เศรษฐีธรรม หลวงปู่ลี กุสลธโร

Page 1


ประวัติและธรรมเทศนา พิมพ์ครั้งที่ 1 : 16 พฤษภาคม 2556 จำ�นวนพิมพ์ : 10,000 เล่ม ผู้ตรวจทาน : สินารัตน์ ชวนชม ขอบคุณภาพประกอบเนื้อหา : คุณธนัชชัย สามเสน คอมพิวเตอร์กราฟฟิค : ดาราเรือง ยุทธกิจจำ�นงค์

ออกแบบและจัดผลิตโดย ไทยชบา กราฟฟิค เฮ้าส์ เอเจนซี่ 470/5 ถ.อดุลยเดช ต.หมากแข้ง อ.เมือง จ.อุดรธานี โทรศัพท์/โทรสาร 042 324 360, 082 304 8887 E-mail: info@thaichaba.com

สงวนสิทธิในการพิมพ์ซํ้า


“ธรรมลี นี้เป็นเศรษฐีธรรมองค์หนึ่งนะ พี่น้องทั้งหลายทราบเอาไว้นะ เนี่ยทรงครองเศรษฐีธรรมไว้อย่างเงียบๆ นะ นี่พระองค์นี้ลูกศิษย์ของเรา เราบวชให้ติดตามเราตั้งแต่วันเผาศพ พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นนั่นละ เป็นวันบวชธรรมลีนี้นี่นะ บวชแล้ว ติดสอยห้อยตามเรา เราไปที่ไหน ติดตามเราเหมือนปลิงเกาะนะ องค์นี้ล่ะองค์เกาะที่สุดเลยเกาะเรา แล้วท่านก็สมมักสมหมายท่าน อยู่กับเราตลอดมาเลยนะองค์นี้ นี้ท่านก็ครองธรรม เศรษฐีธรรมภายในใจ อย่างลึกลับ กิริยาท่าทางจริตนิสัยนั้น เป็นตามนิสัยวาสนาของใครของเรา แต่เรื่องธรรมนั้นเต็มหัวใจแล้ว ว่าอย่างนั้นเลยนะ ท่านไม่มีอะไรอีกแล้ว นี่ละธรรมพระพุทธเจ้าเห็นไหม ผู้ปฏิบัติตามเห็นอยู่อย่างนี้ รู้อยู่อย่างนี้ สดๆ ร้อนๆ อยู่อย่างนี้” โอวาทธรรม หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๑



สารบัญ ประมวลภาพการก่อสร้าง พุทธมหาเจดีย์ พระวิสุทธิมงคล ประวัติหลวงปู่ลี กุสลธโร พระธรรมเทศนา โดยหลวงปู่ลี กุสลธโร พิจารณากาย ฝึกสติให้อยู่กับจิต ใจมันคอยวิ่งตามกิเลส แก้อารมณ์จากใจ (ไปดูแต่ของไม่ดี) ให้ฝึกความสงบ ให้พากันตั้งใจภาวนา ให้สำ�รวจดูใจตนเอง ทรมานกิเลสตนเอง ดูแต่ตำ�ราไม่ดูใจตนเอง (เรื่องภพชาติ) สอนพระให้เป็นพระ ฝึกตนเองเป็นสิ่งสำ�คัญ เวลา 24 ชั่วโมงให้อยู่กับพุทโธ ตนเองต้องฝึกหัดตนเอง มีแต่ดีกับชั่วที่ฝากโลกไว้ มาศึกษาหรือมาทำ�ลาย มัวจับปลานอกสุ่ม สติอยู่กับลมหายใจ เห็นธรรมด้วยสัญญา หรือด้วยปัญญา ส่งเสริมการปฏิบัติ

6 16 24 26 30 36 41 45 51 55 60 63 67 71 83 88 92 95 99 103 108



พุทธมหาเจดีย์ พระวิสุทธิมงคล (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) กำ�ลังอยู่ในระหว่างการดำ�เนินการก่อสร้าง ด้วยปณิธานอันแน่วแน่ขององค์หลวงปู่ลี กุสลธโร ได้เมตตาให้แนวทางในการสร้างไว้ว่า องค์พระเจดีย์ต้องมีอายุยืนยาวถึง ๑,๐๐๐ ปี, สามารถมอง เห็นองค์พระเจดีย์ได้จากหมู่บ้านตาด และการก่อสร้างจะใช้แรงศรัทธาจากสาธุชนทั่วไปเป็นหลัก (จะไม่ผ่านผู้รับเหมาฯ โดยไม่จำ�เป็น) พร้อมด้วยความสามัคคีพร้อมเพรียงของศิษยานุศิษย์ และ แรงพลังศรัทธาจากสาธุชนทั่วสารทิศที่ได้มาร่วมอนุโมทนามหากุศลอันยิ่งใหญ่ในครั้งนี้


อานิสงส์การสร้างพระเจดีย์และการบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ๑. เป็นที่รักของภรรยาหรือสามี ๓. ภยันตรายใดๆ ไม่แผ้วพาน ๕. เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ ๗. เป็นผู้นำ�ของมวลชน ๙. จะบรรลุอภิญญาทั้ง ๖ ๑๑. ประตูสวรรค์ทุกชั้นเปิด ๑๓. สมความปรารถนาทุกประการ

๒. เป็นเศรษฐีทุกชาติไป ๔. มียศ บริวารพร้อมพรัก ๖. ผิวพรรณผุดผ่องดั่งทองคำ� ๘. กุศลดลให้เกิดเป็นพระราชา ๑๐. ปิดประตูนรกโลกันต์ ๑๒. บังเกิดเป็นจอมเทวดา

สรุปจากคัมภีร์ขุททกนิกายอปทาน และคัมภีร์มงคลัตถปนีแปล เล่ม ๑





วัดป่าเกษรศีลคุณธรรมเจดีย์ (ภูผาแดง)

ต.หนองอ้อ อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี ชื่อนี้รู้จักกันดีในบรรดาศิษยานุศิษย์ทั่วไป มักเรียกว่า “วัดภูผาแดง” หรือเรียกอย่างเป็น ทางการว่า วัดหนองสวรรค์ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของอำ�เภอหนองวัวซอ เป็นวัดฝ่ายอรัญญวาสี “ธรรมยุต” ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๕๓๗ เป็นสถานที่จำ�พรรษาและ บำ�เพ็ญสมณธรรมของหลวงปู่ลี กุสลธโร ซึ่งเป็นลูกศิษย์รุ่นแรกๆ ของ พระธรรมวิสุทธิมงคล (หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน) วัดป่า บ้านตาด จุดที่น่าสนใจภายในวัดมีหลายแห่ง เช่น ผาแดง ถํ้าจัน สวนอาสน์ พรานป้อ วัดเก่า ถํ้านกยูง อ่างเก็บนํ้าขนาดใหญ่ ถํ้านํ้าย้อย ซึ่งจะมีนํ้ำ�ไหลตลอดปี





ชีวประวัติ

วัดป่าเกษรศีลคุณธรรมเจดีย์ (ภูผาแดง) อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี


หลวงปู่ลี กุสลธโร ท่านได้อุปสมบทในวันประชุมเพลิงศพหลวงปู่มั่น ภูริทัต

โต จากนั้นต่อมาท่านก็ได้ขอติดสอยห้อยตามองค์หลวงตามหาบัวตลอดมา แม้ว่า องค์หลวงตาจะออกเที่ยวธุดงค์ปลีกวิเวกไปทางไหน หรือจะดุจะว่าจะไล่ให้หนีไป อย่างไรก็ตาม หลวงปู่ลี ท่านก็อดทนและขอติดตามไปทุกหนทุกแห่ง ไม่เลิกไม่ลา ไม่ท้อถอย เพื่อหวังให้ท่านเมตตาช่วยอบรมสั่งสอนอุบายในการปฏิบัติธรรมต่างๆ จนในที่สุดองค์หลวงตาก็ยอมรับเป็นศิษย์นับตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๙๓ เป็นต้น มา หลวงปู่ลี เคยจำ�พรรษากับองค์หลวงตาที่บ้านห้วยทราย ที่จันทบุรีและวัดป่า 17


นายบุ่น ชาลีเชียงพิณ

นางโพธิ์ ชาลีเชียงพิณ

บ้านตาด ท่านมีอุปนิสัยพูดแต่น้อย รักการอยู่ป่าตลอดมาไม่ติดสถานที่ แต่เมื่อ ท่านมีอายุมากเข้าประจวบกับพระเณร มาขอศึกษากับท่านมากขึ้นเรื่อยๆ ท่าน จึงยอมอยู่เป็นที่เป็นฐานแน่นอน หลวงปู่ลี กุสลธโร ท่านเกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๑๔ กันยายน พุทธศักราช ๒๔๖๕ ตรงกับวันขึ้น ๑๔ ค่ำ� เดือน ๑๐ ปีจอ ที่บ้านเก่า ตำ�บลบ้านเก่า อำ�เภอ ด่านซ้าย จังหวัดเลย เป็นบุตรของนายอู๊ด ทองคำ� ทองคำ� ซึ่งมีอาชีพเป็นช่างตีทอง และนางโพธิ์ ชาลีเชียงพิณ ท่านมีพี่น้องรวมกัน ๔ ดังนี้ ๑. นางวันดี เพ็งลี ชาลีเชียงพิณ ๒. หลวงปู่มี ปมุตโต ๓. หลวงปู่ลี กุสลธโร ๔. นางบุญก่อง ศรีบุญเรือง (พี่น้องต่างบิดา) 18


ต่อมาโยมบิดาและโยมมารดาได้พาย้ายถิ่นฐาน อพยพเดินทางมาตั้ง รกรากลงหลักปักฐานใช้ชีวิตครอบครัวทำ�มาหากิน อาชีพเกษตรกรรม ทำ�นา ทำ�ไร่ อยู่ที่ บ้านหนองบัวบาน ตำ�บลหนองบัวบาน อำ�เภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี ภายหลังโยมมารดาจึงได้แต่งงานกับ นายบุ่น ชาลีเชียงพิณ ท่านเล่าชีวิตในวัยเด็กว่าสมัยเป็นเด็กพ่อแม่ก็พาทำ�บุญเหมือนกับชาวบ้าน ทั่วๆ ไป อายุได้ ๑๒ ปี เรียนจบชั้น ป.๓ พออายุ ๒๐ กว่าปีก็ได้แต่งงาน กับนางสาวตี ภรรยาตั้งท้องแล้วคลอดลูกออกมาตาย ท่านได้เกิดความสลดใจ เป็นยิ่งนัก ท่านเล่าว่า การแต่งงานก็มิได้แต่งกันด้วยความรัก แต่งงานกัน ตามประเพณีที่พ่อแม่บอกให้แต่งเท่านั้น ท่านเองไม่เคยมีคนที่รัก และยังไม่เคย รักหญิงใดเลย ท่านอยู่กินกับภรรยาได้ ๒ ปี ๖ เดือน จึงขอออกบวช เพราะได้ฟัง ธรรมจากพระกรรมฐานที่เป็นศิษย์ของท่านอาจารย์มั่น ที่เดินธุดงค์มาพักยังป่า แถบหมู่บ้านของท่านเก่งนักในการพิจารณาอสุภะกรรมฐาน พิจารณาเมื่อไหร่ ก็ได้ เรื่องได้ราวเมื่อนั้น เห็นผลเป็นที่ประจักษ์เป็นอุปนิสัยดั้งเดิมของท่าน

เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์

ท่านได้บรรพชาอุปสมบท เมื่ออายุได้ ๒๙ ปี ในวันที่ ๓๐ เดือนมกราคม พุทธศักราช ๒๔๙๓ เวลา ๑๖.๑๒ น. ที่วัดศรีโพนเมือง ตำ�บลในเมือง อำ�เภอเมือง จังหวัดสกลนคร พร้อมกับหลวงปู่บัวคำ� มหาวีโร (อดีตเจ้าอาวาสวัดสัมมานุสรณ์ และเป็นลูกศิษย์รุ่นแรกของ หลวงปู่ชอบ ฐานสโม) โดยมี พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร เป็นพระอนุสาวนาจารย์ 19


พระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล)

พระอาจารย์อ่อน ญาณสิริ

พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร

ได้ฉายานามว่า “กุสลธโร” แปลว่า “พระผู้ทรงไว้ซึ่งความฉลาด” รุ่นไป ประเทศลาว ซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ที่ หลวงปู่บุญพิน กตปุญโญ (ครั้นยังเป็น พระนวกะ) ได้สงสารปลาจึงเทเศษอาหารลงแม่น้ำ�โขง จนเกิดเหตุการณ์ตลิ่งทราย ริมแม่น้ำ�สั่นสะเทือน และพังทลายลง เพราะ พญานาคแผลงฤทธิ์ (หาอ่านได้จาก หนังสือประวัติพระคุณเจ้าหลวงปู่ชอบ หรือ กราบเรียนถามได้จาก หลวงปู่บุญพิน วัดผาเทพนิมิต อำ�นิคมน้ำ�อูน จังหวัดสกลนคร) หลังจากงานประชุมเพลิงศพหลวงปู่ใหญ่มั่น เสร็จแล้ว องค์ท่านก็ได้มาอยู่ ศึกษาและปฏิบัติธรรมที่สำ�นักของหลวงปู่อ่อน ญาณสิริ ที่บ้านหนองบัวบาน (ต่อมาบริเวณนี้ได้กลายเป็นวัดป่านิโคร-ธาราม) ในขณะนั้นต่อมาองค์ท่านเอง ได้เป็นพระพี่เลี้ยงพระอาจารย์จันทร์เรียนคุณวโร และได้ร่วมออกเที่ยววิเวกด้วย กันหลายต่อหลายแห่ง และได้พบกันบ้างเมื่อมีโอกาสติดตามหลวงปู่ชอบ ฐานสโม เข้าป่าเพื่อบำ�เพ็ญสมณธรรม หลังจากนั้นองค์หลวงปู่ลีท่านก็ได้มาอยู่ที่ดอยนํ้าจั่น บ้านห้วยไร่ ตำ�บลอูบมุง อำ�เภอหนองวัวซอ จังหวัดอุดรธานี 20


สมัยที่หลวงปู่ลี ไปอยู่เกิดเหตุการณ์ถูกรบกวนจากพวกนายหน้าตัดไม้ บุกรุกทำ�ลายป่า เข้ามาก่อกวนความสงบ ท่านจึงได้วิเวกมาอยู่ที่ วัดป่าภูทอง บ้านภูดินอำ�เภอบ้านผือ จ.อุดรธานี (เดิมทีหลวงปู่มหาบุญมี สิริธโร มาสร้างไว้ก่อน ไปอยู่วัดป่าวังเลิง อำ�เภอกันทรวิชัย จังหวัดมหาสารคาม ซึ่งปัจจุบันเจ้าอาวาส วัดป่าภูทอง คือ หลวงปู่คูณ สุเมโธ (ศิษย์หลวงปู่สิงห์ทอง ธัมมวโร, หลวงปู่ฝั้น อาจาโร, หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน) หลังจากนั้นองค์หลวงปู่ก็ได้ออกมา เที่ยววิเวก ไปแถบภูลังกาต่อ ที่นี่หลวงปู่บุญมี ปริปุณโณ (วัดป่าบ้านนาคูณ) เคยมาอยู่ก่อนแล้ว (คนละด้านกับวัดถ้ำ�ยา ของหลวงปู่วัง ฐิติสาโร ศิษย์ของหลวง ปู่มั่น ภูริทัตโต) ท่านเล่าว่า อดีตชาติท่านเกิดเป็นสุนัขรับใช้องค์หลวงตามาหลายภพชาติ แม้ในภพชาติที่เป็นสุนัขนั้น หลวงตาก็ได้เมตตาอบรมสั่งสอน ดัดนิสัยจนเป็น สุนัขที่มีนิสัยดี ไม่เกเร นอกจากนั้นท่านยังเคยเกิดเป็นช้าง ท่านระลึกชาติในภพ ที่เกิดเป็นช้างว่า ท่านเป็นช้างชื่อว่า คำ�ต้น เจ้าของช้างชื่อพ่อส่วน เขามีลูกสาว ๒ คน ชื่ออีหวัน และอีพัน ถูกเขาใช้ลากซุงเสมอ ส่วนนายควาญช้างชื่อว่า บักคำ�ต้น เหมือนกับชื่อของท่าน ท่านระลึกย้อนในภพชาติหลังๆ ของท่านมักเกี่ยวข้องกับองค์หลวงตา เสมอ อดีตสะท้อนปัจจุบันเป็นที่อัศจรรย์เสมอในบุญบารมี ใครจะคาดคิดได้ว่า พระเถระผู้ทรงคุณธรรมอยู่ในป่าเขาลำ�เนาไพร ไม่ค่อยเทศนาว่าการต้อนรับแขก ผู้ ม าเยื อ นเช่ น ท่ า นจะสามารถหาทองคำ � เพื่ อ เข้ า โครงการช่ ว ยชาติ กั บ พ่ อ แม่ ครูอาจารย์หลวงตามหาบัวได้ถึง ๕๐๐ กว่ากิโลกรัม คิดเป็นเงินนั้นเป็นจำ�นวน มหาศาลทีเดียว 21



พระธรรมเทศนา


พิจารณากาย บวชเหลือเวลาอีกสองวัน พรุ่งนี้วันที่ ๖ วันถัดไปวันที่ ๗ เตรียมเครื่อง บริขาร โกนผมใหม่เลยนะวันที่ ๗ เครื่องบริขารจัดเตรียมไว้ให้มันครบถ้วน นุ่ง ไปอย่างนี้ล่ะไม่ต้องหอบหิ้วอะไรไปมากมาย เครื่องบริขาร ๘ ก็เอาใส่ในบาตรแล้ว ก็สะพาย สบงจีวรผ้าสังฆาฏิก็เอาพาดใส่บ่าเครื่องบริขารก็เอาใส่บาตรไปเท่านั้น ล่ะ ไปขอนิสัยพระอุปัชฌาย์ พอฉันจังหันเสร็จแล้วจะขอศีลก็ให้ขอ ศีลก็มีอยู่ นั่นล่ะจะให้เอามาใส่มือได้ยังไง ถ้าเราไม่ทำ�ความผิดมันก็ถูกศีลอยู่แล้วนะ เรา อย่ามาปฏิบัติงมงายไร้เหตุผลกันมาก พอทำ�ผิดศีลมีแต่มาขอศีลใหม่มีแต่ขอๆ คน ขอก็คือคนเกิด คนที่เขามีเขาไม่ขออะไรพิจารณาดู นี่ก็ใกล้จะเข้าพรรษาแล้วนะ อะไรที่เราเห็นว่ามันขัดข้องอยู่ก็พากันทำ� กุฏิเมื่อเข้าพรรษาแล้วก็รั่วตรงนั้นตรงนี้ ต้องช่วยกันดูแลนะมันเป็นกิจของฝ่ายเรานะ ถ้าทำ�อะไรก็มีแต่ความเกียจคร้าน ทำ�อะไรก็ไม่อยากทำ� มันก็หมดเท่านั้นแหละ จะให้ญาติโยมจากที่ไหนมาทำ� มันไกลหมู่บ้านมาก ก็พากันทำ�ช่วยกันเท่านั้นแหละ มันก็ไม่หนักไม่หนาจนเกิน หน้าที่ของพระ ถ้าจะพาทำ�งานก็มีแต่จะหลบ ไปภูสังโฆมีแต่พระแต่เณรทำ�งาน โยมก็มีเท่านั้นแหละ พากันสร้างกุฏิมีแต่พระกับโยมทำ� แต่นี่ถ้าว่าให้ไปภาวนาก็ มีแต่จะนอน กินแล้วก็ไปนอนเลยทำ�อย่างนี้จะเห็นอรรถเห็นธรรมหรือ ไปก็ไป 24


ตามครูบาอาจารย์ท่านบอกเมื่อฉันจังหันแล้ว ท่านให้เจริญธาตุขันธ์ดูอาการ ๓๒ ตั้งแต่เกศาลงไปถึงพื้นเท้า ตั้งแต่พื้นเท้าขึ้นมาถึงเกศา ให้พิจารณาธาตุประกอบ ธาตุ ให้พิจารณาอยู่ในอัตภาพร่างกายของเรานี่ล่ะ ถ้าเราไปพิจารณาที่อื่นมีแต่ ความอยากจะได้ มีแต่คาดว่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ สักหน่อยก็เสียจริตเป็น โรคประสาทเกิดขึ้นอีก มันไม่ใช่ทางนะ ทางมันเกิดขึ้นจากกายกับใจนี่แหละทาง ที่มันเป็น ตามปกติอย่างที่ครูบาอาจารย์ท่านฝึกมา ท่านหัดให้จิตสงบเสียก่อนให้ บริกรรมพุทโธให้อยู่ในพุทโธ ให้มันเห็นความอัศจรรย์ของความสงบในตัวเอง แต่ ขนาดเขาฝึกสัตว์เพื่อใช้เป็นพาหนะ เขาทำ�อย่างไรนำ�มาใส่แอกใส่ไถเข้าไป หรือ เขาจะตอนหำ�มัน พอตอนหำ�มันแล้วควายตัวนั้นมันเป็นอย่างไรความพยศของมัน มันก็เหมือนควายตัวเมีย ที่มันคะนองก็คะนองสิ่งนี้ เพราะจิตใจมันไม่ได้ทรมาน จิตใจของมันไม่ได้ฝึกหัดมันผิดกัน ถ้าจิตมันภาวนาเป็นมันจะรู้จักเลย การงาน มันก็รู้จักทำ�ไมถึงจะไม่รู้จัก ความสงบของจิตมันก็รู้จัก ความขยันมันก็เกิดขึ้นเลย เอาซิขอให้เกิดขึ้นเถอะธรรมของพระพุทธเจ้า ความเพียรมันไม่เกียจไม่คร้านเลย มีแต่จะพ้นทุกข์ไหมหนอจะพ้นทุกข์ไหมหนอ เดินจงกรมนั่งสมาธิมันไม่กลัวตาย เลยสักนิดเดียว ขอให้เห็นเถอะความเกียจคร้านไม่มี มีแต่เร่งความเพียร จะไป พูดคุยกับหมู่พวกนี้กลัวเพราะมันทำ�งานทางใจอยู่ มีแต่หลบเข้าป่าขอให้เห็นเถอะ ธรรมของพระพุทธเจ้า แต่นี่อะไรมากันอยู่อย่างนั้นผมดูอยู่ที่นี่ ดูเวลาไหนก็เห็น เต็มอยู่ที่ศาลา จะไปประกอบความพากความเพียรไม่มีแล้ว กลางคืนขี้เกียจมาก

ba

25


ฝึกสติให้อยู่กับจิต

อากาศมีแต่จะร้อนแล้วนะ ได้ขี่รถออกไปนู้น ปีนี้กลัวเขาจะไม่ได้ทำ�นา กัน เป็นอย่างไรการภาวนาหมู่พวก ให้ตั้งใจภาวนานะ ผมว่ามันสนิทสนมคุ้นเคย กันมากเกินไป ยิ่งสนิทสนมคุ้นเคยกันมากก็ยิ่งหยอกกันเล่นกัน นี่แหละที่ทำ�ให้ ไม่เป็น พอหยอกกันแล้วก็ไปคำ�นึงถึงแต่ความสนุกสนาน ไม่มีความคิดอย่างอื่น นะคิดไปแต่เรื่องอย่างนั้น จิตก็ไม่มีความสงบเกิดขึ้นได้มันก็เท่านั้นแหละ ต้อง ทำ�ถึงขนาดให้ได้เห็นอานิสงส์ในความสงบ ต้องหาสิ่งที่จะมามัดมาผูกอยู่อย่างนั้น ต้องหาสิ่งที่จะมาแก้ไขอยู่อย่างนั้น นี่พระพุทธเจ้าท่านพาแก้ไขมาแล้วนะ ถ้าอยู่ เฉยๆ แล้วไม่เห็นอะไรนะ ถ้าไม่มีอุบายช่วยตัวเองคิดด้วยตัวเอง ตัวเรานะสอน ตัวเรา จะให้แต่คนอื่นมาสอนก็เท่านั้นแหละ ถ้าเราไม่สอนตัวเราเองไม่ได้นะ ไม่ได้เลย เข้ามาบวชก็หวังสิ่งเดียว จะเอาพ้นทุกข์ให้ได้ ต้องแก้จิตใจตัวเองอยู่ อย่างนั้น อยู่คนเดียวสู้กันอยู่อย่างนั้น ถ้าจิตมันภาวนาดี ๆ แล้วมันไม่ไปสุงสิง กับใคร ไม่ได้ไปหยอกไปเล่นกับใคร มันไม่ได้ชินชากับผู้ใดนะ เพียงแต่มันฝึกตัว เองอยู่อย่างนั้น เดี๋ยวก็เรื่องนั้นมาเรื่องนี้เข้ามาอยู่อย่างนั้น จิตนะเป็นผู้ทำ� เรื่อง กายนี้มันก็ธรรมดานั่นแหละ เหมือนท่อนไม้ท่อนฟืนนั่นแหละ ถ้าจิตแท้ ๆ แล้ว ไม่รู้อะไรเลย มีแต่ตัวรู้เท่านั้นที่รู้ เวทนาก็ไม่มี เหมือนกันกับเรานอนหลับ วัน 26


นี้เรานอนหลับสนิทจนไม่รู้สึกตัว เวทนาไม่มีตอนเรานอนหลับ เพราะจิตมันวาง จากกายแล้วนะ เพียงแต่ไม่มีสติเท่านั้นเอง แต่การภาวนานั้นมีสตินะขอให้อบรม ให้จิตเป็นมหาสตินะ ฝึกจิตใจของเราให้อยู่อย่างนั้น ฝึกปัญญาให้มันมี ฝึกไป จักษุเกิดขึ้นก็มี ท่านฝึกกันอย่างนั้นนะ อย่างประวัติหลวงปู่ชอบ ท่านภาวนาจน เกิดปัญญาจักษุรู้ได้ถึงวาระจิตของผู้อื่น ตอนนั้นท่านภาวนาอยู่ที่บ้านโป่ง ท่าน ไปได้ความอัศจรรย์ที่นั่น แต่ท่านก็ไม่ได้สนใจ ถ้าหมู่พวกไม่ไปถามก็ไม่รู้เรื่องนะ ท่านมีเรื่องเล่าแปลก ๆ เขาจึงเอยถามนะ อย่างพ่อแม่ครูจารย์ถามปี พ.ศ.๒๕๑๔ พูดถึงคนอัดเทป ท่านจะเอามาประมวลใส่ประวัติหลวงปู่มั่น ตั้งแต่เวลา ๑ ทุ่ม จนถึงเวลาตี ๒ ท่านพูดเรื่องพม่าและท่านพูดภาษาพม่าได้ด้วยนะ พ่อแม่ครู จารย์ท่านเลยว่าพูดภาษาของเรานี่แหละ พวกเรามันไม่เห็นอะไรนะเพราะกิเลส มันเต็มหัวใจอยู่นะ เรื่องธรรมไม่เกิดขึ้นสักที มันไม่เกิดขึ้นเพราะคิดเรื่องไหนก็มี แต่กิเลสตัณหาไปหมด ทั้งความรักความชัง ธรรมอันเป็นขันติความอดทนไม่มี หิริโอตตัปปะความเกรงกลัวต่อบาปไม่มี แต่พระพุทธเจ้าท่านแยกแยะได้ เรา ต้องหาธรรมของพระพุทธเจ้าไปใส่ในใจเราดูซิเผื่อว่ามันจะแยกแยะได้ ถ้าแยกไม่ ได้ก็เพราะเดินไม่ตรงตามทางเท่านั้นเอง เดินไม่ตามทางที่ท่านกำ�หนดไว้มันก็ไม่ ถูกต้องนะ ต้องฝึกตัวเองนั่งก็ฝึกนอนก็ฝึก เหมือนที่หลวงปู่ฝั้นท่านว่า นั่งก็วัด นอนก็วัด วัดใจของเราดูเท่านั้นล่ะ ท่านสอนเข้าวัดเข้าวา แต่เราไปตัดเสื้อผ้าก็ ยังต้องวัดขนาด ถ้าไม่วัดแล้วมันไม่ถูก ท่านสอนลึกถึงขนาดนั้น การอดอาหาร ให้สังเกตธาตุขันธ์ตัวเอง ให้สังเกตธาตุตัวเองเวลาเรากินมากเป็นอย่างไร ถ้าเรา นอนมากร่างกายของเราเป็นอย่างไร เดินจงกรมมากเป็นอย่างไรให้สังเกตตัวเอง จับหลักไม่ได้นะถ้าไม่สังเกตสังกาตัวเอง มีแต่ปฏิบัติไปไม่สังเกตตัวเองไม่ได้เพราะ จับหลักอะไรไม่ได้ เรื่องทะเลาะกันอย่าเอาเข้ามายุ่งเกี่ยวในศาสนา ให้มีศีลธรรม เคารพกันและกัน ในพระวินัยมีระเบียบมี ไม่เอานะเรื่องพวกนี้นักปฏิบัติ ให้พา กันเร่งความพากความเพียร ถ้าเราพาทำ�งานก็ว่าเสียเวลานะในความคิดเขา ถ้า 27


เราให้ทำ�งานจริง ๆ งานมีมากไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้ทำ�นะ ถ้าให้ทำ�งานส่วนรวมไม่ พอใจล่ะ ที่หาทำ�นั่นทำ�นี่กันก็เพื่อแก้ความรำ�คาญความเบื่อหน่าย ถ้าสมาธิไม่มี เป็นอย่างนั้นนะ ถ้ามีสมาธิแล้วไม่คิดนะเรื่องแบบนั้น ทำ�งานแล้วก็แล้วไป มีแต่ ปักหลักลงไปว่าจะพ้นทุกข์ไหมหนอจะพ้นทุกข์ไหมหนอเท่านั้น เร่งเข้าไปถ้ามัน คิดแบบนั้น ธรรมของพระพุทธเจ้าท่านจะเกิดขึ้นเองนะ แต่ขอให้อบรมจิตใจตัว เองให้ดี ๆ เท่านั้นล่ะ ธรรมของพระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้นเองเลย เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะ รู้ขึ้นมาเองเลย จะปรากฏครูบาอาจารย์ที่เราไม่เคยเห็นหน้า ท่านก็จะมาแสดง ธรรมให้ฟัง อย่างประวัติครูบาอาจารย์ท่านทำ�มา แต่นี่คลื่นจิตของเราไม่ตรง กันกับของท่านนะ เมื่อไม่ตรงกันแล้วจะสื่อสารกันได้อย่างไร เหมือนกันกับเทป เสียง เทปที่อยู่สถานีวิทยุที่เขาใช้เปิดกันทุกสถานี เพื่อส่งสัญญาณเสียงมายังผู้รับ ฟัง แต่เครื่องรับสัญญาณของเราไม่ดี จึงเปิดรับสัญญาณเสียงจากสถานีวิทยุเขา ไม่ได้ เรื่องจิตใจก็เหมือนกัน มันแน่นหนาไปด้วย ความรักก็เต็มความชังก็เต็ม ความอิจฉาริษยาความโกรธความโลภความหลงก็เต็มหัวใจอยู่อย่างนั้น พัวพันกัน อยู่อย่างนั้น ความกำ�หนัดรักใคร่เต็มอยู่อย่างนั้น ทำ�ให้ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น เข้าไม่ได้ อย่างขันติความอดทนก็ยังไม่เข้าถึงใจได้ ให้พากันตั้งใจ พอนะเลิกกัน นี่ตัวอะไร นกเอี้ยงมาทำ�อะไรอยู่นี่ มันแปลกนะ เขามาควบคุมหรือเขามาฟัง เทศน์ด้วย ตรงนี้ผมว่าจะให้เก็บไม้มาทำ�ไม่ให้มันเข้ามาได้ มันพังตรงนี้นกมันเลย เข้ามาพวกนกเอี้ยง ตัวลายๆ นี้มันเข้ามาหานอนกับคน ไปนะเลิกกันเถอะ

ba

28



ใจมันคอยวิ่งตามกิเลส

หาความสงบให้ตัวเองให้กายวิเวกให้ใจวิเวก แต่นี่ถ้าให้ทำ�งานหน่อยก็ไม่ พอใจ ถ้าให้ทำ�ความเพียรก็ไม่พอใจมันก็ได้เท่านั้นแหละ ต้องทำ�จริงทำ�จังนะไม่ ทำ�จริงจังไม่ได้นะ ชาติหน้าไปเกิดเป็นควายตู้ให้เขาทำ�นานะ เขาใส่บาตรข้าวปั้น หนึ้งข้าวก้อนหนึ่งเขาปรารถนาบุญนะ ตัวเองไม่ทำ�เอาเองไม่ได้บุญนะ ท่านให้ บริกรรมอะไรก็ให้มันอยู่กับสิ่งนั้นคือศรัทธานั้นแหละคือสื่อ การพิจารณาเหมือน กันนั่นแหละพิจารณากายก็ให้มันเห็นให้หมด ถึงตับไตไส้พุงถ้ามันพิจารณาสิ่งนี้ แล้วมันไม่เป็นอะไร เรื่องโลภะโทสะโมหะมันไม่มีมาครอบงำ� ครูบาอาจารย์ก็ เหลือน้อยลงทุกทีปริยัติกลืนไปหมดนะ จะมีก็แต่ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นเท่านั้นที่ให้ได้ พูดให้ได้คุยขึ้นมา ผู้ที่มาใหม่ก็ตั้งใจปฏิบัตินะอย่ามาเล่น เร่งความพากความเพียร เดินจงกลมภาวนา ตัวเรานะทำ�เอาเองเหมือนกับกินข้าวนะอาหารอยู่ในภาชนะ เดียวกันถ้าเราไม่กินก็ไม่รู้จักรสชาติ ครูบาอาจารย์ท่านมีแต่บอกแนวทางเท่านั้น นะจะทำ�หรือไม่ทำ�มันเรื่องของเราหมด คล้ายกันกับคนเจ็บคนป่วยใครจะไปเป็น แทนกันได้ เสวยกรรมของใครของมันถ้าไม่ลงมือทำ�ก็ได้เท่านั้น ถึงจะได้ยินได้ฟัง ไม่เอาไปพิจารณาใคร่ครวญหาเหตุผลมันก็ไม่เกิดประโยชน์ ถ้าฟังแล้วเราเอาไป คิดไปใคร่ครวญหาเหตุผลมันก็เกิดประโยชน์ เหมือนเพชรพลอยเอาไปเจียระไน 30


ให้มันพิสดารให้มีค่าออกไปมันก็เป็นสมบัติของเรา เหมือนกับเราเรียนสำ�นวน กว่าจะได้สูตรหนึ่งมันไม่ใช่ของง่ายนะ หรือเรียนปาฏิโมกข์ถ้าท่องจำ�ได้แล้วพอมา สวดปาฏิโมกข์กับหมู่พวกมันไม่ได้ นี่ก็เหมือนกันนะการปฏิบัติเหมือนเรามาเดิน จงกรม เดินเดี๋ยวเดียวมันไม่มีทางหรอกเดินจนเป็นชั่งโมงนู่นถึงจะเห็นทางได้ ดู การพิจารณาก็เหมือนกันถ้ามันละไม่ได้ถอนไม่ได้มันก็โผล่ขึ้นมาหมดนะ ต้อง บังคับใจต้องฝึกตัวเองหมดทุกอย่างนะตัวเรานี้ แต่ทางโลกเขาก็ยังมีการฝึกเหมือน กันนะฝึกงาน กว่าจะไปเป็นช่างได้ก็ต้องเป็นลูกน้องเขาเสียก่อน จากลูกน้องเขา ก็ก้าวไปเป็นช่างแล้วถึงจะก้าวไปเป็นผู้รับเหมาได้ นี่ก็เหมือนกันนะการปฏิบัติ ต้องเร่งความพากความเพียรนะตัวสำ�คัญ จิตยังไม่ทันสงบก็ไปพิจารณาใคร่ครวญ หาความสงบ อย่างครูบาอาจารย์อย่างหลวงปู่มั่นมีแต่สอนความสงบทั้งนั้น ท่าน ให้ภาวนาพุทโธอยู่อย่างนั้นบางองค์ฝึกหนึ่งปีหกเดือนก็มีหรือสองปีก็มี ไม่ให้มัน ดิ้นไปทางไหนนะผูกมันเอาไว้อยู่นั้น หัวใจนี้มันวิ่งไปตามอารมณ์อยู่อย่างนั้นนะ ไม่พอใจอะไรก็โกรธสักหน่อยก็เบียดเบียนตนเอง เพราะไม่ได้ดั่งใจตัวเองก็เลย เบียดเบียนตัวเอง ธรรมของพระองค์เจ้าไม่ให้เบียดเบียนตัวเอง ไม่ให้เบียดเบียน ตนไม่ให้เบียดเบียนคนอื่นนอกนั้นก็แล้วแต่มันจะเป็นไป หนังสือมีให้เอาไปดูแล้ว เอาไปคิดใคร่ครวญพ่อแม่ครูจารย์ท่านจัดมาให้หมดแล้ว พระไตรปิฎกก็มีเอามา ท่องมาฝึกใจตัวเองให้อยู่ในหลักธรรมเท่านั้น ต้องฝึกอยู่อย่างนั้นนะให้ฝึกอยู่ใน ความสงบ ให้มันคุ้นเคยกันแต่ไม่ให้มันคุ้นเคยจนสนิทกันให้มันเป็นเหมือนคลอง น้ำ�ที่วิ่งขนานกันไปไม่ให้มารวมกัน ถ้าคลองทางโลกมันมารวมกันเช่นครองผัว เมียสักหน่อยก็ด่ากันทะเลาะกัน แต่คลองของพระไม่เป็นอย่างนั้นถ้าพอคุ้นเคย จนสนิทกันมันก็เป็นทางโลกไป แล้วก็ดูถูกกันมันก็เป็นเรื่องโลกไปไม่ใช่เรื่องธรรม ถ้าอยู่กับครูบาอาจารย์โอ๊ยจะอยู่รวมกันได้ก็ตอน กวาดตาดกับตอนฉันน้ำ�ร้อน เท่านั้นนอกนั้นไปใครไปมันถึงขนาดนั้นนะ แต่เก่าแต่ก่อนก็ไม่มีพระมีเณรมากพ่อ แม่ครูจารย์ก็อยู่ บางครั้งก็เก้าองค์บางครั้งก็แปดองค์รวมทั้งพระทั้งเณรบางครั้ง 31


ห้าองค์ก็มี แต่ทุกวันนี้ทั้งพระทั้งเณรมีมากที่วิเวกมันก็หมดไปหมดไป ถ้าจะไปที่ วิเวกก็ไปตามสำ�นักซะถ้าคิดไปคิดมาก็ไม่รู้จะไปที่ไหน เดียวนี้ก็เหมือน ๆ กันนะ แต่ละสำ�นักที่ไปวิเวก แต่ถ้าตั้งใจจริง ๆ ไม่ให้คนเห็นก็ได้ขึ้นไปอยู่อ่างหรือขึ้นผา แดงก็มีมากที่อยู่ แต่ก่อนอยู่กับการปฏิบัติไม่มีหรอกเรื่องน้ำ�ร้อนเรื่องน้ำ�อุ่นน้ำ�ตาล มันไม่มีนะ เห็นมันมีมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๐ มา ตอนมาอยู่บ้านตาดเหมือนกันก็ ไม่มี ทุกวันนี้พระมากนะตั้งแต่ผมออกจากท่านตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๒๑ ปีนั้นมีพระ เณร ๑๘ รูปเท่านั้นเอง แต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ จำ�พรรษาอยู่มีพระลาบวช ๓ รูปเลย เป็น ๒๑ รูปปีนั้นปี พ.ศ. ๒๕๒๐ พอออกพรรษามาก็เต็มหมดแล้วตั้งแต่นั้นมาก็มี มาอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์ รวมกันได้ ๕๐ ถึง ๖๐ รูปจนว่าไม่มีที่อยู่ พอมีแขกมาก ก็มีธุระมากมันก็สะเทือนถึงลูกศิษย์นะซิจะทำ�อย่างไร แขกมากมันก็วุ่นวายนะถ้า พวกเราไม่มากแขกก็ไม่มาก ก็พอที่จะประกอบความพากความเพียร แต่นี่เห็น ล้างบาตรก็คุยกันอยู่นั้นแหละสักหน่อยก็ทะเลาะกันเท่านั้น มีแต่นักเทศน์ทั้งนั้น นะไม่รู้ว่าไปเอาคำ�พูดมาจากไหน พูดอยู่นั่นแหละประจบคนนั้นคนนี้อยู่นั่นแหละ มันกลายเป็นธรรมของฆราวาสไปแล้วไม่ใช่ธรรมของพระนะเดียวนี้ ในหลักธรรม ไม่มีในหลักพระสูตรพระวินัยก็ไม่มี แล้วมันจะไปเห็นอะไรความสงบ ไปนั่งดูซิ ความคิดอันนั้นแหละที่มันมาเกิดขึ้นอีกมันเกิดจากตัวเราเอง มันเกิดขึ้นอีกแล้วก ว่าจะแก้ตกเวทนาก็มาทับเสียแล้วก็เลยนอนหลับสบายไป กิเลสมันก็ไชโยนะซิ มันกล่อมเราได้ผลให้เรานอนหลับ สักหน่อยก็ไปกล่าวตู่ศาสนาว่าไม่จริงเท่านั้น เอง ที่แท้ตัวเองลงมือทำ�อะไรก็ทำ�ไม่จริงมันก็เลยกลายเป็นว่าไม่จริงไป ถ้าของ ตัวเองไม่จริงแล้วมันจะเห็นของจริงได้อย่างไร อยู่ทางโลกมันก็ไม่ได้อะไรสักอย่าง พระพุทธเจ้าท่านว่า อุฏฐานสัมปทา(ถึงพร้อมด้วยความมั่น คือ ขยันหมั่นเพียรใน การประกอบอาชีพที่สุจริต ในการศึกษาเล่าเรียนและในการทำ�ธุระหน้าที่การงาน รู้จักใช้ปัญญาสอดส่อง หาวิธีจัดการดำ�เนินการให้ได้ผลดี) ถึงพร้อมด้วยความ ขยันหมั่นเพียรท่านไม่ว่าเกียจคร้านในสุภาษิตมีอย่างนั้น ให้พากันตั้งใจปฏิบัติเอา 32


ทำ�อย่างไรมันถึงจะเกิดถามเข้าไปในจิตตัวเองมันจะตอนขึ้นมาเองหรอก ถ้าไป พิจารณาถ้าไปหัดความสงบก็หัดเข้าไปเลยมันจะเกิดขึ้นเองหรอก แล้วพอมันสงบ เข้าสงบเข้าพอจิตมันรวมกันเข้ารวมกันเข้า ก็เกิดแสงสว่างขึ้นความอัศจรรย์มันไม่ ออกจากนั้นหรอก มันใคร่ครวญอยู่นั่นแหละนี่ปัญญาเกิดมันเกิดจริง ๆ นะปัญญา ขอให้มันเกิดเถอะเรื่องเหตุผลมันจะไหลอยู่นั้นแหละ เหมือนคนไม่เคยมีเงินกำ�เงิน ในมือจนเหงื่อออกมือ นี้ก็เหมือนกันถ้ามันใคร่ครวญอยู่ถ้ามันเห็นแล้ว ใคร่ครวญ อยู่เป็นวันก็เป็นวันนะมันจะเกิดความอัศจรรย์ เหมือนหลวงปู่ชอบท่านเดินอยู่ใน ป่าในดงตอนกลางคืน ท่านไปเจอเสือสองตัวท่านเดินไปข้างหน้าก็เจอเสือมาข้าง หลังก็เจอเสือจนมันใกล้เข้ามาทุกที จนถึงตัวท่านดูข้างหน้าก็จะตะครุบดูข้างหลัง ก็จะตะครุบท่าน ท่านก็รวมจิตให้เป็นสมาธิเข้ามาหาตัวท่านเองไม่ส่งไปหาเสือ เลย ท่านว่าชีวิตเราคราวนี้ถ้าเคยได้ทำ�กรรมกันมาแต่ในภพใดชาติใด ท่านยอม สละชีวิตท่านปล่อยวางแล้วแม้อัตภาพร่างกายนี้ แต่ถ้าไม่ได้ทำ�กรรมกันมาก็ขอ ให้อโหสิกรรมกัน พอจิตท่านรวมกันปั๊บเกิดความรู้ขึ้นมาเสือกินไม่ได้เด็ดขาดเลย มือก็แบกกลดอยู่บาตรก็สะพายอยู่อย่างนั้นอีกมือก็ถือโคมอยู่ พอจิตถอนออกมา มองหาเสือก็ไม่เห็น เอาเครื่องบริขารวางลงเอาเทียนมาจุดที่โคมก็ยังมองหาเสือ อยู่ ความกลัวหายไปหมดมีแต่ความกล้าหาญกว่าจะรู้ได้ดูซิว่าใจมันกล้า แต่ นั้นมาคนเข้าหาท่านมากไปหาท่านก็ให้ได้อรรถได้ธรรมท่านนะ เกิดความฉลาด อัศจรรย์ไปไหนก็ไปได้เลยไม่มีความวิตกวิจารเลยมีแต่ไป ไปอยู่ไหนมีแต่เสือนะ ท่านไปอยู่พม่าเสือก็ขึ้นมานั่งเฝ้าจนเช้าไปบิณฑบาตถึงไป ดูซิท่านทำ�มาอย่างนั้น นะครูบาอาจารย์ แต่นี่อะไรนั่งสมาธิหน่อยก็กลัวตายเดิน จงกรมก็กลัวเหนื่อยมี แต่กลัวตายก็ไม่เห็นแล้ว ถ้าไม่ละทิ้งความตายไม่เห็นหรอกธรรมของพระองค์เจ้า ใช่นะพระพุทธเจ้าท่านนั่งอธิษฐานอยู่ต้นโพธิ์ ถึงแม้ว่าอัตภาพร่างกายของท่านจะ กลายเป็นดินเป็นน้ำ�ไป ท่านก็จะไม่ลุกขึ้นจากที่นี้ถ้าไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ถึงขนาดนั้นนะ ให้พากันเร่งความพากความเพียรนะ สักหน่อยเข้าพรรษาก็เลิก 33


แล้วเข้าพรรษาก็ไม่มีการทำ�นะ ประเพณีพ่อแม่ครูจารย์ท่านพาทำ� ถนนหนทาง มันขาดหรือเป็นหลุมเป็นบ่อตรงไหนไม่ดีให้พากันทำ� พากันปฏิบัติในเขตวัดในเขต ที่อยู่อาศัยของตัวเองเรื่องการก่อสร้างไม่มี ตรงไหนดินพังก็ไปทำ�ไปตกแต่งท่าน พาอยู่อย่างนั้นมา ตั้งแต่มีแต่หลวงปู่มั่นมาไปดูวัดตรงไหนไม่ดีก็ซ่อมแซมตกแต่ง ถนนหนทางตรงไหนไม่ดีก็ซ่อมแซม ไม่ทำ�ก็ไม่งามตาเราและไม่งามตาโลกโลก เขางามเขามองตรงนี้ เสนาสนะหรือมาดูบริเวณวัดเขาเห็นเขาก็เลื่อมใสนะ ฝ่าย ปฏิบัติทำ�ให้สงบเงียบก็เท่านั้นแหละ ถ้าใจสกปรกใจไม่สะอาดธรรมก็ไม่อยู่แล้วจะ ให้ธรรมมาจากไหน ความยากก็อยู่ที่ใจความสำ�คัญก็อยู่ที่ใจ พอเลิกกัน

ba

34



แก้อารมณ์จากใจ (ไปดูแต่ของไม่ดี)

ทำ�อย่างไรถ้านั่งภาวนาก็มีแต่อารมณ์นั้นแหละที่มาแทรก ทำ�ให้พูดอย่าง นั้นเป็นอย่างนั้นคนนั้นผิดใจคนนี้ผิดใจเอามาใส่ใจตัวเอง พอคิดฟุ้งซ่านก็เลย หุนหันแล้วก็เลยนอนหลับ เรื่องกิเลสมันหลอกเราไปนอนกิเลสมันก็ไชโยเพราะ มันชนะเรา ที่จริงเราต้องสู้นะถ้าเราไม่สู้ไม่เห็นนะเวทนาที่เกิดกับเรา ทั้งความ ทรมานความเจ็บปวดที่เกิดทางร่างกายและทางจิตใจของเรา ถ้าตายเราคงตาย ไปแล้วพระพุทธเจ้าถ้าท่านสิ้นพระชนม์ท่าน ก็คงไม่ได้มาประกาศศาสนาจนมาถึง ทุกวันนี้หรอก อย่างครูบาอาจารย์อย่างหลวงปู่มั่นนี้ท่านได้บำ�เพ็ญเพียรจนสลบ ถึงสามครั้งนะ เราต้องเอาจริงเอาจังนะถ้าไม่เอาจริงเอาจังมันก็ไม่เกิด ให้พากัน เร่งความพากความเพียรนะ พอนะเลิกกัน การภาวนาไม่ใช่ไปดูแต่ผู้อื่นต้องฝึกตัวเองด้วยนะ แต่ทางโลกเขาก็ยังมีการฝึก เหมือนกัน เราก็ต้องฝึกการละการวางเรื่องของอารมณ์เป็นเรื่องสำ�คัญที่สุด แก้ อารมณ์จากใจแล้วสบายมันจะรวมเองหรอก นี่ปัญญาอบรมสมาธิก็มีพ่อแม่ครู จารย์ท่านแต่งหนังสือไว้ให้ อย่างสัตว์ที่ใช้เป็นพาหนะอย่างช้างเขาเอามาจากใน ดงในป่านู่น เอามันมาฝึกให้มันทำ�ประโยชน์ใช้ลากนั่นใช้ลากนี่มากมายให้ได้เงิน ได้ทอง จิตใจเหมือนกันฝึกให้มันเป็นศีลสมาธิปัญญามันก็ครบนะ แต่สมัยก่อน 36


ไม่ได้บวชการฆ่าสัตว์มันมีแต่ดึงกันจมลงไปจะมีอะไร เว้นไว้แต่ผู้มีสมบัติเป็นเจ้า ฟ้าเจ้านายไปอย่างนั้น การฆ่าสัตว์เขาไม่มีแต่คิดเขาก็ไม่มีมีแต่ซื้อสัตว์มาปล่อย เท่านั้นแหละ แต่ชาวนานี้เหมือนเฉือนเอาเนื้อตัวเองมากินอยู่อย่างนั้น สมาธิก็ เหมือนกันเรื่องปัญญาก็เหมือนกันต้องฝึกทำ�อย่างไรมันถึงจะเกิด แต่นี้ไม่รู้อะไรจิต มันไม่สงบให้เราสักทีมันเลยไม่มีพลัง คิดไปก็คิดไปทางโลกเลยเป็นเรื่องโลกไปเป็น สัญญา(ความจำ�ได้หมายรู้)ไปเดี๋ยวเอาเรื่องนั้นเรื่องนี้มาคิด ที่เกิดจากใจตัวเองไม่มี ก็เลยไม่เห็นพอไม่เห็นสักหน่อยก็เกิดความท้อแท้ สักหน่อยก็กล่าวหาศาสนาว่า ศาสนาไม่จริงเรื่องกิเลสมันเป็นอย่างนั้น ที่จริงตัวเองไม่ได้ปฏิบัติให้มันจริงจังแต่ กลับไม่ดูตัวเองตัวนี้แหละตัวสำ�คัญ เรื่องทางโลกมันไม่ขาดนะที่ขาดมีแต่เรื่องศีล เรื่องธรรม เกิดแล้วตายตายแล้วเกิดเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติเปลี่ยนพ่อเปลี่ยนแม่กัน อยู่อย่างนั้น จิตมันออกจากตรงไหนก็อยู่ตรงนั้นเหมือนกันกับควายที่เขาใช้ลากจูง เขาใช้เชือกผูกมัดมันไว้มันก็กองอยู่ที่นั่นแหละถ้าคนไม่มาก็ตายอยู่นั่นแหละ อันนี้ เหมือนกันอารมณ์มันครอบงำ�จิตอยู่แต่นอนหลับ ๆ ก็ฝันเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่อย่างนั้น ถ้านั่งภาวนาก็อยากเห็นอย่างนั้นเห็นอย่างนี้ นี่แหละตัวกิเลสที่อยากเห็นอยากให้ มันทันอกทันใจตัวเอง แต่เขาปลูกต้นไม้ต้นไร่กว่าจะได้รับผลใช้เวลากี่ปีคิดดูไม่ใช่ ปลูกแล้วจะได้รับผลทันที ฝึกหัดสติให้มันกำ�กับจิตตัวเองอยู่อย่างนั้นเอาซิ ธรรม มันจะเกิดขึ้นหรอกถ้าเอาจริงเอาจัง อันนี้ดูแล้วมีแต่คุยกันฉันน้ำ�ร้อนไปแล้วก็คุย กันไปเท่านั้น นั่งเรียงกันอยู่ศาลานู่นภาวนาก็มีแต่คนนั่งตัวไม่ตรง ตัวโยกเยกอยู่ มันจะไปทันกินอะไรกันพอไปนั่งพอเวทนาขึ้นมาหน่อยก็เจ็บนั่นเจ็บนี่ ก็เลยนอน เท่านั้นแหละแล้วมันจะไปเห็นอะไร ถ้าจะท่องจำ�ก็สามารถท่องได้นะธรรมะเอา หนังสือไปดู ไปดูก็เท่านั้นแหละจิตใจของเรามันไม่มั่นคงมันโลเล เหมือนไม้ที่เขา พาดอยู่รั้วไม่รู้ว่าปลายไม้มันจะตกลงไปทางไหน เรื่องมันมีมากประกอบกันอยู่ อย่างนั้นเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็อยู่อย่างนั้นแหละ ถ้าไม่ทำ�จริง ๆ จัง ๆ ไม่เห็นอรรถเห็น ธรรมหรอก วันไหนก็เจอแต่ของเก่านั่นแหละมีแต่มืดกับสว่างเวลานั้นเวลานี้ก็ของ 37


เก่านั่นแหละ พระพุทธเจ้าท่านตัดออกนะสามฤดูฤดูร้อนฤดูหนาวฤดูฝนมีเท่านั้น นี่ก็ของเก่าจะมีอะไรใหม่ที่ไหนก็มีแต่หลงของเก่านั้นแหละ เกิดภพนี้ก็เหมือนเก่า เกิดภพหน้าก็เหมือนเก่านะโลกนี้ขอให้ค้นเข้าไปดู ขอให้จิตเป็นปัจจุบันเถอะสิ่ง ที่ผ่านมาแล้วอย่าไปคำ�นึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึงก็อย่าไปคำ�นึง ทำ�จิตให้เป็นปัจจุบันดู หัวใจตัวเองสิ่งใดที่คิดไปแล้วมันไม่ดีก็ต้องหักห้ามมัน พอหักห้ามจิตบ่อยเข้ามันก็ ห้ามได้เท่านั้นเองเราก็จับหลักได้ แต่นี้ไม่รู้อะไรนั่งภาวนาก็นั่งไม่ได้แต่ครั้งครูบา อาจารย์ท่าน อย่างหลวงปู่ชอบท่านพูดว่าจิตของท่านถึงจะเดินหมดทั้งวันจิต ท่านก็อยู่กับพุทโธตลอด แต่ว่าจิตมันไม่เป็นอย่างนั้นนะมันไม่เหนื่อยถึงจะสะพาย บาตรไม่มีเหนื่อย ไม่รู้สึกเลยเบาตนเบาตัวคล้ายกันกับเดินไปไม่ได้เหยียบดินก็มี ท่านว่าไม่มีเหนื่อย ท่านไปองค์เดียวหมดทั้งคืนก็ทั้งคืนไม่ได้นอนก็มีแต่วาระจิต ของท่านไม่ได้ว่างจากพุทโธ ถ้าเวลานั่งก็คล้ายกับตัวท่านไม่ได้สัมผัสกับอาสนะ ที่นั่งเลยนะ ถ้าคิดเปรียบเทียบก็เป็นอัปปนาสมาธิ(สมาธิแน่วแน่)แล้วนะมันไม่มี กายแล้ว อุปจารสมาธิ(สมาธิจวนจะแน่วแน่) นี้สัญญา(ความจำ�ได้หมายรู้) มันยัง ไม่ขาดออกจากจิตแต่จิตมันไม่ยึดมั่น ได้ยินแต่จิตมันไม่ยึดความเจ็บความปวดก็มี แต่จิตมันไม่ยึดเท่านั้นเอง ถ้าเป็นอัปปนาสมาธิแล้วมันไม่มีแล้วเรื่องกายมีแต่เรื่อง ใจล้วน ๆ มันมีแต่หนึ่งไม่มีสองแล้วมันจะไปกระทบอะไรขอให้ทำ�ให้เห็นเถอะนะ เรื่องนี้ ถ้าไม่อย่างนั้นในตำ�ราพระพุทธเจ้าท่าน เข้านิโรธสมาบัติ(คือการดับสัญญา ความจำ�ได้หมายรู้และเวทนาการเสวยอารมณ์) พวกเรามันมีแต่ได้ยินได้อ่าน เท่านั้นแหละจิตใจของเรามันไม่ถึงจิตของท่านเลยไม่เกิดอนิสงส์ และความเพียร ของเราก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ถ้าเป็นทางไปก็ไม่เท่าไหร่มีแต่ความคะนองเท่านั้น อยู่ใคร อยู่มันลองดูก่อนสักวันหนึ่งเดินจงกรมเดินอยู่อย่างนั้น เห็นครูบาอาจารย์ท่านทำ� อยู่อย่างนั้นนะแต่พ่อแม่ครูจารย์เหมือนกัน ไปกับท่านสององค์พอดีเห็นท่านฉัน จังหันแล้ววันนั้นท่านก็เข้านั่งที่เลยทันที เอามุ้งลงที่ท่านอยู่มันไม่มีฝาพนังนะอยู่ ห้างท่านนั่งอยู่นั้นจนกวาดตาด กวาดตาดก็บ่ายสามบ่ายสี่นู่นกวาดตาดออกมาถึง 38


พบท่านเดินอยู่ ฉันจังหันแล้วก็เข้าที่พอกวาดตาดถึงออกมาทำ�อยู่อย่างนั้นทำ�ถึง ขนาดนั้นต้องมีต้องรู้อะไรแหละ แต่นี้ไม่รู้อะไรนั่งภาวนาก็โยกเยกแล้วจิตใจก็ไม่รู้ ว่ามันวิ่งไปทางไหน อันนี้อะไรก็ไม่เตรียมตัวไว้เลยทำ�อย่างไรมันถึงจะทันกับความ ต้องการของเรา มาบวชก็หวังเพื่อจะพ้นทุกข์ปรารถนามรรคผลนิพพาน ตายแล้ว ถึงจะไปนิพพานไปไม่ได้นะถ้าไม่ได้ทำ�เอาไว้เดี๋ยวนี้ไม่เห็นหรอก ให้พากันเร่งความ พากความเพียรจวนจะเข้าพรรษาแล้วนะ พวกนั้นเขามาถามเรื่องไม้ให้เขาทำ�หรือ มันมีมากแล้วนะผมกลัวกรมป่าไม้จะมายึดเอาอยู่นะ เมียกรมป่าไม้มาพูดให้ฟังก็ เรื่องไม้เก่านะไม่ใช่ไม้ใหม่ เอาไม้ปาเก้มาปูในศาลาแล้วเอาไม้เก่าออกหลวงปู่ท่าน ทำ�ศาลาใหม่ แต่ก่อนไม้มันมีมากนะจะเอาอย่างไรก็ได้ไม่ต้องไปขออนุญาตนะ สมัยก่อน ไม้ตามสวนมันมีมากมายนะสมัยก่อนแต่ปัจจุบันนี้มันขาดตลาดแล้วนะ เพราะขายไม้ไปหมดแล้วนะขายไปนอกประเทศหมดแล้ว จึงค่อยมาคิดรักษากัน ที่หลังนี้เห็นเมียกรมป่าไม้มาพูดให้ฝัง (หลวงปู่ลีถาม)เป็นอย่างไรมาภาวนา (พระ บวชใหม่ตอบ)สงบดีครับผม เร่งรักษาความสงบให้มันสงบหมดทั้งวันก็สงบอย่าไป รบกวนมันเลย ถ้ามันเกิดความสงบเวลามันจะเกิดอันนั้นอันนี้มันจะใคร่ครวญเอง หรอก บางครั้งมันผุดขึ้นมาเองหรอกตั้งใจนะเรามาบวชตอนแก่แล้ว ถ้าจะเอาตัว พ้นทุกข์จริงๆ นะถึงยังไงก็ขอให้ได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันนะ คือสามารถ ปล่อยวางคือละอัตภาพร่างกายได้แล้วก็มาเกิดไม่เกิน ๗ ชาติ ถ้าสกทาคามีก็มา เกิดอีกชาติเดียว ถ้าอนาคามีไม่มาเกิดอีกแล้วไปอยู่ชั้นอุตรวาสชั้นพรหมสร้าง บารมีต่อไปเพราะขาดจากกาม

ba

39



ให้ฝึกความสงบ

ให้พากันเร่งความพากความเพียรตัวการกระทำ�นั่นแหละสำ�คัญ กำ�หนด จิตตัวเองให้มันสงบถ้าไม่สงบไม่เห็นอะไรหรอกฝึกหัดความสงบเสียก่อน ถ้าจิต สงบเป็นชั่วโมงหรือสองชั่งโมงก็ช่างมัน พอจิตถอนออกจากความสงบแล้วถึงมา ใคร่ครวญความสงบ แล้วใคร่ครวญพิจารณาแยกธาตุแยกขันธ์ออกเป็นส่วนๆ ก็ได้ เวลาสงบอย่าไปรบกวนมันๆ จะสงบหมดทั้งวันก็ให้มันสงบอยู่อย่างนั้น อย่างพ่อ แม่ครูจารย์ท่านพูดว่าท่านอยู่กับพุทโธแล้วเสือกับช้างไม่มี เพราะจิตมันปรุงแต่ง ไม่ได้เพราะจิตมันอยู่กับพุทโธเลยไม่มีกลัวอะไร เพราะจิตไม่ได้คิดไปหาเสือหาช้าง จิตมันเลยสงบ สังเกตจิตใจของเราเหมือนกันเวลานอนหลับมันไม่มีสตินะ แต่การ ภาวนามีสตินะทำ�ไมถึงจะไม่รู้มันไม่ใช่เวทนามันก็รู้จัก แต่การนอนตื่นเช้ามาก็รู้ว่า เมื่อคืนนอนหลับสนิท ไม่รู้สึกตัวและไม่ฝันอะไรนี้คือตัวรู้มันก็รู้เวลาเรานอนวันนั้น ก็ฝันเรื่องนั้นเรื่องนี้ตัวรู้ก็รู้หมด ตัวรู้มันไม่ได้ปราศจากสตินะขอให้ฝึกสติให้มากๆ นะ มันจะพบเห็นอะไรก็ตามเรื่องภพชาติหรือละเอียดกว่านั้นขึ้นไป เหมือนกัน กับเขายืนอยู่กลางแจ้งไม่ว่าใครจะมาทางทิศไหนก็ยืนด้วยสติแล้วต้องอาศัยความ เพ่งดูด้วย อย่างพระอาจารย์ท่านมาพูดให้ฟังท่านไปต่างประเทศมาอเมริกาท่าน ก็พึ่งไปมา มันก็เป็นไปได้นะพวกญาติโยมเขาก็มาถามท่านมันก็เป็นของหยาบๆ 41


นะ คือเขาไปล่าสัตว์ในป่าไปเจอเนื้อเข้าเขาก็กำ�ลังจ้องจะยิงเนื้อตัวนั้น จะยิงก็ ยังยิงไม่ได้เพราะว่ายังเล็งเป้าไม่ถูกจุดสำ�คัญ ก็เลยเพ่งมองอยู่ที่นั่นจิตมันจดจ่อ อยู่ที่นั่นไม่มีอารมณ์ใดๆ ก็เกิดนิมิตขึ้นเห็นพอลืมตาก็เห็นเทวดาเดินออกมาจาก ต้นไม้ จะยิงเนื้อตัวนั้นก็เลยยิงมันไม่ลงเพราะเกิดความอัศจรรย์ขึ้นกับตัวเองเลย ทิ้งปืน แล้วก็เลยสนใจมาทำ�เรื่องการภาวนาทำ�ใจให้จดจ่ออยู่อย่างนั้น เลยเกิด ความรู้ขึ้นเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่นั่นมันเป็นสมาธิจิตนิ่งนะจิต มันเที่ยงใครจิตเที่ยงก็เป็นอย่างนั้นนะ เป็นของแปลกนะเพราะมันจดจ่ออยู่อย่าง นั้น แต่พวกเรานั้นมันวิ่งตามอารมณ์วิ่งตามความอยากของตัวเอง นั่งภาวนาก็ อยากได้อันนั้นอยากเห็นอันนี้อยากเหาะได้ไปคิดไปคำ�นึงถึง แล้วพอมันไม่เห็น อย่างที่ต้องการพอพิจารณาก็พิจารณา ไปตามสัญญา(คือความจำ�ได้หมายรู้)แต่ ว่ามันไม่ได้เกิดจากใจของเรา ครูบาอาจารย์ท่านเทศน์อย่างนั้นแล้วเราก็พิจารณา ไปอย่างนั้น ก็เป็นความรู้ตามครูบาอาจารย์ไปแต่ว่ามันไม่ได้เกิดกับตัวเอง นิสัย ความรู้มันต่างกันนะถ้าเรื่องมรรคก็ตั้งแต่โสดาบันขึ้นไปจนถึงพระอรหันต์มีหลาย ขั้นนะ การพิจารณาเหมือนกันมันก็มีหลายขั้นตอนคิดดูตั้งแต่ พระพุทธเจ้าท่าน กว่าจะได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลูกสาวพญามารก็พยายามหาวิธีต่างๆ มาขัดขวาง แต่ไม่ว่าจะทำ�อย่างไรท่านก็ไม่สนใจท่านไม่ยินดียินร้ายแล้ว แต่ ลูกสาวพญามารก็ยั่วยวนอยู่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ยินดีเลยท่านวางตัว เหมือนดินวางตัวเป็นเหมือนผ้าเช็ดเท้า ลูกสาวพญามารทำ�งานไม่สำ�เร็จก็เลยไป หาพญามารผู้เป็นพ่อ เพราะได้สั่งให้ลูกสาวมายับยั้งพระพุทธเจ้าไม่ให้ท่านตรัสรู้ พอทำ�ไม่สำ�เร็จพญามารผู้พ่อก็โกรธมากก็พาเสนามารเป็นร้อยเป็นพัน มาล้อม พระพุทธเจ้าทั้งช้างม้าทั้งวัวควายหลั่งไหลมา และก็ยิงลูกศรใส่พระพุทธเจ้าอยู่ อย่างนั้นยิงใส่พระพุทธเจ้า ลูกศรก็กลายเป็นดอกไม้บูชาท่านหมดทำ�อย่างไรก็ยิง ไม่ถึงท่านเรื่องบารมีของท่าน ต่อจากนั้นแม่ธรณีก็มาเป็นพยานบีบน้ำ�ให้ท่วมพญา มารได้ แล้วพวกเราจะอยู่แค่นี้หรือการภาวนาถ้าไม่ปล่อยวางเรื่องกิเลสตัณหา 42


พวกนี้ก็อยู่อย่างนี่แหละ ก็เกิดแก่เจ็บตายอยู่นี้แหละถ้าไม่เอาชนะมัน นั่งภาวนา เข้าไปซิอย่าให้กิเลสมันหลอกเราได้ เดินทั้งวันเดินไม่มีสติไม่มีปัญญาก็ไม่เห็นไม่ได้ อะไรนะ พระพุทธเจ้าท่านสรรเสริญสติกับปัญญา ต้องฝึกหัดนั่งภาวนาตอนนั้น มันเป็นอย่างนั้นตอนนี้มันเป็นอย่างนี้ ให้ฝึกหัดสังเกตจิตใจตัวเองถ้าไม่อย่างนั้น จะจับหลักไม่ได้ แต่จิตมันก็เป็นไปของมันอยู่อย่างนั้นแต่เราจับจิตไม่ได้ก็เลยไม่รู้ ต้นสายปลายเหตุ ถ้าจิตรวมได้ครั้งหนึ่งมันจะจับหลักได้แล้วแต่นี้มันไม่รวมกันสัก ที อย่างพ่อแม่ครูจารย์ท่านถึงได้จัดหาสถานที่ให้ไปภาวนาที่ภูหลวง ให้พระขึ้นไป เปลี่ยนกันภาวนาบนภูหลวงให้ช้างให้เสือทรมานช่วย ถ้านั่งภาวนา กำ�หนดจิตเข้า จริงๆ แล้วก็ดูเหมือนว่า ไม่มีลมหายใจของเราเข้าออกเลยแต่เราก็ไม่ตายนะ เอา ให้พากันเร่งความพากความเพียรนะ แต่เข้าพรรษาครั้งพุทธกาลนั้นพระท่านก็ตั้ง สัจจะอธิษฐานเพื่อเร่งให้ได้ตรัสรู้ ธุดงควัตรนั้นเอาเพิ่มเติมนะเพราะเป็นสมบัติ ของพระอริยเจ้าทั้งหลายที่พากันดำ�เนินมา เพื่อให้มีสัจจะบังคับจิตใจตัวเองถ้าไม่ บังคับจิตใจตัวเองแล้ว ก็จะเกิดความโลเลไม่มีหลักยึดก็ปล่อยไปแล้วแต่มันจะเป็น ไป ให้บังคับใจสอนตัวเองถ้าคนอื่นสอนมันจะไม่ถูกใจ

ba

43



ให้พากันตั้งใจภาวนา

มันก็ไม่ดีนะเพราะนํ้าจะท่วมปีนี้ไม่ใช่นํ้ามันท่วมแล้วหรือ ฝนตกมากก็ไม่ ดีแต่ถ้าไม่ตกเลยก็ลำ�บากก็บ่นกัน ปีนี้ก็ดีอยู่นะฝนดีกว่าปีที่ผ่านมาปีที่ผ่านมานี้ เย็นสบายปีนี้ดีอยู่ เป็นอย่างไรภาวนาพวกแม่ออกเห็นแต่หาที่อยู่ที่กิน เมื่อวาน ภรรยากรมป่าไม้มาก็อย่าทำ�อาหารมากเกินไปบางครั้งมันเหลือมาก หรือว่ากลัว จะไม่เหลืออาหารให้กินกลัวกินหมดก่อน เข้าพรรษาถือธุดงควัตรยิ่งอยากได้อา หารน้อยๆ แต่ก็กลับได้มากนะพวกนี้ มีแต่มากินไม่ได้เดินจงกรมภาวนาอะไร ถ้า ไม่ชำ�ระสะสางจิตใจตัวเองมันก็มีแต่สะสมนะ แกงหม้อใหญ่นั้นมันไม่ค่อยอร่อย หรอกแกงหม้อเล็กๆ อร่อยกว่า อาหารมีอะไรอร่อยก็ขนลงมาใส่ปากใส่ท้องตัว เองหมดก็เลยไม่ได้รักษาอะไร ให้ไปภาวนาดูหัวใจตัวเองอยู่อย่างนั้นอะไรที่มันเกิด ขึ้นแล้ว มันไม่เป็นอรรถเป็นธรรมเราก็กลั่นกรองมันออกไป ขนาดเสื้อผ้าที่สวม ใส่เราก็ยังต้องตัดให้มันถูกแบบถูกแปลน จิตใจของเราก็ให้ชำ�ระสะสางออกไปสิ่ง ใดที่มันไม่ดี ทำ�อะไรถ้ามันไม่ถูกต้องตามแบบตามแผนของมันก็ดูยุ่งเหยิงดูสับสน การภาวนาก็คือการอบรมใจให้มีเหตุมีผลก็เพื่อการงานทั้งภายนอกและภายใน ให้มันสะอาดเข้าไปเรื่อยๆ พอสะอาดเข้าจิตมันก็ผ่องใสเท่านั้นแหละ ถ้าไม่ชำ�ระ สะสางมันก็ดูรกรุงรังก็เท่านั้นแหละมีแต่ความร้อนมาเผาตัวเองอยู่อย่างนั้นนะ 45


ถึงจะหาเงินได้กองเท่าภูเขาก็เถอะถ้าใจไม่มีธรรม ความกระทบกระเทือนจิตใจ นี้เรื่องจิตใจก็ได้เท่านั้นแหละสมบัติก็รั่วไหลไปหมด ให้พากันตั้งใจภาวนานะถ้า อยากจะเอาตัวเองให้พ้นทุกข์ ถ้าได้เข้ามาแล้วได้ยินได้ฟังจากครูบาอาจารย์ท่าน เทศนาสั่งสอนไปหน่อยก็สบายหน่อย ถ้าออกไปอยู่บ้านอยู่เรือนตัวเองก็รู้สึกร้อน รุ่มและเบื่อหน่าย สักหน่อยก็อยากเข้าป่าอยากเข้ามาหาวัดหาความสงบร่มเย็น ทุกวันนี้มันเป็นอย่างนี้นะเพราะโลกมันร้อนมากนะ คิดดูอย่างพ่อแม่ครูจารย์ท่าน อยู่วัดญาติโยมหลั่งไหลกันมาหาท่านจากกรุงเทพฯ ก็มี ถ้าอยู่บ้านตัวเองจิตใจมัน ร้อนรุ่มมันเผาไหม้มันมีแต่ความโลภมาก คิดดูว่าขนาดสมบัติในแผ่นดินนี้ก็ยังคิด ว่าเป็นของตัวเองทั้งหมด นู่นคิดดูว่าหัวใจมันหยาบขนาดไหนแล้วก็ร้อนเพราะไม่ ได้ดังใจตัวเอง แล้วก็หาฟืนหาไฟมาเผาหัวใจตัวเองอยู่อย่างนั้นคนไม่มีธรรมเป็น อย่างนั้น ครูบาอาจารย์ท่านก็คอยแต่บอกทางเท่านั้นแหละ แต่ผู้ที่ทำ�ก็คือตัวเรา เองเพราะมันเป็นสมบัติของเราเอง เหมือนกันกับคนป่วยไข้เขาก็มีแต่ถามอาการ เท่านั้นแหละ จะมีใครไปเจ็บป่วยแทนกันได้ไม่มีหรอก เหมือนอาหารนั่นแหละ อยู่ในภาชนะถ้าเราไม่กินก็ไม่รู้จักรสชาติเหมือนกัน นี่ก็เหมือนกันถ้าเราไม่ลงมือ ทำ�ก็ไม่รู้นะเพราะมันเกิดด้วยการกระทำ�นะ ท่านถึงว่า“ทำ�ดีได้ดีทำ�ชั่วได้ชั่ว” ก็ ถึงต้องทำ�เอาเอง โลกมันก็มีเท่านี้แหละมีมืดกับสว่างนี่คือความจริงนอกนั้นสมมุติ ทั้งหมด สมมุติเอาเดือนนั้นปีนี้ก็ของเก่านั้นแหละทั้งศาสนาท่านก็ตั้งให้เป็นสาม ฤดู ฤดูฝนฤดูแล้งฤดูหนาวนี้มันก็ถูกของท่านนอกนั้นไม่มีหรอกก็ของเก่านั่นแหละ ปีไหนก็ปีเก่า เรียนก็เรียนให้มันรู้ถึงมหาสมมุติมหานิยมเอาไว้ใจมันถึงไม่ได้ขอ อัน นี้จะทำ�อะไรก็มีแต่มาหารือว่าวันนั้นเป็นอย่างไรวันนี้เป็นอย่างไร มันก็เป็นวันเก่า นั้นแหละมีแต่มืดกับแจ้งเท่านั้นจะไปเอาอะไรอีก ประกอบความดีก็เพื่อความดี เท่านั้นแหละประกอบความชั่วก็ชั่ว เหมือนเขามาถามว่าจะบวชวันไหนถึงจะเป็น วันที่ดีสำ�หรับอาตมา มันก็ดีทุกวันเพราะไม่ได้เอาวันไหนมากำ�หนดตัวเรา เราก็ 46


ลองไม่กินข้าวดูซิว่ามันจะรู้จักอิ่มหรือเปล่า ทุกวันนี้พิธีรีตองมากเหลือเกินศาสนา ก็เลยกลายเป็นพิธีไปหมด ดูอย่างเขาเอาอาหารมาถวายแมลงวันก็ตอมอยู่อย่าง นั้นกว่าจะเสร็จพิธี ที่มานี้เจตนาจะทำ�บุญแต่ก็ไม่รู้ว่าวันไหนนะนี่เหตุผลมันเป็น อย่างนี้ พอเอาอาหารมาถวายก็ต้องรอก่อนให้แมลงวันมันตอม ตอมอยู่อย่างนั้น ก่อนเพราะพิธีต่างๆ มากเหลือเกินกว่าจะถวายได้ พิธีแบบนี้สมัยพระพุทธเจ้าไม่มี หรอกครั้งพุทธกาลไม่มี สมัยนี้เศรษฐีอาจารย์แต่งขึ้นอย่างหลักแหลมเพราะเรียน ปริยัติได้เรียนบาลีได้จึงเอามาแปลรวมกันไปหมด สมัยพุทธกาลญาติของพระเจ้า พิมพิสารไปตกนรกเป็นเปรตอยู่ ได้มาแสดงอากัปกิริยาให้ได้ยินเสียงบ้างมาใน ฝันว่าไม่ได้นุ่งเสื้อผ้าบ้าง พระเจ้าพิมพิสารจึงไปกราบเรียนพระพุทธเจ้าท่านว่าใน นิมิตนั้นฝันถึงญาติ แล้วบางครั้งก็มาแสดงเสียงอย่างนั้นให้ได้ยิน พระพุทธเจ้า ท่านก็ว่าญาติของมหาบพิตรนั้นไปตกนรกอยู่ ให้พระเจ้าพิมพิสารนั้นทำ�บุญอุทิศ ส่วนกุศลไปให้เขา พระเจ้าพิมพิสารจึงไปทำ�บุญใส่บาตรพระพุทธเจ้าแล้วก็มา อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลตามที่พระพุทธเจ้าท่านบอก แล้วพระเจ้าพิมพิสารก็มานิมิต เห็นรูปร่างของญาติจากที่ซูบผอมอยู่ ก็เปลี่ยนมาเป็นอ้วนท้วนสมบูรณ์แต่ว่าไม่มี เสื้อผ้าใส่ พระเจ้าพิมพิสารก็เลยไปกราบเรียนพระพุทธเจ้าท่านอีก ท่านก็ให้ไป ทำ�บุญถวายผ้าบังสุกุลแล้วก็อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ แล้วพระเจ้าพิมพิสาร นั้นก็นำ�เอาผ้าบังสุกุลถวายพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็แจกจ่ายให้ลูกศิษย์ ลูกหาท่านเพื่อนำ�ไปตัดจีวรสวมใส่ แล้วญาติของพระเจ้าพิมพิสารก็มาแสดงนิมิต ให้เห็น ว่าเขาได้นุ่งเสื้อผ้าสวยงามแล้วในตำ�ราว่าไปอย่างนั้นนะ และทุกวันนี้ทุก อย่างมันกลายเป็นพิธีไปหมดแล้ว ดูซิในหลังสือสวดมนต์เหมือนกันพากันแต่ง หนังสือเขาไป สมัยก่อนหนังสือตรงไหนมันยาวก็ตัดก็ย่อลงมีแต่พิธีหมด คาถาก็ มีมากมายใช้ป้องกันสิ่งนั้นสิ่งนี้แต่ไม่มีหรอกสิ่งป้องกันความตายได้ แต่ขนาดเป็น หมอเป็นแพทย์เขาเรียนมาก็เพื่อรักษาชีวิตคนไม่ให้ตายแต่ก็ไม่ได้ ไม่สามารถพ้น 47


จากความตายได้ส่วนความเจ็บความปวดนั้นก็รักษากันไปอย่างนั้น พระพุทธเจ้า ท่านบอกไว้หมดแล้วว่า อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นของที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนแต่ เราก็ไปยึดมั่นถือมั่นมัน พอแก่ชราแล้วมันก็ไม่มีอะไรเหมือนเก่าสักอย่างสังเกตตัว เองดูซิ สมัยก่อนวิ่งขึ้นภูขึ้นเขาจนหมู่พวกตามไม่ทันเขาต้องวิ่งตามหลังเรา ทุกวัน นี้ไปไม่ไหวแล้วมันเปลี่ยนไปหมดแล้วจากหน้ามือเป็นหลังมือ ความเจ็บความปวด มันบีบคั้นอยู่อย่างนั้นนะทุกวันนี้ ให้พากันเร่งความพากเพียรเพราะไม่รู้วันไหน ความตายมันจะมาถึง นั่งก็ตายนอนก็ตายนะทุกวันนี้ไม่มีหนีพ้น โลกมันวุ่นวาย มากเพราะคนมีมากมันก็เป็นอย่างนี้ แต่เก่าแต่ก่อนไปเที่ยวบนภูบนเขามันมีแต่ ป่าแต่ดงนะ ทุกวันนี้มีแต่ป่าคนนะไปที่ไหนก็ตามมีแต่คนมาอยู่อาศัยเต็มไปหมด แต่ที่นี่เจ้านางรักษาไว้เพราะต่อไปมันจะไม่เป็นป่าก็ต้องรักษาไว้ก่อนที่จะเสียมัน ไป เพราะถ้าไม่รักษาไว้เดี๋ยวต่อไปก็จะมีแต่ไร่แต่นามีแต่ผู้คนเต็มไปหมด ถ้าได้ขอ ที่ขอทางเดี๋ยวเดียวก็หมดแต่นี่ก็พอได้อยู่ได้กินกันไป มีเท่าไหร่ก็พอทำ�กันไปก่อน ถ้าพอมีคนมาอยู่มากเข้าก็เกิดแบ่งที่แบ่งทางกันนะซิ เจ้านายท่านคิดถูกแล้วนะ พออยู่พอกินก็ทำ�กันไปก่อนถ้ามากขึ้นเรื่อยๆ ก็ไม่มีให้แล้ว อย่างพ่อแม่ครูจารย์ ขาวท่านพูดถึงเรื่องประวัติวัดถ้ำ�กลองเพล ท่านว่าสมัยก่อนที่นี่เป็นบ้านเป็นเมือง หมดทั้งภูทั้งเขานะ แค่พันกว่าปีเท่านั้นท่านว่าถ้ำ�กลองเพลนี่เป็นที่อยู่อาศัยอยู่บน ภูบนเขา ไปหาดูได้ตามภูตามเขามีจารึกไว้หมดที่ภูพานก็มีจารึกไว้หมดเหมือน กัน พอบ้านเมืองมันมากขึ้นพอได้อยู่ทำ�กินก็ทำ�กันแล้วเพราะคนมันมากนะ พอ นานวันเข้าคนมากเข้าก็แบ่งกันเท่านั้นแหละเดี๋ยวคนนั้นขอคนนี้ขอ ที่ดินแบ่งไป เรื่อยก็หมดได้เหมือนกันเพราะคนมันมากนะ เวลารักษาก็รักษาไว้ด้วยกันให้มัน เป็นสมบัติของบ้านของเมือง ของประเทศชาติก็รักษาช่วยกันเท่านั้นแหละปลูกฝัง เอาไว้ อธิบดีกรมป่าไม้ก็บอกไว้แล้วว่าให้ปลูกใครปลูกมันพอมันโตแล้ว ไม่ต้องไป ขออนุญาตตัดสามารถตัดได้เลยต้นของใครของมันทุกวันนี้ ถ้ามาปลูกใหม่เขาไม่ ว่าอะไรเดี๋ยวนี้เห็นมาจองปลูกป่ามากแล้วนะ ที่ทำ�ไว้นั้นก็ให้กุลบุตรสุดท้ายภาย 48


หลังนะเพราะพวกเรามาปลูกไว้นั้นไม่ได้ใช้คงตายก่อน บ้านเมืองเจริญขึ้นทุกวัน พอเจริญกันมากขึ้นก็มีแต่ทะเลาะกันมีแต่ฆ่ากัน โลกมนุษย์มันเป็นอย่างนี้สังเกต ดูกันเอาเองมีแต่การฆ่ากันถึงจะอยู่ห่างไกลกันก็ตาม แต่ผู้ที่มีศีลธรรมก็ไปหาหลบ อยู่ตามภูเขาไม่สู้รบกับเขา พวกที่สู้รบกันก็ตายหมดนะพอการสู้รบจบสิ้นลง พวก ที่หลบอยู่ตามป่าตามภูเขาพวกนี้แหละจะออกมา เพื่อเป็นทุนเป็นสมบัติของโลก ต่อไปพอเห็นกันก็กอดกันร้องไห้ เพราะรู้ว่ามนุษย์เราที่ผ่านมานี้ประมาทมากแล้ว โลกนี้ก็เจริญขึ้นอีกครั้ง แล้วคราวนี้ก็ไม่มีการฆ่ากันนะเพราะว่าคนก็เหลือน้อย พอมาอยู่ด้วยกันก็เกิดเป็นชุมชนใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ก็เกิดเป็นบ้านนั้นบ้านนี้ เกิดเป็น ชุมชนนั้นชุมชนนี้ก็ไปเข้าทำ�นองแบบเก่าอีก ดูสิตั้งแต่สมัยพ่อแม่ของเรามาจนถึง ปัจจุบันรถยนต์เพิ่มมากขึ้นทุกวัน ตั้งแต่สมัยเป็นเด็กน้อยจะไปจังหวัดอุดรก็ต้อง เดินเท้าตามเกวียนไป หรือตามรอยล้อเกวียนเพราะสมัยนั้นไม่มีรถยนต์ แต่พอ อาตมามาบวชรถยนต์จะมีก็แต่ตอนหน้าแล้งนะ รถยนต์ถึงจะเข้ามาได้เพราะถนน หนทางไม่สะดวกนะ แต่ถึงจะมีรถมาแต่ก็นานๆ มาทีโดยมากรถโดยสารจะมีไฟ ติดไว้ด้านใต้ทางด้านท้ายคนขึ้นนะ คิดดูความเจริญมันเจริญขึ้นมากที่จังหวัดอุดร ไปที่ไหนก็มีแต่ความเจริญ แต่สมัยก่อนนั้นเป็นป่าไผ่ทั้งนั้นแต่ปัจจุบันนี้เป็นบ้าน เป็นเมืองไปหมดคิดดู คิดดูอย่างกรุงเทพฯ ก็เหมือนกันที่อาตมาบวชก็เคยไปเที่ยว ทางนั้นนะ ทุกวันนี้เป็นเหมือนกันหมดที่ไหนก็เหมือนกัน คนมันมีมากขึ้นจะทำ� อย่างไรล่ะพอเลิกกันไปภาวนาก่อน

ba

49



ให้สำ�รวจดูใจตนเอง

ทำ�จิตใจให้เด็ดเดี่ยวฟังแล้วเก็บไปใคร่ครวญไปสอนตัวเองให้เกิดความ เข้าใจ ถ้าฟังไปแล้วไม่เอาไปใคร่ครวญมันก็ไม่เกิดกับใจตัวเองนะจิตมันก็ไม่แล่น นะ โลกนี้มันมีทั้งความทุกข์ยากลำ�บากมีทั้งความสุขสบายมีทั้งคนยากจนมีทั้งคน ร่ำ�รวยนะ ตอนนี้ร่างกายมีอาการคันที่ไหนก็เกิดตุ่มที่นั่นเดี๋ยวนี้กำ�ลังเกิดขึ้นที่ ศีรษะ มัจจุราชมันกำ�ลังไล่ตามใกล้เข้ามาทุกทีมันทั้งบีบทั้งคั้นเข้ามา คนเราก็ เท่านั้นเกิดแล้วตายตายแล้วเกิดเกิดแล้วตายตายแล้วเกิดอยู่อย่างนั้น มีแต่พระ อริยเจ้าทั้งหลายท่านไม่มีอุปทานความยึดมั่น ถ้าเป็นเรามันก็ยึดนั่นยึดนี่ถ้าได้ยิน ได้ฟังอะไรแล้วไม่ถูกจิตถูกใจก็ไปยึดแล้ว ถ้าถูกจิตถูกใจก็ดีใจมันก็มีอยู่เท่านั้นโลก นี้ พิจารณาไปแล้วไม่มีความสุขสักอย่างมีแต่ความทุกข์ทั้งนั้น ตัวเองก็ติเตียน ตัวเองอยู่อย่างนั้นอิจฉาตัวเองเรื่องโกหกตัวเองเก่งเหลือเกิน ถ้าคนอื่นมาโกหก นี้ผิดใจแต่ถ้าตัวเองโกหกตัวเองนี้ไม่เป็นไรมันสบายเหมือนเป่าปี่ใส่หูควาย เอา ซิลองนั่งภาวนาดูวันนี้จะนั่งนานเท่านั้นเท่านี้กำ�หนดเอาเอง นั่งไปได้ไม่นานสัก หน่อยก็ล้มตัวลงหมอนนอนหลับเท่านั้นแหละ กิเลสมันกล่อมเราเอาไปกินหมด นะสิว่าร่างกายของเราไม่ไหวแล้วถ้านั่งต่อไปต้องตายแน่ๆ แต่ถ้าเราตั้งใจปฏิบัติ จริงๆ เอาซิบริกรรมพุทโธ ๒๔ ชั่วโมงอย่าให้เผลอ ให้มันเป็นมหาสติดูซิกำ�กับจิต 51


ตัวเองอยู่อย่างนั้นให้พิจารณาใจอยู่ที่ใจ มันจะเห็นกรรมก็ให้มันเห็นให้มันทันให้ มันรู้ว่าวันหนึ่งๆ คิดอะไรอย่างไร จะไปพูดอะไรเรื่องภพเรื่องชาติแต่วันเดียวก็ยัง จำ�ไม่ได้ เรื่องจิตใจมันคิดไปอย่างไรทำ�ไมมันถึงคิดอย่างนั้นตามให้มันทันดู จะ ได้เป็นเหมือนดั่งเงาพระพุทธเจ้าแต่ว่ามันก็ตามไม่ทันสักทีนะซิ พระพุทธเจ้าท่าน มี อธิศีล(คือการศึกษาในข้อปฏิบัติสำ�หรับฝึกอบรมในทางความประพฤติอย่างสูง) อธิจิต(คือการศึกษาในข้อปฏิบัติสำ�หรับฝึกอบรมจิตเพื่อให้เกิดสมาธิอย่างสูง) อธิ ปัญญา(คือการศึกษาในข้อปฏิบัติสำ�หรับฝึกอบรมปัญญา) เป็นมหาสติมหาปัญญา นู่น แล้วเรามาใคร่ครวญจิตใจของเราดูซิว่ามันเผลอไปกี่นาที ไม่ใช่นาทีนะกลัว ว่ามันจะเป็นชั่วโมงถึงจะมารู้ตัวนะ นู่นเวลาเข้านั่งสมาธินู่นถึงเริ่มมานะเจ้าความ คิดต่างๆ นาๆ เริ่มเกิดขึ้น ถ้าได้ไปก็เริ่มคำ�นึงแล้วว่าได้เคยพูดกับเพื่อนอย่างนั้น เคยเสียใจอย่างนั้น ถ้าไม่คิดไปอย่างนั้นก็ไปคิดกับเรื่องเครื่องบริขารเล็กๆ น้อย ไป แล้วนั่งอยู่อย่างไรมันถึงจะสงบสักทีถ้าไม่มีสิ่งผูกมัดจิตใจมันไม่ได้หรอก ไม่ เห็นหรือเขาฝึกควายฝึกวัวกว่าจะใส่แอกกว่าจะไถเป็นมันต้องฝึกต้องหัดกันขนาด ไหน พระพุทธเจ้าท่านฝึกของท่านเองคิดดูซิท่านปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า กว่า จะได้เป็นต้องใช้เวลาสร้างบารมีตั้ง ๔ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป พระพุทธเจ้า ทีปังกรนะท่านได้ทำ�นายไว้แล้วนะว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้า ชื่อว่าพระโคดมต้อง สร้างบารมี ๔ อสงไขย ๑๐๐,๐๐๐ มหากัป โลกนี้มีพระพุทธเจ้าจะลงมาอุบัติบาง องค์ท่านก็ทำ�นายไว้แล้วว่า ต้องใช้เวลาสร้างบารมีตั้ง ๒๐ อสงไขยก็มีไม่ใช่เรื่อง ง่ายๆ นะ เรื่องของกิเลสมันหนามากนะจะมาทำ�เล่นๆไม่ได้หรอก ชาวไร่ชาวนา กว่าเขาจะได้ข้าวมาใส่ในยุ้งไม่ใช่ง่ายๆ นะ ถ้าเปรียบเทียบเหมือนเหงื่อที่ไหลออก ไปนั้นปล่อยไปตามน้ำ�ได้เลย เพราะว่ากว่าจะได้ต้องเสียเหงื่อมากมายจริงๆ นะ ทำ�นาทำ�สวนเราก็ได้ผ่านมาหมดแล้ว สมัยนี้อะไรก็สบายไปหมดถ้านั่งก็นั่งอยู่ใน กุฏิอยู่ในมุ้งลวดยุ่งไม่มีได้กัด สมัยก่อนเขาตากแดดตากฝนนู่นแต่เดี๋ยวนี้อะไรก็ สบายไปหมด แต่ปัจจุบันนี้ก็ยังว่ายากลำ�บากแล้วจะไปโลกไหน โลกที่มีกิเลสจะ 52


ไปอยู่โลกไหนมันถึงจะมีความสุขคิดดู ให้ใคร่ครวญพิจารณาเอาไปสอนตัวเองตัว เองนะต้องสอนตัวเอง พระพุทธเจ้ามีแต่บอกทางเท่านั้นถ้าเราไม่เดินมันก็ไม่เห็น ทางไม่เห็นจุดหมายเท่านั้นแหละ ให้พากันเร่งความพากความเพียรนะเพราะจวน จะออกพรรษาแล้วนะ พอออกพรรษาแล้วเดี๋ยวคนนั้นก็ไปนั่นคนนี้ก็ไปนี่ยุ่งยาก นะ มีเวลาแค่สามเดือนพระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้ให้อยู่สามเดือนคือหนึ่งไตรมาส แต่ครั้งพุทธกาลนั้นยังไม่มีการจำ�พรรษาพระก็เดินลุยทุ่งนาเหยียบข้าวเหยียบ น้ำ�ของชาวบ้านเขา จนพวกญาติโยมไปฟ้องพระพุทธเจ้าท่านก็เลยบัญญัติให้จำ� พรรษา แต่ก่อนไม่มีการบัญญัตินะพระพุทธเจ้าท่านบัญญัตินั้นต้องมีสาเหตุหมด นะ อย่างราหุลซึ่งเป็นพระโอรสของพระพุทธเจ้านั้น แม่กับปู่ส่งราหุลไปขอสมบัติ จากพระพุทธเจ้า สมบัติอะไรก็ไม่ได้พระพุทธเจ้าก็เลยให้พระสารีบุตรโกนผมให้ ราหุลและบวชให้ แม่กับปู่เสียใจมากจึงไปขอพระพุทธเจ้าว่าถ้าพ่อแม่ไม่อนุญาต ห้ามบวชให้ พระพุทธเจ้าท่านก็เลยบัญญัติเอาไว้พระพุทธเจ้าท่านมีเหตุผลนะ แล้วน้องชายแต่งงานชื่อนันทะแต่งงานยังไม่ทันได้อยู่ด้วยกันกับภรรยาเลย นันท ะไปส่งพระพุทธเจ้าถึงวัดท่านก็เลยบวชให้โกนผมให้ พระพุทธเจ้าท่านมีเหตุผลนะ ท่านบัญญัติไว้หมด เอาเลิกกันเหนื่อย

ba

53



ทรมานกิเลสตนเอง

เด็ดนะท่านพูดเด็ดให้เอาไปพิจารณานะหมู่พวกที่ท่านพูดมา ได้ฟังแล้ว อย่าเอาไปทิ้งให้เอาไปใคร่ครวญพิจารณานะ จะทำ�อะไรก็ให้ดูจิตใจตัวเองหน่อย ดูว่ามันโลเลมากน้อยเพียงใด จะไปทำ�อะไรถ้ามีแต่ความโลเลแล้วความจริงมันก็ เลยไม่เกิดสักที ถ้าจะทำ�จริงๆ มันต้องทำ�อย่างนี้นะพระพุทธเจ้าท่านให้ทรมาน ตัวเองนะ ฝึกตัวเองทรมานตัวเองให้มันรวมลงนั่นอะไรจะเข้ามาในจิตใจนั้น ท่าน สอนให้ดูหัวใจตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้ามันเกิดความรักขึ้นแล้วเราไปรักอะไร มันปัญญาของเรามันก็ต้องคิดวิจารไป ถ้าเรื่องปัญญามันเป็นอย่างนั้นแต่ก่อน ที่มันจะพิจารณาไปอย่างนั้น ท่านให้หัดความสงบเสียก่อนนะให้จิตมันสงบเสีย ก่อน ถ้าจิตไม่สงบอย่าไปคิดเลยนะถ้าจะไปพิจารณามันไม่ได้มันต้องสงบเสียก่อน ความสงบนั้นชนะหมดทั้งโลกถ้าจิตใจไม่สงบมันไม่ชนะหรอก ต้องฝึกอยู่อย่างนั้น แหละจนกว่าจิตใจมันจะสงบ สักหน่อยก็เล่นเงาตัวเองเอา สัญญา(คือความจำ�ได้ หมายรู้) ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เอามาหลอกตัวเอง หัวใจตัวเองนะหลอกตัวเองถ้าไม่รู้ จักกลอุบายของมันแล้วจับมันไม่ได้แน่เรื่องพวกนี้ ต้องแก้ไขตัวเองอยู่อย่างนั้นพอ แก้ตัวเองจนมันเกิดความเคยชินแล้ว มันก็คิดไปทางใหม่เรื่องใหม่เหมือนกันกับ เด็กน้อย พอเอาของเล่นให้เด็กน้อยเขาก็เล่นอยู่อย่างนั้นเล่นจนพัง พอเราจะเอา 55


ทิ้งก็ไม่ยอมก็พังที่ใหม่ไปเรื่อย จิตของเราก็เหมือนกันนั่นแหละถ้าได้พิจารณาอะไร ก็จะพิจารณาอยู่นั่นแหละ แต่ถ้ามันรู้เท่าทันแล้วมันก็จะปล่อยวางแล้วมันก็ไป ทางใหม่ ถ้าพิจารณากายก็เหมือนกันโดยมากก็ไม่ได้ให้ไปพิจารณากายที่ไหน สติ ปัฏฐานนั่นแหละคือสนามรบพระพุทธเจ้าท่านรบมาหมดแล้ว ครูบาอาจารย์ท่าน เข้าสติปัฏฐาน ๔ ก็ลงมากายนี้ สติปัฏฐาน ๔ ก็มี กาย เวทนา จิต ธรรม เท่านั้น ๑. กาย (กายานุปัสสนา คือสติกำ�หนดพิจารณากายเป็นอารมณ์ว่า กายนี้สักว่า กาย ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา) ๒. เวทนา (เวทนานุปัสสนา คือสติกำ�หนดพิจารณาเวทนา คือ สุข ทุกข์ และไม่ สุขไม่ทุกข์ เป็นอารมณ์ว่า เวทนานี้ก็สักว่าเวทนา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา) ๓. จิต (จิตตานุปัสสนา คือสติกำ�หนดพิจารณาใจที่เศร้าหมอง หรือผ่องแผ้ว เป็น อารมณ์ว่าใจนี้ก็สักว่าใจ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา) ๔. ธรรม (ธัมมานุปัสสนา คือสติกำ�หนดพิจารณาธรรมที่เป็นกุศลหรืออกุศล ที่ บังเกิดกับใจเป็นอารมณ์ว่า ธรรมนี้ก็สักว่าธรรม ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัว ตน เรา เขา) สติปัฏฐาน ๔ ก็มี กาย เวทนา จิต ธรรม เท่านั้น ถ้ารวมกันจริงๆ แล้ว จะไปเอามาจากไหนท่านก็แยกออกไปจากนี่แหละ เขาจะไปแต่งจรวดดาวเทียม เขาก็ออกไปจากนี่หมดนะจะไปทางโลก เขามีแต่เอาธรรมของพระองค์เจ้าไปใช้ นะสมัยนี้มีแต่เอาธรรมของพระองค์เจ้าไปใช้หมด เหมือนศาสนาอื่นก็เหมือนกัน ต้องยกเอาศาสนาของพระพุทธเจ้าไปแล้วก็เอาไปเป็นของเขาไปหมด ให้พาตัวเอง เร่งความพากความเพียรเถอะถ้าเอาจริงๆ แล้ว คืนเดียวก็น่าจะจับหลักได้แล้วขอ ให้เร่งความเพียรดูซิ คืนนี้นั่งตลอดทั้งคืนดูซิถ้าไม่สู้ก่อนไม่เห็นหรอกแต่นี่ไปเห็นที ไรมีแต่นอนหลับ ถ้าเป็นแล้วมันจะเป็นไปเองหรอกธรรมของพระองค์เจ้า ถ้าได้ ลงมือทำ�จริงๆ แล้วมันไม่ได้ไปสนใจกับใครหรอก ดูหมู่พวกที่เห็นอยู่พอได้พบปะ 56


กันแล้วทั้งมือทั้งเท้าตบนั่นตบนี่กันด้วย คล้ายทักทายกันด้วยนะไม่รู้ทำ�ไมนิสัยถึง เป็นอย่างนี้ ผู้ที่รู้ธรรมเห็นธรรมเขาพูดจริงทำ�จริงนะพูดอะไรเป็นความจริงหมด ท่านไม่พูดเล่นนะผู้ที่จะรักษาศาสนาให้เจริญรุ่งเรือง พูดตลกเฮฮามันเป็นทาง โลกไปหมดเรื่องธรรมไม่มี พอหยอกกันสักหน่อยก็ทะเลาะกันเรื่องกิเลสมันเป็น อย่างนั้นนะ สักหน่อยก็อวดมั่งอวดมีกันว่าเป็นคนตระกูลนั้นตระกูลนี้ก็ยกกันขึ้น มันเป็นอยู่อย่างนั้น นี่แหละไม่ยอมดูคนที่เขามาขอทานเรานะวันไหนมาก็ถือขัน เหล็กไปขอทาน แล้วดูตระกูลตัวเองสิเราเป็นเพศบรรพชิตแล้วในตำ�ราเขาก็เขียน ไว้สอนหมดแล้ว ให้พากันเร่งความพากความเพียรนะสักหน่อยก็จะออกพรรษา แล้วนะ ออกพรรษาแล้วมันไม่แน่นอนนะการไปการอยู่ทุกวันนี้ มันไม่มีแล้วนะ จะไปวิเวกเหมือนครูบาอาจารย์ที่ท่านพาดำ�เนินแบบเก่า สมัยนี้ถ้าได้ไปก็ไปตาม สำ�นักต่างๆจะไปหาภูหาเขาเหมือนแต่ก่อนไม่มีหรอก ความกลัวมันก็มีเหมือนเก่า นั้นแหละแต่ก่อนมีช้างมันก็ทรมานช่วย เสือมันก็ทรมานช่วยจิตมันก็เลยไม่ออก จากกายเพราะมันกลัวตายนะ เรื่องอย่างนี้มันต้องสู้ก่อนนะมันต้องผ่านเรื่องอย่าง นี้ก่อน เหมือนพ่อแม่ครูจารย์ท่านให้ไปภูหลวงท่านให้ผมพาหมู่พวกไป ท่านว่าจะ จัดพระให้เดือนละ ๕ องค์ให้ไปให้ช้างให้เสือมันทรมานช่วย เพราะหมู่พวกภาวนา จิตไม่รวมกันได้สักทีถ้าไปแล้วยังไม่เป็นอีกถึงว่ากัน ไปถามตอนไหนเจ้าหน้าที่เขา ก็ว่ากระทรวงไม่ได้สั่งมาเห็นกระทรวงเขาว่าจะให้ท่านแล้ว พอไปถามเจ้าหน้าที่ อนุรักษ์เขาก็ว่ายังไม่ได้สั่งมาพอถามบ่อยเข้า เขาก็ว่าผมก็ถือศาสนาเหมือนกันถ้า ผมจะทำ�ลงไปก็ไม่ได้เพราะ ผมก็เป็นผู้น้อยมีขอบเขตการทำ�งานจำ�กัดถ้าผู้ใหญ่สั่ง มาแล้วผมก็ทำ�ให้ได้เลย ถ้าพระจะไปอยู่เป็นกระต๊อบหัวหน้าเขาก็จัดให้ไปอยู่วิเวก ได้ แต่ถ้าจะไปทำ�เป็นวัดเป็นวาอย่างถาวรนั้นผมต้องให้ผู้ใหญ่ เขามีจดหมายมา หาผมหรือสั่งมาหาผมผมถึงสามารถทำ�ได้ แต่ถ้าจะทำ�เป็นกระต๊อบมุงหญ้านี้ผม สามารถทำ�ให้ได้ แต่นี้ท่านว่าจะเอาเป็นแบบไปซื้อไม้อยู่โรงเลื่อยมาแล้วทำ�กุฏิมุง กระเบื้อง ท่านจะเอาไปเป็นศาลาแล้วก็ทำ�ห้องสักห้องหนึ่ง ศาลานั้นก็ประมาณ 57


๖ เมตรมณฑลนะ ถ้าเกิดพระยังไม่ได้ไปหรือยังไม่มาก็เอาห้องนั้นไว้เก็บของล็อค กุญแจไว้ ท่านไม่ได้ว่าจะเอาไปทำ�เป็นวัดหรอกท่านให้ไปเก็บของไว้ เรื่องอาหาร การกินผมจะไปเลี้ยงให้หมดให้ถึงเจ้าหน้าที่อนุรักษ์นู่นไปแล้วถึงว่ากัน แต่เดี๋ยวนี้ ก็ไปได้แล้วนะเห็นว่ามาขอพ่อแม่ครูจารย์แล้ว เดี๋ยวนี้ก็มีหมู่พวกอยู่ที่นั่นก็น่าจะ ดีขึ้นมากแล้วนะเพราะไม่เห็นหมู่พวกมาหากันสักที แต่ถนนหนทางที่ใช้สัญจรไป ไม่ได้และฝนก็ตกมากก็เลยไม่ได้ไปหากัน แต่ว่ามันสงบเป็นธรรมชาตินะและถนน หนทางที่ใช้เดินทางไปมาหาสู่กันนั้น มันก็ไปมาลำ�บากมากนะถ้ามาได้ก็มากันแล้ว ทางมันคงเข้ามาไม่ได้ อยู่นั่นก็สบายนะเสือรอยเท้ามันเท่าโคนะมันมาหาช้างก็มา หา ถึงมามันก็กลัวไฟนะกดไฟฉายส่องไปหามันมันก็กลัวเราเหมือนกัน ไปอยู่ที่ นั่นพระท่านกลัวนะช้างมันมาหาตั้งสี่ตัวพระท่านก็เลยขึ้นก้อนหิน ช้างมันก็ยืนตัว ติดก้อนหินช้างมันก็ทำ�เหมือนมันโมโหพ่นลม ออกจากงวงสูบฉีดอยู่อย่างนั้นแล้ว มันก็ไปมันเป็นอย่างนั้นนะ ครูบาอาจารย์ท่านต้องสู้มาทุกอย่างนะอย่างพ่อแม่ครู จารย์ท่านทำ�นิ่งๆ นะ แต่ก่อนเสือมันมากนะพอมามันก็ร้องคำ�รามมาตอนนั้นท่าน กำ�ลังเดินจงกรมอยู่นะ เสือมันก็ร้องคำ�รามใกล้เข้ามาทุกทีๆ ความกลัวมันจนจะ ทำ�ให้เราวิ่งหนีขึ้นกุฏิแล้ว ความคิดเกิดขึ้นเป็นพระกรรมฐานจะไปกลัวตายอะไร กันขนาดนั้นมันเหลือเกิน เลยพูดกับตัวเองว่ามึงจะขึ้นกุฏิหรือจะไปหาเสือถ้ามึง กลัวตายมึงจะพ้นทุกข์หรือ ถ้ากลัวขนาดนี่ก็ให้ไปหาเสือท่านว่าเอาให้ตัดสินใจ ใจ หนึ่งก็จะขึ้นกุฏิอีกใจหนึ่งก็จะไปหาเสือพอทะเลาะกันเข้าก็ไปหาเสือเลย พอไปหา เสือมันก็ไปทางใหม่แล้ว

ba

58



ดูแต่ตำ�ราไม่ดูใจตนเอง(เรื่องภพชาติ) เข้าใจหรือเปล่าละโยมเรื่องจำ�ชาติได้ถ้าไม่เชื่อก็ลองทำ�ดูซิ ภาวนาเข้าไป บริกรรมพุทโธให้อยู่กับพุทโธจิตมันถึงจะไม่ค่อยฟุ้งซ่าน ถ้าไม่ลงมือทำ�มันอย่าง จริงจังแล้วมันก็ไม่เห็นนะเรื่องพวกนี้ ถ้ามีแต่จะดูจากหนังสือจากตำ�ราแต่ว่าจิตใจ ของเรานั้นไม่ได้ปฏิบัติก็เท่านั้น ถ้ามันไม่เกิดขึ้นจากใจตัวเราเองแล้วมันก็เกิดแต่ ความโลเลอยู่อย่างนั้นแหละ พระพุทธเจ้าท่านภาวนานะท่านนั่งอยู่ต้นโพธิ์จน ได้ตรัสรู้ ศาสนาเกิดจากการภาวนาเกิดจากความพากความเพียรนะ ฝนตอน นี้ดูแล้วทางที่เราอยู่ฝนคงไม่ตกคงไปตกทางจังหวัดหนองคายแล้ว ทางจังหวัด กาฬสินธุ์เห็นว่าแล้งมากนะข้าวร่วงหล่นจากต้นหมดแล้ว แม่ออกที่นี่มันสงบดีนะ แม่ออกภาวนาหรือเปล่า ไปแล้วก็มีแต่ไปคุยกันนะนอนกุฏิเดียวกัน กุฏิว่างอยู่ ทางนี้นะมีตั้งสี่หลังยังไม่มีใครมานอนเลย มีแต่ไปนอนกองรวมกันอยู่แต่กุฏิหลัง ใหญ่นั่นแหละ เราต้องฝึกหัดเอาเองนะพอมันชินงานแล้วมันก็สบาย ถ้าไม่เคยชิน มันก็ลำ�บากช่วงแรกเท่านั้นแหละ ส่วนมากมีแต่หัวใจตัวเองหลอกตัวเองอยู่อย่าง นั้นนะ มีตุ๊กแกไต่ขาเฉยๆ ก็ว่าผีหลอกแล้วมันหลอกตัวเองอยู่อย่างนั้น ก็ชอบ กันจริงนะหลอกตัวเองแต่ถ้าคนอื่นหลอกนะโกรธแต่ถ้าตัวเองหลอกชอบ ครูบา อาจารย์ท่านภาวนาท่านเอาแต่พุทโธนะไม่ให้จิตส่งออกภายนอก ผีหลอกก็ไม่มี 60


เสือก็ไม่มีเพราะจิตอยู่กับพุทโธนะไม่มีอารมณ์มาปรุงแต่งไปต่างๆ นาๆ อีก ถึง มันจะมีเสียงร้องของสัตว์ที่น่ากลัวอย่างไรก็ตามถึงหูจะได้ยินเสียงต่างๆ แต่ใจ นั้นอยู่กับพุทโธแล้วใจก็ไม่ส่งออกไปภายนอกก็ไม่มีความกลัวนะก็ฝึกหัดเข้าไปดู ซิ ตั้งแต่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ขาวท่านอายุมากแล้วท่านก็ยังพาไปนะ ตั้งแต่อยู่ถ้ำ� กลองเพลสมัยนู่นออกจากกุฏิไปหาอยู่กับก้อนหินนะ แต่ก่อนไปก็ไปอยู่แถวเจดีย์ ของท่านนะพากันไปอยู่ตีสามตีสี่ก็ลงมาวัดแล้ว นั่งอยู่ก้อนหินใครก้อนหินมันแต่ ก่อนมันไม่สนใจนะว่ายุงจะกัด มิน่าล่ะถึงเป็นไข้มาลาเรียอยู่บ่อยๆ แต่มันก็ใจสู้ นะกำ�ลังใจมันเข้มแข็ง ความอดทนสูงถ้าได้นั่งแล้วก็เป็นหัวตอเลยแหละ ถ้าจิต มันสงบได้แล้วความเจ็บความปวดมันไม่มีหรอก ถ้าพวกเรานี้ไม่ภาวนาความสุข นั้นก็มีแต่การนอนหลับเท่านั้น ความเจ็บความปวดไม่มีมีแต่ความฝันก็ฝันเรื่อง นั้นเรื่องนี้ วันไหนไม่ฝันก็นอนหลับสนิทจนไม่รู้เรื่องแต่ตัวรู้ก็รู้อยู่อย่างนั้นนะ ผู้ ที่กำ�ลังจะเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาตินั้นถ้าเกิดมี อุปทาน(คือความยึดมั่นถือมั่น) ก็ไป อยู่ที่นั่นแหละ ก็ไปอยู่กับลูกไปเกิดกับลูกตัวเองอีกเปลี่ยนกันเป็นลูกเป็นพ่อเป็น แม่อยู่อย่างนั้นแหละ อุปทานตัวนี้มันทำ�ให้ไม่ออกไปจากนี้ใครจะไม่รักตระกูลตัว เองไม่มีหรอก ติดตระกูลอยู่อย่างนั้นแหละติดว่าหลานกูว่าลูกกูอยู่อย่างนั้นเพราะ อุปทานตัวนี้แหละ เพราะเคยเป็นพ่อเป็นแม่กันมาก็ด่าอยู่อย่างนั้นแหละลูกหลาน เพราะสับเปลี่ยนกันเลี้ยงกันอยู่อย่างนั้นถ้าทำ�อกุศลเล็กๆ น้อยๆ ไว้ก็ยังดีอยู่ ถ้า ทำ�บาปไว้มากก็ไปเป็นสัตว์เดรัจฉานเป็นควายเป็นวัวให้เขาใช้งานอยู่นั้นแหละ ให้ พากันเร่งความพากความเพียรนะถ้าอยากเห็น พอเถอะเลิกกันไปหาภาวนาของ ใครของมันทำ�ใครทำ�มันนะไม่ทำ�ก็ไม่ได้นะ

ba 61



สอนพระให้เป็นพระ คนไม่ภาวนาจะไปเข้าใจที่พระท่านพูดได้ยังไง ที่พระท่านพูดนั้นจิตใจ ของท่านเป็นภาวนานะ แต่ที่เห็นอยู่นั้นมีแต่จมอยู่กับสิ่งสกปรกนะ และกิเลสก็ เต็มจิตใจแล้วก็เลยมีแต่พูดว่าให้แต่คนอื่นเขา พระท่านพูดเรื่องจิตละเอียดเป็น เรื่องที่เข้าใจยากนะถ้าผู้ฟังเป็นคนที่ไม่ภาวนา แต่ถ้าเป็นผู้ที่ภาวนาอยู่แล้วก็จะ เข้าใจง่ายและเป็นเร็วขึ้นเข้าใจมากขึ้น เดี๋ยวนี้พ่อแม่ครูจารย์ท่านเทศน์ช้าลงมาก นะแต่ก่อนตั้งแต่ พ.ศ. 2504-2505 ฟังท่านเทศน์หายใจแทบไม่ทันนะธรรมะที่ เทศน์สมัยนั้น สมัยนั้นไม่มีเทปที่บันทึกเอาไว้เหมือนปัจจุบันนี้นะ แต่ก่อนอยู่บ้าน ห้วยทรายก็เหมือนกันยังไม่มีเทปที่ใช้บันทึกนะ ตอนอยู่บ้านห้วยทรายท่านก็ไม่ ค่อยเทศน์ให้ญาติโยมฟังนะ อยู่นั่นเหมือนไม่มีวันพระนะเพราะญาติโยมเขาไม่ ได้มาวัดกัน แต่ท่านก็เทศน์ให้พระฟังมากนะท่านว่าเทศน์สั่งสอนพระให้เป็นพระ สักองค์หนึ่ง ท่านว่าอานิสงส์ไม่มีประมาณนะหลวงปู่มั่นท่านว่าอย่างนั้น เพราะ พระต้องออกไปสั่งสอนประชาชนอีกออกไปสั่งสอนพระด้วยกันต่อไปอีก อย่าง หลวงปู่มั่นหลวงปู่ขาวท่านเทศน์ให้ญาติโยมฟังเท่านี้ว่า “ให้พากันละบาปทำ�บุญ” แล้วท่านก็พูดไปสักประโยคสองประโยคแล้วท่านก็ไปเท่านั้น แต่ถ้าเป็นพระเป็น เณรนะอย่างหลวงปู่มั่นท่านเทศน์ ๔ ชั่วโมงก็ยังเทศน์อยู่นะ เราผู้ฟังก็ไม่มีถอย 63


เหมือนกันจะเป็นอะไรเราก็มีบารมีของเราอยู่นะ ท่านว่าจะฟังไปทำ�ไมญาติโยม ฟังไปแล้วก็เอาไปเก็บไว้ ดูสิฟังแล้วก็เอาไปใส่หม้อข้าวหม้อแกงหมดนะ จะฟังอีก ไหมจะเอาธรรมะหลวงปู่บัวมาพูดให้ฟังนะ ท่านเร่งความเพียรท่านภาวนาตั้งแต่ ท่านเป็นฆราวาสนู่น โดยมากหลวงปู่บัวท่านมีแต่นั่งเป็นส่วนมากนะแต่เดินนั้น ไม่เท่าไหร่ท่านไม่ถนัด เอาล่ะลองเร่งภาวนาตลอดทั้งคืนดูถ้านั่งภาวนามันจะไม่ เกิดจริงๆ หรือความสงบ เราต้องฝึกดวงจิตให้เกิดความสงบแล้วจะทำ�อย่างไรถึง จะสงบ เราต้องเห็นธรรมของพระพุทธเจ้าทำ�ให้เกิดกับใจตัวเอง แล้วธรรมมันจะ เกิดขึ้นเองนะถ้าภาวนาก็ให้ท่องพุทโธพุทโธ พุทโธนั้นก็คล้ายกันกับบันไดที่จะใช้ ขึ้นไปหากุฏินั้นแหละ ก็ต้องมีราวจับถ้าไม่มีราวจับเวลาขึ้นก็อาจเซคะมำ�ได้ ถ้า จิตมันสงบแล้วมันจะปล่อยวางเองหรอก เหมือนกันกับเราขึ้นกุฏินั่นแหละถ้าเรา มีความประสงค์ขึ้นกุฏิแล้ว เราจะไปจับราวบันไดอยู่ทำ�ไมเราก็ต้องปล่อยมือจาก ราวบันได การบริกรรมก็เปรียบเหมือนบันไดที่มีราวจับนั่นแหละ เราต้องใช้เพื่อ อาศัยขึ้นกุฏิเท่านั้นถ้าเราประสงค์จะขึ้นไปกุฏิแล้ว เราจะไปยืนจับราวบันไดอยู่ ทำ�ไมในเมื่อความประสงค์ของเรานั้น ต้องการจะขึ้นไปกุฏิเราก็เพียงแค่อาศัย บันไดกับราวจับเพื่อเป็นทางผ่านขึ้นไปเท่านั้นเอง ที่ให้บริกรรมพุทโธก็เพื่อไม่ให้ จิตวิ่งไปตามอารมณ์ต่างๆ ถึงให้บริกรรมพุทโธไว้ ถ้ามีพุทโธแล้วเสือก็ไม่กลัวผีก็ไม่ กลัวไม่มีสิ่งที่กลัวเลย เพราะจิตไม่ได้ส่งออกไปภายนอกเลยให้อยู่แต่ภายในให้อยู่ กับพุทโธ แต่ที่ทำ�ให้เรากลัวก็เพราะจิตเราคิดไปหาผีหาสิ่งที่เรากลัวที่นั่นที่นี่ก็เลย กลัว บางครั้งตุ๊กแกปีนขึ้นขาก็ว่าเป็นผีแล้วหลอกตัวเองไปเลย คิดอะไรเห็นอะไร เป็นผีไปหมดเลยเพราะใจไม่มีพุทโธนะ ถ้าใจมีพุทโธแล้วไม่กลัวอะไรนะทั้งความ เจ็บความตายถ้ามีพุทโธแล้วหายไปหมด เอาซิลองดูให้จิตจดจ่ออยู่กับพุทโธดูสิแต่ นี่ไม่รู้อะไร ถ้านั่งภาวนาเข้าไปแล้วมีแต่ความอยากเห็นสวรรค์เห็นนิพพานไปนู่น แต่หัวใจตัวเองกลับไม่เห็นสักทีมันต้องเห็นในหัวใจตัวเองเสียก่อน ถ้าไม่เห็นกิเลส ที่อยู่ในจิตใจตัวเองแล้วไม่เห็นหรอก จิตใจของเราไปกับสิ่งใดให้สังเกตดูตัวเอง 64


การปฏิบัตินั้นมันต้องสังเกตหมดนั้นแหละ ไม่ว่าจะกินมากจะนอนมากหรือเดิน มากแล้วนั่งตอนนั้นมันเป็นอย่างนั้น นั่งตอนนี้เป็นอย่างนี้ต้องสังเกตตัวเองนะถึง จะจับหลักได้ จิตของเราสามารถประยุกต์หรือสามารถปรับตัวเองได้แต่บางครั้ง ตัวเราไม่รู้ก็มี พอจิตของเรามันละเอียดมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงจะรู้ก็มี การฝึกหัดใหม่ๆ ก็เหมือนเขาฝึกหัดวัวหัดควายนั่นแหละ เขาใส่แอกใส่ไถกว่าจะเป็นมันก็ยากเหลือ เกินแหละ การฝึกของเราก็เหมือนกันนั่นแหละเพราะเป็นทางที่เราไม่เคยเดินนะ เหมือนกับเราเข้าเรียนใหม่ๆ นั้นแหละหัดเขียนตัวหนังสือ ถึงขนาดที่ครูต้องมาจับ มือพาเขียนเพราะเราเขียนไม่เป็น แต่พอเรียนจนเข้าใจถึงใจแล้วเขียนเป็นหมดนั้น แหละ แต่ขนาดหลับตาแล้วก็ยังเขียนได้เพราะมันเข้าถึงใจ ถ้าเข้าถึงใจแล้วสระ ตัวนั้นผสมกับตัวนั้นเขียนไปได้หมดเพราะมันเข้าถึงใจแล้ว นี้ก็เหมือนกันนะการ ภาวนาไม่ได้ต่างอะไรกัน ท่านเทศน์สองกัณฑ์ก็ชัดเจนแล้วนะพ่อแม่ครูจารย์ท่าน เทศน์ละเอียดนะธรรมะของท่าน อย่างหลวงปู่บัวหลวงปู่ขาวตั้งแต่เคยไปท่อง เที่ยวด้วยกันกับท่านท่านเก่งนะ และมีอาจารย์อีกหลายองค์เก่งนะเรื่องภาวนา ไปจำ�พรรษาด้วยกันกับท่านอยู่ถ้ำ�กลองเพลท่านไม่ได้นอนนะ ท่านนั่งภาวนาเดิน จงกรมท่านสู้จริงๆ ท่านไม่กลัวความตายนะ ท่านทิ้งตายนะถึงจะได้ความเพียรถึง จะได้ธรรมเกิดขึ้น เอาเลิกกันเท่านี้แหละ

ba

65



ฝึกตนเองเป็นสิ่งสำ�คัญ อีกเดือนเดียวนะออกพรรษา มีแต่ความมืดกับความสว่างเท่านั้น ความ จริงมีเท่านั้นนะ นอกนั้นมีแต่เรื่องที่สมมติขึ้นมาหมด คิดไปคิดมาดูซิมันหลง สมมติอยู่อย่างนั้น หลงรักหลงชังหลงดีหลงชั่วอยู่นั่นแหละ ให้พากันเร่งความ เพียรนะอีกไม่นานก็ออกพรรษาแล้ว ออกพรรษาแล้วก็จะมีการงานมากนะเดี๋ยว เรื่องนั้นเรื่องนี้ ท่านครูจารย์เพ็งก็นิมนต์อยากให้ไป ท่านจะฉลองวันเกิดท่าน พร้อมกันเลยนะ จะไปยังไงได้มันเป็นวันเดียวกัน ใครจะไปก็ได้นะไปฉลอง แต่ นี้ไปไม่ได้นะเพราะวัดติดกิจนิมนต์เขานิมนต์หมดวัดนะ ธุระมากจริง ๆ นะสมัยนี้ ไม่เหมือน ครั้งหลวงปู่ใหญ่มั่นที่ท่านพากันดำ�เนินมา อยู่ที่นั้นมันไม่มีนะ ตั้งแต่ พ.ศ.2520 ขึ้นมานี้เปลี่ยนแปลงไปหมด ถ้าจะประกอบความพากความเพียรก็ มีเรื่องนั้นเรื่องนี้ งานมันหลายอย่างวิธีมันมาก ผู้ที่จะประกอบความพากความ เพียรมันต้องจับ มีสติกำ�กับจิตอยู่อย่างนั้นไม่ให้ออก ใจนี่แหละที่จะรู้ ใจนี้แหละ จะเป็นศีล เป็นสมาธิก็ใจตัวนี้ ปัญญาก็ใจตัวนี้ จะไปเอาอะไรมาอีก ให้จดจ่อ อยู่อย่างนั้น ถ้าใจมันคิดไปเรื่องไม่ดีดึงมันคืนมา ฝึกอยู่อย่างนั้นแหละ แต่เขาฝึก ช้างเพื่อเอามาใช้งานเขายังฝึกได้ ขนาดมันอยู่ป่าอยู่ดงนะ ฝึกวัวฝึกควายก็ยังฝึก ได้ แต่ฝึกตัวเราเองนี่แหละสำ�คัญ พระพุทธเจ้าท่านฝึกฝนตนเองมาจนเต็มที่แล้ว 67


ท่านถึงได้มาประกาศศาสนา ว่าท่านได้ตรัสรู้ที่นั่นที่นี่ท่านถึงได้มาประกาศศาสนา ท่านถึงได้มาสั่งสอน ๆ กันตลอดมาจนถึงพวกเรา ศาสนาท่านวางข้อกำ�หนด ระเบียบแบบแผนไว้แล้ว ตั้งแต่เรายังไม่เกิดเป็นยุค ๆ มาตลอด ของจริงมันไม่ ศูนย์หายไปไหนนะ มีแต่พวกเรานี่แหละที่กลับกลอกหลอกลวงตัวเราเอง หลอก นั่นหลอกนี่มีแต่เรื่องกิเลสเอาไปกินหมด เอาซิเดินจงกรมเข้าไปพอเหนื่อยหน่อยก็ เอาแล้ว ตัวเราเองหลอกตัวเราเองกิเลสมันกล่อมให้เราเชื่อ เดี๋ยวก็เรื่องนั้นเรื่อง นี้กิเลสมันกล่อมอยู่อย่างนั้น ถ้ามีกิเลสไม่เห็นธรรมนะ ไม่เห็นอะไรถ้าไม่ปลดมัน ออกจริงๆ อย่างครูบาอาจารย์ท่านทำ�มาท่านไม่ได้ทำ�เล่น ๆ นะ แต่นี้เข้าไปแล้ว เห็นหมู่พวกเหมือนกับนกเอี้ยงนะ มีแต่หยอกเล่นกันนะค่ำ�มืดก็เห็นกันเป็นอย่าง นั้นนะ ทำ�อย่างไรถึงจะเห็น มีแต่มาบวชสนุกเฮฮาเท่านั้นเอง ถ้ากินไม่เป็นก็เป็น หนี้เป็นสินเขานะ ไปเป็นควายตู้ให้เขาเอาไปไถนานั่นแหละ ทางเข้าวัดเราโยม เขามาใส่บาตร โยมเขาหวังเอาบุญหวังปลูกผลนะ เขาไม่ได้หวังอะไรนะ ไม่เห็น หรือไงเวลาเขาปรารถนาก่อนเขาจะยกข้าวใส่บาตรเรา ถ้าเรากินไม่เป็นก็เท่ากับ เรากินไฟเข้าไป มันเผาเราอยู่อย่างนั้นแหละ นี่คือการเบียดเบียนตัวเราเองไม่ได้ เบียดเบียนคนอื่นเป็นการเบียดเบียนตัวเราเอง สิ่งที่กลับกลอกแบบนั้นให้สังเกตดู ให้ดี ถ้าสังเกตตัวนี้ได้แล้วก็จับหลักได้แล้ว ถ้าไม่สังเกตตัวนี้ก็ยังจับหลักไม่ได้ แต่ จิตใจยังเป็นไปอยู่พอสบายอยู่ แต่ตัวกิเลสนี่ซิมันกวนอยู่นิดหน่อยเดี๋ยวก็ทุกข์ขึ้น มาแล้ว ให้สังเกตดูนั่งดูแอบดูพิจารณาดู มันจะโพล่ทันทีขึ้นมาเองเลยนั่งให้มัน นิ่ง ๆ ดูนะ แต่นี่นั่งได้ไม่นานก็นอนเท่านั้นเอง ถ้าไม่นอนก็ไปหาหมู่พวกเท่านั้น เอง นั่นสมาธิเป็นอย่างนี้อยู่กับหมู่พวกไม่ได้ เราไม่รู้ว่าหมู่พวกพอใจหรือไม่พอใจ ที่เราไปหา ก็ไม่รู้จักที่จะคิดนะ ว่าที่เราไปหาจะพอใจหรือไม่พอใจ ถ้ามาหาแล้ว ไม่พูดก็กลัวผิดใจหมู่พวกที่มาเดี๋ยวจะหาว่าถือตัวนะ เป็นไปอย่างนั้นนะเรื่องของ ใจมันเป็นอย่างนั้น ให้สังเกตตัวเองอยู่อย่างนั้น อะไรที่มันไม่ดีก็แก้ไขมันแก้ไขมัน อยู่อย่างนั้น แก้ไขไปไม่ยอมหยุดแก้ไปมันก็หมดเท่านั้นเอง ความแก่ความเจ็บ 68


ความตายมันก็บีบคั้นอยู่อย่างนั้นนะ บีบอยู่อย่างนั้นนะสังขารตัวนี้ถ้าไม่เปลี่ยน อิริยาบถอย่างสม่ำ�เสมอนะ ให้พิจารณาความตายเมื่อเราพิจารณาประกอบกัน เข้า จิตมันก็จะอ่อนลง ๆ จิตมันจะไม่แข็งกระด้าง แต่นี่กับไม่สนใจ แต่กับไป สนใจแต่เรื่องที่มันทำ�ให้เพลิดเพลินสนุกสนาน พอหยอกล้อกันแล้วก็ทะเลาะกัน เท่านั้นไม่มีอะไร มันกลายเป็นทางโลกไปเลยไม่ใช่ทางธรรม นักบวชต้องทำ�อะไร พอเสร็จกิจวัตรแล้วทันทีต้องไปหาทางความสงบ เดินจงกรมภาวนาอยู่คนเดียว อย่างนั้นแหละ ครูบาอาจารย์ท่านได้มาสั่งสอนพวกเราเป็นอย่างนั้นนะ ตั้งแต่ พระพุทธเจ้านั่นแหละเป็นต้นมา ทั้งศาสนามีแต่ฝึกความสงบนะ ขอให้เร่งฝึก แต่ครั้งพุทธกาลพอเข้าพรรษานี้ก็ตั้งใจกันแล้ว พากันตั้งสัจจะผูกมัดจิตใจเอาไว้ คิดว่าจะให้ได้ตรัสรู้ก่อนออกพรรษาอย่างนั้นอย่างนี้นี่แหละ ครูบาอาจารย์ท่าน บอก อย่างพ่อแม่ครูจารย์เนตรท่านเร่งความเพียร ท่านไม่นอนนะตอนกลางคืน อย่างอาจารย์เชอร์รี่ไม่นอนนะตอนกลางคืน แต่ตอนกลางวันนอนตอนกลางคืน ทำ�ความเพียรทั้งคืน ท่านไม่นั่งท่านก็เดิน เหมือนท่านหยุดสท็อพ(stop)เอาไว้นั่ง ก็สั่งนั่งอยู่นั้น ตอนกลางวันท่านว่ามีแต่คนพลุกพล่านคนมาก ท่านเข้าในห้องอยู่ อย่างสงบไม่เปิดห้องนะ ท่านเร่งความเพียรไม่เห็นท่านง่าย ๆ นะ ท่านประกอบ ความพากความเพียรไม่สุงสิงกับใคร จะเห็นท่านก็แต่ตอนท่านออกไปฉันกับหมู่ พวกแล้ว จิตใจท่านออกไปทางการงานที่ทำ�จริง ๆ นะ เราถามอะไรท่านๆ ไม่รู้ เรื่องนะ ท่านเห็นแกธรรมขนาดนั้นนะ ท่านเป็นคนไม่ถือเนื้อถือตัวอะไร เอาวัน นี้เลิกกันปวดหัวไปภาวนาก่อน

ba

69



เวลา ๒๔ ชั่วโมงให้อยู่กับพุทโธ ท่านอาจารย์วันชัย ก็รู้ว่าทำ�เลหาอยู่หากินเขามันแล้งเหมือนเดิม ต่อไป ต่อไปฝนปีนี้ก็ยังไม่ทันตกตั้งแต่ออกพรรษามา ทีแรกว่าจะถึงเดือนสี่แล้วไปหาเดิน จงกรม อยู่ในป่าในเขานู่นฉันน้ำ�ร้อนถึงค่อยลงมา ความเพียรตัวเองต้องทำ�เอา เองจิตใจจะรักษาผู้เป็นเจ้าของ ใครจะไปรักษาให้ถ้า-ไม่ใช่ตัวเองทำ�เอาเอง ถ้า ได้ยินได้ฟังก็เอาไปพิจารณาเอาไปดัดจิตดัดใจเจ้าของ ถ้าจะไปฟังคำ�พูดเฉย ๆ ใน ตำ�รานั้นมีมากมายพระไตรปิฎกเอามาอ่านดูซิ ยังกับนกขุนทองนะเรื่องความจำ� เท่านั้นแหละแต่จิตใจของเราไม่เห็นนะ เพราะไม่ได้ปฏิบัติมันก็ไม่เกิดนะ กิเลสก็ ไม่รู้จักว่าเป็นกิเลส เณร นั่นก็ให้ไปก็ไม่สนใจอะไรเราเลยวิ่งไปกินข้าวกับเขา ฝ่าย ปริยัติเขาไม่มีเวลาโอ๊ยก็เอาไปขายหน้าคราวหน้าไม่เอาไปด้วยแล้ว บอกให้กลับ คืนไปเสียก่อนอยู่ไปก็ไม่ปฏิบัติอะไร หลักธรรมวินัยมันก็มีอยู่ในหนังสือไม่ได้ขาด เอามาเล่นหรือจะให้แต่คนอื่นมาสอนไม่ได้แล้ว มีแต่ตัวเองต้องสอนตัวเองผู้สอน ก็มีแต่โม้ให้ฟังเท่านั้น เทปก็มีมากหนังสือก็มีมาก มาเอาไปดูแล้วก็ไปสอนตัวเอง นี่คนบริสุทธิ์ทำ�แล้วมาเกิดกับตัวเองเลย ให้อยู่กับพุทโธดูซิ ๒๔ ชั่วโมง สติอย่า ให้มันเผลอถ้ามันไม่เกิด แล้วก็ไม่ทำ�สักทีนะพอเข้าพบกันก็เหมือนนกอีเอี้ยง สัก หน่อยก็วิ่งไปทางโลกแล้วก็พอพบกันมีแต่เรื่องโลกเรื่องสงสาร โอ๊ยอยู่กับหลวงปู่ 71


มั่นนี่ถ้าออกไปเที่ยวแล้วท่านมาถาม เรื่องภาวนาไม่ได้เรื่องท่านไม่ให้จำ�พรรษา ด้วยเลย ถ้าออกไปต้องมีอุบายมาพูดให้ท่านฟังนะผู้ที่จะได้อยู่ ถ้าท่านถามแล้ว ไม่ได้เรื่องอะไรท่านไม่ให้อยู่ด้วยนะ ขนาดนั้นนะหลวงปู่มั่นท่านกลั่นกรองขนาด นั้นปฏิปทาท่าน ไปภาวนาต้องได้คำ�มาพูดให้ท่านฟังนะถ้าไม่ได้ อย่าคืนกลับมา เลยถึงคืนมาก็ไม่ได้อยู่ขนาดนั้น เรื่องครูบาอาจารย์ตั้งแต่ท่านเกิด ลูกศิษย์หลวง ปู่มั่นเก่ง องค์ไหนองค์ไหนก็เหมือนกันหมด ทุกวันนี้มันเลยโลเลไปหมดแล้วอย่าง วัดหลวงปู่ชอบ ทุกวันนี้มันไม่มีแล้วเก้าวัดสิบวัดก็จะเป็นปริยัติไปหมดแล้วทุกวัน นี้ สมภารอยู่นู่นเลี้ยงไก่ตีตอนเขาตีไก่กันก็ให้โยมเอาไป อย่าไปทำ�อะไรอย่างนั้น นะ โอ๊ยมีแต่เงินมีแต่หาเงินแทนที่จะเกิดสลดสังเวช ปฏิปทาครูบาอาจารย์สอนไว้ ไม่มีเลย หลวงปู่ชอบตอนมีพระมาอยู่มาก ๆ ก็สมัยท่านเดินไม่ได้ แต่ก่อนไปเอา ข้าวมากินกับท่านสมัยก่อนไม่มีหรอกพระเณรอยู่ด้วยกัน ตั้งแต่ขาของท่านเสีย แม้แต่จะพูดก็พูดไม่ได้ลิ้นท่านแข็ง เหมือนเด็กหัดพูดทำ�อย่างไรละพูดก็ไม่ถึงใจคน อื่น ท่านไม่เสียอะไรอีกแล้วเพราะท่านฝึกของท่านมาได้หมดแล้ว พอเลิกกัน ภาวนาเป็นอะไรยืนขึ้นซิถ้าพาทำ�งานก็ว่าทำ�งานนะไม่สนใจ เวลาแขกมาก็ยืนดู อยู่อย่างนั้นเหมือนเด็กน้อย อยากให้แต่เขาดูถูกดูแคลนส่องดูนั้นส่องดูนี่เหมือน นักเลง นิสัยเป็นอย่างไรพรรษามาก ๆ ไม่มีหรือ เดินมองให้เขาดูถูกดูแคลนผม เห็นหลายครั้งแล้ว ใช้ปัญญามันไม่ได้อยู่อย่างนั้นหรอก มาวิเคราะห์ดูแล้วเหมือน เด็กน้อยดูผู้ใหญ่พูดกัน งานที่เป็นหน้าที่ของตัวเองไม่ดูไม่สนใจดูซิหัวใจตัวเอง ว่า มันไปทางไหนมันไปทางดีหรือไปทางชั่วดูอยู่นั่นนะ ผมว่ามันไม่นานนะถ้าจะสอน ตัวเองจริง ๆ ฟังไปก็ฟังไปเฉย ๆ ฟังไปก็ไม่เอาไปฝึกเรื่องจิตใจตัวเอง มีแต่อยาก ฟังดูสมัยนี้การประกอบความพากความเพียรมันไม่มีนะ มันเป็นเล่นไปหมดมีแต่ สนุกเฮฮา สักหน่อยก็ทะเลาะกันกัดกันเหมือนหมา มันเป็นอย่างนั้นนะวัดขา เดียวมันเป็นอย่างนั้น ว่านักปฏิบัติอย่างไรทำ�ไมมันมีแต่เรื่องอยู่อย่างนั้น ผมก็จะ ตายแล้วทุกวันนี้มีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรับ ลองชั่งใจความเพียรดูซิเดินจงกรมดูซิ ผม 72


ได้ทำ�มาหมดแล้วเดินจงกรมทั้งคืนก็อยากเดิน นั่งจนสว่างก็ได้ทำ�มาหมดแล้ว ไม่ ได้มาทำ�เล่นเหมือนหมู่พวกทำ�อยู่เดี๋ยวนี้นะ หัดครั้งแรกกับพ่อแม่ครูจารย์ท่าน บอกให้มาถามว่า ท่านลีนั่งสมาธิตลอดทั้งคืนจนสว่างได้อยู่หรือ ตัวผมไม่รู้จะพูด อย่างไร มันไม่รู้สึก รู้สึกว่าตัวเองนั่งอยู่แล้วก็ไม่รู้ตัวเองว่านอนตอนไหน ท่านก็เลย หัวเราะท่านเลยว่าไปนั่งอยู่หินก้อนนั้นถ้ามันสั่นไม่มีสติขนาดนั้น ถ้ามันจะลงก็ให้ มันลงทางนั้นหรือลงทางนี้ถ้าไม่มีสติ ท่านก็พูดได้ซิแต่เราทำ�ไม่ได้หรอกใจเรามัน ค้านท่านทันที โอ๊ยมันจะเผลอสติได้หรือเพราะกลัวตายเอาอยู่นั้นดัดมันอยู่อย่าง นั้นนะ นี้เราไม่มีดัดนะมีแต่หมอนดัดอยู่อย่างนั้น ดัดความเห็นผิดของตัวเองนั่งที่ ไรมีแต่จะตายให้ได้ โอ๊ยมันไม่ง่วงนอนจนตายหรอก มีแต่ช้าหรือเร็วเท่านั้นความ ตายก็ตายอยู่อย่างนั้น ตายตั้งแต่เด็กเด็กมาก็ตายมาแล้ว เป็นหนุ่มเป็นสาวแก่ เฒ่ามาก็ตายเป็นยุค ๆ เปลี่ยนแปลงอยู่อย่างนั้นนะสภาพร่างกาย มันจะแตก ต่างอะไรกันหนอเหลือแต่เข้าโลงเท่านั้นถ้าไม่ตายก็ให้มันรู้เท่านั้น แต่พระพุทธเจ้า กิเลสท่านก็มีเหมือนกัน ครูบาอาจารย์ท่านพ้นไปได้ท่านก็มีกิเลสเหมือนกัน เรา ไม่สามารถปิดมันได้หรือ ใจมันปักเข้าไปอย่างนั้นมันต้องเห็นแน่ นี้ไม่รู้อะไรพอได้ พบเจอกันยังกับนกอีเอี้ยงหยอกกันเหมือนฆราวาสท่านว่า แล้วมันจะเกิดความ อัศจรรย์ได้อย่างไรพระพุทธเจ้าท่านเดินทางหนึ่ง สาวกของท่านกลับเดินไปอีก ทางหนึ่งเลิกกันพอแล้ว วันนี้มันอดอาหารอยู่หรือเปล่า สังเกตดูอยู่โดยมากมันนอนตื่นสายนะ ปฏิปทา ให้นอน ๔ ชั่วโมง ๔ ทุ่มไปแล้วให้นอน ตี ๒ ให้ลุกขึ้นมาปฏิบัติจนสว่างเลย ไม่ ฝึกไม่หัดไม่ได้นะ ตัวเองต้องฝึกตัวเองนะ ตัวเองไม่ฝึกเอาเองไม่ได้นะ เลยไม่มี หลักอะไรอยากนอนตอนไหนก็นอนก็เลยไม่มีระเบียบ ตื่นสายก็ไม่ไปบิณฑบาต ว่าภาวนาเก่งซิ อดข่าวก็เพื่ออวดหมู่พวกก็มีนะถือว่ามีกิเลส ไม่ได้จะมาเพื่อ ลดละกิเลสนะ ได้วันเดียวการอดอาหาร การอดอาหารนี้เราก็เคยทำ�มาแล้วไม่ ได้อะไร สมองมันทื่อไปหมดปัญญาไม่มี มันเผามันร้อนอากาศมันร้อนสังเกตตัว 73


เองดูซิ การผ่อนอาหารแค่หกคำ�ก็ได้นะให้กินหกคำ�เท่านั้นแหละ ดัดมันถึงขนาด นั้นนะเรื่องกิเลสถ้าอย่างนั้นไม่ทันกิเลส มันจะเกิดอะไรให้มันเกิดไปเลย มันอยาก นอนมากเราไม่ยอมนอนเดินจงกรมจนเช้าก็มี ไม่เข้ากุฏิอธิษฐานมันอยากนอนดัด มันอย่างนั้นนะดัดตัวเอง ถ้ามันเหนื่อยแล้วจิตมันไม่ออกจากกายหรอกสิ่งไหนที่ มันจะมัดตัวเองได้ มันรักเจ้าของหมดนั้นแหละถ้ามันจวนจะตายจริง ๆ เวลานั่ง ถูกต้องดูซิมันจะคิดไปนั้นไปนี่ไม่ได้ สู้กับเวทนาใหญ่มันถ้าเราไม่สู้ไปถึงที่เก่าเราก็ ล้มลงเท่านั้นแหละ ยอมแพ้มันก็ได้เท่านั้นแหละถ้าไม่ชนะมัน ถ้าชนะตัวเองมัน ไม่กลัวว่าจะแพ้นะแต่ชนะผู้อื่นกับกลัวว่าจะแพ้อยู่อย่างนั้น นี้ไม่รู้อะไรทำ�อะไรก็ กล้า ๆ กลัว ๆ ก็เห็นได้เท่านั้นแหละ บวชมาเท่าไหร่ก็เท่านั้นแหละเดียวมืดเดียว สว่าง อยู่อย่างนั้นแหละปีนั้นเดือนนี้ก็ของเก่านั่นแหละ พระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ก็ มาตรัสรู้เรื่องหลงของเก่านั่นแหละ เปลี่ยนกันอยู่อย่างนั้นวัฏฏะตะเกียกตะกาย อยู่อย่างนั้น วิ่งอยู่อย่างนี้ละวัฏฏะไม่มีคนไหนรอด นี้คนเดียวนะนอนตื่นสายนะ ดูลักษณะ ถ้าแต่ครั้งหลวงปู่มั่นได้ไปอยู่ที่อื่นเท่านั้นแหละ ผู้ใดไปเที่ยวกลับมา ท่านถามภาวนาไม่ได้เรื่องไล่หนีเลย อย่างนั้นแหละลูกศิษย์ท่านมากจริง ๆ นะ หลวงปู่มั่นท่านไม่ให้อยู่เลย มาต้องมีเรื่องมีธรรมะมาพูดให้ท่านฟังนะผู้ใดไปต้อง มีมา นี้อะไรอยู่ก็อยู่อย่างนั้นจะประกอบความพากความเพียร มีแต่นอนมันจะ ได้อะไรแล้วจะไปเห็นอะไร กว่าเขาจะได้เป็นเจ้าเป็นนายเขาดูหนังสือดูซิ เขา กลัวไปสอบไม่ได้นี่เรื่องภายนอก การทำ�ไร่ทำ�นาทำ�รั้วทำ�สวนมาใคร่ครวญดูกับ การค้าขาย มาใคร่ครวญกับเราบวชปัจจุบันนี้ การกระทำ�เป็นอย่างไรเอามาชั่งดู ซิ สั่งสอนตัวเองดูซิมันก็ต้องจับหลักได้แหละ มีแต่เรื่องพอไปสุงสิงกันกับหมู่พวก แล้วก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรสักหน่อยก็ไปแล้ว พอไปก็ไปกระทบเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ ไม่พอใจก็คืนมา ก็เอามาเผาตัวเองมันเป็นอยู่อย่างนั้นจิตใจ เลยไม่เป็นกลางสัก ที แต่ในธรรมจักรท่านก็พูดให้ฟังอยู่นั้นไง ไม่ให้เสพทางสองฝั่ง ฝั่งไหนฝั่งรักฝั่ง ชังไง มาพิจารณาดูซิมันไม่เป็นกลางนะซิ พระพุทธท่านจะได้ตรัสรู้ท่านเป็นกลาง 74


นะใจท่านเป็นกลาง คือกุสะลาธัมมา อะกุสะลาธัมมา อัพยากะตาธัมมา อัพยากะ ตาธัมมานี้ไม่มีรักไม่มีชังนะถ้ามีก็กระทบกันอยู่อย่างนั้นนะ วางใจเป็นแผ่นดินเลย นะมันถึงจะเป็นสัปปายะ(คือความเหมาะสมความเกื้อกูลแก่การบำ�เพ็ญ) จิตมัน ถึงจะรวมได้มันถึงจะเกิดอัศจรรย์ได้ นี้ทำ�อะไรดูกิริยามารยาทมันคิดอยู่อย่างนั้น แล้วมันก็ไม่เกิดประโยชน์พอเลิกกันวันนี้ไปภาวนานะ อากาศมันก็เย็นขึ้นเย็นขึ้นนะฝนตกลงมา วันนี้ญาติโยมก็ยังมีมาอยู่นะ ได้ ไปรับหลวงปู่เจี๊ยะท่านอยากได้ไม้ยางท่านว่ามันสวยมากหรือเป็นอารมณ์ ช่วยพา หมู่พวกไปดูที่หนองบัวบานให้หน่อยจะได้เอามาเพิ่มกัน ท่านว่ามันไม่ตายไม้ยาง ไปหา คิดไปคิดมาตัวก็ได้ไปทำ�กับท่านหน่อยคราวนี้ พ่อแม่ครูจารย์ท่านก็บอกว่า ให้ไปทำ� ผมจะไปดึงเอาท่านเจี๊ยะมาอยู่กับผม ปีนั้นท่านมอบเงินให้ ๑๖๐,๐๐๐ บาท ให้ไปทำ�วัด คุมกันเข้าออกอยู่นู่นพอออกพรรษาแล้วก็ไปเลย ออกไปกัน 20 คนถ้ากุฏิไม่เสร็จ ๒ หลัง ไม่ให้กลับเลยนะดูเขาทำ�ถึงกลางคืนเลย (ถามหลวงปู่ ลี)ว่าจะต้องกล้าไม้เสียก่อนหรือจะเอาเมล็ดมันไปปลูกดี (หลวงปู่ลีตอบว่า)เอามัน ไปเป็นต้นเลยจะเอาเมล็ดมันไปทำ�ไม อันนี้ก็ไปตอนกิ่งเอากับต้นมันนะถึงได้เอา มา ตอนกิ่งกับต้นมันมาได้หลายร้อยอยู่ถึงเอามา ถ้าไม่ได้มากก็ส่งไปเท่านั้นเอง ไม่มาก็ทิ้งไว้ เรื่องเถ้าแก่เป็นเพื่อนเป็นญาติทุกปีช่วงเดือน ๖ จะเข้ามาทำ�บุญทุก ปีได้มาคุมเอาไปเฉย ๆ ก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรไปก็ไป เป็นอย่างไรภาวนามันง่วง ตั้งไว้ อย่างไร เร่งความพากความเพียรนะ ความตายมันจะมาถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ความ พลัดพรากของกันและกันมันเป็นอยู่อย่างนั้น ความพลัดพรากจากสิ่งที่เรารักที่ เราพอใจก็เป็นทุกข์ พอได้มาก็มีสุขมันก็เป็นอยู่อย่างนั้นเดี๋ยวทุกข์เดี๋ยวสุข เดี๋ยว เดียวไปนั่นเดี๋ยวเดียวไปนี่ธุระของมนุษย์นี่มากจริง ๆ ขี่รถมานี่โอ๊ยไม่รู้มีธุระอะไร วิ่งกันถ้าไปตำ�หนิเขาก็ไม่ได้อีก ว่าเขามาทำ�ไมก็ไม่ได้ มันวิ่งอยู่อย่างนั้นนะวัฏฏะ มันพูดกันอยู่นี่ละ เหมือนกันกับความรักความชังเหมือนกัน ไม่มีต้นไม่มีปลาย นะกังวลอยู่อย่างนั้น เกิดภพไหนชาติไหนก็เหมือนเก่า มันหลงของเก่าอยู่อย่าง 75


นั้นแหละ ไม่มีของใหม่สักอย่างนะดินฟ้าอากาศแสงเดือน ความแก่ความเจ็บ ความตายเป็นกันอยู่อย่างนี้วัฏฏะนี้ อยู่ดี ๆ ก็ตายไปสังขารนี้มีแต่ชำ�รุดทรุดโทรม พิจารณาเข้าไปซิ คิดไปคิดมามีแต่หลงผิวหนังกันทั้งนั้น อัตภาพร่างกายนี้ถ้าไม่มี ผิวหนังแล้วผู้ใดจะไปชอบกัน หนังหัวเอาออกไปดูซิเอาหนังออกไปแล้วนอกนั้น มันก็มีแต่เนื้อแดง ๆ แดงโร่หมดแหละ สกปรกเกินกว่ามนุษย์มีเหรอไปอาบน้ำ�ก็ได้ เท่านั้น แล้วจะมาเสกสรรอะไรถ้าพิจารณาธรรมชาติแล้วมันไม่มีที่จะชอบ การ ภาวนาต้องหัด ความสงบเสียก่อน จิตมันสงบแล้วมันก็เป็นสมาธิได้นะ ถ้าไป พิจารณาก็ไปพิจารณากับสัญญานะซิมันเลยไม่เกิดกับใจ ถ้ามันเกิดกับใจแล้วมัน ไม่ลืมหรอก 20 ปี 30 ปี มันก็ไม่ลืม มันเป็นไปภาวนามันเกิดอยู่ที่นั่นที่นี่มันไม่ ลืม ถ้ามันเห็นแล้วมันไม่ใคร่ครวญนะ พอถึงเวลามันใคร่ครวญอยู่อย่างนั้นแหละ แล้วมันไม่ออกไปไหนด้วย อันนี้มันเกิดกับใจนะมันถึงใจ คล้ายเราเรียนหนังสือ นั่นแหละ ที่แรกก็เขียนตัวยาวตัวสั้นหัวยาวหางสั้น ไม่มีความสวยงามเลยพอฝึก เข้าฝึกเข้าก็พอดูได้ บางครั้งครูต้องจับมือเราเขียน นี้ก็เหมือนกันการพิจารณาจะ พิจารณาร่างกาย จากเกศาลงมาถึงพื้นเท้าจากพื้นเท้าขึ้นไปถึงศีรษะดูซิพิจารณา อยู่อย่างนี้ ให้เร่งเข้าดูซิแล้วค่อยพิจารณาเอาปัญญาอบรมสมาธิ พ่อแม่ครูจาร ย์ท่านได้แต่งได้เตรียมไว้หมดแล้ว เหตุผลมันลงกันไปหน่อยจิตมันรวมปุ๊บลงได้ เหมือนกัน ให้พากันเร่งความพากความเพียรเดินจงกรมภาวนา โอ๊ยบนภูบนเขา นู่นฉันจังหันแล้วเดินอยู่นั้นแหละ ตั้งใจทำ�จริง ๆ ถ้าไม่ตั้งใจทำ�จริง ๆ ไม่เห็นอะไร หรอก ไม่ว่าทางโลกทางธรรมเหมือนกัน กับเขาทำ�ไร่ทำ�นาทำ�รั้วทำ�สวน แล้วกับ เรามาภาวนามันผิดกันอย่างไรไม่รู้ แต่ทางมันเหมือนกันนั่นแหละ มีแต่ลูกชาวนา เหมือนกัน หรืออยู่ฝ่ายเรียนเหมือนกันนะโอ๊ยกว่าจะสอบได้กับเขา ถ้าไม่ตั้งใจดู หนังสือก็สอบไม่ได้เหมือนเก่า เอาความขยันนะคนขยันหมั่นเพียรนะมันถึงจะได้ เกิดมามีแต่การกระทำ�ทั้งนั้นนะถ้าไม่ทำ�ก็ไม่ได้สักอย่าง ทำ�ดีก็เหมือนกันทำ�ชั่วก็ เหมือนกัน จะไปทำ�ชั่วไปแอบไปดูอยู่อย่างนั้นจะไปขโมยของเขา ก็ต้องใช้ปัญญา 76


เหมือนกันแต่มันไปในทางที่ผิดนะ ถือตัวคิดว่าเขาจับไม่ได้หรือไงเห็นเต็มตาราง อยู่ทุกวันนี้เขาขังกันอยู่ ว่าเขาไม่รู้จักตัวเองก็ทำ�บ่อย ๆ เข้าก็เกิดความเคยชิน สัก หน่อยก็ไม่คิดขวนขวายอะไรละ สักหน่อยก็เข้าคุกเข้าตารางเท่านั้นแหละ ความ เพียรให้พากันเร่งความพากความเพียร ถ้าเห็นแล้วผู้ใดจะตัดอะไรก็ให้ตัดนะ จีวร ของผู้ใดขาดเขินแต่ห้ามทิ้งของเก่าไว้ที่นี่เท่านั้นแหละ จะออกไปเที่ยวที่ไหนเอา ไปด้วย ประเพณีไม่มีพ่อแม่ครูจารย์ท่านพาทำ� ให้พากันเร่งไปเอาเลิกกันวันนี้มัน ถ่ายท้องนะเหนื่อย หกโมงมันค่ำ�แล้วนะทุกวันนี้ ใครจะทำ�ความพากความเพียรจะมาปรึกษา ผู้ใดจะสมัครไปอยู่ทางนู่น ทางเขาหาความสงบนะ พอมาพบกันนะเหมือนนกอีเอี้ยงดูอยู่นี่ มันไม่ออกจาก ศาลาสักทีเย็บจักรก็จะไม่เสร็จสักที ทำ�อย่างไรมันถึงจะเห็นอรรถเห็นธรรม ถ้า มาพบกันก็มีแต่เรื่องโลกนะที่เอามาพูดเพื่อความสนุกเฮฮากัน เหมือนกันกับ คนเป็นไข้นะกินแต่ของแสลงที่เขาห้าม แล้วมันจะรักษาโรคที่เป็นให้มันหายได้ อย่างไร โรคอะไรก็โรคกิเลสเท่านั้นนะซิถ้ากิเลสตัวนี้ ยังครองหัวใจเราอยู่เราก็ยัง เป็นคนรับใช้มันอยู่อย่างนั้นแหละ ภพไหนชาติไหนมันก็บดบังปัญญาเราอยู่อย่าง นั้นแหละ คิดอ่านอะไรก็บกพร่องขัดข้องอยู่อย่างนั้น ตามครูบาอาจารย์ท่าน ทำ�ท่านไม่ได้ทำ�เล่นนะท่านทิ้งตายเลย อย่างหลวงปู่ขาวท่านว่าท่านเดินจงกรม ท่านเดินจงกรมใช้ทางตั้งสามเส้นนะวันหนึ่ง เส้นหนึ่งพุทโธบูชาคุณพระพุทธเจ้า อีกเส้นหนึ่งบูชาพระธรรมอีกเส้นบูชาพระสงฆ์ เดินอยู่อย่างนั้นนะท่านไม่ย่อท้อ นะเอาตัวความเพียรเผาอยู่อย่างนั้น ทำ�อยู่อย่างนั้นความเพียรพอไปนั่งถาวนา ก็รู้จักทำ�ความสงบทำ�ความเพียร ปัจจุบันนี้มันไม่รู้จักกำ�กับดูแลจิตใจตัวเองสัก ครั้ง แล้วแต่มันจะเป็นไปถ้าเป็นควายก็วิ่งเข้ารั้วเข้าสวนนู่นแหละ ไปหาดมก้น กันอยู่นู่นทุ่งไร่ทุ่งนาแล้วก็ค่อยโงกเงก แล้วมันจะไปทันกินหรือธรรมดาควาย ตกยากพอเขาใส่แอกใส่คาดใส่ไถ คนหนึ่งดึงเชือกจูงควายไปอีกคนก็จับไถใช้สอง คนนะ ให้เราใช้สติปัญญาของเรามัดเข้าไปหาวิธีปราบปรามจิตใจตัวเอง จะไปให้ 77


คนอื่นเขามาปราบปรามจิตใจของเราแทนเรา ไม่ได้หรอกให้คิดมันก็คิดอยู่อย่าง นั้นแหละ ไม่เหมือนตัวเองปราบตัวเองนะถ้าปราบตัวเองได้แล้ว ไม่กลับคืนนะถ้า ชนะตัวเองได้ ถ้าชนะคนอื่นกลับมีความกลัวนะกลัวว่าจะแพ้ไปอย่างนั้นแหละนี่ เรื่องชนะผู้อื่น ถ้าว่าจะสู้กับตัวเองจริง ๆ เอาวันนี้เราจะไม่นอนมันเลยจะนั่งอยู่นี้ ตลอดทั้งคืนจนสว่างดูซิ ถ้าเอาชนะได้แล้วเวทนาเรียกหามันเลย มันจะเอาอะไร หน้าไหนมาหลอกเราถ้าเราสู้มันจริง ๆ นะ ถ้าไม่สู้อย่างนั้นไม่เห็นนะล่องลอยของ สติปัญญาความอดทนหรอก เวลาเข้ามันเข้าง่ายนะเพราะมันจับหลักได้แล้ว แต่ นี่มันจับหลักไม่ได้สักอย่างนะซิ เหมือนกันกับไม้กระดานที่เขาพาดรั้วอยู่ ไม้ก็จะ กระดกขึ้นกระดกลงตามน้ำ�หนักของแต่ละด้าน แต่นี่อารมณ์อะไรก็สามารถเข้า มารบกวนอยู่ในจิตใจตัวเองได้ แล้วก็บ่นนะบางครั้งก็อิจฉาตัวเองบางครั้งก็ไปข้าง นอกเป็นอยู่อย่างนั้น แล้วจะให้เกิดมรรคเกิดผลได้อย่างไร อย่างครูบาอาจารย์ ท่านทำ�ไม่ใช้ทำ�เล่นนะท่านทรมานตัวท่านเอง บางคนฟังก็ฟังเท่านั้นแหละพอฟัง แล้วก็เอาไปจับเป็นคติเตือนใจตัวเองไม่ได้ สมัยทุกวันนี้มันเป็นอย่างนี้สมัยอยู่กับ ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกันนะ ญาติโยมมานี่ก็ประจบประแจงอยากให้เขานับถือ ระบือนาม แต่หัวใจตัวเองก็ยังไม่เลื่อมใสตัวเองแล้วจะให้ใครมาเลื่อมใสได้ ตัว เองไม่เป็นสมาธิแล้วจะไปสอนคนอื่นให้เป็นสมาธิได้อย่างไร โอชารสนะมันไม่มี มันไม่มีอะไรที่ถูกใจเราไปหมดหรอก ขอให้เร่งความพากความเพียร ถ้าสู้ ๆ ดูซิ คืนเดียวมันก็ได้ผลนะ เอาซิให้จิตอยู่ในพุทโธ ๒๔ ชั่วโมงอย่าให้มันขาดมันเกิน นี่ มันทำ�ไม่ได้เพราะมีแต่กิเลสมาคอยกัดกร่อนหัวใจอยู่อย่างนั้น วันไหน ๆ ก็เหมือน กันแล้วจะทำ�อย่างไรมันถึงจะละกิเลสได้ ตั้งใจเลยถ้าจะพิจารณาก็ให้พิจารณา ตั้งแต่เกศาลงมาหาพื้นเท้า เอาให้มันเห็นดูซิกำ�หนดอยู่อย่างนั้น เหมือนเอามีด เอาหอกทิ่มแทงตัวเองอนุมานตัวเองอยู่อย่างนั้น พลิกนั้นพลิกนี่อยู่อย่างนั้น ไม่ ให้ออกจากนั้นเลยนี่หลวงปู่บัวท่านเทศน์ ท่านว่านั่งอยู่สามวันสามคืนนั่งทับทุกข์ นะ อนุมานเลยท่านว่าเพราะว่าไม่เห็นกาย กำ�หนดอยู่นั่นไม่ให้ออกจากนั้นเลย 78


บังคับอยู่นั่น ไม่ให้มันออกไปทางอื่นอย่างนั้นนะครูบาอาจารย์ท่านทำ�มา แต่กว่า จะเห็นถ้าทำ�ไม่จริงแล้วไปกล่าวโทษไปตู่ศาสนาว่าไม่จริง เรื่องกิเลสมันเป็นอย่าง นั้นแหละ เหมือนกันกับเขาจับคนร้ายเข้าตารางมีแต่เขากล่าวหานั้นแหละ เขาหา ใส่อย่างนั้นอย่างนี้แหละเรื่องกิเลสมันเป็นอย่างนั้น ให้พากันตั้งอกตั้งใจต่อไปมัน ใหญ่ขึ้นใหญ่ขึ้น แต่ผมไม่ได้หวังว่าจะมาเป็นครูเป็นอาจารย์ของหมู่พวกนะ มัน บังคับเอาเพราะผมไม่ได้เรียนอะไรนะมีแต่ก้มหน้าปฏิบัติเลย ว่าจะเอาตัวพ้นทุกข์ เท่านั้นแหละ พอเลิกกัน วันนี้เดินไปนู่นดูเขาถางป่าเห็นต้นกระเจี๊ยบเขาถางออก มาบอกให้เณรมาเอาไป เขาถางทิ้งไว้เฉย ๆ ไม่มีประโยชน์อะไร ผู้ใดชอบความสงัดก็ขึ้นไปนู่นหลังเขื่อน มีกุฏิมันว่างอยู่คนไหนตั้งใจภาวนา ตัวเองทำ�เอาเองนะปฏิบัติเอาเองสมบัติอยู่กับ ตัวเองแล้ว นั่งตรงไหนทำ�อะไรก็ให้มีสัจจะบังคับจิตใจตัวเอง ไม่อย่างนั้นกิเลสเอา ไปกินหมดเพราะมีแต่เล่น แต่คะนองกันนั้นไม่ใช้ทางของพระของเณรนะ จะหา ที่หลบหลีกไปภาวนาหาไม่ยากนะวัดเรา หรือจะไปหาวัดไหนก็ไปเถอะ ถ้าจะเอา ความพากความเพียรกำ�กับจิตใจตัวเอง จะหลบไม่ให้คนเห็นก็ได้นะไปนู่นถ่ำ�หนึ่ง อยู่หลังเขาก่อนถึงที่เผาศพ มันหาไม่ยากนะที่จะไปถ้าเราแสวงหา นี่มีแต่แสวงหา แต่เอาไฟเผาตัวเองนะ เหมือนกันลูกศิษย์อาจารย์เรียนอยู่ดี ๆ ก็เอามีดแทงตัว เอง ดูซิมันทุกข์ขนาดนั้นนะหัวใจอยากฆ่าตัวเอง ทั้งโลกเขามีแต่รักตัวเองเป็น อะไรถึงขนาดนั้น มันคงชินมาหลายภพหลายชาติแล้วนะมันเลยทำ�อยู่อย่างนั้น ธรรมของพระองค์เจ้าท่านไม่ให้เบียดเบียนตนเองไม่ให้เบียดเบียนผู้อื่น นี่อะไร เบียดเบียนตัวเองให้แก้ไขมันซิเรื่องอารมณ์ของใจ มันทุกข์กับอารมณ์ถ้าคิดมากก็ เอาพุทโธนะท่องเข้าให้มันถี่ยิบ ท่องพุทโธพุทโธอยู่นั่นแหละ ถึงเสือมาช้างมามัน ก็ไม่ไปถ้าจิตใจอยู่กับพุทโธ เพราะจิตมันไม่ส่งออกไปภายนอกนะมันเลยไม่กลัว ถ้าจิตมันส่งออกไปภายนอกมันถึงไปกลัวมันถึงจะเกิด อยู่กับจิตอยู่กับกายมันก็ สบายเท่านั้นแหละ แต่นี่วันหนึ่งคืนหนึ่งได้สักครั้งหรือเปล่าไม่รู้ หรือว่าอยู่กับโลก 79


กับสงสารนู่น แต่ว่านักบวชต้องชำ�ระตัวนี่นะ คิดว่าทำ�ไม่เห็นเป็นอรรถเป็นธรรม ก็แก้ไขมันอยู่อย่างนั้นดึงมาใส่อยู่อย่างนั้น แต่เขาฝึกวัวฝึกควายใส่คาดใส่ไถเขา ทำ�งานอยู่เขาก็ฝึกอยู่นั่น เราก็น้อมเอาสิ่งนี้นะมาฝึกตัวเองเข้าไป จะไปทำ�ความ พากความเพียรนั่งกันก็ให้มันมีสัจจะนะ ถ้าไม่บังคับอย่างนั้นมันไม่ได้แต่ถ้ามัน เป็นไปแล้ว สิ่งนั้นมันจะเป็นไปเองหรอกโดยอัตโนมัติ จะนั่งนานเท่าไหร่ก็ได้ถ้า จิตเป็นอัปปนาสมาธิ(คือสมาธิแน่วแน่)แล้วไม่มีกายแล้วกายไม่ปรากฏแล้ว คล้าย กันกับการนอนหลับสบายแต่นอนหลับนั่นแหละ ปุถุชนคนหนาอย่างพวกเรามัน ไม่เจ็บไม่ปวดอะไรล่ะ ผู้รู้มันก็รู้อยู่อย่างนั้นนะวันนี้มันนอนปานตาย วันนี้ฟันเรื่อง นั้นเรื่องนี้มีเท่านั้นเพราะว่าไม่มีสตินะ ถ้าฝึกหัดให้สติเป็นมหาสติแล้วหัดปัญญา ให้เป็นมหาปัญญาแล้วมันรอบแล้ว เหมือนกับพระพุทธเจ้าท่านรู้ไปหมด แต่พวก เรามันไม่มีก็เลยวิ่งอยู่อย่างนั้น เหมือนกับหมาเอาบ่างท่านว่า หมามันไม่สามารถ ปีนขึ้นต้นไม้ตามบ่างตัวนั้นได้นะมันก็เลยเห่าไปทั่ว ให้พากันตั้งอกตั้งใจทำ�ความ พากความเพียร สมัยทุกวันนี้มันหมดไปเรื่อย ฝ่ายพระกรรมฐานก็หดหายไปเรื่อย จนจะไม่มีแล้ว ไปที่ไหนโลกเขาก็เอาไปใช้ตั้งให้เป็นพระครูเป็นเจ้าคุณไปหมดแล้ว แต่ได้เป็นพระก็ประเสริฐมากแล้วแต่รักษาใจตัวเองให้ประเสริฐเถอะนะ ประเสริฐ แต่กายนะซิหัวใจเหมือนเอาไฟมาเผาตัวเอง วันนั้นเดือนนี้ก็ของเก่านั้นแหละจะ ไปไหนมาไหน ปีไหนก็เหมือนเก่าหลงก็หลงของเก่านั้นแล้ว พอเลิกกันเถอะปวด ขา กุฏิมันว่างอยู่ข้างบนนะหมู่พวกคนขยัน ทางนั้นไม่ขึ้นไปหรือให้มันลดความอ้วน หน่อยทางนี้มันอ้วนเกินไป หัดไปป่าภาวนาอยู่นู่นทางภูทางเขานู่น ที่มันหาอยาก แล้วเหมือนวัดใครจะไปวัดไหนก็ไป ถ้าไม่มีท้องไม่มีปากไม่ให้คนเห็นก็ได้นะที่มัน กว้างนะ นั่งดูแต่หัวใจตัวเองพอมันเกิดความปรารถนาอันใดขึ้นมามองดูมัน อย่าง นั้นนะครูบาอาจารย์หลวงปู่มั่นท่านพาทำ�มา จะทำ�อย่างไรมันถึงจะเห็นอรรถเห็น ธรรม ถ้าไม่แสวงหาไม่สู้รบกับตัวเองมันไม่เห็นหรอก ได้ยินก็ได้ยินไปอย่างนั้น 80


แหละ ตัวเองไม่เอาไปทำ�ไม่เอาไปปฏิบัติด้วยตนเองก็ไม่ได้หรอก เหมือนกันกับ การกินข้าวถ้าไม่กินมันไม่อิ่มนะ ถึงอาหารจะดีหรืออร่อยขนาดไหนก็ตาม ได้ยิน ได้ฟังก็เอาไปพิจารณาใคร่ครวญ เอาไปสอนจิตสอนใจตัวเองเสียก่อน แต่นี่มัน กับเพลิดเพลินอยู่อย่างนั้นวันไหนก็ตาม แล้วทำ�อย่างไรธรรมมันถึงจะเกิดขึ้น ใน เมื่อมีแต่กิเลสเต็มหัวใจอยู่แล้วจะให้เอาธรรมเข้ามาในใจอย่างไร ในเมื่อไม่มีที่ว่าง ให้ธรรมอยู่ในใจเลย ก็เลยไม่เห็นแล้วก็เลยเอาไปคืน สักหน่อยก็ดูถูกศาสนาว่า ไม่จริง หัวใจตัวเองรู้ไม่จริงก็ยังไปฟังมันอีก ในเมื่อหัวใจของตัวเองบกพร่องแล้ว จะเกิดได้อย่างไร ความเพียรก็ไม่ทำ�เดินจงกรมภาวนาก็ไม่ทำ� ทางจะสังหาร กิเลสออกจากใจมีแต่เดินจงกรมกับภาวนาเท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านพาทำ�มาแล้ว ดูซิก่อนท่านได้ตรัสรู้ท่านอธิษฐาน สภาพร่างกายจะแตกเป็นดินเป็นน้ำ�ไปก็จะไม่ ลุก เลือดเนื้อหนังจะเหือดแห้งไปก็จะไม่ลุก ถ้าไม่ได้ตรัสรู้ท่านอธิฐานขนาดนั้น ท่านทำ�อย่างนั้นนะตัวต้นศาสนาเป็นอย่างนั้น เอาพวกเรามีแต่มาพาล้างพากินอยู่ อย่างนั้นแล้วจะเห็นหรือ ไม่ประกอบความเพียรพอเลิกกันเถอะปวดขา

ba

81



ตนเองต้องฝึกหัดตนเอง พระใหม่เณรใหม่ตั้งใจทำ�ความพากความเพียรนะ อย่าไปเห็นแก่เล่นล่ะ เล่นมาก็เล่นมาตั้งแต่เป็นเด็กน้อยแล้ว กำ�หนดเราจะกำ�หนดอะไรก็ให้กำ�หนด หรือจะบริกรรมพุทโธก็กำ�หนดไปให้มันอยู่กับพุทโธ ถ้าจิตไม่อยู่กับพุทโธมันไม่ เห็นอะไรนะ ลักษณะคล้ายคนเดินกับคนวิ่งจะไปเห็นอะไร คนยืนอยู่กลางแจ้ง ถึงจะเห็น ต้องขัดเกลานะเรื่องของกิเลสตัณหา เรื่องความโลภความโกรธอย่า เอามาใส่ใจเราเลย เราต้องฝึกหัดอย่างนั้นนะ ตัวเรานะต้องฝึกหัดตัวเราเอง ถ้า เราไม่ฝึกหัดไม่ได้ มันจะเป็นเภทภัยอยู่อย่างนั้นแหละ ความโกรธตัวนี้มันเผาผู้ เป็นเจ้าของก่อน มันไม่ไปเผาคนอื่น ถ้าผู้มีธรรมในใจแล้วเขาไม่สนใจแล้วเขา สบายแล้ว บ้าก็อยู่ที่ปากของเขาจะดีก็อยู่ที่ปากของเขา เราจะไปสนใจอะไร ผู้ เห็นอรรถธรรมเป็นอย่างนั้น มันผิดกันนะผู้ที่เห็นอรรถธรรมกับผู้ไม่เห็น ไม่เห็น หรือพระพุทธเจ้าท่านไปทรมานยักษ์ได้ พระพุทธเจ้าท่านไปทรมานด้วยตนเอง ท่านเข้าไปหายักษ์ในเขตยักษ์กินคน พระราชาเมืองอาระวี ไปล่าสัตว์ถูกยักษ์ จับจะกินจึงขอชีวิตไว้ แล้วจะส่งนักโทษมาให้กิน พอส่งมาให้เรื่อยๆนักโทษก็มี น้อยลงเรื่อยๆ พระพุทธเจ้าท่านทราบถ้าท่านไม่ไปแก้ไขให้ เมืองอาระวีนี้จะต้อง เดือดร้อนที่สุด พระพุทธเจ้าจึงเสด็จไป เสด็จไปทีแรกยักษ์มันก็ข่มขู่อย่างใหญ่ 83


โตมโหฬาร พระพุทธเจ้าปัญญาท่านฉลาดนะ พอมันขู่ท่านๆ ก็ฟังมันนะ มัน บอกให้นั่งก็นั่งมันบอกให้เดินก็เดินมันบอกให้วิ่งก็วิ่ง ยักษ์มันพูดอย่างไรท่านไม่ ตอบโต้ มันให้ทำ�อะไรก็ทำ�อย่างมันบอก พระพุทธเจ้าไม่แสดงอาการโกรธเคือง ใดๆ ใจเจ้ายักษ์ก็อ่อนลง พอเจ้ายักษ์ใจอ่อนพระพุทธเจ้าก็ถือว่าชนะแล้วนะ คราวนี้พระพุทธเจ้าท่านก็เริ่มเทศน์ พอท่านเทศน์เจ้ายักษ์ก็ละวางทันทีเรื่องกิน สัตว์เรื่องฆ่าสัตว์ ขอสมาทานศีลกับพระพุทธเจ้าเลย เรื่องโทษของการฆ่าสัตว์ ท่านก็พูดให้ฟัง ว่าต้องไปตกนรกอย่างนั้นอย่างนี้ พอประมวลเข้ามาประมวลเข้า มา เจ้ายักษ์ก็ปวารณาตนเป็นอุบาสกกับพระพุทธเจ้า แต่พวกเราไม่เป็นอย่าง พระพุทธเจ้านะ พอเขาเป็นบ้าก็เป็นบ้าไปกับเขา กระทบกระทั่งกันเรื่อย ความ ฉลาดไปไหน พระพุทธเจ้าท่านยังถ่อมตนเองขนาดนั้น ผู้เห็นอรรถเห็นธรรม เป็นอย่างนั้นไม่เห็นแก่ตัว ถ้าท่านถือตัวว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ใครจะมา ใช้ท่านไม่ได้เพราะเป็นพระพุทธเจ้า ยักษ์บอกให้ทำ�อย่างนั้นอย่างนี้ท่านก็ไม่ทำ� ตาม นี่ก็เป็นกิเลสนะความถือตัวมันกระทบกันอยู่(ภายในจิตใจ) นี่แหละความ ฉลาด นี่ก็เหมือนกันครั้งแรกท่านให้ฝึกไม่ให้จิตโกรธ ในธรรมจักรก็เหมือนกัน ท่านไม่ให้เสพสองฝั่ง พิจารณาสองฝั่งคืออะไรสองฝั่งก็คือความรักกับความชังนั้น แหละ เหมือนในกุศลากับอกุศลา กุศลก็เหมือนกันเป็นบุญ อกุศลก็เป็นบาป อัพ ยากตะก็เป็นกลาง มันก็มีอยู่เหมือนกัน มันมีครบหมดแต่พวกเราเลือกเอาไม่ถูก เท่านั้นเอง คือร้อนก็มีเย็นมันก็มีก็ดูมันเป็นอย่างนั้น แต่พวกเรานี้เลือกเอาแต่ ร้อนมาใส่หัวใจเราไม่เลือกเอาเย็นใส่ การภาวนาก็เหมือนกันต้องเลือกสังเกตตัว เราเองนะ นั่งภาวนาตอนนั้นเป็นอย่างไรเดินจงกรมมากเป็นอย่างไร ให้สังเกต ตัวเราเองมันถึงจะรู้ได้ เมื่อจิตมันเป็นไปถ้าเราไม่สังเกตจิตของเราก็ไม่รู้นะ เรื่อง การเข้าการออกของจิต พวกนี้จำ�เป็นต้องฝึกอย่างนั้น 7.05เวลาที่จิตมันเข้าที่เข้า ฐานแล้ว จะเกิดความสงบมากขึ้นมากขึ้นมันต้องเกิดแสง บางครั้งก็เหมือนแสง ของตัวหิ่งห้อย บางครั้งก็เหมือนแสงไฟฉายเกิดขึ้นแวบเดียว แล้วมันก็ไปทางใหม่

84


แล้วก็สังเกตไม่ได้แล้ว วาระจิตของเรามันเป็นอย่างไรตัวนี้ล่ะตัวสำ�คัญ ผู้ที่ฝึกหัด ใหม่มันเป็นอย่างนั้นนะแต่ถ้ามันเป็นไปแล้วมันไม่ยากเลย เรื่องความเกียจคร้าน มันไม่มีนะ มันเป็นไปเองเลยเรื่องการละการถอนมันวางของมันไปเองหมด ขอ ให้ฝึกหัดขั้นแรกก่อน เรื่องความรู้มันจะเกิดขึ้นมาเองนะ เดี๋ยวก็แสดงเหมือนกับ ครูบาอาจารย์มาเทศน์ให้ฝังอยู่อย่างนั้น เดี๋ยวก็เรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่นี่เราพึ่งจะเริ่ม ฝึกหัดใหม่มันต้องบังคับตัวเอง คล้ายกันกับควายที่เขาจะต้องฝึกหัดมัน ให้มันใส่ ล้อใส่เกวียนหรือฝึกหัดมันใส่แอกใส่ไถเวลาทำ�นา ถ้าควายมันไม่เคยแบกแอกแบก ไถมันก็ต้องดิ้นหนีเสียก่อน นี่เหมือนกันจิตใจของเราเหมือนกัน บังคับด้วยธรรม ของพระพุทธเจ้า เพราะมันไม่เคยชำ�นาญทางนี้มันก็ต้องวิ่งไปทางเก่าของมันเป็น ธรรมดา เมื่อเราฝึกเข้าฝึกเข้ามันก็ต้องชินเข้าชินเข้า ตัวเรานะต้องฝึกตัวของเรา เอง ครูบาอาจารย์มีแต่แนะนำ�ทางให้เป็นทางเท่านั้นล่ะ เหมือนความเจ็บปวด ความป่วยความเป็นไป ไม่ได้แตกต่างอะไรกันเลย เหมือนอาหารการกินใส่ภาชนะ ใบเดียวกัน ถ้าเราไม่กินก็ไม่รู้จักรสชาติไม่รู้จักความอิ่ม ถ้าเขาว่าอาหารนี้อร่อย นั้นอร่อยถ้าเราไม่กินก็ไม่รู้รสชาติเหมือนกัน ความเกิดความแก่ความเจ็บความ ตายพวกนี้ มันจะประมวลมาเองนะขอให้จิตรวมได้สักครั้งสองครั้ง แต่นี่อะไร ถ้าภาวนาแล้วมีแต่ปรุงความอยากได้อยากเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้ มันอยู่ที่วาสนาบารมี ถ้ามีไม่เพียงพอไม่เห็นนะต้องสร้างสมมา ดูอย่างพระพุทธเจ้าท่านปรารถนาพุทธ ภูมิ คิดดูสิว่าท่านผ่านกองทุกข์มาขนาดไหน อย่างหลวงปู่มั่นท่านปรารถนาเป็น พระพุทธเจ้า ท่านบำ�เพ็ญมาตั้งเท่าไหร่แล้ว ท่านมาภาวนาระลึกชาติได้ว่าเคย เกิดเป็นหมาตั้งหมื่นชาติ จึงเกิดความสลดสังเวชตัวเอง เรื่องที่ปรารถนาจะเป็น พระพุทธเจ้าท่านจึงขอละความปรารถนา คิดว่าจะเอาแต่ตัวท่านให้รอด ท่านก็ ล้มเลิกความปรารถนาที่จะเป็นพระพุทธเจ้า เรื่องบารมีของท่านที่สร้างสมมาเพื่อ จะเป็นพระพุทธเจ้านั้น ก็ประมวลเข้ามาเกิดแตกฉานเร็วขึ้น ความปรารถนานั่น แหละที่พิสดารกว่ากัน อย่างสาวกบางองค์ก็เหมือนกัน ที่ท่านได้จารึกไว้ก็มีแต่ 85


องค์เด่นๆ เท่านั้นแหละ ผู้ที่ไม่เด่นหรือเป็นกลางๆ ไม่ได้ยกมาไว้ให้พวกเราได้อ่าน ได้ศึกษากัน ความปรารถนามันผิดกัน สมัยนี้ก็เหมือนกันมีมากที่ปรารถนาเป็น พระพุทธเจ้า อย่างหลวงปู่จามท่านพูดมีแต่เรื่องพระพุทธเจ้าทั้งนั้นนะการสร้าง บารมี ภูมิ(ภูมิรู้ภูมิธรรม)ของท่านเป็นอย่างนั้นนะ ท่านไปเห็นมาหมดแล้วภพภูมิ ท่านไปทางนั้นนะ จะได้ปลดปล่อยสัตว์โลกออกจากโลกนี้ ให้ทุกคนพากันตั้งใจ ปฏิบัติ สิ่งใดถ้าเราไม่ปฏิบัติด้วยตนเองไม่ได้นะ ถึงจะอยู่ทางโลกก็เหมือนกัน จะ มีควายมีวัวเขาก็ต้องปฏิบัติ ไม่อย่างนั้นถูกเอาไปกินหมดไม่ว่าอะไร จิตใจของเรา เหมือนกันถ้าไม่ปฏิบัติ อีกหน่อยความโลภความโกรธความหลงมาดึงเอาไปกิน หมด แล้วก็ไม่เห็นอรรถเห็นธรรม อีกหน่อยก็หาโทษใส่ตัวเองอีกว่าไม่มีมรรคผล นิพพาน อีกหน่อยก็ไปก็ทิ้งบาตรเอาไปทำ�รังไก่ก็มี เพราะไม่สู้กิเลสเขานะเขา กล่อมเรามาหลายภพหลายชาติแล้ว ความตายนี้มันเทียวเกิดเทียวตายมันก็กลัว นะซิมันตายอยู่อย่างนั้น เกิดภพไหนชาติไหนมันก็ตายอยู่อย่างนั้น ก็พากันกลัว อยู่อย่างนั้น พระอริยะเจ้าทั้งหลายท่านไม่กลัว ไม่มีกลัวอะไร เพราะท่านเห็นภัย แล้ว แต่อย่างพวกเรามันงมหาอยู่นั่นล่ะ เอาล่ะเลิกกัน พากันตั้งใจ

ba

86



มีแต่ดีกับชั่วที่ฝากโลกไว้

พระองค์นั้นไปแล้วหรือ เห็นมีแต่ของครับ ก็เป็นอย่างนั้นแหละ เหมือน ตอนไปอยู่ที่ถ้ำ�พระ พระท่านก็ไปอยู่กุฏิไกลๆ หลวงพ่อนาฮี ท่านมรณภาพเราก็ ไม่รู้นะ ไม่ได้ไปหาที่กุฏิก้อนหินสักที ท่านมาเราก็ไม่รู้ท่านไปเราก็ไม่รู้ อยู่ถ้ำ�พระ ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๗ ที่นี่ก็เหมือนกันจะไปก็ไป อย่าไปสุงสิงพระอันธพาล มา หาผมนี้ไม่รู้ว่ามีเรื่องมีราวอะไรกัน ฟาดนั่นฟาดนี่โจมตีว่าผมเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ พระอันธพาลนะนี่ คนเห็นกันมันต้องพูดจาปราศรัยกันถ้ามีสมบัติผู้ดี เป็นอย่าง นั้นนะโลกนี้โลกกิเลสตัณหา ขนาดรักษาศีลรักษาธรรมก็ยังรักษาไม่ได้ แค่เอาผ้า เหลืองคลุมกายเฉยๆ จะไปสำ�คัญอะไร การพูดก็ให้มีเหตุมีผล การงานก็เหมือน กันทำ�ไปทำ�ไป ถ้างานยังไม่เสร็จก็หยุดไว้ก่อน ทิ้งไว้นี่แหละถ้ายังไม่ตายก็มา ทำ� ถ้าตายก็ให้คนอื่นมาทำ�ต่อไป สมบัติของโลกมันก็เป็นอย่างนั้น ตายไปแล้ว ไม่สามารถเอาอะไรไปได้ มีแต่ดีกับชั่วที่ฝากโลกไว้ ใครจะทำ�ดีก็ทำ�มีเท่านั้น ใคร จะเป็นลูกศิษย์พระเทวทัตต์(ผู้ที่ปองร้ายพระพุทธเจ้า)ก็ทำ�เอา ใครจะเป็นลูกศิษย์ พระพุทธเจ้าก็ทำ�เอา ท่านก็เปรียบเทียบไว้ในธรรมของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า ไปนิพพานพระเทวทัตต์ไปอเวจี ท่านก็ทำ�นายเอาไว้นะให้เราทำ�เอาเอง ท่านว่ากุ สะลาธัมมาอะกุสะลาธัมมา กุสะลาแปลว่ากุศล อะกุสะลาก็แปลว่าอกุศล การ 88


นั่งภาวนามีแต่นั่งปรุงมันก็ไม่ได้อะไรนะ มีแต่ความอยากได้คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้วาด ภาพขึ้นหลอกตัวเอง ครูบาอาจารย์ท่านฝึกให้ได้ความสงบก่อน พอได้เห็นความ สงบแล้ว พอจิตสงบเข้าสงบเข้าจิตมันก็รวมได้เกิดแสงสว่าง มันจะเห็นนิมิตนั่น นิมิตนี่ นั่นล่ะจิตไม่ออกจากนั่นล่ะมันใคร่ครวญอยู่อย่างนั้น มันเกิดจากนั่นล่ะ ครูบาอาจารย์ท่าน เป็นครูบาอาจารย์ท่านมา อย่างหลวงปู่ชอบนี้ท่านเดินจงกรม หมดทั้งวัน ท่านเดินจงกรมอยู่ในสมาธิเลย จิตสงบอยู่อย่างนั้นเข้าพุทโธอยู่อย่าง นั้น ท่านเดินไปเดินไปคล้ายกับไม่ได้เหยียบดิน คล้ายเดินอยู่บนอากาศ ความ สงบของจิต จิตที่มีแต่ความฟุ้งซ่านรำ�คาญ มีแต่เอาไฟมาเผาหัวใจตัวเองอยู่อย่าง นั้น ไฟอะไรก็ไฟราคะไฟโทสะไฟโมหะที่มันเผาอยู่จะมีไฟอะไรอีก ตัวนี้แหละที่ ก่อกวนอยู่ นี้แหละที่ปิดบังธรรมของพระพุทธเจ้า และทิฐิมานะอีกตัวหนึ่ง กราบ ตัวเองอยู่อย่างนั้นถ้าเห็นทั้งหมด ชั่วอย่างหนักถ้าได้ทิฐิมานะตัวนี้เกิดขึ้น แล้ว อรรถธรรมของพระพุทธเจ้าจะเกิดขึ้นได้อย่างไร มันค้างมันติดอยู่เพราะจิตไม่ สะอาด ต้องชำ�ระจิตของตัวเองให้สะอาด กว่าจิตมันจะรวมได้ไม่ใช่ของง่ายถ้า อย่างนั้นก็เป็นศากยะไปหมดแล้ว วางจิตลงเป็นผ้าเช็ดเท้าหรือเป็นดิน มันถึงจะ เห็นอรรถเห็นธรรมของพระพุทธเจ้า มันจะเกิดขึ้นมาเองนะถ้าเห็นแล้วมันเป็นไป เองเลย ถ้าเกิดขึ้นแล้วเรื่องหมู่เรื่องพวกไม่สนใจเลย เพราะมันเสียเวลามีแต่จะไป ทำ�งานทางใจ ให้มันเห็นนะธรรมของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ทำ�จริงจังไม่เกิดผลนะ ดู ชาวบ้านทำ�ไร่ทำ�นาเหมือนกัน เขาจะทำ�รั้วทำ�สวนหรือจะทำ�การทำ�งานพวกนั้น เราก็สังเกตดูวันไหนเขาเกียจคร้านวันนั้นก็ไม่ได้งาน นี่ก็เหมือนกันถ้าเรามานั่งมัน ปวดของมันเองนะ ถ้ามันเห็นเข้าไปมันไม่ได้บังคับนะมันเป็นไปเองเลย แต่ทีแรก ต้องบังคับมันก่อนไม่ต้องทำ�อะไร เหมือนกันกับเราเรียนหนังสือนั่นแหละ สิ่งที่ ต้องการคือการสอบได้คะแนนดีๆ มันก็ขยันขึ้นพอไปสอบมันก็ได้คะแนนดีขึ้น พา กันตั้งใจไม่นานก็เข้าพรรษาแล้วนะ มีอะไรทำ�ก็รีบทำ�ให้มันเสร็จ เข้าพรรษาจะ ได้ไม่มีการมีงาน ครูบาอาจารย์มีแต่แนะนำ�ให้เดินจงกรมภาวนาเท่านั้นไม่ให้ทำ� 89


อย่างอื่น เราก็มุ่งทำ�มาอย่างนั้นมุ่งเอาบุญเอากุศล หรือจะไปเอาอะไรกัน มาบวช ก็หวังมรรคผลนิพพานหรือหวังบุญกุศล คนไม่มีบุญกุศลก็ได้เท่านั้นแหละ จะไป ทำ�อะไรก็ได้เท่านั้นแหละ ให้สังเกตดูเอาเอง นี่ก็เกาะอกุศลมันถึงได้มาตกที่ไม่ดี มาเกิดก็เกิดกับคนผู้ยากแค้นขัดสน ไม่ได้ไปเกิดกับคนผู้มั่งมีเงินทอง ความสุข มนุษย์ก็เหมือนกันนะทุกวันนี้ ไม่ต้องไปพูดถึงสวรรค์ ข้าวเกิดที่จานก็มีข้าวเกิดที่ หม้อก็มีอยู่ในโลกนี้ บางวันจะหาข้าวกินก็ไม่มีก็เห็นกันอยู่อย่างนี้ จะไปพูดอะไร ถึงสวรรค์นิพพาน ลองพิจารณาใคร่ครวญดูซิ มันก็เห็นกันอยู่อย่างนี้ดีกับชั่ว นำ� เอามาเปรียบเทียบดูซิ เรื่องจะประกอบความพากความเพียรของเรา ให้พากันเร่ง ความพากความเพียร ต่อไปนี้จะไม่มีนะจะเป็นทางโลกไปหมดแล้ว ครูบาอาจารย์ ก็จะมีน้อยลงไปเรื่อยๆ นะ พระกรรมฐานมีเหลืออยู่เท่านี้ หลวงปู่อยู่หินหมาก เป้งก็ว่าเดือนนี้ไม่ให้คนเข้าใกล้แล้ว ต้องใส่กระจกกั้นไว้เหมือนหลวงปู่ขาวให้โยม กราบอยู่ด้านนอก ท่านก็นอนอยู่ด้านในให้เห็นตัวท่าน จะทำ�อย่างไรก็อายุท่าน ๙๐ กว่าปีแล้ว จะไปจับงานอะไรได้แต่พวกเราก็เท่านี้แล้ว ท่านก็พอเป็นร่มโพธิ์ ร่มไทรให้พวกเราเท่านั้นนะ เรามาอยู่ที่นี่ก็ได้อาศัยรัศมี(บารมี)ของครูบาอาจารย์ ท่านคุ้มครองอยู่ ได้มากราบครูบาอาจารย์ก็มาหาท่าน เพราะเป็นสายเดียวกัน ให้พากันเร่งความพากความเพียร วันหนึ่งคืนหนึ่งการนอนก็ให้ฝึกหัดตัวเอง นอน แค่เพียงวันละ ๔ ชั่วโมงก็พอแล้ว ๔ ทุ่มไปก็เข้านอนตี ๒ ก็ลุกขึ้นแล้ว อยู่กับ พ่อแม่ครูจารย์ท่านพาทำ�อย่างนั้น ท่านแนะว่าลุกขึ้นโดยด่วนถ้ามันง่วงก็ไปเดิน จงกรมทันที เดินจงกรมจนเหนื่อยถ้าไม่เหนื่อยแล้วจิตไม่อยู่ มันวิ่งไปกับอารมณ์ ความอยากตัวนี้นะสำ�คัญมันคอยบีบคั้นอยู่อย่างนั้น พอเลิกกัน

ba 90



มาศึกษาหรือมาทำ�ลาย

พระมาจำ�พรรษาอยู่ที่นี่แหละที่ไปพูดอยู่นั่นตำ�หนิผมอยู่นั่น ไม่ได้มา ศึกษานะมาทำ�ลายครูบาอาจารย์ทำ�ลายหมู่พวก ถ้าชอบอย่างนั้นก็ไปซิสมัครขึ้น ไปเตะกับเขาซิ เห็นนักมวยเต็มไปหมดจะไปหายากอะไร จะมาขอข้าวบาตรเขา กินพอเลี้ยงชีพมันจะต่างอะไรกันกับโลก บวชก็มาบวชเฉย ๆ ผ้าเหลืองมันหาไม่ ยากนะอยู่ที่ตลาดจะไปหายากอะไร ตายแล้วถึงเอาผ้าคลุมกายก็ได้แค่ผ้าเหลือง ให้ญาติพี่น้องมาคลุมให้ก็ได้ ความสำ�เร็จมันไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ผ้าเหลือง แต่ความ สำ�เร็จมันขึ้นอยู่ด้วยการปฏิบัตินะ ผมดูอยู่เห็นเขาเคยมาปฏิบัติผมอยู่ ท่านให้หนี จากบ้านตาดท่านก็ขับไปขึ้นรถพาจูงขึ้นรถถ้าไม่อยากจะอยู่ ถูกขับออกไปแล้วก็ ยังไม่เห็นโทษตัวเองอีก ไปอยู่วัดไหนก็ตามมีแต่ทำ�ลายหมู่พวก แล้วพอมาปฏิบัติ ตนดูมันจะเกิดขึ้นเรื่อย ๆ นะจิต ถ้าสังเกตตัวเองอยู่ทำ�ไมมันจะไม่รู้จัก มีแต่จะ หามาตำ�หนิตัวเอง ไม่ได้เกรงว่าครูบาอาจารย์ท่านนั่งอย่างไร ท่านอยู่อย่างไร ท่านจะไปอย่างไร เตือนก็เตือนตัวเองอยู่อย่างนั้น มันขาดแคลนขนาดนั้นหรือผู้ มาปฏิบัติ ผมพาหมู่พวกมาอยู่ที่นี่ก็เพื่อให้หมู่พวกปฏิบัตินะ ผมไม่ได้มาเพื่ออย่าง อื่นผมมาอยู่ที่นี่ 4 ปีรวมปีนี้เป็น 5 ปี นอกนั้นถ้ามีหมู่พวกก็อยู่กับพ่อแม่ครูจารย์ เท่านั้น นอกนั้นก็ไปคนเดียวอย่างมากก็สามคนเท่านั้น ผมทำ�จริง ๆ นะไม่ได้ทำ� 92


เล่นเหมือนหมู่พวกนะ มองดูแอบมองหมู่พวกมีแต่เรื่องโลกเอามาพูดจาปราศรัย กัน ผมอยู่ด้วยก็ไม่ละอายใจนะไม่มีหิริเลยสักนิด ทำ�การทำ�งานก็มีแต่เล่นทำ� อย่างไรถึงจะเห็นของจริง มีแต่ให้ครูบาอาจารย์สั่งสอนแล้วก็จำ�คำ�พูดไป พอไป ใช้หากินได้เท่านั้นแหละ กิเลสเต็มหัวใจตัวเองไม่คิดจะปลดเปลื้องอะไรเลย แล้ว จะให้เขาเคารพอย่างไร ให้พากันแก้ไขนะผู้ใดที่ไม่ถูกกันแล้วทะเลาะกันให้ออก ไป หรือมากราบเรียนผมก็ได้เอาไว้ทำ�ไม ให้เป็นเสี้ยนหนามในพระพุทธศาสนา เป็นมลทินด้วย นักปฏิบัติครูบาอาจารย์ท่านก็ดูอยู่เทวดาเขาก็ดูอยู่ เอาซิถ้าไป ทะเลาะกันแล้วพวกนี้พวกเสื่อมสังเกตดูซิเสื่อมมาเรื่อย ๆ พวกหูทิพย์ตาทิพย์มี นะเขาเห็นมนุษย์เขาเห็นทุกเวลานะ ถ้ามนุษย์ตาบอดแล้วจะเห็นอะไร ให้ไปของ เก่าสัก ๑๐ ครั้งก็ไม่เห็นอะไร เกิดแล้วตายตายแล้วเกิดก็ไม่เห็นอะไร เพราะมันตา บอดนะถ้าตาดีมันก็เห็น ก็อย่างนิทานคนตาบอดคลำ�ช้าง มันจะไปคลำ�ทำ�ไมถ้า มันตาดี แล้วก็ไม่ต้องมาเถียงกันว่านี่งวงช้างหรือไม่ นักปราชญ์ท่านเปรียบเทียบ ไว้หมดสิ่งนี้เอามาสอนตัวเราดูซิ ให้ดูหนังสือตั้งใจมาบวชชั่วคราวให้รักษาศีลให้ บริสุทธิ์ อย่าให้เป็นมลทินไปสร้างโลกสร้างสงสารไม่ให้มันมีมลทินล่ะ อยู่คนเดียว นั่นล่ะการงานก็ไม่มีแล้วต่อไปเข้าพรรษาแล้ว มันไม่มีคนพูดด้วยก็พูดกับหนังสือ นั่นแหละ หลักธรรมถูกอย่างนั้น พอแล้วเลิกกัน

ba

93



มัวจับปลานอกสุ่ม

มันต้องเห็นด้วยตนเองก่อนนะ พวกเรามันไม่รู้จักกิเลสกับธรรม จะเอา สิ่งนี้ไปจับมันก็เหมือนงมหาปลานอกสุ่มนั่นแหละ พวกเราเหมือนไล่จับเงาตัวเอง อยู่อย่างนั้น อันไหนเป็นกิเลสอันไหนเป็นธรรมมันแยกกันไม่ออก ดูพวกเรานู่น เข้าที่ถึงได้เตรียม ที่จริงมันต้องเตรียมตัวอยู่อย่างนั้น เหมือนการฝึกควายฝึกวัว ไม่ใช่ว่าเอามันมาใส่แอกใส่ไถแล้ว ถึงเอามันมาฝึกมันไม่ทันใช้งานนะ นี่ก็เหมือน กันดูหมู่พวกพอล้างบาตรก็คุยกันอยู่อย่างนั้น คุยไปคุยมาพอไม่ถูกอารมณ์กันก็ ทะเลาะกันมันเป็นอย่างนั้นดูอยู่นี่ แล้วจะไปหาความสงบจากที่ไหน คนภาวนา เป็นมองดูก็รู้แล้ว ไม่ได้ไปสุงสิงกับใครมีแต่ทำ�งานทางใจ มีแต่หาที่หลบให้ตัวเอง อยู่คนเดียว มันสนุกนะอยู่คนเดียวมันเกิดมันดับอยู่นั่น ถ้าอยู่รวมกันแล้วเล่นกัน เหมือนนกอีเอี้ยงหลบนั่นหลบนี่ แล้วอย่างนี้ทำ�อย่างไรถึงจะเห็นธรรมใคร่ครวญ ดูซิสั่งตัวเองดู ฟังเทศน์ก็ฟังเฉย ๆ จะเอาไปกำ�กับจิตใจตัวเองนั้นมันยาก ตัวนี้ แหละตัวสำ�คัญต้องไปแก้ตัวนี้ การนั่งมันก็รู้จักสังเกตสังกานั่งตอนนั้นตอนนี้ มัน จับได้หมดถ้าเราสังเกต ถ้าไม่สังเกตไม่รู้จักเลยนั่งก็นั่งเฉย ๆ นั่งก็สัปหงกไป ถ้าได้ พิจารณาก็พิจารณาไปแต่เรื่องอดีตกับอนาคต ที่ยังมาไม่ถึงก็คาดคะเนไปอย่างนั้น เดาไปอย่างนั้น ก็ผลที่มันเกิดขึ้นจากจิตจริง ๆ นั้นยังไม่เห็น เพราะจิตไม่สงบจิต 95


ไม่รวมได้ มันอยู่ในหลักทำ�สมาธินะ สมัยนี้อย่างพวกสอนกันให้พิจารณาไปเลยก็ เลยลงทะเลไปเลยนะซิ เศรษฐีอาจารย์พากันแต่งตำ�รากันขึ้นเองเก่งมาก กินหนอ นั่งหนอมันไม่มีในตำ�ราประดิษฐ์ขึ้นเอง เราเทียบกับสมถะเหมือนกันสมถะก็แปล ว่าหยุด พอแยกออกไปแล้วก็เป็นคำ�บริกรรม ลุกหนอนั่งหนอไปทั่วแล้วแต่จะ คิดมันมีหลายแบบนะ ถ้าจิตมันสงบแล้วมันจะเกิดขึ้นเองธรรมะของพระพุทธเจ้า จับไม่วางเมื่อธรรมะเกิดขึ้นมา ของไม่เคยรู้มันก็รู้ขึ้นด้วยตนเองนี่มันเป็น ปัจจัต ตัง ขอให้เห็นเถอะธรรมของพระองค์เจ้า ขอให้มันสงบขอให้จิตรวมได้ อย่างพ่อ แม่ครูจารย์ท่านว่าปีนั้นท่านไปสร้างวัดอยู่ภูหลวง ให้ผมไปติดต่อที่กระทรวงไป แล้วก็ไม่ได้ ก็คิดว่าจะพาหมู่ไปอยู่ทำ�กระต๊อบให้ ท่านว่าจะให้ช้างให้เสือทรมาน ช่วย ท่านว่าจะเอาพระส่งไปเดือนละ 5 องค์ เรื่องอาหารการฉันผมจะไม่ให้อด ไป ติดต่อแล้วไม่ได้ถึงมาว่ากันใหม่ ถ้าไม่ได้อย่างนั้นก็ไปภูเขานี้จะไม่มีที่หลบร้อนเลย หรือ พอผมได้มาทำ�ตามปกติผมว่าจะไม่อยู่เป็นปกตินะ ไปที่นั่นที่นี่คอยหลบไม่ ชอบสถานที่เก่าที่เคยไปเว้นไว้แต่ที่บ้านตาด ตอนจำ�พรรษาอยู่กับครูบาอาจารย์ก็ อยู่ เว้นไว้แต่บ้านตาดนี้อยู่ประจำ� ๔ ฝน ๕ ฝนก็อยู่ได้ ก็อยู่กับท่านมา ตั้งแต่ บวชก็เลยอยู่ไปถ้าที่อื่นอยู่พรรษาเดียว พระเณรมามากมาศึกษาอย่างนี้ จวนจะ เข้าพรรษาแล้วไม่มีที่อยู่ให้หมู่พวกก็เลยออกให้หมู่พวก ทานที่อยู่ให้หมู่พวกได้ อานิสงส์ ก็ไปแล้วไปหาอยู่หนองแซงสบายมันไม่ได้ยุ่งกับงาน ให้พากันเร่งความ เพียรอย่าเห็นแก่หลับแก่นอน คนมาบวชใหม่ก็เหมือนกันให้ทำ�ปัจจุบัน ถ้าไม่ ทำ�เราก็จะไม่ได้อะไรเท่านั้น แล้วก็จะได้ไปทำ�การทำ�งานของตน ขอให้ตั้งใจทำ� ๓ เดือนไม่สำ�คัญ ขอให้อยู่กับพุทโธ ๒๔ ชั่วโมง ให้มันอยู่กับพุทโธเถอะ ให้มี สติสัมปชัญญะรู้ตัวอยู่อย่างนั้น ธรรมของพระองค์เจ้าจะเกิดขึ้นเองนะ จะเกิดขึ้น เองขอให้มันอยู่เถอะหลักธรรม แต่นี่มันวิ่งไปกับอดีตที่เคยได้ศึกษามาอย่างนี้เอา มาเป็นอารมณ์ไปหมด ได้ไปผ่านมาจากที่ไหนก็เอามาเป็นอารมณ์ไปหมด หน่อย เดียวก็นอนหลับหน่อยเดียวก็โกรธให้ตัวเอง โกรธให้ตัวเองก็อิจฉาตัวเองนะ ธรรม 96


ของพระองค์เจ้าไม่ให้เบียดเบียนต้นไม่ให้เบียดเบียนคนอื่น มันก็จะตรงกับหลัก ธรรมให้พิจารณาดูซิ โดยมากมันเป็นอย่างนั้นนะจิตของปุถุชน มันซมซานไปทั่ว สิ่งใดก็ต้องให้มันถูกใจตัวเองไปหมดมันเป็นอย่างนั้น ให้พากันเร่งเดินจงกรมและ นั่งสมาธิ ให้ฝึกหัดมันเกียจคร้านก็ต้องบังคับตัวเองให้ได้ ๕ นาทีหรือ ๖ นาทีก็ช่าง มัน หัดใหม่ต้องฝึกอย่างนั้น อิริยาบถทั้งสี่ต้องเปลี่ยนอยู่อย่างนั้นไม่เปลี่ยนไม่ได้ เอาซินอนทั้งวันไม่ลุกขึ้นดูซิมันจะตายให้ได้ นั่งมากก็เหมือนกันเดินมากก็เหมือน กันยืนมากเหมือนกัน ต้องเปลี่ยนอิริยาบถอยู่อย่างนั้น อันความเพียรถ้ามันเป็น ไปแล้ว จะนั่งก็ได้จะนอนก็ได้แล้วแต่จะเป็นไป เพราะได้ทำ�งานทางใจนะ เรื่อง กายมันก็เป็นเรื่องหนึ่ง เรื่องใจมันก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง พอมันแยกกันเห็นกันจน เคยชินแล้วพอเคยชินกับงานแล้วมันก็คล่องล่ะ เหมือนกันกับผู้ที่ทำ�งานภายนอก แต่ก่อนเราเขียนหนังสือครูจับมือเราเขียนครั้งแรก ต่อไปก็หัดเขียนเข้าไปเดี๋ยวก็ หัวยาวไปหน่อยเดี๋ยวก็หางยาว พอฝึกจนมันเคยชินเข้าหลับตาเขียนก็ได้เพราะมัน เข้าถึงใจแล้วนะ ตัวนั่นตัวนี่อ่านคล่องแล้วหลับตาเขียนได้หมดไม่ต้องลืมตาให้มัน ยาก มันจะเขียนไปทางนั้นทางนี้ก็รู้ สอนให้มันเข้าถึงใจถ้าไม่เข้าถึงใจมันก็งงอยู่ อย่างนั้นผูกพันอยู่อย่างนั้น พากันเร่ง

ba

97



สติอยู่กับลมหายใจ การภาวนาเป็นอย่างไรบ้าง กระผมภาวนาไม่ค่อยสงบครับ ภาวนาไม่ ค่อยสงบแล้วที่ไหนจะไปสงบ กระผมคิดนั่นคิดนี่อยู่ครับ นั่นแหละต้องใช้พุทโธ นั่นแหละ ต้องท่องพุทโธให้ถี่ขึ้นอีกให้อยู่กับพุทโธ จิตไม่สงบไม่เห็นธรรมนะ ถ้า สงบมันจะเกิดขึ้นมาเองนะ ครูบาอาจารย์ท่านฝึกมาแต่เก่าแต่ก่อน อย่างพ่อแม่ ครูจารย์ท่านฝึกมาตั้ง ๑ ปี ๖ เดือน ถึงจะอยู่กับพุทโธ จะไปปรุงอยู่อย่างนั้นมัน ก็ไม่ต่างอะไรกันกับทางโลก เลยแยกกันไม่ได้นะมีแต่เรื่องกิเลสเอาไปกินหมด นั่ง ภาวนาก็ปรุงไปจะสร้างบ้านสร้างเรือนอยากจะมีลูกมีเมียไปอย่างนั้น มันไม่ต่าง กันกับเขาที่อยู่ทางโลกถ้าคิดไปอย่างนั้นจะไปต่างอะไร ถ้าตัวผู้ปฏิบัติเองไม่มีความ คิดที่จะหักห้ามต้านทานจิตใจตัวเอง ก็เลยไม่เห็นอรรถเห็นธรรม ก็ลองให้จิตมัน อยู่รวมกันจริง ๆ ดูซิ อย่างครูบาอาจารย์ท่านเห็นท่านทำ�อย่างนั้นนะ บริกรรม พุทโธจิตอยู่กับพุทโธเข้าจิตมันก็เบาขึ้นเรื่อย ๆ สักหน่อยจิตก็รวมปุ๊บเกิดแสงสว่าง แล้วธรรมจะเกิดขึ้นเอง บางองค์ท่านเห็นคนมาตายอยู่ต่อหน้าจนร่างกายขึ้นอืด ครูบาอาจารย์ท่านทำ�อย่างนั้นนะ แต่นี่เราไปคิดปรุงคิดแต่งอยู่อย่างนั้น สักหน่อย พอเวทนาเกิดขึ้นมาก็ไปนอนแล้ว ก็เลยไม่ได้หลักไม่ได้เกณฑ์อะไร ถ้าไม่หักห้ามตัว เองไม่สอนตัวเองไม่ฝึกตัวเอง การภาวนาให้ดูใจตัวเองอ่านใจตัวเอง เอาซิมันจะวิ่ง ไปทางไหนไปจับมันไว้ เหมือนควายเขาดึงแต่เชือกที่ผูกจมูกมันไว้ เขาจะฝึกมันฝึก ใส่คราดใส่แอกใส่ไถ แต่นี่เราฝึกใส่ธรรมของพระพุทธเจ้าดูซิ มีแต่รู้เรื่องการฝึกคน อื่นแต่ฝึกตัวเองไม่เป็น ดูซิพระพุทธเจ้าท่านฝึกมาท่านทรงออกผนวช เป็นเวลา 99


ตั้งเท่าไรท่านถึงได้ตรัสรู้ ท่านอดอาหารตั้ง ๔๙ วัน ท่านฝึกกลั้นลมหายใจ ท่าน พิจารณาใคร่ครวญแล้วเห็นว่าไม่ใช่ทาง การทรมานกายนั้นเรื่องกายไม่มีกิเลสตัว กิเลสมันอยู่กับใจอยู่กับจิต ท่านก็เลยกลับมาคิดถ้าจะทรมานทางใจต้องฉันอาหาร ก่อนให้ร่างกายสมบูรณ์ วันนั้นท่านก็เอาบิณฑบาตรมาฉันเพื่อให้ร่างกายสมบูรณ์ ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ก็ว่าพระพุทธเจ้าถอยจากความเพียรเวียนมาหาความมักมาก ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ก็เลยพากันหนีจากพระพุทธเจ้า ท่านก็เลยสบายนะกายท่านก็ วิเวกใจท่านก็วิเวกเพราะอยู่องค์เดียว พอท่านฉันอาหารสมบูรณ์แล้วท่านก็เข้าที่ ท่านก็เข้าไปนั่งที่ใต้ต้นโพธิ์อธิษฐาน แม้ว่าอัตภาพร่างกายนี้จะแตกสลายเป็นดิน เป็นน้ำ�ไปก็ตาม ถ้าไม่ได้ตรัสรู้จะไม่ยอมลุกจากที่นี่ ท่านก็เจริญอานาปานสติดู ลมหายใจเข้าออกถ้าแปลเป็นภาษาไทยเรา ไม่ให้จิตออกจากนั้นบังคับมันให้มันอยู่ กับลมลมเข้าลมออกเท่านั้น พระพุทธเจ้าท่านบังคับอย่างนั้น แต่นี่เรามาคิดปรุงนั่น ปรุงนี่พอนั่งภาวนาก็อยากได้ทันที มันก็เป็นเรื่องกิเลสทั้งนั้นจะเป็นเรื่องธรรมได้ อย่างไร อยากได้มรรคอย่างนั้นอยากเหาะเหินเดินอากาศได้อย่างนั้น เอาสัญญา มาดูแล้วก็เป็นไปตามสัญญา(คือความจำ�ได้หมายรู้ของเรา) สัญญานั่นแหละที่มา ปิดบังความรู้ พิจารณาเข้าไปดูซิ ถ้าอยู่จริง ๆ มันต้องเกิดขึ้นแล้วธรรมแต่นี่มันไม่ อยู่กับที่ มันวิ่งไปเรื่อยวัฏฏะตัวนี้ พระพุทธเจ้าท่านกล่าวไว้ว่าสมถะวิปัสสนา ส่วน กินหนอนั่งหนอสมัยนี้ก็เศรษฐีอาจารย์แต่งขึ้นนั่นแหละ หลักธรรมไม่มี ๆ แต่แข่ง ดีแข่งเด่นกันสมัยนี้ ถ้าเทียบเข้าจริง ๆ ก็อยู่สมถะเหมือนกันคือทำ�จิตให้อยู่เท่านั้น ธรรมชาติของวิปัสสนาจริง ๆ แล้วมันไม่ได้คิดทางลบอย่างนี้ มันไม่มีสัญญามาเกิด มาดับ เรื่องนั้นเกิดขึ้นมาพอพิจารณาไปเรื่องนั้นก็ดับไปก็เอาเรื่องใหม่มา นั่นเป็น ลูกโซ่อยู่ถ้าได้พิจารณาก็คืนเป็นคืนวันเป็นวัน อย่างพ่อแม่ครูจารย์ท่านเทศน์ เรื่อง การละวางมันวางไปหมดเพราะมันเห็นแล้ว มันได้แยกแล้วแยกเรื่องกิเลสกับเรื่อง ธรรมแล้ว ท่านต้องคิดเป็นธรรมไปหมด พวกเรานี้มีอะไรมีแต่ไล่จับเงาตัวเอง ถ้า นั่งสมาธินานเข้าหน่อยพอเวทนามาก็ทนไม่ได้เลยนอนหลับ กิเลสมันก็ไชโยนะ 100


เพราะมันชนะ เดินจงกรมก็เหมือนกันเดินไปสักหน่อยก็เหลียวดูกุฏิแล้ว ขนาด นั้นก็ยังว่าตัวเองทำ�ความเพียรนะ ครูบาอาจารย์ท่านทำ�จริง ๆ นะทิ้งตายนะถึง ได้เห็นหลักธรรมของพระพุทธเจ้า จะมาทำ�เล่นเหมือนเดี๋ยวนี้ไม่ได้นะ ถ้าจะเอา ตัวให้พ้นทุกข์ต้องทำ�อย่างนั้น แต่ก็ไม่เห็นครูบาอาจารย์ท่านเสียชีวิตนะสมัยก่อน เสือก็มากช้างก็มาก อย่างครูบาอาจารย์ท่านไปเที่ยวอย่างท่านพ่อลี ท่านว่าตั้งแต่ อายุพรรษาท่านได้ ๗ พรรษา ๘ พรรษา ท่านเดินหลงหมู่บ้านเข้าไปในป่าไม่ได้ฉัน ข้าว ๓ วัน ๓ คืน ไม่รู้ไปได้อย่างไร ท่านเหนื่อยมากท่านเลยนอนในทางนั้น ท่าน นอนขวางทางช้าง ท่านจะนอนก็กางกลดเสร็จก็นอนหลับ พอดีก็นอนหลับอยู่นั่น แหละช้างตัวหัวหน้ามาก่อน มาเห็นท่านนอนหลับอยู่นั่นมันก็มาอุ้มท่านออกจาก ทาง กลดก็กางไว้เหมือนเดิมผ้าปูที่นอนก็ปูให้เหมือนเดิม พอทำ�เสร็จแล้วมันก็ยืน บังท่านไว้ไม่ให้หมู่พวกมันเห็น พอหมู่พวกมันไปหมดแล้วมันถึงไปตามหลัง พอ ท่านรู้สึกตัวขึ้นเอะใจแต่เดิมเรานอนอยู่นู่นแล้วก็หันศีรษะไปทางนั้น นี่เรื่องสติของ ท่านแต่ตอนนี้กลับหันศีรษะมาทางนี้ท่านสังเกตสังกาดู ท่านก็เลยนั่งสมาธิกำ�หนด จิตดูก็เลยรู้ว่า ช้างตัวหัวหน้ามาก่อนมาทำ�อย่างนั้นอย่างนี้ มาอุ้มท่านออกไปนอน อยู่นู่น ท่านก็พิจารณาไปเสร็จแล้วมันก็หนีไป ดูซิท่านทิ้งขนาดนั้นนะแล้วแต่มันจะ ทำ� แล้วก็เกิดความอัศจรรย์นะสัตว์ไม่ทำ�อันตรายท่าน มีมากนะเรื่องครูบาอาจารย์ อย่างหลวงปู่ชอบเหมือนกัน หลวงปู่มั่นท่านยิ่งเก่งหลวงปู่ขาวก็เหมือนกัน จนเลื่อง ลือนะครูบาอาจารย์ท่านไปกราบไปไหว้ ท่านไม่ได้ทำ�เหมือนพวกเรา พวกเรานี้ มากินแล้วก็นอนแล้วก็ไป ถ้าเรากินไม่เป็นก็มาเป็นควายตู้ให้เขาทำ�นานะเดี๋ยวจะ ว่าไม่บอก เห็นไหมเวลาเขาใส่บาตรเขาทานข้าวเหนียวปั้นหนึ่งเขาก็ยกมือใส่หัว เขาทานอะไรเขาก็ยกมือใส่หัวอยู่นั่น ไม่ใช่กินก้อนสารพัดพิษหรือ แทนที่จะชำ�ระ สะสางจิตใจตัวเอง เห็นแต่ว่าเขาให้แล้วเลยเอาไปใช้โดยไม่รู้จักพิจารณาใคร่ครวญ ดู มันเป็นพิษนะให้ใคร่ครวญนิดหนึ่งไม่ใช่เห็นว่าเขาเลื่อมใส ความเลื่อมใสมันก็ เป็นเรื่องของความเลื่อมใส ไฟมันก็เป็นไฟ บาปมันก็เป็นบาป โทษมันก็เป็นโทษ 101



เห็นธรรมด้วยสัญญา หรือด้วยปัญญา

หัวใจตัวเองมันไม่งามนะไปเฝ้าไปคอยอยู่อย่างนั้น แย่งพระธาตุกันถก เถียงกันโอ๊ยทำ�ไมไม่อายกันนะ คิดไปคิดมาไม่มีอายกันนะน่าจะไม่มาไปนู่นไป อยู่ถ้ำ�ขามได้ฟังมาเลยพูดได้ ผู้ที่จะสนใจภาวนามันหายากนะทุกวันนี้ มีแต่ครูบา อาจารย์เท่านั้นต่อไปนี้มันไม่มีแล้ว บ้ายอกันอยู่อย่างนั้นวิ่งอยู่อย่างนั้นปฏิบัติ จริง ๆ ไม่เห็นนะ ไม่เอาจริง ๆ ไม่ได้นะไม่เกิดประโยชน์ คิดดูซิพระพุทธเจ้าท่าน บำ�เพ็ญมาท่านเสด็จออกบรรพชาเป็นเวลา ๖ ปีถึงได้ตรัสรู้ การทรมานทางกาย ท่านก็ทรมานอดอาหาร ๔๙ วันท่านก็อด นู่นผ่อนลมหายใจเข้าออกท่านก็ทำ�หมด ดูแล้วไม่ใช่ทางตรัสรู้ท่านก็คิดใหม่ทำ�ใหม่ พอเอาจริง ๆ จัง ๆ มันไม่ใช่ทางที่จะ ตรัสรู้ท่านก็เปลี่ยนใหม่ พอเปลี่ยนกลับมาเสวยพระกระยาหารตามเดิม ทำ�ให้ ปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ก็ออกหนีจากท่านไป เพราะคิดว่าพระองค์ได้ถอยจากความเพียร เวียนมาหาความมักมาก ท่านเลยอยู่องค์เดียวก็เป็นประโยชน์แก่พระองค์ในการ ประกอบความเพียรทางจิต รุ่งเช้าของวันที่จะตรัสรู้นี้นางสุชาดาเอาข้าวมาถวาย ข้าวมธุปายาสพร้อมถาดทอง พระองค์ทรงรับไว้ได้ ๔๙ ก้อนท่านฉันแล้วท่านก็ อธิฐานเสี่ยงถาดทองว่า หากว่าจะได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ ขอถาดใบนี้จง ลอยทวนกระแสน้ำ�ขึ้นไป ซึ่งถาดนั้นก็ได้ลอยทวนกระแสน้ำ�ขึ้นไปจริง ๆ อธิฐาน 103


อยู่ต้นโพธิ์เลย พระองค์ภาวนาจนว่าจิตพระองค์เข้าอยู่ในอานาปานสติภาวนา เลย ถ้าแปลเป็นไทยก็ดูลมหายใจเข้าออกเท่านั้นไม่ให้ออกจากนั้นนะจิต ยาม ที่หนึ่งท่านก็ทรงบรรลุปุพเพนิวาสานุสสติญาณสามารถระลึกชาติได้ ยามที่สอง ท่านก็ทรงบรรลุสามารถมองเห็นการจุติและการเกิดของมวลสัตว์โลกได้ รู้ว่าทำ� สิ่งใดไปเกิดที่ใดเห็นไปหมดนรกอเวจี ยามที่สามท่านก็ได้ตรัสรู้เหตุสิ้นไปแห่งอา สวะเครื่องเศร้าหมองอันหมักหมมอยู่ในจิตสันดาน อย่างหมู่พวกมีแต่การค้นคิด พิจารณาไปพอพิจารณาไปก็เป็นสัญญาไปหมด เพราะว่ามันไม่เกิดกับใจนะอย่าง หลวงปู่มั่นท่านสอนท่านให้บริกรรมพุทโธ แม้จะเรียนสูงมาได้ ๕ ประโยค ก็ตาม ก็ต้องได้มาเรียนพุทโธกับท่าน บางองค์เรียนหนึ่งปีหกเดือนถึงค่อยอยู่กับพุทโธก็มี สองปีก็มีพอมันอยู่กับพุทโธเท่านั้นแหละมันจะเกิดหรอกธรรม จะเกิดถ้ามันสงบ ให้มันติดความสงบเสียก่อน แต่นี่ทางความคิดพิจารณาอยากเห็นครูบาอาจารย์ หรือได้ดูหนังสือก็เอาสิ่งนี้มันก็เป็นสัญญาไป มันไม่ได้เกิดกับตัวเองนะให้มันเห็น ด้วยตนเอง มันถึงจะเป็นปัจจัตตังถ้าไม่ลงมือทำ�ไม่ทำ�เอาเองมันไม่เห็นหรอก ครูบาอาจารย์ท่านมีแต่แนะนำ�แนวทางเท่านั้นแหละ เหมือนอาหารนี่แหละถ้า อยู่ในภาชนะถ้าเราไม่รับประทานมันก็ไม่รู้รสชาติ ธรรมของพระองค์เจ้านะจริง แต่เราเองที่ทำ�ไม่จริงเท่านั้น เดี๋ยวก็กล่าวอ้างผิด ๆ ว่าศาสนาไม่จริงเท่านั้นแหละ ที่แท้กิเลสนะหลอกออกไป ไปเชื่อกิเลสมันมาหลายภพหลายชาติแล้วนะ จะทำ� อะไรก็กลัวตายกลัวว่าตัวเองจะเหนื่อย ครูบาอาจารย์ท่านสู้มาจนมากพอแล้วนะ อย่างหลวงปู่มั่น ท่านสู้จนตัวท่านเองสลบไสลไปก็มี อย่างครูบาอาจารย์องค์ไหน พูดมามีแต่สลบไสลทั้งนั้น อย่างหลวงปู่ขามท่านก็ไม่ได้ทำ�เล่นนะ แต่ปัจจุบันนี้ ถ้าเข้าขากันละโอ๊ยไม่รู้คำ�พูดมาจากไหนนะ เป็นธรรมรวมกันไปหมดทำ�ไมจะพูด ไม่ได้ ในตำ�รามันมีมากมายมีให้เทียบเคียงคำ�พูดสามารถท่องจำ�เอา เหมือนนก แก้วนกขุนทองมันจะไปยากอะไร ให้พากันเร่งความพากความเพียรถ้าจิตอยู่กับ พุทโธ ๒๔ ชั่วโมง มันก็จะสังเกตได้หรอกมันจะเห็นไปหรอกธรรมของพระองค์ 104


เจ้ามันจะผุดขึ้นเองเกิดขึ้นเอง แล้วพอนั่งพูดก็มีแต่ความอยากก็วิ่งตามความอยาก อยู่นั้นแหละ เขาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ก็ไปกับเขานี่มีแต่เรื่องกิเลสหลอกไปหมด หลวงปู่มั่นท่านสอนอยู่นั่นแหละอย่างหลวงปู่ชอบท่านเดินตอนกลางคืน ท่านไม่ ได้ทิ้งพุทโธนะแต่เสือเอาท่านไปกินไม่ได้จะว่าอย่างไร แต่ท่านไปอยู่ถ้ำ�งูก็ว่างูพิษ มากมันก็ไม่ได้กัดท่านนะมันก็กลายเป็นมิตรเป็นสหายไป เรื่องเหล่านี้อำ�นาจของ ธรรมไม่ธรรมดานะไม่อย่างนั้นก็คงจะถูกกินถูกกัดหมดแล้ว แต่ช้างท่านพ่อลีแต่ เก่าท่านเดินอยู่กระนวนท่านว่า ตอนนั้นอายุพรรษาได้ ๗ พรรษาแล้วท่านเดิน สามวันสามคืน ไม่ได้ฉันอาหารมีแต่เดินเหนื่อยมากนอนอยู่ในทางช้างเลย แต่ ก่อนช้างมันมากนะทางช้างมันเหมือนถนนเหมือนทางรถเป็นด่านไป ถ้านอนก็ผูก ไม้ใส่ต้นไม้นั้นผูกไม้ใส่ต้นไม้นี้ก็นอนเอาผ้าปูผ้าอาบน้ำ�ปู ช้างมันก็มาตัวหัวหน้า มันมาก่อนมาตรวจตาลูกน้อง พอเห็นท่านแล้วมันก็ย้ายท่านเข้าในป่าไปนู่น ย้าย กลดก็กางเหมือนเก่าผ้าปูนอนก็ปูไว้เหมือนเก่าไม่ได้ผิดเลย แล้วมันก็บังท่านไว้ไม่ ให้หมู่เห็นหมู่พวกมาก็ผ่านไปจนหมดมันก็ค่อยตามหลังไป จิตตะมันกลัวสิ่งนี้มัน เป็นอันเดียวกันหมดมันรู้จักดีรู้จักชั่วเหมือนกันหมด มันรู้จักบาปรู้จักบุญเหมือน กันเพียงแต่ว่าเสวยเคราะห์กรรมต่างกัน เคราะห์กรรมของเขาเขาทำ�มาอย่างนั้นก็ ต้องเสวยตามวิบากกรรมอย่างนั้นแต่จิตอันเดียวกันต่างกันแต่กาย เราเป็นมนุษย์ นี่กลัวแต่ความตายถ้าครูบาอาจารย์ท่านตาย ท่านตายไปนานแล้วไม่ได้มาสอนเรา จนทุกวันนี้หรอก ท่านทำ�มาจนหมดแล้วแต่นี่เราทำ�อะไรก็ทำ�ไม่ได้เพราะกลัวตาย เลยไม่เห็นของดี มีแต่เชื่อเรื่องกิเลสตัณหาอยู่อย่างนี้มันเชื่อมาหลายภพหลายชาติ แล้ว ไม่ฝืนทำ�ไปไม่เห็นนะธรรมของพระองค์เจ้า ต้องประกอบความพากความ เพียรเอาเอง ถ้ามันเกิดขึ้นในตัวเองแล้วดูมันก็รู้จักหรอกความเพียรมันไม่ได้ไป สุงสิงกับหมู่พวกหรอก มีมากมายผู้ที่จะมาคุยด้วยแต่อยู่คนเดียวมันสบายปุจฉา วิปัสสนามันเกิดขึ้นที่นั่น ขอให้มันเห็นในใจเถอะถึงเรียนมาความจำ�ก็จำ�ได้เอามา พูดกัน มันไม่มีที่สินสุดหรอกความสงสัยลังเลในใจเกิดขึ้นอยู่อย่างนั้น อันนั้นอัน 105


นี้มันเกิดในใจมันเป็นอย่างหนึ่งโอชารสขอให้เร่งความพากความเพียร ผู้ใดตั้งใจ ทำ�มันถึงจะเห็นนะเดี๋ยวนี้ครูบาอาจารย์ท่านก็เหลือน้อยลงไปทุกทีแล้ว หมดไป แล้วปีนี้เป็นคู่เลยเต็มทีแล้วพ่อแม่ครูจารย์เดี๋ยวนี้ท่านรับแขกมาก แต่ก่อนได้ยิน ท่านบ่นว่าพ่อแม่ครูจารย์ฝั้นรับแขกมากแล้วอย่างไรสุขภาพท่านจะต้านทานได้ แล้วก็ไปว่าให้หลวงปู่เทสก์วัดหินหมากเป้งว่าท่านรับแขกมากก็ท่านใจดีจะให้ทำ� อย่างไร ศรัทธาญาติโยมหลั่งไหลไปหาท่านแล้วพ่อแม่ครูจารย์เทสก์ก็เลยว่าให้ว่า ให้ถึงคราวก่อนถึงคราวใครคราวมันหรอก จะเป็นผู้ที่ใจร้ายหรือใจดีนั้นจะมีมาด หรือไม่มีมาดก็ให้ดูกันไป เดี๋ยวนี้มันเจอกับท่านเองหมดเลยนะท่านจะดุขนาดไหน ก็ตาม เขาก็ไม่ได้ถือเพราะว่าท่านดุเป็นธรรมมีแต่เขาเข้าหานะเขาไม่ได้ถือนะ แต่ หลวงปู่หล้าท่านก็พึ่งเข้าผ่าตัดมาไม่นานนี้เองคิดว่าท่านคงจะไม่ไหวแล้ว เดี๋ยวนี้ ท่านก็อ่อนลงมากนะสุขภาพ พวกเรามันไม่เกิดนะหมู่พระหนุ่มสมัยนี้ มีแต่น้อย ลงน้อยลงสักหน่อยพระกรรมฐานคงไม่มีเลย วงนักปฏิบัติคงไม่มีเลยคงจะกลืนกัน ไปหมดปฏิญญากลืนกันไปหมดเลย โอ๊ยแต่คราวหลวงปู่มั่นและท่านเจ้าคุณอุบาลี นั้น พระกรรมฐานมากจริง ๆ เจ้าคุณอุบาลีท่านส่งเสริมทางนี้นะ เจ้าคุณธรรม เจดีย์ท่านก็ส่งเสริมฝ่ายปฏิบัติมาก เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วหมดไปหมดไปพอเลิกกัน

ba

106



ส่งเสริมการปฏิบัติ

เหนื่อยนั่งรถนะพอตกกลางคืนก็เจ็บปวดตามเนื้อตามตัว เดี๋ยวนี้จะไป ไหนก็ไปยากมายากนะ แล้วเป็นอย่างไรหมู่พวกการภาวนาไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร พอได้พบกันก็สนุกสนานร่าเริงกันเหมือนนกอีเอี้ยง ผมก็เคยเป็นผู้น้อยมาก่อนนะ พอฉันจังหันแล้วก็ไปใครไปมัน จะมาคุยกันไม่ได้นะเพราะอยู่กับพ่อแม่ครูจารย์ ท่าน แต่สมัยก่อนนั้นก็มีพระไม่มากเหมือนปัจจุบันที่อยู่บ้านตาดนี้นะ สมัยนั้น อยู่ที่บ้านห้วยทรายก็มีแค่แปดถึงเก้าองค์เท่านั้น รวมทั้งพระทั้งเณรแต่มันก็ไม่ มากเหมือนปัจจุบันนี้ แต่ปัจจุบันเขาก็เจตนามาอยู่แต่มาอยู่ก็เท่านั้นแหละมาก็ มาทะเลาะกัน แล้วจะให้มันเกิดมรรคผลนั้นจะเกิดได้อย่างไรแต่สัตว์เดรัจฉาน เขาก็ทำ�ได้เรื่องแบบนี้ เรื่องทะเลาะกันนั้นไม่ใช่พระที่มีศีลมีธรรมมีความเพียรเขา ประพฤตินะ พอได้มาอยู่ที่นี่หมู่พวกก็หลั่งไหลกันมานะแต่สมัยก่อนนั้น เคยไป อยู่ด้วยกันสามองค์อยู่ในถ้ำ�พอถึงเวลาก็ลงมาทำ�อุโบสถศีลด้วยกัน แต่ก่อนอยู่ บ้านตาดไม่มีนะที่จะได้ไปทำ�วัตรที่นั่นที่นี่และพ่อแม่ครูจารย์ท่านก็ไม่ได้ส่งเสริม ท่านส่งเสริมแต่การปฏิบัติเดินจงกรมภาวนา ถ้าจะเดินทางด้วยรถด้วยเรือท่าน ก็ไม่อยากให้ไป ทุกวันนี้เห็นเป็นพิธีกรรมไปหมดแล้วทั้งหนังสือสวดมนต์ก็จัด เข้าย่อเข้า มีแต่พิธีกรรมไปหมดศาสนาทุกวันนี้ที่ว่าเจริญนั้นเห็นมีแต่จะเสื่อมไป 108


เรื่อย วัดไหนไม่มีเทวทัตต์โทรทัศน์นั้นหายากแล้วนะทุกวันนี้ ครูบาอาจารย์ท่าน ไม่ให้ยึดติดในรูปในเสียงไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น แต่พวกเรามันก็ยังไปติดกันอยู่นะจะ ไปติดอะไรก็ติดหนังนั่นแหละ พระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนให้อุปัชฌาย์อาจารย์นั้น เป็น อุปัชฌาย์อาจารย์ของมนุษย์ในภายภาคหน้าให้สอนกรรมฐานห้า ก็สอนสิ่ง นี้แหละสอนสิ่งที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ถ้าจิตไม่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ทั้งห้ามันก็ไป ตามพระพุทธเจ้าแล้ว แต่นี้มันอยู่กับโลกอยู่กับสงสารเท่านั้นยินดียินร้ายอยู่อย่าง นั้น ภพไหนชาติไหนก็อันเดียวกันนั่นแหละมันจะไปต่างอะไรกันความทุกข์ความ สุข ผู้ที่เห็นแล้วก็อย่างพระพุทธเจ้าและสาวกเจ้าทั้งหลายนั้นแหละ ส่วนผู้ที่ยัง ไม่เห็นนั้นไปภพใดชาติใดก็หลงแต่ของเก่าหมุนเวียนอยู่อย่างนั้น ผูกจิตตัวเองอยู่ กับความรักความชังความอิจฉาพยาบาทอยู่อย่างนั้น พูดไม่ถูกใจก็เอาแล้วเอามา คิดพิจารณาเอามาผูกโกรธผูกเกียจอยู่อย่างนั้นแหละใจ แต่พระพุทธเจ้าและสาวก เจ้าทั้งหลายนั้นท่านไม่ได้มาร้อนรนเพราะเรื่องพวกนี้นะท่านถึงไปได้ แต่พวกเรา มันร้อนรนเพราะเรื่องพวกนี้นะจิตก็เลยไม่เป็นสมาธิ ผู้ใดจะตั้งจิตในความสงบ ก็ให้สงบพอสงบแล้วก็ให้พิจารณา ตั้งแต่เส้นผมลงมาถึงพื้นเท้าตั้งแต่พื้นเท้าขึ้น ไปหาศีรษะ ให้พิจารณาอยู่อย่างนั้นวนไปเวียนมาให้มันเกี่ยวข้องกันอยู่อย่างนี้ ถามมันเข้าไปหรือถ้าจะเกิดนิมิตมันก็ต้องถามไม่ถามไม่ได้นะ การฝึกเพื่อจะเข้า ทำ�งานนั้นก็เป็นการทำ�งานภายนอกเป็นงานทางโลกเขา แต่นี่เราฝึกจิตฝึกใจของ เราซึ่งเป็นงานภายในพระพุทธเจ้าท่านพาฝึกอย่างไร เราก็เอาตามแบบฉบับของ พระพุทธเจ้าท่านมาเป็นหลัก เอาไปใคร่ครวญพิจารณาวันนั้นวันนี้ทำ�ไปสักวันมัน จะชำ�นาญเอง เหมือนเราทำ�ไร่ทำ�นาทำ�การงานหรือทำ�จักสานทำ�แรกๆ ก็ไม่ถนัด พอทำ�ไปก็ชำ�นาญไปเอง หรือเหมือนเราเขียนหนังสือเขียนตัวหนังสือเดี๋ยวหัวยาว หัวสั้น ตอนที่มาหัดเขียนใหม่ๆ บางครั้งครูก็ต้องมาจับมือเพื่อช่วยเขียน พอเราทำ� ไปมันก็ชำ�นาญเองอย่างคำ�ของหลวงปู่มั่นท่านว่า“ทำ�ให้มากเจริญให้มาก”ท่านว่า อย่างนั้น ถ้ามันเคยชินกับงานแล้วมันก็ง่ายพอทำ�มันก็รวดเร็วสะดวกงานออกมาดี 109


ไม่ว่าจะวันไหนมืดกับสว่างก็มีอยู่เป็นประจำ�ทุกวันอยู่แล้ว เราไม่ทำ�ไม่ปฏิบัติด้วย ตนเองก็ไม่ได้อะไรสักอย่าง อย่างท่านเจ้าคุณอุบาลีท่านว่า“ตนนั้นแหละเป็นที่พึ่ง ของตน” นี่คือความจริงถ้าตั้งใจฝึกกันจริงๆ ก็จะทำ�ให้ตัวเองนั่นแหละมีความ รู้ขึ้น ให้พากันเร่งความพากความเพียรอย่าไปนอนใจนะ เรื่องของใครของมัน สมบัติใครสมบัติมันใครเกียจคร้านก็เรื่องของเขา มีแต่กิเลสเท่านั้นนะที่มันเหยียบ หัวผู้มีกิเลสอยู่ ผู้มีกิเลสทำ�อะไรก็ต้องให้ถูกใจตัวเองไปหมด ใครจะทำ�อะไรก็ต้อง ถูกใจตัวเองนะแต่หัวใจตัวเองจริงๆ แล้วก็ยังไม่ถูกเลย พอเลิกกันวันนี้รู้สึกแสบ ร้อนท้อง

ba

110




Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.