สนุกคิดกับวิทยาศาสตรอากาศยาน เลม 3
คํานํา หนังสือ สนุกคิดกับวิทยาศาสตรอากาศยาน มีทั้งหมด 3 เลม เลมนี้คอื เลม 3 เปนตอนตอจากเลม 2 เมื่อนักเรียน เรียนมาถึงตอนนี้กิจกรรมที่จะทําเปนการเลนเครื่อง บินเล็กมอเตอรไฟฟา บังคับดวยวิทยุ แนวทางในการทําเครื่องบินและวิธีเลนไดถูกจัดทํา เปนคูมือไวตางหากและบุคลากรที่เกีย่ วของในสวนของกิจกรรม จะเปนผูดาํ เนินการ เชนเดียวกับในเลม 2 ผมเขียนในสวนของหลักการ หรือทฤษฎีพื้นฐาน เนื้อหาใน เลมนี้ไดนําเอามาจาก หนังสือทีผ่ มเคยเขียนไวกอ นหนานี้ คือ หนังสือ อากาศยานและ อากาศพลศาสตรพื้นฐาน โดยนํามาประยุกต และดัดแปลง เพิ่มเติม ตัดออก บางสวน ตามความเหมาะสม เชน มีการ เขียนรูปเพิ่มขึ้น เพิม่ คําอธิบาย ฯ อยางไรก็ตาม คุณครูผูสอนมีสวนสําคัญ ที่ยังคงตองใหคําอธิบายประกอบกับ หนังสือ การใหนักเรียนไปอานเองคงเปนการยากที่จะทําความเขาใจได โดยไมตองรับ ฟงคําอธิบายเลย และคงเปนไปไมได ที่จะเขียนเพื่ออธิบายใหลึกลงไปในทุกแงทกุ มุม ดวยเหตุนี้จึงตองมีการบรรยายประกอบ เพือ่ เปดโอกาสใหไดมีการพูดคุยซักถาม บางครั้งผมทราบดีวาถาเราอธิบายอยางละเอียดพรอมยกตัวอยาง ในทุกเรื่อง จะชวยได ดีในระดับหนึ่ง แตแนนอนหนังสือจะหนามาก และทําใหไมอยากอาน ถาอธิบายยืดยาว เกินไปในทุกเรื่อง ดังนั้นผมจึงพยายามจะใหคําอธิบาย และตัวอยางเทาที่จาํ เปน แตละบทจะเนนไปในเรื่องของการบรรยาย เพื่อใหความรูในเรื่องของเครื่องบิน ที่ คาดวา นักเรียนจะจําได รู และเขาใจ มีเนื้อหาพอประมาณ ไมตองการใหมีมากจะทําให นักเรียนเบื่อ และความรูในหนังสือบางสวนอาจนําไปใชในการทดสอบความรูของ นักเรียน ในสวนของทฤษฏี และหลักการพื้นฐานเปนคะแนนประกอบ กิจกรรมการ แขงขันเครื่องบินเล็กบังคับวิทยุตามความเหมาะสม เสริมความเขาในหลักการ รวมกับ การไดเขาไปลองเลน ทํากิจกรรม หรือ เห็นสถานการณจริง ชวยใหการเรียนรูไมนาเบื่อ การตั้งคําถามกับนักเรียน ตามที่เห็นวาเหมาะสม ไมเฉพาะในแบบฝกหัดทายบท คุณครูตั้งคําถามขึ้นไดเอง จากหลักการในบทเรียน หรือจากสถานการณจริง ที่ตอบโดย อาศัยความเขาใจได สวนแบบฝกหัดทายบท มีไวชวยเสริมความเขาใจ
ข
อยางไรก็ตามการเขียนหนังสือชุดนี้ ผมมีความตั้งใจที่ตองการใหนักเรียนได พัฒนาวิธีคิดในการมองหาคําตอบจากสิ่งทั้งหลายรอบๆตัวเราอยางมีเหตุผล ซึ่งนําไป ใชเปนแนวทางการศึกษาตอในอนาคต ที่เปนสวนของความรูทางวิทยาศาสตร หรือใน ทางฟสิกส ไมเฉพาะกับเครื่องบินเทานัน้ แตถาตองมีสวนไปเกี่ยวของกับเรื่องของ เครื่องบินไมวาจะเปนการเรียน หรือการทํางานทางดานนี้ ก็จะยิ่งชวยสงเสริมคือเปน ฐานความรู และทําใหพดู คุย ในเรื่องของเครื่องบินไดอยางถูกตองเปนสากล ทานใด ที่ไดอานและพบสิ่งผิดพลาดในหนังสือเลมนี้ หรือมีขอ เสนอแนะ ผมจะ ยินดีมากถากรุณาแจงใหผมไดทราบ ปราโมทย แตงหอม มี.ค. 2557
ค
สารบัญ หนา คํานํา สารบัญ บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก 1.1 ทฤษฏีของแรงยก (Theory of Lift) 1.2 ความตอเนื่องเปนเนื้อเดียวกัน (Continuity) 1.3 ทอเวนจูริ (Venturi Tubes) 1.4 การทดลองอยางงายๆ เกี่ยวกับแรงเนื่องจากอากาศพลศาสตร 1.5 แพนอากาศ (Airfoils) หรือปกเครื่องบิน (Wings) ทําใหเกิดแรงยกไดอยางไร 1.6 ทําความเขาใจกับเสกลวัดความดัน 1.7 การเรียกชื่อสวนตางๆของแพนอากาศ (Airfoil Terminology) 1.8 แรงยกบนแพนอากาศแคมเบอร (Lift on Cambered Airfoils) 1.9 แพนอากาศสมมาตร และการหงายแพนอากาศ (Symmetrical and Inverted Airfoils) 1.10 การแจกแจงความดันบนผิวปก และโมเมนตกมเงย (Pressure distribution and Pitching moment) 1.11 การสะตอล (The Stall) แบบฝกหัดบทที่ 1 บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development) 2.1 รูปแบบแพนอากาศ (Airfoil Patterns) 2.2 แรงยกของปกเครื่องบิน และผลของการกางปก (Wing Lift and Span Effects) 2.3 ผลของการเคลื่อนที่ลง ของอากาศดานหลังปก (Downwash Effect)
ก ค 1 2 6 6 8 11 15 16 18 21 22 27 32 33 33 39 43
ง
2.4 แอสเปกเรโช (Aspect Ratio) 2.5 รูปรางของปก (เมื่อมองจากดานบน) ที่มีผลตอแรงยก (Spanwise Lift) 2.6 สัมประสิทธิ์แรงยก และขนาดของแรงยก (Lift Coefficient and Lift Quantity) 2.7 แฟลบ (Flaps) 2.8 อุปกรณอื่น ที่ใชในการควบคุมแรงยก (Other Devices for Controlling Lift) แบบฝกหัดบทที่ 2 บทที่ 3 แรงตาน (Drag) 3.1 แรงตานพาราไซท 3.2 แรงเสียดทานและอากาศในชั้นชิดผิว (Skin Friction and Boundary Layers) 3.3 ชั้นชิดผิวแบบ ลามินารและเทอบูเลนท (Laminar and Turbulent Boundary Layers) 3.4 ตัวเลขเรยโนลด (Reynolds Number 3.5 เวก และแรงตานความดัน (Wake and Pressure Drag) 3.6 สัมประสิทธิ์แรงตาน (Drag Coefficient) 3.7 แรงตานเหนี่ยวนํา (Induce Drag) 3.8 แรงตานรวม (Total Drag) 3.9 แบบอื่นๆของแรงตานพาราไซท (Special Types of Parasite Drag) 3.10 สรุปรวมแรงตานแตละแบบ 3.11 ผลกระทบจากการบินต่ําใกลพนื้ แบบฝกหัดบทที่ 3 บทที่ 4 แรงขับ 4.1 หลักพื้นฐานของการขับเคลื่อน (Principles of Propulsion) 4.2 เครื่องยนตลูกสูบ
45 47 53 57 64 68 69 69 71 74 78 78 82 87 93 95 98 98 101 103 104 119
จ
4.3 สมรรถนะของเครื่องยนตลูกสูบ (Reciprocating Engine Performance) 4.4 ซุปเปอรเทอรโบชารจเจอ (Superchargers) 4.5 สมรรถนะของเครื่องยนต เทอรโบพรอพ เทอรโบแฟนและเทอรโบเจ็ต (Turboprop Turbofan and Turbojet Performance) 4.6 การเปรียบเทียบสมรรถนะของเครื่องยนตเจ็ตแตละแบบ (Comparison of Powerplant Performance) แบบฝกหัดบทที่ 4 บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller) 5.1 ใบพัดทํางานอยางไร (How a Propeller Works) 5.2 คาพิทช และมุมพิทช (Pitch and Pitch Angle) 5.3 มุมปะทะของกลีบใบ (Blade Angle of Attack) 5.4 ประสิทธิภาพของใบพัด (Propeller Efficiency) 5.5 ใบพัดเครื่องบินความเร็วรอบคงที่ (Constant Speed Propeller) 5.6 คําศัพทที่ใชกับใบพัด (Propeller Terminology) 5.7 การใชงานใบพัดเครื่องบินโดยทัว่ ไป 5.8 สรุป แบบฝกหัดบทที่ 5 บทที่ 6 สมรรถนะ (Performance) 6.1 สมรรถนะในการบินระดับ (Level Flight Performance) 6.2 การบินขึ้น (Takeoff) 6.3 การบินลง (Landing) 6.4 ทาทางการบิน (Maneuvering) แบบฝกหัดบทที่ 6 บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2 (Aerodynamic Testing 2) 7.1 หาคาของแรงและโมเมนต (Force Test)
124 129 132 134 138 139 140 143 145 151 156 156 159 165 167 169 169 176 179 183 186 189 189
ฉ
7.2 ทอปโตสะแตติก (Pitot-static Tube) 7.3 หาคาความดัน (Pressure Test) 7.4 รูปแบบของการไหล (Flow Patterns) 7.5 อุโมงคลมความเร็วสูง (High-speed Wind Tunnels) 7.6 ปญหาที่เกิดขึ้นกับการทดสอบในอุโมงคลม (Wind tunnel testing problem) 7.7 การทดสอบดวยการบินจริง (Flight Testing) แบบฝกหัดบทที่ 7 บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม 8.1 การกําจัดแรงตาน (Drag Cleanup) 8.2 คานาด (Canards) 8.3 ปกบิน (Flying Wing) 8.4 อุปกรณที่สงผลตอ แอสเปกเรโช (Effective Aspect Ratio Devices) 8.5 ปกลู (Swept Wings) 8.6 การแผนแบบแพนอากาศยุคใหม (Modern Airfoil Design) 8.7 การแผนแบบใหมๆในรายละเอียด (Newer Design Details) 8.8 จะเปนอยางไรตอไปในอนาคต (What Next?) 8.9 แนวความคิดเรื่องอากาศยานในอนาคต (Aircraft concepts) แบบฝกหัดบทที่ 8 ผนวก 1. วินดเชียรในระดับต่ําใกลพื้น 2. แพนอากาศและ สัมประสิทธิ์แรงตานของรูปทรงมาตรฐาน 3. รูปแสดงทาทางการบินที่ควรทราบ 4. การเรียกชื่อสวนตางๆของเครื่องบิน 5. ความเร็วเสียงกับปรากฏการณ คลื่นช็อค และผลตอความดังของเสียง
192 196 199 183 207 209 215 217 217 221 225 227 235 238 242 242 254 259 261 261 268 269 270 271
ช
6. การสังเกต และประมาณคาความเร็วลม 8. การเปลี่ยนหนวย 9. คุณสมบัติของอากาศ ตามระดับความสูง 10. เงื่อนไขของเหตุการณที่ควรทราบ 11. แรงตานเหนี่ยวนําอันเปนผลมาจาก Downwash 12. ความสัมพันธ ระหวาง ความเร็ว ที่มีหนวย นอต กับ กิโลเมตร/ชั่วโมง 13. แนวทางการเขียนแบบ เครื่องบินบังคับวิทยุ ประกอบการแขงขัน บรรณานุกรม
272 274 275 276 278 279 280 282
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก แรงยก คุณสมบัติที่เปนเอกลักษณของอากาศยาน ซึ่งตางไปจากคุณสมบัติของ ยานพาหนะอื่น ความสามารถที่ลอยขึ้นสูอากาศดวยแรงที่ตองมากกวาหรือเทากับ น้ําหนักของยาน แรงโนมถวงของโลกมีผลตอวัตถุทุกชนิด บนพื้นโลกที่เรามักจะเรียกวา แรงดึงดูด ทําใหวัตถุทั้งหลายมีน้ําหนักจะมากนอย ขึ้นอยูกับปริมาณของเนื้อมวลวัตถุ นั้นๆ แรงที่ทาํ ใหอากาศยานลอยขึ้นไปได ในอากาศเรียกวา “แรงยก (Lift)” ในกรณีการ ลอยตัวเนื่องจากแรงยกของบอลลูน หรือลูกโปงนั้นเปนผลมาจากความแตกตางของ ความดันระหวางพื้นผิวดานบนและพื้นผิวดานลางของบอลลูน ความหนาแนนเฉลี่ยของ อากาศที่บรรจุภายใน กับตัวบอลลูน นอยกวาความหนาแนนของอากาศโดยรอบ หรือ กลาวไดวาเบากวาอากาศเมื่อปริมาตรเทากันนั่นเอง จึงไดมแี รงสุทธิในทิศทางตรงขาม กับน้ําหนักคือแรงยกเกิดขึ้นมีคามากกวาน้ําหนัก จึงทําใหลอยได
รูปที่ 1.1 การบินในแนวระดับ แรงยก และน้ําหนักตองเทากัน
2
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
แตอากาศยานนั้นมีความหนาแนนเฉลี่ยมากกวาอากาศโดยรอบ ดังนั้นแรง ลอยตัวจึงไมมากพอที่ จะทําใหอากาศยานลอยขึน้ ได จึงจําเปนตองอาศัยปกเปนสวน สําคัญ ในการทําใหเกิดแรงยกซึ่งแรงยกนี้จะเกิดขึ้นไดก็ตอเมื่อมีกระแสอากาศไหลผาน หรือปกเคลื่อนที่ผานไปในอากาศ ซึ่งเปนปรากฏการณเดียวกันเพียงแตวา ผูส ังเกต อยู บนเครื่องบินหรืออยูบนพื้น ในกรณีที่อากาศยานบินในแนวระดับ แรงยกบนปกจะสมดุล พอดีกับน้ําหนัก ดูรูปที่ 1.1 แรงทางอากาศพลศาสตร (แรงอันเปนผลเนือ่ งมาจากการ เคลื่อนที่ของอากาศผานปก) มีความสลับซับซอนมากกวาแรงกระทําของอากาศที่เกิด ขึ้นกับบอลลูน การทําความเขาใจกับแรงยกที่เกิดขึ้นบนปก ตองเริ่มตนดวยการทําความ เขาใจกับหลักการหรือทฤษฎีพื้นฐานทีเ่ กี่ยวของกอน
1.1 ทฤษฎีของแรงยก (Theory of Lift) กอนอื่นตองมาทําความรูจักกับ ความดันอากาศ หรือความกดอากาศที่เรามักได ยินบอย เปนแรงกระทําของอากาศที่กระทําตอผิวของวัตถุที่สัมผัสกับอากาศนั้น ซึ่ง ลักษณะของแรงเนื่องจากความดันดังกลาว จะกระทําตั้งฉากและกดเขาหาผิวของวัตถุ ดังในรูปที่ 1.2 ถาเราพิจารณาดูเฉพาะอากาศที่ถูกบรรจุอยูในภาชนะ และใชรูปลูกศร แทนแรงเนื่องจากความดันของอากาศภายในภาชนะนี้ จะมีลักษณะดังในรูป แตใน ตอนนี้ นักเรียนเพียงแตคิดวา เปนแรงของอากาศที่มากระทําตอผิววัตถุก็ได
รูปที่ 1.2 ความดันสถิตหรือ ความดันสะแตติกในมวลอากาศนิ่งกระทําตอพื้นผิวที่อากาศสัมผัส
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
3
มีสมการทางคณิตศาสตร ที่นิยมนํามาใชเพื่อพิจารณาคุณสมบัติบางอยางใน ธรรมชาติของ ของไหล(Fluid) อยางเชน น้ําหรืออากาศ เรียกวา “สมการของ เบอนูล”ิ (Bernoulli’s equation) สมการนี้ไดตั้งชื่อตามผูที่ไดคิดขึ้นมาเปนคนแรก คือ แดเนียล เบอนูลิ (Daniel Bernoulli) เปนนักคณิตศาสตรชาวสวิส ไดสรางสมการทางคณิต ศาสตรที่แสดงความสัมพันธของคุณสมบัติของ ของไหลในขณะที่มีการไหล ขึ้นมา และ สามารถนํามาใชอธิบายปรากฏการณการไหลของอากาศได นี่คือสวนสําคัญที่จะชวย ทําใหเราไดเขาใจสาเหตุของ การเกิดแรงยกบนปกเครื่องบิน เบอนูลิ ไมเคยรูจักเครื่องบิน เขาไดจากโลกนี้ไปเมื่อ ป ค.ศ. 1782 กอนที่พี่นอง ตระกูล มองโกฟเออร ไดทดลองใชบอลลูนอากาศรอน ลอยไปในอากาศเปนครั้งแรก แนนอนในชวงเวลานั้น เบอนูลิ ไดทํางานในการพิจารณาความเปนไปหรือคุณสมบัติ ของของไหลในทางกายภาพโดยไมไดเกี่ยวของกับอากาศยานเลย นักวิทยาศาสตรทาน นี้ไดพยายามอธิบายความเปนไปในธรรมชาติของ ของไหลหรืออากาศ (ในหนังสือเลมนี้ ถากลาวถึงการไหลหรือความเร็วจะมุงไปที่อากาศ) โดยใชสมการทางคณิตศาสตร อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงของความดัน เนื่องจากความเร็วของมวลอากาศ สมการทางคณิตศาสตรของ เบอนูลิ ในกรณีที่ใชกับอากาศเปนดังนี้ p
1 V 2 2
คาคงที่(Constant)
(1.1)
เมื่อ p
คือ ความดันของอากาศ เปนแรงทีก่ ระทําตอหนึ่งหนวยพื้นที่ เปนตัวอักษรกรีก อานวา“โรล” คือ ความหนาแนนของอากาศ(Air density) เชนอากาศปกติที่ระดับน้าํ ทะเล มีคาประมาณ 1.2 kg m (กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตร) หรือ ความหนาแนน ของน้ํา มีคาเทากับ 1000 kg m คือ ความเร็วของกระแสอากาศ (ขอเนน ความเร็วของอากาศไมใชความเร็ววัตถุ) 3
3
V
4
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
เพื่อใหสามารถทําความเขาใจใน จากสมการ (1.1) ไดงายขึ้น ดูรูปดานลาง ดังนี้
เทอมของ p (ยอมาจาก pressure) เราเรียกวา“ความดันสถิต หรือ สะแตติกเพรสเชอร (Static Pressure)” คือ ความดันซึ่งมีอยูเปนปกติในมวลอากาศไมวาจะเคลื่อนที่ หรือหยุดนิง่ และ โดยทั่วไปถาพูดวา“ความดัน” (Pressure เฉยๆ ไมมีตอทาย) หรือเรียกทับศัพท วา “เพรสเชอร” จะหมายถึงความดันสถิต ความดันนี้ ก็ยังปรากฏอยู เชน ในถัง บรรจุกาซ อยางในรูปที่ 1.2 ในยางรถยนต หรือ อากาศที่ลอมรอบตัวเรา สามารถวัดไดโดยตรงจากเครื่องวัด
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
เทอมของ
1 V 2 2
(เขียนในรูปสมการ ไดความสัมพันธดังนี้
5
1 V 2 ptotal p ) 2
เราเรียกวา “ความดันพลวัต หรือ ไดนามิกเพรสเชอร (Dynamic Pressure)” คือ ความดัน เนื่องมาจาก ความเร็วของกระแสอากาศ (นิยมเขียนดวย q ) ความดันพลวัตนี้ สามารถหาไดจาก ผลตางระหวาง ความดันรวม กับความดัน สถิต จะมากหรือนอยขึ้นอยูกับความเร็วของอากาศ สวนของ p ความดันรวม(Total pressure) หรือเรียกวา "ความดันเบ็ดเสร็จ" เปนผลรวมของ ความดันสถิต กับความดันพลวัต สามารถวัดไดโดยตรงจากเครื่องวัด total
เขียนสมการ (1.1) ใหม ดังนี้ ความดันสถิต + ความดันพลวัต= ความดันรวม (Total Pressure) = คาคงที่
รูปที่ 1.3 แสดงการเปลีย่ นแปลงของความดันสถิตหรือความดันสะแตติก เมื่อความเร็วเปลี่ยน
นี่คือความสัมพันธระหวางความดันสองประเภท ถาคิดดูงายๆคือเมื่อ คาหนึ่ง เพิ่มขึ้น อีกคาหนึ่งจะตองลดลง หรือคิดไดอีกอยางหนึ่งคือ เมื่อความเร็วของอากาศ เพิ่มขึ้น ความดันสะแตติก ก็จะตองลดลง ปรากฏการณนี้เปนธรรมชาติของอากาศหรือ ของไหล ในสมการของเบอนูลิ ไมไดอธิบายถึง ความเร็วอากาศวา ทําไมอากาศจึง เคลื่อนทีเ่ ร็วขึ้นหรือชาลง เพียงแตบอกถึงความสัมพันธระหวางความดัน กับความเร็ว ของอากาศ
6
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
1.2 ความตอเนื่องเปนเนื้อเดียวกัน (Continuity) การที่จะอธิบายสาเหตุของการเปลี่ยนแปลง ความเร็วของอากาศ เราจําเปนตอง รูถึงกฎพื้นฐานทางวิทยาศาสตร ที่สาํ คัญเรียกวา “กฎแหงความตอเนื่อง (Law of Continuity)” หรือเปนที่รูกันในวิชากลศาสตรของไหลคือ สมการแหงความตอเนื่อง (continuity equation) ซึ่งตั้งอยูบนพื้นฐานของ กฎแหงความคงปริมาณ (Conservation of Matter) คือ ปริมาณของสิ่งทั้งหลายเชน มวลจะทําใหเพิ่มขึ้นหรือ ลดลงไมได แตเปลี่ยนแปลงรูปและสถานที่ได นั่นคืออากาศหรือของไหลมีคุณสมบัติ แหงความตอเนื่องเปนเนื้อเดียว ในขณะเคลื่อนที่จะไมมีชองวางเปนโพรงในเนื้อของ อากาศ ไหลตามกันไปอยางตอเนื่องไมขาดชวง ลองนึกภาพการไหลของน้ํา ในรองน้ํา หรือลําธารบางสวนแคบ บางสวนกวาง น้ําจะไหลอยางตอเนือ่ งไมขาดชวง สวนที่แคบ ไหลเร็วในสวนกวางไหลชาเพื่อคงความตอเนื่องไว เขียนอยูในรูปความสัมพันธทาง คณิตศาสตรไดดังนี้ A V คาคงที่ (1.2) คือ ความหนาแนนของอากาศ A คือ พื้นที่หนาตัดของชองที่อากาศไหลผาน V คือ ความเร็วของอากาศ (ที่ตั้งฉากกับพื้นที่ A ) ในกรณีที่ ความเร็วของอากาศไมสูงมาก ความหนาแนนของอากาศ ดังนั้น สมการ(1.2) จึงเขียนไดใหมดังนี้ A V คาคงที่
ถือไดวาคงที่
(1.3)
1.3 ทอเวนจูริ (Venturi Tubes) ทฤษฎีพื้นฐานในเรื่องความเร็วของการไหลของอากาศ อธิบายอยาง งายๆ ดวย ทอเวนจูร(ิ Venturi tube) เปนทอที่มี พื้นทีห่ นาตัดเล็กลงอยูส ว นหนึ่ง เรียกวา “คอคอด (Throat)” ดังในรูปที่ 1.4 จะเปนการกํากับการไหลของอากาศ จากชองที่พื้นที่หนาตัด ใหญกวา (สมมุติวาเปนพื้นที่ A มีคาเทากับ 3 หนวย) ไปสูส วนที่เล็กกวา (พื้นที่ B มีคา เทากับ 2 หนวย) คือ ตรงสวนทีเ่ ปน คอคอด ซึ่งแคบหรือเล็กกวา ดังนั้นถาความเร็วตรง
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
7
พื้นที่ A คือ V 1 หนวย ความเร็วตรงพื้นที่ B คือ V 1.5 หนวย (จะเห็นวาเร็วกวา บริเวณพื้นที่ A) ดังในสมการตอไปนี้ (พื้นที่ A) (ความเร็ว V ) = (พื้นที่ B) (ความเร็ว V ) = คาคงที่ 1 = 2 1.5 = 3 3 A
B
A
B
รูปที่ 1.4 การไหลของอากาศในทอเวนจูริ (Venturi tube) มีพนื้ ทีห่ นาตัดเล็กลง
รูปที่ 1.5 ทอเวนจูริบริเวณพืน้ ที่แคบ ความเร็วสูง ความดันอากาศลดลง ทําใหมีการดูดของอากาศ
สมการความตอเนื่องบอกเราวา พื้นที่(หนาตัด ตั้งฉากกับทิศทางการไหล) ยิ่ง ใหญความเร็วยิ่งนอย พื้นที่ยิ่งเล็กความเร็วยิ่งมาก ปรากฏการณ ในทอเวนจูริบริเวณคอ คอด มีความดันอากาศต่ํากวาถาเราตอทอเขากับบริเวณนี้จะทําใหอากาศที่มีความดัน สูงกวาไหลเขามา รูปที่ 1.5 เรียกไดวา เปนการดูดอากาศ (Suction) หรือ เรียกวา “กึ่ง
8
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
สุญญากาศ” เชนในคารบูเรเตอรของเครื่องยนตมีลักษณะเปนทอเวนจูริ รูปที่ 1.6 เมื่อมี การไหลของอากาศผานทอเวนจูริ ก็มีการดูดน้ํามันในหองลูกลอย มาผสมกับอากาศที่ ไหลผานคอคอด ในเหตุการณ ดังกลาวนี้เราใช หลักในการอธิบายอยู สองหลักการ คือ หนึ่ง สมการความตอเนื่อง บอกวาบริเวณ พื้นที่แคบกวามีความเร็วสูงกวา และ สอง สม การเบอนูลิ บอกวาเมื่อ ความเร็วอากาศสูงขึ้น ความดันอากาศจะลดลง ปรากฏการณเชนนี้ถูกนําไปใชใน อุปกรณเครื่องใชหลายอยาง เชน คารบเู รเตอร ของเครื่องยนต เครื่องพนสี ที่ฉีดพนน้ําหอมสมัยกอนที่ใชมือบีบลูกยาง
รูปที่ 1.6 คารบูเรเตอร และที่ฉีดน้าํ หอม ไดนําเอาหลักการของเบอนูลมิ าใช
1.4 การทดลองอยางงายๆ เกี่ยวกับแรงเนื่องจากอากาศพลศาสตร เพื่อชวยใหนกั เรียนได เขาใจธรรมชาติอันเปนผลเนื่องมาจากความแตกตาง ของ ความดันอากาศรอบๆตัวเรา ซึ่งเปนผลมาจาก ความเร็วของอากาศ ตามความสัมพันธ ในสมการของ เบอนูลิ ตอไปนี้เปนการทดลองอยางงายๆ ดังนี้ 1.การทดลองโดยใชหลอดดาย กระดาษแข็งและเข็มหมุด ตัดกระดาษแข็งให เปนรูปวงกลมโตกวาหลอดดายพอประมาณ ดูจากรูปที่ 1.7 ประกอบ ใชเข็มหมุดปกเขา ไปตรงกลางของกระดาษ เอามือจับกระดาษที่มีเข็มหมุดปกอยูตรงกลางหงายขึ้น วาง ประกบเขากับหลอดดาย ซึ่งตั้งอยูในแนวดิ่ง ใชปากเปาลมผานรูตรงกลางของหลอด ดาย ปลอยมือออกจากกระดาษ จะพบวาแทนทีแ่ ผนกระดาษจะปลิวออกไป กลับติดอยู กับสวนลางของหลอดดาย เมื่อเราหยุดเปาลม แผนกระดาษจะรวงตกลงไป แรงที่ทําให แผนกระดาษลอยติดอยูกับหลอดดายในขณะที่เปาลม คือแรงที่กระทําตอกระดาษใน
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
9
ทิศทางขึ้น เนื่องจากความดันของอากาศดานบนของกระดาษ นอยกวาความดันของ อากาศดานลาง อากาศดานบนมีความเร็วมากกวา ความดันจึงนอยกวาดานลางที่ อากาศหยุดนิ่ง ซึ่งมีความดันเทากับความดันบรรยากาศ
รูปที่ 1.7 การทดลองโดยใชหลอดดายและกระดาษ ในขณะที่มีอากาศไหลผานทําใหมีแรงพยุงขึน้
รูปที่ 1.8 การทดลองโดยการเปาลมไปบนแผนกระดาษบาง ทําใหความดันลดลง
2.การทดลองโดยใชกระดาษ สี่เหลี่ยมผืนผา ฉีกหรือตัดกระดาษเปนรูป สี่เหลี่ยมผืนผา ดูรูปที่ 1.8 ถือไวในมือดังในรูป เปาลมผานดานบนของกระดาษ จะเห็น วากระดาษยกตัวขึ้นเนื่องจากวาความดันของอากาศดานบนลดต่ําลง เพราะมีความเร็ว ของอากาศ จึงทําใหอากาศดานลางซึ่งไมมีความเร็ว มีความดันบรรยากาศซึ่งสูงกวา ผลักกระดาษใหลอยขึ้นมา
10
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
3.การทดลองโดยใชลูกปงปองสองลูกแขวนไวใกลๆกัน รูปที่ 1.9 เปาลมผานเขา ไประหวางลูกปงปองทั้งสอง จะเห็นวามีแรงมากระทําใหลูกปงปอง เอนเขาหากันคือ บริเวณที่อากาศมีความดันลดต่ําลงเนื่องจากความเร็วของอากาศที่อยูระหวางลูก ปงปอง ทัง้ สอง ความแตกตางของความดันทําใหเกิดแรงผลักจากดานนอกของลูก ปงปอง ทําใหลูกปงปองเอนเขาหากัน ซึ่งเปนปรากฏการณทางอากาศพลศาสตรที่แสดง วา ความเร็ว (ของอากาศ) ยิ่งสูงความดันของอากาศยิ่งต่ําเชนเดียวกับ สองการทดลอง แรก ถาหากวาเรามีที่เปาลมจากถังอัดอากาศสามารถทําการทดลองในลักษณะเดียว กันนี้ไดสะดวกและงายกวามากดังในรูปที่ 1.10 โดยเปาในทิศทางลง
รูปที่ 1.9 เมื่อเปาอากาศผานไประหวางลูกปงปอง ทําใหความดันลดลง
ยังมีเหตุการณอื่นๆ อีกมากในธรรมชาติ ที่แสดงใหเห็นถึงหลักการของ เบอรนูลิ ในเรื่องของความดันอากาศที่มีการเพิ่มขึ้น และลดลงไดโดยสัมพันธกบั ความเร็วของ อากาศ เชน รถยนตและรถบรรทุกขนาดใหญที่กําลังวิ่งคูขนานกัน แรงทางอากาศ พลศาสตร เนื่องจากความแตกตางของความดัน ซึ่งเปนผลมาจากความเร็วของอากาศ ที่ไหลผานชองที่แคบกวา ความเร็วของอากาศสูงกวา ทําใหความดันอากาศลดลง สงผล ใหเกิดแรงพยายามผลักรถทั้งสองเขาหากัน ดังในรูปที่ 1.11 ความเร็ว V มากขึ้นเนื่อง จากเปนชองแคบ ความดัน P จึงนอยกวาความดัน P 2
i
0
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
11
รูปที่1.10 ใชทเี่ ปาลมจากถังอัดอากาศ เพือ่ ทดลองใหเห็นถึงแรงทางอากาศพลศาสตร
รูปที่ 1.11 ปรากฏการณที่ มีแรงพยายามผลักรถทัง้ สองเขาหากันสามารถอธิบายไดโดยใชกฎของ เบอนูลิ
1.5 แพนอากาศ (Airfoils) หรือปกเครื่องบิน (Wings) ทําใหเกิดแรงยกไดอยางไร เมื่อพูดถึงเครื่องบิน สิ่งทีจ่ ะตองกลาวถึงเปนเรื่องแรกคือ แรงยก ในตอนแรกจะ เปนการพิจารณาการไหลของอากาศ ผานแพนอากาศ (คําวาแพนอากาศหมายถึงสิ่งที่ มีลักษณะแบนยาว รูปรางของภาคตัดขวางมีลักษณะแตกตางกันออกไป ไมบรรทัด ก็ ถือไดวาเปนแพนอากาศแบบหนึ่ง ถานําไปประกอบกับลําตัวเครื่องบินจะเรียกวาปก) โดยที่การไหลของอากาศจะอยูในระนาบตัดขวางของปก เรียกวาการ “ไหลแบบสองมิต”ิ (Two-Dimension เปนการไหลที่อยูในระนาบ เชนแผนกระดาษเรียบ) ดูรูปที่ 1.12
12
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
รูปที่ 1.12 แสดงปกเครื่องบิน ภาคตัดขวางของปก และชื่อเรียก
พิจารณาแพนอากาศที่มีหนาตัดแบบเดียวกันตลอด มีความยาวมากโดยแนว ของความยาวตั้งฉากกับทิศทางการไหลของกระแสอากาศ ดูรูปที่ 1.13 ประกอบ มี ระนาบตัดขวางอยูในแนวเดียว กับการไหลของอากาศ เปนการพิจารณาการไหลของ อากาศแบบ สอง-มิติ (Two-dimension Flow) เมื่อเรานึกภาพ อากาศนิ่ง และมีปก เครื่องบินเคลื่อนที่ผาน หรือปกเครื่องบินหยุดนิ่ง และอากาศไหลผาน ทั้งสองอยางนี้ถอื วาเปนปรากฏการณเดียวกัน ขึ้นอยูก ับผูสังเกต ในอุโมงคลม (จะกลาวในรายละเอียด ตอไป) ปกที่นํามาพิจารณาจะถูกตรึงอยูนิ่งใหอากาศไหลผาน แตสําหรับเครื่องบิน ปก จะเคลื่อนทีผ่ านอากาศ (คนที่โดยสารเครื่องบินจะเห็นวาปกหยุดนิ่งอากาศไหลผาน) อากาศที่กําลังไหลแบบ ยูนิฟอรม (Uniform Flow ดูความหมายของคํานี้ ใน ผนวก) คือมี ทิศทางการไหลและความเร็วเปนอยางเดียวกันทุกจุด ผานปก จากรูปที่ 1.13 จะเห็นวาดานบนของปกมีสวนโคงกวาดานลางเปนเหตุใหอากาศดานบนถูกบีบให ชองทางวิ่งแคบลง ในขณะที่ดานลางมีสวนโคงนอยกวาหรือแทบไมโคงเลย ผลกระทบ ตอการไหลของอากาศดานลางทีจ่ ะบีบใหชองทางแคบลง จึงมีผลนอยกวาหรือแทบไมมี
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
13
คือชองทางการไหลของอากาศดานลางปก กวางกวา ดานบน ตามหลักของสมการ ความตอเนื่อง ที่วาพืน้ ที่ในการไหลแคบกวาความเร็วจะสูงกวา ดวยเหตุดังกลาว อากาศดานบนของปกจึงเคลื่อนที่ เร็วกวาอากาศดานลาง
รูปที่ 1.13 พิจารณาการไหลของกระแสอากาศผานปกเครื่องบินบนระนาบตัดขวาง x-y ซึ่งตั้งฉาก กับปก
รูปที่ 1.14 ปกเครื่องบินสงผลตอการไหลของอากาศดานบนใหเร็วขึ้น
14
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
ตามกฎของ เบอนูลิ บอกวา ความเร็วสูงกวาความดันของอากาศยอมตองนอย กวา ดังนั้นความดันอากาศที่กระทําตอผิวปกดานบนจึงมีนอ ยกวาดานลาง แรงลัพธที่ กระทําตอผิวของปกดานลางจึงมากกวาดานบน ดังนั้น แรงสุทธิ ที่กระทําตอปกจึง พยายามยกปกขึ้น นี่คือที่มาของแรงยกซึ่ง เกิดขึน้ เนื่องจากแรงทางอากาศพลศาสตร ที่ กระทําตอปกเครื่องบิน
รูปที่ 1.15 การแจกแจงความดันบนผิวปกเครื่องบินและตําแหนงของแรงลัพธ สังเกตทิศทาง(พุงเขา-ออก)และขนาดของลูกศรในแตละตําแหนง
คาของความดันอากาศดานบนของผิวปกเครื่องบิน ในขณะกําลังบินจะมีคาต่ํา กวาความดันบรรยากาศที่อยูในบริเวณนั้น เราสามารถแจกแจงหรือแสดงความดันบน ผิวปกได เพือ่ แสดงใหเห็นถึงขนาดของความดัน ที่กระทําในแตละตําแหนง ดวยขนาด ความยาวของลูกศร ถาความดันต่ํากวาความดันบรรยากาศมักจะเรียกวา “กึ่งสุญญา กาศ (Semi vacuum)” มีลักษณะคลายๆแรงดูด (Suction) เชนเดียวกับ ในหลอดดูด กาแฟในขณะที่กําลังดูด ความดันอากาศภายในหลอดต่ํากวา ความดันบรรยากาศ ลูกศรที่แสดงความดันต่ํากวาบรรยากาศ (เรียกวาความดันเปนลบ) มีทศิ ทาง พุงออก จากพื้นผิว ถาความดันมากกวาความดันบรรยากาศ (เรียกวาความดันเปนบวก) ลูกศร พุงเขา หาพืน้ ผิว เพื่อใหสอดคลองกับลักษณะการกระทําของแรง ดังรูปที่ 1.15
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
15
1.6 ทําความเขาใจกับสเกลวัดความดันอากาศ ความดันของอากาศหรือกาซที่บรรจุอยูในถังมีคามากเทาไร เรารูไดจากอุปกรณ วัดความดันซึ่งมีหลายลักษณะ ที่เห็นบอยคือ เกจวัดความดัน (Pressure Gauge) หนาปดกลม มีเข็มชี้บอกคาความดันเปนตัวเลขเชน เกจวัดความดันลมในลอรถ เกจวดั ความดันซึ่งติดตั้งอยูกับถังกาซ หรือถังอัดอากาศ ในกรณีที่ยางรถแบนเนื่องจากอากาศ รั่วออกไปหมด หรือในถังลม เข็มของเกจวัดความดัน ชี้ทเ่ี ลขศูนย นั่นแสดงวา อากาศใน ถังมีความดันเทากับความดันบรรยากาศ แตเครื่องวัดความดัน บอกวาเทากับศูนย ทั้งที่ ในยางรถหรือในถังยังมีอากาศอยู มีความดันเทากับบรรยากาศ เนื่องจากสเกลวัดความ ดันที่ใชอยูโดยทั่วไปกับที่เก็บอากาศ เปนสเกลของความดันเกจ (Gauge Pressure) เปนคาสัมพัทธกับความดันบรรยากาศ สวนสเกลที่ใชวัดความดันจริงๆนั้นเราเรียกวา “ความดันสัมบูรณ (Absolute Pressure)” ในถังที่ถูกดูดอากาศบางสวนออก เมื่อเราเปดฝาถัง ลมก็จะไหลเขาไป เพราะมีความดันในถังนอยกวาบรรยากาศ ลักษณะเชนนีเ้ รียกวา“กึ่งสุญญากาศ (Semi vacuum)”ความดันเกจเปนลบ แตความดันสัมบูรณไมมีติดลบ การแสดงทิศทางของลูกศรในการแจกแจงความดันบนผิวของปก ก็คลายกันคือ ทิศทางลูกศรพุงเขาหาผิวปกแสดงวา ความดันเปนบวก(มากกวาความดันบรรยากาศ) ถาลูกศรพุงออกจากผิวปกแสดงวาความดันเปนลบ(นอยกวาความดันบรรยากาศ) ดูรูป ความสัมพันธระหวางความดันเกจและ ความดันสัมบูรณในรูปที่ 1.16 ประกอบ ยก ตัวอยางเชน เราวัดความดันลมยางรถได 30 ปอนดตอตารางนิ้ว คาที่วดั ไดนี้เปนความ ดันเกจ ถาวัดในสเกลความดันสัมบูรณ จะได 45 ปอนดตอตารางนิ้ว โดยถือวาความดัน บรรยากาศที่ระดับน้ํา ทะเลเทากับ 15 ปอนดตอตารางนิ้ว(คาโดยประมาณ) เขียนไดดังนี้
Pabsolute Patmosphere Pgauge
ความดันสัมบูรณ = ความดันบรรยากาศ + ความดันเกจ
(1.4)
16
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
รูปที่ 1.16 แสดงความสัมพันธ ระหวางสเกลวัดความดันสัมบูรณ และ ความดันเกจ
1.7 การเรียกชื่อสวนตางๆของแพนอากาศ (Airfoil Terminology) กอนที่จะกลาวถึงคุณสมบัติของแพนอากาศตอไป เรามาทําความรูจักกับชื่อสวน ตางๆของแพนอากาศดูรูปที1่ .17 แสดงใหเห็นสวนตางๆในภาคตัดขวางของแพนอากาศ 1. เสนคอรด (Chord line) คือ เสนตรงทีล่ ากเชื่อมตอระหวาง ชายหนา (Leading edge) ตําแหนงซายสุดในรูปกับชายหลัง (Trailing edge) ตําแหนงทีอ่ ยู ปลายสุดทางดานขวา ระยะทางตั้งแตชายหนา ถึงชายหลัง คือ ความยาวคอรด (Chord) 2. เสนแคมเบอร (Camber line) คือ เสนที่ลากเชือ่ มตอจุด ทุกจุด ซึ่งอยูกงึ่ กลาง ของเสนที่ลากตั้งฉากกับเสนคอรดจากผิว ดานบน มายังดานลาง เปนเสนกึ่งกลาง (mean camber line) ระหวางผิวบนและผิวลางของแพนอากาศ โดยลากจากชายหนา ถึง ชายหลัง
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
17
รูปที่ 1.17 การใหชื่อสวนตางๆของแพนอากาศ
3. แคมเบอร (Camber) คือ ระยะทางที่วัดในแนวตั้งฉากกับเสนคอรดไปยัง เสน แคมเบอร คาของ แคมเบอรที่มากที่สุด บางครั้งหมายถึงคา แคมเบอร (the camber) ของแพนอากาศนั้น เพราะวา ระยะที่มากที่สุดนี้ มีผลตอคุณสมบัติของแพนอากาศ 4. ความหนาของแพนอากาศ (Thickness) คือ สวนที่หนาทีส่ ุด หรือหางกันมาก ที่สุดระหวางผิวบนและผิวลาง ในแนวตั้งฉากกับเสนคอรด 5. มุมปะทะ (Angle of attack) คือ มุมที่แพนอากาศเปดขึ้น มักเขียนสัญลักษณ ดวยตัวอักษรกรีก อานวา “แอลฟา” เปนมุมที่วัดระหวางเสนคอรดทํากับ ทิศทางการ ไหลของกระแสอากาศอิสระ (Free stream ใชสัญลักษณ V ) หรือ ทิศทางของลม ใหสังเกตวา ภาคตัดขวางของแพนอากาศในรูปที่1.17 มีพื้นทีใ่ นสวนดานบนของ เสนคอรดมากกวาดานลาง เปนลักษณะของแพนอากาศ ที่ไมสมมาตรกันตามแนวเสน คอรด เรียกวา “แพนอากาศแคมเบอร (Cambered airfoil)” แพนอากาศแคมเบอร(Cambered airfoil) มีคุณสมบัติในการใหแรงยกไดดี เมื่อ สวนโคงมากอยูดานบน แตในบางกรณี การบินตองการคุณสมบัติการใหแรงยกทั้งสอง ดาน เชน ในสวนของแพนหาง หรือการบินในทาทาง หงายทองบิน ซึ่งตองการแรงยกใน ทิศทางที่กลับกันเมื่อเทียบกับการบินปกติ ดังนัน้ ในกรณีดังกลาว แพนอากาศที่ควร นํามาใช จะตองเปน แพนอากาศสมมาตร (Symmetrical airfoil) ดังในรูปที่ 1.18
18
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
รูปที่ 1.18 แพนอากาศสมมาตร (Symmetrical airfoil)
แพนอากาศสมมาตรมีคา แคมเบอรเทากับศูนย หรือเรียกไดวาไมมีคา แคม เบอร ในกรณีนี้ เสนแคมเบอร และเสนคอรด ทับกัน เราสามารถพูดไดวา แพนอากาศ ทั้งหลาย ถาไมใชแบบสมมาตรก็เปนแบบแคมเบอร ในบางกรณีทางวิศวกรรมอากาศ ยาน เสนโคงดานบนของแพนอากาศเรียกวา “แคมเบอรบน (upper camber)” และเสน โคงดานลางของแพนอากาศเรียกวา “แคมเบอรลาง (lower camber)” การเรียก หรือ การใชชื่อในลักษณะนี้ ไมถือวาเปนทางการที่ถูกตองนัก แตยังสามารถนํามาใชเรียกกัน ได เปนการทําใหทราบถึงความโคงมากนอยเทาไร สําหรับแพนอากาศชนิดนี้เพราะวา ความโคงดานบนและดานลางของ แพนอากาศสมมาตรนั้น มีผลตอคุณสมบัติของแพน อากาศ ซึ่งถาดูตามความหมายขั้นพื้นฐานแลว ถือวาไมมีคาแคมเบอรใหนํามากลาวถึง หรือพิจารณา
1.8 แรงยกบนแพนอากาศแคมเบอร (Lift on Cambered Airfoils) ยอนกลับมาพูดถึง สาเหตุของการเกิดแรงยกตอ มาถึงตอนนี้เปนที่รูกนั วาชนิด ของแพนอากาศ ซึ่งไดกลาวไปแลว ในเรื่องของแพนอากาศแคมเบอร ที่มสี วนโคงของผิว บนมากกวาจากปรากฏการณในรูปที่ 1.14 แพนอากาศซึ่งอยูในตําแหนงมุมปะทะ เทากับศูนย นั้น แพนอากาศแคมเบอรกอใหเกิดแรงยกไดเนื่องจากพิจารณาดูพื้นที่ ภาคตัดขวางในสวนบนของ เสนคอรดมีมากกวาในสวนลาง ในตําแหนงมุมปะทะนี้ กระแสอากาศที่กําลังไหลมาไดถูกแบงออก ณ จุดทีใ่ กลกับชายหนาของปก
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
19
เรามาดูปรากฏการณ เมื่อคอยๆเปดมุมปะทะขึน้ ในรูปที่1.19 แพนอากาศแคม เบอรเปดมุมปะทะขึน้ เปนบวก จะเห็นวาการไหลของอากาศไมไดถูกแบงออก ณ ตําแหนงของชายหนา แตเลื่อนต่ําลงมาจากชายหนาของแพนอากาศ จุดแบงกระแส อากาศ ใหไหลแยกออกเปน สองสวนคือไหลขึ้นไปผิวดานบนสวนหนึง่ ไหลลงไปผิว ดานลางอีกสวนหนึ่ง เราเรียกวา “จุดอากาศหยุดนิ่ง (Stagnation point)” เพราะที่จดุ นี้ อากาศไมมีความเร็ว (มีความดันอากาศมากที่สุด)
รูปที่ 1.19 แพนอากาศแคมเบอร เปดมุมปะทะเปนบวกแสดงจุดแบงพืน้ ทีสว นบนกับสวนลาง
พิจารณาดูในรูปที่ 1.19 เปนภาคตัดขวางของแพนอากาศแคมเบอร เมื่อเราลาก เสนจากจุดแบงการไหลของอากาศ (จุดอากาศหยุดนิ่ง Stagnation point อานวา “สะ แตกเนชัน่ พอยท” ) มายังจุดชายหลังของแพนอากาศ จะเห็นวาพื้นทีส่ ว นบนที่แลเงามี มากกวาสวนลาง เนื่องมาจากการเปดมุมปะทะ เปนผลใหความแตกตางของความดัน อากาศระหวางผิวดานบน กับดานลางมีมากขึ้น คือ อากาศที่ไหลผานผิวดานบนมี ชอง ของพื้นที่หนาตัดในการไหลของอากาศเล็กลง ทําใหความเร็วสูงอากาศสูงขึ้น จากกฎ ของความตอเนื่อง สงผลใหความดันต่ําลงไปอีก กฎของเบอนูลิ ในกรณีนี้ แรงลัพธทไี่ ด เปนแรงยก ยิ่งมีมากขึ้นเมื่อมีการเปดมุมปะทะมากขึ้น รูปที1่ .20 เมื่อมุมปะทะเปดมากขึ้น จุดอากาศหยุดนิ่งก็ยิ่งเลื่อนต่ําลงไป จากชายหนาของ แพนอากาศเปนผลใหความดันอากาศดานบนต่ําลงไปอีกหรือพูดไดวาติดลบมากลงไป
20
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
อีก จากปรากฏการณนี้ทําใหเราไดเขาใจสาเหตุของการที่แรงยกสูงขึ้นจากการเปดมุม ปะทะมากขึน้
รูปที่ 1.20 แสดงใหเห็นวาการเปดมุมปะทะมีผลตอ แรงสุทธิที่ กระทํากับผิวดานบนและดานลาง
หันมาพิจารณาการเกิดแรงยก ของแพนอากาศสมมาตร ที่มุมปะทะเทากับศูนย จุดแบงการไหลของอากาศหรือจุดหยุดนิ่งของอากาศ อยูตรงจุดชายหนาของแพน อากาศพอดีดังนั้นการไหลของอากาศผานผิวดานบนและดานลางมีลักษณะสมมาตรกัน คือเหมือนกัน แนนอนผลของแรงทางอากาศพลศาสตรจึงสมดุลกันพอดี แรงลัพธที่ กระทําตอแพนอากาศสมมาตรเทากับศูนยในรูปที่1.21
รูปที่ 1.21 อากาศไหลผาน แพนอากาศสมมาตรที่มมุ ปะทะเทากับศูนย ลักษณะการไหลของ อากาศ ผานผิวดานบนและดานลางสมมาตรกัน เปนผลให แรงยกเทากับศูนย
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
21
1.9 แพนอากาศสมมาตร และการหงายแพนอากาศ (Symmetrical and Inverted Airfoils) ในตอนนี้จะเปนการนําเอาแพนอากาศสมมาตร มาทดลองโดยการเปดมุมปะทะ ในรูปที่1.22 เปนผลจากการทดลองจะเห็นวาจุดอากาศหยุดนิ่ง (เปนจุดแบงการไหล ของอากาศ) เลื่อนต่ําลงจากชายหนา สงผลใหพื้นที่สวนบนเพิ่มมากขึ้นกวาพื้นทีใ่ น สวนลาง ซึ่งเปนไปในลักษณะเดียวกับแพนอากาศแคมเบอร นั่นคือแพนอากาศ สมมาตรตองมีการเปดมุมปะทะจึงจะทําใหเกิดแรงยกเชนเดียวกับ แพนอากาศแคม เบอร
รูปที่ 1.22 กระแสอากาศไหลผานแพนอากาศสมมาตรเปดมุมปะทะ ทําใหจุดแบงการไหลเลื่อนต่าํ ลง
การเปดมุมปะทะของแพนอากาศสมมาตรทําใหเกิดแรงยกไดไมดีเทา แพน อากาศแคมเบอร แตมีผลดีในกรณีที่ตองการทําใหเกิดแรงยกไดเทากันทั้งสองดาน โดย การเปดมุมปะทะใหเปนบวกหรือลบ เรายังสามารถทําใหเกิดแรงยกในทิศทางลบได สําหรับ แพนอากาศแคมเบอรโดยวิธีปรับมุมปะทะใหมีคาเปนลบมากๆซึง่ ก็หมายความ วา เรายังคงสามารถบินหงายทองไดกับเครื่องบินที่ใชปกแบบแพนอากาศแคมเบอร ในขณะบินหงายทองตองปรับ มุมปะทะใหติดลบมากพอใหเครื่องบิน ลอยตัวอยูได (เหมือนกับเครื่องบินเอาแพนอากาศแคมเบอรมาติดหงายทองเปนปกและตองเปดมุม ปะทะมากๆ ใหเกิดแรงยกเพียงพอ) ดูในรูปที่ 1.23 เปนการหงายแพนอากาศแคมเบอร โดยใหสวนโคงมากอยูดานลาง เมื่อตองการใหเกิดแรงยกขึ้นในลักษณะนี้ พื้นทีส่ วนบน
22
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
ของจุดแบงหรือจุดหยุดนิ่ง จะตองมากกวา ดังนั้นนักบินทีใ่ ชเครื่องบินมีปกแบบแพน อากาศแคมเบอรจะตองระวังในเรื่องนีใ้ นขณะที่คันบังคับยังคงตองผลักไปขางหนาเพื่อ รักษาความเร็วของเครื่องบิน
รูปที่ 1.23 การบินหงายทองของเครื่องบิน แพนอากาศแคมเบอรตองปรับมุมปะทะใหไดมากพอ เพื่อใหเกิดแรงยกในทิศทางกลับ หรือแรงยกเปนลบนัน่ เอง
1.10 การแจกแจงความดันบนผิวปก และโมเมนตกมเงย (Pressure distribution and Pitching moment) การแจกแจงความดันบนผิวปกนั้นไดเกริ่นไวบางแลวที่ผานมา ความดันของ อากาศที่กระทําตอผิวของแพนอากาศ มีความแตกตางกันในแตละจุด วัตถุที่อยูใน อากาศจะตองมีความดันอากาศกระทําทุกจุด เมือ่ มีปรากฏการณหรือเหตุการณ ที่ทําให ความดันอากาศบริเวณไหนก็ตามมีการเปลี่ยนแปลงใหสูงขึน้ หรือต่ําลง นั่นแสดงวามี การเกิดแรงทางอากาศพลศาสตรขนึ้ เนื่องจากความแตกตางของความดัน ในรูปที่ 1.24 เปนแพนอากาศแคมเบอร ติดตั้งอยูในตําแหนงมุมปะทะ ติดลบ 3 องศา มีกระแสอากาศไหลผานดวยความเร็วคาหนึ่ง ปรากฏวามีแรงยกเทากับศูนย พอดี (อยาลืมวาแพนอากาศแคมเบอรที่มุมปะทะเทากับศูนยนั้นใหแรงยกได) ลูกศร ทั้งหลายทีแ่ สดงบนผิวปกในแตละจุด ใหความหมาย ดังนี้
- ทิศทางของลูกศร พุงเขาหา ผิวของแพนอากาศ ความดันเปนบวก (มากกวาบรรยากาศ)
- ทิศทางของลูกศร พุงออกจาก ผิวของแพนอากาศความดันเปนลบ (นอยกวาบรรยากาศ)
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
23
- ความยาวของลูกศรคือ คาของความดัน ที่อาจเปนบวก หรือลบ - สวนมากความดันบนผิวของแพนอากาศจะเปนลบ ยกเวนบริเวณที่ อากาศไหลชาลง
รูปที่ 1.24 การแจกแจงความดัน บนแพนอากาศที่มุมปะทะ 3 แรงยกเทากับศูนย
ตอไป ดูการกระจายความดันเมื่อ เปดมุมปะทะเพิ่มขึ้นเปน+3 องศา การแจก แจงความดันที่เกิดขึ้นจะเปนดังในรูปที่ 1.25 จะเห็นวาคาของความดันติดลบของผิว ดานบน เริ่มมากขึ้นกวาผิวดานลาง ขณะนี้แรงยกมีคาเปนบวก ณ ตําแหนงมุมปะทะนี้ เปรียบเสมือนการบินเดินทางที่ปรับใหมุมปะทะพอดีกับน้ําหนักของเครื่องบิน
รูปที่ 1.25 การแจกแจงความดันบนแพนอากาศเมื่อเปดมุมปะทะ 3 เปนลักษณะของการบินปกติ
24
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
การเปลี่ยนแปลงความดันบนผิวปกเมื่อเปดมุมปะทะ เทากับ 3 องศา ดังในรูปที่ 1.25 ตําแหนงจากจุดชายหนาของแพนอากาศ เลื่อนขึ้นไปทางผิวดานบน ความดันเริ่ม ลดลง จนกระทั่งติดลบ ทีเ่ ปนเชนนี้เนื่องมาจาก ความหนาของแพนอากาศคอยๆเพิ่ม การบีบ การไหลของอากาศ (ทําใหทางไหลแคบลง) บริเวณสวนที่หนาทีส่ ดุ ความดัน นอยที่สุด (ติดลบมาก) และความดันคอยๆเพิ่มขึ้น (ติดลบนอย) บริเวณที่ความหนาของ แพนอากาศลดลง จนกระทั่ง เมือ่ ถึงชายหลังของแพนอากาศซึ่งเปนทีส่ ิ้นสุดของแพน อากาศ ความหนาของแพนอากาศเทากับศูนย คาความดันเทากับศูนย(ในหนวยความ ดันเกจ) คือเทากับความดันบรรยากาศที่อยูโดยรอบแพนอากาศนั่นเอง มาถึงตอนนี้ ลองเปดมุมปะทะใหมากขึ้นไปอีก ความดันทีก่ ระทําตอผิวบนของ แพนอากาศลดลงไปอีกคือติดลบมากขึ้น ในขณะที่ความดันที่ผิวดานลางมีคามากขึ้น จนมีคาเปนบวก สงผลใหเกิดแรงยกสูงขึ้นไปอีกดูรูปที่ 1.26 ความดันแตละจุดบนผิว ของแพนอากาศเปลี่ยน เมื่อมุมปะทะเปลี่ยน ในการเปดมุมปะทะปกติ หรือมุมปะทะที่ ใชในการบินเดินทาง บริเวณดานลางของผิวปก ความดันที่กระทํายังคงมีคาเปนลบ แต ผิวดานบนเปนลบมากกวา (นอยกวา) แรงลัพธที่กระทําตอปกยังคงเปนบวก (แรงยก) สมดุลกับน้ําหนักเครื่องบิน ในความเปนจริงการแจกแจงความดันยังขึ้นอยูกับรูปราง ทั้งหมดของปกเครื่องบินดวย (3มิติตั้งแตโคนถึงปลายปก) ไมไดดูเฉพาะภาคตัดขวาง อันใดอันหนึ่ง แตละภาคตัดขวางมีการแจกแจงความดันที่ตางกัน
รูปที่ 1.26 การแจกแจงความดันบนผิวแพนอากาศ เมื่อเปดมุมปะทะมากเกือบจะ สะตอล
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
25
แรงเนื่องจากความดันของอากาศ ที่กระทําบนผิวของแพนอากาศอยางตอเนื่อง ในแตละจุดดวยขนาดที่ตางกัน สามารถแทนไดดวยแรงลัพธเพียงหนึ่งแรง ทั้งขนาดและ ตําแหนง เรียกวา “จุดศูนยกลางความดัน (Center of pressure)” เปรียบไดกับวัตถุ กอนหนึ่งมีนา้ํ หนักเนื่องจากแรงดึงดูดของโลก น้ําหนักนี้มีอยูในทุกอณูของเนื้อสาร รวม เปนน้ําหนักทั้งกอน เราสามารถทดแทน แรงเล็กๆที่กระทําทั้งหมดดวยแรงเพียงหนึง่ แรง ทั้งขนาดและตําแหนง เรียกวา “แรงลัพธ” (กระทําที่จุดศูนยถวง) สําหรับตําแหนงของ จุดศูนยกลางความดัน มีการเปลี่ยนตําแหนง เมื่อมุมปะทะเปลี่ยน เราไดเห็นแลววา การกระจายความดันบนผิวแพนอากาศ ทั้งผิวบนและผิวลาง นั้นไมเหมือน กันนี่คือเหตุที่ทําใหตาํ แหนงของ จุดศูนยกลางความดันหรือตําแหนงแรง ลัพธของผิวบนและลางอยูเยื้องกัน โดยทั่วไปตําแหนงของ จุดศูนยกลางความดันของผิว ลางจะเยื้องมาทางดานหนามากกวา ผิวบน ดังแสดงในรูปที่ 1.27 เนื่องจากตําแหนง แรงลัพธ ของผิวบน และผิวลางมีการเยื้องกันจึงทําใหเกิด โมเมนต หรือแรงบิดที่ พยายามหมุนแพนอากาศในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา
รูปที่ 1.27 แรงลัพธที่เกิดขึน้ เนื่องจากความดันอากาศตอ ผิวดานบนและลาง สงผลใหเกิดโมเมนตบนแพนอากาศ
26
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
ไมวาจะเปน ตําแหนงการเยื้องกัน หรือขนาดของแรงลัพธ ที่กระทําตอผิวดานบน และดานลาง ยอมสงผลให คาของโมเมนตนั้นเพิ่มขึ้นหรือลดลงไดทั้งนัน้ โมเมนตใน ลักษณะเชนนี้ เราเรียกวา “โมเมนตกมเงย (Pitching moment)” เพราะลักษณะการ หมุนในแนวนี้ของเครื่องบิน เรียกวา “พิช (Pitch)” ปรากฏการณอันนี้บอกใหเรารูวาปก เครื่องบินไมไดอยูในสภาวะเสถียร ถาตองการใหเสถียรคือไมพยายามจะหมุนแพน อากาศ (ให คว่ําหรือกม) จําเปนตองอาศัยแรงจากสวนอื่นมาชวยแกใหเกิดการสมดุล คือผลรวมโมเมนตเปนศูนย เพื่อใหเครื่องบินสามารถบินไดอยางมีเสถียรภาพ ความ พยายามสรางเครื่องบินในอดีตและประสบความลมเหลว ก็เพราะยังไมเขาใจถึงปรากฏ การณในเรื่องนี้ของแพนอากาศ
รูปที่ 1.28 แสดงตําแหนงและขนาดของแรงยกพรอมดวยโมเมนตกมเงย ตรงจุดศูนยกลางอากาศพลศาสตร
ผลจากการเปลี่ยนมุมปะทะ ทําใหทงั้ แรงยก และตําแหนงจุดศูนยกลางความ ดันเปลี่ยน แตยังมี จุดหนึ่งบนแพนอากาศ ที่คาโมเมนตกมเงย (Pitching moment) ไม เปลี่ยน แมวามุมปะทะเปลี่ยนจุดนีเ้ รียกวา “จุดศูนยกลางอากาศพลศาสตร (Aerodynamic center)” และ จุดที่วานี้ อยูตรงตําแหนงหนึ่งในสี่ของคอรดโดยวัดจาก
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
27
ชายหนา หรือ 25%คอรด จากชายหนา โดยประมาณ สําหรับแพนอากาศสวนใหญ ดังนั้นเพื่อความสะดวกจึงนิยมกําหนดใหแรงยกอยู ณ ตําแหนงนี้ประกอบกับมีคา โมเมนตกมเงย กํากับอยูดวย เพื่อใหเห็นขนาดของโมเมนตที่พยายามจะหมุนแพน อากาศ รอบจุดนี้ดวย ดังในรูปที่ 1.28 เปนวิธีการแสดงผลลัพธของแรงทางอากาศ พลศาสตรที่เกิดกับแพนอากาศ ที่เหมาะสมและ เขาใจงาย
1.11 การสะตอล (The Stall) ตอนนี้เรารูแลววา เมื่อเปดมุมปะทะเพิ่มขึ้น แรงยกก็จะเพิ่มตาม ในขณะเดียวกัน เราก็พอจะเดาไดวาการเพิ่มขึ้นของคาแรงยก เมื่อเพิ่มมุมปะทะขึ้นไปเรือ่ ยๆ นาจะมี ตําแหนงหนึง่ ที่ใหคาสูงสุดของแรงยก ซึ่งจะมากไปกวานี้ไมได ตามความเปนจริงก็เปน เชนนัน้ คือ การเปดมุมปะทะใหโตขึ้นไปถึงจุดหนึ่งที่ใหคาแรงยกสูงสุดและจะเริ่มลดลง ปรากฏการณตรงจุดนี้ คือ การสะตอล (Stalling point) คํานีใ้ นภาษไทยมักเรียกวา “รวง หลน” มีหลายปจจัยทีท่ าํ ใหเกิดการสะตอล สิง่ หนึ่งคือ การเปดมุมปะทะมาก ทําใหจุด อากาศหยุดนิ่ง เคลื่อนที่ต่ําลงมาเรือ่ ยๆ การไหลของกระแสอากาศผานผิวแพนอากาศ ดานบน มีระยะทางเพิ่มขึ้น ความหนืดของอากาศและแรงเสียดทานเริ่มสงผล ทําให อัตราการเปลี่ยนแปลงความดัน (Pressure gradient อานวา “เพรสเชอเกรเดียน”) บริเวณใกลกับผิวของแพนอากาศ มีคามากขึ้น (มีการเปลี่ยนคาของความดันอากาศ อยางรวดเร็วหรืออยางมาก ในระยะทางสั้นๆ) คือ ความดันลดลงอยางรวดเร็วเกินไป เมื่อเทียบกับระยะทาง ซึง่ ไมตองการใหเกิดขึ้น (Unfavorable pressure gradient) เพราะทําใหเกิดการไหลแยกตัว ผลจากการเปดมุมปะทะทีส่ ูงเกินไป จุดศูนยกลางความ ดัน จะเคลือ่ นที่ไปขางหนา คือชายหนาของแพนอากาศ ในขณะที่อัตราการเปลี่ยน แปลงความดันมีมากขึ้น มีปจจัยหลายอยาง ไมวาจะเปนการเปลี่ยนแปลงความดันที่เปนไปอยางรวดเร็ว ความหนืดของอากาศ แรงเสียดทานระหวางอากาศกับผิวของแพนอากาศ อากาศซึ่ง กําลังไหลไปตามผิวของแพนอากาศเกิดการไหลแยกตัว(Separate) จากผิวของแพน อากาศ ณ จุดหนึ่ง ซึ่งอยูดานบนดังในรูปที่ 1.29 ไมมีการไหลของกระแสอากาศ ไหล
28
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
เรียบไปตามผนังหรือผิวของแพนอากาศดานบน มีแตการไหลหมุนวน (Wake) ของ อากาศในบริเวณที่มีการแยกตัว ปรากฏการณนี้ สงผลใหแรงยก ลดลง และแรงตานจาก ความดันเพิ่มขึ้นอยางรวดเร็ว เหตุการณในลักษณะนี้บอกไดวาเปน การสะตอล
รูปที่ 1.29 แพนอากาศในขณะสะตอล (Stall) แสดงใหเห็นการไหลแยกตัว (Separation) และการ ไหลวน (Wake)
รูปที่ 1.30 สถานการณจริง ของการไหลแยกตัวของอากาศผานรูปทรงกระบอก
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
29
ปรากฏการณของการไหลแยกตัว และการไหลวนของอากาศนี้ เราอาจจะเคยได เห็นมาแลวในธรรมชาติ เชน การไหลของน้ําผานสิ่งกีดขวาง ไดแก กอนหิน เสาสะพาน เมื่อน้ําไหลผาน น้ําจะไหลเรียบไปตามผิวดานหนาของสิ่งกีดขวาง และเริม่ แยกตัวออก ทางดานหลัง ในบริเวณที่มีการแยกตัว น้ําจะหมุนวนเรียกวา “เวก (Wake)” ดังรูปที่ 1.30 เปนปรากฏการณจริงของอากาศที่ไหลผานรูปทรงกระบอก ในกรณีของรูปที่ 1.29 แรงยกยังคงมีอยูแตนอยลง เพราะวายังมีกระแสอากาศ ไหลเรียบไปตามผิวดานลาง ความดันที่กระทําตอผิวดานลางมีคาเปนบวก ผิวดานบนมี การแยกตัวของการไหลของอากาศ สูญเสียแรงยกคอนขางมาก ผลของปรากฏการณนี้ ถาเกิดกับเครื่องบินขณะกําลังบินอยู การสูญเสียแรงยกอยางกะทันหัน อาจทําให เครื่องบินตกเพราะเปนสภาวะที่น้ําหนักมากกวาแรงยก
รูปที่ 1.31 เปนการพลอตคา ระหวางมุมปะทะกับแรงยกแสดงใหเห็นคาแรงยกมากสุด และมุมสะตอล
30
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
คอนขางเปนที่แนนอน สําหรับแพนอากาศที่ไดผานการทดลองเพื่อหาคุณสมบัติ มาแลว เราสามารถบอกไดวาเปดมุมปะทะ เทาไรจึงจะทําใหสะตอล การพลอต(Plot) คาระหวางมุมปะทะ กับแรงยก ดังในรูปที่ 1.31 จะเห็นวาการเพิ่มขึ้นของแรงยก เปนไป ตามการเปดมุมปะทะ คาแรงยกมากสุดกอนถึงมุมสะตอล และเมื่อมุมปะทะเทากับ มุม สะตอล แรงยกเริ่ม ตกลงอยางรวดเร็ว คุณสมบัตินี้ ขึ้นอยูกับชนิดของแพนอากาศ การที่แพนอากาศมีชายหนาที่มนโคงโต จะชวยใหการเกิดสะตอลชาลง กวาการ ที่มีชายหนาคอนขางแหลมกวา เพราะชายหนาที่มีความแหลมมาก เปนตัวตนเหตุให การไหลของอากาศมีการแยกตัวที่มุมปะทะเริ่มสูงขึ้น ที่บริเวณชายหนาของแพนอากาศ ในบางกรณีก็ตองการใหเกิดการสะตอล ณ จุดหนึ่งบนปกเครื่องบิน กอนที่จะเกิดการ สะตอลเปนบริเวณกวางบนปก เพือ่ เปนการชวยเตือนนักบิน การทําใหเกิดการเตือน ดังกลาว โดยการนําเอาอุปกรณที่เรียกวา “สะตอลสตริป (Stall strip)” มาติดตั้งจะชวย ทําใหนักบินรูลวงหนา กอนเกิดการสะตอล ดวยตําแหนงของจุดแยกตัวของกระแส อากาศที่ไหลมาถึงบริเวณ ชายหนาของปก จะมีการเลื่อนต่ําลงเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุด หนึ่ง ทีบ่ อกไดวาใกลจะเกิดการสะตอลขึ้น เพราะวาการสะตอลที่เกิดกับปกเครื่องบิน เปนสิง่ ที่ไมตองการใหเกิดขึ้นอยางยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเครื่องบินอยูในระดับต่ําใกลกับพื้นดินมีอุปกรณหลายอยางที่ถูกออกแบบ มาใหชวยเตือนนักบิน กอนที่จะเกิดการสะตอล อุปกรณที่ชื่อวา “vane-type stall warner (อานวา เวนไทพสะตอลวอนเนอร)” เปนที่นิยมใชในการชวยเตือน โดยอาศัย หลักของความสัมพันธระหวาง มุมปะทะสะตอล กับ ตําแหนงของอากาศหยุดนิ่ง อยา ลืมวาตําแหนงของจุดอากาศหยุดนิ่ง จะคอยๆเลื่อนลงจากชายหนาของแพนอากาศ เมื่อมุมปะทะ คอยๆเปดมากขึ้น ตําแหนงของจุดอากาศหยุดนิ่ง (เปนจุดที่แบงอากาศ ที่ ไหลมาปะทะกับแพนอากาศ แยกออกไปยังสวนบน และสวนลางของแพนอากาศ) จุดนี้ มีตําแหนงทีช่ ัดเจนในแตละมุมปะทะ สังเกตแผนบางๆในรูปที่ 1.32A ที่ไดถูกติดตั้งในตําแหนงใตจดุ อากาศหยุดนิ่งใน การบินสภาวะปกติกระแสอากาศที่แยกตัวมาจากจุดอากาศหยุดนิ่ง ไหลมาผลักแผน วัสดุ นีล้ งมีลักษณะคลายสวิทชไฟฟาในตําแหนงเปดวงจร(หรือมักจะเรียกวาปดไฟ) คือ
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
31
ไมมีการไหลของกระแสไฟฟา แตเมือ่ มุมปะทะของปกเครื่องบินเปดมากขึ้น เขาใกลมุม ปะทะสะตอล ในรูปที่ 1.32B จุดอากาศหยุดนิ่งเลือ่ นต่ําลงไปกวาปกติ ทําใหอากาศไหล มาผลักใหแผนวัสดุ ใหเลื่อนขึ้น อยูในตําแหนงปดวงจรไฟฟา ( ที่เรียกวาเปดไฟ) มี กระแสไฟฟาไปยังหลอดไฟ หรือสัญญาณเสียง แจงเตือนนักบินใหรูวา เครื่องบินกําลัง จะสะตอล เรงแกไขดวน
รูปที่ 1.32 อุปกรณชวยเตือนการสะตอล ในขณะ A จุดอากาศหยุดนิง่ อยูดานบนของแผน และ B เมื่อใกลสะตอลจุดอากาศหยุดนิ่งเคลื่อนมาอยูดานลางของแผน
32
บทที่ 1 เครื่องบินลอยไดดวยแรงยก
แบบฝกหัดบทที่ 1 1.1
อากาศไหลในทอเวนจูริ ดวยความเร็ว V 100 ft s (ฟุต/วินาที) ผานสวนกวาง ซึ่งมีพื้นที่หนาตัด A 6 ตารางฟุต ไหลตอไปยังสวนแคบ มีพื้นที่หนาตัด A 4 ตารางฟุต ความหนาแนนของอากาศเทากับ 0.002378 slug ft (สลัก ตอ ลูกบาศกฟุต) จงหาความเร็วของอากาศบริเวณ พื้นที่แคบ V ? ft s และจง หา ความดันไดนามิก ณ บริเวณนี้ดวย 1
1
2
3
2
รูป แบบฝกหัด 1.1
1.2
จงอธิบายวาทําไม แพนอากาศแคมเบอร จึงมีโมเมนตกมเงย เมื่อมีกระแส อากาศไหลผานและเกิดแรงยก และโมเมนตที่เกิดขึ้นมานั้นมีทศิ ทางหมุน ไปทาง ไหน
1.3
จงบอกคา แคมเบอรมากที่สุด และความหนามากที่สุดของแพนอากาศ NACA 4415 ถาความยาวของเสนคอรดเทากับ 60 นิ้ว
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development) เราไดพูดกันถึงเรื่อง ที่เกีย่ วกับแบบ และรูปรางของแพนอากาศมาบางแลว แพน อากาศที่มีใชอยูในปจจุบันมีมากมายหลายชนิด มีรูปรางตางๆนาๆ การปรับเปลีย่ น รูปรางแมแตเล็กนอย ยอมสงผลตอคุณสมบัติของแพนอากาศ ในกรณีเชนนี้ จึงควรที่จะ ไดนําเอาแบบตางๆ ของแพนอากาศมาพูดถึงวา แตละชนิดนั้นมีคุณสมบัติเปนอยางไร และมีการกําหนดรูปแบบของแพนอากาศกันอยางไรใหเปนมาตรฐาน
2.1 รูปแบบของแพนอากาศ (Airfoil Patterns) เริ่มตนดวยการพิจารณาแผนบางระนาบ เรียกวา “แฟลตเพลท (Flat plate)” ซึ่ง เปนลักษณะพื้นฐานเบื้องตน มีใหเห็นทั่วไป แผนกระดาษแข็ง แผนกระดาน สี่เหลี่ยมผืนผา เมื่อนํามาทดลองในอุโมงคลมเพื่อหาคุณสมบัติทางอากาศพลศาสตร พบวา แฟลตเพลท สามารถใหแรงยกได เราคงเคยเห็นหรือทําเครื่องรอนเล็กๆจากไมบัล ซา กันมาแลว ซึ่งปกของเครื่องรอนเหลานั้นถือไดวาเปน แฟลตเพลท และทําใหเครื่อง รอนเหลานัน้ ลอยอยูไดดวยแรงยกของปก จึงถือไดวา แฟลตเพลทก็คือแพนอากาศชนิด หนึ่งนั่นเอง เปนแพนอากาศอยางงายทีสุดก็วาได ดูรูปที่ 2.1A จะเห็นวา แฟลตเพลท ที่ มุมปะทะเทากับศูนย ไมมีแรงยกเลยเปรียบไดกับแพนอากาศแบบสมมาตร (ไมมีแคม เบอร) อยางไรก็ตามเมื่อเริ่มเปดมุมปะทะเล็กนอย มันสามารถที่จะใหแรงยกไดดังเชน ในรูปที่ 2.1B ใหสังเกตมุมปะทะในรูปที่ 2.1B จุดหยุดนิ่งของอากาศ (Stagnation point) ไมไดอยูที่ตําแหนงชายหนา ซึ่งก็เหมือนกับแพนอากาศโดยทั่วไปคือ เลื่อนลงมายัง พื้นผิวดานลาง เปนจุดที่แบงการไหลของอากาศใหขึ้นบนสวนหนึ่ง ลงลางสวนหนึ่งทํา ใหอากาศสวนบนถูกบีบ ใหมีพื้นที่ในการไหลแคบกวา สงผลใหอากาศไหลเร็วกวา ความดันต่ํากวา ผิวดานลาง เปนปรากฏการณเชนเดียวกับ แพนอากาศปกติที่ได
34
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
พิจารณากันมาแลว ซึ่งตางจาก การเกิดแรงยกของสกีน้ํา ที่เกิดจากแรงดันของน้าํ ทางดานใตแผนสกี เทานัน้ แฟลตเพลท เปนแพนอากาศที่ไมมีคุณภาพ ไมเปนทีต่ องการ โดยเฉพาะ นํามาใชทําปกเครื่องบินเพื่อกอใหเกิดแรงยก ผลเสียที่ตามมา เชน แรงตานที่เกิดตามมา (ซึ่งจะพูดตอไป) ชายหนาที่มีความคมคอนขางแหลมกอใหเกิดการไหลแยกตัวไดงา ย ผลคือสะตอลที่มุมปะทะต่ําๆ ดังใน รูปที่ 2.1C ในขณะที่ใหแรงยกไดไมมาก เพราะถา เปดมุมปะทะมากก็ทําใหสะตอล
รูปที่ 2.1 การนําเอาแผนบางระนาบ เรียกวา “แฟลตเพลท” มาทดลองในอุโมงคลม เพื่อหา คุณสมบัติทางอากาศพลศาสตร A มุมปะทะเทากับศูนย B เปดมุมปะทะเล็กนอย และ C เปดมุมปะทะมากขึ้นเกิดการสะตอล
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
35
เราคงเคยเห็นเครื่องรอนที่นําเอา แพนอากาศแบบแฟลตเพลทมาใช แตได ดัดแปลงใหมีความโคงขึ้นทางดานบน ดังในรูปที่ 2.2A การดัดแปลงในลักษณะนี้ ชวย ทําใหเปดมุมปะทะไดสงู มากขึ้นโดยไมสะตอลเหมือนกับ แฟลตเพลทธรรมดา แต อยางไรก็ตามยังคงใหประสิทธิภาพทีด่ ีเฉพาะในชวงแคบๆของการเปดมุมปะทะเทานัน้ โอกาสเกิดการไหลแยกตัวนั้นมากเมื่อปรับมุมปะทะสูงขึน้ หรือแมแตการปรับใหมุม ปะทะต่ําลง รูปที่ 2.2B แสดงใหเห็นวามีการไหลแยกตัวที่มมุ ปะทะต่ํา แตถาปรับปรุง โดยการเติมเต็มบริเวณที่เวาเขาไปจะชวยทําใหไมมีการไหลแยกตัวของอากาศ การทํา ใหชายหนาของแพนอากาศ มีความมนกลม เปนผลดีทําใหการไหลแยกตัวเกิดขึ้นได ยากดังในรูปที่ 2.2C
รูปที่ 2.2 การประยุกตนาํ เอาแผนเรียบมาดัดทําแพนอากาศ Aจุดอากาศหยุดนิ่งอยูต รงชายหนา B ลดมุมปะทะลงจุดอากาศหยุดนิ่งอยูสูงกวาชายหนา Cเติมเต็มบริเวณที่เกิดการแยกตัวของอากาศ ในรูปB ชวยขจัดการแยกตัว
36
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
แพนอากาศรูปรางตางๆ ไดถูกนํามาใชกับเครื่องรอนและเครื่องบิน ตั้งแตในอดีต เปนเวลานานมาแลว สองพี่นองตระกูลไรท ไดทมุ เทความพยายามที่จะหาปกเครื่องบิน ที่ดี ในชวงเวลาสองเดือนของป ค.ศ.1901 เขาทัง้ สองไดทดลองกับแพนอากาศจําลอง มากกวา 200 แบบ กับอุโมงคลม ที่สรางขึน้ ใชเองในบาน ซึ่งก็รวมถึงแพนอากาศ พื้นฐาน ทีม่ ีลักษณะคลายปกนก เปนเรื่องปกติของมนุษยชาติ ความพยายามใน ชวงแรกจําตองอาศัย การสังเกตจากสิ่งตางๆทีเ่ กิดขึ้นมาตามธรรมชาติซึ่งแสดงใหเห็น ถึงความเปนไปไดที่จะนําไปสูความสําเร็จ เครื่องบินในยุคแรกๆ สวนของปกมักจะมีการยึดดวยลวดสลิง และคานที่อยู ภายนอกปกเพื่อใหเกิดความแข็งแรง สามารถรับแรงที่จะเกิดขึ้นในขณะใชงานไดอยาง ปลอดภัย ปกจึงไมจําเปนตองมีความหนามาก จากพัฒนาการ ในเรื่องของโครงสรางปก และไมตองการใหมี ชิ้นสวนจําพวกคาน ลวดสลิง ซึ่งมีผลตอแรงตานของเครื่องบิน จึง ไดพยายามทําใหปกมีความแข็งแรงดวยตัวของมันเองไมจําเปน ตองอาศัยคานภาย นอก ดวยการเพิ่มความหนาของปก ทําใหชิ้นสวนภายในปกใหญขึ้น รับแรงไดดีขึ้นและ ยังคงคุณสมบัติที่ดีของแพนอากาศ จึงมีรูปรางออกมาในลักษณะของรูปที่ 2.3 ซึ่งถือ เปนตนแบบของแพนอากาศ
รูปที่ 2.3 รูปแบบของแพนอากาศ ที่มีความหนาทําใหภายในมีโครงสรางที่แข็งแรงมากพอ
ในระยะเวลากอนนี้ การนําเอาทฤษฎี วิธีการทางวิทยาศาสตรและการคํานวณ ยังไมเพียงพอ ที่จะทําใหได แพนอากาศที่ดี อยางที่ตองการขึ้นมา จําเปนตองอาศัย การ ทดลองในอุโมงคลม ขอมูล ประสบการณ จากการบินจริง ประกอบกันไปดวย และยังไม มีการจัดระบบ รูปแบบของแพนอากาศใหเปนมาตรฐานขึ้นมา เพื่อใหใชไดทั่วไป มีแต การจัดระบบ ตามแตกลุมผูทํางานทางดานนี้ไดจัดตั้งกันขึ้นมาเอง เชน RAF6 ,
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
37
Gottingen G-398 และ Clark Y ดวยเหตุที่วา การเปลี่ยนรูปรางของแพนอากาศ แม เพียงเล็กนอยก็สงผลตอการเปลี่ยนแปลง คุณสมบัติของแพนอากาศไดมาก ในป ค.ศ. 1920 มีแพนอากาศเปนจํานวนมากไดถูกออกแบบขึ้น จึงจําเปนอยางยิ่ง ทีจ่ ะตองมีการ วางระบบที่เปนมาตรฐานของแพนอากาศ เพือ่ ใหสามารถนํามาใชงานไดโดยสะดวก และมีประสิทธิภาพ คณะกรรมการที่ปรึกษาดานอากาศยานแหงชาติ (The National Advisory Committee for Aeronautics เขียนยอวา NACA) ในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเปนตน กําเนิดขององคการ นาซา (NASA) ไดรับมอบภารกิจ ในการสรางระบบทีเ่ หมาะสมของ แพนอากาศ ในปลายป ค.ศ.1920 ผลจากการทดลองในอุโมงคลมแสดงใหเห็นวา คุณสมบัติเบือ้ งตน ทางอากาศพลศาสตรของแพนอากาศขึ้นอยูกับรูปรางไดแก ความ หนา และลักษณะของเสนกึ่งกลาง (mean line) จึงไดมีการตกลง กําหนดคุณลักษณะ ของแพนอากาศดวย ระบบตัวเลข
รูปที่ 2.4 ความหมายของตัวเลขสี่หลักสําหรับ NACA2415
38
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
เริ่มตนดวยการใหเปนตัวเลขสีห่ ลัก โดยขึ้นตนเปนNACA ตามดวยตัวเลข เชน NACA 2415 อานวา “นากา ยี่สิบสี่ สิบหา” จากรูปที่ 2.4 NACA เปนชื่อยอของสถาบัน ดังกลาวไปแลว สวนตัวเลขแตละตัวมีความหมายดังนี้ (โดยถือวาความยาวคอรด เทากับ 1.0) ตัวแรก 2 หมายถึง คามากสุดของแคมเบอรเปน เปอรเซ็นตของความยาวคอรดใน ที่นี้คือ 0.02C ตัวที่สอง 4 หมายถึง ตําแหนงที่คา แคมเบอรมากที่สุดอยูที่ สี่ในสิบของความยาวคอรด โดยวัดจากชายหนาของแพนอากาศ ในที่นี้คือ 0.4C ตัวที่สาม สี่ 15 หมายถึง ความหนาของแพนอากาศ เปน เปอรเซ็นต ของความยาวคอรด ในที่นี้คือ 0.15C ตัวอยาง แพนอากาศ NACA2415 มีความยาวคอรดเทากับ 60 นิ้ว ดังนัน้ จึงมี คามากสุดของแคมเบอร = 0.02 60 1.2 นิ้ว ตําแหนงของแคมเบอรมากที่สุดอยูที่ = 0.4 60 24 นิ้ว จากชายหนา ความหนาของแพนอากาศ = 0.15 60 9 นิ้ว การกําหนดระบบการใหตัวเลข สีห่ ลักนั้น ถือเปนการจัดกลุมของแพนอากาศ เชน แพนอากาศ NACA2412 ก็จะมีลักษณะเดียวกับ NACA2415 ดังที่อธิบายไปแลว เพียงแตวา มีความหนาของแพนอากาศเทากับ 7.2 นิ้ว ถามีความยาวคอรดเทากันคือ 60 นิ้ว โดยที่สวนอื่นๆยังคงขนาดเหมือนเดิม คุณสมบัติทั้งหลายจะคลายคลึงกับของ NACA2415 จะเห็นวาเมื่อผูออกแบบเครื่องบินตองการใหแพนอากาศที่นํามาทําปก มี คุณลักษณะเชน NACA2415 แตตอ งการใหบางกวาในเรื่องของการรับแรง ก็สามารถ เลือกใช NACA2412 ได แพนอากาศตัวเลขสีห่ ลัก ที่ไมมีคาแคมเบอร หรือที่เรียกวา แพนอากาศสมมาตร จะมีตัวเลขสองตัวแรกเปนศูนย เชน NACA0012 รูปที่ 2.5 นิยมอานวา ศูนยศูนย สิบ
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
39
สอง (ฟงดูคลายๆกับรหัสของสายลับอังกฤษ เจมส บอนด 007) แพนอากาศสมมาตร มักจะใชกับแพนหางดิ่ง แพนหางระดับ
รูปที่ 2.5 แพนอากาศแบบสมมาตร มีตัวเลขสองตัวแรก เปนศูนยเพราะไมมีแคมเบอร
2.2 แรงยกของปกเครื่องบิน และผลของการกางปก (Wing Lift and Span Effects)
รูปที่ 2.6 แรงยกคือแรงสุทธิทางอากาศพลศาสตรที่กระทําตอแพนอากาศในทิศทางตั้งฉาก กับ ทิศทางของ กระแสอากาศอิสระ
ขอย้ําอีกครั้งวาแรงยกที่กระทําตอแพนอากาศ หรือปกเครื่องบินนั้น คือ แรงลัพธ (เนื่องจากความดันของอากาศที่กระทําตอปก)ในทิศทาง ตั้งฉากกับกระแสอากาศอิสระ ดังในรูปที่ 2.6 ไมวาจะเปด มุมปะทะ ( อานวา “แอลฟา”) มากนอยเทาไรก็ตาม และ ทิศทางการเคลื่อนที่ของกระแสอากาศอิสระนั้นจะถูกใชเปนทิศทางหลักในการพิจารณา คุณสมบัติอื่นๆดวย
40
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
รูปที่ 2.7 การพิจารณาปรากฏการณทงั้ หลายในทางอากาศพลศาสตร เราสามารถที่จะพิจารณาใน ลักษณะทีว่ าเครื่องบินอยูกบั ที่และมีกระแสอากาศไหลผาน
เมื่อมองดูเครื่องบิน เราจะเห็นวาเครื่องบินลํานัน้ เคลื่อนที่ผา นไปในอากาศดวย ความเร็วคาหนึ่ง แตการพิจารณาในทางอากาศพลศาสตรกลับพบวา แพนอากาศนั้นอยู กับที่ แตมีกระแสอากาศไหลผาน เชน การทดลองในอุโมงคลม บางคนอาจจะสงสัยวา แลว ผลที่ไดรับจากการทดลองโดยใหปกอยูนิ่งอากาศเคลื่อนที่ผานจะเหมือนกับ ปกที่ เคลื่อนที่ไปในอากาศนิ่งหรือไม อันที่จริงแลวไมวา จะเปนอะไรเคลื่อนที่ หรือ อะไรนิ่ง อยู ที่ผูสังเกต ถือไดวาเปนเหตุการณเดียวกัน เชน คนบนพื้นเห็นอากาศนิง่ มีเครื่องบิน เคลื่อนทีผ่ านแตคนในเครื่องบินเห็นเครื่องบินอยูนิ่งมีกระแสอากาศที่ไหลอยางยูนิฟอรม (Uniform flow) ผานไป เปนการไหลของอากาศที่มีขนาดและทิศทางเปนอยางเดียวกัน หมดทุกจุด ในรูปที่ 2.7 ความเร็วกระแสอากาศ กําลังวิ่งเขาหาเครื่องบิน (ความเร็วเปน คาสัมพัทธ เราไมรูวามีอะไรที่หยุดนิ่งอยางสมบูรณ) แมการทดลองในอุโมงคลม กับ แบบจําลองเครื่องบินที่ตรึง อยูกับที่ก็เชนกัน ผูสังเกต ที่กําลังทําการทดลองเห็น เครื่องบินอยูกับที่ มีอากาศไหลผาน แตถาสมมุติวาตัวเราเล็กเทามด ปลิวไปกับอากาศ ที่กําลังไหล (ดวยความเร็วเทากันกับอากาศ) ก็จะเห็นวาอากาศหยุดนิ่งและมีเครื่องบิน
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
41
วิ่งผานเราไป ดังนั้นจึงเปนเรื่องปกติในการพิจารณาเหตุการณทั้งหลาย เพื่อความ สะดวกในการพิจารณา หรือทดลอง จึงมักจะใหวัตถุอยูกับที่ และมีกระแสอากาศไหล ผาน ในหัวขอที่ผา นมา เปนการพูดถึงเรื่องของแพนอากาศ ซึ่งเปนการพิจารณาแบบ 2-มิติ คือดูเฉพาะในระนาบที่ภาคตัดขวางของแพนอากาศ ที่ตั้งฉากกับแนวเสนกึง่ กลาง ตามความยาวของแพนอากาศ ซึ่งระนาบนี้จะขนานกับทิศทางการไหลของกระแส อากาศอิสระ เปนปรากฏการณจากการทดลองในอุโมงคลมแบบ 2-มิติ แตเมื่อเรา มีปลายปกซึ่งยอมตองมีการไหลของ นําเอาแพนอากาศมาทําเปนปกเครื่องบินจริง อากาศ ออกนอกระนาบ คือไมขนานไปกับระนาบตัดขวางที่สมมุติขึ้นมา ถือวาเปนการ พิจารณาในแบบ 3-มิติ เพราะการไหลของกระแสอากาศจะไมอยูเฉพาะในระนาบที่เรา พิจารณาในแบบ 2-มิติ มาตอนนี้ ความยาวของปก (Wingspan) รูปรางของปกเมื่อมอง ในทิศทางดานบน (Planform) ที่ไมใชภาคตัดขวาง จะมีผลตอคุณสมบัติทางอากาศ พลศาสตรดวย เปนที่รูกันแลววาความดันของอากาศดานบนของปก มีนอยกวาดานลาง เปนผล ใหอากาศที่อยูดานลางพยายามไหลขึ้นมาทางดานบนถามีทางไปได บริเวณปลายปก (Wingtip) นั้นเปนชองทางที่ทําใหอากาศไหลออมขึ้นมาดานบนได รูปที่ 2.8 และทําให ทิศทางการไหลของอากาศเมื่อพนจากปกเครื่องบิน หรือชายหลังมาแลวมีลักษณะ เปน วง คลายกับการ ตีเกลียวของเชือกบริเวณปลายปกเปนลักษณะของอากาศหมุนวน เหมือนลมหมุนที่เราเคยเห็น ที่เรียกวา “วิงทิปวอเทก (Wingtip vortex)” เมื่อปกเคลื่อนที่ ไปขางหนาวงอากาศหมุนนี้มีทิศทางเคลื่อนทีล่ งทางดานทายปก เปนอากาศหมุนทาย ปก (trailing vortex) รูปที่ 2.8 การเกิดวอเทกนี้ มีทั้งสองปลายของปกจึงเขียนใน ภาษาอังกฤษเปนพหูพจน วา wingtip vortices แตเราเรียก ปรากฏการณนี้ไดหลาย อยาง เชน อากาศวนปลายปก วอเทกปลายปก หรือเรียกทับศัพททั้งหมด ก็ไดถือวา เขาใจวาหมายถึงอะไร วิงทิปวอเทก นี้เปนที่ทราบกันดี สําหรับผูที่มีประสบการณทางการบิน วาเปน ปรากฏการณ อากาศหมุนวนอยางปนปวน (Wake turbulence) และควรหลีกเลี่ยง
42
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
สําหรับผูทขี่ บั เครื่องบินขนาดเล็กเขาใกล วิงทิปวอเทก ทีเ่ กิดจากเครื่องบินขนาดใหญซึ่ง มีความรุนแรงมากพอที่จะทําใหเครื่องบินขนาดเล็กที่ตามหลังมา ไดรับอันตรายได กระแสอากาศหมุนวนที่ปลายปกนี้ เกิดขึ้นเปนปกติไมวาเครื่องบินจะมีขนาดหรือ น้ําหนักเทาใด ซึ่งความแรงจะขึ้นอยูกบั ขนาดและน้ําหนัก ของเครื่องบิน
รูปที่ 2.8 อากาศที่มีความดันสูงกวาดานใตปกพยายามไหลขึ้นดานบนซึ่งมีความดันต่ํากวา เกิด การหมุนวนของอากาศดานหลังของปก เปนลักษณะของอากาศหมุนทีท่ ําใหอากาศเคลื่อนที่ลง ดานหลังของปก
จากปรากฏการณอันนี้ในรูปที่ 2.8 อากาศเคลื่อนที่ลง ในสวนตั้งแตปลายปกเขา มาถึงลําตัวเครื่องบิน สวนดานนอกนัน้ ตั้งแตปลายปกออกไป อากาศจะไหลขึ้น ถาเรา เคยแหงนขึน้ มองดูทองฟา เห็นนกทีก่ ําลังบินเกาะกลุมกันอยูใ นระดับสูงและเดินทางใน
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
43
ระยะไกล จะพบวากลุมนกที่กําลังบิน มีลักษณะ เปนรูปตัววี(V) นกทีแ่ ข็งแรงที่สุดบิน นําหนาและนกตัวถัดไปจะเกาะดานหลังเยื้องไปทั้งสองดาน ตอกันไปเรื่อยๆ เพราะนก ตัวหลังรูสึกไดวามีแรงจากอากาศเลื่อนขึ้นมาชวยพยุงทําใหเบาแรง ก็คือวอเทกปลาย ปก ของนกตัวหนานั่นเองซึ่งเปนธรรมชาติของนก ที่รูสึกไดถึง มวลอากาศที่ กําลัง เคลื่อนที่
2.3 ผลของการเคลื่อนที่ลง ของอากาศดานหลังปก (Downwash Effect)
รูปที่ 2.9 การเปดมุมปะทะของปก ถูกสรางขึ้นมา เรียกวา มุมปะทะทางเรขาคณิต (Geometric angle of attack) เขียนเปนสัญลักษณดังนี้ Geo
ในตอนแรกที่กลาวถึงมุมปะทะสงผลตอขนาดของแรงยกนั้น เปนการพิจารณา แบบสองมิติ ซึ่งการไหลของอากาศอยูในระนาบที่พิจารณาถือวาเปนการไหลแบบสอง มิติ แตเมื่อเรานําเอาแพนอากาศมาทําเปนปกเครื่องบิน อากาศที่ไหลผานปกจะไดรบั อิทธิพลจาก อากาศที่ปลายปก ทําใหคาของมุมปะทะทีส่ งผลใหเกิดแรงยกจริงๆนั้นตาง ไปจาก คาของมุมปะทะของปกที่กําหนดไวแตแรกในตอนแผนแบบและสราง เปดขึ้นรับ
44
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
กระแสอากาศ ที่ไหลเขามาดังในรูปที่ 2.9 เปนการสรางปกที่เปดมุมปะทะขึ้นมีคา หรือเรียกวา “มุมปะทะทางเรขาคณิต (Geometric angle of attack)” ซึ่งจะคงที่ ตลอดไป เพราะไดถูกออกแบบและสรางขึ้นมา ใหมีตําแหนงตามแบบ การหมุนของอากาศที่ปลายปก เหนี่ยวนํา(Induce) ใหกระแสอากาศดานหลัง ของปกเคลื่อนที่ลงเรียกวา“ดาวนวอช (Downwash)” นิยมใชสัญลักษณเปนตัว w การ เคลื่อนทีล่ งของอากาศดานหลังของปกมีผลทําใหมุมปะทะทีส่ ง ผล(จริงๆ) (Effective angle of attack) เล็กลง คาแรงยกก็จะนอยลงตามไปดวย ซึ่งมุมปะทะ เรขาคณิต ไมมีการเปลี่ยนอยูแลวเพราะถูกสรางมา อยางไรก็ตองคงลักษณะนั้นไปตลอด และสิ่งที่ ไมตองการ เกิดตามขึ้นมาคือ แรงตานเหนี่ยวนํา(induce drag D ) เปนอัตราสวน โดยตรงกับ ดาวนวอช w คือ ถาดาวนวอช ยิ่งมาก แรงตานเหนี่ยวนําก็ยิ่งมากตาม Geo
eff
Geo
i
รูปที่ 2.10 เสนกราฟแสดงความสัมพันธ ระหวาง แรงยก กับมุมปะทะ ในกรณีที่ ไมมี และมี กระแสอากาศไหลลง ที่เรียกวา “ดาวนวอช (downwash)”
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
45
ในรูปที่ 2.10 เปนเสนกราฟ แสดงคาความสัมพันธระหวาง มุมปะทะ กับ แรงยก เมื่อไมมี และมี ดาวนวอช จากคามุมปะทะ ลดลงมาเปน จะเห็นวาคาของมุม ปะทะทีห่ ายไปคือ (เรียกวา มุมปะทะเหนี่ยวนํา) เปนผลใหแรงยกลดลงจากที่ควรจะ เปน นั่นคือ Geo
eff
i
วอเทก ถามีมาก ดาวนวอช มากตาม มุมปะทะเหนี่ยวนํามาก ผลที่ตามมาคือ แรงยกลดลง และเกิดแรงตานเหนี่ยวนํา ขึ้นมาดวย วอเทก เปนสิ่งที่ไมตองการ ดังนั้น ถาลด วอเทกปลายปกได จะเปนผลดี
2.4 แอสเปกเรโช (Aspect Ratio) คําวา “แอสเปกเรโช” นั้นเปนการใชทบั ศัพททั้งหมดนาจะเหมาะสม มาทําความ เขาใจกับคําวา แอสเปกเรโช จากที่กลาวไวแลววา การทําปกใหยาวขึ้นนัน้ จะสงผลดีตอ คุณสมบัติของปกเครื่องบิน โดยพื้นที่ของปกยังคงเดิมเพื่อ สามารถใหคาของแรงยกที่ ตองการได นั่นคือเรากําลังพูดถึงพื้นที่ปก กับ ความยาวในการกางปก หรือเรียกวา ความยาวปก คุณสมบัติทั้งสองนี้เปนตัวบอกคา แอสเปกเรโช (Aspect ratio) มักนิยม เรียกและเขียนยอๆ วา เออา AR ถูกกําหนดไวดังนี้ ความยาวปก จากปลายดานหนึ่งถึง อีกดานหนึ่ง ( b ) หารดวย ความยาวเฉลี่ยคอรด ( c ) AR
b c
(2.1)
ในกรณีที่บอกไมไดวาคาความยาวเฉลี่ยของคอรดมีคาเทาไร(ปกกวางไมเทากันทั้งปก) คาของ AR สามารถหาไดดังนี้ คือ ความยาวปกยกกําลังสอง( b ) หารดวย พื้นที่ปก ( S ) 2
AR
b2 S
ถาดูใหดีแลวสมการทั้งสองก็คือ สมการเดียวกัน ในสมการแรก เอาคา และสวนทางดานขวาของสมการ ดังนี้
(2.2) b
คูณทั้งเศษ
46
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
b b b 2 และ c b พื้นที่ปก S
AR
bb cb
AR
b2 S
ในรูปที่ 2.11 เปนการแสดงใหเห็นวา ปกสี่เหลี่ยมผืนผาทั้งสองมี พื้นทีเ่ ทากัน แต มีคา แอสเปกเรโช ตางกัน ขอสังเกต พื้นที่ปกที่กลาวถึง ไมใชพื้นทีผ่ ิวของปก แตเปน พื้นที่ฉายของปกลงบนระนาบที่ขนานกับเสนคอรดของปก ดวยลําแสงที่ตั้งฉากกับ ระนาบ เปรียบไดกับเงาของปกเครื่องบินที่ปรากฏบนพื้นปูน ในตอนเที่ยงที่แสงแดดตก ตั้งฉากกับพืน้ ปูน
รูปที่ 2.11 เปรียบเทียบปกที่มีพนื้ ที่ฉายS เทากันแตมีคา AR ตางกัน
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
47
2.5 รูปรางของปก (เมื่อมองจากดานบน) ที่มีผลตอแรงยก (Spanwise Lift) ถาเรามีปกซึ่งมีคาความยาวคอรด คงที่ตลอดและยาวไมมีที่สิ้นสุด(ไมมีปลาย ปก) เมื่อมีกระแสอากาศไหลผานตลอดทั้งความยาวปก เราจะไดคาแรงยกคงที่ตลอดทั้ง ปก แตปกอยางที่กลาวถึงนั้นเปนไปไมได ความยาวของปกมีการสิ้นสุด ซึง่ บริเวณปลาย ปกนี้ มีวอเทกเกิดขึ้น เปนเหตุทําใหมกี ารไหลลงของอากาศดานหลังปกที่เรียกวา ดาวน วอช ซึ่งมีไมเทากันตลอดทั้งแนวปก คาแรงยกจึงเปลี่ยนไปทัง้ แนวปก ในรูปที่ 2.12 จะ เห็นวามีคานอยหรือเกือบเทากับศูนยตรงปลายปก และคอยๆมากขึ้นจนถึงโคนปก รูปรางปก (ไมใชภาคตัดขวางของปก) เมื่อมองจากดานบนของเครื่องบิน มีผลตอ ขนาดของแรงยกในแตละตําแหนง
รูปที่ 2.12 ขนาดของแรงยกในแตละตําแหนงบนปก มีคา มากตรงโคนและนอยลงตรงปลาย
รูปรางของปกมีผลตอขนาดของแรงยก ในแตละตําแหนงของปก ตั้งแตโคนถึง ปลาย สาเหตุที่ทําใหคา ของแรงยกเปลี่ยนไปก็ไดแก มุมปะทะ ขนาดของดาวนวอช ความยาวคอรด และลักษณะของแพนอากาศในภาคตัดขวาง ในรูปที่ 2.13 แสดงใหเห็น ขนาดของแรงยกในแตละตําแหนงของปกตั้งแตโคนจนถึงปลายในกรณีที่มุมปะทะทาง เรขาคณิตเทากันตลอด (ดวยวา ปกของเครื่องบินเหมือนกันทั้งซายขวาคือ สมมาตรกัน
48
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
จึงแสดงการกระจายแรงยก แตเพียงดานเดียวพอ) ซึ่งมีอยู สามแบบ คือ ปกเรียวปลาย (Taper เรียกทับศัพทวา “เทเปอ”) วงรี และ สีเ่ หลี่ยมผืนผา
รูปที่ 2.13 การกระจายแรงยกบนปกทีม่ ีรูปรางตางกัน ตั้งแตโคนถึงปลายปก
เนื่องจากวาขนาดของแรงยก แปรตามขนาดของ มุมปะทะที่สงผล (Effect angle of attack) ขนาดของมุมปะทะที่สงผล ตลอดแนวปกนั้นไมเทากัน ตั้งแตโคน ถึงปลาย ในกรณีที่มุมปะทะทางเรขาคณิตของปกคงที่ตลอด แต วิงทิปวอเทก สงผลให เกิด ดาวนวอช w ในแตละตําแหนงตางกัน ผลสุดทาย มุมปะทะที่สงผล ก็ตางกัน ดวย ดังนี้ eff
eff
ถาตําแหนงหนึ่งมีคา มุมปะทะสงผล เล็ก ก็แสดงวาคาดาวนวอช w มีมาก eff
ในทางกลับกัน (ควรดูรูป 2.10 ประกอบ) ถาตําแหนงหนึ่งมีคา มุมปะทะสงผล ใหญ ก็แสดงวาคาดาวนวอช w มีนอย eff
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
49
ดูในรูปที่ 2.14 เปนกราฟแสดงคาของ มุมปะทะที่สงผล แตละตําแหนงบน ปกจากโคนถึง ปลายปก ใหลองสักเกตุดูใหดี เราจะเขาใจวา ดาวนวอช w มีมากนอย อยู บริเวณไหนของปก เพราะเหตุไร ตองไมลืมวา ดาวนวอช w นั้นเปนผล มาจากลม หมุนวนตรงปลายปก ทีเ่ หนี่ยวนําใหเกิดดาวนวอช w ดานหนาของปก ทําใหทิศทาง ของอากาศที่วิ่งเขาหาชายหนาปกนัน้ เบี่ยงลง มากนอย ยิ่งเบี่ยงลงมาก ก็ทําใหมุม ปะทะทีส่ งผล ลดลง แรงยกบริเวณนั้นลดลง ดังนี้ eff
eff
รูปที่ 2.14 มุมปะทะที่สงผล (Effective angle of attack) ในแตละตําแหนงของปก ตั้งแตโคนถึง ปลาย
1. ปกรูปสีเ่ หลี่ยมผืนผา (Rectangular wing) มุมปะทะทีส่ งผล ตรงโคนมาก สุดและคอยๆนอยลงจนเทากับศูนยตรงปลายปก 2. เปนปกเทเปอ (Tapered wing) บริเวณที่ มุมปะทะทีส่ ง ผล สูงสุดอยูที่ ตําแหนงวัดจากโคนปกมาประมาณ สองในสามของความยาวปก และ 3. ปกแบบวงรี (Elliptical wing) มุมปะทะทีส่ งผล คงที่ตลอดความยาวปก eff
eff
eff
50
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
ดังนั้นเราสามารถเขียนในลักษณะ ความสัมพันธ ของปรากฏการณที่เกิดขึ้นไดดังนี้ วอเทก ดาวนวอช w มุมปะทะเหนี่ยวนํา มุมปะทะทีส่ ง ผล i
eff
แรงยก
เพราะวา ตลอดแนวความยาวของปก มุมปะทะที่สงผล มีคาไมเทากัน ใน แตละตําแหนง ดังนั้นบริเวณ ที่จะเกิดการ สะตอล (เกิดการไหลแยกตัวของอากาศบน ผิวปก) จึงไมไดเกิดขึ้นพรอมกันตลอดแนวความยาวปก อยาลืมวา การสะตอล ขึ้นอยู กับคาของมุมปะทะ ซึ่งเปนคาที่เกิดขึ้น แนนอนคาหนึ่งสําหรับแพนอากาศแบบใดแบบ หนึ่ง ถาปกเครื่องบินใชแพนอากาศแบบเดียวกันตลอดทั้งปก จุดหรือบริเวณที่จะเกิด การ สะตอลกอน คือ บริเวณที่ มุมปะทะทีส่ งผล(Effective angle of attack) มีคา มากสุด ดูรูปที่ 2.15 บริเวณที่เกิดการสะตอล (เปนบริเวณที่การไหลของอากาศเริ่ม แยกตัวเกิด เวก) สําหรับปกแบบวงรี การสะตอลจะเริม่ ตลอดแนวปกและคอยๆกระจายขึ้น ตาม แนวความยาวปก เพราะมุมปะทะทีส่ งผล คงที่ตลอดแนวความยาวปก ในสวนของ ปกแบบเทเปอ นั้นจุดเริม่ ตนการสะตอล อยูบริเวณที่หางจากโคนปกออกไป และปก แบบสีเ่ หลี่ยมผืนผาจุดเริ่มตนสะตอลอยูที่โคนปก จะเห็นวาบริเวณที่เริ่มสะตอลนั้น สอดคลองกับ คาของมุมปะทะทีส่ งผล ในรูปที่ 2.15 โดยจะเห็นวาตําแหนงที่คา มุม ปะทะทีส่ งผล สูงสุดจะเปนจุดเริ่มตน สะตอลกอน เพราะการสะตอลนั้นขึน้ อยูกับ คา ของมุมปะทะมาก เกินกวาคามุมปะทะสะตอล ตําแหนงการ เริ่มตนสะตอล บนปกนัน้ มีความหมายตอการควบคุมเครื่องบิน ปก แบบเทเปอ จุดเริ่มสะตอลอยูหางจากลําตัวออกไปโดยคอนไปทางปลายปก ที่เปน ตําแหนงของ แผนควบคุมการ กลิ้งดานขาง (Roll) คือ ไอเลรอน (Aileron) เปนสภาวะที่ ไมตองการเพราะการสะตอลทําใหแรงยก หายไปอยางมาก สงผลใหการควบคุม การ กลิ้งตัวดานขาง ของเครื่องบิน ลดลงหรือควบคุมไมไดในลักษณะดังกลาว สถานการณ เชนนี้มผี ลเสียมากโดยเฉพาะอยางยิ่งการบินในระดับต่ํา eff
eff
eff
eff
eff
stall
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
51
รูปที่ 2.15 การเริ่มตนและการขยายตัวของพืน้ ที่สะตอล บนปกแตละแบบ
หันมาดู ปกสี่เหลี่ยมผืนผา ตําแหนงสะตอลเริ่มทีโ่ คนปก ซึ่งยังคงทําให ไอเลรอน ทํางานในการควบเครื่องบินไดอยู ในรูปที่ 2.16 แสดงใหเห็นบนปกของเครื่อง เชอโรกี (Cherokee) ที่ไดนําเอา เชือกเสนเล็กๆมาแปะติดไวที่ผวิ ของปก เพื่อชวยใหเห็น ลักษณะการไหลของอากาศบนผิวปก ซึ่งจะทําใหเรารูวาบริเวณไหนเกิดสะตอล โดยดู ลักษณะของเสนเชือก
52
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
รูปที่ 2.16 ติดเสนเชือกเล็กๆไวบนผิวปกของเครื่องบินเชอโรกี เพื่อสังเกตการเกิดสะตอล รูปบน เปนสภาวะปกติ สวนรูปลาง มีการสะตอลเกิดขึ้น
ในการบินปกติที่ไมมีการสะตอลเกิดขึ้น เสนเชือกที่ติดอยูบนผิวปก มีลักษณะ เปนเสนตรงหันไปในทิศทางเดียวกันอยางเปนระเบียบ รูปบนของรูปที่ 2.16 เมื่อมีการ
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
53
สะตอลเกิดขึน้ ลักษณะของเสนเชือกจะชี้ไปคนละทางอยางสะเปะสะปะ เพราะ อากาศบริเวณนั้นมีการไหลแยกตัว และหมุนวนอยางที่ไดกลาวไปแลว เครื่องบินสวนใหญ ที่มีปก เปนรูปเทเปอ คือโคนใหญปลายเล็ก แตยังคงสามารถ ควบคุมไดอยู ก็เนื่องจากวา ผูออกแบบนั้นรูดีวาไมตองการใหมีการเริ่มสะตอลที่ใกล กับปลายปก จึงไดบิดปกใหมีการเปดมุมปะทะมากไว ที่บริเวณโคนปก และมีมุมปะทะ นอยๆ ไวทบี่ ริเวณปลาย การสะตอลจะไดเกิดที่โคนปกกอนการออกแบบปกใหบิดใน ลักษณะนี้ มีผลที่ตามมาคือ แรงตานมากขึ้น(ซึ่งไมตองการ) ยังมีอีกทางหนึ่ง ในการที่จะทําใหเกิดการสะตอลที่โคนปกกอนโดยไมตองไปบิด ปก ดวยการใชรูปรางของแพนอากาศที่โคนและปลายคนละแบบ คือ เลือกชนิดของ แพนอากาศที่มีการสะตอลชากวาหรือมุมปะทะสะตอลสูงกวา ไวบริเวณปลายปก วิธนี ี้ เรียกวา “การบิดทางอากาศพลศาสตร (Aerodynamic twist)” เพราะวา จะไดผลใน การเกิดสะตอลแบบเดียวกับการบิดปกทางเรขาคณิต แตแทนที่จะใชวธิ ีบดิ ปกใหเปดมุม ปะทะตางกัน ก็หันมาเลือกแพนอากาศในกลุมเดียวกัน ทีม่ ีคุณสมบัติในการสะตอล ตางกัน มาใช ในบริเวณโคน และปลายเพื่อใหเกิดการสะตอล บริเวณโคนกอน
2.6 สัมประสิทธิ์แรงยก และขนาดของแรงยก (Lift Coefficient and Lift Quantity) ยอนไปในเรื่องของ ความดันไดนามิก (Dynamic pressure) เขียนอยูในรูปทาง คณิตศาสตรไดดังนี้
q
1 V2 2
โดย q มักใชเปน สัญลักษณแทนความดันไดนามิก
ของกระแสอากาศอิสระ (มี subscript เปน ) มีหนวยเปนแรงตอพื้นที่ เชน ปอนดตอตารางฟุต ( lbf ft , psf ) หรือ นิวตันตอตารางเมตร ( N m ) ขนาดของแรงยกที่เกิดขึ้นบนปก ขึ้นอยูกับขนาดของ ความดันไดนามิก q คือ ถาความดันไดนามิกมาก แรงยกก็มากตาม และอีกสวนหนึ่งที่สงผลตอแรงยกคือ พื้นที่ ของปก S และแบบของปก ก็มีคุณสมบัติในการใหแรงยกที่ตา งกันออกไป คุณสมบัติดังกลาวคือ สัมประสิทธิ์แรงยก (Lift coefficient) เขียนเปนสัญลักษณ ดังนี้ C ดังนั้นเขียนเปนสูตรคณิตศาสตรไดดังนี้ 2
2
L
54
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
แรงยก เมื่อ
Lift
S V
=C
L
= = =
1 V 2 S 2
(2.2)
พื้นที่ฉายของปก (ดูรูปที่2.11) ความหนาแนนของอากาศ ความเร็วของกระแสอากาศ
การไดมาของคาสัมประสิทธิ์แรงยก C ทําไดโดยการนําเอาปกจําลองขนาดเล็ก พอ สามารถใสเขาไปในอุโมงคลมได และหาขอมูล โดยยึดเขากับอุปกรณวัดขนาดของ แรงยก(หรือแรงอื่นๆ) ที่เรียกวา “บาลานซ (Balance)” ทําใหรูคาของแรงยก สิ่งทีเ่ รารู คือ รูชนิดของแพนอากาศรูพื้นที่ฉายของปกรูความหนาแนนของอากาศ รูความเร็วของ อากาศในอุโมงคลม ขณะทําการทดลอง จากเครื่องมือทั้งหลายที่มีความเที่ยงตรง นํา คาเหลานัน้ มาแทนลงในสมการ ก็จะไดคา สัมประสิทธิ์แรงยก C L
L
ดังนี้
CL
ตัวอยางเชน ปกจําลอง มีพื้นที่ ความดันไดนามิก ได แรงยก (Lift) ดังนั้นจะไดคาสัมประสิทธิ์แรงยก
Lift ( V 2 ) S
(2.3)
1 2
= = = CL
2 1.5 1.2
ตารางฟุต ปอนด/ตารางฟุต ปอนด
1.2 0.4 1.5 2
(ไมมีหนวย)
คาสัมประสิทธิ์แรงยกที่ไดนี้เปนคาที่ มุมปะทะคาหนึ่ง ภายใตปจจัยตางๆ แบบ อยางเดิม เมือ่ เราปรับคา มุมปะทะ คาหนึ่ง ก็จะไดคา C คาหนึ่ง L
ขอควรสังเกต สัญลักษณ C (เขียนดวยตัวอักษรพิมพใหญ) เปนสัมประสิทธิแ์ รงยก L
ของปกทั้งปกมีปลายปก โดยที่รูปรางเมื่อมองจากดานบนอาจจะเปน สี่เหลี่ยม วงรี หรือ
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
55
เทเปอ ซึ่งเปนการไหลแบบสามมิติ แตถาเราไปพบ สัญลักษณสัมประสิทธิ์แรงยก c (เขียนดวยตัวอักษรพิมพเล็ก) แสดงวาเปนสัมประสิทธิแ์ รงยก ที่ไดจากการทดลองใน ลักษณะสองมิติ (อากาศไหลอยูในระนาบ ดูรูปที1่ .12) คือเปนคาแรงยกที่ได ตอความ ยาวแพนอากาศ หนึ่งหนวย l
รูปที่ 2.17 คาสัมประสิทธิ์แรงยกของทัง้ ปก เปนการไหลแบบ3-มิติ เมื่อนํามาพลอต เทียบกับมุม ปะทะ
ผลจากการทดลอง ในอุโมงคลม เพือ่ หาคาของ C ในแตละคาของมุมปะทะ โดย คอยๆเปดมุมปะทะขึ้นทีละคา ทีละคา จนกระทัง่ ไดคามุมปะทะสูงสุดและเลยไปถึงการ สะตอล แลวนําคาที่ไดมาพล็อตจะไดดังใน รูปที2่ .17 ซึ่งกราฟแสดงความสัมพันธ ระหวาง สัมประสิทธิแ์ รงยก กับ มุมปะทะ นี้บอกใหเรารูวา เมื่อเราสรางปกที่มีขนาดตาง จาก ที่ใชทําการทดลอง แตเปนแบบเดียวกันทุกประการยกเวนขนาด เมื่อเปดมุมปะทะ เทานี้ จะใหคาแรงยกเทาไร โดยแทนคาตางๆที่ตองใชลงในสูตรที่กลาวมาแลว สัมประสิทธิแ์ รงยกสําหรับแพนอากาศ หรือปก เราสามารถหาไดโดยวิธีการเชน ที่กลาวไปแลวนั้น แตในรูปที่ 2.18 เปนการทดลองเพื่อหาสัมประสิทธิ์แรงยก โดยการ ติดตั้งปกจําลองซึ่งทั้งสองดานชนกับผนังของอุโมงคลมพอดี เปนการปองกันผลจากการ L
56
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
ไหลของอากาศออมปลายปก เกิดเปนวอเทก ดังนั้นการไหลของอากาศจึงเปนไหลแบบ 2-มิติ คือไหลอยูในระนาบที่ตั้งฉากกับแนวปก คาของสัมประสิทธิแ์ รงยกที่ได คือ c (เขียนดวยตัวเขียนเล็ก) เมื่อนํามาแทนคาสูตรเปนแรงยก จะเปนคาแรงยกตอหนึ่งหนวย ความยาว และเปนผลจากการไหลแบบ2-มิติ การทดลองในลักษณะนี้ เปนวิธีการของ องคการ NASA และ NACA ซึ่งถูกนํามาใชกันอยางแพรหลาย เพราะเปนวิธีการที่มี ประโยชนในการพิจารณานําเอา แพนอากาศมาใชในการสรางเครื่องบิน คาสัมประสิทธิ์ แรงยกที่ไดในแตละมุมปะทะ นํามาใชไดทั่วไป ตางจากขอมูลการทดลองที่เปนแบบ 3มิติ ที่ใชไดเฉพาะปกที่ตองเหมือนกับแบบจําลองนั้นทุกประการยกเวนขนาด l
รูปที่ 2.18 ความสัมพันธระหวางสัมประสิทธิ์แรงยก (ตอความยาว) cl กับ มุมปะทะ ของแพน อากาศ
ในกราฟ แรงยก ของรูปที่ 2.18 เปนความสัมพันธระหวาง คาสัมประสิทธิ์แรงยก (ตอความยาว) c เทียบกับ มุมปะทะ มีคุณสมบัติที่นาสนใจ ไดแก l
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
57
1. คาสัมประสิทธิแ์ รงยกสูงสุด (c ) ในกราฟบอกวาประมาณ 1.4 แสดงใหเห็นวาคา มุมปะทะ ณ ตําแหนงนี้คือ 12 จะเริ่มสะตอล บริเวณสวนสูงสุดของกราฟถามีความ แหลมมาก เปนการบอกวาการสะตอลจะเกิดอยางรวดเร็ว ในขณะที่บริเวณสวนสูงสุด ของกราฟมีความมนมาก เปนการบอกวาการสะตอลจะคอยๆเกิดขึ้นอยางชาๆ 2. กราฟอันนี้ตองเปน แพนอากาศแคมเบอร เพราะวาที่มุมปะทะเทากับศูนยก็ยังคงให คาแรงยกอยู ตองลดมุมปะทะไปที่ 2 จึงจะไดคาแรงยกเปนศูนย ตําแหนงมุมปะทะที่ ใหแรงยกเปนศูนยเรียกวา“มุมปะทะที่ใหแรงยกเปนศูนย (angle of zero lift)” มุมปะทะ ที่วานี้จะเทากับศูนยถาแพนอากาศนั้นเปน แพนอากาศสมมาตร ความเหมาะสมในการ ที่เครื่องบินจะบินอยูได ก็คือ ชวงของมุมตั้งแต มุมปะทะทีใ่ หแรงยกเปนศูนย ถึง มุม ปะทะสะตอล 3. ความชันของกราฟ เปนการบอกใหเรารูวา ความเร็วในการเพิ่มขึ้นของ c เมื่อเทียบ กับการเปลี่ยนมุมปะทะนัน้ มากนอยเพียงไร ตั้งแตตําแหนงสะตอลลงมา กราฟเปน เสนตรง เปนการแสดงใหเห็นวา คา c นั้นแปรเปนอัตราสวนโดยตรงกับ มุมปะทะ คุณสมบัติของแพนอากาศไดถูกรวบรวมไวโดยองคการนากา (NACA) และได ถูกตีพิมพ ออกเผยแพรโดยสํานักพิมพในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถูกใชเปนขอมูล สําหรับผูที่ตอ งการออกแบบเครื่องบิน และเลือกแพนอากาศซึ่งใหคุณสมบัติที่ตรงหรือ ใกลเคียงกับที่ตนเองตองการ นํามาทําปกเครื่องบิน หรือประยุกตใชกับอุปกรณอยางอื่น l max
l
l
2.7 แฟลบ (Flaps) ในตอนแรกที่มีการพูดถึงแพนอากาศ ทําใหเกิดแรงยกไดอยางไร สําหรับ แพน อากาศแคมเบอร (Cambered airfoil) แมวามุมปะทะเทากับศูนย ก็ยังคงใหคาแรงยก อยู เนื่องจากพื้นที่สวนบนของเสนคอรด นั้นมีมากกวาสวนลาง เปนที่ทราบกันดีอยูแลว วาความโคงสวนบนของแพนอากาศทําใหการไหลของอากาศผานผิวดานบนมีความเร็ว สูงยิ่งขึ้น เมือ่ เทียบกับดานลาง สงผลใหคาความแตกตางของความดันมีมาก แรงยกที่ ไดกย็ อมมากตาม นั่นคือ แพนอากาศแคมเบอร ที่มีคาแคมเบอร มาก จะใหคาแรงยก มากกวา แพนอากาศที่มีคาแคมเบอร นอยกวา
58
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
แตแพนอากาศที่คาแคมเบอรมาก ก็ใหคาแรงตานมากดวยเชนกัน ดังนั้น ใชวา เราจะตองเอาแพนอากาศที่มีคาแคมเบอรมาก มาทําปกเครื่องบินเสมอไป คงตองเลือก เอาขนาดแคมเบอร ที่พอเหมาะเพียงพอที่จะใหแรงยกได แตถามากเกินไป แรงตานที่ เราไมตองการก็จะเกิดตามมาดวย แตในบางกรณี เราก็ตองการแรงยกมากๆ โดยไม เกี่ยงเรื่องแรงตานที่เกิดขึน้ ตามมาเพราะขณะนั้นไมตองใชความเร็วสูง ไดแก ขณะที่ กําลังนําเครือ่ งบินบินลง(Landing) รันเวย หรือทางวิ่งลงของเครื่องบิน ในการบิน เดินทาง เราตองการเพียงแรงยกที่เหมาะสม และมีแรงตานนอยที่สุด นาจะเปนการดีถา เราทําปกเครื่องบินใหมีคุณสมบัติที่เราตองการ ทั้งในขณะบินเดินทาง และขณะบินลง ซึ่งปกที่วานีจ้ ะตองสามารถปรับคา แคมเบอร ได ลองนึกภาพดู ปกที่มีการปรับคาของแคมเบอร ไดนั้นนาจะตองออนตัวได ใหโคง หรืองอมากขึ้นตลอดทั้งปก เมื่อตองการคาแคมเบอร มากขึ้น ซึ่งปกลักษณะนี้ไดถูก สรางขึ้นมาและประสบความสําเร็จในการบินเปนครั้งแรกของโลก คือเครื่องที่สองพี่นอง ตระกูลไรทไดทําขึ้นมานัน่ เอง ถือไดวาเปนตนแบบของปกทีมีการปรับคาแคมเบอรได จุดมุงหมายที่ทําเชนนี้ของสองพี่นองตระกูลไรท คือ ตองการควบคุมเครื่องบิน ใน ทิศทางโรล(Roll) คือการกลิ้งดานขาง ในปจจุบนั วิธีการปรับคาแคมเบอร ของปกนั้น ไมไดทําตลอดทั้งปก แตทําเฉพาะบางสวนเพื่อใหไดผลเพียงพอกับความตองการ ใน การบินลงซึ่งมีความเร็วต่ํา โครงสรางปกของเครื่องบินตองมีความแข็งแรงพอ การทําใหมีความยืดหยุนออน ตัวนั้นยุงยากและมีผลเสียอื่นตามมา ในทางปฏิบัติตองทําให มีการหัก หรือ กาง แผน วัสดุที่เปนโครงสรางแข็ง เรียกวา “แฟลบ (Flap)” แฟลบที่วานีค้ ือชิ้นสวนทีต่ ิดอยูกับปก เครื่องบิน ทีส่ ามารถกางออก หรือหุบเขามายังตัวปกได ลักษณะการกางออกของแฟลบ นี้ เปนการเพิ่มคาแคมเบอร ของปก จึงทําใหคุณสมบัติของปกในการใหแรงยก และแรง ตานเปลี่ยนไป คือ ทําใหไดแรงยกมากขึ้นที่ความเร็วต่ํา ในขณะเดียวกัน แรงตานก็เพิ่ม มากขึ้นดวย ซึ่งก็ตรงกับที่ตองการพอดี เนื่องจากเปนชวงที่เครื่องบิน กําลังบินลงสูท าง ลง (Runway) ที่ตองใชความเร็วใหตํา่ ที่สุด โดยที่เครื่องบิน ยังไมสะตอลที่ความเร็วต่ํา และแรงตานที่เพิ่มมากขึน้ ถือวาเปนการชวย ชะลอความเร็วของเครื่องบินลงดวย
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
59
รูปที่ 2.19 เปนลักษณะ แฟลบอยางงายๆ เรียกวา “เพลนแฟลบ (Plain flap)”
ในรูปที่ 2.19 แสดงใหเห็นแพนอากาศ มีแฟลบติดตั้งอยูที่สวนของชายหลัง อยู ในลักษณะปกติ (รูปA) และอยูในลักษณะกางออก (รูปB) ในขณะกางออกนั้นจะเปน การเพิ่มคาแคมเบอร ถาเราลากเสนตรงจากชายหนามายังชายหลัง ขณะแฟลบกาง ออกนั้น (รูปC) จะเห็นวาคาแคมเบอร มีคามากขึ้น แฟลบในรูปที่ 2.19 เรียกวา “เพลน แฟลบ (Plain flap)” ซึ่งเปนวิธีงายๆ ในการปรับเปลี่ยนรูปรางของแพนอากาศ โดยการ ยึดสวนที่เรียกวาแฟลบเขากับตัวปกหลักและ ทําใหพับหมุนไดรอบจุดหมุน ที่เปนคลาย กับบานพับ นอกจากนี้ยงั มีแฟลบในแบบอื่นๆอีกมาก ดังในรูปที่ 2.20 เปนแฟลบแบบงายๆ ก็คือ สปลิทแฟลบ(split flap) เมื่อแฟลบกางออกไปมากๆ จะทําใหเกิดการไหลวนของ อากาศดานหลังปก และสงผลใหเกิดแรงตานมหาศาล ในขณะที่ใหแรงยกไดไมมาก การ พัฒนาปรับปรุง แฟลบอยางงายๆ กลายมาเปน สลอทแฟลบ(slotted flap) คือ นอกจากกางออกแลวยังมีการเลื่อนเปดเปนชองเล็กๆ เพื่อใหอากาศดานลางของปก ที่มี
60
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
ความดันสูงกวาดานบนไดไหลขึ้นมา ชวยทําใหเกิด การแยกตัวของอากาศดานบนของ ผิวปก ชาลง (การแยกตัวของอากาศดานบนผิวปก ทําใหแรงตานมากขึ้นและแรงยก ลดลงดวย) จึงมีผลดีคือมีแรงยกมากขึ้นในขณะทีแ่ รงตานมีคานอยลง กวาสองแบบแรก
รูปที่ 2.20 รูปรางของ สปลิท สลอท และ ฟาวเลอ แฟลบ
ยังมีแฟลบอีกชนิดหนึ่งคือ ฟาวเลอแฟลบ (Fowler flap) ไดถูกพัฒนามาใหดี ยิ่งขึ้นกวาสามแบบที่กลาวไปแลว คือแผนแฟลบทีต่ ิดอยูกับปก เมื่อเวลาใชงานจะเลื่อน ออกไป เปนการเพิ่มพื้นที่ปก และ คาแคมเบอร ไปพรอมๆกัน ซึ่งตองใชกลไกที่มีความ สลับซับซอนกวาสามแบบ ที่กลาวไปแลว เหมาะกับเครื่องบินที่ตองการแรงยกมากๆ เวลาบินลงดวยความเร็วต่ํา ในการสรางแฟลบมาเพื่อใชกับเครื่องบิน ไดมีการประยุกต ไปใช ในหลายรูปแบบ เชน มีทั้งการเลื่อนแบบ ฟาวเลอแฟลบ และเปดชองแบบสลอท แฟลบ ไปพรอมๆกัน ทั้งสองวิธี เพื่อใหไดผลดียิ่งขึน้ ภายใตสภาวะการเดียวกัน ไดแก มุมปะทะ ความเร็วอากาศ การใชแฟลบจะ ชวยทําให คาแรงยกเพิ่มขึ้นอีก ในรูป 2.21 แสดงกราฟ สัมประสิทธิแ์ รงยก กับมุมปะทะ
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
61
เห็นไดชัดวาทุกคามุมปะทะการใชแฟลบชวยทําใหไดคา สัมประสิทธิ์แรงยกมากขึ้น เชน ในรูป ที่มุมปะทะ ประมาณ 5 ถาไมใชแฟลบไดสัมประสิทธิแ์ รงยก 0.6 แตเมื่อใชแฟลบ ได ประมาณ 0.9 ในกรณีที่ตองการแรงยกเพิ่มขึ้น โดยไมตองแฟลบ สามารถทําได ดวย การเปดมุมปะทะใหมากขึ้น ซึ่งเปนที่ทราบแลววา สําหรับปกเครื่องบิน นั้น แรงยกขึน้ อยู กับ มุมปะทะ และ ความเร็วของอากาศ เราสามารถเขียนความสัมพันธแบบ งายๆ เพื่อ ชวยการพิจารณาใหงายสะดวกขึ้น ดังนี้
แรงยก L
แปรตาม
(มุมปะทะ ) (ความเร็วอากาศV)
2
จากความสัมพันธขางบนนี้ บอกเราวา ถาความเร็วลดลง ในขณะที่ตองการแรง ยกเทาเดิม ก็ตองเปดมุมปะทะเพิ่ม แตถาความเร็วเพิ่มขึ้น ก็ตองลดมุมปะทะลง เพื่อคง คาแรงยกไวใหเทาเดิมอยางไรก็ตามการเพิ่มมุมปะทะนัน้ ทําได ในชวงทีไ่ มเกินมุมปะทะ สะตอล
รูปที่ 2.21 กราฟ สัมประสิทธิ์แรงยกกับมุมปะทะของปก เปรียบเทียบระหวาง ใชแฟลบ และไมใช แฟลบ
62
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
รูปที่ 2.22 ปกจําลองทดลองในอุโมงคลม A ไมเปดแฟลบ B เปดแฟลบ 10 และ C เปดแฟลบ 25
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
63
อันที่จริงแลว แฟลบมีหนาที่สําคัญในการชวยใหไดคา สัมประสิทธิแ์ รงยกสูงสุด มากขึ้นกวา (ปกติที่ไมใชแฟลบ) ในกรณีที่ใชแฟลบ มุมปะทะสะตอลมีคาต่ํากวา (ปกติ ที่ไมใชแฟลบ) ดูรูปที่ 2.21 ประกอบ แตดวยวาคาสัมประสิทธิ์แรงยกที่สูงกวา จึงทําให เครื่องบินยังลอยอยูไดดวยความเร็วต่ํา โดยปราศจากการสะตอล นั่นคือ การใชแฟลบ ชวย ทําใหความเร็วสะตอลนั้น ต่ําลงกวา (ปกติทไี่ มใชแฟลบ) จึงเปนการดีที่ ชวยใหการ บินลงของเครื่องบิน ดวยความเร็วที่ต่ําลง ผลที่ตามมาคือ ใชทางวิ่งที่สั้นลง และมีความ ปลอดภัยมากขึ้นในการนําเครื่องบินลง ในรูปที่ 2.22 เปนการทดลองกับ แบบจําลองปกที่มีแฟลบติดอยู ในอุโมงคลม ขนาดเล็ก ในรูป A แฟลบยังไมเปดใช มุมปะทะปกเกือบเทากับศูนย ดูทเี่ ข็มบอกคาแรง ยกได 0.26 ปอนด ตอมาในรูป B ทุกอยางคงเดิม ไดแกมุมปะทะ ความเร็วลม ยกเวน ปกจําลอง เปดใชแฟลบประมาณ 10 ดูที่เข็มบอกคาแรงยกได 0.60 ปอนด ในรูป C เชน เดียวกับ รูปB แต เปดแฟลบใหมากขึ้นเปน 25 คาแรงยก วัดถึง 1.03 ปอนด มาก ยิ่งขึ้นมาอีก สิ่งที่นาสังเกต คือ แรงยกที่วัดไดมากเปนสองเทาของ กรณี A แตใน กรณี B ที่เราเปดแฟลบเพียง 10 ใหคาแรงตานเพิม่ ขึ้นจากกรณี A เพียงเล็กนอย การทดลองนี้ ชวยใหเราเห็น ไดจากความเปน จริงในอุโมงคลม วาแฟลบ มีสวนชวยเพิ่มแรงยกไดจริง ถาดูจากเครื่องวัดที่ติดอยูกับ ตัวอุโมงคลม ตามในรูป
o
รูปที่ 2.23 ระยะทางบินลง ของเครื่องบินเมื่อใชแฟลบ จะสั้นกวา ไมใชแฟลบ
64
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
จากการทดลองนี้ แสดงใหเห็นวา การเปดแฟลบ ที่มุมนอยๆมีผลใหคา แรงยก เพิ่มมากขึ้น แตแรงตานเพิ่มขึ้นเพียงเล็กนอย เปนการยืนยันวาแฟลบมีสวนชวยเปน อยางมากในการทําใหระยะทางบินลงสั้นกวา รูปที่ 2.23 การเปดแฟลบใหมากขึ้น จะ เปนการเพิ่มแรงตานใหมากขึ้นดวย ซึ่งเปนประโยชน ในกรณีที่เครื่องบินกําลังบินลง เพราะในขณะนั้น ตองการใหเครื่องบินชาลง และมีแรงยกมากพอ ความเร็วสะตอลลด ต่ําลงไปอีกดวย
2.8 อุปกรณอื่น ที่ใชในการควบคุมแรงยก (Other Devices for Controlling Lift) แฟลบสวนใหญที่ใช มักจะติดตั้งบริเวณชายหลังของปก มีแฟลบบางชนิด ติดตั้ง ไวบริเวณชายหนาของปก ซึ่งเปนการออกแบบมาเพื่อเพิ่มแรงยกใหไดมากยิ่งขึ้น โดยใช รวมกับแฟลบที่ติดไวบริเวณชายหลังของปก เพือ่ เพิ่มความสะดวกและปลอดภัยยิ่งขึ้น ในการบินลงของเครื่องบิน โดย เฉพาะเครื่องบินโดยสารขนาดใหญ ลักษณะและการ ทํางานของแฟลบยอมมีไดหลายรูปแบบ ขึ้นอยูกบั การออกแบบ ที่มีการพัฒนาอยูอยาง ตอเนื่อง เพื่อตองการเพิ่มประสิทธิภาพของเครื่องบินใหไดสูงยิง่ ขึ้น อุปกรณที่ใชควบคุมแรงยก นอกจากแฟลบ แลวยังมี 1. สลอต(Slots) และแสลต(Slats) เปนการเรียกทับศัพททั้งสองอยาง สลอต หมายถึงชอง ดูรูปที่ 2.24 เปนรูปแพนอากาศ ที่บริเวณใกลกับชายหนา เปดเปนชอง เรียกวา “สลอต” เปนการออกแบบมาเพราะทราบดีวา เมื่อเปดมุมปะทะสูงขึ้นทําใหเกิด การไหลแยกตัวบริเวณผิวดานบน (เปนการสะตอล ทําใหแรงยกลดลงอยางรวดเร็ว) ดังนั้นถา มีชองปลอยใหอากาศดานลางของแพนอากาศ(ที่มีความดันสูงกวา) ไหลมา ชวยทําใหการแยกตัวของอากาศที่เปนสาเหตุของการสะตอล เกิดขึ้นไดยาก หรือชาลง ซึ่งถาไมมีชองนี้ ที่มุมปะทะเทานี้ ตองมีการสะตอลเกิดขึ้นแน การมีชองจึงเปนการขจัด การสะตอลที่จะเกิดขึ้น จึงทําใหแรงยกที่สูงขึ้น ในขณะที่บินดวย ความเร็วต่ํา
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
65
ขอเสียของการมีชองที่เรียกวา สลอต คือ มีแรงตานเพิ่มขึ้นที่มุมปะทะต่าํ เปน ผลเสียตอการบินเดินทางที่ความเร็วปกติ หนทางที่จะทําใหคา แรงตานมีนอยลง ก็ดวย การปดชองนี้เสีย ในขณะที่กําลังบินเดินทางดวยความเร็วสูง ดังนั้นเราตองการใหชองนี้ ปดลง ที่ความเร็วสูง แตตองการใหเปดออกที่ความเร็วต่ํา วิศวกรจึงไดออกแบบให สวน ชายหนาของปก ที่มีกลไกสามารถเลือ่ นเขาออกไดเรียกวา “แสลต (slats)” โชคดีที่ เรา ตองการใหปดที่ความเร็วสูงจึงเปนการงายตอการออกแบบเพียงทําใหชายหนายื่น ออกไป ในลักษณะเปดชองสลอต ดวยแรงคาหนึ่ง แตเมื่อ มีความเร็วสูงขึ้น ความดัน อากาศที่กระทําตอชายหนาปก มีมากจึงเกิดแรงผลักชายหนาปกเขาไปปดชอง สลอต ได พอความเร็วของเครื่องบินลดลง ความดันอากาศที่กระทําตอชายหนา มีนอ ย สวน ของชายหนาก็จะยื่นออกมาทําใหเกิดชอง ตามทีเ่ ราตองการ
รูปที่ 2.24 ที่คามุมปะทะสูง ตองกําจัดการแยกตัวของอากาศดานบนผิวปก โดยการทําชองให อากาศไหลผาน
2. สปอยเลอ (Spoilers) ศัพทคํานี้ คนสวนใหญนาจะเคยไดยินมาแลวถาแปล กันตามศัพท หมายถึงผูท าํ ลาย หรือทําใหเสีย ในทีน่ ี้ควรจะหมายถึง ทําลายแรงยก หรือ ทําใหแรงยกลดลง เพื่อการควบคุมเครื่องบิน สวนใหญที่ผานมา เราจะตองการแรงยก หาหนทางทีจ่ ะทําใหไดแรงยกมากขึ้น แตในบางกรณีการลดแรงยกชวยใหเราควบคุม เครื่องบินได การออกแบบโดยนําเอา สปอยเลอมาใชนั้น เปนวิธที ี่ทําไดงาย ดูไดจากรูปที่ 2.25 เพียงทําใหมีแผนวัสดุยื่นขึ้นมาในแนวดิ่ง เพื่อกั้นกระแสอากาศดานบนผิวปก ก็จะ
66
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
ทําใหเกิดการแยกตัวของอากาศและมีกระแสอากาศไหลวน ในบริเวณนั้นดวย เปนเหตุ ใหแรงยกลดลงทันที วิธนี ี้นิยมใชกับเครื่องรอน เมื่อตองการลดระดับลง และยังนําไปใช กับเครื่องบินเจ็ท เมื่อตองการทําใหแรงยกลดลงอยางรวดเร็ว
รูปที่ 2.25 สปอยเลอ (Spoiler) ทีน่ ํามาใชกับปกเครื่องบินเพื่อ เปนการลดแรงยก
ในกรณีที่ตองการ ควบคุมใหเครื่องบิน หมุนกลิ้งดานขาง(roll) ที่เรียกวา “โรล” ลองนึกภาพตาม ในขณะที่เครื่องบิน กําลังบินเดินทางอยูในแนวระดับ แสดงวา แรงที่ กระทําตอปก ทั้งสองขางนั้นเทากันพอดี แตถานักบินตองการ โรล ไปทางขวา ตองทําให แรงยกทางขวาลดลง ดวยการใช สปอยเลอชวย สภาวะสมดุลของแรงที่กระทําตอปกทั้ง หาของการใช สองดานจึงหมดไปทําให เครื่องบิน หมุนกลิ้งดานขางไปทางขวา แตปญ สปอยเลอแนวดิ่ง คือ การตอบสนองตอการโยกคันบังคับนั้นคอนขางรวดเร็ว ในชวงแรก ของการโรล แตหลังจากนั้นจะเปนไปอยางชาๆ ซึ่งไมเปนที่นา พอใจของนักบิน ที่มีการ ตอบสนองในลักษณะดังกลาว ดังนัน้ จึงไดคิดนําเอา สปอยเลอ แบบบานพับดูในรูปที่ 2.25 มาใชแทน มีความสะดวกและงายในการติดตั้ง การทํางานก็คลายๆ กับ ไอเลรอน (aileron) ซึ่งใหผลการตอบสนองที่ดีกวา การโรลดวยไอเลรอน ตามปกติในการบินระดับต่ํา เมื่อปกขางที่เอียงลงเขาใกล พื้นจะมีแรงยกเพิ่มขึ้น ซึ่งเปนผลมาจากอากาศใกลพื้น เปนการชวยชะลอไมใหปกแตะ
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
67
พื้น แตการตอบสนองในลักษณะนี้ไมมี กับเครื่องบินที่ถูกสรางมาใหใช สปอยเลอ ควบคุมการโรลซึ่งเปนผลเสีย ดังนั้นจึงควรระวังกับการบินดวยเครื่องบินทีใ่ ช สปอยเลอ ในการโรล โดยเฉพาะการบินต่ําและมีลมกระโชก(Gust) แตอยางไรก็ตาม สปอยเลอ ยังคงมีการนํามาประยุกตใช กับปกเครื่องบินรุนใหม ที่ตองการบินในยานความเร็วสูงได มากขึ้น ในขณะที่ยังใหคาความเร็วสะตอลต่ําลง (คาความเร็วสะตอลยิ่งต่าํ ยิ่งดี เปนการ ชวยใหมีความปลอดภัยในการบินสูงขึ้น)
68
บทที่ 2 พัฒนาการของแพนอากาศ (Airfoil Development)
แบบฝกหัดบทที่ 2 ที่มี แอสเปกเรโช (AR) เทากับ 8 และมีชวงกางปก
2.1
จงหาคาพื้นที่ฉายของปก (Span) b เทากับ 30 ฟุต
2.2
แพนอากาศชนิดหนึ่งใหคาสัมประสิทธิ์แรงยก c เทากับ 0.6 ที่คามุมปะทะ เทากับ 4 แตเมื่อนําไปทําปกเครื่องบิน ที่มีคา แอสเปกเรโช ARเทากับ 8 จําเปน ตองเปดมุมปะทะเปน 5.5 เพื่อใหไดคาสัมประสิทธิ์แรงยก เทาเดิม ทําไมจึงเปน เชนนัน้ อธิบาย และมุมทีเ่ ปดเพิ่มขึ้นมาอีก 1.5 นั้นเราเรียกวาอะไร (ดูรูป 2.10)
S
l
2.3
ปกที่มีคุณสมบัติ ดังในรูปที่ 2.17 จะใหคาแรงยกเทาไร ถาเปดมุมปะทะไปที่ 10 โดยที่คา ความดันไดนามิก q เทากับ 25 lbf ft (ปอนด ตอ ตารางฟุต) และ มีพื้นที่ฉายของปกเทากับ 100 ตารางฟุต
2.4
2
ปกซึ่งมีคุณสมบัติตามรูปที่ 2.21 เริ่มสะตอลที่มุมปะทะประมาณ 14.5 ถามีการ ติดตั้ง แฟลบ จงทํานายวา มุมสะตอล จะมากขึ้น นอยลง หรือเทาเดิม
บทที่ 3 แรงตาน (Drag) แรงตาน เปนแรงที่กระทําเนื่องจาการไหลของอากาศไปในทิศทางของการไหล นั้น แรงทีเ่ กิดขึ้นนี้เปนผลมากจากการไหลของอากาศผานวัตถุ เปนสิ่งที่หลีกเลี่ยงไมได ทุกสวนของเครื่องบินไมวาจะเปนปก ลําตัว ลอ ฯ เปนเหตุใหเกิดแรงตานที่เราไมตอง การทั้งสิ้น รูปทรงมีผลตอการเกิดแรงตาน ไมวาจะเปนใบพัดเครื่องบินที่หมุนตัดอากาศใน ขณะที่เรานั่งไปในรถยนตที่กําลังวิ่ง และยื่นมือออกไปนอกตัวรถเราจะรูสึกไดถึงแรงตาน เนื่องจากกระแสอากาศ ที่พยายามผลักมือเรา ไปตามทิศทางของกระแสอากาศนั้น ความเปนไปในธรรมชาติของเรื่องนี้คอนขางมีความสลับซับซอน ไมสามารถใชตัวอยาง งายๆในการอธิบายได มีคําศัพทเฉพาะที่ตองกลาวถึงในปรากฏการณนี้ แรงตานนัน้ มี หลายแบบ
3.1 แรงตานพาราไซท (Parasite Drag) จากประสบการณจริง เมื่อเรายื่นมือออกไปนอกรถยนตที่กําลังวิ่ง ในลักษณะที่ ฝามือตั้งฉากกับพื้นถนน กระแสอากาศที่กําลังไหลผานมือจะสงผลใหเกิดแรงตาน แรง ตานในลักษณะนี้เรียกวา “แรงตานเนือ่ งจากความดัน (Pressure Drag)” หรือเรียกสั้นๆ วา “แรงตานความดัน” ซึ่งเปนผลมาจากความแตกตางของความดันที่กระทําตอมือทั้ง สองดาน ถารานําเอา แผนวัสดุบางวางขวางในลักษณะตั้งฉากกับทิศทางการไหลของ กระแสอากาศดัง ในรูปที่ 3.1A ทําใหเกิด แรงตานความดัน หรือ แรงตานเนื่องจาก ความดันของอากาศที่อยูลอมรอบแผนวัสดุนี้ แตเพียงอยางเดียว ดานหนาของแผนวัสดุ ที่หันเขาหากระแสอากาศมีความดันสูงกวา ความดัน ดานหลังของแผนวัสดุซึ่งมีการไหลวนของอากาศที่เรียกวา “เวก (Wake)” เปนปรากฏ การณการไหลของอากาศที่ไหลวกกลับ ซึ่งมาจาก การไหลแยกตัว ของอากาศกอน
70
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
สงผลใหเกิดแรงที่กระทําตอ อากาศ คือ แรงตานนั่นเอง
แผนวัสดุอันนี้ในทิศทาง
ตามแนวการไหลของกระแส
รูปที่ 3.1 แผนวัสดุวางในลักษณะตั้งฉากและขนานกับทิศทางการไหลของกระแสอากาศ
คราวนี้ทดลองหมุนแผนวัสดุที่ใชทดลอง ดังในรูปที่ 3.1B เราคงรูแลววาในกรณีนี้ แรงกระทําของอากาศที่พยายามผลักแผนวัสดุนี้ ไปในทิศทางของการไหล ที่เรียกวาแรง ตานนั้น มีนอ ยมาก แตก็ยังคงมีแรงอยูจํานวนหนึ่ง ที่พยายามเลื่อน แผนวัสดุนี้ไปใน ทิศทางของกระแสอากาศ อากาศที่กําลังเคลื่อนตัวผานผิว มีความหนืด แรงเสียดทาน ระหวาง อากาศกับผิววัสดุ ทําใหอากาศที่ไหลติดกับผิว ถายทอดแรงจํานวนหนึ่งที่ พยายามลากแผนวัสดุนตี้ ามไปดวย เปรียบไดกับการที่เรานําเอาวัตถุสองชิ้นวางซอนกัน คือแตะกันอยู เมื่อเราผลักชิ้นอันบนใหเลื่อนไปในแนวระดับ บางครั้ง ก็ทําใหชนิ้ ลาง เลื่อนตามออกมาดวย ความฝดระหวางผิวสัมผัสของวัตถุทั้งสอง เปนเหตุใหเกิดการ ถายทอดแรงระหวางกัน ในกรณีของรูปที่ 3.1B จึงเรียกวา “แรงตานเนื่องจากความฝด ของผิว (Skin friction drag)” หรือเรียกสั้นๆวา “แรงตานเสียดทาน” ซึ่งตอไปนี้ อาจจะมี การเรียกทับศัพทบาง ซึง่ ถือวาเปนชื่อ ของแรงตานแบบหนึ่ง เพื่อใหเกิดความคุนเคยกับ ศัพทเหลานี้ ชิ้นสวน ทีป่ ระกอบขึ้นมาเปนเครื่องบินที่ปรากฏใหเห็นภายนอก มีความหนา และมีพื้นผิวที่สัมผัสกับอากาศ ดังนั้น แรงตานที่เกิดขึ้นกับตัวเครื่องบิน จึงประกอบไป
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
71
ดวย แรงตานทั้งสองแบบดังกลาวไปแลว คือ แรงตานความดัน แรงตานเสียดทาน อยางเชน ในรูปที่ 3.2 เปนรูปทรง ซึง่ มีพื้นที่หนาตัดใหญ และมีพื้นผิวสัมผัสกับอากาศ ในทิศทางการไหลมาก ปรากฏวามีความดันสูงบริเวณดานหนา เกิดการแยกตัวของ อากาศ และมี เวก(wake) ทางดานหลัง แรงตานที่เกิดขึ้นจึงเปนผลมาจาก แรงตานทัง้ สองแบบ และถาจะวาไปแลว ปรากฏการณในธรรมชาติ ที่เกิดแรงตานกับวัตถุที่มี กระแสอากาศไหลผาน ก็มาจากผลรวมของแรงตานทั้งสองแบบดังกลาว จึงเรียกผลรวม ของแรงตานทั้งสองแบบที่เกิดรวมกันวา “แรงตานติดตัว (Parasite Drag) หรือ แรงตาน พาราไซท” ดูตามคําศัพท Parasite คือ พวกปรสิต มักจะใชกับสิ่งทีเ่ ราไมตองการ เชน กาฝาก มันเกาะติดและอาศัยอยูกับตนไม ถาพูดในทางคณิตศาสตร คือ แรงตานติดตัว = แรงตานความดัน + แรงตานเสียดทาน
รูปที่ 3.2 อากาศไหลผานรูปทรงทางอากาศพลศาสตร ทําใหเกิดแรงตาน
3.2 แรงเสียดทานและอากาศในชั้นชิดผิว (Skin Friction and Boundary Layers) เนื่องจากความหนืดของอากาศ เปนสาเหตุสําคัญที่ทําใหเกิดแรงตานของอากาศ ที่กระทํากับวัตถุ ซึ่งอากาศนั้นไหลผาน จึงจําเปนตองมองลงไปในธรรมชาติของอากาศ ที่อยูใกลกับผิวของวัตถุ อากาศเปนของไหลชนิดหนึ่ง เชนเดียวกับ น้ํา น้ํามันหลอลืน่ คือ มีความหนืด เรื่องของความหนืดถาดูจากน้ําเชือ่ มจะเห็นไดชัด ดังนั้นของไหลเหลานี้ ลวนมีความหนืดทั้งนัน้ เพียงแตวาจะมีมากนอยตางกันเทานัน้ เอง อากาศมีความหนืด นอยกวา ของไหลจําพวกน้ําหรือน้ํามันอยูแลว แตก็ยังมีและยังสงผล ใหเกิดแรงตาน เนื่องจากความหนืดของอากาศดวย
72
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
เขามาดูใกลๆในบริเวณที่อากาศอยูติดกับผิวของวัตถุ ในขณะที่อากาศกําลังไหล ในรูปที่ 3.3 ความเร็วของอากาศที่ติดกับผิว ความเร็วเทากับศูนย ถัดขึ้นมาจึงมี ความเร็วมากขึ้นตามลําดับ จนกระทั่งถึงที่ระดับหนึ่งความเร็วของอากาศ จึงเทากับ ความเร็วของกระแสอากาศอิสระ ระยะนี้จากผิวไปจนถึงจุดทีค่ วามเร็วเทากับ ความเร็ว ของกระแสอากาศอิสระ เรียกวา “ความหนาของชั้นชิดผิว (Boundary Layer Thickness)” ซึ่งมีคานอย และเรียกบริเวณดังกลาวนี้ทับศัพทวา “เลเยอร”
รูปที่ 3.3 การแจกแจงความเร็วของอากาศบริเวณชั้นชิดผิว และขอบเขต เปรียบไดกับ แผนวัสดุ บางๆวางซอนกันบนลอเลื่อนเคลื่อนที่ดวยความเร็วและแผนลางสุดถูกทําใหหยุด
ในรูปที่ 3.3 อากาศไหลดวยความเร็วคาหนึ่ง อยาง ยูนิฟอรม (ความเร็วและ ทิศทางเดียวกัน)กอนถึง แผนระนาบที่วางดังในรูป ดูความเร็วของอากาศในแตละจุด
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
73
ยังคงเทากันคือยูนิฟอรมอยู ตอเมื่อ ไหลขึ้นมาบนแผนระนาบ อากาศที่ติดกับผิวของ แผนระนาบ ถูกดึงใหหยุดเนื่องจากความหนืด และในชัน้ ถัดขึ้นมาก็ถูกดึง ทําให ความเร็วลดลง ตอกันขึน้ มาตามลําดับ มีลักษณะดังในรูป การแสดงรูปแบบ ของ ความเร็วแตละจุดนีเ้ รียกวา “การแจกแจงความเร็ว (Velocity profile หรือ velocity distribution ) ” ในบริเวณชั้นชิดผิว เพื่อใหเกิดความรูสึกเขาใจกับปรากฏการณนี้ จึงได เปรียบกับปรากฏการณ(ที่ทุกคนนาจะนึกภาพออก) ของวัสดุแผนบางๆ ทีว่ างซอนกันอยู บนลอ เลือ่ นและวิ่งมาดวยความเร็วคงที่คาหนึง่ ความเร็วเทากันทุกแผนตั้งแตแผน ลางสุด จนถึงบนสุด (เหมือนกับอากาศที่ไหลอยางยูนิฟอรมกอนถึงแผนระนาบ) เมื่อตัว ลอเลื่อนดานลางสุด ถูกทําใหหยุดลง แผนวัสดุมีแรงเสียดทานซึ่งกันและกัน เชนเดียวกับอากาศ แรงเสียดทานจะปรากฏขึ้น ในแตละชั้นของแผนวัสดุที่เรียงซอนกัน ขึ้นไป ตั้งแตลางสุดถึงแผนบน มีลักษณะดังในรูป คลายกับการแจกแจงความเร็วในชั้น ชิดผิว ซึ่งคาความเร็ว แปรไปจาก 0 ถึง V ในอากาศ จะเห็นไดวา ความเร็วของอากาศที่ติดกับผิวของวัตถุ เทากับศูนยและคอยๆมาก ขึ้น จนเทากับความเร็วปกติของอากาศที่ไหลเปนอิสระอยูนนั้ เปรียบไดกับวาผิวของ วัตถุ พยายามดึงอากาศที่กําลังเคลือ่ นที่ใหชาลงเปนสิง่ เดียวกับการที่อากาศพยายาม จะลากผิวของวัตถุนั้นตามอากาศไป เทาที่ความหนืดและ ความฝดบนผิวของวัตถุจะ อํานวย ถามีมากก็จะถายทอดแรงที่พยายามลากไปดวยมาก ถามีนอยก็ถายทอดแรงที่ พยายามลากไปดวยนอย สมมุติวาอากาศไมมีความหนืดเลย(ซึ่งเปนไปไมได) การที่ อากาศจะถายทอดแรงที่พยายามลากผิววัตถุไปดวยก็ไมมี คือแรงตานจากแรงเสียด ทานในกรณีนี้จะเทากับศูนย คลายกับวาถามือของเราลื่นมาก(อาจเปนเพราะเลอะ น้ํามัน) แตเราจับและพยายามลากหรือยก ของหนักๆ ก็คงทําไมไดเชนกัน หนทางใน การลดแรงตานเนื่องจาก แรงเสียดทานระหวางอากาศกับผิว ก็คือทําใหพื้นผิวของวัตถุ นั้นมีความลื่นใหมากก็จะชวยได คนที่เคยแจกไพจะทราบถึงปรากฏการณของแรงเสียด ทานระหวางพื้นผิว กับวัตถุที่เลื่อนไปบนผิวนัน้ ไดดี เมื่อโยนไพไปบนผิวทีล่ ื่น กับผิวทีฝ่ ด นั้นมีผลอยางไร แตคงไมจําเปนตองไปทดลองกับการแจกไพจริงๆ เทานี้ เราก็นาจะนึก ภาพออก และพอเขาใจถึงธรรมชาติ ของแรงเสียดทานได
74
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
3.3 ชั้นชิดผิวแบบ ลามินารและเทอบูเลนท (Laminar and Turbulent Boundary Layers) ตรงจุดเริ่มตนของพื้นผิว ความหนาของชั้นชิดผิว หรือเรียกยอๆวา “เลเยอร” ยัง ไมมีหรือเทากับศูนย แตจะคอยๆเพิม่ มากขึ้นดังในรูปที่ 3.4 แรงเสียดทานซึ่งตานการ เคลื่อนที่ของอากาศบริเวณผิว มีผลตอการไหลในชั้นชิดผิวมากขึ้นเรื่อยๆ ปริมาณ โมเมนตัม หรือพลังงาน ในอากาศมีการสูญเสีย(ถายเท)ออกจากอากาศ ในเหตุการณนี้ จะปรากฏลักษณะการไหลในชวงแรก ราบเรียบเปนระเบียบ เราเรียกลักษณะการไหล แบบนี้วา “การไหลแบบลามินาร (Laminar Flow)” และเมือ่ ระยะทางการไหลเพิ่มมาก ขึ้นลักษณะหรือรูปแบบการไหลคอยๆเปลี่ยนไปเปน ความปนปวน คือเปน การไหลทีไ่ ม ราบเรียบ และไมเปนระเบียบ เรียกลักษณะการไหลแบบนี้วา “การไหลแบบเทอบูเลนท (Turbulent Flow)”
รูปที่ 3.4 การไหลของอากาศผานแผนเรียบ ใน ชัน้ ชิดผิว หรือที่เรียกวา เลเยอร ชวงแรกมีลักษณะ การไหลที่ราบเรียบ และเปลีย่ นไปเปน การไหลที่ปนปวน
เลเยอร ของการไหลที่มีลกั ษณะเปน เทอบูเลนท มีความหนามากกวา เลเยอร แบบ ลามินารภายใตสถานการณเดียวกัน แตการไหลแบบเทอบูเลนทกอ ใหเกิด แรง ตานเสียดทาน มากกวา ในการสรางเครื่องบินจึงตองการใหเกิดการไหลใน เลเยอรที่เปน แบบลามินาร มากกวาเพื่อประโยชน ในการลดแรงตานเสียดทาน จากอากาศ แต
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
75
เปนไปไมไดที่จะทําใหการไหล มีลักษณะเปน ลามินาร แตเพียงอยางเดียว เพราะใน ธรรมชาติ ของการไหล มีแนวโนม ทีจ่ ะเปลี่ยนไปเปนแบบ เทอบูเลนทเปนปกติ เพียงแต จะเปลี่ยน ชาหรือเร็วเทานั้นเอง
รูปที่ 3.5 การลอยขึ้นของควันบุหรี่ ในหองที่อากาศนิ่ง เปนตัวอยางของการไหลแบบ ลามินารใน ตอนแรกและเปลี่ยนไปเปน เทอบูเลนท ในตอนทาย
ตั้งแตจุดเริ่มตน ตรงดานหนาของ แผนระนาบเรียบ(Flat plate) การไหลของ อากาศมีความราบเรียบ คือ ลามินาร และเปลี่ยนไปเปน ความปนปวน คือ เทอบูเลนท สวนของชวงของการไหลที่เปลี่ยนจาก ลามินารมาเปนเทอบูเลนทนั้น เรียกวา “ชวง เปลี่ยน (Transition)” มักเรียกทับศัพทวา “ทรานซิชัน” ปรากฏการณเชนนี้ ทุกคนคงเคย
76
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
เห็นมาแลว(แตอาจจะไมรูและไมไดสงั เกต) เชน ควันบุหรี่ที่ลอยขึ้นจากบุหรี่ ในอากาศ นิ่ง ถานึกภาพไมออกดูรูปที่ 3.5 ชวงแรกของควัน มีลักษณะการไหล เปนแบบลามินาร ตอเมื่อระยะทางเพิ่มขึ้น ควันที่ราบเรียบ ไดเปลี่ยนเปนการไหลแบบ เทอบูเลนท สังเกต ดูความปนปวนของการไหล ปรากฏการณเชนนี้ เปนธรรมชาติของการไหล ไมวาจะบน ผิวปกเครื่องบิน หรือ ที่อนื่ ๆ พื้นผิวที่มีความลื่นเปนมัน มีสวนชวยทําใหการไหล เปนลามินารไดไกลขึ้น การ เกิด เทอบูเลนท จะชาลง ถาบนผิวทีม่ ีสิ่งรบกวนการไหลยอมสงผลใหการไหลเปน เทอบู เลนทไดเร็วยิ่งขึ้นกวาที่ควร นั้นยอมหมายถึงแรงตานเสียดทาน เพิ่มขึน้ ตามมา ดวย เหตุผลดังกลาวจึงควรที่จะทําให บริเวณชายหนาของปก รวมทั้งผิวมีความสะอาดเรียบ อยูเสมอ ถาสังเกตดูจะเห็นวาหัวหมุดย้ํา ผิวปกจะเรียบไปกับผิว และมีการยาแนวรอง บนผิวปกเพือ่ ใหมีความเรียบใหมากที่สุด ถามีรอยหรือสิ่งรบกวนโผลขึ้นมาจากผิว ก็ควร ใหไปอยู ทางดานชายหลังของปก เพื่อเปนการลดแรงตานลง ความพยายามที่จะทําใหพื้นผิวของเครื่องบิน มีความราบเรียบเปนมันเงา เพื่อให การไหลของอากาศ บนพื้นผิวนั้น เปนการไหลแบบลามินาร ใหนานทีส่ ดุ เทาที่จะเปนไป ได เพื่อเปนการลดแรงตานไมใชเรื่องงาย เครื่องบินที่ถูกสรางมาใชงานจริง แมพยายาม แลวแตก็ยังคงมีบางสวนที่เปนคลื่น มีปุมเล็กๆ หรือ รอยบุมปรากฏใหเห็นเปนเรื่องปกติ แมวาเครื่องบินที่นําไปแสดงในงาน พื้นผิวก็ยังคงไมราบเรียบไปหมดทั้งลําอยูดี การที่จะ ทําใหสภาวะการไหลใน เลเยอรมีความเปน ลามินารในชวงยาวๆ นั้นคอนขางเปนเรือ่ ง ยากในทางปฏิบัติ อากาศที่ไหลอยูใน เลเยอร แมถูกรบกวนเพียงเล็กนอยก็สงผลใหการ ไหลนั้นกลายเปน เทอบูเลนทไดโดยงาย ลองมาพิจารณาดู ตัวอยางเหตุการณที่แสดงใหถึงเห็นการขยายตัวในเลเยอร ของกระแส อากาศที่มีความเร็ว 135 ไมลตอชั่วโมง (ประมาณ 216 ก.ม./ช.ม.)ไหลผาน แผนระนาบบางกวาง 30 นิ้ว (ในทิศทางของการไหล) ซึ่งเทากับความยาวคอรดแพน หางระดับของเครื่องบิน ไปเปอร เชอโรกี (Piper Cherokee) ทีส่ ภาวะปกติ ในบริเวณเล เยอรการไหลจะยังคงเปน ลามินาร ในชวงระยะประมาณ 3 นิ้ว จากชายหนา ทีจ่ ุดนี้เล เยอรมีความหนาประมาณ 0.03 นิ้ว และเมื่อการไหลใน เลเยอร เคลื่อนทีต่ อไป จึงกลาย
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
77
ไปเปนการไหลแบบเทอบูเลนท ความหนาของเลเยอรเพิ่มขึ้นเปน 0.1นิ้ว (โดยประมาณ) และความหนาจะเพิ่มขึน้ เปน 0.5นิ้ว ที่บริเวณชายหลังของแพนอากาศ ที่เปนแผน ระนาบนี้
รูปที่ 3.6 เปรียบเทียบอัตราการเปลี่ยนแปลงความเร็ว ทีเ่ ปนการไหลแบบ ลามินาร และเทอบูเลนท
แตถาพิจารณาความหนาของ เลเยอร โดยพิจารณาจากความเร็วของอากาศ ที่ หางออกมาจากพื้นผิว คือ ดูที่การแจกแจงความเร็ว หรือเรียกไดอีกอยางหนึ่งวา “โพร ไฟลความเร็ว (Velocity Profile)” ใน เลเยอร ที่เปนเทอบูเลนท อัตราการเพิ่มขึ้นของ ความเร็วจากพื้นผิว มีสงู มากกวาเมื่อเทียบกับ เลเยอรทเี่ ปนลามินาร ดังในรูปที่ 3.6 หมายความวา การไหลแบบ เทอบูเลนท สงผลตอการไหลของอากาศที่อยูเหนือพื้นผิว ขึ้นไป ในการลดความเร็วของกระแสอากาศลง มีบริเวณที่แคบกวาหรือหนานอยกวา (บริเวณที่มีการไหลแบบลามินาร) เพราะความเร็วของอากาศที่อยูหางจากพืน้ ผิวแต เพียงเล็กนอย ก็มีคาเกือบเทากับความเร็วกระแสอากาศอิสระ ดังนั้นความหนาของเล เยอรที่เปนเทอบูเลนท ที่ไปลดความเร็วของอากาศลง จะอยูที่ประมาณ 0.07 นิ้ว (นอย กวาของ ลามินาร ซึ่งเทากับ 0.1 นิ้ว) ที่บริเวณชายหลังของแพนอากาศ ทีก่ ลาวไปแลว
78
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
3.4 ตัวเลขเรยโนลด (Reynolds Number) เรยโนลด เปนชื่อของ นักวิทยาศาสตร มีชื่อเต็มวา ออสบอน เรยโนลด ซึ่งเปนผูที่ ไดคนพบ ธรรมชาติอยางหนึ่งของ ของไหล คือ กฎของความหนืด และการไหลในชั้นชิด ผิว ทีเ่ รียกวา เลเยอร เขาไดพบวา การไหลในชัน้ เลเยอร จะเปน ลามินาร หรือ เทอบู เลนท นั้น ขึน้ อยูกับ ความเร็ว ระยะทาง และความหนืด ที่เรียกทับศัพทวา “คิเนมาติก วิสคอสิตี (Kinematic Viscosity)” หรือ “ความหนืดจลน” คาตัวเลขเรยโนลดใชบอก คุณสมบัติของการไหล ในขณะที่กําลังไหล ถูกกําหนดไวดังนี้ ตัวเลขเรยโนลด (ใชสัญลักษณ) เมื่อ
Re
V d
(3.1)
ความเร็วของของไหล (หรืออากาศ) d ระยะทางวัดจากชายหนามา (หรือขนาดของวัตถุ) ความหนืดของของไหล (คิเนมาติกวิสคอสิตี Kinematic Viscosity) ตัวเลข เรยโนลด บอกเราดังนี้ คานอยการไหลนั้นเปนลามินาร คามากเปนเทอบู เลนท ลองนึกภาพดู โดยพิจารณาสมการขางบน ความเร็วมาก ระยะทางมากโอกาส เปน เทอบูเลนทสูง ยกตัวอยางเชน เครื่องบินทีป่ กมีความยาวคอรด 5 ฟุต ความเร็วใน การบิน 160 ก.ม./ช.ม. ที่ระดับน้ําทะเล จะไดคาตัวเลขเรยโนลด เทากับ 4.7 ลาน (ไมมี หนวย) V
3.5 เวก และแรงตานความดัน (Wake and Pressure Drag) ไดมีการพูดถึง แรงตานความดันไปบางแลวกอนหนานี้ ปรากฏการณของ แรง ตานความดัน เมื่อเกิด การแยกตัวของอากาศ (Separation) เวก (Wake) ที่บริเวณ ดานหลังวัตถุ ลักษณะการเกิดเวก จะเห็นไดชัดเจนกับน้าํ ที่ไหลวกกลับไปมาบริเวณ ทายเรือที่กําลังแลน ลองนึกภาพดู ตอนนี้เรามาดูสาเหตุของการเกิด เวก ในรูปที่ 3.1A เปนปรากฏการณ ที่เกิดการแยกตัวของอากาศดานหลังแผนระนาบ เนื่องจากขอบของ ระนาบเปนสวนสําคัญที่ทาํ ใหเกิดการแยกตัวของอากาศ เหมือนกับวา สันหรือขอบของ แผนวัสดุที่วา ไดกั้นไมใหอากาศไดไหลเรียบออมไปดานหลังได ซึ่งเปนเรือ่ งปกติ นี่คอื
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
79
ธรรมชาติของการไหลของอากาศ บริเวณที่มีการแยกตัวของอากาศ และมีเวกเกิดขึ้นนัน้ มักจะเรียกวา “อากาศตาย (Dead air)” ในธรรมชาติของการไหลที่เกิด เวก ขึน้ เปนเหตุทที่ ําใหมีแรงตานมาก จึงเปนจุดที่ นาสังเกตคือ ขนาดของเวก ยิ่งกวาง แรงตานความดัน ยิ่งมากตาม ในรูปที่ 3.7 เปนรูป วัตถุที่มีพื้นทีฉ่ ายดานหนาเทากันหมด คือเปนรูปวงกลม แตมีรูปรางตางกัน อยูใน กระแสอากาศที่มีความเร็วเทากันและสภาพแวดลอมเดียวกัน ในรูปที่ 3.7A เปนรูป กะลาหงาย หันดานเวาเขาหาทิศทางของกระแสอากาศ ขนาดของ เวก จะกวางกวาของ B ซึ่งเปนแผนกลมแบน ในกรณีนี้ แรงตานความดัน ของ A มากกวาของ B
รูปที่ 3.7 ขนาดของ เวก (Wake) ที่ปรากฏอยูดานหลังรูปทรงแบบตางๆบอกถึงขนาดของแรงตาน เนื่องจากความดัน ที่เกิดขึ้นภายใตความเร็วของกระแสอากาศและ สภาพแวดลอมเดียวกัน
ถึงแมวาพื้นที่ฉายดานหนาของรูปทรงตางๆ จะเทากัน แตแรงตานตางกัน ขึ้นอยู กับขนาดของ เวก ที่เกิดขึ้นดานหลังของรูปทรงดังกลาว แตในรูปที่ 3.7C จะเห็นวา เวก แคบลงกวาของ B และ D เวก ยิ่งแคบมากลงไปอีก นั่นคือ รูปทรงแบบหยดน้ําในรูปที่ 3.7D มีแรงตานความดัน นอยสุด แสดงใหเห็นวา เราสามารถปรับแตงรูปทรง เพื่อเปน การลดขนาดของ เวก ลงไปได ผลทีไ่ ดตามมาคือ การลดแรงตานที่กระทําตอ วัตถุ ที่อยู ในกระแสอากาศนั้น แตเปนทีน่ าเสียดายที่ อยางไรเสีย ธรรมชาติของการไหล การ แยกตัวก็ยังคงเกิดขึ้นอยูด ี ที่บริเวณทายสุดของวัตถุ ในรูปที่ 3.8 เปนการนํา เอาวัตถุมีรูปทรง เปนแผนกลมแบนคือ A และ เปนรูป หยดน้ํา คือ B โดยที่มีพื้นที่ฉายดานหนาเทากัน (เชนเดียวกับในรูปที่ 3.7 B และ D) ไป
80
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
ทําการทดลอง หาแรงตานกับสถานการณจริงในอุโมงคลม จะเห็นวา ที่ความเร็วของ อากาศเทากัน แตใหคาแรงตาน ตางกัน ของ A ใหคาแรงตาน เทากับ 2.6 ปอนด สวน ของ B ใหคาแรงตาน เทากับ 1.4 ปอนด ซึ่งนอยกวา A เกือบเทาตัว
รูปที่ 3.8 การทดลอง ในอุโมงคลม เพื่อหาแรงตานของวัตถุ ที่มีพนื้ ทีฉ่ ายดานหนาเทากัน แต รูปทรงตางกัน จะเห็นวารูปหยดน้าํ ใหแรงตานทีน่ อยกวา ที่ความเร็วเดียวกัน
อยางไรเสีย เราก็ยังคงตองการยับยั้งการเกิดการไหลแยกตัว ของอากาศ โดยทํา ใหมีบริเวณแคบที่สุดเทาที่จะทําได คือทําใหการไหลยังคงไหลเรียบติดกับผิวของวัตถุไป ใหนานที่สุด หรือมากที่สุดเทาที่จะเปนไปได เปนการชวยสงผลใหแรงตานความดัน ลดลงได แตการไหลเรียบติดกับผิวนั้น ทําใหคาของแรงตานเสียดทานมีมากขึ้น(โดย เฉพาะที่เปนเทอรบูเลนท) เราตองการจํากัดขนาดของแรงตานทั้งสองนี้ ใหนอยทีส่ ุด
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
81
อยางไรก็ตาม แรงตานทัง้ สองชนิดนี้ มีความสัมพันธกัน ความฝดของพื้นผิวมีผลตอการ แยกตัวของอากาศ ที่ทําใหเกิด เวก แรงตานความดันก็จะมากขึ้นดวย วัตถุที่มีรูปรางอวน คือมีความกวางมากกวาความยาว (ความยาวในแนวทิศ ทางการไหลของอากาศ) แรงตานความดัน มีอิทธิพลมากกวา แรงตานเสียดทาน เชน เครื่องยนต ฐานลอ สวนวัตถุ ที่มีรูปรางผอม เชน ปก ชุดแพนหาง แรงตานเสียดทาน มี ผลมากกวา แรงตานความดัน เพราะวา ชนิดของแรงตานที่ใหผลมากกับ วัตถุรูปรางอวน คือ แรงตานความดัน ดังนั้นการลดแรงตาน จึงเนนไปที่ ความกวางของ เวก ดานหลังวัตถุ จึงอยูที่การควบคุม เลเยอรของการไหลใหเปลี่ยนจาก ลามินาร ไปเปนเทอบูเลนท ใหไดเร็วทีส่ ุด ถึงแมวาเล เยอรที่เปนลามินารใหคาแรงตานเสียดทานนอยกวาก็จริง แตเมื่อเทียบกับแรงตานความ ดันที่เกิดจากเวกแลว ยังนอยกวาอยูดี การไหลใน เลเยอรแบบเทอบูเลนท ทําใหการไหล แยกตัวของอากาศเกิดชาลง สงผลให เวก แคบลงดวย
รูปที่ 3.9 เปรียบเทียบบริเวณของการเกิด เวก A การไหลใน เลเยอรเปนลามินาร มีการไหลแยกตัว เร็ว B การไหลใน เลเยอรเปนเทอบูเลนท เกิดการแยกตัวชากวา ทําให เวก แคบลง
ยกตัวอยาง ผลของการไหลในเลเยอร ที่มีตอแรงตานความดัน ของวัตถุรูปทรง กลม อยาง เชน ลูกกอลฟ หรือ รูปทรงกระบอก ก็ได ดังในรูปที่ 3.9 ที่คาตัวเลขเรยโนลด ต่ําๆ (คือ ความเร็วนอย หรือวัตถุมีขนาดเล็ก) เราสามารถทําใหแรงตานความดันลดลง ได ดวยการทําผิวของวัตถุ มีความหยาบเพื่อเปนการเรงใหเกิดการไหลเปน เทอบูเลนท ใหเร็วขึ้น เปนการทําใหการไหลแยกตัวเกิดชาลง เวกจึงแคบลงดวยทําใหแรงตานความ
82
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
ดันลดลง ดวยเหตุดังกลาวที่ผิวของลูกกอลฟ จึงไดทําใหมีหลุมเล็กๆ หรือลูกเทนนิสจึง ทําเปนลักษณะพื้นผิวหยาบดวยผา ปรากฏการณการไหล ของอากาศผานรูปทรงกระบอก ก็เชนเดียวกัน เสนลวด กลมถือวาเปนทรงกระบอก ที่มีความยาวมากเมื่อเทียบกับเสนผาศูนยกลาง เครื่องบิน สมัยเกา นิยมใชเสนลวดขึงเพื่อเปนการชวยเสริมความแข็งแรงปก โดยเฉพาะเครื่องบิน ปกสองชั้น ที่เราอาจจะเคยเห็นในรูป แมในปจจุบันเครื่องบินเล็ก เบาพิเศษ ยังนิยมใช ลวดสลิง ขึงเพื่อชวยการรับแรงของปก แตในแงของแรงตาน เสนลวดถือวาเปนชิ้นสวนที่ กอใหเกิดแรงตานมาก ทําใหพลังของเครื่องยนตที่ใช ในการขับเคลือ่ นเครื่องบินตอง สูญเสียไปกับ แรงตานในสวนนี้มาก ถาสังเกตดูใหดีเครื่องบินสมัยใหม โดยเฉพาะที่ตอง บินดวยความเร็วสูง จะมีรูปรางเรียบกลมกลืน ไมมีสายลวดโยงใหเห็น แมเครื่องบินที่ไม ใชความเร็วสูงก็ควรหลีกเลี่ยงการใช ลวดสลิง เสริมความแข็งแรง เพื่อผลดีในการลดแรง ตานลงไดมาก หมายถึงประหยัดพลังงานในการขับเคลื่อน และทําใหความเร็วในการ บินสูงขึน้ ดวย สวนชิ้นทีเ่ ปนรูปทรงกระบอกไดแก ฐานลอ ลูกลอ ก็ควรทีจ่ ะไดปรับปรุง ใหมีรูปราง หรือคลุมดวยรูปรางที่เปนทรงหยดน้าํ จะชวยลดแรงตานไดมาก จากขอมูล การปรับปรุงรูปทรงเพื่อลดแรงตานของเครื่องบิน ในกรณีดังกลาว สามารถทําใหแรง ตานลดลงไดถึง 700% ที่ความเร็วเดินทาง
3.6 สัมประสิทธิ์แรงตาน (Drag Coefficient) แรงตาน ก็คือแรงที่กระทําตอเครื่องบิน เชนเดียวกับ แรงยก สําหรับรูปทรงที่ กําหนดให ไมวาจะเปนเครื่องบิน หรือสิ่งอื่น ขนาดของแรงตานขึ้นอยูกับ 1. ความดันไดนามิก q (Dynamic Pressure) และ 2. คาคงที่เฉพาะ ของวัตถุนั้น แตถารูปทรงเหมือนกันทุกประการ เวนแตวาขนาด ตางกัน ก็ตอง ขึ้นอยูกับ 3. ขนาดของพื้นที่ฉาย ดวย คาคงที่เฉพาะ ที่วาก็คือ สัมประสิทธิแ์ รงตาน(Drag Coefficient) นั่นเอง เขียน อยูในรูปของความสัมพันธทางคณิตศาสตรไดดังนี้
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
แรงตาน(Drag)
=
1 C D V 2 A 2
= = = =
สัมประสิทธิแ์ รงตาน ความหนาแนนของอากาศ ความเร็วของอากาศ พื้นที่ฉาย (จะกลาวในรายละเอียดตอไป)
1 V 2 2
มักนิยมเขียนแทนดวย q
83
(3.2)
เมื่อ CD
V A
เทอมของ ความดันไดนามิก ดังนั้น
แรงตาน( Drag ) = C q A ดูจากความสัมพันธ ในสมการแลวจะเห็นวา มีลกั ษณะเดียวกับคาของแรงยกคือ ขึ้นอยูกับ ความดันไดนามิก และพืน้ ที่ฉาย เพียงแตวาความเร็วของอากาศที่อยูในรูป ของความดันไดนามิกจะถูกเปลี่ยนไปเปนแรงยก และแรงตาน ไดมากนอยอยางไรเทาไร นั้นเอง ซึ่งการออกแบบเครื่องบินก็พยายามที่จะทําใหไดคาแรงยกที่มาก ในขณะที่แรง ตานใหมีนอยที่สุด ในทางกลับกัน ถาเราตองการรูคา สัมประสิทธิแ์ รงตาน ของวัตถุที่มีรูปทรงแบบ หนึ่ง ก็สามารถหาไดจาก ความสัมพันธดังนี้ D
CD
Drag q A
(3.3)
ในทางปฏิบตั ิ การหาสัมประสิทธิ์แรงตาน ของรูปทรงที่เราตองการ ตองสราง แบบจําลองใหเหมือนกับรูปทรงที่เราตองการทุกประการ ยกเวนขนาด (ถาไดขนาดเทา ของจริงยิ่งดี ขอจํากัดอยูที่วา ขนาดตองพอเหมาะที่จะเขาไปทดลองในอุโมงคลมได) ติดตั้งบนบาลานซ(Balance) ซึ่งเปนอุปกรณหาขนาดของแรงที่เกิดขึน้ กับแบบจําลอง ในขณะทําการทดลอง เมื่อไดคาแรงตาน ก็นํามาหารดวย คาความดันไดนามิก และ พื้นที่ฉาย พื้นที่ฉายที่ไดกลาวไปแลว เปนอยางไร วัตถุเปนรูปทรงสามมิติ แตพื้นทีฉ่ ายเปน คาในสองมิติเทานั้น จึงเปนปญหาวาแลวจะเอา พื้นที่ฉายดานไหนมาใชในสมการจึงจะ เหมาะ ดูในรูปที่ 3.10 เปนลําตัวของเครื่องบิน ซึ่งฉายไปบน ระนาบทัง้ สามดาน คือ
84
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
ดานบน ดานหนา และดานขาง ในทางปฏิบัติ เราจะหยิบเอาพื้นที่ฉาย มาดานหนึ่ง เพื่อ แทนลงในสมการแตจะตองระบุ หรือ บอกลงไปใหชัดเจน เพื่อวา การนําเอาคา สัมประสิทธิแ์ รงตานตัวนี้ไปใช จะไดใชพื้นที่ฉายในลักษณะเดียวกัน เชน พื้นทีฉ่ าย ดานหนา (รูปรางมาตรฐานทั่วไปมักนิยมใช ไดแก ทรงกลม หยดน้ํา)
รูปที่ 3.10 แสดงพื้นที่ฉายของลําตัวเครื่องบินไปบนระนาบทั้งสาม
โดยทั่วไปแลว การหาคาสัมประสิทธิแ์ รงตานของรูปทรงที่อวน เชน ลําตัว ฐาน ลอ ฯ มักจะใช พื้นที่ฉายดานหนา (Frontal Project Area) แตถาเปนรูปทรง เพรียวบาง เชน ปก แพนหาง ฯ มักจะใช พืน้ ทีฉ่ ายดานบน (Top View) ในบางกรณีมีการนําเอา พื้นที่เปยก (Wetted Area) มาใชดวยเชนกัน คือพื้นที่ผิวของรูปทรง เปรียบเสมือนกับ การเอารูปทรงดังกลาวไปจุมน้ํา พื้นที่เปยกคือพืน้ ที่ผิวทีส่ ัมผัสกับน้ํานัน่ เอง บางครั้งชิ้นสวนที่ตองการหาสัมประสิทธิ์แรงตาน มีความสลับซับซอน เชน ชุด ฐานลอ ทีป่ ระกอบไปดวยชุดไฮดรอลิก ลูกลอ ดุมลอ เบรก ในกรณีเชนนี้ จําเปนตองใช พื้นที่กรอบนอก ของรูปทรงดังกลาวเชน ความกวางทั้งหมด คูณดวย เสนผาศูนยกลาง ลอ อยางกรณีของ รถยนต มอเตอรไซค คุณสมบัติทางอากาศพลศาสตรทตี่ องการทราบ ก็คือแรงตาน หรือ สัมประสิทธิแ์ รงตาน พื้นที่ ที่นํามาใชในการคํานวณหาคือ พื้นที่
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
85
สี่เหลี่ยมที่ลอ มกรอบรถยนต หรือมอเตอรไซค ทีต่ องการหา หรือ พูดไดอีกอยางวา พื้นที่ ที่ใช เทากับ สวนที่กวางที่สุด คูณดวย สวนทีส่ ูงทีส่ ุด เรื่องของพื้นที่ยังมีอีก คือ บางครั้งก็ไมจําเปนตองใช พื้นทีฉ่ ายดานหนาอยางที่ กลาวไปแลวทุกครั้งของการหา สัมประสิทธิแ์ รงตาน สําหรับรถยนต ดูในรูปที่ 3.11 เปน การเปรียบเทียบใหเห็น การนําเอาพื้นที่ มาใช กรณีแรก คือใชพื้นทีล่ อมกรอบซึ่งสะดวก ในการหา
รูปที่ 3.11 การพิจารณานําพื้นที่ฉายไปใชในการ คํานวณหา สัมประสิทธิ์แรงตาน ของรถยนต
ยอนไปดูคาความสัมพันธของคาสัมประสิทธิแ์ รงตาน C
D
Drag q A
กรณีที่สองคือใชพื้นที่ฉายดานหนาของรถยนตซึ่งจะเล็กกวากรณีแรก คาที่ได ยอมตางกัน เชน รถยนตในรูปที่ 3.11 ถาใชพื้นที่สเี่ หลี่ยมลอมกรอบ จะมีพื้นที่ A ซึ่ง ใหญกวา พื้นที่ฉายดานหนาของรถ A ดังนั้นคา สัมประสิทธิแ์ รงตานที่ไดจึงตางกัน คาแรงตานอันเดียวกัน แตถูกหารดวยคาที่มากกวา ก็จะใหแรงตานต่ํากวา ในปจจุบนั แรงตานของรถมีความสําคัญในการออกแบบรถ เพราะเปนสวนสําคัญในการชวย ประหยัดน้ํามัน คาสัมประสิทธิแ์ รงตานจึงหาจากพื้นที่ฉายดานหนาของรถ เพราะเปน คาที่ใหความเปนจริงของ สัมประสิทธิ์แรงตานในการพัฒนารูปทรงของรถยนต มากกวา การใช พื้นทีส่ ี่เหลี่ยมลอมกรอบ โดยเฉพาะเมื่อนําไปเปรียบเทียบกับรถยนตตางชนิดกัน big
86
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
เพื่อเปนการชวยให มีความเขาใจไดดียิ่งขึ้นในการหาสัมประสิทธิ์แรงตาน เรา ตามมาดูการทดลองหาสัมประสิทธิแ์ รงตานของรูป กะลา(Hemi sphere) ในอุโมงคลม ขนาดเล็ก ตอนแรก ทําการติดตั้งกะลา ใหหงายคือหันดานเวาเขาหาทิศทางลมซึง่ เคลื่อนทีจ่ ากซายไปขวา ดังในรูปที่ 3.12A อานคาความเร็วลมได 53 ไมล/ช.ม. เทากับ 77.75 ฟุต/วินาที เมื่อทําใหเปนคาความดันไดนามิกตามสูตร ได q เทากับ 6.85 ปอนด/ ตารางฟุต ความหนาแนนของอากาศ เทากับ 0.002265 สลัก/ลบ.ฟุต แรงตานที่อาน ไดจากเครื่องวัด เทากับ 0.52 ปอนด เขียนในรูปแบบทาง คณิตศาสตรไดดังนี้ แรงตาน D 0.52lbf ความดันไดนามิก q 6.85 lbf ft พื้นที่ฉายดานหนา A 0.049 ft แทนคาลงในสูตร ไดวา 2
2
สัมประสิทธิแ์ รงตาน C
A
D,A
D 0.52 1.55 q A 6.85 0.049
ไมมีหนวย
B
รูปที่ 3.12 การทดลองในอุโมงคลมเพื่อหาแรงตานจากรูปทรงกะลา (hemi sphere) ในลักษณะทีต่ างกัน
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
87
ตอมา หันกะลาโดยใหดา นนูน เขาหาทิศทางของลม ดังในรูปที่ 3.12B ทําการ ทดลองภายใตเงื่อนไขเดิม ทุกอยาง คือ ความเร็วลมเทากับ 53 ไมล/ช.ม. อานคาแรง ตานที่วัดไดเทากับ 0.24 ปอนด แทนลงในสูตร เพือ่ หาคาสัมประสิทธิ์แรงตาน สัมประสิทธิแ์ รงตาน C
D ,B
0.24 D 0.715 q A 6.85 0.049
ไมมีหนวย
จากคาที่หามาได แสดงใหเห็นวา สัมประสิทธิ์แรงตานลดลงกวาครึ่ง หรือ เทาตัว จากการทดลองอันนี้ บอกเราวาแมมี พื้นทีฉ่ ายดานหนาเทากัน แตถาไดปรับ เปลีย่ น ทิศทางหรือรูปรางเสียใหม ชวยทําใหคาสัมประสิทธิ์แรงตานลดลงไดมากกวา เทาตัว ประโยชนของคาสัมประสิทธิ์แรงตาน คือ ทําใหทราบถึงคุณสมบัติทางอากาศ พลศาสตรของรูปทรงนั้นๆ ทางดานขนาดแรงตาน สามารถนําไปใชหาคาแรงตานของ รูปทรงแบบเดียวกันแต มีขนาดตางกันได ภายใตความเร็วลมที่แตกตางกัน เชน เรา ตองการหาแรงตานของรูปกะลาที่มีพนื้ ที่ฉายดานหนา โตเปน 10 เทาของที่ใชทดลองใน อุโมงคลมที่กลาวไปแลว ภายใตความเร็วลมเทากับ 100 ไมล/ช.ม. (146.7ฟุต/วินาที) โดยเลือกการหันดานนูน เขาหาทิศทางลม นําเอาคา C 0.715 ไปแทนคาลงในสูตร ขอสําคัญคือหนวยที่ใชตอ งเปนมาตรฐาน ดังตัวอยางที่แสดงไปแลว ดังนี้ D ,B
สมมุติวาความหนาแนนของอากาศเทาเดิม คือ 0.002265 slug หาคา ความดันไดนามิก q
ft 3
1 1 V 2 (0.002265 slug ft 3 ) (146.7 ft s ) 2 24.372 lbf ft 2 2 2
แทนลงในสูตรไดวา แรงตาน D C q A (0.715) (24.372 lbf ft ) (0.49 ft ) 8.54lbf (ปอนด) ขอสังเกต หนวยของความเร็ว ที่ใชแทนในสมการ ตองเปน ฟุต/วินาที ft s 2
2
D
3.7 แรงตานเหนี่ยวนํา (Induce Drag) จากปรากฏการณที่กลาวไปแลวในบทที2่ เรื่องของการไหลวนของกระแสอากาศ ที่ปลายปก (หรือที่เรียกวาวอเทกปลายปก) สงผลใหมีการเหนี่ยวนําอากาศที่กําลัง เคลื่อนที่ เขามาทางดานชายหนาของปกเบี่ยงลง หรือที่วามี ดาวนวอช (Downwash)
88
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
ทําใหคามุมปะทะทีส่ งผลใหเกิดแรงยกจริงๆนั้นลดลง ดาวนวอช ยังเปนสาเหตุของ แรง ตานเหนี่ยวนํา D ในความเปนจริงดาวนวอชจะไมเทากับศูนย ตราบใดที่ปกของ เครื่องบินยังมีปลายปก เพียงแตวาจะมีคามากหรือนอยเทานัน้ เอง บางครั้งเราเรียกแรง ตานเหนี่ยวนําวา “แรงตานเนื่องมา จากแรงยก (Drag due to Lift)” หนทางทีจ่ ะลดแรงตานเหนี่ยวนําลงคือ การเพิ่มคา แอสเปกเรโช (Aspect Ratio AR) ดวยการทําใหปกยาวขึ้น เมื่อเทียบกับความยาวคอรด ดังที่ไดกลาวไปแลวในบทที่ 2 แรงตานเหนี่ยวนําสามารถวัดไดเชนเดียวกับ แรงตานพาราไซท และ คาสัมประสิทธิ์ แรงตานเหนีย่ วนํา (Induce Drag Coefficient) ไดถูกกําหนดมาในรูปของสมการ เชนเดียวกับ คาสัมประสิทธิ์แรงตานทีก่ ลาวไปแลว i
Di q A
ดังนี้
C Di
และ
Di CDi q A
(3.4) (3.5)
แตเนื่องจากวา คาแรงตานเหนี่ยวนํา ขึ้นอยูกับคาของแรงยก และขึ้นอยูก ับคา แอสเปกเรโช AR ของปก จึงสามารถเขียนอยูในรูปความสัมพันธทางคณิตศาสตรได ดังนี้ C Di k
C L2 AR
(3.6)
โดยที่ k เปนคาคงที่ เฉพาะปก ซึ่งขึ้นอยูกับ รูปรางของปก การติดตั้งปกเขากับลําตัว ฯ ปกเปนรูปวงรี (Elliptical shape) ไมมีลําตัวคา k 1 (คา เปนคาคงที่ทาง คณิตศาสตร เทากับความยาวเสนรอบวงของวงกลม หารดวย เสนผาศูนยกลาง มี คาประมาณ3.1416) ซึ่งถือไดวาเปนคาที่นอยที่สดุ ของ k แสดงวา ปกเปนรูปวงรีให คาแรงตานเหนี่ยวนํานอยที่สุด ในบรรดาปก ที่มีรูปรางอื่นๆหมายความวาถาปกมีรูปราง เปนอยางอื่นเชน สี่เหลี่ยมผืนผา หรือ เทเปอ คา k จะมากกวาของปกรูปวงรี ดังนั้นถา ตองการลดแรงตานเหนี่ยวนํา ตองทําปกเปนรูปวงรี อยางเชน ในชวงสงครามโลก ครั้งที่ 2 เครื่องบินรบของอังกฤษชื่อ “สปตฟาย (Spitfire)” ไดถูกออกแบบมาให ปกเปนรูปวงรี หรือเขาใกลความเปนวงรี (near-
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
89
elliptical shape) ในรูปที่ 3.13 แตตนทุนในการสรางคอนขางสูง จึงทําใหตอมาในระยะ หลังจึงไมคอยมีปรากฏใหเห็น เครื่องบินรุนใหม หันมาใชปก เทเปอ แทน เพราะให ประสิทธิภาพที่ดี ในราคาตนทุนที่ถกู กวามาก ซึ่งถือวามีความคุมคามากกวาเมื่อเทียบ กับผลที่ไดรับ
รูปที่ 3.13 เครื่องบินรบของอังกฤษ ชื่อ สปตฟาย ถูกออกแบบใหใชปกเปนรูปวงรี เพื่อลดแรงตานเหนี่ยวนํา
90
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
จากสมการที่แสดงใหเห็น ความสัมพันธระหวาง สัมประสิทธิ์แรงตานเหนี่ยวนํา กับสัมประสิทธิ์แรงยก นํามาเขียนไดใหมดังนี้ จากสมการ(2.3)
CL
L L qS 1 2 V S 2
จากสมการ(3.5) นํามาเขียน ไดดังนี้ 1 Di C Di V 2 S 2
แทนคา C จากสมการ (3.6) ไดวา Di
C2 1 Di k L V 2 S AR 2 2
k L 1 12 V 2 S Di 2 AR 2 V S
จัดรูปสมการใหมจะไดดังนี้ k L2 Di AR ( 12 V 2 ) S
(3.7)
สมการที่ 3.7 บอกเราวา แรงตานเหนี่ยวนํา แปรผกผันกับ ความเร็วของอากาศ ยกกําลังสอง คือ ถาความเร็วยิ่งมาก แรงตานเหนี่ยวนํายิ่งลดลง เราสามารถจัดรูป สมการเสียใหม ใหอยูในรูป ของความยาวในการกางปก b และ ในกรณีที่บินในแนว ระดับ แรงยก L ตองเทากับ น้ําหนักของเครื่องบิน W พอดี และ AR b S สมการ (3.7) จะกลายเปน 2
Di
Di
(W ) 2 k b 2 ( 12 V 2 ) S S
kW 2 2 2 1 2 V b
(3.8)
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
91
ในสมการ (3.8) บอกเราวา แรงตานเหนี่ยวนํา D ขึ้นอยูกับปจจัย หลายอยาง ซึ่ง แสดงใหเห็นอยูแลวในสมการ คือแปรตาม คาคงที่ k และ น้ําหนักของเครือ่ งบินยกกําลัง สอง แตแปรผกผันกับ ความเร็วเครื่องบินยกกําลังสอง และ ความยาวในการกางปกยก กําลังสอง ความหนาแนนของอากาศก็เชนกัน แสดงใหเห็นวา การบินในระดับสูง ความ หนาแนนของมวลอากาศมีนอย แรงตานเหนี่ยวนําก็จะมาก ดังนั้นเราพอสรุป ไดวา ขนาดหรือคาของแรงตานเหนี่ยวนํานั้น ขึน้ อยูกับ i
-W -k - -
2
1
1 V2 1
b2
น้ําหนักเครื่องบิน ยิ่งมาก การออกแบบ และถูกสรางมาแตแรก ระดับความสูงในการบิน ยิ่งมาก ความเร็วในการบิน ยิ่งชา ความยาวในการกางปก ยิ่งนอย (อยูในสวนของการออกแบบ)
Di ยิ่งมาก Di ยิ่งมาก Di ยิ่งมาก Di ยิ่งมาก
ปจจัยทีท่ ําให คาแรงตานเหนี่ยวนํามาก สวนหนึ่งคือ ระดับการบิน ดังนัน้ เครื่องที่ ถูกออกแบบมาใหบินที่ระดับความสูงมากๆ ตองมีคา แอสเปกเรโช AR สูงๆ ก็คือการ กางปกมากเมื่อเทียบกับคอรด เชน เครื่องบินลาดตระเวนสอดแนม ชื่อ ลอกฮีด U-2 reconnaissance ถูกออกแบบมาใหมีคา AR= 14.3 เพื่อใหสามารถบินที่ระดับความสูง มากๆไดอยางมีประสิทธิภาพ รูปที่ 3.14 จากสมการ(3.6)
C Di k
C L2 AR
และคา k 1 (สําหรับปกวงรีที่สมบูรณแบบ)
ดังนั้น สามารถเขียนใหมดังนี้
C Di
C L2 e AR
(3.9)
เมื่อ คือคุณสมบัติเฉพาะของปก ขึ้นอยูกบั รูปรางปก มีคามากสุด =1 คือปกที่เปน วงรีสมบูรณแบบ(Elliptical planform) สําหรับปกแบบอื่นๆ e มีคานอยกวา1 e
92
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
รูปที่ 3.14 เครื่องบิน Lockheed U-2 ถูกออกแบบมาใหบินที่ระดับความสูงมากมีคา AR=14.3
ตัวอยาง การหาคา แรงตานเหนี่ยวนํา พิจารณาเครื่องบิน นอททอป F-5 มีพื้นที่ปก 170 ตารางฟุต ปกมีแรงยก 18,000 ปอนด ที่ความเร็ว 250 ไมล/ช.ม. ที่ระดับน้ําทะเล จงหาสัมประสิทธิ์แรงยก C วิธีทํา L
88 V 250 366.7 ft / s 60 1 1 q V2 0.002377 366.7 2 159.8lbf / ft 2 2 2 18000 L 0.6626 CL (คําตอบ) q S 159.8 170
เปลี่ยนหนวยความเร็วใหเปนมาตรฐาน หาคาความดันไดนามิก ดังนั้นสัมประสิทธิแ์ รงยก
เครื่องบิน นอททอป F-5 กางปก (wingspan) 25.25 ฟุต จงหาสัมประสิทธิ์แรงตาน เหนี่ยวนํา C และแรงตานเหนี่ยวนํา D โดยกําหนดให e 0.8 Di
i
คาแอสเปกเรโช สัมประสิทธิแ์ รงตานเหนีย่ วนํา C แรงตานเหนีย่ วนํา
b 2 25.252 3.75 S 170 0.66262 C L2 0.0466 e AR 0.8 3.75 AR
Di
Di q SC Di 159.8 170 0.0466 1266lbf
(คําตอบ) (คําตอบ)
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
93
3.8 แรงตานรวม (Total Drag) แตละหัวขอกอนหนานี้ไดกลาวถึง แรงตานแตละแบบมาแลว ทั้งจากรูปทรงที่ อวน เพรียวบาง ลักษณะพื้นผิว สงผลตอการเกิดแรงตานประเภทไหนอะไรเปนเหตุ ผล ของอากาศวนปลายปกทําใหเกิด แรงตานเหนี่ยวนํา เครื่องบินทั้งลําทีล่ อยอยูในอากาศ มีแรงตาน ประกอบไปดวย แรงตานพาราไซท และแรงตานเหนี่ยวนําอันเนือ่ งมาจากแรง ยก แรงตานทุกแบบไมวาจากความฝดของพื้นผิว จากความดันที่กระทําตอพื้นผิว ยกเวนแรงตานเหนี่ยวนําถือวาเปน แรงตานพาราไซท เปนทีท่ ราบวา ความเร็วยิ่งมาก แรงตานพาราไซทก็จะมากตาม ตรงขามกับแรงตานเหนี่ยวนําที่ลดลงเมื่อความเร็ว เพิ่มขึ้น แรงตานที่เกิดขึน้ ทั้งหมดเราเรียกวา “แรงตานรวม (Total Drag)” D D D (3.10) แรงตานรวม เมื่อ D แรงตานพาราไซท D แรงตานเหนีย ่ วนํา total
P
i
P
i
(3.11)
Dtotal C DP q S C Di q S
เมื่อ
C Di
สัมประสิทธิแ์ รงตานพาราไซท สัมประสิทธิแ์ รงตานเหนีย่ วนํา
S
พื้นที่ฉาย
C DP
จากสมการ(3.8) และ (3.11) นํามาเขียนใหม kW 2 Dtotal C DP 12 V 2 S 1 2 2 2 V b
(3.12)
ทําการจัดรูปสมการเพื่อใหงายตอการพิจารณา โดยจัดกลุมคาคงที่ ไดแก น้ําหนักเครื่องบิน W ระยะกางปก b พื้นที่ฉาย S และ ความหนาแนนอากาศ ทําใหไดคาคงที่ สองคา ยกเวนความเร็ว คือ K
1
12 C DP S
1 Dtotal K1 V 2 K 2 2 V
และ K
2
2kW 2 b 2
ดังนั้น (3.13)
94
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
พิจารณาดูสมการ (3.13) ทางขวามือ เทอมแรกก็คือ แรงตานพาราไซท เห็นได ชัดเจนวา ขึ้นอยูกับคาของความเร็วยกกําลังสอง เทอมที่สองคือ แรงตานเหนี่ยวนํา แปรผกผันกับ คาความเร็วยกกําลังสอง ความสัมพันธระหวาง แรงตานทั้งสองแบบ กับคาของความเร็ว นํามาพลอตได ดังในรูปที่ 3.15 แรงตานพาราไซทเริ่มตนที่ ศูนย เมื่อความเร็วเทากับ ศูนย เมื่อความเร็ว เพิ่มขึ้นแรงตานพาราไซทก็เพิ่มขึ้นแบบกราฟพาราโบรา สําหรับ แรงตานเหนี่ยวนํา ที่ ความเร็วเทากับศูนย เริ่มที่ อินฟนิตี และลดลงเมื่อความเร็วเพิ่มขึ้น แรงตานรวม ไดจาก การรวมแรงตาน ทั้งสองนี้เขาดวยกัน แสดงดวยเสนประ
รูปที่ 3.15 กราฟแสดงความสัมพันธของแรงตานทั้งสองแบบ และแรงตานรวม ใหสังเกต ตําแหนง แรงตานรวมต่าํ สุด
สังเกตดู ที่เสนกราฟของแรงตานรวม จะเห็นวามีคาต่ําสุดอยู ตรงบริเวณที่กราฟ ของแรงตานทั้งสองประเภทตัดกัน คือแรงตานพาราไซท และแรงตานเหนี่ยวนํา จาก เสนกราฟบอกเราวาถาความเร็วมากหรือ นอยไปกวาจุดนี้ คาแรงตานรวม ก็จะเพิ่มขึน้ ดังนั้น ณ จุดนี้จึงมีความสําคัญ ที่ชวยใหเรา รูวาควร บินที่ความเร็วเทาไร ในการรักษา
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
95
สมรรถนะคือ การสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ชวงของการบินไต ในระดับความสูง ที่ตองการ ใน ธรรมชาติการเพิ่มขึ้นของแรงตานเหนีย่ วนํานั้นเพิม่ ขึ้นไดรวดเร็วกวา แรงตานพาราไซท
3.9 แบบอื่นๆของแรงตานพาราไซท (Special Types of Parasite Drag) อยางที่ไดบอกไปแลววาแรงตาน ที่เกิดขึ้นกับเครื่องบิน ถาไมใชแรงตาน เหนี่ยวนํา เราจะจัดวาเปนพวก แรงตานพาราไซท แรงตานทั้งหลายทีเ่ กิดขึ้นกับ เครื่องบิน มีมาจากหลายสาเหตุ และเราก็ตั้งชื่อตามสาเหตุของ แรงตานเหลานัน้ สาเหตุหลักจริงๆก็ยังคงเปนเรื่องของ แรงตานความดัน คือความแตกตางของความดัน ดานหนากับดานหลัง ที่กระทํากับชิ้นสวนตางๆของเครื่องบิน และแรงตานเสียดทาน คือ ผลจากความหนืดของอากาศ ที่พยายามลากพื้นผิวของวัตถุให ไปกับอากาศที่ไหลผาน ธรรมชาติของแรงตานที่เกิดขึ้นมีลักษณะแตกตางกันไปในแตละสวนของเครื่องบิน มี ความสลับ ซับซอนมากพอสมควร การที่จะอธิบายอยางสั้นๆ เพื่อใหเขาใจกระจาง ทั้งหมด นั้นเปนไปไดยาก แตเราสามารถเขาใจภาพรวมหรือสาเหตุสําคัญได - แรงตานซึง่ เกิดจากการรบกวนซึ่งกันและกัน (Interference Drag) ขอเรียกเปนภาษาไทยสัน้ ๆวา “แรงตานรบกวน” เนื่องจากเครื่องบินทั้งลํา นั้น ประกอบดวยชิ้นสวนตางๆเขาดวยกัน เพื่อใหเปนเครื่องบินทีส่ มบูรณแบบ ชิ้นสวนแตละ ชิ้นถูกออกแบบมาใหมีแรงตานนอยในสภาวะทีท่ าํ การทดลองโดดๆ (ยังไมไดประกอบ เขาดวยกันกับสวนอื่น) แตเมื่อนําชิ้นสวนทั้งหลายเหลานัน้ มาประกอบเขาดวยกันเปน ลําตัวเครื่องบิน จะพบวา มีแรงตานเพิ่มมากขึ้นจากการที่ชิ้นสวนแตละชิน้ ที่นํามา ประกอบเขาดวยกัน ทําใหอากาศที่ไหลผาน มีการรบกวนซึ่งกันและกัน ทั้งในแงของ เล เยอ วอเทก ความเร็วของอากาศ ที่สงู ขึ้นในบางพืน้ ผิวจากผลกระทบของชิน้ สวนอื่น แรง ตานที่เพิ่มขึน้ มานี้เราเรียกวา “ แรงตานรบกวน(Interference Drag) ” การแกไขเพื่อให แรงตานในกรณีนี้ลดลง ก็ดวยการทํา ฟลเลต(Fillet) คือการพอกหรือเสริมเนื้อเขา ไปในสวนที่เปนมุม ซอก เพื่อใหมุมนั้นมีความโคงมนกลมกลืน จะเปนการชวยลด แรงตานรบกวนไดอยางดี เชน เครือ่ งบินที่ มีปกอยูดานลางของหองโดยสาร ที่นยิ ม
96
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
เรียกวา “เครื่องบินปกอยูลาง” การไหลของอากาศดานบนของผิวปกมีความเร็วสูง ดังนั้นมีความจําเปนอยางยิ่งที่ตองปรับสวนตอระหวาง ลําตัวกับปกใหมีความกลมกลืน ดวยการ ฟลเลต แตสําหรับเครื่องบินปกอยูดานบนของหองโดยสาร อาจไมจําเปนตอง ทําการ ฟลเลต เพราะการไหลของอากาศผานผิวดานบนของปกไมมีการรบกวนจาก ลําตัวเครื่องบิน แรงตานรบกวน มีสวนอยางมากที่ทําใหการคาดคะเน คาแรงตานรวมของ เครื่องบิน ผิดพลาด ดวยการนําเอาคาแรงตานแตละสวนมารวมกัน ดังนั้นจึงจําเปนตอง มีคาตัวเลขทีใ่ ชในการปรับแกให คาที่ไดถูกตองใกลเคียงความจริงมากที่สุด ซึ่งขึ้นอยู กับ รูปรางของปก การตอเขาดวยกันของชิ้นสวนแตละชิ้น จํานวนจุดตอ จํานวนและ ลักษณะของแฟริง(Fairing) ที่นํามาเสริม แฟริง(Fairing) คือ ชิ้นสวนที่ถูกสรางขึ้นมาเพื่อชวยลดแรงตาน หรือเพิ่ม สมรรถนะ ในทางอากาศพลศาสตรของยานพาหนะที่ตองการวิ่งดวยความเร็วสูง เชน รถมอเตอรไซค รถยนต เรือ โดยเฉพาะเครื่องบิน มักจะมีรปู รางกลมกลืน น้ําหนักเบา ครอบ หรือยึดเขากับอุปกรณที่ตองการลดแรงตาน หลายทานคงเคยเห็น แฟริงของ มอเตอรไซค หรือรถยนตกันมาแลว - แรงตานจากการระบายความรอน (Cooling Drag) การระบายความรอนออกจากเครื่องยนต จําเปนตองมี ไมวาจะระบายความรอน ดวยอากาศ หรือดวยวิธีอื่น ในเครื่องบินขนาดเบาสวนใหญระบายความรอนของ เครื่องยนตดวยอากาศ ดังนั้นอากาศ สวนหนึ่งตองไหลเขาไปในหองเครื่องยนต ผาน ครีบระบายความรอน และสวนตางๆของเครื่องยนต เปนการชวยลดความรอนของ เครื่องยนตลง แรงตานจากกรณีนี้มีมากเปนแรงตานพาราไซท การสูญเสียพลังงานหรือ โมเมนตัมในอากาศที่ไหลผานเขามาในหองเครื่องยนต ก็คือแรงตานที่เกิดขึ้น ในอดีตยังไมไดใหความสําคัญ ในการลดแรงตาน ทีเ่ กิดจากการใชอากาศไป ระบายความรอน ของเครื่องยนตลง ดวยอาจจะเห็นวาไมใชปญหาใหญสําหรับแรงตาน ที่เกิดขึ้นจากการระบายความรอน แตในยุคปจจุบนั ตองการสรางเครื่องบินที่มีสมรรถนะ สูงขึ้น จึงตองใสใจกับทุกเรื่องที่ จะชวยใหเครื่องบินมีสมรรถนะที่ดีขึ้น จึงไดตดิ ตั้ง
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
97
อุปกรณที่กํากับปริมาณอากาศ ที่ไหลเขาไประบายความรอนของเครื่องยนต ใหได ปริมาณเทาที่จําเปน คือถาใหอากาศไหลเขามากเกินกวาความจําเปนก็เปนการเพิ่มแรง ตานโดยใชเหตุ ดังนั้นอุปกรณที่วานี้จะเปดรับอากาศเขาไประบายความรอนมากขึ้น ใน กรณีที่เครื่องยนตตองจายกําลังมาก เชน เวลาไตใหสูงขึ้น แตเมื่อกําลังบินเดินทาง หรือ ลดระดับ เครื่องยนตทํางานไมมาก ก็ปรับชองรับอากาศใหนอยลงเปนการลดแรงตาน ชวยใหประหยัดน้ํามันเชือ้ เพลิง อุปกรณที่วานี้เรียกวา “คราวแฟลบ (Cowl flaps)” แต อยางไรก็ตาม การคนควาพัฒนาเพื่อชวยลดแรงตานในกรณีนี้ก็ยังคงมีอยูตอไป - แรงตานโพรไฟล (Profile drag) แรงตานโพรไฟล (Profile drag) เปนแรงตานเนือ่ งมาจาก ความดันของอากาศ บนพื้นผิว รวมกับแรงเสียดทาน ระหวางพื้นผิวกับ อากาศ เชนเดียวกับ แรงตานพารา ไซท ประกอบดวย แรงตานความดัน c รวมกับ แรงตานเสียดทาน c แตเปนการ พิจารณาในสองมิติ 2-D ดังนั้นจึงสามารถหาไดภายใตการทดลองในอุโมงคลมแบบ สองมิติ สัมประสิทธิแ์ รงตานโพรไฟลจึงใชสัญลักษณ เปนอักษรตัวพิพม เล็กดังนี้ แรงตานโพรไฟล c c c ในรูปที่3.16 แสดงใหเห็นวาสัมประสิทธิ์แรงตานโพรไฟล c แปรตามสัมประสิทธิ์แรง ยก c ตรงจุดที่ c 0 จะอยูใกลกบั จุดที่ คาสัมประสิทธิ์แรงตานโพรไฟลต่ําสุด c d,p
d
d,f
d,p
d, f
d
l
l
d min
รูปที่ 3.16 แรงตานโพรไฟล (profile drag) แปรคาตามแรงยก คาทีไ่ ดจากการทดลองแบบ2-มิติ
98
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
3.10 สรุปรวมแรงตานแตละแบบ เนื่องจากแรงตานมีหลายแบบ เพือ่ ลดความสับสนลง และชวยใหแยกแยะได ชัดเจนขึ้นจึงนํามาแจกแจงใหดูกันอีกครั้งหนึ่ง ดังนี้ 1. แรงตานความดัน (Pressure drag หรือ form drag) เปนแรงตานเนื่องมาจาก ผลของความแตกตางของ ความดันที่กระทําตอผิวของวัตถุ ไปในทิศทางการไหลของ กระแสอากาศ 2. แรงตานเสียดทาน (Skin friction drag หรือ viscous drag) เปนแรง เนื่องมาจากความหนืดของอากาศกับความฝด ของพื้นผิววัตถุ ดวยวา อากาศพยายาม จะลากพืน้ ผิวไปในทิศทางที่อากาศกําลังเคลื่อนที่ไป 3. แรงตานพาราไซท (Parasite drag) เปนผลรวมของแรงตานในขอ 1. ขอ 2. และ แรงตานแบบอื่นๆ เชน ในขอ 4 ขอ 5 จัดวาเปนแรงตานพาราไซท ทั้งสิน้ ใน ภาษาไทยมักเรียกวา “แรงตานติดตามตัว” ยกเวนแรงตานเหนี่ยวนํา (Induce drag) 4. แรงตานรบกวน (Interference drag) เปนแรงตานที่เพิ่มขึน้ จากแรงตานเดิม ของแตละชิน้ ที่มีอยูแลว เนื่องจากการที่นําชิ้นสวนตั้งแตสองชิ้นมาประกอบเขาดวยกัน หรืออยูใกลกัน 5. แรงตานจากการระบายความรอน (Cooling drag) เนื่องจากอากาศตองไหล ผานเขาไปในหองเครื่องยนต ผานพืน้ ผิวเพื่อการระบายความรอนของเครื่องยนต 6. แรงตานเหนี่ยวนํา(Induced drag) เปนแรงตานที่เกิดขึ้นจากการไหลใน 3-มิติ มีการหมุนของอากาศปลายปก และเปนผลมาจากแรงยก
3.11 ผลกระทบจากการบินต่ําใกลพื้น (Ground Effect) กอนจะจบในบทของแรงตาน ยังมีปรากฏการณที่จะนํามากลาวไวในตอนนี้ดวย คือ กรณีที่เครื่องบิน บินในระดับต่ําใกลพื้นดิน และมีผลกระทบจากพื้นคือ มีแรงยกเพิ่ม ขึ้นมา มีลักษณะคลายกับเบาะอากาศ เรียกทับศัพทวา “กราวนดเอฟเฟก (Ground effect)” นักบินที่ขับเครื่องบินในระยะใกลพื้นทราบถึงปรากฏการณนี้ดี และหลายคนได พยายามอธิบาย เชน เปนเพราะอากาศที่ไหลลงกระทบกับพืน้ ทําใหสะทอนขึ้นมายังปก
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
99
เครื่องบินอีก หรือ อากาศที่อยูใตปกเหนือพืน้ มีความดันสูงขึ้น และทําใหเห็นวา เครื่องบินที่มปี กอยูลาง นัน้ มีขอดี ในแงของความปลอดภัย เมื่อตองบินต่ํา
รูปที่ 3.17 พืน้ ดินกั้นอากาศหมุนวนปลายปกเปนการลดกําลัง วอเทก ลง เมื่อบินในระดับต่ําใกลพนื้
เหตุผลที่แทจริงคือ การที่ปกเครื่องบินอยูใกลกับพื้นทําให ดาวนวอชที่เกิดขึน้ เนื่องจาก วอเทกปลายปกนั้นลดลง เพราะพื้นกั้นกระแสอากาศในทิศทางที่จะทําให อากาศหมุนลงได อยางการบินในระดับสูง ดูรูปที่ 3.17 สงผลใหแรงยกมากขึ้นในขณะที่ แรงตานลดลง (ลองยอนไปพิจารณาในหัวขอเรื่องแรงยก และแรงตาน ในสวนที่ เกี่ยวของกับ วอเทกปลายปก ดูอีกครั้งหนึ่งถายังนึกภาพไมออก) เมื่อระยะ ความสูง ระหวางปกกับพื้นลดลง วอเทกปลายปกก็จะสงผลใหเกิด ดาวนวอชนอยลง ดังนั้นถา ระยะความสูงของปกมายังพื้นยิ่งนอยลง มุมปะทะสงผล (effective angle of attack) มากขึ้นเพราะ ดาวนวอชนอยลง ( นอยลง) ทําใหเกิดแรงยกสูงขึ้น และแรงตาน เหนี่ยวนําลดลง ในรูปที่ 3.18 เปนกราฟ แสดงความสัมพันธ ระหวาง แรงตานเหนี่ยวนํา D ( เปนจํานวนเทาของแรงตานเหนี่ยวนําปกติ เมือ ่ ไมมีพื้นเขามากั้น) กับ ระยะความ สูงของปกจากพื้น ( เปนจํานวนเทาของความยาวกางปก wingspan b ) ในรูปแสดงให เห็นวา ถาความสูงของปกจากพื้นเกินกวา คาชวงความยาวปก ผลกระทบของพื้นดินใน การที่จะชวยลด วอเทก ก็ไมมี eff
i
i
100
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
รูปที่ 3.18 กราฟแสดงความสัมพันธ ระหวางแรงตานเหนี่ยวนํา กับความสูงของปกจากพืน้ เมื่อบิน ต่ําลงใกลพื้น
ผลที่ไดตามมาอีก ก็คือวอเทกปลายปก ทีส่ งผลไปยังแพนหางระดับลดลงดวย ชวยใหแรงยกของแพนหางระดับมีมากขึ้น เปนการเพิ่มโมเมนตกม (Pitching moment) กับตัวเครื่องบินอีกดวย จากผลกระทบของพื้นทีม่ ีตอ สมรรถนะของเครือ่ งบินเมื่อบินใน ระดับต่ํามาก จึงเปนขอดีของเครื่องบินปกลาง เพราะตําแหนงของปก จะอยูใกลกับ พื้นดินมากกวา เปนการชวยใหการควบคุมเครื่องบินดีขึ้น ในขณะรอนลงหรือวิ่งขึ้น บน รันเวย จากกราฟในรูปที่ 3.18 ชวยทําใหเราเห็นถึงผลกระทบไดชัดเจนขึ้น ในการลดแรง ตานเหนี่ยวนํา เมื่อระดับของเครื่องบินใกลพื้นเขามา สมมุติวาเครื่องบินกางปกเทากับ 10 เมตร( b =10 m ) ในขณะที่ปกเครื่องบิน อยูสูงจากพื้น 4 เมตร( 0.4b ) แรงตาน เหนี่ยวนําจะลดลงมาเหลือประมาณ 0.7ของแรงตานเหนี่ยวนําปกติ (0.7 D ) ในขณะ เดียว กัน แรงยกก็เพิ่มขึน้ ดวย i
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
101
แบบฝกหัดบทที่ 3 3.1 การไหลในชัน้ ชิดผิว ที่เรียกวา “เลเยอร (Layer)” มีกี่แบบ และแบบไหนที่ทําให เกิดแรงตาน มากกวากัน 3.2 ทําไม ลูกกอลฟ จึงถูกสรางขึ้นมาให ผิวเปนหลุมๆ แทนที่จะทําใหเรียบ 3.3 เสาอากาศมีพื้นที่ฉายดานหนา เทากับ 0.05 ตารางฟุต มีกระแสอากาศไหลผาน ทําใหเกิด แรงตานเทากับ 1 ปอนด ถาความดันไดนามิก เทากับ 25 ปอนด/ ตารางฟุต จงหา สัมประสิทธิ์แรงตาน C ? D
3.4 จงพิจารณาดูรูปดานลาง มีแพนอากาศอยูในกระแสอากาศ เปดมุมปะทะตางกัน สามแบบ คือ a, b และ c จงตอบวากรณีไหน ที่ใหคาแรงตานมากที่สุด และนอย ที่สุด พรอมเหตุผลสั้นๆ
รูป แบบฝกหัด 3.4
102
บทที่ 3 แรงตาน (Drag)
3.5 ถาเครื่องบินมีน้ําหนักรวม เพิ่มขึ้นมาอีก 20% จงหาวา แรงตานเหนี่ยวนํา เพิ่มขึ้นมาอีกเทาไร ในกรณีที่บินดวยความเร็วคงที่ในแนวระดับ
Di จะ
3.6 ในกรณีของ ขอ 3.5 เราจะออกแบบเครื่องบินอยางไร เพื่อเปนการทําใหคาของ แรงตานเหนีย่ วนํา D ไมใหเพิ่มขึ้นแมน้ําหนักรวมของเครื่องบินจะสูงขึ้นอีก 20% i
3.7 จงบอกชื่อของแรงตานแบบตางๆ ทีจ่ ดั อยูในกลุมของแรงตาน พาราไซท 3.8 เครื่องบินลําหนึ่งบินอยูในระดับต่ําใกลกับพื้น ถาปกของเครื่องบินอยูสูงจากพื้น เทากับ 20% ของความยาวกางปก (wingspan) จงประมาณวา คาแรงตาน เหนี่ยวนําจะมีคา เปนกี่เปอรเซ็นตของแรงตานเหนี่ยวนําปกติ
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust) แรงขับ โดยเฉพาะกับเครื่องบิน เปนแรงที่ใชเพื่อทําใหเครื่องบินเคลื่อนที่ไป ขางหนาในทิศทางของแรงขับ เปนการเอาชนะแรงตานที่มีอยูเปนปกติในธรรมชาติ และ สวนหนึ่งของแรงขับถูกเปลี่ยนไปเปนแรงยก ที่ทําใหเครื่องบินลอยอยูไดในอากาศ ในขณะที่เครื่องบินกําลังบินดวย ความเร็วคงที่ในแนวระดับ คาของแรงลัพธสุทธิ ที่ กระทําตอเครื่องบินเทากับศูนย นัน่ คือ แรงยก เทากับ น้ําหนัก (ไดกลาวไปแลว) และ แรงขับ เทากับแรงตาน ดังในรูปที่ 4.1
รูปที่ 4.1 ขณะบินดวยความเร็วคงที่ ในแนวระดับ แรงยก = น้ําหนัก และ แรงขับ = แรงตาน
ในขณะบินเดินทางดวยความเร็วคงที่ ถานักบินเพิ่มแรงขับขึ้น ทําใหแรงลัพธที่ กระทําตอเครื่องบินไมเทากับศูนย ดังนั้นเครื่องบินจะเพิ่มความเร็วขึ้นคือ มีอัตราเรงใน ทิศทางของแรงลัพธ จนกระทั่งแรงตานที่คอยๆเพิ่มขึ้นตามมาอีกนั้น เทากับแรงขับ เครื่องบินก็จะบินดวยความเร็วคงที่ คือไมมีอัตราเรงหรืออัตราเรงเทากับศูนย เพราะแรง
104
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
ลัพธเทากับศูนยอีกครั้งหนึ่ง (เรียกวาอยูในสภาวะสมดุล แรงลัพธเทากับศูนย อัตราเรง เทากับศูนย) ในทางกลับกัน ถานักบินลดแรงขับลง แรงลัพธที่กระทําตอเครื่องบินไมเทากับ ศูนย คือ แรงตานมากกวาแรงขับ อัตราเรงเปนลบ ความเร็วของเครื่องบินจะคอยๆลดลง แรงตานก็จะลดลงตาม จนกระทั่งแรงตานเทากับแรงขับ เครื่องบินจึงจะบินดวย ความเร็วคงที่ ปรากฏการณเหลานี้เปน กฎของธรรมชาติ ในชวงสงครามโลกครั้งที่สอง ความเร็วของเครื่องบินถูกจํากัดดวย กําลัง ขับเคลื่อนของเครื่องยนตที่มีอยูในขณะนั้น เครื่องยนตที่ใชคอื เครื่องยนตสันดาปภายใน ที่เรียกวาเครื่องยนตลูกสูบ สงกําลังดวยการหมุนเพลาไปยังใบพัด ในปจจุบันการพัฒนา เครื่องยนตมีมากขึ้น จึงทําใหมีเครื่องยนตหลายแบบที่ใหกําลังขับเคลื่อนเครื่องบิน แมกระทั่ง จรวดที่บินออกไปสํารวจ อวกาศนอกโลก ก็ใหแรงขับมากขึ้น มีประสิทธิภาพ สูงขึ้น ในสภาวะแวดลอมที่แตกตางกัน แตสําหรับเครื่องบินขนาดเบา เครื่องยนตลูกสูบ ยังเปนทีน่ ิยม ถือไดวามีความเหมาะสม ในแงของราคาตนทุน ประสิทธิภาพในการใช งาน ยังเปนที่นาพอใจของกลุมผูใชเครื่องบิน ประเภทนี้อยู
4.1 หลักพื้นฐานของการขับเคลื่อน (Principles of Propulsion) กอนที่จะพูดถึงเรื่องของเครื่องยนตที่ใชในการขับเคลื่อนเครื่องบิน จําเปนที่ จะตองเขาใจถึงกฎเกณฑทางวิทยาศาสตร ในเรื่องของแรง และการเคลื่อนที่ของวัตถุ กันกอน เมื่อมีการกลาวถึงแรงและการเคลื่อนที่ คงเปนไปไมไดที่จะไมเอยถึง นักวิทยาศาสตรชาวอังกฤษ ที่ชื่อ เซอร ไอแซค นิวตัน เรียกสั้นๆวา “นิวตัน” หลายคน คงเคยไดยินชื่อนี้กันมาแลว เพราะเปนนักวิทยาศาสตรที่มีชื่อ เสียงมากทานหนึ่ง กฎ ของนิวตัน (คือกฎของธรรมชาติที่นิวตันคนพบ) ไดถูกนํามาใชอยางแพร หลาย ชวยทํา ใหมนุษยเราเขาใจ ความเปนไปของธรรมชาติไดดีขึ้นในเรื่องของ แรง และการเคลื่อน ที่ จากสมการ กฎขอที่สองของนิวตัน ดังนี้ F ma
(4.1)
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
เมื่อ
105
คือ แรงสุทธิที่กระทําตอวัตถุ หนวยเปน นิวตัน หรือ ปอนด m คือ มวลของวัตถุ มีหนวยเปน กิโลกรัม หรือ สลัก (Slug) ในระบบอังกฤษ a คือ อัตราเรง ของวัตถุ มีหนวยเปน m s หรือ ft s (อัตราการเปลี่ยนแปลงความเร็ว เปนสถานการณที่ ความเร็วเพิ่มขึ้นหรือลดลง ) สมการกฎขอที่สองของนิวตัน (Newton’s Second Law) บอกเราวา อัตราเรง แปรตามแรงที่กระทําตอวัตถุ ถาแรงเทากับศูนย อัตราเรงก็เทากับศูนย คือ ความเร็ว คงที่(วัตถุอาจอยูกับที่) และถาแรงกระทํามีมาก อัตราเรง ก็จะมากตามดวย ดังนั้นถา เราเห็นวัตถุใดๆอยูกับที่ หรือเคลื่อนทีด่ วยความเร็วคงที่ แสดงวาแรงกระทําสุทธิ เทากับ ศูนย ยกตัวอยางเชน ถาเราขับรถยนต โดยเริ่มออกตัวจากจุดเริ่มตน เหยียบคันเรงที่ ระดับหนึ่ง รถยนตวิ่งเร็วขึ้นเรื่อยๆ แรงขับมีมากกวาแรงตาน แรงลัพธที่กระทําตอรถยนต ไมเทากับศูนยมีทิศทางไปทางขวา ดังในรูปที่ 4.2 ความเร็วจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (เปน สถานการณที่มีอัตราเรงเพราะมีแรงกระทํา) จนกระทั่งรถยนตมีความเร็วเทากับ 100 ก.ม./ช.ม. จึงวิ่งดวยความเร็วคงที่ นัน่ คือแรงขับเทากับแรงตาน แรงลัพธที่กระทําตอรถ เทากับศูนย ความเร็วของรถยนตจึงคงที่ (ไมมีอัตราเรง) F
2
2
รูปที่ 4.2 เมื่อแรงลัพธเทากับศูนย ความเร็วของรถยนตจะคงที่ ไมมีอตั ราเรง
106
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
เราไดทําความเขาใจในเรื่องของ แรงที่กระทํากับวัตถุ จึงเกิด อัตราเรงมาแลว สิ่ง ที่ตองมีการพูดถึงอีกคือ เรื่องแรงที่เกิดขึ้นเนื่องมาจาก การเปลี่ยนแปลงโมเมนตัม โม เมนตัมเปนปริมาณที่มีอยูในมวลของวัตถุ ไมวาจะเปนของไหลหรือของแข็ง แตที่เรา สนใจก็คือปริมาณโมเมนตัมในอากาศ ปริมาณโมเมนตัม เทากับ มวลคูณดวยความเร็ว ของมวลนั้น เชนกอนหินกําลังเคลื่อนที่ แสดงวามีโมเมนตัมในกอนหินนัน้ มากนอย ขึ้นอยูกับขนาดของมวล กับ ความเร็ว ของกอนหิน ในอากาศก็เชนกัน ในอากาศมี ปริมาณโมเมนตัมอยูจํานวนหนึ่ง ถาปริมาณโมเมนตัมในอากาศถูกทําใหเปลี่ยน ก็จะ เกิดแรงกระทําตอวัตถุ ที่เปนตนเหตุทําใหโมเมนตัมในอากาศเปลี่ยน เขียนอยูในรูปของ สมการทางคณิตศาสตรไดดังนี้ (4.2) แรงที่กระทําตอวัตถุ F m (V V ) m V คือ อัตราการไหลของมวล มีหนวยเปน กิโลกรัม/วินาที หรือ สลัก/วินาที เมื่อ m V คือ ความเร็วของอากาศ ในตอนแรก มีหนวยเปน เมตร/วินาที หรือ ฟุต/วินาที V คือ ความเร็วของอากาศในตอนทาย V คือ ความเร็วที่เปลี่ยนไป (V V ) 2
1
1
2
2
1
สลัก (Slug) เปนหนวยของมวลในระบบอังกฤษโดยที่ 1 สลัก มีคาเทากับ 14.6 กิโลกรัม สมการ (4.2) เรียกวา “สมการโมเมนตัม (Momentum Equation)” เปนการประยุกต มา จากสมการ กฎขอที่สองของนิวตัน เรื่องของแรง เนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงโมเมนตัม เปนปรากฏการณของ ธรรมชาติ ที่เห็นไดทั่วไป สมมุติวาเราอยูบนเรือลําเล็กทีล่ อยอยูในน้ําและไมมีพาย คน อื่นๆก็เชนกัน ถาเราลองผลักเรือลําอื่น ที่กําลังลอยนิ่งอยูใหเคลื่อนที่คือมีความเร็ว จะ พบวามีแรงกระทําเกิดขึน้ กับเราเชนกัน เพราะเราคือผูกระทํา ใหเรือลํานั้นจากทีไ่ มมี ความเร็วกลายเปนมีความเร็ว ดูรูปที่ 4.3 เปนตัวอยางอีกอันหนึ่ง เราคงเคยเห็นแมลงภู ที่กําลังบินลอยนิ่งอยูในอากาศ เพื่อหาน้ําหวานจากดอกไม (หรือจะนึกถึงแมลงชนิดอื่น
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
107
ก็ได) มาดูกันซิวาทําไมแมลงภูตัวนีจ้ ึงลอยไดทั้งที่มีน้ําหนักตัว แสดงวาตองมีแรงมา กระทํา เราสามารถอธิบายโดยใชสมการโมเมนตัม แรงที่กระทําตอตัวแมลงภูคือ F มี ทิศทางขึ้น เนื่องจากการกระพือปกทําให มีมวลอากาศไหลลงคือ m จากเดิม อากาศไม มีความเร็ว V 0 แตปกของแมลงภู ทําใหมวลอากาศมีความเร็วลงในแนวดิ่ง V คาที่ เกิดขึ้นเหลานี้พอดีทําใหแรง F ที่เกิดขึน้ เทากับน้าํ หนักตัวของแมลงภู พอดีโดยการ ปรับความเร็วในการกระพือปก 1
2
รูปที่ 4.3 ปกของแมลงภูทาํ ใหอากาศมีความเร็วในทิศทางลง จึงเกิดแรงกระทําในทิศทางขึน้ กับปก
สรุป น้ําหนักของแมลงภู = แรงที่กระทําตอแมลงในทิศทางขึ้น F m V กฎขอที่สามของ นิวตัน กลาววา แรงกิริยา เทากับ แรงปฏิกิริยา คือเมื่อเราออก แรงกระทําตอสิ่งอื่นเทาใด ก็มีแรงปฏิกิริยาโตตอบกลับมาเทานั้น เชน เรายืนบนพื้นมี แรงเนื่องจากน้ําหนักของตัวเรากดลงบนพื้น พื้นก็โตตอบกลับดวยแรงที่เทากัน แรงลัพธ จึงเทากับศูนย อยูในสภาวะสมดุลพอดี จากสมการโมเมนตัม เปนหลักการในการทําให เกิดแรงขับเคลื่อนเครื่องบินดวยการ เพิ่มความเร็วใหกับมวลอากาศ เพื่อใหเกิดแรง ขับเคลื่อนเครื่องบินไปไดในอากาศ โดยใชกําลังจากเครื่องยนตหมุนใบพัด ทําใหอากาศ
108
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
ที่อยูดานหนาเครื่องบิน มีความเร็วสูงขึ้นเนื่องจากการหมุนของใบพัด ปริมาณหรือ อัตราการไหลของมวลอากาศ m และ ความเร็วที่เพิ่มขึ้นของอากาศ V ตองมากพอ ที่ จะใหแรงขับเคลื่อนเครื่องบิน เคลื่อนที่ดวยความเร็วตามที่ตองการ แตอยางไรก็ตาม กําลังจากเครื่องยนตที่ใชหมุนใบพัดไมไดถูกเปลี่ยนไปเปนแรงขับทั้งหมด มีบางสวนที่ สูญเสียไป ดวยสาเหตุหลายประการ เชน ความฝด ประสิทธิภาพของใบพัด ดังนั้นจึง จําเปนอยางยิ่งที่จะตองทําให กําลังจากเครื่องยนตไดถูกเปลี่ยนไปเปนแรงขับใหมาก ที่สุดเทาที่จะทําได เรียกวา “มีประสิทธิภาพสูง” ในรูปที่ 4.4 แสดงใหเห็นวาใบพัดทํา หนาที่ในการเพิ่มความเร็วใหกับอากาศ ดานหนาเครื่องบิน ใหสูงขึ้น ดวยการหมุนของ ใบพัด เพื่อทําใหเกิดแรงขับเคลื่อนเครื่องบิน
รูปที่ 4.4 ใบพัดเครื่องบิน เพิม่ ความเร็วใหกับมวลอากาศ ทําใหเกิดแรงขับ
เครื่องยนตเจ็ต ที่ใหกําลังขับเคลื่อนไดเทากับเครือ่ งยนตลูกสูบ ตัวเครื่องมีขนาด เสนผาศูนยกลางเล็กกวา เมื่อเทียบกับเครื่องยนตลูกสูบที่ตดิ ตั้งใบพัด จึงมีพื้นทีร่ ับ อากาศเล็กกวาดวย แตที่ใหแรงขับมากกวา เครื่องยนตลูกสูบที่ใชใบพัด ก็เพราะวา เครื่องยนตเจ็ต สามารถเพิ่มความเร็วของอากาศใหมากยิ่งขึ้นกวาที่ใบพัดทําได ดังในรูป ที่ 4.5 การทําใหอากาศมีความเร็วสูงมากๆ ก็ยิ่งทําใหการสูญเสียพลังจลนมากตามไป ดวย (พลังงานจลนคือพลังงานเนื่องจากการเคลือ่ นที่ของมวลอากาศ หรือความเร็วของ อากาศ) เพราะมีการเสียดสีกันของมวลอากาศจึงมีการสูญเสียพลังงานไปมาก ทําให ประสิทธิภาพลดลงมากกวาเครื่องยนตลูกสูบ
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
109
ถาเชนนัน้ เหตุใดในปจจุบัน จึงนิยมใชเครื่องยนตเจ็ตกันอยูอยางแพรหลาย ก็ เพราะวาเครื่องยนตเจ็ต สามารถใหแรงขับทีส่ ูงกวา ในขณะที่มีขนาดและน้ําหนักนอย กวาเครื่องยนตลูกสูบขับใบพัด หรือพูดไดวา แมจะ สิ้นเปลืองน้ํามันเชือ้ เพลิงมากกวา ตอ ปริมาณของกําลังงานที่ได เทากัน ก็ตองยอม เพื่อแลกกับแรงขับที่สูงกวา ของ เครื่องยนตที่มีขนาด และน้ําหนัก ทีเ่ ทากัน แตทาํ งานไดดีกวาในบางสภาวะซึ่งจะกลาว ตอไป
รูปที่ 4.5 เครื่องยนตเจ็ต เรงความเร็วอากาศใหสงู ขึ้นไดมากกวา เครื่องยนตลกู สูบหมุนใบพัด จึง ใหแรงขับสูงกวา
อันที่จริงแลว หลักการทํางานของเครื่องยนตเจ็ตนั้น งายกวาเครื่องยนตลูกสูบ มาก แตวาการออกแบบ เทคโนโลยีทใี่ ชในการสรางคอนขางสูง วัสดุที่มีคณ ุ ภาพ จําพวก โลหะเจือคุณภาพสูง ขั้นตอนในการสรางพิถีพิถันกวา ตองการความเที่ยงตรงสูงกวา เนื่องจากวาสภาวะใชงานตองหมุนดวยรอบความเร็วสูง และขณะทํางาน มีบางสวน ที่ ตองรับภาระกรรมภายใตอุณหภูมิที่สูงมาก ราคาตนทุนจึงสูง เครื่องยนตเจ็ตที่มีหลักการ งายที่สุดคือ แรมเจ็ต(Ramjet) รูปที่ 4.6 เครื่องยนต เจ็ตประเภทนี้ไดเคยถูกใชในจรวดรุนเกา แรมเจ็ตมีลักษณะเปนเพียงทอที่มีความเรียว เพื่อใชรับอากาศตรงทางเขาและ เรงกระแสอากาศตรงทางออก เรียกวา “นอซเซิล (Nozzle)” เปดใหอากาศที่มีความเร็วสูงมาก ไหลเขาไปในทอ และเกิดการอัดอากาศ ภายในทอ ทําการฉีดเชือ้ เพลิงเขาไปในบริเวณหองเผาไหม และจุดระเบิดเชื้อเพลิงทีฉ่ ีด เขาไปนั้น เกิดการขยายตัวของอากาศในหองเผาไหมเนื่องจากความรอนอยางรวดเร็ว
110
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
อากาศจึงพุงออกทางดานหลังดวยความเร็วสูงขึ้นอีกมากดวยนอซเซิล การทํางานของ แรมเจ็ตจะเกิด ขึ้นไดก็ตอ เมื่อ ความเร็วของอากาศที่ไหลเขา ตองไมต่ํากวา 300 ไมล/ช. ม. ที่ระดับน้าํ ทะเล
รูปที่ 4.6 เครื่องยนต แรมเจ็ต (ramjet) มีหลักการทํางานงายๆ ใหอากาศความเร็วสูงเขามา เกิด การอัดตัวเนื่องจากความเร็วสูง และใหความรอนดวยการเผาไหมเชื้อเพลิง อากาศขยายตัว จึงพุง ออกดวยความเร็วสูงมากขึน้
เครื่องยนตเจ็ตมีหลายแบบ ไดแก พัลเจ็ต(Pulsejet) ดูรูปที่ 4.7 เปนเครื่องยนต เจ็ตอีกประเภทหนึ่ง อาศัยหลักการทํางานดวย ลิ้นแผน (valve) ปด-เปด เปนชวงซึง่ มี ความถี่สูงมากขณะทํางาน สอดคลองกับการจุดระเบิดของเชือ้ เพลิงในหองเผาไหม เปน การบังคับใหอากาศไหลไดทางเดียว นิยมเรียกวา “เช็ควาลว (check valve)” การปด เปดของ ลิ้นแผน หรือวาลว ใชหลักการของความแตกตาง ของความดันคือเมื่อความดัน ในหองเผาไหมสูงจากการจุดระเบิดของเชื้อเพลิง ก็จะไปผลักใหวาลวปด อากาศรอนจึง ตองพุงออกทางดานทายเทานั้น แตเมื่อความดันในหองเผาไหมลดลง วาลวก็จะถูก อากาศที่มีความเร็วสูงภายนอกผลักใหเปดและไหลเขามาในหองเผาไหม จึงฉีด เชื้อเพลิงและจุดระเบิดตอไป ในชวงสงครามโลกครั้งที่สอง เยอรมันใชเครื่องยนต พัลเจ็ต ขับ เคลื่อนจรวด V-1 บัซบอม รูปที่ 4.8 การสตารทเครื่องยนตใหทํางาน จําตอง เคลื่อนที่ดวยความเร็วสูง เชนเดียวกับแรมเจ็ต แตมีความเหมาะสมในการนําไป ประยุกตใชงานกับเครื่องบินไดมากกวา
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
111
รูปที่ 4.7 เครื่องยนต พัลเจ็ต (pulsejet) ใชลิ้นปด-เปด เปนการบังคับใหอากาศ ไหลออกทางดานเดียว
รูปที่ 4.8 จรวดV-1 บัซบอม ติดระเบิดของเยอรมันขับเคลื่อนดวย พัลเจ็ต ชวงสงครามโลกครั้งที2่
โดยทั่วไปเมือ่ กลาวถึงเครื่องยนตเจ็ต เรามักจะหมายถึงเครื่องยนต เทอรโบเจ็ต (Turbojet) ซึ่งไดมีการประยุกตและพัฒนาไปไกล ในหลายรูปแบบ และเปนที่นิยมใชกับ เครื่องบินมากที่สุด เครื่องยนตเทอรโบเจ็ต ไดถูกสรางและพัฒนามาตั้งแตป ค.ศ.1930 โดย เซอร แฟรงก วิสเทิล (Sir Frank Whittle) ชาวอังกฤษ ซึง่ ในเวลาเดียวกัน ฮัน ฟอน โอฮาย (Hans von Ohain) ชาวเยอรมัน วิศวกรทั้งสองคนนี้ไมไดมีการติดตอ หรือรูจัก กัน ตางคนตางทําการสราง เครื่องยนต เทอรโบเจ็ต ขึ้นเปนครั้งแรก วิสเทิลไดสราง
112
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
เครื่องเทอรโบเจ็ตเครื่องแรกและไดทดลองเดินเครื่องไดสําเร็จ ในป ค.ศ. 1937 สวน เครื่องยนตของ โอฮาย ไดถูกติดตั้งเขากับเครื่องบิน ไฮเกน He 178 และทดลองบินเปน ครั้งแรก ในป ค.ศ. 1939 ทั้งสองเหตุการณ นี้ไดรับการสนับสนุนเพียงเล็กนอยจากทาง รัฐบาล แตดว ยแรงผลักดันของสงครามในขณะนั้น จึงไดมีการพัฒนาเครื่องยนตเทอรโบ เจ็ตและนํามาติดตั้งกับเครื่องบิน เพือ่ ใชในสงคราม แตทวาเครื่องบินเจ็ตไมไดชวยใน การทําลายศัตรู ในชวงสงคราม โลกครั้งที่สอง นอกจากมีเสียงในการขูศัตรู เสีย มากกวา
รูปที่ 4.9 เครื่องบินรบ เมสเซอสมิท (Messerschmitt) Me-262 ใชเครื่องยนตเจ็ตในการขับเคลื่อน
เมสเซอสมิท (Messerschmitt) Me-262 เปนเครื่องบินรบที่ใช เครื่องยนตเจ็ต ลําแรกของเยอรมัน ที่ถูกนําไปใชในสนามรบ รูปที่ 4.9 หลังจากนั้นยังไดพฒ ั นา เครื่องยนตเจ็ตของ วิสเทิล และนําไปติดตั้งกับเครื่อง กลอสเตอ (Gloster) E28 ของ อังกฤษ ตอมาเครื่องยนตเจ็ต ไดถูกพัฒนาในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยนําไปติดตั้งกับ เครื่องบิน เบล (Bell) P-59 รูปที่ 4.10 อยางไรก็ตามเครื่องบินเจ็ตที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อใช งานจริงในการรบเมื่อ ป ค.ศ. 1944 คือ ลอกฮีด(Lockheed) P-80 แตไมมีบทบาท ในชวงสงครามโลกครั้งที่สองแตอยางใด
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
113
รูปที่ 4.10 เครื่องบิน เบล (Bell) P-59 เครื่องบินที่ใชเครื่องยนตเจ็ตลําแรกของ อเมริกา
หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุด เครื่องยนตเจ็ตไดถูกพัฒนาอยางจริงจังเพื่อ นํามาใชกับเครื่องบินพาณิชย เครื่องบินพาณิชยลําแรกที่ใชเครื่องยนตเจ็ตก็คือ ฮาวิ แลนด โคเมท (deHavilland Comet) ในป ค.ศ. 1949 รูปที่ 4.11 แตเปนที่นาเสียดาย เพราะพบวามีปญหา ทางดานโครงสรางของลําตัวเครื่องบินในการรับแรง ถายังขืนใช งานอยูตอไป อาจเกิดอันตรายรายแรง จึงตองเรียกกลับ เพือ่ นําไปปรับปรุงใหม เปน เวลาหลายป ตอมาในชวงกลางป ค.ศ. 1950 บริษัทโบอิ้ง ไดประสบความสําเร็จในการ สรางเครื่องบิน เจ็ต รุน 707 และตอมาไดฉายาวาเปน DC-3 ในยุคของการใช เครื่องยนตเจ็ตกับเครื่องบินโดยสาร (มีความนาเชื่อถือ เชนเดียวกับ DC-3 ซึ่งใชใบพัด และประสบความสําเร็จ ในยุคกอนหนานี้) เครื่องยนตเจ็ตไดถูกพัฒนา เพื่อใชในภารกิจทางทหารเปนสําคัญ เพราะมีขอดี คือมีพื้นที่หนาตัดเล็กกวา ชองรับอากาศมีขนาดเล็ก ชวยในการลดแรงตานไดมาก ยิ่ง เครื่องบินที่บนิ ดวยความเร็วสูงยิ่งมีผลมาก กระแสอากาศที่พนออกมา ทีม่ ักจะเรียกวา กระแสเจ็ต มีความเร็วสูงมาก เมื่อเทียบกับการใชใบพัด จึงใหแรงขับไดมาก
114
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
รูปที่ 4.11 ฮาวิแลนด โคเมท (deHavilland Comet) เครื่องบินพาณิชยที่ใชเครื่องยนตเจ็ตลําแรก ในป ค.ศ.1949
การออกแบบและสรางเครื่องยนตเจ็ต ในชวงนัน้ ยังไมมีประสิทธิภาพเทาที่ควร ทั้งยังมีเสียงที่ดังมาก จนนารําคาญ จึงเกิดความสงสัยวา มันจะมีความเปนไปไดหรือไม ที่มนุษยเราจะพัฒนาเครื่องยนตเจ็ต ใหสามารถใชงานไดอยางสมบูรณแบบจริงๆ เปน ขอถกเถียงกันในกลุมของผูที่อยูในวงการ ของเครื่องยนตเจ็ต ทีโอดอ ฟอน คามัน (Theodore von Karman) เปนนักวิทยาศาสตรทางดานอากาศยาน ผูมีชื่อเสียงและ ประสบการณ ไดเขียนไวในรายงานเมื่อป ค.ศ. 1940 วามีความเปนไปไดในการพัฒนา เครื่องยนตเจ็ต เพื่อนํามาใชกับเครื่องบิน ตอมาอีก สอง-สามป ปรากฏวาสิ่งที่ คามัน ได คาดคะเนไวไมจริง( เพราะในยุคนั้นเทคโนโลยียังไมดีพอเหมือนอยางในปจจุบนั ) และ ศาสตราจารย เคดี วูด (Professor K.D. Wood) ผูมีชื่อเสียงในการออกแบบเครื่องบิน ไดเขียนลงในหนังสือของเขา เกี่ยวกับเครื่องยนตเจ็ตวา เราไมสามารถสรางเครื่องยนต เจ็ต เพื่อใหใชงานไดอยางสมบูรณแบบ ในราคาตนทุนที่ถกู พอจะนําไปใช เพื่อการ โดยสาร คือการสรางตองใชเงินจํานวนมาก ไมคุม จะอยางไรก็ตามในปจจุบันนี้ เครื่องยนตเทอรโบเจ็ต หรือเรียกสั้นๆวา เครื่องยนตเจ็ต ประสบความสําเร็จ ในการพัฒนาเพื่อนํามาใชงาน ไดอยางคุมคา อาจจะเปนเพราะการพัฒนาทางเทคโนโลยีทสี่ ูงขึ้น ในทุกดาน เครื่องยนตเจ็ตในปจจุบัน
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
115
ที่ใชงานจึง ตางจากเครื่องยนตเจ็ตในอดีตมาก มีการพัฒนาชุดอัดอากาศ และทําให สามารถสตารทไดสะดวกขึ้นโดยไมตองอาศัยตัวอัดอากาศจากภายนอก ชวยสตารท อยางแตกอน ในรูปที่ 4.12 แสดงใหเห็นหลักการทํางานของเครื่องอัดอากาศ ของเครื่องยนต เทอรโบเจ็ต รูป A เปนแบบการไหลในแนวรัศมี(Radial-flow turbojet) และรูป B เปน แบบการไหลในแนวแกน (Axial-flow turbojet) อากาศที่ไหลเขามาทางชองทางเขา จะ ถูกอัดโดยเครื่องอัดอากาศ(Compressor) และ ไหลตอไปยังหองเผาไหม(Combustion Chamber) ฉีดเชื้อเพลิงเขาไปในบริเวณนี้ จุดระเบิดและเกิดการเผาไหมขึ้นอยาง ตอเนื่อง กาซรอนที่เกิดจากการเผาไหมน้ํามันปนกับอากาศ มีแรงดันและอุณหภูมิสูง (มี พลังงานเพิ่มขึ้นมาก) จึงขยายตัวอยางรวดเร็วและพุงออกทางดานทาย (ไมสามารถพุง ออกทางดานหนาได เนื่องจากมีเครื่องอัดอากาศบังคับอยู) การพุงออกของกาซรอน ทางดานทาย ผานกังหัน หรือเรียกทับศัพทวา “เทอรไบน (Turbine)” ถายทอดพลังงาน จลน (เปนพลังงานเนื่องจากการเคลือ่ นที่ของอากาศ) บางสวนใหกับกลีบเทอรไบน ที่มี แกนเพลาหมุนเดียวกันกับเครื่องอัดอากาศ ทําหนาที่อัดอากาศที่ไหลเขามาทางดาน หนาของเครือ่ ง ที่เปนชองรับอากาศ (Inlet) กาซรอนที่พุงออกมาดวยความเร็วสูง ทาง ทอทาย กอใหเกิดแรงขับ ที่กระทํากับเครื่องยนต และถายทอดไปยังเครื่องบินที่ติดตั้ง เครื่องยนตเจ็ต เครื่องยนตเจ็ตที่เพิ่งกลาวไปนี้ เปน เปนเครื่องยนตเจ็ต(ปกติ) (Pure turbojet) แรงขับของเครื่องยนตไดจากความเร็วและมวลของอากาศรอน ที่พนออกมาทางดาน ทาย แตเพียงอยางเดียว ถือวาประสิทธิภาพยังไมเปนที่นาพอใจ เมื่อพิจารณาในเชิง พาณิชย จึงไดมีความพยายามหาหนทาง ที่จะเพิม่ ประสิทธิภาพเครื่องยนต เพื่อเปนการ ลดตนทุน จากคาใชจายในเรื่องของเชื้อเพลิงลง ทวาการออกแบบเครื่องบินรบรุนเกา ถือวาไมใชเรื่องสําคัญ เพราะไมไดคํานึงถึงตนทุนหรือกําไร อยางเครื่องบินที่ใชในเชิง พาณิชย นักออกแบบไดเริ่มตนพัฒนาและปรับปรุงดัดแปลงเครื่องยนตเจ็ตใหมี ประสิทธิภาพสูงขึ้นเพื่อความคุมคาในเชิงพาณิชย ผลที่ไดออกมาคือเครื่องยนต เทอรโบ แฟน(Turbofan)
116
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
A อัดอากาศตามแนวรัศมี (Radial flow compressor)
B อัดอากาศตามแนวแกน (Axial flow Compressor) รูปที่ 4.12 ลักษณะของเครื่องยนตเทอรโบเจ็ต (Turbojet engine)
เครื่องยนตเทอรโบแฟน มีสวนพื้นฐานสําคัญก็คือเครื่องยนตเจ็ตปกติ เพียงแต เพิ่มเอาใบพัดที่ครอบดวยสิ่งที่เรียกวา “ดัท(duct)” คลายๆตัวปองใบพัด ดูรูปที่ 4.13 เปนตัวชวยเพิ่มประสิทธิภาพของใบพัดนี้ โดยอาศัยเพลารวมกันกับ เครื่องยนตเทอรโบ เจ็ต ตัวใบพัดจะเปนตัวดึงเอาอากาศเขามาเปนอันดับแรก อากาศสวนหนึ่งถูกผลักให เขาไปในเครือ่ งอัดอากาศ และตอไปยังหองเผาไหมและทอทายเชนเดียวกับเครื่องยนต เจ็ตปกติ และอากาศอีกสวนหนึ่งเมื่อผานใบพัดทีเ่ รียกวา แฟน ไมไดเขาไปในเครื่องแต ไหลอยูภายนอกเครื่องยนตเจ็ต การเพิ่มขึ้นของความเร็วอากาศมีนอยกวาสวนที่ผา น
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
117
เครื่องยนตเจ็ต(แตมีอัตราการไหลของมวลมาก) ดังนั้นสวนของอากาศที่ไหลอยูดา น นอกนี้ จึงมีการสูญเสียพลังงานจลนนอยกวา หมายถึงประสิทธิภาพรวม ที่ดีกวา
รูปที่ 4.13 ลักษณะของเครื่องยนต เทอรโบแฟน เปนการปรับปรุงมาจากเครื่องยนตเจ็ตปกติ
118
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
เครื่องยนตเทอรโบแฟนเปนทางออกที่ดีของ การพัฒนาเครื่องยนตเจ็ต ใหมี ประสิทธิภาพสูงขึ้น แรงขับที่เกิดขึน้ มาจากกระแสอากาศทีพ่ นออกมาทางทอทายของ เครื่องยนตเจ็ต และจากอากาศที่ถูกขับโดยตัวใบพัด ผานอยูดานนอกของเครื่องเจ็ต (Bypass air) ซึ่งจะเรียกทับศัพทวา “อากาศบายพาส” แรงขับที่ไดจึงมีมาก ถือไดวา เปนความลงตัวในการประยุกตเอา เครื่องยนตเจ็ตมาผนวกเขากับใบพัดที่เรียกวา “แฟน (Fan)” จึงกลายมาเปน เทอรโบแฟน อัตราสวน ระหวาง อัตราการไหลของมวลอากาศบายพาส ตอ อัตราการไหลของ มวลที่เขาไปในเครื่องยนต เรียกทับศัพทวา “บายพาสเรโช (bypass ratio)” หรือ “อัตราสวนกระแสเบี่ยง” ยิ่งมีคามาก ประสิทธิภาพก็ยิ่งมากขึ้นตามไปดวย แตใน ขณะเดียวกัน แรงขับสูงสุดก็จะลดลง นั่นคือ บายพาสเรโช สูงขึ้น แรงขับสูงสุดก็จะ ลดลง เนื่องจากกําลังสวนใหญของเครื่องยนตถูกนําไปใชขับ ใบพัด (แฟน) การประยุกต นําเอาเครื่องเจ็ตมาใชอีกกรณีหนึ่งก็คือ แทนที่จะใชตัว แฟน เปน ตัวใหแรงขับ ก็ใชใบพัดเครื่องบินปกติมาเปน ตัวใหแรงขับแทน โดยการเอา กําลังงาน จากการหมุนของเพลาเครื่องยนตเจ็ตเรียกวา “ชาฟเวอค (Shaft work)” ซึ่งประกอบ ดวยความเร็วรอบ และแรงบิด แตเนือ่ งจากความเร็วรอบการหมุนของเครือ่ งยนตเจ็ตสูง มาก เกินกวาจะหมุนใบพัดปกติได จําตองอาศัยชุด เฟองทด (Gearbox) เพื่อทด ความเร็วรอบของเพลาใหต่ําลง เหมาะสมที่จะนํามาใช หมุนใบพัดซึง่ มีขนาด เสนผาศูนยกลางโต และเปนการทําใหแรงบิดสูงขึ้นอีกดวย เราเรียกเครื่องยนต แบบนี้ วา “เทอรโบพรอพ (Turboprop)” ดังในรูปที่ 4.14 จะเห็นวาตัว กังหันเปนตัวจายกําลัง ในการหมุนเพลาหลักของเครื่องยนต ตองจายใหกับ ตัวอัดอากาศ และใบพัด ดังนั้นแรง ขับเนื่องจากกระแสอากาศที่พนออกมาจากเครื่องยนต จึงมีนอ ยประมาณ 10 – 15% ของแรงขับทีไ่ ดทั้งหมด ซึง่ แรงขับสวนใหญไดจากใบพัด ในสวนของตัวเครื่องยนตเจ็ต มี ราคาคอนขางสูงเมื่อเทียบกับเครื่องยนตลูกสูบ และสิน้ เปลืองเชื้อเพลิงมากกวา แตให กําลังที่สูงกวา ในขนาดและน้ําหนักที่เทากัน ดวยเหตุนี้จึงมักจะนิยมนําไปใชกับ เครื่องบินขนาดเบา ที่ตอ งการสมรรถนะสูง ในเรื่องของกําลังขับ และความเร็วที่ได นอกจากนี้ยงั จะชวยลดแรงตานลงไดบางจากขนาดของเครื่องยนตที่เล็กลง
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
119
รูปที่ 4.14 ลักษณะของเครื่องยนต เทอรโบพรอพ (Turboprop engine)
4.2 เครื่องยนตลูกสูบ (Reciprocating Engine) เครื่องยนตสนั ดาปภายใน ที่นิยมใชกันอยูในปจจุบนั กับรถยนตทั่วไป คือ เครื่องยนตลกู สูบ คนสวนใหญมักจะคุนเคยและเห็นกันมาแลว เครื่องบินที่ประสบ ความสําเร็จลําแรกของโลกก็ใชเครื่องยนตประเภทนี้ และก็ยงั คงเปนเครือ่ งยนตประเภท เดียว ที่ถูกใชในการขับเคลื่อนเครื่องบินอยางตอเนื่อง ตลอดมาเปนเวลากวา 40 ป แม ในปจจุบันก็ยังคงเปนเครื่องยนตยอดนิยมสําหรับเครื่องบินขนาดเบา ดวยความดีที่วา มี
120
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
ราคาถูกกวา มีประสิทธิภาพสูงกวา เมื่อเทียบกับเครื่องยนตสันดาปภายในชนิดอื่น เครื่องยนตลกู สูบชนิดสี่จงั หวะ ไดถูกสรางและพัฒนามาตั้งแตป ค.ศ. 1876 โดยวิศวกร ชาวเยอรมันชื่อ นิโคลัส ออโต (Nickolaus Otto) ในชวงเวลาที่ สองพีน่ องตระกูลไรท (Wrights) แลงลีย (Langley) และนัก ประดิษฐคนอื่น ที่ตั้งใจจะสรางเครือ่ งบิน ไดมองไปที่เครื่องยนตลูกสูบในการใหแรงขับ ซึ่งในยุคนั้นก็มีเพียงเครื่องยนตลูกสูบแบบสี่ กับเครื่องบินที่เขาตองการสรางขึ้นมา จังหวะเทานัน้ ที่จะชวยได นอกนั้นก็มเี ครื่องจักรไอน้ํา ซึ่งมีคนไดทดลองใชกับเครื่องบิน ไปแลวกอนหนานั้น และลมเหลวเนื่องจากวามีน้ําหนักมาก มีความยุงยากหลาย ประการ ไมวาจะเปนการควบคุม การติดตั้ง ฯ เรื่องของน้ําหนักสําคัญที่สุด เพราะวา เปนคุณสมบัติสําคัญในการพิจารณา ทีจ่ ะนําเอาเครื่องยนตนั้นมาติดตั้งกับเครื่องบิน เรียกวา “อัตราสวน กําลังตอน้ําหนัก(Power-to-weight ratio)” ถาเครื่องยนตรุนใดที่มี คา อัตราสวนกําลังตอน้าํ หนักสูง เปนคุณสมบัติที่ดีของเครื่องยนตรุนนั้นและ ไดรับการ รับรองเพื่อใหนําไปติดตั้งกับเครื่องบินได แตในยุคที่กําลังพยายามสรางเครื่องบินใหได ยังไมมีการมองในสวนนี้
รูปที่ 4.15 เครื่องยนต ทีถ่ ูกสรางโดย ไรท และชวยใหเขาประสบความสําเร็จในการบินเปนครัง้ แรก
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
121
แซมมวล แลงลีย (Samuel Langley) กับ การทดลองที่ลมเหลว ดวยเครื่องบินที่ เขาไดสรางขึน้ กอนทีส่ องพี่นองตระกูลไรท จะทําสําเร็จ เปนเวลา 9 วัน แตเครื่องยนตที่ เขาใชถูกสรางโดย ชาล แมนลีย (Charles Manley) ในป ค.ศ. 1902 ใหกําลัง 52 แรงมา ที่น้ําหนักเครื่องยนต 200 ปอนด ในขณะที่เครื่องยนตของ ไรท ใหกําลัง 12 แรงมา ที่ น้ําหนัก 100 ปอนด ดูรูปที่ 4.15 เมื่อนํามาเทียบกันในเรือ่ งของ อัตราสวน กําลังตอ น้ําหนัก แลวของ แลงลีย มากกวาของ ไรท กวาเทาตัว แตถึงอยางไร เครื่องบินของไรท ที่ประสบความสําเร็จ ก็ดวยปจจัยอืน่ ๆ อีกไดแก ความพยายามในการทดลองบิน การ แกปญหาในสวนอื่นๆอยางเปนรูปธรรม จนสงผลใหตองจารึกไวในประวัติศาสตรโลก กับความสําเร็จของมนุษย ในการบินดวยอากาศยานที่หนักกวาอากาศ เปนครั้งแรก
รูปที่ 4.16 เปนการเปรียบเทียบใหเห็นถึงการทํางานของเครื่องยนตเจ็ต กับ เครื่องยนต ลูกสูบแบบ สี่จังหวะ วามีลักษณะเปนอยางเดียวกัน เพียงแตตําแหนงกับเวลาเทานัน้ ที่ไมเหมือนกัน
เครื่องยนตสจี่ ังหวะ ดูแลวหลักการทํางาน และชิ้นสวนตางๆ คอนขางซับซอน กวาของเครื่องยนตเจ็ต ที่เรียกวาสี่จังหวะก็เพราะมี การทํางานของเครื่องยนตแบง ออกเปน สี่จงั หวะอยางชัดเจน คือ เมื่อลูกสูบเลื่อนลง ลิน้ ไอดีเปด ปริมาตรภายในลูกสูบ
122
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
โตขึ้นทําใหความดันอากาศในกระบอกสูบลดลง อากาศจากภายนอกจึงไหลเขามาใน กระบอกสูบ โดยผานคารบูเรเตอรและนําเอาไอน้ํามันเชื้อเพลิงผสมมากับอากาศดวย (พรอมจุดระเบิดเมื่อมีประกายไฟ) เรียกวา จังหวะ ดูด (Intake) เมื่อลูกสูบเลื่อนขึน้ ลิน้ ไอดีและไอเสียปด จึงเปนการอัดอากาศใหมีปริมาตรเล็กลงเรียกวา จังหวะ อัด (Compress) ในตําแหนงที่เหมาะสม หัวเทียนจุดประกายไฟ ทําใหอากาศผสมน้ํามัน ระเบิดขึ้นในกระบอกสูบ ความดันในกระบอกสูบมีมาก จึงผลักใหลูกสูบเลื่อนลง เรียกวา จังหวะ ระเบิดหรือกําลัง (Power) เมื่อลูกสูบเลื่อนลงมาจนสุด ก็จะเลื่อนขึ้น ตอไปดวยแรงเฉื่อย ในขณะที่ลิ้นไอเสียเปด กาซรอนจึงพุงออกดวยความดันที่มากกวา บรรยากาศ และการเลื่อนขึ้นของลูกสูบไลออกไปดวย เรียกวา จังหวะ คาย (Exhaust) และ วนไปยังจังหวะดูด ตอไป เปนวงรอบอยูเชนนี้ ดูรูปที่ 4.16 เปนการแสดงใหเห็นวาเครื่องยนต ตางชนิดกัน คือเครื่องยนตเจ็ต กับเครื่องยนตลูกสูบแบบสี่จังหวะ แตมีหลักการทํางานเปนไปอยางเดียวกัน คือ มีการ ดูดเอาอากาศเขาไป เรียกวาจังหวะดูด มีการอัดอากาศที่ดูดเขาไป เรียกวาจังหวะอัด มี การจุดระเบิดเพื่อใหเครื่องยนตมีกําลัง เรียกวา จังหวะ ระเบิดหรือกําลัง และจังหวะคาย ไอเสียหรือกาซรอนที่เกิดจากการเผาไหมของเชื้อเพลิงผสมอากาศ แตสําหรับเครื่องยนต เจ็ต ปรากฏการทั้งสี่นี้ จะเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน แตตางตําแหนง สวนของเครื่องยนต ลูกสูบ จะเกิดในชวงเวลาตางกัน แตอยูในตําแหนงเดียวกันคือในกระบอกสูบ เปนทีน่ า แปลกใจที่ เครื่องยนตตนกําลังที่ใชในการขับเคลือ่ นเครื่องบิน มาตลอด 40 ป ตั้งแตมี การใชเครื่องบิน เครื่องยนตที่ใชคือเครื่องยนตลูกสูบแบบสี่จังหวะทั้งสิน้ แตเครื่องบินที่ ใชเครื่องยนตลูกสูบมาตลอดจนกระทั่งปจจุบัน คือ เครื่องบินพาณิชยขนาดเบา เครื่องยนตในยุคแรกที่ถูกสรางขึ้นมานั้น ระบายความรอนดวยน้ําทําใหมีน้ําหนัก มาก แตเครื่องบินในยุคนั้นบินไดชา การระบายความรอนดวยอากาศไมเพียงพอ จึงไดมี ความพยายามที่จะแกปญ หานี้ โดยแผนแบบใหเครื่องยนตที่มีลักษณะดังในรูปที่ 4.17 คือ เครื่องยนต โนม โรตารี (Gnome Rotary) มี 5 สูบ วางตําแหนงกระบอกสูบเปนรูป ดาว จึงใชขอ เหวี่ยงรวมกันทั้ง 5 สูบ ผลดีของการวางตําแหนง ของลูกสูบในลักษณะนี้
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
123
คือ ประสิทธิภาพในการระบายความรอนของแตละสูบ เพราะอากาศระบายความรอน จะไหลผานผนังของเสื้อสูบไดมากทุกสูบ แมบนิ ดวยความเร็วต่ํา
รูปที่ 4.17 เครื่องยนตลกู สูบ โนม โรตารี (Gnome Rotary) ใชกับเครื่องบินรบ ในชวงสงครามโลกครั้งที่ 1
ถึงแมวาเครื่องยนตสูบดาว จะมีขอดีในการระบายความรอนดวยอากาศ ใน ขณะเดียวกันก็มีขอเสียคือ ทําใหเกิดแรงตานสูงเพราะมีพื้นที่ขวางการไหลของอากาศ มากขึ้น รวมทั้งเกิดการแยกตัวของอากาศในบริเวณเครื่องยนต แตถาวางเสื้อสูบในแนว เดียวกัน(Inline) เสื้อสูบที่อยูดานหลังก็ จะมีปญหาในการระบายความรอน ดังนั้นจึงหัน มาใชน้ําระบายความรอนเพื่อตองการลดแรงตานลง โดยการวางลูกสูบในแนวเดียวกัน และเมื่อมีการปรับปรุงในเรื่องน้ําหนัก ปรากฏวาใชงานไดดีมาก การวางเสื้อสูบแบบ นอนตรงขามกัน (horizontal oppose) ระบายความรอน ดวยอากาศ ใชงานไดดีในกรณีที่ไมตองการกําลังมาก คือ เพียงสองหรือสีส่ ูบ เปนผลดี ในการนําไปติดตั้งกับ เครื่องบินขนาดเบา โดยใช คาวริ่ง(cowling) เปนวัสดุบางน้ําหนัก เบา ถูกออกแบบมาเพือ่ ใชปดบังหรือครอบเครื่องยนตเครื่องบิน เพื่อชวยลดแรงตาน
124
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
ความสวยงาม และชวยในการนําอากาศเขาไป ระบายความรอนเครื่องยนตใหทั่วถึง ตั้งแตสิ้นสงครามโลกครั้งที่สอง เครื่องยนตแบบสูบดาวไดหมดไป และถูกแทนทีโ่ ดย เครื่องยนตเทอรโบพรอพ ความตองการเครื่องยนตที่มีกําลังสูงมีมากขึ้น โรงงานผลิต เครื่องยนตสาํ หรับเครื่องบินขนาดเบา ไดหันมาผลิตเครื่องยนตลูกสูบแบบนอนตรงขาม กัน และพัฒนาไปเปนเครื่องยนต แปดสูบ ใหกําลังไดถึง 450 แรงมา
4.3 สมรรถนะของเครื่องยนตลูกสูบ (Reciprocating Engine Performance) กําลังของเครื่องยนตลูกสูบที่วัดออกมาได จะเปน แรงมา(Horsepower) โดยที่ กําลัง หนึ่งแรงมา เทากับ 550 ฟุต-ปอนด/วินาที เพื่อใหนึกภาพได กําลัง 1 แรงมา คือ กําลังที่เกิดจากการ ออกแรงยกของหนัก 55 ปอนด ใหสูงขึ้น 10 ฟุต (ในแนวดิ่ง) ไดใน เวลา 1 วินาที หนวยของกําลังในระบบเมตริก เปน วัตต (Watt) หรือ กิโลวัตต (kW) หนึ่ง แรงมา เทากับประมาณ 750 วัตต อยางไรก็ตามหนวยที่เปนแรงมา ยังเปนที่นิยมอยาง กวางขวางในกลุมของผูใ ชเครื่องยนต ตามหลักการ กําลังที่ไดจากเครื่องยนตลูกสูบ เนื่องมาจากความดันของกาซที่ เผาไหมในกระบอกสูบดันใหลูกสูบเลือ่ นลง ถายทอดแรงผานกานสูบ ไปหมุนขอเหวีย่ ง ในจังหวะกําลัง ความดัน ที่ดันลูกสูบใหเลื่อนลงไมคงที่ตลอดชวง จึงตองใชคา ความดัน เฉลี่ย(Mean effective pressure) P ในกระบอกสูบ ระยะทางที่แรงกระทํากับลูกสูบ ตั้งแตศูนยตายบน ถึงศูนยตายลาง คือ ชวงชัก (stroke) ดูรูปที่ 4.18 ประกอบ กําลัง Power
=
F L t
คือ แรงที่เกิดขึ้นบนลูกสูบ P A (ความดันเฉลี่ย พื้นที่หนาตัดลูกสูบ) L คือ ระยะเลือ่ นของลูกสูบ เทากับ ชวงชัก (stroke) t คือ เวลาที่แรง F เลื่อนลูกสูบไปเปนระยะ L P คาความดันเฉลี่ย(mean effective pressure) โดยที่ A พื้นที่หนาตัดของลูกสูบ ถาเครื่องยนตหมุนที่ ความเร็วรอบ = N รอบ/นาที (rpm) F
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
ดังนั้น ความเร็วรอบเปนวินาทีคือ หรือ เขียนไดวา ใชเวลา เวลา t ที่แรง F เลื่อนลูกสูบไปเปนระยะ L
= = =
รอบ/วินาที 60 N วินาที/รอบ 60 2 N วินาที (ในครึ่งรอบ)
ดังนั้น กําลังของเครื่องยนต Power
=
( P A) L N 1 (60 2) 4
N 60
ที่ตองคูณดวย 1 4 เพราะวา สองรอบขอเหวี่ยง (720 ) จึงจะใหกําลังหนึง่ ครั้ง ( 180 ชวงลูกสูบเลื่อนลง)
รูปที่ 4.18 สวนประกอบของเครื่องยนตลูกสูบ
เขียนจัดรูปเสียใหมเพื่อใหจํางาย และนําเอาไปใชเพื่อ ชวยทําความเขาใจ ตอไป กําลังของเครื่องยนตลูกสูบ Power PLAN แตนี่เปนกําลังจากเครื่องยนตสูบเดียว ถามีจํานวนสูบ n สูบ ดังนั้น
125
126
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
Power
(4.3)
PLANn
สูตรนี้เปนทีท่ ราบกันดีของเครื่องยนตลูกสูบ โดยที่คา ความจุกระบอกสูบ (Displacement Volume) คือ L A เมื่อดูจากสมการ (4.3) ในเครื่องยนตเครื่องหนึ่ง คา L A เปนความจุกระบอกสูบ และจํานวนสูบ n เปนสิง่ ที่ไดถูกออกแบบและสรางมา แตแรก ดังนัน้ ปจจัยที่ทําใหกําลังของเครื่องยนต มากขึ้นหรือนอยลงได คือ N ความเร็ว รอบ และ P ความดันเฉลีย่ ในกระบอกสูบ อากาศที่ถูกดูดเขาไปในกระบอกสูบ จะถูกอัดดวยการเลื่อนขึ้นของลูกสูบจน เหลือปริมาตรเล็กลงมาก ทําใหมีความดันสูง ซึ่งขึ้นอยูกับคากําลังอัดของเครื่องยนต (Compression ratio) ที่ไดถูกออกแบบไวแตแรก คากําลังอัดของเครื่องยนต คือ คา อัตราสวน ของปริมาตรในกระบอกสูบเมื่อลูกสูบเลื่อนลงต่ําสุด ตอ (หรือหารดวย) ปริมาตรในกระบอกสูบเมือ่ ลูกสูบเลื่อนขึ้นสูงสุด ดูจากรูปที่ 4.18 ไดดังนี้
รูปที่ 4.19 กําลังอัดของเครื่องยนตลกู สูบมีผลตอประสิทธิภาพของเครื่องยนต
กําลังอัด (COMPRESSION RATIO)
Vt Vc
เชน 10 : 1
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
127
แสดงวาปริมาตรอากาศ 10 หนวยถูกบีบใหเล็กลงเหลือ 1 หนวย คุณสมบัตินี้จะ สงผลตอกําลัง และประสิทธิภาพ ของเครื่องยนตดวย เพราะมีผลตอคาความดันเฉลีย่ ในกระบอกสูบ P ดูรูปที่ 4.19 จะเห็นวาชวงของกําลังอัดที่ถูกกําหนดไวในเครื่องยนต สวนใหญ จะไมเกิน 10 ขึ้นอยูกับชนิดของน้ํามันเชื้อเพลิงทีใ่ ชดวย กําลังจากการเผา ไหมเชื้อเพลิง กลายมาเปนความดันสงแรงมายังลูกสูบ มีการสูญเสียพลังงานไป บางสวน กับแรงเสียดทานของชิ้นสวนภายในเครื่องยนต กําลังที่ไดจากเครื่องยนต ออกมาที่เพลาคือ ความเร็วรอบ และแรงบิด เรียกวา “เบรกฮอสพาวเวอ(Brake horse power)” กําลังของเครือ่ งยนตที่เราพูดถึงกันสวนใหญ เปน เบรกฮอสพาวเวอ ทั้งนั้น ดังนั้นจะพูดวา “กําลังมา หรือแรงมา” เทานัน้ เปนที่รูกัน หนวยที่ใชคอื bhp (brake horse power)หรือ hp (horse power) ในหนังสือบางเลมอาจจะเขียนวา ชาปฮอสพา วเวอ(shaft horse power) แปลความหมายเปนภาษาไทยคือ กําลังมาทีไ่ ดจากการหมุน ของเพลา ยังมีศัพทที่บอกถึงกําลัง ที่ใชในการขับเคลื่อนคือ กําลังมาในการขับเคลื่อน ( thrust horsepower ) ควรเรียกทับศัพทวา “ทรัสฮอสพาวเวอร” เขียนยอๆดังนี้ thp ไม ตองแปลกใจวาทําไมตองมี มามาเกี่ยวของดวย ใหเขาใจวาเปนเรื่องของ กําลังงาน (Power) แตที่มมี า เพราะคนสวนใหญที่อยูในวงการเครื่องยนต มีความคุนเคยตอขนาด ของกําลังมา จึงเปนหนวยที่คนนิยมเพราะใหความรูสึกไดดี เชน เครื่องยนตเครื่องนี้ให กําลัง 200 แรงมา คนสวนใหญจะรูในทันที่วา มากพอหรือไมที่จะนําไปใชงานที่เรา ตองการ กําลังจากเพลาขับ นั้นยังตองไปหมุนใบพัดเพื่อใหได แรงขับอีกทอดหนึ่ง ตองมี การสูญเสียกําลังงานไปบางสวน กวาจะมาเปน แรงขับสุทธิ ที่เราตองการ จากแรงมาที่ เพลา มาเปนแรงขับ มีความสัมพันธดังนี้ thp p bhp
เมื่อ
thp
p bhp
คือ คือ คือ
กําลังมาในการขับเคลื่อน(หรือ กําลังขับที่มีหนวยเปนแรงมา) ประสิทธิภาพในการขับเคลื่อน กําลังมาจากการหมุนของเพลาเครื่องยนต
128
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
ก็เพราะวา กําลังของเครื่องยนตขึ้นอยูกับ ความดันของอากาศในกระบอกสูบ P (ในจังหวะกําลัง) ที่สืบเนื่องมาจากมวลอากาศที่ไหลเขามายังหองเผาไหม จะมีมาก นอยขึ้นอยูกับ ความดันบรรยากาศที่ผลักใหอากาศในบรรยากาศไหลเขาไปในหองเผา ไหม อากาศที่ระดับความสูงมากๆ มีความหนาแนนนอย และมีความดันบรรยากาศนอย ดวย ดังนั้นมวลอากาศที่เขาไปในหองเผาไหมจงึ มีนอยตามไปดวย การเผาไหมแตละ ครั้งจึงใหแรงดันต่ําลงกวา สภาวะที่เครื่องบิน บินอยูในระดับต่ํา ดูรูปที่ 4.20 เปนการ แสดงใหเห็นวา เครื่องยนตใหกําลัง 200 แรงมา ที่ความเร็วรอบ 2700 rpm ที่ ระดับน้ําทะเล เปนคาแรงมาสูงสุดทีเ่ ครื่องยนตไดถูกออกแบบไว แตเมื่อเครื่องบิน บิน ขึ้นไปที่ระดับความสูง 5,000 ฟุต กําลังมาสูงสุดที่เครื่องยนตทําไดคือ 170 แรงมา
รูปที่ 4.20 กําลังสูงสุดของเครื่องยนตลดลงเมื่อ ทํางานในระดับความสูงที่เพิ่มขึ้น
กําลังสูงสุดของเครื่องยนตลดลงที่ระดับความสูงเพิ่มขึ้น แตเมือ่ เราลดรอบ เครื่องยนตลง กําลังของเครื่องยนตก็จะลดลงมาอีก ตามปกติเครื่องยนตลูกสูบ ที่มักจะ
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
129
ถูกใชให เดินเครื่องที่กําลังสูงสุดเปนผลใหอายุการใชงานสั้นลง ในขณะที่สิ้นเปลือง เชื้อเพลิงมากขึ้น ทางที่ดีควรจะเดินเครื่องที่ประมาณ 75% ของกําลังสูงสุด เชน เครื่องยนตใหกําลังสูงสุด 200 แรงมา ควรเดินเครื่องยนตที่ประมาณ 150 แรงมา ซึ่ง 75% ของกําลังสูงสุด ทีว่ า หมายถึงกําลังสูงสุดที่เครื่องยนตเครื่องนั้นจะทําได ไมใช ที่ ระดับความสูงขณะนั้น นั่นคือแมบินขึ้นไปสูงที่ระดับ 5,000 ฟุต เครื่องยนตใหกําลัง สูงสุดไดที่ 170 กําลังมา แตเราก็ยังคงสมควรเดินเครื่องที่ 150 แรงมา ไดอยู การเดินเครื่องยนตที่กําลังต่ํา เปนเวลานานๆ ก็เปนผลเสียตอเครื่องยนต หัว เทียน วาลว จะมีเขมาเกาะ ไมแนะนําใหทํา ถาจะใหดีควรเดินเครื่องในชวง 55 – 75% ที่ หาสิบหาเปอรเซ็นต เปนการชวยในเรื่องประหยัดเชื้อเพลิงดวย เรียกวา การบิน เดินทางอยางประหยัดเชือ้ เพลิง สวนการบินดวยการเดินเครื่องที่ เจ็ดสิบหาเปอรเซ็นต เปน การบินเดินทางอยางมีสมรรถนะ คือไดความเร็วดวยดังนั้นถาทําการบินเดินทางที่ 65% ของกําลังสูงสุด นาจะเหมาะสมที่สุด คือไดทั้งประหยัดน้ํามันและความเร็วในการ เดินทางดวย
4.4 ซุปเปอรเทอรโบชารจเจอ (Superchargers) การบินที่ระดับความสูงมากๆ อากาศมีความดัน และความหนาแนนลดลง แม จะสงผลดีในการลดแรงตานพาราไซท แตมีผลโดยตรงตอการลดประสิทธิภาพของ เครื่องยนตทําใหสมรรถนะในการบินโดยรวมลดลง เนื่องจากความดันของบรรยากาศ เปนตนเหตุหลัก ดังนัน้ เพื่อใหเครื่องยนตยังคงมีประสิทธิภาพที่ดีอยู จึงไดหาทางทําให อากาศที่ถูกปอนเขาสูเ ครื่องยนต มีความดันสูงขึ้น ดวยการติดเครื่องอัดอากาศเขากับ เครื่องยนต เรียกวา “ซุปเปอรชารจเจอ (Supercharger)” การอัดอากาศใหมีความดันสูงขึ้น และปอนใหกับเครื่องยนต นั้นจะใชตัวอัด อากาศที่เรียกวา “คอมเพรสเซอร (Compressor)” โดยสงตอกําลังมาจากเครื่องยนต ผานชุดเฟองทดใหรอบสูงขึ้นเพียงพอกับการหมุนใบพัดอัดอากาศ เขาสูชอ งไอดี ยังมีอีก วิธีคือ การใชกําลังจากไอเสียของเครื่องยนตที่พุงออกมาทางทอไอเสีย และไปหมุน กังหัน (turbine) ถายทอดการหมุน ผานเพลาไปยังตัวอัดอากาศ (แทนทีจ่ ะแบงกําลังมา
130
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
จากการหมุนของเครื่องยนต) ซึ่งใหประสิทธิภาพดีกวา อุปกรณที่ทํางานดวยวิธีนคี้ ือ เทอรโบซุปเปอรชารจเจอ (Turbosupercharger) หรือเรียกงายๆวา “เทอรโบชารจเจอ (turbocharger)” เทอรโบซุปเปอรชารจเจอ(Turbosupercharger) มีประสิทธิภาพสูงกวาเพราะวา ใชกําลังจากไอเสียของเครื่องยนตที่มีพลังงานอยูในนั้นไมนอย แทนที่จะสูญเปลาไปกับ การพนทิ้งไปในอากาศ ก็ถือวาเปนการนําพลังงานกลับมาใชใหคุมคากอนทิ้งไป ถึงแมวาการที่มี ตัวกังหันมาติดตั้งขวางทางไอเสียของเครื่องยนตจะทําใหกําลังของ เครื่องยนตลดลงเล็กนอย โดยรวมแลวกําลังของเครื่องยนตที่ไดรับสุทธิจากเพลา มีมาก ขึ้น และดีกวาการใชกําลังขับที่แบงมาจากการหมุนของเพลาเครื่องยนต รูปที่ 4.21 เปน ผังการทํางานของเทอรโบซุปเปอรชารจเจอ
รูปที่ 4.21 การทํางานเครื่องยนตที่ติดซุปเปอรชารจเจอ ชวยอัดอากาศเขาหองเผาไหม โดยใช กําลังจากไอเสียไปหมุนกังหัน ที่เพลาตอเขากับตัวอัดอากาศ
ผลที่ไดจากการทํางานของเครื่องยนตที่ติด เทอรโบชารจเจอ คือ ยังคงใหกําลัง ไดสูงเทาเดิมแมอยูที่ระดับความสูงมาก จนกระทั่งถึงระดับความสูงคาหนึ่งที่ไมสามารถ
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
131
คงกําลังของเครื่องยนตใหสูงเทาเดิมได ณ ตําแหนงนี้เรียกวา “ความสูงวิกฤต (Critical altitude)” คือที่ประมาณ 7,000 ถึง 8,000 ฟุต เหนือระดับน้าํ ทะเล ในรูปที่ 4.22 เปน ตัวอยางของเครื่องยนตในรูปที่ 4.20 นํามาติดเทอรโบชารจเจอ ชวยทําใหกําลังสูงสุด ของเครื่องยนตไมลดลงที่รอบเทาเดิม สังเกตดูเสนประในรูปที่ 4.22 กําลังสูงสุดของเครือ่ งยนต ที่ระดับน้ําทะเล เทากับ 200 แรงมา ยังคงไมลดลงแมความสูงในการบินเพิ่มขึ้น จนกระทั่งที่ความสูงประมาณ 7,500 ฟุต เหนือระดับน้าํ ทะเล กําลังมาสูงสุดจึงคอยๆลดลง (เปนระดับความสูงวิกฤต) ดวยคุณสมบัติที่ดี ของเครื่องยนตที่ติดเทอรโบชารจเจอภายใตความสูงที่ไมเกินความสูง วิกฤต จึงเปนที่นิยมในปจจุบัน เปนการชวยในการประหยัดคาน้ํามันเชื้อเพลิง และเพิ่ม สมรรถนะใหกับเครื่องบิน แมเครื่องบินขนาดเบา หนึ่งเครื่องยนตก็ยังนิยมใชเครื่องยนต ที่ติดเทอรโบชารจเจอ
รูปที่ 4.22 เครื่องยนตเมื่อติดเทอรโบชารจเจอเขาไปทําให สมรรถนะของเครื่องยนตไมลดลงที่ ระดับความสูงเพิ่มขึ้น
132
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
4.5 สมรรถนะของเครื่องยนต เทอรโบพรอพ เทอรโบแฟนและ เทอรโบเจ็ต (Turboprop Turbofan and Turbojet Performance) ตามปกติโดยทั่วไป เมื่อเห็นเครื่องบินที่ใชใบพัด คนสวนใหญมักจะเขาใจวาเปน เครื่องยนตลกู สูบ แตในปจจุบนั เครื่องบินใบพัดจํานวนไมนอย ใชเครื่องยนตเทอรโบเจ็ต เปนตัวหมุนใบพัดที่เรียกวา “เทอรโบพรอพ” ที่นิยมใชก็ ไมใชเพราะวา เครื่องยนตเจ็ตมี ประสิทธิภาพดีกวาเครื่องยนตลูกสูบ แตเปนเพราะวา ในปจจุบันการพัฒนาเครื่องยนต เจ็ตไปไกลมาก ทําใหเครื่องยนตเจ็ตใหกําลังที่มากกวา โดยที่มีขนาดของเครื่องยนตเล็ก กวา และน้ําหนักที่นอยกวา ดวยคุณสมบัตินี้จึงเปนที่สนใจของผูสรางเครือ่ งบินโดยสาร ขนาดใหญ ที่ยังคงตองการการขับเคลื่อนดวยใบพัดแตตองการเครื่องยนตขนาดเล็กที่ให กําลังมาก ซึ่งลงตัวพอดี กับความตองการ เครื่องยนตเทอรโบพรอพ ใหแรงขับสูง ที่ ความเร็วเครื่องบินไมมากนัก
รูปที่ 4.23 กําลังมาของเครื่องยนตเทอรโบพรอพแปรตามความเร็วของเครื่องบินและลดลงตาม ระดับความสูง
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
133
เราไดรูแลววา เครื่องยนตลูกสูบจะมีสมรรถนะลดลงคือใหกําลังสูงสุดไดนอ ยลง เรื่อยๆตามระดับความสูงจากระดับน้าํ ทะเลเนื่องจากความหนาแนนและความดันของ อากาศลดลง แตสําหรับ เครื่องยนตเทอรโบเจ็ต ยังคงใหสมรรถนะสูงที่ระดับความสูง มากๆและ ที่ความเร็วของเครื่องบินสูงดวย แตในกรณีของเครื่องยนตเทอรโบพรอพ เนื่องจากแรงขับไดจากการหมุนใบพัด จึงมีสมรรถนะลดลงมากที่ระดับความสูงมาก เชนกัน ในรูปที่ 4.23 บอกใหเรารูวาเครื่องยนตเทอรโบพรอพ ใหกําลังมาที่เพลาหมุน แปรตามความเร็วของเครื่องบินและถาบินในระดับความสูงมากกําลังมาจะลดลง เครื่องยนตเทอรโบเจ็ตทีใ่ ชแรงขับจากการพนกระแสอากาศรอน (กระแสเจ็ต) ดวยความเร็วสูง แตเพียงอยางเดียว มักจะบอกออกมาในรูปของแรงขับ (Thrust) แต เพียงอยางเดียว แรงขับของเครื่องยนตเจ็ตขึ้นอยูกับระดับความสูง และความเร็วในการ บิน สมรรถนะของเครื่องยนตเจ็ตขึ้นอยูกับปจจัยหลายอยางเชน อุณหภูมิ ความดัน ของ อากาศ อัตราสวนความดันของเครื่องอัดอากาศ ความเร็ว ความดัน และอุณหภูมิของ กาซที่พนออกมา ฯ
รูปที่ 4.24 แรงขับของเครื่องยนตเจ็ต แปรตามความเร็วของเครื่องบิน และลดลงตามความสูง
134
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
เครื่องยนตเจ็ตโดยทั่วไปจะมีคุณสมบัติ ในทํานองเดียวกับในรูปที่ 4.24 แรงขับ คอยๆลดลงตามความเร็วของเครื่องบินและกลับคอยๆสูงขึ้น แตแรงขับจะลดลงตาม ระดับความสูงของการบินยิ่งสูงมากแรงขับก็ยิ่งลดลงมาก
4.6 การเปรียบเทียบสมรรถนะของเครื่องยนตเจ็ตแตละแบบ (Comparison of Powerplant Performance) ในบทนี้ไดกลาวถึงคุณสมบัติของเครื่องยนตแตละแบบ ที่ใชกับเครื่องบิน ซึ่งมี ความเหมาะสมตางกันขึน้ อยูกับการใชงาน เพื่อใหไดประสิทธิภาพสูงสุด เครื่องบินที่ใช ใบพัดขับเคลื่อน เหมาะกับการบินที่ความเร็วไมสูงมาก แตถาเครื่องบินที่ตองการ ความเร็วสูงมากๆตองเปนการขับเคลือ่ นโดยใช เครื่องยนตเทอรโบเจ็ต เนื่องจากมี คุณสมบัติเหมาะสม เชน เครื่องบินขนาดเบา บินในระดับไมสูงมากใชความเร็วต่ํา แนนอนก็ตองใชเครื่องยนตลูกสูบขับใบพัด หรือ เทอรโบพรอพ ในรูปที่ 4.25 ชี้ใหเห็นวา ประสิทธิภาพของเครื่องยนตแตละแบบ เปนอยางไร เมื่อเทียบกับความเร็ว
รูปที่ 4.25 ประสิทธิภาพของเครื่องยนตแตละแบบ เมื่อเทียบกับความเร็วในยานใชงาน
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
135
เทอรโบพรอพ (เชน เครื่องบินในรูปที่ 4.27X ซึ่งใชใบพัดนั้นมีประสิทธิภาพเหนือ กวา เครื่องยนตเทอรโบแฟนและเทอรโบเจ็ต (เชน เครื่องบินในรูปที่ 4.28 และ 4.29) ใน ยานความเร็วต่ําคือประมาณ 350 ไมลตอชั่วโมง อยางไรก็ตามเมื่อความเร็วสูงขึ้น ประมาณ เขาใกล 400 ไมล/ชั่วโมง ประสิทธิภาพลดลงอยางรวดเร็ว เปนเพราะวาการ บินในยานความเร็วขนาดนั้น ใบพัดตองหมุนดวยความเร็วสูงมาก ที่ปลายใบพัด ซึ่งเปน บริเวณที่มีความเร็วสูงทีส่ ุดของใบพัด มีคาความเร็วเขาใกลความเร็วเสียง คลื่นช็อกเริ่ม ปรากฏขึ้นในบางสวน ทําใหเกิดแรงตานมหาศาลการสูญเสียกําลังของเครื่องยนตใน การหมุนใบพัดจึงมีมากตามมาดวย ที่ความเร็วของเครื่องบินในยานสูงกวา 400 ไมลตอชั่วโมง เครื่องยนตเทอรโบ แฟน แสดงใหเห็นถึงประสิทธิภาพที่ดีกวา ในขณะที่การหมุนของใบพัดมีขอจํากัดใน เรื่องความเร็วของกลีบใบ แตตัวใบพัดของชุดแฟน ซึ่งมีเสนผาศูนยกลางนอยกวาใบพัด แตใหญกวา เทอรโบเจ็ต ทํางานใหประสิทธิภาพไดดีจนถึงยานความเร็วประมาณ 900 ไมลตอชั่วโมง และดีทสี่ ุดประมาณ 700 ไมลตอชั่วโมง เปนยานการใชงานของเครื่องบิน โดยสารขนาดใหญ ซึ่งนิยมติดตั้งเครื่องยนตประเภทนี้ซึ่งถือไดวาเหมาะสมที่สุด
รูปที่ 4.26 แรงขับที่ไดจากเครื่องยนตแตละแบบ ซึ่งขึน้ อยูกับความเร็ว
136
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
รูปที่ 4.27 เครื่องบิน บีชคราฟ ใชเครื่องยนตเทอรโบพรอพ (Turboprop Engine)
รูปที่ 4.28 เครื่องบิน โดยสารขนาดใหญ ใชเครื่องยนตเทอรโบแฟน (Turbofan Engine)
รูปที่ 4.29 เครื่องบิน โดยสารขนาดเล็ก ใชเครื่องยนตเทอรโบเจ็ต (Turbojet Engine)
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
137
มีเพียงแตเครื่องบินที่ตองการบินดวยความเร็วสูงมากๆ คือ เครื่องบินที่บินใน ยานความเร็วเหนือเสียง(Supersonic speed) เหมาะสมที่จะใชเครื่องยนตเทอรโบเจ็ต ซึ่งจะใหประสิทธิภาพสูงสุดที่ความเร็วประมาณ 2,500 ไมลตอชั่วโมง แตในทางปฏิบัติ ยังมีปญหาอื่นอีก ที่ทําใหไมสามารถบินดวยความเร็วในยานนั้นได เชน อุณหภูมิของ อากาศที่รอนมากขึ้นเมือ่ อากาศ มีความเร็วสูงขนาดนั้น แรงขับที่ไดจากการนําเอาเครื่องยนตเจ็ตมาประยุกต เปนเทอรโบพรอพ และ เทอรโบแฟน เครื่องยนตเทอรโบพรอพใหคาแรงขับไดมากที่สุดในยานความเร็วต่ํากวา 400 ไมลตอชั่วโมง เกินไปกวานี้ เทอรโบพรอพไมเหมาะที่จะใช จากรูปที่ 4.26 จะเห็นได วา เทอรโบแฟน (เชน เครื่องบินในรูปที่ 4.28) เหมาะสมที่สุดที่ใหแรงขับสําหรับการบิน ในยานความเร็วสูง และใชไดในยานความเร็วต่ํา
138
บทที่ 4 แรงขับ (Thrust)
แบบฝกหัดบทที่ 4 4.1
ทําไมเครื่องยนตที่ใชใบพัดในการขับเคลื่อน จึงมีประสิทธิภาพสูงกวาใชเครื่อง ยนตเจ็ต ในการขับเคลื่อน ที่ยานความเร็วต่ํา จงอธิบาย
4.2
เครื่องยนตเทอรโบแฟน คืออะไร อธิบาย
4.3
เราจะทําอยางไรกับเครื่องยนตลูกสูบ ที่มีอยูแลว เพื่อใหมีกําลังเพิ่มขึ้น
4.4
เราควรจะทําอยางไรในการออกแบบเครื่องยนตลูกสูบ เพื่อใหมีกําลังมากขึ้น
4.5
เทอรโบชารจเจอ มีหลักการทํางานอยางไร จึงชวยทําใหเครื่องยนตลูกสูบมีกําลัง สูงสุดคงทีแ่ มอยูที่ระดับความสูงมาก
4.6
เครื่องยนตชนิดไหนที่ใหประสิทธิภาพ ความเร็ว ประมาณ 500 ไมลตอชั่วโมง
ดีที่สดุ
สําหรับเครื่องบินทีบ่ ินดวย
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller) ลําพังเครื่องยนตที่มีกําลังไปหมุนเพลา ไมสามารถใหแรงขับเคลื่อน กับเครื่อง บินได ถาไมมีใบพัด(propeller) ดูกันเพียงผิวเผิน ใบพัดเปนอุปกรณที่ไมมีอะไรซับซอน ในอดีตมองวาใบพัดเปนอุปกรณที่มีลักษณะเหมือน ตะปูเกลียว หรือ สกรู (screw) ที่ใช ไขเขาไปในเนื้อไม บางครั้งจึงเรียกใบพัดวา“สกรูอากาศ (airscrew)” โดยเฉพาะชาว อังกฤษ และใบพัดเรือยังคงเรียกกันวา “สกรู” (คนสวนใหญมักใชเรียกตะปูเกลียว ดูรปู ที่ 5.2) ใบพัดทําหนาที่ใหแรงขับเมื่อถูกทําใหหมุน แนวความคิดของใบพัดมีมานานแลว ตาม ประวัติ ลีโอนาโด ดา วินซี ไดออกแบบใบพัดสําหรับเรือ ตอมาเมื่อเริ่มมีการใช บอลลูน ในชวง ป ค.ศ.1800 ไดมีการสรางใบพัดนํามาติดตั้งกับเรือเหาะ อยางไรก็ตาม ใบพัดในยุคนั้นคอนขางดอยประสิทธิภาพ เนื่องจากยังไมมีความเขาใจดีพอ
รูปที่ 5.1 เฮลิคอปเตอร รางแบบโดย ดาวินซี
140
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
ยอนไปในชวงของ สองพีน่ องตระกูลไรท ขณะนั้นหลักการของใบพัดที่มีอยูยังไม ถูกตอง ดังนั้นจึงตองพยายามหาคําตอบ ดวยการทดลองและพิจารณาอยางมีหลักการ เพราะการที่เครื่องบินจะบินไดตองอาศัยใบพัดที่ดี เขาทัง้ สองตระหนักดีวาใบพัดมีสวน สําคัญอยางมากตอความสําเร็จของเขาในการบินใหได เขาทัง้ คูเปนคนแรกๆที่เขาใจใน หลักการไดถูกตองวา อันที่จริงแลวใบพัดก็คือ แพนอากาศชนิดหนึ่งอยางปกเครื่องบิน ที่ เคลื่อนที่ไปในอากาศและเกิดแรงกระทําขึ้น แตมีลักษณะเคลื่อนที่เปนการหมุนรอบแกน โดยที่ระนาบของการหมุน(เหมือนกับจาน)นั้น ตัง้ ฉากกับทิศทางที่เครื่องบินเคลื่อนที่ไป การใหแรงขับของใบพัด เปรียบไดกับการใหแรงยกของปกเครื่องบิน จิตรกรนักประดิษฐคิดคน ในอดีตอยาง ลีโอนาโด ดา วินซี (Leonardo da Vinci) ไดแผนแบบ เฮลิคอปเตอรของเลน ดูรูปที่ 5.1 เปนที่รูจักกันดีวาเปนใบพัด เครื่องบิน อยางไรก็ตาม มันเกิดขึน้ กอนที่สองพีน่ องตระกูลไรท จะบินไดสําเร็จเปนครั้ง แรกดวยใบพัดที่เขาสรางขึ้นมาเอง เปนการสะทอนใหเห็นวา มนุษยไดเริ่มเขาใจการ ทํางานของใบพัดมาเปนเวลานานแลว ในบทนี้จะเปนการอธิบายถึงการทํางานของ ใบพัด ในการใหแรงขับกับเครื่องบิน
5.1 ใบพัดทํางานอยางไร (How a Propeller Works)
รูปที่ 5.2 สกรูเมื่อขันหรือหมุน จะเลื่อนตามแนวแกนหมุนเขาไปในเนื้อไม
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
141
จุดมุงหมายของใบพัดคือ เปลี่ยนการหมุนมาเปนการเลื่อนไปขางหนาใน แนวแกนหมุน มีอุปกรณบางอยางทําหนาที่ในลักษณะเชนนี้ดว ยหลักการอยางงายๆ คือ สกรูเกลียว (Screw thread) เมื่อเราขันสกรู (ในทิศทางตามเข็มนาฬิกา) เขาไปในเนื้อไม ตัวสกรูจะเลือ่ นตามแนวแกนหมุนเขาไปในเนื้อไม หรือจะบอกวาไมเลื่อนถอยหลังเขามา หาสกรูก็ได ถาเปรียบไมเปนอากาศ สกรูก็เปรียบไดกับใบพัด (เครื่องบิน) ดูรูปที่ 5.2
รูปที่ 5.3 การหมุนแผนระนาบ ที่ไมเอียงทํามุมกับระนาบของการหมุนหรือไมบิด ไมสามารถผลัก อากาศใหเคลื่อนที่ไปขางหลังได มีแตแรงตานการหมุน
เพื่อชวยใหเขาใจวาเพราะเหตุไร ขณะใบพัดหมุนจึงผลักใหอากาศเคลือ่ นที่ไป ขางหลังลองนึกถึงแผนระนาบสองแผน หรือจะเรียกงายๆวาแผนไม ยึดเขากับดุมตรง กลางโดยที่แผนไมนี้ไมมกี ารบิด (Twist) คือ อยูในระนาบเดียวกับระนาบหมุน ดูรูปที่ 5.3 ติดเขากับเพลาแผนระนาบทั้งสองนี้ ก็ไมสามารถผลักใหอากาศ เคลื่อนที่ไปขาง หลังไดเลย มีแตเพียงอากาศไหลเคลือ่ นที่ผานแผนระนาบทั้งสองนี้มเี ฉพาะแรงตานการ หมุนเทานัน้ เองซึ่งเปนปรากฏการณที่คลายกับสกรูเกลียว คือถาฟนเกลียวไมเอียง (ไมมี
142
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
คาพิทช) ก็ไมเกิดแรงที่ทําใหสกรูเลือ่ นไปตามแนวแกนได ถาทําใหระนาบหรือกลีบใบ (propeller blade) เอียงหรือบิดจะสามารถผลักอากาศใหเคลื่อนที่ไปขางหลังได ดังใน รูปที่ 5.4 เมื่ออากาศถูกผลักไปขางหลังของแผนระนาบ จะเกิดแรงที่พยายาม ผลักแผน ระนาบใหเคลื่อนที่ไปในแนวแกนหมุนนี่คือ การทีใ่ บพัดทําใหเกิดแรงขับ (Thrust) ใบพัด ในสมัย กอนทําดวยระนาบบิดเชนเดียวกันนี้ แตทําใหมีรูปรางมนตรงปลาย ดูเหมือนกับ ใบพาย ซึ่งใหประสิทธิภาพที่ไมดีนัก จึงใหแรงขับนอย การปรับปรุงหลักๆ สามประการที่ชวยเพิ่มประสิทธิภาพใหกบั ใบพัด คือ 1. แทนที่จะใหมุมบิดคงที่ตลอดทั้งใบ ทําใหมุมบิดมีการเปลีย่ นไปตามแนวรัศมี ของกลีบใบ เหมือนกับวาทุกตําแหนงบนกลีบใบมีหนาที่สรางแรงขับเพื่อผลักใหใบพัด เคลื่อนที่ไปขางหนา (ตามแนวแกนหมุน) 2. กลีบใบพัดเปรียบไดกับปก เครื่องบินหรือแพนอากาศ ที่นํามาหมุนรอบแกน ดังนั้นจึงตองพิจารณาใบพัดอยางแพนอากาศในแตละตําแหนงตามแนวรัศมี 3. ภาคตัดขวางของกลีบใบตองมีรูปรางอยางแพนอากาศ หรือปกของเครื่องบิน ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม
รูปที่ 5.4 กลีบใบที่บิด จะทําใหอากาศเคลื่อนที่ไปขางหลัง เกิดแรงขับตามแนวแกนไปขางหนา
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
143
เมื่อสกรูเกลียวถูกไขเขาไปในรูของเนือ้ ไม แรงถูกถายทอดมายังฟนของเกลียวที่ สัมผัสกับเนือ้ ไม ในกรณีของใบพัด ซึ่งในอากาศไมมีรู มีแตพื้นผิวของแตละสวนตลอด แนวกลีบใบพัดที่บิด คลายฟนของเกลียว ในจินตนาการแตละสวนบนกลีบตองพยายาม เลื่อนไปในอากาศตามความชันหรือมุมบิด (Twist angle) ของกลีบใบ เพื่อใหไดระยะที่เลื่อนไปเทากันในแตละหนึง่ รอบ มุมบิดที่โคนใบจะตองมากกวา ตรงปลายใบ(ลองนึกถึงบันไดเวียนดานในของบันได จะชันกวาดานนอก เพือ่ ใหเมื่อเดิน ครบหนึ่งรอบจะขึ้นมาสูงในระดับที่เทากัน ในทุกตําแหนงตามแนวรัศมี) ระยะทีเ่ ลื่อนไป ในแตละหนึง่ รอบเรียกวา พิทช (Pitch) ซึ่งถาเทียบกับสกรูจะเรียกวา พิทชเรขาคณิต (geometry pitch) เพื่อใหเกิดความเขาใจลองนึกถึงการนําเอากระดาษ รูปสี่เหลี่ยมผืนผามามวน เปนวงกลม (รูปทรง กระบอก) ดวยคารัศมีที่ตางกันแตมีความสูงเทากันลองทําดูสัก สามหรือสี่อัน แลวคลี่ออกแตละวงจะมีความยาวของเสนรอบวงที่ไมเทากันดังนั้นจะได สี่เหลี่ยมผืนผาที่มีความยาวไมเทากัน อันที่รัศมีมากก็ยาวกวา แตมคี วามกวางหรือ ความสูงที่เทากัน ตอไปใชดินสอลากเสนทแยงมุม ของแตละอัน ความสูงคือระยะพิทช แทนดวย P มุมที่เสนทแยงมุมทํากับดานยาวของแตละอันคือ ความชันหรือมุมพิทช (Pitch angle) มักจะแทนดวยสัญลักษณ เบตา จะเห็นวาความชันมีคามาก ( มาก) ที่คารัศมีนอย แตจะมีคาความชันนอย ( นอย) ที่รัศมีมาก ( r มาก) คาในแตละ ตําแหนงในแนวรัศมีใช r สวนคารัศมีของกลีบใบพัดคือวัดจากจุดศูนยกลางมายังปลาย กลีบใบ ใช R (เปนคาแนนอนคือคงที่ของแตละใบพัด) ดูรูปที่ 5.19 ประกอบ
5.2 คาพิทช และมุมพิทช (PITCH AND PITCH ANGLE) เพื่อใหเขาใจในเรื่องของมุมพิทช (pitch angle) ตามปกติคําวา พิทช มักจะพบ เกี่ยวกับเรื่องของสลักเกลียวหรือสกรูเกลียว(นอตตัวผู) สกรูที่ไขเขาไปในเนื้อไม หรือ นอตตัวเมีย เมื่อหมุนหนึง่ รอบก็จะเลือ่ นตามแนวแกนเขาไปหนึ่งพิทช ไดกลาวไปแลววา ใบพัดเครื่องบินเปรียบไดกับสกรู ที่ไขเขาไปในอากาศจึงเรียกวา “สกรูอากาศ ( air screw)” เพราะมีลักษณะคลายกันคือเมื่อมีการหมุนรอบแกนหมุน ก็จะทําใหเคลื่อนที่
144
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
ไปตามแนวแกนนั้น ใบพัดเครื่องบินเมื่อหมุนทําใหเกิดแรงขับเคลื่อน ที่เจาะเขาไปใน อากาศ เปรียบอากาศเปนเนื้อไม ใบพัดเครื่องบินที่สรางขึ้นมาจะมีคาพิทช อยูคาหนึ่ง ขึ้นอยูกับการออกแบบ เชนเดียวกับสกรู ทีส่ รางขึ้นมาก็มีคาพิทชอยูคาหนึ่งเหมือนกัน คาพิทชนี้เปนตัวกําหนดมุมพิทช ในแตละตําแหนงตามแนวรัศมี R ดังในรูปที่ 5.5 เปนการแสดงใหเห็นวามุมพิทช เปนมุมของสามเหลี่ยมมุมฉาก ที่มีดานประกอบมุมฉาก คือ ความยาวเสนรอบวงรัศมี R และ ระยะพิทช (pitch) ซึ่งคงที่ตามแตจะสรางขึ้นมา แตแรก สามเหลี่ยมมุมฉากนี้เมื่อพันรอบกระบอกพอดี มีลักษณะเหมือนเกลียวหรือ บันไดเวียน เรียกวา “เฮลิก (helix)” ถาดูตามในรูปที่ 5.5 เปรียบไดกับวา เปนการคลี่ กระดาษที่พนั กระบอกออกมาเปนรูปสามเหลี่ยมมุมฉาก ระยะ AB คือระยะพิทช
รูปที่ 5.5 แสดง ระยะพิทช และมุมพิทช เปรียบไดกับรูปสามเหลี่ยมที่พนั รอบกระบอกรัศมี R
ดังนั้น
มุมพิทช tan
1
pitch -1 P tan 2R ความยาวเสนรอบวง
คาของ ระยะ พิทช P คงที่ดังนั้น R ยิ่งมาก (ยิ่งไกลจากจุดศูนยกลาง)
มุมพิทช ขึ้นอยูกับรัศมี มุมพิทช ยิง่ นอย
R
คือ
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
145
วิธีดูงายๆในรูปที่ 5.5 คือถาคารัศมี R เล็กลง เสนรอบวงก็จะเล็กลงตามในทาง กลับกัน ถารัศมี R โตขึ้น เสนรอบวงก็จะโตตาม ในขณะที่ระยะ พิทช AB คงที่ตลอด ดู รูปสามเหลี่ยมมุมฉากถาความยาวฐานสามเหลี่ยมสั้นลงโดยที่ความสูงสามเหลี่ยม AB คงที่ มุม ก็ยิ่งโตขึ้นในทางตรงขามถาฐานสามเหลี่ยมยาวขึ้น (เสนรอบวงยาวขึ้น) มุม ก็ยิ่งเล็กลงตองลองนึกภาพดู แตคามุมพิทช ที่สัมพันธกับคาพิทช ในลักษณะนีเ้ ปน คาพิทชทางเรขาคณิต (Geometry pitch) คามุมพิทชของใบพัดจริง จะขึ้นอยูกบั การคํานวณเพื่อใหไดคาที่ เหมาะสมทีส่ ุด ในแตละตําแหนงตามแนวรัศมี R ซึ่งขึ้นอยูกบั ปจจัยหลายอยางในทาง อากาศพลศาสตร แตดวยวาคาพิทชทางเรขาคณิตนี้ มีธรรมชาติที่สอดคลองกับมุมพิทช ของใบพัด จึงนําชื่อและความสัมพันธมาใชกับใบพัดเครื่องบิน ดังนั้นจึงมักบอกคาพิทช ของใบพัดเครื่องบิน เปนคาของมุม ที่ตําแหนง R หรือ 0.75R เพราะ ณ ตําแหนงนี้บนใบพัดใหผลตอแรงขับ มากที่สุด 3
4
5.3 มุมปะทะของกลีบใบ (Blade Angle of Attack) ลองพิจารณาใบพัดในขณะที่กําลังหมุนตัดอากาศโดยที่ไมมี การไหลของอากาศ เขามาใน ทิศทางตามแนวแกนหมุนเลย (เครื่องบินอยูกับที่) ความเร็วที่ปรากฏตอใบพัด ซึ่งก็คือ แพนอากาศ เปรียบเสมือนวาสวนของแพนอากาศหยุดนิ่ง มีลมเคลื่อนที่เขามา ดวยความเร็วคาหนึ่ง ทีม่ ุมปะทะ ทําใหเกิดแรงยกในแนวเดียวกับแกนหมุนของใบพัด คือตั้งฉากกับระนาบการหมุน แรงยกในที่นี้ก็คือ แรงขับนั่นเอง ดูรูปที่ 5.6 คราวนี้มาดูกันวา เมื่อเครื่องบินเริ่มเคลื่อนที่ เปรียบไดกับวามีอากาศเคลื่อนที่ เขาหาเครื่องบินดวยความเร็วคาหนึ่งดังใน รูปที่ 5.7 เปนมุมมองเหมือนกับ รูปที่ 5.6 เพียงแตมีกระแสอากาศไหลเขาหาใบพัด ตามแนวแกนหมุนของใบพัด ดังนั้นทิศทาง ของอากาศที่สัมพัทธกบั ใบพัดหรือ ทิศทางลมทีแ่ ทจริงเมื่อเทียบกับใบพัด ก็คือ V (Relative velocity) ถาสมมุติวาเราเปนมดเกาะอยูตรงชายหนาของกลีบใบพัด คือ แพน อากาศที่กําลังพิจารณา จะมองเห็นวาอากาศที่กําลังไหลเขามายังชายหนาของแพน res
146
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
อากาศคือ V ความเร็วสัมพัทธของอากาศเทียบตอ แพนอากาศ แตผทู ี่ยนื สังเกตอยู ภายนอกจะเห็นวามี ปรากฏการณอยูสองอยางคือ res
รูปที่ 5.6 ใบพัดกําลังหมุน เปรียบไดกับปกเครื่องบิน แรงยกคือแรงขับ แสดงขณะที่เครื่องบินอยูน ิ่ง
1. อากาศไหลเขามาในแนวแกนหมุน V (Forward velocity) หรือ ความเร็ว เครื่องบิน 2. มีการหมุนของใบพัดรอบแกนหมุน (จึงเกิดความเร็วของอากาศ ผานแพน อากาศในทิศทาง ตรงขามกับการหมุน) V (rotational velocity) ความเร็วเนื่องจากการ หมุนของใบพัดความเร็วสัมพัทธ V เปนผลของความเร็วเครื่องบินV และ ความเร็ว รอบของใบพัดV มีความ สัมพันธกัน เปนรูปสามเหลีย่ ม (เวกเตอรความเร็ว) ดังในรูปที่ 5.7 ลองนึกวาเราอยูบนรถที่ไมมีหลังคา ตอนจอดอยูนิ่งๆ มีลมพัดอยางคงที่เขามา ทางดานซาย (ในทิศทางตั้งฉากกับถนนที่เปนเสนตรง) เรารูไดวามีลมพัดเขามาทางซาย fwd
rot
res
rot
fwd
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
147
ตลอด แตเมือ่ รถเริ่มออกตัววิ่งไปขางหนาดวยความเร็ว เราเริ่มรูสึกวา ลมที่พัดมาถูกตัว เราแทนทีจ่ ะเขามาทางซาย อยางตอนที่รถจอดนิง่ กลับคอยๆเปลี่ยนทิศทางเยื้องไปทาง ดานหนามากขึ้นและเร็วขึ้น นี่คือความเร็วสัมพัทธ เปนความเร็วที่ปรากฏตอเรา สําหรับ คนที่ยืนสังเกตอยูบนถนน จะเห็นวา มีลมพัดตั้งฉากกับถนน และเห็นรถเราวิ่งไปตาม ถนน ตัดลมไปเทานั้น ซึ่งตางจากเราที่อยูบนรถ ดังในรูปที่ 5.8
รูปที่ 5.7 ความเร็วลมที่สัมพัทธกับใบพัด คือ Vres และเปดมุมปะทะ
รูปที่ 5.8 ความเร็วลมที่ปรากฏตอกลีบใบพัด คือความเร็วลมที่สัมพัทธตอกลีบใบพัด เปรียบไดกับการที่เราขับรถ ที่วงิ่ ผานลม
148
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
มุมปะทะ ของแพนอากาศคือ มุมที่แพนอากาศทํากับทิศทางของความเร็ว สัมพัทธ เปรียบไดกับความเร็วของกระแสอากาศอิสระ ที่กาํ ลังไหลเขามาหาชายหนา ของแพนอากาศ ไมใชมุมที่แพนอากาศทํากับระนาบของการหมุนมุม ที่แพนอากาศ ทํากับระนาบของการหมุนคือ มุมพิทช (Pitch angle) ดูรูปที่ 5.9 สังเกตดูในรูป ถา เครื่องบินอยูกับที่ (คือ ความเร็วลมเขาหาเครื่องบินV ไมมี) ความเร็วสัมพัทธ V ก็ คือความเร็วเนื่องจากการหมุน V แตเพียงอยางเดียว มุมปะทะ ก็จะเทากับมุมพิทช fwd
res
rot
รูปที่ 5.9 มุมพิทช (pitch) เปนมุมที่แพนอากาศทํากับระนาบการหมุน แรงขับและ แรงบิดไดจากแรงลัพธ
แรงที่เกิดขึ้นกับแพนอากาศเมื่อทําหนาที่เปนใบพัดแรงยกและแรงตานซึง่ พิจารณา ดูจากความเร็ว V ของกระแสอากาศ เปนหลัก แตในกรณีที่เปนใบพัดเรา ตองการรูคา ตอไปนี้ 1. แรงขับ มีทิศทางตั้งฉากกับระนาบการหมุน (อยูในแนวเดียวกับแกนหมุนนั่น เอง) เมื่อดูในรูปที่ 5.9 จะเห็นวาตั้งฉากกับ ทิศทางของความเร็วเนื่องจากการหมุน V และ res
rot
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
149
2. แรงตานการหมุน (คูณกับรัศมี ระยะทางจากแกนหมุนมายังตําแหนงของ แรงที่กระทํา) ซึ่งจะ เทากับแรงบิด ของใบพัดเมื่อความเร็วรอบการหมุนคงที่ อยูในแนว เดียวกับระนาบการหมุนของใบพัด (คาแรงบิดนี้ตองนําแตละตําแหนง มารวมกันตั้งแต โคนถึงปลายจึงจะไดคาแรงบิดรวม) ถามีคามากเครื่องยนตก็ตองใชแรงบิดในการหมุน ใบพัดมากทั้งสองแรง คือ แรงขับ และแรงตานการหมุน ไดจากการแตกแรงลัพธมาใน ทิศทาง ตามรูปที่ 5.9 ดังกลาวไปแลว
รูปที่ 5.10 พิจารณา ขนาดและทิศทางของความเร็ว บนระนาบที่ตั้งฉากกับ รัศมี ในแตละตําแหนงของกลีบใบพัด
อันที่จริงแลว การพิจารณาขนาดและทิศทางของแรง เปนการพิจารณาในแตละ หนาตัดของใบพัดตามแนวรัศมี ระนาบตัดใบพัดในแตละหนาตัดที่เราพิจารณานั้นตั้ง ฉากกับรัศมี ซึ่งรัศมีตั้งฉากกับแกนหมุน ดูรูปที่ 5.10 ในแตละหนาตัดคาความเร็วที่ เปลี่ยน คือความเร็ว เนื่องจากการหมุนของใบพัด V ซึ่งจะเร็วมากขึ้นเรื่อยๆตามระยะ rot
150
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
ทางจากแกนหมุนหรือจุดศูนยกลางการหมุน เรียกวาตามแนวรัศมี ในขณะที่ใบพัดหมุน ดวยความเร็วรอบคงที่ ความเร็วเนื่องจากการหมุน ในแตละตําแหนงบนใบพัด มีการ เพิ่มขึ้นตามแนวรัศมี สงผลใหสามเหลี่ยมความเร็วเปลี่ยนรูปราง โดยที่ความเร็วลมที่พุง เขามาตามแนวแกน (ความเร็วของเครื่องบิน) คงที่ การเปลี่ยนแปลงรูปของสามเหลี่ยมความเร็ว ในรูปที่ 5.10A เปนผลมาจากการ เปลี่ยนแปลงความเร็วตามแนวรัศมีเนื่องจากการหมุน ซึ่งมีคาเพิ่มขึ้นตามคาของรัศมี เพื่อใหแพนอากาศยังคงเปดคามุมปะทะ ไดเทาเดิมอยูตลอดความยาวของใบพัด จึง ตองบิดใบพัดในแตละตําแหนง ตามแนวรัศมีตามไปดวย โดยคามุมที่เปดขึ้นนี้ทําตอ ระนาบการหมุนเราเรียกวามุมพิทช จะโตมากที่โคนใบ และคอยๆเล็กลงเมือ่ หางออก ไปจนถึงปลายใบ ถาเราลองไปสังเกตใบพัดเครื่องบินจริงๆดู จะเห็นวามีการบิด เพื่อให เปนไปตามเหตุผลดังกลาว รูปที่ 5.10B ความเขาใจในลักษณะนี้เปนทีท่ ราบดีของสองพี่ นองตระกูลไรทมานานแลว ใบพัดทีเ่ ขาไดสรางขึ้นและประสบความสําเร็จอันยิ่งใหญ มี ลักษณะเชนเดียวกับใบพัดในปจจุบันคือ มีการบิดตั้งแตโคนถึงปลาย ดังในรูปที่ 5.12
รูปที่ 5.11 A ความเร็วของใบพัดในแตละจุด แปรตามคาของรัศมี ตั้งแตศูนยที่จุดศูนยกลาง B รูปถายจากใบพัดจริง มีการบิดเนื่องจากมุมพิทช เปลีย่ นไปตามคาของรัศมี
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
151
รูปที่ 5.12 ใบพัดที่สรางโดยสองพีน่ องตระกูลไรท มีการบิดตามหลักการของใบพัดทีถ่ ูกตองเพื่อให การเปดคามุมปะทะคงที่ตลอดทั้งใบพัด
5.4 ประสิทธิภาพของใบพัด (Propeller Efficiency) เราไดรูแลววา ใบพัดก็คือแพนอากาศ ที่มีคุณลักษณะเชนเดียวกับปกเครื่องบิน แรงยกจะเพิม่ ขึ้นตามการเปดมุมปะทะ แตคาของ แรงยกตอแรงตาน ก็แปรตามการเปด มุมปะทะเชนกัน ดังนัน้ การเลือกคามุมปะทะที่ดที ี่สุดนาจะอยู ณ ตําแหนงที่มุมปะทะที่ ทําใหคาแรงยกตอแรงตานมากที่สุด L D จึงจะใหคามุมปะทะที่ดที ี่สดุ คือ (Opt มาจาก optimize คือคาที่ดีที่สุด) ดูรูปที่ 5.13 แตอยางไรก็ตามยังมีปจจัยอยางอื่นอีกที่ ตองนํามาพิจารณา เชน ความเร็วรอบของใบพัด ความเร็วในการบิน เนื่องจากปลาย ใบพัดมีวอเทก (vortex) เกิดขึ้นเชนเดียวกับปลายปกเครื่องบิน จึงสงผลใหเกิดแรงตาน เหนี่ยวนําเชนกัน ดังนั้นใบพัดที่ถูกสรางขึ้นมาจะใชไดดีคือมีประสิทธิภาพสูงก็ตอ เมื่อ ใชงานภาย ใตปจจัยที่ไดกําหนดไวในตอนออกแบบแตแรก ซึ่งจะมุงออกแบบมาเพื่อใชงานในการ บินเดินทาง ซึ่งเปนชวงทีใ่ ชงานมากสุดในการบินของเครื่องบิน ในรูปที่ 5.14 เมื่อใบพัด เครื่องบินหมุนดวยความเร็วรอบคงที่คาหนึ่ง ซึง่ พอดีกับคาความเร็วของเครื่องบินคา หนึ่งดังในรูปที่ 5.10 ซึ่งเปนความเร็วเดินทางแตถา ความเร็วของเครื่องบินชาลงมา max
opt
152
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
(อาจจะเปนเพราะวาพยายามบินไตใหสูงขึ้น) จะเห็นวาคามุมปะทะจะโตเกินไปไม เปนไปตามความเหมาะสม เกิดแรงตานการหมุนมาก ใหแรงขับนอย ในทางกลับกันถา ความเร็วของเครื่องบินสูงขึ้น ในขณะที่ความเร็วรอบยังคงที่อยู จะเห็นวามุมปะทะจะ เล็กเกินไป ทั้งสองกรณีเปนเหตุ ทําใหประสิทธิภาพของใบพัดลดลง สถานการณ ดังกลาวจึงเปนคําตอบทีว่ าทําไมใบพัดเครื่องบินจึงใชไดดี เฉพาะในชวงหนึ่งทีไ่ ดถกู กําหนดไวแตแรก ในขั้นตอนของการออกแบบ
รูปที่ 5.13 อัตราสวนของแรงยก ตอแรงตาน แปรตามมุมปะทะ คาที่เหมาะสมที่สุดคือ opt
รูปที่ 5.14 เมื่อความเร็วของเครื่องบินเปลี่ยน ในขณะความเร็วรอบคงที่ สงผลใหคา มุมปะทะของกลีบใบพัด เปลีย่ นไปดวย
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
153
เมื่อมาถึงตอนนี้ เราคงรูแลววาใบพัดที่ติดอยูกับเครื่องบินไดถูกออกแบบมาให ใชเฉพาะกับเครื่องบินที่มคี ุณสมบัติเหมาะสมกัน ไมเชนนัน้ แลวประสิทธิภาพของใบพัด จะลดลงไปอยางมาก ถาเรานํามาใชโดยไมไดพิจารณาถึงปจจัยประกอบทีส่ ําคัญ แมวา ใบพัดที่นํามาใชนั้นเหมาะสมแลวก็ตาม แตยังคงไมเปนที่นาพอใจนัก เนือ่ งจากวาจะให ประสิทธิภาพสูงสุด เฉพาะในชวงทีไ่ ดกําหนดไวในการแผนแบบแตแรก เราตองการให ใบพัดยังคงมีประสิทธิภาพสูงอยูตลอด ในสภาวะการใชงานทุกชวง ไมเฉพาะแตในชวง การบินเดินทางเทานั้น แมในชวงการบินไตระดับ การบินขึ้นจากรันเวย และตองลากจูง เครื่องรอนขึ้นไปดวย ฯ ในรูปที่ 5.15 เปนเสนโคงแสดงคาความสัมพันธระหวางประสิทธิ ภาพของใบพัด กับอัตราสวนความเร็วเครื่องบินตอความเร็วรอบใบพัด จะเห็นวาให ประสิทธิภาพสูงสุดอยูที่ อัตราสวนความเร็วเครื่องบินตอความเร็วรอบใบพัด คาหนึ่ง ถา มากหรือนอยไปกวานี้ ประสิทธิภาพก็จะลดลง
รูปที่ 5.15 ประสิทธิภาพของใบพัดจะดีทสี่ ุดตอเมื่ออยูที่คาอัตราสวน
V fwd RPM
ตามที่ออกแบบไว
154
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
แตตองอยาลืมวาที่ คาประสิทธิภาพสูงสุด ของใบพัดที่กําลังหมุนอยูขณะนั้น ไมไดหมาย ความวา กําลังใหแรงขับสูงสุดอยู ในชวงการบินไตระดับเครื่องบินตองการ แรงขับสูง ตองเรงรอบเครื่องยนตใหสูงมากเพื่อใบพัดจะไดใหแรงขับทีส่ ูงขึ้น ในชวงนี้ ประสิทธิภาพของใบพัดอาจจะต่ํากวาขณะบินเดินทาง ทีใ่ ชแรงขับที่ตา่ํ กวาเพราะวา ประสิทธิภาพคือ กําลังขับที่ไดจากใบพัด (เทากับแรงขับคูณดวยความเร็วเครื่องบิน ขณะนั้น) ตอ กําลังที่ไดจากเพลาหมุน ที่มาจากเครื่องยนต ก็เปรียบเสมือนวากําลังที่ เครื่องยนตจา ยใหใบพัดนั้น ไดถกู เปลี่ยนไปเปนกําลังในการขับเคลื่อนเครื่องบินมาก นอยเทาไร ถาเปลี่ยนไดหมดก็ถือวา 100% แตในทางปฏิบัติจะเปลี่ยนไดประมาณ 80% - 85% เปนอยางสูง ดังในรูปที่ 5.15 บางคนคงคิดวาถาตองการใหไดประสิทธิภาพสูงสุด เราก็ควรที่จะทําการปรับลด หรือเพิ่มรอบเครื่องยนต ใหเหมาะสมกับความเร็วเครื่องบินก็นา จะได คําตอบคือใชถา ทําเชนนั้น เราก็จะไดประสิทธิภาพของใบพัดอยูในยานที่สูงตลอดเวลา แตแรงขับที่ไดจะ ไมมากพอที่จะควบคุมเครื่องบิน ในบางชวง เชน ถาเครื่องบินที่พวงเครื่องรอน ที่ตอง ลากขึ้นไปปลอยดวย นัน้ ตอนวิ่งขึ้นและไตระดับความสูง ตองการแรงขับมาก ในขณะที่ เครื่องบินมีความเร็วต่ํา เปนไปไมไดที่จะไมเรงรอบการหมุนของใบพัดใหสูง เพื่อใหได แรงขับมากๆ โดยไมสนใจวาประสิทธิภาพของใบพัดจะลดลงหรือไม เพราะใบพัดที่ติด อยูกับเครื่องบินไดถูกออกแบบมาใหใชงานไดดีประสิทธิภาพสูงสุด(ชวยในการประหยัด เชื้อเพลิง)ในชวงความเร็วบินเดินทาง และความเร็วรอบเครื่องยนตใชงาน ดังนั้นจึงเกิดความคิดขึ้นมาวา ถาเรามีใบพัดที่มีคาพิทชหลายขนาด เอาไวใช ก็ คงจะดีไมนอย เหมือนกับวาเรามีใบพัดหลายอันไวใช ในแตละชวงของการบิน เพื่อใหได ประสิทธิภาพสูงสุด เชนใบพัดสําหรับบินเดินทาง ใบพัดสําหรับบินไตระดับ ใบพัด สําหรับไวบินลากเครื่องรอน (คงเปนไปไมไดที่จะไปถอดเปลี่ยนใบพัดกลางอากาศ หรือ ในขณะใชงาน ในเวลาเสี้ยววินาที) ทางออกที่ดีคือสรางใบพัดที่ปรับมุมพิทช หรือปรับ คาพิทชไดกจ็ ะชวยทําให การบินดวยใบพัดที่มีประสิทธิภาพสูงอยูตลอดทุกชวงใชงาน ของการบินในรูปที่ 5.16 แสดงใหเห็นวาในกรณีที่คาความเร็วของเครื่องบินเมื่อเทียบกับ ความเร็วรอบใบพัด มีการเปลี่ยนแปลง ปรากฏการณนี้เปนเรือ่ งปกติในทางปฏิบัติ เมือ่
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
155
เครื่องบินมีความเร็วต่ํากลีบใบพัดจะ ถูกปรับคามุมปะทะใหลดลง ทําใหไดคามุมปะทะ ที่เหมาะสม ประสิทธิภาพ จึงยังคงสูงอยูได ถานักบินยังคงตองการแรงขับเพิ่มใน ขณะที่เครื่องบินยังมีความเร็วต่ําอยู ก็สามารถเรงเครื่องยนตใหรอบใบพัดสูงขึ้น มุม ปะทะ นี้กจ็ ะถูกปรับใหพอดีตาม คาความเร็วเครื่อง บินกับความเร็วรอบ ของใบพัดใน ขณะที่แรงขับสูงขึ้น ประสิทธิภาพของใบพัด ก็ยังคงรักษาระดับ สูงอยู ยิ่งทําใหประหยัด เชื้อเพลิงและไดแรงขับเพิ่มขึ้นดวยในกรณีนี้ opt
รูปที่ 5.16 ประสิทธิภาพของใบพัดทีถ่ ูกสรางขึ้นมาใหปรับมุมปะทะหรือ คาพิทชไดในขณะหมุน
156
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
5.5 ใบพัดเครื่องบินความเร็วรอบคงที่ (Constant Speed Propeller) เมื่อเครื่องบิน บินเดินทางดวยความเร็วสูงกลีบใบพัด ก็จะถูกปรับมุมปะทะให เพิ่มขึ้น เพื่อ ใหไดมุมปะทะที่เหมาะสม เมื่อมีใบพัดที่ปรับเปลี่ยนมุมพิทชได จึงทํา ใหเราไดใชใบพัดที่มีประสิทธิภาพสูงในทุกชวงการใชงาน ใบพัดชนิดนี้เรียกวา “ใบพัด แบบปรับคาพิทชได (variable pitch propeller)” ในทางปฏิบตั ิ นักบินไมรูวาจะตองปรับคามุมพิทชเทาไรจึงจะเหมาะสม หรือดี ที่สุด เพราะเมื่อมีการปรับใหคามุมพิทชมากขึ้น(มีความรูสึกเหมือนกับใบพัดกินลมมาก ขึ้น) แรงตานการหมุนก็จะมากตาม หรือในทํานองกลับกันเมื่อลดมุมพิทชลง แรงตาน การหมุนก็จะนอยตาม แรงตานการหมุนนี้สงผลตอความเร็วรอบเครื่องยนตหรือใบพัด ดังนั้นการดูรอบใบพัดจึงมีความจําเปนในการปรับคาพิทชของใบพัด ในปจจุบันจึงนิยม ใชวิธีปรับมุมพิทชโดยวิธีที่เรียกวา “ความเร็วรอบคงที่ (constant-speed)” เครื่องบินที่ไมมีระบบการปรับพิทช โดยใชกัฟเวอเนอร ที่ความเร็วรอบใบพัดคงที่ ตองอาศัยนักบินเปนผูปรับมุมพิทชเอง ในกรณีที่ความเร็วของเครื่องบินมีการเปลีย่ น แปลงความเร็วบอย เปนการยุงยากสําหรับนักบินในการปรับคาพิทช ของใบพัดเพื่อให ไดคาที่เหมาะสมที่สุด opt
5.6 คําศัพทที่ใชกับใบพัด (Propeller Terminology) มีคําศัพทและสัญลักษณจํานวนมาก ที่ถูกนํามาใชกับใบพัดมีศัพทบางคําเกี่ยว กับใบพัดที่ควรรู กลีบใบพัดก็คือแพนอากาศอยางเชน ปกของเครื่องบิน แตใบพัดมีการ หมุนรอบดุมใบพัด(Hub) ดูรูปที่ 5.17 ประกอบ ดังนี้ - เสนผาศูนยกลางใบพัด (propeller diameter) D - รัศมีใบพัด (propeller radius) R - พื้นที่ฉายของกลีบใบพัด (propeller blade projected area) S - แอสเปกเรโช (aspect ratio) AR R S คือ คาความยาวกลีบใบ R ยกกําลัง สอง หารดวยพื้นที่ฉาย S ของแตละกลีบใบ (เหมือนกับปกเครือ่ งบิน) 2
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
157
รูปที่ 5.17 การใหชื่อสวนตางๆของใบพัด
ใบพัดพิทชคงที่ (Fixed-pitch propellers) คือ ใบพัดที่มีคามุมบิด ที่ตําแหนง
3
4
R คงที่ เชนใบพัดไมในสมัยกอน
ใบพัดปรับคาพิทชได (Variable-pitch propellers) คือ ใบพัดที่มีกลไกภายในใหสามารถปรับ คามุมบิด ที่ตําแหนง ประสิทธิภาพสูงสุดตลอดของการบิน ในทุกสถานการณ
3
4
R เพื่อใหได
ใบพัดความเร็วคงที่ (Constant-speed propellers) เปนใบพัดทีป่ รับคาพิทชได และหมุนดวยความเร็วรอบคงที่ ไดอธิบายไวแลวใน หัวขอ 5.5 ฟเทอริ่ง (Feathering) เปนปรากฏการณที่เกิดกับใบพัดที่ปรับพิทชได เชนในกรณีเครื่องยนตดับ นักบิน ปรับใหกลีบใบขนานกับทิศทางลม เปนการลดแรงตานลงโดยเฉพาะอยางยิ่ง กับเครื่อง บินสองเครื่องยนต ที่เกิดเครื่องยนตดับไปขางหนึ่ง ดูรูปที่ 5.18 ใบพัดกังหันลม (Windmilling or free-wheeling propeller) ใบพัดที่หมุนไดคลองอยางอิสระ อาจจะดวยแรงลมที่ไหลเขามา เมื่อเครื่องยนต ดับและไมไดถูกล็อค ใบพัดตาย (Dead-stick propeller) ใบพัดที่ไมยอมหมุนอาจจะถูกล็อคดวยเครื่องยนตหรือสาเหตุใดก็ตาม
158
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
รูปที่ 5.18 การปรับพิทชของใบพัดที่ไมมกี ําลังมาหมุน ใหไมกินลม เรียกวา “ฟเทอริง่ ”
ใบพัดพับได (Folding propeller) มักนิยมใชกับเครื่องบินเล็กบังคับวิทยุ และเครื่องรอนขนาดเล็ก ที่ใชกําลังจาก เครื่องยนตขับในกรณีที่ตองการกําลังจากเครื่องยนตหมุนใบพัด ใบพัดจะกางขึ้นเองจาก แรงเหวี่ยง และเมื่อดับเครื่องยนต ใบพัดก็จะพับเขามาแนบลําตัวของเครื่องบิน ชวยลด แรงตาน ความเร็ว สลิปสตรีม (Slip-stream velocity) คือความเร็วของอากาศดานหลังใบพัด ซึ่งจะมีความเร็วสูงกวาความเร็วดาน หนาใบพัด ถาพิจารณาจากผูสังเกตในเครื่องบิน จะเห็นกระแสอากาศไหลเขามา ดานหนาใบพัด(ที่กําลังหมุน) และไหลออกดวยความเร็วที่สูงกวาดานหนา จึงเรียก สลิปสตรีม โดยเปรียบดังนี้ถาอากาศเปนแทงไมและเลื่อนเขามาหาสกรูที่กําลังหมุนดวย ความเร็ว หนึ่งพิทชตอหนึ่งรอบ แตเนื้อไม(อากาศ) ดานหลังสกรูถูกผลักใหเลื่อนไปเร็ว กวานั้น เราจะเห็นเนือ้ ไมดานหลังสกรูกระจายออกมาเร็วกวาแทงไมทเี่ ลื่อนเขา จึง เรียกวา “สลิป (slip)” ดูรูปที่ 5.19
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
159
รูปที่ 5.19 ความเร็วสลิปสตรีม คือความเร็วอากาศดานหลังใบพัด
5.7 การใชงานใบพัดเครื่องบินโดยทั่วไป ในหัวขอนี้จะเปนการแนะนําให ไดรูถึงลักษณะของใบพัดเครื่องบินที่มีใชงานอยู ทั่วไป ที่ผานมาเปนการพูดถึงใบพัดเครื่องบินในสวนของกลีบใบเทานั้น (อาจจะรวมถึง จํานวนกลีบใบดวย)และเนนไปในสวนของผลทางอากาศพลศาสตรเปนหลัก ในการ แผนแบบจริงตองคํานึงถึงในทุกปจจัย สิ่งหนึง่ ที่สําคัญคือความแข็งแรงในการรับแรง ทนตอการสึกกรอน ใบพัดตองกระทบกับผง ฝุนละออง น้ํา เศษวัสดุเล็กๆแข็ง ตลอดเวลาทีท่ ํางาน เพื่อใหไดใบพัดที่ดี จึงผสมผสานกัน เชน ตรงโคนใบมีรูปรางกลม หนาในการรับแรง เพื่อความสะดวกในการประกอบเขากับดุม (รวมทั้งการปรับมุมบิด ของกลีบใบ) และคอยๆเรียวบางเปนรูปแพนอากาศอยางที่เหมาะสม ในรูปที่ 5.20 แสดงใหเห็นภาคตัดขวางแตละสวนของกลีบใบตั้งแตโคน และชื่อเรียกสวนตางๆซึ่งจะ เห็นวาเรียกเชนเดียวกับปกเครื่องบิน
160
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
รูปที่ 5.20 ชื่อสวนตางๆของใบพัดเครื่องบิน และแสดงภาคตัดขวางของกลีบใบ
ตามปกติ เสนผาศูนยกลางใบพัด ยิ่งโตยิ่งดีเพราะจะใหประสิทธิภาพสูงกวา เนื่องจากลดการสูญเสียลง เพราะความเร็วรอบลดลงในขณะที่แรงขับเทาเดิม แตถูก จํากัดดวยวา กลีบใบจะไปชน หรือใกลกับชิ้นสวนของเครื่องบิน หรือพื้น ดูรูปที่ 5.21 เปนขอมูลเฉลี่ยของใบพัด 2-กลีบ โดย ทั่วไป ใชในการเลือกเสนผาศูนยกลางใบพัด ที่ เหมาะสมกับความเร็วรอบ และกําลังเครื่องยนตตัวอยางเชน เครื่องบินติดตั้งเครื่องยนต ขนาด 400hp ใบพัดตองทํางานที่ความเร็วรอบ 2100rpm ดังนั้นเสนผาศูนยกลางของ ใบพัด ควรจะเปน 8 ft หรือถาเราตองการเปลี่ยนใบพัดไปใช ขนาดเสนผาศูนย กลาง 12 ft กับเครื่องยนตตัวเดิม ความเร็วรอบใบพัดจะตองลดลงมาที่ 900rpm นี่คือคาเฉลีย ่ ที่ใช ขอจํากัดความเร็วรอบของใบพัดอยูที่ ความเร็วปลายใบตองไมอยูในยานที่ใกล ความเร็วเสียง อาจทําใหอากาศบางสวนมีความเร็วกวาเสียง คลื่นช็อกจะเกิดตามมา เปนเหตุใหเกิดแรงตานอยางมากและทําใหแรงขับลดลงดวย
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
161
รูปที่ 5.21 ความสัมพันธระหวางกําลังที่ใช กับเสนผาศูนยกลางของใบพัด
ใบพัดเครื่องบิน ชนิดปรับมุมพิทชได นอกจากจะใหแรงขับแลวยังใชทําหนาที่ เบรกเครื่อง บินในขณะบินลงทางวิ่งลง ดวยการปรับมุมพิทชใหแรงขับผลักไปขางหนา (Reverse thrust) เมื่อลอแตะพื้นเครื่องบินตองพยายามชะลอความเร็วใหลดลงใหมาก ที่สุด กําลังเบรกหลักมาจากลอเครื่องบิน ดูรูปที่ 5.22 สําหรับเครื่องบิน 4 เครื่องยนต เมื่อเครื่องยนตทุกเครื่องทําหนาที่เบรก จะชวยในการเบรกได 44% ของทั้งหมด (ที่เหลือ 56% ลอเปนตัวเบรก) ชวยทําใหระยะทางในการวิ่งลง สั้นลงอยางมาก แตถาใบพัดไม ชวยเบรกเลย ภาระการเบรก จะตกอยูที่ลอทั้งหมด 100% การเบรกโดยใชใบพัดชวยนี้มีความสําคัญมากโดยเฉพาะกับเครื่องบินน้ํา (Sea plane เปนเครื่องบินที่ลอยน้ําได บินขึ้นจากน้ําและ ลงบนผิวน้ําได) เพราะไมมีลอ ตอง ใหน้ําเปนตัวชวยชะลอความเร็วซึ่งนอยมาก การเลี้ยวของเครือ่ งบินน้ํา จะทําไดงายและ คลองตัว ดวยการปรับแรงขับของเครือ่ งยนตทั้งสองดานของปก ดูรูปที่ 5.23 เปนการทํา ใหเกิดแรงขับที่สวนกันหรือไมเทากัน ในการเลี้ยว
162
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
รูปที่ 5.22 ใบพัดเครื่องบินมีสวนในการชวยเบรก ขณะบินลงแตะพื้น
รูปที่ 5.23 การปรับมุมพิทชของใบพัด เพือ่ ชวยในการเลี้ยวขณะอยูบนพืน้
การพัฒนาใบพัดเครื่องบิน ยังคงมีใหทําอยูไมรูจบ เครื่องบินแบบใบพัดให ประสิทธิภาพสูงกวา เครื่องบินที่ใชเครื่องยนตแกสเทอรไบน แตใชกับเครื่องบินความเร็ว สูงไมไดจึงตองมีการ ปรับปรุงใหใชไดที่คาแอดวานซเรโช (Advance ratio) J V (nD )
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
163
สูงๆซึ่งก็คือ ยังคงให ประสิทธิภาพสูงอยู ทีค่ าความเร็วรอบใบพัดที่เปนไปไดคาหนึง่ ตองการใหความเร็วเครื่องบินสูงยิ่งขึน้ ไปอีก จะเปนการชวยประหยัดเชือ้ เพลิงไดมาก เมื่อขับดวยเครื่องยนตเทอรโบพรอพ เปรียบไดกบั เทอรโบแฟน แตไมมีเปลือกหุมอยาง เทอรโบแฟน จึงไดเกิดการพัฒนาทํากลีบใบลูหลัง อยางเชนปกเครื่องบินลูหลัง ทําให สามารถบินเร็วขึ้นไดอีก หลีกเลี่ยงการเกิดคลื่นช็อก ดูรูปที่ 5.24
รูปที่ 5.24 ใบพัดเครื่องบินแผนแบบใหมีลกั ษณะกลีบใบลูหลัง ในยุคเกา และใหม
รูปที่ 5.25 ใบพัดเครื่องบิน ซอนและหมุนสวนทางกัน เพื่อแกแรงบิดที่สงผลตอตัวเครื่องบิน
164
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
ปญหาอยางหนึ่งของเครือ่ งบินใบพัดคือ แรงบิดโตกลับ(torque reaction) จาก การที่เครื่องยนตพยายามหมุนใบพัดดวยคาแรงบิดคาหนึ่ง และแรงบิดคานั้นก็พยายาม หมุนตัวเครื่องในทิศทางตรงขาม เชนกัน ซึง่ ไมเปนที่ตองการ(ของนักบิน) เนื่องจาก สงผลตอการควบคุมเครื่องบิน ยิ่งในชวงที่ปรับคาแรงบิดใหเพิม่ ขึ้นหรือลดลง จะดวยวิธี ใดก็ตาม วิธีแกคือ เพิ่มชุดใบพัดขึ้นมาอีกชุดหนึ่ง มีแกนของการหมุนเดียวกัน แตหมุน สวนทางกัน ทําใหแรงบิดโตกลับหมดไป แตไมคอยเปนทีน่ ิยม เพราะมีขอเสียคือน้ําหนัก มาก กลไกซับซอน การซอมบํารุง และตนทุนในการผลิตสูง สวนใหญใชกับเครื่องบิน หนึ่งเครื่องยนต ดูรูปที่ 5.25 ในอดีตยุคแรกๆ ของการบิน องคการนาซา ไดพยายามพัฒนาใบพัดเครื่องบิน ที่ ไมมีเสียงในขณะทํางาน หรือชวยลดเสียงลงไดคงไมถึงกับเงียบ ดูรูปที่ 5.26 เพื่อใชใน บางภารกิจ เชน บินสอดแนม ถายภาพ และทีส่ าํ คัญการวิจัยเพื่อใหไดใบพัดที่ดีขึ้น ถือ ไดวาเปนการชวยใหเขาใจธรรมชาติของใบพัดมากขึ้น เนื่องจากจะแกปญ หาไดจะตอง ทําความเขาใจตอปจจัยทั้งหลายทีเ่ ขามาเกี่ยวของกับใบพัดมากขึ้น การพัฒนาวิจัยดวย เปาหมายอันหนึ่ง จะสงผลใหไดความรูในเรื่องอื่นที่เกี่ยวของดวย และนํามาใชประโยชน ไดตอไป
รูปที่ 5.26 ใบพัดไมมีเสียงขณะทํางาน
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
165
5.8 สรุป ในบทนี้ไดกลาวถึงการทํางานของใบพัดเครื่องบิน ซึ่งเปนความเขาใจในลักษณะ เดียวกันกับความเขาใจการทํางานของแพนอากาศ หรือปกเครื่องบิน เมือ่ มีการเปดมุม ปะทะจะสงผลตอ คุณสมบัติทางอากาศพลศาสตร โดยเฉพาะแรงยก และการสะตอล ใบพัดเครื่องบินก็เชนกัน นั่นคือ เราสามารถนําเอาคุณสมบัติของแพนอากาศที่ไดจาก ทดลองในอุโมงคลม มาใชเพื่อหาคาคุณสมบัติ ของใบพัดเครื่องบินได และอีกสิ่งหนึ่งที่ชวยใหเราเขาใจ สาเหตุสําคัญ ที่ทําใหประสิทธิภาพของใบพัด ลดลง คือการสูญเสียพลังงานเนื่องจากการทํางานของใบพัด (slip-stream loss) การ สูญเสียพลังงานเนื่อง จากการหมุนของใบพัด คือการที่จายพลังงานใหใบพัดจากเพลา หมุน เพื่อใหเปลี่ยนไปเปน กําลังขับ(คือไดแรงขับสูงในขณะกําลังบิน) สูญเสียไปในรูป อื่นที่เราไมตองการ พิจารณาจากคําอธิบาย ความเร็วสลิปสตรีม จะเห็นวาถาจะไมให สูญเสียนัน่ คือ เมื่อใบพัดหมุนหนึ่งรอบเครื่องบินควรเคลื่อนไป เปนระยะหนึ่งพิทชของ ใบพัด แตในความเปนจริงเปนไปไมได เพราะการหมุนของใบทําใหอากาศมีการหมุน ตามการหมุนของใบ คืออากาศที่ถูกเหนี่ยวนําใหเคลื่อนที่ดวยใบพัดไมไดเคลื่อนที่ตาม แนวแกนหมุนอยางเดียว แตเคลื่อนที่เปนรูป เฮลิกซ (helix) เหมือนสปริงขด ดังนั้น พลังงานบางสวนไมไดถูกเปลี่ยนไปเปนแรงขับใหกบั เครื่องบิน การสูญเสียพลังงานใน ลักษณะนีท้ ดสอบไดงายๆ ดวยวิธีหาแรงขับสถิต (static thrust) หรือเรียกวา การ ทดสอบแบบสถิต (static test) ก็ได จะเห็นวาพลังงานทั้งหมดสูญเสียไปกับอากาศคือ สลิปสตรีมทั้งหมด เกิดแตแรงขับแตไมมีความเร็ว กําลังขับ (thrust power) เปนศูนย แลวจะทําอยางไรเพื่อเปนการลดการสูญเสียนี้ คําตอบคือลดความเร็วรอบของ ใบพัดลงการหมุนของอากาศจะนอยลง แตแรงขับก็ลดลงดวยดังนั้นถาตองการใหแรง ขับไมลดลง ตองเพิ่มเสนผาศูนยกลางของใบพัด เปนการเพิม่ ปริมาณการไหลของมวล แตการหมุนของอากาศลดลง เนื่องจากลดความเร็วรอบลงการสูญเสียก็ลดลงตาม นัน่ คือประสิทธิภาพสูงขึ้น เปนทีท่ ราบกันแลววาใบพัดเครื่องบิน ไดถูกคิดขึน้ โดยมนุษยนานมานับเปนพัน ป เริ่มนํามาใชกับเรือ และยิ่งมีเครือ่ งจักรไอน้ําเกิดขึ้นมา ใบพัดที่ถูกใชกับเรือยิ่งมีถูก
166
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
พัฒนามากขึ้นเพราะ ใบพัดเหมาะกับตนกําลัง ที่เปนเพลาหมุน ความรูประสบการณ จากใบพัดเรือ ไดถูกนํามาใชกับอากาศยาน ความรูในเชิงทฤษฎีไดเกิดขึ้นกวารอยป มาแลวจากนักวิทยาศาสตร ผูมีความรักการคิดและพัฒนา และยังคงเปนพื้นฐานความ สําคัญที่ยังใชไดดีจนปจจุบัน การทดลอง การคํานวณดวยคอมพิวเตอร เทคโนโลยี สมัยใหมในทุกดานไดถูกนํามาใช เพื่อสรางใบพัดเครื่องบินทีด่ ีมคี ุณภาพ ไมวาจะเปน วัสดุ กลไกในการปรับมุมพิทช รูปแบบของกลีบใบทําใหเราไดใบพัดเครื่องบินที่มี ประสิทธิภาพมากขึ้น แข็งแรงขึ้น ใชกบั เครื่องบินทีบ่ ินไดเร็วมากขึ้น ถอยหลังไปสมัยที่สองพีน่ องตระกูลไรท ประสบความสําเร็จจากการบิน เปนครั้ง แรกของมนุษย เปนสวนสําคัญที่ทําใหการพัฒนาใบพัดเครื่องบินเจริญขึน้ อยางรวดเร็ว ในสมัยสงครามโลกทั้งครั้งที่1 และครัง้ ที่2 มีสวนผลักดันใหความพยายามพัฒนาใบพัด ไปไดเร็วยิ่งขึ้น ดวยการทุมงบประมาณทางทหารในการสรางใบพัดที่ดี เพื่อความ ไดเปรียบขาศึก ในการใชกําลังทางอากาศ ใบพัดเครื่องบินก็เหมือนกับอุปกรณอื่นๆที่ใช ทําประโยชนได จึงมีการพัฒนาอยูอยางตอเนื่อง การศึกษาในบทนี้ จึงเปนการชวยทําให เราเขาใจธรรมชาติของใบพัดเครื่องบิน ซึ่งหมายรวมถึงใบพัดที่ใชทําหนาทีอ่ ยางอื่นดวย ในปจจุบันเทคโนโลยีเจริญไปในทุกดาน รวมทั้งเรื่องของใบพัด อุปกรณทุกอยางตองใช เทคโนโลยี และความรูหลายดาน ไมวาจะเปนเรื่องของวัสดุ กรรมวิธีในการสราง วิธีการ ใหไดมาซึ่งคําตอบที่ดีที่สดุ เพื่อใหไดใบพัดอยางที่ตองการ
167
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
แบบฝกหัดบทที่ 5 5.1
ใบพัดเครื่องบินมีพัฒนาการมาจาก อะไร
5.2
ใบพัดเครื่องบิน หรือใบพัดเรือ มักจะถูกเปรียบเทียบกับอะไร เพราะเหตุไร
5.3
สองพี่นองตระกูลไรท เขาใจดีวาใบพัด เปรียบไดกับอะไร อธิบาย
5.4
จงอธิบายวาสาเหตุใดกลีบใบพัดจึงตองมีมุมบิดจึงจะเกิดแรงขับในขณะหมุน
5.5
เพราะเหตุใดมุมบิด ของใบพัดจึงตองเปลี่ยนไปตามแนวรัศมีจึงจะทําให ใบพัด มีประสิทธิ ภาพ สูงขึน้ เมือ่ เทียบกับมุมบิดคงที่
5.6
ใบพัดเสนผาศูนยกลาง ใบพัดนี้
5.7
จงอธิบายพรอมรูปภาพประกอบ วาทําไมใบพัดที่ปรับคาพิทชไมได (fixed pitch propeller) จึงไมสามารถใชงานเต็มประสิทธิภาพไดในทุกยานการทํางานของ การบิน เชน กําลังไต กําลังลากเครือ่ งรอน แตใชงานไดเต็มประสิทธิภาพเฉพาะ เวลาบินเดินทางปกติเทานั้น
5.8
ใบพัดแบบปรับพิทชได มีขอดีขอเสียอยางไร จงอธิบาย
5.9
หนาที่ของใบพัดเครื่องบิน นอกจากจะใชเพื่อใหแรงขับกับเครื่องบินแลวยังใช เพื่ออะไรไดอีก กับการทํางานของเครื่องบิน
1m ถามีมุมบิดที่
3
4
R เทากับ 20 จงหาคาพิทช P
ของ
168
บทที่ 5 ใบพัดเครื่องบิน (Airplane Propeller)
5.10 จาก ความสัมพันธระหวาง ประสิทธิภาพกําลังขับ กับแอดวานซเรโช
J
รูป แบบฝกหัด 5.10 คุณสมบัติของ ใบพัด แบบ 2-กลีบ NACA 5868-9, Clark Y Section ความสัมพันธระหวาง ประสิทธิภาพกําลังขับ กับ แอดวานซเรโช J
โดยที่ คา แอดวานซเรโช เมื่อ
J
V nD
คือ ความเร็วรอบใบพัด มีหนวยเปน รอบ/วินาที ( rev / s หรือ rps ) V คือ ความเร็วของเครื่องบิน D เสนผาศูนย ของใบพัด ถามุมพิทช ที่ตําแหนง 0.75R เทากับ 35 จงหาคา ก.) J ที่ทําใหประสิทธิภาพ สูงสุด ข.) ความเร็วเครื่องบินที่ทาํ ใหใบพัดทํางานใหประสิทธิภาพสูงสุด ถาเสนผาศูนยกลางใบพัด D 2m และ ความเร็วรอบ n 50rps n
หมายเหตุ แรงขับ ที่ไดจากการหมุนของใบพัด จะยังคงมีอยู แมทํางานที่ประสิทธิ ภาพต่ํา การทํางานที่ประสิทธิภาพสูง หมายถึง กําลังขับ (หรือแรงขับที่ได) มีมากเมื่อ เทียบกับกําลังงานทีจ่ ายให ไมวาจะดวย ไฟฟาหรือน้ํามันเชื้อเพลิง
บทที่ 6 สมรรถนะ (Performance) สมรรถนะของเครื่องบิน เปนคุณสมบัติของเครื่องบิน อันเนื่องมาจากแรงตาน และแรงขับ สมรรถนะในที่นี้หมายถึง เครื่องบิน จะไปไดเร็วเทาไร จะไตสูงขึ้นไดเร็ว เทาไร จะบินขึ้นจากสนามบินหรือบินลงสูส นามบินดวยระยะทางเทาไร และจะไปไดไกล เทาไร แตยงั มีคุณสมบัติหรือความสามารถอื่นๆอีก ในสวนของสมรรถนะของเครื่องบิน เครื่องบินที่มสี มรรถนะดีจะตองมี แรงตานนอย และแรงขับสูง แตในความเปนจริง ทุก อยางมีขอจํากัด ดังนั้นจึงไมจําเปนเสมอไปสําหรับเครื่องบินที่มีสมรรถนะดี ตองใหแรง ตานที่นอยและแรงขับสูง
6.1 สมรรถนะในการบินระดับ (Level Flight Performance) แตไหนแตไรมา การเดินทางโดยเครื่องบินเปนที่ชื่นชอบของคนสวนใหญก็คือ ความเร็ว ทุกคนทราบดีวาถาตองการเดินทางในระยะทางที่คอ นขางไกล และตองการให ถึงเร็วๆ ก็ตองไปโดยเครื่องบิน แตยังมีคนบางกลุมที่ใชเครื่องบินโดยไมได มองในแงของ ความเร็ว แตอาจจะตองการความสนุกสนาน หรือบินชมทัศนียภาพ อยางไรก็ตาม เครื่องบินโดยสวนมากถูกใชเพื่อการเดินทางจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง แนนอนถาไป ถึงจุดหมายไดเร็ว ก็จะเปนการดีกวาไปถึงชา ดังนั้นสิง่ แรกของสมรรถนะที่ดีคือ ความเร็วในการบินเดินทาง โครงสรางและรูปรางโดยรวมของเครื่องบิน มีสวนอยางยิ่งตอสมรรถนะ ในเรื่อง ของแรงตาน ความสัมพันธ ระหวาง แรงตานรวม (Total drag) กับ ความเร็วของ เครื่องบิน แรงตานต่ําที่สดุ อยู ณ จุดหนึ่งของความเร็วเครื่องบิน หรือคาแรงตานรวมนั้น ที่ไดจากเพลาขับของ ขึ้นอยูกับความเร็วของเครื่องบินดวย เมื่อพิจารณากําลัง เครื่องยนต จะชวยทําใหเราคาดคะเนหรือทํานายไดวา สมรรถนะในการบินเปนอยางไร ในระดับไหน กําลังเปนสิง่ ที่เราตองการใชในการขับเคลื่อนเครื่องบิน ใหได ระยะทาง ตอ หนึ่งหนวยเวลา เชน ฟุตตอ วินาที หรือ ไมลตอชั่วโมง
170
บทที่ 6 สมรรถนะ (Performance)
รูปที่ 6.1 กําลังขับจากเพลาหมุน ไปหมุนใบพัดใหเกิด แรงขับใหเครื่องบินมีความเร็ว
กําลังที่ไดจากเครื่องยนตนั้นเปนกําลังจากการหมุนของเพลา รูปที่ 6.1 ที่ตอง หมุนใบพัดเพื่อใหกําลังขับอีกทอดหนึง่ กําลังขับจากการหมุนของใบพัดนี่แหละ เปนสิ่ง สําคัญตอสมรรถนะของเครื่องบิน กําลังของเครื่องยนตที่เพลาหมุน เราเรียกเปน ภาษาอังกฤษวา “เบรกฮอสพาวเวอ(Brake horsepower เขียนยอๆวา bhp)” เมื่อกําลัง นี้สงไปยังใบพัดดวยการหมุน จึงจะไดออกมาเปน กําลังขับ ในภาษาอังกฤษเรียกวา “ทรัสฮอสพาวเวอ (Thrust horsepower เขียนยอๆวา thp)” การเปลี่ยนกําลังที่เพลา หมุนมาเปน กําลังขับนี้ ไมได 100% สวนมากจะอยูที่ประมาณ 80% กําลังทั้งสอง ลักษณะนี้ มีหนวยเดียวกันคือ แรงมา hp กอนอื่น ลองมาดูเรื่องของกําลัง บางครั้งเรียก “กําลังงาน” นิยามในเรื่องของกําลังก็คือ งานที่ทําตอหนึ่งหนวยเวลา ดังนี้
บทที่ 6 สมรรถนะ (Performance)
171
งาน (Work) คือ แรง ระยะทาง (ในทิศทางของแรง) กําลัง (Power) คือ งานตอเวลา = แรง ความเร็ว (ในทิศทางของแรง) ในที่นี้จะใช หนวยเปน แรงมา (Horsepower) ขอควรสังเกต ถามีแรงกระทํา แตไมมีความเร็วกําลังก็เทากับ ศูนย ดังนั้น กําลัง ขับ ของเครือ่ งยนตหมุนใบพัด มีคาเทากับ แรงขับ ความเร็วเครื่องบิน เรารูแลววา ในขณะที่เครื่องบิน บินดวยความเร็วคงที่ในแนวระดับ แรงตานรวม เทากับ แรงขับ ดังนั้น ถาเราตองการรูคา กําลังขับ ของเครื่องบิน ก็ใหนําเอา แรงตานรวม คูณดวย ความเร็วของเครื่องบิน ในขณะนั้น ในรูปที่ 6.2 เปนความสัมพันธ ระหวาง กําลังขับที่ ตองการ กับ ความเร็วของเครื่องบิน (หรือความเร็วกระแสอากาศที่ผานเครื่องบิน) ที่ เรียกกันวา “เสนเคิฟของกําลัง (Power curve)”
รูปที่ 6.2 รูปเสนเคิฟ ความสัมพันธของกําลังขับที่ตองการ กับ ความเร็วเครื่องบินหรืออากาศ
172
บทที่ 6 สมรรถนะ (Performance)
ลองพิจารณาดู รูปที่ 6.2 จะเห็นวาถาเราตองการบินดวยความเร็วคงที่ในแนว ระดับ ดวยความเร็วที่มากขึ้น กําลังขับที่ตองการก็จะมากตาม ในลักษณะของเสนเคิฟ ที่ชันขึน้ เรื่อยๆ เชน ถาเราตองการใหเครื่องบิน บินเร็วขึ้นอีก 10% แต กําลังขับที่ใช ตอง เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 30% เคิฟของกําลังขับที่ตองการ มีความสอดคลองหรือเหมือนกับ เคิฟของแรงตาน เมื่อเทียบกับความเร็ว คาต่ําสุดของกําลังขับที่ตอ งการ จะอยูที่คาความเร็วเครื่องบินคา หนึ่งซึ่งไมใชคาของความเร็วที่ใหคาแรงตานต่ําสุด เครื่องรอนก็มีคุณสมบัติเชนเดียวกับ เครื่องบิน ในแงของกําลังขับที่ตองการ (ใชเพื่อใหสามารถบินอยูไดในแนวระดับ) ทีค่ า ความเร็วแตละคา ทั้งๆที่ไมมีกําลังจากเครื่องยนตขับเคลื่อน ในรูปที่ 6.2 บอกเราวา กําลังขับขั้นต่ําสุดที่ตองการเพื่อใหสามารถบินในแนวระดับไดดวยความเร็วคาหนึ่ง กําลังขับที่ตอ งการ เปนกําลังที่ใชเพือ่ ใหเครื่องบินสามารถบินดวยความเร็วคงที่ ในแนวระดับได ซึ่งก็ตองสอดคลองกับกําลังของเครื่องยนตที่มีอยูดวยในรูปที่ 6.2 เมื่อ ตองการใหเครื่องบิน บินดวยความเร็ว 200 นอต (knot) ตองใชกําลังขับ160 แรงมา เพื่อใหสามารถบินในแนว ระดับดวยความเร็วคงที่ดังกลาวได แตถาเครื่องยนตของ เครื่องบินมีกําลังขับ 100 แรงมา เราก็ไมสามารถบินในแนวระดับดวยความเร็วเทานี้ได เนื่องจากวา กําลังของเครื่องยนตลูกสูบนั้น หมายถึงกําลังที่เพลาหมุน ดังนั้น เครื่องยนตที่มีกําลัง เทากับ 160 (bhp) แรงมา เมื่อไปหมุนใบพัด กําลังขับที่ไดจาก ใบพัด คือ ทรัสฮอสพาวเวอ จะตองมีคา นอยกวา 160 แรงมา อยูแลว เพราะวาประสิทธิ ภาพของใบพัดในการเปลี่ยนกําลังที่เพลาหมุน มาเปนกําลังขับเคลื่อน ความเร็วของ เครื่องบินจะไดไมถึง 200 นอต จึงตองใชเครื่องยนตที่มีกําลัง 200 bhp จึงจะไดกําลังขับ ที่ใบพัดเทากับ 160 thp แรงมา (กําลัง 80% ของ 200 แรงมา คือ 160 แรงมา ใหสังเกต หนวยของ กําลังเครื่องยนตbhp กับ กําลังขับที่ใบพัดthp) ในรูปที่ 6.3 เสนประ เปนคาแรงมาของเครื่องยนต (ที่เพลาหมุนใบพัด) คือ 200 bhp คงที่ แตกําลังขับที่ได (จากbhp กลายมาเปน thp) ที่ใบพัดในการใหกําลังขับนัน้ ยอมมีคานอยลงคือ เหลือประมาณ 80% ของกําลังมาที่เพลาหมุน (bhp) ดูเสนเคิฟใน
บทที่ 6 สมรรถนะ (Performance)
173
รูปที่ 6.3 ซึง่ จะสอดคลองกับความ สัมพันธระหวาง (ประสิทธิภาพ ของใบพัด) กับ (ความเร็วเครื่องบินตอความเร็วรอบใบพัด)
รูปที่ 6.3 เครื่องยนตขนาด 200 แรงมา bhp ที่เพลาหมุน สามารถใหกําลังขับไดตามประสิทธิภาพ ของใบพัด อยูท ี่ประมาณ 80% นัน่ คือ 160 แรงมา thp
จุดที่นาสังเกตคือ จุดตัดของเสน กําลังขับที่ตองการ กับ กําลังขับที่มีอยู คือคา ความเร็วสูงสุดในการบินระดับ (Maximum level flight speed) ไมสามารถที่จะทํา ความเร็วในการบินระดับใหสูงกวานีไ้ ด เวนเสียแตวาตองเพิ่มกําลังของเครื่องยนตที่ใช ขับเคลื่อน กําลังขับที่มอี ยู ในรูปที่ 6.3 แสดงใหเห็นกําลังขับ ที่มีอยูส งู สุดในแตละยาน ความเร็วเมื่อเราเรงกําลังของเครื่องยนตเต็มที่ คือ 100% นั่นเอง การบินเดินทางที่ดีควร ที่จะตองใชกาํ ลังเครื่องยนต ที่ 75% ของกําลังสูงสุดเพื่อการประหยัดน้ํามันเชื้อเพลิง และความคงทนของเครือ่ งยนต ดังนั้นกําลังทีเ่ ครื่องยนตจายใหใบพัด ควรจะเปน 75% ของ 200 แรงมา คือ150 แรงมา ถาสมมุติวาประสิทธิภาพของใบพัดอยูที่ 80% ดังนั้น
174
บทที่ 6 สมรรถนะ (Performance)
แรงมาที่เพลาหมุน เปลีย่ นมาเปน กําลังขับที่ใบพัดใชขับเคลื่อนเครื่องบินก็จะเทากับ 120 แรงมา (thp) ความเร็วในการบินเดินทางก็จะอยูที่ 180 นอต ดังในรูปที่ 6.4 กําลังเครื่องยนตสามารถลดลงไดมากกวานี้ ในการบินระดับ เคิฟ ของกําลังขับที่ ตองการบอกใหเรารูวาเมื่อตองการบินระดับดวยความเร็วที่ตองการ จะตองใชกําลังขับ เทาไร(ที่ใบพัด) แตเมื่อเราลดกําลังของเครื่องยนตลงมา ทําใหเครื่องบินมีความเร็วอยูที่ ประมาณ 80 นอต ในรูปที่ 6.4 เปนคาความเร็วที่ใชกําลังขับนอยที่สุด แตถาเครื่องบินมี ความเร็วต่ําไปกวานี้กลับกลายเปนวา ตองใชกําลังขับที่มากขึ้น การบินในยานความเร็ว ที่ต่ํากวานี้นยิ มเรียกกันวา “ดานหลังของเคิฟกําลัง ( back side of the power curve)” ที่ไดชื่อเชนนี้ ก็เนื่องจากวา ความสัมพันธของเคิฟ เปลี่ยนไปในทิศทางทีก่ ลับกัน กับ อีก ดานหนึ่ง ทีว่ าถาตองการความเร็วมาก ก็ตองใชกําลังขับมาก แตในดานหลังนี้ เมื่อ ความเร็วสูงขึ้น กําลังขับที่ตองการกลับลดลง ที่เปนเชนนี้กเ็ พราะวา แรงตานเหนี่ยวนํา นั้นจะลดลงเมื่อความเร็วสูงขึ้น ในขณะที่แรงตานพาราไซท จะสูงขึ้นตามความเร็ว
รูปที่ 6.4 การบินระดับเมื่อใชกําลัง 75% ของกําลังสูงสุดของเครื่องยนต ความเร็วเดินทางจะอยูท ี่ 180 นอต
บทที่ 6 สมรรถนะ (Performance)
175
ดานหลังของเคิฟกําลัง ในรูปที่ 6.4 ก็คือสวนที่อยูด านซายของความเร็ว 80 นอต เปนยานของความเร็ว ที่คอนขางสัน้ สําหรับเครื่องบินโดยทั่วไป และมักจะเปนยาน ความเร็ว สะตอลของเครื่องบิน ที่บนิ อยูในยานความเร็วต่ําขนาดนั้น นักบินสวนใหญ หลีกเลี่ยงการบินในยานความเร็ว ที่อยูดานหลังของ เคิฟกําลัง ดังนั้นจึงไมคอยจะมีใคร ที่จะคุนเคยกับปรากฏการณของ การที่เมื่อเครื่องบิน บินเร็วขึน้ แตกําลังที่ตองการกลับ ลดลง ในเครื่องบินบางแบบที่ใหคา แรงตานเหนีย่ วนําสูง มักจะสรางความประหลาดใจ ในลักษณะเชนนี้ใหกับนักบินที่ยังไมเคยมีประสบการณกับเรื่องแบบนี้มากอน เครื่องบิน แตละแบบมักจะมีคุณลักษณะเฉพาะที่แตกตางกัน นี่คือเหตุผลที่วา ทําไมจึงตองมีการ ตรวจสอบหรือทําการฝก การขับเครื่องบิน กับนักบินที่จะตองเปลี่ยนแบบของเครื่องบิน แมวาจะมี ประสบการณ ในการบินมานานแลวก็ตาม สวนในดานของ ความเร็วสูง ของเคิฟกําลัง อาจจะเรียกวา “ดานหนา (front side)” แรงตานที่เกิดขึ้น สวนใหญเปนแรงตานพาราไซท ซึ่งแปรตามคาของความเร็วยก กําลังสอง และคาของกําลังขับที่ตองการ ก็คือ แรงตานรวม คูณ ความเร็วของเครื่องบิน ดังนั้นเราสามารถเขียนไดดังนี้ แรงตาน กําลังขับ
D V 2
P D V V 3
จากความสัมพันธ ระหวาง กําลังขับ กับ ความเร็ว ตัวอยางเชน ความเร็ว V เทากับ 1 ก็ตองการ กําลังขับ P เทากับ 1 แตถาตองการความเร็วเพิ่มขึ้นมาอีก 10% คือ เปน 1.1 เราตองเพิ่มกําลังขับขึน้ มาเปน 1.1 1.331 นั่นคือ ตองใชกําลังขับเพิ่มขึ้นมา อีก 33% สิ่งนี้ชี้ใหเห็นวา การเพิ่มกําลังเครื่องยนต โดยใชเครือ่ งยนตที่มีขนาดใหญขึ้น มี น้ําหนักมากขึ้น อาจจะไดความเร็วเพิ่มขึ้นมาอีกไมมาก ดังนั้นความคุมคาของกําลัง เครื่องยนตกับความเร็วที่ไดจึงเปนเหตุผลหนึ่งในการพิจารณาที่จะนําเครื่องยนต มา ติดตั้งกับเครื่องบิน 3
176
บทที่ 6 สมรรถนะ (Performance)
6.2 การบินขึ้น (Takeoff) เมื่อมาถึงหัวขอนี้ หลังจากที่ไดพูดกันถึงเรื่องของสมรรถนะในการบินมาแลว สวนใหญเปนการแสดงใหเห็นถึง รูปรางเสนเคิฟของกําลังที่ตองการ ตอนนี้จะเปนการ พูดถึงสมรรถนะอีกรูปแบบหนึ่ง เมือ่ เครื่องบินเคลื่อนตัวอยูบนพื้น เพื่อไปยังตําแหนงที่ ตองการ เรียกวา “แท็กซี่ (Taxi)” เชน แท็กซี่ไปยังทางที่จะวิ่งขึ้นเพื่อบินขึน้ ไปในอากาศ ในชวงนี้เปนการขับเคลื่อนอยูบนพื้น (Ground-base vehicle) ตอเมื่อบินขึ้นจากทางวิง่ คือลอพนพื้นแลว จึงจะมีลักษณะเปน อากาศยาน นั่นคือ การบินขึ้น (Takeoff) เครื่องบินเปลี่ยนจาก การวิ่งบนพื้น กลายเปน การบินไปในอากาศ กรณีเชนนี้ ถือไดวา เปนการพิจารณาเปนกรณีพิเศษในเรือ่ งของสมรรถนะ ไมสามารถนําเอา สมรรถนะใน การบินในอากาศ ดวยความเร็วคงที่ (การบินในอากาศโดยรักษาสภาวะตางๆใหคงที่ เรียกวา “สะเตดดี Steady” ความหมายของคํานี้ ไดอธิบายในผนวก) มาพิจารณารวม ดวยได
รูปที่ 6.5 แรงที่กระทําตอเครื่องบินขณะวิง่ ขึ้นดวยอัตราเรงบนทางวิง่ ขึ้น
การบินขึ้น ผูออกแบบตองการใหใชระยะทางสั้นทีส่ ุดเทาที่จะทําได ดังนั้น ระยะทางที่ใชในการบินขึน้ ถือเปน ปจจัยสําคัญอันดับแรก ทีต่ องพิจารณา เครื่องบิน ลอยตัวไมไดในขณะที่ความเร็วต่ํากวา ความเร็วสะตอล ดังนั้นความเร็วในการบินขึ้น จะตองสูงกวาความเร็วสะตอล เพื่อจะใหลอยขึน้ สูอากาศได เมื่อตองการบินขึ้น เริ่ม ตั้งแตเครื่องบินอยูกับที่ คือความเร็วเทากับศูนย(ความเร็วลมเทากับศูนย) การบินขึ้นคือ
บทที่ 6 สมรรถนะ (Performance)
177
การเรงความเร็ว ตั้งแตศูนย ทําใหความเร็วสูงขึ้น จนกระทั่งไดความเร็วสูงกวาความเร็ว สะตอล ระยะทางที่ตองใชคือ ระยะทางในการวิ่งขึ้น (Takeoff distance) ในขณะที่ กําลังบินขึน้ แรงที่กระทําตอเครื่องบิน มีอยูดวยกัน หาแรง ดังแสดงในรูปที่ 6.5 อยางไร ก็ตาม เนื่องจากวาเครื่องบินอยูในสภาวะที่ความเร็วสูงขึ้น คือมีอัตราเรง ไมไดอยูใน สภาวะสมดุล แรงลัพธหรือแรงสุทธิที่กระทําไมเทากับศูนย โดยที่แรงขับ มากกวาแรง ตานทั้งหมด และแรงยกก็ไมเทากับน้ําหนักในขณะนี้ แรงทีเ่ กิดขึ้นอีกคือแรงเสียดทาน ของลูกลอ กับ ทางวิ่ง ความสัมพันธระหวางแรง อัตราเรงและมวล เปนไปตามกฎขอที่ สองของ นิวตัน คือ เพิ่มพื้นที่ปก S V ลดลง ดังนั้น เพิ่มสัมประสิทธิ์แรงยก C V ลดลง การเพิ่มคา พื้นที่ปก และ สัมประสิทธิ์แรงยกสูงสุด เปนการชวยให ระยะทางวิ่ง ขึ้นสั้นลงนอกจากการเพิ่มแรงขับ การเพิ่มสัมประสิทธิ์แรงยก ทําไดดวยการเพิ่มคาแคม เบอรใหกับแพนอากาศที่มาทําปกเครื่องบิน ทีน่ ิยมใชอยูคือติดตั้งแฟลบ เขากับปก ตอง ไมลืมวาการที่ปกมีคาแคมเบอสูงขึ้นก็เปนการเพิ่มแรงตานขึ้นมาดวย ซึ่งแรงตานเปน ปจจัยสวนหนึ่งที่ลด สมรรถนะในการวิ่งขึ้น เพื่อใหดีขึ้นจึงควรใชแฟลบที่มีขนาด พอเหมาะ ที่ไมใหญมากจะชวยทําให ความเร็วสะตอลลดลงมาก แตแรงตานที่เพิ่มขึน้ ไมมาก ความพอดีนี้อยูที่การออกแบบเพราะถาใช แฟลบที่ใหญมากเกินไป กลับสงผล ใหระยะทางวิ่งขึ้น ยาวออกไปอีก ดังนั้น เราจึงสรุปรวมไดวาคุณสมบัติของเครื่องบิน ที่ชวยให การวิ่งขึ้นได ระยะทางสั้นลง ประกอบไปดวย stall
L max
stall
- แรงขับ สูง (High thrust) - พื้นที่ปก สูง (High wing area) - สัมประสิทธิ์แรงยก สูง (High lift coefficient) - แรงตานทางอากาศพลศาสตร ต่ํา (Low drag) - แรงเสียดทานเนื่องจากลูกลอกับทางวิ่ง ต่ํา (Low runway-tire friction) - น้ําหนักรวม ต่ํา (Low weight)
178
บทที่ 6 สมรรถนะ (Performance)
ยังมีปจจัยอืน่ ๆอีกที่สงผลตอ สมรรถนะในการวิ่งขึ้น เชน สภาพของบรรยากาศ ลักษณะพื้นผิวของทางวิง่ ขึ้น แตละสนามบินทางวิ่งขึ้นมีความแตกตางกัน สงผลตอแรง ตานเนื่องจากแรงเสียดทานที่ลอ บางแหงเปนสนามหญายิ่งสงผลตอแรงเสียดทาน คอนขางมากโดยเฉพาะหญายาวๆ ความลาดของสนามบิน ถาทิศทางลาดขึ้นในขณะ วิ่งขึ้นยิ่งสงผลในแงของแรงตานเพราะน้ําหนักของเครื่องบิน ทําใหเครื่องบินชาลง ตอน กําลังวิ่งที่จะขึ้น เมื่อเทียบกับสนามบินที่อยูในแนวระดับ ในทางตรงขามถาทางวิ่งลาด ลงก็จะเปนการชวยเสริมแรงขับใหกับเครื่องบินทําใหเร็วขึ้น ความหนาแนนของอากาศยิ่งมากสงผลใหไดแรงขับมากตาม ถึงแมวาจะสงผล ตอแรงตานใหมากขึ้นดวย ความเร็วสะตอลลดลง ดังนั้นโดยรวมแลว ความหนาแนน อากาศที่สูงขึ้น (เพราะอุณหภูมิต่ําลง) เปนผลดีตอการวิ่งขึ้น จะชวยทําใหระยะทางวิง่ ขึ้นสั้นลง ลมที่พัดสวนทางการวิ่ง ลมเขาทางดานหนา (Headwind) ก็เปนปจจัยหนึ่งที่มี สวนชวยในการลดระยะทางวิ่งขึ้นเพราะ ทําใหคาความเร็วของเครื่องบินเมื่อเทียบกับลม (ความเร็วสัมพัทธ) สูงขึน้ ในขณะที่ความเร็ว บนทางวิ่งเทาเดิม ความเร็วลมที่พัดสวนมา ยิ่งมากเทาไรก็ยิ่งทําใหระยะทางวิ่งขึน้ สั้นลงเทานัน้ ยกตัวอยางเชน ถาความเร็วลม เทากับความเร็วในการลอยตัวขึ้น (สูงกวาความเร็วสะตอลนิดหนอย) ระยะทางวิ่งขึ้นก็ คือศูนย ในสภาวะปกติเมื่อมีความเร็วลมพัดสวนทางมา สงผลใหระยะทางวิ่งขึ้นลดลง มีความ สัมพันธในรูปของสมการดังนี้ อีกครั้ง สรุปปจจัยที่สงผล ตอระยะทางในการบินขึ้น มีดังนี้ - พื้นผิวที่ราบเรียบของทางวิ่งขึ้น - ทางวิ่งขึ้นทีอ่ ยูในแนวระดับ หรือ ลาดลง - ความดันของบรรยากาศ สูง - อุณหภูมิของบรรยากาศ ต่ํา - ความเร็วลมที่พัดสวนทาง สูง
บทที่ 6 สมรรถนะ (Performance)
179
ปจจัยอื่นทีส่ ง ผลตอระยะทางในการวิ่งขึ้น ยังมีอยูอีกมาก ขอมูลดานสมรรถนะ ของเครื่องบิน เปนสิ่งทีน่ ักบินจะตองนํามาพิจารณารวมกับ ปจจัยตางๆที่ไดกลาวไป แลว รวมทั้งขอมูล ความเปนไป ที่ผานมา ของเครือ่ งบินลําที่ใชอยูนี้ ความเร็วที่ทําใหเครื่องบินเริ่มลอยตัวพนจากพื้นทางวิ่งขึ้น สูงกวาความเร็ว สะตอลเล็กนอย อันทีจ่ ริงแลว คงไมมีเครื่องบินลําไหนทีจ่ ะบินลอยขึน้ จากสนามบิน ดวยความเร็วที่สูงกวาความเร็วสะตอลอยูเพียงเสนผม เพราะจะทําใหเครือ่ งบินลดระดับ ลงกระแทก กับพื้นสนามบินอีกเปนเหตุใหความเร็วลดลง แรงยกก็จะนอยลง ในขณะที่ เครื่องบินยังวิ่งดวยความเร็วไปขางหนาทําใหระยะทางเพิ่มขึ้น การบินขึน้ ยอมทําไมได คือลมเหลว ดังนั้นความเร็วในการบินขึ้นควรจะอยูที่ 20% สูงกวาความเร็วสะตอล แนนอนความเร็ววิ่งขึ้นพิจารณาจากความเร็วสะตอลเปนหลัก แมวาจะใชแฟลบชวย หรือไมก็ตาม ในคูมือการบินที่มากับเครื่องบินเอง ก็ใชเงื่อนไขอันนี้ในการพิจารณาคา ความเร็วบินขึ้น อีกสิ่งหนึ่งในเรื่องของการวิ่งขึ้น คือระยะทางที่วางปราศจากสิ่งกีดขวางใดๆ ในชวงที่หนึ่งคือ เผื่อไวอีก 50 ฟุต จากตําแหนงที่เครื่องบินลอยตัว และชวงที่สองยังตอง เลย ออกไปอีกจากจุดนี้ ตามแนวระดับอีกระยะหนึ่ง ซึ่งเปนจุดที่เครื่องบินลอยตัวอยูสูง จากพื้น 50 ฟุต (ขึ้นอยูกับอัตราไต) ในสวนที่เพิ่มขึ้นมาในชวงที่สองนี้ พิจารณาจาก อัตราการไตของเครื่องบิน ที่ความเร็วลอยตัวขึ้น (Liftoff) พนจากผิวของสนามบิน
6.3 การบินลง (Landing) การบินลงสูรนั เวย มีหลักการเชนเดียวกับการบินขึ้นจากรันเวย แตขั้นตอน กลับกันคือ การบินลงเปนการบินจากอากาศสูพื้น แตการบินขึ้นเปนการวิ่งจากพื้นขึน้ สู อากาศ จุดมุงหมายในการบินลงคือ การลดความเร็วตั้งแตความเร็วเขาใกล(แตสูงกวา) ความเร็วสะตอล มาเปนศูนยบนพื้น โดยใชระยะทางสั้นทีส่ ุดเทาที่จะทําได ระยะทางแนนอนที่ใชในการบินลงสูรนั เวย ไมไดขึ้นอยูกับตัวเครื่องบินแตเพียง อยางเดียว แต ขึ้นอยูกบั ความชํานาญของนักบินเปนสวนใหญ นักบินบางคนสามารถ บินลงสนามบินไดในเที่ยวแรกของการวนลงจอด ในขณะทีน่ ักบินคนอื่นอาจตองใชการ
180
บทที่ 6 สมรรถนะ (Performance)
วนลงจอดมากกวาหนึ่งครั้งโดยที่ใชเครื่องบินลําเดียวกัน และสภาพอากาศเหมือนกัน การเขาสูยานของ ความเร็วแตะพื้น(Touchdown speed) มุมของทิศทางในการบิน ความเร็วในการเบรก มีความแตกตางกันสําหรับนักบินแตละคน การระบุคาของ ระยะทางรันเวยที่ใชในการบินลง ของคูมือที่มากับเครื่องบิน คือระยะทางที่เปนไปได สําหรับนักบินที่มีทักษะในการบินดีพอสมควร ถามีการสอนนักบินใหทาํ การบินลง ดวยความเร็วสะตอลเพื่อใหไดระยะทางการ บินลงทีส่ ั้นทีส่ ุด คือ ลอแตะพื้นที่ความเร็วสะตอลซึ่งการกระทําเชนนี้ตองการขั้นตอนใน การบินลงซึ่งคาของความเร็วเขาใกล ความเร็วสะตอลมากที่สุด การบินที่คาความเร็ว ทายสุดกอนลอแตะพื้นมีคาความเร็วเขาใกลสะตอล ถือไดวาเปนการบินทีอ่ ันตราย และ ควบคุมไดยาก ไมควรทําเปนอยางยิง่ ความเร็วมาตรฐาน ที่ใชในการบินลง ตอนลอแตะ พื้น อยูที่ 20%สูงกวาความเร็วสะตอล ซึ่งก็เหมือนกับความเร็วในการบินขึ้นจากรันเวย แตตอมาเพื่อความปลอดภัย ความเร็วบินลงอยูท ี่ 30% สูงกวาความเร็วสะตอล ซึ่งเปนที่ ยอมรับกันทั่วไปโดยเฉพาะเครื่องบินลําเลียง และเครื่องบินโดยสาร ระยะทางบนรันเวยที่ใชในการวิ่งลง พิจารณาเชนเดียวกับระยะทางที่ใชในการ วิ่งขึ้น มีอยูส องสวน คือ 1. สวนทีใ่ ชในการบินลง เริ่มตั้งแตลอแตะพื้น จนกระทั่งหยุด และ 2. อีกสวน ที่ตองปราศจากสิ่งกีดขวางใดๆ เปนระยะ 50 ฟุต รวมกับระยะการ เคลื่อนที่ ในแนวระดับของเครื่องบินที่ระดับความสูง 50 ฟุต ดวยความเร็ว สูงกวา สะตอล 30% และคอยๆลดระดับ จนกระทั่งลอแตะพื้นที่ความเร็ว สูงกวาสะตอล 15% ซึ่งเปนระยะทางของรันเวย ที่เหมาะสมในปจจุบัน สําหรับการบินลงของเครื่องบิน นักบินสวนใหญไดรับการฝกบินใหคนุ เคยกับการ บินลงภายใตวิธีการและสนามบิน ดังกลาวกับเครื่องบินฝกขนาดเบา เพื่อจะไดนําวิธีการนี้ไปใชตอ ไป แมไปบินกับ เครื่องบินขนาดใหญ ยอนไปดูในรูปที่ 6.5 เมื่อเครื่องบิน บินลงจนลอแตะพื้นแรงทีก่ ระทํากับเครื่องบิน จะเปนไปตามรูป ยกเวน แรงขับเทากับศูนย นอกนั้นแรงอื่นๆยังคงมีอยู อัตราเรงเปนลบ คือความเร็วคอยๆลดลง เบรกมีความจําเปนอยางยิ่ง ในสถานการณเชนนี้ เพื่อเปนการ ลดระยะทางไดอยางมาก แรงเสียดทานระหวางยางลอกับ พืน้ รันเวย จะตองมีมากพอที่
บทที่ 6 สมรรถนะ (Performance)
181
ไมใหเกิดการไถลของยาง แรงเสียดทานนี้ขึ้นอยูก ับน้ําหนักของเครื่องบินดวย ในขณะที่ ลอเริ่มแตะพืน้ เครื่องบินยังคงมีแรงยกอยู น้ําหนักของเครื่องบินที่กดลงบนลอ W (น้ําหนักสุทธิ net weight) จึงนอยกวาน้ําหนักรวมทั้งหมด ตอเมื่อความเร็วลดลง น้ําหนักที่กดลงบนลอก็จะเพิ่มขึ้น ทําใหแรงเสียดทานระหวางลอกับพื้น มีมากตามดัง สมการนี้ โดยทั่วไป ความสามารถในการเบรกของเครื่องบิน อยูที่คาของสัมประสิทธิ์แรง เสียดทาน เทากับ 0.4 ถึง 0.7 หมายถึงแรงตานการเคลื่อนที่ของเครื่องบินเมื่อใชเบรก มีคาเปน 40% - 70% ของน้ําหนักเครื่องบิน ที่กดลงที่ลอ คานี้เปนพืน้ ผิวรันเวย ที่แหง และลอตองไมตายคือยังคงหมุนอยูได การที่ลอ ตายจะทําใหประสิทธิภาพในการเบรก ลดลง (และอาจเปนอันตรายไดจากการสูญเสียการควบคุม) ดังนั้นการเบรกที่ดีจะตอง ทําใหลอยังคงหมุนอยูตอไปดวยความเร็วเพียง 10% ของการที่ไมเบรก ในสวนนี้จงึ ทํา ใหแรงตาน จากการเบรกลดลง คือคา ลดลง 10% จากที่ 0.7 และยังคงตองลดลงอีก เมื่อสภาพของพื้นผิวรันเวยมี น้ําฝน หิมะ น้ําแข็ง ตัวอยาง ของ คาสัมประสิทธิ์แรงตาน ในสภาวะตางๆบนรันเวย สภาพพื้นผิว สัมประสิทธิแ์ รงตาน คอนกรีต แหง 0.7 ฝนตกเบาๆ 0.5 ฝนตกหนัก 0.3 มีหิมะ หรือน้าํ แข็ง 0.1-0.2 ในกรณีที่ลอเครื่องบินกลิง้ ไปบนพื้นคอนกรีตของสนามบิน ตามปกติถาไมมีการ ใชเบรก สัมประสิทธิแ์ รงเสียดทาน ที่เกิดขึ้นจะอยูท ี่ประมาณ 0.02 วิธีการที่จะชวยลด ระยะบนทางวิ่งลงของเครือ่ งบิน ยังมีอีก นอกจากที่ไดกลาวไปแลว เชน ทําใหเกิดแรง ในทิศทางตรงขามกับความเร็วของเครื่องบิน ทีเ่ รียกวา “แรงขับยอนกลับ (Reverse thrust)” ถาเปนเครื่องบินที่ใชใบพัด ก็ใชวิธีปรับ มุมพิทชของใบพัดใหติดลบ ดวยการกิน ลมของใบพัด ผลักอากาศไปในดานตรงกันขามกับการทํางานปกติ ทําใหเกิดแรงในทิศ ทางตรงขามกับแรงขับ ในขณะที่ทิศทางการหมุนยังคงเดิม แตถาเปนเครื่องยนตเจ็ต ก็ net
182
บทที่ 6 สมรรถนะ (Performance)
ใชแผนปอง (Deflector) เบี่ยงเบนทิศทางของกระแสเจ็ต ใหพงุ ไปขางหนา แรงที่เกิดขึน้ จะมีทิศทางตรงขามกับความเร็วของเครื่องบินขณะนั้น จึงเปนการชวยลดความเร็วลงได อยางรวดเร็ว หรือมีการนําเอารมที่เรียกวา “รมแรงตาน (Drag chute)” เหมือนกับรมชูชพี ที่ใช โดดลงมาจากเครื่องบิน โดยการปลอยออกทางดานทายของเครื่องบิน ชวยดึงเครื่องบิน ใหชาลง เนือ่ งจากรมที่วามีแรงตานมาก แตมักจะถูกใชกบั เครื่องบินที่มีความเร็วสูงของ ทางทหาร ไมเหมาะกับการนํามาใชกับเครื่องบินโดยสารหรือ เครื่องบินขนาดเบา ทั่วไป อีกหนทางหนึ่ง ในการชวยลดระยะทางบินลง คือการทําใหอัตราการลดระดับ ของเครื่องบินเร็วขึ้น จากที่ทราบมาแลววามุมรอนที่ทํากับแนวระดับคืออัตราสวนของ L D ถาคา L D ยิ่งนอย มุมบินลงก็ยิ่งชัน ทําใหเครื่องบินแตะพื้นเร็วขึ้น ในกรณีที่มีสิ่ง กีดขวางสูง 50 ฟุต อยูในตําแหนงที่เปนไปตามเงื่อนไขของการสรางสนามบิน (ถา บริเวณโดยรอบ ของสนามบินนั้นเปนที่โลงทั้งหมดก็ไมจําเปนตองบินลงดวยมุมที่ชัน แต ที่ตอง บินลงดวยมุมที่ชัน ก็ดวยวางเงื่อนไขวามีสิ่งกีดขวางอยูโดยรอบ) การที่จะทําให คาของ L D ลดลงก็ดวยการเพิ่มคาแรงตานใหกับเครื่องบิน ตามปกติเราตองการใหได คา L D มาก แตในกรณีนี้ถือวาสิ่งที่เราตองการ เปนสิ่งที่ถือวา เปนการลดสมรรถนะ ของเครื่องบิน ดังนั้นจึงไดใช แฟลบ ซึ่งไดกลาวไปแลววาแฟลบจะชวยทําใหแรงตาน เพิ่มขึ้นในขณะเดียวกัน แรงยกก็เพิม่ ขึ้นดวย อันที่จริง แฟลบมีหนาที่ชวยในการเพิ่มแรง ยกใหกับเครื่องบิน และลดความเร็วสะตอลลง แตในกรณีนี้จะเปนการชวยเพิ่มแรงตาน ใหกับเครื่องบินใน ขณะบินลง ซึ่งก็เปนไปตามความตองการ นอกจากจะทําใหมุมบินลง ชันขึ้นแลว ยังทําใหความเร็วเมื่อลอเริ่มแตะพื้นชาลงดวยเพราะความเร็วสะตอล ลดลง จึงทําใหนักบินสามารถใชความเร็ว เมื่อลอแตะพื้นลดลงตามไปดวย นั่นคือการใชแฟลบ จึงเปนการชวยใหใชระยะทาง ในการบินลงสัน้ ลงดวย นอกจากผลพลอยไดอื่นๆที่กลาว ไปแลว การบินลงในทิศทางสวนกับทิศทางลม หรือ บนสนามบินทีล่ าดขึ้น ถือไดวามี สวนชวยในการลดระยะทาง ในการใชรันเวย ระดับความสูงจากระดับน้ําทะเลของ สนามบินนัน้ ๆ อุณหภูมิ ซึ่งสงผลตอความหนาแนนของอากาศ ซึ่งสงผลตอสมรรถนะ
บทที่ 6 สมรรถนะ (Performance)
183
ของเครื่องบินและการบินลงดวย กําลังขับของเครื่องบินไมไดมีสวนเกี่ยวของกับ ระยะทางที่ใชในการบินลง น้ําหนักบรรทุกที่มากขึ้นสง ผลใหคา L D มากตามมุมบินลง จึงไมชัน ทําใหระยะทางที่อยูในอากาศไกลขึ้น แตไมสงผลตอระยะทางบนรันเวย เมื่อ ลอแตะพื้น ถึงแมวาน้าํ หนักที่มากขึ้น จะทําใหแรงตานจากการเบรกมากตาม แตใน ขณะเดียวกันมวลของเครื่องบินซึ่งกําลังเคลื่อนที่กม็ ากเชนกัน สองปจจัยนี้จึงหักลบกัน ไปเอง จึงทําใหเครื่องบินที่บรรทุกน้ําหนักมากขึ้น ไมมีผลตอการเพิ่มหรือลดระยะทางใน การบินลง
6.4 ทาทางในการบิน (Maneuvering) สิ่งที่ไดกลาวไปแลว เปนสมรรถนะในการบินซึ่งอยูในสภาวะที่เรียกวา สมดุลคือ แรงลัพธที่กระทําทั้งหมดเทากับศูนย ไมมีอัตราเรงถาเคลื่อนที่ ก็เคลื่อนทีด่ วยความเร็ว คงที่เปนเสนตรง เชนบินในแนวระดับดวยความเร็วคงที่ หรือภาษาไทยเรียกวาอยูใน สภาวะคงตัว (Steady flight) ถาจะเรียกทับศัพทก็ตองเรียกวา “สะเตดดี” เปนสภาวะ สมดุล ถาในขณะที่เราโดยสารไปในเครื่องบินทีก่ ําลังบินอยูใ นแนวระดับดวยความเร็ว คงที่ และนักบินดึงคันบังคับมาขางหลัง อยางรวดเร็ว เครื่องบินก็จะเงยหัวขึ้น มุมปะทะ สูงขึ้นทําใหมีแรงยกมากขึ้นอยางรวดเร็ว ทุกคนทีอ่ ยูในเครื่องบิน รูสึกเหมือนกับวามีแรง มากดเราลงบนที่นั่งเพิ่มมากขึ้นนอกจากน้ําหนักของตัวเรา ชั่วระยะหนึ่ง ซึ่งเปนแรงใน ลักษณะเดียวกันกับ เวลาเราออกรถดวยความแรงตัวก็จะเอนไปขางหลัง เบรกอยางแรง ตัวก็จะโนมไปขางหนา หรือเลี้ยวรถอยางแรงก็จะเอียงไปขางๆ แรงในลักษณะเชนนี้ เหมือนกับแรงดึงดูดของโลก (แรงโนมถวงของโลก Gravitational Force เรียกยอๆวา “แรง G”) แตเปนแรงเนือ่ งมากจากการเกิดอัตราเรงในทิศทางใดทิศทางหนึ่ง กับยานที่ เราโดยสารอยู เปนทีน่ าสังเกตวา ในเครื่องบินขนาดเบาซึ่งแรงขับมีคาคอนขางนอยเมือ่ เทียบ กับ น้ําหนักของเครื่องบิน อัตราเรงที่เกิดขึ้นไมวาจะทิศทางใดก็ตาม จะมีไมมากและ เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ เมื่อมีการดึงคันบังคับให เครื่องบินเงยขึ้น แรงยกสูงขึ้นแตแรง ตานก็มากขึ้นตามทําใหชาลง เขาสูสภาวะสมดุลอีกในชวงเวลาหนึง่ แตสําหรับ
184
บทที่ 6 สมรรถนะ (Performance)
เครื่องบินรบ ถูกสรางมาใหมีสมรรถนะและกําลังขับสูง สิง่ ที่เกิดขึ้นยอมแตกตางไปจาก เครื่องบินขนาดเบา ซึ่งถาตองการใหมีความเร็วสูงมากๆก็ทําไดโดยการทําให เครื่องบิน กมลงหรือดําลง เพื่อใชนา้ํ หนักชวยเรงความเร็ว การเกิดอัตราเรงกับเครื่องบินหรือวัตถุใดๆก็ตามจะทําใหเกิด แรงโนมถวงเทียม หรือแรงโนมถวงเสมือนขึน้ มา ทําใหวัตถุนั้นหนักขึ้น หรือเบาลงกวาเดิม ขึ้นอยูกับ ทิศทางของแรงโนมถวงเสมือน เรียกวา “แรงจี (G-Force)” หรือเรียกทับศัพทวา “จีฟอส” แรงโนมถวงปกติที่โลกดึงดูด มวลหรือวัตถุทั้งหลายบนผิวโลก มีคา 1G ซึ่งสงผล ใหวัตถุที่อยูบนพื้นผิวโลกมีน้ําหนัก แตเมื่อมี แรงโนมถวงเสมือนหรือเรียกสั้นๆวา“แรงจี” เขามารวมดวย ก็ยอมสงผลใหโครงสรางของเครื่องบิน รับภาระกรรมคือ แรงมากขึ้น มากกวาการที่เครื่องบินจอดอยูนิ่งๆ หรือบินไปในสภาวะสะเตดดี (ย้ําอีกทีคือไมมีอัตรา เรง) ขอยกตัวอยางแรง ที่เกิดจากแรงโนมถวงเสมือน เชน เราไปซื้อขวดน้าํ ที่ซุปเปอรมา เก็ต มีน้ําหนักมากพอสมควร ใสถุงพลาสติก ถุงทีใ่ สบางมาก รับแรงไดนอย ถาถือหรือ หอยอยูนิ่งๆ ถุงจะไมขาด รับน้ําหนักของขวดน้ําไดสบาย แตถาเรายกขึ้นแรงๆหรือ เหวี่ยงหมุนเร็วๆ (มีอัตราเรงทําใหเกิด แรงจี) ถุงอาจจะขาดได เพราะแรงที่เกิดขึ้นนัน้ มี มากกวาน้ําหนักของขวดน้ํา นี่คือตัวอยางของแรงที่เกิดเพิม่ ขึ้น จากการเคลื่อนทีข่ อง วัตถุ ดวยอัตราเรง หรือหมุน เปนเหตุใหเกิดแรงโนมถวงเสมือน ซึ่งตอไปจะเรียกวา แรงจี เพราะเครื่องบินตองเคลือ่ นที่ดวยอัตราเรง มีการหมุนหรือเคลื่อนที่เปนวงกลม ดังนัน้ การออกแบบเครื่องบินจึงตองพิจารณา แรงที่เกิดเพิ่มขึ้นมานี้และไดเผื่อไวแลวระดับ หนึ่ง ที่ใหความปลอดภัยมากพอ แตถาทําใหโครงสราง มีขนาดใหญและหนักมาก เกินไป เพื่อจะใหรับแรงไดมากๆ ก็จะเปนผลเสียในเรื่องของสมรรถนะในการบิน (และมี ผลเสียในดานอื่นดวย) ดังนั้นจึงตองมีความพอดีที่คาหนึ่ง ซึ่งทางองคกรFAA ไดกําหนด มาตรฐานที่เปน ปจจัยในการรับแรง (Load factors) ไว สําหรับเครื่องบินแตละแบบ ปจจัยในการรับแรงนี้ จะเรียกทับศัพทวา “โหลดแฟคเตอร” เชน ถาพิจารณาแรงใน แนวดิ่งแรงทีก่ ระทําหรือเกิดขึ้นกับเครือ่ งบิน คือ แรงยก L และ น้าํ หนัก W โหลด เครื่องบินที่กาํ ลังบินในขณะดึงขึ้น แรงยก L (ที่ทําใหมีอัตราเรงในแนวดิ่ง) เทากับ n คูณดวย น้ําหนัก W จะเกิดอัตราเรงแนวดิ่งใน ทิศทางขึ้น เราจะเห็นวา แรงยก L
บทที่ 6 สมรรถนะ (Performance)
เทากับ ตัวก็ได
nW
185
ซึ่งตางจากแรงยกที่เกิดกับ เครื่องบิน ที่อยูในสภาวะ สมดุลหรือเรียกวา คง
ในขณะที่เครื่องบินกําลังถูกดึงขึ้นดวยการควบคุมของนักบิน จะกอใหเกิด แรงจี ในทิศทางตรงขามกับอัตราเรง (ซึ่งอยูในแนวเดียวกับแรงยก L ) ซึ่งปกติแรงโนมถวงของ โลกกระทําตอเครื่องบินอยูแลว หนึ่งจี (1G) เมื่อมีแรงจี ในทิศทางลง เนื่องจากอัตราเรง ขึ้นมาเสริมอีก รวมแลวจึงกลายเปน แรงจี ที่กระทําตอเครื่องบินจึงมากกวาหนึ่งจี จึง กลายเปนวาแรงยกที่กระทําตอปกเพิม่ ขึ้น ในขณะที่น้ําหนักของเครื่องบินก็เพิ่มขึ้นดวย จาก แรงจี เพื่อความเขาใจถึงเรื่องของ น้ําหนักที่เพิ่มขึ้นนี้ ขอยกตัวอยางของ ลิฟต ที่ ลวดสลิงกําลังดึงขึ้นจากสภาวะหยุดนิ่ง จะตองใชแรงดึงมากกวาน้ําหนักของลิฟต และ น้ําหนักของคนโดยสารหรือตัวลิฟตเองก็จะมากขึน้ ดวยใน ขณะนั้นที่มีอัตราเรงใน ทิศทาง ขึน้ ในแนวดิ่ง การออกแบบและสรางเครื่องบินจึงได เผื่อ ความแข็งแรงในสวน ตางๆไว เพือ่ ความปลอดภัย เปนคา load factors ในแนวดิ่ง ที่ถูกกําหนดโดย องคกร FAA
186
บทที่ 6 สมรรถนะ (Performance)
แบบฝกหัดบทที่ 6 6.1
ดูรูป แบบฝกหัด 5.1 เสนของเคิฟของกําลัง ของเครื่องบินชนิดหนึ่งประกอบดวย เสนเคิฟกําลังขับที่ตองการ P และ กําลังขับที่มีอยู P สําหรับกําลังขับที่ 100% และ 75% ของกําลังขับที่มีอยูสูงสุด จงหา ก. ความเร็วสูงสุด ในการบินระดับ ที่ กําลังขับทีม่ ีอยู P 100% ของกําลังขับสูงสุด ข. ความเร็วสูงสุด ในการบินระดับ ที่ กําลังขับทีม่ ีอยู P 75% ของกําลังขับสูงสุด R
A
A
A
รูป แบบฝกหัด 5.1 เสนเคิฟของกําลัง (Power curve)
6.2
ในขณะที่เครื่องบิน กําลังวิ่งอยูบนพื้น มีแรงกระทําเนื่องจากอะไรบาง
6.3
การชะลอความเร็วของเครื่องบิน ในขณะที่กําลังบินลง นอกจากใชเบรกจากลอ ยาง แลวยังมีวิธีอะไรอีก
บทที่ 6 สมรรถนะ (Performance)
187
6.4
ความเร็วสะตอล คือสภาวะที่ความเร็วเครื่องบินไมมากพอที่จะใหแรงยกทีท่ ําให เครื่องบินลอยอยูได คือเครื่องบิน ตกนั่นเอง เชนถาความเร็วสะตอล เทากับ 120 km/hr เมื่อเครื่องบินมีความเร็ว 119 km/hr เปนสภาวะทีเ่ ครื่องบิน รวงลงสู พื้นดิน เปนอันตรายอยางยิ่งสําหรับเครื่องบิน ในความเปนจริง เพือ่ ความ ปลอดภัย ความเร็วขั้นต่ําของเครื่องบิน จะตองสูงกวาความเร็วสะตอล ประมาณ 20% คือ 144 km/hr จะเห็นวาความเร็วสะตอลยิง่ ต่ํายิ่งปลอดภัย ทําใหการบิน ขึ้นบินลง ใชระยะทางสั้น บนทางวิ่ง ดังนั้นโจทยขอนี้จึงถามวา มีวิธี อะไรบางที่ ทําใหความเร็วสะตอลต่ําลง หรือชาลง
6.5
ในขณะที่เครื่องบินกําลังลง (Landing) และวิง่ อยูบนทางวิ่ง เครื่องบินตอง พยายามลดความเร็วลงใหได อยางรวดเร็ว หรือเรียกวาเบรก ถาเครื่องบินมี น้ําหนัก 1,000 kg บนพื้นคอนกรีต แหง จะกอใหเกิดแรงฉุดเนื่องจากการเบรก ดวยลูกลอยางที่สัมผัสกับพื้น ไดสงู สุด เทาไร
6.6
มีสาเหตุใดบาง ที่ชวยทําใหการบินลงทางวิ่ง ใชระยะทางสั้นลง
6.7
น้ําหนักเครื่องบิน มาก นอย มีผลตอระยะทางที่ใชในการบินลงหรือไม
6.8
สรุปโดยรวมแลว คุณสมบัติของเครื่องบิน ที่ชวยใหการวิ่งขึ้นไดระยะทางสั้นลง ประกอบไปดวย อะไรบาง
6.9
ปจจัยทีส่ งผล ตอระยะทางในการบินขึ้น มีอะไรบาง
6.10 นักเรียนจงอธิบายความหมายของคํา สองคํานี้ คือ “เบรกฮอสพาวเวอ(Brake horsepower เขียนยอๆวา bhp)” และ “ทรัสฮอสพาวเวอ (Thrust horsepower เขียนยอๆวา thp)”
188
บทที่ 6 สมรรถนะ (Performance)
6.11 จากรูป แบบฝกหัดที่ 5.1 ถาตองการบินดวยความเร็ว 100 นอต และ 110 นอต ตองใชกําลังขับ จากใบพัด กี่แรงมา (หรือ เรียกวา กําลังมา ก็ได) 6.12 จากขอ 6.11 นักเรียนจงหาวา เมื่อเพิ่มความเร็วเครื่องบิน จาก 100 นอต ขึ้น เปน 110 นอต คือเพิ่มความเร็วขึ้น 10% ตองเพิ่มกําลังขับของใบพัด กี่ เปอรเซ็นต
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2 (Aerodynamic Testing 2) ใครที่ไมเคยทําการทดลองกับอุโมงคลม ทางดานอากาศพลศาสตรมากอน จะดู เปนเรื่อง ลึกลับในการทดลองกับอากาศที่เรามองไมเห็น เริ่มตั้งแตติดตั้งแบบจําลองเขา กับ อุปกรณที่ใช วัดแรง หรือ เครื่องวัดแรง ที่เรียกวา “บาลานซ (Balance)” ใน อุโมงคลมขนาดใหญเมื่อเริ่มเดินเครื่องใหกระแสอากาศไหลผานแบบจําลอง สิ่งที่เรา ตองการรูไดแกคา แรงยก แรงตาน โมเมนต ที่บอกโดยเครื่องวัดแรง รายละเอียดใน การใชงานอุโมงคลมยังมีอีกมาก ในการที่จะดําเนินการเพื่อหาคําตอบที่เราตองการ การ ทดลองเฉพาะเรื่องหรือตองการรูคาบางอยางในบางกรณี ตองมีความเขาใจธรรมชาติ ของอุโมงคลมและหลักการทาง อากาศพลศาสตรผลที่ไดจากการทดลองจึงจะถูกตอง เที่ยงตรงโดยสรุปแลวการทดลองในอุโมงคลม ก็เพื่อ - หาคาของแรง และโมเมนต (Force measurement) - หาคาความดันอากาศ (Pressure measurement) - ศึกษารูปแบบของการไหล (Flow pattern study) - และอาจมีการวัดคา อื่นอีก ในกรณีเฉพาะ
7.1 หาคาของแรงและโมเมนต (Force tests) เหตุผลดั้งเดิมกับการใชอุโมงคลมในการทดลอง ก็เพื่อหาคาแรงยก แรงตาน ของแพนอากาศแบบตางๆ ไมวาจะเปน เวนแฮม ฟลลิปส หรือ พีน่ องไรท ตางก็ใช อุโมงคลมเพือ่ หาแรงที่วานี้ การทดลองเพื่อวัดคาของแรงตอง ใชเครื่องวัดแรง ที่นิยม เรียกทับศัพทวา “บาลานซ " ที่จะบอกคาของแรงออกมาเปน ปอนด หรือ นิวตัน อุโมงคลมขนาดเล็กของ แอโรแลบ ใชกลไกอยางงายๆบอกคาของแรงออกมา ทางเข็มชี้บนหนาปด (นี่คอื บาลานซ แบบหนึ่ง) บาลานซ ตัวนี้บอกคา แรงยกและแรง ตาน แตในเรื่องของสมรรถนะ เราตองการรูคาของโมเมนต รอบแกนทั้งสามดวย (พิช โรล และยอ) ดังนั้น ตัวบาลานซ ทีส่ มบูรณ จึงควรวัดคาเหลานั้นไดทั้งหมด หกคา คือ
190
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
แรงตามทิศทางแกนทั้งสาม (เปนแรงที่พยายามเลื่อนหรือผลักวัตถุ ไปในทิศทาง แนวแกน x หนา-หลัง , y ซาย-ขวา , z บน-ลาง) และโมเมนตหมุนรอบแกนทั้งสาม รวมทั้งหมด 6 คาเรียกวา“เครื่องวัดแรงหกแกนหรือหกองคประกอบ (Six-component balance)”
รูปที่ 7.1 เครื่องวัดแรง หกแกนแบบ ปรามิดใชหา ขนาดของ แรง และโมเมนตที่เกิดกับ แบบจําลองในอุโมงคลม
ในรูปที่ 7.1 เปน บาลานซ แบบหกแกน สําหรับไวใชกับอุโมงคลม เพื่อวัดแรงแต ละแกนดวยการใช เสตนเกจ (Strain gauges) การใชเสตนเกจ เปนวิธีการอยางหนึ่งใน การวัดแรง เปนที่นิยมกันมาก ใชหลักการที่วา เมือ่ โลหะถูกแรงกระทํา จะตองมีการยืด ตัว มากนอยตามขนาดของแรง เราสังเกตไมเห็น (ลองนึกถึงยางยืด วัสดุอื่นก็เปน เชนนัน้ แตเปนนอยกวาสังเกตไมเห็น) เสตนเกจเปนแผนบางๆ จะแปรคาความตานทาน ทางไฟฟา (Resistance ) ถามีการยืดแมเพียงเล็กนอย แปะติดกับชิ้นโลหะที่ตองรับ แรงที่ตองการจะวัด เมื่อโลหะยืดออกดวยแรงที่มากระทํา แมเพียงเล็กนอย ยอมสงผล ใหตัวเสตนเกจ ยืดตามดวย ความตานทานทางไฟฟา เปลี่ยนไป ดวยเครื่องวัดทาง ไฟฟามีความไวสูง เมื่อความตานทานเปลี่ยน สงผลใหคาทางไฟฟาอื่นเปลี่ยนดวย ซึ่ง
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
191
อาจจะเปนคา โวลต(Volt) และถาใชเครื่องขยายสัญญาณ ทางไฟฟาเขาชวย ยิ่งเห็น ชัดเจนมากขึน้ จึงทําใหเรา สามารถปรับเทียบไดวา คาทางไฟฟาที่เปลี่ยนไปเทานี้ เปน แรงเทาไร ดังนั้นดวยวิธีนี้จึงมีความไว และเทีย่ งตรงพอ ในการหาคาของแรงแมเพียง เล็กนอย ซึ่งในปจจุบันวิธกี ารนี้ไดพัฒนาไปมาก เปนที่ยอมรับวา เที่ยงตรง เชื่อถือได แม แรงนอยๆ ในชวงเวลาสัน้ ๆ ก็ยังวัดได เครื่องวัดที่ปรับตั้งมาอยางสําเร็จรูป บนหนาปด อาจจะบอกเปนคาทางไฟฟา ตองมาเปลี่ยนเปนคาของแรงอีกที แตบางแบบใหความ สะดวก บอกมาเปนคาของแรง เชน ปอนด หรือ นิวตัน สวนคาของโมเมนต บอกเปน ฟุต-ปอนด หรือ นิ้ว-ปอนด การใชเครื่องวัดแรง หรือ บาลานซ นี้ ผูใชควรอยางยิ่งที่ตองทําความเขาใจกับ ตัวบาลานซกอน เพราะอาจตองมีการปรับแก เพื่อความถูกตองมากยิ่งขึ้น อยูที่คําแนะ นําของบริษทั ผูผลิตเครื่องบาลานซ นั้น ตัวอยางขั้นตอนของการวัดแรงในอุโมงคลมเมื่อ ใชบาลานซ เริ่มดวย จัดการติดตั้งแพนอากาศที่ตองการหาคุณสมบัติไวกับ บาลานซ เมื่อเรียบรอยดีแลว เดินเครื่อง ปรับความเร็วลมตามที่ตองการ ปรับมุมปะทะของแพน อากาศ ไปยังคาที่ตองการเมื่อไดคาแรงยก L (หนวยเปนนิวตัน N )ที่บอกโดยใชบาลานซ ก็นํามาแทนคาในสูตร ดังนี้ สัมประสิทธิ์แรงยก
cl
หรือ
CL
L qS
คา ความดันไดนามิก หาไดจาก q 1 V
2
2
ความเร็วของอากาศ V ดูไดจากเครื่องวัดความเร็วลม ในหนวย m s ความหนาแนนของอากาศ คํานวณไดจาก
P kg m 3 R T
คือ ความดันบรรยากาศ อานจาก บารอมิเตอร หนวยเปน Pa หรือ N m T คือ อุณหภูมข ิ องอากาศขณะนั้น หนวยเปน เคลวิน K R คือ คาคงที่ของอากาศเทากับ 287 J kg K หรือ 1716 ft lbf slug R ในหนวยอังกฤษและ S คือ พื้นที่ฉายของ แพนอากาศจําลอง ทีน ่ าํ ไปติดตั้งอยูนั้น หนวยเปน m การทดลอง กับ แพนอากาศ ทําไดทั้งแบบ 2-มิติ และแบบ 3-มิติ อยูที่การติดตั้ง 2
P
2
192
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
ถาปลายปกอิสระ
เปนการหาขอมูลทั้งปก มีการเกิดวอเทกปลายปกได ก็เปน การวัดคาแบบ 3-มิติ แสดงดวยตัวอักษรใหญ เชน C , C L
D
ปลายปกทั้งสองดานชนกับผนัง
ทําใหไมมีการเกิดวอเทกปลายปก การไหล ของอากาศเปนแบบ2-มิติ ผลที่ไดจากการวัด เปนแบบ2-มิติ เพื่อหาคุณสมบัติ ของแพนอากาศ แสดงดวยตัวอักษรเล็ก เชน c , c l
d
7.2 ทอปโตสะแตติก (Pitot-static Tube) เปนอุปกรณใชวัดความเร็วของอากาศ เหมาะสําหรับเครื่องบิน และการทดลอง ทางอากาศพลศาสตรในอุโมงคลมมีลักษณะดังในรูปที่ 7.3 เปนทอสองชัน้ ทอตรงกลาง หรือที่อยูดานใน หันเขาหาทิศทางความเร็วของอากาศเปนการวัดความดันรวม (Total pressure) แตเราเรียกทอที่วัดความดันรวมนี้วา“ทอปโต ( ปโตทูบ Pitot-tube)” แทนที่ จะเรียกวา “ทอความดันรวม” ก็เพือ่ เปนเกียรติแกนักวิทยาศาสตร ที่ชอื่ ปโต ชาว ฝรั่งเศส เปนคนแรกที่ไดนําเอาทอมีลักษณะเปนรูปตัว L วัดคาความดันรวม ของน้ําใน แมน้ําโดยหันรูทอเขาหาทิศทางการไหลของน้ํา เพื่อตองการหาความเร็วของกระแสน้าํ ในรูปที่ 7.2 ใชทอรูปตัว L จุมลงในน้าํ ที่กําลังไหลดวยความเร็วคาหนึ่ง สงผลให ระดับน้ําในหลอดรูปตัว L สูงขึ้นเทากับ H ในรูปคือ หลอด A ซึ่งมีความสัมพันธ กับ ความเร็วของการแสน้ําดังนี้ V 2 gH
คือ ความเร็วของกระแสน้าํ g คือ อัตราเรงเนื่องจากแรงโนมถวง H คือ ความสูงของระดับน้ําในหลอด วัดจากผิวน้ําขึน้ มา จากสมการ ขางบนจะเห็นวา ถาความสูงของระดับน้ําในหลอดเปนศูนย แสดง วาความเร็วของกระแสน้าํ ก็เปนศูนย หรือ บอกไดวาถา ความเร็วของกระแสน้ํายิ่งมาก ระดับน้ําในหลอดก็ยิ่งสูงขึ้นตาม ความเร็ว
เมื่อ
V
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
193
สวนอีกหลอดหนึ่งในรูปที่ 7.2 คือหลอด B เปนหลอดตรง แมความเร็วของ กระแสน้ําจะสูงขึ้นเทาไรก็ไมสงผลในระดับน้ําในหลอดสูงขึน้
รูปที่ 7.2 ทอรูปตัว L ที่ ปโต ชาวฝรัง่ เศส นํามาใชวัดความเร็วของกระแสน้ํา ในแมนา้ํ
194
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
รูปที่ 7.3 ทอ ปโต-สะแตติก (Pitot-static tube) ใชรวมกับมาโนมิเตอรแบบ ยูทูป เพื่อวัดความเร็ว ของอากาศ
ดวยวิธีการนี้ไดถูกนํามาประยุกตใชกับการวัดความเร็วของอากาศ โดยมากจะ สรางรวมมากับ ทอที่ใชวัด ความดันสะแตติก(เปนการเรียกทับศัพทหรือในภาษาไทย เรียก “ความดันสถิต”) เมื่อดูในรูปที่ 7.3 คือสวนที่เปนเปลือกดานนอกและเจาะรูเพื่อวัด ความดันสะแตติก ของอากาศ เนื่องจากตําแหนงของรูที่วัดความดันนี้ ไมไดไปรบกวน ความเร็วของอากาศดังนั้นความดันที่วัดไดจึงเปน ความดันสะแตติก ของอากาศ ที่
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
195
กําลังไหลอยู ตางจากทอรูใน ซึ่งทําใหอากาศที่กําลังไหลอยูหยุดนิ่ง ความดันในอากาศ จึงสูงขึน้ เทากับความดันรวม (ความดันรวมที่เกิดจากลม มาปะทะเชนนี้ บางคนเรียกวา “อิมแพค เพรชเชอร Impact pressure” หมายถึงความดันที่เกิดจากแรงกระแทกของ ลม) ความดันทั้งสองนี้ถกู ตอไปยัง หลอดมาโนมิเตอรแบบ ยูทูบ (U-tube manometer) เพื่อวัดความแตกตางของความดันทั้งสอง แสดงออกมาในรูปของ ความตางระดับของ ของเหลวในหลอด คือ H ถา ความเร็วของอากาศ เปนศูนย คา H ก็เปนศูนย แตถา ความเร็วอากาศมากขึ้น คา H ก็มากตามในกรณีที่ ปรากฏการณการไหลของอากาศ มี ลักษณะเปน Inviscid Incompressible with no Bodyforce หมายถึง ไรความหนืด ไร การอัดตัว (ความหนาแนนคงที่) การเปลี่ยนพลังงานศักยมีนอยมาก (เมื่อเทียบกับ พลังงานอื่น มักใชกับอากาศ เพราะมี ความหนาแนนนอย) 1 P airV2 Pt คาคงที่ 2 ( P P ) V 2 t
จากสมการ ของ เบอรนลู ิ จัดรูปสมการใหม ได
air
สมการ สถิตศาสตรของไหล ในหลอดมาโนมิเตอร P P gH t
แทนลงในสมการขางบน ได
fluid
V 2
( fluid gH )
air
จากสมการ เรารูคา fluid (ความหนาแนนของเหลวในหลอดมาโนมิเตอร) air (ความหนาแนนของอากาศ)
และ g สวนที่เหลือก็คอื คา H ดูจากหลอดมาโนมิเตอร ก็สามารถหาคา ความเร็วของอากาศ V ได เหมาะสําหรับใชหาคาความเร็วสูงๆ (เชน เครื่องบิน ฯ) ถาความเร็วต่ําๆ ความแตกตางของระดับของเหลว H มีนอยมากไมสามารถนํามา คํานวณไดจึงไมเหมาะ สมมุติวา เราใช ปโต-สะแตติก ทูบ วัดความเร็วของกระแสอากาศ โดยใช น้ํา เปน ของเหลวในหลอดมาโนมิเตอรแบบ ยูทูบ ปรากฏวาความตางระดับของน้ําใน หลอด H 24mm ดังนั้นคาความเร็วของอากาศที่กําลังวัด หาไดดังนี้
196
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
ความหนาแนนของน้ํา 1,000 kg m 1.19 kg m (ที่ระดับน้ําทะเล) ความหนาแนนอากาศ อัตราเรงเนื่องจากแรงโนมถวง g 9.81m s 3
water
3
air
2
คา H ตองอยูในหนวย เมตร ดังนั้น ความเร็วของกระแสอากาศ
H
V 2 V 2
24 0.024 m 1000
( fluid gH )
air (1,000 9.81 0.024) 19.89 m s 1.19
เปลี่ยนหนวย มาเปน กม./ชม. คูณดวย 3.6 (ดูจากตารางทายเลม) V 19.89 3.6 71.6 km hr
7.3 หาคาความดัน (Pressure Test) การวัดคาของแรงดังที่กลาวมากอนหนานี้ เปนผลลัพธของความดันที่กระจายอยู ทั่วไปบนผิวของแพนอากาศจําลอง ทีเ่ รานํามาหาคาแรงเนือ่ งจากมีกระแสอากาศ ไหล ผานบางครั้งเราตองการรูคาความดันที่กระทําบนผิวของวัตถุ จะดวยปรากฏการณของ การแยกตัว การไหลวกกลับ(Wake) หรือในบริเวณของชั้นชิดผิวที่มีความหนาสูงขึ้นมา จากผิว การวัดความดัน อาจตองใช ทอขนาดจิ๋วใส เขาไปในแบบ จําลองตรงตําแหนงที่ ตองการวัดความดัน ดูในรูปที่ 7.4 และตอสายยางเล็กๆ มายังอุปกรณวัดความดัน แตไหนแตไรมา อุปกรณวัดความดัน ที่นิยมใชมากที่สุด คือ มาโนมิเตอร (Manometer) เชนเดียวกับที่ไดกลาวไปแลว แตมีหลอดแกว หลายหลอด (Multipletube manometer) บรรจุของ เหลวที่รูคาความหนาแนน สมมุติวาเปนน้ํา ดูในรูปที่ 7.5 และรูปที่ 7.6 เพื่อใหสามารถวัดไดหลายจุด ในเวลาเดียวกัน ตามที่ตองการ โดยการตอ สายยางจากจุดที่ตองการวัดความดัน มายังหลอดมาโนมิเตอรแตละหลอด ระดับของ น้ําในหลอด จะเปนการบอกคาความดันที่เปรียบเทียบ กับจุดที่รูคาความดัน จุดที่ความ ดันสูงกวาระดับน้ําก็จะต่าํ กวา จุดที่ความดันยิ่งนอยระดับน้ํายิ่งสูง ยกตัวอยางการ ทดลองเพื่อหาความดัน แตละจุดบนแพนอากาศ หรือ การกระจายความดันบนแพน อากาศ แพนอากาศที่นํามาใชทดลองตองมีขนาดพอเหมาะกับอุโมงคลมที่ใช
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
197
รูปที่ 7.4 ปกจําลอง เจาะรูตามตําแหนงทีต่ องการรูคาความดัน เมื่อเขาอุโมงคลม
รูปที่ 7.5 การตอสายยาง จากจุดที่ตองการวัดความดัน บนแพนอากาศมายังหลอดมาโนมิเตอร (Multiple-tube manometer) เพื่อหาคาความดันแตละจุด โดยดูจากระดับของเหลวในหลอด นํามาคํานวณ
198
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
รูปที่ 7.6 ใชมาโนมิเตอรสําหรับวัดคา ความดันบนผิวปก ตรงตําแหนงที่เจาะรูไว ขณะเดินเครื่องมี กระแสอากาศไหลจากซายไปขวา สงผลตอความดันบนผิวปกแตละจุดดูจากหลอด แตละหลอด
ดูรูปที่ 7.4-7.5 บนผิวตามตําแหนงทีต่ องการรูคาความดัน ทําการเจาะรูขนาดจิ๋ว จํานวนรูมากนอยตามความเหมาะสม ใสทอทองแดง และตอเขากับสายยาง มายัง หลอดมาโนมิเตอร ทําหมายเลขกํากับเพื่อไดรูตําแหนงของรู เชน 0 , 1 , 2 ... และตอเขา กับจุดที่วัด ความดันรวม และความดันสะแตติก เพื่อนําไปใชหาคาของความเร็วอากาศ V ในขณะนั้น เมื่อเริ่มเดินเครื่อง อากาศที่มีความเร็ว ผลของความดัน แสดงดวยระดับ น้ําในหลอด จากรูปที่ 7.5 หลอด A เปนความดันสะแตติก ต่ํากวาความดันบรรยากาศ หลอด B เปนความดันบรรยากาศ หลอด C เปนความดันรวมในบริเวณทดสอบ สวน หลอด D เปนความดันสะแตติก ดานหลังใบพัด ความดันที่จุด A , B , C และ D เปน เชนนี้ เฉพาะกับอุโมงคลมลักษณะดังในรูปที่ 7.5 เทานัน้ อุโมงคลมที่มีลกั ษณะตางไป จากนี้ความดันสะแตติก ความดันรวม ที่สัมพันธกับความดันบรรยากาศ อาจเปลี่ยนไป สวนสาเหตุทคี่ วามดัน จุดไหน เทากับจุดไหนเพราะเหตุไร จะไมกลาวในที่นี้ การทดลอง
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
199
หาความดัน มุงไปที่ความดันแตละจุดบนผิวของแพนอากาศรูปที่ 7.6 ผลของระดับน้ํา ในหลอด จะถูกจดเปนขอมูลเพื่อนําไปใช หาคาแรงยก แรงตาน และรูปแสดงการ กระจาย ความดันบนผิวของแพนอากาศไดดวย และเปลี่ยนคามุมปะทะไปตามที่ ตองการ นั่นคือ ขอมูลทีจ่ ําเปนตองรู เพื่อศึกษาหรือนําไปใชประกอบการพิจารณา ใน บทที่ผานมาแสดงใหเราเห็นวา เมื่อ มีขอมูลของการกระจายแรงดัน บนผิวของแพน อากาศ ชวยทําใหเราเขาใจ ปรากฏการณ ทางอากาศพลศาสตรที่เกิดขึน้ นําไปสูการ แกปญหาหรือพัฒนาตอไปได
7.4 รูปแบบของการไหล (Flow Patterns) เพราะวาเรามองไมเห็นอากาศ วาเคลื่อนที่ไปทางไหนมีเสนทางอยางไร ไดแต สังเกตเห็น วัตถุที่สั่นไหวงาย ถูกกระแสอากาศมากระทบ มีการสั่นไหว เคลื่อนที่ หรือ เห็นสิ่งที่ปลิวไปกับอากาศ แตเพื่อความเขาใจในหลายสถานการณ เราตองการเห็น อากาศวามีการเคลื่อนทีอ่ ยางไร เพื่อบอกอะไรหลายอยางแกเรา ดังนั้นจึงตองหาวิธีทที่ ํา ใหเรารูหรือ เห็นวาอากาศเคลื่อนที่อยางไร การนําเอาเสนดาย หรือเชือกเสนเล็กๆ จํานวนมากแปะ อยางเปนระเบียบ บน ผิวของวัตถุ ที่เราอยากรูวา อากาศไหลอยางไร บนพื้นผิวนั้น การแปะตองทําอยาง ประณีต และแนนดวยเทปบางๆ คือทําใหเรียบทีส่ ุด เทาที่จะทําได แนวของเสนเชือกจะ บอกทิศทางการไหลของอากาศบนพื้นผิวบริเวณนั้น โดยดูจากแนวของเสนเชือกที่ตอ งชี้ ไปในทิศทางการไหลของอากาศ ในกรณีนี้ทําใหเรารูวาบริเวณไหน เกิดการไหลแยกตัว (Separation) หรือการไหลวกกลับ (Wake) ก็คือ บริเวณที่เสนเชือกหันไปอยาง สะเปะสะปะ ไมเปนระเบียบ ดังในรูปที่ 7.7 วิธีที่ใชกันมานาน ชวยทําให มองเห็นการไหลของกระแสอากาศ (Flow visualization) ดวยการใชควัน ซึง่ ตองมีแหลงกําเนิดควัน (Smoke generator) สวนมากใชการเผาน้ํามันใหกลายเปนควัน และพนไปกับกระแสอากาศ ใหเปนเสน การ เคลื่อนที่ของควันที่เรามองเห็นก็คือ การเคลื่อนทีข่ องอากาศ ถายรูปเก็บไวไปพิจารณา ตอได การใชควันทําใหเห็นการเคลื่อนที่ของอากาศ ในสามมิติได ไมเหมือนอยางการ
200
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
ติดเสนเชือก บนพื้นผิวซึง่ เห็นทิศทางเฉพาะบนพืน้ ผิวเทานั้น เชน การเกิดวอเทกปลาย ปก อยางในรูปที่ 7.8 จึงเปนทีน่ ยิ มใชเพื่อสาธิต หรือศึกษาปรากฏการณการไหลที่ ตองการเห็นรูปแบบการไหลของอากาศ
รูปที่ 7.7 แพนอากาศใชทดลองในอุโมงคลม ติดดวยเชือกเสนเล็กๆ เพือ่ ดูรูปแบบการไหลของ อากาศบนพืน้ ผิว
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
201
รูปที่ 7.8 ควันชวยทําใหเห็นลักษณะหรือรูปแบบการไหลของอากาศ ที่ปลายปก เปนวอเทก (Vortex)
อุปกรณที่ใชควันกับแบบจําลอง เรียกวา “อุโมงคควัน (Smoke tunnel)” มี ขอเสียตรงทีว่ า ไมเหมาะที่ใชในหอง หรือที่อากาศปด เพราะควันที่เกิดขึน้ มานั้นรบกวน คนที่อยูในหอง จึงเหมาะที่จะใชภายนอกอาคาร หรือตอทอ พนควันออกไปนอกอาคาร วิธีการใชควันเพื่อดูรูปแบบการไหล มีการนําไปใชกับ แบบจําลองที่อยูในอุโมงค ลมปกติ และมีการใชแสงบางอยางชวยทําใหการเห็นชัดเจนขึน้ สามารถดูการไหลในชัน้ ชิดผิวได จาก ลามินาร มาเปน เทอรบูเลนท นอกจากนี้ยงั มีวิธีอื่นๆอีก เชน การทา แบบจําลองดวยของเหลวเรืองแสงทีม่ ีความหนืดคลายน้ํามัน เมื่ออากาศไหลผาน ลักษณะของ ของเหลวทีเ่ คลือบอยูดังกลาว สามารถบอกไดวา บริเวณนั้นมีทิศทางการ ไหลเปนอยางไร ตรงไหนมีการไหลแยกตัว
202
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
7.5 อุโมงคลมความเร็วสูง (High-speed Wind Tunnels) เมื่อเครื่องบินถูกพัฒนาใหมีความเร็วสูงขึ้น และสูงขึ้น ในชวงป ค.ศ.1930 อุโมงคลมไดถูกพัฒนาเพือ่ ใหสามารถรองรับ กับความเร็วของเครื่องบินที่เพิม่ ขึ้น อุโมงค ลมความเร็วสูงขนาดเล็กไดถูกสรางขึ้น ที่ แลงเลย กอนป ค.ศ.1930 ตอมาในป ค.ศ. 1936 อุโมงคลม ที่มีบริเวณทดสอบ เสนผาศูนยกลาง 8 ฟุต ไดถูกสรางขึ้น ทําความเร็ว ไดถึง 575 ไมล/ชม. ตอมาในป ค.ศ. 1945 อุโมงคลมความเร็วสูง ไดถูกพัฒนาขึ้นมา จนกระทั่งทําความเร็วไดถึง เลขมัค 1 หรือประมาณ 760 ไมล/ชม. อุโมงคลมความเร็ว สูงที่มีสมรรถนะสูงสุดในยุคนี้ คือ อุโมงคลมขนาดเสนผาศูนยกลาง 16 ฟุต อยูที่ สถาบันวิจัยทางดานอากาศยาน นาซาเอมส (NASA Ames) สรางขึ้นมาพอดีกอน สงครามโลกครั้งที่สอง ใชมอเตอรไฟฟาขนาด 27,000 แรงมา ทําความเร็วไดเกือบเทา ความเร็วเสียง ใชทดสอบกับแบบจําลองของเครือ่ งบินรบในยุคนั้น เชน P-40s, P-51s ซึ่งถือไดวาเปนอุโมงคลมที่มีขนาดใหญและ ทําความเร็วไดสูงที่สุดในยุคนั้น รูปที่ 7.9
รูปที่ 7.9 อุโมงคลมความเร็วสูงที่ NASA Ames ขนาดเสนผาศูนยกลางบริเวณทดสอบ 16 ฟุต สรางเสร็จกอนถึงสงคราม เพิลฮาเบอร ในป ค.ศ. 1941
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
203
รูปที่ 7.10 อุโมงคลม ทรานโซนิก (Transonic) ขนาดใหญ ในระหวางการกอสราง ที่ แลงเลย เมือ่ ป ค.ศ.1980
อุโมงคลมความเร็วเหนือเสียง (Supersonic wind tunnels) อุโมงคลมความเร็วเหนือเสียงที่ใชงานไดจริง ถูกสรางขึ้นมาเมื่อประมาณ ป ค.ศ. 1935 โดย อะดอฟ บุชแมน (Adolf Busemann) ในประเทศ เยอรมัน ถือวาเปน นักวิทยาศาสตรคนแรก ที่ไดทําการพิจารณา การลูของปกเครือ่ งบิน อุโมงคลมของเขา ถือวาเปนแบบอยางของอุโมงคลมความเร็วเหนือเสียงที่ใชงานไดจริง อุโมงคลมความ เร็วเหนือเสียง สวนใหญไดถูกพัฒนาขึ้นมาจากตนแบบนี้ สวนอุโมงคลมความเร็วเหนือเสียง ที่ประเทศอเมริกา ไดถูกแผนแบบโดยนัก วิทยาศาสตรทางอากาศพลศาสตร ที่มีชื่อเสียง คือ ทีโอดอ ฟอน คารมัน (Theodore Von Karman) ที่ คาลเทค (Cal Tech) ในป ค.ศ.1944 เปนอุโมงคลม เปาลง แบบ A (Blow down type A) มีถังเก็บอากาศความดันสูงขนาดใหญ กอนใชตองสูบอากาศเขา ไปเก็บไวในถัง ที่ความดันสูง เมื่อตองการใช ก็ปลอย อากาศอัดในถังใหไหลผาน ทอเรง ความเร็ว เรียกทับศัพทวา “นอซเซิล (Nozzle)” เมื่ออากาศไหลมาถึงบริเวณทดลอง ความเร็วของอากาศสูงอยูในยานความเร็วเหนือเสียง การปรับความเร็วอากาศใน บริเวณทดลอง นั้นใชวิธปี รับพื้นที่ หรือขนาดของ คอคอด(Throat ควรเรียกทับศัพทวา
204
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
“โทรท”) ในนอซเซิล ใหใหญขึ้นหรือเล็กลง เพราะความเร็วของอากาศบริเวณใช ทดลอง ขึ้นอยูกับ คาอัตราสวน ระหวาง พื้นที่หนาตัดบริเวณทดลอง กับ พื้นที่หนาตัดตรง โทรท ถายิ่งมีคามาก ความเร็วของอากาศก็ยิ่งมาก การทดลองกับ อุโมงคลมความเร็วเหนือเสียง ทําไดในระยะเวลาสั้นๆเทานั้น อากาศในถังเก็บเมื่อปลอย ออกมา ไมกี่วินาทีหรือนาที ความดันในถังก็ลดลงต่ํา ไมสามารถใชได จึงตองมีการ บันทึกภาพ หรือเก็บขอมูลในชวงเวลาสั้นๆ และตองรอสูบลมเขาถังใหม ใหไดแรงดันที่ อยูในระดับใชงานได จึงเริ่มทําการทดลองไดใหมอีก เมื่อ ป ค.ศ.1950 อุโมงคลมความเร็วเหนือเสียง ที่ใชงานไดอยางตอเนื่อง (ไม เหมือนกับทีเ่ พิ่งกลาวไป คือ ใชทดลองไดในชวงเวลาสั้นๆ) ไดมีการพัฒนาขึ้นมา เครื่อง ที่ใหญที่สุดอยูที่ ศูนยการพัฒนาวิศวกรรมอารโนลด (Arnold Engineering Development Center) ใน เทนเนสซี่ มีพื้นที่หนาตัดตรงบริเวณทดลอง 16 ตารางฟุต อุโมงคลมความเร็วเหนือเสียงตัวเล็ก ก็ไดมีการสรางขึ้นมาในชวงนี้เชนกัน เพือ่ ใช ทดลองในยานความเร็วไฮเปอรโซนิก คือสูงกวา มัค 5
รูปที่ 7.11 สวนประกอบ และโครงสรางของอุโมงคลม ทรานโซนิก ขนาดใหญ
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
205
เปนการยากที่จะทําใหเกิด สภาวะการไหลของอากาศ ที่ความเร็วเสียงพอดี (M=1) มักจะขึ้นลงไมเสถียร ทางองคการ NASA ที่ทําการวิจัยและศึกษาเรื่องการไหล ในยาน ทรานโซนิก ที่แลงเลย ไดพัฒนาปรับปรุงอุโมงคลมดังกลาว ไดสําเร็จ ในป ค.ศ. 1983 มีขนาดหนาตัดตรงบริเวณทดสอบ เสน ผาศูนยกลาง 16 ฟุต ใหคาตัวเลขเรย โนลด เทากับ 120 พันลาน ที่คา เลขมัค 1 (Sonic velocity) ในขณะทดลอง เพื่อรักษา ความเสถียรของเลขมัค (ไมใหขึ้นๆลงๆ) ตองทําใหอุณหภูมิต่ํามาก อยูที่ 250 F (ประมาณ 157 C ) จึงจําเปนตองใชไนโตรเจนเหลว เปนตัวชวยปรับอุณหภูมิใหได ตามที่ตองการ ลักษณะอุโมงคลม ดูในรูปที่ 7.10 สวนโครงสรางและองคประกอบดูใน รูปที่ 7.11
การดูคลื่นช็อค (Shock wave visualization) สิ่งสําคัญอยางหนึ่ง ทางอากาศพลศาสตร ในยานความเร็วเหนือเสียงคือ คลื่น ช็อค ซึ่งสงผลตอเครื่องบินในยานความเร็วเหนือเสียงเปนอยางมาก การสังเกตลักษณะ หรือความเปนไปของคลืน่ ช็อค ดูไดในอุโมงคลมความเร็วเหนือเสียง แตคลื่นช็อคที่ เกิดขึ้นในอุโมงคลมขณะทําการทดลอง มองไมเห็น จึงตองหาวิธีที่ชวยใหมองเห็น โดย อาศัยหลักการหักเหของแสง ผานอากาศที่กําลังไหลในยานความเร็วเหนือเสียงและมี คลื่นช็อคปรากฏอยู ดวยวาความหนาแนนของอากาศมีความตางกัน ทําใหการหักเห ของแสงทีส่ องผานไมเทากัน วิธีที่วานีค้ ือ วิธีการ ชเลียเรน(Schlieren method) ในระบบการแสดงภาพของ ชเลียเรน (Schlieren system) ตองใชลําแสงที่มี ความเขมสูง ฉายผานคลืน่ ช็อคในอุโมงคลมบริเวณทดสอบแบบจําลอง ทีท่ ําใหเกิดคลืน่ ช็อคที่ตองการสังเกต ตัวคลื่นช็อค หักเหทิศทางของแสง ที่ผานเขามา(ตางจากอากาศที่ ไหลตามปกติ) ลําแสงทีห่ ักเหนี้ พุงผานไปบนปลายแหลมของวัตถุ ซึ่งปรับไวใหพอดีเปน การกั้นบางสวนของลําแสงที่ถูกหักเหโดยคลื่นช็อคไว สวนลําแสงทีเ่ หลือจากการถูกกั้น ทั้งหมด พุงไปยังฉากที่รอรับลําแสงอยู (ยกเวนแสงบางสวนที่สองผานคลื่นช็อคและถูก กั้นไวแลว) จึงปรากฏเปนเงาตรงที่เปนคลื่นช็อค นอกนั้นสวนที่เปนอากาศก็ยังคงเปน สวนสวางอยูต ามปกติ ดูในรูปที่ 7.12 เปนวิธีการของ ชเลียเรน และรูปที่ 7.13 ก็เปนผล
206
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
จากวิธีนี้ สวนภาพดานบนของรูปที่ 7.12 เปนปรากฏการณของเครื่องบินที่บินในยาน ต่ํากวาความเร็วเสียง เทากับความเร็วเสียง และสูงกวาความเร็วเสียง ทําใหเกิดคลื่น ช็อค ขึ้นดานหนา
รูปที่ 7.12 ใชวิธีของ ชเลียเรน เพื่อดูคลื่นช็อคที่ไปปรากฏเปนเงามืด บนจอรับภาพ
รูปที่ 7.13 ดวยวิธี ชเลียเรน จากอุโมงคลม ซูเปอรโซนิกแสดงใหเห็น คลื่นช็อคเฉียง
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
207
7.6 ปญหาที่เกิดขึ้นกับการทดสอบในอุโมงคลม (Wind tunnel testing problem) ในยุคแรกๆของการใชอุโมงคลม มักจะกังวลกับเรื่อง ความถูกตองเหมือนจริง ของกระแสอากาศ ที่ไหลในอุโมงคลมมากนอยเพียงใด ซึ่งสงผลตอความถูกตอง ของ ขอมูลที่ไดจากการทดลอง ถามีความคลาดเคลือ่ นสูง ยอมไมดีแน เรื่องของอุโมงคลม ก็ เชนเดียวกับเครื่องมือทดลองอื่น ที่ตอ งมีปญหาวาขอมูลที่ไดมาจะเชื่อถือไดมากนอยแค ไหน ซึง่ เราตองการใหขอมูลถูกตอง เหมือนกับการบินใชงานจริงในอากาศ ผลกระทบจากผนัง (Wall effects) ผนังของอุโมงคลมเปนตัวกั้น กําหนดทิศทางการไหลของอากาศในอุโมงคลม การบินจริงในอากาศ ไมมีผนัง ลองนึกภาพ เมื่อเราติดตั้งแบบจําลองในสวนของการ ทดสอบ พืน้ ที่ภาคตัดขวางที่ใหอากาศไหลตรงนัน้ ยอมเล็กลง เพราะถูกกินเนื้อที่โดย หนาตัดของแบบจําลอง จากทีเ่ ราทราบมาของสมการความตอเนื่อง (Continuity equation) ยอมสงผลตอความเร็วของการไหลของอากาศในบริเวณนั้น ในการบินจริง อากาศที่ไหลผานเครื่องบิน ไมมีการถูกกํากับดวยผนัง สามารถเคลื่อนออกดานขางของ เครื่องบินไดอยางอิสระ การเคลื่อนทีข่ องอากาศแนวขึ้นหรือลง ไมเปนไปอยางการบินจริงในอากาศ เพราะมีผนังทั้งสองดาน รวมทั้งเพดานและพืน้ ของบริเวณทดสอบ สิ่งเหลานี้ทําให ขอมูลที่ไดมาผิดจากความเปนจริง คลายๆกับเครือ่ งบินที่บินใกลพื้นและไดรับผลกระทบ จาการบินต่ําใกลพื้น(Ground effect) แรงยก แรงตานที่วัดได ยอมไมถูกตองสมบูรณ เหมือนอยางการบินในอากาศอิสระ หนทางที่ใชกําจัด ปญหาดังกลาว คือการทําใหบริเวณทดสอบ เปด(ไมมีผนังทั้ง สี่ดาน) ซึ่งเปนการชวยลดปญหาในเรื่องของผนังได (แตก็เกิดปญหาอื่นตามมา) หรือ ทําแบบจําลองใหมีขนาดเล็กมากเมือ่ เทียบกับขนาดของ บริเวณทดสอบ เหมือนกับผนัง อยูไกลจาก แบบจําลองมาก เปรียบไดกับการบินในอากาศอิสระ แตเมือ่ แบบจําลองเล็ก ลงคาแรงที่วดั ไดก็นอยตาม จึงใหความละเอียดถูกตองนอยลง ปญหาของการใช
208
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
แบบจําลองขนาดเล็ก เรียกวา “เสกลเอฟเฟค (Scale effect)” ทําใหคาตัวเลขเรยโนลด นอยมากตางจาก ขนาดจริงของเครื่องบิน ความคลาดเคลื่อนของขอมูลที่ไดออกมามีสูง ขอมูลที่ไดจากการทดลองกับแบบจําลองในอุโมงคลม เมื่อนํามาแปลงเปนขอมูลที่ใชกับ ขนาดจริง ตองอยูภายใตสภาวะของคาตัวเลขเรยโนลดเดียวกัน ตางกันเฉพาะขนาด เทานั้น ผลกระทบจากการยอขนาดของแบบจําลอง (Scale effect) คาของ ตัวเลขเรยโนลด ขึ้นอยูกบั ความหนาแนนของอากาศ ความเร็วของ อากาศ ขนาดของแบบจําลองหรือความยาวคอรด และความหนืดของอากาศ Re
air V C 0.0023 V C 6,120 V C 0.3758 106
โดยใชคาความหนาแนน และความหนืดของอากาศมาตรฐาน ที่ระดับน้ําทะเล ยกตัวอยางเชน ปกเครื่องบินมีความยาวคอรด 5 ฟุต ที่ความเร็ว 100 ไมล/ชม. (146.7 ฟุต/วินาที) มีคาตัวเลขเรยโนลด เทากับ 6,120 146.7 5 4,489,020 หรือ ประมาณ 4.4 ลาน ในชั้นชิดผิว เริ่มตนที่ชายหนาของปก เปนการไหลแบบลามินาร แลวจึง เปลี่ยนไปเปน เทอรบูเลนท บริเวณที่ ตําแหนงบนปกใหคาตัวเลขเรยโนลด เทากับ 300,000 คืออยูที่ประมาณ 4 นิ้ว จากชายหนา หลังจาก 4 นิว้ ไปทางชายหลัง การไหล ในชั้นชิดผิวไดเปลี่ยนไปเปน เทอรบูเลนท ตลอดจนถึงชายหลัง นี้คือปรากฏการณที่เกิด ขึ้นกับปกขนาดจริง ตอนนี้ลองมาดู ปกจําลองยอขนาด ในอุโมงคลม สมมุติวามี ความยาวคอรด เทากับ 4 นิว้ เมื่อทําการทดลอง ปรากฏวา การไหลในชั้นชิดผิว ของแบบจําลองเปนลา มินารตลอด ตั้งแตชายหนา ถึง ชายหลัง ของปก เพราะมีความยาวคอรดสั้น ยังไมทัน เกิดการเปลีย่ นแปลงในชั้นชิดผิว จาก ลามินาร ไปเปน เทอรบูเลนท ปรากฏการณแรง ตานที่เกิดกับแบบจําลอง ยอมใหคา สัมประสิทธิ์แรงตานที่ได นอยกวา การเกิดกับปก
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
209
ขนาดจริง (เมื่อนํามาคํานวณหาแรงตานที่เกิดกับขนาดจริง ก็ไดนอยกวาที่เกิดขึ้นจริง) นี่คือตัวอยางของปกจําลองยอขนาด ที่สงผลใหคา ที่ไดคลาดเคลื่อนไป การทําใหขนาดของแบบจําลองใหญขึ้นมาอีก อาจชวยอะไรไมไดมาก ยกเวน สรางแบบจํา ลองขนาดเทาของจริง และนําไปทดสอบ แตถา ใชวิธีเพิ่มความเร็ว ของ อากาศในอุโมงคลม เพื่อใหไดคาตัวเลขเรยโนลดสูง จนเทากับตัวเลขเรยโนลดของขนาด จริง ก็ตองเจอกับปญหาของ ความเร็วเขาใกลความเร็วเสียงมีผลตอแบบจําลอง คาที่ได ยอมไมถูกตอง อีกวิธีในการเพิ่มตัวเลขเรยโนลด ดวยการเพิ่มความหนาแนนของอากาศ เชน อุโมงคลมแบบปรับความดัน ของNACA แตก็ยุงยากและใชเงินมาก บางคนอาจใช วิธี เรงการเกิดเทอรบูเลนทในชั้นชิดผิว บนปกจําลอง ใหเร็วขึ้นดวยการทําใหพื้นของ แบบจําลองมีความหยาบ จะไดปรากฏการณ ที่มีความใกลเคียง หรือเหมือนกับ ปรากฏการณ ที่เกิดขึ้นกับขนาดจริงที่ มีการไหลแบบเทอรบูเลนทในชัน้ ชิดผิว การสราง สถานการณใหเหมือนกับขนาดจริง ตองมีความระมัดระวัง และบันทึกไวในการทดลอง อยาลืมวา คําตอบที่ไดคือการคาดคะเนอยางมีเหตุผล ซึ่งคงเปนไปไมได ที่ ปรากฏการณตางๆที่เกิดขึ้นกับแบบจําลอง จะเหมือนกับที่เกิดขึ้นกับขนาดจริง
7.7 การทดสอบดวยการบินจริง (Flight Testing) การทดสอบ ดวยการบินจริง ถือเปนบทสรุปของคําตอบ กับทุกคําถามหรือขอ สงสัย ซึ่งเปนขั้นสุดทายของการทดลอง เมือ่ เครื่องบินตนแบบถูกสรางขึ้นดวยมือ เรียบรอยแลว (ยังไมถึงขั้นของการผลิตเปนจํานวนมาก ออกจําหนาย) เพื่อนํามา ทดสอบดวยการบินจริง ในเรื่องของการบินขั้นพื้นฐาน ไดแก การระบายความรอน เครื่องยนต แรงสั่นสะเทือน ความผิดปกติในการควบคุม การแจงเตือนความบกพรอง เพื่อใหการทดสอบในอันดับตอไป มีความปลอดภัย ถาเครื่องบินตนแบบยังไมผา น ขั้นตอนนี้ ตองสงกลับไปยังวิศวกรผูสรางทําการแกไข เมื่อผานขั้นนี้ไดจึงไปสูการ ทดสอบ ในขัน้ ตอไป ขั้นตอไป เปนการหาสมรรถนะของเครื่องบิน ตามลําดับ ตองมีเครื่องวัดและ อุปกรณประกอบชวย เพือ่ ความถูกตอง เชน ความเร็วสูงสุด ความเร็วเดินทาง ระยะทาง
210
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
ที่บินได อัตราไต ระยะทางบินขึ้น ระยะทางบินลง สมรรถนะเหลานี้เปนตัวบอก ถึง คุณภาพของเครื่องบิน ทีก่ ําลังทดสอบวาเปนไปตามเกณฑ หรือไม และเปนการบอกวา สิ่งที่ผแู ผนแบบไดคาดคะเนไว มีความถูกตองมากเพียงไร ขั้นสุดทาย เปนการทดสอบทั้งหมด เหมือนเปนการใชงานจริง เสถียรภาพ การ บังคับควบคุม ลงลึกไปในรายละเอียดของทุกรายการ มากกวาในขั้นตอนแรก ตรวจวัด ขนาดของเสถียร ภาพที่สามารถวัดออกมาเปนขอมูลได ซึ่งในตอนกอนหนานี้ไดทดสอบ ในระดับพื้นฐานไปแลว จึงเปนการชวยทําให นักบินทีท่ าํ การทดสอบวางใจไดกับตัว เครื่องบินที่ตนเองกําลังบินอยู และเมื่อถึงขั้นนี้ จึงเปนการวัดเพื่อหาคาที่ละเอียดและ ถูกตองกวา ดังนั้นนักบินตองบิน ในบางทาทางใหไดตามที่ ผูท ดสอบตองการรูหรือวัด คา ในแตละกรณี
รูปที่ 7.14 ใชทอ หรือ โพรบ (Probe) ติดไวในตําแหนงที่ตองการวัดความดัน ดานหลังของปลายปก
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
211
การทดลอง กับแบบจําลองในอุโมงคลม เราวัดคา แรงยก แรงตาน โมเมนต ได โดยตรงจาก บาลานซ และนําไปคํานวณออกมาเปนสมรรถนะ ของแบบจําลองนั้น แต การทดสอบดวยการบินจริง ไมสามารถรูคา แรงยก แรงตาน และโมเมนต ไดโดยตรง เหมือนกับทีท่ ําในอุโมงคลม (ไมสามารถไปอานจากบาลานซ อยางเชนในอุโมงคลมได) จึงตองทํายอนกลับ โดยที่รูคาของสมรรถนะดานตางๆจากการบินจริง ไปคํานวณ กลับมาเปน แรงยก แรงตาน และโมเมนต ดวยวิธีที่กลาวไปแลวนี้ บางครั้งตองทําทา ทางการบินหลายๆแบบ เพื่อใหไดตัวเลขไปคํานวณยอนกลับไปหาแรงตาน
รูปที่ 7.15 ติดเสนเชือกไวบนผิว ของสวนที่ตองการดู รูปแบบของการไหล ของอากาศ
212
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
การวัดความดันในการบินจริง โดยการติดอุปกรณวัดความดัน ลงบนพื้นผิวของ เครื่องบินสวนที่ ตองการวัดคาความดันเพื่อพิจารณาการไหลแยกตัว บริเวณผิวของปก หรือใชทอ เรียกทับศัพทวา “โพรบ (Probe)” ยื่นไปตรงตําแหนงที่ตองการวัดความดัน การวัดความดันในอากาศ ก็เพื่อตองการรู ขนาดและทิศทางของความเร็วบริเวณนั้น เพราะวาคาของความดันนําไป คํานวณเปนคาของความเร็วได รูปที่ 7.14 เปนการวัด ความดันเพื่อดู วอเทกปลายปก ของเครื่องบิน เซสนา 0-1 ถูกนํามาใชทดสอบเพื่อ การศึกษา หรือหาคําตอบ กับปรากฏการณบางอยาง ซึ่งเปนหนทางเดียวที่จะรูไดก็ดวย การทดลองกับการบินจริง ในสถานการณจริงขณะนั้น นอกจากการทดลองในอุโมงคลม การดูรูปแบบของการไหล ในการทดสอบดวยการบินจริง ทําเชนเดียวกับที่ใชใน อุโมงคลม คือติดเชือกดูรูปที่ 7.15 เรียงกันเปนแถวๆ ดวยแถบเทปทีต่ ิดแนนและเรียบ หรือสวนอื่นขณะทดลองในสภาวะที่ เพื่อดูทิศทางการไหลของอากาศบนผิวของปก ตองการศึกษา ตองมีการถายรูปไวและนํามาวิเคราะหในภายหลัง
รูปที่ 7.16 เครื่องบิน ไปเปอรแอรโรทู ติดตั้งทอ ปโต-สะแตติก ที่ปลายปก
การดูลักษณะการไหลจากเสนเชือกชวยทําใหรูวา สวนไหนของเครื่องบินแผน แบบมาไมดีเทาที่ควร โดยสังเกตบริเวณที่มีการไหลแยกตัว(ดูจากทิศทางของกลุมเสน
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
213
เชือก) เชนในสวนทีเ่ ปนรอยตอของแตละสวนเขาดวยกัน และการฟลเลตทําไดไมดีพอ การติด แฟริ่งที่ลูกลอหรือ คานเสริม การทดสอบ ในลักษณะเชนนี้ บางครั้งก็ไมไดทํา เฉพาะกับเครื่องบินตนแบบ แตทํากับเครื่องบินทีผ่ ลิตมาและขายไปแลวบางสวน มีใช อยูตามปกติแตถูกตําหนิในบางเรื่อง หรือเพื่อพัฒนาเครื่องบินรุนนั้นใหดียิ่งขึ้น เพื่อการ ผลิตออกมาขายในรุนตอไป การทดสอบดวยการบินจริงจึงเปนเรื่องปกติ เพื่อหาคําตอบ ที่ดีที่สุดในการผลิตเครื่องบินรุนตอไปใหดียิ่งขึ้น การใชเสนเชือก ในการศึกษาเรื่องรูปแบบของการสะตอล ที่เกิดขึ้นบนปก ดังใน รูปที่ 7.15 เสนเชือกเปนตัวชี้ถึงทิศทางการไหลแตละตําแหนงขณะเปดใช แฟลบ จะเห็น วาทิศทางการไหลของอากาศ สะเปะสะปะมีการโบกสะบัดของเสนเชือก แสดงวาเกิด การแยกตัวของอากาศ (Separation) ที่ไหล ผานบริเวณนั้นในสวนที่มีการแยกตัวนั้นคือ อากาศไหล วกวน หรือ ที่เรียกวา เวก (Wake) ซึง่ มีขนาดกินพื้นที่กวาง เปนเหตุของแรง ตานที่มากขึ้น แตแรงตานในขณะใชแฟลบ เปนที่ตองการเพื่อชวยชะลอความเร็วของ เครื่องบิน ทําใหระยะทางบินลงสั้น
รูปที่ 7.17 ติดตั้งทอ ปโต-สะแตติก เพื่อวัดความเร็วของอากาศ ในขณะเขาใกลความเร็วสะตอล
214
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
เครื่องมือที่ถูกสรางขึ้นมาเปนพิเศษ ถูกนํามาใชทดสอบในกรณีที่ เครื่องมือที่ใช อยูตามปกติมีขอจํากัดในการวัด หรือการใช สิ่งแรกที่ตองการวัด ใหมีความถูกตอง เชื่อถือไดในการทดสอบกับการบินจริง คือ ความเร็วของอากาศ นั่นคือตองใชเครื่องมือ พิเศษชวย เปนคานกลมยื่นออกไป ตรงปลายติดตั้ง ทอปโต-สะแตติก (Boom-mounted Pitot-static probe) ดังในรูปที่ 7.16 เปนการติดตั้งอุปกรณดังกลาว (อยางชั่วคราว) กับ เครื่องบิน ไปเปอรแอรโร ตัวคานกลม ยื่นออกไปมากพอ ใหพนจากการรบกวนของปก เพื่อใหแนใจวาไดวัดความเร็วของกระแสอากาศอิสระ อยางแทจริง สวนตัวทอปโตสะแตติก นั้น ถูกติดตั้งใหมีการหมุนตัวได เพื่อเปนการปรับใหหันเขาหาทิศทางของ กระแสอากาศอิสระ ดวยครีบเล็กๆสองอันที่ติดอยู เปนเหมือนหางเสือทีช่ วยปรับทิศทาง ของ ทอปโต-สะแตติก ไดอยางถูกตองแมนยํา สายยางวัดความดันจากทอปโต-สะแต ติก เพื่อนําไปเปลี่ยนเปนความเร็วของอากาศ ตอไปยังหองนักบินเพื่อ อานคาความเร็ว จากเครื่องวัดที่มีความเที่ยงตรงสูง ในรูปที่ 7.17 ในขณะขึ้นบินทําการทดลองในอากาศ ตัวคานกลมยื่น ในแนว เดียวกับแกนลําตัวของเครื่องบิน แตทอปโต-สะแตติก ชี้ทิศทางของกระแสอากาศอิสระ จะเห็นวาชี้ในแนวลง แสดงวาเมื่อเครื่องบินชาลง เขาใกลความเร็วสะตอล ทิศทางของ กระแสอากาศอิสระอยูในแนวขึ้น เหมือนเครื่องบินเปดมุมปะทะสูง อยาลืมวา ทอปโตสะแตติก ตามปกติ นั้นติดนิ่งอยูกับเครื่องบิน ในแนวแกนลําตัวเครื่องบิน ไมสามารถหัน เขาหาทิศทางลมได อยางเชน อันที่ติดอยูกับปลายคานกลมนี้ การวัดความเร็วของ อากาศ โดยใชเครื่องมือพิเศษนี้มีความคลาดเคลือ่ น นอยกวาเครื่องวัดที่ใชอยูตามปกติ โดยทั่วไป แตคงไมมีเครื่องมือใดในโลกนี้ที่ไมคลาดเคลื่อนเลย มีแตเปนมากนอยตางกัน แตเครื่องมือที่ใชอยูตามปกตินั้น มีความเที่ยงตรงเพียงพอ กับการใชงานในสภาวะปกติ การวัดความเร็ว เพื่อทําการเปรียบเทียบสมรรถนะ เมื่อมีการลดแรงตานบางสวนของ เครื่องบินลง ถาวัดคลาดเคลื่อนไปเพียงไมกี่ นอต ยอมสงผลตอคาของสมรรถนะให คลาดเคลื่อนไปไมนอย
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
215
แบบฝกหัดบทที่ 7 7.1
รูปดานลางนี้ คืออะไร ใชทําอะไร
7.2
ปกจําลอง ความยาวคอรด เทากับ 0.5 ฟุต และกางปกเทากับ 4 ฟุต นําไปติดตั้ง เพื่อทดสอบในอุโมงคลม ที่ระดับน้ําทะเล ดวยความเร็วลม เทากับ 80 ฟุต/วินาที วัดไดคาแรงยก เทากับ 7.6 ปอนด จงหาคา สัมประสิทธิแ์ รงยก
7.3
จงหาคา ตัวเลข เรยโนลด ในขอ 7. 2
7.4
การทดสอบในอุโมงคลม ขั้นพื้นฐานสามแบบ มีอะไรบาง และวิธีการวัดในแตละ แบบเปนอยางไร จงอธิบาย
7.5
เราสามารถ ทําใหเห็นคลื่นช็อคที่เกิดขึ้นในอุโมงคลมความเร็วเหนือเสียงได หรือไม อธิบาย
216
บทที่ 7 การทดสอบทางอากาศพลศาสตร 2
7.6
สมมุติวาเราแผนแบบ ชุดแฟริ่งคลุมลูกลอเครื่องบิน เพื่อเปนการลดแรงตานลง กับเครื่องบินประกอบเองที่บาน จะมีการทดสอบดวยการบินจริงอยางไร เพื่อหา ประสิทธิภาพในการลดแรงตานลง
7.7
ถาตองการวัดความเร็วของเรือ ทําไดอยางไร อธิบาย
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม เครื่องบินในยุคแรกๆ เครื่องบินไดถูกสรางขึ้นมาใหสามารถใชงานไดอยางที่ ตองการเทาที่เครื่องมือ ความรู และปจจัยตางๆจะเอื้ออํานวยใหทําได อยางเชน มีความ ปลอดภัย เดินทางไดไกล ไปไดเร็วขึ้น ฯ ซึ่งแนนอน ไมวาจะเปนเครื่องบิน หรืออุปกรณ ตางๆที่มนุษยสรางขึ้น จะตองมีการปรับปรุงใหดีขึ้น อยางที่มนุษยตองการ ในทุกดาน เทาที่ความสามารถจะไปถึง ในบทนีจ้ ะเปนการกลาวถึง การปรับปรุงในบางสวนของ เครื่องบิน เพือ่ ใหมีคุณสมบัติดีขึ้น พอเปนแนวทาง
8.1 การกําจัดแรงตาน (Drag Cleanup) กระบวนการ กําจัดแรงตาน เปนวิธีการลดแรงตาน ดวยการปรับปรุงรูปรางทุก สวนของเครือ่ งบินที่สัมผัสกับอากาศที่ไหลอยูภายนอก โดยการพิจารณาลักษณะการ ไหลของอากาศผานชิ้น สวนนั้นๆ ในรายละเอียด การครอบ(Fairing) หรือทําการ ฟล เล็ต (Fillet ลบมุม) บริเวณที่เปนจุดเชื่อมตอของชิ้นสวนตางๆเขาดวยกัน เชน คานค้ํายัน บริเวณที่ปกเชื่อมตอกับลําตัว ชุดแพนหาง ตัวอยางในรูปที่ 8.1A เปนฐานลอของ เครื่องบิน เซสนา แสดงใหเห็นวามีการปรับปรุง ดวย แฟริ่ง และลดขนาดของบันไดลง เทียบกับกอนหนานี้ที่ยงั ไมมีการปรับปรุง รูปที่ 8.1B ขาของฐานลอเปลี่ยนรูปรางทั้งอัน สวนลอของเครื่องบิน ไปเปอร แวริเออร (Piper Warrior) ในรูปที่ 8.2 ครอบดวย คราว (Cowl) มีรูปรางอยางที่เห็นในรูป ซึ่งไดปรับปรุงมากจากแบบเดิม ในเครื่องบิน มูนนี (Mooney) รุนหลังจากป ค.ศ.1970 การออกแบบ คราว ที่ใชหุมเครื่องยนต ไดมี การปรับปรุงเพื่อชวยลดแรงตาน ดูในรูปที่ 8.3 เปนการเปรียบเทียบใหเห็น ถึงความ แตกตาง ของรุนกอนปรับปรุงและหลังปรับปรุง เครื่องบิน มูนนี ที่ไดมีการแนะนําออกสู สาธารณะชน ในรุนป ค.ศ.1955 เปนรุนที่แสดงใหเห็นถึงความพยายามในเวลานั้น ที่ ตองการจะลดแรงตานทางอากาศพลศาสตร เพื่อการประหยัดน้ํามันเชื้อเพลิง สําหรับใช ในเชิงธุรกิจ ซึ่งถือไดวาเปนการมองการณไกลไปขางหนาถึง 20 ปในตอนนั้น
218
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
รูปที่ 8.1 การปรับปรุงเพื่อลดแรงตาน สวนฐานลอ ของเครื่องบินเซสนา ในรายละเอียด รูป A เมือ่ ผานการปรับปรุงแลว และ B กอนการปรับปรุง
การปรับปรุง เพื่อลดแรงตาน อาจชวยใหเพิ่มความเร็วไดไมกี่นอต หรือ ประหยัด น้ํามันไดไมถึง หนึ่งไมล ตอ แกลอน แตที่นาสนใจคือ ผลที่ไดกับเครื่อง มูนนี 201 ที่ไดมี การพัฒนารูปทรงมาจากรุนกอนหนา ทําใหความเร็วสูงขึ้นถึง 20 นอต เมือ่ เทียบกับรุน มารค 21 แสดงถึงความสําเร็จในการแผนแบบ บริษัทจํานวนมากหันมาพัฒนาในเรื่อง ของการลดแรงตาน กับเครื่องบินรุนกอนๆ การปรับปรุงตองใชเงินมาก แตผลที่ไดเปน การชวยเสริมสมรรถนะในหลายดาน แมจุดมุงหมายเพื่อเปนการลดแรงตานแตเพียง อยางเดียว
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
219
รูปที่ 8.2 สวนครอบลูกลอเครื่องบิน ที่ไดปรับปรุง ใหชว ยลดแรงตาน ของเครื่องบิน ไปเปอร แวริเออร
รูปที่ 8.3 การปรับปรุงสวนหุมเครื่องยนต ของ เครื่อง มูนนี 201 ลําทีอ่ ยูใกล เทียบกับของ มูนนี รุน มารค 21 ที่ยังเปนแบบเดิม ดูความเพรียวของสวนหุม เครื่องยนต
220
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
ตัวครอบ(Strips) ที่ใชหุม กานตอเพื่อหมุน แผนควบคุม (ขึ้น-ลง) เชน ไอเลรอน (Aileron) อิลิเวเตอร(Elevator) หรือ รัดเดอร(Rudder) ฯ เปนการอุดชองวาง ชวยทําให อากาศไหลผานอยางราบรื่น สะดวก ไมติดสะดุด เปนการปรับปรุงที่งาย และไมแพง ใน รูปที่ 8.4 เปนรูปที่แสดงใหเห็น กอน และหลังการปรับปรุง กานโยกดังกลาว เปนของ เครื่องบิน ไปเปอร แอรโร ทู คือชุดโยกแผนแฟลบ ที่ถูกหุมอยางเรียบรอย จากการลอง บิน ชวยทําใหความเร็วสูงขึ้นอีก 3-4 นอต อยางไรก็ตามเมื่อ รวมๆกันเขากับสวนอื่นทีม่ ี การปรับปรุง ก็ตองชวยใหมีสมรรถนะสูงขึ้นไดมาก คุมกับการปรับปรุง เมื่อ ป ค.ศ.1970 ความตื่นตัวในเรื่องนี้ ไดทําให องคการ NASA บริษัทผูผ ลิตเครื่องบิน สถาบันการศึกษา มหาวิทยาลัยตางๆ ไดใหความสนใจ และหยิบยกขึ้นมาเปนงานวิจัย เพื่อหาหนทาง ใน การพัฒนาและปรับปรุง อากาศยานให มีประสิทธิภาพสูงขึ้น กวาที่เปน หลายอยางที่ ทําเปนการนําเอาความรู หรือขอมูลเดิม มาปรับปรุงใหมใหใชไดดีขึ้น ดังจะกลาวตอไป
รูปที่ 8.4 การปรับปรุงดวยการ หุมกานโยก แผนแฟลบ ของเครื่องบิน ไปเปอร แอรโร รูปขวาเปนการปรับปรุงเรียบรอยแลว ชวยลดแรงตานไดในสวนหนึ่ง
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
221
8.2 คานาด (Canards) คานาด เปนคําเฉพาะทีใ่ ชเรียก แพนระดับซึ่งสวนใหญที่เราเห็น จะติดตัง้ ไวที่ สวนหางของเครื่องบิน เรียกวาแพนหางระดับ เมือ่ ยายมาไวขางหนาของปก จะเรียกวา “คานาด” การออกแบบเครื่องบินโดยติดตั้ง แพนระดับไวดานหนาของปก มักจะเห็นใน รูปที่แสดงเครื่องบินในอนาคต หรือในจินตนาการวาเครื่องบินในวันขางหนาจะเปน อยางไร แนวความคิดนี้ไมใชเรื่องใหม สองพี่นองไรท ไดใชคานาด กับเครื่องบินของเขา ที่ประสบความสําเร็จ ในการบินเปนครั้งแรก ดวยเหตุผลสําคัญ เพื่อปองกันการสะตอล
รูปที่ 8.5 เครื่องบินใช คานาด แทนแพนหางระดับ ออกแบบและสรางโดย เบิรท รูทัน (Burt Rutan)
ผูนําในการออกแบบเครื่องบิน โดยนํา คานาด มาใช ควบคุมโมเมนต กม-เงย แทนทีจ่ ะใชแพนหางระดับ คือ เบิรท รูทัน (Burt Rutan) ในรูปที่ 8.5 เปนเครื่องบินทีเ่ ขา ไดออกแบบ และสรางขึ้นมา จะเห็นแผน คานาด อยูดานหนา จากการทดลองบินพบวา สมรรถนะของเครื่องบินลํานี้นาทึ่ง เมื่อเทียบกับกําลังขับที่นอย สวนหนึง่ มาจาก
222
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
โครงสราง ทีม่ ีน้ําหนักเบา พื้นที่ฉายดานหนาต่ํา พื้นผิวทีเ่ รียบเปนมัน และการนําเอา คา นาด มาใช แทนแพนหางระดับ คุณสมบัติเดนของคานาด อยูที่การ แกโมเมนตกมเนื่องจากปก ดวยแรงยก แทนทีจ่ ะเปนแรงกด อยางเชนแพนหางระดับ ดูรูปที่ 8.6 ตามปกติ เฉพาะปกนอกจาก จะใหแรงยกแลวยังมีโมเมนตกมดวย ดังนั้นเพื่อความสมดุลจึงตองใชแพนระดับชวย สรางความสมดุลนี้ ถาเอามาติดไวดานหลังของปก คืออยูที่หางของเครื่องบินการแก โมเมนตกม ตองสรางแรงกดบนแพนหางระดับ เหมือนกับการกดหาง เพือ่ ใหหัวเงยขึน้ ซึ่งเปนการไปบั่นทอนแรงยกที่เราตองการเนื่องจากปก แตถา เราเอาแพนระดับมาติดไว ดานหนาของปก ที่เรียกวา คานาด การแกโมเมนตกม ตองสรางแรงยกบน คานาด ชวย ทําใหหัวเครื่องบินเงยขึ้น เปนการเสริมแรงยกอีกสวนหนึ่ง นอกจากแรงยกที่ไดจากปก ผลที่ไดตามมาคือ การลดแรงตาน และคาแรงยก ตอ แรงตาน โดยรวมสูงสุด L D มีคามากขึ้น แผนคานาดเอง ยังปลอดจาก ดาววอช (กระแสอากาศไหลลงเนื่องจากผล ของปลายปก) และมีประสิทธิภาพสูงกวา เมื่อเครื่องบินเปดมุมปะทะสูง ที่กลาวไปแลวนั้นเปนสวนดีของ คานาด ที่เราตองการ อยางไรก็ตามขอดอยของ คานาด ก็มอี ยูหลายอยาง เนื่องจากการวางตําแหนงของ คานาด เมื่อ แผนคานาด มี แรงยกสูงขึ้น หัวเครื่องบินเงยขึน้ ทําใหมุมปะทะเปดสูงขึ้น เปนการไมมีเสถียรภาพ ดังนั้นการรักษาเสถียรภาพตองทําดวยปก (แทนที่จะเปนแพนหางระดับอยางเครื่องบิน ปกติ) นั่นคือ ตําแหนงของปกตองอยูไปทางดานหลังของ จุดCG เพื่อชวยปรับใหหัว เครื่องบินกมกลับมายังตําแหนงเดิม เปนการรักษาเสถียรภาพ ดวยการวางตําแหนงของ ปกเชนนี้ ปกจึงไมเกิดการสะตอล กอนคานาด นอกเสียจากวา เงยขึน้ จนการเปดมุม ปะทะสูงมากๆ เกิดการสะตอลทั้งหมด หรือไมก็ เกิดการสะตอลกับคานาดกอน และ สงผลใหไมสามารถใช คานาด ในการควบคุมโมเมนต กม-เงย ได ผลก็คอื เครื่องบินกม ลง ทั้งสองกรณีเปนผลเสียทั้งคู ดังนัน้ จึงจําเปนอยางยิ่งที่ตองหลีกเลี่ยงเหตุการณเชนนี้ ดวยการปรับสมดุลของแรงยก ทั้งของ คานาด และของปก เพื่อใหสมดุลพอดีไมเกิด เหตุการณดังที่กลาว การกํากับการควบคุมจะชวยไมใหเกิดปญหาสะตอลขึ้น ในสภาวะ การบินอยางปกติ แตการปรับหรือ การควบคุมแรงยกดังกลาว ถือวาเปนการตัดทอน max
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
223
แรงยกสูงสุดที่จะไดจากปกออกไป แทนที่จะไดใชอยางเต็มที่ เพราะตองคํานึงถึงการ ควบคุมเครื่องบินใหอยูในสภาวะสมดุลกอน ผลที่ตามมาจากขอเสียอันนี้คือ การใช ระยะทางบินขึ้น และบินลงยาวกวาเดิม
รูปที่ 8.6 เปรียบเทียบ แรงที่เกิดขึ้น เพื่อควบคุมโมเมนตกม-เงย จากการใช คานาด กับ แพนหาง ระดับ สังเกตดู ตําแหนงของจุด CG และ แรงยกที่เกิดขึน้ ในขณะที่เครื่องบินพยายามเงย เพื่อเพิ่มมุมปะทะ
การเคลื่อนทีข่ องตําแหนงCG มีขอจํากัดสูง คือ เลื่อนไดไมมากอยางการใชแพน หางระดับ เพราะจะสงผลตอ เสถียรภาพในการควบคุม คอนขางมาก พื้นที่ของแผนคา นาด ที่จะใชใหเพียงพอตอการควบคุม จะตองถูกพิจารณาในการออกแบบ ถาใหญ เกินไปจะเปนการไปลดเสถียรภาพ จึงเปนการยุง ยากในการออกแบบ และถาเล็กไปก็ ดอยประสิทธิภาพในการควบคุม (ใหลองกลับไปดูในรูปที่ 3.1 B ของเลม 2 คือความไม
224
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
มีเสถียรภาพ ตองเลี้ยงหรือ ควบคุมลูกหินใหอยูตรงกลางตลอด ถาปรับมากไปหรือนอย ไปก็ไมได) ขนาดของแผนคานาดทีใ่ หญยังสงผลในเรื่องของ แรงตานเหนี่ยวนํา และ วอเทกปลายแผนคานาด ไปรบกวนปกเครื่องบิน ทําใหแรงยกลดลง จึงเปนความ สลับซับซอนในการแผนแบบเพื่อใหไดเครื่องบินที่ใชคานาดอยางมีเสถียรภาพ ประสิทธิ ภาพ และตัดปญหาตางๆไดทั้งหมด เมื่อนําเอาแพนระดับมาไวขางหนา ดังนั้นหางเครื่องบินจึงไมจําเปนตองยาว พื้นผิวของเครื่องบินลดลง จึงเปนการลดแรงตานเสียดทาน ก็ตองคํานึงถึงเสถียรภาพ เนื่องจากแพนหางดิ่ง เพราะแขนของโมเมนตยอ (Yaw) จะสัน้ ลง และแพนหางดิ่งตอง อยูดานหลังของจุดCG อยูแลว ดวยเหตุนี้ผูออกแบบเครื่องบินที่ใชคานาด เชนของ ลูทัน ในรูปที่ 8.6 จึงทําใหปก ลูไปขางหลังและติดแพนหางดิ่งที่ปลายปกทั้งสอง อยูเยื้องไป ทางดานหลังของจุดCG เปนการรักษาเสถียรภาพของทิศทางการบิน ซึ่งประสบ ความสําเร็จในสวนนี้ ถาปกลูมากไปก็มีผลเสีย ในเรื่องของความเร็วสะตอลที่ตองสูงขึ้น และไปบัน่ ทอนคา L D ทําใหลดลงอีกดวย (ปกติเราตองการใหมีคาสูง จึงจะดี) แตก็อยางวา เปนเรื่องปกติของสิ่งทั้งหลายในโลก ไมเฉพาะในเรื่องของอากาศ ยาน ทุกอยางมีขอดี ก็ตองมีขอเสียตามมาเสมอ คานาดก็เชนกันมีทั้งขอดีและขอเสีย แตเปนไปไดกับเครื่องบินที่มีการออกแบบอยางรอบคอบ การใชคานาดจึงเปนหนทาง หนึ่งในการสรางเครื่องบินที่มีสมรรถนะสูง แตคงเปนไปไมไดที่ปราศจากปญหา หรือดี ไปหมดทุกดาน ถาดีจริงและทําใหไดคาแรงยกเทียบตอแรงตานสูง เราคงจะไดเห็น เครื่องบินรุนใหม ที่สรางออกมา ปรับเปลี่ยนรูปรางในเวลาอันรวดเร็วแนนอนซึ่งคอนขาง ตางจากความเชื่อของวิศวกร ที่ไมไดยึดติดอยูกับกระแสความเชื่อ อีกสวนหนึ่งที่เปนขอดีของ คานาด เปนการเปลีย่ นตําแหนงของเครื่องยนตไปไว ดานหลัง หรือหางของเครื่องบิน การติดตั้งเครื่องยนตไวดานหนาตองใชใบพัดดึงเครื่อง ทําใหประสิทธิภาพลดลง เนื่องจากการปะทะของกระแสอากาศเขากับลําตัว และ บางสวนของเครื่องบิน การใชใบพัดผลักจะไมสงผลเสียดังกลาว และใหประสิทธิภาพสูง กวา ใบพัดผลักตองติดตั้งอยูดานหางเครื่องบินสําหรับเครื่องยนตเดียว และทําใหจุดCG เลื่อนไปทางดานหลัง เพราะวาปกควรติดตั้งอยูใกลจุดCG ดังนั้นจึงเปนการทําใหปกอยู max
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
225
หางจาก คานาดไปทางดานหลังมากขึ้น ดังนั้นเครื่องบินที่ใช คานาด จึงเหมาะกับ การ ติดตั้งเครื่องยนตไวดานหางของเครื่องบิน
8.3 ปกบิน (Flying wings) แนวความคิดอื่นแตไมไดเปนความคิดใหม มักจะเห็นบนโตะเขียนแบบคือปกบิน ตามปกติเครื่องบินโดยทัว่ ไป หองโดยสาร หองบรรทุกสินคา ถูกบรรจุอยูใน ลําตัว เครื่องบิน(Fuselage) ซึง่ ไมมีสวนในการใหแรงยก แตมีสวนทําใหเกิดแรงตาน จึงสมควร ที่จะตองตัดออก จากเครื่องบิน โดยคงไว เฉพาะสวนทีใ่ หผลดีตอ สมรรถนะของ เครื่องบิน โดยใหสิ่งที่เคยอยูในลําตัว มาอยูในสวนของปกแทน นาจะเปนแนวความคิด ที่ดีในการพัฒนาอากาศยาน ถาดูจากทฤษฎี นาจะทําไดจริง โดยใหน้ําหนักบรรทุก(Payload) ทัง้ หมด กระจายอยูในปก เมื่อลบกับแรงยกที่กระจายอยูบนปกเชนกัน เปนการบรรเทาภาระ กรรมของปก แทนที่แรงทั้งหมดจากลําตัวเครื่องบิน ตองถูกถายทอดไปยัง คานหลัก ที่ ตองรับภาระของแรงสูง อยาลืมวาแพนอากาศที่นํามาทําปก มีขนาดหรือรูปราง ที่เปนอัตราสวนแนนอน ขึ้นอยูกับความยาวคอรด ถาเราตองการใหภายในปกบรรจุ สิ่งตางๆได เชน ใหมีความ หนาสัก 6 ฟุต ใชแพนอากาศที่มีความหนา 15% ของความยาว คอรด ปกที่ไดจะมี ความยาวคอรดเทากับ 40 ฟุต นับวาเปนปกขนาดใหญมากทีเดียว ดังนั้นนาจะเหมาะ กับเครื่องบินขนาดใหญมากๆเทานั้น หรือการใชประโยชนของพื้นที่ในสวนของปก อาจจะเพียงเพื่อบรรจุสิ่งของบางอยาง ที่ไมจําเปนตองไวในลําตัวของเครื่องบิน ปญหาอื่นในการออกแบบ ปกบิน คือเรื่องของเสถียรภาพในแนวลําตัว ที่ทําให สมดุลหรือควบคุมไดดวย แพนหางระดับ เพือ่ แกโมเมนตกม ที่เปนผลมาจากแรงที่ เกิดขึ้นบนปก สามารถแกไดโดยการสรางปกบินใหสวนของชายหลัง ดัดงอขึ้น เพื่อชวย ใหเกิดแรงกดลง ตรงบริเวณชายหลัง ทําใหเกิดโมเมนตเงย ลบลางโมเมนตกมที่มีอยู เดิม ทําหนาที่เชนเดียวกับแพนหางระดับ ที่ชวยกดหางลงใหเกิดโมเมนตเงย หรือใหปก ลูไปขางหลัง และใกลๆปลายปกทําใหปกบิดคว่ําลง กลายเปนมุมปะทะติดลบเพื่อสราง
226
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
แรงกด ใหชายหนาหรือหัวเชิดขึ้นก็คอื ทําใหเกิดโมเมนตเงย มาแก เปนการสรางความ สมดุล โดยที่ตําแหนงของปลายปกลูหลังนั้น ตองหางจากจุด CG มากพอ ที่ทําใหมี ความยาวแขนของโมเมนตกม-เงย ถายาวไมพอ ยอมสงผลใหเสถียรภาพในแนวลําตัว ลดลง การควบคุมใหกม-เงย ทําไดอยางไมมีประสิทธิภาพเทาที่ควร ผลที่ตามมาคือ เรา ไมสามารถไดใช แรงยกสูงสุดจาก ปกบินได จึงตองใชระยะทางในการวิ่งขึ้นหรือบินลง ยาวกวา การวางตําแหนงของแพนหางดิ่งก็ยังเปนปญหา เชนเดียวกับเรือ่ งของเครื่องบิน ที่ใช คานาด ที่มีลําตัวสั้น โมเมนตที่ไดเพื่อเสถียรภาพ และการควบคุมลดลง จึงตอง เพิ่มขนาดของแพนหางดิ่ง ใหมากพอ โดยรวมแลวปกบิน เปนแนวความคิดหนึ่งที่เขาทา ในบรรดาแนวความคิดในการ ออกแบบเครื่องบินตอเมื่อพิจารณาลงไปใหลึกก็จะพบความจริงและปญหา ปกบิน จําลองทีส่ รางขึ้นมา ถือวาประสบความสําเร็จนี้เปนขอยืนยันถึงความสําเร็จในระดับ หนึ่ง ของความพยายามที่จะสรางปกบินขึ้นมาไวใช กับลําตัวขนาดเล็ก หรือหองนักบิน ขนาดเล็กอยูต รงกลางของปกบิน เครือ่ งบินขนาดเบา เครื่องรอน ที่ไมมีความจําเปนตอง ใชแรงยกสูงจากปก นาจะเหมาะกับการนําเอา ปกบินไปประยุกตใช ในขั้นตอไป ปกบิน ถาเรื่องของการควบคุมและ เปนรูปแบบที่นําไปใชไดจริงกับเครื่องบินขนาดใหญ เสถียรภาพ ผูออกแบบสามารถแกปญหาได เครื่องบินที่ใชปฏิบัติการในภารกิจพิเศษ นาจะเหมาะสําหรับการนําเอาแนวความคิดในเรื่องของปกบินไปใช ในการออกแบบ เครื่องบินทิ้งระเบิด บี-2 (B-2 Bomber) รูปที่ 8.7 เปนตัวอยางของเครื่องบิน ปฏิบัติการ ในภารกิจพิเศษ ที่ไดนําเอาหลักการนี้มาใช ผลคือพื้นที่ฉายไปบนระนาบดิ่งมีนอยมาก (ไมมีแพนหางดิ่ง) ทําใหสามารถหลบรอดการตรวจจับโดยเรดารของขาศึก ไดอยางมี ประสิทธิภาพ เครื่องบินทิ้งระเบิดบี-2 ยึดแนวความคิดในการออกแบบที่ตางจาก เครื่อง บินทิ้งระเบิดกอนหนานี้พนื้ ที่ขนาดใหญของเครื่องบินที่แผออกในแนวราบ เปนการยาก ที่ระบบเรดาร จะสามารถตรวจพบได เพราะพื้นผิวลักษณะนี้จะสะทอนสัญญาณ เรดาร ใหกระจายออกไปในทุกทิศทาง สัญญาณเรดารที่สะทอนกลับจึงออนมาก การตรวจจับ ทําไดลําบาก ความหนาของปกเปนผลมาจากความยาวของคอรด เพื่อชวยในเรื่อง โครงสราง และใชวัสดุทม่ี ีคุณสมบัติในการดูดกลืนสัญญาณเรดารอีกดวย
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
227
รูปที่ 8.7 เครื่องบิน ทิง้ ระเบิด B-2 ใชแนวความคิดในเรื่องของ ปกบิน นํามาสราง ชวยในการหลบ รอดการตรวจจับของเรดารไดดี
8.4 อุปกรณที่สงผลตอ แอสเปกเรโช (Effective Aspect Ratio Devices) ที่ผานมาเมือ่ พูดกันถึงเรื่องของการแผนแบบ โดยอาศัยหลักทางอากาศ พลศาสตร สิ่งที่เลี่ยงไมไดคือ คาแอสเปกเรโช ของปก ยิ่งมีคามากยิ่งเปนการลด ผลกระทบเนือ่ งจากวอเทก ที่ทําใหเกิด ดาวนวอช ทีเ่ ปนเหตุแหงแรงตานเหนี่ยวนํา โดยเฉพาะ ในกรณีที่บินชาหรือ บินในระดับความสูงมาก ระยะทางในการบิน อัตราไต
228
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
การบินขึ้น การบินลง สมรรถนะเหลานี้ เพิ่มขึน้ ไดดวยการเพิ่มคา แอสเปกเรโช จึงเปน สิ่งที่ตองการในการออกแบบเครื่องบิน เปนทีน่ าเสียดาย กับการเพิ่มคา แอสเปกเรโช กลับสงผลเสียในเรื่องนี้คือ เมื่อเรา เพิ่มระยะกางปกออกไปผลที่ตามมาคือโมเมนต(หรือแรง) ที่พยายามดัดปกขึ้น จะยิง่ มี มากขึ้นเนื่องจากความยาวของปก จึงตองเพิ่มความแข็งแรงของโครงสรางใหมากยิ่งขึ้น คือการเพิ่มน้ําหนัก น้ําหนักที่มากเปนการเพิ่มแรงตานเหนี่ยวนําใหมากตาม การเพิ่ม ความยาวของปกอาจกลับกลายเปนการเพิ่มแรงตานเหนี่ยวนํามากขึ้น แทนที่จะลดลง จึงไดมีการหาวิธีที่จะทําอยางไร ที่ทาํ ใหผลออกมาเหมือนกับการเพิ่มคา แอสเปกเรโช โดยไมตองไปเพิ่มความยาวของปกออกไปอีก จึงมีการใชคําพูดวา “อุปกรณที่สงผลตอแอสเปกเรโช” ตามหัวขอ ที่ขึ้นไวขางตน เพราะวาแรงตานเหนี่ยวนํา เปนผลมาจาก วอเทกจากปลายปก อะไรก็ตามที่ ชวยลดวอเทกนี้ไดก็ถือไดวา เปนอุปกรณที่สงผลตอแอสเปกเรโช ในยุคแตกอนไดใชวิธี ทําปกเรียว เปนเทเปอร หรือตรงปลายกลม(เมื่อมองทางดานบน) เพื่อลดการรับแรงจาก อากาศบริเวณปลายปก ซึ่งวิธีนี้ชวยไดเพียงเล็กนอยเทานั้น เพราะบริเวณปลายปกแทบ ไมมีแรงกระทําอยูแลว ผลจากรูปรางตรงปลายปก (Tip shape effects) ที่ปลายปกเครื่องบินในสมัยกอนมักนิยมทําใหกลม ตามหลักทางอากาศ พลศาสตร คือใหมีความมนโคง ราบเรียบ เปนมัน ใหมากที่สุด ในแตละสวน การพัฒนา ตอๆมาเริ่มมีความเขาใจ การไหลของอากาศผานปลายปก ปลายของปกเมื่อมองทาง ดานหนา ที่เปนสันคมสงผลใหเกิดการไหลแยกตัว เนื่องจากอากาศดานใตปกไหล ออม ขึ้นมา เชนเดียวกับปรากฏการณการไหลของอากาศที่ไหลผานชายหนาของปกที่มี ลักษณะคอนขางคม(แทนที่จะมน) จึงสงผลใหเกิดการสะตอลกอน ที่ควรจะเปน ที่นิยมใชกันอยางไดผลในการลด วอเทก เปนลักษณะปลายปกงุมลง (Drooped tip) ปลายปกงุมนี้มีขายตามรานขายของแตงเครื่องบินทั่วไปในอเมริกา และก็ยังมีให เห็นกับเครื่องบิน ที่ทํามาจากโรงงานเลย เชน เครื่องบินเซสนาหนึ่งเครื่องยนต ในรูปที่
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
229
8.8 ผลจากการที่มีปลายปกงุม ชวยทําใหอากาศจากดานลางของปกที่ไหลขึ้นมา ดานบนผานปลายปก ตองถูกบังคับใหขยับหางออก ไปจากตัวปก ในรูปที่ 8.9 การ สงผลของวอเทกจึงนอยลง เปรียบเสมือนวาคา แอสเปกเรโชเพิ่มขึ้น โดยไมตองเพิ่ม ความยาวปก
รูปที่ 8.8 ปลายปกงุม ของเครื่องบิน เซสนา
รูปที่ 8.9 การงุมลงของปลายปก (Drooped tip) ชวยเลื่อนตําแหนงของวอเทกใหหางออกไป เปน การชวยลดผลกระทบของวอเทกเปนการลดแรงตานเหนีย่ วนํา
230
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
การวิเคราะหผลของวอเทกปลายปก ดวยคอมพิวเตอรเริ่มเขามามีบทบาทมาก ขึ้น และชวยหาวิธีลดผลกระทบจากวอเทกปลายปก ดวยการทําใหปกหักขึ้นแทนที่จะ งุมลง อยางวิธีที่กลาวไปแลว เปนการเลื่อนวอเทกปลายปก ใหอยูในตําแหนงสูงกวาเดิม เปนการชวยลด ดาวนวอช ลงได แรงตานเหนี่ยวนําจึงไดลดลง ดังในรูปที่ 8.10 เปน ปลายปกของเครื่องบิน เซสนา 310 ที่ติดตั้งถังน้าํ มันไวดวย มีลักษณะหักขึ้น
รูปที่ 8.10 ปลายปกติดตั้งถังน้าํ มัน หักขึ้น (Upswept tip) ของเครื่องบิน เซสนา 310
ปลายปกแบบ โฮเนอร (Hoerner wingtip) ก็เปนอีกแบบหนึ่งของปลายปกที่ชวย ลดแรงตานเหนี่ยวนํา แตยังคงลักษณะเดิมของปกเอาไว เปนผลงานการออกแบบของ เอส โฮเนอร ผูซึ่งศึกษาในเรื่องแรงตานของเครื่องบินแบบดั้งเดิม มีใชกับเครื่องบิน ไป เปอร แวริเออร ดังในรูปที่ 8.11 ลักษณะเชนนี้ของปลายปก สงผลใหผลักวอเทกใหหา ง ออกไปและสูงขึ้นจากตําแหนงเดิม ดวยปลายขอบที่เปนสันคม แตเปนทีน่ าสังเกตวา วิธี นี้สงผลตอการลดแรงตานเหนี่ยวนําคอนขางนอย โดยเฉพาะเมื่อนํามาใชกับเครื่องบิน ขนาดเบาที่ออกแบบมาใหใชความเร็วสูง
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
231
รูปที่ 8.11 ปลายปกแบบ โฮเนอร (Hoerner wingtip) ชวยลดผลกระทบจาก วอเทกปลายปก
ยังมีผลงานของ ริชารด เอปเลอร (Richard Eppler) ชาวเยอรมัน ไดเสนอ ความคิดในเรื่องของปกเครื่องบิน เมื่อมองเขาทางดานหนา ที่ชวยลดแรงตานได ดังใน รูปที่ 8.12 มุมที่ยกขึน้ ของปกตรงสวนปลายขึน้ อยูกับ คา อัตราสวน ระหวาง สัมประสิทธิแ์ รงยก กับ แอสเปกเรโช อยางตามแบบในรูป มีคา 25 สวนมุมหักลงที่โคน ปก ประมาณ 3 4 นักดูนก คงจะพอคุนๆกับลักษณะปกนกทีม่ ีการหักลง หักขึ้นแบบ นี้ซึ่งคลายๆกับปกนกอินทรี หรือนกนางแอนในขณะกําลังรอน ดูเหมือน กับวา ธรรมชาติ ไดมีการพัฒนา ออกแบบทางอากาศพลศาสตร เอาไวใหเราไดเลียนแบบ
รูปที่ 8.12 ลักษณะการยกของปกทีช่ วยลดแรงตาน ที่เสนอโดย เอปเลอร (Eppler)
232
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
แผนประกับปลายปก (Endplates) เราไดรูแลววา แรงตานเหนี่ยวนํามาจาก วอเทกปลายปกที่ทาํ ใหเกิด ดาวนวอช ถาลดวอเทก ลงได แรงตานเหนี่ยวนําก็จะลดลงดวย การกําจัดวอเทกทําไดดวยการทํา ปกเครื่องบินใหยาวมากๆหรือ หาแผนวัสดุขนาดใหญมาปดที่ปลายปก ปองกันไมใหมี อากาศหมุนวนที่ปลายปก (ซึ่งเปนไปไมได ที่จะทําเชนนัน้ ) เราทําไดเพียงพยายามกั้นให วอเทกลดลง โดยใชแผนวัสดุขนาดโตพอสมควรมาแปะหรือประกับที่ปลายปก แรงตาน เสียดทานของแผนประกับก็กลายเปนปญหาตามมา อาจจะมากกวาแรงตานเหนี่ยวนํา ที่ลดลงก็ได เมื่อบินดวยความเร็วสูง ดังนั้นตองพิจารณาวาแผนประกับนี้ควรมีขนาด เทาไรจึงจะเหมาะสมที่สดุ เพื่อทีจ่ ะทําใหแรงตานโดยรวมนั้นลดลง สวนใหญที่ใชกัน พบวาสามารถชวยลดแรงตานไดจริง โดยเฉพาะกับเครื่องบินทีม่ ีคาแอสเปกเรโชต่ํา สวนการประยุกตใช หลักการของ แผนประกับปลายปกใหเกิดประโยชนไดจริง อยางเชนการนําเอาถังน้ํามันเชื้อเพลิงเสริม มาติดตรงปลายปก (เนื่องจากถังภายใน บรรจุน้ํามันเชื้อเพลิงไดไมมากพอ) เพื่อชวยลด วอเทกปลายปก สวนผลของ แรงตาน เสียดทานกับแรงตานความดัน (รวมเรียกแรงตานพาราไซท) อยางไรเสีย ก็ตองมีอยูแลว ไมวาจะติดไวตรงไหนนอกตัวเครื่องบิน แตติดไวตรงปลายปกยังชวยลด แรงตาน เหนี่ยวนําไดบาง วิงเลต (Winglets) วิธีการที่ประสบความสําเร็จมากที่สุดในการเพิ่มคา แอสเปกเรโช เสมือน นาจะ เปนผลงานทีไ่ ดพัฒนาจากองคการ NASA มีชื่อวา “วิงเลต” วิงเลตมีลักษณะเปนแพน อากาศเชนเดียวกับปกเครื่องบิน ถูกติดตั้งในแนวดิ่งตรงปลายปก อยางที่ติดอยูที่ปลาย ปกของเครื่องบิน เลียรเจ็ต ในรูปที่ 8.13 ดูเหมือนกับวาปกมีการพับขึ้นตรงปลาย นี่คือผลงานสรางสรรคอีกผลงานหนึง่ ขององคการ NASA อันเกิดจากความคิด ของ ริชารด วิทคอม (Richard Whitcomb) นักวิทยาศาสตร ที่ใชประโยชน จากวอเทก ปลายปกมาลดแรงตานเหนี่ยวนํา ตามปกติวอเทกทําใหเกิด แรงตานอันเนื่องมาจาก กระแสอากาศไหลลงดานชายหลังปก ก็ดวยอากาศใตปกพยายามไหลออมปลายปก
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
233
ขึ้นมาดานบนของปก ดูรูปที่ 8.14 แตถาปลายปกไดติดตั้ง วิงเลตที่มีลักษณะเชน เดียวกับแพนอากาศที่นํามาทําปกเครื่องบิน ทิศทางที่เปนความเร็วลัพธหรือความเร็ว สุทธิ ที่ไหลผาน วิงเลตนี้ สงผลใหเกิดแรงยกขึ้นบน วิงเลต โดยทิศทางของแรงยกนี้ เอียง ไปขางหนา ที่เปนทิศทางการเคลื่อนที่หรือความเร็วของเครื่องบิน จึงเปนการเสริมแรงใน ทิศทางไปขางหนา ก็คือลดแรงตาน ลงได
รูปที่ 8.13 เครื่องบิน เกต เลียรเจ็ต โมเดล 55 ลองฮอน (Gates Learjet Model 55 Longhorn) ติด วิงเลตที่ปลายปก
ผลกระทบจากวิงเลต นอกจากประโยชนที่ไดกลาวไปแลว ตัวมันเองก็มี วอเทก เกิดขึ้นที่ปลายเชนเดียวกับปก ซึ่งก็กอใหเกิดแรงตานเหนี่ยวนํากับ ตัววิงเลตเชนกัน แรง ยังมีแรงตานรบกวน เนือ่ งจากจุดตอของวิงเลตกับปลายปกเขาดวยกันเปนมุมฉาก ถา ปกเครื่องบิน เปดมุมปะทะนอยๆ (ใหคา C นอย) แรงยกมีคา นอย วอเทกปลายปก คอนขางออน แรงยกจาก วิงเลต ทีช่ วยเสริมไปขางหนามีคานอย สวนใหญเปนคาแรง ตานเสียมากกวา จึงอยูในสภาวะที่ใหแรงตานเสียมากกวา ในขณะบินเดินทางที่ความ สูงไมมาก ตอเมื่อกระแสอากาศหมุนวน ที่ปลายปกเริ่มแรงขึ้น ทําใหความเร็วของกระแส อากาศจากวอเทก มากขึน้ วิงเลตจึงเริ่มแสดงใหเห็นผลในการชวยลดแรงตานเหนี่ยวนํา ที่เกิดจากปก แรงตานที่เกิดในตัววิงเลตเองมีคานอยเมื่อเทียบกับผลลัพธโดยรวม L
234
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
สถานการณ เชนนี้เกิดขึ้นเมื่อปกเครื่องบินเปดมุมปะทะสูงขึน้ สัมประสิทธิ์แรงยกก็สงู ตาม เชนบินที่ความเร็วต่ําหรือ ที่ระดับความสูงมากๆ(เปนสภาวะที่ทําใหเกิดแรงตาน เหนี่ยวนําสูง) นี่คือเหตุผลวาทําไม จึงใชวิงเลตกับเครื่องบินทีบ่ ินในระดับความสูงมากๆ อยางเชนเครือ่ งบินเลียรเจ็ต ในรูปที่ 8.13 และยังเปนประโยชนกับเครื่องบินความเร็วต่ํา อีกดวย เพราะเครื่องบิน บินที่ความเร็วต่ํา มีความแรงของวอเทกปลายปกมากกวา บิน ที่ความเร็วสูงในระดับต่ํา
รูปที่ 8.14 การติดตั้ง วิงเลต ตรงปลายปกเปนผลใหกระแสอากาศทีพ่ ยายามไหลออมปลายปก ขึ้นมาดานบนเมื่อไหลผาน วิงเลต ทําใหเกิดแรงยกในทิศทางเอียงไปขางหนา เปนการลดแรงตาน ดวยวิธีเสริมแรงขับ
ผลกระทบจากการทําใหมีวิงเลต คือน้ําหนักทีเ่ พิม่ ขึ้นตรงปลายปก เปนการเพิ่ม ภาระในการรับแรงของโครงสรางปก แตผลของการชวยลดแรงตานเหนี่ยวนํา ที่ไดรบั จากการติดวิงเลตนัน้ ถือวาคุมกวา การทําใหปกยาวออกไปในแนวปก เพื่อเพิ่มคา แอสเปกเรโช ซึ่งเมื่อนําสองวิธีนี้มาเทียบกันพบวา การทําใหปกยาวขึ้นเพื่อเพิ่มคา
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
235
แอสเปกเรโช และใหผลในการลด แรงตานเหนี่ยวนํา เทากับการติดวิงเลต จะมีน้ําหนัก ของปกเพิ่มขึน้ มากกวา 3-4 เทา เมื่อเทียบกับการใชวิงเลต ลดแรงตาน ยังมีการนําเอา วิงเลตไปประยุกตใชกับเรื่องของใบพัดเครื่องบินดวย เพราะเรารู กันดีอยูแลววาใบพัดเครื่องบินคือแพนอากาศชนิดหนึ่ง ทําหนาที่เชนเดียวกับปก เครื่องบิน ตรงปลายใบพัดขณะหมุนกินลม ก็มีการเกิดวอเทกเชนเดียวกับปลายปก เครื่องบิน นํามาซึ่งแรงตานเหนี่ยวนํา ทําใหแรงตานการหมุนใบพัดจากเครือ่ งยนตมีแรง ตานสูง สูญเสียกําลังจากเครื่องยนตแทนทีจ่ ะถูกใชไปเพื่อทําใหเกิดแรงขับ กลับตองมา หมดไปกับแรงตานจากวอเทกปลายใบพัด จึงถือไดวาเปนการทําใหประสิทธิภาพของ ใบพัดลดลง ดังนั้นถามีวิธีลดวอเทกปลายใบพัดได ก็ยอมชวยลดแรงตานเหนี่ยวนํา ทํา ใหใบพัดมีประสิทธิภาพสูงขึ้น จึงมีการนําเอาวิธีการของวิงเลตมาใชกับใบพัดดวย เหมือนกัน เพื่อชวยเพิ่มประสิทธิภาพของใบพัด พลังงานจากการหมุนใบพัดของ เครื่องยนตจะไดกลายไปเปนแรงขับมากขึ้น
8.5 ปกลู (Swept Wings) ในบทกอนหนานี้ไดมีการกลาวถึง เรื่องของปกเครื่องบินที่ทาํ ใหลูเพื่อใหผลใน ดานตางๆ การออกแบบเครื่องบินรุนใหม มักจะนําเอาคุณสมบัติของปกลูมาใช เพื่อ จุดมุงหมายตางๆที่จะกลาวตอไป วัตถุประสงคอันดับแรก ของการทําใหปกลู (หลัง) เพื่อเปนการลดความเร็วของ อากาศที่ไหลผานปก เมื่อเครื่องบิน บินในยานความเร็วสูง เปนการปองกันไมใหเกิด ความเร็วสูงกวาความเร็วเสียงบนสวนใดสวนหนึง่ ของปก เพราะจะตามมาดวยคลื่นช็อค เกิดคลื่นแรงตานสูง แตถา เปนเครื่องบินที่ใชความเร็วต่ํา ไมจําเปนตองทําใหปกลู เพราะ จะทําใหความเร็วสะตอลสูงขึ้นการใชระยะทางวิ่งขึ้น และบินลงยาวขึ้นซึ่งเราไมตองการ แตการใชประโยชนของปกลู(ในระดับหนึ่ง ไมตองมาก) กับเครื่องบินความเร็วต่ํา ก็เพื่อเปนการเลื่อน ตําแหนงจุดศูนยกลางทางอากาศพลศาสตร (Aerodynamic center of the airplane) ของเครื่องบินโดยรวม เพื่อใหไปอยูในตําแหนงใกลกับจุดศูนยถวง หรือ เรียกสั้นๆคือจุดCG โดยไมตองไปขยับปกทั้งอัน วิธีการนี้มักจะใชเมื่อ เครื่องบินตนแบบ
236
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
ไดนํามาทดลองบินและพบวาจุด CG อยูในตําแหนงไมเหมาะสมควรเลื่อน หรือตองการ ขยายลําตัวเครื่องบินใหใหญขึ้น และตองการเลื่อนจุด CG อยางที่ตองการ ตัวอยางของ เครื่องบินที่นาํ วิธีนี้มาใช ก็คือเครื่องบิน ดีซ-ี 2 ซึ่งไดทําใหปกลูห ลังเพื่อเลื่อนตําแหนงของ จุดศูนยกลางทางอากาศพลศาสตร ที่อยูบนเสน คอรด ประมาณ 1 4 จากชายหนาของ ปก เลื่อนมาดานหลัง ดวยการปรับปกใหลูมาขางหลัง แทนการเลื่อนปกทั้งอัน มาขาง หลัง เหตุผลอื่นในการปรับปกใหลูไปขางหลัง คือ เครื่องบินทีใ่ ชคานาด แทนแพนหาง ระดับ หรือเครื่องบินจําพวก ปกบิน ตองการวางแพนหางดิ่งใหหางจากจุด CG ไปทาง ขางหลังเพื่อเปนการเพิ่มระยะแขนของโมเมนต ใหเพียงพอกับ ที่ตองการในการทําให เกิดเสถียรภาพและการควบคุมดวยการติดตั้งแพนหางดิ่งไวตรงปลายปก ซึ่งเปนการทํา หนาที่คลายๆ วิงเลตไปในตัวดวย เครื่องบินที่ออกแบบมาใหใชคานาด มักใชวิธีนี้ในการ ทําใหเกิดเสถียรภาพ โดยไมตองใชขนาดของแพนหางดิ่งที่ใหญมากเกินไป (เพื่อชดเชย ความยาวแขนโมเมนตทยี่ าวไมพอถาปกไมลูไปขางหลัง) ในปจจุบันนีม้ ีการออกแบบเครื่องบินปกลูไปขางหนา (Forward-swept) จะเห็น ไดจากรูป บนโตะเขียนแบบของเครื่องบินรุนใหม รูปที่ 8.15 ประโยชนของทําใหปกลูไป ขางหนา หลักการพื้นฐานก็เหมือนกับการทําปกลูหลัง คือตองการลดความเร็วของ อากาศ ในทิศทางตั้งฉากกับแนวชายหนาปก ขอดีของปกลูหนาคือ ไมเกิดการสะตอล ตรงบริเวณปลายปกกอน อยางเชนปกลูหลังทีเ่ กิดการไหลแยกตัวที่ตรงปลายปกกอน เปนเหตุของการสะตอล จึงเปนผลดีในสภาวะที่เครื่องบินมีความเร็วต่ํา (การสะตอลที่ ปลายปกทําใหใชไอเลรอน ไมได) แตผลเสียของการทําใหปกลูไปขางหนา คอนขางมีปญหามากในเรื่องการรับแรง ของโครงสรางปก เปรียบเหมือนกับคานยื่น ลองนึกภาพตามไปดวย เมื่อเราถือไม บรรทัดใหยื่นไปทางดานขางเฉียงไปขางหนา และมีกระแสลมแรงๆพัดมาทางดานหนา โอกาสที่ปกจะบิดแหงนขึ้นมีมาก เนื่องจากแรงกระทําของกระแสอากาศ ตางจากปกลู หลังจะไมมีแรงที่พยายามดัดใหปกแหงนขึ้น มุมปะทะของปกสูงขึ้นกวาที่ควรจะเปน โดยเฉพาะบริเวณปลายปก แรงยกจึงสูงขึ้นตรงตําแหนงนี้มาก จุดศูนยกลางของแรงยก หรือ ตําแหนงแรงลัพธ เนื่องจากแรงยกจึงเปลี่ยนไป ในสภาวะเชนนี้ เหมือนกับปกถูก
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
237
บิดถาโครงสรางไมแข็งแรงพอจะทําใหปกฉีกออกได แตถาสามารถทําโครงสรางที่เบา พอ และมีความแข็งแรงพอที่จะรับแรงบิดไดอยางปลอดภัย ก็เปนหนทางที่จะออกแบบ เครื่องบินโดยนําประโยชนของ ปกลูหนาไปใชได โดยเฉพาะอยางยิ่งการบินในยาน ความเร็วสูง ตั้งแตเลขมัคเทากับ 0.8 หรือเร็วกวา
รูปที่ 8.15 เครื่องบิน ปกลูห นา X-29 เปนแนวความคิดที่ถูกสรางโดย NASA
238
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
8.6 การแผนแบบแพนอากาศยุคใหม (Modern Airfoil Design) แพนอากาศที่ถูกนํามาใช ในยานความเร็วสูง เขาใกลความเร็วเสียง (Supercritical airfoil) ไดถูกออกแบบและพัฒนาโดย ริชารด วิทคอม เมือ่ ป ค.ศ. 1960 ดวยการนําเอาคอมพิวเตอรมาชวยในการออกแบบแพนอากาศความเร็วต่ํา ปจจุบนั นี้ ยังคงถือวาอากาศที่ไหลผาน เกือบทั้งหมดบนพืน้ ผิวของแพนอากาศ เปนแบบเทอรบู เลนท เปนผลมาจากวิธกี ารสรางปก แพนอากาศที่ออกแบบมาในรุน GAW ซีรีย ไมใช แพนอากาศที่ใหคา L D (แรงยก ตอ แรงตาน สูงสุด) สูงกวา แพนอากาศ รุน ซีรีย6 และไมมีการปรับปรุงเรื่องแรงตาน ใหลดลงแตอยางใด และยังมีแรงตานมากกวาใน หลายกรณี เมื่อเทียบกับแพนอากาศรุนเกา เครื่องบินที่ถูกออกแบบมาจํานวนมาก ยังคงใชแพนอากาศ รุนเลขสีห่ ลัก(4-digit NACA) ที่ใหแรงยกสูง มาทําปกเครื่องบิน ขนาดเบา เพราะงายในการทําโครงสราง(จึงเปนการลดตนทุน) แตถาเปนเครื่องบิน ความเร็วสูง ก็หันมาพิจารณาใช แพนอากาศรุน ซีรีย-6 โดยพิจารณา คาแรงตานเปน หลัก ตอมาในป ค.ศ.1970 คอมพิวเตอรเริ่มเขามามีบทบาท มากขึ้น จากงานวิจัย ใหมๆ สามารถทําใหพื้นผิวของแพนอากาศมีลักษณะการไหลเปนลามินาร (ชวยลดแรง ตานเสียดทาน) ไดพื้นที่กวางขึ้นกวาเดิมไดสําเร็จ แมในยานความเร็วที่คอนขางสูง (แต ยังเปนความเร็วต่ํากวาเสียง) งานวิจยั สวนใหญในเรื่อง เหลานี้เปนผลงานของ ริชารด เอปเลอร (Richard Eppler) และ เอฟเอ็ก วอรทมาน (F.X. Wortmann) ในเยอรมัน เพื่อ นําไปประยุกตใชกับเครื่องรอน องคการ NASA เริ่มเอาจริงเอาจังกับการพัฒนา แพน อากาศสําหรับอากาศยานโดยทั่วไป ซึ่งเปนการผสมผสาน แพนอากาศแบบเกา คือ แบบเลขสีห่ ลัก ที่ใหแรงยกสูง กับแบบ ซีรีย- 6 ที่ใหแรงตานต่ํา เขาดวยกัน หัวใจในการที่ จะทําใหประสบความสําเร็จในเรื่องนี้คือ การไหลในชั้นชิดผิวตองเปนแบบ ลามินารใน พื้นที่ที่กวางขึ้นกวาเดิม แนนอนตองขึ้นอยูกับรูปรางของแพนอากาศ โดยที่ไมตอ งใช อุปกรณชวยสรางสถานการณใหเปน การไหลแบบลามินารเสมือน (Artificial laminar) เชนทําใหมีชอ งเปาอากาศบนพื้นผิวของปกหรือแพนอากาศเพื่อทําใหการไหลนั้นเปนลา มินารกินบริเวณกวางมากขึ้น แตในกรณีที่เปน การไหลแบบลามินาร โดยธรรมชาติ max
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
239
เรียกวา “แพนอากาศลามินารตามธรรมชาติ (Natural laminar flow Airfoil)” เขียน ดวยตัวยอ NLF ดวยเทคนิคใหมในการทําโครงสรางดวยวัสดุผสม มีความเปนไดใน อนาคตที่จะถูกนํามาใชงานไดจริง แพนอากาศรุนเกาของ NACA ใชวิธีพัฒนาโดยการ ปรับคุณสมบัติของแพน อากาศทีละอยาง เชน คาความหนา หรือ คาแคมเบอร และนําไปทดสอบในอุโมงคลม นําผลทางอากาศพลศาสตรที่ไดและ ขอมูลของแพนอากาศไปบันทึกไวในตาราง นัก ออกแบบเครื่องบิน ก็ไปเลือกเอาจากตารางดังกลาว โดยดูวาแพนอากาศอันไหนที่มี คุณสมบัติใกลกับที่ตัวเองตองการมากที่สุด แตแนวความคิดใหมของ NASA ใชวิธีใหม ดวยการใหนักออกแบบเครื่องบิน กําหนดคุณสมบัติของแพนอากาศ ทีต่ องการขึ้นมา กอน แลวจึงนําเอาคุณสมบัตินั้นมาออกแบบแพนอากาศ ใหไดคุณสมบัติที่ตรงตาม ความตองการ หรือใกลเคียงมากที่สดุ เทาที่จะทําได เพื่อนําไปใชกับเครื่องบิน ที่ตองการ ออกแบบ วิธีนี้เรียกวา “แผนแบบยอนกลับ (Inverse design)” วิธีการนี้ตอ งใช คอมพิวเตอร และตัวโปรแกรม(Software) ที่มีประสิทธิภาพสูงจึงจะทําได แตเชื่อวาใน อนาคต คงเปนเรื่องงายเพราะวาคอมพิวเตอรมีการพัฒนาไปเร็วมาก และซอรฟแวรก็ เชนกัน องคการ NASA ไดนําวิธีการของ เอปเลอร มาใชคือ กําหนดการกระจายความ ดันบนผิวของแพนอากาศ (หรือความเร็วแตละจุดบนผิวของแพนอากาศ) อยางที่ตอง การไวกอน ตามตําแหนงบนแพนอากาศ และใชทฤษฏีและหลักการทางอากาศ พลศาสตร (ที่อยูในรูปทางคณิตศาสตร) ทําการวิเคราะหจําลองปรากฏการณการไหล ทั้งในชั้นชิดผิวและนอกชั้นชิดผิว ใหไดใกลเคียงกับความเปนจริงในธรรมชาติมากที่สุด คุณสมบัติที่ไดในแตละคาของการเปดมุมปะทะ และคาปจจัยตางๆของสภาพแวดลอม ที่เกี่ยวของ ความเร็วของกระแสอากาศ ความหนาแนน (ซึ่งเกี่ยวของกับความสูงในการ บิน) อุณหภูมิ ฯ จะตองถูกนํามาใชประกอบ เพือ่ ใหไดผลออกมาถูกตองใกลกับความ เปนจริงมากที่สุด จะไดนาํ ไปใชไดจริงๆ วิธีหนึ่งของ เอปเลอร ทีเ่ ปนประโยชน และนํามาใชในการพิจารณาหาคุณสมบัติ ของแพนอากาศที่เหมาะสมที่สุด เพือ่ นําไปใชกับเครื่องบินที่เราออกแบบ เปรียบเสมือน
240
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
เปนการมอง นอกแบบ (Off-design) แทนทีจ่ ะเปนการมอง ในแบบ (Design) คือ ตามปกติของการหาคุณสมบัติ ของแพนอากาศ ตองยึดเอาสภาวะการขณะบินเดินทาง (Cruise condition) ที่ระดับความสูงนี้ บรรทุกน้ําหนักสูงสุดเทานี้ มาเปนตัวตั้งในการ กําหนด เพราะเปนสภาวะที่เกิดขึน้ หรือถูกใชงานมากที่สุดของเครื่องบิน ถาการ ออกแบบเครื่องบินโดยยึดถือเอา คุณสมบัติของปกเพื่อสภาวะเชนนีเ้ ทานัน้ โดยไมมีการ พิจารณา สภาวะในกรณีอื่นเลย ผลก็คือ สมรรถนะในดานอื่นๆจะสูญเสียไป เชน สมรรถนะในการไตไมดี หรือการบินในระดับความสูงอื่น หรือที่คาน้ําหนักอื่นๆ ดังนัน้ การมองของ NASA จึงไดนําวิธีของ เอปเลอร มาใช ดวยการ นําเอาสมรรถนะโดยรวม (ทุกสภาวะ) มาพิจารณารวมกัน และหาคุณสมบัติของปก ที่ตอบสนองสมรรถนะ เหลานัน้ ได ดีที่สุด
รูปที่ 8.16 แพนอากาศทีถ่ ูกออกแบบ ในแนวคิดใหม ของ NASA โดย โซเมอร (Somers) คือ NLF (1) 0215F
ตัวอยางของ แพนอากาศที่ถูกออกแบบมาเพื่อ ใชกับเครื่องบินขนาดเบาหนึ่ง เครื่องยนต คือ NASA NLF (1)-0416 เลขสองตัวแรก คือ 04 หมายถึงสัมประสิทธิแ์ รง ยก (c ) เทากับ 0.4 และเลข16 หมายถึง ความหนามากที่สุดเทากับ 16% ของความยาว คอรด เลข 1 ในวงเล็บ หมายถึงเปนรุน ในการออกแบบมา ยังมีแพนอากาศที่ออกแบบ มาในลักษณะนี้อีก โดยอาจจะมุงไปทีเ่ ครื่องบินที่ออกแบบมาเฉพาะงาน อยางเชนในรูป l
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
241
ที่ 8.16 เปนรูปรางของ แพนอากาศชนิด NLF ถูกพัฒนาขึ้นมาจาก NASA โดย วิศวกร ชื่อ แดน เอ็ม โซเมอร (Dan M. Somers) คือ NLF (1) 0215F ตัวอักษร F หมายถึง แฟลบ(Flap) แสดงวาแพนอากาศชนิดนี้ถูกออกแบบมาใหตองใชรวมกับแฟลบ
รูปที่ 8.17 เครื่องบิน เพียชจิโอ อาวันติ (Piaggio P180 Avanti) เปนเครื่องบินรุนใหมที่ใชแพน อากาศแบบ NLF
แพนอากาศลามินารตามธรรมชาติ หรือ NLF มีเงื่อนไขอยูวา ตองสามารถทําให อากาศที่ไหลไปบนพืน้ ผิว มีการไหลใน เลเยอรตองเปนลามินาร ไมนอยกวา 30% ของ ความยาวคอรด อยางไรก็ตาม การสรางแพนอากาศขึ้นมาดวยวิธีการที่ทันสมัยใหได การไหลที่เปนลามินารดังกลาว สามารถทําใหเปนการไหลแบบลามินารไดมากกวา 5070% ของความยาวคอรด ปรากฏการณนี้เกิดขึ้นไดเนื่องจากรูปรางของปก ที่สง ผลให การลดความดันอากาศที่ไหลอยูบนผิวเปนไปอยางตอ เนื่องจาก ชายหนา ไปยัง ชาย หลัง ไปไดไกล ตามแนวเสนคอรด จึงทําใหการไหลยังคงเปน ลามินารไดไกลยิ่งขึน้
242
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
สถานการณเชนนีเ้ รียกวา “อัตราการเปลี่ยนแปลงความดันตามตองการ (Favorable pressure gradient)” ในกรณีเชน ทําใหไดแรงยกสูง ดวยความดันที่พื้นผิวดานบนต่ํา เปนพื้นที่กวาง กวาที่เกิดขึ้นกับแพนอากาศรุนเกา มีแนวโนมทําใหเกิด ความดันอากาศ ต่ําลงในบริเวณชายหนา ชวยทําใหแรงตานความดันลงไปไดอีก นอกจากที่จะลดแรง ตานเสียดทานไปแลว (ในการทําใหการไหลเปน ลามินาร เพิ่มขึน้ ) แพนอากาศแบบ NLF ไดถูกนําไปใชกับเครื่องบินรุนใหม เชน เพียชจีโอ อาวันติ (Piaggio Avanti) ในรูปที่ 8.17 ปกของเครื่องบินที่ใช แพนอากาศแบบ NLF นี้ สามารถ ทําใหเกิดการไหลของอากาศไปบนผิวปกเปน แบบลามินารได ประมาณ 1 ใน 3 ของ ความยาวคอรด และนีเ่ ปนสวนหนึ่งที่ชวย เสริมสมรรถนะของเครื่องบินลํานี้ใหสูงขึ้น
8.7 การแผนแบบใหมๆในรายละเอียด (Newer Design Details) รายละเอียด เล็กๆนอยๆในการแผนแบบในปจจุบนั ที่สังเกตเห็นไดจากเครือ่ งบิน ที่มีใชอยูโดยทั่วไป ที่อาจแตกตางไปจากรุนกอนหนา หรือที่เกากวา เชน แพนหางดิ่งทีล่ ู ไปขางหลัง ซึ่งไมไดสงผลในการในการเพิ่มสมรรถนะสําหรับเครื่องบินความเร็วต่ํา อยาง ที่กลาวไปแลวในบทที่ 8 ใน ขณะที่ การติดตั้งแพนหางระดับไวบนแพนหางดิ่ง(แทนที่จะ อยูขางลาง) ชุดแพนหางแบบตัวทีนั้น มีสวนในการชวย ลดปญหาทางอากาศพลศาสตร ไดในบางกรณี หรือแมแพนหางระดับที่มีการลูไปขางหลัง สิง่ เหลานี้ชวยทําใหเครื่องบิน ดูทันสมัยแปลกใหมขึ้น ในสายตาของผูที่ไดเห็น แตไมมีสวนในการเพิ่มสมรรถนะแต อยางใด ผลิตภัณฑอื่นๆก็เชนกัน ตองมีการออกรุนใหมมาใหดูตางไปจากรุนกอนๆ เพือ่ ดึงดูดความสนใจจากลูกคา อยางรถยนตก็เปนตัวอยางของการสรางรูปราง หรือติดตั้ง อุปกรณ ที่ตองตาผูซื้อ ทั้งๆที่สงิ่ เหลานั้นอาจจะไมได สงผลในการเพิ่มคุณภาพของ สินคาเลย การปรับเปลีย่ นรูปรางในเชิงการคา ถาไมทําให สมรรถนะลดลง หรือเปน ผลเสียตอคุณสมบัติของเครื่องบิน ก็ไมเปนไร นอกจากทําใหเครื่องบินลํานั้นดูล้ําสมัย ขึ้นมาไดอยางรวดเร็ว สําหรับนักออกแบบที่มีนิสัยอนุรกั ษนิยม ก็ยังคงติดอยูกับ ออกแบบโดยอาศัยหลักการเพื่อทําใหเครื่องบินทีอ่ อกแบบมา มีสมรรถนะดีขึ้นจริงๆ เทานั้น โดยไมไดคํานึงถึง ผลในเชิงธุรกิจ เพื่อดึงดูดลูกคา
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
243
8.8 จะเปนอยางไรตอไปในอนาคต (What Next?) การพัฒนาอากาศยานที่ไปไดไกลเปนอันดับแรก สวนใหญนั้นอยูในวงการของ เครื่องบินที่ใชทางการทหาร แตก็เปนไปในทิศทางของเครื่องบินรบ ซึ่งมีการทุมทุนอยาง มหาศาล เพื่อใหไดผลงานที่ดีที่สุด แนวความคิดใหมๆสําหรับ เครื่องบินรบ ถูกเก็บไว เปนความลับ เพื่อความมั่นคงของประเทศ(สหรัฐอเมริกา) ดังนั้นจึงไมสามารถนํามา กลาวในที่นี้ได เครื่องบินสําหรับธุรกิจ หรือการพาณิชย ไดมีการวิจัยและพัฒนาเปนปกติ สวน จะทําไดมากแคไหน ขึน้ อยูกับจํานวนเงินทุน องคการ NASA และบริษทั ผูผ ลิตเครื่องบิน ทั้งหลาย ไดพยายามหาหนทางทีเ่ ปนไปได ในการออกแบบเครื่องบินรุนใหม ที่ดีขึ้นกวา ที่เปนอยู ในทิศทางที่ตองการ ศักยภาพหรือความสามารถ ในการแผนแบบ เครื่องบินพาณิชย (Potential airliner design) เมื่อไมกี่ปมานี้ แนวการออกแบบเครื่องบิน มุงไปที่ ประสิทธิภาพในการประหยัด น้ํามันเชื้อเพลิงเปนหลัก ซึ่งก็ควรเปนเชนนัน้ เพราะคาใชจายในสวนของน้าํ มันเชื้อเพลิง สูงขึ้นกวา 50% ของคาใชจายทั้งหมดในการดําเนินกิจการ ถาขืนปลอยใหเปนเชนนี้ เงิน ที่ไดมา คงจะหมดไปกับคาน้ํามันเชื้อเพลิง จึงไดมีการออกแบบสรางเครื่องบิน โบอิ้ง 757 และ 767 ขึ้นมา ซึ่งเปนตัวอยางที่ดีในการออกแบบเครื่องบินที่มีประสิทธิภาพสูงใน เรื่องการประหยัดเชื้อเพลิง แนนอน เมื่อพูดถึงเรื่องประหยัดน้าํ มันเชื้อเพลิง สิ่งแรกก็ตอ ง มองไปที่เครื่องยนต คุณสมบัติทางอากาศพลศาสตรก็มีสวนสําคัญ ในการชวยลดแรง ตาน ทําใหไมตองใชกําลังขับมาก เนือ่ งจากเครื่องบินพาณิชย บินที่ระดับความสูงมาก แรงตานเหนีย่ วนําสูง มีสว นเปนอยางมากในการบั่นทอนการประหยัดเชื้อเพลิง ทางออก ก็ตองเปนการเพิ่มคา แอสเปกเรโช เพื่อลดแรงตานเหนี่ยวนํา แตการเพิ่มความยาวของ ปกออกไป ทําใหตองเพิ่มความแข็งแรงของโครงสรางปกน้ําหนักเพิ่มขึ้นตามมาอีก ซึ่งไม ตองการ จึงตองขอยืมเอาผลงานของ NASA คือ วิงเลต มาใช เพื่อชวยลดแรงตาน เหนี่ยวนํา หรือ เปนการทําใหไดคาแอสเปกเรโชเสมือน สูงขึ้น
244
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
การทําให ปกที่มีความยาวคอรดสั้นลง (ปกแคบ) เปนสวนหนึ่งที่ถูกนํามา พิจารณา เพื่อลดแรงตานเสียดทาน พื้นผิวปกที่เรียบ และแคบ เปนปกอยางที่เรา ตองการ ที่ชวยทําใหอากาศไหลผานปกเปนแบบ ลามินาร ไดมากขึ้น แมในยาน ความเร็วสูง ปกแบบนีช้ วยในการลดแรงตานไดเปนอยางดี ผลคือชวยประหยัดกําลังขับ หรือแรงขับ นั่นคือใชเชื้อเพลิงนอยลง จากขอมูลที่ได พบวาชวยเพิ่มประสิทธิภาพใน เรื่องของ อัตราความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไดถึง 60% นี่เปนการพิสูจนใหเห็นวาการทําให การไหลของอากาศบนผิวปก เปนลามินารในพื้นที่ ที่กวางขึ้นหรือเกือบทั้งหมดได เปน การชวยลดแรงตานไดจริง การกระจายน้ําหนัก หรือแรงที่ปกตองรับ จากสัมภาระในการบรรทุก เปนวิธีการ หนึ่ง ทีช่ วยในเรื่องลดน้ําหนักของโครงสรางปก และหองโดยสารลงได จึงไดออกแบบให เปนเครื่องบินแบบปกอยูล าง น้ําหนักของโครงสรางปกลดลง (เมื่อเทียบกับการทําใหปก อยูบน) ในกรณีที่ตองการกระจายน้ําหนักไปยังปกเครื่องบิน ทางออกที่ดีในการ แกปญหานี้ คือการใชเครื่องบินแบบปกบิน เปนเพราะน้ําหนักสวนใหญ ถูกวางกระจาย อยูในตัวปกอยูแลว ถาปริมาตรในปกมีขนาดใหญพอซึ่งก็เปนความหวังวาในอนาคต อาจมีการนํามาออกแบบสราง ยิ่งถาน้ําหนักรวมมีมากถึง 1 ลานปอนด ขึ้นไป การใชอากาศยานที่บินดวยความเร็วในยาน ไฮเปอรโซนิก เปนหนทางหนึง่ ปญหาหลายอยางไดถูกนํามาพิจารณาและแกไข ผูโดยสารทุกคนในอากาศยาน เดิน ทางดวยความเร็ว มัค5 มีความเปนไปไดสูง การวิจัยในเรื่องนี้ตองทําอยางกวางขวาง และใชเงินทุนมาก เมื่อเทคโนโลยีพฒ ั นาไปถึงขัน้ นั้น การเดินทางจาก นิวยอรก ไป โตเกียว จะใชเวลาเพียง 2 ชั่วโมง เทานั้น ศิลปะในการสรางเครื่องบินโดยสาร ในยาน ความเร็วเหนือเสียง อยางเชน เครื่องบินโดยสาร คองคอรด ที่มีชื่อเสียงถือไดวาประสบ ความสําเร็จ ในการสรางเครื่องบินโดยสารความเร็วเหนือเสียง แตก็ตองลมเลิกไปจาก ปญหาในเรื่องรายจายที่สูงแตบรรทุกไดนอย อยางไรก็ตาม NASA ไดแสดงใหเห็นวา เครื่องบินที่ประหยัดน้ํามันเชื้อเพลิงและ บรรทุกไดครั้งละมากๆ จะประสบความสําเร็จ และนํากําไรมาสูบริษัทของสายการบินนั้น มากกวาเครื่องบิน ทีบ่ ินไดเร็วแตเปลือง น้ํามัน และบรรทุกสัมภาระไดนอย
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
245
การบินโดยทั่วไป (General Aviation) นักบินผูใชเครื่องบินขนาดเบาทั้งหลาย รอกันมานานแลว เมื่อไรเทคโนโลยี ทางดานการบินจะชวยทําใหการสรางเครื่องบินขนาดเบา ที่มีสมรรถนะสูงออกมาขาย ไดในราคายอมเยา ที่สามารถหาซื้อมาไวใชได เครื่องบินที่มีคุณลักษณะเชนวานี้ ไดแก BD-1 ราคาอยูที่ $2,500 ในชวงกอน ป ค.ศ.1960 ที่ไดมีการโฆษณาไว แตไมไดมีการ ผลิตออกขาย ยิ่งไปกวานั้นดูเหมือนกับวาจะเปนไปไมได กับสถานการณของเศรษฐกิจ เชนนี้ บริษัทผูผลิตเครื่องบินมองผลกําไรเปนที่ตั้ง อากาศยานราคาสูงสําหรับ ไวใชงาน ทั่วไปในเชิงธุรกิจ การพัฒนาถูกนํามาใชกับเครื่องบินประเภทนี้ แตก็ยังมีความเปนไปได สําหรับเครื่องบินขนาดเบาราคาถูก ที่จะมีการนําเอาเทคโนโลยีใหมๆเขามาใช สิ่งหนึ่งที่มีการออกมานําเสนอ ในการนําเอาเทคโนโลยีใหมเขามาใช กับอากาศ ยานทั่วไป คือ โครงสรางที่ทําขึ้นมาจากวัสดุผสม (Composite structures) คําวาผสม หมายความวา โครงสรางทําขึ้นมาจากวัสดุที่แตกตางกัน เชน วัสดุไฟเบอร (Fibers) มี ลักษณะเปนเสนใยประสานกัน มีความแข็งแรง คลายๆกับแผนพลาสติก ที่ถูกทําขึ้นมา เปนรูปรางอยางที่ตองการ เชนเดียวกับ ไฟเบอรกลาส ที่นํามาทําตัวถังเรือ หรือบางสวน ของรถยนต มีความเหมาะสมเพราะสรางใหไดรูปรางอยางที่ตองการไดงาย น้ําหนักอยู ในเกณฑ การรับแรงใชไดดี ไฟเบอรกลาสมีน้ําหนักมาก แตการการพัฒนานําเอาวัสดุผสมมาใชกับ โครง สรางของเครื่องบิน นิยมใช โบรอน(Boron) หรือ คารบอนไฟเบอร (Carbon fibers) มี คุณสมบัติในการรับแรงไดสูง แตน้ําหนักเบา นีค่ ือความตองการในสวนของ วิศวกรรม โครงสราง ที่ทําใหลดน้าํ หนักของโครงสรางลงไดถึง 20-30% เมื่อเทียบกับการนําเอา อลูมิเนียม มาใชทําโครงสรางเครื่องบินทั้งลํา ถือไดวาเปนความสําเร็จของการพัฒนา วัสดุผสม เพื่อนํามาใชกับโครงสรางของเครื่องบิน ประโยชนที่ไดรับจากการนําเอาวัสดุผสมมาใช ดวยวาการขึ้นรูปวัสดุผสมนี้ สามารถทําใหพื้นผิวสวนที่อยูภายนอกสัมผัสกับอากาศที่ไหลผาน มีความเปนเนือ้ เดียวกันเรียบเปนมัน แตเดิมใชแผนไมอัดที่มีคุณภาพ มาบุผิวเพราะสามารถตอเขา ดวยกัน โดยปราศจากหัวหมุดย้ํา ใหเปนรอย แตวัสดุผสม มีพื้นผิวทีเ่ รียบ และแข็งแรง
246
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
กวานั้นอีก เมื่อนํามาทําปกจึงเปนไปตามที่เราตองการคือการไหลแบบ ลามินาร บน พื้นผิวมีเปอรเซ็นสูงขึ้น กวาวัสดุแบบอื่นที่นํามาใช ดังนั้นจึงเปนการเสริมคุณสมบัติของ แพนอากาศ NLF องคการ NASA ไดทําการวิจัยเพื่อพัฒนาวัสดุผสมที่วานี้ ใหมี คุณสมบัติที่ดียิ่งขึ้นไป หลักใหญของการเพิ่มสมรรถนะ แนนอน อยูที่การพัฒนาระบบขับเคลื่อน หรือ เครื่องยนต การปฏิรูประบบขับเคลื่อนของเครื่องบินขนาดเบา คาดหวังไปที่เครื่องยนต เทอรโบแฟน ซึ่งบริษัท ผูผ ลิตเครือ่ งยนตทั้งหลายไดพยายามคนหาวิธี ในการสราง เครื่องยนตเจ็ตขนาดเล็กราคาถูก เพื่อเปนการลดตนทุนในการนําไปใชกับเครื่องบิน ขนาดเบา แตพบวายังทําไมไดเพราะเครื่องยนตเจ็ต ตองใชวัสดุเฉพาะที่มีราคาสูง เนื่องจากตองทํางานภายใตอุณหภูมิสูงมาก มีการวิจัยที่พยายามจะนําเอาวัสดุจําพวก เซรามิก(Ceramic คลายกับกระเบื้อง) มาใชทํากลีบใบของกังหันในเครื่องยนตเจ็ต เพือ่ เปนการลดตนทุน แตก็ยังไมสําเร็จ ทีจ่ ะชวยลดตนทุนลงมาใหไดใกลเคียงกับ ราคาของ เครื่องยนตลกู สูบที่ใชอยูท ุกวันนี้ ยังมีเครื่องยนตอยูแบบหนึ่ง ที่ไมไดทาํ งานดวยลูกสูบ เรียกวา “เครื่องยนตโรตารี่ (Rotary engine)” บางครั้งเรียกวา “เครื่องยนตแวงเกิล (Wankel)” เปนการเรียกตามชื่อ ผูคิดขึ้นมา คือ เฟริก แวงเกิล (Felix Wankel) ชาวเยอรมัน เปนเครื่องยนตสันดาป ภายในชนิดหนึ่ง ดูในรูปที่ 8.18 ตัวที่มีรูปรางคลายสามเหลีย่ มที่อยูตรงกลาง เรียกวา “โรเตอร (Rotor)” จะหมุนตามเข็มนาฬิกา ทําหนาที่ ดูด อัด อากาศในหองเผาไหม แทน ลูกสูบ ในจังหวะระเบิดจะเปนการผลักใหตัว โรเตอร หมุนไป เครื่องยนต แวงเกิล ถูกนํามาใชกับรถยนต แตยงั ไมประสบความสําเร็จ เนื่อง จากมุมของตัวโรเตอรไปขูดกับผนังของหองเผาไหม โดยเฉพาะที่ความเร็วต่ํา แตถา นํามาใชกับเครื่องบินเครื่องจะเดินที่ความเร็วรอบสูงเปนสวนใหญ จึงนาจะนํามาใชได แตวายังคงตองมีการพัฒนาตอไปอีก เพื่อที่จะนํามาใชกับเครื่องบินอยางจริงจัง ขอดีของเครื่องยนตแวงเกิลคือ สามารถใชน้ํามันเชื้อเพลิงไดหลากหลายไมวาจะ เปน น้ํามันเชื้อเพลิงที่ไดจากพืช แอลกอฮอล น้ํามันออกเทนต่าํ หรือน้ํามันที่เกิดจากการ สังเคราะห ฯ ในอนาคตจะเปนประโยชนมาก เพราะแนวโนมราคาน้ํามันเชื้อเพลิง ที่ใช
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
247
กันอยูในปจจุบัน จะยิ่งสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แตเปนที่นา เสียดายที่เครื่องยนตแวงเกิล ใหกําลัง ออกมาคอนขางนอย เมือ่ เทียบกับน้าํ หนัก แตในอนาคต ก็อาจจะถูกพัฒนาใหมีกําลัง สูงขึ้นได เมือ่ เทียบกับเครื่องยนตลูกสูบ
รูปที่ 8.18 เฟริก แวงเกิล ชาวเยอรมัน กับเครื่องยนตโรตารี่ ที่เขาคิดขึ้นมา
เครื่องยนตเทอรโบพรอบ เปนเครื่องยนตที่มีสมรรถนะสูง นิยมใชกับเครื่องบิน เชิงพาณิชยหรือสําหรับผูที่ตองเดินทางไปทํางานในที่ไกลๆ ในบางโอกาส ดวยการ ประหยัด น้าํ มันเชื้อเพลิงเปนสิ่งสําคัญในยุคปจจุบัน แตดวยสมรรถนะและความนาเชือ่ ถือจึงถูกนําไปใชแบบเครือ่ งยนตเดียวกับเครื่องบินบีชไรทนิ่ง (Beach Lightning) สมิท พรอบเจ็ต (Smith Prop-Jet) และ อินเตอรเซ็บเตอร400 (Interceptor400) ซึ่งไดมีการ ปรับปรุงเพื่อนํามาใช ไปเปอร (Piper) ไดพยายามติดตั้งเครื่องยนตเทอรโบพรอบเขากับ รุน มาลีบู (Malibu) แสดงใหเห็นแนวโนมวา เครื่องบินขนาดเบาไดพยายามพัฒนา เครื่องยนตเทอรโบพรอบ เพื่อนํามาใช กับเครื่องบินรุนใหม เปนการเพิ่มสมรรถนะ เปนทีน่ ายินดี สําหรับเครื่องบิน เซสนา คาราวาน (Cessna Caravan) ประสบ ความสําเร็จในการนําเอาเครื่องยนตเทอรโบพรอบแบบหนึง่ เครื่องยนต มาติดตั้ง และ ตามมาดวยเครื่อง เฟรนช รุน แอรโรสเปเชียล ทีบีเอ็ม 700 (Aerospatiale TBM 700) ในรูปที่ 8.19 ซึ่งเปนเครื่องบินที่ไดถูกออกแบบใหมทั้งหมด และมีการปรับปรุงดวย
248
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
คอมพิวเตอร ทําความเร็วเดินทางได 300 นอต ไปไดไกล (Range) กวา 1,000 ไมล ทะเล (Nautical mile) บินไดสูง 30,000 ฟุต อยางไรก็ตามราคา มากกวา 1 ลานเหรียญ อเมริกัน ซึ่งคงไมใชเครื่องบินสําหรับนักขับเครื่องบิน ในวันหยุดสุดสัปดาห
รูปที่ 8.19 เครื่องบิน แอรโรสเปเชียล ทีบีเอ็ม 700 (Aerospatiale TBM 700) ใชเครื่องยนตเทอรโบพรอบ
ความพยายามในดานอื่นเพื่อพัฒนาเครื่องบินสําหรับนักธุรกิจ ไดทํากันมากวา สิบปแลวเครือ่ งบินใชใบพัด ของ เลียรแฟน(Learfan) ไดถูกนําเสนอ เครื่องบินรุนใหมที่ มีประสิทธิภาพ ในรูปที่ 8.20 ความคิดใหมนี้ เปนผลงานของ บิล เลียร (Bill Lear) เครื่องตนแบบไดถูกสรางขึ้น กอนที่เขาจะเสียชีวติ ในรูปเปนการบินเมื่อ 1 มกราคม ค.ศ. 1981 แตเปนทีน่ าเสียดายเนื่องจากการพัฒนาเครื่องบินลํานี้ตองใชทนุ สูง เกินกวา ที่บริษัทขนาดเล็ก ของ เลียร จะรับได โครงการนี้จึงตองหยุดลง เครื่องบินทั้งลําทําดวย วัสดุผสม กราไฟทอีปอกซี่ (Graphite-epoxy composite) และไดรับเกียรติบัตรในฐานะ ที่พยายามบุกเบิกการใชวัสดุผสมกับการพัฒนาอากาศยาน
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
249
รูปที่ 8.20 เครื่องบินตนแบบ เลียรแฟน 2100 เปนแนวความคิดใหมของ บิล เลียร
ในชวงเวลานั้น บีชแอรคราฟ (Beech Aircraft) ก็ไดมีการพัฒนาเครื่องบินสอง เครื่องยนตใชคานาด แบบใหมขึ้นมา รูจักกันในนามของ “สตารชิพ (Starship)” ในรูปที่ 8.21 เชนกันเครื่องบินลํานี้ใชวัสดุผสม ทั้งลําและทําอยางตอเนื่อง จนกลายมาเปน เครื่องบินลําแรก ที่บุกเบิกแนวความคิดใหมในลักษณะนี้ โดยไดรับความชวยเหลือจาก เบิรท รูทัน ผูมีชื่อเสียงในการออกแบบ และสรางเครื่องบินที่ใชคานาด เองที่บา น (Home built airplane) ปญหาทางเสถียรภาพ และการควบคุม อันเนื่องมาจากการใช คานาด ไดถูกแกเรียบรอยแลวจากการออกแบบในคราวนี้ดวยการออกแบบให แผนคา นาด ปรับมุมลูได เพียชจิโอ จาก อิตาลี ไดออกแบบเครื่องบินรุนใหม ใหมี แผนของแพนระดับให แรงยก 3 แผน รวมปกดวย (Three-lifting-surface) ถาเรียกเปนภาษาไทยสั้นๆ นาจะ เรียกวา “สามแผนแรงยก” ในรูปที่ 8.17 การพัฒนาเครื่องบินลํานี้ไดรบั ความรวมมือ จาก เกทส เลียรเจ็ต เปนการผสมผสาน คุณสมบัติที่ดีของ คานาด กับ ชุดแพนหางเขา ดวยกันผลการทดสอบกับเครื่องตนแบบ พบวาการใชสามแผนแรงยกชวยลดแรงตานลง ไดมากกวาการใชคานาดแตเพียงอยางเดียว ในขณะที่ยังไดรับแรงยกจากคานาด (แทน ที่จะใชแรงกดจากแพนหางดิ่ง) ในการแกโมเมนตกม อันเปนผลมาจากปกเครื่องบิน
250
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
รูปแบบของเครื่องบินในการวางตําแหนงของสวนตางๆ เปนผลมาจากการใชคอมพิว เตอร ชวยในการออกแบบ ทําใหไดเครื่องบินที่มีแรงตานต่ํา ลําตัวเครื่องบินถูกสรางใหมี การไหลบนพื้นผิวเปนลามินาร มากขึ้น สวนอื่นก็เชนกัน ดวยอาศัยเทคโนโลยีของ คอมพิวเตอร เครื่องบิน อาวันติ ทํามาจาก วัสดุผสม และโลหะ(อลูมิเนียมอัลลอย) สวน ของชุดแพนหาง และ แพนหัว(คานาด) ใชวัสดุผสม ถือไดวาเปนเครือ่ งบินที่มีน้ําหนัก เปลา เบามาก เปนการชวยลดแรงตานเหนี่ยวนํา
รูปที่ 8.21 เครื่องบิน บีชสตารชิพ (Beech Starship) รุนใหมใช คานาด
ดูเหมือนวาความหวังที่จะไดเห็น การปฏิรูปการออกแบบเครื่องบินขนาดเบา คง เปน ความหวังลมๆแลงๆ ยังคงตองใชเวลาอีกนานกวาจะเปนอยางที่ตอ งการ ซึ่งทุก วันนี้ไดใชหลักการเดิมอยู เพราะการพัฒนาและปรับปรุงที่เกิดขึ้นใหมๆ มุงไปใชกบั เครื่องบิน หรูหราราคาแพง มีเพียงบางอยางที่ไดจากการวิจัยและ นํามาใชกับเครื่องบิน
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
251
ขนาดเบา หรือเครื่องบินแขงขัน แตที่สําคัญที่สุดคือการทําใหราคาเครื่องบินขนาดเบา ถูกลง เราคงเคยเห็นและไดยนิ เรื่องของ เครื่องบินขนาดเบาพิเศษ (Ultralight) นิยม เรียกทับศัพทวา “อัลตราไรท” ซึ่งเปนความหวังของผูทชี่ อบขับเครื่องบินเพื่อความ เพลิดเพลิน หรือเปนกีฬา แตมีเงินไมมาก เครื่องบินอัลตราไรทมีแรงตานสูงมาก จึงเปน ปญหาในเรื่องของคุณภาพ โครงสรางที่อาจจะไมไดผานการตรวจสอบ และรับรอง การ แผนแบบในลักษณะเชนนี้เปนสิ่งทีผ่ ดิ ดวยเหตุนี้ จึงมักมีขาวการประสบอุบัติเหตุ บอยครั้ง ของเครื่องบินอัลตราไรท สงผลใหยอดขายของเครื่องบินประเภทนี้ตกลงอยาง รวดเร็ว แมวาบางรุนไดมีการออกแบบมาดี และกําหนดใหบินดวยความเร็วต่ํา ระยะทางใกลๆ ภายใตสภาวะที่ความเร็วลมไมสูง เปนเครื่องบินที่ถูกจัดอยูในระดับ พิเศษมาก ไดยุติการสราง บริษัทอุตสาหกรรมผลิตเครื่องบินขนาดเบาหลักๆสวนใหญ เครื่องบินขนาด เบาหนึ่งเครื่องยนต มีเพียง ไปเปอร ที่ยังคงผลิตเครื่องบินขนาดเบาหนึ่ง เครื่องยนต ออกสูตลาด และประสบความสําเร็จกับยอดขาย ซึ่งก็ตองเปนคําถามหนึง่ กับบริษัททีห่ ยุดการผลิตเครื่องบินประเภทนี้ ขอเสนอจากผูผ ลิตเครื่องบินออกขาย ที่ ใหกับ นักเลนเครื่องบินกระเปาเบา เพื่อการกีฬา หรือเพื่อความเพลิดเพลิน คงตองหันไป ที่ เครื่องบินประกอบเองที่บาน (Homebuilt aircraft) หรือที่เรียกวา “คิทเพลน (Kitplane)” มีอยูชวงหนึง่ การผลิตเครื่องบินประเภทนี้มักจะเปนแบบปกสองชั้น เพื่อใช ในการบินเพือ่ ความสนุกสนาน หรือกีฬา และเปนที่ชนื่ ชอบของผูทนี่ ิยมความเปน เครื่องบินยอนยุค ใหความรูสึกถึงอดีต เครื่องบินขนาดเบาบางแบบถูกพัฒนาโดย คอมพิวเตอรใหมีสมรรถนะสูง โดยนักออกแบบ คิทเพลน และนําเอาวัสดุผสมมาใชใน การสราง เชน แลนเซียร (Lancair) และแกรเซียร (Glasair) เปนตัวอยางที่ดีของ เครื่องบินขนาดเบาที่ไดถกู พัฒนาขึ้น แกรเซียรไดถูกออกแบบใหใชฐานลอทั้งสองแบบ คือ แบบพับได และแบบตรึง ใหผูซื้อไดมีโอกาสเลือก ดูรูปที่ 8.22 ทําความเร็วไดถึง 200 นอต ดวยเครื่องยนต 180-200 แรงมา สวนรุน แกรเซียร III ใชเครื่องยนต 300 แรงมา ทําความเร็วไดสูงกวา 230 นอต
252
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
เครื่องบิน เควสแอร เวนเจอร (Questair venture) ไดถูกออกแบบโดยวิศวกรของ ไปเปอร (Piper) ใหมีความเร็วสูงขึ้น แมใชโลหะทําทั้งลํา ดวยการเลียนแบบและลด ขนาดลงมาจากเครื่องบิน มาลิบู (Malibu) และติดตั้งเครือ่ งยนตขนาด 270 แรงมา สามารถทําความเร็วเดินทางไดสูงกวา 240 นอต ทําอัตราไตไดมากกวา 2,000 ฟุต/นาที ลดแรงตานใหต่ําลง ดวยการลดความยาวลําตัวใหสั้นลง เปนการลดพื้นผิวของ เครื่องบินที่สมั ผัสกับอากาศภายนอก ชวยลดแรงตานเสียดทาน การควบคุมและ เสถียรภาพยังคงดีอยู ดวยการเพิ่มพื้นที่ชุดแพนหาง(เนื่องจากแขนโมเมนตสั้นลงจาก การลดความยาวลําตัว) การใชคอมพิวเตอรชวยในการออกแบบ เปนการทําใหไดคาทุก อยางที่ลงตัว ไดแรงตานที่นอยที่สดุ แตไมลดสมรรถนะทางดานอืน่ นํามาซึ่ง ประสิทธิภาพสูงสุด
รูปที่ 8.22 เครื่องบิน แกรเซียร (Glasair) เปนเครื่องบินขนาดเบาประกอบเองที่บาน มีสมรรถนะสูง
ยังมีนักออกแบบ บางคนที่นําเอาเครื่องบินรุนเกาที่มีคุณสมบัติดีมาปรับปรุง อยางเชน ลอย โล เพรสติ (Loy Lo Presti) ไดออกแบบเครื่องบิน สวิฟเฟอรี่ (Swift Fury) ดูในรูปที่ 8.23 โดยที่เขานําเอาเครื่องบิน โกรบสวิฟ (Globe Swift) มาปรับปรุงเพื่อลด
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
253
แรงตาน ใหไดความเร็วสูงขึ้น กับเครื่องยนตขนาดเล็กทีน่ ํามาใช โดยมีที่นั่งผูโดยสาร เคียงกัน กําลังมาที่เพิม่ ขึ้นมา จากการประยุกตใชอากาศที่ถูกทําใหเร็วขึ้นโดยใบพัด เขา ทางชองรับอากาศ (Ram-air) ไมผานกรองอากาศ (ภายใตการควบคุมของนักบิน เมื่อ บินในระดับสูงพอ ไมจาํ เปนตองใชกรองอากาศ) ไหลตรงไปยังหองเผาไหมของเครื่อง ยนต ชวยทําใหเครื่องยนตมีกําลังสูงขึ้นไดรวมกับ การใชกระบวนการกําจัดแรงตาน และปรับปรุงรูปรางบางสวน เชน ครอบเครื่องยนต (Cowl) กระจกบังลม (Windshield) ลบมุมหรือเติมเต็มดวยการ ฟลเลต (Fillet) ประตูปดฐานลอเมื่อพับเขาเก็บในที่เรียบ เปนสวนหนึง่ ของปก ปรับปรุงสมรรถนะของปกที่ความเร็วต่ํา ผลที่ไดออกมาคือ ทํา ความเร็วได 200 ไมล/ชั่วโมง ดวยเครือ่ งยนต 200 แรงมา และไดถูกสรางขึ้นมาเพื่อขาย ออกสูตลาด แตมีจํานวนนอย จึงไมคอ ยไดเห็น
รูปที่ 8.23 เครื่องบิน ลอย โล เพรสติ ไปเปอร สวิฟเฟอรี่ ((Loy Lo Presti Piper Swift Fury)
การพัฒนาและปรับปรุงเครื่องบินยังคงมีตอไป บนพื้นฐานความรูที่มีอยู เทคโนโลยีสมัย ใหม มาจากความรูในอดีต เพื่อสิง่ ที่ดีขึ้นกวาที่เปนอยู ในอนาคต แตการ
254
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
เพิ่มขึ้นของราคาเครื่องบิน และสินคาอื่นยังเปนเรื่องปกติ มนุษยผูรักการพัฒนายังคงหา หนทางทีจ่ ะทําความฝนใหเปนความจริงอยูตอไป
8.9 แนวความคิดเรื่องอากาศยานในอนาคต (Aircraft concepts)
รูปที่ 8.24 เครื่องบินโดยสาร ที่ถกู ออกแบบใหบินดวยความเร็วในยาน ไฮเปอรโซนิก
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
255
ในชวงเวลาที่ผานมาไมนานนี้ ในประเทศสหรัฐอเมริกา ไดมีแนวความคิดที่จะ สราง อากาศยานโดยสารความเร็วสูง ที่สามารถบินในยานไฮเปอรโซนิก ที่เรียกกันวา “เครื่องบินขนสงไฮเปอรโซนิก (Hypersonic transport HST)” เรียกการขนสงนี้วา “โอ เรียนเอ็กเพรส (Orient express)” มีความหมายวา ดวนตะวันออก ที่เรียกเชนนีก้ ็ เนื่องจากวาเปนความตั้งใจที่ตองการ เปดเสนทางการบินโดยสาร ความเร็วสูง จาก อเมริกามายัง ตะวันออกคือเอเชีย ดวยอากาศยานชนิดนี้ โดยมีความคิดวาตองเปนยาน ลูกผสม ระหวางยานอวกาศกับเครื่องบิน คือ สามารถบินขึ้นจากสนามบินไดอยาง เครื่องบิน บินสูงและเร็วพอที่จะเขาสูว งโคจรในอวกาศ เพื่อความเร็วสูงในการเดินทางสู เปาหมาย และบินลงสูส นามบินไดเชนเดิม อากาศยานดังกลาว ถือไดวาเปนการพัฒนาไปไกลกวากระสวยอวกาศ หรือยาน อวกาศ เพราะตองใชเครื่องยนตขับเคลื่อนที่ตองการออกซิเจนในบรรยากาศ (ไปชวยเผา ไหมเชื้อเพลิง) เปนการเพิ่มความเร็วในชั้นบรรยากาศใหสามารถเขาสูวงโคจรในอวกาศ ได ยิ่งไปกวานั้นอาจขับเคลื่อนดวยจรวดในครั้งเดียวเพื่อใหแรงขับที่สูงมากพอ ที่จะทํา ความเร็วเพื่อเขาสูวงโคจรไดคลายๆกับยานอวกาศ และกลับเขาสูชั้นบรรยากาศดวย คุณสมบัติของเครื่องบินโดยสาร ที่บนิ ลงสูส นามบินปกติ ตามแผนของบริษัทขนสงเพื่อการพาณิชย โอเรียนเอ็กเพรส (Orient express) ไดหาหนทางที่ปฏิบัติไดจริง ดวยอากาศยานไฮเปอรโซนิกที่บนิ ดวยความเร็วในชวง มัค 5.0 ถึง มัค8.0 ดังในรูปที8่ .24 เปนเครื่องบินประเภท ไฮเปอรโซนิกทรานสปอต HST บิน ดวยความเร็ว มัค5 ของบริษัท นอทเวสท แอรไลน (Northwest airline) ซึ่งสามารถ เดินทางจาก นิวยอรก ถึง โตเกียว โดยใชเวลานอยกวา 3 ชั่วโมง เครื่องบินเพื่อการวิจัย X-15 ทําความเร็วไดถึง มัค 6.7 ในป ค.ศ.1960 อยางไรก็ตามการศึกษาภายใต องคการ ของรัฐบาลประเทศสหรัฐอเมริกา เรื่องของการบินในยาน ไฮเปอรโซนิก ที่มีชื่อเรียกวา “องคการอวกาศยานแหงชาติ (National Aerospace Plane NASP)” พบวามีความ เปนไปได ทีจ่ ะบินดวยความเร็ว มัค25 จากขอมูลยานอวกาศที่กลับเขาสูชั้นบรรยากาศ โลก เชน ยานอะพอลโล ก็ยังเดินทางกลับเขาสูบรรยากาศโลก ดวยความเร็วที่สูงกวานี้ เพียงแตวายานอวกาศใชพลังขับ เคลื่อนมหาศาลจากจรวดที่มีหลายทอน แตการ
256
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
ขับเคลื่อนอากาศยานเพื่อใหไดความเร็วสูงระดับนัน้ ดวยเครื่องยนตที่ตองการ ออกซิเจน ในบรรยากาศถือเปนเรื่องทาทายของนักคิดตอไป ระบบขับเคลื่อน (Propulsion system) เครื่องยนตแรมเจ็ต(Ramjet) ไดถูกพัฒนาใหสามารถใชงานไดที่ความเร็วสูงกวา มัค 3 เครื่องแรมเจ็ตอาศัยแรงกระแทกของอากาศที่ไหลเขามาดวยความเร็วสูงมาก (คือ พลังงานจลนของอากาศ) ทําใหเกิดการอัดอากาศโดยไมตองอาศัย ตัวอัดอากาศ (Compressor) ชวย และจุดระเบิดในหองเผาไหมที่มีการฉีดเชื้อเพลิงเขาไป อากาศใน หองเผาไหมมีความเร็วต่ํากวาเสียง จะเห็นวาไมสลับซับซอนอยางเครื่องยนต เทอรโบ เจ็ต แตอุณหภูมิในหองเผาไหมสูงมาก จนกระทัง่ วัสดุที่นํามาใชในการทําสวนของหอง เผาไหมอาจจะทนไมได แมแตเชื้อเพลิงเองก็จะสลายตัวไปกอน ที่จะถูกเผาไหม แนว ความคิดใหม ตองการนําเครื่องยนตแรมเจ็ตมาใชกับ ยานอวกาศ ที่สามารถบินในยาน ไฮเปอรโซนิก ที่มีความเร็วสูงไดนนั้ การไหลของอากาศเขาไปยังหองเผาไหมยังคงมี ความเร็ว เหนือเสียงอยู ตองมีการควบคุมอุณหภูมิไมใหสูงเกินไป เครื่องยนตแบบนี้คอื เครื่องยนตแรมเจ็ตที่มหี องเผาไหมความเร็วเหนือเสียง (Supersonic combustion ramjets) ควรเรียกทับศัพทวา “ซูเปอรโซนิกคอมบัชชันแรมเจ็ต” เขียนดวยตัวยอ ดังนี้ SCRAMjets ปญหาสําคัญอยางหนึ่งของการสรางเครื่องยนตชนิดนี้คือ การจุด ระเบิดเพื่อใหมีการเผาไหมเชื้อเพลิง อยางตอเนื่อง ในอากาศที่มีความเร็วเหนือเสียง ลองนึกภาพ การจุดไมขีดไฟในพายุ คงจะยากไมนอ ย ในการออกแบบ เครื่อง SCRAMjets ยังคงตองคํานึงถึงรูปราง ของชองทางที่ อากาศไหลเขา และทอทายที่อากาศไหลออกดวยความเร็วสูง ขั้นแรกในการออกแบบ อากาศยานไฮเปอรโซนิก สิ่งสําคัญทีต่ องพิจารณาคือ เครื่องยนตที่ติดตั้งเขากับอากาศ ยาน สวนใหญมักใหอยูดา นลางของอากาศยาน เปนการผสมผสานกับพื้นที่ดานลาง ของอากาศยาน เพื่อใหเปนชองทางอากาศที่ไหลเขาไปในเครื่องยนต และพุงออกของ กระแสเจ็ต ทําใหเกิดแรงขับ ดังในรูปที่ 8.25 จะเห็นวามีชองทางพนออกของกระแสเจ็ต ขนาดใหญ ของยานขนสงอวกาศสองขั้นตอน HST(Hypersonic Transport) เปน
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
257
แนวคิดที่นําเสนอโดย โบอิ้ง(Boeing) ในชวงแรกของการศึกษาเรื่อง ศักยภาพของ ไฮเปอรโซนิก (Potential hypersonic) เมื่อเห็นแลวอาจจะบอกไดวา การออกแบบ อากาศยานไฮเปอรโซนิก นั้นเปนการออกแบบเครื่องบินโดยยึดตัวเครื่องยนตเปนหลัก
รูปที่ 8.25 แนวความคิดในการสรางยานโดยสาร ความเร็วสูงเขาสูห วงอวกาศ สองขัน้ ตอน
ปญหาในการออกแบบเครื่องยนต ที่ใชขับเคลื่อนอากาศยานไฮเปอรโซนิก คือ เครื่องยนตแรมเจ็ตไมสามารถทํางานไดที่ความเร็วต่ํา ตองใชความเร็วสูงมากในการอัด อากาศ เขาสูหองเผาไหม เครื่องยนตจะทํางานไมไดเลยถาอากาศยานไมมีความเร็วสูง พอ ดังนั้นจึงจําเปนตองใชเครื่องยนตแบบอื่นเพือ่ ขับเคลื่อนในตอนเริ่มตนกอน เพื่อให ไดความเร็วสูงพอ ในขณะนี้ก็ยังไมเห็นวาเครื่องยนตแบบใดจะเหมาะที่สดุ ในการชวย ขับเคลื่อนอากาศยาน ขณะบินดวยความเร็วต่ํา และชวยใหไดความเร็วสูงพอเพื่อทีจ่ ะ ไดเดินเครื่อง แรมเจ็ต และเครื่องยนตชวยนี้ก็ตองติดไปกับอากาศยานดวย เปนการเพิ่ม น้ําหนักใหกบั อากาศยาน ทางออกของอากาศยานไฮเปอรโซนิกนาจะอยูท ี่ อากาศยาน
258
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
ที่ใช เครื่องยนตลูกผสม (Hybrid) เชน ผสมระหวางเครื่องยนตเทอรโบเจ็ต กับแรมเจ็ต โดยที่ความเร็วต่ําเทอรโบเจ็ตทํางาน ตอเมื่อความเร็วสูงมากขึ้น กระแสอากาศไมตอง เขาไปในชุดเทอรไบน และคอมเพรสเซอร (เพื่ออัดอากาศ) แตไหลเลยไปยัง ในสวนของ แรมเจ็ต เพื่อการทํางานในยานความเร็วสูง จึงเกิดชื่อสําหรับเครื่องยนตลูกผสมนีว้ า “เทอรโบแรมเจ็ต (Turboramjet)” นํามาใชในแนวความคิดใหมนี้ ซึ่งตอไปเมื่อมี ความเร็วสูงยิ่งขึ้น ก็จะเรียกเครื่องยนตลูกผสมชนิดนี้วา “เทอรโบสะแครมเจ็ต (TurboSCRAMjet)”
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
259
แบบฝกหัดบทที่ 8 จงนําหัวขอเรื่องตอไปนี้ ไปสัมมนา(หรือพูดคุยกัน) โดยแบงเปนกลุมๆตามความ เหมาะสม เพื่อหาขอสรุป โดยจะดูที่ เหตุผลประกอบความคิดเห็น และขอมูลที่ใชในการ อางอิง และนําขอสรุปเขียนเปนรายงานสง 8.1
ประเทศไทยของเรา สมควรมีการพัฒนาความรูและเทคโนโลยีเพื่อนํามาสราง เครื่องบินขึ้นใชเองหรือไม และถาสมควรสรางขึ้นเอง ควรเปนเครื่องบินประเภท ไหน เพื่อใชงานอะไร
8.2
จากขอ 8.1 ในกรณีที่ประเทศไทยยังไมพรอมที่จะดําเนินการสรางเครื่องบินได ในปจจุบัน นักเรียนคิดวา เราควรดําเนินการอยางไรเพื่อเปนการพัฒนาประเทศ ไปสูความเปนประเทศ ทีม่ ีความพรอมในการที่จะสรางเครื่องบิน เพื่อใหสามารถ นํามาใชเองไดในอนาคต
8.3
นักเรียนคาดวาเครื่องยนตในอนาคต สําหรับเครื่องบินขนาดเบา นาจะเปน เครื่องยนต ประเภทไหน เพราะเหตุไร
8.4
ในอนาคตมีความเปนไปไดหรือไม ทีเ่ ครื่องบินสวนใหญ จะนําเอาคานาดมาใช แทนแพนหางระดับ หรือใชรวมกับแพนหางระดับ
8.5
นักเรียนคิดวา การพัฒนาใหเครื่องบินประหยัดน้าํ มันเชื้อเพลิงมากขึ้น กับ การ ทําใหเครื่องบินบินเร็วขึน้ สิ่งไหน นาจะสําคัญกวากัน สําหรับเครื่องบินโดยสาร
260
บทที่ 8 แนวทางของเครื่องบินยุคใหม
8.6
การลดแรงตาน เปนผลดีตอเครื่องบินอยางไรบาง และจงบอกวิธีลดแรงตานของ เครื่องบินเทาที่ทราบ พรอมเหตุผล และในกรณีที่มีการปรับปรุงบริเวณปลายปก เครื่องบินนั้น ถือวาเปนการลดแรงตาน ประเภทไหน
8.7
นักเรียนคิดวา เครื่องบินปกลูหนา จะมีการนํามาใชอยางแพรหลายหรือไมเพราะ อะไร อธิบายยอๆ
8.8
การเดินทาง ขามทวีป หรือ ระยะทางไกลๆ จะมีแนวโนม เปนอยางไร นักเรียน อาจใช จินตนาของนักเรียนเองการประกอบ โดยมีเหตุผลเปนขอมูลที่เชื่อถือได
ผนวก ขอมูลทางอากาศพลศาสตร ที่ควรทราบ วินดเชียรในระดับต่าํ ใกลพื้น (LOW LEVEL WIND SHEAR) วินดเชียร เปนคําที่ใชเรียกทับศัพท ถาดูความหมายจากคําศัพท แลวนาจะ หมายถึง ลมที่พัดสวนทางกัน (เพราะคําวา “shear” แปลวา “เฉือน” ในภาษาไทย) ถา จะแปลเปนไทยนาจะตรงกับคําวา “ลมหวน” ในความหมายโดยรวม คือ การที่ลม เปลี่ยนทิศทางหรือความเร็ว ในระยะใกลๆ ถาลมมีความแรงมาก ก็ยอมสงผลตอการ ควบคุมเครื่องบิน ในกรณีที่บินอยูในระดับสูงๆ ยังมีโอกาสที่นักบินจะปรับเขาสูความ สมดุลที่เหมะสม ในเสนทางบิน แตถา เครื่องบินอยูในระดับต่ําใกลพื้น เชน ตอนที่กาํ ลัง วิ่งขึ้น หรือบินลง โอกาสเกิดอันตรายมีสูง เชน เมื่อเครื่องบินลดระดับลงอยางรวดเร็ว จนกระทั่งนักบินไมสามารถควบคุมไดอยางที่ตองการ เครื่องบินอาจจะกระแทกพื้น หรือ ออกนอก รันเวย จึงเปนสถานการณ ที่ไมตองการใหเกิดขึ้น ควรหลีกเลี่ยงถาทําได
รูปที่ 1 ผลกระทบของ “วินดเชียร”ตอการบินลง อันเนื่องมากจากพายุฝน
262
ผนวก
วินดเชียร เปนปรากฏการณธรรมชาติ ที่ลมเปลีย่ นทิศทาง ในระยะสั้นๆ ซึ่ง บางครั้งเปลีย่ นไปถึง 180 (ลมพัดสวนทางกัน) หรือมีการเปลี่ยนความเร็วของลม อาจ สูงถึง 50 นอต การเปลีย่ นแปลงความเร็ว หรือทิศทางของลม ในระดับต่ํานั้น ถาคอย เปนคอยไป ก็ไมเปนปญหา สาเหตุหนึ่งของ วินดเชียร มาจาก พายุฝนฟาคะนอง ทําให เกิดลมแรงในระดับใกลพื้น สวนทีร่ ะดับสูงขึ้นไป มีกระแสลมในแนวดิ่งพัดลงมาจาก กอนเมฆพายุฝน ดูในรูปที่ 1 เครื่องบินที่กาํ ลังจะบินลงสู รันเวย ซึง่ มีพายุฝนปรากฏอยู เบือ้ งหนา จะพบกับ กระแสอากาศไหลขึ้น ดังในรูปที่ 1 ทําใหแรงยกสูงขึ้นเครื่องบินจึงลอยตัวสูงขึ้น ในรูป เปนเสนประ และเมื่อผานเขาสูยานกระแสอากาศไหลลง ใตกอ นเมฆพายุฝน เรียกวา “ดาวนเบิรสท” (downburst แปลวาการไหลลงอยางแรง) จากขอมูลพบวาเครื่องบินที่ ประสพอุบัตเิ หตุ (ในขณะกําลังบินลง) ก็ดวยความเร็วของกระแสอากาศไหลลงดวย ความเร็วเกินกวา 1,800 ft / min (ประมาณ 33km / hr ) ทําใหเครื่องบินกระแทกพื้น ในขณะกําลังบินลง ภายใตเหตุการณเชนนี้ ถือเปนอันตรายอยางยิ่ง
รูปที่ 2 ภาพมองจากดานบน เมื่อกระแสอากาศไหลในแนวดิ่ง (down burst) กระทบกับพื้นดิน และกระจายออกทางขาง สงผลตอลมที่สมั พัทธกับเครือ่ งบิน
ผนวก
263
เมื่อ อากาศไหลลงมาในแนวดิ่ง (Downburst) กระทบพื้นดิน ก็จะกระจายออก ในทุกทิศทาง (เปรียบไดกับการเปดน้ําจากกอกน้ําไหลมากระทบพื้นอาง) ดังนั้นจึงมี ทิศทางลมทีป่ รากฏตอเครื่องบินในหลายลักษณะ ซึ่งขึ้นอยูกับตําแหนงของเครื่องบิน ดวย ดูรูปที่ 2 (เปนภาพมองจากดานบน) เชน ลมเขาทางหัว (head wind bursts) ลม เขาทางหาง (tail wind bursts) หรือ เขาทางขาง (cross wind bursts) ซึ่งสงผลตอการ ควบคุมเครื่องบินทั้งสิ้น ยังมีลักษณะของ วินดเชียร ที่เกิดจากพายุฝน ซึง่ อยูไกลออกไปจากเครื่องบิน เรียกวา “เฟสทกัสท” (first gust หมายถึง ลมกระโชก) ดังในรูปที่ 3 แสดงใหเห็น ขอบเขตของลมกระโชก (gust front nose) มีลกั ษณะการไหลของอากาศดังในรูป ซึง่ อาจจะอยูหา งจากเมฆพายุฝนออกไปไกลถึง 15 ไมลทะเล (nautical miles) ใน สถานการณจริงนั้น ยากที่จะรูไดวา มันอยูตรงไหน ซึ่งเครื่องบินอาจบินเขาไปในกระแส ลมลักษณะนี้โดยไมรูตัว
รูปที่ 3 เมฆฝนสงผล ทําใหเกิดลมกระโชก (gust front nose) ไดในระยะไกล
264
ผนวก
ในกรณีที่กระแสลมที่มีความเร็วสูงกวา 30 นอต และมีอุณหภูมิตางกันมากกวา 10 F โดยที่มีขอบเขตอยูใกลกัน มีความเปนไปไดที่จะเกิด วินดเชียรในระดับต่ํา จึงเปน อีกสถานการณหนึ่งที่นักบินจะตองระมัดระวัง อีกสาเหตุหนึ่ง ที่อาจทําใหเกิดวินดเชียรในระดับต่ําได เชนในคืนที่มีทองฟาโปรง พื้นดินแหง อุณหภูมิในเวลากลางวันและกลางคืนตางกันมาก แตบริเวณนั้นถูกปกคลุม ดวยอากาศเย็น ในชวงเวลากลางคืน พื้นดินไดเก็บสะสมความรอนเอาไวในชวงเวลา กลางวัน และถายเทความรอนใหกับมวลอากาศที่อยูติดพื้นทําใหมีอุณหภูมิสูงขึ้น ดูใน รูปที่ 4 อากาศรอนสวนที่อยูติดพื้นจึงลอยตัวขึ้น เนื่องจากอากาศในบริเวณนั้นเย็นกวา ในกรณีนี้ สงผลใหที่ระดับความสูง ประมาณ 1,000 ฟุต จากพื้น อาจมีความเร็วลมใน แนวระดับ สูงถึง 70 นอต (ในขณะที่อากาศระดับต่ํากวา สงบนิ่ง) ถามีเครื่องบิน บินใน แนวระดับคงที่ ที่ความสูงคาหนึ่ง จะไมพบวินดเชียร เวนเสียแตวา มีการลดระดับ หรือ เพิ่มระดับการบิน จึงจะพบกับ วินดเชียรดังกลาว
รูปที่ 4 ความแตกตางของอุณหภูมิของอากาศ ดานบน กันดานลาง เปนเหตุทําใหเกิดวินดเชียรได เชนกัน
วินดเชียร อาจเปนเหตุใหเกิดอันตรายตอเครื่องบิน ที่กําลังจะวิ่งขึ้นหรือบินลงสู รันเวย ไดคอนขางสูง ในกรณีที่เครื่องบินกําลังบินผานแนวเขตของ วินดเชียร ดูรูปที่ 5 ประกอบ ตอนแรกลมเขาทางหัว จึงควบคุมเครื่อง ใหอยูในแนวบิน พรอมที่จะบินลงสู รันเวย แตเมือ่ เครื่องบินผานเขตของวินดเชียร กลายมาเปนลมเขาทางหางหรือสงบ เปน
ผนวก
265
เหตุใหแรงยกลดลง (ความเร็วของอากาศผานปกลดลง) ถานักบินเพิ่มแรงขับไมทัน เปน เหตุใหเครื่องบินลดระดับเร็วเกินไป และกระแทกพื้นได แตถาเพิ่มแรงขับมากไป เครื่องบินก็จะลอยตัวสูงขึ้นออกนอกแนวบินทีเ่ หมาะสม ทําใหตองไปบินวนกลับมาใหม ไมสามารถลงจอดไดในเที่ยวนั้น
รูปที่ 5 การบินขามเสนหรือขอบเขตของ วินเชียร จากลมเขาทางหัว มาเปนลมเขาทางหางหรือ สงบ
รูปที่ 6 การบินขามเสนหรือขอบเขตของ วินเชียร จากลมเขาทางหาง มาเปนลมเขาทางหัว หรือ สงบ
266
ผนวก
ในทางกลับกัน ถาเครื่องเตรียมบินลง ในขณะที่มีลมเขาทางหาง ดูรูปที่ 6 แตเมื่อ เครื่องบินผานเขตของ วินดเชียร กลายมาเปนลมเขาทางหัว เปนเหตุใหแรงยกสูงขึน้ (ความเร็วอากาศผานปกเพิ่มขึ้น) ถานักบินลดแรงขับไมทัน เปนเหตุใหเครือ่ งบินลอยตัว สูงขึ้น ออกนอกแนวบินทีเ่ หมาะสมทําใหตองไปบินวนกลับมาใหม ไมสามารถลงจอดได ในเที่ยวนั้น แตถาลดแรงขับมากไป เปนเหตุใหเครื่องบินลดระดับอยางรวดเร็ว เครื่องบิน อาจกระแทกพื้นได สรุปไดวา อากาศมีการเคลื่อนที่ เมื่อเทียบกับพืน้ ดิน ทีเ่ ราเรียกวา กระแสลม ซึ่ง มีตั้งแตเบาจนกระทั่งแรง การเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่หรือ ความเร็วของอากาศ ที่ เครื่องบินลอยอยูนั้น ยอมมีผลตอเครื่องบินโดยตรงในเรื่องของแรงที่กระทําตอเครื่องบิน ทําใหทิศทางและความเร็วของเครื่องบินเปลี่ยนไป แมแตการลดระดับหรือเพิ่มระดับ (ตามขนาดของและทิศทางของลมที่เปลี่ยนไปนั้น) ดังนั้นเมื่ออยูใกลพื้น จึงเปนอันตราย ยากตอการแกไข แตถาเกิดขึ้นในระดับสูง ยังมีโอกาสที่จะแกไขได สิ่งทีท่ ําได คือ ควร หลีกเลี่ยงปรากฏการณดังกลาวเทาทีจ่ ะทําได การแกไขจะทําไดตอเมื่อ ขนาดของลมไม แรงมาก และ การเปลี่ยนขนาดและทิศทางของลมนั้น มีลักษณะคอยเปนคอยไป
รูปที่ 7 ลมหมุน (vortices) ปลายปกของเครื่องบินขนาดใหญเปนอันตรายตอเครื่องบินเล็กหรือ เครื่องบินขนาดเบา ควรหลีกเลี่ยง
ผนวก
267
นอกจากลมกระโชกแลว อากาศหมุนที่เกิดขึ้นจาก ปลายปกของเครื่องบินขนาด ใหญ มีความรุนแรงมากพอที่จะทําใหเครื่องบินขนาดเบา ที่บินเขามาในระยะใกลพอ เสียการควบคุมทําใหเกิดอุบัติเหตุได มีเกิดขึ้นมาไมนอย ดังนั้นเครื่องบินขนาดเบาจึง ควรหลีกเลี่ยง กระแสลมหมุนดังกลาว โดยเฉพาะในขณะบินลง ดังแสดงในรูปที่ 7-8
รูปที่ 8 แนวการบินลงสนามบินของเครื่องบินเล็ก ในขณะที่มีเครื่องบินขนาดใหญอยูดานหนา เพื่อ ความปลอดภัย ในการหลีกเลี่ยงลมหมุน จากปลายปก
268
ผนวก
รูปรางและคุณสมบัติของ แพนอากาศบางแบบ
เสนเคิฟ แสดงคาสัมประสิทธิ์แรงตาน C D ของรูปทรงแตละแบบ เทียบคา ตัวเลขเรยโนลด Re
ผนวก
269
รูปแสดงทาทางการบิน ที่ควรทราบ
Loop ลูบ เปนการดึงคันบังคับมาขางหลัง อิลิเวเตอรหกั ขึ้น ทําใหเครื่องบินเงยขึ้นเปนรูปโคง ถา ความ เร็วและ แรงขับมากพอ เสนโคงการบินนี้จะตอเนือ่ งครบรอบกลับมาอยูในแนวระดับเชนเดิม
Roll โรล เปนการผลักคันบังคับไปทางซาย หรือขวา ควบคุมไอรอน (Aileron) ทําใหเครื่องบิน หมุนรอบแกนลําตัว ไป 360 องศา (เหมือนกับกลิง้ ดานขาง)
Immelman turn อิมเมลแมน เทิน เปนทาทางทีท่ ําใหเครื่องบินวกกลับในระนาบดิ่ง ใชชื่อของ นักบินชาวเยอรมัน ที่แสดงทานี้ เปนคนแรก เปนการทําลูบ (Loop) แตไมครบรอบ รวมกับการโรล (Roll) เครื่องบินไป 180 องศา เพื่อไมใหเครื่องบินหงายทอง เมื่อเครื่องบินหันหัวมาในทิศทาง ตรง ขาม ทําใหทิศทางการบินยอนกลับทิศทางเดิม
270
ผนวก
การเรียกชื่อสวนตางๆของเครื่องบิน
ผนวก
271
ความเร็วเสียงกับปรากฏการณ คลื่นช็อค และผลตอความดังของเสียง
รูปบน เครื่องบิน บินดวยความเร็วสูงกวาความเร็วเสียง แสดงใหเห็นวา เมื่อความเร็วของ เครื่องบินสูงกวาความเร็วของคลื่นเสียง(ความเร็วของการสงถายการรบกวนในอากาศ) คลืน่ เสียงมี ความเร็วไมมากพอที่จะวิ่งแซงหนา เครื่องบินขึ้นไปได จึงกอตัวซอนกัน ลักษณะดังในรูป เปนคลื่น ช็อคเฉียง ถาสิ่งที่รบกวนเล็กมากเทาปลายเข็ม จะปรากฏเปน มัคเวฟ (Mach wave) บริเวณนี้ หนาแนนไปดวยคลื่นเสียงทีม่ าออกันแนน มีความดังมากถาตัวเราไปอยูในบริเวณนี้ เรียกวา “โซ นิกบูม (Sonic boom)” สวนบริเวณ ดานหนา แมเห็นเครือ่ งบินแตยงั ไมไดยินเสียง เรียกวา “ไซเรน โซน (Silence zone)” ตอเมือ่ เสียงเคลื่อนที่หรือแผมาถึงตัวเราจึงไดยนิ รูปลาง เปนปรากฏการณที่เรียกวา “ดอพเรอเอฟเฟค (Doppler Effect)” คือเมื่อมีรถที่สง เสียงตลอดเวลา เชน รถฉุกเฉินเปดสัญญาณไซเรน และวิ่งดวยความเร็ว ผูที่ยนื อยูด านหนา จะได ยินเสียงดังกวาคนทีย่ ืนอยูดา นหลัง หรือ เสียงไซเรนจะดังกวาตอนรถวิ่งเขา แตจะคอยลงตอนรถ วิ่งจากไป ในระยะทางจากแหลงกําเนิดเสียงทีเ่ ทากัน เนื่องจากความเร็วของรถ สงผลตอความ หนาแนนของคลื่นเสียง ที่สง ออกมา ในทิศทางขางหนาและขางหลัง
272
ผนวก
การสังเกต และประมาณคาความเร็วลม การประมาณคาความเร็วลม โดยวิธีของ บิวฟอต(Beaufort’s Scale) ในป ค.ศ.1805 ชาว อังกฤษ เซอร ฟรานซิส บิวฟอต (Sir Francis Beaufort) ไดกําหนดวิธกี ารประมาณคาความเร็วลม ไว ตั้งแต 0 – 12 ระดับ โดยสังเกตจากธรรมชาติแวดลอม เชน ตนไม คลืน่ ในทะเล ควันที่ลอยขึ้น การประมาณระดับความเร็วลม เปนไปตามรูป ดานลางนี้ สวนที่ระดับ 12 เปนพายุ เฮอริเคน
ระดับ 1 ตนไมสงบนิง่ ความเร็วลมอยูท ี่ 0-1 กม./ชม.
ระดับ 4 ลมพัดเอื่อยๆกิ่งไมเล็กแกวงความเร็วลมอยูท ี่ 20-29 กม./ชม.
ผนวก
273
ระดับ 6 ลมพัดแรงกิ่งไมใหญแกวง ความเร็วลมอยูท 4ี่ 0-50 กม./ชม.
ระดับ 7 ลมแรงขึ้นใกลเปนพายุ กิง่ ไมใหญไหว ตนไม เริ่มเอน ความเร็วลมอยูที่ 51-61 กม./ชม.
ระดับ 9 พายุลมแรงมีกิ่งไมหัก อาจมีตน ไมโคน ความเร็วลมอยูท ี่ 75-87 กม./ชม.
274
ผนวก
การเปลี่ยนหนวย เปลี่ยนจาก
มาเปน คูณดวย นิ้ว(inch) เซนติเมตร(cm.) 2.54 เมตร m ฟุต ft 3.28 เซนติเมตร(cm.) นิ้ว(inch) 0.3937 กิโลเมตร(km.) ไมล(mile) 0.6215 ไมล(mile) กิโลเมตร(km.) 1.609 ไมลทะเล(nautical mile) กิโลเมตร(km.) 1.852 กิโลเมตร(km.) ไมลทะเล(nautical mile) 0.53995 ตารางฟุต ft 2 ตารางเมตร m 2 0.0929 สลัก/ลูกบาศกฟุต ( slug ft 3 ) กิโลกรัม/ลูกบาศกเมตร (kg m 3 ) 515 นอต(knot) ไมล/ชม. mile hr 1.15 นอต(knot) กิโลเมตร/ชม. km hr 1.852 เมตร/วินาที m s กิโลเมตร/ชม. km hr 3.6 ฟุต/วินาที ft s เมตร/วินาที m s 0.3048 แกลอน(gallon) ลิตร(litre) 3.7854 ลิตร(litre) แกลอน(gallon) 0.26417 แรงมา(hp) วัตต(Watt) 745.69987 มวล สลัก (slug) กิโลกรัม (kg) 14.6 แรง ปอนด (lbf) แรง นิวตัน (N) 4.448221 น้ําหนัก กิโลกรัม(kg) น้ําหนัก ปอนด(lbf) 2.2053 วัตต(Watt) หรือ ( N m) s บีทียู/ชม. (Btu/hr) 3.4144 บีทียู/ชม.(Btu/hr) วัตต(Watt) 0.29287 บีทีย(ู Btu) จูล (Joule) หรือ N m 1054.35 ความดัน ปอนด/ตารางนิ้ว psi นิวตัน/ตารางเมตร ( N m 2 ) (Pa ) 6894.75 ความดัน บาร(bar) บรรยากาศ ปอนด/ตารางนิ้ว psi 14.7 องศาเซลเซียส C คือ TC 5 9 TF 32 C เมื่อ TF คืออุณหภูมิเปน F องศาฟาเรนไฮต F คือ TF 9 5 TC 32 F เมื่อ TC คืออุณหภูมิเปน C
ผนวก
คุณสมบัติของอากาศ ตามระดับความสูง
อุณหภูมิ แตละระดับความสูง ในชัน้ บรรยากาศโลก
275
276
ผนวก
เงื่อนไขของเหตุการณที่ควรทราบ สภาวะสะเตดดี (Steady)
ในกรณีที่เราตองการพิจารณา คุณสมบัติทางอากาศพลศาสตร เชน แรงยก แรงตาน ฯ ตองทําการพิจารณา ภายใตสภาวะ สะเตดดี (ในภาษไทยมักจะเรียกวา “คงตัว”) โดยที่ปจจัย แวดลอมไมเปลี่ยน เชน ที่คา ความเร็วคาหนึง่ ในรูปดานบน แสดงใหเห็นวา ในชวงที่ สะเตดดีนนั้ คาความเร็วไมมีการเปลีย่ นแปลง(คงที่) เมื่อเทียบกับเวลา (ไมเกี่ยวกับตําแหนง เพราะคาความเร็ว ในแตละจุดอาจจะไมเทากัน) ในทางคณิตศาสตร จะเปนผลทําใหคา
dV 0 dt
เพราะ ดิฟ คาคงที่
จะไดเทากับศูนย หมายถึงความเร็ว สะเตดดี แตถาเราพิจารณา ความถี่ หรือ จํานวนครั้ง การเตน ของหัวใจเรา ตอหนึง่ นาที ถาในชวงเวลานัน้ ความถี่การเตนของหัวใจเรา ไมเปลี่ยน ก็แสดงวาหัวใจ เราเตนอยาง สะเตดดี ในชวงเวลานั้น สิง่ ใดหรือปรากฏการณใดก็ตาม เมื่อเวลาเปลี่ยนไปแตสิ่งนั้น ไมเปลี่ยน ถือไดวา สะเตดดี แตในความเปนจริง ความเปนไปทัง้ หลายในธรรมชาติ ไมสะเตดดี แต ถาจะสะเตดดี ก็จะเปนเพียงในชวงเวลาหนึ่งเทานัน้ อาจจะเพียงแคในชวงไมกวี่ ินาที จนกระทัง่ เปน ป หรือหลายรอยป หรือมีความเขาใกลความเปน สะเตดดี เทานัน้ ในการทดลองอาจจะมีการ อนุโลม บางเหตุการณทถี่ ือวาเขาใกลความเปนสะเตดดี วา สะเตดดี ก็ถือวาใชได แลวแตลักษณะ ของขอมูลที่ตอ งการ ในโลกแหงความเปนจริงการแปรเปลี่ยนของทุกสิง่ อยางในธรรมชาติตาม กาลเวลา เปนสัจจะธรรม หรือ กฎของธรรมชาติ
ผนวก
277
การไหลแบบยูนิฟอรม (Uniform Flow)
เมื่อเราเขาใจความหมายของคําวา สะเตดดี (Steady) แลว ยังมีเงือ่ นไขของเหตุการณ ที่ มักจะมีการกลาวถึง บอยๆ คือ การไหลแบบ ยูนฟิ อรม ถาดูตามศัพทภาษาอังกฤษ UNI หมายถึง หนึง่ และ FORM หมายถึง แบบ หรือ รูป ในความเห็นสวนตัวของผมเอง นาจะเรียกเปนภาษาไทย วา “เอกรูป” แตในบางที่อาจจะเรียกวา “สม่ําเสมอ” สวนในกรณีทนี่ ํามาใชกับเรือ่ งของ อากาศ พลศาสตร หรือของไหล จะหมายถึง ในขณะที่ของไหลกําลังไหล ขนาดและทิศทาง ของความเร็ว ของของไหล ตองเทากัน และไหลไปในทิศทางเดียวกัน เชน คนจํานวนมาก กําลังเดินแถว ถาเดิน อยาง ยูนฟิ อรม ทุกคนตองเดินดวยความเร็วเดียวกันคือเทากัน และไปในทิศเดียวกัน (ไมใชจุด เดียวกัน) ในรูปดานบน เปนการไหลอยางสะเตดดี บริเวณซายมือเปนการไหลแบบ ยูนิฟอรม (Uniform) เมื่อเขาใกลวัตถุการไหลจึงเปลี่ยนไปเปน แบบไมยูนฟิ อรม(Nonuniform) เพราะมี ทิศทางและ ขนาดของความเร็วที่แตกตางกันในบริเวณนัน้ ตามปกติการพิจารณาทางอากาศ พลศาสตร กระแสอากาศอิสระ V ที่กลาวถึงบอยๆ ตองเปนการไหลแบบ ยูนฟิ อรม
278
ผนวก
แรงตานเหนี่ยวนําอันเปนผลมากจาก Downwash
แรงตานเหนี่ยวนํา (Induce Drag) เปนผลมาจากการแตก แรงยกL ซึ่งเกิดจากมุมปะทะที่สงผล ไปในแนวทิศ ทางการไหลของกระแสอากาศ
จากในรูป จะเห็นวาการไหลลงของอากาศดานหลังของปกเครื่องบิน เหนีย่ วนําใหอากาศ ดานหนาทีก่ ําลังเคลื่อนตัวเขาหาปก เบี่ยงลง (มาก-นอย ขึ้นอยูกับความรุนแรงของ อากาศหมุน ปลายปกที่เรียกวา วอเทก) เปนมุม i ที่เรียกวา มุมปะทะเหนี่ยวนํา (Induce angle of attack) จากในรูปจะเห็นวา มุมปะทะที่สง ผลจริงจะเล็กลง เปนผลใหแรงยกลดลง หรือแรงยกจากมุมปะทะ eff คือ แรงยก L ตองเอียงไปขางหลัง สวนแรงยกที่ตั้งฉากกับทิศทางการไหลของกระแสอากาศ อิสระจะนอยกวาแรงยก L จากการเอียงของแรงยก L เมื่อเราแตกแรงไปในทิศทางของกระแส อากาศอิสระ จะไดความตานทานเกิดขึน้ มาอีกอันหนึง่ คือแรงตานเหนีย่ วนํา Di ดวยเหตุนจี้ ึงมัก นิยม เรียกแรงตานนีว้ า แรงตานเนื่องมาจากแรงยก Lift Due to Drag
ผนวก
279
ความสัมพันธ ระหวาง ความเร็ว ที่มีหนวย นอต กับ กิโลเมตร/ชั่วโมง
รูปที่ 5.31 แสดงใหเห็นวาความเร็ว 1 นอต คือการเคลื่อนที่ไปเปนระยะทางที่ทํามุม ที่จุดศูนยกลางโลก เทากับ 1/60 องศา
เริ่มตนที่โลกของเราเปนวงกลมมีเสนผาศูนยกลางยาว 7,926 ไมล ดูรูป ดังนัน้ เสนรอบวงของโลกยาว
D
เปนเสนรอบวงของวงกลมปดมุม
360
22 7,926miles 24910.28miles 7
สวนโคงที่ปดมุม 1 องศา ยาวตามความโคง 24910.28miles 69.195miles 360
สวนโคงที่ปดมุม 1/60 องศา (1 ลิปดา) ยาวตามความโคง 69.195miles 1.1532miles 60
ซึ่งเปนระยะทาง 1 ไมลทะเล (nautical miles) จึงเทากับ 1.15 ไมล (โดยประมาณ) ความเร็ว 1 นอต เทากับ 1 ไมลทะเล/ช.ม. = 1.15 ไมล/ช.ม. หรือ ความเร็ว 1 นอต เทากับ 1.1532 5280 1.69136 ft หรือ
ความเร็ว 1 นอต เทากับ
s 60 60 1.15 1.6 1.84 กิโลเมตร/ช.ม.
280
ผนวก
ตัวอยาง แนวทางการเขียนแบบ เครื่องบินบังคับวิทยุ ประกอบการแขงขัน
ผนวก
281
พื้นที่ปก นั่นหมายถึงพื้นที่ฉายของปก เทากับ กวาง คูณ ยาว ก็คือ ระยะกางปก คูณดวย ความ ยาวคอรด(Chord) ดังแสดงในรูปดานบน นี้
282
บรรณานุกรม ปราโมทย์ แตงหอม, อากาศยานและอากาศพลศาสตร์ พนื ้ ฐาน