นหน้าที่ของเราที่จะต้อนรับ และร่วม งานกับบุคคลเหล่านี้ในงานเผยแผ่ความจริง
พระวรสาร
ลก 18:1-8
เวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงเล่าอุปมาเรื่องหนึ่งแก่บรรดาศิษย์เพื่อสอนว่าจ�าเป็นต้อง อธิษฐานภาวนาอยูเ่ สมอโดยไม่ทอ้ ถอย พระองค์ตรัสว่า “ผูพ้ พิ ากษาคนหนึง่ อยูใ่ นเมือง หนึง่ เขาไม่ยา� เกรงพระเจ้าและไม่เกรงใจมนุษย์ผใู้ ด หญิงม่ายคนหนึง่ อยูใ่ นเมืองนัน้ ด้วย นางมาพบเขาครัง้ แล้วครัง้ เล่าพูดว่า ‘กรุณาให้ความยุตธิ รรมแก่ดฉิ นั สูก้ บั คูค่ วามเถิด’ ผู้ พิพากษาผูน้ นั้ ไม่ยอมท�าตามทีน่ างขอร้องจนเวลาผ่านไประยะหนึง่ จึงคิดว่า ‘แม้วา่ ฉันไม่ ย�าเกรงพระเจ้าและไม่เกรงใจมนุษย์ผใู้ ด แต่เพราะหญิงม่ายผูน้ ม้ี าท�าให้ฉนั ร�าคาญ ฉันจึง จะให้นางได้รับความยุติธรรม เพื่อมิให้นางรบเร้าฉันอยู่ตลอดเวลา’” องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าตรัสว่า “จงฟังค�าทีผ่ ้พู พิ ากษาอธรรมคนนัน้ พูดซิ แล้วพระเจ้าจะ ไม่ประทานความยุตธิ รรมแก่ผเู้ ลือกสรรทีร่ อ้ งหาพระองค์ทงั้ วันทัง้ คืนดอกหรือ พระองค์ จะไม่ทรงช่วยเขาทันทีหรือ เราบอกท่านทัง้ หลายว่าพระองค์จะประทานความยุตธิ รรมแก่ เขาโดยเร็ว แต่เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมา จะทรงพบความเชื่อในโลกนี้หรือ” พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ ได้ให้บทเรียนที่ส�าคัญส�าหรับเราคริสตชนหลาย ประการในการน�าไปปฏิบตั ใิ นชีวติ ประจ�าวัน สิง่ แรก เราต้องภาวนาอยูเ่ สมอโดยไม่ทอ้ ถอย การ ภาวนาคือเครื่องพิสูจน์ที่ดียิ่งส�าหรับผู้ที่อุทิศตนเพื่อพระคริสตเจ้า และเป็นอาวุธที่ทรงพลานุ ภาพที่จะช่วยเราให้สามารถเอาชนะอุปสรรคทุกอย่าง พระเจ้าทรงทราบทุกอย่างว่าอะไรเป็น สิ่งที่ดีที่สุดส�าหรับเรา และการภาวนาต้องมาจากน�้าใสใจจริงด้วย ประการที่สอง เราต้องท�า ส่วนของเราให้ดีที่สุด และประการที่สาม เราต้องแสวงหาพระประสงค์ของพระเจ้า ที่ส�าคัญ เราภาวนามิใช่เพื่อเปลี่ยนพระประสงค์ของพระเจ้า แต่เพื่อแสวงหาและท�าตามพระประสงค์ ของพระองค์
ระลึกถึง น.โยซาฟต พระสังฆราช และมรณสักขี สดด 112:1-3, 4,5-6 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 4
บทอ่านจากหนังสือประกาศกมาลาคี
สัปดาห์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 1 วันสิทธิมนุษยชน
มลค 3:19-20ก
พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า “ดูซิ วันนั้นก�าลังมาถึง คือวันที่จะลุกไหม้เหมือนเตาอบ แล้วคนอวดดีทั้งหลาย และคนท�าความชัว่ ร้ายทุกคนจะเป็นเหมือนซังข้าว วันทีจ่ ะมานัน้ จะไหม้เขาทัง้ หลาย องค์ พระผู้เป็นเจ้าจอมจักรวาลตรัส จนไม่มีรากหรือกิ่งก้านเหลืออยู่เลย แต่ส�าหรับท่านทั้ง หลายที่ย�าเกรงนามของเรา ความเที่ยงธรรมของเราจะขึ้นมาเหมือนดวงอาทิตย์ซึ่งส่อง รัศมีรักษาโรคให้หายได้”
เพลงสดุดี
สดด 98:5-6,7-8,9
ก) จงบรรเลงเพลงพิณถวายองค์พระผู้เป็นเจ้า ด้วยพิณใหญ่คลอเสียงพิณเล็ก ทั้งเสียงแตรและเสียงเป่าเขาสัตว์ จงโห่ร้องสรรเสริญเฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นกษัตริย์ ข) ทะเลและทุกสิ่งที่อยู่ในทะเล จงส่งเสียงกึกก้อง แผ่นดินและผู้อาศัยบนแผ่นดินจงท�าเช่นเดียวกัน สายน�้าทั้งหลายจงปรบมือ ภูเขาทั้งหลายจงโห่ร้องด้วยความยินดีร่วมกัน ค) เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้า เพราะพระองค์ก�าลังเสด็จมา เพื่อทรงพิพากษาแผ่นดิน พระองค์จะทรงพิพากษาโลกด้วยความเที่ยงธรรม และจะทรงพิพากษาประชาชาติด้วยความยุติธรรม
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวเธสะโลนิกา ฉบับที่สอง 2 ธส 3:7-12
พีน่ อ้ ง ท่านรูอ้ ยูแ่ ล้วว่า ท่านต้องยึดถือเราเป็นแบบฉบับอย่างไร เพราะเมือ่ เราอยูก่ บั ท่าน เรามิได้อยูน่ งิ่ เฉย เรามิได้กนิ อาหารของผูใ้ ดโดยไม่ทา� งานตอบแทน แต่เราตรากตร�า ท�างานทัง้ กลางวันและกลางคืน เพือ่ เราจะได้ไม่เป็นภาระแก่ผใู้ ด ทัง้ นีม้ ใิ ช่เพราะเราไม่มี สิทธิ์ แต่เพื่อท�าตนเป็นแบบฉบับแก่ท่าน เมือ่ เราอยูก่ บั ท่าน เรายังก�าชับท่านว่า ถ้าผูใ้ ดไม่อยากท�างานก็อย่ากิน แต่เราได้ยนิ ว่า บางท่านด�าเนินชีวติ อย่างเกียจคร้านไม่ทา� งานเลย แต่กลับไปยุง่ เกีย่ วกับธุระของผูอ้ นื่ เราก�าชับและเตือนคนเช่นนีใ้ นพระเยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้า ให้ทา� งานอย่างสงบและ หาเลี้ยงชีพด้วยน�้าพักน�้าแรงของตนเอง
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา
ลก 21:5-19
ขณะนั้นบางคนให้ข้อสังเกตว่าพระวิหารมีหินและของถวายตกแต่งอย่างงดงาม
พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “สักวันหนึ่ง ทุกสิ่งที่ท่านเห็นอยู่ นี้ จะไม่มีก้อนหินเหลือซ้อนกันอยู่เลย” เขาจึงทูลถาม พระองค์ว่า “พระอาจารย์ เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร และมีเครื่องหมายใดบอกว่าเหตุการณ์นี้ก�าลังจะเกิด ขึ้น” พระองค์ตรัสตอบว่า “จงระวังอย่าให้ผู้ใดหลอก ลวงท่านได้ หลายคนจะอ้างนามของเรา พูดว่า ‘ฉัน เป็นพระคริสต์’ และ ‘เวลาก�าหนดมาถึงแล้ว’ อย่าตาม เขาไป เมื่อท่านทั้งหลายได้ยินข่าวลือเรื่องสงครามและ การปฏิวัติ จงอย่าตกใจ เหตุการณ์เหล่านี้จ�าเป็นต้อง เกิดขึ้นก่อน แต่ยังไม่ถึงวาระสุดท้าย” แล้วพระองค์ ตรั ส กั บ เขาว่ า “ชาติ ห นึ่ ง จะลุ ก ขึ้ น ต่ อ สู ้ กั บ อี ก ชาติ หนึ่ง อาณาจักรหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกอาณาจักรหนึ่ง แผ่นดินไหวใหญ่หลวง ความอดอยาก และ โรคระบาดจะเกิดขึ้นหลายแห่ง จะมีเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัว และเครื่องหมายยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นใน ท้องฟ้า แต่ก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น เขาจะจับกุมท่าน จะเบียดเบียนท่าน จะน�าท่านไปไต่สวน ในศาลาธรรม และจะจองจ�าท่านในคุก เขาจะน�าท่านไปยืนต่อหน้ากษัตริย์และผู้ว่าราชการเพราะนาม ของเรา และนี่จะเป็นโอกาสให้ท่านเป็นพยานถึงเรา จงตัดสินใจว่าท่านจะไม่หาค�าแก้ตัวไว้ก่อน เราจะให้ ค�าพูดและปรีชาญาณแก่ท่าน ซึ่งศัตรูของท่านจะต้านทานหรือโต้แย้งไม่ได้ บิดามารดา พี่น้อง ญาติและ มิตรสหายจะทรยศต่อท่าน บางท่านจะต้องถูกประหารชีวิตด้วย ท่านทั้งหลายจะเป็นที่เกลียดชังของทุก คนเพราะนามของเรา แต่เส้นผมบนศีรษะของท่านจะไม่เสียไปแม้แต่เส้นเดียว ด้วยการยืนหยัดมั่นคง ท่านจะรักษาชีวิตของท่านไว้ได้” พระวรสารบทนีไ้ ม่งา่ ยเลย แต่มสี งิ่ หนึง่ ทีช่ ดั เจน นัน่ คือพระเยซูทรงรูว้ า่ บรรดาสาวกของพระองค์ จะไม่มีชีวิตที่ราบรื่น พระองค์ทรงเตือนไว้หลายๆ ครั้งว่า บรรดาสาวกของพระองค์จะต้องเผชิญกับปฏิปักษ์และ ความมุง่ ร้ายเช่นเดียวกับทีพ่ ระองค์ได้ประสบมาแล้ว พระเยซูคริสต์ทรงประสงค์ให้เรามีความชัดเจนว่าเราเป็นใคร และจุดยืนของเราอยู่ตรงไหน เมื่อผู้ที่เป็นปฏิปักษ์มาถึงเรา เรารู้ว่าพระเจ้าทรงสถิตกับเรา และเราสามารถเชื่อ วางใจได้ว่าพระเยซูคริสต์จะทรงช่วยเรา อย่างไรก็ตาม พระเจ้าตรัสผ่านทางประกาศกมาลาคี เตือนให้เราคิดถึง วันของพระเจ้าที่จะมาถึง จะเป็นวันที่พระเจ้าประทาน วันแห่งความยุติธรรม และวันแห่งความยินดี ด้วยเหตุนี้ เราจึงมีความวางใจในพระเจ้า ไม่กลัวความยากล�าบาก การเบียดเบียน และการผจญล่อลวงต่างๆ
บทอ่านที่ 1
สัปดาห์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา
สดด 1:1-6 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
พระวรสาร
วว 1:1-4,2:1-5ก
ต่อไปนี้เป็นการเปิดเผยเรื่องพระเยซูคริสตเจ้า พระเจ้าทรงเปิดเผยแก่พระเยซูคริสตเจ้า เพื่อจะได้แจ้งแก่บรรดาผู้รับใช้ของ พระองค์ ถึงสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ พระเยซูคริสตเจ้าทรงส่งทูตสวรรค์มาพบ ยอห์นผู้รับใช้ของพระองค์เพื่ออธิบายความหมาย ยอห์นเป็นพยานถึงพระวาจาของ พระเจ้าและเป็นพยานถึงค�ำยืนยันของพระเยซูคริสตเจ้าตามที่เขาเห็น ความสุขจงมีแก่ บรรดาผูอ้ า่ นและผูฟ้ งั ถ้อยค�ำของการประกาศพระวาจานีแ้ ละปฏิบตั ติ ามข้อความทีเ่ ขียน ไว้ เพราะเหตุการณ์นั้นใกล้เข้ามาแล้ว จากยอห์น ถึงพระศาสนจักรทั้งเจ็ดแห่งในแคว้นอาเซีย ขอพระหรรษทานและ สันติสุขสถิตกับท่านทั้งหลาย จากพระองค์ผู้ทรงด�ำรงอยู่ในปัจจุบัน ผู้ทรงด�ำรงอยู่ใน อดีตและผู้เสด็จมา จากจิตทั้งเจ็ดซึ่งอยู่เบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระองค์ จงเขียนถึงทูตสวรรค์ของพระศาสนจักรที่เมืองเอเฟซัสว่า “พระองค์ผู้ทรงถือดาว ทัง้ เจ็ดดวงไว้ในพระหัตถ์ขวา และทรงด�ำเนินอยูใ่ นหมูเ่ ชิงตะเกียงทองค�ำทัง้ เจ็ดเชิง ตรัส ดังนี้ เรารูจ้ กั กิจการ ความเหน็ดเหนือ่ ยและความเพียรทนของท่าน และรูว้ า่ ท่านทนคนชัว่ ร้ายไม่ได้ ท่านทดสอบผูท้ อี่ า้ งว่าเป็นอัครสาวก แต่ไม่เป็น และพบว่าเขาเหล่านัน้ เป็นคน พูดค�ำเท็จ ท่านมีความเพียรทนและทนทุกข์เพราะนามของเรา โดยไม่ทอ้ ถอย ถึงกระนัน้ เรามีเรื่องต�ำหนิท่านด้วย คือท่านละทิ้งความรักที่เคยมีแต่ก่อน ดังนั้น จงระลึกว่าท่าน ตกจากสภาพเดิมที่เคยเป็น จงกลับใจและท�ำกิจการอย่างเดิม
ลก 18:35-43
ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงพระด�ำเนินมาใกล้เมืองเยรีโค ชายตาบอดคนหนึ่งนั่งขอทานอยู่ริมทาง เมื่อได้ยิน เสียงผูค้ นผ่านมา เขาจึงถามว่าเกิดอะไรขึน้ มีคนบอกเขาว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธก�ำลังเสด็จผ่านมา คนตาบอด จึงร้องขึน้ ว่า “ข้าแต่พระเยซู โอรสของกษัตริยด์ าวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้าเถิด” ผูค้ นทีเ่ ดินข้างหน้าได้ดวุ า่ เขา บอกให้เงียบ แต่เขากลับตะโกนดังยิ่งกว่าเดิมว่า “พระโอรสของกษัตริย์ดาวิดเจ้าข้า โปรดเมตตาข้าพเจ้า เถิด” พระเยซูเจ้าทรงหยุด ตรัสสั่งให้น�ำคนนั้นเข้ามา เมื่อเขาเข้ามาใกล้ พระองค์ตรัสถามว่า “ท่านอยากให้ เราท�ำอะไรให้” เขาทูลว่า “พระเจ้าข้า ให้ข้าพเจ้ามองเห็นเถิด” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “จงมองเห็นเถิด ความเชื่อของท่านช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว” ทันใดนั้น เขาก็มองเห็นได้อีก และเดินตามพระองค์ไป พลาง ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ประชาชนทั้งปวงเห็นเช่นนั้น ต่างร้องสรรเสริญพระเจ้า พระวาจาวันนี้ท�ำให้เราเห็นพระเยซูเจ้า ผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักความเมตตาสงสารและให้อภัย ซึ่ง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่ความรู้สึก แต่เป็นการกระท�ำที่แสดงออกมาจากภายในจิตใจของพระองค์อย่างแท้จริง เราแต่ละคน จึงควรที่จะวอนขอความเชื่อและความวางใจในพระองค์ เหมือนดังเช่นบารทิเมอัส ชายตาบอดคนนี้ที่ได้กลับมองเห็น อีก ขอพระองค์โปรดสอนเราแต่ละคน ให้รู้จักร้องเรียกหาพระองค์เสมอ คือ การเปิดดวงตาแห่งจิตที่น�ำพระองค์เข้า มาประทับ มารักษา และเติมเต็มในสิ่งที่ขาดหายไปในเราแต่ละคน เพื่อที่จะมองเห็นความจริงที่ส�ำคัญที่สุดในชีวิต คือ การติดตามพระเยซูเจ้าอย่างจริงจัง เพราะพระองค์เป็นหนทาง ความจริง และชีวิต
บทอ่านที่ 1
วว 3:1-6,14-22
พระวรสาร
ลก 19:1-10
จงเขียนถึงทูตสวรรค์ของพระศาสนจักรที่เมืองซาร์ดิสว่า “พระองค์ผู้ทรงมีจิตทั้ง เจ็ดของพระเจ้าและทรงมีดาวเจ็ดดวง ตรัสว่า เรารู้จักกิจการของท่าน ใครๆ คิดว่าท่าน มีชีวิต แต่ท่านตายแล้ว จงตื่นขึ้นและเสริมก�ำลังส่วนที่เหลือซึ่งใกล้จะตาย เพราะเราไม่ ได้พบกิจการใดของท่านดีพร้อมเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าของเรา จงระลึกเถิดว่า ท่าน ได้รับ ได้ยินพระวาจาอย่างไร จงปฏิบัติตามและกลับใจเถิด ถ้าท่านไม่ตื่นเฝ้า เราจะมา เหมือนขโมย และท่านจะไม่รู้ว่าเราจะมาพบท่านเมื่อไร แต่มีบางคนที่เมืองซาร์ดิสซึ่งไม่ น.อัลเบิร์ต ผู้ยิ่งใหญ่ ได้ท�ำให้เสื้อผ้าของตนมีมลทิน เขาเหล่านั้นจะสวมเสื้อขาวเดินกับเราเพราะเขาเป็นผู้ พระสังฆราช เหมาะสม ผู้ใดมีชัยชนะจะสวมเสื้อขาวเช่นนี้ เราจะไม่ลบนามของเขาออกจากหนังสือ และนักปราชญ์ แห่งชีวิต เราจะรับรู้นามของเขาเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราและต่อหน้าบรรดา แห่งพระศาสนจักร ทูตสวรรค์ของพระองค์ ผู้มีหู จงฟังสิ่งที่พระจิตเจ้าตรัสแก่พระศาสนจักรทั้งหลายเถิด” สดด 15:2,3-4,5 จงเขียนถึงทูตสวรรค์ของพระศาสนจักรที่เมืองเลาดิเซียว่า “พระองค์ผู้ทรงเป็น ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 อาเมน ผู้ทรงเป็นพยานที่ซื่อสัตย์และน่าเชื่อถือ ผู้ทรงเป็นปฐมเหตุของทุกสิ่งที่พระเจ้า ทรงสร้าง ตรัสว่า เรารู้จักกิจการของท่าน รู้ว่าท่านไม่เย็นไม่ร้อน ท่านจะเย็นหรือร้อนไป เลยก็จะดีกว่า แต่ท่านมิได้เป็นเช่นนั้น เพราะท่านอุ่นๆ ไม่เย็นไม่ร้อน เราก�ำลังจะคาย ท่านออกจากปากของเรา... ดังนั้น จงมีความกระตือรือร้นและกลับใจ ดูเถิด เราก�ำลังยืนเคาะประตู ถ้าผู้ใด ได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปกินอาหารร่วมกับเขา เขาจะกินอาหารร่วมกับเรา ผู้ใดมีชัยชนะ เราจะให้เขานั่งกับเราบนบัลลังก์ เหมือนกับที่เรามีชัยชนะแล้วและได้นั่งกับพระบิดาของเราบนพระบัลลังก์ ของพระองค์ ผู้มีหู จงฟังสิ่งที่พระจิตเจ้าตรัสแก่พระศาสนจักรทั้งหลายเถิด” เวลานั้น พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าเมืองเยรีโคและก�ำลังจะเสด็จผ่านเมืองนั้น ชายคนหนึ่งชื่อศักเคียส เป็น หัวหน้าคนเก็บภาษี เป็นคนมัง่ มี เขาพยายามมองดูวา่ ใครคือพระเยซูเจ้า แต่กม็ องไม่เห็นเพราะมีคนมาก และ เพราะเขาเป็นคนร่างเตี้ย เขาจึงวิ่งน�ำหน้าไป ปีนขึ้นต้นมะเดื่อเทศ เพื่อให้เห็นพระเยซูเจ้า เพราะพระองค์ ก�ำลังจะเสด็จผ่านไปทางนั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงที่นั่น ทรงเงยพระพักตร์ขึ้นทอดพระเนตรตรัสกับเขา ว่า “ศักเคียส รีบลงมาเถิด เพราะเราจะไปพักที่บ้านท่านวันนี้” เขารีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี ทุกคนที่เห็นต่างบ่นว่า “เขาไปพักที่บ้านคนบาป” ศักเคียสยืนขึ้นทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะ ยกทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งให้แก่คนจน และถ้าข้าพเจ้าโกงสิ่งใดของใครมา ข้าพเจ้าจะคืนให้เขาสี่เท่า” พระเยซู เจ้าตรัสว่า “วันนี้ ความรอดพ้นมาสู่บ้านนี้แล้ว เพราะคนนี้เป็นบุตรของอับราฮัมด้วย บุตรแห่งมนุษย์มาเพื่อ แสวงหาและช่วยคนเลวทรามให้รอดพ้น” พระวาจาของพระเจ้าในวันนีเ้ ป็นการสนทนาระหว่างพระเยซูกบั ศักเคียสทีเ่ มืองเยรีโค เมือ่ ศักเคียสเชือ่ พระเยซูแล้ว มีอะไรเกิดขึ้น เราเห็นชัดว่า มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ศักเคียสไม่ได้พยายามที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิตของ ตน แต่ได้ประสบกับการเปลี่ยนแปลงที่ได้เกิดขึ้นในชีวิตของตน หมายความว่า พระเยซูทรงเปลี่ยนชีวิตของศักเคียส อย่างสิ้นเชิงเป็นเหมือนคนละคน ประการแรก พระเยซูเจ้าทรงเปลี่ยนฐานะภายในของเขาจากคนบาปให้เป็นลูกของ อับราฮัม ประการที่สอง ทรงเปลี่ยนชีวิตภายนอกของเขาด้วย ส่วนเราเชื่อพระเยซูแล้ว ชีวิตก่อนและหลังเป็นอย่างไร เหมือนเดิม หรือแตกต่างกันไป พี่น้องได้สัมผัสกับชีวิตใหม่ที่น่าอัศจรรย์และน่าตื่นเต้นเหมือนศักเคียสไหม
บทอ่านที่ 1
น.มาร์การิต แห่งสก๊อตแลนด์ น.เยอร์ตรู๊ด พรหมจารี
สดด 150:1-6 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
พระวรสาร
วว 4:1-11
หลังจากนั้น ข้าพเจ้าเห็นนิมิต ประตูสวรรค์บานหนึ่งเปิด และข้าพเจ้าได้ยินเสียง ที่เคยได้ยินก่อนนั้นดังดุจเสียงแตร... ทันใดนั้น ข้าพเจ้าก็ตกอยู่ในภวังค์และเห็นพระ บัลลังก์องค์หนึง่ ตัง้ อยูใ่ นสวรรค์ ผูห้ นึง่ ประทับอยูบ่ นพระบัลลังก์นนั้ ... มีบลั ลังก์อกี ยีส่ บิ สี่องค์ล้อมพระบัลลังก์ ผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนนั่งอยู่บนบัลลังก์เหล่านั้น... พระบัลลังก์มีผู้มี ชีวิตสี่ตนซึ่งมีตาเต็มตัวทั้งด้านหน้าและด้านหลัง อยู่ตรงกลางและรอบๆ พระบัลลังก์... ผู้มีชีวิตทั้งสี่ตนต่างมีปีกหกปีก ตาอยู่รอบตัวและอยู่ใต้ปีก ต่างร้องสรรเสริญตลอดวัน ตลอดคืนโดยไม่หยุดเลย... เมื่อผู้มีชีวิตทั้งสี่ตนถวายค�ำสรรเสริญ ถวายพระเกียรติ และขอบพระคุณแด่ พระองค์ผู้ประทับอยู่บนพระบัลลังก์และทรงพระชนม์ตลอดนิรันดรนั้น บรรดาผู้อาวุโส ทั้งยี่สิบสี่คนจะกราบลงเฉพาะพระพักตร์พระผู้ประทับบนพระบัลลังก์ และนมัสการ พระองค์ผู้ทรงพระชนม์ตลอดนิรันดร และจะวางมงกุฎไว้หน้าพระบัลลังก์...
ลก 19:11-28
ขณะทีป่ ระชาชนก�ำลังฟังเรือ่ งเหล่านีอ้ ยู่ พระเยซูเจ้าทรงอยูใ่ กล้กรุงเยรูซาเล็มแล้ว...พระองค์ตรัสว่า “บุรษุ ตระกูลสูงผูห้ นึง่ ออกเดินทางไปแดนไกลเพือ่ รับต�ำแหน่งกษัตริย์ แล้วจะกลับมา เขาเรียกผูร้ บั ใช้สบิ คนเข้ามา แล้ว มอบเงินจ�ำนวนหนึง่ ให้แต่ละคน สัง่ ว่า ‘จงเอาเงินนีไ้ ปท�ำธุรกิจจนกว่าเราจะกลับ’ แต่ชาวเมืองเกลียดชังเขา... แต่เขาก็ยังได้รับต�ำแหน่งกษัตริย์แล้วกลับมา จึงสั่งให้ไปเรียกผู้รับใช้ท่ีเขามอบเงินให้ไว้มาพบ เพื่อจะ รู้ว่าแต่ละคนได้ท�ำธุรกิจอย่างไร คนแรกเข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับเงินที่ท่านให้ไว้ ท�ำก�ำไรได้สิบเท่า’ นาย จึงบอกเขาว่า ‘ดีแล้ว เจ้าเป็นผู้รับใช้ที่ดี เพราะเจ้าซื่อสัตย์ในเรื่องเล็กน้อย เจ้าจงมีอ�ำนาจปกครองเมืองสิบ เมืองเถิด’ คนที่สองเข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับเงินที่ท่านให้ไว้ ท�ำก�ำไรได้ห้าเท่า’ นายบอกเขาว่า ‘เจ้าจงไป ปกครองเมืองห้าเมืองเถิด’ อีกคนหนึ่งเข้ามารายงานว่า ‘นายขอรับเงินที่ท่านให้ไว้อยู่นี่ ข้าพเจ้าเอาผ้าห่อเก็บ ไว้ ข้าพเจ้ากลัวท่าน เพราะท่านเป็นคนเข้มงวด ท่านเอาสิ่งที่ท่านไม่ได้ฝาก ท่านเก็บเกี่ยวสิ่งที่ท่านไม่ได้หว่าน’ นายจึงพูดกับเขาว่า ‘เจ้าขี้ข้าชั่วช้า ข้าจะตัดสินเจ้าจากค�ำพูดของเจ้า เจ้ารู้แล้วว่า ข้าเป็นคนเข้มงวด เอาสิ่งที่ ข้าไม่ได้ฝากไว้ เก็บเกี่ยวสิ่งที่ข้าไม่ได้หว่าน ท�ำไมเจ้าจึงไม่เอาเงินของข้าไปฝากธนาคารไว้เล่า เมื่อข้ากลับมา ข้าจะได้เงินคืนพร้อมกับดอกเบี้ยด้วย’ นายยังกล่าวกับคนที่อยู่ที่นั่นว่า ‘จงเอาเงินจากเขามาให้กับผู้ที่ท�ำก�ำไร สิบเท่าเถิด’ คนเหล่านั้นพูดว่า ‘นายขอรับ เขามีเงินมากอยู่แล้ว’ นายจึงตอบว่า ‘ข้าบอกเจ้าทั้งหลายว่า ผู้ที่มี มาก จะได้รับมากขึ้น ส่วนผู้ที่มีน้อย สิ่งเล็กน้อยที่เขามีอยู่จะถูกริบไปด้วย...’” ในพระวรสารวันนี้พระเยซูเจ้าทรงเล่าให้เราฟังเกี่ยวกับบุรุษตระกูลสูงผู้หนึ่งซึ่งออกเดินทางไปแดน ไกลเพื่อรับต�ำแหน่งกษัตริย์ แน่นอน บุรุษตระกูลสูงผู้นี้หมายถึงพระเยซูเจ้าพระองค์เอง ผู้ซึ่งก�ำลังเดินทางไปยังกรุง เยรูซาเล็มและรับทรมานที่นั่น เพื่อรับพระอาณาจักรจากพระบิดาเจ้าสวรรค์ จากนั้น พระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้ง หนึ่ง ขณะที่เราก�ำลังรอคอยการเสด็จกลับมาของพระองค์ เราต้องพยายามใช้ความรู้ ความสามารถ และพรสวรรค์ที่ พระองค์ประทานแก่เราแต่ละคนให้เกิดประโยชน์สำ� หรับพระนามของพระองค์มากทีส่ ดุ เท่าทีเ่ ราจะท�ำได้ ความรู้ ความ สามารถ และพรสวรรค์ยิ่งเก็บรักษาไว้และไม่ได้ใช้ ยิ่งจะจางหายไปเรื่อยๆ ตรงกันข้าม ถ้าเราใช้และแบ่งปันพระพร เหล่านี้กับคนอื่น เรายิ่งมีความช�ำนาญมากขึ้นเรื่อยๆ จ�ำไว้เสมอว่าพระพรทุกอย่างมีไว้เพื่อแบ่งปัน ไม่ใช่มีเพื่อเก็บไว้ ใช้คนเดียว
บทอ่านที่ 1
วว 5:1-10
พระวรสาร
ลก 19:41-44
ข้าพเจ้าเห็นหนังสือม้วนหนึ่งในพระหัตถ์ขวาของพระองค์ผู้ประทับอยู่บนพระ บัลลังก์ หนังสือม้วนนัน้ มีขอ้ ความเขียนไว้ทงั้ ด้านในและด้านนอก มีตราเจ็ดดวงผนึกอยู่ ข้าพเจ้ายังเห็นทูตสวรรค์ทรงพลังองค์หนึง่ ร้องประกาศเสียงดังว่า “ใครเป็นผูส้ มควรจะ คลี่ม้วนหนังสือ และเปิดตราที่ผนึกไว้” แต่ไม่มีใครทั้งในสวรรค์หรือบนแผ่นดินหรือใต้ พิภพคลี่ม้วนหนังสือนั้นออกอ่านได้ ข้าพเจ้าจึงร้องไห้ฟูมฟายเพราะไม่มีผู้ใดสมควรจะ ระลึกถึง คลี่ม้วนหนังสือนั้นออกอ่านได้เลย ผู้อาวุโสคนหนึ่งพูดกับข้าพเจ้าว่า “อย่าร้องไห้เลย น.เอลีซาเบ็ธ ดูเถิด สิงโตจากตระกูลยูดาห์ หน่อเนื้อเชื้อไขของกษัตริย์ดาวิดทรงได้รับชัยชนะแล้ว แห่งฮังการี นักบวช พระองค์จะทรงคลี่ม้วนหนังสือและเปิดตราที่ผนึกทั้งเจ็ดดวงออกได้” สดด 149:1-2,3-4, 5-7,9ข แล้วข้าพเจ้าเห็นลูกแกะของพระเจ้าตรงกลางพระบัลลังก์ในหมู่ผู้มีชีวิตทั้งสี่ตน และบรรดาผู้อาวุโส ลูกแกะนั้นทรงยืนอยู่ทั้งๆ ที่ถูกประหารชีวิตแล้ว มีเจ็ดเขา เจ็ดตา ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1 หมายถึงจิตทั้งเจ็ดที่พระเจ้าทรงส่งไปทั่วแผ่นดิน ลูกแกะนั้นทรงเข้ามารับม้วนหนังสือ จากพระหัตถ์ขวาของพระผู้ประทับอยู่บนพระบัลลังก์ เมื่อทรงรับม้วนหนังสือแล้ว ผู้ มีชีวิตทั้งสี่ตนและผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนก็กราบลงเฉพาะพระพักตร์ลูกแกะ ต่างถือพิณ และผอบทองค�ำมีก�ำยานใส่เต็ม ซึ่งหมายถึงค�ำอธิษฐานภาวนาของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ขับร้องเพลงบทใหม่ว่า “พระองค์ทรงเหมาะสมทีจ่ ะรับม้วนหนังสือ และเปิดดวงตราทีผ่ นึกอยูน่ นั้ เพราะพระองค์ทรงถูกประหาร ชีวติ ทรงหลัง่ พระโลหิตไถ่กมู้ นุษย์สำ� หรับพระเจ้า จากทุกเผ่า ทุกภาษา ทุกประเทศ ทุกชาติ ทรงท�ำให้เขาเหล่า นั้นเป็นสมณราชตระกูลส�ำหรับพระเจ้าของเรา เขาจะครองราชย์เหนือแผ่นดิน” ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จมาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทอดพระเนตรเมืองนั้นแล้วทรงกันแสง ตรัสว่า “ถ้าในวันนี้เจ้าเพียงแต่รู้จักทางน�ำไปสู่สันติ ก็จะเป็นการดี แต่ทางนั้นถูกซ่อนไว้จากดวงตาของเจ้าเสียแล้ว วันนั้นจะมาถึงเจ้า เมื่อข้าศึกสร้างที่มั่นล้อมเจ้า จะตรึงเจ้าไว้อย่างแน่นหนารอบทุกด้าน จะบุกท�ำลายเจ้าและ ลูกหลานที่อาศัยอยู่ในเจ้าจนราบเป็นหน้ากลอง และจะไม่ปล่อยให้มีก้อนหินซ้อนกันอยู่ในเจ้าอีก เพราะเจ้า ไม่รู้จักเวลาที่พระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมเจ้า” วันนี้ผู้เขียนหนังสือวิวรณ์น�ำเสนอนิมิตซึ่งเกี่ยวกับชัยชนะของพระคริสตเจ้า ผู้ทรงเป็นลูกแกะปัสกา ใหม่ โดยทางการสิน้ พระชนม์ของพระองค์บาปได้ถกู ท�ำลาย และโดยทางพระโลหิตทีไ่ หลหลัง่ บนไม้กางเขนของพระองค์ มนุษย์ได้รบั การช่วยให้รอดพ้น ดังนัน้ การสิน้ พระชนม์ของพระองค์จงึ ไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่เป็นชัยชนะเหนือบาปและ ความตาย ซึ่งน�ำไปสู่การกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ ความตายไม่ใช่จุดหมายปลายทางสุดท้ายของพระเยซูเจ้า แต่เป็นเพียงทางผ่านเข้าสู่พระสิริรุ่งโรจน์ที่พระบิดาทรงเตรียมไว้ส�ำหรับพระองค์เท่านั้น สิ่งที่เป็นจริงในชีวิตของพระ เยซูเจ้า ก็จะเป็นจริงในชีวิตของเราแต่ละคน ผู้ซึ่งเป็นศิษย์ของพระองค์ด้วย ดังนั้น ถ้าเราพร้อมที่จะร่วมส่วนในพระ ทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ ผ่านทางความทุกข์ยากล�ำบากที่เราประสบในแต่ละวัน เราก็จะมีส่วนร่วมใน พระสิริรุ่งโรจน์แห่งการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ในวาระสุดท้ายเช่นเดียวกัน
บทอ่านที่ 1
วันครบรอบการ ถวายพระวิหาร น.เปโตรและเปาโล อัครสาวก สดด 98:1,2-3,4-5 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
พระวรสาร
กจ 28:11-16, 30-31
สามเดือนต่อมา เราโดยสารเรือล�ำหนึง่ ซึง่ มาจากเมืองอเล็กซานเดรียมาจอดพักใน ฤดูหนาวที่เกาะ หัวเรือเป็นรูปเทพเจ้าคัสเตอร์และโพลักซ์ เรามาถึงเมืองซีราคิวส์และ พักอยู่ที่นั่นสามวัน จากนั้นเราแล่นเรือเลียบฝั่งมาถึงเมืองเรยีอุม วันรุ่งขึ้นลมใต้พัดมา เราจึงมาถึงเมืองปูเตโอลีภายในสองวัน ทีน่ นั่ เราพบพีน่ อ้ งบางคนซึง่ เชิญเราให้ไปพักอยู่ กับเขาหนึง่ สัปดาห์ แล้วเราจึงออกเดินทางไปกรุงโรม บรรดาพีน่ อ้ งทีก่ รุงโรมรูว้ า่ เราก�ำลัง เดินทางไป จึงมาพบเราที่เมืองฟอรุมอัปปีและหมู่บ้านสามโรงแรม เมื่อเปาโลเห็นเขา ก็ ขอบคุณพระเจ้าและมีกำ� ลังใจดีขนึ้ เรามาถึงกรุงโรม เปาโลได้รบั อนุญาตให้อยูต่ ามล�ำพัง โดยมีทหารคนหนึ่งเป็นผู้ควบคุม เปาโลพักอยู่ในบ้านเช่าเป็นเวลาสองปีเต็ม และต้อนรับทุกคนที่มาเยี่ยม ประกาศ พระอาณาจักรของพระเจ้าและสอนความจริงเรือ่ งพระเยซูคริสต์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าอย่าง กล้าหาญโดยไม่มีอุปสรรคใดๆ
มธ 14:22-33
ทันทีหลังจากนั้น พระเยซูเจ้าทรงสั่งให้บรรดาศิษย์ลงเรือข้ามทะเลสาบล่วงหน้าพระองค์ไปในขณะที่ พระองค์ทรงจัดให้ประชาชนกลับ เมื่อทรงลาประชาชนแล้ว พระองค์ก็เสด็จขึ้นไปบนภูเขาเพื่อทรงอธิษฐาน ภาวนาตามล�ำพัง ครัน้ เวลาค�ำ่ พระองค์ทรงอยูท่ นี่ นั่ เพียงพระองค์เดียว ส่วนเรืออยูห่ า่ งจากฝัง่ หลายร้อยเมตร ก�ำลังแล่นโต้คลื่นอย่างหนักเพราะทวนลม เมือ่ ถึงยามทีส่ ี่ พระองค์ทรงด�ำเนินบนทะเลไปหาบรรดาศิษย์ เมือ่ บรรดาศิษย์เห็นพระองค์ทรงด�ำเนินอยู่ บนทะเลดังนั้น ต่างตกใจมากกล่าวว่า “ผีมา” และส่งเสียงอื้ออึงด้วยความกลัว ทันใดนั้นพระเยซูเจ้าตรัสแก่เขาว่า “ท�ำใจให้ดี เราเอง อย่ากลัวเลย” เปโตรทูลตอบว่า “พระเจ้าข้า ถ้า เป็นพระองค์ ก็จงสั่งให้ข้าพเจ้าเดินบนน�้ำไปหาพระองค์เถิด” พระองค์ตรัสว่า “มาเถิด” เปโตรจึงลงจากเรือ เดินบนน�ำ้ ไปหาพระเยซูเจ้า แต่เมือ่ เห็นว่าลมแรง เขาก็กลัวและเริม่ จมลง แล้วร้องว่า “พระเจ้าข้า ช่วยข้าพเจ้า ด้วย” ทันใดนั้นพระเยซูเจ้าทรงยื่นพระหัตถ์จับเขา ตรัสว่า “ท่านช่างมีความเชื่อน้อยจริง สงสัยท�ำไมเล่า” เมือ่ พระองค์เสด็จขึน้ มาประทับในเรือพร้อมกับเปโตรแล้ว ลมก็สงบ คนทีอ่ ยูใ่ นเรือจึงเข้ามากราบนมัสการ พระองค์ ทูลว่า “พระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างแท้จริง” พระวิหารเป็นบ้านแห่งการอธิษฐานภาวนาเพือ่ ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เป็นศูนย์กลางแห่งการนมัสการ ส�ำหรับประชากรของพระองค์ อย่างไรก็ตาม ในฐานะคริสตชนเราไม่ได้ถูกจ�ำกัดต่อสถานที่ใดสถานที่หนึ่งเพื่อท�ำการ รือ้ ฟืน้ การถวายสักการบูชาของพระคริสตเจ้า ทีใ่ ดมีการถวายมิสซา ทีน่ นั่ พระเจ้าได้รบั การนมัสการในพระจิตและความ จริง ในสายพระเนตรของพระเจ้า วัดทุกวัด ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ มีคุณค่าไม่ต่างจากพระวิหารนักบุญเปโตรและนักบุญ เปาโลที่กรุงโรม และที่ส�ำคัญพระจิตเจ้าซึ่งเราได้รับในศีลล้างบาปท�ำให้เราแต่ละคนศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นพระวิหารของ พระเจ้า พระเจ้าประทับอยู่ในตัวเราเหมือนที่พระองค์ประทับอยู่ในวัด ดังนั้น อย่าปล่อยให้สิ่งชั่วร้ายที่ท�ำให้ที่ประทับ ของพระเจ้ามัวหมองและเป็นมลทินเข้ามาในตัวเรา พยายามรักษาใจของเราให้สะอาดบริสุทธิ์อยู่เสมอ ให้สมกับเป็นที่ ประทับอันทรงเกียรติของพระเจ้าตลอดไป
บทอ่านที่ 1
วว 11:4-12
มีผกู้ ล่าวแก่ขา้ พเจ้า ยอห์นว่า พยานนีค้ อื ต้นมะกอกเทศสองต้นและเชิงประทีปสอง เชิงที่ตั้งอยู่เฉพาะพระพักตร์องค์พระผู้เป็นเจ้าของแผ่นดิน ผู้ใดต้องการท�ำร้ายพยานนี้ ไฟจะพลุ่งออกจากปากของพยานมาเผาผลาญบรรดาศัตรู ผู้ใดต้องการท�ำร้ายพยาน ผู้ นั้นจะต้องถูกฆ่าเช่นนี้ พยานนี้มีอ�ำนาจปิดท้องฟ้ามิให้ฝนตกตลอดเวลาที่เขาประกาศ พระวาจา เขามีอ�ำนาจเปลี่ยนน�้ำให้กลายเป็นเลือด และมีอ�ำนาจท�ำให้แผ่นดินประสบ ภัยพิบตั ติ า่ งๆ ทุกครัง้ ทีเ่ ขาต้องการ เมือ่ เสร็จสิน้ การเป็นพยานแล้ว สัตว์รา้ ยทีข่ นึ้ มาจาก บาดาล จะสูร้ บกับพยานนี้ จะมีชยั ชนะและฆ่าพยาน ศพของพยานจะอยูท่ ลี่ านของนคร ใหญ่ซึ่งเรียกเป็นสัญลักษณ์ว่าโสโดมและอียิปต์ ณ ที่นั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาทรง ถูกตรึงกางเขน ประชากรหลายกลุ่ม หลายเผ่า หลายภาษา หลายชาติจะมองดูศพของ พยานอยู่สามวันครึ่ง และไม่ยอมให้น�ำศพไปฝังไว้ในคูหา ผู้อาศัยบนแผ่นดินจะยินดี ที่เขาตาย จะฉลองและแลกเปลี่ยนของขวัญกัน เพราะประกาศกทั้งสองคนนี้ทรมาน บรรดาผู้อาศัยอยู่บนแผ่นดินด้วย” สามวันครึง่ หลังจากนัน้ พระเจ้าจะทรงเป่าลมปราณแห่งชีวติ เข้าไปในพยานทัง้ สอง คน เขาจะลุกขึ้นยืน ทุกคนที่แลเห็นจะหวาดกลัวอย่างมาก...
พระวรสาร
สัปดาห์ที่ 33 เทศกาลธรรมดา สดด 144:1,2,9-11 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
ลก 20:27-40
เวลานั้น ชาวสะดูสีบางคนมาพบพระเยซูเจ้า คนเหล่านี้สอนว่าไม่มีการกลับคืนชีพ เขาทูลถามพระองค์ ว่า “พระอาจารย์ โมเสสเขียนสั่งไว้ว่า ถ้าพี่ชายตาย มีภรรยาแต่ไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายของเขารับหญิงนั้นมา เป็นภรรยาเพื่อจะได้สืบสกุลของพี่ชาย มีพี่น้องเจ็ดคน คนแรกมีภรรยา แล้วก็ตายโดยไม่มีบุตร คนที่สอง คน ที่สามรับนางเป็นภรรยาและตายโดยไม่มีบุตร เป็นเช่นนี้ทั้งเจ็ดคน ในที่สุดหญิงคนนั้นก็ตายด้วย ดังนี้ เมื่อ มนุษย์จะกลับคืนชีพ หญิงคนนั้นจะเป็นภรรยาของใคร เพราะทั้งเจ็ดคนต่างได้นางเป็นภรรยา” พระเยซูเจ้าตรัสกับเขาว่า “คนของโลกนี้แต่งงานเป็นสามีภรรยากัน แต่คนที่จะบรรลุถึงโลกหน้าและจะ กลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายนั้น จะไม่แต่งงานเป็นสามีภรรยากันอีก เพราะเขาจะไม่ตายอีกต่อไป เขาจะเป็น เหมือนทูตสวรรค์และจะเป็นบุตรของพระเจ้า เพราะเขาจะกลับคืนชีพ โมเสสยืนยันแล้วว่าผูต้ ายจะกลับคืนชีพ ในข้อความเรือ่ งพุม่ ไม้ เมือ่ พูดถึงองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าว่า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัคและพระเจ้า ของยาโคบ พระองค์มิใช่พระเจ้าของผู้ตาย แต่เป็นพระเจ้าของผู้เป็น เพราะทุกคนมีชีวิตอยู่เพื่อพระองค์” ธรรมาจารย์บางคนพูดว่า “พระอาจารย์ ท่านพูดดีแล้ว” เขาไม่กล้าทูลถามพระองค์อีกต่อไป เรื่องราวในหนังสือวิวรณ์มีจุดประสงค์เดียวกันกับเรื่องเล่าเกี่ยวกับการแสดงองค์อย่างรุ่งโรจน์ของ พระเยซูเจ้า กล่าวคือ โดยการสิ้นพระชนม์ พระเยซูเจ้าทรงได้ชัยชนะเหนือบาปและความตาย ชัยชนะนี้แสดงออกมา ให้เห็นผ่านทางการกลับคืนพระชนมชีพจากความตายของพระองค์ บทอ่านในวันนี้ เป็นสารทีใ่ ห้กำ� ลังใจไม่เพียงส�ำหรับ บรรดาคริสตชนที่ก�ำลังประสบมรสุมแห่งชีวิต และท้อแท้ใจจากการเบียดเบียนข่มเหงเท่านั้น แต่ส�ำหรับพวกเราแต่ละ คนด้วย บางครั้งในชีวิตของเรา เราอาจรู้สึกว่าโลกทั้งโลกก�ำลังต่อต้านเรา โลกใบเล็กๆ ส่วนตัวของเราก�ำลังถูกบดขยี้ แต่เราไม่ตอ้ งกลัว เราก�ำลังอยูใ่ นการต่อสูซ้ งึ่ จะด�ำเนินไปชัว่ ระยะหนึง่ เท่านัน้ สงครามทีแ่ ท้จริงได้ยตุ ลิ งและได้รบั ชัยชนะ แล้วผ่านทางพระเยซูเจ้าของเรา ในฐานะคริสตชนเราทุกคนเป็นผู้ติดตามพระองค์ เราจึงมีส่วนร่วมในชัยชนะนั้นแล้ว
บทอ่านจากหนังสือซามูเอล ฉบับที่สอง
2 ซมอ 5:1-3
ชาวอิสราเอลทุกเผ่ามาเฝ้ากษัตริย์ดาวิดที่เมืองเฮโบรน ทูลว่า “ข้าพเจ้าทั้งหลาย เป็นสายเลือดเดียวกันกับพระองค์ ในอดีตเมื่อกษัตริย์ซาอูลทรงปกครอง พระองค์ทรง น�าชาวอิสราเอลออกรบ องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่พระองค์ว่า ‘ท่านจะเลี้ยงดูอิสราเอล ประชากรของเรา ท่านจะเป็นเจ้านายเหนืออิสราเอล’” บรรดาผู้อาวุโสชาวอิสราเอล จึงมาเฝ้ากษัตริย์ที่เมืองเฮโบรน และกษัตริย์ดาวิดทรงท�าพันธสัญญากับเขาเฉพาะพระ พักตร์องค์พระผูเ้ ป็นเจ้าทีเ่ มืองเฮโบรน เขาจึงเจิมดาวิดขึน้ เป็นกษัตริยป์ กครองอิสราเอล
สมโภช พระเยซูเจ้า กษัตริย์แห่งสากลจักรวาล เพลงสดุดี สดด 122:1-2,3-5 วันกระแสเรียก ก) ข้าพเจ้ายินดีเมื่อมีผู้บอกข้าพเจ้าว่า “เราจงไปยังบ้านขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยกันเถิด” บัดนี้ เยรูซาเล็มเอย เท้าของเรามายืนที่ประตูของเจ้าแล้ว ข) เยรูซาเล็มสร้างขึ้นเป็นนคร มีก�าแพงล้อมรอบอย่างมั่นคง เผ่าพันธุ์ต่างๆ ขึ้นไปที่นั่น เผ่าพันธุ์ทั้งหลายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ตามที่ทรงก�าหนดให้อิสราเอล สรรเสริญพระนามพระองค์ ที่นั่นเป็นที่ตั้งบัลลังก์พิพากษา บัลลังก์แห่งราชวงศ์กษัตริย์ดาวิด
บทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโคโลสี คส 1:12-20
พี่น้อง ขอบพระคุณพระบิดาเจ้าด้วยความยินดี พระองค์โปรดให้ท่านเป็นบุคคลที่ เหมาะสมจะเข้าอยู่ในแสงสว่าง มีส่วนได้รับมรดกร่วมกับบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า พระองค์ทรงช่วยเราให้พ้นจากอ�านาจความมืดมนและทรงน�าเราเข้าไปสู่พระ อาณาจักรของพระบุตรสุดที่รักของพระองค์ เดชะพระบุตรนี้ เราได้รับการไถ่กู้และได้ รับการอภัยบาป พระองค์ทรงเป็นภาพลักษณ์ของพระเจ้าที่เรามองไม่เห็น ทรงเป็นบุตรคนแรกใน บรรดาสิ่งสร้างทั้งปวง เพราะสรรพสิ่งทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดิน ทั้งที่แลเห็นได้และ ไม่อาจแลเห็นได้ เทพนิกรบัลลังก์ เทพนิกรนาย เทพนิกรเจ้าและเทพนิกรอ�านาจ ล้วน ถูกสร้างโดยพระองค์ทงั้ สิน้ ทุกสิง่ ถูกเนรมิตขึน้ โดยพระองค์ และเพือ่ พระองค์ พระองค์ ทรงด�ารงอยู่ก่อนสรรพสิ่ง และสรรพสิ่งด�ารงอยู่เป็นระเบียบในพระองค์ พระองค์ทรงเป็นศีรษะของร่างกาย คือพระศาสนจักร พระองค์ทรงเป็นปฐมเหตุ ทรงเป็นบุคคลแรกในบรรดาผู้ตายที่กลับคืนชีพ ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะได้ทรงเป็นเอกใน ทุกสิง่ เพราะพระเจ้าพอพระทัยให้ความบริบรู ณ์ทงั้ ปวงอยูใ่ นพระคริสตเจ้า และให้สรรพ
สิง่ คืนดีกบั พระองค์โดยทางพระคริสตเจ้า ผูโ้ ปรดให้ทกุ สิ่งมีสันติ ด้วยพระโลหิตที่ทรงหลั่งบนไม้กางเขนของ พระองค์ ทั้งสิ่งที่อยู่บนแผ่นดินและสิ่งที่อยู่ในสวรรค์
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญลูกา ลก 23:35-43
เวลานั้น ประชาชนยืนดูอยู่ที่นั่น ส่วนบรรดาผู้น�า เยาะเย้ยพระองค์ว่า “เขาช่วยคนอื่นให้รอดพ้นได้ ก็ให้ เขาช่วยตนเองซิ ถ้าเขาเป็นพระคริสต์ผู้ที่พระเจ้าทรง เลือกสรร” แม้แต่บรรดาทหารก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วย เขาน�าเหล้าองุ่นเปรี้ยวเข้ามาถวาย พลางกล่าวว่า “ถ้า ท่านเป็นกษัตริย์ของชาวยิว ก็จงช่วยตนเองให้รอดพ้น ซิ” มีค�าเขียนไว้เหนือพระองค์ว่า “ผู้นี้คือกษัตริย์ของชาวยิว” ผู้ร้ายคนหนึ่งที่ถูกตรึงบนไม้กางเขน พูดดูหมิ่นพระองค์ว่า “แกเป็นพระคริสต์ไม่ใช่หรือ จงช่วย ตนเองและช่วยเราให้รอดพ้นด้วยซิ” แต่อีกคนหนึ่งดุเขา กล่าวว่า “แกไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือที่มารับ โทษเดียวกันกับท่านผู้นี้ ส�าหรับพวกเราก็ยุติธรรมแล้ว เพราะเรารับโทษสมกับการกระท�าของเรา แต่ ท่านผู้นี้มิได้ท�าผิดเลย” แล้วเขาทูลว่า “ข้าแต่พระเยซู โปรดทรงระลึกถึงข้าพเจ้าด้วยเมื่อพระองค์จะ เสด็จสู่พระอาณาจักรของพระองค์” พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า วันนี้ ท่านจะ อยู่กับเราในสวรรค์” ในอดีตประกาศกหลายคนได้ทา� นายว่าพระเจ้าจะทรงสถาปนาอาณาจักรทีไ่ ม่มใี ครสามารถท�าลาย ได้ และได้กลายเป็นความจริงในพระอาณาจักรทีพ่ ระคริสตเจ้าได้ทรงสถาปนาไว้ ซึง่ จะพบกับความครบบริบรู ณ์ใน เมืองสวรรค์ เราทุกคนเป็นประชากรของอาณาจักรนี้โดยมีพระคริสตเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ อาณาจักรของพระองค์ เป็นอาณาจักรแห่งความยุติธรรม ความรัก และสันติสุข ในพระคริสตเจ้าเราจึงพบความปลอดภัยที่แท้จริงและมี ทีพ่ กั พิงนิรนั ดรซึง่ ยิง่ ใหญ่กว่าทุกอาณาจักรบนโลกนีม้ ารวมกัน ให้เราประกาศความเชือ่ และความไว้วางใจในพระ คริสตเจ้า กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ของเรา ในขณะที่เราก�าลังรอคอยการเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งของพระองค์ เพื่อท�าให้ ทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์ไป รวมทั้งโลกของเราด้วย ให้เราพยายามท�าทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ความยุติธรรม ความรัก และสันติสุข อันเป็นลักษณะของพระอาณาจักรของพระองค์ปรากฏชัดแก่สายตาของชาวโลกและของทุกคนที่อยู่ รอบข้างเรา
ระลึกถึงพระนางมารีย์ พรหมจารี ถวายองค์ในพระวิหาร สดด 24:1-2,3-4, 5-6 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1
วว 14:1-3,4ข-5
พระวรสาร
ลก 21:1-4
ข้าพเจ้าเห็นภาพนิมิต ลูกแกะทรงยืนอยู่บนภูเขาศิโยน ประชาชนจ�านวนหนึ่งแสน สี่หมื่นสี่พันคนอยู่กับพระองค์ แต่ละคนมีพระนามของลูกแกะและพระนามพระบิดา ของพระองค์เขียนไว้ที่หน้าผาก ข้าพเจ้าได้ยินเสียงหนึ่งดังจากสวรรค์ เหมือนเสียงน�้า ไหลเชี่ยว และเหมือนเสียงฟ้าร้องกึกก้อง เสียงที่ข้าพเจ้าได้ยินเหมือนเสียงพิณจ�านวน มากทีน่ กั เล่นพิณก�าลังดีด เขาเหล่านัน้ ร้องเพลงบทใหม่หน้าพระบัลลังก์ ต่อหน้าผูม้ ชี วี ติ ทั้งสี่ตนและต่อหน้าบรรดาผู้อาวุโส ไม่มีใครเรียนรู้บทเพลงนี้ได้ นอกจากคนบนแผ่น ดินจ�านวนหนึ่งแสนสี่หมื่นสี่พันคนผู้ได้รับการไถ่กู้ เขาบริสุทธิ์เหมือนพรหมจารี เพราะ ซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า เขาติดตามลูกแกะไปทุกแห่งที่พระองค์เสด็จ ในบรรดามนุษย์ทั้ง หลาย คนเหล่านั้นเป็นผู้ได้รับการไถ่กู้ เป็นเหมือนผลแรกถวายแด่พระเจ้าและลูกแกะ ปากของเขาไม่เคยกล่าวค�าเท็จ เขาไม่มีมลทิน เวลานั้น พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นคนมั่งมีก�าลังใส่เงินถวายลงในตู้ทาน ทรง เห็นหญิงม่ายยากจนคนหนึ่งใส่เหรียญทองแดงสองเหรียญลงในตู้ทานด้วย จึงตรัส ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า หญิงม่ายยากจนคนนี้ท�าทานมากกว่าทุกคน เพราะทุกคนน�าเงินที่เหลือใช้มาท�าทาน แต่หญิงคนนี้ขัดสนอยู่แล้ว ยังน�าเงินทั้งหมด ส�าหรับเลี้ยงชีพมาท�าทาน” หญิงม่ายในพระวรสารวันนีเ้ ป็นคนยากจนและไม่มตี า� แหน่งชือ่ เสียง แต่ความ ศรัทธาทีเ่ รียบง่ายและสุภาพถ่อมตนของนางโดดเด่นมากในสายพระเนตรของพระเยซูเจ้า ตรง กันข้ามกับความหยิง่ จองหองและความทะเยอทะยานของผูน้ า� ศาสนาบางคนในสมัยนัน้ อย่างเห็น ได้ชดั ยิง่ กว่านัน้ ทานทีน่ างให้ยงั แตกต่างจากทานทีค่ นอืน่ ให้ในวันนัน้ ด้วย คนอืน่ น�าเงินทีเ่ หลือ ใช้มาท�าทาน แต่ด้วยความไว้วางใจในพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้า หญิงม่ายคนนี้ได้น�าเงิน ทั้งหมดส�าหรับเลี้ยงชีพมาท�าทาน แน่นอน ในวันต่อไปนางจะไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย นางมีเงิน เหลืออยูเ่ พียงเหรียญทองแดงสองเหรียญเท่านัน้ และนางได้ใส่ลงในตูท้ านทัง้ หมด นางสามารถ เก็บเหรียญหนึง่ ไว้สา� หรับเลีย้ งชีพตนเอง แต่การรับใช้พระเจ้าทีแ่ ท้จริงไม่สามารถเป็นแบบครึง่ ๆ กลางๆ และนางได้พิสูจน์ให้เห็นความจริงประการนี้ นางได้ให้ทั้งหมดและทุ่มเทแบบสุดๆ
บทอ่านที่ 1
วว 14:14-19
ข้าพเจ้าเห็นนิมิต มีเมฆขาวก้อนหนึ่ง บนเมฆนั้นมีผู้หนึ่งเหมือนบุตรแห่งมนุษย์นั่ง อยู่ ศีรษะสวมมงกุฎทองค�า มือถือเคียวคม ทูตสวรรค์อกี องค์หนึง่ ออกจากพระวิหารร้อง เสียงดังบอกผูท้ นี่ งั่ อยูบ่ นก้อนเมฆว่า “จงใช้เคียวของท่านเกีย่ วเถิด เพราะเวลาเก็บเกีย่ ว มาถึงแล้ว และพืชผลของแผ่นดินพร้อมทีจ่ ะเก็บเกีย่ วได้แล้ว” ผูท้ นี่ งั่ บนเมฆจึงใช้เคียว เกี่ยวลงไปบนแผ่นดิน และพืชผลของแผ่นดินก็ถูกเก็บเกี่ยว ทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งออกจากพระวิหารในสวรรค์ ถือเคียวคมมาด้วย ทูตสวรรค์ อีกองค์หนึ่งมีอ�านาจเหนือไฟออกมาทางพระแท่นบูชา ร้องเสียงดังบอกทูตสวรรค์ผู้ถือ เคียวคมว่า “จงใช้เคียวคมของท่านเก็บพวงองุน่ จากสวนองุน่ ของแผ่นดิน เพราะผลองุน่ สุกแล้ว” ทูตสวรรค์นนั้ จึงใช้เคียวเกีย่ วลงไปบนแผ่นดิน เก็บเกีย่ วสวนองุน่ ของแผ่นดิน แล้วโยนผลองุ่นลงไปในบ่อย�่าองุ่นบ่อใหญ่ซึ่งหมายถึงการลงโทษจากพระเจ้า
พระวรสาร
ลก 21:5-11
ขณะนั้นบางคนให้ข้อสังเกตว่าพระวิหารมีหินและของถวายตกแต่งอย่างงดงาม พระเยซูเจ้าจึงตรัสว่า “สักวันหนึ่ง ทุกสิ่งที่ท่านเห็นอยู่นี้ จะไม่มีก้อนหินเหลือซ้อนกัน อยู่เลย” เขาจึงทูลถามพระองค์ว่า “พระอาจารย์ เหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นเมื่อไร และมี เครื่องหมายใดบอกว่าเหตุการณ์นี้ก�าลังจะเกิดขึ้น” พระองค์ตรัสตอบว่า “จงระวังอย่าให้ผู้ใดหลอกลวงท่านได้ หลายคนจะอ้างนาม ของเรา พูดว่า ‘ฉันเป็นพระคริสต์’ และ ‘เวลาก�าหนดมาถึงแล้ว’ อย่าตามเขาไป เมือ่ ท่าน ทั้งหลายได้ยินข่าวลือเรื่องสงครามและการปฏิวัติ จงอย่าตกใจ เหตุการณ์เหล่านี้จ�าเป็น ต้องเกิดขึ้นก่อน แต่ยังไม่ถึงวาระสุดท้าย” แล้วพระองค์ตรัสกับเขาว่า “ชาติหนึ่งจะลุก ขึ้นต่อสู้กับอีกชาติหนึ่ง อาณาจักรหนึ่งจะลุกขึ้นต่อสู้กับอีกอาณาจักรหนึ่ง แผ่นดินไหว ใหญ่หลวง ความอดอยาก และโรคระบาดจะเกิดขึน้ หลายแห่ง จะมีเหตุการณ์นา่ สะพรึง กลัว และเครื่องหมายยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นในท้องฟ้า” เหตุใดพระศาสนจักรจึงให้ภาพที่น่าสะพรึงกลัวกับเราในตอนท้ายของปี พิธีกรรม? เป็นไปได้ว่าพระศาสนจักรซึ่งสานต่อพันธกิจแห่งการไถ่กู้ของพระเยซูเจ้า ต้องการ น�าผูค้ นมาหาพระองค์ให้มากเท่าทีจ่ ะท�าได้ ทัง้ พระเจ้าและพระศาสนจักรรูว้ า่ บางคนจะตอบรับ เสียงเรียกและความรักทีพ่ ระองค์ได้ทรงทุม่ เทเพือ่ พวกเขา อย่างไรก็ตาม มีบางคนอาจต้องการ ค�าเตือนเกี่ยวกับผลที่ตามมาของการกระท�าของพวกเขา เพื่อว่าพวกเขาจะตระหนักถึงความ ส�าคัญของพระเยซูเจ้าในชีวิต บางครั้ง ความกลัวที่จะไม่บรรลุถึงชีวิตนิรันดร หรือความกลัว ตกนรก เป็นแรงจูงใจอันหนึ่งที่ท�าให้หลายคนต้องท�าความดี ด�าเนินชีวิตตามหลักศีลธรรมอันดี งาม พระเจ้าทรงทราบเรื่องนี้ดี พระองค์จึงทรงเตือนเราด้วยภาพที่น่าสะพรึงกลัวเช่นนี้ เพื่อ เราจะได้เข้าใจว่าชีวติ ทีป่ ราศจากพระองค์นนั้ เป็นอย่างไร เราจะได้ระวังตัวเองและท�าสิง่ ทีค่ วร ท�า ทั้งนี้เพราะพระองค์ทรงต้องการให้เราอยู่ในสวรรค์กับพระองค์ตลอดนิรันดรนั่นเอง
ระลึกถึง น.เซซีลีอา พรหมจารี และมรณสักขี สดด 96:10-13 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 2
บทอ่านที่ 1
ระลึกถึง น.เคลเมนต์ ที่ 1 พระสันตะปาปา มรณสักขี น.โคลัมบัน เจ้าอธิการ
สดด 98:1,2-3, 7-8,9 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
วว 15:1-4 ข้าพเจ้าเห็นเครื่องหมายยิ่งใหญ่และน่าพิศวงอีกประการหนึ่งในสวรรค์ ทูตสวรรค์ เจ็ดองค์ถือภัยพิบัติเจ็ดประการสุดท้าย เพราะภัยพิบัติทั้งเจ็ดนี้จะท�ำให้การลงโทษจาก พระเจ้าสิ้นสุดลง ข้าพเจ้าเห็นสิ่งหนึ่งเหมือนทะเลแก้วปนไฟ เห็นบรรดาผู้มีชัยชนะต่อ สัตว์ร้าย ต่อรูปปั้นของมัน และต่อเลขชื่อของมันก�ำลังยืนอยู่ริมทะเลแก้วนั้น ถือพิณ ของพระเจ้า และขับร้องบทเพลงของโมเสส ผู้รับใช้พระเจ้าและบทเพลงของลูกแกะว่า ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ พระราชกิจของพระองค์ยิ่งใหญ่และน่าพิศวงยิ่งนัก ข้าแต่พระราชาแห่งนานาชาติ วิถีทางของพระองค์นั้นเที่ยงธรรมและสัตย์จริง ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ใครเล่าจะไม่ย�ำเกรงพระองค์และจะไม่ถวายพระเกียรติแด่พระนามพระองค์ เพราะพระองค์ผู้เดียวทรงศักดิ์สิทธิ์ ประชาชาติทั้งหลายจะมาและกราบนมัสการพระองค์ เพราะการพิพากษาเที่ยงธรรมของพระองค์ปรากฏชัดแจ้งแล้ว
พระวรสาร
ลก 21:12-19
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “แต่กอ่ นทีเ่ หตุการณ์ทงั้ หมดนีจ้ ะเกิดขึน้ เขาจะจับกุมท่าน จะเบียดเบียนท่าน จะน�ำ ท่านไปไต่สวนในศาลาธรรม และจะจองจ�ำท่านในคุก เขาจะน�ำท่านไปยืนต่อหน้ากษัตริย์ และผูว้ า่ ราชการเพราะนามของเรา และนีจ่ ะเป็นโอกาสให้ทา่ นเป็นพยานถึงเรา จงตัดสิน ใจว่าท่านจะไม่หาค�ำแก้ตวั ไว้กอ่ น เราจะให้คำ� พูดและปรีชาญาณแก่ทา่ น ซึง่ ศัตรูของท่าน จะต้านทานหรือโต้แย้งไม่ได้ บิดามารดา พี่น้อง ญาติและมิตรสหายจะทรยศต่อท่าน บางท่านจะต้องถูกประหารชีวิตด้วย ท่านทั้งหลายจะเป็นที่เกลียดชังของทุกคนเพราะ นามของเรา แต่เส้นผมบนศีรษะของท่านจะไม่เสียไปแม้แต่เส้นเดียว ด้วยการยืนหยัด มั่นคงท่านจะรักษาชีวิตของท่านไว้ได้” การเบียดเบียนเป็นเครื่องหมายประการหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าพระเจ้าก�ำลังเรียกเราให้มีความเพียรทน และความเชื่อที่มั่นคงว่า ความทุกข์ยากล�ำบากที่เราประสบนั้นจะน�ำเราไปสู่ชีวิตนิรันดร ดังนั้น เราต้องไม่ท้อถอยหรือ หมดก�ำลังใจง่ายๆ ในสมัยของเรา การเบียดเบียนมีหลายรูปแบบ อาจเป็นความตึงเครียดซึ่งคู่สมรสหลายคนรู้สึกเมื่อ พวกเขาพยายามที่จะรักษาชีวิตครอบครัวของพวกเขาไว้ให้ตลอดรอดฝั่ง อาจเป็นค่านิยมทางโลก สังคมแบบวัตถุนิยม ทีส่ ร้างแรงกดดันต่อการด�ำเนินชีวติ ของเราตามคุณค่าพระวรสาร หรืออาจเป็นความท้อแท้ใจส่วนตัวของเราก็ได้ แทนที่ จะมองความเป็นจริงเหล่านี้ในทางลบ เราควรพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส พยายามมองพวกมันในฐานะรูปแบบหนึ่งของ เครือ่ งหมายแห่งความรักจากพระเจ้า เพือ่ ทดสอบความเชือ่ และความซือ่ สัตย์ของเรา เราต้องพยายามยืนหยัดต่อสูด้ ว้ ย ความเพียรทน และต้องไม่ลืมว่าพระเจ้าทรงมีพระหรรษทานที่เพียงพอส�ำหรับเราในยามที่เราต้องการเสมอ
บทอ่านที่ 1
วว 18:1-2,21-23,19:1-3,9ก
หลังจากนัน้ ข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์อกี องค์หนึง่ ลงจากสวรรค์ มีอำ� นาจยิง่ ใหญ่ ท�ำให้ แผ่นดินสว่างจ้าด้วยความรุ่งโรจน์ของเขา เขาร้องตะโกนเสียงดังว่า “บาบิโลนล่มแล้ว บาบิโลนนครใหญ่ลม่ แล้ว กลายเป็นทีอ่ าศัยของบรรดาปีศาจ เป็นทีข่ งั บรรดาจิตโสโครก เป็นที่ขังบรรดานกโสโครก และเป็นที่ขังสัตว์ร้ายโสโครกและน่ารังเกียจทั้งหลาย” ทูตสวรรค์ทรงพลังองค์หนึ่งยกหินก้อนหนึ่งใหญ่เท่าหินโม่ทุ่มลงทะเล กล่าวว่า “บาบิโลนนครใหญ่จะถูกทุ่มลงอย่างรุนแรงเช่นนี้ จะไม่มีใครพบเห็นนครนี้อีกเลย... จะ ไม่มีใครได้ยินเสียงหินโม่ในเจ้าอีกต่อไป แสงตะเกียงจะไม่ส่องสว่างในเจ้าอีกต่อไป จะ ไม่มีใครได้ยินเสียงเจ้าบ่าวและเจ้าสาวในเจ้าอีกต่อไป เพราะบรรดาพ่อค้าของเจ้าล้วน เคยเป็นใหญ่ในแผ่นดิน และเวทมนตร์ของเจ้าล่อลวงนานาชาติให้ลุ่มหลง” ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังในสวรรค์เหมือนเสียงของประชาชนจ�ำนวนมากร้องว่า “อัลเลลูยา ความรอดพ้น พระสิริรุ่งโรจน์ พระอานุภาพเป็นของพระเจ้าของเรา เพราะ พระองค์ทรงพิพากษาอย่างสัตย์จริงและยุติธรรม... พระองค์ทรงลงโทษแทนโลหิตของ บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ซึ่งนางได้ประหารชีวิต”...
พระวรสาร
ระลึกถึง น.อันดรูว์ ดุง-ลัก พระสงฆ์ และเพื่อนมรณสักขี ชาวเวียดนาม สดด 100:1-3,4-5 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2
ลก 21:20-28
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเห็นกองทัพต่างๆ ล้อมกรุงเยรูซาเล็ม ก็จงรู้ไว้เถิดว่าความพินาศของนครนั้นใกล้เข้า มาแล้ว เวลานั้นผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดียจงหนีไปยังภูเขา ผู้ที่อยู่ในกรุงจงรีบออกไปเสีย ผู้ที่อยู่ในชนบทก็จง อย่าเข้ามาในกรุง เพราะวันเหล่านั้นจะเป็นวันพิพากษาลงโทษ ข้อความที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์จะเป็นจริงทุก ประการ น่าสงสารหญิงมีครรภ์และหญิงแม่ลูกอ่อนในวันนั้น ทุกขเวทนาใหญ่หลวงจะครอบคลุมทั่วแผ่นดิน และพระพิโรธจะลงมาเหนือชนชาตินี้ บางคนจะตายด้วยคมดาบ บางคนจะถูกจับเป็นเชลยไปอยู่ในประเทศ ต่างๆ กรุงเยรูซาเล็มจะถูกคนต่างศาสนาเหยียบย�่ำจนกว่าจะครบเวลาที่พระเจ้าทรงก�ำหนดไว้ จะมีเครื่องหมายในดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์และดวงดาวต่างๆ ชนชาติต่างๆ บนแผ่นดินจะทนทุกข์ทรมาน ฉงนสนเท่หต์ อ่ เสียงกึกก้องของทะเลทีป่ น่ั ป่วน มนุษย์จะสลบไปเพราะความกลัว และหวัน่ ใจถึงเหตุการณ์ทจี่ ะ เกิดขึ้นในโลก เพราะสิ่งต่างๆ ในท้องฟ้าจะสั่นสะเทือน หลังจากนั้นประชาชนทั้งหลายจะเห็นบุตรแห่งมนุษย์ เสด็จมาในก้อนเมฆ ทรงพระอานุภาพและพระสิริรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่ เมื่อเหตุการณ์ทั้งปวงนี้เริ่มเกิดขึ้น ท่านทั้ง หลายจงยืนตรง เงยหน้าขึ้นเถิด เพราะในไม่ช้าท่านจะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระแล้ว” เมื่อใดก็ตามที่เราต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ยากล�ำบากในชีวิตและถูกล่อลวงให้รู้สึกหมดก�ำลังใจ ท้อแท้สิ้นหวัง อยากจะเลิกติดตามพระเจ้าบนเส้นทางที่เราได้เลือกและก�ำลังเดินอยู่ในเวลานี้ จ�ำไว้ว่าพระเจ้าทรงอยู่ เคียงข้างเราเสมอ พระองค์ทรงเอาพระทัยใส่เราและทรงเฝ้ามองดูเรา พระองค์ทรงพร้อมทีจ่ ะช่วยเหลือเราและน�ำทาง เราให้ผา่ นพ้นความทุกข์ยากล�ำบากทีเ่ ราก�ำลังเผชิญอยู่ เราต้องมีความไว้วางใจในความรักของพระองค์ทมี่ ตี อ่ เราแต่ละ คน และเชื่อมั่นว่าความทุกข์ยากล�ำบากต่างๆ ในชีวิตเป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องผ่านเพื่อเข้าสู่ชีวิตนิรันดร และที่ส�ำคัญให้ เรานึกถึงพระด�ำรัสของพระเยซูเจ้าในพระวรสารวันนี้ที่ว่า “ท่านทั้งหลายจงยืนตรง เงยหน้าขึ้นเถิด เพราะในไม่ช้า ท่านจะได้รับการปลดปล่อยเป็นอิสระแล้ว” (ลก 21:28)
บทอ่านที่ 1
วว 20:1-4,11-21:2
ข้าพเจ้าเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ถือกุญแจแห่งบาดาลและโซ่ใหญ่ เส้นหนึ่ง เขาจับมังกร หรืองูดึกด�ำบรรพ์คือปีศาจและซาตาน แล้วล่ามมันไว้เป็นเวลา หนึ่งพันปี โยนมันลงไปในบาดาล ปิดกุญแจทางเข้าและประทับตราไว้ข้างบน เพื่อมิให้ มันหลอกลวงนานาชาติให้หลงผิดได้อีกจนกว่าจะครบก�ำหนดหนึ่งพันปี... ข้าพเจ้าเห็นบัลลังก์หลายองค์ และบรรดาผู้ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์นั้นได้รับอ�ำนาจที่ น.กาทารีนา จะพิพากษา ข้าพเจ้าเห็นวิญญาณของผูท้ ถี่ กู ตัดศีรษะเพราะค�ำพยานถึงพระเยซูเจ้าและ แห่งอเล็กซานเดรีย เพราะพระวาจาของพระเจ้า ข้าพเจ้ายังเห็นผู้ที่ไม่ได้กราบนมัสการสัตว์ร้ายและรูปปั้น พรหมจารีและ ของมัน และไม่ยอมประทับตราไว้บนหน้าผากหรือที่มือ เขาเหล่านั้นกลับมีชีวิต และ มรณสักขี เข้าครองราชย์พร้อมกับพระคริสตเจ้าเป็นเวลาหนึ่งพันปี สดด 84:1-2,3-4,5 ข้าพเจ้าเห็นบัลลังก์ใหญ่สขี าวและเห็นพระองค์ผปู้ ระทับอยูบ่ นบัลลังก์ ท้องฟ้าและ แผ่ น ดิ นสูญหายไปเฉพาะพระพักตร์พระองค์ แล้วข้าพเจ้าเห็นบรรดาผูต้ ายทัง้ ผูใ้ หญ่และ ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 2 ผูน้ อ้ ยยืนอยูห่ น้าพระบัลลังก์ หนังสือหลายม้วนถูกคลีอ่ อก หนังสืออีกม้วนหนึง่ คือม้วน หนังสือแห่งชีวิตก็ถูกคลี่ออกด้วย บรรดาผู้ตายถูกพิพากษาตามข้อความที่บันทึกไว้ใน หนังสือเหล่านั้นตามกิจการของเขา ทะเลคืนบรรดาผู้ตายที่อยู่ในทะเล ความตายและแดนผู้ตายก็คืนบรรดาผู้ตายที่อยู่ในแดนผู้ตาย ทุกคน ถูกพิพากษาตามกิจการของตน ความตายและแดนผู้ตายถูกโยนลงไปในทะเลไฟ ทะเลไฟนี้คือความตายครั้ง ที่สอง ผู้ใดไม่มีชื่อบันทึกอยู่ในหนังสือแห่งชีวิตก็ถูกโยนลงในทะเลไฟ แล้วข้าพเจ้าเห็นฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ เพราะฟ้าและแผ่นดินเดิมสูญหายไป ไม่มที ะเลอีกต่อไป ข้าพเจ้า เห็นนครศักดิ์สิทธิ์ คือนครเยรูซาเล็มใหม่ลงมาจากสวรรค์ ลงมาจากพระเจ้า เตรียมพร้อมเหมือนกับเจ้าสาว ที่แต่งตัวรอเจ้าบ่าว
พระวรสาร
ลก 21:29-33
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสค�ำอุปมาให้บรรดาศิษย์ฟังว่า “จงมองดูตน้ มะเดือ่ เทศและต้นไม้ทงั้ หลายเถิด เมือ่ มันแตกใบอ่อน ท่านย่อมรูว้ า่ ฤดูรอ้ นใกล้เข้ามาแล้ว เช่นเดียวกันเมือ่ ท่านเห็นสิง่ เหล่านีเ้ กิดขึน้ ก็จงรูเ้ ถิดว่าพระอาณาจักรของพระเจ้าใกล้เข้ามาแล้ว เราบอกความ จริงแก่ท่านทั้งหลายว่าคนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนที่เหตุการณ์ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้น ฟ้าดินจะสูญสิ้นไป แต่วาจาของเราจะไม่สูญสิ้นไปเลย” หนังสือวิวรณ์ได้รับการเขียนขึ้นระหว่างช่วงเวลาแห่งการเบียดเบียนข่มเหง เมื่อคริสตชนจ�ำนวนมาก ต้องถูกประหารชีวิตอย่างทารุณและกลายเป็นมรณสักขี ค�ำว่า “มรณสักขี” หรือเราเคยเรียกกันว่า “มารตีร์” ซึ่งเป็น ภาษากรีกนั้น แปลตัวตามอักษรว่า “พยาน” บรรดามรณสักขีเป็นพยานถึงความเชื่อโดยทางความตายของพวกเขา แม้ว่าในสมัยของเรายังคงมีคริสตชนจ�ำนวนไม่น้อยในหลายประเทศที่ต้องสละชีวิตของตนเองเพื่อเป็นพยานถึงความ เชื่อในพระคริสตเจ้า อย่างไรก็ตาม การเป็นพยานไม่ได้หมายความว่าเราต้องเป็นมรณสักขีเท่านั้นจึงจะเป็นพยานได้ ทุกคนที่ตายต่อบาปในชีวิตของเขาเอง และด�ำเนินชีวิตตามพระประสงค์ของพระเจ้าถือได้ว่าเป็นพยานถึงความเชื่อ ของเขาเช่นกัน ดังนั้น ทุกคนที่มั่นคงซื่อสัตย์ต่อความเชื่อของตน ก็จะได้รับรางวัลตอบแทนเช่นเดียวกัน
บทอ่านที่ 1
วว 22:1-7
ทูตสวรรค์ชใี้ ห้ขา้ พเจ้าดูแม่นา�้ แห่งชีวติ น�า้ ใสเหมือนแก้วผลึกไหลจากพระบัลลังก์ ของพระเจ้าและของลูกแกะ ต้นไม้แห่งชีวิตขึ้นอยู่กลางลานของนครนั้นและบนสองฝั่ง แม่น�้า ต้นไม้เหล่านั้นออกผลสิบสองครั้งคือให้ผลเดือนละครั้ง ใบใช้เป็นยารักษาโรค ของนานาชาติ จะไม่มีค�าสาปแช่งอีกต่อไป พระบัลลังก์ของพระเจ้าและของลูกแกะจะอยู่ในนคร นั้น บรรดาผู้รับใช้ของพระองค์จะกราบนมัสการพระองค์ เขาจะเห็นพระพักตร์พระองค์ และจะมีพระนามพระองค์บนหน้าผาก จะไม่มกี ลางคืนอีกต่อไป เขาเหล่านัน้ ไม่ตอ้ งการ แสงตะเกียงหรือแสงอาทิตย์อีก เพราะพระเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงส่องสว่างเหนือ เขาทั้งหลาย เขาจะครองราชย์อยู่ตลอดนิรันดร ทูตสวรรค์กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า “ถ้อยค�าเหล่านี้เป็นจริงเชื่อถือได้ องค์พระผู้เป็น เจ้าพระเจ้าผู้ทรงดลใจบรรดาประกาศกทรงส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาแจ้งให้บรรดา ผู้รับใช้ของพระองค์รู้ถึงสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้า” พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราจะมาใน เร็วๆ นี้” ผู้ที่ปฏิบัติตามถ้อยค�าของการประกาศพระวาจาในม้วนหนังสือนี้ย่อมเป็นสุข
พระวรสาร
ลก 21:34-36
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า “จงระวังไว้ให้ดี อย่าปล่อยใจของท่านให้หมกมุน่ อยูใ่ นความสนุกสนานรืน่ เริง ความ เมามายและความกังวลถึงชีวิตนี้ มิฉะนั้น วันนั้นจะมาถึงท่านอย่างฉับพลัน เหมือนบ่วง แร้ว เพราะวันนั้นจะลงมาเหนือทุกคนที่อาศัยอยู่บนแผ่นดิน ท่านทั้งหลายจงตื่นเฝ้า อธิษฐานภาวนาอยู่ตลอดเวลาเถิด เพื่อท่านจะมีก�าลังหนีพ้นเหตุการณ์ทั้งปวงที่จะเกิด ขึ้นนี้ไปยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์บุตรแห่งมนุษย์ได้” วันนี้ผู้เขียนหนังสือวิวรณ์ช้ีให้เราเห็นว่าอ�านาจชั่วร้ายที่ต่อต้านพระเจ้าจะถูก ท�าลายและอาณาจักรนิรันดรของพระองค์จะถูกมอบให้แก่ประชากรที่ซื่อสัตย์ต่อพระองค์ ค�า ท�านายแห่งชัยชนะของความดีเหนือความชัว่ นีไ้ ด้บรรลุถงึ แล้วในการสิน้ พระชนม์และการกลับคืน พระชนมชีพของพระเยซูเจ้า อย่างไรก็ตาม สิง่ ทีพ่ ระเยซูเจ้าได้ทรงกระท�าให้สา� เร็จจะยังไม่ครบ บริบูรณ์จนกระทั่งพระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งในวาระสุดท้าย เพื่อมอบพระอาณาจักร ของพระองค์แด่พระบิดาเจ้าสวรรค์ แน่นอน ปราศจากพระเยซูเจ้าความตายจะยังคงเป็นสิ่งที่ น่าเกรงขามส�าหรับเรา แต่ความเชือ่ บอกเราว่าพระองค์ทรงอยูท่ นี่ นั่ เพือ่ ช่วยเราให้ผา่ นพ้นประตู ทีม่ ดื มิดของความตายและน�าเราเข้าสูพ่ ระอาณาจักรสวรรค์ และความเชือ่ ยังบอกเราอีกว่าวาระ สุดท้ายของโลกจะเป็นชัยชนะสุดท้ายเหนือความชัว่ ร้าย ในวันนัน้ เราจะมีสว่ นร่วมอย่างสมบูรณ์ ในพระสิริรุ่งโรจน์แห่งการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา
สัปดาห์ที่ 34 เทศกาลธรรมดา สดด 95:1-7 ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 2
บทอ่านจากหนังสือประกาศกอิสยาห์
สัปดาห์ที่ 1 เทศกาลเตรียมรับเสด็จ พระคริสตเจ้า ทำ�วัตรสัปด�ห์ที่ 1 เริ่มปพิธีกรรม ป A
อสย 2:1-5
นิมิตที่ประกาศกอิสยาห์ บุตรของอามอสเห็นเกี่ยวกับยูดาห์และกรุงเยรูซาเล็ม ในยุคสุดท้าย ภูเขาแห่งพระวิหารขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะถูกตั้งขึ้นเหนือยอดภูเขาทั้ง หลาย และจะสูงกว่าบรรดาเนินเขา นานาชาติจะหลัง่ ไหลมาทีภ่ เู ขานี้ ชนหลายชาติจะมา และกล่าวว่า “มาเถิด เราจงขึ้นไปยังภูเขาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ไปยังพระวิหารพระเจ้า ของยาโคบ แล้วพระองค์จะทรงสอนวิถีทางของพระองค์ให้เรา เราจะได้เดินตามมรรคา ของพระองค์ เพราะว่าบทบัญญัติจะออกมาจากศิโยน และพระวาจาขององค์พระผู้เป็น เจ้าจะออกมาจากกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์จะทรงพิพากษาบรรดาประชาชาติ และจะทรง วินิจฉัยประชากรจ�านวนมาก เขาทั้งหลายจะตีดาบให้เป็นผาลไถนา ตีหอกให้เป็นเคียว ชาติตา่ งๆ จะไม่ยกดาบขึน้ ต่อสูก้ นั อีก จะไม่ฝก ฝนยุทธวิธอี กี ต่อไป พงศ์พนั ธุข์ องยาโคบ เอย จงมาเถิด เราจงเดินในความสว่างขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
เพลงสดุดี
สดด 122:1-2,3-5, (6-7),8
ก) ข้าพเจ้ายินดีเมื่อมีผู้บอกข้าพเจ้าว่า “เราจงไปยังบ้านขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยกันเถิด” บัดนี้ เยรูซาเล็มเอย เท้าของเรามายืนที่ประตูของเจ้าแล้ว ข) เยรูซาเล็มสร้างขึ้นเป็นนคร มีก�าแพงล้อมรอบอย่างมั่นคง เผ่าพันธุ์ต่างๆ ขึ้นไปที่นั่น เผ่าพันธุ์ทั้งหลายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ตามที่ทรงก�าหนดให้อิสราเอล สรรเสริญพระนามพระองค์ ที่นั่นเป็นที่ตั้งบัลลังก์พิพากษา บัลลังก์แห่งราชวงศ์กษัตริย์ดาวิด ค) จงวอนขอสันติภาพเพื่อกรุงเยรูซาเล็มเถิด ขอให้ผู้ที่รักเจ้าประสบความเจริญรุ่งเรือง สันติสุขจงบังเกิดภายในก�าแพงของเจ้า ความเจริญรุ่งเรืองจงบังเกิดในป้อมปราการของเจ้า ง) เพราะเห็นแก่บรรดาพี่น้องและมิตรสหาย ข้าพเจ้าจะกล่าวว่า “สันติสุขจงอยู่กับเจ้า”
บทอ่านจากจากหมายนักบุญเปาโลอัครสาวกถึงชาวโรม รม 13:11-14
ท่านทั้งหลายจงรู้เถิดว่า เวลาที่จะประพฤติปฏิบัติเช่นนี้มาถึงแล้ว บัดนี้ถึงเวลาที่ จะต้องตื่นขึ้นจากความหลับ ขณะนี้ความรอดพ้นอยู่ใกล้เรามากกว่าเมื่อเราเริ่มมีความ เชือ่ กลางคืนล่วงไปมากแล้ว กลางวันก็ใกล้จะมาถึง ดังนัน้ เราจงละทิง้ กิจการของความ
มืดมนเสีย แล้วสวมเกราะของความสว่าง เราจงด�าเนิน ชีวติ อย่างมีเกียรติเหมือนกับเวลากลางวัน มิใช่กนิ เลีย้ ง เสพสุราเมามาย มิใช่ปล่อยตัวเสพกามอย่างผิดศีลธรรม มิใช่ววิ าทริษยา แต่จงด�าเนินชีวติ โดยสวมพระเยซูคริสต เจ้าเป็นอาภรณ์ อย่าท�าตามความต้องการของเนื้อหนัง
บทอ่านจากพระวรสารนักบุญมัทธิว มธ 24:37-44
เวลานั้น พระเยซูเจ้าตรัสกับอัครสาวกว่า “สมัย ของโนอาห์เป็นเช่นไร เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาก็ จะเป็นเช่นนั้น ในสมัยก่อนน�้าวินาศนั้น ผู้คนกิน ดื่ม แต่งงานกันจนถึงวันที่โนอาห์เข้าไปในเรือ ไม่มีใครนึก ระแวงว่าจะเกิดอะไรขึ้นจนกระทั่งน�้าวินาศมากวาดพวกเขาไปหมดสิ้น เมื่อบุตรแห่งมนุษย์เสด็จมาก็จะ เป็นเช่นนั้นด้วย เวลานั้น คนสองคนอยู่ในทุ่งนา คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ หญิงสอง คนที่ก�าลังโม่แป้งอยู่ คนหนึ่งจะถูกรับไป อีกคนหนึ่งจะถูกทิ้งไว้ จงตื่นเฝ้าระวังเถิด เพราะท่านไม่รู้ว่านายของท่านจะมาเมื่อไร พึงรู้ไว้เถิด ถ้าเจ้าบ้านรู้ว่าขโมยจะมา ในยามใด เขาคงจะตื่นเฝ้าไม่ปล่อยให้ขโมยงัดแงะบ้านของตนได้ ท่านทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน จงเตรียม พร้อมไว้ เพราะว่าบุตรแห่งมนุษย์จะเสด็จมาในเวลาที่ท่านมิได้คาดหมาย” ค�าพูดที่ว่า “จงตื่นเฝาระวัง” (มธ 24:42) หรือ “จงเตรียมพร้อมไว้” (มธ 24:44) ในพระวรสาร วันนี้ ถ้าอยู่ในบริบทของทหาร ค�าพูดทั้งสองนี้เป็นค�าสั่งที่เด็ดขาดของผู้มีอ�านาจ ซึ่งผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาเมื่อได้ยิน แล้วต้องทิ้งทุกสิ่งที่ก�าลังท�าอยู่ และให้ความสนใจเป็นพิเศษกับสถานการณ์ที่ก�าลังเกิดขึ้นหรือค�าสั่งที่จะตามมา มิฉะนั้น ผลที่ตามมาอาจหมายถึงความตายของตนเอง หรือของเพื่อนทหารคนอื่น หรือความพ่ายแพ้ของกอง ทัพทั้งหมดก็ได้ เทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้ามีจุดประสงค์ที่จะบอกเราในท�านองเดียวกันนี้ บทอ่านใน แต่ละสัปดาห์เตือนใจเราว่าเราต้องด�าเนินชีวิตในแต่ละวันอย่างตื่นตัวและระมัดระวัง เราต้องท�าให้ตัวเองพร้อม อยู่เสมอที่จะพบกับพระเยซูเจ้าไม่ว่าเวลาใดก็ตาม เวลานั้นอาจเป็นเวลาที่เราต้องจากโลกนี้ไป หรืออาจเป็นเวลา ที่พระองค์จะเสด็จกลับมาอีกครั้งหนึ่งพร้อมด้วยพระสิริรุ่งโรจน์ในวาระสุดท้าย เพื่อสถาปนาพระอาณาจักรของ พระเจ้าบนโลกนี้ก็ได้
สัปดาห์ที่ 1 เทศกาล เตรียมรับเสด็จ พระคริสตเจ้า สดด 122:1-2, 3-4,8-9 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
บทอ่านที่ 1
อสย 4:2-6
พระวรสาร
มธ 8:5-11
วันนั้น หน่ออ่อนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าจะโปรดให้งอกขึ้นจะงดงามและรุ่งโรจน์ ผลผลิตของแผ่นดินจะเป็นความภาคภูมิใจ และเป็นเกียรติของชาวอิสราเอลผู้รอด ชีวิต ผู้ที่รอดชีวิตเหลืออยู่ในศิโยนและผู้ที่ยังอาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มจะได้ชื่อว่า “ผู้ ศักดิ์สิทธิ์” คือทุกคนที่มีชื่อบันทึกไว้ให้มีชีวิตอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อองค์พระผู้เป็น เจ้าจะทรงล้างความโสโครกของบรรดาธิดาแห่งศิโยน และจะทรงใช้พระอานุภาพของ การพิพากษา ซึ่งเป็นประดุจไฟมาช�ำระโลหิตที่ถูกหลั่งลงภายในกรุงเยรูซาเล็มให้หมด สิ้นไป แล้วองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงสร้างเมฆเวลากลางวัน ทรงสร้างควันและแสงแห่ง เปลวเพลิงเวลากลางคืนทั่วไปบนภูเขาศิโยน และเหนือประชาชนที่มาชุมนุมกันที่นั่น พระสิรริ งุ่ โรจน์จะเป็นทีก่ ำ� บังและปกป้องทุกสิง่ จะเป็นเหมือนกระโจมให้รม่ บังแดดเวลา กลางวัน เป็นที่หลบภัยและที่ก�ำบังจากพายุและฝน เวลานั้น เมื่อพระองค์เสด็จเข้าเมืองคาเปอรนาอุม นายร้อยคนหนึ่งเข้ามาเฝ้า พระองค์ ทูลอ้อนวอนว่า “พระองค์เจ้าข้า ผู้รับใช้ของข้าพเจ้าเป็นอัมพาตนอนอยู่ที่บ้าน ต้องทรมานอย่างสาหัส” พระเยซูเจ้าจึงตรัสกับเขาว่า “เราจะไปรักษาเขาให้หาย” แต่นายร้อยทูลตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่สมควรให้พระองค์เสด็จเข้ามาในบ้านของข้าพเจ้า แต่ขอ พระองค์ตรัสเพียงค�ำเดียวเท่านัน้ ผูร้ บั ใช้ของข้าพเจ้าก็จะหายจากโรค ข้าพเจ้าเป็นคนอยู่ ใต้บังคับบัญชา แต่ยังมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาด้วย ข้าพเจ้าสั่งทหารคนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็ ไป สั่งอีกคนหนึ่งว่า ‘มา’ เขาก็มา ข้าพเจ้าสั่งผู้รับใช้ว่า ‘ท�ำนี่’ เขาก็ท�ำ” เมื่อพระเยซูเจ้าทรงได้ยินเช่นนี้ ทรงประหลาดพระทัย จึงตรัสแก่บรรดาผู้ติดตาม ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เรายังไม่เคยพบใครมีความเชื่อมากเช่นนี้ใน อิสราเอลเลย เราบอกท่านทัง้ หลายว่า คนจ�ำนวนมากจะมาจากทิศตะวันออกและตะวัน ตก และจะนั่งร่วมโต๊ะกับอับราฮัม อิสอัคและยาโคบในอาณาจักรสวรรค์”
พระเยซูเจ้าเสด็จมาในโลกเพื่อรักษามนุษยชาติที่เป็นอัมพาตเพราะบาป พระองค์ทรงต้องการปลด ปล่อยเราให้เป็นอิสระจากโรคร้ายที่ท�ำให้เราพิการฝ่ายจิต เพื่อว่าเราจะสามารถด�ำเนินชีวิตเยี่ยงบุตรของพระเจ้าได้ อย่างสมบูรณ์ แต่เราต้องไม่ลืมว่าพระองค์ไม่ได้บังคับใครให้รับการรักษาจากพระองค์ ดังนั้น ก่อนอื่นหมดเราต้องมี ความเชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงมีอ�ำนาจช่วยเหลือเราได้ และที่ส�ำคัญเราต้องมีความสุภาพพอที่จะยอมรับว่าเราต้องการ พระองค์ ยอมรับว่าล�ำพังตัวเราเอง เราไม่สามารถท�ำอะไรได้เลย และยอมรับว่านอกจากพระเยซูเจ้าแล้ว ไม่มีมนุษย์ คนใดสามารถท�ำให้ชวี ติ ฝ่ายจิตของเราสะอาดหมดจดได้อย่างแท้จริง เพือ่ ช่วยเราให้เติบโตในความเชือ่ และความสุภาพ ถ่อมตน พระศาสนจักรประยุกต์ถ้อยค�ำของนายร้อยในพระวรสารวันนี้เพื่อให้เรากล่าวออกมาก่อนรับศีลมหาสนิทว่า “พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าไม่สมควรจะรับเสด็จมาประทับอยูก่ บั ข้าพเจ้า โปรดตรัสเพียงพระวาจาเดียว แล้วจิตใจข้าพเจ้า ก็จะบริสุทธิ์”
บทอ่านที่ 1
อสย 11:1-10
หน่อหนึ่งจะแตกออกจากตอของเจสซี กิ่งหนึ่งจะงอกขึ้นจากรากของเขา พระจิต ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะพ�ำนักอยู่เหนือเขา คือจิตแห่งปรีชาญาณและความเข้าใจ จิต แห่งความคิดอ่านและอานุภาพ จิตแห่งความรู้และความย�ำเกรงองค์พระผู้เป็นเจ้า เขา จะพอใจย�ำเกรงองค์พระผูเ้ ป็นเจ้า จะไม่พพิ ากษาตามทีต่ าเห็น จะไม่ตดั สินตามทีห่ ไู ด้ยนิ แต่จะพิพากษาคนยากจนด้วยความชอบธรรม จะตัดสินอย่างเทีย่ งธรรมเพือ่ ผูถ้ กู ข่มเหง ในแผ่นดิน ค�ำพูดของเขาจะเป็นเหมือนไม้เรียวทีเ่ ฆีย่ นตีผคู้ นบนแผ่นดิน ลมปากของเขา จะประหารชีวติ คนอธรรม ความชอบธรรมจะเป็นดังผ้าคาดสะเอว ความซือ่ สัตย์จะเป็น เหมือนเข็มขัดคาดบั้นเอวของเขา สุนัขป่าจะอยู่กับลูกแกะ เสือดาวจะนอนอยู่กับลูกแพะ ลูกโคและลูกสิงโตจะ หากินอยู่ด้วยกัน เด็กคนหนึ่งก็ยังน�ำมันไปได้ แม่โคกับหมีจะหากินด้วยกัน ลูกของมัน จะนอนอยู่ด้วยกัน สิงโตจะกินฟางเหมือนโคเพศผู้ ทารกที่ยังไม่หย่านมจะเล่นอยู่ที่ ปากรูงูเห่า เด็กที่หย่านมแล้วจะเอามือวางที่รังของงูพิษ จะไม่มีผู้ใดท�ำร้ายหรือท�ำลาย ทั่วภูเขาศักดิ์สิทธิ์ของเรา เพราะแผ่นดินจะรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างสมบูรณ์ ดั่งน�้ำ ปกคลุมทะเล วันนั้น รากของเจสซีจะตั้งขึ้นเป็นเครื่องหมายส�ำหรับประชาชนทั้งหลาย จะเป็นที่ แสวงหาของนานาชาติ และจะมีที่พ�ำนักอย่างรุ่งโรจน์
พระวรสาร
สัปดาห์ที่ 1 เทศกาล เตรียมรับเสด็จ พระคริสตเจ้า สดด 72:1-2,7-8, 12-13,17 ทำ�วัตรสัปดาห์ที่ 1
ลก 10:21-24
ในเวลานั้น พระเยซูเจ้าทรงปลาบปลื้มพระทัยเดชะพระจิตเจ้าตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดาเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน ข้าพเจ้าสรรเสริญพระองค์ ที่พระองค์ทรงปิดบังเรื่องเหล่านี้จากบรรดาผู้ปรีชาและรอบรู้ แต่ทรงเปิดเผยแก่ บรรดาผู้ต�่ำต้อย ถูกแล้ว พระบิดาเจ้าข้า พระองค์พอพระทัยเช่นนั้น พระบิดาทรงมอบทุกสิ่งแก่ข้าพเจ้า ไม่มี ใครรู้ว่าพระบุตรทรงเป็นใครนอกจากพระบิดา และไม่มีใครรู้ว่าพระบิดาทรงเป็นใครนอกจากพระบุตรและผู้ ที่พระบุตรทรงเปิดเผยให้รู้” แล้วพระองค์ทรงหันพระพักตร์ไปยังบรรดาศิษย์ ตรัสกับเขาโดยเฉพาะว่า “นัยน์ตาของท่านเป็นสุขทีม่ อง เห็นสิ่งต่างๆ ที่ท่านเห็น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ประกาศกและกษัตริย์จ�ำนวนมากปรารถนาจะเห็นสิ่งที่ท่าน ได้เห็นแต่ก็ไม่ได้เห็น ปรารถนาจะได้ฟังสิ่งที่ท่านได้ฟังแต่ก็ไม่ได้ฟัง” พระเจ้าทรงท�ำทุกสิ่งที่จ�ำเป็นเพื่อเราจะได้รู้จักพระองค์และพระประสงค์ของพระองค์ ดังนั้น ให้เรา พยายามเรียนรู้ที่จะเห็นความงดงามของพระองค์ในยามพระอาทิตย์ตก เห็นพระฤทธานุภาพของพระองค์ในลมพายุ เห็นความเอาใจใส่ของพระองค์ในสายฝนทีน่ ำ� ชีวติ และความชุม่ ฉ�ำ่ มาให้เรา ในพิธมี สิ ซาเราต้องพยายามทีจ่ ะเห็นว่าเป็น พระองค์เองทีก่ ำ� ลังท�ำงานโดยทางพระสงฆ์ผถู้ วายมิสซา โดยทางผูอ้ า่ นซึง่ ประกาศพระวาจาของพระองค์ พระเจ้าทรง ท�ำงานอยู่รอบตัวเราโดยผ่านทางผู้แทนมากมายของพระองค์ เหมือนพระเยซูเจ้าตรัสในพระวรสารวันนี้ว่า “นัยน์ตา ของท่านเป็นสุขที่มองเห็นสิ่งต่างๆ ที่ท่านเห็น” (ลก 10:23) เราเป็นผู้มีความสุขที่ได้มองเห็นความรักของพระเยซูเจ้า และได้รับฟังพระวาจาของพระองค์ผ่านทางผู้แทนของพระองค์ที่อยู่รอบข้างเรา เพราะฉะนั้น จึงเหมาะสมอย่างยิ่งที่ เราจะท�ำให้ชีวิตที่เหลืออยู่ของเราเป็นเสมือนบทเพลงแห่งการขอบพระคุณพระเจ้าส�ำหรับความรักและพระเมตตาที่ พระองค์ทรงมีต่อเราแต่ละคน
บทอ่านที่ 1
ฉลอง น.อันดรูว์ อัครสาวก สดด 19:1-2,3-4
พระวรสาร
รม 10:9-18
พีน่ ้อง ถ้าท่านประกาศด้วยปากว่า พระเยซูทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และมีความ เชือ่ ในใจว่า พระเจ้าทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผูต้ าย ท่านก็จะรอดพ้น การเชื่อด้วยใจจะบันดาลความชอบธรรม การประกาศด้วยปากจะ บันดาลความรอดพ้น เพราะพระคัมภีรก์ ล่าวว่า “ทุกคนทีม่ คี วามเชือ่ ในพระองค์จะไม่ได้ รับความอับอาย” เพราะไม่มคี วามแตกต่างกันระหว่างชาวยิวกับผูท้ ไี่ ม่ใช่ชาวยิว พระองค์ เท่านัน้ ทรงเป็นองค์พระผูเ้ ป็นเจ้าส�ำหรับมนุษย์ทกุ คน ประทานพระพรมากมายให้ทกุ คน ที่เรียกขานพระองค์ เพราะทุกคนที่เรียกขานพระนามองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็จะรอดพ้น ฉะนั้น ชาวอิสราเอลจะเรียกขานพระองค์ได้อย่างไรถ้าพวกเขาไม่เชื่อ จะเชื่อได้ อย่างไรถ้าไม่เคยได้ยิน จะได้ยินได้อย่างไรถ้าไม่มีใครประกาศสอน จะมีผู้ประกาศสอน ได้อย่างไรถ้าไม่มีใครส่งไป ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เท้าของผู้ประกาศข่าวดี ช่างงดงามจริงหนอ” บางคนเท่านั้นได้เชื่อฟังข่าวดี ดังที่ประกาศกอิสยาห์กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ใคร เล่าได้เชื่อค�ำประกาศของเรา” ดังนั้น ความเชื่อจึงมาจากการฟัง สิ่งที่ได้ฟังก็มาจากพระวาจาของพระคริสตเจ้า ข้าพเจ้าขอถามว่า เป็นไปได้หรือที่เขาไม่ได้ยิน เขาได้ยินแน่นอน เพราะเสียงของผู้ ประกาศข่าวดีกระจายไปทั่วแผ่นดิน และวาจาของเขาแพร่ไปจนสุดปลายพิภพ
มธ 4:18-22
ขณะที่ทรงด�ำเนินไปตามชายฝั่งทะเลสาบกาลิลี พระเยซูเจ้าทอดพระเนตรเห็นพี่น้องสองคนคือซีโมนที่ เรียกว่าเปโตรกับอันดรูว์น้องชายก�ำลังทอดแห เขาเป็นชาวประมง พระองค์ตรัสสั่งว่า “จงตามเรามาเถิด เรา จะท�ำให้ท่านเป็นชาวประมงหามนุษย์” เขาทั้งสองคนก็ทิ้งแหไว้ แล้วตามพระองค์ไปทันที เมื่อทรงด�ำเนินไปจากที่นั่น พระองค์ทอดพระเนตรเห็นพี่น้องอีกสองคนคือ ยากอบบุตรของเศเบดีและ ยอห์นน้องชายก�ำลังซ่อมแหอยู่ในเรือกับเศเบดีผู้บิดา พระองค์ทรงเรียกเขา ทันใดนั้น เขาทั้งสองคนก็ทิ้งเรือ และบิดา แล้วตามพระองค์ไป ในเรื่องเล่าเกี่ยวกับการเรียกศิษย์สี่คนแรกของพระเยซูเจ้ามีบางสิ่งที่คล้ายคลึงกันระหว่างการเรียก ซีโมนและอันดรูว์ กับการเรียกยากอบและยอห์น นั่นคือ กระแสเรียกของพวกเขาขึ้นอยู่กับการริเริ่มของพระเยซูเจ้า แต่เพียงผู้เดียว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเก่งกล้าสามารถของพวกเขาแม้แต่น้อย พวกเขาเป็นเพียงชาวประมงที่ไม่ค่อยมี ความรู้กลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง สิ่งนี้ชี้ให้เราเห็นว่าการเป็นศิษย์ของพระเยซูเจ้าเกิดขึ้นเพราะการริเริ่มของพระองค์เป็น อันดับแรก กระแสเรียกมาจากพระเจ้า เป็นเสียงเรียกของพระองค์ ส่วนการตอบรับหรือปฏิเสธนั้นขึ้นอยู่กับเราแต่ละ คน ศิษย์สี่คนแรกตอบรับเสียงเรียกของพระเยซูเจ้าแบบทันทีและไร้เงื่อนไข สิ่งนี้ชี้ให้เราเห็นเช่นกันว่าเสียงเรียกของ พระเยซูเจ้าเป็นเสียงเรียกของพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพ และค�ำตอบต่อเสียงเรียกนี้ต้องเป็นความนบนอบเชื่อฟัง แบบไร้เงื่อนไข เป็นความไว้วางใจในความรักและการน�ำทางของพระองค์อย่างสิ้นเชิง ดังนั้น จึงไม่มีที่ส�ำหรับค�ำตอบ ที่มีเงื่อนไขในการเป็นศิษย์ของพระองค์