สนุกคิดกับวิทยาศาสตรอากาศยาน เลม 2
คํานํา หนังสือ สนุกคิดกับวิทยาศาสตรอากาศยาน มีทั้งหมด 3 เลม เลมนี้คอื เลม 2 เปนตอนตอจากเลม 1 ซึ่งไดกลาวถึงความรูพื้นฐาน สําหรับนักเรียนเพิ่งเริ่มตนเรียนรู ทางอากาศพลศาสตรของเครื่องบินไวแลว เมือ่ นักเรียน เรียนมาถึงตอนนี้ จะปรับ กิจกรรมเปนการเลนเครื่องบินพลังยาง ซึ่งมีคูมือวิธีการสรางและวิธเี ลนทีถ่ ูกตอง เขียน ไวแลวโดยผูม ีประสบการณ ดวยผมเห็นวา อาจารยและบุคลากรที่เกี่ยวของ มีทักษะใน การทําเครื่องบินพลังยาง สําหรับกิจกรรมการทําและแขงขันเครื่องบินพลังยาง ไดดีอยู แลว เชื่อวาจะชวยแนะนํา และสอนการทําเครื่องบินพลังยางได อยางไมมีปญหา ดังนั้นสําหรับผมคือ เขียนในสวนของหลักการ หรือทฤษฎีพื้นฐาน ที่เหมาะกับ นักเรียนในระดับนี้ เนื้อหาในเลมนี้ไดนาํ เอามาจาก หนังสือทีผ่ มเคยเขียน ไวกอนหนานี้ คือ หนังสือ อากาศยานและอากาศพลศาสตรพนื้ ฐาน โดยนํามาประยุกต และดัดแปลง เพิ่มเติม ตัดออก บางสวนตามความเหมาะสม เชน มีการ เขียนรูปเพิ่มขึ้น เพิ่ม คําอธิบาย ฯ อยางไรก็ตาม คุณครูผูสอนมีสวนสําคัญ ที่ยังคงตองใหคําอธิบายแกนักเรียน ใน ระดับนี้ คงเปนการยากที่จะเขียนหนังสือ และทําใหผูอานเขาใจไดทั้งหมด โดยไมตอง รับฟงคําอธิบายเลย และคงเปนไปไมได ที่จะเขียนเพื่ออธิบายใหลึกลงไปในทุกแงทกุ มุม ดวยเหตุนี้จึงตองมีการบรรยาย เพื่อเปดโอกาสใหไดมีการพูดคุยซักถาม บางครั้งผม ทราบดีวาถาเราอธิบายอยางละเอียดพรอมยกตัวอยาง ในทุกเรื่อง จะชวยไดดีในระดับ หนึ่ง แตแนนอนหนังสือจะหนามาก และทําใหไมอยากอาน ถาอธิบายยืดยาวเกินไปใน ทุกเรื่อง ดังนัน้ ผมจึงพยายามจะใหคําอธิบาย และตัวอยางเทาที่จําเปน แตละบทจะเนนไปในเรื่องของการบรรยาย เพื่อใหความรูในเรื่องของเครื่องบิน ที่ คาดวานักเรียนจะจําได รู และเขาใจ มีเนื้อหาพอประมาณ ไมตองการใหมีมากเกินพอดี จะทําใหนักเรียนเบื่อ เพราะกิจกรรมตองการเนนใหเด็กนักเรียน ไดปฏิบตั ิและรู เขาใจ หลักการในระดับหนึ่งตามความเหมาะสม จะชวยเสริมความเขาใจทางวิทยาศาสตร จากการไดเขาไปลองเลน ทํากิจกรรมหรือเห็นสถานการณจริง ชวยใหการเรียนรูไมนา
ข
เบื่อ การตั้งคําถามกับนักเรียน ไมจําเปนที่ตองใช เฉพาะในแบบฝกหัดทายบท คุณครูตั้ง คําถามขึ้นไดเอง จากหลักการในบทเรียน หรือจากสถานการณจริง ที่ตอบโดยอาศัย หลักการได แบบฝกหัดทายบท มีไวชว ยเสริมความเขาใจ ซึ่งไดมีเฉลยไวใหแลว อยางไรก็ตามการเขียนหนังสือชุดนี้ ผมมีความตั้งใจที่ตองการใหนักเรียนได พัฒนาวิธีคิดในการมองหาคําตอบจากสิ่งทั้งหลายรอบๆตัวเราอยางมีเหตุผล ซึ่งนําไป ใชเปนแนวทางการศึกษาในอนาคต ที่เปนสวนของความรูทางฟสิกสหรือวิทยาศาสตร ไมเฉพาะกับเครื่องบินเทานั้น แตถาตองมีสวนไปเกี่ยวของกับเรื่องของเครื่องบินไมวาจะ เปนการเรียน หรือการทํางานทางดานนี้ ก็จะยิ่งชวยสงเสริมคือเปนฐานความรู และทํา ใหพูดคุย ในเรื่องของเครื่องบินไดอยางถูกตองเปนสากล สวนของผนวก เลม 2 ไดมีการเพิ่มเนื้อหาในเรื่อง ประวัติเหตุการณ ดานการ บิน และบุคคลที่เกี่ยวของ ในประเทศไทย ดวยความอนุเคราะห มาจาก อาจารย พลอากาศตรี หญิง ประพิมพร เฉลิมอากาศ ผมจึง ขอขอบคุณมา ณ ที่นดี้ วย ถือวาเปน เกร็ดความรู ชวยใหไดรูถึงประวัติศาสตร ในสวนของการพัฒนา ดานการบิน และบุคคล ที่เกี่ยวของ ในประเทศไทย ทานใด ที่ไดอานและพบสิ่งผิดพลาดในหนังสือเลมนี้ หรือมีขอ เสนอแนะ ผมจะ ยินดีมากถากรุณาแจงใหผมไดทราบ ปราโมทย แตงหอม มี.ค. 2557
ค
สารบัญ หนา คํานํา ก สารบัญ ค บทที่ 1 ความเปนมาของการบิน 1 1.1 ประวัติการบินของมนุษย 1 1.2 สถิตศาสตรของอากาศ (Aerostatics) 5 1.3 อากาศยานที่หนักกวาอากาศ (Heavier-than-air Flight) 8 1.4 วิทยาศาสตร ของอากาศพลศาสตร (The Science of Aerodynamics) 16 แบบฝกหัดบทที่ 1 18 บทที่ 2 แรงกระทําตอเครื่องบิน 19 2.1 แรงขับ (Thrust) 20 2.2 แรงยก (Lift) 23 2.3 แรงตาน (Drag) 29 2.4 แรงเนื่องจากน้ําหนักที่กระทําตอเครื่องบิน 33 แบบฝกหัดบทที่ 2 37 บทที่ 3 เสถียรภาพและการควบคุม 39 40 3.1 แกนอางอิงและการควบคุมเครื่องบิน 3.2 การควบคุมการ กม-เงย ดวยคานาด 47 แบบฝกหัดบทที่ 3 55 บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน 57 4.1 ขอมูลจําเพาะในการแผนแบบ (Design Specifications) 58 4.2 หลักเกณฑในการแผนแบบ (Airworthiness Requirement) 59 4.3 ขั้นตอนในการแผนแบบ (Design Phases) 60 4.4 กระบวนการแผนแบบ (The Design Process) 62
ง
4.5 แนวความคิดเริ่มตน (Initial Conception) 4.6 การแผนแบบลําตัว (Fuselage Design) 4.7 การแผนแบบปก (Wing Design) 4.8 การเลือกเครื่องยนต (Powerplant Selection) 4.9 ลักษณะของฐานลอ (Landing Gear Configuration) 4.10 การแผนแบบชุดสวนหาง (Tail Design) 4.11 การประมาณคาเบื้องตน (First Estimation) 4.12 การใชคอมพิวเตอรชวยในการแผนแบบ (Computer-aided Design) แบบฝกหัดบทที่ 4 บทที่ 5 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 1 5.1 ประวัติความเปนมาของอุโมงคลม (History of Wind Tunnels) 5.2 แบบตางๆของอุโมงคลม (Wind Tunnel Type) แบบฝกหัดบทที่ 5 บทที่ 6 พัฒนาการของเครื่องบิน 6.1 วิวัฒนาการของการแผนแบบ (Design Evolution) 6.2 บินดวยความเร็วที่สูงยิ่งขึ้น (Higher Speed) 6.3 ความเร็วเสียง (The Speed of Sound) 6.4 ตัวเลขมัค (Mach number) 6.5 คลื่นช็อค (Shock Wave) แบบฝกหัดบทที่ 6 ผนวก บรรณานุกรม
63 66 69 75 76 78 86 89 93 95 96 101 108 109 109 115 117 120 122 126 127 131
บทที่ 1 ความเปนมาของการบิน มนุษยเราเปนสิ่งมีชีวิตบนโลก ทีม่ ีสติปญญาสูงกวาสัตวอนื่ เปนเวลานาน มาแลวที่มนุษยไดนําเอาความรู หรือเทคโนโลยี (ซึ่งถือไดวาเปนเครื่องมือ อันทรง ประสิทธิภาพของมนุษยชาติ) เทาทีม่ ีอยูมาใชพัฒนาและ ปรับปรุงสิ่งตางๆ ในธรรมชาติ เพื่อใหเปนประโยชน และใหความสะดวกแกตนเอง จะเห็นไดจากเครื่องใช สิง่ อํานวย ความสะดวกตางๆรอบตัวเรา ลองมองยอนไปในยุคโบราณมนุษยไดอาศัยแรงจากสัตว มาชวยทํางาน เชน มา วัว ฯ ในการลากจูงหรือใหกําลังในการทํางานบางประเภท อาศัย แรงลมในการขับเคลื่อนเรือ อาศัยเครื่องจักรกลอยางงาย เทาทีจ่ ะทําไดในยุคนั้น เพื่อให ไดรับความสะดวกสบาย ยานพาหนะเปนสิ่งหนึ่ง ที่อํานวยความสะดวก และสนอง ความตองการ แตก็ตองมีการพัฒนาตอไปเทาทีจ่ ะทําได เพื่อใหไดยานพาหนะที่ไปได ไกลกวา เร็วกวา และดีกวาอยางเชน ที่เราเห็นกันอยูในปจจุบนั
1.1 ประวัติการบินของมนุษย
รูปที่ 1.1 มนุษยมีความตองการที่จะบินไดมานานแลว
2
บทที่ 1 ความเปนมาของการบิน
มีความเปนไปไดวามนุษยเรามีความตองการที่จะบิน มาตั้งแตยุคกอนที่จะมีการ บันทึกประวัติศาสตร หรือที่เราเรียกกันวายุคกอนประวัติศาสตร ยอนไปในยุคที่มนุษย ยังตองนุงใบไมหรือหนังสัตว ความรูสึก จินตนาการที่อยากจะบินไดอยางนก นาจะมี มาแลวตั้งแตในยุคนั้น เนื่องจากในธรรมชาติมี นกบินไปมาใหเห็น รูปที่ 1.1 ดวยวา นก บินและลอยไดดวย การกระพือปกและรอนไปในอากาศ ดังนั้น ในการจินตนาการที่จะ บินได จึงไดยึดวิธี แบบเดียวกับนก คือ ปกตองมีการกระพือ ใหเกิดแรงที่จะยกตัวให ลอยขึ้น ตํานานตางๆที่เลาตอๆ กันมาก็ยังมีเรื่องความพยายามที่ตองการจะบินของ มนุษย เชน ตํานานของกรีกเรื่องของ เดดารัส (Daedalus) และลูกชายของเขา ไอคารัส (Icarus) เปนนักโทษติดอยูในคุกบนเกาะ ไดพยายามหนีออกจากคุกโดยใชขนนก มา ทําเปนปก เลียนแบบนก และติดเขาดวยกันโดยใชกาวขี้ผึ้งทา ทั้งคูไดบินออกมาพนจาก เกาะไปไดไมไกล ปรากฏวา กาวขี้ผึ้งที่ใชติดขนนกเขาดวยกันนั้น ละลายออกเนื่องจาก ถูกแดดเผา ทําใหตกลงไปในทะเล ซึง่ ถาเปนจริงก็ถือไดวาเปน อุบัติเหตุ(crash)ในการ บิน ครั้งแรกของมนุษยชาติ จากรูปที่ 1.2 เปนภาพเขียนแสดงเหตุการณที่ไอคารัส กําลัง ตกลงไปในทะเล อยางไรก็ตาม ตํานานของกรีกในเรื่องนี้ไดแสดงใหเห็นวามนุษยมีความพยายาม ที่จะบินใหไดโดยการเลียนแบบนก เชนเดียวกันตํานานของชาติอื่นๆหรือแมแตของไทย เองเชนกัน แสดงใหเห็นถึงความตองการ ที่จะบินใหได และดูเหมือนวาจะพยายามบิน โดยยึดแนวทางของนกเปนหลัก เงื่อนไขในการบินโดยวิธีกระพือปกแบบนก สําหรับมนุษยทใี่ ฝฝนทีจ่ ะบินใหได นั้นไดสืบทอดมานับเปนพันป ตั้งแตยุคของ ลีโอนาโด ดาวินซี (Leonardo Da Vinci) จิตรกรนักวิทยาศาสตรผูซึ่งมีความสามารถในหลายๆดาน ไดถายทอดความคิดในการ ประดิษฐอุปกรณการบินสําหรับมนุษย เปนรูปเขียนลงในกระดาษ มีลกั ษณะเปนการ เลียนแบบนก คือ ตองใชกําลังของคนในการกระพือปกใหเกิดแรงยก และเคลื่อนที่ไป ขางหนา ดังในรูปที่ 1.3 เปนการแสดงความสามารถของ ดาวินซี ซึ่งขณะนั้น มนุษยเรา ยังไมมีความรูพื้นฐาน ทางดานการบินหรือทางดานอากาศพลศาสตรเลย แตก็เปนการ แสดง แนวความคิดของมนุษยยุคนัน้ ในเรื่องการบิน
บทที่ 1 ความเปนมาของการบิน
รูปที่ 1.2 ในตํานานกรีก สองพอลูกพยายามหนีออกจากคุกบนเกาะโดยการติดปกบิน
รูปที่ 1.3 แบบจําลองแนวความคิดของ ลีโอนาโด ดาวินซี ในการบินของมนุษย
3
4
บทที่ 1 ความเปนมาของการบิน
ความสําเร็จที่จะเกิดขึ้นได ในการสรางอากาศยาน ชนิดใดก็ตาม ตั้งอยูบน พื้นฐานของความรูทางวิทยาศาสตร หลายแขนง นักประดิษฐหรือนักวิทยาศาสตร ใน สมัยกอนสังเกตเห็นการลอยขึ้นของควันและขีเ้ ถา เมื่อมีการเผาไหมของเชื้อไฟ และเถา เหลานัน้ ก็ลวงตกมายังพื้นดินอีก แสดงใหเห็นวาเปนการลอยขึ้นเนื่องจากอากาศรอน ของเปลวไฟ โจเซฟ และอีเชียน (Joseph and Etienne) สองพีน่ องตระกูล มองโกฟเออร (Montgolfier) ไดนําเอาความเขาใจ จากการสังเกตปรากฏการณนี้ไปออกแบบและ สรางบอลลูนอากาศรอนขึ้นเปนครั้งแรก ที่ประเทศฝรั่งเศสเมื่อเดือน มิถุนายน ป ค.ศ. 1783 ดังแสดงในรูปที่ 1.4
รูปที่ 1.4 การปลอยบอลลูนรอนของพีน่ องตระกูลมองโกฟเออรเมื่อ ป ค.ศ. 1783
บทที่ 1 ความเปนมาของการบิน
5
ในตอนนั้น พี่นองตระกูลมองโกฟเออร ไมทราบสาเหตุทแี่ ทจริง ที่ทําใหบอลลูน ลอยขึ้น เขาเขาใจวาการเผาไม ทําใหเกิดกาซชนิดหนึ่งที่ไมยงั รูจัก เปนตัวพาใหบอลลูน ลอยขึ้น หลักการของอากาศยานที่เบากวาอากาศนั้นไดมีความเขาใจมากขึ้นในเวลา ตอมา อยางไรก็ตามถามีใครนําเอา กาซไฮโดรเจน หรืออากาศรอน บรรจุไวในบอลลูน ชวงกอน ป ค.ศ. 1783 แนนอนยอมสรางความอัศจรรยใจ ใหกับผูที่ไดพบเห็น แตใน ปจจุบนั นี้ เปนเรื่องธรรมดา กับการไดเห็นบอลลูน แบบตางๆลอยไปมา ดังในรูปที่ 1.5 เปนบอลลูนอากาศรอนใชในการแขงขัน หรือประกวดในชวงเทศกาล ประเทศไทยเองก็ มีใหเห็นมากมายในชวงเทศกาล คือประเพณีปลอยโคมลอยทางภาคเหนือ เพียงแตมี ขนาดเล็กและทําแบบงายๆ เพียงเพือ่ ใชใหลอยขึ้นไปมีแสงสวางดูสวยงามเทานั้น ทําไม ถึงลอยไดจะกลาวในหัวขอตอไป
1.2 สถิตศาสตรของอากาศ (Aerostatics) บอลลูนลอยไดในอากาศ สามารถอธิบายไดโดยใชหลักการของแรงลอยตัว นัก วิทยาศาสตรชาวกรีก ชื่อ อาคีมีดิส(Archmedes) เปนคนแรกที่ไดอธิบายเรื่องของแรง ลอยตัว เมื่อมีวัตถุจมอยูในของเหลวหรืออากาศ ตองมีแรงลอยตัว อันเนื่องมาจากความ แตกตางของความดัน ทีก่ ระทําตอผิวดานบนกับ ผิวดานลางของวัตถุที่จมอยูในของไหล นั้น ตามธรรมชาติ ความดันในของไหลใดๆจะมากขึ้นตามความลึก อากาศที่ระดับสูงมี ความดันนอยกวาอากาศที่ใกลกับพื้นดิน โดยเฉพาะในน้ําจากประสบการณจริง จะ พบวาถายิ่งดําน้ําลงไปลึก แรงกดของน้ําที่กระทําตอตัวเราจะยิ่งมากขึ้น นั่นคือยิ่งลึก มากเทาไรความดันก็ยิ่งมากขึ้นเทานัน้ ไมวาการเปลี่ยนระดับความลึกหรือเรียกวาความ สูง จะเปนระยะสั้นๆ ก็ยงั คงมีความแตกตางของความดันอยูดี เพียงแตวาความดันมาก นอยขึ้นอยูกับระดับ ของความลึก เพื่อใหเขาใจไดดีขึ้นวา ระดับความลึกยิ่งมากความ ดันจะยิ่งเพิ่มขึ้น เปรียบไดกับการที่เราวางกลองซอนกันหลายๆใบใหสูงขึ้นไป ใบลางสุด จะมีแรงกดทับมากกวาใบที่อยูดานบน ถาซอนกันสูงมากเกินไปจะทําใหกลองใบลางนัน้ บี้แบน หรือแตกไดดวยแรงกดเชนเดียวกับของเหลวซึ่งทับซอนกันลงไปจนถึงสวน ลางสุด
6
บทที่ 1 ความเปนมาของการบิน
รูปที่ 1.5 บอลลูนอากาศรอนและ แสดงสวนประกอบในรูปดานขวามือ
ทําความเขาใจกับคําวา ของไหล และคําวา ความดัน ของไหล (Fluid) นั้นไดแก กาซ (Gas) และของเหลว (Liquid) ตัวอยางของสิ่งที่ เปนกาซ เชน กาซออกซิเจน กาซคารบอนไดออกไซด อากาศถือวาเปนกาซอยางหนึ่ง ประกอบดวย ไนโตรเจน ออกซิเจน คารบอนไดออกไซดเปนสวนใหญ ฯลฯ ตัวอยางของ สิ่งที่เปนของเหลว เชน น้าํ น้ําเชื่อม น้าํ มัน ทินเนอร เลือดที่ไหลอยูในตัวเรา ฯลฯ บอลลูนถือไดวาเปนยานที่ลอยได โดยอาศัยหลักสถิตศาสตรของอากาศ นั่นคือ สามารถลอยไดโดยไมตองอาศัยการเคลื่อนที่ของอากาศหรือกระแสอากาศ การลอยขึน้ ของบอลลูนใชวิธี ทิ้งน้ําหนักบางสวนที่บรรทุกมาดวยลงไป สวนใหญใชถุงทราย เมื่อ ตองการลดระดับลงก็ปลอยกาซในตัวบอลลูนออกไปเสีย สําหรับบอลลูนอากาศรอนใช วิธีปรับความรอนของเปลวไฟใหมากนอย โดยปกติทั่วไปการเคลื่อนที่ในแนวระดับ ขึ้นอยูกับทิศทางลมแลวแตจะพัดไปทางไหนดังในรูปที่ 1.5 และ 1.6 นักประดิษฐในสมัยกอนพยายามติดตั้งชุดใบพัดขับเคลื่อนใหกับยานบอลลูน หรืออากาศยานที่เบากวาอากาศ มีชื่อเรียกวา “เรือเหาะ (Airship)” รูปที่ 1.7 ซึ่ง เคลื่อนที่ไดชา มากเนื่องจากมีแรงตานการเคลื่อนทีส่ ูงเพราะลําตัวใหญ แตก็เปนที่นิยม ใชในยุคแรกๆ ชวงสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปจจุบันมักจะใชเรือเหาะในบางกรณี เนื่อง
บทที่ 1 ความเปนมาของการบิน
จากการลอยตัวไมตองใชพลังงานจึงไมสิ้นเปลืองน้ํามันเชื้อเพลิง เฉพาะตองการเคลื่อนที่
7
ใชน้ํามันเชื้อเพลิง
รูปที่ 1.6 การลอยตัวขึ้นของบอลลูนและไปหยุดที่ความสูงระดับหนึ่งเนื่องจากความหนาแนนของ อากาศ
รูปที่ 1.7 เรือเหาะสรางในประเทศเยอรมัน มีโครงสรางแข็งขับเคลื่อนดวยใบพัด
8
บทที่ 1 ความเปนมาของการบิน
1.3 อากาศยานที่หนักกวาอากาศ (Heavier-than-air Flight) ความพยายามของมนุษยที่จะบินไดอยางนก ในลักษณะทีส่ ังเกตจากธรรมชาติ ดวยวิธีการกระพือปก เชนเดียวกับที่นกหรือสัตวปกทั้งหลายบิน แตวาในบางครั้งจะ พบวาการบิน หรือลอยตัวไดของนกนัน้ จะเปนการรอนไปในอากาศ ซึ่งลอยอยูได โดยไม ตองกระพือปก ลักษณะของปกกางออกนิ่งเพื่อพยุงตัวใหลอยอยูไดในอากาศเปน เวลานาน ยิง่ ถาอยูในบริเวณที่มีการไหลขึ้นของอากาศในแนวดิ่ง จะเปนการชวยใหนกที่ กําลังรอนโดยไมไดกระพือปกอยูนั้น ลอยตัวสูงขึน้ ไปไดอีก นานมาแลว มีคนอยูคนหนึ่งทราบดี (เพราะเปนคนชอบสังเกต) ถึงการรอนของ นกในลักษณะที่ปกอยูนิ่ง และทําใหลอยอยูในอากาศ ไดเปนเวลานานๆ ซึ่งเปนวิธกี ารที่ นาจะเปนไปไดสําหรับมนุษยในการที่จะบิน เซอร จอรจ แคลีย ชาวอังกฤษในสมัย ศตวรรษที่ 18 ไดพยายามพัฒนาเครื่องรอนปกนิ่งดวยความกระตือรือรนในแนวทาง เดียวกับที่ดาวินซี ไดคดิ ไวตางกันตรงที่วาของ ดาวินซี นัน้ ตองกระพือปก แนวความคิดและวิธีการของ แคลีย เปนวิธีการทางวิทยาศาสตร เขาไดทําการ ทดลองสมมุติฐานที่ไดตั้งขึ้นโดยอาศัยหลักการทางวิทยาศาสตร เพื่อเปนการพิสูจนวา เปนไปตามทีไ่ ดคาดการณไวหรือไม เขาอยูในชวงของการทําความเขาใจในเรื่อง เสถียรภาพ และการควบคุมอากาศยาน การแผนแบบ ชุดหางของเครื่องรอน เพื่อเปน การบังคับควบคุมเครื่องรอน นั้นคลายคลึงกับชุดหางของเครื่องบินในยุคปจจุบนั ใน ป ค.ศ. 1853 แคลีย ไดแผนแบบและสรางเครื่องรอนที่มีคนโดยสารไปดวย หรือจะเรียกวานักบินในขณะนั้นก็วาได เพื่อรอนไปในอากาศ ถือไดวาเปนการบินเครื่อง รอนของมนุษยเปนครั้งแรกที่มีการบันทึกไวในประวัติศาสตรการบิน ของอากาศยานที่ หนักกวาอากาศ ปรากฏวา ผูโดยสาร (ที่ทําหนาที่เหมือนกับเปนนักบินในขณะนั้น) ได ขอถอนตัวอยางถาวร หลังจากที่ไดรบั ประสบการณ ทดลองบินเที่ยวแรกในชีวิต แมวาผลงานของ แคลีย จะไดรับการตีพิมพ แตไมไดรับความสนใจจากคนทั่วไป ในขณะนั้น นักวิทยาศาสตรและนักประดิษฐในขณะนั้นไดคิดที่จะสรางเครื่องรอนขึ้น แตไมประสบความสําเร็จ ดวยวาตางคนตางทํา ความรูพื้นฐานทางดานนี้ ยังมีไมมาก พอ อีกทั้งยังไมมีการสนับสนุน แตดวยความพยายามของนักประดิษฐที่มีความมุงมั่น
บทที่ 1 ความเปนมาของการบิน
9
ชาวเยอรมัน ชื่อ ออโต ลิเลียนทาล(Otto Lilienthal) เปนวิศวกร ที่มีแนวความคิดในการ สรางเครื่องรอนโดยใช ความรู เหตุผล และการวิเคราะหทางวิทยาศาสตร ลิเลียนทาล ประสบความสําเร็จ ในการรอนไดหลายเที่ยว ดวยเครื่องรอนที่เขาประดิษฐขึ้นเอง แต เปนทีน่ าเสียใจที่เขาไดประสบอุบัติเหตุถึงชีวิต จากการใชเครื่องรอน กอน ที่เขาจะไปสู เปาหมายอันยิ่งใหญ ในรูปที่ 1.8 เปนเที่ยวบินหนึ่งของการรอนตอหนาสาธารณชน
รูปที่ 1.8 ความสําเร็จในการใชเครื่องรอน ของ ลิเลียนทาล ตอสาธารณชนในประเทศเยอรมัน
ในประเทศสหรัฐอเมริกา ออคเตป ชานุท(Octave Chanute) วิศวกรในรัฐชิคาโก ไดทดลองใชเครื่องรอนที่สรางเองเชนเดียวกับ ลิเลียนทาล ในชวงเวลาเดียวกัน ประมาณ ป ค.ศ. 1900 เขาทํางานเหมือนกับเปนนักวิทยาศาสตร คือทําการทดลอง รวบรวมขอมูล และผลงานจากการทดลอง ทั้งหมดที่ได ซึ่งเปนประโยชนตอการพัฒนา อากาศยานในรูปที่ 1.9 เปนการทดลองบินดวยเครื่องรอนที่เขาสรางขึ้นเอง
10
บทที่ 1 ความเปนมาของการบิน
ความพยายาม ความอุตสาหะ ทั้งหลายที่ไดเกิดขึน้ ก็เนื่องมาจากความตองการ ที่จะสรางยานพาหนะที่บนิ ได คือ อากาศยานที่คนสามารถโดยสารไปไดโดยมีกําลัง ขับเคลื่อน เปนที่นาเสียดายที่ความพยายามของมนุษยในยุค ป ค.ศ. 1800 ยังไมมี เครื่องยนตที่ใหกําลังมากพอ และมีน้ําหนักเบา จะมีกแ็ ตเครื่องจักรไอน้ําซึ่งมีน้ําหนัก มากเกินไป อีกทั้งความยุงยากในการใชงาน ไมเหมาะที่จะนํามาใชกับอากาศยาน แต ในป ค.ศ. 1894 เซอร ไฮแลม แมกซิม (Hiram Maxim) ชาวอังกฤษไดติดตั้ง เครื่องจักรไอน้ําโดยใชใบพัดในการขับเคลื่อนใหกบั เครื่องบิน ถือไดวาเปนเครื่องบิน เครื่องแรกที่ใชกําลังจากเครื่องจักรกลที่มนุษยสรางขึ้นเทาที่จะทําไดในสมัยนั้น ดวยวา เครื่องจักรไอน้ํามีน้ําหนักมาก การควบคุมทําไดลําบาก ทั้งยังมีองคประกอบไม เหมาะสมตอการนํามาใชกับอากาศยาน จึงเปนเพียงปรากฏการณ ที่แสดงใหเห็นถึง ความพยายามของมนุษยในยุคนั้นทีต่ องการบินใหได
รูปที่ 1.9 การทดลองบินดวยเครื่องรอนของ ชานุท ในสหรัฐอเมริกา
บทที่ 1 ความเปนมาของการบิน
11
ความพยายามในแตละรูปแบบทีผ่ านมา พุงเปาไปที่เรื่องของแรงยก และกําลัง ในการขับ เคลื่อน แตจะมีใครคิดหรือไมวา การควบคุมเครื่องบินนั้นไมงายเหมือนอยาง ควบคุมเรือที่ลอยอยูในน้ํา ซึ่งคอนขางมีความแตกตางกันอยางมาก การควบคุมเรือเปน เพียงทําให หัวเรือหันไปทางซายหรือขวา(Yawing) เทานั้นเอง อยางไรเสียก็ลอยในแนว ระดับบนผิวน้ํา แตสําหรับเครื่องบินนัน้ มีสิ่งที่ตองควบคุมที่เพิ่มขึ้นมาอีก ไดแก การกม เงย (Pitching) การหมุนดานขาง (Rolling) เรียกวากลิ้งไปทางดานขางก็ได การเพิ่มและ ลดระดับ ซึ่งการควบคุมในสวนที่เพิ่มขึ้นมานี้ จะตองเชื่อถือไดดวยไมเชนนัน้ ก็ไม สามารถบินได
รูปที่ 1.10 สองพีน่ องตระกูลไรท
12
บทที่ 1 ความเปนมาของการบิน
ยังมีนักประดิษฐหนุมชาวอเมริกันอยูสองคน ที่รูและเขาใจถึงปญหาในการ ควบคุมนี้ดี เขาคือ วิลเบอร และ เออวิลล ไรท (Wilbur and Orville Wright) รูปที่ 1.10 เราคงทราบกันดีมาแลววา สองพี่นองตระกูลไรท คือ ผูทสี่ ามารถทําการบินไดสําเร็จเปน ครั้งแรกในโลก จากเครื่องบินที่ไดออกแบบและสรางเองรวมทั้งเครื่องยนตดวย แตบาง คนอาจจะมองวาสองพี่นอ งตระกูลไรท เปนเพียงนักคิด ที่มีความพยายามและบังเอิญ ทําใหเครื่องบินที่สรางขึน้ มา บินไดดวยอาศัยผลงานและการทดลองของผูบกุ เบิก ทางดานการบินที่ไดทําไวกอน แนนอนการทํางานใหสําเร็จ การคนพบสิ่งใหม ยอมตอง อาศัยผลงานของคนในอดีตทั้งสิ้น แตการทํางานของสองพีน่ องตระกูลไรท นั้นถูกตอง และมีหลักการ เปนไปตามวิถีแหงการพัฒนาทางวิทยาศาสตร และการประดิษฐคิดคน วากันตามความเปนจริงแลว สองพี่นองตระกูลไรท นั้นเปนคนหนุมที่มี ความสามารถสูง มองการณไกล การทํางานของเขาเปนไปอยางมีขั้นตอนที่เปน วิทยาศาสตร เขาเรียนรูจากสิ่งที่ผูอื่นไดทําไว ทั้งทีส่ ําเร็จและลมเหลว เชน ลิเลียนทาล และ ชานุท พยายามแกปญหา ความสําเร็จอันโดงดังในการบินครั้งแรกของมนุษยชาติ ที่ คิทตีฮ้ อค (Kitty Hawk) เปนผลมาจากความพยายามอยางตอเนื่อง ของเขามาตลอด 4 ป จากการทดลอง และการแกปญหาอยางมีหลักการ สองพี่นองตระกูลไรท มุง แกปญ หา ทีละอยาง ทีละอยาง ในเชิงเทคนิค(คือใช หลักวิชาการ) สอนตัวเองในการที่จะควบคุมเครื่องบิน พยายามปรับปรุงการออกแบบ ใหมีประสิทธิภาพดีขึ้น ซึ่งการทดลองกอนหนานั้นทํากับเครื่องรอนแตสิ่งที่ตองการคือ เครื่องบินที่ใชกําลังจากเครื่องยนต เขาพยายามทําทุกอยาง เชน การวัดขนาดของแรงที่ เกิดขึ้นจากกระแสลมจริง ดวยสิ่งทีส่ องพี่นองตระกูลไรท กําลังพยายามทําใหสําเร็จนัน้ เปนสิง่ ที่ยังไมเคยมีใครทําไดมากอน และขณะนัน้ ความรูความเขาใจในเรื่องของอากาศ ยานยังมีไมมากพอ ไมมีใครหรือผูเชี่ยวชาญที่ไหนจะใหคําตอบกับปญหาที่เกิดขึ้นได จึง ตองหาคําตอบดวยตัวเองเทาที่ความรูและเครื่องมือ ที่มีอยูในขณะนั้นจะอํานวย หลาย ครั้งที่เขาตองเดินทางกลับไปยังบานที่เดยตัน เพื่อใชอุโมงคลมที่สรางขึน้ มาเอง ในการ หาคําตอบที่ถูกตองกับสิง่ ที่ยังไมรู หรือไมเขาใจ เชน แรงยก แรงตาน ฯ นําไปปรับปรุงให บินไดอยางที่ตองการ
บทที่ 1 ความเปนมาของการบิน
13
รูปที่ 1.11 เครื่องรอนหมายเลข 1 ขนาดเล็กไมมีคนโดยสาร ไดถูกสรางขึ้นโดยพี่นองไรท เพื่อหา ขอมูลในการนําไปสรางเปนเครื่องบินตอไป
รูปที่ 1.12 การทดลองใชเครื่องรอนหมายเลข 3 ที่สรางขึ้นเอง เมื่อ ป ค.ศ. 1902 ของพีน่ องไรท
14
บทที่ 1 ความเปนมาของการบิน
รูปที่ 1.13 ความพยายามและการทดลองอยางมุงมัน่ ของสองพีนองตระกูลไรท อยางเปนขั้นตอน ทางวิทยาศาสตร เปนสวนสําคัญที่ชวยทําใหประสบความสําเร็จ
บทที่ 1 ความเปนมาของการบิน
15
กอนที่สองพีน่ องตระกูลไรท จะทําการทดลองบิน กับเครื่องบินที่ใชเครือ่ งยนต เปนตัวขับ เคลื่อนจนกระทั่งประสบความสําเร็จนั้น เขาไดทาํ การทดลองกับเครื่องรอน ที่ มีลักษณะเหมือนวาวขนาดใหญ (พี่นองไรทตั้งชือ่ วา เครื่องรอนหมายเลข 1 ในรูปที่ 1.11) มากอนตามมาดวยเครื่องรอนหมายเลข 2 และเครื่องรอนหมายเลข 3 ทีเ่ ขา สามารถโดยสารขึ้นไปได ดังในรูปที่ 1.12 และรูปที่ 1.13 เปนการพัฒนาอยางมีขั้นตอน จนมาเปนเครื่องรอนดังที่เห็นในรูป (ใหสังเกตแพนบังคับขางหนา เปนแพนควบคุมการ กมเงยของเครื่องรอน ซึ่งตางจากของลิเลียนทาล ในรูปที่ 1.8 ซึ่งอยูที่สวนหางของเครื่อง รอน) จนกระทั่งมีความมั่นใจมากพอ พรอมที่จะพัฒนาตอไปสูเปาหมายที่ตองการคือ การบินดวยเครื่องบินที่ขบั เคลื่อนดวยเครื่องยนต
รูปที่ 1.14 ความสําเร็จครั้งแรกในการบินของสองพีน่ องตระกูลไรท เมื่อ ป ค.ศ.1903 ณ คิตตี้ฮอค นอทแคโรไรนา
หลังจากที่ไดประสบความสําเร็จ ในการทําเครื่องรอนที่สามารถโดยสารขึ้นไปได ทําใหเกิดความเขาใจ และมีประสบการณ ในเรื่องของเครื่องบินพอสมควร สองพี่นอ ง
16
บทที่ 1 ความเปนมาของการบิน
ตระกูลไรท จึงไดพยายามในขั้นตอไปคือ ทําเครื่องบินที่ใชกาํ ลังจากเครือ่ งยนต เครื่องยนตที่ใชตองใหกําลังสูงแตน้ําหนักเบา รวมทั้งใบพัดที่ใชในการขับเคลื่อนดวย ใน เดือน ธันวาคม วันที่ 17 ป ค.ศ.1903 ความมานะอุตสาหะเปนเวลานาน มาอยาง ตอเนื่อง ไดทําใหเขาทั้งสองไดพบกับความสําเร็จ เออวิลล เปนผูควบคุมเครื่องบินให ลอยอยูเหนือพื้นทรายของตําบล คิตตี้ฮอค ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเปนครั้งแรกของ มนุษยชาติทที่ ําการบินไดสําเร็จดวยยานที่หนักกวาอากาศ รูปที่ 1.14
1.4 วิทยาศาสตร ของอากาศพลศาสตร (The Science of Aerodynamics) ทั้งเครื่องรอนและเครื่องบิน เปนอากาศยานที่หนักกวาอากาศ ไมสามารถลอย อยูไดในอากาศอยางเชน บอลลูน จึงตองอาศัยแรงทางอากาศพลศาสตร คือการ เคลื่อนที่ของอากาศผานปกเพื่อใหเกิดแรงยกขึ้น การศึกษาพฤติกรรมของอากาศที่กําลัง เคลื่อนที่ และสงผลใหเกิดแรงกระทําตอวัตถุที่อากาศนั้นไหลผาน ก็คอื การศึกษาวิชา อากาศพลศาสตร ซึ่งเปนสาขาหนึง่ ของวิทยาศาสตรแตถาเปนหัวขอเรื่อง สถิตศาสตร ของอากาศ(Aerostatics) ก็คือศึกษาพฤติกรรมของอากาศนิ่ง และมีแรงกระทําตอวัตถุ ที่อยูในอากาศนั้น ดังที่ไดกลาวไปแลว ในเรื่องการลอยตัวของบอลลูน วิชาอากาศพลศาสตร เปนวิชาหนึ่งที่มีความสลับซับซอน มากกวาวิชาสถิต ศาสตรของอากาศ ผลจากการที่อากาศไหลผานปกของเครือ่ งบิน หรือแพนอากาศ (Airfoil) ยังไมเปนที่เขาใจกันในขณะนั้น ตอมาอีกหลายปหลังจากความสําเร็จครั้งแรก ในการบิน คือประมาณป ค.ศ.1910 นักวิทยาศาสตรไดพยายามทําความเขาใจและหา กฎเกณฑในธรรมชาติมาอธิบาย สิ่งที่เกิดขึ้นใหได ไดแก เฟดเดอริก แลงคาสเตอร (Frederick Lanchetser) ชาวอังกฤษ ลุดวิก พลันท (Ludwig Prandtl) ชาวเยอรมัน และ จาคอฟสกี (Joukowsky) ชาวรัสเซีย เขาเหลานี้ ไดมีสวนสําคัญในการวางรากฐาน ทางทฤษฎีของศาสตร ทางอากาศพลศาสตร มาจนถึงปจจุบนั นี้ นักวิทยาศาสตรเหลานี้ มีความตั้งใจในการคนควาหลักการตางๆที่เปนประโยชน และใชอธิบายถึงธรรมชาติ
บทที่ 1 ความเปนมาของการบิน
17
และความเปนไปของอากาศพลศาสตร จึงทําใหมนุษยเราสามารถพัฒนาเทคโนโลยี ทางดานอากาศยาน มาไดอยางที่เราเห็นในทุกวันนี้ เครื่องบินไดถูกพัฒนามาอยางตอเนื่องดวยการนําเอาประสบการณจริง มาใช เปนขอมูลในการปรับปรุงในสิ่งที่จะทําตอไปใหดีขึ้นเทาทีจ่ ะทําได แมแตการทํางานของ คณะกรรมการที่ปรึกษาทางอากาศพลศาสตรแหงชาติ(National Advisory Committee for Aeronautic มีชื่อยอวา NACA) ตนกําเนิดขององคการนาซา (NASA) ไดพัฒนา อากาศยาน ดวยวิธีลองผิดลองถูก (Trial-and-Error) มาแลวเชนกัน ซึ่งเปนเรื่องปกติ ของการแสวงหาคําตอบ ที่ตองพยายามทําทุกวิถีทางใหไดมา ในชวงกอน ป ค.ศ.1920 หลังจากนั้นไดมีการนําเอา ทฤษฎี การทดลองกับแบบจําลอง การทดสอบกับของจริง มาใชรวมกันเพื่อที่จะไดปรับปรุงประสิทธิภาพในเรือ่ งของการบิน เนื่องจากวาวิชาอากาศพลศาสตร เปนวิชาวิทยาศาสตรแขนงหนึ่งที่มีความ ซับซอน ตําราทั่วไปที่กลาวถึงวิชานีจ้ ะลึกลงไปในเรื่องของทฤษฎี ซึง่ ประกอบไปดวย สมการทางคณิตศาสตรท่มี ีความยุงยาก เขามาเกี่ยวของมาก แตอยางไรก็ตาม ใน หนังสือเลมนี้ จะพยายามอธิบาย เรื่องของอากาศพลศาสตร เพื่อใหผูอานไดรูสึกคุนเคย และเขาใจในเรื่องของเครื่องบิน ดวยหลักการและความรูในขั้นพื้นฐานที่เขาใจไดงาย เทาที่จะทําได
18
บทที่ 1 ความเปนมาของการบิน
แบบฝกหัดบทที่ 1 1.1
เพราะเหตุไร แคลีย จึงไดมีแนวความคิดในการบินไดของมนุษย ตางจาก แนวความคิดของ ดาวินซี จงอธิบาย
1.2
อะไรคือ กุญแจสําคัญ ทีน่ ําสองพี่นอง ตระกูลไรท ไปสูความสําเร็จ จงอธิบาย
1.3
นักเรียน จงคนหาขอมูลจาก อินเทอรเน็ต ทีเ่ ปนรูปของเครื่องบินที่เปนผลงาน ของสองพีนอ งตระกูลไรท นอกจากทีแ่ สดงในหนังสือ
1.4
ในยุคของสองพีนองตระกูลไรท ยังมีนกั ประดิษฐคนอื่นๆอีกทีไดสรางเครื่องบิน ขึ้นมา ซึ่งไมไดกลาวไวในหนังสือนี้ นักเรียนจงคนหาจากทาง อินเทอรเน็ต โดย รวมกันทํางานเปนกลุม นําเสนอตออาจารย
บทที่ 2 แรงกระทําตอเครื่องบิน อยางที่เรารูกันมาแลววา ในขณะที่เครื่องบิน กําลังบินอยูในอากาศ มีแรงกระทํา ตอเครื่องบินอยู 4 แรง หลักๆ ดังนี้ 1. แรงขับ (Thrust) 2. แรงยก (Lift) 3. แรงตาน (Drag) 4. น้ําหนัก (Weight)
รูปที่ 2.1 เครื่องบินกําลังบินเดินทาง เปนเสนตรงในแนวระดับ ดวยความเร็วคงที่
ในกรณีที่ เครื่องบิน อยูในสภาวะดังนี้ (ดูรูปที่ 2.1) คือ 1. บินเปนเสนตรง (Straight line) 2. อยูในแนวระดับ (Horizontal) 3. ดวยความเร็วคงที่ (Constant velocity) แสดงวา (ดูรูปที่ 2.2) ก. แรงขับ เทากับ แรงตาน ข. แรงยก เทากับ น้ําหนัก
20
บทที่ 2 แรงกระทําตอเครื่องบิน
รูปที่ 2.2 แรงยก เทากับ น้าํ หนักของเครือ่ งบิน และ แรงขับเทากับแรงตาน
สําหรับเครื่องรอนพุงดวยมือนั้น เคลื่อนที่ไปไดดวยแรงเนื่องจากมือที่จบั เครื่อง รอนแลวพุงออกไป เปนระยะทางทีแ่ รงกระทําสัน้ ๆ เครื่องรอนจึงเคลื่อนที่ดวยความเร็ว คาหนึ่งอยูตอไปเรียกวาแรงเฉื่อย คอยๆชาลงดวยการกระทําของแรงตานเนื่องจาก อากาศ แตถาเราตองการใหเครื่องบิน บินตอไปไดไกลมากขึ้น จําเปนตองมีแรงขับที่ พยายามกระทําใหเครื่องบิน บินไปขางหนา
2.1 แรงขับ (Thrust)
รูปที่ 2.3 ปลาใชหางโบกให น้ําเคลื่อนที่ไปขางหลัง เกิดแรงกระทําใหตวั ปลา เคลื่อนไปขางหนา
ในธรรมชาติ มีปรากฏการณบางอยางที่เราเคยเห็น เชน นกที่บินไปในอากาศ ดวยการกระพือปก ปลาวายเคลื่อนทีไ่ ปในน้ําไดอยางรวดเร็ว แสดงวามีแรงกระทําใหนก
บทที่ 2 แรงกระทําตอเครื่องบิน
21
หรือปลาเคลือ่ นไปขางหนาได จะเรียกวามี แรงขับ อยางที่ใชกับเครื่องบิน มาพิจารณา ดูปลาที่กําลังวายน้ํา หางจะโบกน้าํ ใหเคลื่อนทีไ่ ปขางหลังจึงเกิดแรงกระทําใหตัวปลา เคลื่อนที่ไปขางหนา รูปที่ 2.3
รูปที่ 2.4 ผึ้ง และนกกระพือปก ใหอากาศไหลลง ทําใหเกิดแรงพยุงใหลอยอยูไดในอากาศ
นกหรือ แมลงมีปก ที่บินได ก็เชนเดียวกันคือ เมื่อกระพือปกใหแรงมากพอจะทํา ใหอากาศไหลลงดวยความเร็วที่มากพอ สงผลใหเกิดแรงกระทําตอนกหรือแมลงนั้นลอย อยูได ดังในรูปที่ 2.4 เหตุการณในลักษณะนี้เปนหลักการของ โมเมนตัม (Momentum) สําหรับเครื่องบินก็เชนกัน เมื่อตองการใหมีแรงกระทําตอเครื่องบินในทิศทางไปขางหนา ก็ตองทําใหอากาศ พุงหรือเคลื่อนที่ไปขางหลัง ยิ่งเร็วและปริมาณของอากาศที่เคลื่อนที่ ไปขางหลังนัน้ มากพอ ก็จะเกิดแรงที่มากพอทําใหเครื่องบินเคลื่อนที่ไปขางหนา ดวย ความเร็วตามที่ตองการ ดูรูปที่ 2.5 เครื่องบินใบพัด เมือ่ ใบพัดหมุนผลักใหอากาศ เคลื่อนที่ไปขางหลัง เครื่องบินเจ็ต พนอากาศออกไปทางดานหลัง
22
บทที่ 2 แรงกระทําตอเครื่องบิน
นั่นคือ การทีเ่ ครื่องบินจะบินไปขางหนาไดดวยความเร็ว ตองอาศัยเครื่องยนต ที่ กลาวมาแลวชวย เมื่อเครื่องบินมีความเร็วมากพอ จึงไดสงผลใหมีอากาศไหลผานปก เครื่องบิน สงผลใหเกิดแรงยกที่มากพอ พยุงใหเครื่องบินลอยอยูได ถาความเร็วไมมาก พอเครื่องบินก็ลอยอยูไมได ในกรณีที่เครื่องบินมีความเร็วไมมากพอ ที่จะทําใหเกิดแรงยก พยุงใหเครื่องบิน ลอยอยูไดในอากาศ เปนเหตุใหเครื่องบินตกลง (เหตุการณเชนนี้ถือวาเปนอันตรายมาก สําหรับเครื่องบินจริง) เราเรียกเหตุการณนี้วา “การสะตอล” (Stall) ยังมีสาเหตุอื่นอีกที่ ทําใหแรงยกลดลง ทําใหไมสามารถพยุงเครื่องบินอยูได จะเห็นวาถาไมมีแรงขับ ก็ไมมีความเร็ว และเมื่อไมมีความเร็ว ก็ไมมีแรงยก แรง ขับจึงเปนสวนสําคัญของเครื่องบิน ดวยเครื่องยนตชนิดหมุนใบพัด หรือเครื่องยนตเจ็ต ที่ดูดอากาศเขาดานหนาและพนออกทางดานหลัง จะตองมีกาํ ลังที่มากพอดวย
เครื่องบินใบพัด
เครื่องบินเจ็ต รูปที่ 2.5 เครื่องบินใชใบพัดหรือเครื่องเจ็ต ทําใหอากาศพุงไปขางหลัง จึงเกิดแรงกระทําให เครื่องบิน บินไปขางหนาไดดวยความเร็ว
บทที่ 2 แรงกระทําตอเครื่องบิน
23
2.2 แรงยก (Lift) แรงยกคือ แรงดันอากาศที่กระทําตอปกเครื่องบิน ซึ่งจะตองมากพอ คือตองไม นอยไปกวาน้ําหนักของเครื่องบิน จึงจะทําใหเครือ่ งบินลอยไดในอากาศ ปกคือสวนของ เครื่องบินในการใหแรงยก และแรงยกจะมากตามความเร็วของอากาศที่ไหลผานปก นั่น ก็คือความเร็วของเครื่องบินที่บินไปในอากาศจะตองมากพอดวย เมื่อมองตอไปอีกวา ทําไมเมื่อมีอากาศไหลผานปกแลวจึงมีแรงยกได อากาศรอบตัวเรานี้มีแรงดัน หรือแรง กดอากาศ อยางที่เราเคยรูมาแลว
รูปที่ 2.6 การทดลองนําลูกปงปอง มาปดปากขวดบรรจุน้ําแลวคว่ําลง แสดงใหเห็นวา บรรยากาศรอบๆตัวเรามีแรงดันอากาศ กระทําอยู การทดลองที่ชวยใหเห็น ปรากฏการณของแรงกระทําเนื่องมาจากแรงดันอากาศ รอบๆตัวเรา ใชลูกปงปอง และขวดน้ําที่มีปากกวาง (แตตองเล็กวาลูกปงปอง) ใสน้ําเขา
24
บทที่ 2 แรงกระทําตอเครื่องบิน
ไปใหเต็ม และวางลูกปงปองปดปากขวดใชนิ้วกดไวกอน แลวคว่ําขวดลงโดยที่มือตอง ชวยประคองกดลูกปงปองใหปดอยูตลอด ดังในรูปที่ 2.6 เมือ่ ปลอยมือออก เราจะเห็น วามีแรงดันลูกปงปองไมใหหลุดออกมา ทั้งๆที่มีนา้ํ จํานวนหนึง่ อยูในขวด และมีน้ําหนัก ของน้ําพยายามกดลงบนลูกปงปองใหตกลงมา แรงที่ยกหรือดันลูกปงปองใหปดขวดอยู ไดนั้นคือ แรงดันอากาศรอบๆตัวเรา
รูปที่ 2.7 แรงเนื่องจากอากาศที่ไหลผาน นึกภาพปกเครื่องบินที่มีอากาศกําลังไหลผาน ตามรูปที่ 2.7 และ 2.8 ความเร็ว ของกระแสอากาศที่กําลังไหลเขามา กอนถึงแพนอากาศหรือปกเครื่องบิน เราเรียกวา “กระแสอากาศอิสระ” (Freestream Velocity นิยมใชสัญลักษณ V เปนตัวอักษร กรีก อานวา “อินฟนิตี้”) ผานผิวดานบนและผิวดานลาง ของแพนอากาศ สงผลให
บทที่ 2 แรงกระทําตอเครื่องบิน
25
ความเร็วของอากาศที่ไหลผานผิวดานบนเร็วกวา ความเร็วของอากาศที่ไหลผานผิวดาน ลาง (ในธรรมชาติอากาศที่มีความเร็วสูงกวา ความดันอากาศต่ํากวา) ดังนั้นแรงดัน อากาศที่กระทําตอผิวดานบนนอยกวาแรงดันอากาศที่กระทําตอผิวดานลาง ผลลัพธคือ แรงลัพธ (ขนาดของ แรงดานลาง ลบ แรงดานบน) มีทิศทางขึ้นคือ แรงดันของอากาศ พยายามยกปกใหลอยขึน้
รูปที่ 2.7 แรงยกตั้งฉากกับทิศทาง ของความเร็วของเครื่องบินหรือ ทิศทางการไหลของ กระแสอากาศ ที่เรียกวากระแสอากาศอิสระ เหตุการณในลักษณะที่อากาศมีความเร็วสูงกวา สงผลใหความดันอากาศต่ํา กวา เปนธรรมชาติของอากาศ นักวิทยาศาสตรไดเขาใจในเรื่องนี้มานานแลว นักเรียน สามารถทําการทดลองไดงายๆ ดูรูปที่ 2.8 ใชแผนกระดาษตัดเปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผา ขนาดพอประมาณ ถือตามในรูปและเปาดานบนของกระดาษ ทําใหความเร็วของ อากาศไหลผานผิวดานบนเปนเหตุใหแรงดันอากาศ ที่กระทําตอผิวดานบนต่ําลงกวา ดานลางของแผนกระดาษ ดังนัน้ ดันอากาศดานลาง ซึ่งสูงกวา จึงผลักกระดาษใหลอย ขึ้น นี่คือธรรมชาติของอากาศ ที่บอกเราวา ความเร็วของอากาศสงผลตอความดัน อากาศ เชนเดียวกับแรงยกที่กระทํากับปกเครื่องบิน
26
บทที่ 2 แรงกระทําตอเครื่องบิน
รูปที่ 2.8 การทดลองโดยการเปาลมไปบนแผนกระดาษบาง ทําใหความดันลดลง ปจจัยที่ทําใหแรงยกมีคามากหรือนอย นั้นขึ้นอยูกับ (ดูรูปที่ 2.9) 1. ความเร็วของอากาศ หรือ ความเร็วของเครื่องบิน มีคามาก 2. ชนิดหรือรูปราง ของแพนอากาศ (ที่นํามาทําปก) 3. ขนาดหรือพื้นที่ของปก หรือขนาดของปกใหญ (มีคามาก) 4. การเปดมุมปะทะของปก ดูรูปที่ 2.11
รูปที่ 2.9 แรงยกที่กระทําตอปกที่ทําจากแผนกระดาษดัดโคง ของเครื่องรอนพุงดวยมือ
บทที่ 2 แรงกระทําตอเครื่องบิน
27
รูปที่ 2.10 แรงยกที่กระทํากับปกเครื่องรอนใหลอยอยูไดในอากาศ แตละขางเปรียบได กับแรงจากหลักคู รองรับปกเครื่องรอน คําวา “ความดัน” คือ แรงดันของอากาศที่กระทําตอหนึ่งหนวยพื้นที่ เชน ปอนด ตอ ตารางนิ้ว ( lbf in ) นิวตัน ตอ ตารางเมตร ( N m ) คําวา “แรงดัน” คือ แรงดันของอากาศที่กระทําตอพื้นทีท่ ั้งหมดที่เรากําลัง พิจารณา เชน ปอนด ( lbf ) การเรียนรูในชั้นนี้ นักเรียนรูวาเปนแรงที่มากระทําตอปก เนื่องจากอากาศ ก็ถือวาใชได จะเขาใจรายละเอียดเมื่อเรียนตอไปในชั้นสูงขึ้น 2
2
28
บทที่ 2 แรงกระทําตอเครื่องบิน
รูปที่ 2.11 มุมปะทะ (angle of attack อานวา “อัลฟา”) คือมุมที่ปกเปดขึ้น โดย เทียบกับทิศทางของกระแสอากาศอิสระ (ทิศทางความเร็วลม)
บทที่ 2 แรงกระทําตอเครื่องบิน
29
2.3 แรงตาน (Drag) แรงตานยังแบงออกเปน 2 ประเภทใหญๆไดดังนี้ 1. แรงตานพาราไซท (Parasite Drag) หรือเรียกวา “แรงตานติดตัว” เปนผล มาจาก ลักษณะของวัตถุ ที่เกิดขึ้นมาเนื่องจากการไหลของอากาศ (ลมพัด) ผานวัตถุ ขนาดของแรงตานพาราไซท จะมากหรือนอย ขึ้นอยูกับ (ดูรูปที่ 2.12) ก.) ความเร็วของกระแสอากาศ ที่ไหลผานวัตถุ ความเร็วมากแรงตานก็มากตาม ความเร็วนอย แรงตานก็นอยตาม ข.) รูปรางของวัตถุ ถามีรูปทรงทื่อ แรงตานทีก่ ระทําจะมาก แตถามีรูปทรง เพรียวลม แรงตานจะนอยกวา ค.) ขนาดของวัตถุ คือถารูปรางเหมือนกัน ขนาดใหญกวาจะมีแรงตาน กระทํา ตอวัตถุมากกวา ง.) ผิวของวัตถุที่เปนมันลื่น ราบเรียบ จะมีแรงตานกระทํานอยกวา วัตถุที่มีผิว หยาบและไมราบเรียบ
รูปที่ 2.12 ในกรณีที่ความเร็วของกระอากาศเทากัน รูปทรงทีม่ ีขนาดใหญและทื่อจะมี แรงตานมากที่สุด
30
บทที่ 2 แรงกระทําตอเครื่องบิน
นอกจากที่กลาวมาในขอ ก.) ถึง ง.) ยังมีสาเหตุอนื่ ๆอีก ที่มผี ลทําใหเกิดแรงตาน ประเภทนี้มากขึ้น เชน ถาวัตถุมีลักษณะที่มีซอกหรือมุม ยอมสงผลใหมแี รงตานมากขึ้น ดวย ซึ่งยังไมกลาวในที่นี้ 2. แรงตานเหนี่ยวนํา (Induce Drag) แรงตานนี้ เปนผลมากจากปกของ เครื่องบิน ซึง่ เปนสวนทําใหเกิดแรงยก พยุงเครื่องบินใหลอยไดทั้งลํา ขนาดของแรงตาน เหนี่ยวนํา จะมากนอยขึ้นอยูกับ ก.) ระยะกางปกเทียบตอความกวางของปก เรียกวา คาแอสเปกเรโช (Aspect Ratio) เปนการเรียกทับศัพท นิยมเขียนวา AR ดูรูปที่ 2.13 และ 2.14
AR
เมื่อ
b c
b c
คือ ระยะกางปก และ คือ ความกวาง หรือ ความยาวคอรด เฉลี่ยของปก
แตในกรณีที่ไมสามารถบอกไดวาคาความยาวเฉลีย่ ของคอรดมีคาเทาไร คาของ AR สามารถหาไดดังนี้ คือ ความยาวปกยกกําลังสอง (b ) หารดวย พื้นที่ปก S 2
AR
เมื่อ
S
b2 S
คือ พื้นที่ฉายของปก (ปกติเทากับ b c )
ถาดูใหดีแลวสมการทั้งสองก็คือ สมการเดียวกัน ในสมการแรก เอาคา b คูณทั้งเศษและ สวนทางดานขวาของสมการ ดังนี้
AR
bb b
2
และ
c b พื้นที่ปก
S
bb cb AR
b2 S
นั่นคือแรงตานเหนี่ยวนําขึ้นอยูกับคา แอสเปกเรโช แรงตานเหนี่ยวนําลดลงได
AR ยิ่งมาก
สงผลให
บทที่ 2 แรงกระทําตอเครื่องบิน
รูปที่ 2.13 เปรียบเทียบปกที่มีพื้นทีฉ่ ายเทากันแตมีคา AR ตางกัน
รูปที่ 2.14 พื้นที่ฉายของ และระยะกางปกของเครื่องบินพลังยาง
31
32
บทที่ 2 แรงกระทําตอเครื่องบิน
ความเร็วของเครื่องบินยิง่ มาก แรงตานเหนีย่ วนํายิ่งนอย น้ําหนักเครื่องบินยิ่งนอย แรงตานเหนีย่ วนํายิ่งนอย ความหนาแนนของอากาศยิ่งมาก แรงตานเหนีย่ วนํายิ่งนอย และ รูปรางของปก เมื่อมองจากดานบน เชน เปนรูปสีเ่ หลี่ยม วงรี ฯ มีผลตอ แรงตานเหนีย่ วนํา จะพูดถึงรายละเอียดในเลม ตอไป ข.)
วิธีลดแรงตานเหนี่ยวนํา ที่นิยมใชกันมากคือ การใส วิงเล็ต (Winglet) ไวตรง ปลายปกของเครื่องบิน เหมือนกับเปนการเพิ่มคา แอสเปกเรโช โดยไมตอ งเพิ่มความ ยาวปก ดังในรูปที่ 2.15 ดูแลวเหมือนกับปกหักขึ้น เครื่องบินที่บินระดับสูง ความ หนาแนนของอากาศนอยเปนสาเหตุของแรงตานเหนี่ยวนํา จึงตองปรับปรุงปก เพื่อชวย ลดคาแรงตานเหนี่ยวนํา จะทําใหบินเร็วขึ้น และประหยัดน้ํามันเชื้อเพลิงได
รูปที่ 2.15 วิงเล็ต (Winglet) อยูตรงปลายปกเครื่องบิน ดูคลายปกหักขึ้น ชวยลดแรง ตานเหนี่ยวนํา (Induce Drag)
บทที่ 2 แรงกระทําตอเครื่องบิน
33
2.4 แรงเนื่องจากน้ําหนักที่กระทําตอเครื่องบิน นักเรียนไดรูมาแลววา วัตถุทุกชนิดบนผิวโลกมีแรงเนื่องจากน้ําหนัก กระทําที่ จุดศูนยถวง นิยมเรียกวาจุด CG. โดยเฉพาะเครื่องบิน ยิ่งมีน้ําหนักเบายิ่งดี นั่นคือการ สรางเครื่องบิน ตองสรางขึ้นมาใหเบาที่สุด ในขณะที่มีความแข็งแรงมากพอ ในการใช งาน ไมวาจะโดยสารหรือบรรทุก สัมภาระ สินคา การเลือกใชวัสดุมาทําเครื่องบินเปนสิง่ สําคัญ
รูปที่ 2.16 ตําแหนงของจุด CG. ของเครื่องรอนพุงดวยมือ มีความสําคัญที่จะทําให เครื่องรอน บินไปไดดีหรือไม เครื่องรอนที่นักเรียนเคยทําเลนมาแลว ทําใหเราไดรูวา ตําแนงของจุด CG. มีผล ตอการบินของเครื่องบิน ดังนั้นเรื่องของแรงที่กระทําเนื่องจากน้ําหนัก เราจึงพิจาณาได วา ตองทําใหเบาทีส่ ุด และ จุดCG. ตองอยูในตําแหนงทีเ่ หมาะสม แรงทั้ง 3 แรง ที่กระทําตอเครื่องรอน คือ แรงยก แรงตาน และน้ําหนัก ดูรูปที่ 2.16 ประกอบ ไดถูกกลาวไปแลววา มีผลอยางไร ตอเครื่องรอน ซึ่งหมายรวมถึง เครื่องบิน ทีเ่ ราจะทําเลนดวย ดังนั้นจึงพอสรุปไดวา สําหรับเครื่องบิน ทีก่ ําลังบิน หรือ ลอยอยูในอากาศ แรงกระทําทั้ง 4 นั้นมีทิศทาง ดังที่แสดงอยูในรูปที่ 2.17 ถึง รูปที่ 2.19 จะเห็นวา น้ําหนักอยูในแนวดิ่งเสมอ และแรงยกตั้งฉากกับทิศทาง ความเร็วของ เครื่องบิน (หรือความเร็วของกระแสอากาศอิสระ) เสมอ
34
บทที่ 2 แรงกระทําตอเครื่องบิน
รูปที่ 2.17 เครื่องบิน บินในแนวระดับ บินเดินทาง
รูปที่ 2.18 เครื่องบิน บินไต เพิ่มระดับความสูง
บทที่ 2 แรงกระทําตอเครื่องบิน
รูปที่ 2.19 เครื่องบิน บินดํา ลดระดับอยางรวดเร็ว
รูปที่ 2.20 แรงตานที่กระทําตอเรือ เนื่องจากน้ําและอากาศ
35
36
บทที่ 2 แรงกระทําตอเครื่องบิน
สําหรับเรือก็เชนกัน เพียงแตวามีแรงตานของน้ําดวยเนื่องจากวาสวน หนึ่ง ของเรืออยูในน้ํา และอีกสวนหนึ่งของเรืออยูในอากาศ ดังนั้นจึงพูดเต็มๆ ไดดังนี้ แรงตานที่กระทําตอเรือเนื่องจากน้ํา และยังมีแรงตานที่กระทําตอเรือ เนื่องจากอากาศ ดังในรูปที่ 2.20
บทที่ 2 แรงกระทําตอเครื่องบิน
37
แบบฝกหัดบทที่ 2 2.1
เครื่องบินที่กาํ ลังบินอยูในอากาศ มีแรงอะไรบางที่มากระทํา
2.2
ถาแรงที่กระทําตอเครื่องบินมีลักษณะดังนี้คือ ก. แรงขับ เทากับ แรงตาน ข. แรงยก เทากับ น้ําหนัก จงอธิบายวา เครื่องบินมีการเคลื่อนทีอ่ ยางไร
2.3 การที่ปลาใชหางโบกน้ําไปขางหลัง สงผลใหเกิดแรงกระทําเนื่องจากน้ําใหปลา เคลื่อนที่ไปขางหนา เหตุการณในลักษณะนี้เปนหลักการของ อะไร 2.4 นักเรียนลองยกตัวอยางเหตุการณ ที่เห็นในธรรมชาติ ของการใชหลักการของ โมเมนตัม ในการทําใหเกิดแรงที่กระทําจาก อากาศหรือน้ํา 2.5 ในกรณีที่เครื่องบินมีความเร็วไมมากพอ ที่จะทําใหเกิด แรงยกพยุงใหเครื่องบิน ลอยอยูไดในอากาศ เปนเหตุใหเครื่องบินตกลง เราเรียกเหตุการณนี้วาอะไร 2.6
แรงขับของเครื่องบินไดมาจากอะไร
38
บทที่ 2 แรงกระทําตอเครื่องบิน
2.7
แรงยกที่กระทําตอปกเครื่องบินเปนผลมาจากอะไร
2.8
คาของแรงยก จะมาก จะนอย ขึ้นอยูก ับอะไร
2.9
แรงตานมีกี่ประเภท อะไรบาง จงอธิบาย
2.10 แรงตานติดตัว จะมาก จะนอย ขึน้ อยูกับอะไร 2.11 แรงตานเหนีย่ วนํา จะมาก จะนอย ขึน้ อยูกับอะไร 2.12 น้ําหนักของเครื่องบิน กับแรงตานเหนีย่ วนํา เกี่ยวของกันหรือไมอยางไร 2.13 วิงเล็ต (Winglet) คือ อะไร 2.14 ทิศทางของแรงยก ทิศทางของแรงตาน และทิศทางของน้ําหนัก เปนอยางไร
บทที่ 3 เสถียรภาพและการควบคุม (Stability and Control) เสถียรภาพ เปนคําที่ใชไดกับเหตุการณทั่วไป ไมเฉพาะกับทางวิทยาศาสตร สวน ใหญแลวมักจะเขาใจวาเปนการคงไวซึ่งสภาวะใดสภาวะหนึ่งที่เราตองการ ตัวอยางเชน เราตองการใหเครื่องบินตองบินตรงไปตลอด แมวาจะมีลมหรือแรงภายนอกมากระทํา จะดวยเหตุใดก็ตาม ที่ทําใหเครื่องบิน เอียง หมุน ฯ ตองกลับมาอยูในสภาพเดิมที่เรา ตองการ คือ ไมเอียง ไมหมุน เชน การขับรถยนต ที่ตองการคงสภาวะการวิ่งตรงแมถูก กระทําใหเลีย้ ว แมเราปลอยมือจากพวงมาลัย รถก็ควรจะตอง วิ่งตรงตอไป
รูปที่ 3.1. ลูกหินอยูในตําแหนงปกติ A กนกระทะหงาย O บนพื้นเรียบ B บนกนกระทะคว่ํา กอนที่จะพูดถึงเสถียรภาพของเครื่องบิน ควรทําความเขาใจกับ ความหมายโดย ทั่วไปของคําวาเสถียรภาพ ในทางวิทยาศาสตร ซึง่ มักยกตัวอยาง เหตุการณที่ใชอธิบาย เรื่องของเสถียรภาพ ดวยลูกหินทรงกลม มีอยู 3 เหตุการณ ดังนี้
40
บทที่ 3 เสถียรภาพและการควบคุม
ก.) รูปที่ 3.1 A เปนลูกหินถูกวางอยูที่กนกระทะ ถาเราเอานิ้วมาผลักลูกหิน (เหมือนกับถูกแรงภายนอกมารบกวน หรือกระทํา) เบาๆ ไปยังตําแหนงที่แสดงในรูป ลูก หินจะ กลิ้งกลับมายังตําแหนงเดิมไดเอง ที่กนกระทะ ซึง่ เปนตําแหนงที่สมดุล และ สมมุติวาเราตองการใหกอนหิน อยูต รงตําแหนงที่กนกระทะอยูแลว นี่คอื ตัวอยางของ ความมีเสถียรภาพ อยางที่เราตองการ เรียกวา “เสถียร” (Stable) ข.) ในรูปที่ 3.1 O ลูกหินถูกวางอยูบนพื้นระนาบเรียบ ถาถูกรบกวนโดยใชนิ้ว ผลักออกจากตําแหนงลูกหินจะหยุดอยู ณ ตําแหนงนั้นๆไมกลิ้งกลับมายังที่เดิมเอง นั่น คือ เมื่อลูกหินถูกผลักไปตรงไหนก็ไปหยุดอยูตรงนั้น เสถียรภาพของเหตุการณลักษณะ นี้เรียกวา “เปนกลาง” (Neutron) ค.) ในรูปที่ 3.1 B ลูกหินถูกวางอยูบนกนกระทะคว่ํา ถาถูกรบกวนแมแตเพียง เล็กนอย ลูกหินจะกลิ้งออกจากตําแหนงเดิม และหางออกไปจากตําแหนงเดิมเอง นีค่ ือ ตัวอยางของความไมมีเสถียรภาพ เรียกวา “ไมเสถียร” (Unstable) สําหรับการควบคุมเครื่องบิน โดยสวนใหญ ตองการความมีเสถียรภาพ เชน ตองการใหเครื่องบิน อยูในสภาวะ บินตรงอยูในแนวระดับ เชน เมื่อเครื่องบินถูกทําให เลี้ยว เอียง กม เงย จะเหตุใดก็ตาม อาจจะดวยการถูกรบกวน หรือดวยนักบินไปบังคับ ใหเปนไปดังนั้น เครื่องบินควรจะตองกลับมาบินตรง ไมเลีย้ ว ไมเอียง ไมกม ไมเงย ยังคงบินตรงอยูในแนวระดับเชนเดิม นั่นคือแมนักบินปลอยมือจากชุดควบคุม เครื่องบิน ตองอยูในสภาวะบินตรงในแนวระดับ แตยังมีเครื่องบินบางชนิดไมตองการเสถียรภาพ ในบางกรณี ซึ่งยังไมกลาวถึง
3.1 แกนอางอิงและการควบคุม เครื่องบิน แกนอางอิง (Airplane Axes) สามแกนที่สมมุติขึ้นมาเพื่อใหสะดวก ตอการ พิจารณา และอธิบายการหมุน ของเครื่องบินที่กาํ ลังบินอยูในอากาศ ซึ่งเครื่องบินมีการ เคลื่อนที่อยูแ ลว เรียกวา มีลักษณะการเคลื่อนที่ในแบบสามมิติ แกนที่สมมุติขึ้นมานี้ เปนมาตรฐาน ชวยในการพิจารณาวัตถุในสามมิติ มีอยูสามแกนตั้งฉากซึ่งกันและกัน ตัดกันที่จุด CG. ของเครื่องบิน แสดงอยูในรูปที่ 3.2 เปนการหมุนรอบแกน แตละแกน
บทที่ 3 เสถียรภาพและการควบคุม
41
รูปที่ 3.2 ใชแบบจําลองเครื่องรอนพุงดวยมือ ที่นักเรียนเคยทํากันมาแลวเปนตนแบบ แกนหมุนหลักทั้งสามจะตัดกันที่จุด CG. การหมุนในสองมิติเปนการพิจารณาในกระดาษเปนการหมุนรอบจุดใดจุดหนึ่ง สวนในโลกแหงความเปนจริง วัตถุใดๆจะหมุนในสามมิติ เปนการหมุนรอบแกน มีอยู 3 แกนหลัก อยาลืมวาการหมุนของเครื่องบิน หรือวัตถุใดๆที่ลอยในอากาศ (แมแตใน อวกาศ) ตองหมุนรอบแกนที่ผานจุด CG. ดวยกันทั้งนั้นดังในรูปที่ 3.2 ในสถานการณ จริง อาจมีการหมุนรอบแกนมากกวา หนึ่งแกนในเวลาเดียวกัน เรามาพิจารณากัน ทีละ แกน อยาลืมดูรูปที่ 3.2 ประกอบ และนึกภาพอยางในรูปใหได ดังตอไปนี้
3.1.1 หมุนรอบแนวแกนขวางลําตัว (Lateral Axis) การหมุนรอบแนวแกนขวางลําตัว คือการ กม-เงย ของเครื่องบิน เรียกทับศัพทวา “พิช (Pitch)” เครื่องบินควบคุม การกม-เงย ดวยสวนที่เรียกวา อิลิเวเตอร (Elevator) ติดตั้งอยูตรงสวนของแพนหางระดับ ดูรูปที่ 3.3 เมื่อหัก อิลิเวเตอร ขึ้น เกิดแรงกดที่แพน หางระดับ ทําใหจมูกเครื่องบินเงยขึ้น แตเมื่อหัก อิลิเวเตอร ลง เกิดแรงดันขึ้น ทําใหจมูก เครื่องบินกมลง นี่คือการควบคุมการกม-เงย ของเครื่องบินดวย อิลิเวเตอร
42
บทที่ 3 เสถียรภาพและการควบคุม
รูปที่ 3.3 การหัก อิลิเวเตอร ขึ้น ลง สงผลใหเกิดแรงกระทําที่หางของเครื่องบิน
รูปที่ 3.4 อุปกรณสาธิต การเงยดวยการใชนิ้วกดที่แพนหางระดับ
บทที่ 3 เสถียรภาพและการควบคุม
43
สวนการรักษา เสถียรภาพในการ กม-เงย ใชแพนหางระดับ ดูรูปที่ 3.5 ประกอบ ดวยวาแพนหางระดับทําหนาที่เหมือนกับหางลูกธนู คือเมื่อลูกธนูพุงไปขางหนา อากาศ จะผลักใหหางของลูกธนูปดไปขางหลังเสมอ แตหางลูกธนูใชขนนก หรืออาจจะใชวัสดุที่ เปนแผนระนาบ คลายกับแพนหางระดับ นัน่ คือถาเครื่องบินถูกทําให กมหรือเงย ดวย แรงลมที่มาปะทะแพนหางระดับ จะผลักแพนหางระดับกลับสูแนวเดิม คือขนานไปกับ ทิศทางการเคลื่อนที่ของเครื่องบิน นัน่ คือแพนหางยิ่งมีขนาดใหญ และสวนหางยิ่งยาว ออกไป ยิ่งทําใหมีเสถียรภาพ ในการปรับเขาสูส ภาวะเดิมไดเร็วยิ่งขึ้น
รูปที่ 3.5 สวนที่ใชในการควบคุมเครื่องบินจริง กับของเครื่องบินพลังยาง
3.1.2 หมุนรอบแนวแกนตั้ง (Vertical axis) การหมุนรอบแนวแกนตัง้ เปนลักษณะทาทางหัน ซาย-ขวา เรียกทับศัพท วา “ยอว (Yaw)” เครื่องบินควบคุมการ ยอว ดวยสวนที่เรียกวา “รัดเดอร” (Rudder) ติดตั้ง อยูตรงสวนของแพนหางดิ่ง ดูรูปที่ 3.6 เมื่อหัก รัดเดอร ไปทางซาย เกิดแรงกระทําให เครื่องบินหันไปทางซาย และเมื่อหักรัดเดอรไปทางขวา เกิดแรงกระทําใหเครื่องบินหัน ไปทางขวา นี่คือการควบคุม การหัน ซาย-ขวา ของเครื่องบิน ดวยรัดเดอร สาธิตไดดวย อุปกรณดังในรูปที่ 3.7
44
บทที่ 3 เสถียรภาพและการควบคุม
รูปที่ 3.6 การหัก รัดเดอรไปทาง ซาย-ขวา สงผลใหเกิดแรงกระทําที่หางของเครื่องบิน
รูปที่ 3.7 อุปกรณสาธิต การหัน ซาย-ขวา ดวยการใชนิ้วผลัก ที่แพนหางดิ่ง
บทที่ 3 เสถียรภาพและการควบคุม
45
สวนการรักษา เสถียรภาพในการหัน ซาย-ขวา ใชแพนหางดิ่ง ดูรูปที่ 3.8 ประกอบ ดวยวาแพนหางดิ่งทําหนาที่เหมือนกับหางลูกธนู คือเมื่อลูกธนูพุงไปขางหนา อากาศจะผลักใหหางของลูกธนูปดไปขางหลังเสมอ นั่นคือถาเครื่องบินถูกทําให หัน ซาย-ขวาดวยแรงลมที่มาปะทะแพนหางดิ่ง จะผลักแพนหางดิ่งกลับสูแนวเดิม คือขนาน ไปกับทิศทางการเคลื่อนที่ของเครื่องบิน นั่นคือแพนหางยิ่งมีขนาดใหญ และสวนหางยิ่ง ยาวออกไป ยิ่งทําใหมีเสถียรภาพ ในการปรับเขาสูสภาวะเดิมไดเร็วยิ่งขึ้น
รูปที่ 3.8 แพนหางดิ่งทําหนาที่รักษาเสถียรภาพในทิศทางการบิน
3.1.3 หมุนรอบแนวแกนลําตัว (Longitudinal axis) การหมุนรอบแนวแกนลําตัว เปนลักษณะทาทาง ที่ดูเหมือนการกลิ้งไปทาง ซายขวา หรือ เอียง ซาย-ขวา เรียกทับศัพท วา “โรล” (Roll)” เครื่องบินควบคุมการ โรล ดวย สวนที่เรียกวา “ไอเลรอน” (Aileron) ติดตั้งอยูที่ปก ทั้งสองขาง ดูรูปที่ 3.9 เมื่อตองการ ควบคุมใหเครื่องบินเอียง ไปทางดานใดก็แลวแต แผนควบคุม ที่เรียกวา ไอเลรอน ทัง้ สองขาง จะหักขึ้นขางหนึ่ง และหักลงอีกขางหนึ่งเพื่อตองการใหเกิดแรงกดที่ปกขางหนึ่ง และเกิดแรงยกที่ปกอีกขางหนึ่ง เปนแรงที่พยายามหมุนเครื่องบิน รอบแนวแกนลําตัว ไปในทิศทางที่นักบินตองการ นี่คือการควบคุมการเอียงซาย-ขวา ของเครื่องบินดวย ไอเลรอน สาธิตไดโดยใชอุปกรณสาธิตการหมุน ดังในรูปที่ 3.10
46
บทที่ 3 เสถียรภาพและการควบคุม
รูปที่ 3.9 ควบคุมการหมุนรอบแกน หลักทั้งสาม คือ พิช ยอ และโรล
รูปที่ 3.10 อุปกรณ สาธิตการ โรล โดยใชนิ้วกดปกขางหนึ่งและยกปกอีกขางหนึ่ง
บทที่ 3 เสถียรภาพและการควบคุม
47
รูปที่ 3.11 สรุปการใชอุปกรณสาธิต การหมุนรอบแกนหลัก 3 แกน สวนการรักษาเสถียรภาพในกรณีที่เครื่องบิน มีการโรล เอียง ซาย-ขวา คือ การ ทําใหเครื่องบิน ใหเอียงกลับสูส ภาวะเดิมไดเอง ที่นิยมทํากัน คือ ทําใหปกมีมุมยกขึ้น เรียกวา “ไดฮีดอล” (Dihedral) สวนอีกวิธี คือ การติดตั้งปกไวดานบนของลําตัว เครื่องบิน จะเปนการชวยสรางเสถียรภาพ ในการโรลของเครื่องบินได
3.2 การควบคุมการ กม-เงย ดวยคานาด (Canards) เมื่อเราตองการควบคุมเครื่องบิน ใหเงย นั่นคือตองการใหเครื่องบินลอยสูงขึ้น เรารูแลววาตองหัก อิลิเวเตอรขึ้น เพื่อสรางแรงกดที่แพนหางระดับ ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่ใชใน การทําใหเครื่องบินเงยขึน้ ดูรูปที่ 3.12 เปนการเงย โดยสรางแรงยกขึ้น ที่สวนหัวของ เครื่องบิน แสดงวาเราสามารถยายเอาแพนหางระดับ มาไวดานหนาอยางในรูป 3.13 เปนการควบคุมการ (กม-) เงยของเครื่องบิน ดวยวิธีสรางแรงยก เปนผลดีในแงที่วา เปน การชวยเครื่องบินใหลอยสูงขึ้นไดรวดเร็วยิ่งขึ้น เพราะมีแรงยกเสริม แทนที่จะเปนแรงกด ที่หาง ซึง่ เปนการบั่นทอนแรงยกของปกเครื่องบิน
48
บทที่ 3 เสถียรภาพและการควบคุม
รูปที่ 3.12 ใชอุปกรณสาธิตการหมุนของเครื่องบิน โดยลองใชนิ้วดันจมูกเครื่องบินขึ้น จะเห็นวาเครื่องบินเงยขึน้
รูปที่ 3.13 การควบคุม กม-เงย ดวยการยายแพนหางระดับมาไวดานหนาของปก
บทที่ 3 เสถียรภาพและการควบคุม
49
แพนหางระดับที่ถูกยายมาไวดานหนา เพื่อใชควบคุมการ กม-เงย จะถูกเรียกวา “คานาด” (CANARD) แตการใชคานาด จะสงผลใหเครื่องบินไมเสถียร ดูรปู ที่ 3.1 B นั่น คือ นักบินจะตองคอยควบคุม แผนคานาด อยูตลอดเวลาอยางระมัดระวัง นี่คือผลเสีย ของคานาด เบิรท รูทัน (Burt Rutan) นักออกแบบเครื่องบินไดนําเอา คานาด มาใชควบคุม กม-เงย แทนที่จะใชแพนหางระดับ ในรูปที่ 3.14 เปนเครือ่ งบินที่เขาไดออกแบบและ สรางขึ้นมาจะเห็นแผนคานาดอยูดานหนา จากการทดลองบินพบวาสมรรถนะ ของ เครื่องบินลํานี้นาทึ่ง เมื่อเทียบกับกําลังขับทีน่ อยสวนหนึ่งมาจากโครงสราง ที่มีน้ําหนัก เบาพื้นผิวที่เรียบเปนมัน และการนําเอาคานาดมาใชแทนแพนหางระดับ ในยุคปจจุบัน ไดนําเอาระบบควบคุมดวยคอมพิวเตอร ดวยคานาด ที่มีประสิทธิภาพมาใชได
รูปที่ 3.14 เครื่องบินใช คานาด แทนแพนหางระดับ ออกแบบและสรางโดย เบิรท รูทัน (Burt Rutan)
50
บทที่ 3 เสถียรภาพและการควบคุม
เพื่อใหนักเรียนไดเขาใจ เรื่องการกระทําของแรง จะยกตัวอยางในรูปที่ 3.15 เปรียบไดกับคนที่กําลังแบกเสา ดวยแรงยกคาหนึ่ง เพื่อวางบนที่สูง และมีคน คนหนึ่ง มาชวยคนทีก่ ําลังแบกเสา เพื่อใหหัวเสาเงยขึ้น จะไดสามารถวางบนชั้นทีส่ ูงกวาได นัน้ ทําได สองวิธีคือ 1.) คนที่มาชวย ออกแรงกดที่หางเสาใหดานหัวเงยขึ้น ซึ่งวิธีนี้เปนการไปเพิ่ม ภาระของคนแบกเสาใหมากยิ่งขึ้น ถาคนที่กําลังแบกเสามีแรงมาก ก็ไมเปนปญหา แต ถาคนที่กําลังแบกเสา มีแรงนอยแทบแบกเสาไมไหว การกดลงที่หางเสาจะทําใหคน แบก ทรุดตัวลง เปรียบไดกับเครื่องบิน ที่มีแรงยกนอยอาจจะดวย ความเร็วต่ําใกล สภาวะสะตอล และนักบินตองการเงยจมูกเครื่องบินขึ้นดวยวิธีนี้ แรงกดที่หางเปนการ บั่นทอนแรงยก เปนเหตุใหเครื่องบินตกได
รูปที่ 3.15 การใชอิลิเวเตอรควบคุมการเงยจมูกเครื่องบิน เปรียบไดกับการกดหางเสา ใหหัวเสาเงยขึ้น เปนการบั่นทอนแรงยก เหตุการณในลักษณะนีเ้ คยเกิดขึ้นกับ ลิเลียนทาล นักทดลองและสรางเครื่อง รอนชาวเยอรมัน การทดลองเครื่องรอนของลิเลียนทาล ดูรูปที่3.16 ในขณะที่เครื่องรอน ของเขากําลังลดระดับลง และเขาพยายามที่จะเงยจมูกเครื่องรอนขึ้น ดวยการทําใหเกิด แรงกดที่แพนหางระดับ แตแรงยกจากปกของเครื่องรอนไมเพียงพอที่จะพยุงเครื่องรอน
บทที่ 3 เสถียรภาพและการควบคุม
51
ของเขาใหลอยอยูตอไปไดจึงตกลงยังพื้น เปนเพราะแรงกดที่แพนหางระดับไปบั่นทอน แรงยก ที่มีอยูนอยเต็มทีในขณะนั้น อุบัติเหตุครั้งนีไ้ ดทําให ลิเลียนทาล นักประดิษฐผมู ี ชื่อเสียงของโลกตองเสียชีวิตลง ตามปกติเครื่องบินจะมีแรงยกมากพอ กับการใชแพน หางระดับ และอิลเิ วเตอรควบคุมการกม-เงย โดยไมสงผลให เกิดการสะตอล จึงไมมี ปญหาอยางที่ ลิเลียนทาล ประสบ
รูปที่ 3.16 เครื่องรอนของลิเลียนทาล ใชแพนหางระดับ ในการควบคุมการ กม-เงย ของ เครื่องรอน ที่เขาสรางขึ้น และประสบความสําเร็จหลายครั้งในการรอน 2.) คนที่มาชวย แทนทีจ่ ะไปออกแรงกดที่หางเสาใหดานหัวเงยขึ้น ก็เปลีย่ นมา ชวยยกขึ้นตรงดานหัวเสา แมวาคนที่กําลังแบกเสามีแรงนอยแทบแบกเสาไมไหว แต ดวยการที่คนชวยทําใหเสาเงย แทนที่จะมากด แตมาชวยยกดวย เปรียบไดกับเครื่องบิน ที่มแี รงยกนอยอาจจะดวย ความเร็วต่ําใกลสภาวะสะตอล และนักบินตองการเงยจมูก เครื่องบินขึ้นดวยวิธีนี้ จะชวยปองกันการสะตอล ในกรณีฉกุ เฉิน อยางที่ลิเลียนทาลได ประสบมาแลว ดูรูปที่ 3.17
52
บทที่ 3 เสถียรภาพและการควบคุม
รูปที่ 3.17 การใชคานาด ควบคุมการเงยจมูกเครือ่ งบิน เปรียบไดกับการใชแรงชวยยกที่ เสาใหหัวเสาเงยขึ้น เปนการเสริมแรงยก
รูปที่ 3.18 เครื่องบินของสองพี่นองไรท ออกแบบใหควบคุมการกมเงยดวยคานาด เหตุการณที่เกิดขึ้นกับ ลิเลียนทาล เปนขาวที่แพรไปทั่วโลกในเวลานัน้ เปนแรง บันดาลใจใหสองพี่นองตระกูลไรท มีความตั้งที่จะสรางเครื่องบินใหสําเร็จ และตองการ หลีกเลี่ยงเหตุการณที่เคยเกิดขึ้นกับ ลิเลียนทาล จึงไดออกแบบวิธีควบคุม การกม-เงย
บทที่ 3 เสถียรภาพและการควบคุม
53
ดวยการยายแพนหางระดับมาไวขางหนาของปกเครื่องบิน ที่เรียกวา คานาด สองพี่นอ ง ไรท เขาใจดีวาวิธีนี้จะเปนการชวยเพิ่มแรงยกเมื่อตองการใหเครื่องบินเงย ซึ่งตางจาก แพนหางระดับและอิลเิ วเตอร ที่ไปลดแรงยก เมือ่ ตองการเงย ดูรูปที่ 3.18 โดยรวมแลว การที่เครื่องบินใชแพนหางระดับในการควบคุม กม-เงย ยังคงดีกวา การใช คานาด เพราะ ความมีเสถียรภาพ ซึ่งถาตองการใชคานาด การควบคุม คานาด ตองมีความแมนยํา เชื่อถือไดนั่นคือ ตองใชคอมพิวเตอรในการควบคุม ในอนาคตหรือ แมในปจจุบนั เครื่องบินบางรุนไดนําเอา คานาดมาใช ไมวาจะเปนเครื่องบินรบ หรือ เครื่องบินโดยสาร ซึ่งอาจจะใชรวมกัน กับแพนหางระดับ ดูรูปที่ 3.19 แตสําหรับการทํา เครื่องบิน ไวเลนยังควรทีจ่ ะตองใชแพนหางระดับประกอบกับอิลิเวเตอร จึงจะเหมาะสม
รูปที่ 3.19 เครื่องบิน เพียชจิโอ อาวันติ (Piaggio P180 Avanti) ของ อิตาลี เปน เครื่องบินรุนใหมที่ใชแพนหางระดับ รวมกับ คานาด อีกสวนหนึ่งที่เปนขอดีของ คานาด เปนการเปลีย่ นตําแหนงของเครื่องยนตไปไว ดานหลัง หรือหางของเครื่องบิน การติดตั้งเครื่องยนตไวดานหนาตองใชใบพัดดึงเครื่อง
54
บทที่ 3 เสถียรภาพและการควบคุม
ทําใหประสิทธิภาพลดลง เนื่องจากการปะทะของกระแสอากาศเขากับลําตัว และ บางสวนของเครื่องบิน การใชใบพัดผลักจะไมสงผลเสียดังกลาว และใหประสิทธิภาพสูง กวา ใบพัดผลักตองติดตั้งอยูดานหางเครื่องบินสําหรับเครื่องยนตเดียว และทําใหจุดCG เลื่อนไปทางดานหลัง เพราะวาปกควรติดตั้งอยูใกลจุดCG ดังนั้นจึงเปนการทําใหปกอยู หางจาก คานาดไปทางดานหลังมากขึ้น ดังนั้นเครื่องบินที่ใช คานาด จึงเหมาะกับ การ ติดตั้งเครื่องยนตไวดานหางของเครื่องบิน รูปที่ 3.20
รูปที่ 3.20 เครื่องบิน บีชสตารชิพ (Beech Starship) รุนใหมใช คานาด
บทที่ 3 เสถียรภาพและการควบคุม
55
แบบฝกหัดบทที่ 3 3.1 เหตุการณที่นิยมใชอธิบายในเรื่องของเสถียรภาพมีเหตุการณ อะไรบาง 3.2 สวนใดของเครื่องบินที่ใชในการควบคุม การหมุนของเครื่องบินรอบแนว แกนขวางลําตัว 3.3 สวนใดของเครื่องบิน ที่ชวยทําใหเครื่องบินมีเสถียรภาพ ในการหมุน รอบแนวแกนขวางลําตัว (เมื่อเครื่องบิน กมหรือเงย แลวกลับมายัง ตําแหนงเดิมไดเอง) 3.4 สวนใดของเครื่องบินที่ใชในการควบคุม การหมุนของเครื่องบินรอบแนว แกนตั้ง 3.5 สวนใดของเครื่องบิน ที่ชวยทําใหเครื่องบินมีเสถียรภาพ ในการหมุน รอบแนวแกนตั้ง (เมื่อเครื่องบินหัน แลวกลับมายังตําแหนงเดิมไดเอง) 3.6 สวนใดของเครื่องบินที่ใชในการควบคุม การหมุนของเครื่องบินรอบแนว แกนลําตัว 3.7 มีวิธีใดบาง ที่ชวยทําใหเครื่องบินมี เสถียรภาพ ในการหมุนรอบแนว แกนลําตัว (เมื่อเครื่องบินเอียงแลวกลับมายังตําแหนงเดิมไดเอง)
56
บทที่ 3 เสถียรภาพและการควบคุม
3.8 คานาด (Canard) คืออะไร มีขอดี ขอเสีย อยางไรเมื่อเทียบกับ การใช แพนหางระดับ และอิลิเวเตอร 3.9 ลิเลียนทาล เลือกใชวิธีใด ในการควบคุมการกม-เงย 3.10 ทําไม สองพี่นองไรท จึงเลือกใช คานาดในการควบคุมการ กม-เงย 3.11 คานาด ใชรวมกับ แพนหางระดับไดหรือไม อธิบายประกอบยอๆ
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครือ่ งบิน ในบทนี้จะเปนการพูดถึงการแผนแบบเครื่องบินจริง เพื่อเปนแนวทางและความรู ขั้นพื้นฐานตอไป นักเรียนอาจมีการดัดแปลงบางสวนของเครื่องบินพลังยางที่เราจะทํา เลนได ตามความเขาใจของเรา กฎเกณฑตางๆในธรรมชาติที่ถูกคนพบหรือที่นิยมเรียก กันทั่วไปวากฎทางฟสิกส ก็สามารถนํามาประยุกตใชกับการแผนแบบเครือ่ งบินอยางที่ ตองการได ถาเชนนัน้ เรามาดูกันวา หลักการทางอากาศพลศาสตรนั้น นํามาใช ประโยชนอะไรไดอีกบาง จุดมุงหมายของการที่มนุษยเราพยายามคนควา ในเรื่องของ อากาศพลศาสตร ก็คือการผลิตเทคโนโลยีใหมๆ ที่นําไปสรางเครื่องบินที่ดขี ึ้น หรือพูดได วาเพื่อการแผนแบบเครื่องบิน ที่มีคณ ุ สมบัติที่ดีอยางที่ตองการ คําวา “แผนแบบ” ในที่นไี้ มไดหมายความวา เปนกระบวนการทํางาน ทีละขั้น ที ละขั้น จนไปถึงเปาหมาย แตเปน กระบวนการทีอ่ าจมีความแตกตางกัน ในขั้นตอน ซึ่ง ขึ้นอยูกับความรูทั้ง ทางวิทยาศาสตร ดานศิลปะ และ ความเขาใจของผูแผนแบบเปน เรื่องปกติ สําหรับการสรางสิ่งตางๆ ที่มนุษยคิดขึน้ มาเพื่อใชประโยชน อาจจะมาจาก จินตนาการใหมๆ บนพืน้ ฐานของความเขาใจที่ถูกตอง จากการเรียนรูและประสบการณ เหมือนกับการบินของนักบิน แมจะมีขั้นตอนหลักๆเหมือนกัน แตในรายละเอียดไม สามารถสอนใหทําเหมือนกันทุกอยางในแตละขั้นตอนตามในหนังสือได ขึ้นอยูกับการ ฝกภายใตแบบแผนหนึ่ง และอุปนิสัยสวนตัวของแตละคน ความรูดานอากาศพลศาสตร เปนเพียงสวนหนึง่ ของการนํามาพิจารณาในการ แผนแบบเครือ่ งบิน นอกนั้นยังมีความรูในเรื่อง โครงสราง (Structure) เครื่องยนต (Propulsion) เสถียรภาพและการควบคุม (Stability and control) และความรูที่ เกี่ยวของในดานอื่นๆอีก เครื่องบินที่ไดมีการแผนแบบ และถูกสรางขึ้นมา ตองใช บุคลากรที่มีความสามารถและประสบการณ ในแตละดานดังกลาว เปนจํานวนมาก อยางไรก็ตามการใชความรูทางดานอากาศพลศาสตร ถือไดวา เปนพื้นฐานเบื้องแรกใน การพิจาณา เพื่อเปนจุดเริ่มตนในการแผนแบบเครือ่ งบิน ที่ตองการ
58
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
4.1 ขอมูลจําเพาะในการแผนแบบ (Design Specifications) กอนการเริ่มตน แผนแบบเครื่องบิน ตองเริ่มตนดวยการกําหนดขอมูลขั้นพืน้ ฐาน คือขอมูลจําเพาะ (Specification) ของเครื่องบินทีเ่ ราตองการ ดังนี้ - น้ําหนักบรรทุก (Payload) เชน จํานวนผูโดยสาร สัมภาระ หรือ อาวุธ - ระยะทางในการบิน (Range or Endurance) - ความเร็วในการบินเดินทาง (Cruising speed) และ ความเร็วสูงสุด (Top speed) - ระยะทางทีใ่ ชในการบิน ขึ้น และลง (Field length) บนรันเวย - เพดานบิน (Ceiling) หรือระดับความสูงในการบิน บริษัทผูส รางเครื่องบิน ที่กําลังแผนแบบเครื่องบินรุนใหมๆออกมา ไดยึดเอา ความตองการ ของตลาดหรือ ผูบริโภค เปนตัวตั้ง ดวยวิธีหาขอมูลและ ทําความเขาใจ กับกระแสของเทคโนโลยีในปจจุบัน ยกตัวอยางเชน บริษัทสรางเครื่องบิน ตองตัดสินใจ ถึงความเปนไปได และคูแขงทางการคาในตลาดของเครื่องบินใหม ซึ่งมีคุณสมบัติ จําเพาะดังนี้ เชน - น้ําหนักบรรทุก - ระยะทางบิน - ความเร็วเดินทาง - ระยะทางบินขึ้น บินลง
: : : :
นักบิน และผูโดยสารอีก 5 คน 1,000 ไมลทะเล (nautical miles) 200 นอต อยางนอย 2,000 ฟุต
คุณสมบัติจําเพาะเหลานี้ ตองถูกสงไปยังสวนของวิศวกร เพื่อพิจารณาถึงความ เปนไปได ของเครื่องบินที่มีคุณสมบัติดังกลาว ซึ่งอาจเปนไปไมได ที่จะทําไดใหครบ ตามคุณสมบัติดังกลาว หรืออาจจะสามารถทําใหไดคุณสมบัติที่สูงกวาที่ตองการได อยางไรก็ตามการสรุปผลในขั้นสุดทาย ขึ้นอยูที่ผมู ีอํานาจในการตัดสินใจ กรณีเปนเครื่องบินที่ใชทางการทหาร การบริการหลังการขาย ถือเปนความ ตองการสวนหนึ่งในการพิจารณาซื้อ การเสนอขายเครื่องบินรบ มักจะตองมีเงื่อนไขเรื่อง
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
59
การบริการหลังการขาย ในดานตางๆ สงมาดวย นอกเหนือจากคุณสมบัติที่ตรงตาม ความตองการของ ทางทหารแลว แมแตสายการบินพาณิชย ในปจจุบนั ก็ยังใชวิธีนใี้ น การซื้อเครื่องบิน ทั้งผูท สี่ รางเครื่องบินขาย และผูซื้อเครื่องบินไปทําธุรกิจ ตางก็ตอ งมี ขอตกลงซึ่งกันและกัน เพือ่ ปองกันผลที่จะตามมาในอนาคตที่อีกฝาย ตองการเพิ่มขึ้นมา นอกเหนือจาก ในตอนแรกที่ตกลงกันไว อาจจะเปนปญหาได ความตองการในเรื่องความประหยัด ปจจุบนั มีผลมาก ทุกบริษัทที่ซื้อเครือ่ งบิน จะเนนในเรื่องนี้ สมัยกอนในชวงป ค.ศ. 1960 เรื่องราคาหรือความประหยัด เปนเรือ่ ง รองจากสมรรถนะโดยเฉพาะเครื่องบินรบและในชวงนั้นราคาของเครื่องบินมีการขยับตัว สูงขึ้นอยางมาก เปนเหตุใหราคาของเครื่องบินจึงกลายมาเปนปจจัย อันดับแรก ในการ พิจารณาซื้อของสายการบิน ในป ค.ศ. 1970 เปน ผลกระทบของราคาน้ํามันจากตะวันออกกลางที่ทาํ ใหตอง พิจารณาในเรื่องของความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ปจจัยในเรื่องของการบํารุงรักษา กลาย มาเปนสวนหนึ่งในการพิจารณาแผนแบบเครื่องบิน ตองบํารุงรักษางายและราคาถูก ใช ทนนาน ซึง่ ก็คือมีความนาเชื่อถือไมเสียงาย อันที่จริงแลวก็เปนหลักการพื้นฐานของ เครื่องใชทั่วไป เชนรถยนต ผูใชหรือผูซื้อก็ตองการใหเปนเชนนี้เหมือนกัน สรุปแลว นอกจากเรื่องของสมรรถนะแลวสิ่งที่ ผูแผนแบบตองคํานึงถึง คือ - ราคาขายของเครื่องบินตองถูก - ความประหยัดเชื้อเพลิง ตองสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนอยไดระยะทางไกล - การบํารุงรักษาตองงาย อะไหล และคาซอมถูก - ความนาเชือ่ ถือ ในการใชงาน คือมีความปลอดภัยสูง ทนทาน อยูไดนาน
4.2 หลักเกณฑในการแผนแบบ (Airworthiness Requirements) นอกจากความตองการที่เพิ่มขึ้นมานอกเหนือจาก สมรรถนะดังที่ไดกลาวไปแลว นักแผนแบบ ยังตองคํานึงถึง มาตรฐานและกฎระเบียบขอบังคับ ที่ใหความสําคัญกับ ความปลอดภัย ตามองคกรที่รัฐบาลเปนผูตั้งขึน้
60
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
ในสหรัฐอเมริกา สมาพันธผูบริหารการบิน (Federal Aviation Administration FAA) ไดเสนอกฎแหงความปลอดภัยสําหรับเครือ่ งบินพลเรือน กฎของสมาพันธขอ 23 และ 25 ไดครอบคลุม ในเรื่องของความปลอดภัย เชน ในขอ 23 ใชกับเครื่องบินขนาด เบาที่มีน้ําหนักรวม 12,500 ปอนด หรือนอยกวา สวนเครื่องบินทีมีน้ําหนักรวมสูงกวานี้ ตองอยูภายใตกฎในขอ 25 การออกใบรับรอง จึงขึ้นอยูกับ น้ําหนักรวมในขณะบินขึ้น ในกฎขอที่ 25 เปนการแบงประเภทเพื่อความเหมาะสมในการบินขนสง อยาง เปนทางการ มีชื่อวา มาตรฐานความเหมาะสมในการบิน (Airworthiness Standards) สวนในกฎขอที่ 23 เปนระเบียบที่ใชกับเครื่องบินขนาดเบา ทั่วๆไป จึงเปนหลักเกณฑ ของผูแผนแบบเครื่องบินขนาดเบาทั้งหลาย ซึ่งกลาวถึง สมรรถนะ ขอจํากัดของทาทาง การบิน ความตองการโดยทั่วไปของเครื่องบินฝก ภาระกรรมที่รับ โครงสรางตองมีความ แข็งแรงพอทีจ่ ะรับแรงที่เกิดขึ้นเนื่องจากการ เพิม่ -ลด-เปลี่ยนทิศทาง ความเร็ว (เชน เวลารถ เรง-เบรก-เลี้ยว เราจะรูสึกไดวามีแรงกระทํา) การแผนแบบที่ดจี ะตองเครงครัด ตอกติกาที่ไดวางไวเครื่องบินที่มีความปลอดภัย บินทําความเร็วได 150 นอต ยังดีกวา เครื่องบินไรความปลอดภัย ที่บินทําความเร็วได 170 นอต
4.3 ขั้นตอนในการแผนแบบ (Design Phases) การแผนแบบเครื่องบิน ประกอบดวยกลุมคนที่มคี วามสามารถ หลายกลุม จาก แตละสาขา ทุกคนไมไดเริ่มงานพรอมกัน การแผนแบบ ฐานลอไมไดเริ่มตนไปกับการ แผนแบบลําตัว สิ่งทั้งหลายที่ประกอบรวมกันเขาเปนเครื่องบิน ไมไดมีการแผนแบบใน เวลาเดียวกัน แตจะทยอย แผนแบบ ไปตามขัน้ ตอน กอนหลัง ตามความเหมาะสม บางอยางจะเริ่มแผนแบบไดตอเมื่อ ชิ้นสวนบางอยางตองแผนแบบจนเสร็จเรียบรอย กอน แตบางสวนก็ตองมีการแผนแบบไปพรอมๆกัน ขั้นตอนและชวงเวลาในการแผน แบบนั้นโดยทั่วไป จะแบงออกเปนสามขั้นตอนดังนี้ 1. แนวความคิดเบื้องตนในการแผนแบบ (Conceptual design) 2. การแผนแบบเบื้องตน (Preliminary design) 3. การแผนแบบในรายละเอียด (Detail design)
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
61
แนวความคิดเบื้องตนในการแผนแบบ (Conceptual design) เปนสิ่งแรกที่ตอง ทําในการแผนแบบ การใหชื่อที่บอกความหมายของเครื่องบินที่จะสราง ความคิดทั่วๆไป เครื่องบินลํานี้จะมีหนาตาเปนอยางไร การเสก็ตภาพคราวๆของเครื่องบินเกิดในขั้นนี้ มี การนําเอาคุณสมบัติพื้นฐานมาพิจารณา เชน จะเปนเครื่องยนตประเภทไหน เทอรโบ เจ็ต เทอรโบพรอบ หรือ ลูกสูบหมุนใบพัด หนึ่ง หรือสองเครื่องยนต ตําแหนงของปก อยู บนหรือลาง จะเปนแบบพับฐานลอไดหรือไม ขอบเขตของคุณสมบัติจําเพาะ ที่ไดวางไวแตแรก จะเปนตัวชวยตอบคําถาม เชน ตองการความเร็วเดินทาง เทากับ 500 นอต ก็ตองเปนเครื่องยนตเจ็ต ตองการ บรรทุกผูโดยสาร 200 คน ตองใชเครื่องยนต มากกวาหนึ่งเครือ่ ง หรือจะเปนอยางไร ใน สวนตางๆของเครื่องบิน ก็อยูที่การตกลงกันในกลุมผูแผนแบบ ของขัน้ ตอนนี้ การ ตัดสินใจสุดทายคงตองอยูที่ผแู ผนแบบที่มีประสบการณ การแผนแบบเบื้องตน (Preliminary design) ในขั้นตอนนี้ เปนการนําเอา คุณสมบัติพื้นฐานมาพิจารณา มีความสอดคลองกับ การแผนแบบทางอากาศ พลศาสตร และมองลงไปในรายละเอียด ของโครงสรางที่ตองใหความสําคัญ และคอย มาใสรายละเอียด ในสวนของคุณสมบัติทางอากาศพลศาสตร ทีเ่ ปนสวนภายนอก ทั้งหมดของเครื่องบิน การแผนแบบในรายละเอียด (Detail design) เปนตอนสุดทายของการแผนแบบ เปนการเสริมในเรื่องของโครงสรางใหแข็งแรงขึ้น จากแรงทางอากาศพลศาสตรที่เกิดขึ้น และลงตัวกับรูปรางที่ไดกาํ หนดไว การทํางานในขั้นนี้เหมือนกับเปนการปรับปรุงการ แผนแบบของขั้นตอน กอนหนานี้ แตไมใชการเปลี่ยนแปลง ผลของการแผนแบบในขั้น กอนหนานี้ ที่เปนเรื่องหลัก เชน คานหลัก (Spar) ที่ใชในสวนของปกที่รับแรง ซึ่ง สอดคลองกับความหนาของแพนอากาศที่มาใชทําปก ที่ตองมีน้ําหนักและความแข็งแรง พอดี ถาแกตองแกในขั้นตอนของ การแผนแบบเบื้องตน เชนตองการใหมีปกที่หนาขึ้นก็ ยอมทําไดแตเปนการกลับไปแกในขัน้ ตอน การแผนแบบเบื้องตน ซึง่ เปนการทบทวน แนวความคิดเบื้องตนวาจะใหเครื่องบินอยางที่ตอ งการ ไดจริงหรือไม การแผนแบบ
62
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
ยอมมีการเปลี่ยนแปลงไดในแตละขัน้ ตอน เพื่อใหผลงานออกมาดีที่สุด จนกวาจะถึงขั้น สรางชิ้นงานในโรงงาน สําหรับหนังสือเลมนี้การแผนแบบ จะอธิบายโดยเนนไปในเรื่องของคุณสมบัติ ทางอากาศพลศาสตรเปนหลัก ซึ่งเปนไปตามจุดมุงหมายของหนังสือ ในการทํางานจริง นั้นตองอาศัยความรูและประสบการณหลายดานไมวาจะเปน ในเรื่องแนวความคิด การ แผนแบบพื้นฐาน การแผนแบบโครงสราง ฯ เปนเรื่องปกติของการสรางสิ่งของเพื่อ นํามาใชงาน เครื่องใชอื่นๆก็เชนกัน ตองใชความรูหลายดาน นํามาผสมผสาน
4.4 กระบวนการแผนแบบ (The Design Process) ผูที่เพิ่งเริ่มงานแผนแบบเครื่องบิน เมือ่ ไดลองแผนแบบเครื่องบินขึ้นสักลําอาจจะ ตองเกิดความหงุดหงิดจากผลที่ไดรับ แมพยายามจะปรับปรุงสมรรถนะใหไดดีขนึ้ ตามที่ไดกําหนดไวแตแรก สําหรับเครื่องบิน ความพยายามทําสมรรถนะในเรื่องหนึ่งให ดี อาจจะสงผลลบตอสมรรถนะ ในดานอื่น ยกตัวอยางเชน ตองการความเร็วเดินทางสูง จึงตองทําใหแรงตานลดลง ผูแผนแบบเลือกใชปกที่มีขนาดเล็กเพื่อทําใหแรงตานลดลง สิ่งที่ตามมา(ซึ่งไมตองการ) คือ ความเร็วสะตอลสูง สงผลใหการบินขึ้นและบินลงใช ระยะทางยาวขึ้น แตกแ็ กไขดวยการ ใสแฟลบขนาดใหญ และเพิ่มกําลังขับของ เครื่องยนต (เลือกเครือ่ งยนตที่ใหญขึ้น) ซึ่งเทากับเปนการเพิ่มน้ําหนักใหกับเครื่องบิน ทําใหความเร็วลดลง เปนการลดสมรรถนะของเครื่องบินลงไปอีก กลายเปนวาตองเพิ่ม ตนทุน โดยทีไ่ มไดสมรรถนะเพิ่ม ทางที่ดี ควรจะเลือกปกที่มีขนาดใหญพอ ที่จะทําใหการบินขึ้นและบินลง ทําได งายและใชระยะทางสัน้ หลังจากนัน้ จึงคํานวณหา ความเร็วเดินทาง ถาไดต่ํากวาที่ ตองการ ลองดูเครื่องยนตที่มีขนาดใหญขึ้น และดูน้ําหนักดวย ประกอบกับความ สิ้นเปลืองเชือ้ เพลิงทีเ่ พิ่มขึ้น เพื่อหาน้ําหนักรวมที่ตองเพิ่มขึ้น ถาอยูใ นเกณฑก็ถือวา ใชได ผลสุดทายของการแผนแบบ มักจะจบลงทีก่ ารเลือกปกซึ่งใหผลอยูระหวาง ความเร็วที่เหมาะสม กับ สมรรถนะในการบินขึ้น และบินลง จะตองลงตัวที่คาใดคาหนึ่ง
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
63
ในธรรมชาติของการแผนแบบเครื่องบินแลว การหาขอสรุปทีล่ งตัวเปนเรื่องสําคัญ เหมือนการประนีประนอมของสมรรถนะแตละดานของเครื่องบิน จะใหอกี อันหนึ่งดี แต ไปทําใหอีกดานหนึ่งแยลง ก็คงไมเหมาะ จําตองปรับใหพอดีในทุกดาน นักแผนแบบมือ อาชีพ ใชคาํ พูดวา “เทรดออฟ (Tradeoff)” หมาย ความวา ยอมเสียอยางหนึ่ง เพื่อใหไดอีกอยางหนึ่ง เชนเดียวกับผูทําการคา คือ ขายสินคาโดยที่บางอยางจําตอง ยอมไดกําไรนอย หรือแทบไมได แตผลเฉลี่ยรวมแลว ไดกําไรตามที่ตองการก็ถือวาใชได การแผนแบบเครื่องบินก็เชนกัน สมรรถนะบางสวนอาจตองยอมลดลง เพื่อใหได สมรรถนะโดยรวมที่ดีที่สุด ตองไมมีการมองสมรรถนะดานใดดานหนึง่ โดดๆ ตองไป ดวยกันทุกดาน บางอยางที่จําตองทํา แมเปนการลดสมรรถนะของเครื่องบินลง เชน ตองยอมเพิ่มน้ําหนัก เพือ่ ทําใหหองโดยสารนานั่งรูสึกสบาย การลดตนทุนการสราง การ ทําใหการบํารุงรักษางายขึ้น การเพิ่มความปลอดภัยในการบิน เครื่องบินที่ถูกผลิต ออกมาขาย มีการพิจารณาปจจัยเพือ่ การแผนแบบในลักษณะนี้ทั้งนั้น ยังมีนักเลนเครื่องบิน (ในสหรัฐอเมริกา) จํานวนไมนอยที่มักจะผิดหวังกับเครื่อง บินจําพวก ประกอบหรือสรางขึ้นเองที่บาน (Homebuilt or Kit plane) โดยอาศัย ชิ้นสวนที่ซื้อมา แตไมไดคุณภาพหรือสมรรถนะอยางที่ตองการ จึงมีความพยายามที่จะ ใหเกิดความเปนธรรมกับผูซื้อ เชนการกระจายขาวของ ผลิตภัณฑที่ไมไดมาตรฐาน เชน เครื่องยนตมีกําลังขับนอยไป เพื่อไมให ผูซื้อรายอื่นตองผิดหวังจากเครื่องบินที่ซื้อไป เปนความจําเปนของผูผลิตทุกราย ที่ตองพยายามปรับปรุงคุณภาพของเครื่องบินที่สราง ขึ้นมาใหไดมาตรฐาน ดวยเหตุนี้ เครื่องบินที่มีสมรรถนะในระดับเดียวกัน รูปลักษณ โดยรวมจะคลายกัน แมผลิตมาจากบริษัทตางกัน ไมวาจะเปนการกางปก น้ําหนัก กําลังเครื่องยนต ฯ เพราะวาเมื่อการแผนแบบนั้นเขาที่ คือนาจะดีที่สดุ แลวผลออกมา จึงไดมีความใกลเคียงกัน ในแงของรูปราง และสิ่งประกอบอื่นๆ
4.5 แนวความคิดเริ่มตน (Initial Conception) สิ่งที่ตองทําอันดับแรกของแนวความคิดในการแผนแบบ คือศึกษาถึงคุณสมบัติ จําเพาะหรือความตองการพื้นฐาน ที่บอกใหเรารูวาเครื่องบินในแนวความคิดนี้ จะมี
64
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
เครื่องยนตแบบไหน รูปรางหลักๆเปนอยางไร มีความเปนไปไดในการสรางออกมามาก นอยแคไหน ความตองการบางอยางอาจสูงเกินไป และอะไรเปนเปาหมายหลัก เปาหมายรอง อยางเชน เครื่องบินสําหรับไวใชแขงขัน หรือเครื่องบินรบ ความเร็วและ สมรรถนะในการทําทาทางการบิน ตองเปนเปาหมายหลัก สวนเครื่องบินโดยสารขาม มหาสมุทร ก็ตองบินไดระยะทางไกล แตเปาหมายหลักตองไมทําให สมรรถนะในดาน อื่นลดลงเกินกวามาตรฐานกําหนด เชน เครื่องบินรบทําความเร็วไดถึง มัค4 แตตองใช ระยะทางบินลง หาไมล (ไมนามีสนามบินลงได) หรือเครื่องบินเดินทางไดไกลถึง 10,000 ไมล แตบินไดดวยความเร็ว แค 100 นอต (คงไมมีผูโดยสารคนไหนอยากจะไป ดวยแมมีสมรรถนะบางดานดีมากๆ) เรารูแลววา การแผนแบบใหเครื่องบิน มีสมรรถนะบางดานเปนไปตามความ ตองการ แตก็สงผล หรือมีความเกี่ยวพันธกับสมรรถนะในดานอื่นดวย กรอบที่ใชในการ พิจารณาที่นาเชื่อถือ เพื่อใหไดเครื่องบินที่สมบูรณ และเปนไปตามตองการ มีดังนี้ เพื่อใหไดสมรรถนะดังกลาว ในแตละดาน สวนของสมรรถนะ คุณสมบัติ ของเครื่องบิน ที่ตองการ คือ น้ําหนักบรรทุก(มาก) : หองบรรทุกของขนาดใหญ กําลังขับสูง น้ําหนักเบา ความเร็ว(สูง) : แรงตานนอย (สวนตางๆตองมีขนาดเล็ก) กําลังขับสูง ระยะทางบิน(ไกล) : น้ําหนักเบา แรงตานนอย สิ้นเปลืองเชื้อเพลิงนอย ถังเก็บเชื้อเพลิงใหญ ระยะทางบินขึ้น(สั้น) : กําลังขับสูง พื้นที่ปกมาก แรงยกมาก แรงตานนอย น้ําหนักเบา ระยะทางบินลง(สั้น) : ใชระยะทางสั้น พืน้ ที่ปก มาก แรงยกมาก น้ําหนักเบา อัตราไต(เร็ว), เพดานบิน (สูง) : กําลังขับสูง แรงตานนอย น้ําหนักเบา จากขอมูลขางบน เราจะเห็นความขัดแยงของคุณสมบัติที่ตองการ เชน ตองการ ใหบินไดไกล ตองการถังเก็บเชื้อเพลิงขนาดใหญ และขนาดของเครื่องบินดวย สงผลไป ยังโครงสรางตองใหญขึ้น ซึ่งเปนการเพิ่มน้ําหนักใหกับเครื่องบิน
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
65
สมรรถนะสวนใหญจะตองการคุณสมบัติของเครื่องบินที่สอดคลองกัน ดังนี้คือ ตองการมากเหมือนกัน และตองการนอยเหมือนกัน เชน น้ําหนักเบา ปกมีพนื้ ที่ มาก คาของ น้ําหนัก ตอ พื้นที่ปก เรียกวา “ภาระของปก” (Wing loading = W/S เมื่อ W คือน้ําหนักและ S คือพื้นที่ฉายปก) ควรเรียกทับศัพทวา “วิงโหลดดิ้ง” หรือเขียนยอๆ วา W/S เปนคาที่ทําใหเรารูวา ปกรับน้ําหนักเทาไรตอหนึ่งหนวยพื้นที่ มีหนวยเปน ปอนดตอตารางฟุต ( lbf ft ) หรือ นิวตันตอตารางเมตร ( N m ) ตัวอยางเชน เครื่องบิน A มีน้ําหนักรวม 3,000 ปอนด พื้นที่ปก 200 ตรารางฟุต มีคา วิงโหลด ดิ้ง เทากับ 2
2
W S
3,000lbf 15 lbf ft 2 200 ft 2
เครื่องบิน B มีน้ําหนักรวม 10,000 ปอนด พื้นที่ปก 667 ตรารางฟุต มีคา วิง โหลดดิ้ง เทากับ W S
10,000lbf 15 lbf ft 2 2 667 ft
เครื่องบินทั้งสองลํานี้ มีสมรรถนะในการ บินขึ้นและลงเหมือนกัน และในสมรรถนะดาน อื่นก็ใกล เคียงกัน เพราะวาสมรรถนะดังกลาวไมไดขึ้นอยูกับน้ําหนักโดยตรง แตขึ้นอยู กับ อัตราสวนของ น้ําหนัก ตอ พื้นที่ปก อัตราสวนของ คุณสมบัติที่นา สนใจ อีกอยาง คือ กําลังขับตอน้ําหนัก (Power to weight นิยมเขียนดังนี้ P/W) กําลังขับสูงเปนสิง่ ที่ดี กับสมรรถนะทุกแบบ และน้ําหนักทีน่ อยก็เปนสิง่ ที่ดีเชนกัน เชนเดียวกับคา วิงโหลดดิ้ง คาของกําลังขับ ตอ หนึ่งหนวยน้ําหนัก จึงมีความหมายเปนอยางมาก ในเรื่องของ สมรรถนะ บางครั้งเรียกทับศัพทวา “พาวเวอรโหลดดิ้ง (Power loading)” มาถึงตอนนี้ จะเริ่มเห็นแลววา น้ําหนักบรรทุก ความเร็ว อัตราไต การบินขึ้นลง สมรรถนะเหลานี้ตองการ คา P/W สูง สมรรถนะในการ บินขึ้น-ลง ตองการ คา W/S ต่ํา แตสําหรับเครื่องบินทีก่ ําหนดใหบนิ ดวยความเร็วสูง ตองการ คา W/S สูง ตอไปนี้ เราจะไดเห็นวา เราจะเลือก ใชคาเหลานี้อยางไรในการแผนแบบเครื่องบิน ความรูโดยทั่วไปในเรื่องการแผนแบบเครื่องบิน มีความซับซอน และเกี่ยวของกัน และกันในเรื่องของสมรรถนะดังที่เราไดทราบแลว ความตองการและขอบเขตในการ
66
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
แผนแบบ มีความแตกตางกัน เพื่อใหอยูในขอบเขตของหนังสือเลมนี้ การพิจารณาจึง ตองจํากัดอยูที่ เครื่องบินขนาดเบา ใชกําลังขับจากใบพัด สวนประกอบตางๆ ที่ใชกบั เครื่องบินประเภทนี้ การพิจารณาเปนการดูถึงประโยชน ทีจ่ ะเกิดขึ้นกับเครื่องบินโดย หลักพื้นฐาน
4.6 การแผนแบบลําตัว (Fuselage Design) ถาใครเคยสรางเครื่องบินจําลองขนาดเล็ก มากอน ตองเริ่มตนที่ลําตัวเปนอันดับ แรก เพื่อไวสําหรับวางสิง่ ของตางๆ เชน เครื่องรับวิทยุ แบตเตอรี่ ฯ หลังจากนั้นจึงเปน ปก ซึง่ ตองหิว้ ลําตัวใหลอยขึ้นไปในอากาศ ตามมาดวย แพนหางดิ่งและแพนหางระดับ เพื่อใชในการควบคุมทิศทาง ซึ่งเปนขั้นตอน ปกติของนักสรางเครื่องบินเล็ก นักแผนแบบเครื่องบินจริง ก็เริ่มตนเหมือนกันกับนักสรางเครือ่ งบินเล็ก อาจจะ ดวยสัญชาติญาณที่เปนแรงจูงใจคือ เริ่มตนที่ลําตัวเปนอันดับแรก มีเหตุผลทางเทคนิค ประกอบหลายอยางสนับสนุนวิธีนี้ ภาระหรือหนาที่ของลําตัวคือบรรจุสัมภาระตางๆ ถา เปนผูโ ดยสาร ก็มีตั้งแต หนึ่งคน สอง สี่ หรือ 200 คน รวมถึงสินคา ที่มีนา้ํ หนักมาก ซึง่ จะเปนการบอกถึง น้ําหนักเปลาของเครื่องบินดวย เปนการเริ่มตนภาพของเครื่องบิน อยางมีหลักเกณฑ
รูปที่ 4.1 รูปทรงตนแบบของลําตัวเครื่องบิน ชวยลดแรงตานเหมือนกับรูปหยดน้ํา
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
67
แนวโนมของนักแผนแบบ มักจะเอนเอียงไปทางรูปรางของลําตัวเครื่องบิน ที่ลด แรงตาน รูปรางดังกลาว จะตองใหแรงตานต่ําในยานซับโซนิก(ความเร็วต่ํากวาเสียง) ดัง ในรูปที่ 4.1 คือรูปหยดน้ําภาคตัดขวางเปนรูปวงกลม ซึ่งเหมาะกับลําตัว มีคาอัตราสวน ระหวาง ความยาว L ตอ เสนผาศูนยกลางที่โตที่สุด ในภาคตัดขวางนั้น D คือ L/D = 3 คาอัตราสวนนี้เรียกวา “ฟายเนสเรโช (Fineness ratio)” จากการทดสอบคาแรง ตานที่เกิดขึน้ กับรูปทรงนี้ จะชวยลดแรงตานไดเปนอยางมากถา คา L/D มากกวา 3 แต แรงตานจะเพิ่มขึ้นมากถา คา L/D นอยกวา 3 เพื่อใหไดรูปรางที่เหมาะสม เชน เครื่องบินขนาดเบาสี่ที่นงั่ ความยาวลําตัว ประมาณ 24 ฟุต ควรมีเสนผาศูนยกลางภาคตัดขวางของลําตัว ประมาณ
24 8 ฟุต 3
หรือถาเปนเครื่องบินที่ใหญขึ้นมาหนอย เปนแบบสองเครื่องยนต ความยาวลําตัว 36 ฟุต ควรมีเสนผาศูนยกลาง 12 ฟุต จะเห็นวา ขนาดดังกลาวโตเกินพอ คือมีปริมาตรมาก เกินความจําเปน ปริมาตรในหองโดยสารที่มากเกินความจําเปน สงผลใหพื้นผิวของ ลําตัวที่สัมผัสกับอากาศ ทีเ่ รียกวา “พื้นที่เปยก (Wetted area)” เปรียบเหมือนกับการ นําเอาไปจุมน้ํา คือพื้นที่สวนทีเ่ ปยกน้ํา สําหรับเครื่องบินคือ พื้นทีผ่ ิวที่ตองสัมผัสกับ อากาศ ทําใหคาแรงตานเสียดทาน (Skin friction drag)มีมากขึ้น นัน่ คือผลรวมของแรง ตานพาราไซท สูงขึ้น( แรงตานพาราไซท คือแรงตานความดัน รวมกับ แรงตานเสียด ทานระหวางผิวเครื่องบินกับอากาศที่ไหลผาน) ดังนั้นจึงควรลดปริมาตรในหองโดยสาร ลง ใหเหลือเทาที่จําเปน จะชวยลดแรงตานได ในทางปฏิบตั ิ การแผนแบบลําตัว นั้นยึดถือรูปทรงพื้นฐานรูปหยดน้ําเปนหลัก ขนาดของลําตัวจะยึดเอาจํานวนผูโดยสารเปนหลัก และภาคตัดขวาง เปนรูปวงกลม ดัง ในรูปที่ 4.2 A หรือใกลเคียงกับวงกลม เปนผลดีตอ การแผนแบบโครงสราง (ความ แข็งแรง และการสราง) และการจัดวางเกาอี้โดยสารดังในรูปที่ 4.2 B พื้นที่วางใตที่นั่ง ใชเปนทีเ่ ก็บกระเปาและสัมภาระอื่นๆไดอีกดวย แตสําหรับเครื่องบินขนาดเบาที่บรรทุก ผูโดยสาร 4 คน ไมจําเปนตองใชพื้นที่ดังกลาว จึงมีภาคตัดขวางของหองโดยสารเปน อยางในรูปที่ 4.2 C ซึ่งตองวางตําแหนงของปกอยูลาง แตถาวางตําแหนงปกอยูบน รูปรางก็จะกลับกับรูปนี้
68
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
รูปที่ 4.2 ตัวอยางการแผนแบบลําตัวเครื่องบิน (Fuselage) ยังมีปจจัยอีกมาก ที่ตองนํามาพิจารณา ในการแผนแบบลําตัวที่ตองมองภาพ รวม ของการวางตําแหนง สวนทายสุดตองมีชุดแพนหาง ตําแหนงของชุดแพนหางมายัง จุดCG เพื่อสงผลในเรื่องของสมรรถนะ ถาแพนหางมีขนาดใหญ แรงตานจะสูงขึ้นตาม สําหรับเครื่องบินหนึ่งเครื่องยนต ตองติดตั้งเครื่องยนตไวสวนหนาสุดของลําตัว ตอง คํานึงถึงบริเวณที่ตองวางเครื่องยนตนี้ดวย ใหมีขนาดเหมาะสมเพียงพอกับเครื่องยนตที่ นํามาติดตั้ง ก็คงตองผูกพันไปถึงเรือ่ งของตําแหนง จุดCG ดวย เพราะน้ําหนักและ ตําแหนงของเครื่องยนต ที่วาง อยางไรเสียการแผนแบบลําตัว ก็ตองยึดหลักที่วาทําใหมี ขนาดเล็กพอดีกับการวางอุปกรณตางๆ ไมควรใหมีบริเวณสูญเปลา เพือ่ ใหไดคาพื้นที่ เปยกนอยทีส่ ุด เปนการลดแรงตานที่พื้นผิวเนื่องจากแรงเสียดทานของอากาศ(Skin friction drag) เพราะวาการแผนแบบลําตัว ตองเริ่มตนที่อุปกรณ และผูโดยสารที่อยูในลําตัว เชน การจัดวางเกาอี้ สมมุติวาเปนเครื่องบินขนาดเล็กสองทีน่ ั่ง การวางเกาอี้ อาจวาง เคียงกันหรือ วางตอกันก็ได การวางตอกัน ทําใหพนื้ ที่ภาคตัดขวางของลําตัวลดลง ชวย ลดแรงตาน (พื้นที่ฉายดานหนาเล็กลง Lower frontal projected area) แตผูโดยสารทัง้
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
69
สองไมสะดวกในการพูดคุย หรือติดตอกัน แตถาวางในลักษณะเกาอี้เคียงกันเปน มาตรฐาน สวนใหญจะนิยมทํา เพราะทําใหผูโดยสารไดรับความสะดวกในการติดตอ พูดคุยกันในขณะโดยสาร หรือทําการฝกบิน แมสงผลใหพนื้ ที่ฉายดานหนาโตขึ้น แต ชวยใหผูโดยสารไดรับความสะดวกสบาย พื้นที่ในหองโดยสารควรมีความกวางพอ ไม ควรทําใหคับแคบเกินไป เพียงเพื่อหวังผลทางอากาศพลศาสตรอยางเดียว โดยทั่วไป ถา เปนเครื่องบินเดินทางระยะใกลใชเวลาสั้น ประมาณ 1 ชั่วโมง เกาอี้นงั่ กวางประมาณ 16 – 22 นิ้ว ถาเปนเครื่องบินเดินทางระยะไกลใชเวลาเดินทางหลายชั่วโมง เกาอี้นั่ง กวางประมาณ 28 – 43 นิ้ว หองโดยสารสูงประมาณ 4 ฟุต หรือประมาณ 5 ฟุต เพื่อให ผูโดยสารสามารถลุกเดินไปยังเกาอี้ตัวอื่นได ในขณะบินเดินทาง และตองคํานึงถึง ชองทางเดินดวย นอกจากความสูง
4.7 การแผนแบบปก (Wing design) ในขณะที่ลําตัวเครื่องบินเปนสวนที่เกีย่ วของกับผูโดยสารและสัมภาระ ปกของ เครื่องบินมีความสําคัญในสวนทีเ่ กี่ยวของกับคุณสมบัติทางอากาศพลศาสตรของ เครื่องบิน เปรียบไดกับหัวใจของเครื่องบิน คุณสมบัติทางอากาศพลศาสตรโดยรวมของ เครื่องบินสวนใหญอยูที่ ผูแผนแบบจะกําหนดใหปก ของเครือ่ งบินเปนอยางไร รูปรางพื้นฐานของปก (Basic wing configuration) ในขั้นตอนของ แนวความคิดในการแผนแบบ ผูแ ผนแบบมีความคิดเบื้องตนใน เรื่องของปกไวแลว อาจจะเปน ปกอยูบ น (high-wing) ปกอยูล าง (low-wing) หรืออยู ตรงกลาง ปกอยูบนมีผลดีกวา ปกอยูลาง เพราะอากาศที่ไหลสวนบนของปกไมไดรับ ผลกระทบจากลําตัวเครื่องบิน อยางเชนปกอยูล าง ลําตัวสงผลตอการไหลของอากาศที่ ผิวดานบนของปก จึงมีผลในเรื่องของ คา อัตราสวนแรงยก ตอ แรงตาน L/D(Lift-todrag ratio) ปกอยูลาง จึงทําใหลาํ ตัวเขามามีสวนตอการไหลของอากาศดานบนของ ปก เชน แรงตานที่เกิดจากการรบกวนบริเวณ สวนของลําตัวที่ตอกับปก(Interference drag) ดังนั้นการ ฟลเล็ต (Fillet) หรือการปรับ ความโคงมนของมุมรอง สวนที่หักมุม ให มน กลมกลืนกันทุกสวน ที่มีการตอเชื่อมเขาดวยกัน อาจตองใช แฟริ่ง(Fairing) นํามา
70
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
ครอบ หรือ คลุมอยางแนบเนียน ใหการไหลของอากาศลดการถูกรบกวนลง เทาที่จะทํา ได อยางเชนในรูปที่ 4.3 เปนลักษณะการเชื่อมตอ ระหวางปกอยูลาง กับ ลําตัวของ เครื่องบิน โดยใชการ ฟลเล็ต ลดมุมแหลมลง ของเครื่องบิน มูนี (Mooney)
รูปที่ 4.3 การฟลเล็ต (Fillet) หรือเติมเต็ม ในสวนที่เปนมุมแหลม ชวยลดแรงตาน
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
71
รูปที่ 4.4 การฟลเล็ต (fillet) สวนตอระหวาง ลําตัว กับ ปกของเครื่องบินมูนี (Mooney) เปนการลดแรงตาน เครื่องบินที่มปี กอยูบน ชวยทําใหมีเสถียรภาพในการโรล โดยไมจําเปนตองทํา ใหปกมีมุมยก (Dihedral) หรือมีก็เพียงเล็กนอย และยังชวยทําให คา L/D สูงขึ้นดวย สวนของ ปกอยูลางชวยในเรื่องของ ผลกระทบเมือ่ บินใกลพื้น (Ground effect) ทําให ระยะทางบินขึ้นสั้นลงจากแรงยกที่มากกวาเมื่อปกอยูใกลพื้น (เนื่องจากวอเทกปลายป กลดลง) เมื่อตําแหนงของปกทั้งสองแบบมีทั้งขอดี และขอดอย นักแผนแบบอาจเลือกใช ตําแหนงของปกอยูกลางลําตัวก็ได คุณสมบัติที่ได ก็เปนการผสมผสานกันทั้งสองแบบ โดยอยูตรงกลางระหวางอยูบน กับอยูลาง ตําแหนงของปก ที่ไดกลาวไปเปนการพิจารณาถึงผลในทางอากาศพลศาสตร ในเรื่องของโครงสราง ความสะดวกในการสรางและความแข็งแรง ปกอยูล างมีผลดีคอื งายตอการติดตั้งฐานลอ(Landing gear) ไมจําเปนตองทําชิน้ สวนเพิ่มขึน้ มากอีกมาก ชวยทําใหน้ําหนักไมมาก ซึ่งสงผลในเรื่องอากาศพลศาสตรอยูดี ถือเปนการชดเชยใน สวนที่ดอยกวา เพราะวาปกเปนสวนที่ใชเก็บน้ํามันเชือ้ เพลิง ปกอยูลางจึงใหความสะดวกในการ เติมเชื้อเพลิง ตรวจสอบ แตในกรณีฉุกเฉิน เครื่องบิน บินลงกระแทกพื้นสวนของปก
72
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
ไดรับความเสียหายกอน ในทางกลับกันการที่ปก กระแทกพืน้ กอน ก็ถอื ไดวาเปนการ ปองกันการกระแทกของหองโดยสารนับวาเปนการลดความรุนแรงลงไดในกรณีนี้ เมื่อ เทียบกับปกอยูบน แตไมรับรองเรื่อง ไฟไหมเนื่องจากถังน้ํามันรั่ว เมื่อไดรับแรงกระแทก เครื่องบินปกอยูลางสงผลดีตอ การทําทาทางการบินไดคลองตัวกวา เปนที่ ตองการของนัก บินที่ตอ งการความโลดโผน หรือใชในการรบ สําหรับการบินโชวขอ แนะนําเครื่องบินปกสองชั้น ซึ่งมีแรงตานสูงแตไดรับการยอมรับที่คอนขางติดอันดับใน การบินผาดแผลง เชน สามารถโรล(หมุนหรือกลิ้งดานขาง) ดวยอัตราการโรลที่สงู เนื่องจากกางปกสั้นกวา สงผลดีที่ทําใหโครงสรางแข็งแรงกวา น้ําหนักของโครงสรางปก นอยกวา คุณสมบัติตางๆ ลวนแลวแตชวยทําใหการบินผาดแผลง ไดดี ซึ่งที่กลาวมานี้ เปนขอดีของเครื่องบินปกสองชั้น ยกเวนความเร็วในการบินซึ่งไมดี(แรงตานสูง) เพื่อชวยในการตัดสินใจ จึงไดสรุปคุณสมบัติ ของเครื่องบิน ปกอยูบน กับปกอยู ลางไวดังนี้ ปกอยูบน ทําใหคา L/D สูงกวา ทําใหเสถียรภาพ ในการโรลดีกวา ทําใหระยะทางบินลงสั้นกวา ปองกันไฟไหมเนื่องจากปกหัก เมื่อ ลงฉุกเฉิน
ปกอยูลาง ทําใหการติดตั้งฐานลอทําไดดีกวา ทําใหการโรล คลองตัวกวา ทําใหงายตอการเติมน้ํามันเชื้อเพลิง ทําใหระยะทางบินขึ้นสั้นกวา ชวยปองกันหองโดยสาร เมื่อลงฉุกเฉิน
นอกจากที่กลาวมาแลว ยังมีสิ่งทีท่ ําใหเครื่องบินปกอยูบน เปนที่ตองการของ นักบิน และผูโดยสารคือ ในขณะบิน การมองลงมาชมทัศนียภาพบนพื้น ดีกวา เหมาะ กับการถายภาพบนพื้น แตเครื่องบินปกอยูลาง คนสวนใหญมองวามีความสวยงามกวา โดยไมไดคํานึงถึงเรื่องคุณสมบัติทางอากาศพลศาสตร ผูท ี่สนใจในกีฬาดานการบิน มักจะเลือก เครื่องบินปกอยูลางเพราะดูแลวเทกวา
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
73
ทางเลือกอื่นๆสําหรับผูแ ผนแบบ ตองมองในเรื่องของโครงสรางปกที่ตอ งยึดเขา กับลําตัว ดวยชิ้นสวน ที่ประกอบขึน้ มาเปนโครงสรางใหสามารถรับแรงได มีลักษณะ แบบเดียวกับคานยื่น(Cantilever beam) ในยุคแตกอนเครื่องบินมักใช คาน (Strutbraced) ค้ําปกเพื่อชวยในการรับแรง มองเห็นไดจากภายนอก ในยุคนี้ การพัฒนาวัสดุ ทําไดแข็งแรงขึ้น น้ําหนักเบาลง คือความแข็งแรงเมื่อเทียบกับน้ําหนัก สูงขึน้ จึงสามารถ ทําโครงสรางที่แข็งแรงพอโดยไมตองใชคานค้ําอยางเชนแตกอนได เปนการชวยลดแรง ตาน ทีเ่ กิดจากคานภายนอกปก ไดอยางมาก แตวิธีดังกลาวตองใชโครงสรางที่อยู ภายในปกที่มีจํานวนมากขึ้น เปนการเพิ่มน้ําหนัก เพื่อใหรับแรงไดเทากับการใช คาน อยูภายนอก จึงเปนหนทางเลือกวา จะใชคานชวยรับแรง(แบบสมัยเกา) น้าํ หนักของปก ก็ลดลง แตมแี รงตานอีกนิดหนอยจากคานภายนอก หรือจะไมมีคานแตน้ําหนักปก เพิ่มขึ้น ตัวอยางของเครื่องบินในปจจุบันที่ใชคานภายนอก เชน เซสนา 172 (Cessna 172) ในรูปที่ 8.4 ที่ยังคงใชคานค้ํายัน ชวยรับแรงของโครงสรางปกอยูภายนอก เชนเดียวกับเครื่องบินในยุคกอน
รูปที่ 4.5 เครื่องบิน เซสนา (Cessna 172 Skyhawk) โครงสรางปกใชคานชวยค้ําอยู ภายนอก
74
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
คานค้ํายัน(Struts) ตามปกติใชกับเครื่องบินปกอยูบน มีขอ ดีอยูสองอยางคือ หนึ่ง คานนี้จะรับแรงดึงในขณะบินตามปกติ การรับแรงดึงไมตองใชโครงสรางที่มีขนาด ใหญ (แมใชลวดสลิงก็รบั แรงได) แตถานําคานชวยค้ําโครงสรางปก กับเครื่องบินปกอยู ลาง ในขณะบินตองรับแรงกด ถาคานมีขนาดเล็กเชนเดียวกับคานของปกอยูบน จะทํา ใหคานงอได สอง คานค้ําที่อยูดานลางของปกใหแรงตานนอยกวา คานรับแรงอยู ดานบนของผิวปก(ปกอยูลาง) เพราะอากาศดานบนมีความเร็วสูงยิ่งมีตัวคานเขามา ขวาง จึงทําใหมีแรงตานมากกวาติดอยูที่ผิวดานลาง ดังนัน้ การที่จะใชคานชวยรับแรง ของโครงสรางปกจึงตองคํานึงถึงเรื่องของตําแหนงปกดวย รูปรางฉายของปก (Planform selection) ถึงแมวารูปรางที่แนนอนของปกจะยังไมถูกพิจารณา ในแนวความคิดขั้นพื้นฐาน แตเราจะมาพูดถึงในสวนของรูปรางที่เหมาะสม จากคุณสมบัติของปกที่เราไดทราบ มาแลว รูปรางฉายของปกเหมือนกับรูปปกที่เราเห็นเมื่อมองจากดานบนลงมา ที่กลาว มาแลววาปก ที่เปนรูปวงรี คือปกที่มีความสมบูรณในจินตนาการ มีแรงตานเหนี่ยวนํา นอยที่สุด เมือ่ เทียบกับปกที่มีรูปรางแบบอื่น ที่ใหแรงยกเทากัน ปกรูปวงรีสรางยาก (ทํา ใหเครื่องบินราคาแพงขึ้น) จึงแทนดวยปกรูปเรียวหรือเรียกทับศัพทวา “ปกเทเปอ (Tapered wings)” ดูแลวมีลักษณะใกลเคียงกัน รวมถึงคุณสมบัติทางอากาศ พลศาสตรดวย ถึงแมวาปกที่ทําไดงายคือ ปกสี่เหลี่ยม(ทําใหเครื่องบินราคาถูกลง) ตนทุนในการ ทําปกสี่เหลีย่ มถูกที่สุด เพราะมีรูปรางเหมือนกันทุกหนาตัด จึงใชตนแบบอยางเดียวกัน ตลอดทั้งปกตั้งแตโคนถึงปลาย ปญหาของปกสี่เหลี่ยมคือมีน้ําหนักตรงปลายมากเกิน จําเปนเพราะแรงยกตรงปลายปกมีนอ ย จึงเปนสวนเกินตรงปลายที่มีขนาดใหญ แตไม เกิดประโยชน การสะตอลที่เกิดบน ปกแบบสีเ่ หลีย่ ม เปนลักษณะที่เราตองการแตเราไมตอง การ ลักษณะการสะตอล ที่เกิดขึน้ กับปกเทเปอร แกไขไดดวยการสรางปกใหบิดคือมุม ปะทะตรงโคนกับปลายไมเทากัน อยางไรก็ตามวิธีนี้ทําใหแรงตานพาราไซท เพิ่มขึ้น ปก เทเปอ ทําใหคา แอสเปกเรโชเพิ่มขึน้ เมื่อเทียบกับปกสี่เหลีย่ ม ที่มีพื้นทีป่ กเทากัน เปน
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
75
การชวยลดแรงตานเหนี่ยวนํา จะเปนการดีถานําเอาทั้งสองแบบมาใชรวมกัน ดังในรูปที่ 4.6 ทําใหเกิดการสะตอลอยางที่ตองการได ลดน้ําหนักของพื้นที่ปกทีไ่ มจําเปน ตรง ปลายปก เพิม่ แอสเปกเรโช การใชรูปรางปกเชนนี้ถกู นําไปใชกับเครื่องบินขนาดเบา เชน เซสนา และไปเปอร หนึ่งเครื่องยนต
รูปที่ 4.6 การนําเอาปกสีเ่ หลี่ยมและเทเปอรมาใชรวมกัน ทําใหไดปกที่มีคุณสมบัติดีขึ้น
4.8 การเลือกเครื่องยนต (Powerplant Selection) เมื่อปกเปนสวนที่ใหแรงยก เครื่องยนตเปนสวนที่ใหแรงขับ ซึ่งสงผลไปยังแรงยก ดวย ทําใหสามารถบินได ดังนั้นการเลือกใชเครื่องยนตที่เหมาะสม จึงถือไดวาเปนการ พิจารณาที่สําคัญของนักแผนแบบเครือ่ งบิน เครื่องยนตที่ใชขับเคลื่อนเครื่องบิน มีหลายแบบใหเลือก ซึ่งไดกลาวไปแลวใน บทที่ 4 แตละแบบนั้นเหมาะกับการใชงานที่ตางกัน สําหรับเครื่องบินขนาดเบา ความเร็วต่ํา นักแผนแบบก็จะพุงเปาไปที่เครื่องยนตลูกสูบ หมุนใบพัด เครื่องยนตลูกสูบ รุนใหม ระบายความรอนดวยอากาศ ลูกสูบนอนยันตรงขาม (แบบเครือ่ งยนตรถโฟลค เตารุนเกา) มีทั้งสองสูบ สี่สูบ หรือหกสูบ ซึ่งการเลือกคอนขางจะจํากัด อัตราสวน กําลังตอน้ําหนัก (Power-to-weight ratio P/W) เปนคุณสมบัติ สําคัญที่ตองนํามาพิจารณา เพราะเครื่องยนตสวนใหญให กําลังใกลเคียงกัน ที่ความจุ ของเครื่องยนตเทากัน ดังนั้นจึงตองดูที่ คา P/W แตเนื่องจากเทคโนโลยี ไดพัฒนาไป มาก เครื่องยนตสวนใหญใหคา P/W ใกลเคียงกัน คือ 0.5 แรงมา/ปอนด คุณสมบัติ ตอมาที่ตองพิจารณาคือ ความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง และแนวของแรงขับตองใกล หรือ
76
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
ผานจุด CG เพื่อตัดปญหาของโมเมนตพิช เมือ่ เพิ่มแรงขับของเครื่องยนตคุณสมบัติ ของใบพัดมีสวนดวยเชนกัน
4.9 ลักษณะของฐานลอ (Landing Gear Configuration) เครื่องบินในอดีต ใชลักษณะของฐานลอแบบลอหาง คือมีสองลอหลักอยู ขางหนา และอีกลออยูทหี่ างของเครื่องบินทําหนาที่เลี้ยว การติดตั้งลอในลักษณะนีเ้ ปน แบบดั้งเดิม ซึ่งลาสมัยไปแลว ในปจจุบันไมมีการแผนแบบใหเครื่องบินมีลอในลักษณะ ดังกลาว ที่ใชกันมานานในอดีตเพราะวางายตอการสราง ลดแรงตาน และใชโครงสรางที่ เบากวา เครื่องบินแบบลอหาง จุด CG อยูดานหลังของสองลอหลัก ซึ่งมักนิยมแผนแบบ ใหสวนที่หนักที่สุดของปกตกลงบนลอหลักทั้งสองนี้ เปนการชวยทําใหงาย ในเรื่องของ โครงสรางฐานลอที่นํามาติดตั้ง
รูปที่ 4.7 เครื่องบินลอหางในขณะบินลง ลอกระแทกพื้น ทําใหเกิดโมเมนตเงย
รูปที่ 4.8 เครื่องบินลอหัว ในขณะบินลง ลอกระแทกพื้น ทําใหเกิดโมเมนตกม
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
77
เครื่องบินลอหาง ทําใหการบินลง ยุงยากกวา รวมทั้งการแท็กซี่ เพื่อเลื่อน เครื่องบินไปยังตําแหนงที่ตองการ ก็เนื่องมาจากจุด CG อยูทางดานหลังของสองลอ หลัก ในขณะบินลงถานักบินทําใหลอ หลักสองลอกระแทกพื้นคอนขางแรง ก็จะเกิดแรง ปฏิกิริยาของพื้น คือโตกลับในทิศทางขึ้น (เหมือนเครื่องบินเดงขึ้นเนือ่ งจากสองลอ หนาที่กระแทกพื้น) ดูรูปที่ 4.7 แรงโตกลับนี้พยายามทําใหเครื่องบินเงยขึน้ ในอากาศ มี แรงยกเพิ่มขึน้ ในขณะพยายามบินลง เปนการลอยกลับขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง และอาจ มีการยอ (Yaw) เขามารวมดวย อันเนื่องมาจากแรงเบรกสองลอซาย-ขวาไมเทากัน หรือขณะลงกระแทกพื้นดวยสองลอหลัก และเครื่องบินลอยขึ้นมาพอดีลม กระโชกดานขาง หรืออาจจะเปนลมที่มีความแรงอยูแลวทําใหเครื่องบินหันออกนอก เสนทางได เมื่อลอลงมาแตะพื้นอีกครั้งหนึ่ง นักบินตองพยายามหันดวยลอเพื่อกลับเขา สูเสนทาง แสดงวามีโอกาสเกิดอุบัติเหตุไดงาย ขณะบินลง เพียงเพราะความผิดพลาด เล็กนอยของนักบิน จึงไมนาเปนที่พอใจของนักบิน นอกจาก นั้นทัศนะวิสัยในการมอง ทางวิ่ง ยังถูกบังดวยสวนหัวของเครือ่ งบินอีกดวย
รูปที่ 4.9 เครื่องบิน เซสนา185 สกายแวกอน เปนเครื่องบินรุนใหมที่ ใชชดุ ฐานลอแบบ ลอหาง
78
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
จากขอเสียของเครื่องบินลอหาง จึงไดมีการแผนแบบใหเปนเครื่องบินสามลอ แบบลอหัว คือ สองลอหลังอยูดานหลังของจุด CG หนึ่งลออยูตรงหัว ดูรูปที่ 4.8 เมือ่ มี การบินลงทีค่ อนขางแรง แรงโตกลับของพื้นในทิศทางขึ้นเปนการทําใหเกิดโมเมนตกม เพราะลอคือตําแหนงของแรงกระทําอยูดานหลังจุด CG มุมปะทะของปกเปนลบ แรงยก ลดลง ทําใหเครื่องบินลดระดับแตะพื้นไมลอยกลับขึ้นไปในอากาศอยางเชน เครื่องบิน ลอหาง การที่มีลอหนึ่งลอติดตั้งอยูที่หัวเครื่องบิน ถามีการกระแทกเชนขณะบินลง ตอง รับแรงคอนขางมากและมีตําแหนงตรงหัวของเครื่องบิน จึงสงผลตอแรงตานที่มากขึ้น กวาลอหาง เวนเสียแตวาพับเก็บได สวนอีกสองลอหลักที่อยูดานหลัง จําตองมีโครง สรางเพิ่มขึ้นมาเพื่อใหลออยูในตําแหนงที่เหมาะสม ซึ่งคอนขางยุงยากกวาเนื่องจาก ตําแหนงของจุดยึดในการรับแรง เครื่องบินลอหัวมีผลดีในการมอง หรือทัศนะวิสัยขณะ บินลงและขึน้ ในปจจุบนั จํานวนเครื่องบินในสนามบิน มีมาก ยิ่งจําเปน ดวยความดีของ การติดตั้งลอหัวกับเครื่องบิน ดังนั้นตั้งแตป ค.ศ. 1980 เครื่องบินที่ผลิตออกมาสวนใหญ จะเปนแบบลอหัว มีเพียงสวนนอย เพื่อการใชงานในบางลักษณะเชน ทางดาน การเกษตร เพราะเครื่องบินลอหางใชวิ่งบนทางที่เปนดินหรือหญาไมจําเปนตองเรียบได ดี อยางในรูปที่ 4.9 เปนเครื่องบินเซสนา185 ที่ถูกสรางขึ้นมาใหมีลอหาง ที่ยึดไวดวย แผนโลหะบาง ติดกับลูกลอ เปนแบบดั้งเดิมซึ่งทําไดงายกวาแบบ ลอหัว
4.10 การแผนแบบชุดสวนหาง (Tail Design) ชุดสวนหางของเครื่องบิน ทําหนาที่ในการรักษาเสถียรภาพ และควบคุม เครื่องบิน ขนาดของแพนหางขึ้นอยูก ับ ขนาดความตองการในการรักษาเสถียรภาพมาก นอยเพียงไร และการควบคุมที่ตองการใหเปนไป แพนหางระดับชวยรักษาเสถียรภาพ ตามแนวแกนลําตัว (กม-เงย) และควบคุมใหกม-เงย โมเมนตพิช (Pitching moment) ดวย อิลิเวเตอร (Elevator) สวนแพนหางดิ่งชวยรักษาเสถียรภาพในแนวทิศทางการบิน คือ หันซาย-ขวา และควบคุมการหันซายขวาหรือการยอ (Yaw) ดวย รัดเดอร (Rudder) อยางที่ไดกลาวไปแลวในบทที่ 3
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
79
ขนาดของแรงกระทําทางอากาศพลศาสตร แปรตามขนาดของพื้นที่แพนหาง ความมีเสถียรภาพหาจาก โมเมนตทเี่ กิดขึ้นรอบจุดCG ซึ่งคาโมเมนตนี้ขึ้นอยูกับ ขนาด ของแรง กระทําที่แพนหาง (ซึ่งแปรตามพื้นที่) คูณดวย ระยะจากจุดCG ไปตั้งฉากกับ แนวแรงนั้น ลักษณะของชุดแพนหาง (Tail configuration) ชุดแพนหางสวนใหญที่เห็น ประกอบดวยแพนหางดิ่งที่วางอยูบนแพนหางระดับ ดังในรูปที่ 4.10 ถาแพนหางดิ่งที่ขนาดใหญมาก การใชรัดเดอรเพื่อหันหรือ ยอ จะมีผล ตอโมเมนตโรล (เอียงซาย-ขวา) เพราะตําแหนงที่แรงกระทําอยูสูงกวาจุด CG จึงมีแขน ของโมเมนตในลักษณะโรล
รูปที่ 4.10 แพนหางดิ่ง (Vertical tail) ของเครื่องบิน เซสนา310 ปรากฏการณนี้แกไดดวยการทําใหแพนหางดิ่งติดตั้งต่ําลง และมีสองแพนดังใน รูปที่ 4.11 เปนของเครื่องบิน เออคุป (Ercoupe) ซึ่งพื้นทีท่ ั้งสองแพน รวมกันแลวเทากับ แพนใหญ หนึ่งอัน ยังคงทําใหมีเสถียรภาพ ดานขางเทากับแพนขนาดใหญหนึ่งอัน แต
80
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
จะทําใหเกิดแรงตานเนื่องจากการรบกวนเพิ่มขึ้นเล็กนอย เนือ่ งจากการนําแพนเล็กสอง อันมาเชื่อมเขากับแพนหางระดับ มีจาํ นวนมุม (ระหวางผนัง) เกิดเพิ่มขึ้นมา แตผลจาก การนําเอาแพนหางดิ่งมาตอที่ปลายแพนหางระดับ ทําใหการใชแพนหางระดับ มี ประสิทธิภาพมากขึ้น
รูปที่ 4.11 แพนหางดิ่งคู (Twin vertical fin) ของเครื่องบิน เออคุป (Ercoupe) แพนหางดิ่งในรูปที่ 4.10 มีลักษณะลูไปขางหลังอันทีจ่ ริงแลวไมจําเปน ถา เครื่องบิน มีความ เร็วต่ํา (จะมีผลตอเมื่อเครื่องบินบินในยานความสูงเขาใกลความเร็ว เสียง) และยังจะทําใหมีแรงตานเพิ่มขึ้นอีกเล็กนอยดวยซ้ํา แตใหผลทีช่ วยทําใหดูดีลูลม สวยงามกวาแพนหางดิ่งตั้งตรง จาก ความตองการของลูกคาสวนใหญจงึ เห็นเครื่องบิน ความเร็วต่ํา ที่ถูกทําออกมาขายมีแพนหางดิ่งเอนไปขางหลังเพราะคนสวนใหญยังพึง พอใจกับความสวยงาม อาจจะมากกวาประสิทธิภาพดวยซ้ําไป การพิจารณาในเรื่องของแพนหางดิ่ง ที่อยูในสภาวะ สปน (Spin) คือการที่ เครื่องบินลดระดับลงอยางรวดเร็ว และมีการหมุนควงลงแนวการเคลื่อนที่เหมือนขด สปริง ทําใหกระแสอากาศอิสระที่สัมพัทธกับเครื่องบินมีทิศทางขึ้น เฉียงไปทางดานหลัง
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
81
เปรียบไดกับเครื่องบินเปดมุมปะทะสูงมากเกินกวาคามุมปะทะสะตอล มีลักษณะของ อากาศไหลขึน้ ดังในรูปที่ 4.12 ในกรณีนี้ แพนหางดิ่งไมสามารถใชงานในการควบคุมได ตามปกติ ดวยวาถูกบังโดยแพนหางระดับ จากอากาศที่ไหลเขามาตามปกติ เมื่อไมมี ความเร็วของกระแสอากาศไหลผานแพนหางดิ่งจึงไมมีแรงทางอากาศพลศาสตรในการ ควบคุม จะเห็นวาแพนหางดิ่งที่ลูหลังมีสวนทําให ปรากฏการณนี้ครอบคลุม แพนหาง ดิ่งไดมากขึ้น เพื่อเปนการแกปญหานี้ ดวยการยายแพนหางระดับที่บังอากาศนี้ไปไว ดานบนของแพนหางดิ่ง หรือขยายแพนหางดิ่งใหต่ําลงมา กวาแพนหางระดับ การ แกปญหาดวยวิธีนี้ทําให ยุงยากในเรื่องของโครงสราง และการควบคุม มากขึ้น
รูปที่ 4.12 แพนหางดิ่งถูกบังจากการกระแสอากาศ ไมสามารถใชงานไดตามปกติ เนื่องจากการ สปน (Spin)
82
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
แพนหางรูปตัวที และแพนหางรูปตัววี (T and V-tail) อีกหนทางหนึ่งในการแผนแบบ ชุดแพนหางที่ชวยแกปญหาเรื่อง กระแสอากาศ ที่ถูกบังโดยแพนหางระดับเนื่องจากการ สปน (Spin recovery) คือการเลื่อนแพนหาง ระดับจากตําแหนงที่อยูข าง ลางไปไวบนแพนหางดิ่ง ถามองดูจะเห็นเปนรูปตัวที จึง เรียกวา “แพนหางตัวที (T-tail)” แพนหางดิ่งก็จะไมถูกแพนหางระดับ บังการไหลของ กระแสอากาศผานแพนหางดิ่งจากการสปน อีกตอไปในรูปที่ 4.13 เปนเครื่องบินที่ใช แพนหางตัวที แพนหางแบบนี้เปนทีน่ ิยมกันมากในชวงกอน ป ค.ศ.1980 ซึ่งเปนผลมา จากการวิจัยในเรื่อง การบังกระอากาศเนื่องจากการสปน
รูปที่ 4.13 การติดตั้งแพนหางระดับอยูบนแพนหางดิ่ง เรียกวา แพนหางตัวที (T-tail) ในป ค.ศ.1970 จึงไดมีความคิด เลื่อนตําแหนงของแพนหางดิ่งมาอยูดานบน แทน นอกจากแกปญหาดังกลาวแลวยังชวยตัดปญหาในเรื่อง ของวอเทก ปลายปกที่ทาํ ใหเกิด ดาวนวอช สงผลกระทบมายังแพนหางดิ่ง ดังในรูปที่ 4.14 A (เพราะแพนหาง
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
83
ระดับไดถูกยาย เพื่อหลบกระแสดาวนวอชนี้ ขึ้นไปอยูดาน บนของแพนหางดิ่ง) ทําให การทํางานของแพนหางดิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น แตในกรณีที่ปกเครื่องบิน เปดมุม ปะทะสูงจนกระทั่งสะตอลหรือเกือบสะตอล ดูรูปที่ 4.14 B อากาศที่ไหลผานปกและเกิด เวก(การไหลวกกลับ) สงผลไปยังแพนหางระดับที่ติดอยูดานบนของแพนหางดิ่งได เมื่อ เหตุการณนี้เกิดขึ้นทําใหสูญเสียการควบคุมเครื่องบินดวยแพนหางดิ่ง อยางทันที ผลที่ ตามมา คือ เครื่องบินจะกมลง ถือวาเปนการสะตอลที่รุนแรง บางครั้งเรียกวา “การ สะตอลรุนแรง (Deep stall)”
รูปที่ 4.14 ชุดแพนหางตัวที (T-tail) A เปนการหลีกเลี่ยงกระแสอากาศไหลลงหรือวอ เทก และ B ในกรณีที่มีการสะตอลทีม่ ุมปะทะสูง กระแสเวก (Wake) ไหลผานแพนหางระดับ ขอดอยของแพนหางตัวทีไดแกน้ําหนักที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากตองปรับปรุงโครงสราง ใหแข็งแรงขึน้ รวมทั้งระบบบังคับควบคุมชุด อิลเิ วเตอรดวย ยุงยากขึ้น ขัน้ ตอนในการ สรางมีมากขึ้น แตชุดแพนหางตัวที มีสวนชวยเสริมประสิทธิภาพของ แพนหางดิ่งใหดี ขึ้น เนื่องจากมีแพนหางระดับมาติดอยูตรงปลาย เปนการควบคุมการไหลของอากาศ
84
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
ผานแผนแพนหางดิ่งไดดีกวา คลายๆกับแพนหางดิ่งคู ที่ติดตรงปลายแพนหางระดับ ใน รูปที่ 4.11 จากรูปทรงของแพนหางตัวที มีผลตอความรูสึกของผูท ี่เห็นเครื่องบิน (เชนเดียวกับ การทําแพนหางดิ่งลูไปขางหลัง) วามีความทันสมัย ดูสวยงามกวา นาเชื่อถือ ซึง่ ตางจากความเห็นของวิศวกร หรือบริษัทผูผ ลิตทีพ่ บวา ชุดแพนหางแบบนี้ มีขอเสียมากกวาขอดี วิทเนส ไปเปอร (Witness Piper) นักสรางเครื่องบิน ไดยุติการ สรางเครื่องบินที่มีชุดแพนหางตัวที และกลับมาใชชุดแพนหางแบบเดิม ที่ติดแพนหาง ระดับอยูดานลาง กับเครื่องบินรุนใหมชื่อ “ซาราโตกา (Saratoga)” หกทีน่ ั่ง แผนแบบ โดย เชอรโรกี (Cherokee design)
รูปที่ 4.15 พื้นที่ฉายบนระนาบดิ่ง และระนาบระดับ ของแพนหางแบบวี (V-tail) แพนหางที่ไดถูกสรางขึ้นมา ยังมีรูปแบบอื่นอีก เพื่อเปนทางเลือกในการกําจัด ปญหาของแพนหางรูปแบบ ดั้งเดิม และเพื่อใหมีประสิทธิภาพมากขึ้น คือ ชุดแพนหาง ตัววี (V-tail) เมื่อมองเขาดานหลังจะเห็นเปนรูปตัว วี V แทนทีจ่ ะมีแพนหางดิ่ง และแพน
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
85
หางระดับ แตเปนการใชแพนอากาศ คูนั้น เอียงทํามุมกับแนวระดับ มีความสมดุลใน แนวดิ่ง จึงใหผลเหมือนกับมีแพนหางดิ่งและแพนหางระดับ เปรียบเทียบไดกับ พืน้ ที่ ฉายของแพนหางตัววี ไปบนระนาบระดับ กับระนาบดิ่ง พื้นที่บนระนาบระดับ เทียบเทา หรือใหผลเชนเดียวกับพืน้ ที่แพนหางระดับที่ มีพื้นที่เทากัน สวนพืน้ ที่ ที่ฉายไปบน ระนาบดิ่งคูณ 2 (พื้นที่ฉายนัน้ เปนเพียงหนึง่ แพนจึงตองคูณสองเพราะมีสองแพน) เทียบเทา หรือ มีผลเชนเดียวกับใชแพนหางดิ่งทีม่ ีพื้นที่เทากัน ดังในรูปที่ 4.15 ขอดีของแพนหางตัววี คือลดแรงตานไดเล็กนอย ซอกหรือมุมระหวางแพน อากาศลดลง(เปนลดแรงตานรบกวน) เครื่องบินที่ใชชุด แพนหางตัววี และประสบ ความสําเร็จ ทําใหมีชื่อเสียง คือ บีชโบนันซา (Beach Bonanza) ในรูปที่ 4.16 จากการ บุกเบิกลักษณะของชุดแพนหางรูปแบบใหม สําหรับเครื่องบินขนาดเบา ในขณะนั้นเปน ป ค.ศ. 1947 สมรรถนะในการควบคุม และเสถียรภาพเนื่องจากชุดแพนหางอยูในขั้นดี แรงตานโดยรวมลดลงเล็กนอย เมื่อเทียบกับเครือ่ ง บีชโบนันซา แบบ 33 ที่มีเครื่องยนต และสวนอื่นๆเหมือนกันหมด ยกเวนใชชุดแพนหางแบบดั้งเดิม คือมีแพนดิ่ง และระดับ พบวามีสมรรถนะและการควบคุม เหมือนกัน
รูปที่ 4.16 เครื่องบิน บีชโบนันซา (Beach Bonanza) เมื่อป ค.ศ.1947 ใชชุดแพนหางตัววี
86
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
การลดลงของแรงตานกับการติดตั้งชุดแพนหางตัววี ก็เนื่องมาจากจํานวนมุม ที่ อากาศตองไหลผานลดลง (เปนการลดแรงตานรบกวน Interference drag) แตพื้นทีผ่ ิว ยังคงเทากับชุดแพนหางแบบดั้งเดิมที่มีทั้งแพนหางดิ่งและระดับ เพื่อคงประสิทธิภาพ ของสมรรถนะ และการควบคุมใหไดเทาเดิม นั่นคือคาแรงตานเสียดทานยังคงเทาเดิม การติดตั้งชุดแพนหางตัววีนั้น มีความยุงยากในเรื่องการทําระบบควบคุม โมเมนตพิช และโมเมนตยอ ดวยชุดบังคับอยางเชน ชุดแพนหางแบบดั้งเดิม คือนักบิน ยังคงใชวิธีควบคุมแบบปกติตามเดิมแมมีการใชชุดแพนตัววี สิ่งหนึ่งที่ตามมาของ เครื่องบินที่ใชชุดแพนหางตัววี คือ มีแนวโนมในการเกิด ดัชโรล (Dutch roll คือกลิ้งหรือ เอียงดานขางไปมา)ไดสูงขึ้น เมื่อเทียบกับแบบดัง้ เดิม (ซึ่งเปนสิ่งที่ไมตองการ) ชุดแพน หางทั้งแบบ ตัวที และตัววี กลับกลายมาเปนที่นิยมกัน ในหมูนักเลนเครื่องรอน เพื่อ ประโยชนในเรื่องการปองกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับ ชุดแพนหางในขณะรอน ลงและเอียง โอกาสที่แพนหางจะขูดพื้นจึงนอยลง โดยเฉพาะพื้นผิวหรือสถานที่รอนลง ไมใชสนามบิน ทั้งชุดแพนหางแบบ ตัวทีและตัววี มีขอดีเหมือนกันคือ ตัดปญหาเรื่อง แพนหางดิ่งบัง การไหลของอากาศในขณะที่เครือ่ งบินกําลังสปน (Spin recovery) ทํา ใหสูญเสียการควบคุม จากแพนหางดิ่ง
4.11 การประมาณคาเบื้องตน (First Estimation) เมื่อพิจารณาดูกันแลวในเรื่องการแผนแบบเครื่องบิน ทําใหรูสึกวาคอนขางจะหา จุดเริ่มตนไดยาก เพราะมีหลายอยางที่เปนสวนสําคัญในการแผนแบบ แตก็ยังไมรูใน ตอนตน ยกตัวอยางเชน ตองการหาน้ําหนักทั้งหมดของเครื่องบิน แนนอนตองรูขนาด เครื่องยนตเพื่อจะไดรูน้ําหนัก ความตองการเชื้อเพลิง กอนทีจ่ ะรูวาตองการเครื่องยนต ขนาดไหน ก็ควรจะตองรูคาแรงตาน ซึ่งก็ขึ้นอยูก ับน้ําหนักของเครื่องบินทั้งหมด ก็ตอ ง ยอนไปหาวาแลวน้ําหนักควรเปนเทาไร ดูเหมือนกับวาไมรูจะเริ่มตนตรงไหนดี เพื่อเปนการหาวิธีที่ชวยทําใหการ แผนแบบงายขึ้น กับการที่ไมรูวาจะเริ่มตน ตรงไหนกันแน ดวยวิธีการประมาณคาเบื้องตนคราวๆไปกอน กับปจจัยหลักที่เกี่ยวของ ดวยการเดาอยางมีเหตุผลและหลักการ จะทําใหเครื่องบินที่เราตองการ มีความชัดเจน
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
87
ขึ้นเรื่อยๆ และจะไดรูปแบบที่เหมาะสมในที่สุด วิธกี ารที่นิยมใชเพื่อการแผนแบบ เครื่องบินตามความตองการของผูแผนแบบ ดวยการดูเครื่องบินที่มีใชอยูแลว ซึ่งมีความ ใกลเคียงกับที่เราตองการ เชน ขนาด สมรรถนะ น้ําหนัก และคุณสมบัติอื่นที่เกี่ยวของ เปนการสะดวกกับการแผนแบบโดยใช คุณสมบัติของเครื่องบินที่ทราบ มาเปนการ ประเมินคาเบื้องตน คาที่แนนอนจะยังไมเกิดขึ้นในขั้นตอนนี้ แตคาที่ใกลเคียงจากการ ประมาณอยางมีหลักการ จะถูกพิจารณา โดยเริ่มตนที่ น้ําหนัก (Weight) น้ําหนักทั้งหมดของเครื่องบิน (Gross weight) นาจะเปนจุดเริ่มตน ของ คุณสมบัติที่ใชในการประเมิน มีปจ จัยหลายอยางที่เกี่ยวของกับน้ําหนัก มีเพียงไมกี่ อยางที่ไมสงผลหรือเกี่ยวของกับคุณสมบัตินี้ ในรูปที่ 4.17 แสดงใหเห็นขัน้ ตอนในการ ประเมินเบื้องตน อยางมีเหตุผล แตละขัน้ ในผังขั้นตอนการแผนแบบ (Design procedure) ในแตละหัวขอตองมีการไปพิจารณาหาขอสรุป น้ําหนักรวมทั้งหมดในขณะบินขึ้น เปนผลมาจากน้ําหนักเปลา รวมกับ น้ําหนักของน้ํามันเชื้อเพลิงทั้งหมด(ขณะวิ่งขึ้น) และ น้ําหนักบรรทุก เขียนอยูในรูป สมการไดดังนี้ WG We W f W p
เมื่อ 1. Gross weight 2. Empty weight
WG
3. Fuel weight 4. Payload weight
Wf
We
Wp
= = = =
น้ําหนักทั้งหมดของเครื่องบินขณะบินขึ้น น้ําหนักของเครื่องบินทั้งลํา (ยกเวนสองขอถัดไป) น้ําหนักน้ํามันเชื้อเพลิง (เติมเต็มถัง) น้ําหนักสัมภาระตางๆที่บรรทุก
88
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
รูปที่ 4.17 ผังแสดงขั้นตอนในการแผนแบบ สําหรับเครื่องบินขนสงขนาดเบา ถูกจัดไวในตารางตามน้ําหนักรวม จากนอยไป หามาก น้ําหนักเปลาของเครื่องบินแปรคาตาม น้ําหนักรวม จึงบอก ในรูปของอัตราสวน สําหรับเครื่องบิน ที่มีโครงสรางหรือลําตัวไมไดเปนโลหะทัง้ หมด (Semimonocoque construction) อาจมีไฟเบอรหรือวัสดุชนิดอื่นรวมดวย มีอยูประมาณ 55% ของ เครื่องบินที่มใี ชอยู ตั้งแตเครื่องบินขนาดเล็กสีท่ ี่นั่งไปจนกระทั่ง เครื่องบินเจ็ตขนาดใหญ ถาเราสังเกตดูใหดี เครื่องบินขนาดเบาหนึ่งเครื่องยนต ทีน่ ํามาแสดงใน ตารางที่ 4-1 มี คา น้ําหนักเปลา ตอ น้ําหนักทั้งหมด อยูที่ประมาณ 0.54 – 0.62 มีทั้งหมด 16 แบบ น้ําหนักตั้งแต 2,400 – 4,000 ปอนด ซึ่งมีความเกี่ยวเนื่องกับ น้ําหนักเปลาอยางเปน อัตราสวนกันดวย คือ ยิง่ มีน้ําหนักรวมมากเทาไร ก็มีคาน้ําหนักเปลามากตามขึ้นมาเปน อัตราสวน แสดงในหนาถัดไป
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
89
ตาราง 4-1 ตัวอยาง แสดงคาน้ําหนัก ในแตละสวน ของเครื่องบินขนาดเบา รุนเครื่องบิน Aircraft รุนฐานลอตรึง Cessna 172 Piper Warrior Beach Sundowner Piper Archer Piper Dakota Cessna Skylane Cessna 206 Piper Saratoga รุนพับฐานลอได Cessna Cutlass Mooney 201 Beech Sierra Piper Arrow Cessna Skylane RG Beech Bonanza Cessna 210 Cessna 210T
น้ําหนักรวม WG ปอนด
อัตราสวนน้ําหนัก
2,400 2,440 2,450 2,550 3,000 3,100 3,600 3,800
0.60 0.55 0.61 0.55 0.54 0.56 0.54 0.54
0.16 0.12 0.14 0.11 0.14 0.17 0.15 0.17
2,650 2,740 2,750 2,900 3,100 3,400 3,800 4,000
0.60 0.61 0.62 0.58 0.57 0.62 0.57 0.56
0.14 0.14 0.12 0.15 0.17 0.13 0.14 0.13
เปลา
We WG
อัตราสวนน้ําหนัก Wf WG
เชื้อเพลิง
4.12 การใชคอมพิวเตอรชวยในการแผนแบบ (Computer-aided Design) ในยุคปจจุบนั เปนเรื่องปกติอยูแลวกับการนําเอาคอมพิวเตอรเขามามีสวนชวย ในการทํางาน ผลผลิตตางๆ ทุกวันนี้คอมพิวเตอรมีสวนในการผลิตออกมาแทบทัง้ สิ้น
90
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
โดยเฉพาะการแผนแบบชิ้น สวน เพราะขอดีของการนําเอาคอมพิวเตอรมาใชนั้นมีมาก แตถึงอยางไร คอมพิวเตอรคงไมสามารถทําอะไรไดเองยังคงตองมีคนที่ มีความสามารถ รูถึงวิธีการ ดังนั้นคอมพิวเตอรจึงเปนเพียงเครือ่ งมือ ที่มีประสิทธิภาพเทานั้น ถา ปราศจากคนที่มีคุณภาพ คอมพิวเตอรก็ไมมีความหมาย คอมพิวเตอรไดถูกนํามาใช เพื่อการคํานวณ เปนเวลานานมาแลวเพราะทําไดเร็ว วิศวกรทางอากาศพลศาสตร ใชคอมพิวเตอร เพื่อจําลองสถานการณ การไหล ของอากาศ ผานรูปทรงทีต่ องการทราบ ผลทางอากาศพลศาสตรตอรูปทรงนั้น ในอดีต วิศวกรไดใชวิธีกําหนดจุดขึ้นบนพื้นผิวของรูปทรง และพิจารณาคุณสมบัติของอากาศใน แตละจุดนั้นโดยมีความสัมพันธเกี่ยวเนื่องกัน ตามเงื่อนไขทางทฤษฏี เชน กระแส อากาศตองไหลขนานกับพื้นผิว สามารถจําลองคุณสมบัติของแพนอากาศบางได ดวย แทนพื้นผิวของแพนอากาศบางนั้นดวย อากาศวนเล็กๆจํานวนมาก เรียกทับศัพทวา “วอทิกส (Vortices)” ซึง่ เปนวิธีการทางคณิตศาสตร ที่พยายามจะจําลองปรากฏการณ ธรรมชาติของการไหลของอากาศ ในรูปของคณิตศาสตร เพราะถาตองการใช คอมพิว เตอรแกปญหาหรือใหคําตอบปรากฏการณในธรรมชาติ เราจําตองเปลี่ยนความสัมพันธ ในธรรมชาติทั้งหลายเหลานั้น ใหอยูใ นรูปทางคณิตศาสตรใหได เพราะหนาที่หลักของ คอมพิวเตอรคือการคํานวณไดเร็ว และเก็บขอมูลได วัตถุทุกชนิดมีพื้นผิวภายนอกมีความตอเนื่องโคงเวา การใชคอมพิวเตอรจาํ ลอง ตองกําหนดวาพื้นผิวนั้น เปนแผนระนาบเล็กๆจํานวนมากมาประกอบเขาดวยกันเปน พื้นผิวเรียกวิธีนี้วา “พาเนลเมทอด (Panel methods)” ในสมัยที่ยังไมมีคอมพิวเตอร คง จะมาคํานวณดวยวิธีปกติดวยมือ จากการกําหนดจุดจํานวนมากไมได เพราะทําคงใช เวลาเปนป จึงคํานวณเสร็จ และไมรูวาผิดตรงไหนหรือไม แตถาใชคอมพิวเตอรชวย คํานวณ อาจใชเวลาไมถึงวินาทีหรือมากกวานิดหนอย การคํานวณในขั้นตอนเดิมซ้าํ ๆ กันเปนลานลานหน ตามเงื่อนไขที่เรากําหนด เปนงานที่เหมาะกับ คอมพิวเตอรเปน อยางยิ่ง เพราะทําไดเร็วและถูกตองแนนอน ถาผิด ก็เปนเพราะผูปอนโปรแกรม ในรูปที่ 4.18 เปนวิธีการ พาเนลเมทอด กับเครื่องบิน บีชคราฟ สะแตกเกอวิง (Beechcraft Staggerwing) ที่แผนแบบ เพื่อตองหาคุณสมบัติทางอากาศพลศาสตร
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
91
เปนการชวยประหยัดเวลา ในการเขาอุโมงคลม สะดวกในการเปลี่ยนแปลงรูปทรง ได ตามอําเภอใจ เพื่อใหไดคุณสมบัติที่ตองการ วิศวกรโครงสรางของเครื่องบิน ไดรับประโยชนอยางมากจากการใชคอมพิวเตอร ที่ชวยบอกไดวา แรงที่กระทําในแตละสวนของเครื่องบิน เปนอยางไรขนาดเทาไรในแต ละสภาวะตามแตจะกําหนดเงื่อนไข แตละชิน้ ที่ประกอบขึ้นมาเปนโครงสรางมีความ สลับซับซอน วิธีนชี้ วยในการประมาณคาความเคนที่จะเกิดขึน้ จริงได ชิน้ สวนบางชิน้ ที่ ไมจําเปนจึงเอาออกหรือลดขนาดลงเปนการชวยลดน้ําหนักได ในทุกวันนี้วธิ ีที่เรียกวา “วิธีการทางไฟไนทอิลิเมนต (Finite element method)” สามารถจําลอง โครงสรางขนาดใหญ เปรียบเสมือนชิน้ สวนขนาดเล็กจํานวนมาก ประกอบเขาดวยกัน คือ โนด(node) โดยใชวิธีการทางคณิตศาสตรพิจารณาแตละ โนด ที่รวมเปนโครงสรางขนาดใหญนี้ ซึ่งใหผลดี ชวยในการคํานวณหา คาความเคน ใน โครงสรางไดอยางแมนยําและสะดวก ทําใหการแกปญหาในเรื่องของแรงที่เกิดกับ โครงสราง เปนเรื่องงาย ดวยโปรแกรมสําเร็จรูป ที่ใชวิธีนี้ในการแกปญหาเรื่อง ความ แข็งแรงของโครงสราง โดยเฉพาะเครื่องบินจําเปนตองใช เพราะไมใชแข็งแรงอยางเดียว แตตองคํานึงถึงน้ําหนักดวย
รูปที่ 4.18 เครื่องบิน บีชคราฟ G-17 แบบปกสองชั้น แผนแบบดวยคอมพิวเตอร
92
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
การแผนแบบเครื่องบินรุนใหม นอกจากเรื่องของการคํานวณเพื่อใหไดผลออกมา ที่ดีที่สุดแลว ยังมีการแสดงรูปของเครื่องบิน หรือเขียนแบบเครื่องบินในลักษณะสามมิติ ที่เหมือนจริงดวย ทําใหการแผนแบบเครื่องบินงายและสะดวกมากขึ้น ดวยเหตุที่ คอมพิวเตอรและซอฟแวรมีการพัฒนาไปไกลจะเห็นวามี ซอฟแวรเกี่ยวกับ ของไหลหรือ ทางอากาศพลศาสตร รวมทั้งชวยในการเขียนแบบ ที่รูจักกันดีวา คอมพิวเตอรเอด ดีไซน(Computer Aid Design CAD) ออกมาวางขายกันมาก ทุกวันนี้บริษทั ผูแผนแบบ และสรางเครื่องบิน จึงไดพัฒนาวิธีการแผนแบบเครื่องบิน ที่สามารถทําไดแทบทุก ขั้นตอน ครบวงจรตั้งแตตนจนออกมาเปนรูปเครือ่ งบิน ในนัน้ มีขอมูลและทุกสิ่งที่ตองใช ในการแผนแบบ ครบในเครื่องคอมพิวเตอร คงเหลืออยูแตการทดสอบในอุโมงคลมจริง จึงถือไดวาเปนการชวย ทําใหเครื่องบิน ที่ถูกแผนแบบมาในรุนใหมนั้นมีคุณสมบัติที่ดี ยิ่งขึ้น
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
แบบฝกหัดบทที่ 4 4.1
ขอมูลจําเพาะของเครื่องบินที่เราตองการ มีอะไรบาง
4.2
นอกจากเรื่องของสมรรถนะที่ตองการแลวสิ่งที่ ผูแ ผนแบบตองคํานึงถึงอีกมี อะไรบาง
4.3
ขั้นตอนและชวงเวลาในการแผนแบบโดยทั่วไปนั้น มีกี่ขั้นตอนอะไรบาง
4.4
เทรดออฟ (Tradeoff) หมายถึงอะไร เกี่ยวของอยางไรกับการแผนแบบ
4.5
สวนของสมรรถนะ ของเครื่องบินที่ตองการ มีอะไรบาง และเครือ่ งบินจะตองมี คุณสมบัติอยางไร จึงจะไดสมรรถนะที่ตองการ ในแตละขอ
4.6
ลําตัวของเครื่องบินที่ดี ตองเปนอยางไร
4.7
การติดตั้งปกเขากับลําตัวเครื่องบิน แบบอยูบน และแบบอยูล า ง มีขอดีขอเสีย อยางไร อธิบายเปนขอๆ
4.8
การฟลเล็ต (Fillet) คือ อะไร ทําเพื่ออะไร
4.9
โครงสรางปกที่ใชคานชวยค้ําอยูภายนอก มีขอดีขอเสียอยางไร อธิบาย
4.10 ลักษณะของแพนหาง มีกแี่ บบ แตละแบบมี ขอดี ขอเสีย อยางไร 4.11 จงเขียนผังแสดงขั้นตอนการแผนแบบ
93
94
บทที่ 4 แนวทางการแผนแบบเครื่องบิน
4.12 จงใหความหมายของน้ําหนักตอไปนี้ (ที่เปนคําภาษาอังกฤษ) แตละคํา 1. Gross weight 2. Empty weight 3. Fuel weight 4. Payload weight 4.13 วิธีการแกปญหา ทางดานโครงสราง โดยใชคอมพิวเตอรชวย เรียกวาอะไร
บทที่ 5 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 1 (Aerodynamic Testing 1) เมื่อการแผนแบบถึงตอนสุดทาย ไดรูปรางและสวนตางๆออกมาเปนทีแ่ นนอน ถูกตองแลว ขั้นตอไปก็ตองเปนการทดสอบ หรือตรวจสอบวา สิ่งที่ไดมานี้เปนอยางที่ ตองการจริงๆหรือไม ถาจะใหแนนอน คือตองดําเนินการสรางตัวเครื่องบินตนแบบที่มี ขนาดเทากับที่ตองการจริงออกมาและทดลองบินดูวา สมรรถนะและคุณสมบัติทั้งหลาย ตรงกับที่คาดคะเนไวหรือไม แตการทดสอบดวยวิธีนี้ ในปจจุบันคงไมคุมกับการลงทุน จนกวาจะแนใจวา แบบที่ออกมานั้นถูกตองสมบูรณอยางที่ควรจะเปน ดังนั้นจึงตองมี การทดลองเกิดขึ้นในระหวางกระบวนการแผนแบบที่ยังไมสนิ้ สุด เพื่อนําขอมูลจากการ ทดลองมาปรับปรุงแกไขแบบที่ อยูในระหวางการปรับเปลี่ยน เมื่อแนใจวาทุกอยางเขาที่ ไมมีการเปลี่ยนแปลงแลวนั้นแหละ จึงไดสรางแบบจําลองขนาดยอทั้งลํา เพื่อเขาทําการ ทดลองขั้นสุดทายเพื่อเปนการสรุปผล หนทางในการทดสอบผลกระทบ ที่มีตอเครื่องบินที่ไดสรางขึ้นมาแลว เพื่อ ตองการหาขอ มูลบางอยางเพิ่มเติม มีอยูสองทางคือ การทดสอบดวยการบินจริง กับ การทดลองในหองทดลอง ที่ตองใชอุโมงคลม ซึ่งเปนเครื่องมือที่ชวยหาคุณสมบัติทาง อากาศพลศาสตรของ สวนตางๆของเครื่องบิน อยางที่องคการ นาซา (NASA) ไดทํา การวิจัย ในเรื่องคุณสมบัติทางอากาศพลศาสตร ขัน้ พื้นฐานของรูปทรงตางๆ ไดแก ปก ชองทางอากาศเขาไปยังเครื่องยนตเจ็ต (Inlet contour) สวนที่ใชครอบตัวเครื่องยนต เพื่อลดแรงตาน (Cowling) เพื่อหารูปรางที่ดีที่สดุ ในการลดแรงตานลง บริษัทแผนแบบ เครื่องบินทั้งหลาย ใชอโุ มงคลมเพื่อทดสอบ หรืออาจจะเปนการหาขอมูลขั้นพื้นฐาน เพื่อนําไปใชพัฒนาปรับปรุง กับสิ่งทีท่ างบริษัทไดแผนแบบขึน้ มาเอง ตอไป สวนมากแลว นักแผนแบบจะใชอุโมงคลมเพื่อหาคาแรงตาน ของแตละสวนที่ได แผนแบบมา หรือเปนการทดสอบสมรรถนะ เมื่อมีการปรับเปลี่ยน ปก ลําตัวหรือ หาง ที่ ประกอบอยูดวยกัน การทดลองเพื่อหาคุณสมบัติทางอากาศพลศาสตร โดยใชอุโมงค ลม จึงทําทั้งในลักษณะ แยกสวนแตละชิน้ และ ประกอบขึ้นทั้งลําของเครื่องบิน
96
บทที่ 5 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร1
รูปที่ 5.1 เซอร จอรจ แคลีย และเครือ่ งทดลองทางอากาศพลศาสตรที่เขาใช
5.1 ประวัติความเปนมาของอุโมงคลม (History of Wind Tunnels) คนแรกที่ทดสอบแบบจําลอง (ประมาณ ค.ศ. 1799) เพื่อหาคุณสมบัติทาง อากาศพลศาสตรตามหลักฐานทีบ่ ันทึกไว คือ เซอร จอรจ แคลีย (Sir George Cayley) ไดใชเครื่องมือดังในรูปที่ 5.1 หาแรงที่เกิดขึ้น (เครื่องมือนี้ถูกสรางโดย เบญจมิน โรบิน ทหารอังกฤษ) กับแบบจําลองหรือแพนอากาศ มีลักษณะเปนแขนยาว ติดตั้งแพน อากาศที่ตองการทดลองไว ตรงปลาย และหมุนได ในแนวระดับ ยังมีเครือ่ งมืออีกหลาย อยางที่ถกู สรางขึ้นเพื่อชวยในการทดลองทางอากาศพลศาสตร ที่อยูในอาคารทดลอง ของเขา หลักการพื้นฐานของอุโมงคลมคือ ยึดวัตถุหรือสิ่งที่ตองการทดลองใหนิ่ง และทํา ใหมีกระแสอากาศไหลผาน เพื่อหาแรงที่เกิดขึ้นกับสิ่งที่นํามาทดลอง แนวความคิดนี้ถูก แนะนําเปนครั้งแรกโดย ลีโอนาโด ดาวินซี ซึ่งไดยืนยันแนวคิดนี้วา การยึดวัตถุใหอยูนิ่ง และมีกระแสอากาศไหลผาน ใหผลเชนเดียวกันกับที่ อากาศหยุดนิ่งและวัตถุดังกลาว เคลื่อนทีผ่ าน มีบางคนยังไมยอมรับกับ แนวความคิดนี้ ดวยเขาใจวา ไมนาจะใหผล เหมือนกัน ออตเตป ชานุท(Octave Chanute) นักประดิษฐ และทดลองเครื่องรอน ชาว อเมริกัน ยังเชื่อวาทั้งสองสถานการณ มีความแตกตางกัน และไดมีการพูดคุยถกเถียง
บทที่ 5 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร1
97
กันในเรื่องนีก้ ับ สองพีน่ องตระกูลไรทซึ่งเชื่อเชนเดียวกับ ดาวินซี ในที่สุดก็สามารถ พิสูจนใหเห็นไดวา แนวความคิดของ ดาวินซี นัน้ ถูกตอง อุโมงคลมตัวแรกที่บันทึกไวในประวัติศาสตร ถูกสรางโดย ฟรานซิส เวนแฮม (Francis Wenham) ในประเทศอังกฤษ เมื่อ ป ค.ศ. 1871 เปนกลองสีเ่ หลีย่ มที่ถูกสราง มาอยางงายๆ และมีลมเปาผาน ดวยเครื่องจักรไอน้ําหมุนใบพัด ไดถูกปรับปรุงให สามารถวัด แรงยก และแรงตาน ของวัตถุรูปทรงพื้นฐานทางอากาศพลศาสตร สําหรับ อุโมงคลมตัวที่สอง ที่ถูกบันทึกไว สรางโดย โฮเรโช ฟลลิบส (Horatio Phillips) ชาว อังกฤษ เมื่อป ค.ศ. 1884 และไดทําการทดลอง แพนอากาศ บางแบบในชวงเวลานัน้ นอกจากอุโมงคลมสองตัวนี้ ยังมีทถี่ ูกสรางขึ้นหลังจากที่กลาวไปแลวอยูบาง ในยุโรป และรัสเซีย ชวงประมาณ ศตวรรษที่ 19 แตไมคอยไดมีการกลาวถึง อุโมงคลมตัวแรกของอเมริกา ถูกสรางขึ้นที่ สถาบันเทคโนโลยี แมสสันชูเซส ใน ป ค.ศ. 1896 ซึ่งถือวาเปนของใหมสําหรับคนในยุคนั้น สองพี่นองตระกูลไรทไดสราง อุโมงคลม ขึ้นมาไวใชเองในป ค.ศ. 1901 จากประสบการณ ในเรื่องเครื่องรอนที่สราง ขึ้นมากอนหนานี้ ขอมูลทางอากาศพลศาสตรบางสวนยังไมถูกตอง อยางไรก็ตามความ คิดเห็นที่ยังไมตรงกัน กับของ ชานุท นาจะหาขอสรุปไดจาก การสรางอุโมงคลมขึ้นมา ดังในรูปที่ 5.2 ขับใบพัดดวย เครื่องยนตเบนซิน (Gasoline engine) เพื่อหาขอมูลที่ ตองการทราบ สองพี่นองไรท แผนแบบสรางอุปกรณวัดแรง (Balance) ขึน้ มาเองเพื่อใช วัด แรงยก แรงตาน ของแพนอากาศแบบตางๆที่เขาคิดขึ้นมาได ในขณะนั้น ดูในรูปที่ 5.2 เปนชิ้นเล็กๆวางอยูด านบนของอุโมงคลม เขาไดทําการทดลอง เพือ่ หาคุณสมบัติ ของแพนอากาศกวารอยแบบ เปนขอมูลที่สําคัญ ชวยทําใหการตัดสินใจในการแผน แบบเครื่องบินที่เขาจะสราง ใหไดสมรรถนะอยางตองการ จากความมุงมั่น ความ พยายาม ประกอบกับ สติปญญาที่ฉลาด จึงทําใหสองพีน่ องไรท ไดเปนนักบุกเบิก ทางดานอากาศยานที่มีชื่อเสียง ซึ่งไมคอยไดพบบอยนักทีน่ ักประดิษฐจะมีคุณสมบัติ ครบถวน ในการใชวิทยาศาสตรทางอากาศพลศาสตร เพื่อปรับปรุงอากาศยานที่กําลัง สรางขึ้นดวยตัวเอง จนกระทั่งประสบความสําเร็จ ในการสรางเครื่องบิน และทําการบิน ไดเปนครั้งแรกของมนุษย
98
บทที่ 5 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร1
เริ่มมีการสรางอุโมงคลมใชขึ้นในยุโรปเมื่อประมาณ ตนศตวรรษที่ 20 ผูบุกเบิก ทางอากาศพลศาสตรไดปรับปรุง ทฤษฏีและความรูพื้นฐานของวิทยาศาสตรในดานนี้ กาวตอไปในการพัฒนาวิทยาศาสตรในดานนี้ คือ การพัฒนาอุโมงคลม
รูปที่ 5.2 อุโมงคลม ที่สรางขึ้นมาเองของสองพี่นอ งตระกูลไรท เพื่อใชทดลองหาขอมูล ของแพนอากาศแตละแบบ การพัฒนาอุโมงคลมในอเมริกาเปนผลมาจาก สงครามโลกครั้งที่ 1 คณะกรรม การที่ปรึกษา ทางอากาศพลศาสตรแหงชาติ (National Advisory Committee for Aeronautics ชื่อยอ NACA) ซึ่งถูกกอตั้งในป ค.ศ. 1915 ตอมาในป ค.ศ. 1917 ได สรางอาคารศูนยปฏิบัติการทดลอง ทีแ่ ลงเลย (Langley ตั้งชื่อตาม ชื่อนักวิทยาศาสตร ที่บุกเบิกความรูทางอากาศยาน) ใน แฮมตัน รัฐเวอจิเนียร อุโมงคลมตัวแรกที่นี่เริ่มสราง ในป ค.ศ. 1919 และสรางเสร็จในปถัดมา ซึ่งเปนแบบเดียวกับที่ ถูกสรางและพัฒนามา
บทที่ 5 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร1
99
โดย กุสตาฟ อิฟฟล (Gustave Eiffel) ในกรุงปรารีส ฝรั่งเศส อุโมงคลมแลงเลย มีขนาด ของบริเวณที่ใชทดสอบ (Test section) เสนผาศูนยกลางโต 5 ฟุต ทําความเร็วของ กระแสอากาศไดถึง 120 ไมล/ช.ม. เปนอุโมงคลม ที่ประสบความสําเร็จ หลังจากนัน้ ไดมี การสรางอุโมงคลมตัวที่สอง และเสร็จในป ค.ศ. 1922 เปนอุโมงคลมที่ปรับความ หนาแนนของอากาศได คือเปนถังขนาดใหญมีความแข็งแรงมากพอ ที่จะรับแรงจาก ความดันอากาศในถังไดสูง เนื่องจากการทดลอง กับแบบจําลอง ตองการขอมูลที่คา ตัวเลข เรยโนลด สูง (ตัวเลข เรยโนลด
Re
VD )
นั่นคือตองเพิ่มความเร็วV แตก็
ไดจํากัด ตัวถัดไป ขนาดของแบบจําลอง D ก็ถูกจํากัดดวยขนาดของ สวนที่ใช ทดสอบ (Test section) ถาตองการใหใหญก็ตองขยายทั้งอุโมงคลมจึงไดใชวิธี เพิม่ ความหนาแนนอากาศ ดวยการเพิ่มความดันใหกับอากาศ จึงตองใชถังอัดอากาศ ดัง ในรูปที่ 5.3 ชวยทําใหหาคุณสมบัติทางอากาศพลศาสตรไดในชวง ตัวเลขเรยโนลด หรือ ความเร็วที่สูงขึ้น
รูปที่ 5.3 อุโมงคลม แบบปรับความหนาแนนของอากาศได ขององคการ NACA
100
บทที่ 5 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร1
รูปที่ 5.4 อุโมงคลมทดสอบใบพัดเครื่องบินขนาดจริง ที่แลงเลย ของ NACA
รูปที่ 5.5 อุโมงคลม ทดสอบ เครื่องบินขนาดจริง ที่แลงเลย ของ NACA
บทที่ 5 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร1
101
อุโมงคลมขนาดเสนผาศูนยกลางโต 20 ฟุต ที่ แลงเลย สรางเสร็จเมื่อ ป ค.ศ. 1927 ตนตํารับอุโมงคลม สําหรับทดสอบใบพัดเครื่องบิน ขนาดจริง (Full scale) ซึ่งได พิสูจนแลววาคุมคากับ การสรางขึ้นมาใชงาน เพราะมีประโยชนจริง เปนการชวยพัฒนา งานทางอากาศพลศาสตร ในการสรางและทดสอบใบพัดเครื่องบิน โดยใชเครื่องบิน ขนาดจริงเขาทดสอบ ในรูปที่ 5.4 จากความสําเร็จอันนี้ เปนการนําไปสู การสรางอุโมงค ลมที่ใหญที่สุด ของ แลงเลย ในป ค.ศ. 1931 เพื่อใชทดสอบ เครื่องบินขนาดจริง (Fullscale tunnel) มีรูปรางของภาคตัดขวาง บริเวณที่ใชทดสอบเปนรูป วงรี(Oval) โต 30 ฟุต ในแนวดิ่ง และ60 ฟุต ในแนวระดับ (สําหรับปกเครื่องบิน) ใชพัดลมขับสองตัว ดวย กําลัง 4,000 แรงมา ทําความเร็วของอากาศที่บริเวณทดสอบไดถึง 118 ไมล/ช.ม. ในรูป ที่ 5.5 แตวาในปจจุบนั มีอุโมงคลมที่ใหญกวา อยูที่ เอมส รีเสิด เซ็นเตอร(Ames Research Center) มีขนาดของภาคตัดขวางบริเวณที่ใชทดสอบโต 40 80 ฟุต ถือวา เปนอุโมงคลมที่ใหญที่สุดในโลก
5.2 แบบตางๆของอุโมงคลม (Wind Tunnel Type)
รูปที่ 5.6 อุโมงคลมแบบ โอเพนเซอกิต (Open circuit) ขนาดเล็ก ใชสําหรับสาธิต
102
บทที่ 5 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร1
อุโมงคลมแบบ โอเพนเซอรกิต(Open circuit wind tunnel)” อุโมงคลมที่สองพี่นองไรท สรางขึ้นมาใช เปนแบบเปด คืออากาศไหลเขาดาน หนาและพุงออกทิ้งไปทางดานหลัง เรียกทับศัพทวา “โอเพนเซอรกิต (Open circuit)” อุโมงคลมของ อิฟฟล ในกรุงปรารีส ที่อเมริกันโดย NACA นําแบบมาสรางในตอนแรก ก็ เปนแบบ โอเพนเซอรกติ เชนกัน ซึ่งเปนแบบที่สรางไดงายและใหประสิทธิภาพดี ใน ปจจุบนั ยังคงนิยมใชกันอยู ตามสถานศึกษาและหนวยงานวิจัยทั่วไป ในรูปที่ 5.6 เปน อุโมงคลมขนาดเล็กของแอโรแลบ (Aerolab) ในรัฐแมรีแลนดเปนบริษทั ผูผลิตอุโมงคลม เพื่อการศึกษาขายทั่วโลก คอนขางเปนที่นิยมใชในโรงเรียน และหองทดลองรูปที่แสดง ผลการทดลองกับอุโมงคลม ในหนังสือเลม 3 (เลมตอไป) ก็ไดมาจากอุโมงคลมตัวนี้
รูปที่ 5.7 อุโมงคลมแบบ เปด หรือ โอเพนเซอรกติ (Open circuit wind tunnel) ในรูปที่ 5.7 แสดงใหเห็นสวนตางๆ ภายในอุโมงคลม แบบ โอเพนเซอกิต พัดลม อยูทางดานทาย ดูดอากาศเขาทางดานหนาและเปาออกทางดานหลัง ตรงปากทางเขา ทําเปนชองเล็กๆจํานวนมาก บางครั้งเรียกวา “ฮันนีคอม (Honeycomb)” เพราะมี
บทที่ 5 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร1
103
ลักษณะเหมือนรวงผึ้ง เพื่อชวยทําใหกระแสอากาศที่ไหลเขามา มีความเปน ยูนิฟอรม (Uniform) ไหลในแนวทิศทางเดียวกัน ตอมาลดขนาดพื้นที่หนาตัดลงเพื่อ เพิ่มความเร็ว ของกระแสอากาศ คลายทอ เวนจูรี่ จะไดกลาวในเลม3 ตอไป อุโมงคลมขนาดเล็ก แบบโอเพนเซอกิต นิยมใชในตัวอาคารหรือในหองทดลอง สวนอุโมงคลมที่มีขนดใหญขึ้น จําเปนที่จะตองเปดสูอากาศภายนอก เพราะไมเชนนัน้ การไหลของอากาศอาจไมเพียงพอ ทีต่ องถูกดูดเขาไปใชในอุโมงคลม แตก็ตองมีปญหา กับ เรื่องของลมภายนอก ฝุนละออง หรือเศษวัสดุเล็กๆที่ปลิวอยูในอากาศ ที่สงผลให อากาศที่ไหลในบริเวณทดสอบ ไมมีความเปนยูนิฟอรมพอ ประกอบกับมีเสียงคอนขาง ดัง อากาศที่ถูกเปาออกดานหลังแรง ทําใหยุงยากตอการใชงาน บาง
อุโมงคลมแบบปด (Closed-circuit wind tunnel) อุโมงคลมที่มีขนาดใหญขึ้นมักจะทําเปนแบบ ปด ทีเ่ รียกทับศัพทวา “โคสเซอร กิต (Closed circuit)” หรือ บางครั้งเรียกวา แบบ “รีเทอนไทพ (Return type)” ดังในรูป ที่ 5.8 เปนการใชใบพัดที่หมุนจากมอเตอร เปาใหกระแสอากาศมีการเคลื่อนที่ ต่ํากวา บริเวณ ที่ใชทดสอบ ขอดีคือกระแสอากาศที่มีพลังงานจลน (พลังงานจาการเคลื่อนที่ หรือความเร็ว) ไมถูกเปาทิ้งไปอยางอุโมงคลมแบบเปด คือหมุนกลับมาใชไดอีกเปนการ ประหยัดพลังงาน ในสวนที่ไมใชบริเวณทดสอบไมตองการใหมีความเร็วสูง เพื่อลดแรง เสียดทานกับผนัง เกิดการกอตัวของเลเยอรบนผนังใหมีความหนามาก และสูญเสีย พลังงานไปกับแรงเสียดทาน และมีขนาดหนาตัดเทากันเวนเสียแต กอนถึงบริเวณ ทดสอบ จึงลดขนาดของพื้นที่หนาตัดลง เพื่อเรงความเร็วของกระแสอากาศ ศัพท ภาษาอังกฤษใช คําวา กรวยทางเขา (Entrance cone) หรือ ทอเรงความเร็ว (Nozzle อานวา “นอสเซิล” คําเหลานี้การเรียกทับศัพท จะเปนการดีทสี่ ุดแตการใชศัพทที่มีอยูใน ภาษาไทย เปนการสรางความเขาใจ) ซึ่งในอุโมงคลมตองการใหมีความเร็วสูงบริเวณ ทดสอบ และเมื่อกระแสอากาศไหลผาน บริเวณทดสอบ(Test section) แลว จึงขยาย พื้นที่หนาตัดขึ้นสวนนี้เรียกวา “สวนขยาย (Diffuser section)” เปนการลดความเร็วลง อยางเดิม อัตราสวนระหวาง พื้นที่หนาตัดของบริเวณกอนเขาสูบริเวณทดสอบ ตอ
104
บทที่ 5 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร1
พื้นที่หนาตัดของบริเวณที่ใชทดสอบ เปนคาที่มีความหมาย มีชื่อเฉพาะวา คอน แทรคชั่นเรโช(Contraction ratio) ตองไมนอยไปกวา 4 ถามีความจําเปน อาจจะมีคา มากกวานี้ ในรูปที่ 5.9 แสดงบริเวณของสวนกอนเขาไปยัง สวนทดสอบ (Entrance cone) ของอุโมงคลมความเร็วต่ํา ที่อาคารทดลองอากาศพลศาสตร มหาวิทยาลัย เพนนเสต็ท (Penn State) มีขนาดของภาคตัดขวาง บริเวณทดสอบ A 4 5 ft และ มีขนาด(พื้นที่)ของภาคตัดขวาง ดังนี้ 2
test
บริเวณกอนถึงบริเวณทดสอบ(Setting chamber)
Aset 12 12 ft 2
คา คอนแทรคชั่นเรโช(Contraction ratio) เทากับ
Aset 12 12 ft 2 7.2 Atest 4 5 ft 2
เมื่อกระแสอากาศไหลผาน บริเวณทดสอบและไปยัง บริเวณสวนขยายเปนการ ลดความเร็วอากาศ (Diffusion section) กอนที่อากาศจะไหลตอไปยังสวนของใบพัด
รูปที่ 5.8 อุโมงคลมแบบ ปด หรือ โครสเซอรกิต (Closed circuit)
บทที่ 5 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร1
105
รูปที่ 5.9 เปนภาพถายภายในอุโมงค บริเวณอากาศไหลกอนเขาสูบริเวณทดสอบ (Contraction nozzle) ของมหาวิทยาลัย เพนนเสต็ท อุโมงคลมที่กลาวถึงนี้เปนแบบ ซิงเกิลรีเทอน(Single return) คืออากาศไหลใน อุโมงคลมเพียงชองทางเดียวจนครบรอบ ยังมีอุโมงคลมแบบ ดับเบิลรีเทอน (Double return) คือ อากาศที่ผานบริเวณทดสอบแลว ไหลแยกออกเปนสองสวนเพื่อไปยังใบพัด ซึ่งมีสองตัว และวนกลับมารวมกันอีกกอนเขาบริเวณทดสอบ (Test section) เรียกทับ ศัพทวาบริเวณ เอนทราน (Entrance) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งวา สวนจัดระเบียบอากาศ กอนเขาสูบริเวณทดสอบ
อุโมงคลม แอนนูลา (Annular Tunnels) เปนอุโมงคลมแบบ ดับเบิลรีเทอน (Double return) ภายใตชื่อวา แอนนูลารี เทอน (Annular return) การแผนแบบอุโมงคลมลักษณะนี้มาจากองคการ NACA ที่ใช อุโมงคลมแบบปรับความหนา แนนอากาศได ซึ่งเหมาะทีจ่ ะใชเปนแบบ ดับเบิลรีเทอน
106
บทที่ 5 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร1
ซึ่งยากตอการดูแบบจําลอง ที่ติดตั้งอยูในสวนของ บริเวณทดสอบ เปนการแผนแบบมา เฉพาะ ซึ่งไมคอยมีการสรางขึ้นมาใช
อุโมงคลมดูการสปน (Spin tunnels) เปนอุโมงคลมแบบพิเศษใชทดสอบเฉพาะเหตุการณ มีใชอยูที่ ศูนยวจิ ยั การ สปน ที่แลงเลย (Langley Research Center for spin research) ดังในรูปที่ 5.10 แผน แบบใหอากาศไหลขึ้นในแนวดิ่งบริเวณทดสอบ แบบจําลองเปนเครื่องบินทัง้ ลํา ที่ปลอย ใหบินรอนลงไปอยางอิสระในสภาวะสปน ความเร็วของกระแสอากาศไหลขึ้นในแนวดิ่ง ถูกปรับใหสมดุลพอดีกับการรวงหลน จากแรงโนมถวงของโลก ทําใหเครื่องบินลอยอยู นิ่งบริเวณที่ใชสังเกต แผนแบบใหบริเวณศูนยกลางของอุโมงค มีความดันต่ํากวาผนัง เพื่อปองกันไมให เครื่องบินจําลองเขามาชิดกับผนัง
รูปที่ 5.10 อุโมงคลมสปน โดยองคการNASA ใชสังเกต การสปนของเครื่องบิน
บทที่ 5 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร1
107
ถาเครื่องบินจําลองมีการเขาสูส ภาวะสปน ปรากฏการณก็จะดําเนินไป เชนเดียว กับการ สปนในสภาวะแวดลอมจริง เพียงแตวาปรับใหความเร็วของอากาศที่ไหลขึน้ ใน แนวดิ่งเทากับอัตราการรวงหลนของเครื่องบินที่กําลังสปน ดวยวิธีนี้จึงเปนการ ชวยให เขาใจถึงสภาวะสปนไดอยางมีประสิทธิภาพ ถายรูปและบันทึกเปนภาพยนตร ไวศึกษา เพิ่มเติมได และยังใชในการทดสอบการรวงหลนของรมชูชีพ และอุปกรณอื่นๆในทํานอง เดียวกัน ไดอีกดวย อุโมงคลมสปนโดยทั่วไปไมคอยมีใชปจจุบันมีอยูไมกี่แหงในโลกเมื่อป ค.ศ.1970 องคการ NASA ไดกลับมาใหความสนใจกับเรื่องการ สปนของเครื่องบินขนาดเบาอีก จึง ไดมีการรื้อฟนกลับมาใชอุโมงคลมชนิดนี้อีก โดยใชเครื่องบินเล็กบังคับดวยวิทยุ จําลอง เหตุการณ และใชเครื่องบินจริงทดสอบ ในสภาพความเปนจริง เชนเดียวกับการทดสอบ ในอุโมงคลมสปน
108
บทที่ 5 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร1
แบบฝกหัดบทที่ 5 5.1
อุโมงคลมของสองพี่นองไรท เปนประเภทไหน
5.2
อุโมงคลม ทีน่ ิยมใชตามสถานศึกษา เปนอุโมงคลมประเภทไหน มีขอดีขอเสียอยางไร
5.3
เพราะเหตุไร อุโมงคลมแบบ โอเพนเซอรกิต จึงติดตั้งมอเตอรใบพัดไวดานหลัง ของ บริเวณทดสอบ (Test Section)
5.4
สวนของอุโมงคลม ที่เรียกวา “ฮันนี่คอม” มีไวเพื่ออะไร
5.5
อุโมงคลมแบบปดทํางานอยางไร ทําไมจึงเรียกวา แบบปด และมีขอดีอยางไร บาง เมื่อเทียบกับ อุโมงคลมแบบเปด
5.6
คอนแทรคชัน่ เรโช (Contraction ratio) หมายถึงอะไร อธิบาย
บทที่ 6 พัฒนาการของเครื่องบิน ความรูและเทคโนโลยีของอากาศยานนั้น ไดมีการพัฒนาอยางตอเนื่องมาเปน เวลา นานแลวนับตั้งแต สองพี่นองไรท ไดนําเครื่องบินที่ออกแบบและสรางเอง ลอยขึ้น จากพื้นทรายสูอากาศที่ คิตตี้ฮอก ดวยการควบคุมของ เออวิลล ไรท และประสบ ความสําเร็จในการบินเปนครั้งแรกของมนุษย มาถึงในปจจุบนั ความเร็วของเครื่องบิน ที่ ทําความเร็วไดคอนขางต่ํา ยังมีความเร็วสูงกวาเครื่องบินในชวง สิบปแรกของการเริ่มตน บินดวยเครื่องบินของมนุษย ความเร็วสูงสุดของเครื่องบินที่ทาํ ไดในปจจุบนั สูงกวาใน ยุคแรกกวา 50 เทา บินไดสูงเกินกวาชั้นบรรยากาศที่หุมหอโลก แม กระทัง่ ออกไปนอก โลก หองโดยสารมีการปรับความดัน มีการปองกันรังสีในกรณีที่บินในระดับสูงมากๆ อัตราไต มุมไต ที่ทําไดแมเปนมุมฉาก การพัฒนาเปนไปในทุกดาน การบินขึ้นบินลง ใช ระยะทางสั้นลง แมในแนวดิ่ง เครื่องบินขนาดเบาก็มีการพัฒนาไปเชนเดียวกัน
6.1 วิวัฒนาการของการแผนแบบ (Design Evolution) ปจจุบนั เราจะเห็นวา เทคโนโลยีในทุกดานพัฒนาไปไกลมาก หลายอยางไมเคย คาดคิดมากอนวาจะมีเทคโนโลยี แบบนี้เกิดขึ้น เชนเดียวกันเทคโนโลยีทางดานอากาศ พลศาสตร ไดมีการวิจัยและพัฒนาอยูตลอดเวลา ยากทีจ่ ะคาดเดาวาอนาคตจะเปน อยางไร ในโลกของอากาศพลศาสตร ไดถูกพัฒนามาเปนลําดับ คุณสมบัติทางอากาศ พลศาสตรของเครื่องบินที่ดีขึ้น ประสิทธิภาพของเครื่องบินโดยรวมสูงขึ้นก็เนื่องมากจาก การพัฒนาในทุกๆดานทีต่ องใช เพื่อการสรางเครื่องบินทั้งลํา ไมวาจะเปนเครื่องยนต หรือระบบอื่นทั้งหลายทีถ่ ูกนํามาใช กับเครื่องบิน ความพยายามที่ตองการบินของมนุษยในอดีต มีปญหาหลักอยูที่ กําลัง ขับเคลื่อนเครื่องบิน ที่มีกําลังมากพอและน้ําหนักเบา เมื่อมีการทําเครื่องยนตที่ตองการ ได จึงมีสวนทําใหการบินของ พี่นองไรท ประสบความสําเร็จ เทคโนโลยีในการพัฒนา เครื่องยนตลกู สูบ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 สวนใหญมุงไปที่สมรรถนะ ของเครื่องยนต
110
บทที่ 6 พัฒนาการของเครื่องบิน
ขอมูลที่ไดจากการบินในสงครามโลกครั้งที่ 1 เปนสิ่งยืนยันไดอยางดี เมื่อหลังสงคราม ค.ศ. 1919 ไดมีผูตั้งรางวัล ชื่อวา “ออทิจ (Orteig prize)” จะมอบใหกับผูทสี่ ามารถ บิน เดี่ยว (ไมมีการหยุดพัก) จาก นิวยอรก ไปยัง ปารีส ในชวงนั้นไมมีใครสามารถทําได จนกระทั่งตอมา ในป ค.ศ.1927 ชารล ลินเบิรก (Charles Lindbergh) ชาวอเมริกัน ทํา ไดสําเร็จ ดวยเครื่องบินรุน ไรท เจ-5 (Wright J-5) โดยตั้งชือ่ เครื่องบินวา “สปริต ออฟ เซนตหลุย (Spirit of St. Louis)” ซึ่งไดมีการปรับปรุงสมรรถนะใหดีขึ้นมากอนหนานี้ 1 ป ศาสตรแขนงอื่นที่เกี่ยวของกับเครื่องบิน นอกจากอากาศพลศาสตร คือ การแผน แบบโครง สรางอากาศยาน ในยุคแรกๆใช ไม และผา ทําเครือ่ งบิน เมื่อเกิดสงครามโลก ครั้งที่ 1 มีความตอง การใหโครงสรางเครื่องบินแข็งแรงมากยิ่งขึ้น แตตองเผชิญกับ ปญหาเรื่องน้ําหนัก และการทําใหแข็งแรงขึ้นสงผลในเรื่องของแรงตานที่มากขึ้น เพราะ มีลวดสลิง คานค้ํายัน มาก จะทําอยางไรดีที่จะได ความแข็งแรงที่มีน้ําหนักเบา และมี ลักษณะเกลีย้ งเกลา กลมกลืน พืน้ ผิวเรียบเปนมัน เพื่อการลดแรงตาน โดยไมตองมีคาน ค้ํายัน สายลวด ใหเกะกะ เปนเหตุแหงแรงตานที่เพิ่มขึ้น ฮูโก จังเกอร (Hugo Junkers) และ แอนโทนี ฟอกเกอร (Anthony Fokker) ได เปนผูบ ุกเบิก ริเริ่มในเรื่องของโครงสราง ที่ดขี ึ้นดังกลาวขางตน และยังไดทําให โครงสรางทั้งหมดมีลักษณะเปนสวนเดียวกัน ในการรับแรง ที่นิยมเรียกทับศัพทวา “โครงสรางโมโนคอก (Monocoque structure)” คือสวนของพื้นผิวภายนอก ที่เรา มองเห็น ไมเพียงแตทําหนาที่ หอหุมโครงสรางภายในเทานั้น แตยังทําหนาที่ชวยรับแรง ที่เกิดขึ้นมาดวย แนวความคิดนี้ไดถูกใชเปนครัง้ แรกโดย เฟรนช ดีเพอดัสสิน (French Deperdussin) กับโครงสรางลําตัวทีท่ ําดวยไม ของเครื่องบินที่ใชในการแขงขัน กอน สงครามโลกครั้งที่ 1 จังเกอร ไดทํา เครื่องบินลําแรกทีเ่ ปนโลหะทั้งลํา ในชวงของ สงครามโลก ตอมา อะดอฟ โรแบค (Adolph Rohrbach) ไดพัฒนาใหเครื่องบินโลหะทั้ง ลําแบบ โมโนคอก มีพื้นผิวที่เรียบเกลี้ยง ทั้งลําไมใชผิวเรียบเฉพาะในสวนลําตัว เหมือน อยางกอนหนานี้ การพัฒนาที่เกิดขึ้นในแตละดานของเครื่องบินไมวาจะเปนโครงสราง เครื่องยนต งานวิจัยในหองทดลอง และอุโมงคลม ถือไดวามีสว นชวยใหการปรับปรุงคุณสมบัติทาง
บทที่ 6 พัฒนาการของเครื่องบิน
111
อากาศพลศาสตร เปนไปอยางมีประสิทธิภาพ ในชวงหลังจากป ค.ศ.1920 องคการ คณะกรรมการที่ปรึกษาทางดานอากาศยานแหงชาติ (National Advisory Committee for Aeronautic มีชื่อยอวา NACA) ตนกําเนิดขององคการนาซา (NASA) หรือเรียกกัน จนคุนวา “นากา NACA” ไดสรางผลงานที่เปนประโยชน ณ สถาบันวิจัย แลงเลย ในรัฐ เวอรจิเนีย เชน การออกแบบ คาวริ่ง (Cowling) เปนสวนที่ใชครอบเครื่องยนตเพื่อชวย ลดแรงตาน(แตยังคงทําใหการระบายความรอนดีเหมือนเดิม) เปนผลจากการทด ลอง ในอุโมงคลม สําหรับเครือ่ งบินที่ใชเครื่องยนตสูบดาว (Radial engines) เปนเครื่องยนต ที่นิยมใชกันมากในยุคนั้น และถูกนําไปใชกับเครื่องบิน ไรท เจ-5 ผลที่ได เปนที่นายินดี ลดแรงตานเนื่องจากเครือ่ งยนตลงไดถึง 60% และเมื่อนํามาใชกับเครื่องบิน เคอรทิส เอ ที-5เอ (Curtiss AT-5A) ซึ่งเปนเครื่องฝกบิน ชวยทําใหความเร็วสูงขึ้นจาก 118 ไมล/ชม. มาเปน 137 ไมล/ชม. เปรียบไดกับการเพิ่มกําลังใหกับเครื่องยนต ถึง 83 แรงมา จาก ปกติที่มีกําลัง 220 แรงมา ผลงานอื่นทีม่ าจากองคการNACAในชวงนั้น คือการวางตําแหนงของเครื่องยนต โดยการติดเขากับปก เปนการชวยลดแรงตานไดดีอีกวิธีหนึ่ง และจากการทดลองใน อุโมงคลมแสดงใหเห็นวา ฐานลอเปนสวนทีท่ ําใหเกิดแรงตานมาก ดังนั้นจึงสมควรอยาง ยิ่งกับการทําใหฐานลอสามารถพับเก็บเขาไปได จะเปนการชวยลดแรงตานไดอยางมาก แตก็เปนการเพิ่มน้ําหนักและอุปกรณในการชวยพับฐานลอ ตัวอยางเชน เครื่องบิน สะเปอรี แมสเซนเจอร (Sperry Messenger) พบวาแรงตานโดยรวมลดลง 40% จาก การปรับปรุงฐานลอ นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องการ ฟลเลต(Fillet เปนการเติมสวนที่เปนมุม เขาไปใหมนกลมกลืนซึ่งกันและกัน) สวนของปกที่ตอเขากับลําตัว และสวนตางๆที่ ประกอบขึ้นเปนเครื่องบิน เปนผลงานการวิจัยของ สถาบันแคลลิฟอรเนียเทคโนโลยี ซึง่ ตอมาไดรับการรับรองโดย องคการ NACA ในชวงแรกของการบิน เปนวิวัฒนาการของ อากาศพลศาสตรความเร็วต่ํา ตอมา ในชวง ป ค.ศ.1920 ถึง ค.ศ. 1930 เปนชวงของการพัฒนาใหเกิดสิ่งใหมๆเขามาสู วงการของอากาศยาน เชน เครื่องบิน โบอิ้ง 247 (Boeing 247) ไดรับฉายาวา “ที่หนึ่ง ของเครื่องบินโดยสารทันสมัย” และ เครื่องบิน ดักกลาส ดีซ-ี 2 และ ดีซ-ี 3 (Douglas
112
บทที่ 6 พัฒนาการของเครื่องบิน
DC-2, DC-3) ที่ไดมีการปรับปรุงและพัฒนาไปมากอยางเห็นไดชัด หลังจากนั้น ยังคง เปนเครื่องบินที่ทันสมัยอยางตอเนื่อง มาอีกเปนสิบป
รูปที่ 6.1 เครื่องบิน ลอกฮีด วีกา (Lockheed Vega) ไดสรางชื่อเสียงในยุค ค.ศ.1927 แนวความคิดใหมๆ จํานวนมาก ไดถูกนํามาใชกับ เครื่องบิน ดีซ-ี 2 และ ดีซ-ี 3 โดย แจ็ค นอรทรอป (Jack Northorp) กับผูรวมงาน คือ ดักกลาส (Douglas) (และเปน เจาของบริษทั ดักกลาส) กอนหนานี้ แจ็ค ไดทํางานเปนวิศวกรอยูกับบริษัท ลอกฮีด (Lockheed) เปนคนแรกที่ไดพยายามปรับปรุงเครื่องบินอเมริกัน ใหใชปกที่ยื่นออกไป โดยไมตองมีตัวชวยค้ําอยูภายนอก และไดแผนแบบเครื่องบิน ลอกฮีด วีกา (Lockheed Vega) ที่มีโครงสรางอยางที่เขาตองการ โดยใสชุดครอบเครื่องยนต (Cowling ของ NACA) ครอบฐานลอ (Fairing) เปนการลดแรงตาน เครื่องบินลํานี้บนิ ทําความเร็วไดถึง 160 ไมล/ชม. เปนความเร็วที่ตองบันทึกไวในสมัยนั้น และเปนเครื่องบินที่มีชื่อเสียงซึง่ บินโดยนักบินที่มีชื่อเสียงเชนกัน ไดแก ลินเบิรก (Lindbergh) อามิเลีย เออฮาท (Amelia Earhart) ลอสโค เทินเนอร (Roscoe Turner) และ วิลลีย โพสท (Wiley Post) คนที่เห็นในรูปที่ 6.1 คือ วินนี เมย (Winnie Mae) กับนักบินชื่อ วิลลีย โพสท
บทที่ 6 พัฒนาการของเครื่องบิน
113
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เปนชวงของการบุกเบิก และพัฒนาเครื่องยนตเจ็ต ถือไดวาสงผลใหเกิดการปฏิวัติความรูทางดานอากาศยาน อยางแทจริง นี่คือ ประวัติศาสตรการกาวกระโดด ของสมรรถนะเครื่องบิน อันที่จริงแลว เครื่องยนตเจ็ต เพียงแตชวยทําใหเครื่องบินเร็วขึ้น แตการที่เครื่องบินเร็วขึ้น ทําใหการศึกษาทางดาน อากาศพลศาสตร ตองมีการปรับปรุงเปนอยางมากเกือบทั้งหมด เพื่อใหสอดคลองกับ การเปลี่ยนแปลงทีเ่ กิดขึน้ จําตองทําความเขาใจกับ ปรากฏการณ คลื่นช็อค แพน อากาศแบบใหมๆ รูปรางของเครื่องบิน ชองทางอากาศเขาสูเ ครื่องยนต รูปรางของปก ฯ สิ่งตางๆเหลานี้ตองมีการศึกษาเพื่อความเขาใจที่ถูกตอง กอนที่แรงขับจากเครื่องยนต เจ็ต จะทําใหเครื่องบินสามารถทําความเร็วไดสูง เขาใกลความเร็วเสียง หรือสูงกวา ความเร็วเสียง ในตอนนั้นความรูทางอากาศพลศาสตร ในยานความเร็วต่ําเกือบจะ ทั้งหมด ไมไดถูกนํามาใชกับการแผนแบบเครื่องบินในยุคของเครื่องบินที่ใชเครื่องยนต เจ็ต แตสําหรับเครื่องบินขนาดเบา ยังคงใชความรูทางอากาศพลศาสตรในสมัยกอน สงครามโลกครั้งที่สองไดอยู อาจมีบางที่ใชเทคโนโลยีของเครื่องยนตเจ็ต แตเครื่องยนต ลูกสูบไดถูกใชมาตั้งแตชว งสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ไดพยายามพัฒนาประสิทธิภาพของ เครื่องยนตลกู สูบใหสูงยิ่งขึ้น ในชวงสงคราม กําลังที่ใชขับเคลื่อนเครื่องบินที่มีใชอยูใน โลก99% มาจากเครื่องยนตลูกสูบ และในปจจุบนั เครื่องยนตลูกสูบยังคงเปนเครื่องยนต ยอดนิยมของเครื่องบินขนาดเบาอยู ดวยเทคโนโลยีในปจจุบัน ยิ่งทําใหประสิทธิภาพ ของเครื่องยนตลูกสูบ สูงขึ้นอยางมาก น้ําหนักเบาลงในขณะที่กําลังมีมากขึ้น ความ นาเชื่อถือสูงกวาที่เคยมีมาในอดีต เครื่องยนตลูกสูบแบบลูกสูบนอนยันตรงขาม (Flat horizontal opposed type) เหมือนเครื่องยนตรถโฟลคเตารุนเกา ระบายความรอนดวย อากาศ จากลักษณะการวางตําแหนงของลูกสูบ ชวยทําใหพนื้ ที่หนาตัดเล็กลง เปนการ ลดแรงตานไดดี บริษัทผูผ ลิตเครื่องบินขนาดเบาสวนใหญ มักใชเครื่องยนตกําลังต่ําและ ติดตั้ง เขากับตัว เครื่องบินดวย โครงประสานที่ทําจากทอกลมเชือ่ มตอเขาดวยกัน เพื่อใหรับ แรงไดดีแตมีน้ําหนักเบา เปนการยึดตัวเครื่องยนตเขากับตัวเครื่องบิน ดวยวิธีนี้เปนผล ใหเครื่องบินมีน้ําหนักเบา เพื่อใชในการแขงขัน หรือบินเพือ่ ความสนุกสนาน แตใช
114
บทที่ 6 พัฒนาการของเครื่องบิน
ประโยชนในการโดยสารหรือบรรทุกทั่วไปไดนอย ยังมีบางบริษัทผูผ ลิต ใชวัสดุอื่นที่ไมใช โลหะนํามาสรางเครื่องบิน แตยังคงสมรรถนะเดิม ตัวอยาง เชน เครื่องบินของบีชคราฟ เปนการแสดงใหโลกไดเห็นวา นี่แหละคือ เครื่องบินขนาดเบาที่ทัน สมัยจริงๆในยุคที่ ผลิตออกมาใหมๆ ดูรูปที่ 4.16 คือ เครื่องบิน บีชโบนันซา (Beach Bonanza) สามารถ ทําความเร็วไดถึง 175 ไมล/ชั่วโมง ดวยเครื่องยนตที่มีกําลังเพียง 185 แรงมา ถือไดวา เครื่องบินลํานี้ไดเปนผูนําในการแผนแบบเครื่องบินสวนบุคคลเพื่อการธุรกิจ ที่มีประสิทธิ ภาพสูง ในรูปที่ 6.2 เปนเครื่องบินV-35 โบนันซา รุนลาสุดชุดแพนหางตัววี เปนการ ประยุกตชุดแพนหาง โดยการควบรวม แพนหางดิง่ กับแพนหางระดับเขาดวยกัน
รูปที่ 6.2 เครื่องบินของ บีช รุน วี-35 โบนันซา (V-35 Bonanza) หางรูปตัววี
รูปที่ 6.3 เครื่องบิน เลียรเจ็ต โมเดล23 (Lear Jet Model 23)
บทที่ 6 พัฒนาการของเครื่องบิน
115
แนวทางการพัฒนาตอไปของอากาศยานขนาดเบา คือ เครื่องบินเจ็ตขนาดเบา ซึ่งคนสวนใหญมักจะหมายถึง เครื่องเจ็ตเพื่อการธุรกิจ (Business jet) ถึงแมวา เครื่องบินเจ็ตขนาดเบามีอยูใหเห็นมากมาย แตที่ควรจะใหเครดิต หรือนํามากลาวเปน ตัวอยางของเครื่องบินเจ็ตขนาดเบาทีด่ ี คือ เครื่องบิน เลียรเจ็ต (Lear jet) โดย บิล เลียร (Bill Lear) สามารถบินขึ้นโดยใชระยะทางบนทางวิ่งขึ้น เพียง 2,300 ฟุต ทําความเร็วได ถึง 500 ไมล/ชั่วโมง อัตราไตเขาใกล 7,000 ฟุต/นาที ผลิตออกสูตลาดเมื่อ ค.ศ.1963 รูปที่ 6.3 เลียร ไดยืมเทคโนโลยี ของเครื่องบินความเร็วสูง มาจากเครื่องบินรบของทหาร และเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ นํามาผสมผสานกันอยางลงตัว จึงไดเครื่องบินขนาด เบาโครงสรางมีน้ําหนักเบาใชงานไดอยางมีประสิทธิภาพ สําหรับเครื่องบินขนาดเบาที่ ใชเครื่องเจ็ต เครื่องยนตลกู สูบยังคงเปนเครื่องยนตยอดนิยมของเครื่องบินขนาดเบาโดยทั่วไป ดวยคุณสมบัติเดน ไดแก ราคาที่ถูกกวา ประหยัดเชื้อเพลิงมากกวา โดยเฉพาะตั้งแตป ค.ศ.1970 ราคาน้ํามันเชื้อเพลิงมีแนวโนมสูงขึ้น มาทุกวันนี้ยิ่งสูงมากขึ้นเรื่อยๆ มี ประสิทธิภาพสูงกวาในการขับ เคลื่อนเครื่องบิน ยิ่งทุกวันนี้วิศวกรและบริษทั ผูผ ลิต เครื่องบินมีนโยบายในการประหยัดพลังงาน จึงทําใหเครื่องยนตลูกสูบ ยังคงเปน ขวัญ ใจของผูใชเครื่องบินขนาดเบาอยูตอไป จากแนวทางที่ตอ งการประหยัดพลังงานโดย เฉพาะอยางยิ่งการเผาไหมน้ํามันเชื้อเพลิง ซึ่งเปนผลมาจาก ปโตเลียม จึงไดเกิดแนว ความคิดใหม ที่ชวยประหยัดพลังงานไดมากขึ้น คือ การเก็บกวาดแรงตาน (Drag cleanup) หรือถาจะเรียกวา “กระบวนการกําจัดแรงตาน” ก็นาจะได ซึ่งวิธีการนี้มุงไปที่ การลดแรงตานอันเกิดจากสวนตางๆของเครื่องบิน นําไปสูส มรรถนะที่สูงขึน้ จึงเปนวิธที ี่ ถูกนํามาใชโดยทั่วไปไมวาจะเปนเครือ่ งบินสําหรับฝกความเร็วต่ํา แมกับยานพาหนะ อยางรถยนต
6.2 บินดวยความเร็วที่สูงยิ่งขึ้น (Higher Speed) ทุกคนคงเคยเห็นวัตถุกําลังเคลื่อนที่ไปในอากาศ ไมวาจะเปน เครื่องบินหรือวัตถุ ใดก็ตาม ยอมสงผลตออากาศในบริเวณที่วัตถุนั้น เคลื่อนทีผ่ าน เชน ความหนาแนนของ
116
บทที่ 6 พัฒนาการของเครื่องบิน
อากาศมีการเปลี่ยนแปลง แตวัตถุซึ่งเคลื่อนที่ดวยความเร็วประมาณ 100 ถึง 200 ไมล/ ช.ม. การเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของอากาศในบริเวณนั้น มีคอ นขางนอย ถือไดวาแทบ ไมมีการเปลี่ยนแปลงความหนาแนนของอากาศเลย เพราะเปนการเคลื่อนที่ในยาน ความเร็วต่ํา สงผลใหความหนาแนนของอากาศเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กนอย ถือไดวาไมมี การเปลี่ยนแตอยางใด เราเรียกวาเปนสภาวะ “การไหลไรการอัดตัว (Incompressible flow)” คือ อากาศที่ไหลผานเครื่องบินในยานความเร็วต่ํา ถือไดวามีความหนาแนนคงที่ เทากันหมด กับอากาศในบรรยากาศปกติที่เครื่องบิน บินผาน สถานการณ ที่ถือวาความหนาแนนของอากาศคงที่ ใชไดกับเครื่องบินทีบ่ ินใน ยานความเร็วต่ํา แตในกรณีที่เครื่องบิน มีความเร็วสูงมากขึ้น อากาศที่ไหลผาน เครื่องบิน ความหนาแนนเปลี่ยน รวมทั้งคุณสมบัติอื่นดวย ประมาณปลายป ค.ศ.1930 เมื่อมนุษยสามารถสรางเครื่องบินที่ทาํ ความเร็ว ไดถึง 300 – 400 ไมล/ช.ม. (ซึ่งในยุค นั้นการสรางเครื่องบินยังใชเงื่อนไขที่วา ความหนาแนนของอากาศคงที่อยู) เหตุการณที่ ปรากฏขึ้น แสดงใหเห็นวา ความหนาแนนของอากาศมีการเปลี่ยนแปลง หรือการไหล ของอากาศมีการอัดตัวได เรียกวา “การไหลอัดตัวได (Compressible flow)” เมื่อ เครื่องบิน บินในยานความเร็วสูงขึ้นและสูงขึ้น ผลจากแรงตานมีมากขึ้นเกินกวาที่ คาดคะเนเอาไว ดวยวาเงื่อนไขหรือวิธีคิดเดิมที่ใชอธิบายและคํานวณหาคาตางๆที่ ตองการในสมัยนั้น นํามาใชนั้นใหผลไดถูกตองเฉพาะในยานความเร็วต่ําเทานั้น เพราะ ความหนาแนนของอากาศเปลี่ยนมากในยานความเร็วสูง ในยุคนั้นนักวิทยาศาสตรทาง อากาศพลศาสตร ยังเขาใจไปวา ถาเครื่องบิน บินดวยความเร็วเขาใกลความเร็วเสียง แรงตานที่เกิดกับเครื่องบิน จะมีมากมหาศาล ถึงอนันต(Infinity) ขนาดที่วา ไมสามารถ หาแรงขับใด มาขับเคลือ่ นใหเครื่องบิน บินใหเร็วขนาดนั้นได ความเชื่อเชนนี้ เปนมา จนกระทั่งถึงป ค.ศ.1940 และเรียกปรากฏการณที่ เปนขีดจํากัดความเร็วของการบิน นี้ วา “กําแพงเสียง (Sound barrier)” แตยังมีนักวิทยาศาสตร ทางดานนีอ้ ีกหลายทาน ไดโตแยงความเขาใจอันนี้ วา เปนความเขาใจที่ผิด และชี้แจงวาการบินดวยความเร็ว ในยานความเร็วสูงกวาความเร็ว เสียง มักนิยมเรียกวา “ความเร็วเหนือเสียง” นั้นสามารถทําได ถาเรามีความเขาใจมาก
บทที่ 6 พัฒนาการของเครื่องบิน
117
พอ ในเรื่องเหลานี้ ลูกกระสุนปน เปนตัวอยางของวัตถุ ที่เคลื่อนที่ดวยความเร็วเหนือ เสียง เปนเวลานานมาแลว เครื่องบินลําแรกที่บนิ ดวยความเร็วสูงกวาความเร็วเสียง ได ถูกออกแบบรูปราง โดยอาศัยรูปทรงของลูกปน บราวนิ่ง .50 แคริเบอร คือ เครื่องบิน เบล เอ็ก-1 (Bell X-1) ดูรูปที่ 6.4 ครั้งแรกที่ทําการบินในยานความเร็วเหนือเสียงและ ประสบความสําเร็จ ซึ่งทดสอบโดยนักบินชื่อ ชัค ยีเกอ (Chuck Yeager) รูปที่ 6.5 เมื่อ วันที่ 14 ตุลาคม ค.ศ.1947 เปรียบไดกับการทดลองบิน ที่ประสบความสําเร็จเปนครั้ง แรกของ สองพี่นองตระกูลไรท ในป ค.ศ.1903 ความสําเร็จอันยิ่งใหญนี้ เปนผลมาจาก ความพากเพียร ในการทําวิจัย และการทดสอบ มาตลอดเปนเวลาหลายป
รูปที่ 6.4 Bell X-1 เปนเครื่องบินลําแรกที่บินดวยความเร็วเหนือเสียงเมื่อ ป ค.ศ.1947
6.3 ความเร็วเสียง (The Speed of Sound) หลายคน คงเคยไดยินคําวา “ความเร็วเสียง (Speed of sound)” “ความเร็ว เหนือเสียง (Supersonic)” และ “กําแพงเสียง (Sound barrier)” บางคนคงจะแปลกใจ วา ทําไม ความเร็วเสียง ถึงไดไปเกี่ยวของกับ แรงตานของเครื่องบิน อันทีจ่ ริงแลว เสียง การเคลื่อนทีข่ องเสียง หรือความเร็วของเสียงในอากาศ ไมไดไปสงผล โดยตรงกับ เครื่องบินเลย
118
บทที่ 6 พัฒนาการของเครื่องบิน
การเคลื่อนทีข่ องเสียงในอากาศ เปรียบไดกับการเคลื่อนทีข่ องคลื่นบนผิวน้ํา เพียงแตวาความเร็วของเสียงในอากาศ นั้น คือความเร็วในการสงถายความดันใน อากาศ หรือ การที่อากาศถูกรบกวน และถายทอดการรบกวนนั้นไปในอากาศ เทากับ ความเร็วของเสียงนัน่ เอง การตีกลอง คือการรบกวนอากาศ เสียงที่เราไดยิน นั่นคือผล ของการรบกวนอากาศ ซึ่งสงถายในรูปของคลื่นอัดและคลื่นขยาย มีการถายทอดการ รบกวนในเนือ้ โมเลกุลของอากาศคลายๆกับการ กระแทกตอๆกันไป จากจุดหนึ่งไปยัง อีก จุดหนึ่ง ดวยความเร็วคาหนึ่ง จนกระทั่งมาถึงหูของเรา ทําใหแกวหูสั่นสะเทือน สง สัญญาณตอไปยังสมอง นี่คือ ความเร็วเสียง
รูปที่ 6.5 ชัค ยีเกอร นักบินคนแรกของโลกที่บินดวยความเร็วเหนือเสียง เมื่อเครื่องบินเคลื่อนที่ดวยความเร็วคาหนึ่งในอากาศ การสงถายความดันจาก การรบกวน อากาศของตัวเครื่องบิน ไปในเนื้ออากาศจากการที่โมเลกุลกระทบตอกันไป คลายกับโดมิโน ดวยความเร็วเทากับความเร็วเสียง ถาเครือ่ งบิน บินชากวาความเร็ว เสียงการถายทอดความดันนั้น ก็จะวิ่งนําหนาเครื่องบินออกไป เชน เครื่องบินที่กําลังจะ
บทที่ 6 พัฒนาการของเครื่องบิน
119
บินผานเรา ถาบินชากวาความเร็วเสียง เราก็จะไดยินเสียงตางๆที่เกิดจากาการรบกวน ของเครื่องบิน กอนที่เครือ่ งบิน จะบินมาถึงเราเพราะเสียงไดนําหนามากอนแลว แตถา เปนเครื่องบินที่บินดวยความเร็วเหนือเสียง (คือบินเร็วกวาความเร็วเสียง) ผลของการที่ อากาศถูกเครื่องบินรบกวนนั้นสงถาย (หรือเคลื่อนที่) ไดชากวาเครื่องบิน เพราะสงถาย การรบกวนไดเทากับความเร็วเสียง ตัวเครื่องบินจึงนําหนาการรบกวนนั้น เมื่อเครื่องบิน บินผานเรา เราจึงเห็นเครื่องบินผานเราไปกอน จึงคอยไดยินเสียงที่รบกวนอากาศนั้น ตามมา เราอาจประหลาดใจวาความเร็วของเสียงในอากาศนั้นเคลื่อนที่ดวยความเร็ว คาหนึ่ง ซึ่งขึ้นอยูกับอุณหภูมิในอากาศ อุณหภูมิในอากาศนั้น เปนตัวชี้ถึงปริมาณ ของพลังงานในอากาศดวยถาอุณหภูมิในอากาศสูง ความเร็วเสียงก็จะสูงตาม ความ รอนที่มีอยูในวัตถุทั้งหลาย แมในอากาศ แสดงออกในรูปของอุณหภูมิ ซึ่งเปนผลมาจาก การสั่นสะเทือนของโมเลกุลของสารนัน้ เชนเมื่อเราเอามือไปแตะวัตถุทรี่ อน การ สั่นสะเทือนของโมเลกุลของวัตถุนั้น ไดสงถายมายังโมเลกุลของผิวหนังเรา ใหสั่น สะเทือนตามไปดวย สงผลใหเรารูสกึ รอน ถามีอุณหภูมิสูงมาก การสั่นสะเทือนมีมาก เมื่อสงมายังโมเลกุลผิวหนังเรา ทําใหเซลผิวหนังของเราตาย จึงรูสึกเจ็บ และพอง ดังนัน้ การวัดอุณหภูมิ คือการวัดคาเฉลี่ย ของการสั่นของโมเลกุลสารนั้นๆ ซึง่ ก็คือพลังงานใน สารนั้น เพราะวา โมเลกุลมีการสัน่ มาก เมื่ออุณหภูมิสูง จึงทําใหการถายทอดการรบกวน ไปไดเร็วกวา เชนที่ระดับน้ําทะเล อุณหภูมิ 59 F ความเร็วเสียงอยูท ี่ประมาณ 761ไมล/ ช.ม. แตที่ระดับความสูง 20,000 ฟุต จากระดับน้าํ ทะเล อุณหภูมิ 12 F ความเร็วเสียง อยูที่ 707 ไมล/ช.ม. และที่ ระดับความสูง 40,000 ฟุตจากระดับน้ําทะเล อุณหภูมิ 70 F ความเร็วเสียงอยูที่ 660 ไมล/ช.ม. ความเร็วเสียงในอากาศสามารถหาไดจาก สูตรนี้ V 48.92 ( 460 T ) ft s (ฟุต/วินาที)
Sound
F
VSound 20.03 ( 273 TC ) m s
(เมตร/วินาที)
120
เมื่อ
บทที่ 6 พัฒนาการของเครื่องบิน
VSound TF
TC
คือ คือ คือ
ความเร็วเสียงในอากาศ เปน ฟุต/วินาที หรือ เมตร/วินาที อุณหภูมิของอากาศ เปน องศาฟาเรนไฮ (Fahrenheit) F อุณหภูมิของอากาศ เปน องศาเซลเซียส (Celsius) C
จงหาความเร็วเสียงในอากาศ ที่อุณหภูมิ T 80 F และ ที่อุณหภูมิ T 30 C
ตัวอยางเชน
จากสมการ ความเร็วเสียง
VSound 48.92 ( 460 80) ft s VSound 1136.79 ft s
VSound 20.03 ( 273 30) ft s VSound 348.66 m s
6.4 ตัวเลข มัค (Mach number) คาของความเร็วเสียง เปนสวนสําคัญที่ถูกนํามาใช ในการคํานวณหรือ พิจารณา โดยเทียบกับความเร็วของอากาศที่สัมพัทธกับเครื่องบิน เพือ่ ความสะดวก และความ เหมาะสมในกรณีดังกลาว จึงไดมีการกําหนดคา ที่เปนอัตราสวนระหวาง ความเร็วของ อากาศที่พิจารณา กับ ความเร็วของเสียงในอากาศนั้น เพือ่ เปนเกียรติ แก เอิน มัค (Ernst Mach) นักวิทยาศาสตรชาว ออสเตรีย ซึง่ เปนคนแรกที่ ไดใหความสนใจ และ ศึกษา เรื่องการไหลของอากาศในยานความเร็วเสียง จึงไดตงั้ ชื่อคา อัตราสวนนี้วา ตัว เลขมัค หรือ เลขมัค แตนิยมเรียกทับศัพทวา “มัคนัมเบอร (Mach number)” ใชตวั ยอ M อยาลืม ตองใชตัวอักษรใหญ เพราะเปน ชื่อนักวิทยาศาสตร เขียนในรูปของสมการไดดังนี้ เมื่อ
V Air VSound
M
V Air VSound
คือ ความเร็วของอากาศ คือ ความเร็วเสียงในอากาศนั้น
ความเร็วทั้งสอง ตองมีหนวยเดียวกัน
(คา M ไมมีหนวย)
บทที่ 6 พัฒนาการของเครื่องบิน
121
เครื่องบินที่กาํ ลังบินอยูในอากาศ ดวยความเร็ว เปนครึ่งหนึง่ ของความเร็วเสียง ในอากาศนั้น ดังนั้น ความเร็วของอากาศที่สัมพัทธกับเครื่องบิน จึง มีคาเทากับครึ่งหนึ่ง ของความเร็วเสียงเชนกัน ดังนัน้ เราบอกไดวา บินที่คา มัคนัมเบอร เทากับ 0.5 หรือ M = 0.5 แตถาความเร็วของอากาศที่สัมพัทธกับเครื่องบินมีคา เปนสองเทาของความเร็ว เสียง แสดงวา เครื่องบิน บินดวยความเร็ว M=2 ขอย้ํา อยาสับสน โดยเขาใจผิดวาคา มัคนัมเบอร เปนคา ความเร็วของ เครื่องบิน เทียบกับ ความเร็วเสียงในอากาศ ตองเขาใจวา เปนคา ความเร็วของอากาศ ที่สัมพัทธกบั เครื่องบิน เทียบกับ ความเร็วเสียงในอากาศนั้น ดังนั้น เราจึงไมสามารถ บอกคาความเร็วของยานอวกาศขณะเคลื่อนที่ในอวกาศ เปน มัคนัมเบอรได ( ซึ่งนิยม บอกเปน กิโลเมตร/วินาที) เครื่องบินสองลํา บินที่คา มัคนัมเบอร เทากัน แตความเร็วของเครื่องบิน อาจจะ ไมเทากัน เพราะวา ความเร็วเสียงในอากาศที่เครื่องบินทั้งสอง กําลังบินอยูนั้น อาจไม เทากัน เชน เครื่องบินสองลํา บินดวยความเร็ว M = 0.5 เทากัน ลําแรก บินทีร่ ะดับน้ําทะเล ความเร็วเสียงในอากาศ เทากับ 761 ไมล/ช.ม. แสดง วาบินดวยความเร็ว 0.5 761 380.5 ไมล/ช.ม. (สัมพัทธกับอากาศ) ลําที่สอง บินที่ระดับความสูง 40,000 ฟุต แตความเร็วเสียงในอากาศเทากับ 660 ไมล/ช.ม.แสดงวาบินดวยความเร็ว 0.5 660 330 ไมล/ช.ม. (สัมพัทธกับอากาศ) ตั้งแตการบินไดพัฒนาใหเครื่องบินมีความเร็วสูงมากขึ้น มาจนทุกวันนี้ เปน เพราะความรูทางอากาศพลศาสตรได พัฒนาสูงขึ้นและไดจดั ยานความเร็ว โดยยึดเอา ความเร็วของเสียงในอากาศ เปน บรรทัดฐาน ดังนี้ ความเร็วอากาศที่ ต่ํากวา ความเร็วอากาศที่ เทากับ ความเร็วอากาศที่ สูงกวา
ความเร็วเสียง M < 1.0 เรียกวา “ซับโซนิก (Subsonic)” ความเร็วเสียง M = 1.0 เรียกวา “โซนิก (Sonic)” ความเร็วเสียง M > 1.0 เรียกวา “ซูเปอรโซนิก (Supersonic)”
122
บทที่ 6 พัฒนาการของเครื่องบิน
ยานตางๆทีแ่ บง ไวนั้น ในสวนที่ความเร็วอากาศเทากับ ความเร็วเสียง นั้นเปน จุดแบงระหวาง ความเร็วต่ํากวาความเร็วเสียง และ ความเร็วสูงกวาความเร็วเสียง เมือ่ เครื่องบิน บินดวยความเร็วที่ กระแสอากาศอิสระ มีความเร็วสัมพัทธกับเครื่องบิน เทากับความเร็วเสียง ถือวาเปน ความเร็ว โซนิก(Sonic velocity) แตทวาอากาศที่ไหล ผานเครื่องบินในแตละสวน บางสวนอาจมีความเร็ว ต่ํากวาเสียง บางสวนมากกวาเสียง และบางสวนก็เทากับเสียง ดังนั้น สําหรับเครือ่ งบินทั้งลําแลว จึงไมมี ความเร็วของ อากาศที่ปรากฏขึ้นในแตละสวนเทากัน คือ เปนซับโซนิก โซนิก หรือ ซูเปอรโซนิก อยาง ใดอยางหนึ่ง แต เกิดขึ้นในทุกยาน ขณะบินที่ความเร็วสูงเขาใกลความเร็วเสียงหรือกวา นั้น ดังนั้นเพือ่ ความเหมาะสมจึงไดแบง ยานความเร็วกระแสอากาศอิสระ ที่สัมพัทธกบั เครื่องบินไวดังนี้ M นอยกวา 0.8 M = 0.8 - 1.2 M = 1.2 – 5.0 M มากกวา 5.0
ถือวาเปนความเร็วในยาน ถือวาเปนความเร็วในยาน ถือวาเปนความเร็วในยาน ถือวาเปนความเร็วในยาน
ซับโซนิก (Subsonic) ทรานโซนิก (Transonic) ซูเปอรโซนิก (Supersonic) ไฮเปอรโซนิก (Hypersonic)
บางครั้งการกําหนด ยานของความเร็ว โดยดูที่คา มัคนัมเบอร อาจมีคาที่ตางกัน บางอยางเชน บางแหงอาจกําหนดยาน ทรานโซนิก อยูในชวง M = 0.7 – 1.3 อยางไรก็ ตาม การไหลของอากาศในยานทรานโซนิก อาจจะอยูสูงกวา ต่ํากวาอยู ประมาณ 20% ถึง 30% ของความเร็วโซนิก
6.5 คลื่นช็อค (Shock Waves) อยางที่ไดกลาวไปแลววา การถายทอดการรบกวน ในอากาศนั้น มีความเร็ว เทากับคลืน่ เสียง ที่สง ผานไปในอากาศ เพราะเสียงก็เปนปรากฏการณอยางหนึ่งที่ อากาศถูกรบกวน เรามองไมเห็นคลื่นเสียง แตการเคลื่อนที่ของเสียง มีลักษณะ เชนเดียวกับ คลื่นบนผิวน้ํา ซึ่งเกิดขึน้ จากการถูกรบกวน และเคลื่อนที่ดวยความเร็วคา
บทที่ 6 พัฒนาการของเครื่องบิน
123
หนึ่ง เพื่อความเขาใจถึงการเคลื่อนที่ของคลื่นเสียงในอากาศ (ทุกครั้งที่กลาวถึง การ เคลื่อนที่ของคลื่นเสียงในอากาศ ใหเขาใจวา เปนการเคลื่อนที่หรือความเร็วในการ ถายทอดการรบกวนในอากาศ แต นิยมพูดวา ความเร็วเสียง) จึงขอใหนกึ ภาพของคลื่น บนผิวน้ํา จะชวยใหเขาใจไดงายขึ้น สมมุติวาเรา นําเอากอนกรวดเล็กๆจํานวนหนึ่ง ทิง้ ลงในบอน้ํานิ่ง ทีละเม็ด ลง ณ ตําแหนงเดิม โดยทิ้งชวงเวลาเทาๆกัน จะเห็นวาคลื่นบนผิวน้ําที่ถูกรบกวน โดยเม็ดกรวด ขยายออกเปนวงกลม โตขึ้นตามความเร็วของคลื่น ดังรูปที่ 6.6 A เกิดไลกันมาตั้งแตวง แรก คือ วงที1่ วงที่2 วงที่3 และ ตอๆไป……
รูปที่ 6.6 การขยายออกของวงคลื่นบนผิวน้ํา เมื่อถูกรบกวนโดยเมื่อเม็ดกรวด ที่ทิ้งลงไป ในน้ํานิ่ง A ทิ้งลงจุดเดียวทั้งสามครั้ง B ทิ้งโดยเลือ่ นตําแหนง และ C ทิ้งแบบ B แต เลื่อนตําแหนงใหเร็วขึ้น ทําการทดลองตอ ดวยการทิ้งเม็ดกรวด อยางเชนตอนแรก แตเลื่อนตําแหนงการ ทิ้งไปทางขวา โดยที่ความเร็วในการเลื่อนตําแหนงที่ทงิ้ ใหชากวาความเร็วคลื่นที่ ขยายตัวออก จะเปนเหมือนในรูปที่ 6.6 B ใหสังเกตวา ความเร็วของคลื่น เร็วกวา การ เลื่อนตําแหนงของกอนกรวด (ที่ตกลงบนผิวน้าํ ) เปนเสนตรง ตอมาลองทิ้งกอนกรวด อยางเดิมแตเพิ่มความเร็วในการเลื่อนตําแหนงทีท่ ิ้งใหเร็วกวา ความเร็วคลื่น จะเห็นวา ตําแหนงที่กรวดตกลงไป จะชนกับคลื่นกอนหนานั้น ที่ขยายวงออกมา เมื่อเราทิ้งกรวด กอนที่ 4 ก็จะเปน เหมือนดังในรูปที่ 6.6 C
124
บทที่ 6 พัฒนาการของเครื่องบิน
มาถึงตอนนี้ แทนทีจ่ ะเปนเม็ดกรวด ไปรบกวนน้ําใหมีคลื่น แตใหเปนจุดกําเนิด เสียง(รบกวนอากาศ) ใหชื่อวา บีบเปอ (Beeper เพราะสงเสียง “beep”) เปนจุดเล็กๆ ซึ่งจะสงเสียงเปนระยะๆ ชวงเวลาเทาๆกัน เชนเดียวกับการทดลองที่ผานมา ถา บีบเปอ เคลื่อนทีช่ ากวาความเร็วเสียง คืออยูในยาน ซับโซนิก คลื่นเสียงก็จะวิ่งนําหนา บีบเปอ ออกไป แตถา บีบเปอเคลื่อนที่เร็วกวา เสียง คือความเร็ว ซูเปอรโซนิก คลื่นเสียงทีถ่ ูก สงออกมาจากตัว บีบเปอเองก็จะอัดซอนกันอยู บริเวณดานหนาของ บีบเปอ เชนเดียวกับคลื่นน้ํา ที่หัวเรือที่วิ่งเร็วกวาความเร็วคลื่น เปนเสนที่ลากสัมผัสกับ วงกลม ในรูปที่ 6.6 C เสนตรงนี้ เกิดจากการซอนอัดตัวกันของคลื่นทีเ่ กิดขึ้นมา แต เคลื่อนที่ไดชา กวาวัตถุ ที่มารบกวน เราเรียกสิ่งที่เกิดขึน้ มาใน เหตุการณการนี้วา “มัคเวฟ (Mach wave)”
รูปที่ 6.7 รูปถายดวยวิธี ชเลียเรน (Schlieren) จากอุโมงคลม ซูเปอรโซนิก แสดงใหเห็น คลื่นช็อคเฉียง (Oblique shock wave) ในรูปที่ 6.7 เปนแบบจําลอง (Model นิยมเรียกทับศัพทวา “โมเดล”) มีลักษณะ หัวแหลม ถูกติดตั้งอยูในอุโมงคลมซูเปอรโซนิก ในขณะที่อากาศที่มีความเร็วเหนือเสียง (Supersonic) ไหลผานจากขวาไปซาย ที่มองเห็นเปนแถบเสนสีดํา เริ่มจากปลายแหลม
บทที่ 6 พัฒนาการของเครื่องบิน
125
ของโมเดล ก็คือ คลื่นช็อคเฉียง เรียกทับศัพทวา “ออบลีกช็อค (Oblique shock)” (แนว คลื่นช็อคไมตั้งฉากกับทิศทางการไหลของอากาศ) ซึ่งตามปกติจะมองไมเห็น ตองถาย ดวยวิธี ชเลียเรน (Schlieren photograph) ชวย สวนแนวเสนรางๆ ทีป่ รากฏเห็นถัดมา ทางซาย คือ มัคเวฟ (Mach wave) จะเกิดขึน้ ไดตองเปนการไหลของอากาศในยาน ซูเปอรโซนิกเทานั้น และมีวัตถุขนาดเล็กมาก ขวางหรือรบกวนการไหล คลายกับ ปรากฏการณ ในรูปที่ 6.6 C ถาสังเกตดูในรูป เรายังจะเห็นมีเสนมองเห็นรางๆ ที่พาด เฉียงเล็กๆ อีกเปนจํานวนมาก ซึ่งเสนเหลานี้ก็คือ มัคเวฟ ถาเปรียบกับน้ําที่กําลังไหลใน ลําราง เราคงเคยสังเกตเห็นวามีคลื่นเปนริ้วเล็กๆจํานวนมาก ทําแนวเฉียงกับทิศ ทางการไหลของน้ํา ถาความเร็วของน้ํามีมาก(คือไหลเร็วกวาความเร็วของคลื่นที่ผิวน้ํา) คลื่นเหลานีก้ ็จะเอียงมากตามไปดวยเพราะความเร็วของคลื่นไมสามารถเอาชนะ ความเร็วของน้ําได เปรียบไดกับ มัคเวฟ ที่เกิดขึ้นในอากาศ ซึ่งไหลในยานความเร็ว เหนือเสียง เมื่อคลื่นช็อคปรากฏขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงอยางมากกับอากาศที่ไหลผาน คลืน่ ช็อคนี้ ไมวาจะเปน ความเร็ว ความหนาแนน ความดัน อุณหภูมิ เหมือนกับวา เกิดการ อัดตัวของอากาศคอนขางมาก ดานหลังของคลืน่ ช็อค จึงสงผลใหคุณสมบัติของอากาศ เปลี่ยนไปอยางรวดเร็ว
126
บทที่ 6 พัฒนาการของเครื่องบิน
แบบฝกหัดบทที่ 6 6.1
จงบอกถึงความสําคัญ ของบุคคลตอไปนี้ ที่ไดมีการบันทึกไวในประวัติศาสตร การบินของโลก ก.) ชารล ลินเบิรก (Charles Lindbergh) ชาวอเมริกัน ข.) ฮูโก จังเกอร (Hugo Junkers) และ แอนโทนี ฟอกเกอร (Anthony Fokker) ค.) ชัค ยีเกอร (Chuck Yeager)
6.2
ยานของความเร็วของอากาศ เมื่อเทียบกับความเร็วเสียงในอากาศ แบงออกเปน กี่ยาน อะไรบาง
6.3
จงหาความเสียงในอากาศ ที่อุณหภูมิ 40 F และ 5 C
6.4
บทบาทขององคการ NACA มีอะไรบางที่ชวยในการพัฒนา เครื่องบิน ในยุค เริ่มตนของการบิน
6.5
จงใหความหมายของ คําตอไปนี้ ก.) การไหลไรการอัดตัว (Incompressible Flow) ข.) การไหลอัดตัวได (Compressible Flow)
6.6
คลื่นช็อค มองดวยตาเปลาไมเห็น ตองใชวิธีอะไรชวยจึงจะมองเห็น
ผนวก เครื่องบินพลังยาง ในหนังสือ สนุกกับอากาศยาน เลม 1 เราไดเคยทํา เครื่องรอนพุงดวยมือมาแลว ซึ่งบินไปไดดว ยการพุงออกไปในตอนแรกดวยความเร็ว เคลือ่ นตัวดวยแรงเฉื่อย และ คอยๆชาลงดวยแรงตานของอากาศที่กระทําตอเครื่องรอน แรงที่กระทําตอเครื่องรอนมี เพียงแรงยก น้ําหนัก และแรงตาน
รูปผนวก.1 เครื่องรอนในขณะกําลังเคลื่อนที่ไปขางหนา ดวยแรงเฉื่อย โดยปราศจาก แรงขับ ตอนนี้ เราจะใสแรงขับใหกับเครื่องรอนของเรา แรงขับนี้ไดจากใบพัดที่หมุนดวย ยางที่มีพลังงานสะสมอยูจํานวนหนึง่ โดยการนําเอาเครื่องรอน แบบที่เราเคยทําเลนกัน มาแลว นํามาดัดแปลงโดยการเพิ่ม ใบพัดและหนังยางที่ใชมดั สิ่งของทั่วไปชวยใหมีแรง ขับ ไปไดไกลขึ้น และบินไดสูงขึ้น
128
ผนวก เลม 2
รูปผนวก 2 เครื่องบินพลังยาง เมื่อประกอบเสร็จเรียบรอย
ผนวก เลม 2
129
รูปผนวก 3 ใสแรงขับใหกบั เครื่องรอน ดวยใบพัดหมุนพลังยาง
พื้นที่ปกหมายถึง พื้นที่ฉาย (Projected Area) เปรียบไดกับปก หรือเครือ่ งรอน ของเรา อยูก ลางแดด ในเวลาเที่ยงวัน เงาของปกที่ปรากฏบนพื้นปูนเรียบ ดังนัน้ พืน้ ที่ ฉาย จึงเทากับ ความยาวกางปก คูณดวย ความกวางของปก
130
ผนวก เลม 2
ตัวอยาง แนวทางในการเขียนแบบประกอบเครื่องรอนพุงดวยมือ สําหรับนักเรียน
ผนวก เลม 2
131
ประวัติเหตุการณ ดานการบิน และบุคคลที่เกี่ยวของ ในประเทศไทย เมื่อตนรัชกาลที่ 6 พ.ศ. ๒๔๕๔ ชาวตางประเทศ นําเครื่องบินใบพัด ปก 2 ชั้น “ออรวิวล ไรท”(Orville Wright, US) เขามาบินใหคนไทยไดเห็นเปนครั้งแรก ผูเ ฒาผูแกบางคนเห็นแลวตกใจ กลัว อุทานวา ”พวกนี่ชา งวิเศษเหลือเกิน เหาะเหินเดินอากาศไดเหมือนหนุมาน” ฝรั่งไดเชื้อเชิญให ทหารไทยทดลองโดยสารดูบาง ฝายไทยตกลงให พ.ต.หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ เปน ”เจาเวหาคนแรก” เปนผูทดลองกอน แลวทานก็กระโดดขึ้นไปนั่งคูกับคนขับดวยความเต็มใจ เครื่องบิน บินวนเวียนอยู สองสามรอบ แลวกลับสูสนามบิน รายงานผูบังคับบัญชาวา “เมื่ออยูในอากาศนัน้ ไมมีความรูสกึ อยางไร สบายเหมือนนั่งรถยนต “ ดวยเหตุนี้ คนอืน่ จึงกลาขึน้ บาง เสียคาโดยสารคนละ50 บาท (เปนการใหสมั ภาษณ ของ พ.ต.หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ นสพ.เดลิเมล ฉบับวันที่ 2 มี.ค. พ.ศ. 2496)
จอมพล สมเด็จพระเจาบรมวงศเธอ เจาฟากรมหลวงนครไชยศรีสุดเดช เสนาบดีกระทรวงกลาโหม ( พ.ศ. 2453-2456) จอมพลพระเจานองยาเธอกรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช เสด็จไปยุโรป ทรงเห็นความคึกคัก ในการแขงขันการบินในประเทศฝรั่งเศส เมื่อเสด็จกลับมา จึงกราบทูลใหพลเอกพระเจานองยาเธอ เจาฟากรมหลวงพิศณุโลกประชานารถ ถึงความจําเปนที่ กระทรวงกลาโหม.ควรตองมีกําลังทาง อากาศมาใช ทรงจัดตั้งหนวยบิน ใหพล.ท.พระเจานองยาเธอ กรมหมืน่ กําแพงเพชรอัครโยธิน จเร ทหารชาง จัดสงนายทหาร 3 คน เพื่อเตรียมตัวไปศึกษาวิชาการบินทีป่ ระเทศฝรั่งเศส
132
ผนวก เลม 2
จอมพลสมเด็จพระเจาบรมวงศเธอ เจาฟาจักรพงษภูวนาถ กรมหลวงพิศณุโลกประชานาถ เสนาธิการทหาร
พลเอก พระเจาบรมวงศเธอ กรมพระกําแพงเพชรอัครโยธิน จเรการชางทหารบก เสนบดีกระทรวงพาณิชยและคมนาคม
ผนวก เลม 2
133
ในเดือน มกราคม พ.ศ. 2454 กระทรวงกลาโหม มีคําสัง่ สง นายพันตรี หลวงศักดิ์ศลั ยาวุธ (สุนี สุวรรณประทีป) นายรอยเอก หลวงอาวุธสิขิกร (หลง สินศุข) และนายรอยโท ทิพย เกตุทัต ไป ศึกษาวิชาการบิน ณ ประเทศฝรั่งเศส 27มี.ค. 2454 พลเอกพระวรวงศเธอพระองคเจาบวรเดช อัครทูตพิเศษ ประจํากรุงปารีส มารับ จัดสงให เรียนภาษาฝรัง่ เศส กับครอบครัวชาวฝรั่งเศสเปนเวลาเดือนเศษ ตองตื่นตีสี่ ขึ้นรถแทกซี่ไป สนามบิน Villacoublay ซึ่งอยูหางจากปารีสประมาณ ๓๐ กิโลเมตร ระหวางไปถึงใหมๆ มี พระ ภาษาศรีรัตน เปนลามทัง้ ในกิจการสวนตัวและการฝกบิน พ.ต.หลวงศักดิ์ศัลยาวุธไดตอบแทนลาม ดวยการใหขึ้นบินเครื่อง Breguet ดวย และบรรยายวาเปนเครื่องปก ๒ ชั้น นัง่ ชองเดียวกับนักบิน ในที่โลง ลักษณะเครื่องบอบบางมีสายลวดนุงนัง ชาวฝรั่งเศสเรียกวา “Cage a Poule” แปลวา” กรงไก” เปนเครื่องบินที่ทนั สมัยที่สุดในขณะนั้น
พลอากาศโท พระยาเฉลิมอากาศ (นายพันตรี หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ สุณี สุวรรณประทีป)
134
ผนวก เลม 2
นาวาอากาศเอก พรยาเวหาสยานศิลปะสิทธิ์ ( นายรอยเอก หลวงอาวุธสิขิกร หลง สิน-ศุข)
นาวาอากาศเอก พระยาทะยานพิฆาต ( นายรอยโท ทิพย เกตุทัต ) นายทหารทัง้ ๓ คนรับการตรวจสภาพรางกาย วามีความสมบูรณพรอมสามารถบินได หลวงอาวุธสิขกิ ร และ ร.ท.ทิพยเกตุทัต บินที่ รร.การบินบริษัทนิเออปอรต (Nierport NG) สวน พ.ต.หลวงศักดิ์ ศัลยาวุธ เรียนบินอยางนักบินพลเรือนที่ Villacoublay พ.ต.หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ บินดวยเครื่อง Breguet III ปก ๒ ชั้นที่ Villacoublay Airport สวน หลวงอาวุธสิทธิกร และรท.ทิพย เกตุทัต บินเครื่อง Nierport NG ปกชัน้ เดียว ณ ตําบล มูร เมอรลองเลอกรังค (Mourmelon-le-Grand)
ผนวก เลม 2
พ.ต.หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ
135
สอบไลวิชาการบินไดตามหลักสูตรสโมสรการบินพลเรือนแหง
ฝรั่งเศส พ.ต.หลวงศักดิ์ศัลยาวุธ สอบวิชาการบินของกองทัพบกฝรั่งเศสสําเร็จตามหลักสูตร และ อีก ๒ นายสําเร็จในเดือนเดียวกัน พ.ต.หลวงอาวุธสิทธิกร สําเร็จวิชาวิชาการบินหลักสูตรของสโมสรการบินพลเมืองแหง ฝรั่งเศส ในป พ.ศ. 2456 ก.ค. 2456 กระทรวงกลาโหม ไดสั่งซื้อเครื่องบินจากฝรั่งเศส 8 เครื่อง 12-14 ก.ย. 2456 นายทหารทัง้ 3 คน เดินทางออกจากฝรั่งเศส ระหวางเดินทางกลับไดแวะดูงานเกี่ยวกับ กิจการบิน 14 ก.ย. พ.ศ. 2456 ไปดูโรงเรียนการบินทีก่ รุงเปโตร กราด นครหลวงของประเทศรัสเซีย ไปดูเครื่องบินและอากาศยานทีก่ ัตชินา24 ก.ย.พ.ศ. 2456 ไดไปดูการบินที่สนามบินคอรปปุสนี 2 พ.ย.2456 - ธ.ค. 2456 นายทหารทัง้ 3 คน เดินทางถึงกรุงเทพฯ พรอมเครื่องบินที่สั่งซื้อมาทัง้ 8 เครื่อง มาถึง กรุงเทพฯ ตอมาไดจัดตั้งแผนกการบินเปนหนวยขึ้นตรงตอกรมจเรการชางทหารบก มีสถานที่อยู ณ โรงเก็บ หลังโรงเรียนพลตํารวจ ปทุมวัน 29 ธ.ค. 2456 นายทหารนักบินทัง้ 3 คน แสดงทดลองบินครั้งแรก ที่สนามมา สระประทุม สําเร็จดวยดี 13 ม.ค. 2456 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาฯ เสด็จพระราชดําเนินมายังโรงเก็บเครื่องบิน นายทหารทัง้ สามคน บินถวายตัว ตนป เดือน ก.พ. 2457 พ.ท.พระเฉลิมอากาศ เปนหัวเรี่ยวหัวแรงสําคัญในการสถานที่อนั เหมาะสมสําหรับจะตั้ง เปนสนามบินถาวรตอไป เมื่อเห็นตําบลดอนเมืองเปนที่ดอน หนาน้าํ น้าํ ไมทว มเหมือนที่อนื่ ใชทํา จึงรายงานกระทรวงกลาโหม การบินไดตลอดป อยูไมไกลจากพระนครมากนักไปมาสะดวก จัดสรางสถานที่ และเริ่มสงคนไปประจํา 8 มี.ค. 2457 พ.ท.พระเฉลิมอากาศ พรอมนักบินที่สาํ เร็จจากฝรั่งเศสอีก 2 ทาน นําเครื่องบิน 3 ลํามา รอนลงเปนการเปดสนามบินดอนเมืองเปนครั้งแรก 23 มี.ค.2457
136
ผนวก เลม 2
พ.ท.พระเฉลิมอากาศ ออกขอบังคับเกี่ยวกับการบริหารกิจการของกองบิน แตมีผลบังคับ ใชตั้งแต เม.ย. พ.ศ. 2458 เปนตนไป 27 มี.ค.2457 ใหยกฐานะแผนกการบินขึน้ เปน กองบินทหารบก
งานการสรางเครื่องบิน ในครั้งนัน้ การสื่อสารยังไมทนั สมัย การสั่งซื้อและซอมเปนไปโดยยากลําบาก ใชเวลาแรม ป เปนอุปสรรคสําคัญ ไมทนั การณ จึงตั้งความพยายามไววา “เราตองสรางเครื่องบินของเราขึ้น ใชเองใหได” โดยมีการดําเนินการเปนขั้นๆ ดังนี้ -1.จัดหาเครื่องมือเกีย่ วกับชางไม และชางเหล็กมารวบรวมไว บางสวนสั่งซื้อเครื่องมือจาก ตางประเทศ -2. คัดเลือกบุคลากรนายสิบ และพลทหารประจําการที่มีความรูทางชางไม ชางเหล็ก และ ชางเครื่องยนตมาฝกใหเปนชางเครื่องบิน -3. การเสาะหาวัสดุที่มีอยูใ นประเทศเพือ่ นํามาประกอบเปนตัว เครื่องบิน โดยมีผลงาน คือ 21 ก.ย. 2457 - เปลี่ยนเครื่องยนตใหเครื่องบินเบรเกตใหม เมื่อทดลองบิน ปรากฎวาเครื่องตกลงมาเสียหายหมด เขาโรงซอมและทดลองขึน้ บินใหมไดสําเร็จในวันที1่ 4 ธ.ค. พ.ศ. 2457 จากการทดลองหลายครั้ง พบวาพรรณไมไทยหลายชนิดไดแก ไมปอทะเล ไมสนุน ไมยมหอม ไมโมกมัน มีคุณสมบัติทัดเทียม ไมตางประเทศ -น้ํามัน ”โนเวีย” ใชทาผาบุเครื่องบิน ตองสั่งซื้อจากฝรั่งเศส ถาซื้อมาทิ้งไวนานจะเสื่อมคุณภาพ จึง ทดลองหายางไมและวัสดุหลายอยางที่ไทยมีอยูแตไมไดผล พ.ท.พระเฉลิมอากาศสั่งใหพยามทํา ขึ้นใช ในป พ.ศ.2463 พ.อ.พระสารสาสนพลขันธ (เยรินี) พบวาเปลือกตนบง นํามาทําเปนน้าํ มัน ทาผาบุเครื่องบินแทนโนเวียได ซึ่งไดรับขนานนามวา “น้าํ มันวิทยาศาสตร” -การทําน้าํ ประสานเชื่อมอลูมิเนียมขึ้นใชเอง สมัยนัน้ การปะกอบเครื่องบินเปนไปดวยความลําบาก พ.ท.พระเฉลิมอากาศปรารภวา”เรา ตองคิดทําน้ําประสานเชื่อมอลูมเิ นียมขึ้นใชเองใหได” ตอมามี จานายสิบและ ชางศร เปนผูชวยใน การประดิษฐน้ําประสานขึน้ ใชในราชการ เมื่อทํางานดีจึงเสนอความดีความชอบแกจานายสิบและ ชางศรผูมีผลงานการประดิษฐให กระทรวงกลาโหมออกประกาศชมเชยและมอบรางวัลใหเปนเงิน 200 บาท ณ วันที่ 2 มี.ค. 2458 เชนนี้เปนทักษะการใชคนของทาน
ผนวก เลม 2
137
25 ก.พ. 2457 พ.ท.พระเฉลิมอากาศ ขับเครื่องบิน นิเออปอรต ที่คนไทยผลิตเอง ดวยวัสดุภายในประเทศ และดวยความภาคภูมิใจในฝมือคนไทย (เครื่องยนตเทานัน้ ที่ซื้อจากตางประเทศ) 24 พ.ค. 2458 สรางเครื่องบิน เบรเกต และนําทดลองบินเปนผลสําเร็จในระยะสูง 100 เมตร อยางคลองแคลว ดวยความตั้งใจ พยายามฟนฝาอุปสรรคมาตลอดของ พ.ท.พระเฉลิมอากาศ 19 มิ.ย. 2461 - 21ก.ย. 2462 พ.อ.พระเฉลิมอากาศ เปนผูบังคับการกองทหารอาสาไปพระราชการสงครามรวมรบในชวงของ สงครามโลก ครั้งที่ 1 ทําใหสยามทัดเทียมนานาประเทศหลายประการ 19 มี.ค. 2461 ยกฐานะกองบินทหารบกเปน กรมอากาศยานทหารบก พ.อ.พระเฉลิมอากาศ เปนเจากรมแบงสวน ราชการเปน 3 สวน คือ 1. กองบินทหารบก 2. โรงเรียนการบินทหารบก 3. โรงงานกรมอากาศยานทหารบก กองบินทหารบกเจริญขึ้น ขยายกิจการออกเปน กองบินใหญทหารบกที1่ (กองบินขับไล) กองบินใหญทหารบกที2่ (กองบินตรวจการณ) กองบินใหญทหารบกที3่ (กองบินทิง้ ระเบิด) 1 ธ.ค. 2464 กิจการกองบินกวางขวางมากกวาวงการทหารบก จึงใหตัดคําวาทหารบกออกทัง้ หมด 19เม.ย.2465 - กรมอากาศยาน จําแนกเปน 5 กอง คือ 1. กองโรงเรียนการบินเบื้องตน มีหนาที่ฝก บินใหนักบินชั้นปฐม มัธยมและชางเครื่อง ตั้งอยูท ี่ดอน เมือง เม.ย. 2484 กองนี้ไดยา ยไปอยูทจี่ ังหวัดนครราชสีมา รวมกับกองบินนอยที่ 3 จนทุกวันนี้ 2. กองโรงงานกรมอากาศยาน กลุมโรงงานทางทิศตะวันตก ของสนามบิน ซอมเครื่องตางประเทศ มาจนทุกวันนี1้ 2 เม.ย.2469 กองนี้แบงออกเปน 6 ฝูง.1,2,3 มีหนาที่ซอมสรางเครื่องบิน ตั้งอยูท ี่ กรุงเทพฯ สวนฝูง 4,5,6 ซอมเครื่องบินที่จังหวัดนครราชสีมา ประจวบคิรีขนั ธและจังหวัดลพบุรี ตามลําดับ ป 2472 กองนี้สามารถสรางเครื่องบินแบบบริพัตรไดเอง และบินไปอวดธงไทยยัง
138
ผนวก เลม 2
ประเทศอินเดีย เมื่อ 7 พ.ย.ปพ.ศ. 2473 กิจการงานซอมกวางขวางมากขึ้น จึงยายกองโรงงานการ ซอมไปอยูที่บางซื่อ ยกขึน้ เปนกรมชางอากาศมาจนทุกวันนี้ 3. กองบินใหญที่ 1 คือกองบินใหญทหารบกที1่ ตั้งอยูท ดี่ อนเมือง แต เมื่อ9 เม.ย. 2465 ไดยายไป อยูอาวมะนาว จังหวัดประจวบคิรีขันธ 16 ก.ย. 2468 ยายไปอยู ณ เขาพระบาทนอย ต.ธรณี จังหวัดลพบุรี และในวันที่ 15 เม.ย. 2478 กองบินฯนี้ไดยายไปอยูตําบลตาคลี จังหวัดนครสวรรค มาจนทุกวันนี้ 4. กองบินใหญที่ 2 มีหนาที่ตรวจการณ ทําแผนทีท่ างอากาศ ฝกถายรูปทางอากาศ ตั้งอยูท างฝง ตะวันตกของสนามบิน วันที่ 2 ก.พ. 2468 กองบินนี้ไดยายมาอยูฝ งตะวันออกของสนามบิน ซึ่ง กลายเปนกองบินนอยที่ 6 แตในป 2481 ไดยายไปอยูที่ เขาพระบาทนอย ต.โคกกระเทียม จังหวัด ลพบุรี มาจนถึงทุกวันนี้ 5. กองบินใหญที่ 3 อยูทตี่ ั้งดอนเมืองเปนกองบินทิ้งระเบิด ในป 2463 ไดยา ยไปอยูทจี่ ังหวัด นครราชสีมา หนวยงานทัง้ 5 กองนี้ เปนรากฐานสําคัญของกองทัพอากาศในปจจุบันที่ พล.อ.ท.พระยาเฉลิม อากาศไดกอตัง้ ไว 12 เม.ย. 2478 เปลี่ยน กรมอากาศยาน เปน กรมทหารอากาศ สังกัดทหารบก พ.ศ. 2479 แยกสังกัดจากทหารบก พระราชทานยศทหารเปลี่ยนสีเครื่องแบบเปนสีเทา 9 เม.ย. 2480 ยกฐานะกรมอากาศยานเปน กองทัพอากาศ
139
บรรณานุกรม ปราโมทย แตงหอม, อากาศยานและอากาศพลศาสตรพื้นฐาน