เทคโนโลยีพนื้ เพือ่ การศึกษา เทคโนโลยีสารสนเทศเพือ่ การเรียนรู้ สำาหรับครู เทคโนโลยีการศึกษา ........คำำว่ำ "เทคโนโลยี”(Technology) มำจำกรำกศัพท์ "Technic" หรื อ "Techno" ซึ่งมีควำมหมำยว่ำ วิธีกำร หรื อกำรจัดแจงอย่ำงเป็ นระบบ รวมกับ "logy" ซึ่งแปลว่ำ “ศำสตร์ ” หรื อ “วิทยำกำร” ดังนั้น คำำว่ำ "เทคโนโ ลยี" ตำมรำกศัพท์จึงหมำยถึง ศำสตร์วำ่ ด้วยวิธีกำรหรื อศำสตร์ ที่วำ่ ด้วยกำรจัดกำร หรื อกำรจัดแจงสิ่ งต่ำง ๆ เข้ำด้วยกันอย่ำงเป็ นระบบ เพื่อให้เกิดระบบใหม่และเป็ นระบบที่สำมำรถนำำไปใช้ตำมวัตถุประสงค์หรื อ เจตนำรมณ์ที่ต้ งั ใจไว้ได้ ซึ่งก็มีควำมหมำยตรงกับควำมหมำยที่ปรำกฏในพจนำนุกรม คือ วิทยำศำสตร์ ประยุกต์ ดังนั้น เทคโนโลยีกำรศึกษำจึงเป็ นกำรจัดแจงหรื อกำรประยุกต์หลักกำรทำง วิทยำศำสตร์ กำยภำพมำใช้ในกระบวนกำรของกำรศึกษำ ซึ่งเป็ นพฤติกรรมศำสตร์ โครงสร้ำงมโนมติของ เทคโนโลยีกำรศึกษำจึงต้องประกอบด้วย มโนมติทำงวิทยำศำสตร์ กำยภำพ มโนมติทำงพฤติกรรมศำสตร์ โดยกำรประสมประสำนของมโนมติอื่นที่เกี่ยวข้อง ตัวอย่ำงเช่น กำรประยุกต์หลักกำรทำง วิทยำศำสตร์ กำยภำพทำงวิศวกรรมและทำงเคมีได้เครื่ องพิมพ์และหมึกพิมพ์ สำมำรถผลิตหนังสื อตำำรำต่ำงๆ ได้ และจำกกำรประยุกต์หลักพฤติกรรมศำสตร์ ทำงจิตวิทยำ จิตวิทยำกำรเรี ยนรู ้ ทฤษฎีกำรเรี ยนรู ้และหลัก ควำมแตกต่ำงระหว่ำงบุคคล ทำำให้ได้เนื้ อหำในลักษณะเป็ นโปรแกรมขั้น ย่อย ๆ จำกง่ำยไปหำยำก เมื่อรวม กันระหว่ำงวิทยำศำสตร์กำยภำพและพฤติกรรมศำสตร์ ในตัวอย่ำงนี้ ทำำให้เกิดผลิตผลทำงเทคโนโลยีกำร ศึกษำขึ้น คือ "ตำำรำเรี ยนแบบโปรแกรม" .........อีกตัวอย่ำงหนึ่งกำรประยุกต์วิทยำศำสตร์ กำยภำพเกี่ยวกับแสง เสี ยงและอิเล็กทรอนิกส์บนพื้นฐำนทำง คณิ ตศำสตร์ ใช้ระบบเลขฐำนสองทำำให้ได้เครื่ องคอมพิวเตอร์ เมื่อประสมประสำนกับผลกำรประยุกต์ทำง พฤติกรรมศำสตร์ที่เกี่ยวข้องกับจิตวิทยำกำรเรี ยนรู ้ ทฤษฎีกำรเรี ยนรู ้ หลักควำมแตกต่ำงระหว่ำงบุคคล หลัก กำรวิเครำะห์งำน และทฤษฎีสื่อกำรเรี ยนกำรสอนแล้วทำำให้ได้ผลผลิตทำงเทคโนโลยีกำรศึกษำ คือ คอมพิวเตอร์ ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction: CAI)
.......จำกข้อพิจำรณำดังกล่ำวข้ำงต้นจะเห็นได้วำ่ ควำมหมำยของเทคโนโลยีกำรศึกษำมีสองลักษณะที่เน้น หนักแตกต่ำงกัน คือ ......1. เทคโนโลยีกำรศึกษำ หมำยถึง กำรประยุกต์หลักกำรวิทยำศำสตร์ กำยภำพและวิศวกรรมศำสตร์ ให้เป็ น วัสดุ เครื่ องมือ และอุปกรณ์ต่ำง ๆ ที่สำมำรถนำำมำใช้ในกำรเสนอ แสดง และถ่ำยทอดเนื้อหำทำงกำรศึกษำ ได้อย่ำงมีประสิ ทธิภำพ ควำมหมำยนี้พฒั นำมำจำกควำมคิดของกลุ่มนักโสต-ทัศนศึกษำ ......2. เทคโนโลยีกำรศึกษำมีควำมหมำยโดยตรงตำมควำมหมำยของเทคโนโลยี คือ ศำสตร์ แห่ งวิธีกำร หรื อ กำรประยุกต์วิทยำศำสตร์มำใช้ในกำรศึกษำ โดยคำำว่ำ”วิทยำศำสตร์ ”ในที่น้ ีมุ่งเน้นที่วิชำพฤติกรรมศำสตร์ เพรำะถือว่ำพฤติกรรมศำสตร์เป็ นวิทยำศำสตร์ แขนงหนึ่งเช่นเดียวกับวิชำฟิ สิ กส์ เคมี ชีววิทยำ เป็ นต้น ........เทคโนโลยีกำรศึกษำมีควำมสำำคัญและมีควำมจำำเป็ นที่เด่นชัดในปั จจุบนั นี้ คือ กำรนำำเทคโนโลยีและ นวัตกรรมต่ำง ๆ มำใช้ในกระบวนกำรศึกษำด้วยเหตุผลสำำคัญ ดังต่อไปนี้ .......1. ควำมเจริ ญอย่ำงรวดเร็ วทำงด้ำนวิชำกำรต่ำงๆ ของโลก โดยเฉพำะระยะหลังสงครำมโลกครั้งที่สอง เป็ นต้นมำ วิทยำกำรใหม่ ๆ และสิ่ งประดิษฐ์ต่ำง ๆ ได้ถูกค้นคิดประดิษฐ์ข้ ึนมำใช้ในสังคมมำกมำยเป็ น ทวีคูณ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อกำรเปลี่ยนแปลงและปรับตัวทำงด้ำนหลักสูตรกำรเรี ยนกำรสอนของสถำนศึกษำ และส่ งผลเป็ นลูกโซ่ต่อไปถึงปัญหำกำรเรี ยนกำรสอน กำรเลือกโปรแกรมและกำรทำำควำมเข้ำใจกับเนื้ อหำ สำระใหม่ๆ ของนักเรี ยน ควำมรุ นแรงและควำมสลับซับซ้อนของปั ญหำเหล่ำนี้ มีมำกขึ้นอย่ำงต่อเนื่อง ปริ มำณเนื้อหำวิชำกำรใหม่ ๆ มีมำกมำยเกินควำมสำมำรถของผูเ้ กี่ยวข้อง จะเลือกบันทึกจดจำำและนำำเสนอ ในลักษณะเดิมได้ จึงมีควำมจำำเป็ นต้องใช้เครื่ องมือทำงเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เหมำะสมกับสถำนกำรณ์ เข้ำมำช่วย เช่น กำรเสนอข้อมูลทำงวิชำกำรโดยเทปบันทึกเสี ยง เทปบันทึกภำพ ไมโครฟอร์ ม และแผ่น เลเซอร์ กำรแนะแนวกำรเรี ยนโดยระบบคอมพิวเตอร์ เป็ นต้น .......2. กำรเปลี่ยนแปลงอย่ำงรวดเร็ วของสังคม ซึ่งเป็ นผลกระทบมำจำกพัฒนำกำรทำงด้ำนวิทยำศำสตร์ และ เทคโนโลยีดงั กล่ำวมำแล้ว มีผลกระทบโดยตรงต่อกำรดำำรงชีวิต กำรปรับตัว และพัฒนำกำรของนักเรี ยน กำรแนะแนวส่วนตัวและสังคมแก่นกั เรี ยน จำำเป็ นต้องใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่เหมำะสมกับ สถำนกำรณ์น้ นั ๆ จึงจะสำมำรถให้บริ กำรครอบคลุมถึงปั ญหำต่ำง ๆ ได้ ........3. ลักษณะสังคมสำรสนเทศหรื อสังคมข้อมูลข่ำวสำร ซึ่งเป็ นผลมำจำกพัฒนำกำรทำงด้ำน อิเล็กทรอนิกส์ คอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีโทรคมนำคม ทำำให้ข่ำวสำรทุกรู ปแบบ คือ เสี ยง ภำพนิ่ง ภำพ เคลื่อนไหว กรำฟฟิ ก และข้อมูลคอมพิวเตอร์ สำมำรถถ่ำยทอดและส่ งถึงกันได้อย่ำงรวดเร็ วทุกมุมโลก สังคมในปั จจุบนั และอนำคตจะเป็ นสังคมที่ท่วมท้นด้วยกระแสข้อมูลและข่ำวสำรข้อมูลและข่ำวสำรจำำนวน มหำศำลจะอยูท่ ี่ควำมต้องกำรของผูใ้ ช้อย่ำงง่ำยดำยมำก ควำมจำำเป็ นที่สถำนศึกษำจะต้องเป็ นแหล่งให้ขอ้ มูล ข่ำวสำรจะหมดควำมสำำคัญลง กำรแนะแนวในสถำนศึกษำจะต้องเปลี่ยนบทบำทจำกกำรทำำตัวเป็ นแหล่งให้ ข้อมูลมำเป็ นกำรแนะแหล่งข้อมูล แนะนำำกำรเลือกและกำรใช้ขอ้ มูลในกำรแก้ปัญหำและกำรคิดสร้ำงสรรค์ ซึ่งบทบำทอย่ำงนี้ จะทำำให้สำำ เร็ จได้ยำกหำกไม่สำมำรถใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรมเชื่อมต่อกับระบบ
สำรสนเทศในปัจจุบนั มีผใู้ ห้คำำ นิยำมของคำำว่ำ เทคโนโลยีกำรศึกษำ (Educational Technology) ไว้ดงั นี้วิจิตร ศรี สอ้ำน (วิจิตร ,2517)ห้ควำมหมำยว่ำ เทคโนโลยีกำรศึกษำเป็ นกำรประยุกต์เอำเทคนิควิธีกำร แนวควำมคิด อุปกรณ์และเครื่ องมือใหม่ๆ มำใช้เพื่อช่วยแก้ปัญหำทำงกำรศึกษำทั้งในด้ำนกำรขยำยงำนและด้ำนกำร ปรับปรุ งคุณภำพของกำรเรี ยนกำรสอนสำำนักงำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำแห่ งชำติ (สำำนักงำนคณะ กรรมกำรกำรศึกษำแห่งชำติ,2546)ยังได้สรุ ปเพื่อควำมเข้ำใจที่ชดั เจนว่ำ "เทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำ" มีควำม หมำยครอบคลุมกำรผลิต กำรใช้ และกำรพัฒนำสื่ อสำรมวลชน(อันได้แก่ สื่ อสิ่ งพิมพ์ วิทยุกระจำยเสี ยง วิทยุ โทรทัศน์) เทคโนโลยีสำรสนเทศ(คอมพิวเตอร์ อินเทอร์ เน็ต มัลติมีเดีย) และโทรคมนำคม (โทรศัพท์ เครื อ ข่ำยโทรคมนำคมและกำรสื่ อสำรอื่นๆ) เพื่อให้เกิดกระบวนกำรเรี ยนรู ้ได้ตำมควำมต้องกำรของผูเ้ รี ยนในทุก เวลำและทุกสถำนที่ทบวงมหำวิทยำลัย (ทบวงมหำวิทยำลัย,2546) นิยำมว่ำ "เทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำ" เป็ น เครื่ องมือในกำรพัฒนำกำรศึกษำ โดยกำรนำำสื่ อสำรมวลชน เทคโนโลยีสำรสนเทศ โทรคมนำคม และกำร จัดแหล่งทรัพยำกรกำรเรี ยนรู้ มำใช้เพื่อจัดให้กำรศึกษำที่สำมำรถผสมผสำนระหว่ำงกำรศึกษำในระบบกำร ศึกษำนอกระบบและกำรศึกษำตำมอัธยำศัย เอื้ออำำนวยให้ผเู ้ รี ยนสำมำรถศึกษำค้นคว้ำได้ตำมควำมต้องกำร เพื่อให้กำรเรี ยนรู้และกำรพัฒนำคุณภำพชีวิตเกิดขึ้นได้อย่ำงต่อเนื่องตลอดชีวิตทั้งด้ำนกำรศึกษำสำระควำมรู ้ ทำงวิชำกำร ทำงศำสนำ และศิลปะ วัฒนธรรม สื่ อเทคโนโลยีทำงกำรศึกษำตำมควำมหมำยของทบวง มหำวิทยำลัยนั้น ครอบคลุมสื่ อวิทยุกระจำยเสี ยง สื่ อวิทยุโทรทัศน์ สื่ อสิ่ งพิมพ์ สื่ อโสตทัศน์ เครื อข่ำย คอมพิวเตอร์ และอินเทอร์เน็ตโทรสำร โทรศัพท์ และโทรคมนำคมอื่นรวมทั้งแหล่งกำรเรี ยนรู ้ทวั่ ไป โดยมุ่ง เน้นที่จะส่ งเสริ มให้เกิดกำรเรี ยนรู้ และกำรพัฒนำทรัพยำกรมนุษย์ได้เต็มตำมศักยภำพ ปรำศจำกข้อจำำกัด ด้ำนโอกำส ถิ่นที่อยู่ ฐำนะทำงเศรษฐกิจและสังคม"เทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำ" ตำมควำมหมำยของร่ ำงพระ รำชบัญญัติจดั ตั้งสถำบันเทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำแห่ งชำติ หมำยถึง กำรนำำสื่ อตัวนำำ คลื่นควำมถี่ และ โครงสร้ำงพื้นฐำนอื่นๆ ที่จำำ เป็ นต่อกำรแพร่ เสี ยง ภำพ และกำรสื่ อสำรในรู ปแบบอื่น ๆ เพื่อใช้ประโยชน์ท้ งั กำรศึกษำในระบบกำรศึกษำนอกระบบ กำรศึกษำตำมอัธยำศัย กำรทำำนุบำำ รุ งศำสนำ ศิลปะและวัฒนธรรม เพื่อให้กำรจัดกำรศึกษำเป็ นกระบวนกำรเรี ยนรู ้อย่ำงต่อเนื่องตลอดชีวิต โดยครอบคลุมสื่ อสำรมวลชน เทคโนโลยีสำรสนเทศ โทรคมนำคม สื่ อโสตทัศน์ แบบเรี ยน ตำำรำ หนังสื อทำงวิชำกำรและแหล่งกำรเรี ยนรู ้ หรื อเทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำอื่นตำมที่คณะกรรมกำรสถำบันเทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำแห่ งชำติ กำำหนด Carter V. Good(good,1973) กล่ำวว่ำ เทคโนโลยีกำรศึกษำหมำยถึง กำรนำำหลักกำรทำงวิทยำศำสตร์ มำประยุกต์ใช้เพื่อกำรออกแบบและส่งเสริ มระบบกำรเรี ยนกำรสอน โดนเน้นที่วตั ถุประสงค์ทำงกำรศึกษำที่ สำมำรถวัดได้อย่ำงถูกต้องแน่นอน มีกำรยึดหลักผูเ้ รี ยนเป็ นศูนย์กลำงกำรเรี ยนมำกกว่ำยึดเนื้ อหำวิชำมีกำร ใช้กำรศึกษำเชิงปฏิบตั ิโดยผ่ำนกำรวิเครำะห์และกำรใช้โสตทัศนูปกรณ์รวมถึงเทคนิคกำรสอนโดยใช้ อุปกรณ์ต่ำงๆ เช่น เครื่ องคอมพิวเตอร์ สื่ อกำรสอนต่ำงๆ ในลักษณะของสื่ อประสมและกำรศึกษำด้วยตนเอง Gagne' และ Briggs (gagne',1974)ให้ควำมหมำยว่ำ เทคโนโลยีกำรศึกษำนั้น พัฒนำมำจำกกำรออกแบบกำร เรี ยนกำรสอนในรู ปแบบต่ำงๆ โดยรวมถึง .......1.ควำมสนใจในเรื่ องควำมแตกต่ำงระหว่ำงบุคคลในเรื่ องของกำรเรี ยนรู ้ เช่น บทเรี ยน แบบโปรแกรม
และ บทเรี ยนกำรสอนใช้คอมพิวเตอร์ช่วย เป็ นต้น .......2.ด้ำนพฤติกรรมศำสตร์และทฤษฏีกำรเรี ยนรู ้ เช่น ทฤษฏีกำรเสริ มแรงของ B.F. Skinner .......3.เทคโนโลยีดำ้ นวิทยำศำสตร์กำยภำพ เช่น โสตทัศนูปกรณ์ประเภทต่ำงๆ รวมถึงสื่ อสิ่ งพิมพ์ ด้วย Heinich,Molenda และ Russel(Heinich,1989) เสนอว่ำ เทคโนโลยีกำรศึกษำคือกำรใช้ควำมรู ้ทำง วิทยำศำสตร์ เกี่ยวกับกำรเรี ยนรู้ของมนุษย์ให้ปฏิบตั ิได้ในรู ปแบบของกำรเรี ยนและกำรสอนอีกนัยหนึ่งก็คือ กำรใช้ควำมรู้ทำงวิทยำศำสตร์ (ทั้งด้ำนยุทธวิธี Tactic และด้ำนเทคนิค) เพื่อแก้ปัญหำทำงกำรสอนซึ่งก็คือควำมพยำยำมสร้ำงกำรสอนให้มี ประสิ ทธิ ภำพมำกขึ้น โดยกำรออกแบบ ดำำเนินกำรและประเมินผลกำรเรี ยนกำรสอนอย่ำงเป็ นระบบ บนพื้น ฐำนของกำรศึกษำวิจยั ในกำรเรี ยนและกำรสื่ อสำรกิดำนันท์ มลิทอง(2545) ปั จจุบนั นี้สมำคมเทคโนโลยีเพื่อ กำรศึกษำและกำรสื่ อสำรได้ให้ควำมหมำยว่ำ เทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำ เป็ นทฤษฏีและกำรปฏิบตั ิของกำร ออกแบบ กำรพัฒนำกำรใช้ กำรจัดกำร และกำรประเมิน ของกระบวนกำรและทรัพยำกรสำำหรับกำรเรี ยนรู ้ แนวคิดของเทคโนโลยีกำรศึกษำจึงประกอบด้วยส่ วนสำำคัญ 5 กลุ่ม คือ กำรออกแบบ(design) กำรพัฒนำ (Development) กำรใช้(utilization)กำรจัดกำร (management)และกำรประเมิน(evaluation)ซึ่งแต่ละกลุ่มจะ โยงเข้ำสู่ศนู ย์กลำงของทฤษฏีและปฏิบตั ิดงั นั้นเทคโนโลยีกำรศึกษำจึงเป็ นผสมผสำนกันระหว่ำงควำมรู ้ดำ้ น วิทยำศำสตร์ และสังคมศำสตร์เป็ นกำรประยุกต์เอำแนวคิดควำมคิด เทคนิค วิธีกำร วัสดุอุปกรณ์ และสิ่ ง ต่ำงๆ อันสื บเนื่องมำจำกเทคโนโลยีมำใช้ในวงกำรศึกษำนั้นเองเห็นได้ชดั เจนว่ำ "เทคโนโลยีกำรศึกษำ" ครอบคลุมควำมหมำยกว้ำงขวำง ซึ่งในภำษำสำกลนั้น คำำว่ำ Educational Technology มีควำมหมำยรวมถึง เทคโนโลยีกำรสอน(Instructional Technology) เทคโนโลยีกำรเรี ยนรู ้ (Learning Technology) สื่ อกำรศึกษำ (Educational Media) และคำำอื่นๆ ที่มีควำมหมำยอย่ำงเดียวกันเข้ำไว้ดว้ ย แต่คำำ ว่ำ Educational Technology) และ Instructional Technology ดูจะได้รับกำรยอมรับมำกที่สุด โดยมักจะถูกใช้ในควำมหมำยอย่ำงเดียว ประวัติและพัฒนำกำรของเทคโนโลยีกำรศึกษำประวัติของเทคโนโลยีกำรศึกษำ .........เทคโนโลยีได้ถูกนำำมำใช้ทำงกำรศึกษำนับตั้งแต่สมัยก่อนคริ สตกำล มีกำรกล่ำวถึงนักเทคโนโลยี ทำงกำรศึกษำพวกแรก คือกลุ่มโซฟิ สต์ (The Elder sophist) ที่ใช้วิธีกำรสอนกำรเขียน เช่น กำรใช้มือวำด กำรเขียนสลักลงบนไม้ ส่วนกำรใช้ชอล์คเขียนบนกระดำนดำำได้เริ่ มขึ้นในทศวรรษที่ 1800 สำำหรับกำรใช้ เทคโนโลยีทำงสื่ อโสตทัศน์(audio visual) นั้น สำมำรถนับย้อนหลังไปได้ถึงต้นทศวรรษที่ 1900 ในขณะที่ โรงเรี ยนและพิพิธภัณฑ์หลำยๆ แห่งเริ่ มมีกำรจัดสภำพห้องเรี ยนและกำรใช้สื่อกำรสอนประเภทต่ำงๆ เช่น ใช้สื่อกำรสอนประเภทต่ำงๆ เช่น ใช้สื่อภำพ ภำพวำด ภำพระบำยสี สไลด์ ฟิ ล์ม วัตถุ และแบบจำำลองต่ำงๆ และแบบจำำลองต่ำงๆ เพื่อเสริ มกำรบอกเล่ำทำงคำำพูดต่อ Thomas A. Edison ได้ผลิตเครื่ องฉำยภำพยนตร์ข้ ึน ในปี ค.ศ. 1913 เขำได้เล็งเห็นประโยชน์ของภำพยนตร์ ในกำรเรี ยนกำรสอนเป็ นอย่ำงมำก จนถึงขั้นเขียนไว้ เป็ นหลักฐำนว่ำ "ต่อไปนี้ หนังสื อจะกลำยเป็ นสิ่ งที่หมดสมัยในโรงเรี ยน เพรำะเรำสำมำรถใช้ภำพยนตร์ ใน กำรสอนควำมรู้ทุกสำขำได้ ระบบโรงเรี ยนจะต้องเปลี่ยนแปลงโดยสิ้ นเชิงภำยในสิ บปี ข้ำงหน้ำ" แต่ปัจจุบนั แม้มีเทคโนโลยีสมัยใหม่กย็ งั ไม่สำมำรถล้มล้ำงเทคโนโลยีด้ งั เดิมเช่น กำรใช้หนังสื อในกำรเรี ยนกำรสอนได้
.........ในช่วงทศวรรษที่ 1920 - 1930 เริ่ มมีกำรใช้เครื่ องฉำยภำพแบบข้ำมศีรษะ (overhead projector) เครื่ อง บันทึกเสี ยง วิทยุกระจำยเสี ยง และภำพยนตร์ เข้ำมำเสริ มกำรเรี ยนกำรสอนวิทยุกระจำยเสี ยงจึงเป็ นสื่ อใหม่ที่ ได้รับควำมนิยม สำำหรับกิจกำรกระจำยเสี ยงในประเทศสหรัฐอเมริ กำนั้นได้เริ่ มขึ้นตั้งแต่รำวปี ค.ศ.1921 กำรเริ่ มขออนุญำตประกอบกิจกำรกระจำยเสี ยงในยุคแรก ๆ มีวตั ถุประสงค์เพื่อกำรศึกษำ และเริ่ มมีกำรใช้ วิทยุกระจำยเสี ยงเพื่อกำรสอนทำงไกลช่วงทศวรรษที่ 1930 แต่ต่อมำระบบธุรกิจเข้ำครอบงำำมำกขึ้นจนวิทยุ ำ เพื่อกำรศึกษำในประเทศสหรัฐอเมริ กำอยูใ่ นสภำวะที่ตกต่ำลง ........ในช่วงทศวรรษที่ 1950 วิทยุโทรทัศน์เกิดเป็ นปรำกฏกำรณ์ใหม่ในสังคมตะวันตกซึ่งสำมำรถใช้เป็ นสื่ อ เพื่อกำรศึกษำได้อย่ำงมีประสิ ทธิภำพ วิทยุโทรทัศน์จึงมีบทบำทสำำคัญและกลำยเป็ นเทคโนโลยีแถวหน้ำของ สังคมนับแต่บดั นั้น นักวิชำกำรบำงท่ำนถือว่ำช่วงระหว่ำงทศวรรษที่ 1950 ถึง 1960 นี้ เป็ นกำรเปลี่ยนแปลง ครั้งใหญ่ในแวดวงเทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำเนื่องจำกกำรก่อกำำเนิดของวิทยุโทรทัศน์ และยังได้มีกำรนำำเอำ ทฤษฎีทำงด้ำนสื่ อสำรมวลชนและทฤษฎีระบบเข้ำมำใช้ในวงกำรเทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำอีกด้วย ดังนั้น ใน ช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 จึงมีกำรใช้คำำ ว่ำ "กำรสื่ อสำรทำงภำพและเสี ยง" หรื อ "audio-visual communications" แทนคำำว่ำ "กำรสอนทำงภำพและเสี ยง" หรื อ "audio-visual instruction" ซึ่งย่อมเป็ นเครื่ อง ชี้ชดั ประกำรหนึ่งว่ำ เทคโนโลยีกำรสื่ อสำรนั้น คือเครื่ องมือสำำคัญในกำรถ่ำยทอดกำรเรี ยนกำรสอนนัน่ เอง .........ในทวีปยุโรป วิทยุโทรทัศน์เพื่อกำรศึกษำเริ่ มต้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 1950 โดย British Broadcasting Corporation หรื อ BBC ในปี ค.ศ. 1958 ประเทศอิตำลีกร็ ิ เริ่ มบ้ำงโดยมีกำรสอนตรงผ่ำนสื่ อวิทยุโทรทัศน์ ผ่ำน Telescuola (Television School of the Air) ส่ วนประเทศในเครื อคอมมิวนิสต์ได้มีโอกำสรับชมรำยกำร โทรทัศน์เพื่อกำรศึกษำเป็ นครั้งแรกในปี 1960 นำำโดยประเทศยูโกสลำเวีย ตำมติดด้วยประเทศโปแลนด์ สำำหรับประเทศ โซเวียตนั้น ได้เริ่ มออกอำกำศรำยกำรทัว่ ไปและรำยกำรโทรทัศน์เพื่อกำรศึกษำเมื่อปี 1962 ใ นปี 1965 ประเทศอื่นๆ ในยุโรปตะวันออกก็ได้ทำำ กำรออกอำกำศรำยกำรโทรทัศน์เพื่อกำรศึกษำโดยผ่ำน ดำวเทียมกันอย่ำงแพร่ หลำย .........ปี ค.ศ. 1962 ประเทศจีนคอมมิวนิสต์ริเริ่ มทำำกำรสอนในวิชำต่ำงๆ เช่น เคมี ฟิ สิ กส์ในระดับ มหำวิทยำลัย โดยผ่ำนสถำนีวิทยุโทรทัศน์เซี่ยงไฮ้ นอกจำกนั้นสถำนีวิทยุโทรทัศน์อื่น ๆ เช่น ในปั กกิ่ง เทียน สิ น และกวำงตุง้ ต่ำงก็เผยแพร่ รำยกำรมหำวิทยำลัยทำงโทรทัศน์ (Television Universities) เพื่อเป็ นแรงขับ เคลื่อนในระดับชำติเพื่อกำรศึกษำสำำหรับประชำชน อย่ำงไรก็ตำมประเทศญี่ปุ่นได้รับกำรยกย่องว่ำเป็ น ประเทศแรกในโลกทีมีกำรบูรณำกำรกำรใช้วิทยุโทรทัศน์เข้ำกับโครงสร้ำงของกำรศึกษำนับตั้งแต่ระดับ อนุบำลไปจนถึงมหำวิทยำลัย และยังรวมถึงกำรให้กำรศึกษำผูใ้ หญ่ในสำขำวิชำต่ำงๆ อย่ำงกว้ำงขวำงด้วย ก่อนสิ้ นปี 1965 ประเทศญี่ปนมี ุ่ สถำนีวิทยุโทรทัศน์เพื่อกำรศึกษำออกอำกำศทัว่ ประเทศเป็ นจำำนวนถึง 64 สถำนี. ........ประเทศในอเมริ กำใต้ เริ่ มดำำเนินกำรวิทยุโทรทัศน์เพื่อกำรศึกษำนับตั้งแต่ปลำยทศวรรษที่ 1950 นำำโดย ประเทศโคลอมเบีย ซึ่งทำำกำรออกอำกำศวิชำต่ำงๆ ในระดับประถมศึกษำอย่ำงเต็มรู ปแบบระหว่ำงชัว่ โมง เรี ยนปกติโดยผ่ำนสถำนีวิทยุโทรทัศน์แห่งชำติ ต่อมำประเทศโคลอมเบียได้รับควำมช่วยเหลือจำกโครงกำร
อำสำสมัครเพื่อสันติภำพจำกประเทศสหรัฐอเมริ กำ จึงเป็ นผลให้ประเทศโคลอมเบียกลำยเป็ นแบบอย่ำงของ วิทยุโทรทัศน์เพื่อกำรศึกษำในเวลำต่อมำ ........แม้วำ่ กำรเติบโตของวิทยุโทรทัศน์เพื่อกำรศึกษำจะเกิดขึ้นทัว่ โลกก็ตำม กำรพัฒนำที่เด่นชัดที่สุดเห็นจะ ได้แก่ประเทศสหรัฐอเมริ กำ กำรทดลองครั้งแรกในประเทศสหรัฐอเมริ กำเกิดขึ้นที่ lowa University ในช่วง ระหว่ำงปี 1932-1939 โดยมีกำรผลิตรำยกำรในวิชำต่ำงๆ เช่น วิศวกรรมศำสตร์ พฤกษศำสตร์ ศิลปะ กำร ละคร และชวเลข เป็ นต้น มหำวิทยำลัยในประเทศสหรัฐอเมริ กำ 5 แห่ งที่ถูกจัดว่ำเป็ นผูบ้ ุกเบิกในวงกำรวิทยุ โทรทัศน์เพื่อกำรศึกษำของประเทศ ได้แก่ lowa University ที่ lowa City, lowa State University ที่ Ames, Kansas State University, University of Michigan และ American University กำรเติบโตของวิทยุโทรทัศน์ เพื่อกำรศึกษำในประเทศสหรัฐอเมริ กำในช่วง ค.ศ. 1953-1967 นับว่ำสูงมำก เพรำะมีสถำนีวิทยุโทรทัศน์ เพื่อกำรศึกษำทัว่ ประเทศเป็ นจำำนวนถึง 140 สถำนี เมื่อเปรี ยบเทียบกับจำำนวนประชำกร 140 ล้ำนคนในขณะ นั้น มีกำรคำดคะเนว่ำ ในช่วงเวลำดังกล่ำว รำยกำรโทรทัศน์เพื่อกำรศึกษำสำมำรถเข้ำถึงโรงเรี ยนได้ไม่ต่ำำ ำ ำ 15 ล้ำนคนที กว่ำ 2,000 โรง และเข้ำถึงนักเรี ยนระดับประถมศึกษำ มัธยมศึกษำ และอุดมศึกษำ ได้ไม่ต่ำกว่ เดียว .........เทคโนโลยีกำรศึกษำและกำรสื่ อสำรได้มีกำรเปลี่ยนแปลงและพัฒนำขึ้ นอย่ำงมำกในช่วงปลำย ทศวรรษที่ 1960 เมื่อโลกได้หนั เข้ำมำสู่ยคุ ของคอมพิวเตอร์ ในด้ำนกำรศึกษำนั้น ได้มีกำรใช้เครื่ อง คอมพิวเตอร์ ในโรงเรี ยนเป็ นครั้งแรกในปี 1977 ที่ประเทศสหรัฐอเมริ กำ เมื่อบริ ษทั APPLE ได้ประดิษฐ์ เครื่ อง APPLE II ขึ้น โดยกำรใช้ในระยะแรกนั้นมีวตั ถุประสงค์หลักเพื่อกำรบริ หำรจัดกำร ต่อมำได้มีกำร พัฒนำโปรแกรมต่ำงๆ เพื่อให้ใช้ได้ง่ำยและสำมำรถช่วยในกำรเรี ยนกำรสอนได้มำกขึ้น คอมพิวเตอร์ จึงเป็ น สิ่ งที่ครู และนักเรี ยนคุน้ เคย และมีกำรใช้กนั อย่ำงแพร่ หลำยจนทุกวันนี้ ..........ยุคของมัลติมีเดียเพื่อกำรศึกษำได้เริ่ มขึ้นในปี 1987 เมื่อบริ ษทั APPLE ได้เผยแพร่ โปรแกรมมัลติมีเดีย ครั้งแรกออกมำ คือโปรแกรม HyperCard แม้วำ่ โปรแกรมนี้จะต้องใช้เครื่ องที่มีกำำ ลังสู ง ต้องใช้เวลำในกำร ฝึ กหัดมำก แต่ผลงที่ได้รับก็น่ำประทับใจ กำรพัฒนำมัลติมีเดียเพื่อกำรศึกษำได้มีกำรดำำเนินไปอย่ำงต่อเนื่อง มีกำรพัฒนำโปรแกรม Hyper Studio มำใช้ และได้รับควำมนิยมมำกขึ้นในหลำยๆ โรงเรี ยน อย่ำงไรก็ตำม เพียงภำยในสองปี มัลติมีเดียเพื่อกำรศึกษำก็ถูกแทนที่โดยสิ่ งที่น่ำตื่นเต้นมำกกว่ำ นัน่ ก็คือ อินเทอร์ เน็ต (Internet) นัน่ เอง.........ปัจจุบนั นี้ อินเทอร์เน็ตมีอตั รำกำรเติบโตอย่ำงรวดเร็ ว The Department of Commerce's Census Bureau ของประเทศสหรัฐอเมริ กำ ได้ทำำ กำรสำำรวจในเดือนกันยำยน พ.ศ. 2544 พบว่ำ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผำ่ นมำ จำำนวนคนอเมริ กนั ที่ใช้อินเทอร์ เน็ตมีจำำ นวนเพิ่มขึ้นถึงเดือนละสองล้ำนคน ซึ่งทำำให้ ตัวเลขประชำกรที่ออนไลน์มีจำำ นวนกว่ำครึ่ งหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริ กำผลกำรสำำรวจรำยงำนว่ำ ปั จจุบนั นี้ คนอเมริ กนั ที่ใช้คอมพิวเตอร์มีจำำ นวนถึง 174 ล้ำนคน (หรื อร้อยละ 66 ของจำำนวนประชำกรทั้ง ประเทศ) และมีชำวอเมริ กนั ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งสิ้ นประมำณ 143 ล้ำนคน (รำว ๆ ร้อยละ 54 ของประชำกร) ส่ วนในประเทศไทยนั้นบริ ษทั ACNielsen ซึ่งเป็ นบริ ษทั วิจยั กำรตลำดระดับนำนำชำติ ได้ทำำ กำรสำำรวจผูใ้ ช้ อินเทอร์ เน็ตในเขตเมืองใหญ่ในแต่ละภำคของประเทศไทยเมื่อเดือนพฤษภำคม 2544 และพบว่ำครอบครัว
ในเมืองใหญ่ที่มีคอมพิวเตอร์เป็ นของตนเองมีเพียงร้อยละ 24 เท่ำนั้น ส่ วนจำำนวนผูใ้ ช้อินเทอร์ เน็ตทั้ง ประเทศมีจำำ นวนประมำณ 10 ล้ำนคน (รำวๆ ร้อยละ 16.6 ของประชำกร) ในจำำนวนนี้ ส่ วนใหญ่เป็ นผูใ้ ช้ใน เขตกรุ งเทพมหำนคร นอกจำกนั้นศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์ แห่ งชำติ (NECTEC) ก็ได้ ทำำกำรสำำรวจผูใ้ ช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทยในช่วงเดือนกันยำยน - ตุลำคม 2544 เช่นกัน พบว่ำผูใ้ ช้ อินเทอร์ เน็ตร้อยละ 52 อยูใ่ นกรุ งเทพมหำนคร เป็ นเพศชำยร้อยละ 48.8 และเพศหญิงร้อยละ 51.2 ในจำำนวน ผูท้ ี่ใช้อินเทอร์เน็ตนี้ ส่วนใหญ่เป็ นผูท้ ีมีอำยุระหว่ำง 20-29 ปี (ร้อยละ 49.1) และเป็ นผูม้ ีกำรศึกษำระดับ ปริ ญญำตรี (ร้อยละ 60.3) อย่ำงไรก็ตำม กำรวิจยั ทั้งสองให้ผลที่ตรงกันว่ำ คนไทยส่ วนใหญ่ใช้อินเทอร์ เน็ต เพื่อส่ ง e-mail ค้นหำข้อมูล ติดตำมข่ำวสำร และสนทนำ (chat) .........นอกจำกนั้นยังมีกำรสรุ ปด้วยว่ำกำรใช้อินเทอร์ เน็ตในประเทศไทยแพร่ หลำยมำกขึ้ น เพรำะค่ำใช้จ่ำย ถูกลง และมีอินเทอร์เน็ตคำเฟมำกขึ้น กำรพัฒนำอันน่ำมหัศจรรย์ใจของของอินเทอร์ เน็ตในฐำนะที่เป็ นเครื อ ข่ำยแห่ งเครื อข่ำยทำำให้มีกำรเชื่อมโยงกันได้อย่ำงเสรี ไม่มีกำรปิ ดกั้น ดังนั้นคนทุกคนจึงสำมำรถเผยแพร่ ข้อมูลของตนบนอินเทอร์เน็ตได้อย่ำงง่ำยดำย พอ ๆ กับกำรที่สำมำรถสื บค้นข้อมูลได้จำกแหล่งควำมรู ้ต่ำงๆ ทัว่ โลก และจำกคุณสมบัติดงั กล่ำวนี้ อันเทอร์ เน็ตจึงมีประโยชน์อย่ำงยิง่ ในกำรศึกษำรู ปแบบต่ำงๆ เพรำะ นักเรี ยนและครู สำมำรถสื่ อสำรถึงกันได้โดยผ่ำนระบบอิเล็กทรอนิกส์ เช่น อีเมล์ กำรแลกเปลี่ยนควำมรู ้ผำ่ น ระบบ bulletin board และ biscussion groups ต่ำงๆ ตลงอดจนกำรใช้เทคโนโลยีที่ทนั สมัยยิง่ ขึ้นในกำร โทรศัพท์หรื อประชุมทำงไกลผ่ำนอินเทอร์เน็ต อินเทอร์ เน็ตจึงเพิ่มบทบำทสำำคัญในกำรศึกษำรู ปแบบใหม่ และยังช่วยเปลี่ยนบทบำทของครู จำก "ผูส้ อน" มำเป็ น "ผูแ้ นะนำำ" พร้อมทั้งช่วยสนับสนุนให้เด็กสำมำรถ เรี ยนและค้นคว้ำด้วยตนเองอีกด้วยพัฒนำกำรเทคโนโลยีกำรศึกษำในประเทศไทยเทคโนโลยีกำรศึกษำของ ไทยมีกำรพัฒนำกำรมำ 3 ยุค คือ ........1. ยุคแรกสมัยกรุ งสุโขทัยจนถึงสมัยกรุ งธนบุรี ยุคนี้เป็ นยุคเริ่ มต้นของกำรพัฒนำเทคโนโลยีทำงกำร ศึกษำของไทย ในสมัยสุโขทัย พ่อขุนรำมคำำแหงมหำรำชทรง ประดิษฐ์อกั ษรไทย เพรำะตัวอักษรเป็ นพื้น ฐำนที่สำำ คัญในกำรเผยแพร่ วิทยำกำรต่ำงๆ ให้กำ้ วหน้ำยิง่ ขึ้น และทำำให้คนไทยเกิดควำมรู ้สึกหวงแหนชำติ ไทยนอกจำกนี้พระองค์ยงั ทรงเอำใจใส่ต่อกำรศึกษำของประชำชนด้วย ดังเช่น กำรสัง่ สอนประชำชน ณ พระแทนมนังคศิลำ ทั้งด้วยพระองค์เองและทรงนิมนต์พระภิกษุมำสัง่ สอน เล่ำเรื่ อง กำรเทศนำ กำรเขียน เป็ นหนังสื อ ฯลฯ ยุคนี้มีเทคโนโลยีกำรศึกษำผ่ำนสื่ อวรรณกรรมที่สำำ คัญ 2 เรื่ อง คือ ภำษิตพระร่ วง และไตรภูมิพระร่ วง ในสมัยกรุ งศรี อยุธยำ เทคโนโลยีกำรศึกษำได้กำ้ วหน้ำไปมำก ทั้งด้ำน วิชำกำรทั้งในประเทศและวิทยำกำรจำกประเทศตะวันตก หนังสื อเรี ยนเล่มแรกของไทยชื่อ จินดำมณี กเ็ กิด ขึ้นในยุคนี้ นอกจำกนี้กม็ ี วรรณกรรมต่ำงๆเกิดขึ้นมำกมำย ในสมัยสมเด็จพระนำรำยณ์มหำรำช พระองค์ ทรงดำำเนินนโยบำยต่ำงประทศระบบเปิ ด ต้อนรับชำวต่ำงประเทศ กำรค้ำและกำรศำสนำ ส่ วนหนึ่งของชำว ยุโรปเหล่ำนี้ ได้แก่ คณะมิชชัน่ นำรี ได้นำำ วิทยำกำรใหม่ ๆ หลำยประกำรจำกยุโรปมำเผยแพร่ ในประเทศ ด้วย เช่น กำรพิมพ์ กำรจัดตั้งโรงเรี ยน แต่วิทยำกำรเหล่ำนี้ ไม่ได้นำำ มำใช้อย่ำงจริ งจัง ก็เลิกล้มไปเพรำะพระ มหำกษัตริ ยส์ มัยหลังสมเด็จพระนำรำยณ์มหำรำช ไม่ตอ้ งกำรให้ชำวยุโรปเข้ำมำดำำเนินกำรกิจกำรต่ำงๆ ใน
ประเทศไทย ในสมัยกรุ งธนบุรี เทคโนโลยีกำรศึกษำมีไม่มำกนัก ทั้งนี้เพรำะประเทศได้รับควำมเสี ยหำยมำก จำกกำรเสี ยกรุ งศรี อยุธยำครั้งที่ 2 ในปี พ.ศ. 2310 พระเจ้ำกรุ งธนบุรีใช้เวลำส่ วนใหญ่ในกำรรวบรวมคนไทย และบูรณะประเทศให้เป็ นปึ กแผ่นอีกครั้งหนึ่ง อีกทั้งสมัยนี้มีระยะเวลำสั้นเพียง 15 ปี เทคโนโลยีกำรศึกษำ ในสมัยนี้ จึงมีเพียงวรรณกรรมเท่ำนั้น ........2. เทคโนโลยีกำรศึกษำยุคปรับเปลี่ยน ในยุคนี้นบั ตั้งแต่สมัยพระพุทธยอดฟ้ ำจุฬำโลกครั้งที่ 2 จนถึง ปั จจุบนั เมื่อสิ้ นสุดสงครำมโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริ กำ ได้เข้ำมำมีอิทธิ พลในประเทศไทยมำกขึ้น แทน อังกฤษและฝรั่งเศษ สหรัฐอเมริ กำได้นำำ เทคโนโลยีกำรศึกษำสมัยใหม่หลำยอย่ำงมำเผยแพร่ ในประเทศไทย เริ่ มต้นด้วยภำพยนตร์ ที่สำำ นักข่ำวสำรอเมริ กนั ได้นำำ มำฉำย หลำยเรื่ องมำสำมำรถนำำมำใช้ในกำรศึกษำได้ ทำำให้คนไทยเห็นคุณค่ำของภำพยนตร์เพื่อนำำมำใช้ในกำรศึกษำ กองกำรศึกษำผูใ้ หญ่ กระทรวงศึกษำธิ กำร เริ่ มนำำภำพยนตร์มำใช้ในกำรให้กำรศึกษำ ในยุคนี้เองได้มีกำรบัญญัติศพั ท์ " โสตทัศนศึกษำ" ขึ้นโดยมำจำก คำำภำษำอังกฤษว่ำ Audio Visua l.........โสตทัศนศึกษำในยุคนี้ พฒั นำอย่ำงมีระบบแบบแผน อีกทั้งได้มีกำรเปิ ดสอนในระดับอุดมศึกษำ ทั้ง ขั้นปริ ญญำตรี และบัณฑิตศึกษำ ทำำให้กำ้ วหน้ำกว่ำทุกยุคที่ผำ่ นมำโดยเฉพำะสหรัฐมเมริ กำเข้ำมำมีอิทธิ พล อย่ำงมำกในกำรจัดกำรศึกษำของไทย ทั้งนี้เพรำะมีนกั กำรศึกษำและผูบ้ ริ หำรกำรศึกษำคนไทยได้มีโอกำส ไปศึกษำในสหรัฐอเมริ กำ เริ่ มตั้งแต่สมัยรัชกำลที่ 4 เทคโนโลยีกำรศึกษำในยุคนี้ แบ่งออกได้เป็ นรู ปแบบ ต่ำงๆดังนี้ ........1) เทคโนโลยีกำรสอน ได้มีกำรคิดค้นวิธีกำรเรี ยนกำรสอนใหม่ ๆ ขึ้นมำหลำยอย่ำง ทั้งจำกกำร ประยุกต์จำกวิทยำกำรของต่ำงประเทศและจำกกำรสร้ำงขึ้นมำเอง เช่น ระบบกำรเรี ยนกำรสอนแบบศูนย์กำร เรี ยน ระบบกำรสอนแบบเบญจขันธ์ ระบบกำรสอนแบบจุลภำค ระบบกำรกำรสอนแบบสื บสวนสอบสวน ฯลฯ ซึ่งระบบกำรเรี ยนกำรสอนที่ได้รับกำรพัฒนำขึ้นนี้ ล้วนเอำแนวคิดจำกตะวันตกมำทั้งสิ้ น .......2) เทคโนโลยีดำ้ นสื่ อ สื่ อกำรศึกษำในยุคนี้ ส่วนใหญ่พฒั นำมำจำกผลิตผลทำงด้ำนวิทยำศำสตร์ และ วิศวกรรมศำสตร์ เช่น เครื่ องฉำยภำพยนต์ เครื่ องฉำยสไลด์ เครื่ องฉำยภำพโปร่ งใส นอกจำกนี้ยงั ได้มีกำรนำำ วิทยุและวิทยุโทรทัศน์มำใช้เพื่อกำรศึกษำด้วย แต่กำรนำำรู ปแบบสื่ อจำกประเทศตะวันตกมำใช้ทำำ ให้เกิด ปั ญหำหลำยประกำร เพรำะสภำพทำงสังคมและเศรษฐกิจที่แตกต่ำงกัน นักกำรศึกษำของไทยจึงได้พฒั นำ สื่ อกำรศึกษำขึ้นมำเองเพื่อให้เหมำะสมกับสภำพทำงสังคมและเศรษฐกิจ โดย กำรใช้ทรัพยำกรพื้นบ้ำน ใช้ สื่ อรำคำเยำว์เช่น ผลงำนวัตกรรมพื้นบ้ำนเพื่อกำรสอนของธนู บุญรัตพันธุ์ วิธีกำรและวัสดุอุปกรณ์กำรสอน วิทยำศำสตร์ ที่ผสู้ อนคิด ประดิษฐ์ข้ ึนเองเช่นวัสดุอุปกรณ์กำรเรี ยนกำรสอนวิทยำศำสตร์ ของ โช สำลีฉนั ท์ ซึ่งมีผลิตผลที่ใช้วสั ดุเหลือใช้ต่ำงๆ ในท้องถิ่น จึงเป็ นแนวโน้มที่ดีในกำรเลือกและใช้สื่อในกำรศึกษำ ........3) กำรจัดตั้งหน่วยงำนเพื่อรับผิดชอบเพื่อส่ งเสริ มและพัฒนำเทคโนโลยีกำรศึกษำ ได้มีกำรจัดตั้ง สถำบันและหน่วยงำนต่ำงๆขึ้นเช่น ศูนย์เทคโนโลยีทำงกำรศึกษำ ศูนย์บริ ภณั ฑ์เพื่อกำรศึกษำ กระทรวง ศึกษำธิ กำร สถำบันส่งเสริ มกำรสอนวิทยำศำสตร์ และเทคโนโลยี ในสถำบันกำรศึกษำต่ำงๆก็มีกำรจัดตั้ง ศูนย์ที่ทำำ หน้ำที่ดำ้ นสื่ อขึ้นมำ เพื่อตอบสนองและส่ งเสริ มประสิ ทธิ ภำพในกำรศึกษำของผูเ้ รี ยนให้มำกขึ้ น
........เทคโนโลยีกำรศึกษำในยุคสำรสนเทศ เป็ นยุคที่คอมพิวเตอร์ เข้ำมำมีบทบำทในกำรสื่ อสำรเป็ นอย่ำงยิง่ คือเริ่ มตั้งแต่ พ.ศ. 2530 เป็ นต้นมำ อิทธิพลของคอมพิวเตอร์ ที่มีต่อกำรสื่ อสำรและสังคมทำำให้บทบำทของ เทคโนโลยีกำรศึกษำต้องปรับเปลี่ยนตำมไปด้วย เทคโนโลยีกำรศึกษำในยุคนี้ จึงแบ่งได้เป็ น รู ปแบบคือ 1) เทคโนโลยีดำ้ นสื่ อ 2)เทคโนโลยีกำรสื่ อสำร 3)เทคโนโลยีดำ้ นระบบ 4)เทคโนโลยีกำรสอน 5) นัก เทคโนโลยีกำรศึกษำของไทยนักเทคโนโลยีทำงกำรศึกษำของไทย ตั้งแต่ยคุ แรกเริ่ มจนถึงปั จจุบนั ที่สำำ คัญ ได้แก่1 .พ่อขุนรำมคำำแหงมหำรำช ผูป้ ระดิษฐ์อกั ษรไทย 2 .พระมหำธรรมรำชำลิไทย ผูน้ ิพนธ์ "ไตรภูมิ พระร่ วง"3 .พระโหรำธิบดี ผูแ้ ต่ง "จินดำมณี " ซึ่งเป็ นแบบเรี ยนเล่มแรกของไทย 4 .พระบำทสมเด็จพระนัง่ เกล้ำเจ้ำอยูห่ วั "บิดำสำขำวิทยำศำสตร์ และให้แนวคิดมหำวิทยำลัยเปิ ดของไทย 5 .พุทธทำสภิกขุ ในฐำนะที่ ได้นำำ เทคโนโลยีมำใช้ในกำรเผยแพร่ ธรรม 6 .ศำสตรำจำรย์สำำ เภำ วรำงกูล ในฐำนะผูร้ ิ เริ่ มและบุกเบิก นวัตกรรมและเทคโนโลยีทำงกำรศึกษำสมัยใหม่ในไทย 7 .รองศำสตรำจำรย์ ดร.เปรื่ อง กุมุท ผูค้ ิดวิธีสอน แบบเบญจขันธ์8 .ศำสตรำจำรย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงศ์ นักเทคโนโลยีกำรศึกษำ ที่เน้นแนวคิดทำงพฤติกรรม ศำสตร์ ผลงำนที่สำำ คัญได้แก่ ระบบกำรเรี ยนกำรสอน แบบศูนย์ กำรเรี ยน ระบบแผนจุฬำ แบบ มสธ.. ฯลฯ 9 .อำจำรย์ธนู บุณยรัตพันธ์ นักเทคโนโลยีกำรศึกษำที่มีผลงำนทั้งด้ำนวัสดุอุปกรณ์ กำรสอนโดยเฉพำะ ในด้ำนวัสดุอุปกรณ์ในท้องถิ่น 10 .ศำสตรำจำรย์ ดร. วีรยุทธ วิเชียรโชติ นักจิตวิทยำและเทคโนโลยีกำร ศึกษำที่ได้ประยุกต์หลักธรรมทำงพุทธศำสนำมำใช้ประโยชน์ในกำรเรี ยนกำรสอน ผลงำนที่สำำ คัญ ได้แก่ ระบบกำรเรี ยนกำรสอน แบบสื บสวนสอบสวน 11 .รองศำสตรำจำรย์ โช สำลีฉนั นักเทคโนโลยีทำงกำร ศึกษำที่มีผลงำนเด่นในด้ำนกำรผลิตวัสดุอุปกรณ์กำรสอนวิทยำศำสตร์ จำกทรัพยำกรพื้น บ้ำน 12 .ศำสตรำจำรย์ ดร.วิจิตร ศรี สะอ้ำน ผูร้ ิ เริ่ มตั้งมหำวิทยำลัยเปิ ดโดยกำรสอนทำงไกลของมหำวิทยำลัย สุ โขทัยธรรมมำธิรำช ........มุมมองเทคโนโลยีที่สมัยเก่ำมองเป็ นภำพของโสตทัศนศึกษำเปลี่ยนไป ปรับเป็ น เทคโนโลยี สำรสนเทศและกำรสื่ อสำร แนวคิดของเทคโนโลยีกำรศึกษำยังอยูแ่ ต่เน้นกำรนำำเอำเทคโนโลยีสื่อสำรและ กำรสนเทศ (Information and Communication Technology) มำใช้เพื่อควำมทันสมัยและทันกับควำม ก้ำวหน้ำของกำรสื่ อสำรสภำพปัจจุบนั ของเทคโนโลยีกำรศึกษำในประเทศไทย สิ่ งพิมพ์เพื่อกำรศึกษำ ..........ปั จจุบนั สิ่ งพิมพ์ในเมืองไทยมีกำรใช้อย่ำงกว้ำงขวำง ทั้งประโยชน์ทำงด้ำนกำรศึกษำ เศรษฐกิจ กำรเมือง และสังคม สิ่ งพิมพ์จึงมีควำมเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำำวันของประชำชนคนไทยอยูม่ ำก ปั จจุบนั นี้มี ทั้งหน่วยงำนรัฐบำลลัสำำ นักพิมพ์เอกชนที่ต่ำงแข่งขันผลิตสิ่ งพิมพ์ออกมำหลำยประเภทด้วยกันสิ่ งพิมพ์ ทัว่ ไป (Printed Material) หมำยถึงสำงที่ใช้ระบบพิมพ์ถ่ำยทอดข้อควำมและภำพที่แสดงควำมรู ้วิทยำกำร ก้ำวหน้ำ ข้อมูลข่ำวสำร ควำมคิด ควำมเชื่อ ประสบกำรณ์ และจินตนำกำรของมนุษย์ เผยแพร่ ออกไปสู่ผอู ้ ่ำน อย่ำงกว้ำงขวำงและทัว่ ถึง ในรู ปลักษณ์ต่ำงๆ เช่น หนังสื อเล่ม หนังสื อพิมพ์ วำรสำร นิตยสำร จุลสำร แผ่น พับ แผ่นปลิว สลำก เป็ นต้น ...........สิ่ งพิมพ์เพื่อกำรศึกษำ (Educational/Instructional Material) หมำยถึงสิ่ งพิมพ์ในรู ปลักษณ์ต่ำงที่จดั ทำำ
ขึ้นเป็ นเครื่ องมือในกำรเรี ยนกำรสอน ทำำหน้ำที่ถ่ำยทอดควำมรู ้ ควำมคิด ควำมเข้ำใจ เจตคติ ค่ำนิยม ควำมรู ้ สึ ก ประสบกำรณ์กำรเรี ยนรู้ สำำหรับกำรนำำไปใช้ในกำรจัดกำรเรี ยนรู ้ของผูเ้ รี ยนและผูส้ อน เช่น หนังสื อ ตำำรำเรี ยน แบบเรี ยนแบบฝึ กหัด ใบงำน คู่มือกำรสอน และสื่ อเสริ มกำรเรี ยนรู ้ ซึ่งได้แก่ หนังสื อเสริ มควำมรู ้ สำรำนุกรม พจนำนุกรม หนังสื ออุเทศ หนังสื อพิมพ์ หนังสื อบันเทิงคดี และสำรคดีที่มีเนื้ อหำเป็ นประโยชน์ เป็ นต้นเทคโนโลยีสำรสนเทศเพื่อกำรศึกษำ ........ เทคโนโลยีสำรสนเทศเพื่อกำรศึกษำ" หมำยถึง กำรนำำเอำเทคโนโลยีสำรสนเทคซึ่งประกอบด้วย เทคโนโลยีทำงด้ำนคอมพิวเตอร์ และเครื อข่ำยโทรคมนำคมที่ต่อเชื่อมกัน สำำหรับส่ งและรับข้อมูลและ มัลติมีเดียเกี่ยวกับควำมรู้โดยผ่ำนกระบวนกำรประมวลหรื อจัดทกให้อยูใ่ นรู ปแบบที่มีควำมหมำยและควำม สะดวก มำใช้ประโยชน์สำำ หรับกำรศึกษำในระบบ กำรศึกษำนอกระบบ และกำรศึกษำตำมอัธยำศัย เพื่อให้ คนไทยสำมำรถเรี ยนรู้และพัฒนำตนเองได้อย่ำงต่อเนื่อง ในรอบทศวรรษที่ผำ่ นมำ ได้มีวิฒนำกำรทำงด้ำน เทคโนโลยีสำรสนเทศเกิดขึ้นในประเทศไทยอย่ำงต่อเนื่อง ส่ วนหนึ่งนั้นมำจำกกระแสโลกำภิวฒั น์และ ควำมเจริ ญก้ำวหน้ำทำงเทคโนโลยี อีกส่วนเกิดจำกแรงผลักดันภำยในประเทศเอง ประเทศไทยได้มีกำรจัด ตั้งคณะกรรมกำรส่งเสริ มกำรพัฒนำเทคโนโลยีสำรสนเทศแห่ งชำติข้ึ นเมื่อ พ.ศ. 2535 ตำมระเบียบสำำนัก นำยกรัฐมนตรี ต่อมำเมื่อวันที่ 20 กุมภำพันธ์ 2539 คณะรัฐมนตรี ได้มติให้ประกำศใช้ " หรื อ IT 2000 โดยมี เสำหลักในกำรพัฒนำ 3 ประกำรคือ .......1) พัฒนำโครงสร้ำงพื้นฐำน ( National Information Infrastructure หรื อ NII) .......2) พัฒนำทรัพยำกรมนุษย์ ( Human Resource Development) และ .......3) พัฒนำระบบสำรสนเทศและปรับปรุ งบทบำทภำครัฐเพื่อกำรบริ กำรที่ดีข้ึน รวมทั้งสร้ำงรำกฐำน อุตสำหกรรมสำรสนเทศที่แข็งแกร่ ง (IT for Good Governance) สำำหรับกำรพัฒนำทรัพยำกรมนุษย์น้ นั ได้มี กำรกไหนดกลยุทธ์ไว้ 2 ประกำร คือ. ......1. เร่ งสร้ำงบุคลำกรที่มีทกั ษะทำงด้ำนเทคโนโลยีสำรสนเทศทุกระดับเพื่อแก้ปัญหำควำมขำดแขลง แล เพื่อเตรี ยมรับควำมต้องกำรของตลำด .......2. ใช้เทคโนโลยีสำรสนเทศเป็ นเครื่ องมือที่มีประสิ ทธิ ภำพเพื่อกำรศึกษำและกำรฝึ กอบรมทุกระดับทั้ง ในสำขำวิทยำศำสตร์ เทคโนโลยี และมนุษย์ศำสตร์ สังคมศำสตร์ นโยบำยที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีกำร ศึกษำของประเทศไทย .......1. รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช 2540 ได้มีบทบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับกำรสื่ อสำรของ ประชำชนเสรี ภำพในกำรสื่ อสำร ( มำตรำ 37 ) เสรี ภำพในกำรแสดงควำมคิดเห็น สื่ อควำมหมำย และเสนอ ข่ำว ( มำตรำ 36 และ 41 ) สิ ทธิ์ในกำรได้รับข้อมูลข่ำว ควำมคิดเห็น สื่ อควำมหมำย และเสนอข่ำว ( มำตรำ 39 และ 41 ) สิ ทธิ์ในกำรได้รับข้อมูลข่ำวสำร ( มำตรำ 58 และ 59 ) กำรกระจำยอำำนำจในกำรพัฒนำระบบ โครงสร้ำงพื้นสำรสนเทศ(มำตรำ 78 ) และเสรี ภำพในกำรใช้สื่อสำรมวลชน ( มำตรำ 37) และ เสรี ภำพใน กำรใช้สื่อสำรมวลชน ( มำตรำ 37,39,41,58,และ 59) ที่สำำ คัญคือ บทบัญญัติในมำตรำ 40 ซึ่งระบุไว้วำ่ คลื่น ควำมถี่ที่ใช้ในกำรส่งวิทยุกระจำยเสี ยง วิทยุโทรทัศน์ และ วิทยุโทรคมนำคม เป็ นทรัพยำกรสื่ อสำรของชำติ
เพื่อประโยชน์สำธำรณะให้มีองค์กรของรัฐที่เป็ นอิสระทำำหน้ำที่จดั สรรคลื่นควำมถี่ตำมวรรณหนี่งและ กำำกับดูแลกำรประกอบกิจกำรวิทยุกระจำยเสี ยง วิทยุโทรทัศน์และกิจกรรมโทรคมนำคมทั้งนี้ ตำมที่ กฎหมำยบัญญัติ ........กำรดำำเนินกำรตำมวรรคสองต้องคำำนึงถึงประโยชน์สูงสุ ดของประชำชนในระดับชำติและระดับท้องถิ ่ง ทั้งในด้ำนกำรศึกษำ วัฒนธรรมควำมมัน่ คงของรัฐ และ ประโยชน์สำธำรณะ รวมทั้งกำรแข่งขันโดยเสรี อย่ำงเป็ นธรรม" .........กำรจัดทำำแผนแม่บทกิจกรรมกระจำยเสี ยงและกิจกำรโทรทัศน์ และกำรอนุญำตให้ประกอบกิจกรรม ดังกล่ำว ต้องคำำนึงถึงสัดส่วนที่เหมำะสมระหว่ำงผูป้ ระกอบกำรภำครัฐ ภำคเอกชน และภำคประชำชน โดย จะต้องจัดให้ภำครประชำชนได้ใช้คลื่นควำมถี่ไม่นอ้ ยกว่ำร้อยละยีส่ ิ บ ในกรณี ที่ภำคประชำชนยังไม่มีควำม พร้อมในกรณีที่ภำคประชำชนยังไม่มีควำมพร้อมให้ กสช ให้กำรสนับสนุนกำรใช้คลื่นควำมถี่ในสัดส่ วน ตำมที่กำำ หนด เพื่อประโยชน์ในกำรจัดสรรคลื่นควำมถี่ให้ภำคประชำชนได้ใช้ และกำรสนับสนุนกำรใช้ คลื่นควำมถี่ให้ ประชำชนใช้และกำรสนับสนุนกำรใช้เคลื่นควำมถี่ของประชำชน ให้ กสช. กำำหนดหลัก เกณฑ์เกี่ยวกับลักษณะของภำคประชำชนที่พึงได้รับกำรจัดสรรและสนับสนุนให้ใช้คลื่นควำมถี่ รวมทั้ง ลักษณะกำรใช้คลื่นควำมถี่ที่ได้รับจัดสรร โดยอย่ำงน้อยประชำชนนั้นต้องดำำเนินิกำรโดยมีวตั ถุประสงค์เพื่อ ประโยชน์สำธำรณะและไม่แสวงหำกำำไรในทำงธุรกิจ ........มำตรำ 27 กำรกำำหนดเกณฑ์และกำรพิจำรณำออกใบอนุญำตให้ใช้คลื่นควำมถี่และใบ อนุญำตให้ ประกอบกิจกำรกระจำยเสี ยงหรื อกิจกำรโทรทัศน์ให้คำำ นึงถึงประโยชน์สำธำรณะตำมที่บญั ญัติไว้ในมำตรำ 25 เป็ นสำำคัญ ........2.พระรำชบัญญัติกำรศึกษำแห่งชำติ พ.ศ. 2542 หมวด 9 ว่ำด้วยเทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำ มีสำระสำำคัญ สรุ ปได้ดงั นี้ ........1) มำตรำ 63 รัฐต้องจัดสรรคลื่นควำมถี่ สื่ อตัวนำำและโครงสร้ำงพื้นฐำนอื่นที่จำำ เป็ นต่อกำรส่ งวิทยุกำร จำยเสี ยง วิทยุโทรทัศน์ วิทยุโทรคมนำคม และ กำรสื่ อสำรในรู ปอื่น เพื่อใช้ประโยชน์สำำ หรับกำรศึกษำใน ระบบ กำรศึกษำนอกระบบ กำรศึกษำตำมอัธยำศัย กำรทะนุบำำ รุ งศำสนำ ศิลป และวัฒนธรรมตำมควำม จำำเป็ น ........2) มำตรำ 64 รัฐต้องส่ งเสริ มและสนับสนุนให้มีกำรผลิต และพัฒนำแบบเรี ยนตำำรำหนังสื อทำงวิชำกำร สื่ อสิ่ งพิมพ์อื่นๆ วัสดุอุปกรณ์ และเทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำอื่น โดยเร่ งรัดพัฒนำขีดควำมสำมำรถในกำร ผลิตจัดให้มีเงินสนับสนุนกำรผลิตและมีกำรให้แจงจูงใจแก่ผผู ้ ลิต จัดให้มีเงินสนับสนุนกำรผลิตและมีกำร ให้แรงจูงใจแก่ผผู้ ลิต และพัฒนำเทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำ ทั้งนี้ โดยเปิ ดให้มีกำรแข่งขันโดยเสรี อย่ำงเป็ น ธรรม ........3) มำตรำ 65 ให้มีกำรพัฒนำบุคลำกรทั้งด้ำนผูผ้ ลิต และผูใ้ ช้เทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำ เพื่อให้มีควำมรู ้ ควำมสำมำรถและทักษะในกำรผลิต รวมทั้งกำรใช้เทคโนโลยีที่เหมำะสม มีคุณภำพ และประสิ ทธิ ภำพ .......4) มำตรำ 66 ผูเ้ รี ยนมีสิทธิได้รับกำรพัฒนำขีดควำมสำมำรถในกำรใช้เทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำใน
โอกำสแรกที่ทำำ ได้ เพื่อให้มีควำมรู้และทักษะเพียงพอที่จะใช้เทคโนโลยเพื่อกำรศึกษำในกำรแสวงหำควำมรู ้ ด้วยตนเองได้อย่ำงต่อเนื่องตลอดชีวิต .......5) มำตรำ 67 รัฐต้องส่งเสริ มให้มีกำรวิจยั และพัฒนำ กำรผลิตและกำรพัฒนำเทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำ รวมทั้งกำรติดตำม ตรวจสอบ และประเมินผลกำรใช้เทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำ เพื่อ ให้เกิดกำรใช้เกิดกำรใช้ที่ คุม้ ค่ำและเหมำะสมกับกระบวนกำรเรี ยนรู้ของคนไทย ........6) มำตรำ 68 ให้มีกำรระดมทุน เพื่อจัดตั้งกองทุนพัฒนำเทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำ จำกเงินอุดหนุนของ รัฐ ค่ำสัมปทำนและผลกำำไรได้จำกกำรดำำเนินกิจกำรด้ำนสื่ อมวลชน เทคโนโลยีสำรสนเทศ และ โทรคมนำคมจำกทุกฝ่ ำยเกี่ยวข้องทั้งภำครัฐ ภำคเอกชน และองค์กรประชำชน รวมทั้งให้มีกำรลดอัตรำค่ำ บริ กำรเป็ นพิเศษในกำรใช้เทคโนโลยีดงั กล่ำว เพื่อกำรพัฒนำคนและสังคมหลักเกณฑ์และวิธีกำรจัดสรรว เงินกองทุนเพื่อผลิต กำรวิจยั และกำรพัฒนำเทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำ ให้เป็ นไปตำมที่กำำ หนดในกฎ กระทรวง ........7) มำตรำ 69 รัฐต้องจัดให้มีหน่วยงำนกลำงทำำหน้ำที่พิจำรณำเสนอนโยบำยแผน ส่ งเสริ ม และประสำน กำรวิจยั กำรพัฒนำและกำรใช้ รวมทั้งกำรประเมินคุณภำพและประสิ ทธิ ภำพของกำรผลิตและกำรใช้ เทคโนโลยีเพื่อกำรศึกษำที่มำ แหล่งอ้ำงอิง .........ควำมรู ้ควำมสำมำรถของครู เกี่ยวกับกำรใช้เทคโนโลยี ในกำรใช้คอมพิวเตอร์ ของครู มีครู ที่มีควำม สำมำรถใช้คอมพิวเตอร์ในระดับพื้นฐำน คิดเป็ นร้อยละ 31.26 ใช้ Internet ในระดับพื้นฐำนคิดเป็ นร้อยละ 35.09 และกำรบูรณำกำรเทคโนโลยีกบั วิชำหรื อกลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้ในระดับพื้นฐำนคิดเป็ นร้อยละ 31.57 ใช้เทคโนโลยีประกอบกำรจัดกิจกรรมกำรเรี ยนรู ้ในระดับพื้นฐำน คิดเป็ นร้อยละ 37.27 แสดงให้เห็นว่ำครู ยงั มีควำมรู ้ ควำมสำรถด้ำนเทคโนโลยีเพียง ในระดับพื้นฐำน ซึ่งส่ วนใหญ่ใช้เทคโนโลยีไม่เป็ น ทั้งนี้อำจเป็ น เพรำะว่ำครู ส่วนใหญ่มีอำยุค่อนข้ำงมำกแล้วและไม่มีควำมรู ้พื้นฐำนทำงด้ำนเทคโนโลยีมำก่อนจึงทำำให้เกิด กำรพัฒนำตนเองค่อนข้ำงช้ำมำก โดยเฉพำะในเรื่ องของกำรตั้งกลุ่มเพื่อกำรช่วยเหลือซึ่งกันและกันเกือบจะ ไม่ได้ทำำ เลย และครู ส่วนมำกก็ไม่นำำ เทคโนโลยีไปบูรณำกำรกับกลุ่มสำระกำรเรี ยนรู ้ รวมทั้งกำรจัดกิจกรรม กำรเรี ยนรู ้ต่ำงๆ ส่วนใหญ่กไ็ ม่นำำ เทคโนโลยีมำใช้ท้ งั นี้อำจจะเป็ นเพรำะว่ำครู ไม่มีควำมรู ้ดำ้ นเทคโนโลยี ตลอดจนไม่สำมำรถติดตั้งและบำำรุ งรักษำเครื่ องได้ครู ใช้เทคโนโลยีมำประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนำกำรจัดกิจกรรม กำรเรี ยนรู ้ จำก 8 กลุ่มสำระกำรเรี ยนรู้. ........ครู จะนำำเทคโนโลยีมำประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนำกำรจัดกิจกรรมกำรเรี ยนรู ้ในวิชำคอมพิวเตอร์คิดเป็ นร้อย ละ 26.12 ส่ วนวิชำที่รองลงมำที่ครู นำำ เอำเทคโนโลยีมำประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนำกำรจัดกิจกรรมกำรเรี ยนรู ้ได้แก่ วิชำภำษำไทย คิดเป็ นร้อยละ 14.61 แสดงให้เห็นว่ำนักเรี ยนมีโอกำสในกำรศึกษำหำควำมรู ้เกี่ยวกับ คอมพิวเตอร์ ได้ในวิชำคอมพิวเตอร์มำกกว่ำวิชำอื่น ๆ ส่ วนในรำยวิชำอื่น ๆ ก็พอได้เรี ยนรู ้บำ้ งแต่ไม่มำกนัก
ทั้งนี้อำจจะเป็ นเพรำะว่ำครู ที่สอนวิชำคอมพิวเตอร์น้ ันคงเป็ นผูท้ ี่มีควำมรู ้ควำมสำมำรถในระดับดีพร้อมที่จะ ดำำเนินกำรจัดกิจกรรมกำรเรี ยนรู้ให้กบั ผูเ้ รี ยนได้ ........สภำพกำรใช้คอมพิวเตอร์ตำมวัตถุประสงค์ที่กำำ หนดให้ของครู รำยกำรที่ครู ใช้มำกได้แก่ ใช้พฒั นำ ทักษะวิชำชีพครู เตรี ยมกำรสอนและสร้ำงสื่ อกำรสอน ค้นสำรสนเทศ ทำงกำรศึกษำ และค้นคว้ำเรี ยนรู ้สิ่ง ใหม่ ๆ รำยกำรที่ครู ไม่ได้ใช้เลย ได้แก่ สอนทักษะกำรใช้คอมพิวเตอร์ ใช้สำำ หรับกำรนำำเสนองำน ใช้สื่อสำร ระหว่ำงนักเรี ยน ครู และผูเ้ กี่ยวข้องและใช้ตรวจสอบผลงำน/ทำำรำยงำนของนักเรี ยน .........แสดงให้เห็นว่ำสภำพกำรใช้คอมพิวเตอร์ ตำมวัตถุประสงค์ที่กำำ หนดให้ครู จะใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อ พัฒนำทักษะวิชำชีพครู มำกกว่ำกำรเตรี ยมกำรสอนและสร้ำงสื่ อกำรสอน แสดงให้เห็นว่ำครู ใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อพัฒนำตนเอง เช่นจัดทำำผลงำนเพื่อเลื่อนระดับให้กบั ตนเองมำกกว่ำที่จะค้นคว้ำหำควำมรู ้เพื่อเตรี ยมกำร สอนรวมทั้งกำรจัดกิจกรรมกำรเรี ยนรู้ให้กบั นักเรี ยน........กำรใช้ ICT ในกำรเรี ยนและบูรณำกำรควำมนำำ คอมพิวเตอร์ ถือเป็ นสื่ อนวัตกรรมใหม่อย่ำงหนึ่ง เพิ่งแพร่ หลำยขึ้นมำประมำณ 40 ปี มำนี้เอง คอมพิวเตอร์ เป็ นอุปกรณ์ที่ใช้ในกำรจัดเก็บ คำำนวณ ประมวลผล แสดงผล หรื องำนอื่นใด ตำมคำำสัง่ ที่จดั ทำำขึ้น แล้ว บันทึกเก็บไว้ในหน่วยควำมจำำของอุปกรณ์น้ ัน ปั จจุบนั มีกำรพัฒนำคอมพิวเตอร์ อย่ำงรวดเร็ วมำก จนเป็ นสื่ อ สำำคัญยิง่ ในกำรนำำเข้ำสู่ยคุ ข้อมูลข่ำวสำร ทุก ๆ วินำที สำมำรถรับรู ้ควำมเป็ นไปในทุกพื้นพิภพได้เกือบ พร้อมกัน ทั้งที่อยูก่ นั คนละซีกโลก กำรรับรู้ข่ำวสำรที่รวดเร็ วนำำประโยชน์สู่ผใู ้ ช้ นำำประโยชน์สู่ประเทศชำติ ได้อย่ำงมหำศำล เช่น สำมำรถติดต่อค้ำขำยกันได้ตลอด 24 ชัว่ โมง โดยที่ผซู ้ ้ื อและผูข้ ำยไม่ตอ้ งพบหน้ำกัน ไม่มีขอ้ จำำกัดของเวลำ ไม่มีขอ้ จำำกัดด้ำนพรมแดน สำมำรถใช้ระบบ E - Commerce และใช้ในเรื่ องกำรศึกษำ กำรแสวงหำควำมรู้ กำรสื่ อสำร รวมถึงกิจกำรอื่น ๆ มำกมำย หำกผูใ้ ช้สำมำรถใช้ประโยชน์เป็ นอย่ำงคุม้ ค่ำ ..........หลำยปี ที่ผำ่ นมำโรงเรี ยนที่มีควำมพร้อมเริ่ มนำำคอมพิวเตอร์ มำใช้ในโรงเรี ยนกันมำกขึ้น โดยโรงเรี ยน ดังกล่ำวมักจะอยูใ่ นกรุ งเทพฯ และเมืองใหญ่ที่มีเศรษฐกิจดี ผูป้ กครองมีฐำนะทำงเศรษฐกิจมัน่ คง ช่วงแรก เริ่ มใช้เพื่อกำรบริ หำรจัดกำรก่อน เรี ยกว่ำ Computer Assisted Management โปรแกรมนี้ช่วยจัดกำรด้ำนงำน ธุรกำร เงินเดือน ห้องสมุด งำนปกครอง และอื่น ๆ ระยะต่อมำคอมพิวเตอร์ มีรำคำถูกลง โรงเรี ยนต่ำง ๆ เริ่ ม นำำมำใช้ในกำรจัดกำรเรี ยนกำรสอน ซึ่งเรี ยกว่ำคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction) หรื อ เรี ยกย่อ ๆ ว่ำ " CAI " หมำยถึง กำรใช้คอมพิวเตอร์ เป็ นสื่ อเสนอเนื้ อหำ กระตุน้ เร้ำให้ผเู ้ รี ยนเกิดควำมสนใจ ต้องกำรเรี ยนรู้ บทบำทของ CAI มีมำกขึ้น ผลที่ได้ผเู ้ รี ยนได้เรี ยนในสิ่ งที่ตนเองต้องกำร ตรงตำมควำม ประสงค์ เป็ นกำรตอบสนองควำมเป็ น Child Center ได้ประกำรหนึ่ง.........ในกระบวนกำรจัดกำรเรี ยนรู ้ ปั จจุบนั รัฐบำลมีนโยบำยให้โรงเรี ยนต่ำง ๆ ใช้ ICT เพื่อพัฒนำกำรเรี ยนรู ้อย่ำงกว้ำงขวำง สภำพกำรณ์ดงั กล่ำวทำำให้ผปู ้ กครองเกิดควำมตื่นตัว ต้องกำรที่จะให้บุตรหลำนได้เรี ยนรู ้จำกคอมพิวเตอร์ มำกขึ้น จนกลำย เป็ นกระแสของควำมทันสมัย โรงเรี ยนใดไม่สอนวิชำคอมพิวเตอร์ ผูป้ กครองจะย้ำยเด็กไปเรี ยนโรงเรี ยนอื่น ที่สอนคอมพิวเตอร์ เป้ ำหมำยสำำคัญที่นอกเหนือไปจำกภำระงำนปกติของโรงเรี ยน คือกำรจัดกำรศึกษำให้ ตอบสนองควำมต้องกำรของชุมชน ผูบ้ ริ หำร คณะครู กรรมกำรสถำนศึกษำกำรพัฒนำบุคลำกรโรงเรี ยน ประถมศึกษำ โดยทัว่ ไปครู จะมีคุณวุฒิตรงสำขำวิชำเอกน้อยและยังไม่สำมำรถเลือกครู ได้ตรงตำมควำม
ต้องกำรของโรงเรี ยน จึงส่งผลถึงกำรจัดกำรเรี ยนกำรสอน หน้ำที่ของโรงเรี ยนต้องดำำเนินกำร คือ พัฒนำให้ ครู มีศกั ยภำพ สำมำรถทำำงำนสนองควำมต้องกำรของผูเ้ รี ยน และสนองตอบพระรำชบัญญัติกำรศึกษำแห่ ง ชำติ พ.ศ. 2542 ได้กำรพัฒนำครู เป็ นสิ่ งจำำเป็ นโดยอำจดำำเนินกำรพัฒนำครู ได้ ดังนี้.......1. พัฒนำให้ครู ทุก คนมีควำมรู ้พ้ืนฐำนในกำรใช้คอมพิวเตอร์ เพื่อเป็ นฐำนในกำรเรี ยนรู ้ และใช้คอมพิวเตอร์ จดั กำรเรี ยนกำร สอนได้ .......2. กำำหนดมำตรฐำนเบื้องต้นของครู ที่จะเข้ำทำำหน้ำที่ครู คอมพิวเตอร์ ไว้ดงั นี้ 2.1 ต้องมีวิสยั ทัศน์ มีควำมคิดกว้ำงไกล ทันเหตุกำรณ์ของโลก 2.2 พัฒนำตนเองอยูเ่ สมอ ให้รอบรู้และรู้รอบ ในเรื่ องใหม่ ๆ อยูเ่ ป็ นนิจ 2.3 ขยัน ทันสมัย ใจรัก สละเวลำคนที่มีใจรักในสิ่ งใด มักจะทุ่มเท เสี ยสละ ขยัน มุ่งมัน่ ทำำในสิ่ งที่ตนรัก งำน คอมพิวเตอร์ เป็ นงำนที่หนัก และมีควำมสำำคัญสูง ด้วยครู มีภำระหลำกหลำย ด้วยเหตุที่ไม่มีเจ้ำหน้ำที่ส่วน อื่น ๆ เป็ นฝ่ ำยบริ กำรอำำนวยควำมสะดวกได้ หลังจำกที่โรงเรี ยนให้ควำมรู ้ ฝึ ก และพัฒนำครู ให้มีควำมรู ้พ้ืน ฐำนทำงคอมพิวเตอร์แล้ว รู ปแบบกำรใช้ ICT เพื่อพัฒนำกำรเรี ยนรู ้ควำมก้ำวหน้ำทำงเทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ และกำรแข่งขันกำรพัฒนำทำงด้ำนซอฟต์แวร์ ในปั จจุบนั ส่ งผลให้ประเทศต่ำง ๆ นำำ คอมพิวเตอร์ มำใช้ในด้ำนกำรศึกษำกันมำก กำรใช้คอมพิวเตอร์ ช่วยสอน(Computer Assisted Instruction) มี บทบำทและมีประสิ ทธิภำพยิง่ ขึ้น กำรใช้คอมพิวเตอร์ ช่วยสอนเป็ นกำรพัฒนำผูเ้ รี ยนอีกทำงหนึ่ง โดยอำศัย ประสบกำรณ์ ควำมรู้ ปรับประยุกต์ใช้ภำยใต้บริ บทของโรงเรี ยน 1. จัดกำรเรี ยนรู ้ "ตลอดเวลำ" (Anytime) เวลำใดก็สำมำรถเรี ยนรู้ได้ ระยะแรกเริ่ มให้นกั เรี ยนสำมำรถใช้ Computer สื บค้นหำควำมรู ้จำกห้องสมุด ซึ่ง มีเครื่ องคอมพิวเตอร์ให้บริ กำรระบบ Internet .......3. เรี ยนรู ้จำกแหล่งเรี ยนรู้ "ทุกหนแห่ง" (Anywhere) นักเรี ยนสำมำรถเรี ยนรู ้ร่วมกันจำกสื่ อต่ำงๆ เช่น คอมพิวเตอร์ วีดิทศั น์ โทรทัศน์ CAI และอื่นๆ .......4. กำรให้ทุกคน (Anyone) ได้เรี ยนรู้พฒั นำตนเองอย่ำงเต็มศักยภำพของตน ตั้งแต่ระดับอนุบำลเป็ นต้น ไปกำรใช้ ICT เพื่อกำรเรี ยนรู้กำรเรี ยนรู้ในปั จจุบนั แตกต่ำงจำกเดิมไปอย่ำงสิ ้ นเชิง ซึ่งหมำยควำมว่ำ ผูเ้ รี ยนมี โอกำส มีอิสระในกำรเรี ยนรู้ดว้ ยตนเอง สร้ำงองค์ควำมรู ้ สร้ำงทักษะด้วยตนเอง ครู เปลี่ยนบทบำทจำกผู ้ สอนมำเป็ น ผูใ้ ห้คำำ แนะนำำ นอกจำกนี้ท้ งั ครู และศิษย์สำมำรถเรี ยนรู ้ไปพร้อมกันได้ กำรจัดกำรเรี ยนที่ โรงเรี ยนดำำเนินกำรได้ในขณะนี้ 1. กำรสอนโดยใช้สื่อ CAI ช่วยสอนให้เกิดกำรเรี ยนรู ้ตำมควำมสนใจ เช่น วิชำคณิ ตศำสตร์ วิชำภำษำไทย วิชำวิทยำศำสตร์ วิชำสังคม หรื อ สปช. วิชำภำษำอังกฤษ 2. ส่ งเสริ มให้ผู ้ เรี ยนรู ้จกั สื บค้นวิทยำกำรใหม่ ๆ จำกอินเทอร์ เน็ต จำก E-book จำก E-Library3. ส่ งเสริ มกำรเรี ยนรู ้และสร้ำง เจตคติที่ดีในกำรเรี ยนและกำรค้นคว้ำหำควำมรู ้ โดยกำำหนดให้ผเู ้ รี ยนได้เล่นเกมกำรศึกษำ (Education Games ) ที่ผำ่ นกำรวิเครำะห์ของครู ผรู้ ับผิดชอบว่ำไม่เป็ นพิษภัยต่อผูเ้ ล่น และเป็ นกำรสร้ำงเสริ มควำมคิด สร้ำงสรรค์ที่ดีให้กบั เด็ก .........5. ใช้แผนกำรสอนแบบ ICT บูรณำกำรเรี ยนรู ้ในสำระวิชำต่ำงๆ เช่น คณิ ตศำสตร์ วิทยำศำสตร์ ภำษำ อังกฤษ และ คอมพิวเตอร์
........6. จัดระบบข้อมูลสำรสนเทศเพื่อกำรบริ หำรจัดกำรเรี ยนรู ้ ........7. ใช้เทคโนโลยีสำรสนเทศในกำรจัดระบบและเผยแพร่ ควำมรู ้ ........8. จัดระบบข้อมูลสำรสนเทศแหล่งเรี ยนรู ้ภำยในโรงเรี ยน และภูมิปัญญำชุมชนท้องถิ่น ........9. พัฒนำเครื อข่ำยกำรเรี ยนรู้ในกำรจัดกำรเรี ยนรู ้ของผูส้ อนที่มำ บทสรุ ป.........กำรนำำเอำเทคโนโลยี เข้ำมำมีส่วนร่ วมในกำรจัดกำรเรี ยนกำรสอน เป็ นกำรเพิม่ พูน ประสิ ทธิ ภำพทำงกำรเรี ยนรู้แก่ผเู้ รี ยน และในสภำพปั จจุบนั กำรเรี ยนกำรสอนก็ไม่อำจหลีกเลี่ยงสิ่ งนี้ได้ ครู จะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมกำรสอนของตนเอง ต้องยอมรับควำมเปลี่ยนแปลงที่ เกิดขึ้น จึงต้องเรี ยนรู ้ เทคโนโลยีต่ำง ๆ แล้ววิเครำะห์ควำมเป็ นไปได้ ใช้ให้เกิดประสิ ทธิ ภำพสูงสุ ด ให้เหมำะสมกับสภำพของ โรงเรี ยน ที่มีควำมพร้อมในระดับหนึ่ง ครู ควรต้องพัฒนำตนเองเพื่อพัฒนำผูเ้ รี ยนได้อย่ำงเหมำะสม และยึดผู ้ เรี ยนเป็ นศูนย์กลำง เพื่อนำำพำผูเ้ รี ยนให้สำมำรถเรี ยนรู ้ ดำำรงตนอยูไ่ ด้อย่ำงมีควำมสุ ขที่มำ แหล่ งอ้ างอิง