เรื่อง ระบบเครือข่ ายคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์ เน็ต เสนอ อาจารย์ สุ ธิดา ชูเกียรติ จัดทำาโดย 1. นายอธิพงศ์ ผิวเหลือง 554152053 2. นางสาวพักตร์ประไพ สุ วรรณพานิช 554152056 3. นายสุ วนิ ยั วรรณประเสริ ฐ 554152058 4. นางสาวภิชาดา เตชินธนาพร 554152075 5. นางสาวสุ พรรษา สมสอง 554152082 6. นางสาวรังสิ ยา หอมหวน 554152076 คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สาขาชีววิทยา มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บา้ นจอมบึง
ระบบเครื อข่ ายคอมพิวเตอร์ และอินเตอร์ เน็ต
คอมพิวเตอร์ (computer) คอมพิวเตอร์ พัฒนามาจากเครื่ องคำานวณในรุ่ นแรก ๆ จน กลายเป็ นเครื่ องจักรคำานวณ และกลายเป็ นเครื่ องคอมพิวเตอร์ ใน ที่สุด วิวฒั นาการของคอมพิวเตอร์ยงั มีอีกแง่มุมหนึ่งคือ การ พัฒนาจากเครื่ องเดี่ยว (Stand Alone) มาเป็ นกลุ่มงาน (Workgroup) และขยายขนาดเป็ นเครื อข่ายที่กว้างใหญ่ข้ ึน อย่าง LAN WAN หรื อ Internet ในปัจจุบนั
ระบบเครื อข่ ายคอมพิวเตอร์ เบือ้ งต้ น ความหมายของระบบเครือข่ ายคอมพิวเตอร์ ระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ (Computer Network) หมายถึงการนำาเครื่ องคอมพิวเตอร์ มาเชื่อมต่อ เข้าด้วยกัน โดยอาศัยช่องทางการสื่ อสารข้อมูล เพื่อแลกเปลี่ยน ข้อมูลข่าวสารระหว่างเครื่ องคอมพิวเตอร์ และการใช้ทรัพยากร ของระบบร่ วมกัน (Shared Resource) ในเครื อข่ายนั้น
ความเป็ นมาของระบบเครือข่ ายคอมพิวเตอร์ ระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ มาจากลักษณะการทำางานของ เครื่ องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เรี ยกว่า Mainframe (เมนเฟรม) ที่ทาำ งานแบบรวมศูนย์กลาง ซึ่งค่าใช้จ่ายสูงมาก ประกอบกับมีปริ มาณการใช้ระบบเพิม่ มากขึ้น ทำาให้ระบบแบบ รวมศูนย์กลางไม่สามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างมี ประสิ ทธิภาพ จึงเกิดแนวคิดในการพัฒนาให้มีการประมวลผล แบบกระจายขึ้นมาแทนระบบแบบรวมศูนย์กลาง จึงเป็ นระบบ เครื อข่ายคอมพิวเตอร์ ขึ้น
โทโปโลยี แต่ละประเภทมี ดังต่อไปนี ้ 1. โทโปโลยีแบบบัส
2. โทโปโลยีแบบวงแหวน
3. โทโปโลยีแบบดาว
4. โทโปโลยีแบบไฮบริด
5. โทโปโลยีแบบเมซ
องค์ ประกอบของระบบเครือข่ ายคอมพิวเตอร์ 1. 2. 3. 4.
เน็ตเวิร์คการ์ด หรื อ NIC (Network Interface Card) สื่ อกลางและอุปกรณ์สาำ หรับการรับข้อมูล โปรโตคอล (Protocol) ระบบปฏิบตั ิการเครื อข่าย หรื อ NOS (Network Operating System)
ประเภทของระบบเครื อข่ ายคอมพิวเตอร์ ระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์แบ่งเป็ นประเภทตามขนาด และรู ป แบบการใช้งานได้ดงั ต่อไปนี้
1. เครื อข่ายท้องถิ่น (LAN) 2. เครื อข่ายระดับเมือง (MAN) 3. เครื อข่ายระยะไกล หรื อเครื อข่ายระดับประเทศ(WAN)
ใช้ ระดับความปลอดภัยของข้ อมูลเป็ นเกณฑ์ 1. อินเทอร์เน็ต (Internet) เครื อข่ายสาธารณะ 2. อินทราเน็ต (Intranet) หรื อเครื อข่ายส่ วนบุคคล 3. เอ็กส์ทราเน็ต (Extranet) หรื อเครื อข่ายร่ วม
อุปกรณ์ ในระบบเครือข่ า ยคอมพิวเตอร์ ในการเชื่อมต่อระบบเครื อข่ายคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์พ้ืนฐาน นอกจากคอมพิวเตอร์ 2 ตัวขึ้นไป แล้วยังต้องประกอบด้วย อุปกรณ์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
อุปกรณ์ ในระบบเครือข่ ายคอมพิวเตอร์ 1. 2. 3. 4. 5. 6. 7. 8.
การ์ดเน็ตเวิร์ก (Network Card) โมเด็ม (Modem) ฮับ (Hub) บริ ดจ์ (Bridge) สวิตช์ (Switch) เราเตอร์ (Router) ไฟร์วอลล์ (Firewall) สายสัญญาณ (Cable)
การเชื่อมต่ อระบบเครือข่ ายคอมพิวเตอร์ หากผูใ้ ช้มีความคิดที่จะนำาเอาเครื่ องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลมาต่อ เป็ นระบบโดยใช้ขีดความสามารถเดิมที่มีอยู่ สามารถทำาได้ดว้ ยวิธีการ ง่าย ๆ ดังนี้ 1) การต่อเชื่อมผ่านช่องทาง COM1 COM2 และ LPT 2) การต่อเชื่อมเข้ากับบัฟเฟอร์เครื่ องพิมพ์ 3) การเชื่อมต่อโดยใช้ระบบสลับสายข้อมูล 4) การเชื่อมต่อผ่านระบบผูใ้ ช้หลายคนหลายช่องทาง
ตัวกลางหรื อสายเชื่อมโยง เป็ นส่ วนที่ทาำ ให้เกิดการเชื่อมต่อ ระหว่างอุปกรณต่าง ๆ เข้าด้วยกัน ซึ่ งลักษณะของตัวกลางต่าง ๆ มีดงั ต่อไปนี้ • สายคู่บิดเกลียว • สายโคแอกเชียล • เส้นใยนำาแสง เส้นใยนำาแสง (fiber optic
ประโยชน์ ของระบบเครือข่ ายคอมพิวเตอร์ 1. การใช้ อปุ กรณ์ร่วมกัน (Sharing of peripheral devices) 2. การใช้ โปรแกรมและข้ อมูลร่วมกัน (Sharing of program and data) 3. สามารถติดต่อสือ่ สารระยะไกลได้ (Telecommunication) 4. สามารถประยุกต์ใช้ ในงานด้ านธุรกิจได้ (Business Applicability) 5. ความประหยัด 6. ความเชื่อถือได้ ของระบบงาน
อินเทอร์ เน็ต (Internet)
อินเทอร์ เน็ต คือ ระบบเครือข่ ายคอมพิวเตอร์ ทใี่ หญ่ ทสี่ ุ ดในโลก ซึ่ง เกิดจากระบบคอมพิวเตอร์ เครือข่ ายย่ อย ๆ หลาย ๆ เครือข่ ายรวมตัวกัน เป็ นระบบเครือข่ ายขนาดใหญ่ ซึ่งขยายความได้ดงั นี้ คือ การที่ คอมพิวเตอร์ต้ งั แต่ 2 เครื่ องขึ้นไป สามารถติดต่อสื่ อสารซึ่งกันและกัน ได้โดยผ่านสาย Cable หรื อ สายโทรศัพท์ ดาวเทียม
มาตรฐานการสื่ อสารด้ านอินเทอร์ เน็ต โปรโตคอล (Protocol) คือตัวกลาง หรื อภาษากลาง ที่ใช้เป็ นมาตรฐาน สำาหรับการสื่ อสาร ในระบบเครื อข่ายอินเทอร์เน็ต ระบบไอพีแอดเดรส (IP Address) เมื่อเราต้องการสื่ อสารกับ คอมพิวเตอร์เครื่ องอื่น เราจะต้องทราบที่อยูข่ องเครื่ องคอมพิวเตอร์เครื่ องนั้น โดเมนเนม (Domain Name) เป็ นระบบที่นาำ ตัวอักษร ที่จาำ ได้ง่ายเข้า มาแทนไอพีแอดเดรส ที่เป็ นตัวเลข แต่ละโดเมนจะมีชื่อไม่ซากั ้ ำ น และมักจะ ถูกตั้งให้คล้ายกับชื่อของบริ ษทั หน่วยงาน หรื อองค์กรของผูเ้ ป็ นเจ้าของ เพื่อ ความสะดวกในการจดจำาชื่อ
รูปแบบการเชื่อมต่ ออินเตอร์ เน็ต การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตแบบใช้สาย (Wire Internet) 1. การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตรายบุคคล (Individual Connection)องค์ประกอบของการใช้อินเตอร์เน็ตรายบุคคล 1.1 โทรศัพท์ 1.2 เครื่ องคอมพิวเตอร์ 1.3 ผูใ้ ห้บริ การอินเทอร์เน็ต ซึ่งจะให้เบอร์โทรศัพท์ รหัสผูใ้ ช้และ รหัสผ่าน 1.4 โมเด็ม (Modem)
รู ปแบบการเชื่อมต่ ออินเตอร์ เน็ต (ต่ อ) 2. การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบองค์กร (Corporate Connection) 3. การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตด้วยโน้ตบุก๊ (Note book) และ เครื่ อง ปาล์ม (Palm)
การให้ บริการอินเตอร์ เน็ตความเร็วสู ง 1. บริ การอินเตอร์เน็ตผ่าน ISDN (Integrated Service Digital Network)
2. บริ การอินเตอร์เน็ตผ่านเคเบิลโมเด็ม(CableModem) 3. บริ การอินเตอร์เน็ตผ่านระบบโทรศัพท์ ADSL (Asymmetric Digital Subscriber Loop)
4. บริ การอินเตอร์เน็ตผ่านดาวเทียม (Satellite Internet)
ประเภทการเชื่อมต่ ออินเทอร์ เน็ต การเชื่อมต่อระบบอินเทอร์เน็ตมีรูปแบบต่าง ๆ ดังนี้ โดยสามารถ เลือกใช้ได้ตามความเหมาะสมของสื่ อ งบประมาณและความต้องการ • การเชื่อมต่อแบบ Dial UP • การเชื่อมต่อแบบ ISDN • การเชื่อมต่อแบบ DSL • การเชื่อมต่อแบบ ADSL • การเชื่อมต่อแบบ Cable • การเชื่อมต่อแบบ Satellites
ข้ อมูลข่ าวสารบนเว็บไซต์ 1. เว็บเพจ (Web Page) คือ ข้อมูลที่แสดงบนเครื อข่าย อินเตอร์เน็ต เป็ นเอกสารที่สามารถเชื่อมโยงไปยังหน้า อื่น ๆ ได้ 2. เว็บไซต์ (Web Site) คือ เว็บเพจทั้งหลายที่มีอยูใ่ น อินเทอร์เน็ต และบรรจะไว้ในเครื่ องคอมพิวเตอร์หนึ่ง ๆ เช่น เว็บไซต์ www.google.com 3. โฮมเพจ (Home Page) คือ เว็บเพจหลักของเว็บไซต์ ภายใน โฮมเพจจะมีจะเชื่อมต่อเปิ ดเข้าไปชม เว็บเพจอื่น ๆ ที่อยูภ่ ายในเว็บไซต์ นี้ได้
ข้ อมูลข่ าวสารบนเว็บไซต์ (ต่ อ) 4. โปรแกรมเว็บเบราเซอร์ (Web Browser) เป็ นโปรแกรมที่ทาำ หน้าที่ ในการเปิ ดเว็บเพจ และสามารถรับส่ ง ไฟล์ทางอินเทอร์เน็ต โดย การแปลงภาษา HTML แล้วแสดงผลคำาสัง่ ให้ออกมาเป็ นรู ปภาพเสี ยง และข้อมูล ต่าง ๆ 5. ภาษาHTML (Hyper TextMarkup Language) เป็ นภาษาที่ใช้ ในการเขียนเว็บเพจ โดยสามารถใส่ จุดเชื่อมโยง (Link) ไปยังเอกสาร หน้าอื่น ๆ ซึ่งการเชื่อมโยงนี้ ถกู เรี ยกว่า Hypertextหรื อเอกสาร HTML 6. WYSIWYG (What-You-See-Is-What-You-Get) โปรแกรม แบบวิสสิ วิกนี้ ใช้สร้างเว็บเพจโดยการนำารู ปภาพ หรื อข้อความมาวาง ทับบนเว็บเพจ และเมื่อแสดงผลเว็บเพจ จะปรากฎหน้าเอกสารของ เว็บเพจ เหมือนกับขณะที่ ทำาการ
บริการต่ าง ๆ บนเครือข่ ายอินเทอร์ เน็ต จากแหล่งข้อมูลทัว่ โลก โดยจัดเป็ นบริ การในรู ปแบบต่าง ๆ ดังนี้ 1. เวิลด์ไวด์เว็บ Web : WWW) 2. จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (Electบ (World Wide ronic Mail) 3. การโอนย้ายข้อมูล (FTP : File Transfer Protocol) 4. การสื บค้นข้อมูล (Search Engine) 5. การสนทนากับผูอ้ ื่นบนอินเทอร์เน็ต 6. กระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์ (News Group or Use Net) เป็ นต้น 7. การสื่ อสารด้วยข้อความ IRC (Internet Relay Chat)
ประโยชน์ ของอินเทอร์ เน็ต ทำาให้ มกี ารปรับใช้ อนิ เทอร์ เน็ตในด้ านต่ าง ๆ ดังนี้ 1. บริ การไปรษณี ยอ์ ิเล็กทรอนิกส์ หรื อ E-mail 2. บริ การสื่ อสารด้วยข้อความ (Chat, IRC-Internet Relay chat) 3. บริ การสื่ อสารด้วยเสี ยง ภาพ และการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (VDO Conference) 4. การขอเข้าระบบจากระยะไกลหรื อเทลเน็ต (Telnet) 5. การโอนถ่ายข้อมูล (File Transfer Protocol หรื อ FTP)
ประโยชน์ ของอินเทอร์ เน็ต (ต่ อ) 6. การสื บค้นข้อมูล (Gopher,Archie,World wide Web) 7. การเผยแพร่ ขอ้ มูลความสาร 8. การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและความคิดเห็น (Usenet) 9. การซื้ อขายสิ นค้าและบริ การ (E-Commerce =EletronicCommerce) 10. การให้ความบันเทิง (Entertain) 11. บริ การด้านการศึกษา (E-Learning) และห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์ (E- Library)
แหล่งอ้างอิง http://www.techno.coj.go.th/kmnetwork.html http://www.thaigoodview.com/node/31559 http://www.streesmutprakan.ac.th/teacher/techno/WEB%20_JAN/p5.html http://learn.wattano.ac.th/learning/userchap13 http://school.obec.go.th/krunarinrat/internet/kantorrabob.html http://www.streesmutprakan.ac.th/teacher/techno/WEB%20_JAN/p6.html
^0^จบแล้วครับ/ค่ะ^0^