สมุดประวัติชีวิต นางส้มลิ้ม บุญญานันต์ เล่าให้ลูกฟัง

Page 1



สมุดประวัติชีวิต นางส้มลิ้ม บุญญานันต์ เล่าให้ลูกฟัง


2


3

ก่อนข้อเขียนของแม่ “สมุดประวัติ นางส้มลิ้ม บุญญานันต์ เล่าให้ลูกฟัง” ฉบับนี้ แม่ เขียนขึ้นเองระหว่าง พ.ศ. 2530-2533 จากการรบเร้าของลูกๆให้แม่ เขีย น (อะไรก็ได้) ไว้ ในยามว่าง แม่เขีย นด้ ว ยลายมื อของแม่ในสมุ ด ขนาด 25 แผ่น ได้ 50 หน้าเต็มพอดี ลายมือแม่สวยอ่านสบาย ไม่ เหมือนลายมือของพวกเราลู กๆ เรื่องที่แม่เขียนก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ นับว่าหนังสือเล่มนี้ของแม่มีคุณค่าอย่างยิ่งต่อลูกลูกทุกคน ปีนี้ (2539) แม่อายุครบ 84 ปี (4 รอบ) ย่าง 85 ปี เรานัดกันมาทาบุญพร้อมกัน และทาบุญให้แม่ผู้ประเสริฐของพวกเราด้วย ปีนี้เราขาดแต๋ว มาลัย ไป คนหนึ่งโดยที่ไม่มีใครคาดคิดว่าเขาจะด่วนจากไปก่อนใครใคร ปีหน้า 2540 แม่อาจจะเขียนอะไรเล่าให้ลูกฟังอีก หรือถ้าไม่เขียนลูกๆก็จะให้ แม่เล่าให้หลานหลานที่บ้านเขียนไว้ ปีหน้าจะได้มีข้ อเขียนของแม่แจก ลูกหลานในวันสงกรานต์อีก ขอให้แม่ของพวกเราจงอายุมั่นขวัญยืน สุขภาพแข็งแรง ลูกๆทุกคน


4


5

ตอนที่ 1


6


7

ประวัติคุณตาคุณยาย นางส้มลิ้ม บุญญานันต์ เป็นบุตรนายเขียว อีสาน และนาง สัมฤทธิ์ สอนแจ้ง พ่อเป็นมารดาของนางส้มลิ้ม บุญญานันต์ สาหรับนาง สัมฤทธิ์นี้ เป็นบุตรของนายแจ้ง นางชื่น ซึ่งเป็นทายกวัดคงสวัสดิ์สมัย ปัจจุบันนี้ แต่ก่อนชื่อวัดบางกระดี่สมัยที่หลวงพ่อคงยังมีชีวิตอยู่ ทั้งสอง นี้เป็นคุณตาคุณยายของนางส้มลิ้ม บุญญานันต์ สาหรับตา ยายทั้งสองนี้ มีบุตรเป็นผู้หญิง (4 คน) คือป้าเสม (ไม่มีลูก) และแม่สัมฤทธิ์ (มีลูก 2 คน) น้าสี (มีลูก 4 คน ตายหมดแล้ว นายบุญทันเป็นหลาน) บุตรชาย มีน้าฑิตถี ไม่มีลูก เป็นทายกวัดบางกะ พี้สมัยก่อน น้าฑิตเถียร ไปมีครอบครัวอยู่บ้านท่าไม้ เป็นทายกวัดหัว ยางสมัยก่อน (มีบุตรสาว 4 คน ขณะนี้ตายหมดแล้ว มีบุตรชายคนเดียว คือ มหาถวิล สอนแจ้ง) น้าสาวคนเล็กชื่อน้าเมี้ยน มีลูก 2 คน (ตายแล้วไม่อยู่จนแก่) คือมหาทองอยู่ และนางทองหยด เป็นลูกของน้าเมี้ยน รวมทั้งหมดมีลูก 6 คน คือลูกของตายาย (ของนางส้มลิ้ม)


8

1. 2. 3. 4. 5. 6.

ประวัติของปู่ ปู่สาร ย่าใย มีบุตร 6 คนคือ ลุงไม้ (มีบุตร 3 คน เป็นหญิงทั้งหมด เสียชีวิตหมดแล้ว เหลือหลาน คนเดียวคือครูจบ) ป่าครอบ (มีบุตร 6 คน เป็นย่าของนายแลในปัจจุบัน) ลุงปาน (มีบุตร 8 คน ชาย 5 หญิง 3 ยังเหลือพี่อ่อนกับพี่แหวน) ลุงพริ้ง มีบุตร 3 คน หญิง 1 ชาย 2 ปัจจุบันยังเหลือหลาน คือ นางส้มกรุ่น กับนางซ่อนกลิ่น) คุณพ่อเขียว (มีบุตร 2 คน หญิง 1 ชาย 1 คนที่ตายแล้ว) อาถมยา (มีบุตร 1 คน เป็นหญิง เหลือหลานคือ นายถวิล เป็น ทหารอากาศ นายถวัลย์ นายเสวก นี้คือหลานอาถมยา) นี้เป็น ลูกหลานฝ่ายปู่สาร ย่าใย


9

ประวัติของคุณพ่อเขียว ดีสาร คุณพ่อเขียว ดีสาร เกิดทีข่ ้างวัดสุขารมย์ในปัจจุบัน ตรงบ้านที่ พี่อ่อนอยู่ คือบ้านของปู่ ย่าเดิม คุณพ่อเขียวเป็นลูกคนที่ 5 ของปู่ มี น้องชายคืออาถมยา เป็นน้องคนสุดท้องของพ่อ ได้หาเงินทองแต่งเมีย ให้อา เป็นลูกผู้มีหลักฐาน ให้ที่บ้านหัวยาง คืออาเทียม มีลูก 1 คน คือ นางประเทือง แม่นายถวิ ล นายเสวก อยู่มาไม่นานก็ตายหมดทั้งแม่ทั้ง ลูก คงเหลือเด็กทั้งสามคน ส่วนนาและที่สวนที่เป็นของปู่นั้น ตกเป็น ของคุณพ่อเพราะคุณปู่ยกให้ คุณปู่เป็นคนใจบุญ จึงเตรียมสร้างวัดสุขา รมย์เพื่อจะได้ทาบุญใกล้บ้าน แต่ก่อนต้องไปทาบุญที่วัดคงสวัสดิ์ (เดิม ชื่อวัดบางกะพี้) ต่อมาลุงไม้ (ลูกคนหัวปีของปลูกสาร ย่าใย) เป็นคนรับ ต่อในการก่อสร้าง ลุงไม้คือ ตาของครูจบในปัจจุบัน ส่วนที่สวนได้ขาย ให้กับพี่อ่อน ส่วนนาก็ยังอยู่จนปัจจุบันนี้ คุณพ่อเขียว ดีสารเป็น คนใจบุญไม่ขาดการไปทาบุญเป็น ประจา ใจกว้างเป็นแม่น้า ไม่ทะเลาะเบาะแว้งหรือโกรธเคืองใคร ครั้ง หนึ่งมีคนมาด่าหาว่าคุณพ่อต้อนควายฝูงลบรอยขโมยลักควาย ขณะนั้น คุณพ่อกาลังกาลังยาลานอยู่ เขาด่าอย่างสาดเสียเทเสีย คุณพ่อกวาด ลานยิ้มอย่างสบายมาก คุณแม่ทนไม่ไหว ก็ชักมีดเหรียญสาหรับหวด หญ้าวิ่งแร่เพื่อจะต่อสู้กับศัตรู แล้วพูดว่า เอ็งจะไปเอาเรื่องกั บคนไม่มี หัวใจนั้น มันไม่ได้ผล ต้องมาเอากับข้านี่ จึงจะเห็นผล คุณพ่อเป็นคนใจดี ไม่เคยดุด่า หรือตีลูกสักครั้งเดียว มีแต่สั่ง สอนให้ทาแต่บุญ ห้ามกระทาบาปทุกอย่าง แม้แต่ไข่ไก่ก็ห้ามไม่ให้เอา


10

มาต้มกินเพราะมันจะบาป คุณพ่อไม่เคยกินเหล้าเมายา คนทั้งหลายไม่ เคยเกลียดชังคุณพ่อเลย เขารู้ว่าคุณพ่อไม่ทาบาป ใครหาปลาได้ก็เอามา ให้คุณพ่อ ใครหาเนื้อได้ทุกชนิด เขาก็เอามาแบ่งให้กิน ถึงไม่หาไม่ฆ่าก็ ไม่อดสักอย่าง คุณพ่อไม่ได้ร่ารวย พอมีพอกิน มีใช้ ไม่ได้เป็นหนี้ใคร คุณพ่อ เปี่ยมไปด้วยเมตตาธรรม แต่คุณพ่อยังมีกรรมเก่าต้องมาเสียตา เมื่ออายุ ราว 60 ปี เพราะไปถางป่าไผ่ ถูกแขนงไผ่ลัดสายตา ทาให้เสียตาไป 1 ข้าง ต่อมาก็ตัดสินใจบวชเป็นพระ จาพรรษาอยู่ที่วัดสุขารมย์บ้านเกิด ของท่าน ตอนนั้นหลวงปู่เดชเป็นสมภาร สาหรั บ หลวงปู่ เดชนี้ ท่านเป็ น ลู กพี่ลู กน้องกับปู่ส าร คุณพ่อ บวชอยู่ที่วัดสุขารมย์ถึง 10 พรรษา หลวงปู่ก็ได้เสียชีวิตลงด้วยโรคชรา คุณพ่อก็อายุมากเข้า ตาก็มืดลงทั้ง 2 ข้าง แม้จะให้หมอลอกถึง 2 ครั้ง ตาก็ไม่หาย ยิ่งมืดดับสนิทหมดทั้ง 2 ข้าง จาเป็นต้องลาสึกมาอยู่กับลูก ที่บ้าน แม้จะสึกมาอยู่บ้าน ท่านก็ทาตัวเหมือนท่านเป็นพระ สวดมนต์ 3 เวลา แล้วก็ยังกินข้าว 2 เวลา นอนกับเสื่อ ไม่นอนที่นอน ต้องทา สารับให้คุณพ่อฉันทุกวัน ถ้าหน้าเข้าพรรษา ก็นิมนต์พระมารับสังฆทาน ที่บ้านทุกวันไปจนตลอดชีวิต คุณพ่ออยู่มาจนอายุ 90 ปี จึงมรณภาพ คุณพ่อไม่ได้เจ็บไข้ คุณพ่อกาลังสวดมนต์อยู่ ท่านก็ฟุบลงไปเฉยๆ ไป ตามหมอมาฉีดยามา หมอก็ไม่ยอมฉีดยาให้ เขาบอกว่าแกไม่ได้เป็นโรค อะไร หัวใจแกจะหยุดเต้น แล้วแกก็หยุดจริงๆ ด้วยอาการสงบ เป็นอันว่าคุณพ่อก็จบฉากการแสดงละครชีวิตไปแล้ว ยังแต่เรา จะต้องแสดงกันต่อไปอีกตามอานาจของกรรม


11

ประวัติของนางส้มลิ้ม บุญญานันต์

นางส้มลิ้ม บุญญานันต์ เป็นบุตรของนายเขียว ดีสาร กับคุณ แม่สัมฤทธิ์ ดีสาร มีบุตร 2 คน คุณหมอทองอินทร์ เป็นพี่ชาย นาง ส้มลิ้ มเป็น น้องสาว พี่หมอทองอิน ทร์โ ตขึ้นมาก็เข้าวัด ก็ส มัยนั้นต้อง เรียนหนังสือจากวัด นอกจากวัดแล้วก็จะไม่มีโรงเรียน


12

ส่วนนางส้มลิ้มนั้น เกิดเมื่อ พ.ศ. 2455 พฤษภาคม ไม่ทราบ ว่าวันที่เท่าไหร่ ปีชวด เดือน 6 ขึ้น 14 ค่า เป็นลูกผู้หญิงคนเดียวของ คุ ณ พ่ อ เขี ย ว คุ ณ แม่ สั ม ฤทธิ์ ดี ส าร เมื่ อ โตขึ้ น มา รู้ เ ดี ย งสาแล้ ว เห็ น เด็กผู้ชายเขาอ่านหนังสือกัน ก็นึกชอบเป็นชีวิตจิตใจอยากอ่านเป็นบ้าง เวลาไปวัดกับแม่แก่ (ย่าชื่น) ไปถือศีล ได้เห็นพระเทศน์ ท่านเอาคัมภี ร์ เทศน์มาอ่านให้ฟัง ก็นึกในใจว่า แล้วทาไมเราจะอ่านหนังสือได้บ้าง จึง เก็บความรู้สึกไว้แล้วจึงไปถามคุณพ่อ คุณพ่อก็สนับสนุนให้เรียน สมัยนั้นเขาไม่นิยมให้ผู้หญิงเรียนหนังสือ เขากลัวจะเล่นเพลง ยาวกับผู้ชาย คุณพ่อก็ยินดีสอนให้ เอาแผ่นกระดานไม้ทองหลางมาทา ดินหม้อให้ดาเป็นกระดานดาเขียนหนังสือ ดินสอก็ปั้นเอาเอง เอาดินสอ พองมาผสมกับ ดินเหนี ยวปั้น เอาเอง ทาดินสอเขียนกระดานดาเรียน ตามแบบโบราณ ตั้งต้นแต่เรียนเขียนแล้วก็อ่านแล้วก็ลบ แล้วก็เขียน ใหม่ ซ้าๆกันจนจาได้ทั้งหมด ทั้งเขียนเองอ่านเองได้หมด ทั้งพยัญชนะ อักษรสูง กลาง ต่า แล้วสระ เขียนและอ่านจนจาได้ เรียนไม่เท่าไหร่ ปี เดียวก็อ่านหนังสือทุกอย่างได้หมด ดูช่างง่ายดาย ไม่ยากเลย นี่เรียนกับ คุณพ่อที่บ้าน พอถึง พ.ศ. 2466 ก็มีรัฐบาลเปิดโรงเรียนรัฐบาลภาคบังคับขึ้น จัดโรงเรียนสอนตามวัดต่างๆ โดยใช้พระสอน ในขั้นแรกตามศาลาวัด ข้าพเจ้าเองที่ได้มีโอกาสเข้าโรงเรียนมันช่างดีใจเหลือเกิน พระสงฆ์สมัย นั้นท่านมีความรู้ความสามารถมาก ลูกผู้ชายสมัยนั้นต้องบวช 3 ปีเป็น อย่างน้อย อย่างมากต้อง 5-6 พรรษา ถ้าใครบวชพรรษาเดียว สังคม เขาหาว่าเหมือนเด็กเลี้ยงควาย ถ้าใครเรียกฑิต คนเรียกนั้นแหละบาป


13

แม่เข้าเรียนทีแรกเมื่อ พ.ศ. 2466 เข้าโรงเรียนไปได้ก็ขึ้นชั้น ป.2 เลย เพราะหนังสือเก่งไปจากบ้านแล้ว มีครูเป้าเป็นครูสอน ต่อมา ครูเป้าแกอายุมาก แกเป็นคนดี มีความรู้ความสามารถมาก ด้านฝีมือ สาหรับผู้หญิง เช่น เย็บปักถักร้อย หรือจักสาน แกสอนให้ทุกอย่าง แม่ เรียนอยู่ถึง พ.ศ. 2448 ก็จบ รุ่นเดียวกับแม่จบ ป. 4 มี 2 คน แม่เอง 1 คน และ 2 นายสุดใจ ลูกกานันกาบ เมื่อออกจากโรงเรียนแล้วก็ต้องไป ช่วยครูที่โรงเรียนเพราะครูมีคนเดียว ไปบ้างไม่ไปบ้าง ภาระทางบ้านก็ มากมาย ต้องตักน้าตาข้าวหากินเลี้ยงพ่อแม่ ท่านก็ป่วยการกระเซาะ กระแสะ ต่อมาทางอาเภอเขาจ้างให้เงินเดือนๆละ 6 บาท ก็ไปทาไม่ได้ เพราะไม่มีคนทางานบ้านแทน ต่อมาทางอาเภอเขามาติดต่อ เขาจะให้ ไปเรียนฝึกหัดครูที่จังหวัดนครสวรรค์ โดยไม่ต้องเสียเงินเลย รัฐบาลเขา จะออกให้ แม่ก็ไม่มีโอกาส พ่อแม่ก็ให้ไป เราไปไม่ได้เอง พ่อแม่ก็ชรา แล้ว มิห นาซ้ายั งป่ วยไม่หยุดหย่อน นอนคิดแทบตาย ทิ้งพ่อแม่ไม่ได้ กลั ว แกจะไม่ มี ค นท างานบ้ า นแทนแก คิ ด แล้ ว อนาถใจตั ว เอง เลย ตัดสินใจไม่ไป เพราะห่วงพ่อแม่ ประมาณการชลประทานเขาจ้างเป็นเสมียน ให้เงินเดือน 15 บาทต่อเดือน พ่อกับแม่ไม่ให้ไป กลัวจะมีผัวพวกชลประทาน เมื่อพ่อกับ แม่ไม่ให้ไปก็ไม่ไป นี่ชีวิตของพ่อแม่ลูกได้ผูกพันมาอย่างนี้ จะมั่งมีหรือ ยากจน ผลสุดท้ายก็ตายด้วยกันทั้งหมดนี้คือความจริง เมื่อเรามีชีวิตอยู่ ก็ประกอบแต่คุณงามความดี ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เมื่อโตขึ้น 16-17 ปี พ่อก็มาจับที่ (ที่ดิน) ป่าไผ่หลังบ้าน เอา แรงกันถางกั บน้าฑิตนะ (นายนะ โพธิ์ชัย) และน้าฑิตคาลูกปู่ดา เขามี


14

ลูกชายหลายคน เป็นหนุ่มแข็งแรง ทากันจนเตียนหมด 15 ไร่ พ่อแกก็ ปลูกกอไผ่เป็นคัน ก่อนนั้นไม่มีใคร เมื่อต่อมาก็ทาไร่นาบ้าง ถั่วบ้าง ขาย ก็(ราคา)ถูก สมัยก่อนนั้น พอถึงเดือน 4 แล้ว เขาจะบวชนาคและแต่งงาน ถึงเดือนห้า จะมีงานศพ ถ้าผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีอายุมาก (ตาย) เขาจะไม่เผา เลย จะเก็บไว้ทากระดูกกัน พอถึงเดือน 4-5-6 จะไม่ได้ทางานบ้าน ต้องช่วยงาน แทบไม่ได้อยู่บ้านเลย ต้องไปช่วยงานกันแทบทุกวัน มันก็ ดีเหมือนกัน มันเรียนรู้ทางด้านครอบครัวไปด้วยเสร็จสรรพ พี่น้องข้าง พ่อมากที่ท้องคุ้ง นามสกุลดีสาร หัวรอ ดีประดิษฐ์ หัวยาง ดีอ่วม ตาบล หาดท่าเสา ไม่ใช่พี่น้องข้างพ่อก็ข้างแม่ แต่อยู่นานเข้า คนมากเข้าก็ไม่ รู้จักกัน เมื่อเติบโตอายุได้ 20 ปี ก็แต่งงานกับ นายสวัสดิ์ บุญญานันต์ เป็นลูกของพ่อบุญ แม่ยิ่ง บ้านอยู่หนองพญา หลังอาเภอวัดสิงห์ สาหรับ นายสวัสดิ์ บุญญานันต์ นั้น อายุ 27 ปี ขณะที่แต่งงานกัน เขาบวช 5 พรรษา สึกแล้วไปเรียนฝึกหัดครูที่นครสวรรค์ 2 ปี จบมาก็ไปบรรจุครูที่ วัดคลองปลาไหลเป็นครั้งแรก


15

นายสวัสดิ์ บุญญานันต์ สมัยนั้นถ้าแต่งงานกัน เขาต้องให้ผู้ชายแก่กว่าผู้หญิงถึงจะดี เขาถือว่าผู้ชายจะต้องเป็นผู้นาครอบครัว ฉะนั้น ผู้ชายต้องอายุแก่กว่า ผู้หญิงถึงจะดี เมื่อแต่งงานกันแล้วก็เกิดมีลูกถี่ ถึง 7 คน เป็นผู้ชาย 5 คน ผู้หญิง 2 คน ตายเสีย 1 คน คือ 1. นายถวิล บุญญานันต์ เกิดปีระกา ขึ้น 8 ค่า เดือน 11 วันพระ ตี 5


16

2. 3. 4. 5.

นางมาลัย แต๋ว เกิดปีกุน ขึ้น 13 ค่า เดือน 7 วันศุกร์ 4 ทุ่ม นายฉลอง เกิดปีฉลู ขึ้น 10 ค่า เดือนสิบ วันอาทิตย์ ตี 5 นายจารัส เกิดปีมะเส็ง เดือน 3 วันเสาร์ แรม 4 ค่า 1 โมงเช้า นายดารงค์ เกิดปีมะแม วันพฤหัส เดือน 3 ขึ้น 3 ค่า (เสียชีวิตอายุ 3 ขวบ) 6. นางชูจิต (ติ๋ว) เกิดปีระกา เดือนสิบ ขึ้น 12 ค่า วันอังคาร ราวบ่าย โมง 7. นายเรืองชัย (ติ่ง) เกิดปีชวด เดือน 11 แรม 7 ค่า วันอาทิตย์ กลางคืน

คุณย่าส้มลิ้ม พร้อมด้วยบุตร-ธิดา แถวยืนจากซ้ายไปขวา ชูจิต เรืองชัย ฉลอง ถวิล และจารัส


17

1. นายถวิล ถวิล (ไอ้หนู) เกิดมาได้ 1 เดือน ก็โกนผมไฟ ไปนิมนต์ท่าน ใบฎีกายัง หรือหลวงพ่อยังนั้นเองมาทาบุญที่บ้าน ทาพิธีโกนผมไฟ ยก ให้เป็นลูกหลวงพ่อ ท่านก็ผูกข้อมือด้วยสายศี​ีล แล้ วตั้งชื่อให้เป็นอันว่า ทาบุญที่บ้านเป็นครั้งแรก ส่วนหลวงพ่อยังนั้นท่านเป็นอาจารย์ของพ่อเอ็ง ท่านเป็นศิษย์ สืบต่อมาจากหลวงพ่อวัดปากคลองมะขามเฒ่า (หลวงพ่อสุก) ท่านหนัก (หลวงพ่อยัง) ไปทางหมอรักษาโรคต่างๆทุกอย่าง ท่านรักษาคนที่ถูก หมาบ้ากัดได้อย่างชะงัดนัก ปีหนึ่งๆ ท่านรักษาตั้ง 4-5 ร้อยราย กระทั่ง วัวควายวัวที่ถูกหมาบ้ากัด แม้แต่เริ่มคลั่ง ท่านก็รักษาหาย กระทั่งโรค ฝีในท้อง ถ้าคนไข้ต้องการให้ท่านดู (รักษา) ท่านจะตรวจดูตามชะตา ราศีดูก่อน ถ้าเพิ่มเนื้อหายก็หาย ถ้าท่านว่าตายก็ตาย ท่านรู้ว่าคนไข้นั้น ถึงที่จะตาย หมดอายุแล้ว แม่ถูกหมาบ้ากัด ทีแรกหมามันไม่บ้าหมาเขาบ้านเหนือ กัดเข้า ไปนิดเดียว ต่อมาสัก 2 อาทิตย์ แม่ก็ไปหนองพญา ไปเจอหลวงพ่อที่ บ้านแม่ย่า แม่รู้ว่าไม่สบายก็เล่าอาการให้ท่านฟัง ท่านก็ถามว่าถูกหมา กัดมาหรือเปล่า แม่ก็นึกขึ้นมาได้ว่า ถูกหมาบ้านยายนุ่นกัด พอกลับมา ดู ปรากฏว่าหมาตัวนั้นตายไปแล้ว ก็ต้องไปรักษากับหลวงพ่อ พ่อถวิล มีอายุ 5-6 ขวบแล้ว เขาก็ตามแม่ไปที่วัดหนองน้อย พอไปกราบหลวงพ่อท่านก็ไปเอาของกินมาให้กิน รู้สึกว่าท่านใจดีมาก แล้วท่านก็บอกว่า ถวิลไม่ต้องกลับบ้านนะ อยู่กับหลวงพ่อนี่แหละ เขาก็ รับปากครับ พอแม่กินยาแล้วกินน้ามนต์แล้ว มันก็ปวดท้องทาท่าว่าจะ


18

ถ่ายท้อง จึงลาหลวงพ่อกลับ แต่ถวิลเขาไม่กลับเสียแล้ว พยายามชวน กลั บ ก็ ไ ม่ ก ลั บ แม่ ก็ เ ลยไปค้ า งที่ บ้ า นแม่ ย่ า แม่ เ องแทบจะเดิ น ไม่ ไหว เดินชลออยากให้ลูกวิ่งตามมา ลูกไม่มองดูเลย แม่ก็เดินร้องไห้ กลับแต่ผู้เดียว แทบจะก้าวขาไม่ออก นี่คือการจากลูกครั้งแรก หลวงพ่อ ท่านรัก(ถวิล) เหมือนลูก นอนร่วมกับท่าน หลวงพ่อ ฉันอาหาร ถวิลก็จะหยิบจานมานั่งข้างหลังหลวงพ่อ ท่านก็เอาจานมา แบ่งข้าวให้ แล้วก็นั่งกินอยู่ข้างหลังหลวงพ่อ ถวิลเขาเรียนอยู่กับหลวง พ่อที่วัดหนองน้อย จนจบ ป. 4 แล้วหลวงพ่อเขาก็เอามาเรียนต่อที่ จังหวัด ในปีนั้นเองหลวงพ่อก็ป่วยออดแอด และก็มรณภาพลงในปีนั้น หลวงพ่อท่านอายุน้อย 50 กว่าปีเท่านั้นเอง ยังหนุ่มมาก 2. นางมาลัย (แต๋ว) ส่ ว นนางมาลั ย แต๋ ว เกิ ด มาไม่ ไ ด้ โ กนผมไฟ ไม่ ไ ด้ ทาบุ ญ โกนผมไฟเอาเอง แล้ ว เอาไว้ผ มเลยยาวเลย เพราะไม่มี เ งิ น คลอดได้ 2 เดือน พ่อเขาก็ถูกย้ายไปวังหมัน จากวัดคลองปลาไหลไปอยู่ วังหมัน ตอนนั้ น บ้ านวังหมัน ยั งเป็ น ป่ า ไปเปิ ดเรียนครั้งแรก เขาขึ้น เงินเดือนให้อีก 5 บาท เป็น 17 บาท 3. นายฉลอง ฉลองนั้น เปิดได้ 6 เดือน ก็ทาบุญโกนผมไฟฉลอง หนังสือที่แม่ส ร้างไว้ฉลองพระพุทธรู ปที่พ่อ (ตาเขียว) สร้างไว้ ฉลอง พระสงฆ์ที่พ่อ (ตาเขียว) ที่บวชเป็นพระ ยังไม่ได้ (มีพิธี) ฉลอง จึงจะ


19

ฉลองพระไปเสร็จเลย ในพิธีฉลองพระพุทธรูปปีนี้ จะมีการเทศน์คาถา พันด้วย คาถาพันนั้นก็คือเทศน์มหาชาตินั่นเอง เทศน์แต่คาถา ถือว่า เป็นบุญใหญ่จะเทศน์วันเดียวให้จบครบ 1000 พระคาถา บูชาด้วย ดอกไม้ 1 พันดอก ธูป 1 พันดอก เทียน 1 พันดอก ธง 1 พันธง หลวง พ่ อ ยั ง มาเทศน์ ที่ บ้ า นด้ ว ย หลวงพ่ อ ตั้ ง ชื่ อ ให้ ชื่ อ ว่ า เด็ ก ชายฉลอง บุญญานันต์ ตั้งแต่นั้นมา เวลานี้เขายังทากันอยู่ (เทศน์มหาชาติคาถาพัน) แต่ จะไปรวมกั น ที่ วั ด ก าหนดในวั น สารท จะมี เ ทศน์ ค าถาพั น กั น ทุ ก ปี รวมกัน ทั้ง บ้ าน ถือ ว่าเป็ น บุ ญ ใหญ่ ต่อ ไปวันพระหลั งหลั ง จะมีเทศน์ มหาชาติเรื่องพระเวสสันดรชาดกนั่นเอง ควรจะเอาเป็นแบบอย่าง

อาจารย์ฉลอง บุญญานันต์ ในวันที่สาเร็จการศึกษา


20

4. นายจารัส นายจารัส เอาไว้ผมเปีย ขี้อ้อน ขี้โรค เลี้ยงยาก ไม่มี เวลาจะโกนผมไฟจึงต้องเอาไว้ผมเปีย เอาดินเหนียวมาปั้นตุ๊กตาเป็น 3 แบบ ผมจุก ผมแกะ และผมเปีย แล้วเอามาให้เขา (จารัส) จับดู เขาจับ เอาตุ๊กตาที่มีผมเปีย ก็เลยเอาไว้ผมเปีย และนิมนต์หลวงพ่อเพชร วัด คลองมอญ มาทาบุญ (ไว้ผมเปีย) แล้วถวายให้เป็นลูกของหลวงพ่อเพชร ท่านตั้งชื่อ จารัส แปลว่าแสงสว่าง (จารัสนี้) ได้อาศัยหลวงพ่อยังรักษาจึงหาย (เจ็บป่วย) หลวงพ่ อยั ง ท่ านได้อุ ป การะครอบครั ว ของแม่เ ป็ น อย่างมาก พออายุเขา (จารัส) ได้ 11 ปี จึงจัดงานพิธีโกนผมเปีย แต่ ชีวิตแม่ทาแต่บุญ แม่ชอบทาบุญเป็นชีวิตจิตใจ ถ้าทาบาปไม่ชอบ แม่ เลี้ยงลูกมาด้วยบุญทั้งนั้น เลี้ยงลูกด้วยบุญนั้นอย่ างไร ผู้สอนให้ลูกทุก คนอยู่ในคุณงามความดี ห้ามไม่ให้ลูกกระทาความชั่วทุกอย่าง ไม่ใช้ไม้ เรียวตีลูกก็เพราะต้องการให้ลูกทุกคนเป็นคนดี ถ้าลูกดื้อรั้นก็ต้องตีกัน หน่อย 5. เด็กชายดารงค์ เด็กชายดารงค์ เกิดมาอยู่ในโลกนี้ได้ 3 ขวบกับ 4 เดือน ก็ตายจากโลกนี้ไป พอคลอดลูกชายคนนี้ กาลังนอนไฟ แม่แก่ (นางสัมฤทธิ์) ก็ล้มป่วย ในเดือน แรม 3 ค่า จนถึงเดือน 8 เข้าพรรษา แม่แก่ (ยายสัมฤทธิ์) ก็เสียชีวิต อายุของแกได้ 64 ปี ส่วนแม่เองนั้น อายุได้ 38 ปี พ่อเขา (พ่อสวัสดิ์) อยู่วังหมัน พ่อแก่ (ตาเขียว ดีศาล) ก็


21

ยังบวชเป็นพระ ต้องเต้ นเองราเอง เงินทองสมบัติประจาตัวขายหมด เพราะไม่มีจะกิน บังเอิญเกิดสงครามญี่ปุ่น ผ้าก็ไม่มีจะนุ่ง แม้แต่ไม้ขีด ไฟ จะก่อไฟหุงข้าวกันก็ไม่มี ลูกเด็กทุกคนต้องแก้ผ้ากันเพราะผ้าไม่มี ขาย พ่ อค้ ามั น เก็ บ หมด มัน ไม่ข ายมุ้ งจะกางนอนกั นก็ ไ ม่มี เป็ นโรค มาลาเรียกันตลอดเมือง ส่ วนครอบครัวเราก็เป็นกันทั้งครอบครัวเลย เป็นกันแล้วก็หายากินกันก็ไม่ได้ พี่หมอทองอินทร์เขาก็ไม่อยู่ ถูกไปทัพ เชียงตุง แม่ตายก็ไม่รู้ ไม่รู้จะส่งข่าวไปทางไหน เมื่อแม่ตายแล้ว ก็เก็บ เอาไว้ก่อน เงินก็ไม่มี แม่ป่วยตั้ง 6 เดือน เดือนก็ ก็ปลุกปล้ากัน 2 คน แม่ลูก ซึ่งเป็นชีวิตที่สุดยอด สงครามคราวนั้นดาเนินมาถึง 4-5 ปีก็สร่างซาลง ของ ทุกอย่างแพงพรวดขึ้นมา แม้แต่ผ้าก็ไม่มีเงินจะซื้อ เมื่อแม่ตายก็ไป นิมนต์หลวงพ่อสึกมาอยู่บ้าน เพราะตาท่านไม่เห็นรุ่ง (บอด) ไม่มีใคร ปฏิบัติส่งเสียเมื่ออยู่วัด เมื่อสึกมาอยู่บ้านก็จะได้ดูแลใกล้ๆกัน เมื่อแม่ เสียชีวิตไปแล้ว ก็รบเร้าให้พ่อเองเขาย้ายกลับมา เขาอยู่วังหมัน 9 ปี แม่ต่อสู้ชีวิตมาแค่ไหน ลูกทุกคนจงรับรู้ไว้ด้วย 6. ติ๋ว (นางชูจิต) ติ๋วเขาเกิดเมื่อแม่แก่ (ยาย) ตายไปแล้ว ตอนนี้ค่อยยัง ชั่ว ดีขึ้นหน่อย เพราะลูกคนโตทุกๆคนเขาช่วยงานในบ้ านได้บ้างแล้ว ตอนอายุเขาได้ 5 เดือน เขาป่วยมาก แม่นั่งอุ้มอยู่ทั้งกลางคืนกลางวัน อยู่ 4 เดือน หาหมอรักษาก็ไม่หาย หนักลงทุกที จนไม่ดูดนมไป 1 วัน


22

กับ 1 คืนแล้ว สมัยก่อนนั้นต้องกินยาหม้อต้ม กินกันทั้งแม่ทั้งลูก แม่เอง ต้องก็ต้องกินข้าวขยากระปิมา 4 เดือน กลัวลูกจะตาย จะแสลงลูก มีอยู่วันหนึ่ง พวกบ้านดอนเขาเอาน้าตาลมาให้แม่ 1 ไห แลกกับปลาร้า 1 ไห แลกกันไหต่อไห เขาเห็นแม่นั่งอุ้มลูกร้องไห้ เขาก็บอกยาให้ เป็นยาหลาม เอาไม้อ่อนทาเป็นกระบอก แล้วเอาเครื่อง ยาใส่ กระบอกหลาม (ผิ งกับ กองไฟ) เอาน้ าใส่ ครึ่งกระบอกเหล้ า ครึ่งหนึ่ง เอาเถาตูดหมูตูดหมาจุกปากกระบอกตั้งกระบอก เวลาจะริน ยาไม่ต้องถอดจุกออก ตัวยาที่ใส่ในกระบอกนั้นคือ ทับทิม 7 ยอด ใบเทียน 7ยอด ดีปลี (ดอก) ทอนเป็นแว่น 7 แว่น กระเทียม 7 กลีบ พริกไทย 7 เม็ด ใส่กระบอก เอาเถาตูดหมูตูดหมาจุกปากต้ม เอาเหล้าครึ่งน้าครึ่งใส่ ตั้งไฟ พ่อเอามาหยอดให้กินแล้วก็หลับไปเลย แม่ก็นั่งร้องไห้คิดว่าตาย แล้ว ตัวเย็นเฉียบ แต่ยังมีลมหายใจอยู่ พอเที่ยงคืนไปแล้วก็ตื่น คราวนี้ กินนมได้ หายวันหายคืนราวกับปาฏิหาริย์ ก็อยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้ เลี้ยงลูกทุกคนเอาชีวิตเป็นเดิมพันทุกคน แต่แม่ก็ทาได้ 7. นายเรืองชัย (ติ่ง) นายเรืองชัย บุญญานันต์ ขี้ป่วยบ่อยเหลือเกิน ขี้อ้อน วางไม่ได้เลย ทั้งกลางวันและกลางคืน แม้แต่จะไปเข้าส้วมก็ต้องอุ้มไป ด้วย ไปซักผ้า ก็ต้องหาบลูกไปด้วย พอคลอดออกมาเขาก็เป็นหวัด คัด จมูก ร้องทั้งกลางวันกลางคืน อดหลับอดนอน ข้าวก็ไม่กิน กิน แต่นม บางครั้งลูกดูดจนหัวนมเป็นแผล แม่ก็ทนได้ จนอายุ 7 เดือน จึงค่อย


23

เบา เขาไม่สมบูรณ์จนอายุได้ 3 ขวบ เขาจึงเดินได้ เลี้ยงยากจริงๆ แม่ก็ พลอยอดอยากไปด้วย กินอาหารที่ไม่สมควร ก็ต้องอด กลัวลูกจะตาย ถ้าลูกป่วยแม่ก็ต้องกินยาด้วยเพราะลูกกินนม ลูกทุกคนเติบโตด้วยเลือดในอกของแม่และน้ามือของ แม่กับแม่แก่ (ยาย) เท่านั้น ไม่มีเลือดวัวเลือดควายปนเลย และลูกแม่ ทุกคนเขาจะไม่ให้ใครอุ้มหรือจับตัวเลย แม้แต่พ่อของเขาก็ไม่เคยยุ่งเมื่อ ลูกยังเล็กอยู่ แม่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าแม่นั้นมันรอดมาได้อย่างไร มันน่าจะ ตายไปเสียนานแล้ว เลี้ยงลูกเฉยๆเมื่อไร ต้องทาไร่ทาสวนสารพัดอย่าง และตัวเองก็เป็นโรคสารพัด (ชนิด) อย่าง ไม่ได้สนใจกับมัน ไม่มีเวลาไป สนใจกับมันมันอยากตายมันก็ตายไปเอง ติ่ง (เรืองชัย) เขาเกิดเมื่อแม่อายุ 36 ปี พอแม่อายุได้ 40 ปี ก็เริ่มเข้าวัดถือศีล เรื่องวัดนั้ น แม่ช อบมาตั้งแต่เด็ก ๆแล้ วไป ช่วยเหลือเกี่ยวข้องอยู่กับวัดมาเรื่อยๆ ทาสารับไปวัดทุกวันเมื่อตอนยัง ไม่มีลู ก เมื่อมีลู กแล้ ว ก็ส่งส ารับ พ่อตอนบวช พอพ่อสึ กแล้ ว ก็ไม่ได้ทา เพราะกาลังติดคุกชีวิต ติดคุกชีวิตมา 25 ปี ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวัน พอติดคุกลูกมาแล้วต้องมาติดคุกหลานอีก จึงต้องทาบุญ หนีคุกเห็นทาง ที่จะช่วยได้ก็มีอยู่ทางเดียวคือทาบุญ เมื่อ ลู กยั งเล็ กอยู่ นั้ น ได้เ อาคนบ้า มาเลี้ ย งไว้ แต่แ ก ชอบทางาน จ้างซ้อมข้าวกระสอบละ 10 สตางค์ จ้างตักน้าโอ่งละ 10 สตางค์ จ้างหวดหญ้าวันละ 10 สตางค์ ถ้าที่บ้านไม่มีงานแกก็ไปรับจ้าง คนอื่นเขาเอาแค่วันละ 10 สตางค์ สตางค์สิบสมัยนั้นมีรู แกชอบ ให้ สตางค์อย่างอื่นก็ไม่เอา ให้มากกว่านั้นเขาก็ไม่เอา แกไม่เคยมีลูก แกรัก


24

เด็ก เมื่อก่อนที่แกยังไม่บ้า แกเป็นหัวหน้างานชลประทาน แกมีเมียแต่ ไม่มีลูก เมียแกสวยเขาตามชู้ไปแกก็เลยเสียสติ มาอาศัยวัดอยู่ แกเป็ น คนบ้านบางกาเหลือง เคยรู้จักกัน กลางวันแกมารับจ้างเขาทางาน เวลา แกลมขึ้น (เสียสติ) ก็แสดงออกตามบทบ้าของแก เวลาดี แกก็ร้องเพลง ลาตัด เล่นกับเด็กๆ สนุกสนานกันตอนกลางคืนกับเด็กๆ อยู่ด้วยกันมา นาน 3 ปี แกก็ย้ายไปอยู่วัดเขาท่าพระ แกก็เลยไปตายที่โน้น คือที่วัด เขาพระนั้นเอง ตอนนี้ลูกโตขึ้นช่วยงานทุกอย่างได้ แม่ก็ค่อยเบาใจเข้า มาก หมดฤดูทาไร่ก็ออกค้าขาย หาเงินมาเลี้ยงลูก ตอนนี้ลูกโตขึ้นก็ต้อง ใช้ เ งิ น มากขึ้ น ลู ก ทุ ก คนเขาก็ เ ป็ น คนดี ด้ ว ยกั น ทั้ ง นั้ น ไม่ ต่ อ ต้ า น จนเกินไป เมื่อลูกโตขึ้นมาก็ต้องเรียนหนังสือกัน กลับมาจากโรงเรียนก็ ต้องช่วยแม่ทางาน เมื่ออาบน้ากินข้าวแล้วต้องอ่านหนังสือกันทุกวัน จะ เล่นกันไม่ได้ แยกกันนอนคนละที่ ตีสี่ลุกขึ้นหุงข้าว ทุกคนต้องลุกขึ้น อ่านหนังสือ ทุกคนต้องลุกแต่เช้าช่วยกันทางานบ้าน เสร็จแล้วจะได้ไป โรงเรียน ข้าวหุงเป็นทุกคน ใครมาถึงก่อนก็หุง งานทุกอย่างช่ วยกันทา จะมาเกี่ยงกันไม่ได้ ถ้ามีเสียงเถียงกันจะโดนตีหมดทุกคน ตอนนี้ลูกทุกคนเห็นผลแล้วใช่ไหม จะตกไปที่ใดมีแต่ คนเขาชอบ ต้อนรับ พ่อแม่หัดให้ขยันทาได้ทุกอย่างงานรอบตัว เราต้อง เป็นตัวของเราเอง ช่วยตัวเองให้มากกว่าคนอื่นเขาช่วย เมื่อลูกโตไปกรุงเทพฯกัน ตอนนี้แม่ก็เริ่มทาบุญและ รักษาศีลให้มากขึ้น ทาหลังคาโบสถ์วัดเหนือ 1,000 บาท ถ้าเทียบ


25

ปัจจุบันราว 10,000 บาท พระวิหารวัดเหนือ 1,000 บาท ทาเมรุหลัง ใหม่ วัดเหนือ อีก 500 บาท เมื่อพ่อ (ตาเขียว ดีสาร) อายุได้ 90 ปี แกก็ตาย เอา ศพไว้ 1 ปีก็ทาศพ ให้มาลัยทานาให้ 1 ปีได้เงิน 12,000 บาท แม่ก็เอา มา 8,000 บาท เอามาทาศพพ่อ (ตาเขียว) สมัยนั้น เงิน 8,000 บาทก็ พอทางานศพพ่อ 2 วัน 2 คืน เลี้ยงพระ 90 องค์ มีธรรมเทศนา 3 ธรรมาสน์ เรี ย กว่ า มี เ ทศน์ แ จง ท า (สร้ า ง) เมรุ ส ด จ้ า งช่ า งพวก ชลประทานมาทาสวยงามแบบธรรมชาติ มาลัย (พี่แต๋ว) มันก็มีส่วนช่วย แม่มาก ฉะนั้นแม่มีโอกาสช่วยก็ต้องช่วยมันเมื่อเห็นว่ามันจะไปไม่รอด ตอนนี้ติ่ง ติ๋ว เขาก็เข้ากรุงเทพฯกันแล้ว พ่อเองเขาก็ เกษียณอายุแล้ว ได้บานาญ 800 บาท ส่งลูกสองคนก็ไม่พอ ให้ฉลอง ช่วยบ้าง จารัสช่วยบ้าง จารัสก็พึ่งจะทางานได้ใหม่ๆ และแต่งงานใหม่ๆ ก็ต้องเลี้ยงลูกเต้ากัน และยังต้องแบ่งเงินมาช่วยส่งน้อง เห็นใจลูกทุกคน ที่ได้ร่วมมือร่วมใจกันทุกคน พ่อเขาเกษียณอายุมาได้ 6 ปีเขาก็ตาย ติ๋วเขาก็เพิ่ง แต่งงานมาได้ปีกว่าๆ แม่ก็ผ่านการผ่าตัดมาได้ปีกว่าๆ ยังไม่ทันจะตั้งตัว กันเลย เอาพ่อเอ็งไปโรงพยาบาลมีเงินอยู่ 300 บาท อยู่โรงพยาบาลซัก 2 ชั่วโมงก็เสียชีวิต เสียเงินไป 200 บาท ยังเหลือเงิน 100 บาท เอาศพ กลับบ้าน ค่ารถเขาเอา 300 แม่ก็มีเงิน 100 เดียว พี่ทิดเทื้อมออกให้ 200 บาท เอาศพมาถึงบ้าน ครูบางเอาเงินมาให้ 500 เขารู้ว่ามีไม่มี ฑิตนะเอามาให้ 1,000 บาท พอเอาศพตั้งไว้ 3 คืน คนเขารู้เขาก็เอาเงิน มาช่วยกัน มากบ้างน้อยบ้าง ก็พอสาเร็จไปได้ที เมื่อเอาไปไว้ที่วัดเพื่อจะ


26

เอาไว้คอยลูกในปี พ.ศ. 2514 นั้นเอง แม่ก็ตัดสินใจไปบวชชีเพื่อศึกษา ธรรมที่มันยังไม่รู้ ก็รู้ดีขึ้นกว่าเดิมหน่อย ถ้าอยู่บ้านก็เลี้ยงหลาน จะเอา เวลาที่ไหนเล่าเรียน พอออกมาแล้วก็คิดอ่านการศพ ทาศพพ่อเองหมดเงินไป 35,000 บาท ติ่งเขายังเรียน ไม่สาเร็จ เงินที่เหลืออยู่บ้างก็ใช้จ่ายในเรื่องของติ่งหมดจนกว่าจะได้งาน ทา เมื่อบานาญตกทอดที่มีก็จะได้แม่ติ่งคนละหมื่นนั้น แม่ก็เอาไปปลูก บ้านรวมกันที่กรุงเทพฯ เมื่อทาศพพ่อเอ็งแล้ว เงินที่เขาทาบุญด้วยได้ เงิน 9,000 บาท เสียค่าหนัง (ภาพยนตร์ ) เมื่อทาศพพ่อเองไปเสี ย 3,000 บาท ที่ยังเหลืออยู่ 6,000 บาท แม่ก็เหมารถไปทอดผ้าป่า เอาไป สร้างโบสถ์กะเขาบ้าง เลี้ยงพระและเณรที่จิตตภาวันวิทยาลัยบ้าง ที่นั่น จิตตภาวันวิทยาลัย แม่ไปทอดผ้าป่าถึง 3 ครั้ง ที่นั่นเป็นสถานที่สาหรับอบรมให้เป็นคนดี พระและเณรที่นี่เมื่อสาเร็จ แล้ว จะไปเผยแพร่วิชาความรู้ให้สาธุชนทั้งหลาย ให้เป็นคนดี ได้เป็น เจ้าคณะอาเภอ เจ้าคณะจังหวัดก็เยอะแยะทั่วประเทศ และเป็นสมภาร ไปก็เยอะ ที่บวชอยู่ไม่ได้ศึกมาช่วยงานพระศาสนาก็เยอะ ต่อมาแม่ก็รั บ เอาบาตรเล็ก เอาเงินใส่บาตรเล็กใบนี้ 1 ปี ก็ (เอาเงินในบาตร) ส่งไป 1 ครั้งบ้าง 2 ครั้งบ้าง ครั้งละ 200 บ้าง 300 บ้าง ตั้งแต่ พ. ศ. 2514 จนถึง พ. ศ. 2528 เพราะ (หลังจากนั้น) เริ่มสร้างศาลา ไม่มีเวลาจะไป ส่ง (เงิน) ส่ ว นวั ดสุ ขารมย์ นั้ น เป็ น วัดของปู่ย่ า (ปู่ ส าร ย่าใย) เพราะบ้านแกอยู่ที่นั่น สร้างหอระฆังหมดไป 3,000 บาท สร้างโบสถ์ 10,000 บาท สร้างเมรุ 10,000 บาท สร้างส้วม 10,000 บาท สร้าง


27

ศาลา 50,000 บาท ของลุงอินทร์ (หมอทองอินทร์ ดีสาร) อีก 40,000 บาท รูปธรรมศาลาด้วยกัน ต่อไปข้างหน้าจะได้เป็นพี่น้องร่วมท้องกัน อีก คนที่ทาบุญด้วยกันเท่านั้นจึงจะได้เกิดมาร่วมกัน ทั้งที่แม่ (ส้มลิ้ม) ไม่มีเงินทองเลย แม่ก็ทาบุญได้ตั้งเยอะแยะ เพียงตั้งใจอยากทาเท่านั้น เงินมันก็ไหลมาให้แม่ทาเอง ทั้งเงินแสนแม่ก็ไม่เคยเห็นสักที เงินของพ่อ เอ็งแม่ก็ไม่เหลืออยู่เลย ส่วน มาลัย ลูกมันมากมัน ลาบากกว่าเขา แม่แบ่งมา ให้มัน 20 ไร่ แบ่งให้เมื่อพ่อเขาตาย ถอนชื่อเอาออกก็ให้ลูกไปรับใบโอน ให้มาลัย 20 ไร่ ให้ติ๋ว (ชูจิตร) 15 ไร่ ส่วนลูกมัน แม่ก็เลี้ยงทุกคน เวลา พ่อแม่มันไปทานา แม่ดูแลเลี้ยงหลานไว้ให้ แต่ไม่ได้เลี้ยงมากเหมือน ลูกติ๋ว เพราะยังมีภาระอยู่ ยัง ต้องทาต้องเลี้ยงลูกของตนเองอยู่ แบ่งที่ ป่าไปให้เขา (มาลัย) 5 ไร่ ส่วนติ๋วนั้นเขามีนา (ส่วนตัว) ให้กัน (คนอื่น) เช่ามาก แม่ขอเก็บค่าเช่าก่อนจนกว่าแม่จะตาย แม่ก็ให้มาลัยทาฟรีมา หลายปี สงสารมัน (มาลัย) ลูกมาก เมื่อพวกเอ็ง (ลูกคนอื่นๆ) ทั้งหลายไปกรุงเทพแล้ว แม่ ได้เอาลูกของมันมาเลี้ยง คือเจ้าสมเกียรติ หรือเจ้าเล็กนั้นเอง แม่ตั้งชื่อ ให้มัน มันอ่านหนังสือไม่ออก ความจาไม่ดี แม่อุตส่าห์สอนให้ทุกคืนจน มันสอบ ป. 4 ได้ ให้ไปเรียนต่อจังหวัด ปีแรกตก แม่ก็ให้มันเรียนซ้าจน จบ ม. 6 สมัยก่อน โดยแม่ส่งให้มันเรียนเอง พอจบแล้ วก็ให้มันไปสอบ เข้าเรียนต่อ มันบอกว่ามันไม่เรียนมันจะทานาของมัน แล้วมันก็มีเมีย เสียเลย


28

แม่ก็ให้มัน (สมเกียรติ) ทานาส่วนที่แบ่งให้ติ๋วเขา ค่า เช่ามันทา 3 ปีจึงจะเอาค่าเช่า หนึ่งหมื่นบาท เอา (ค่าเช่า) มาสร้าง ศาลา เอามา 2 หมื่นแล้ว แม่ออกเงินให้มันมันทาได้มั นก็คืนให้แม่ มัน เป็นคนดี อดทน ซื่อสัตย์ ตอนนี้มันก็ปลูกบ้านของมันแล้วพอมีทุนแล้ว เป็ นคนที่อดทน ฟังคาแนะนาสั่งสอนได้ ต่อไปมันจะรวย คนไหนฟัง คาสั่งสอนของแม่ได้ คนนั้นต้องรวยทุกคน เด็กคนนี้ไม่ค่อยพูด ไม่ว่าใคร พูดจริงทาจริง ไม่ตลบตะแลง มันเกิดปีเดียวกับแม่ แม่เลี้ยงมันมาแล้ว แม่ก็รักมัน อุดหนุนมันบ้างตามสมควร ขอลูกทุกคนจงรับทราบตามนี้ เมื่ออายุแม่ได้ 40 ปี ติ่งก็โตแล้ว แม่ก็คิดอยากบาเพ็ญ ทานกับเขาบ้าง จึงทิ้งลูกช่วงวันหนึ่งกับคืนหนึ่งเข้าวัด (ถือศีล 8 วัน พระ) (ถ้าทางวัดเหนือเขามีอะไรการงานของวัด แม่ต้องไปช่วย เท่าที่ เรามี ค วามสามารถท าได้ ครั้ ง แรกแม่ อ ยากเรี ย นรู้ เ รื่ อ งของ พระพุทธศาสนา แม่ก็ได้รับวิปัสนาสารของท่านพระครูอุดมวิชาญาณ (โชดก) สมัยนั้นท่านยังหนุ่มอยู่ ปีละ 15 บาท เป็นหนังสือ 6 เล่ม ได้รับ การติดต่อจาก น้าหมอฟ้อ บ้านเขาอยู่กรุงเทพฯ บ้านเกิดแกอยู่ฝั่งโน้น คือบ้านท่าราบนั่นเอง เขาเคยเป็นศิษย์วัดมหาธาตุ (เป็นคน) ติดต่อสั่ง ให้แม่ ก็เอามาเรียนบ้างไม่ได้เรียนบ้าง เรียนแบบนี้ต้องปฏิบัติได้ด้วยแม่ ไม่ค่อยมีเวลา เพราะมันยุ่งเหลือเกิน แต่ก็พยายามพอรู้เป็นแนวทางรับ มาถึง 9 ปี หนังสือเหล่านั้น แม่ก็เอาไปถวายวัดเหนือบ้าง วั ดใต้บ้าง เพื่อจะให้คนอื่นเขาเรียนบ้าง หนังสือถึง 45 เล่ม ท่านจะสอนให้เป็นขั้น เป็ น ตอน แม่ก็พยายามทากรรมฐานเวลาเขานอนกันหมดแล้ ว พอตี


29

2 แม่ก็ลุกขึ้นมาปฏิบัตินั่งขัดสมาธิทุกคืน ตั้งแต่ตี 2 ถึงตี 4 หน้า เข้าพรรษา ภาวนาว่าพุทโธ ต่อมาปีหลังท่านให้แผ่เมตตา ได้ทาบ้างไม่ได้ทาบ้าง เพราะมรสุมชีวิตมันมากมายเหลือเกิน ทาเช่นนั้นก็เพื่อจะแยกเอากาม คุณทั้ง 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส ให้มันออกจากใจเรา ทาเช่นถึงอย่างนั้น ก็ยังไม่ยอม ออกไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น พอลูกเจอจบแล้วก็ต้องเลี้ยง หลานต่อ มันเป็นงานที่จาเป็นที่หลีกเลี่ย งไม่ได้ พระอาจารย์องค์นี้คือ หลวงพ่อหนอ นั่นเอง (ที่สอนให้แผ่เมตตา) ต่อมาเครื่องมือสื่อสารเจริญ ขึ้น ท่า นก็อ อกอากาศมาทางวิท ยุ แม่ก็ รั บ เอาข้อ ปฏิ บัติ ของท่า นมา ปฏิบัติตามแบบแผนของท่าน ต่อมาท่านก็เลื่อนสมณศักดิ์ เป็นท่านเจ้า คุณราชประสิทธิเมธี บัดนี้ท่านมรณภาพไปแล้วก็ใกล้ๆเวลากับลุงอินทร์ (พี่ช ายของแม่) นี่ เอง แม่ก็ไม่ได้ไปเผาศพท่าน ท่านส าเร็จเปรียญ 9 ประโยค อายุท่านปีเดียวกับแม่ ท่านเป็นคนขอนแก่น ต่อมาพ่อเอง (นายสวัส ดิ์) เขาตาย แม่ถือโอกาสไป บวชชีที่จะไปปฏิบัติให้ติดต่อกันไป อยู่ไม่ถึง 3 เดือน แม่ก็ป่วยเพราะว่า ร่างกายไม่แข็งแรง พึ่งผ่าตัดใหม่ๆ จึงต้องกลับบ้านมาสร้างทานบารมีให้ มาก เพื่อจะได้เป็นฐานรองรับบารมีต่อไป พอต้ อ ง (จั ก รพงษ์ ลู ก ชายนางชู จิ ต ) เขาโตหน่ อ ย ไม่ได้ข่าวว่าท่านอาจารย์มาเปิดสานักวิปัสสนาที่วัดท่ากฤษณา อาเภอ หันคา แม่ก็เข้าปฏิบัติอยู่ 1 เดือน ท่านไม่ได้มาสอนเอง ท่านให้ลูกศิษย์ มาคุมสอบอารมณ์ทุกวัน เวลาบ่าย 3 โมง ท่านอาจารย์ก็คือ มหาคงเดช เป็นลูกศิษย์ของท่านเจ้าคุณใหญ่นั้นเอง เมื่อถึงเวลาท่านจะเรียกมาทีละ


30

คนไม่ให้ได้ยิน เสีย งกัน เพื่อจะได้ไม่จาอย่างกัน พระเณรก็อยู่ห่ างกัน พระเณรอยู่ตึกอีกหลังหนึ่ง แต่เวลาฉันข้าว รวมกันอยู่คนละแถบ จะพูด หรือคุยกันไม่ได้เลย กินข้าวต้องสารวม คอยกาหนดกลิ่นและรส และจิต ไม่ให้ไปยินดีร้ายแก่พวกเหล่านี้ ต้องการดูกันตลอด เวลากระทา จะนั่ง นอน ยืน เดิน แม้จะนอนก็ให้รู้ว่าหลับเวลาใด หลับในเวลาท้องยุบหรือ ท้องพอง ต้องบังคับจิตเอาให้อยู่ ในร่างกายของเรา ต้องพยายามดึงมัน ไว้ เมื่อจะออกไปก็ต้องจามันไว้ มันจะไปกี่ครั้ง เมื่ออาจารย์มาถามจะได้ รู้ ถ้าฌาณปัญญาของเราแก่กล้าแล้ว ท่านก็จะเปลี่ยนบทเรียนให้ใหม่ ถ้าฌาณปัญญาของเราไม่ขึ้นก็ต้องกาหนดซีอยู า ่ที่เดิม แม่ไปอยู่ 1 เดือน รู้สึกมันเบาทั้งกายและเบาทั้งใจ แม่เอาเงินไปเข้ามูลนิธิเขา 300 บาท ไปอยู่ตั้งเดือน มีแม่ครัวหุงข้าวทั้งเช้าและเพล (กลางวัน) ตอนเย็นก็มีน้า ขวดมาให้ ผู้ใจบุญทั้งหลายนามาให้ ข้าวสาร กับแกล้ม เพียงแต่จ้างแม่ ครัวมาทาเท่านั้นเอง ทั้งพระทั้งฆราวาสก็ร่วมร้อยคน ไม่ได้อยู่รวมกัน ห้องใครห้ องมัน อยู่คนละห้อง ไม่ต้องพูดคุยกัน เดี๋ยวอารมณ์จะรั่ว ที่ ไหนทาได้ก็อยู่นานที่ไหนทนไม่ได้ก็ออกไป 7 วันบ้าง 10 วันบ้าง 15 วันบ้าง พวกผู้ชายเขาอยู่ตึกเดียวกับพระผู้ชาย น้อย อยู่ไม่นานก็เผ่นหนี หมด แม่บังเอิญชวนพี่อ่อน (ลูกสาวนายปาน ซึ่งเป็นพี่ของตา เขียว มี สาร) เขาไปด้วย (เขา) ชวนกลับบ้าน ห่วงคนโน้นคนนี้อะไรของเขาก็ไม่ รู้ เมื่อจะกลับ แม่ จะส่งขึ้นรถเมล์มาก็ไม่เอา กลัวเองจะได้มากกว่า พื้น จิตใจของเขาเป็นอย่างนี้เสียแล้ว ก็หมดทาง เพราะใจเขาไม่ได้รักแม้แต่ ตัวเอง


31

แม่จ ะเล่ าเรื่ องที่แม่เรื่ องวิปัส สนา มาเล่ าให้ ลู กๆฟั ง อารมณ์ของวิปัสสนามีอยู่ 16 ขั้น แม่นั้นเรียนได้ขั้นที่ 11 เท่านั้นเอง คือ สังขารุเปกขาญาณ เป็นญานที่ 1 อารมณ์ที่ไม่ดีใจ และเสี ย ใจ ปล่ อ ยวางได้ บ้ า งเป็ น บางครั้ ง เท่ า นั้ น มั น ต้ อ งถึ ง ญาณที่ 16 จึงจะข้ามโขดโลกิยะได้วิปัสสนากรรมฐาน คือดูตัวเอง อ่านตัวเรา เอง อ่านใจเราว่า เมื่อใจเรามีความโลภก็ให้รู้ โกรธก็ให้รู้ อิจฉาก็ให้รู้ เรา ตีเขาด่าเขาก็ให้รู้ โลภอยากได้ของเขาก็ให้รู้ เป็นชีวิตประจาวันที่เราไป เข้าห้องปฏิบัติเพื่อเรียนวิธี แต่กิเลสในตัวเรานั้นเกิดมันทั่วไป ไม่ว่าเรา จะอยู่ที่ไหน บางทีก็รู้ไม่ทันมัน มันก็คว้าเอาไปเสียแล้ว คนถึงต้องติดคุก ติดตะรางกันเยอะแยะ พ่อเป็นไปแล้วก็มานั่งคิดถึงตัวว่าไม่ควรจะทา อย่างนั้น ตัวกิเลสเหล่านั้นมันเกิดขึ้นในเมื่อมันมีเหตุมีปัจจัยมา จากอารมณ์ภายนอก เช่น เสียงด่าเราจะโกรธทันที แต่ด้วยความโกรธ นั้น มันก็ไม่เที่ยง มันหายได้ เราจะบั งคับให้มันโกรธไปทั้งวันมันก็ไม่ได้ ถึงเวลาหายมันก็หาย โบราณท่านจึงสอนว่า เวลาโกรธให้นับหนึ่งถึงสิบ ก่อน พอนับหนึ่งถึงสิบ โกรธมันจะหายไปแล้ว กิเลสนั้นมี 3 ชั้น คือชั้นหยาบ ชั้นกลาง ชั้นละเอียด ชั้นหยาบจะแสดงออกมาทางกาย ทางวาจา กิเลสอย่างละเอียดนั้นมัน จะนอนเงียบอยู่ในลักษณะสันดาน ถ้าไม่มีเหตุมีปัจจัย มันก็ไม่เกิด แต่ มั น เอาออกยาก ต้ อ งประหารด้ ว ยอรหั น ตมรรคเท่ า นั้ น ต้ อ งเจริ ญ วิ ปั ส สนาเท่ า นั้ น จึ ง จะมองเห็ น แม้ เ พี ย งแต่ ม องเห็ น เท่ า นั้ น ยั ง ไม่ มี


32

ปัญญาที่จะเอามันออกได้ มันมากมายเหลือเกิน มันจะไหลเหมือนน้า ทะเล กิเลสเหล่านี้มันมีอยู่ในสังขารร่างกายและจิตใจของแม่เอง แม่ได้ไปเรียนได้ครั้งเดียว พอเจ้าอั้น (อดิศร ลูกนางชู จิต) เขาเกิดมา ก็ต้องเลี้ยงหลานต่อ ก็ไม่มีเวลาปฏิบัติต่ออีกเลย ท่าน อาจารย์สั่งมาให้ไปปฏิบัติต่อ แม่ก็ไปไม่ได้ต้องเลี้ยงหลาน กว่าหลานจะ โต ท่านอาจารย์ก็จากสานักไปอยู่ที่อื่นเสียแล้ว แม่ก็เลยหมดหวังต้องจม อยู่แค่นี้เอง แม่เป็นหลานสาวคนแรกของแม่แก่ชื่น (แม่ของนาง สัมฤทธิ์) แม่แก่ชื่น เป็นเมียมัคนายกวัดคงสวัสดิ์ คือพ่อแก่แจ้ง (พ่อของ นางสั ม ฤทธิ์ ) แม่ เ กิ ด มา พ่ อ แม่ แ ก่ แ จ้ ง เสี ย ชี วิ ต ไปแล้ ว แม่ ก็ เ ป็ น คน ติดตามอารักขาแม่แก่ ไปวัดก็ติดตามใช้สอยตลอดเวลา ไม่ว่าจะไปเยี่ยม ญาติ ณ ที่ใดก็ต้องไป จะทาอะไรก็ต้องช่วย พ่อแก่แจ้งนั้นแกเป็นญาติ กับหลวงพ่อคง (หลวงพ่อเฒ่า) แม่แกบอกให้ฟัง แกเป็นมัคทายกสมัย หลวงพ่อเฒ่าหรือหลวงพ่อคงนั่นเอง ต่อมาก็ป้าเสม (พี่สาวของยายสัมฤทธิ์) แกเป็นคนไม่มี ลูก ไม่มีสามี แม่ก็เป็นคนช่วยเหลือเขาต่อมา เวลาไปวัดก็ตามส่งตามรับ กันเรื่อยมา ป่วยล้มเจ็บก็รักษาพยาบาล ตายก็เผาศพให้ อีทองหยุด กับมหาทองอยู่ (ลูกของยายเมี้ยนซึ่งเป็น น้องสาวของยายสัมฤทธิ์) แม่เขาตายยังเล็กด้วยกันทั้งคู่ ทองหยดราว 2 ขวบเห็นจะได้ เพียงปีเดียวพ่อ ของเขาก็ไปมีเมียใหม่ทิ้งลูกไว้กับแม่แก่ (แม่แก่ชื่น แม่ของยายเมี้ยน) แม่แก่ก็แก่มากแล้ว ช่วยตัวเองก็ไม่ไหว แม่เองก็เลี้ยงมันมาทั้งนั้น


33

น้าสี (น้องสาวยายสัมฤทธิ์) แม่พี่เลี้ยง เขามีลูก 4 คน เป็นผู้ชายทั้งนั้น พอลูกรุ่นหนุ่มก็ตายทั้งหมดทั้งแม่ทั้งพ่อ ต้องเป็นภาระ กับแม่ (สัมฤทธิ์) อีก เพราะบ้านติดกัน เลี้ยงกันจนกว่าจะมีครอบครัว แยกกันไป เดี๋ยวนี้เขาก็ตายจากกันหมดแล้ว เหลือสืบสกุลอยู่แต่นาย บุญทัน (ลูกของนายเทื้อม) คนเดียว มันกินนมแม่ (ส้มลิ้ม) คู่กับฉลอง มันจึงรอดอยู่ ทองขาว (แม่นายบุญทัน เป็นภริยาของในเทื้อ ม) เขาไม่มี นมให้ลูกกิน พี่เทื้อมเขาเป็นตารวจ ย้ายไปอยู่ที่ไหนเขาก็ต้องให้ ทองขาวพาลูกมาอยู่กับแม่ (ส้มลิ้ม) เพราะเขาไม่มีนมให้ลูกกิน กินคู่กับ ฉลองนั้นเองจนโตหย่านมจึงแยกกัน ส่วนที่ป่าไผ่นั้น แม่ยกให้จารัสเขาไป พวกเขาเป็นคน ปลูก แต่แม่ให้เขาขายไปแล้วเพื่อให้เขาสร้างบุญร่วมกับแม่ คือให้เขา เอาเงิ น จ านวนนี้ ม าสร้ า งเป็ น ธรรมาสน์ ใ ส่ ไ ว้ ใ นศาลา (วั ด สุ ข ารมย์ ) ร่วมกับแม่ในนามของเขา แม่เห็นว่าเขามีที่ทางมากแล้ว ทิ้งไว้ก็ไม่มีใคร ปกครองมัน ของมาลัยเขามีแล้ว แม่ก็ให้เขาเป็นส่วนไปแล้ว ลูกหลาน ที่นี่ก็ไม่มีใครสนเขาสนใจ เค้าสนใจแต่เงินเท่านั้นก็ปล่อยเขาไปตามเวร ตามกรรมของเขา จารัสเขาก็ยินดีมาก เขาจะได้ร่วมบุญกับแม่ เขาจะ จัดการให้เอง เมื่อถึงเวลาคือพ.ศ. 2533 จะยกช่อฟ้าและฉลองศาลาไป เสร็จเลย พอถึง พ. ศ. 2532- 2533 แม่ก็ป่วยกระเสาะ กระแสะมา ไม่ค่อยจะดีเลย จนกระทั่งได้ฉลองศาลาแล้ว แม่ก็ป่วยปี เดียวถึง 2 ครั้ง แต่ก็ยังไม่ตายได้รับการอุปการะจากหมอพจน์ (กิตติ พจน์ สามีชูจิต) เขามาก แม่จึงอยู่มาได้ เหมือนแม่มีหมอประจาตัว คือ


34

เมื่อเขาสร้างอนามัย แม่ก็เกิดความคิดอยากสร้างประโยชน์ร่วมกับเขา บ้าง แม่ก็ซื้อตู้หลังหนึ่งเพื่อไว้ใช้ใส่ยาและเก็บเครื่ องมือ เป็นเงิน 750 บาท กับนาฬิกา 1 เรือน 250 บาท รวมเป็นเงิน 1,000 บาท เอาไปตั้ง ไว้ที่ (ส านักงาน) อนามัย ซึ่งอยู่ติดกับบ้าน ยังอยู่จนทุกวันนี้ แม่จึงมี หมอประจาตัวแม่จนถึงทุกวันนี้ จะว่าบุญนั้นไม่มีได้อย่างไร แม่ได้รับ อุปการะจากเขามาก กินอยู่ก็ไม่อดอยาก บางครั้งเขาทาอะไรที่ไม่ถูกใจ เราบ้างก็ต้องให้อภัยเขา เพราะเขามาอยู่กับเราก็ต้องต้อนรับเขาด้วย การให้ อภัย จึงจะอยู่กับเขาได้ จะถูกใจบ้ างไม่ถูกใจบ้างก็ต้องให้ อภัย เพราะเขามีบุญคุณกับแม่มาก ขอให้ลูกทุกคนจงเข้าใจไว้ด้วย เขาเป็นผู้ หนึ่งที่ได้มาช่วยแม่ที่กาลังจะจมน้าตายให้อยู่รอดมาจนทุกวันนี้ แม่ถือ ว่าเขาเป็นผู้อุปถัมภ์แม่ เกิดจากบุญที่แม่ได้ทาไว้จึงมีผู้มาอุปถัมภ์ หวัง ว่าลูกทุกคนคงเข้าใจ ลูกๆทุกคนมีความสาคัญต่อครอบครัวของเราร่วมกัน มา ถวิ ล ลู กคนโต เมื่ อโตขึ้ น มาเป็ น คนที่ ข ยั น มาก ท างานที่ แ ม่สั่ ง ได้ เรียบร้อย เช่น ถูบ้าน ตักน้าใส่โอ่ง ซ่อมบ้านโดยไม่ต้องเกี​ียงน้อง แม้แต่ การกินอยู่ ของสิ่งใดมีน้อยเขาก็ไม่กิน ยกให้น้องกิน เขาเป็นพี่ที่ดี จะมี สิ่งใดที่ต้องถามเขาก็ทาเสียเอง โดยที่ไม่ต้องเกี่ยวข้องกับน้องเลย เขา เป็นพี่ที่ดีมากสาหรับน้องๆ แทนแม่ได้ คนที่ ส อง มาลั ย (แต๋ ว ) ก็ มี ค วามส าคั ญ มาก คื อ ช่วยเหลือแม่ทุกอย่างภายในครอบครัว เช่น เลี้ยงน้อง หุงข้าว ที่ไม่ให้ ทาโดยไม่ต้องเคี่ยวเข็ญ แช่งด่า


35

(3) ฉลอง เขาเป็นคนฉลาดมาก ชอบอ่านหนังสือ มากเป็น ชีวิตจิตใจ เขาจะเอาแต่อ่านหนังสือ เขาจะไม่มีเวลาทางาน อย่างอื่น เขาจึงเป็นคนเรียนเก่ง สุขภาพแข็งแรง ไม่ป่วยไม่ไข้ (4) จารัส ที่ป่วย สุขภาพไม่แข็งแรง เมื่อตอนเป็น เด็ก (5) ดารงค์ ตายเมื่ออายุ 3 ขวบ (6) ชูจิต (ติ๋ว) เป็นลูกคนที่ 6 มีความสาคัญมาใน วัยชรา (7) เรืองชัย (ติ่ง) คนเล็กสุดท้อง ได้รับการอุปการะ จากฉลองมาก เขาได้ส่ งเรี ย นมาตั้ ง แต่ ต้น จนสุ ดท้ าย ปีสุ ดท้ ายหมอ กับติ๋วเขาช่วยจนได้สาเร็จ แม่ถือว่าลูกๆทุกคนมีส่วนร่วมทุกข์ สุข ด้วยกันทุกคน ทั้งเขยและสะใภ้ แม่มีความสุขในวัยชราพอสมควร ขอให้ลูกทุกคนมีสุขภาพดี อย่าได้มีโรคภัยไข้เจ็บ ให้มี จิตใจเป็นธรรม ตามที่บรรพบุรุษของเราประพฤติปฏิบัติมาแต่ต้น ส่วนแม่ชราแล้ว อยู่มาตั้ง 80 ปีแล้ว ใกล้ความตายมา ทุ ก วั น แต่ ก็ ภู มิ ใ จอยู่ ม ากเห็ น ลู ก ๆมี ฐ านะดี พ บความส าเร็ จ ในชี วิ ต ด้วยกันทุกคน ชีวิตของคนก็มีแต่ความตาย มีเงินทองก็ส่งแค่โรงพยาบาล มีลูกหลานก็ส่งแค่เชิงตะกอน


36

บุญและบาปจะนาทางจร บุ ญและบาปนั้ น มีแน่ แม่เ ห็ น แล้ ว ถ้า ลู กๆอยากรู้จ ง พิสูจน์เอาเองตามคาสอนของพระพุทธเจ้านั่นเอง ไม่รู้เห็นแล้วจะเล่าให้ ใครฟัง เขาก็จะว่าได้ว่าโกหก โม้ ใครอยากรู้ก็ดูเอาเอง ยศลาภ เว้นเสียแต่ ทรัพย์สมบัติ ร่างของตน

หาบไป ต้นทุน ทิ้งไว้ เขาก็เอา

ไม่ได้แน่ บุญกุศล ให้ปวงชน ไปเผาไฟ

ชีวิต เรือนร่าง บาปกุศล บุญกุศล

เปรียบเหมือน การเดินทาง เปรียบศาลา พักอาศัย เปรียบเหมือนโจรปล้นจิตใจ เปรียบสหาย ผู้นาทาง

(แม่เขียนเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2535 อายุ 80 ปี)

จบตอนที่ 1


37

หลังข้อเขียนของแม่ แม่เขียนสมุดประวัติเล่มนี้จบเมื่อต้นปี พ.ศ. 2535 จารัสลูก คนกลางของแม่ ก็ ข อยื ม สมุ ด ที่แ ม่ เ ขีย นเอาไปคั ดลอกตั้ง แต่ปี พ. ศ. 2535 แต่ด้วยภารกิจการงานเลยอยู่มาจนถึงปีนี้ (พ.ศ. 2539) เราคิด ว่าวันสงกรานต์ปีนี้เป็นปีที่แม่ครบ 7 รอบแล้ว เมื่อพวกเราพี่น้องมาหา แม่พร้อมๆกันก็ถือโอกาสพิมพ์ข้อเขียนของแม่ (แบบชั่วคราว) แจกพี่ๆ น้องๆไว้อ่านคานึงถึงความหลังกันไปด้วย เพราะพวกเราพี่น้องก็เริ่มเข้า สู่มัชฌิมวัย และปัจฉิมวัยกันแล้ว เมื่อปีที่แล้ว (พ.ศ. 2538) มาลัย (แต๋ว) ก็จากพวกเราไปก่อนโดยที่ไม่มีใครได้คิดได้ฝัน จึงคิดว่าข้อเขียน ของแม่จะเป็นเครื่องเตือนใจของเราพี่น้องไปด้วย สมุดที่เป็นลายมือแม่อ่านเขียนอ่านง่าย ภาษาที่เขียนก็เขียน ด้วยใจด้วยความรู้สึก ได้ลอกข้อความของแม่มา 100% มีข้อความใน วงเล็บบางแห่งที่เสริมไว้บ้างเพื่อกันลืมบางสิ่งซึ่งแม่ไม่ได้เขียนไว้และได้ แก้ไขตัวสะกดการันต์บ้างเพราะแม่ไม่ได้เขียนหนังสือเป็นอาชีพอาจมี สะกดการันต์ผิดจากที่ใช้กันไปบ้าง แต่แม่เขียนหนังสือนี้เมื่ออายุ 80 ปี และเขียนได้อย่างถูกต้องสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ เก็บความคิดว่า ปีหน้า (พ.ศ. 2540) วันสงกรานต์ พวกเราพี่ น้องลูกหลาน มาพบกันอีกที่บ้านแม่ น่าจะมีสมุ ดลักษณะนี้จากแม่มา แจกกันอีก จารัส 13 เมษายน พ.ศ. 2539


38


39

ตอนที่ 2 พิมพ์แจกในโอกาสทาบุญอายุครบรอบ 92 ปี แม่ส้มลิ้ม บุญญานันต์ เมษายน พ.ศ. 2546


40


41

คานา เมื่อวันสงกรานต์ ปีพ. ศ. 2539 พวกเราพี่น้อง ทาบุญครบ อายุ 8 รอบให้แม่ที่บ้านติ๋ว ซึ่งเป็นบ้ านที่แม่อยู่ ในวันนั้น พวกเราได้ พิมพ์หนังสือ “แม่เล่าให้ลูกฟัง” มาแจกกัน หนังสือเล่มนั้น แม่เขียนเล่า เกี่ยวกับ “ญาติพี่น้องวงศ์ตระกูลของแม่” ทั้งสาย ตา-ยาย และสาย ปู่ย่า ของแม่ หลังจากงานนั้น แต่ก็ยังเขียนเล่าเรื่องต่างๆไว้อีก แล้วเอามา ไปให้ผม (จารัส) ไว้ เพื่อพิมพ์แจกกัน แม่บันทึกไว้ว่าเริ่มเขียนเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ. ศ. 2539 สงกรานต์ปีนี้ (พ. ศ. 2546) แม่มีอายุเต็ม 91 ปี พวกเรา มาร่วมกันทาบุญร่วมกับแม่อีกครั้งหนึ่ง เมื่อการทาบุญครั้งที่แล้ว พ. ศ. 2539 พวกเราขาดมาลัย แต๋ว ลูกคนที่ 2 ของแม่ไป มาคราวนี้พวกเรา นอกจากจะอายุมากขึ้น ชราภาพลง โรคภัยไข้เจ็บเริ่มมาเยี่ยมเยือนบ่อย ขึ้นแล้ว คราวนี้พวกเราขาด สุวิมล (แอ๊ด) สะใภ้คนหนึ่งของแม่ ซึ่ง จากไปอย่ า งไม่ มี วั น กลั บ เมื่ อ ปี ที่ แ ล้ ว ปี นี้ พ วกเราพี่ น้ อ งยั ง แข็ ง แรง พอที่จะมาทาบุญร่วมกับแม่ได้ ซึ่งไม่แน่ว่า ปีหน้าหรือปีต่ อต่อไปพวก เราจะแข็งแรงพอที่จะมาทาบุญร่วมกันโดยพร้อมเพรียงหรือไม่ ข้ อ เขี ย นของแม่ เ ล่ น นี้ แม่ ใ ช้ ชื่ อ ว่ า แม่ เ ล่ า ให้ ลู ก ฟั ง ตอนที่ 2 ผมพิมพ์ตามที่แม่เขียนทุกคา เมื่อเขียนเมื่ออายุ 86 ปีแล้ว ที่จริงแม่ เขียนไว้ถึง 2 เล่ม ข้อความคล้ายคล้ายกัน ไว้เมื่อทาบุญร่วมกันปี หน้า ผมจะพิมพ์มาแจกให้ลูกหลานเหลนโหลนของแม่ได้อ่านกันอีก ผ.ศ. จารัส บุญญานันต์


42


43

สมุดประวัติชีวิต แม่เล่าให้ลูกฟัง ตอนที่ 2 (บันทึกเมื่อ) วันที่ 26 เมษายน พ. ศ. 2539 ลูก 7 คนแม่เลี้ยงมาได้อย่างไร พ่อแก่เขาเป็นครูครั้งแรกได้เงินเดือนเดือนละ 12 บาท เขา สอนอยู่วัดคลองปลาไหล ในเขตอาเภอวัดสิงห์ แม่กาลังเลี้ยงลูกอ่อนคือ นายถวิล บุญญานันต์ เป็นลูกคนแรก ต่อมาพอถวิลได้ 2 ขวบ แม่ก็มีลูก คนที่ 2 คือนางมาลัย พอนางมาลัยอายุได้ 2 เดือน พ่อเองเขาก็ถูกย้าย ไปอยู่วัดวังหมันอยู่ในเขตอาเภอวัดสิงห์ และเขาขึ้นเงินเดือนให้ (เป็ น) เดือนละ 17 บาท และเขาเพิ่มเงินเป็นเบี้ยกันดารอีกเดือนละเท่าใดแม่ก็ จาไม่ได้ แม่ลืมไปแล้ว ในขณะนั้นแถวนั้นยังเป็นป่าเป็นดงอยู่ ไปมาก็ลาบากต้องเดิน ไปตามทางเกวียน ออกจากบ้านแต่เช้ามืด ไปถึงโรงเรียนก็มืดพอดี ที แรกก็ไปอาศัยพระอยู่และอาศัยข้าววัดบ้างเป็นบางเวลา ฉะนั้นเขาจะ กลั บบ้ านวันโกน สมัยก่อนโรงเรี ย นหยุดวันโกนวันพระ ถ้าหน้าฝนก็ ลาบากมาก ต้องลุยน้าลุยโคลนตลอด เพราะว่าสมัยก่อนถึงหน้าฝน ฝน ก็จะตกเรื่อย จะไปไหนก็ลุยแต่น้าแต่โคลน แต่พอถึงหน้าแล้งน้าไม่มีกิน แม้ขุดบ่อก็ไม่มีน้าออกมา หาน้าอาบก็ยาก ต้องเอาผ้าชุบน้าเช็ ดตัวเอา ส่วนพวกควายและวัวนั้น หน้าแล้งเขาจะไล่มาอยู่ทุ่งคลองปลาไหล มา


44

อาศัยน้าในคลองปลาไหลให้วัวและควายกิน พอเดือนหกฝนลงเขาก็ยก กลับไปทานา คนหมู่บ้าน (วังหมัน) นั้น เป็นหมู่บ้านใหญ่ เป็นคนลาวทั้งนั้น แต่หมู่บ้านคนลาวนั้นเขาเป็นคนดี เป็นคนซื่อสัตย์ ขยัน แข็ งแรง เมื่อ พ่อเองเขาไปอยู่นาน แล้วสอนหนังสือให้ลูกเขานานเข้า เขาก็ให้ความ เคารพรักใคร่เป็นอย่างดี หมู่บ้านนั้นเขาอยู่กันอย่างดี เขาจะไม่ขโมยกัน เขาจะเชื่อผู้นาของเขาคือผู้ใหญ่บ้าน เขาไปอยู่ (วังหมัน) จนเด็กที่เขา สอนนั้นกลับไปเป็นครูแทนเขาได้แล้ว เขาเพิ่งได้ย้ ายกลับมา ตอนนั้น บ้านเมืองก็เต็มไปด้วยโจรผู้ร้าย ไม่ว่าจะเดินทางไปมาระหว่างทางนั้น ต้องเดินผ่านหมู่บ้านไปหลายหมู่บ้าน หมู่บ้านเหล่านั้นจะอยู่ในป่าในดง ไม้สูง มีแต่พวกโจร บางครั้งก็คอยดักยิงเอาที่จะแย่งปืนเพราะพ่อเอง เขามีปืนสั้นอยู่ 1 กระบอก แต่ก็รอดพ้นมาได้เพราะ ไม่ถึงที่ตายก็ไม่ วายชีวาวาต ใครพิฆาตเข่นฆ่าไม่อาสัญ ถ้าถึงที่ตายก็ต้องวายชีวาวัน ไม่มีใครฆ่ามันก็ตายเอง เขาไปอยู่วัดวังหมันถึง 9 ปี ก็ย้ายมาเป็นครูใหญ่วัดธรรมามูล โรงเรียนชลประทาน (เขื่อนพลเทพ) โรงเรียนวัดสุขารมย์ (ตามลาดับ) ต่อมาก็ย้ายมาอยู่วัดคงสวั สดิ์ ตอนนั้นเขาชื่อวัดบางกะพี้ พวกเขาย้าย มาเขาก็เป็นครูใหญ่ และเขาก็คิดจะแยกโรงเรียนออกจากศาลาวัด จึง ขอเงินรัฐบาลมาก่อสร้างโรงเรียนใหม่ และตั้งชื่อวัดใหม่ชื่อ วัดคงสวัสดิ์ วัฒนาราม นั บตั้งแต่บัดนั้ นเป็น ต้นมา ต่อมาเขาก็ได้เป็นหัวหน้ากลุ่ ม จัดการขอเงินสร้างโรงเรียนวัดสุขารมย์ และโรงเรียนวัดใหม่วงเดือนอีก ด้วย


45

ตลอด (เวลา) จนกระทั่งเกษียณอายุ ราชการ แม่ไม่เคยได้เห็น เงินเดือนเขาเลย อยู่ด้วยความยากจนและจนตลอดชาติ แต่แม่รวยบุญ นะเพราะแม่ชอบทาบุญ การทานั้นมีอานิสงส์ ถ้าทาบุญทาทาน ไม่ถึงที่ ยากก็ไม่ยาก ไม่ถึงที่จนก็ไม่จ น ถ้าใครชอบทาบุญก็จะทราบด้วยตนเอง ถ้าเรามีน้อยเราก็ทาน้อย ทาตามกาลังศรัทธาและกาลังทรัพย์ที่เรามีอยู่ ท่าทามากก็มีอานิสงส์มาก อานิสงส์ก็คือจะคลายความยึดมั่นถือมั่นใน ตัวตน ว่าของนี้เป็นของเรา ที่จริงแล้วทรัพย์สินเงินทองเหล่านี้มันเป็น ของโลกเขา ถ้าใครเกิดมาเป็ นมนุษย์จึงจะมาใช้ได้ ถ้าตายไปก็หมด สิทธิ์ ถ้าเราทาบุญทาทานไว้ก็เท่ากับฝากธนาคารโลกไว้ ก็ปล่อยไปเราก็ ไปคนเดียว เราจะไม่ได้อะไรไปเลย นอกเสียจากบุญทานที่เราทาไว้นี้ แหละจะติดตามเราไป ข้อนี้ลูกทุกคนคงจะคิดกันได้แล้ว ถ้าเราจะตาย ไปก็ ข ออย่ า ให้ เ ราขาดทุ น ให้ พ อเสมอตั ว ก็ ยั ง ดี อย่ า มั ว ประมาทอยู่ ความตายมันตามมาทุกชั่วโมง ถึงเวลาเราจะตายเข้าจริงเราจะได้ยึดบุญ ที่เราทาไว้เป็นที่พึ่ง พ่อเองเมื่อเขาเกษียณอายุแล้วเขาก็ว่างงาน แม่ก็คิดว่าเขาแก่ แล้ว ก็อยากจะให้เขาเข้าวัด บุญทาทานเสียบ้าง จึงพาเขามาทาบุญที่วัด สุขารมย์ พวกเขาชอบถูกคอกันกับอาจารย์สง่า ท่านสมภารวัดสุขารมย์ เขาเคยไปมาหากันอยู่เรื่อยๆ เขาได้เข้าเป็นกรรมการวัดร่วมกันกับท่าน อาจารย์เตรียมจะสร้างโบสถ์กัน พอรวมเงินลงบัญชีได้ สามหมื่น ยัง ไม่ได้เก็บเงิน เพราะยังไม่ได้ลงมือทาเขาก็มาเสียชีวิตเสียก่อน การสร้าง โบสถ์ก็เลยหยุดชะงักไป ก็เป็นอันว่าปิดฉากชีวิตไป


46

(เมื่อพ่อแก่เขาไปเป็นครูที่วัดวังหมัน) แม่อยู่บ้านกับแม่แก่ (คุณ ยายสัมฤทธิ์) ก็ช่วยกันเลี้ยงลูก หน้าแล้งก็ทานาทาไร่ หน้าฝนก็ทาสวน เมื่อลูกยังเล็กอยู่ เพราะพ่อแก่ (คุณตา) มีนาเป็นมรดกอยู่หนึ่งแปลงพอ ได้ เ ก็บ ค่ าเช่ า มากิ น กั น เมื่ อ ก่อ นนี้ บ้ า นเมื อ งมัน อุ ดมสมบูร ณ์ ฝนตก ตลอดปี พืชผักผลไม้มีกินทั้งปีโดยไม่ต้องใช้ปุ๋ยและฉีดยา เมื่อเราทาไม่ ไหวก็จ้างเขาช่วยทาบ้าง ค่าแรงวันละ 25 สตางค์ ค่าจ้างทานาก็ปีละ 60 บาท ตั้งแต่หน้าทาจนถึงหน้าเกี่ยวเสร็จ ราคาข้าวปีละ 30-35 บาท อย่างแพง ผักปลาอุดมสมบูรณ์ไม่ต้องใช้สตางค์ซื้อ พอมาถึงหน้าน้าลด คือเดือนสิบสองและเดือนอ้าย น้าลดลง ปลามันจะขึ้นมาตามลาแม่น้า เต็มไปหมด พวกคนจีนเขาจะมาทาอวนหาปลาขาย แม่เคยไปซื้อมาทา ปลาร้าไว้กิน เอาเรือหมูพายไปซื้อ เต็มลาเรือก็ราว สิบสลึง สามบาท เท่านั้ นเอง เอาแต่ปลาเนื้อ ปลาเกล็ดไม่เอา ในขณะนั้นแม่ห าเงินได้ มากกว่าเงินเดือนพ่อเองอีก แม่เคยจาสุภาษิตสอนหญิงของท่านสุนทรภู่ ท่านสอนไว้ว่า มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท มิให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์ ถึงมีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน ไม่ควรซื้อก็อย่าไปพิไรซื้อ ให้เป็นมื้อเป็นคราวทั้งคาวหวาน เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าชรากาล จงเลี้ยงท่านอย่าให้อดรันทดใจ


47

ภาษิตสอนหญิงบทนี้เป็นครูสอนได้ดีมาก พอลูกโตขึ้น พออายุ 8 ขวบก็เข้าโรงเรียนกัน ทุกคนก็พอ ช่วยงานในบ้านตามความสามารถที่เด็กพอจะทาได้ก็ให้ช่วยกันทาเพื่อ จะหั น ให้ ข ยั น งานที่ ค วรจะท าได้ จะได้ ไ ม่ อื ด อาดยื ด ยาดเพื่ อ ความ คล่องตัว และต้องทาทุกคนเพื่อพร้ อมเพรี ยงกัน ถึงเวลากินก็ต้องกิน พร้อมกัน มีอะไรกินก็ต้องแบ่งทั่วๆกันไม่ให้เอาเปรียบกัน ใครเป็นน้องก็ ต้องเคารพพี่ ต้องเรียกเขาพี่ ใครเป็นพี่ก็ต้องอภัยให้น้อง ไม่ให้ขมเหง รังแกกัน ถ้าใครขัดขืนไม่เชื่อฟังจะต้ องโดนแม่ตี และห้ามไม่ให้ไปเล่น รวมกับเด็กบ้านอื่น และต้องเล่นอยู่ในบ้านของตัวและพวกของตัวเอง กลัวจะไปติดนิสัยเขามา ลูกเราจะดื้อจะว่ายาก เวลานอนก็ไม่ให้นอน รวมกัน ให้นอนคนละที่ ก่อนนอนต้องอ่านหนังสือกันทุกคน ใช้ตะเกียง กระป๋อง ใช้น้ามันก๊าดปีละ 3 ปี๊บ ปี๊บละสิบสลึงเท่านั้น ทุกคนต้องอ่าน หนังสือก่อนนอน เมื่อใครง่วงนอนก็นอนแต่ต้องอ่านหนังสือเสียพักก่อน พอตีสี่แม่ลุกหุงข้าวลูกทุกคนก็ต้องลุกขึ้นอ่านหนังสือ ถ้าใครไม่ลุกจะ โดนน้าสาด เพื่อจะหัดให้เด็กทุกคนคล่องตัวไม่อืดอาดยืดยาด ตัวแม่เอง เคยโดนมาก่อนแล้วจึงนามาฝึกลูก คิ ดว่าลูกทุกคนคงเกลียดแม่ แต่ไม่ เป็นไร แม่ให้อภัยลูกของแม่ทุกคน ลูกทุกคนก็คงทราบอยู่แก่ตัวอยู่แล้ว ว่าแม่นั้นเด็ดขาดแค่ไหน ถ้าพูดอย่างไรต้องเป็นอย่างนั้น ถ้าว่าจะต้อง ถูกตีก็ต้องตี เพื่อเป็นระเบียบเรียบร้อย เพื่อจะให้ลูกรู้ว่าสิ่งใดควรทา และไม่ควรทา พ่อลูกทุกคนโตพอสมควรแม่ก็ไม่ต้องตี เพียงเราพูดกันก็รู้เรื่อง แล้ว แม่ติดคุกชีวิตอยู่ 20 ปี ติดคุกชีวิตนั้นหมายถึงว่ากาลังเลี้ยงลูก


48

พ่อนายเรืองชัย (เป็นคนเล็กสุดท้อง) นั้นเขาโต พ่ออายุเขาได้ 5 ขวบ แม่เองก็อายุได้ 42 ปี ก็มาคิดถึงตัวเอง ถ้าเราจะต้องตายเสียใน ขณะนี้ เราจะต้องขาดทุนแน่ ฉะนั้นแม่จึงตัดสินใจเข้าวัด ไปรักษาศีล อุโบสถ ในวันพระเข้าพรรษาตลอด 3 เดือนทุกปี และรับเป็นโยมวัด เข้าช่วยเหลือทางานของวัดในเมื่อทางวัดมีงานต้องทาในงานที่เราควร จะทาได้ นี่สาหรับวัดเหนือ หลังคาโบสถ์วัดเหนือก็เกิดรั่วขึ้นมาเพราะ อยู่มานานเป็น ร้อยปีมาแล้ว พระท่านจะลงอุโบสถทาสังฆกรรมไม่ได้ คณะกรรมการวัดจึงคิดเรี่ยรายเงิน จะซ่อมหลังคาโบสถ์กัน พ่อเองกับ ครูบางเขาเป็นคนทาบัญชี รวมบัญชีแล้วได้เงินแค่ 30,000 บาทเท่านั้น ได้ไว้แต่ตัวเลขเงินยังไม่ได้เก็บ จะรื้อทาใหม่ก็หรือไม่ได้เพราะเงินไม่พอ พระก็ลงโบสถ์ไม่ได้ แม่ก็มาคิดออกว่าถ้าเราไม่ลงมือทาเสียก่อนแล้วเงิน นั้น จะไม่ เข้ามา เพราะชาวบ้ า นเขายั งไม่เห็ น ผลงาน แม่ก็ไ ด้แจ้งกั บ กรรมการวัดเขาว่าให้ลงมือหรือเข้าเถอะ ถ้าวัดขาดทุนแล้ว จะขายนา ให้วัดใช้หนี้หนึ่งแถว ถ้าวัดไม่ขาดทุนก็ไม่ต้องขาย ก็ตกลงทากัน หาช่าง มารื้อ แล้วก็ลงมือทากัน ตอนนั้นทางรถหลังบ้านยังไม่มี ต้องไปซื้อไม้ที่ โรงเลื่อยจังหวัดอุทัยธานี สร้างให้เขาเลื่อยเป็นพิเศษสาหรับไม้ขื่อต้องใช้ ไม้ทั้งต้น เมื่อเลือกแล้วก็ต้องเอาเรือไปบรรทุกเอา พ่อลงมือทามีผลงาน ออกมา เช่าบ้านเขาก็เอาเงินมาช่วย เมื่อโหลดเสร็จแล้ว ช่อฟ้ ายังไม่มี คราวนี้ช่างเขาจะทาช่อฟ้า ก็เลือกลายปูนซีเมนต์กัน เสื้อลายกันจนหมด บ้านแล้วปูนก็ยังไม่พอ แม่ก็เลยถอดแหวนที่ใส่ติดมืออยู่ 1 วง ให้เขาไป ขายเอามาซื้อปูนทาช่อฟ้า ในขณะนั้น ปูนลูกละ 25 บาท ถ้าโบสถ์คือ


49

ซ่อมคราวนั้น หมดเงินไปทั้งหมด 60,000 บาท แม่ร่วมไป 1,000 บาท กับแหวน 1 วงราคา 200 บาท แต่ก่อนจะสร้างโบสถ์นั้นก็ได้ซ่อมพระ วิหารเก่าที่ชารุดที่ติดอยู่กับโบสถ์นั่นแหละ เพื่อทาไว้ให้เป็นที่อยู่ของ หลวงพ่อ (เฒ่า) นั่นเอง วิหารนี้มีมาก่อนแล้ว เวลาซ่อมแม่ก็ออกเงินอีก 1,000 บาท พระเจดีย์องค์ที่อยู่ตรงหน้าประตูวิหารนั้น ป้าเสมเป็น ผู้สร้าง ป้าเสริมแกเป็นพี่สาวของแม่แก่ (ยาย) ของพวกเองนั่นเอง (ยาย เสม) แก้ ไ ม่ มี ลู ก และอี ก องค์ ห นึ่ ง ที่ ถั ด ไปนั้ น เป็ น ของหมอทอง พ่ อ เจ้าเทิงเจ้าทุมนั่นเอง เมื่อแต่ก่อนนี้ วัดเหนือ (วัดสวัสดิ์วัฒนาราม) เจริญรุ่งเรืองมี พระมาก ถึงแม้ว่าหลวงพ่อเฒ่า (หลวงพ่อคง) จะมรณภาพไปนานแล้วก็ ตาม เมื่อแม่เรียนหนังสือครั้งแรกก็พระในวัดนั่นแหละเป็นครูสอนครั้ง แรก จะมีหลวงพ่อเท่งเป็นสมภารต่อมา ท่านเป็นคนบ้านหาดกองสิน บ้านท่านอยู่วัดหาดกองสินนั่นแหละ เมื่อก่อนเด็กผู้ชายต้องเข้าไปอยู่วัด เรียนหนังสือกับพระ ท่านจะสอนและหัดให้มีคุณสมบัติของผู้ชายพร้อม ทุกอย่าง ฉะนั้นชาวบ้านจึงต้องรุกกันตั้งแต่ตี 4 เพื่อจะทาสารับส่งกัน แทบทุกบ้าน บ้านไหนเขามีฐานะพอที่จะทาได้ เขาก็ทาส่งทั้งเช้าและ เพลทั้ ง สองเวลา จะมี ลู ก ศิ ษ ย์ พ ระมารั บ ที่ เ ล่ า มานี้ ตั้ ง แต่ แ ม่ ยั ง ไม่ มี ครอบครัว เมื่อแต่ก่อนวัดสุขารมย์ ยังไม่มี ไปทาบุญรวมกันหมดทั้งสอง ฝั่งแม่น้า เขียนเสียเรื่อยเปื่อยขอหยุดไว้แค่นี้


50

อุโบสถวัดคงสวัสดิ์วัฒนาราม (วัดเหนือ) พ.ศ. 2560

รูปหล่อหลวงปู่คง ภายในวัดคงสวัสดิ์วัฒนาราม


51

เมื่อทาโบสถ์เสร็จแล้ว แม่ก็มาคิดถึงปู่ย่าข้างพ่อบ้าง วัดสุขา รมย์นั้น ปู่สารและย่าใยซึ่งเป็นปู่และย่าของแม่เอง ซึ่งลุงไม้พี่ชายคน หัวปี (ของพ่อเขียว) แกได้ก่อตั้งวัดสุขารมย์ขึ้นมา แม่เองก็เป็นลูกหลาน ก็อยากจะทาอะไรเพื่อทดแทนบุญคุณปู่และย่าบ้าง เมื่อท่านอาจารย์ (สง่า) สร้างโบสถ์ แม่ร่วมบุญกับท่านไป 10000 บาท เมื่อบทจะฝัง ลูกนิมิตก็ไม่มีเงิน แม่ก็คิดจะทอดกฐินสามัคคีเพื่อจะรวมเงินทาทุนฝัง ลูกนิมิตแล้วก็แจ้งให้ชาวบ้านเขาทราบ เมื่อถึง เวลาก็พิมพ์ฎีกาแจกไป ส่ว นผ้ าไตรและเครื่ องกฐิ น นั้ น ชาวบ้ านเขาจะออกเองแล้ ว แต่ใครจะ ทาบุญอะไร แล้วเอามารวมกัน วันทอดเสร็จแล้วได้เงิน 20,000 บาท เอามาลองทุนฝังลูกนิมิต พอถึงกาหนดงานถึง 9 วัน 9 คืน ข้าวสาร 20 กระสอบเรี่ยไรมา ทิดเลี่ยม (นายเลี่ยม สุขสาแดง) เป็นหัวเรี่ยวหัวแรง พริก กะปิ หอม กระเทียม เครื่องครัวทุกอย่างเรี่ยไรหมดกระทั่งผักปลา เช้าขึ้นมาก็จะไปเรี่ยไรในตลาด ทางาน 9 วัน 9 คืน จะเลี้ยงหมด แม้ ก ระทั่ ง พวกขอทาน มี ม ากจริ ง ๆไม่ รู้ ว่ า มาจากไหน พอเสร็ จ งาน ข้าวสาร 20 กระสอบจะเหลืออยู่กระสอบเดียว แม่ไปทางานอยู่ในวัด อดนอนอยู่ได้ถึง 9 วัน 9 คืนแม่ก็ไม่เป็นไรเพราะมันปลื้มปิติไปกลับ ทาบุญและทาทาน เมื่อโบสถ์เสร็จไปแล้ว ก็มาร่วมกันสร้างเมรุ ตอนนั้นก็อายุล่วง ไปได้ 72 ปีแล้ว ตอนนี้แม่รู้สึกว่าไม่ค่อยสบายคิดว่ามันคงจะตาย แม่จึง ได้ถ่ายรูปแจกไว้ให้ลูกทุกคน พร้อมทั้งให้พี่ชายด้ วยถึงวันพระก็ไปวัด เมื่อไปเห็นศาลาวัดมันจะพัง ฝนตกก็รั่ว กลัวมันจะพังทับเอา คอยให้คน อื่นเขาคิดก็จะได้ร่วมมือกับเขา คอยอยู่ก็ไม่มีใครเขาคิดเลยต้องคิดเอง


52

พอดีพระบุญมีท่านมาอยู่ท่านเคยเป็นช่างก่อสร้าง ท่านเคยทางานกับ บริษัทญี่ปุ่นเมื่อเป็นฆราวาส เมื่อมีพระเป็นช่างแม่ก็มีความมั่นใจมากขึ้น จึงไปหาพี่ชายที่กาแพงเพชร พี่ชาย (ลุงทองอินทร์) ให้ (เงินร่วมสร้าง ศาลา) มา 20,000 บาท ตัวส่วนตัวแม่มีอยู่ 35,000 บาท และด้วยเงินที่ เขามาทอดกฐินอีก 10,000 บาท วัดทอดกฐินก็เอาเจ้าหน้าที่ธนาคารมา เปิดบัญชีสมทบทุนสร้างศาลาขึ้น ตอนนี้อายุแม่ได้ 74 ปีแล้ว ได้ร่วมมือกับพระบุญมี นายดาบ เที่ยง อีกหนึ่งคน ตอนนั้นเขายังทางานอยู่ ให้เขาช่วยทาบัญชีและคอย คุ้มเงินให้ พ่อร่วมเงินได้ 65,000 บาทก็กะงานวางหิรัญฤกษ์ คือว่าหิรัญ ฤกษ์นั้นวางด้วยเงิน วางด้วยเงินนั้นทาอย่างไร พระบุญมีท่านวางผั ง แล้วก็ขุดหลุมขึ้นกลางศาลานั้น พอถึงกาหนดงานแม่ก็มาคิดว่าเราจะ ทางานใหญ่นั้นเราจะทาคนเดียวไม่ได้ แม่จึงให้นางทองเจือไปหาคนทรง มาสองคน นางทองเจือเขาเป็นคนจัดเพราะเขาชานาญในเรื่องนี้ คน ทรงเป็นหญิงอายุราว 50 ปีกว่าทั้งสองคน เมื่อเข้าทรงแล้วปรากฏว่า เป็นมอญพูดไม่รู้เรื่อง แม่ขอร้องให้พูดภาษากลางให้มากหน่อยลูกหลาน ฟังไม่รู้เรื่อง ท่านก็เล่าว่าท่านเป็ นคนมอญ มีสถานบ้านเมืองอยู่เมือง เหนือ ท่านชื่อนันทมานพและพระนางมลวดี ได้อพยพหนีพม่าข้าศึกมา ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนอยู่ที่นี่นานมาแล้ว ตั้งแต่แม่น้ายังไม่มี และเขาให้ เรียกเขาว่าพ่อปู่แม่ย่าก็แล้วกัน แล้วแม่ก็เชิญชวนท่านมาร่วมกันสร้าง ศาลา ให้ช่วยลูกหลานสร้างศาลาเพื่อทาบุญร่วมกัน ลูกหลานจะสร้าง ปราสาทให้พ่อปู่แม่ย่าอยู่ แล้วก็เชิญพ่อปู่แม่ย่าให้ไปชี้สถานที่สร้างศาล พระภูมิประจาวัดนั่นเอง เพราะเขาชี้ที่ให้ปลูกศาลพระภูมิแล้ว ควรตั้ง


53

ศาลก็ช่ว ยกั นขุดหลุมตั้งศาล และแล้ วก็ล งมือขุดหลุมเพื่อสร้างศาลา พร้อมกันเลย พอถึงเวลาจัดงานวันที่จะวางหิรัญฤกษ์ นายดาบเที่ยงก็ นิมนต์พระมาทั้งหมด 9 องค์ เอาแต่สมภารวัดทั้ง 9 องค์ พอพระสวด มนต์จบ เขาก็ให้แม่เป็นคนเอาเงินไปวางลงก่อน แม่ก็เอาเงินไปวางก่อน 2,000 บาท ต่อไปก็ผู้มีจิตศรัทธาทั้งหลายก็เอาเงินไปใส่ตาม นี่คือเขา เรียกว่าวางหิ รัญฤกษ์ เอาเงินวางแทนศิลา ต่อไปก็ลงมือทา ขุดหลุ ม หล่อเสา โดยพระบุญมีเป็นช่าง ขอแรงกันบ้าง จ้างบ้าง แล้วให้พระบุญ มีเป็นคนคุม ส่วนคนงานนั้น แลกก็จ้างเด็กแถวบ้านเรานี้แหละ ขั้นขุด หลุ มเทคานคอดิน ชั้น ต้ น ยั ง ไม่ ต้อ งใช้ ช่า งฝี มือ เพีย งแต่ใ ช้ก าลั งมาก หน่อย แม่ก็มาคิดว่าเงินของบ้านเราจะได้ไม่ตกไปที่อื่น และเด็กเหล่านี้ มันจะได้ภูมิใจว่าศาลาหลังนี้เขาได้ลงมือทาด้วยน้าพักน้าแรงของเขาเอง ส่วนแม่เองนั้นจะต้องไปทุกวัน บ้านไม่ต้องเฝ้า เมื่อใครมันอยากจะได้ อะไรก็ให้มันเอาไปเถอะ ก่อนที่แม่เริ่มสร้างศาลานี้ อายุแม่ 74 ปีเข้าไปแล้ว มันใกล้วัน ตายเต็มทีแล้ว เวลาไปวัดก็ซื้อน้าแข็งไปเลี้ยงเด็กที่มันทางานกันไป เก็บ ถุงปูนที่เขาใช้แล้วรวมขายเอาเงินซื้อน้าแข็งเลี้ยงคนงาน เก็บตะปูบ้าง ขายเอาเงิน ซื้อน้ าแข็ง แม่จ ะไปทุก วัน บางวั นพระช่ างท่า นก็ ถูก เขา นิมนต์ไปวัดอื่น เช่นเผาผีบ้าง บวชนาคบ้าง แม่ก็ต้องไปเฝ้าคนงานแทน ท่านทุกวันจะไปอยู่ที่วัด ตอน ศาลานั้น พ. ศ. 2528 เริ่มลงมือสร้าง แม่อายุ 74 ปีเข้าไปแล้ว ก็กลัวว่าตัวเองจะตายเสียก่อนกว่าศาลาจะ เสร็จ


54

ศาลาการเปรียญวัดสุขารมย์ (วัดใต้)

ธรรมาสน์บุษบกภายในศาลาการเปรียญ วัดสุขารมย์


55

ทาไปพอหมดเงิน 65,000 บาท ที่เริ่มต้นทาศาลาได้แค่คานคอ ดินก็ต้องหยุด แม่เองไม่ได้หยุด ออกเดินหาเงินคนเดียว เดินเข้าทุกบ้าน แถวบ้านหมู่ 1 หมู่ 2 เราจะรู้จักกันทั้งนั้น เดินเข้าทุกบ้านไปคุยกับเขา ถึงเรื่ องสร้ างศาลา และแล้ว ก็ช วนให้ เขาร่ ว มบุญ สร้างศาลาร่ว มกัน แล้วแต่ใครจะทามากทาน้อย ถ้าใครเขามีเขาก็ให้มาเลย เราก็จดชื่อเขา ลงบัญชี ถ้าใครยังไม่มีก็เอาให้ทีหลัง ก็จดชื่อลงบัญชีไว้ก่อน ที่คนรุ่นราว คราวเดียวกันก็ได้มากเพราะมันใกล้จะตายด้วยกัน แม่ออกเดินอยู่สาม วัน หิวข้าวบ้านไหนก็กินบ้านนั้น แม่ออกเดินอยู่สามวัน ไปคนเดียว ได้ เงินทั้งที่ได้มาแล้วบ้างทั้งที่อยู่ในบั ญชีบ้างรวมแล้วได้ 20,000 บาทกว่า เงินที่เขาทาบุญมานี้แม่จะไม่เอาของเขาไปใช้อย่างอื่นเลย เช่นไม้แบบ ศาลานี้ มั น ไม่ ใ ช่ น้ อ ย เช่ น ไม้ งิ้ ว ไม้ ม ะม่ ว ง ต้ น ใหญ่ ๆ ไม่ รู้ ว่ า กี่ ต้ น ชาวบ้านเขาบริจาคให้ ทางวัดก็จ้างเขามาเลือกเอาเองจนหมดไม้ แล้ว ไม้ยางอีก 3 หรือ 4 ต้น ก็ลืมเอาทาไม้ค้ายัน พวก (บ้านใหม่) วงเดือน เขาบริจาคให้ เมื่อเลื่อยเสร็จชาวบ้านก็ช่วยกันเอารถไถขนมา ค่าอาหาร ค่าเหล้า แม่จะเป็นคนออกเอง จะไม่ยอมเอาเงินที่สร้างศาลามาใช้อย่าง อื่น ถ้าหมดเงินก็หยุด เมื่อมีเงินมาก็ทากันต่อ ด้วยน้าพักน้าแรงของพี่ น้องลูกหลานหมู่ 1 เราทากันด้วยจิตศรัทธา กว่าจะเป็นสาระไม่ใช่เรื่อง เล็กน้อย ลงมือทาตั้งแต่พ. ศ. 2528 จนถึงพ. ศ. 2533 จึงเสร็จ เมื่อที แรก แม่ออกไป 30,000 บาท ให้หลานชายทานาให้มาอีก 20,000 บาท รวมเป็น 5 หมื่นบาท สร้างธรรมาสน์สาหรับพระแสดงธรรมอีก 55,000บาท ส่วนที่ออกไปเป็นรายย่อ ยจาไม่ได้จา ร่วมทั้งหมดของแม่ ออกไปในศาลาหลังนี้เป็นเงิน 1 แสนกว่า และสร้างห้องน้าหรือส้วมอีก


56

10,000 บาท และแล้วเมรุเผาศพอีก 10,000 บาท และโบสถ์อีก 10,000 บาท และจารึกชื่อพ่อชื่อแม่เองไว้ที่บานประตูโบสถ์วัดสุขารมย์ พอโบสถ์เสร็จขึ้นมา อุปกรณ์เครื่องใช้ภายในโบสถ์ไม่มี แม่คิด จองกฐินขึ้นเป็นส่วนตัว จึงไปชวนพี่ชายที่กาแพงเพชรให้เขามาร่วมด้วย ให้เขาเอาผ้าไตรมา แม่เองมีเงินอยู่ 13,000 บาท แล้วไปชวนพี่แสวงกับ พี่เอี่ยม (เป็นนายทหารอากาศอยู่กรุงเทพฯ) ให้เขาเอาพรมมาปูโบสถ์ให้ พระนั่ ง ส่ ว นพี่ ค ล้ อ ย (เมี ย ลุ ง สว่ า งพี่ ช ายของลุ ง แสวง) เขาเอาตู้ พระไตรปิฎกมา ส่วนพี่สว่างนั้นเขาตายไปแล้ว ส่วนแม่นั้นก็ได้ซื้อโต๊ะ หมู่ไว้ที่หน้าพระประธาน กับธรรมาสน์สาหรั บพระนั่งสวดปาฏิโมกข์ รวมทั้งสองอย่างนี้เป็นเงิน 7500 บาท จะจารึกชื่อพ่อเองกับแม่ไว้ณที่ นั่นด้วย ส่วนตู้คัมภีร์พระปาฏิโมกข์นั้นจะร่วมกันสร้าง 3 คน ท่าน อาจารย์สง่า สมภารวัดสุขารมย์ และที่สมบูรณ์และแม่ด้วย ออกเงินกัน คนละ 80 บาท รวมเป็น 240 บาท สาหรับคัมภีร์พระปาฏิโมกข์เพื่อมีไว้ ให้พระท่านสวดกันในวันขึ้น 15 ค่าและวันสิ้นเดือน เป็นอันว่า เรื่อง โบสถ์นั้นก็สาเร็จเรียบร้อย พร้อมที่จะบวชนาคได้ เมื่อโบสถ์เสร็จแล้วก็ สร้างเมรุต่อ เมื่อเมรุเสร็จก็สร้างศาลาต่อ ในระหว่างนั้นแม่ก็สร้างพระพุทธรูปอีก 3 องค์ ขนาด เท่ากับ ตัวแม่นี่แหละ องค์ที่ 1 ปางอู่ทอง นาไปถวายไว้ที่วัดไผ่โพธิ์ทอง องค์ที่ 2 ปางรัตนโกสินทร์ นาไปถวายไว้ที่วัดหนองพญา องค์ที่ 3 ปางสุโขทัย นาไปถวายไว้ที่วัดคงสวัสดิ์วัฒนาราม เพราะในขณะนั้นพวกขโมยมัน ชอบขโมยพระพุทธรูป สาหรับวัดคงสวัสดิ์นั้นพระท่านเก็บพระพุทธรูป มารวมไว้ที่หอสวดมนต์ พวกขโมยมันเอายามารมพระสงฆ์ที่อยู่ในวั ด


57

ตอนกลางคืน พระท่านก็หลับกันหมด พวกขโมยมันก็มาขนกันจนหมด เกลี้ยง เหลืออยู่แต่หลวงพ่อเฒ่าองค์เดียวมันไม่เอา พระของเก่าแก่ไม่มี เหลือเลย ที่มีอยู่เดี๋ยวนี้นั้นมีแต่พระรุ่นใหม่ ส่วนวัดสุขารมย์นั้นไม่ถูก ขโมย มันก็น่าแปลกเหมือนกัน หลวงพ่อที่ตั้งอยู่บนศาลาวัดสุขารมย์นั้น ท่านนั่งอยู่บนศาลาวัดสุขารมย์มานานแล้ว ล่วงหน้าท่านเจ้าคุณ จ้อย วัดสระเกศ ท่านส่งมาให้ตั้งแต่หลวงลุงแทนท่านมาเป็นสมภาร ท่านฝาก เรือพ่อค้าข้าวเขาเอามาให้ สมัยก่อนไม่มีทางรถมาได้แต่ทางเรืออย่าง เดียว ท่านก็นั่งอยู่บนศาลาหลังเก่าตั้งนานแสนนานจนศาลาจนจะพั งจึง ได้สร้างศาลาหลังใหม่ เมื่อศาลาเสร็จแล้ว ได้นิมนต์ท่านขึ้นศาลาใหม่ แล้วจึงได้พ่นทองให้ท่านเสียใหม่ เมื่อพ. ศ. 2533 เมื่อศาลาเสร็จแล้ว เงินที่ใช้สร้างศาลาหลัง ใหญ่ยังเหลืออยู่ จึงได้สร้างศาลาหลังเล็ก แท่นศาลาหลังเก่าไว้อีกหลัง หนึ่ง โดยเก็บเอาไม้เสาศาลาเก่าและพื้นศาลาเก่ามาทาเพื่อใช้ประโยชน์ เสีย โดยท่านอาจารย์ฟ้อนก่อนท่านจะมรณภาพ ถ้าบริจาคเงิน ไว้ให้ 60,000บาท เพื่ อ สร้ า งศาลาหลั ง เล็ ก นี้ ท่ า นอาจารย์ ฟ้ อ นท่ า นเป็ น โรคหัวใจ ท่านยังไม่ทันได้เห็นศาลาหลังเล็กท่านก็มรณะภาพไปเสียก่อน เงินที่สร้างศาลาหลังเล็กนี้ก็เป็น เงินที่สร้างศาลาหลังใหญ่เหลืออยู่บ้าง และเงินที่ทอดกฐินและชาวกรุงเทพเขามาทอดผ้าป่าบ้าง และชาวบ้าน ช่วยกันร่วมมือกันออกเงินคนละเล็กละน้อยก็สาเร็จเรียบร้อย เมื่อศาลาเสร็จแล้ว แม่ก็คิดที่จะหาพระพุทธรูปไว้ประจาศาลา สักองค์หนึ่ง แม่เองในขณะนั้นอายุ 80 ปีพอดี ก็คิดว่าให้ลูกทุกคนนี้ สร้างพระร่วมกัน เพื่อทาบุญร่วมกัน เมื่อแม่มีอายุมาถึง 80 ปี พร้อมทั้ง


58

ลูก 6 คน เมื่อแม่มาคิดขึ้นอาจารย์ฉลองลูกชายคนกลางเขาจะหามาเอง สวนไม้พื้นศาลาหลังเก่านั้นยังเหลืออยู่ แม่ก็จ้างช่างเขาเอาไม้กระดาน พื้นศาลาหลังเก่าที่รื้อมานั้นมาต่อทาเป็ นอาสนะสงฆ์ เผื่อว่าศาลาหลัง ใหญ่ไม่ว่างก็จะได้ใช้ศาลาหลังเล็กแทน ต่อเป็น 2 ตอนเพื่อจะได้ยก เลื่ อนที่ได้ และเพื่อจะได้เก็บไม้ของเก่าให้ เป็ น ประโยชน์ ไม่ออกเงิน ส่วนตัวไปเป็นเงิน 2,300 บาท เมื่อศาลาหลั งเล็กเสร็จเรียบร้อยก็ กาหนดงานฉลองพระพุทธรูปฉลองศาลาและฉลองอายุ ครบ 80 ปีของ แม่ด้วย เมื่ อ เสร็ จ เรี ย บร้ อ ยแล้ ว แม่ ก็ ต้ อ งขอลาพั ก เพราะไปไม่ ไ หว สุ ขภาพไม่ดีไปวัดก็ไม่ไหว คุณเคยไปทาทุ กวัน พระก็ไม่ ได้ทา เคยใส่ บาตรหน้าบ้านก็ไม่ได้ใส่ มันชักกลุ้มใจ แต่เรามีพระธรรมคาสั่งสอนของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาประดับไว้ในใจ ก็มาคิดว่าเราอยู่บ้า น เราก็ถือ ศีลได้ เราก็ให้ทานได้ ในเมื่อมีชีวิตอยู่โดยที่ไม่ต้องถือศีลและไม่ให้ทาน นั้น คงจะอยู่ ไม่ได้ ถึงวัน พระจึ งต้องรั บ ศีล อุโ บสถกับพระ ทาง วิทยุ ส่ ว นให้ ท านนั้ น ก็ เอาเงิน ใส่ บ าตรเล็ ก ที่รั บ มาจากจิ ต ตภาวั น นั้น นาน มาแล้ว ใส่วันละ 20 บาท ถ้าไม่ใช่วันพระ ใส่วันละ (1) บาท พอถึง เดือนกันยายน ทางวัดต้นสน จังหวัดอ่างทอง เจ้าอาวาสคือเจ้าคณะ อาเภอเมืองอ่างทอง ท่านจัดทาสัตตสตกมหาทานขึ้นทุกปี คือจะถวาย ทานติดต่อกันถึง 7 วัน ท่านจะนิมนต์พระมาเป็นร้อยๆองค์ ทางวัดจะ จัดทาครัวเอง ถ้าใครมีจิตศรัทธาก็ให้ส่งเงินไปคนละ 1,000 บาท เมื่อถึง กาหนดก็ให้เจ้าของเงินประเคนเอาเอง จะทาเป็นสารับคู่ทั้งคาวหวาน ที่เขาไปไหวเขาก็จะไปอยู่ถือศีลบวชชีไม่ต้องโกนผม ถ้าใครไปไม่ได้ เขา


59

ก็จะมีคนประเคนให้ พ่อตอนกลางคืน พระท่านก็จะบอกให้ถวาย แม่ได้ ทามา 3 ปีแล้ว ตัวเองก็ไปไม่ได้ และส่งเงินไปทาบุญวันเกิด ในนาม มูลนิธิพระศรีเมืองทองวัดต้นสน ปีละ 1,000 บาทมาได้ 3 ปีเข้าปีนี้แล้ว เมื่อก่อนนี้ได้ส่งไปที่โรงพยาบาลสงฆ์ ส่งไปเข้ามูลนิธิโรงพยาบาลสงฆ์ ส่งไปได้ 5 ปี เวลานี้ย้ายมาวัดต้นสนได้ 3 ปีเข้าปีนี้ เมื่อแม่ไปบวชชี ก็ ไปเข้ามูลนิธิแม่ชีไทยไว้ 300 บาท เมื่อไปบวชชีพราหมณ์ที่วัดศรีเจริญ ก็ได้ไปเข้ามูลนิธิวัดศรีเจริญไว้ 1,000 บาท เมื่อได้ไปปฏิบัติวิปัสสนา กรรมฐานที่วัดท่ากฤษณา ก็ไปเข้ามูลนิธิสุวรรณสถิตย์เป็นจานวนเงิน 300 บาท ทุกวันนี้เขาได้หรือโบสถ์หลังเก่าเพื่อจะสร้างใหม่ วัดคงสวัสดิ์ วัฒนาราม เพราะโบสถ์หลังเก่านั้นสร้างมานาน โบสถ์หลังนี้คือโบสถ์วัด คงสวัสดิ์วัฒนารามนั่นเอง แม่เคยออกเงินซ่อมมาครั้งหนึ่งแล้ว โบสถ์ หลังนี้มีอายุมาเป็นร้อยๆปี เวลาเขาจะสร้างใหม่ แม่ก็เอาเงินไปทาบุญ กับเขา 10000 บาท ลูกๆทุกคนคงจะคิดว่าแม่บ้าบุญ ถ้าลูกทุกคนจะ คิดอย่างนั้นมันก็ถูกสาหรับลูก ถ้าลูกทุกคนคิดอย่ างนั้นขอให้ลูกจงคิด เสียใหม่ เวลานี้แม่ต้อยวันตายเข้าไปทุกวันแล้ว ถ้าแม่ตายไปก็ไปแต่บุญ และกรรมเท่านั้น ถ้าเราดีของดีก็ติดตามเราไป ถ้าเราทากรรมชั่วความ ชั่วนั้นก็คงจะเป็นสมบัติติดตัวเราไป สมบัติในโลกมนุษย์นี้มันของสมมติ ทั้งนั้น ได้แล้วก็เอาไปไม่ได้ แม่จึงเปลี่ ยนของสมมุติเหล่านี้ให้เป็นวิมุติ เสีย สละไว้ให้มนุษย์ที่จะต้องเกิดมาทีหลังเขาใช้กัน มันจะเป็นอย่างนี้ มานานแล้ว ตั้งแต่แรกเกิดมาก็เห็นเขาต้องเกิด ต้องแก่ ต้องเจ็บ และ ต้องตายกัน อยู่ อย่ างนี้ เมื่อแม่แก่แล้ว เมื่อจะต้องตาย ก็ขอให้ แม่ตาย


60

อย่างคน ขออย่าให้แม่ตายอย่างควาย เมื่อเรามีบุญ เราได้เกิดมาในโลก มนุษย์พบพระพุทธศาสนานี้ มันช่างเป็นบุญอย่างมหาศาลอยู่แล้ว มัน ยังดีกว่าหมู หมา บัว ควาย ช้าง ม้า เหล่านั้นเป็นไหนไหน ถ้าเราทาไม่ดี เราก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นไปได้เหมือนกับสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น เรื่องเหล่านี้ มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน จงเอาเวลามาคิดถึงเรื่องนี้กันบ้าง ทุกคนอาจ พูดว่าไม่ว่าง ถ้าไม่ว่างมันก็ไม่ว่างจนกระทั่งลมหายใจขั้นสุดท้าย แม่จะ ขอเตือนลูกทุกคนให้มาคิดถึงตัวเองบ้าง ทุกคนก็ย่างวัยชราเข้าไป แล้ว แล้วความตายมัน ไล่หลังเรามาทุกทีแ ล้ว ต่างคนต่างก็มาคน เดียวและจะต้องไปคนเดียว เราทาบุญทาทานก็เหมือนกับเราเตรียม เสบียงเตรียมตัวออกเดินทางไปสู่โลกหน้า เราก็ต้องไปคนเดียว เรื่อง นี้เป็นเรื่องจริงไม่ใช่เรื่องเหลวไหล เพราะทุกคนไม่รับความจริง ปล่อย ให้โรค โลภะ โทสะ โมหะท่วมจิตใจ บ้านเมืองจึงวุ่นวาย ส่วนตัวแม่นั้น เตรียมตัวมานานแล้วพร้อมที่จะตายได้ทันที จะเล่าย้ อนต้น เมื่ออาจารย์ฉลองกับอาจารย์จารัสยังเด็กอยู่ อาจารย์ฉลองราวสัก 3 ขวบเห็นจะได้ อาจารย์จารัสยังเล็กอยู่ ตอนนั้น พ่อเอ็งเขายังอยู่วังหมัน แม่แก่ (ยาย) ยังอยู่ พ่อแก่ (ตา) ยังบวชอยู่ คืน หนึ่งป้าชุ่ม ภรรยาของลุงหมอทองอินทร์ เขามาจากกาแพงเพชร เขาจะ ไปกรุงเทพฯ เขาก็มาแวะนอนค้างคืนด้วยที่บ้านเมื่ออยู่เรือนหลังเก่า เขาก็แต่งตัวมาเต็มที่ มีทั้งเข็มขัดนาค แหวนเพชร สร้อยข้อมือก็เพชร พอตกกลางคืนแม่ก็จัดที่ให้เขานอนเสียในห้อง แล้วตัวเองก็ออกมานอน ข้างนอก 3 คนแม่ลูก อาจารย์ฉลองนอนคนละข้าง อาจารย์จารัสยังกิน นมอยู่ แม่นอนกลาง ลูกทั้งสองคล้องสร้อยเงินเหรียญรูปหลวงพ่อเฒ่า


61

คนละองค์ ส่วนแม่นั้นคล้องสร้อยทองหนัก 2 สลึง นอนก็หลับกัน ราวตี 3 พวกขโมยมันเข้าไปเปิดมุ้ง มันจะเอาสร้อย ตอนนั้นแม่เอาไว้ผมยาว มัน ก็ไปควานหาสร้ อย แม่ตกใจตื่นขึ้น มาก็ร้อง มันก็บีบคอไว้ มันยัง ควานหาสายสร้อยไม่เจอ เพราะสายสร้อยมันปนกับเส้นผมเสีย ส่วนแม่ ก็ไม่รู้ว่ามันจะเอาสายสร้อยหรือมันเกิดอะไรขึ้น เพราะกาลังหลับอยู่ ลูกนอนข้างๆก็ร้อง แม่ก็ถูกบีบคอ บนบ้านอยู่ด้วยกันก็มีคนแก่ ร้องกัน ให้ระงม พอมันได้สร้อยแล้วมันก็ออกจากมุ้ง แม่จึงรู้ว่า มันจะเอาสร้อย มันคงคิดว่าพี่ชุ่มเขานอนที่ตรงนั้น พอมันออกมาแม่ก็ชักมีดยาวที่หั ว นอนเอาที่นอนทับไว้ วิ่งตามออกมา พอมันลงนอกชาน กะจะฟันมันให้ หัวแบะไปเลย และแล้วก็ฟันมันไม่ได้ กลัวมันจะตาย แล้วมันก็เอาไป หมดทั้ง (ของ) แม่และ (ของ) ลูก เมื่อมันเอาไปแล้วแม่ก็ตกใจหวาดผวา ต้องไปหาหมอรดน้ามนต์อยู่หลายวัน ส่วนพ่อเองเขาก็โกรธมาก เขาจะ ไปหาคนมายิงขโมย แม่ก็ห้ามไม่ให้เขาทาอย่างนั้น มันเป็นเรื่องจองเวร จองกรรมกัน แค่ทอง 2 สลึงเราหาเอาใหม่ได้ มันไม่จาเป็นต้องไปฆ่าคน เขาเอาไปแล้วก็แล้วกันไป คนขโมยนั้นก็อยู่แถวทุ่งนาเรานั้นเอง ต่อจากนั้นมา แม่ก็คิดขึ้นมาได้ว่า เรานี่เองเป็นคนผิด มานิยม ชมชอบว่าทองนั้น เป็นของดี แท้ที่จริงแล้วเจ้าทองคานั้น คืองูเห่า นั่นเอง มันมาพันคอเราไว้ สักวันมันก็จะฉกเราตาย ตั้งแต่นั้นมาแม่ไม่ เอามาสวมใส่อีกเลย ต่อมาก็คิดได้ว่า มันเป็นบุญแล้วที่เราไม่ได้ฆ่ามัน เพราะวันนั้นมันเดือนหงาย เมื่อมันได้ของแล้วมันรีบจะกระโจนเรือน หนี มันไม่รู้ว่าแม่ถือมีดไล่ตามมันมา มีดยาวนั้นฝนไว้เสียคมกริบ ถ้าฟัน มีหวังตาย มันก้าวลงนอกชานแม่ก็ยืนหัวกระดานสุดพอดี ตอนนั้นแม่ก็


62

ยังสาวอยู่ อายุดูเหมือนจะยังไม่ถึง 30 ปีกาลังไว กาลังนั้นยังไม่ ได้ทา สวน ยังไม่ได้ซื้อที่เขา จนอาจารย์จารัสเขาได้ขวบครึ่งจึงได้ลงมือทาสวน น้าทิตคอนเขาขายที่ให้เป็นเงิน 2 ชั่ง ถ้าจะเทียบกับเงินเดี๋ยวนี้ก็คือ 160 บาท ตอนนั้นแม่แก่ (ยาย) ของพวกเองยังอยู่ ช่วยเลี้ยงลูกให้ แก ชื่อว่าสัมฤทธิ์ อีกครั้งหนึ่งที่แม่จวนจะฆ่าคนเพราะจาเป็น พวกเองไป (อยู่ที่ อื่น) กันหมดแล้ว ผู้เฒ่าผู้แก่ก็ตายไปหมดแล้ว แม่เองก็อายุมากแล้ว ที่ วัดเหนือเขามีงานวัด เขาก็ไปดูงานกันหมด แม่ก็เฝ้าบ้านคนเดียว ตอน นั้นบ้านมีรั้วนอกชานแล้ว ต้นละมุดหน้าบันไดยังอยู่ แม่อยู่บ้านคนเดียว พอดึกสัก 3 ทุ่ม เจ้าหมามันก็เห่าราวกับมันจะกัดคน แม่อยู่คนเดียวก็ อยู่มืดๆ โดยไม่มีแสงไฟเพราะมันกลัว เมื่อมองออกไปก็แลเห็นเงาคน ยืนอยู่ใต้ต้นละมุดหน้าบันได เจ้าหมามันก็เห่ายันเข้าไว้ แม่มองไปเห็นก็ กลัวเพราะอยู่คนเดียว ไม่รู้จะทาอย่างไรดี มีทางเดียวคือเอาปืนมายิง มันให้ตายไปเลย แม่มีปืนอยู่กระบอก เป็นปืนลูกโม่บรรจุทีละ 6 นัดเอา มาจ่อจะยิง เราอยู่บนเรือนมันไม่เห็นเรา มันอยู่ที่โล่งเรามองเห็นทัน เอาปืนไปจ่อกะว่าจะยิงก็ยิ่งไม่ได้ กลัวมันตาย ก็มาคิดขึ้นมาว่า ที่นอก ชานชั้นในมีร่องใหญ่สาหรับไว้ลอดลงใต้ถุนบ้าน พอไปเปิดแผ่นกระดาน กะว่าจะลอดลงก็ได้ยินเสียงหมาทางเหนือเห่า พอดีงานเขาเลิกมา พวก ขโมยมันก็หนีไป แม่ก็เลยรอดตัวไปได้อีกครั้ง เมื่อมีประสบการณ์มาก ขึ้น ก็ยิ่งมองเห็นทุกข์ของการเกิดมากขึ้น ต่อมาเมื่อลูกโตขึ้น ลูกทุกคนโตขึ้นก็ต้องเข้าไปเรียนในกรุงเทพ ต้องใช้เงินมากขึ้น พ่อเองเขาก็ได้เงินเดือน 800 บาทเท่านั้น ส่งลูกก็ไม่


63

พอ สวนก็ยังได้ผลน้อย เมื่อเงินไม่พอใช้แม่ก็ต้องออกค้าขาย ผลไม้ของ เราเองบ้าง ซื้อเขาบ้าง จะไปขายเมื่อเวลาเขามีงานวัด ทางอาเภอหันคา และแถวอาเภอท่าช้างเขตติดต่อกับจังหวัดสุพรรณบุรี จะไปเรือเมล์ตาม ลาคลองแม่น้าน้อย ครั้งหนึ่งแม่ไปขายที่วัดเขาใหญ่ที่บ้านเดิมบาง (นาง บวช) เขามีงานฝังลูกนิมิตโบสถ์ ผู้คนมากมาย คนขอทานมากมาย บาง คนก็ หั ว โตเท่ า กั บ บาตรพระ ลุ ก นั่ ง ไม่ ไ ด้ ต้ อ งนอน พ่ อ แม่ เ ขาน ามา ขอทาน บางคนก็ขาไม่มีทั้ง 2 ข้างเดินไม่ได้ ได้แต่นั่ง บางคนแขนไม่มี ทั้ง 2 ข้าง บางคนมีข้างเดียว บางคนตีนใหญ่ มากมายสุดจะพรรณนา ดู แล้วก็สังเวชใจ แล้วก็คิดย้อนมาคิดมาถึงตัวเอง มีแหวนทองคาใส่นิ้วมือ ไปหนึ่งวง ตัดสินใจถอดแหวนฝังลูกนิมิตที่โบสถ์วัดเขาใหญ่ไปเลย ที่ วัดบ้านเชี่ยนอาเภอหันคา ก็ฝังลูกนิมิตโบสถ์เหมือนกัน แม่ถอดต่างหู พลอยเม็ดเดียวเป็นพลอยขาวฝังลูกนิมิตโบสถ์วัดบ้านเชี่ ยนไปอีกคู่ หนึ่ง นี่ที่แม่เล่ามานี่คือแม่ตัดสินใจสละของที่แม่รักออกเป็นทาน ตอนที่แม่แก่ ยาย ของพวกเองจะตาย แกเจ็บตั้งแต่เดือนสาม แม่ออกไฟมาได้ไม่กี่วัน แม่ก็ล้มเจ็บ ลง แม่คลอดเด็กชายดารง แม่แก่ (ยาย) เจ็บตั้งแต่เดือนสาม ก็เจ็บเรื่อยมาจนถึงเดือน 8 เข้าพรรษา แกก็ เสียชีวิตลง พ่อเองเขาก็ยังไม่ได้ย้ายมา พ่อแก่ (ตาเขียว) ก็ยังบวชเป็น พระอยู่ เงินก็ไม่มี จึงเก็บทองคาเครื่องประดับที่แม่ ยาย สะสมไว้ให้ ขายหมดเพื่อรักษาแม่ และใช้เมื่อเวลาแม่เจ็บ พี่ชายทองอินทร์เขาก็ถูก เกณฑ์ไปขัดตาทัพที่เชียงตุง อยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ ไปนานเป็นปีๆ แม่ก็วุ่นอยู่ คนเดีย ว ลู กก็อ่อน แม่ก็ป่ วย พ่อก็บ วช เมื่อแต่ก่อนไม่มีโ รงพยาบาล ต้องพยาบาลอยู่ที่บ้าน พยาบาลแม่ด้วย ลูกอ่อนอีกด้วย เช้ามืดต้องทา


64

ปิ่นโตส่ งพ่อบวชเป็น พระอีกด้วย ในขณะนั้ นแม่ไม่เคยได้นอนเลยทั้ง กลางวันกลางคืนเป็นเวลาเป็นเดือนๆ ตอนนั้นป้าเสมยังอยู่ แกก็แก่มาก แล้วเพราะบ้านอยู่ติดกัน ก็ได้อาศัยป้าเป็นที่พึ่ง เพราะว่าแกไม่มีลูก แม่ ป่วยอยู่ 6 เดือน หนักบ้างเบาบ้าง เมื่อแม่ (ยายสัมฤทธิ์) เสียชีวิต แม่ เองอายุราว 30 ปี แม่เสียชีวิตไปแล้ว เงินก็ไม่มี ลูกก็ 5 คน แล้วขาย ทองไปก็หมดแล้ว เอาศพแม่ใส่หีบ อั ดไว้ที่ป่าช้าเพื่อเก็บไว้คอยพี่ชาย พอเก็บศพไว้ได้ 1 เดือน พอดีพี่ชาย (หมอทองอินทร์) เขาก็มา เขาก็เอา ศพแม่ (ยายสัมฤทธิ์) ออกมาเผา แม่ก็ไม่มีเงิน พ่อเองเขาก็ยังไม่ได้ย้าย กลับ พี่ชายเขาก็ต้องกลับไปทาหน้าที่ต่อ เขากลัวว่าถ้าเผื่อว่าเขาไปตาย เสียเขาก็จะไม่ได้เผาแม่ พวกเองคงจะสงสัยว่าลุงเขาเป็นหมอทาไมเขาจึงต้องถูกระดม ทหาร เมื่อสมัยก่อนโน้นถ้าใครจะเข้าไปเรียนในกรุงเทพก็ต้องบวชเป็น เณร ไปอาศัยอยู่วัดอยู่ก็ต้องเรียนบาลี ที่เรียนก็มีอยู่แห่งเดียวคือ วัด มหาธาตุ เขาได้เรียนเปรียญตั้งแต่ยังเป็นเณร พอครบบวชก็บวช เขาได้ เป็นมหาแค่เปรียญ 4 ประโยค เมื่อเป็นพระเขาก็เว้นทหารให้ พอสึก ออกมาทหารเขาก็ยื่นหมายเกณฑ์ให้ ก็ต้องเป็นทหาร และเขาเป็นทหาร เสนารักษ์ เมื่อเขาเป็นทหารเกณฑ์อยู่ 2 ปี ก็ปลดทหารและต้องอบรม อยู่ 1 ปี ทางรัฐบาลเขาก็ส่งไปอยู่จังหวัดกาแพงเพชร ตั้งแต่บ้านเมืองยัง เป็นป่าดงอยู่ ทางรถก็ไม่มี มาได้แต่ทางเรืออย่างเดียว ถ้ามาทางเรือก็ ต้องมาค้า งนครสวรรค์ 1 คืน รุ่ ง เช้ าจึ งต่ อเรือ มาบ้า น เขาอยู่ม า จนกระทั่งเอากระดูกไปฝากไว้ที่กาแพงเพชรนั่นเอง


65

ส่ว นตัว แม่นั้ น เมื่อแม่ (ยายสั มฤทธิ์) ตายไปแล้ ว ตัว เองก็ยิ่ง ลาบากมากขึ้นอีกสองเท่า พ่อก็ตามื ดเข้าไม่เห็นรุ่ง มากขึ้นก็ต้อง (ลา) สึ กมาอยู่ บ้ าน ช่ว ยแกว่ งลู ก ให้ บ้ างในเวลาลู ก หลั บ พ่อ เองเขาก็ย้า ย กลั บ มา ก็ ต้ อ งมาอยู่ วั ด ดั ก คะนนท์ ก่ อ น แล้ ว ก็ ย้ า ยมาอยู่ โ รงเรี ย น ชลประทานมะขามเฒ่า แล้วก็ย้ายมาอยู่วัดสุขารมย์เพราะวัดสุขารมย์ พึ่งเปิดใหม่ จนกระทั่งครูเฟื่อง (ครูใหญ่โรงเรียนวัดบางกะพี้) แกลาออก เพราะแกป่วย พ่อเองเขาจึงได้ย้ายมาเป็นครูใหญ่แทนครูเฟื่อง ประจา อยู่วัดคงสวัสดิ์วัฒนาราม วัดบางกะพี้ จนกระทั่งถึงเกษียณอายุราชการ เมื่อเกษียณอายุแล้วรับบานาญเดือนละ 800 บาท ยังต้องส่งติ่ง (นาย เรืองชัย) อีก จึงได้รับอุปการะจากอาจารย์ฉลองช่วยส่งน้องร่วมด้วย แม่ ขอบใจลูกมาก ขอให้ลูกจงมีความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไปเถิด เขา พ่อ เกษียณอายุมาได้ 6 ปี เขาก็เสียชีวิตไป ติ่งก็ยังเรียนไม่ จบอีก 1 ปี ตอนนี้ได้รับอุปการะจากหมอ กิตติพจน์ และสิว นางชูจิตร เขาจนติ่งได้งานทา เมื่อพ่อเองเสียชีวิตไปแล้ว เงินก็หมดไปด้วย ลูกทุก คนก็ยังตั้งตัวกันไม่ได้สักคน ยังมีเงินเดือนน้อยกันอยู่ ตอนนี้กาลังหัว เลี้ ย วหั ว ต่อ กว่า จะได้ เ งิน บ านาญ บ าเหน็ จ ตกทอด มาจึ งได้เ ผาศพ ตอนนี้ไม่ได้รับอุปการะจากหมอ กิตติพจน์ เป็นอย่างมาก แม่ถือว่าเขา เป็นลูกแม่คนหนึ่ง หมอมีความสาคัญอย่า งไรแม่จะเล่าให้ฟัง คือเมื่อพ่อ เขาเองเขาเสียชีวิตไปแล้ว ลูกทุกคนก็อยู่กันต่างจังหวัด หมอเท่านั้นที่ อยู่ด้วยกัน หมอเท่านั้นที่เขาพาแม่ไปอาเภอจัดการเรื่องทรัพย์มรดก แม่ ก็ไม่เคยรู้เรื่องทางนี้เลย หมอเขาก็พาไปหาปลัดทน ปลัดสุธน ซึ่งเป็น พี่ เ ขยเขาเอง แม่ ไ ม่ มี ท ะเบี ย นสมรสเขาก็ ท าให้ มี ขึ้ น มา กว่ า จะได้


66

หลักฐานพร้อมเสร็จจึงเอาไปทาเรื่องมรดก ขอรับมรดกตกทอดต่อไป โดยที่แม่ไม่ได้เสียเงินเลย เรื่องนี้ไม่ใช่ของง่ายเลย และพ่อหมอเขาเป็น ก านั น เรื่ อ งนี้ เ ขาช านาญอยู่ แ ล้ ว เขาช่ ว ยอุ ป การะแม่ ม าตลอด เพราะฉะนั้นแม่จึงถือว่าหมอเป็นลูกแม่คนหนึ่งที่เราได้ร่วมทุกข์ร่วมสุข กันมา แม่จะลืมไม่ได้เลย อีกอย่างหนึ่งแม่ก็เป็นคนขี้โรคป่วยอยู่เรื่อย เลย แม่ก็ได้อาศัย หมอเขาคอยรักษาให้ กิน ยา ฉีดยา ให้น้าเกลื ออยู่ เรื่อย ตลอดจนทุกวันนี้ ถ้าแม่ไม่มีหมอเสียแล้วแม่ก็คงตายไปนานแล้ว แม่จะถือว่าหมอเป็นคู่อุปถัมภ์ของแม่ เพราะถึงคราวชีวิต ถึงคราววิกฤต จึงมีห มอมาช่วยพยุ งไว้ไม่ให้ ล้ ม นี่คือเป็ นบุ ญของแม่ที่เคยทาไว้ เมื่อ คราวถึงทีจะล้มก็ไม่ล้ม มีผู้คนมาอุปถัมภ์ค้าชู

งานงานฌาปณกิจศพ นายสวัสดิ์ บุญญานันต์ ณ วัดคงสวัสดิ์วัฒนา ราม ตาบลหาดท่าเสา อาเภอเมือง จังหวัดชัยนาถ วันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2515


67

อาจารย์จารัส บุญญานันต์ บุตร คนที่ 4 บวชเป็ น พระภิ ก ษุ ใน งานฌาปณกิ จ ศพ นายสวั ส ดิ์ บุ ญ ญานั น ต์ ณ วั ด คงสวั ส ดิ์ วัฒนาราม (ภาพซ้ าย) เจดี ย์ บ รรจุ อั ฐิ บรรพบุ รุ ษ ใน ตระกู ล บุ ญ ญานั น ต์ และเครื อ ญาติ ณ วัดคงสวัสดิ์ วัฒ นาราม (ภาพล่าง)


68

แม่เล่ามาตามความจริง ไม่ได้คิดลาเอียงว่าจะรักคนโน้นมาก คนนี้น้อย และเกลียดคนนั้นรักคนนี้ ในหัวใจแม่นั้นจะไม่มี ที่แม่รักมาก คือตัวของแม่เอง พยายามประคับประคองจิตใจให้เป็นกลาง พยายาม ตัดความโลภ โกรธ และอิจฉาริษยา ที่มันสิงอยู่ในจิตใจของแม่ให้มัน หมดจากจิตใจเสียให้จนได้ แม่ขอสรุปความว่า เวลานี้จิตใจของแม่นั้นมีแต่ความปราบ ปลื้มปิติยินดีในความสาเร็จของแม่ที่ได้ตั้งใจไว้ ที่ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพศแม่ ได้ทาหน้าที่อย่างสมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว ขอให้ลูกทุกคนจงทา แต่ ค วามดี ขอให้ ลู ก ทุ ก คนจงหั น หน้ า เข้ า วั ด ฟั ง ค าสอนของ พระพุทธเจ้ าบ้า ง นั่นก็คือกระจกเงาสาหรั บส่องดูตัวเองนั่น แหละ ไม่ใช่อื่นไกลเลย เขียนต่อไปอีกไม่ได้แล้ว มือมันไม่ยอมเขียน จากแม่ (ส้มลิ้ม บุญญานันต์)


69

ตอนที่ 3 พิมพ์แจกในโอกาสทาบุญอายุครบรอบ 93 ปี แม่ส้มลิ้ม บุญญานันต์ เมษายน พ.ศ. 2547


70


71

คานา เมื่อสงกรานต์ปีที่แล้ว (2546) ผมพิมพ์ข้อเขียนของแม่เรื่อง แม่เล่าให้ลูกฟังตอนที่ 2 มาแจกพวกเราลูกหลานของแม่ แล้วผมบอก ไว้ว่า แม่ได้เขียนไว้อีกตอนหนึ่ง ผมจึงเอาตอนที่เหลือมาพิมพ์แจกในปีนี้ ให้ชื่อว่า แม่เล่าให้ลูกฟัง ตอนที่ 3 ซึ่งตอนนี้แม่เขียนเล่าเรื่องทั่วไปตาม ประสบการณ์ของแม่ผนวกมาด้วย และในตอนสุดท้าย แม่ได้บอกสูตร ทาน้าพริกขนมจีน ที่แม่ทาอร่อยเอาไว้ด้วย ผมเห็ น ว่าเมื่อปีที่แ ล้ว ปกหนั งสื อไม่สวย รูปแม่ไม่ชัดเจน จึง นาเอาเล่มที่ยังเหลืออยู่ที่บ้านติ๋ว มารวมเล่มกับตอนที่ 3 ที่พิมพ์ใหม่ เอารูปแม่ที่ถ่ายไว้เมื่อปีที่แล้วมาติดไว้ที่ปกหนังสือ ร่วมเป็น “แม่เล่าให้ ลูกฟัง ตอนที่ 2-3” และผมได้พิมพ์รายชื่อลูกหลานเหลนโหลนของแม่ ไว้ท้ายเล่มด้วย เพื่อว่าเมื่อพ้นเวลาของพวกเรารุ่นลูกแล้ว พวกเขาจะได้ รู้จักกัน จารัส บุญญานันต์ เมษายน 2547


72


73

เล่าให้ลูกฟังตอนที่ 3 ลูก 7 คนเมื่อเลี้ยงหมาได้อย่างไร พ่อแกเขาเป็นครูครั้งแรกได้เงินเดือน 12 บาท เขาสอนอยู่วัด คลองปลาไหล เจ้าหญิงเกิดปี ระกา ปีจอมาลัยก็เกิด (เขาสอนอยู่) ได้ 2 เดือน เขาก็ถูกย้ายไปอยู่วัดวังหมัน ขณะนั้นยังเป็นป่าดงอยู่ เขาเพิ่ม เงินเดือนให้เป็นเดือนละ 17 บาทต่อเดือน และจะมีเบี้ยกันดารให้อีก เดือนละเท่าไรแม่ก็จาไม่ได้ แม่ไม่เคยได้เห็น ลูกก็ดีเว้นปีก็เกิดมาอีก 1 คน ตอนนั้นแม่แก่ (ยาย) ยังอยู่ ก็ช่วยเลี้ยงลูกบ้าง ช่วยทาไร่บ้าง พ่อ เองเขาจะกลับบ้านวันโกน วันพระ และ (เวลา) โรงเรียนปิด เขาไปอยู่ ถึง 9 ปี แม่แก่ก็ตาย แม่แก่ตายเมื่อดารงเกิดได้ 7 เดือน แม่แก่ตายขณะ แน่นอนไฟอยู่ เจ้าดารงพึ่งคลอด เกิดสงครามโลกญี่ปุ่นขึ้นมา ทุกอย่าง ไม่มีขาย น้ามันก็ไม่มี ไม้ขีดไฟก็ไม่มี ต้องเอาไม้ผุมาสุมไว้เพื่อจะได้ต่อไฟ มาหุงข้าวกิน กลางคืนก็ต้องอยู่กันมืดๆ ถ้าแสงไฟแดงที่ไหนมันจะทิ้ง ระเบิดลงมา เสียงเครื่องบินดังสนั่นหวั่นไหวน่ากลัว ผ้าก็ไม่มีขาย ดารง เกิดมาได้ 3 ขวบกับ 4 เดือน ยังไม่ได้นุ่งผ้าเลย ตายเสียก่อน ลูกคนอื่น เก็บเอาผ้าเก่าที่ทิ้ง เก็บใส่กล่องใส่ลังไว้มาเย็บมาปะใช้กัน ด้ายเย็บผ้าก็ ไม่มี เอาใบสับ ปะรดมาขูดเอาใยมาทาได้ แต่ตอนนั้นบ้านเมืองกาลั ง อุดมสมบูรณ์ ฝนตกตลอดปี พืชผักผลไม้มีกินกันทั้งปี ขายก็ไม่ได้ ขายก็ ถูก ได้แต่แลกเปลี่ยนกันกิน ปลาก็ชุมถ้าจะขายก็ถูก จะปลูกอะไรผัก ผลไม้มันก็งอกงาม จะผลิดอกออกผลโดยไม่ต้องใช้ปุ๋ย มีกินกันตลอดทั้ง


74

ปี จ้างเขามาทาไร่ก็ค่าแรงวันละ 25 สตางค์ จ้างเขาทานาก็ปีละ 60 บาท ข้าวเกวียนละ 30 - 35 บาท เมื่อพวกเอ็งยังเด็กอยู่พ่อเองเขาไปอยู่วังหมัน ถึงหน้าเขาเกี่ยว ข้าว แม่ก็เอาปลาร้าปลาเจ่า ปลาสร้อยย่าง ไปแลกข้าว ยาสูบบ้าง เอา เงินไปซื้อเขาบ้าง กาลังเขาเกี่ยวข้าวเขาก็ใช้เงิน ตอนนั้นลูกยังเล็กอยู่ยัง ไม่ได้ใช้เงินมาก ไปซื้อข้าวเกวียนละ 25 บาท ข้าวที่ซื้อบ้างที่แลกของ บ้าง เก็บรวมเข้าแล้วก็ไปฝากยุงเขาที่วัดสิงห์ เถ้าแก่เจ้าของยุ้งเขาจะมี รถ ถ้าเราฝากยุ่ งเขาเขาจะไปขนเอง พ่อข้าวขึ้นเขาก็จะขายหมดยุ้ง พร้อมทั้งของเราด้วย ปีนั้นข้าวขึ้นถึงเกวียนละ 600 บาท นอกจากเขา เก็บ ค่าเช่ายุ้ งแล้ ว ปี นั้น ครอบครั วของเราก็พอค่อยรุ่งเรืองขึ้นมาบ้าง ทางสงครามโลกก็เบาบางลง ของก็ราคาขึ้นทุกอย่าง เมื่อแม่แก่ ยาย ตายแล้ว พ่อเองเขาก็ย้ายกลับ ตอนนี้ลูกทุกคน ก็โตพอช่วยงานบ้านได้บ้างแล้ว ตอนนั้นเขาเกณฑ์เข้าโรงเรียนอายุ 9 ขวบ ลูกทุกคนก็มีโอกาสช่วยแม่ทางานบ้านบ้างตามความสามารถของ เด็ก ไม่ให้เล่นมากเกินไป กินเป็นเวลา นอนเป็นเวลา เวลากินก็ต้องกิน พร้อมกัน ห้ามไม่ให้คุยกันหรือทะเลาะกัน เวลากินข้าว มีอะไรต้องแบ่ง กันกิน จะเอาเปรียบกันไม่ได้ ถ้าขัดคาสั่งจะโดนตีกินแถว ถึงเวลานอนก็ ให้ น อนคนละที่ ก่ อ นนอนต้ อ งอ่ า นหนั ง สื อ ก่ อ นทุ ก คน จุ ด ตะเกี ย ง กระป๋อง ไม่ให้เล่น กันหรือแยกกันเวลานอน เมืองง่วงนอนก็นอนกัน อย่างสงบ ตื่นเช้าต้องเก็บให้เรียบร้อย ถ้าผ่อนต้องเก็บให้เป็นระเบียบ ตี 4 ต้องลุกขึ้นทุกคน แม่ก็ลุกขึ้นหุงข้าว ลูกทุกคนก็ต้องลุกขึ้นอ่านหนังสือ เช้ามืด ถ้าใครไม่รุกจะโดนน้าสาดพรวดเข้าไปสักครั้งก็เข็ด ที่แม่ทาอย่าง


75

นั้นก็เพื่อหัดให้ลูกทุกคนขยันจะได้ไม่อืดอาด ขยัน คล่องตัว วันหน้าเรา จะโตเป็ นผู้ ใหญ่จ ะได้ทาเลี้ย งตัวเองรอด จะได้รู้จักงานในหน้าที่ของ ตัวเอง เพื่อจะสร้างนิสัยตั้งแต่ยังเด็ก บ้านเมืองแต่ก่อนมันคับแค้น ทุก คนต้องช่วยตัวเอง ทุกคนต้องเคารพซึ่งกันและกัน คนไหนเป็นพี่ต้อง เรียกพี่ พี่ก็ต้องอภัยให้น้องเพราะเขาเกิดทีหลัง ถ้ามีงานอะไรจะต้องทา ทุกคนจะต้องช่วยกันทาตลอดงาน งานในครัวต้องทาให้เป็นทุกคน ไม่ เลื อกผู้ ห ญิงผู้ ช าย เมื่อทาเสร็ จ แล้ว ต้องทาความสะอาดให้ เรียบร้อย และลู กทุกคนไม่ให้ ไปนอนค้างคืนบ้ านคนอื่น และไปเล่ นบ้านคนอื่น อย่างเด็ดขาด ต้องเล่นอยู่ในบ้านของตัวเอง เพื่อแม่จะเรียกหาได้ไม่ต้อง ตระโกน ถ้าไม่เชื่อกลับมาจะต้ องถูกตี ให้เคารพผู้ใหญ่ในบ้าน ท่านมี สิทธิ์ว่ากล่าวสั่งสอนลูกหลานได้ ถ้าลูกคนไหนเถียงปู่ ย่าตา ยาย คนนั้น ต้องโดนแม่ตี ในฐานะที่ไม่เคารพ ปู่ ย่า ตา ยาย ตอนที่พวกเอ็งยังเล็กอยู่แม่ก็เหนื่อยมาก พ่อลูกทุกคนโตเข้า โรงเรียนมัธยมแล้ว ตอนนี้แม่สบายแล้ว ไม่ต้องตี ไม่ ต้องบังคับ พูดกันรู้ เรื่อง แม่แก่ (ยาย) ตายแล้ว แม่ก็มีลูกต่อมาอีก 2 คน จะเล่ า ถึ ง พ่ อ แก่ ตา เพราะชี วิ ต มั น ต่ อ เนื่ อ งกั น เมื่ อ แม่ มี ครอบครัวแล้วพ่อก็มีอายุ 60 ปีกว่าแล้ว พ่อถูกแขนงไม้ไผ่รัดเข้าที่ลูก นัยน์ตา รักษาก็ไม่หาย สมัยก่อนหมอตาไม่เก่งเหมือนสมัยนี้ ก็เลยเสีย ตาไปข้างหนึ่ง ข้างแม่ก็มีครอบครัวเราอายุ 21 หรือ 22 ปี ก็ไม่แน่ใจ พอมีทองถวิล ได้ 6 เดือน พ่อ (คุณตา) ก็บวชเป็นพระ แม่แก่ (คุณยาย) ก็ป่วยเป็นโรคไอแล้วก็หอบหนักบ้างเบาบ้างรักษาก็ไม่หายขาด เงินจะ บวชก็ไม่มี พ่อแก่ (คุณตา) มีควายอยู่ 1 ฝูง มีนาอยู่ 1 ทุ่ง ก็มอบงาน


76

และควายให้คนที่เขาไม่มีนาและควายทากิน ให้เขาทาและมอบควายให้ เขาเลี้ยงด้วย เพราะมันเป็นควายฝูง ส่วนนานั้นเจ้าของนาแบ่งข้าว 1 ส่วน คนทาเอา 2 ส่วน คนทานาก็จะเลี้ยงควายไว้ด้วย เมื่อพ่อจะบวช แม่เองก็ขายควายไป 1 ตัว ราคา 35 บาท เอาเงินมาบวชพ่อ ตอนนั้นทุกบ้านมีควายด้วยกันทั้งนั้น ตอนเย็นเขาจะไล่ควาย ลงน้า มองไปหลังหาดหน้าบ้านจะเห็นแต่ฝูงควายให้ดาไปหมด บ้างปี หน้าแล้งจะล้อมคอกที่หลังหาดและปลูกกระท่อมนอนเฝ้าควายรวมกัน เป็นกลุ่มๆ ถ้าไม่เฝ้าขโมยจะลักหมด ขโมยมันชอบลักควาย ถ้ามันขโมย ไปแล้วมันจะไล่เข้าป่าเข้าดงเราก็ไ ม่รู้จะไปตามที่ไหน ส่วนวัวนั้นจะมี น้อย ไม่ค่อยมีใครเลี้ยง นอกจากพวกแขกเท่านั้น เขาจะเลี้ยงไว้ฆ่าขาย ส่วนชาวบ้านเขาจะไม่นิยมซื้อมากิน เขาถือว่าสัตว์เหล่านี้มีบุญคุณ โรง ฆ่าสัตว์ก็น้อยมาก ถ้าเลี้ยงหมูก็มีแต่คนจีน คนไทยจะไม่นิยมเลี้ยงหมู ใครชอบเป็นพรานป่าเขาก็ จะไปยิงหมูป่ามาขายหรือแจกกันกิน ที่เล่า มานี้ตั้งแต่แม่ยังเด็กอยู่ บ้านเมืองยังเป็นป่าอยู่ ตลาดชัยนาทยังไม่มี มี ร้านขายของอยู่ 2-3 ล้านเป็นของคนจีน คนไทยไม่เป็นพ่อค้าแม่ค้าใน สมัยนั้นสาหรับบ้านนอก เขียนเสียเพลินจะย้อนเล่าไปถึงพ่อแก่ (คุณตา) เมื่อบวชแล้วก็ ไปอยู่วัดสุขารมย์ ตอนนั้นไม่มีบ้านกี่หลัง หลวงปู่เดชเป็นสมภาร เป็นวัด พึ่งสร้างใหม่ หลวงปู่เดชเมื่อเป็นฆราวาสท่านเป็นหมอโบราณ ท่านเป็น ญาติ กับ พ่ อแก่ (คุ ณตา) ของพวกเอง พ่อ แก่บ วชอยู่ ด้ว ยกัน ราว 10 พรรษา หลวงปู่ท่านก็มรณภาพลงเพราะท่านชรามากแล้ว พ่อแก่ก็ย้าย มาอยู่วัดคงสวัสดิ์วัฒนาราม ซึ่งตอนนั้นชื่อวัดบางกะพี้ (พอพ่อของพวก


77

เองเขาย้ า ยมาจากวั ง หมั น เขามาเป็ น ครู ใ หญ่ เขาก็ ม าขอเงิ น สร้ า ง โรงเรียนใหม่ แยกโรงเรียนออกจากศาลาวัด แล้วก็ตั้งชื่อวัดใหม่ชื่อ วัด คงสวัสดิ์วัฒนาราม มาจนทุกวันนี้) พ่อแก่มาอยู่วัดเหนือท่านก็อายุมาก เข้า ตาก็มืดลงทั้ง 2 ข้าง แม่แก่ (คุณยาย) ก็มาเสียชีวิตลง ก็ต้องสึกมา อยู่บ้านเพื่อจะได้ดูแลแกได้สะดวก พ่อแก่อายุได้ 80 ปี แกก็ปวดในลูก ตา รักษาไม่หาย ปวดหนักเข้า น้าหนองไหลออกมาจากลูกตา เม็ดตา ออกแล้วหาย ลูกตาก็ฝ่อ มืดสนิททั้งสองข้าง แกก็อยู่มาได้อีก 10 ปี เสียชีวิต รวมอายุได้ 90 ปี เมื่อพ่อแก่ (คุณตา) เสียชีวิตไปแล้ว พวกเองก็โตเข้ากรุงเทพฯ ไปหมดแล้ ว มาลั ย เขาก็แ ต่งงานแล้ ว แต่ยั ง ไม่ได้แ ยกกัน จนเจ้าแกะ (นายสมเกียรติ) โตราว 3 ขวบจึงได้แยกกัน นี่คือชีวิต เปรียบเหมือนโรง ละคร เกิดมาแล้วก็ต้องมาแสดงตามบทบาทของกรรม การกระทาของ ตัวเราเอง ไม่มีเทวดาองค์ไหนจะมาบันดาลให้ คนเราเกิดมาทุกคนจะมี โรคประจาตัวมาทุกคน จะไม่มียารักษา ยิ่งกว่าโรคเอดส์เสียอีก โรคนี้ก็ คือโรคโลภะ โทสะ โมหะ ทาให้มนุษย์วิ่งพล่านกันทั้งกลางวันกลางคืน แย่งที่ดินกันอยู่ แย่งคู่กันพิศวาส แย่งอานาจกันครอง ฆ่ากันตายเสี ยก็ มากมายก็เพราะโรค 3 จาพวกนี้ โรคเหล่านี้มันสิงอยู่ในร่างกายและ จิตใจเราทุกคนโดยที่เราไม่รู้ตัวเลย นอกจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและ พระสาวกเท่านั้นที่จะเห็นหน้าตาเจ้าโรคทั้ง 3 นี้ โรคโลภะนั้นก็คืออยาก ได้ไม่มีขอบเขต คาว่าพอไม่มี ถ้าผู้ใดมีความพอเสียบ้างผู้นั้นจะเป็นโรค นี้เบาหน่อย ส่วนโรคโทสะนั้นก็คือขี้โกรธนั่นเอง ถ้าไม่มีเหตุปัจจัยมันก็ จะอยู่เฉยๆ แต่มันเกิดแล้วมันจะดับได้ เวลามันจะหายมันก็หาย แต่มัน


78

ถึงขั้นโคม่าก็ถึงแก่ฆ่ากันตาย แต่มันก็หาย ถ้าโรคโกรธมันหายเราก็จะ รู้สึกตัวว่าเราไม่ควรทา เวลามันเกิดมันก็เกิดที่ใจเราจะต้องรับรู้มันเสีย หาวิธีทาให้มันดับลงไป ปู่ ย่า ตา ยาย สอนว่า ถ้าโกรธขึ้นมาให้นับหนึ่ง ถึงสิบเสีย ถ้าไม่หายโกรธก็ให้ไปเสียให้พ้น และส่วนโมหะนั้นคือไม่รู้ตาม ความเป็นจริง คือโรคโง่นั่นเอง ทั้งสามนี้เป็นโรคประจาตัวของมนุษย์ และสั ตว์ ทั้งหลายในสากลพิภ พนี้ แต่ แตกต่างกัน แต่ล ะคนมากน้อ ย หยาบละเอียดต่างกันทุกตัวคน สร้างกันเอาเองทั้งนั้น รากเหง้าของกิเลสสามกองนี้สุดปัญญาที่แม่จะแยกแยะไปให้ ละเอีย ดได้ ถ้าลู กทุกคนอยากรู้ก็ให้เอาพระไตรปิฎ กมาอ่านเอง มี 3 ปิฎก พระวินัยปิฎกว่าด้วยศีล หรือระเบียบข้อบังคับ พระสงฆ์มีศีล 227 ข้อ ของสามเณรมี 10 ข้อ ของอุบาสกอุบาสิกามี 8 ข้อ ของ ฆราวาสมี 5 ข้อ นั้นเอง พระสุตตันตปิฎก จะยกตัวอย่างผู้ที่ได้ประพฤติ ดีหรือประพฤติชั่วที่ล่วงมาแล้วเป็นตัวอย่าง เช่น เล่าถึงพระพุทธเจ้า ได้มาเป็นสัตว์ต่างๆถึง 500 ชาติ เอามาเล่าเป็นนิทานชาดกให้สาวกฟัง พระพุ ท ธองค์ ท่ า นรู้ อ ดี ต และอนาคต ท่ า นเกิ ด เป็ น สั ต ว์ ต่ า งๆที่ ล่ ว ง มาแล้ว ท่านก็มีศีล 5 เป็นหัวหน้า สร้างบารมีแก่กล้ามาจนถึงพระเจ้า 10 ชาติ คือ 1 พระเตมีย์ (ใบ้) 2 พระชนก 3 พระสุวรรณสาม 4 พระ เนมิราช 5 พระมโหสถ 6 พระภูริทัต ชาตินี้เป็นพญานาค 7 พระจันทร์กุมาร 8 พระนารอด 9 พระวิฑูร 10 พระเวสสันดรชาดก เป็นชาติสุดท้าย เมื่อมรณภาพแล้วจะไปเกิดอยู่บนสวรรค์ชั้นดุสิต เมื่อ หมดวาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ก่อนแล้วก็ลงมาเกิดเป็นบุตรของพระ นางสิ ริ ม หามายา มเหสี ข องพระเจ้ า สุ ท โธทนะในกรุ ง กบิ ล พั ส ดุ์ ใน


79

ประเทศอินเดีย อายุ 16 ปีก็แต่งงานกับพระนางพิมพา ซึ่งเป็นบุตรสาว ของพระเจ้าอา พอพระนางพิมพาคลอดบุตรมาเป็นชายให้ชื่อว่าพระ ราหุล ท่านก็มาคิดราพึงว่า ความเกิดแก่เจ็บตายนี้มันเป็นภัยอันใหญ่ หลวงนัก ความแก่มันมี ความไม่เกิดไม่แก่มันจะไม่มีบ้างหรือ ท่านก็สละ ราชสมบัติออกบวชเมื่ออายุ 29 ปี บาเพ็ญความเพียรอยู่ 6 ปี พออายุ 35 ปี ก็ ไ ด้ ส าเร็ จ เป็ น พระสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ้ า นี่ คื อ ตั ว อย่ า งพระ สุตตันตปิฎก ส่วนพระธรรมปิฎกนั้น ว่าด้วยจิต เจตสิก รูป นิพพาน ที่พระ ท่านเอามาสวดในงานศพนั้นเอง ร่วมคัมภีร์พระไตรปิฎก ทั้งสามปิฎกนี้ มีอยู่ถึง 45 เล่ม แยกเป็น (ขันธ์) องค์ แล้วมีถึง 84000 พระธรรมขันธ์ สรุปรวมแล้วคือศีล สมาธิ ปัญญานั้นเอง พระไตรปิฎกที่แม่จาได้นี้เพียง นิดหน่อยเท่านั้น โดยมากแม่เรียนจากท่านอาจารย์ต่างๆ ที่ท่านเทพส่ง มาทางวิทยุ ทั้งกลางวันและกลางคืน เพราะแม่ชอบฟังธรรมะเป็นชีวิต จิตใจอยู่แล้ว วิทยุนี้มีประโยชน์มาก จะฟังการบ้านการเมืองก็ได้ อยากรู้ กฎหมายก็รู้ อยากรู้สุขภาพอนามัยของตัวเองก็รู้ จะเป็นคนทันสมัยทัน เหตุการณ์อยู่เรื่อยๆ โดยที่ไม่ต้องไปเล่าเรียนที่ไหน แต่ต้องฟังให้เป็น ถ้า ฟังไม่เป็ น จะยิ่ งโง่ แต่อันนี้ ก็คงเป็ นที่พื้น ฐานจิตใจของแต่ล ะบุคคลที่ สร้างมาไม่เหมือนกัน ก็คือตัว กิเลส 3 กองนั้นแหละ มันคือโรคประจา จิตใจอยู่ แต่ละคนจึงมีความคิดอ่านไม่เหมือนกัน ถ้าผู้ใดปฏิบัติตามคา สอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็จะรู้เห็นว่า มันเป็นของจริงที่มีอยู่ ในตัวเราทุกคน ทั้งอดีตและอนาคตต่อไป นับว่าท่านเป็นหมอดูเอกใน โลก สมกับที่ท่านเป็นสัพพัญญูรู้ แจ้งโลก เพียงแต่เราตั้งใจฟังพระสงฆ์


80

ท่านเทศน์หรือท่านสวดศพหลายๆ รูปด้วยกัน เราฟังโดยที่เราไม่รู้เรื่อง ยังทาให้เรารู้สึกชื่นใจ เพราะเราตั้งใจด้วยจิตอันแน่วแน่ แค่นี้ก็ทาให้เรา เกิดสติปัญญา อานิสงส์ ในการฟังบางคนก็ฟังพระเทศน์ไม่ได้ตั้งใจฟัง พระสวดก็ไม่ได้ตั้งใจฟัง เราต้องเอาหูของเราไปเข้าไปจดจ่ออยู่กับเสียง พระเทศน์หรือพระสวดมนต์ อย่าให้จิตใจเราไปที่อื่น ให้จิตใจเราจออยู่ กับเสียงพระ ถ้าเราทาได้บ่อยๆครั้ง ตลอดทั้งเวลาเราสวดมนต์เอง เรา จะได้ อนิ ส งค์ คื อสติแ ละสมาธิบ้ างเป็ น ครั้ งคราว ก็ยั งดีก ว่าให้ โ ลภะ โทสะ โมหะมันท่วมทับจิตใจเราตลอดเวลา จะย้อนเล่าถึงเรื่องส่วนตัวตอนที่พ่อของเองเขาตาย เมื่อ พ. ศ. 2513 แม่ก็อายุ 60 ปีพอดี แม่ก็คิดอยากจะไปบวชชี ขณะนั้นกาลัง เลี้ยงหลาน (เจ้าต้อง) อยู่ แต่เขาเดินได้ราว 2 ขวบ ฝากหลานไว้กับ มาลัย ตั้งใจจะไปสร้างบารมีข้อเนกขัมบารมีสัก 3 เดือน สืบดูรู้ว่าที่วัด เขาชายธง อาเภอตาคลีนั้น เขามีสานักชี พอใกล้เข้าพรรษาก็ตัดสินใจ ไป พอถึงเจ้าอาวาสท่านก็บวชให้ จะมีกลดให้อยู่คนละหลัง ไม่ได้อยู่ รวมกั น ที่ ส านั ก ชี นั้ น เขาจะมี ห อสวดมนต์ ส าหรั บ ส านั ก เหมื อ นวั ด เช่น กัน แม่ชีใหญ่เป็น หั ว หน้ า บวชมาสิบ พรรษา แม่ชีส งวนเป็น รอง (หัวหน้า) เมื่อบวชแล้วแม่ก็ตั้งหน้าเล่าเรียน พอ 2 โมงเช้า ก็เคาะระฆัง แม่ชีทุกคนก็จะมารวมกันทาวัตรสวดมนต์ ที่แม่เอามาสวดที่บ้านทุก วันนี้แหละ พระสวดเสร็จก็จะมีเทศน์ 1 กันฑ์ คนอ่านคัมภีร์นั้นก็จะนั่ง สูงสูง คนฟังก็จะล้อมเหมือนฟังเทศน์นั่นแหละ แม่โชคดีที่อ่ านหนังสือ เก่ง พระคัมภีร์ฉบับหลวงนั้น คนอื่นเขาอ่านไม่ออก เพราะจะมีจุดหลัง จุดล่าง จุดบน เพราะแม่เคยอ่านมาแล้ว แม่ก็เป็นคนอ่านเอง เอาคัมภีร์


81

สุตตันตปิฎกมาอ่านให้เขาฟังตอนสวดมนต์ทาวัตรแล้วก็อ่านจนถึง 4 โมง ก็พัก กลับกุฏิของแต่ละคน หุงข้าวกินเอง ใส่บาตรด้วย พระท่าน เช้าไปบิณฑบาต 1 องค์บ้าง 2 องค์บ้าง พอกินข้าวเพลแล้วก็นอน พักผ่อน เพราะบ่ ายโมงก็จะสวดอภิธ รรม เอาคัมภีร์มากลางสวดคน เดีย ว สวดเหนื่อยแล้ว ก็จ ะนั่งกรรมฐาน พอร่มลมเย็นก็จะลงไปปลู ก ดอกไม้ข้างๆกุฏิ เช่น ดอกดาวเรืองบ้างดอกซ่อนกลิ่นบ้างตามแต่จะมี ท่องหนังสือสวดมนต์บ้าง ฟังพระเทศน์ทางวิทยุบ้าง พอ 6 โมงเย็น เสียงระฆังเคาะ ก็ไปรวมกันทาวัตรสวดมนต์ พอสวดมนต์ทาวัตรเสร็จก็ อ่านคัมภีร์ให้เขาฟัง รอ 3 ทุ่มพระท่านทาวัตรสวดมนต์แล้ว หลวงพ่อ เจ้าอาวาสท่านก็จะลงมาสอนและฝึกให้นั่งกรรมฐาน จนกว่าจะเสร็จ ราว 4-5 ทุ่ม เสร็จแล้วก็พากันแยกย้ายกันไปอยู่ที่ใครที่มัน เพราะถึงวัน พระก็จะไปรับศีลอุโบสถที่ศาลาพร้อมกับชาวบ้านเต็มศาลา วัดเขาชายธงนี้ มีสมภารเป็นพระธรรมยุต ฉันจังหันมื้อเดียว ถึงวันพระเขาจะทาบุญ 4 โมงเช้า ผู้ที่จะไปทาบุญจึงต้องกินข้าวเช้ามา ก่อน ผู้ที่จะรักษาอุโบสถศีล จึงต้องสมาทานศี ลมาก่อนแล้วจึงมารับศีล กับท่านสมภาร ชาวบ้านแถวนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน คือคนแถวหนองน้อย หนองพญา คนท่าราบ ตรงข้ามกับวัดคงสวัสดิ์ คนข้างวัดหาดกองสิน และคนบ้านคลองช้างบ้านเรานั่นเอง พระท่านฉันข้าว ท่านจะฉันใน บาตรรวมกันหมดทั้งคาวทั้งหวาน ร่วมกันในบาตรแล้วฉัน ท่านอาจารย์ ท่านเป็นพระพวกอีสานสายหลวงปู่ฝั้น ตอนเย็นจะลงศาลาทาวัตรสวด มนต์พร้อมกันหมดทั้งพระทั้งเณร ทั้งแม่ชี ทั้งอุบาสก อุบาสิกา ที่ไปจา ศีลอุโบสถ กระทั่งเด็กลูกศิษย์วัด ท่านอาจารย์เป็นผู้นา เสร็จแล้วก็นั่ง


82

กรรมฐานพร้อมกันหมด เสร็จแล้วท่านก็ขึ้นธรรมาสน์เทศน์ให้ฟัง เพราะ เที่ยงคืนท่านก็กลับกุฏิของท่าน พวกชาวบ้านเขาจะนอนศาลา พวกตี กลับกุฏิของตัว ช่างมีความสุขเป็นกาไรชีวิตของแม่อย่างไม่มีวันลืม นี้ มันเป็นความสุขของแม่ในชีวิต แม่ไปบวชอยู่ได้ 60 วัน ก็มีอาการป่วย ปวดท้อง เดินท้อง ถ่าย ท้อง ถ่ายเป็นเลือด ยาก็หากินไม่ได้ หนั กถึงกับจะลุกไม่ได้ เพื่อนทีเขาก็ พามาส่งบ้าน มาให้หมอที่บ้านรักษา พ่อหายก็ไปลาหลวงพ่อสึกให้ จะ อยู่ให้ครบ 90 วันยังอยู่ไม่ได้ ต้องกลับมาใช้หนี้กรรมต่อไป ได้แค่ 70 วันเท่านั้นเอง แต่แม่ก็ไม่ประมาท มาอยู่บ้ านก็พยายามปฏิบัติอยู่กับ บ้าน เก็บเล็กผสมน้อยเพื่อจะได้ เป็นบารมีติดตัวเราไป ถ้าไปเกิดใหม่ณ ที่ใด ก็ขอให้ได้พบพระธรรมคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอให้รู้ แจ้งสัจธรรมคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกชาติที่เกิดแล้วนั้นด้วย เถิด พอมาถึง พ. ศ. 2514 เดือนเมษายน ก็จัดงานศพพ่อเอง แม่ก็ ไม่มีเงิน ก็พอดีรัฐบาลให้เงินมา เผาศพเสร็จหมดเงินไป 35,000 บาท ชาวบ้านทาบุญด้วยทั้งหมด 9,000 บาท จ่ายค่ามหรสพไป 3,000 บาท ยังเหลืออีก 6,000 บาท แม่เคยฟังวิทยุ เคยฟังธรรมของพระท่าน อาจารย์กิตติวุฑโฒภิกขุ ที่วัดจิตตภาวันวิทยาลัย ท่านอบรมพระเป็น 1,000 และสามเณร 600 รูป เมื่อทราบแล้วก็มีจิตศรัทธา อยากจะไป ทาบุญที่นั่น จึงเหมารถคันใหญ่จุคน 80 ที่นั่ง เป็นเงิน 1,500 บาท ชวน ชาวบ้าน ตลอดจนผู้เฒ่าผู้แก่ใครจะไปด้วยก็ไป เอาข้าวสารไปคนละเล็ก ละน้อย เอาไปมากไม่ได้เพราะคนเต็มรถ เอาไปรวมกันเข้าก็ได้ข้าวสาร


83

2 กระสอบ ผู้เฒ่าผู้แก่ไปกันเยอะ พากันดีใจเพราะไม่เคยไปไหนกันสักที เพราะถึงกาหนดก็ออกรถไป สมัยนั้นทางด่วนยังไม่มี ต้องวิ่งไปทางตา คลี ผ่านตากฟ้า ผ่านโคกสาโรง เข้าลพบุรี พอออกรถไปถึงชัยนาท มีคน มาคอยอยู่อีกหลายคน ไม่รู้ว่าเขารู้กันได้อย่างไร ผักปลา กับข้าวที่จะ เอาไปถวายพระ ใส่เข่งตั้งคอยอยู่ข้างทางรถ พวกมโนรมย์ ไม่ รู้ว่าเขารู้ กัน ได้อ ย่ า งไร ออกจากบ้ านรถก็ เต็ มแล้ ว ต้อ งไปเหมารถสองแถวที่ ชัยนาทเพิ่ม 1 คัน จึงไปกันหมด พอไปถึงเห็นพระและเณรมาก ตอน เช้าท่านจะลงมาฉันข้าวต้มมากมาย ก็ชื่นใจ เขามีโรงครัว มื้อเช้าฉัน ข้าวต้ม เพลฉันเข้าสวย เงินที่เขาทาบุญมา แม่ก็เอาทาบุญต่อไป นี่เงิ นที่ เหลือจากงานศพพ่อเอง แม่จั ดรถไปทอดผ้ า ป่ าที่จิ ต ตภาวั น 3 ครั้ง ไปทอดผ้ าป่ า ข้าวสารกัน และรับเอาบาตรเล็กมาใส่วันละ 1 บาท สามเดือนบ้าง สี่ เดือนบ้าง ส่งไป 1 ครั้ง จนถึง พ.ศ 2520 ก็หยุด เพราะไปส่งเองไม่ได้ แต่บาตรนั้นยังอยู่ เดี๋ยวนี้ยังใส่ทุกวัน วันละ 1 บาท วันพระใส่ 20 บาท เวลานี้ส่งวัดต้นสน มีพระเณรเล่าเรียนอยู่มาก ให้หลาน (ต้อง) เขาเป็น คนส่งให้ ให้ทานเพื่อขัดเกลากิเลสใจเรา เพื่อไม่ให้ใจเรายึดว่านั่นมันเป็น ของเรา มันเป็นของโลกเขา ถ้าใครเกิดมาเป็นมนุษย์ได้ก็มาใช้ ถ้าตายไป แล้วก็หมดสิทธิ์ เงินที่ใช้นั้นต้องมีรูปพระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ด้วย ถ้าไม่ มีก็ใช้ไม่ได้ เงินทองเหล่านี้มันเป็นของสมมุติ ถ้าเราจะเปลี่ยนของ สมมุติเหล่านี้ให้เป็นวิมุตขึ้นมา ส่วนบุญกุศลนั้นมันเป็นของพลอยได้ เราทาแล้วมันต้องได้ ผลมันจะออกอย่างไรนั้นมันอีกเรื่องหนึ่งเราทาดี ต้องได้ดี เราได้อยู่ แล้วคือได้ทางจิ ตใจ คือไม่ยึดติดในสมบัติต่างๆ ใน


84

เวลาที่จะดับชีวิตนี้เจอเรื่องสาคัญ เปรียบเหมือนเราปลูกต้นไม้ไว้สัก 1 ต้น เราจะหวังหรื อไม่ห วังก็ตาม ถึงเวลามัน ก็ออกผลมาให้ เราอย่า ง แน่นอน จะเอาลูกมารับประทานก็ได้ หรือจะเอาต้นมาทาเป็นบ้านอยู่ก็ ได้ เรื่ องทาบุ ญทาทานนั้ น มั น ไม่ ห มดไปไหนดอก เราทาด้ ว ยจิ ตใจที่ เสียสละ บุญนั้ นก็เป็นของเรา ถ้าใครไม่เชื่อบาปนั้นก็เป็นของเขา ไม่ เกี่ย วกับ เรา ใครทาใครได้ ต่างหาก เราทาพอสมควรกับกาลั งทรัพ ย์ กาลั ง สติ ปั ญ ญาของเรา เมื่อ ท าไปแล้ ว ก็ไ ม่ ใ ห้ เดื อ ดร้อ น มิ ฉะนั้ น จะ กลายเป็นบาป ขอให้ลูกทุกคนจงเข้าใจไว้ด้วย เดี๋ยวจะหาว่าแม่บ้าบุญ เขียนเชิญไปเสียนาน เมื่ออายุแม่ได้ 65 ปี ก็ยิ่งคิดถึงตัว ฟัง พระเทศน์ส่งเสียงมาทางวิทยุกระจายเสียงว่า ทางวัดท่ากฤษณา อาเภอ หันคา จังหวัดชัยนาท เปิดสอนวิปัสสนากรรมฐาน หาเพื่อนไปก็ไม่ได้ ชวนพี่อ่อนไปด้วยกัน 2 คน ไปข้าปฏิบัติ สานักปฏิบัติเป็นตึก 2 ชั้น มี 2 หลัง เขาทาเป็นห้องๆ ผู้เข้าปฏิบัติจะอยู่คนละห้อง ท่านอาจารย์ท่านชื่อ มหาคงเดชเป็ น พระฟากอี ส าน ท่ า นเป็ น ลู ก ศิ ษ ย์ ข องท่ า นเจ้ า คุ ณ พระเทพสิทธิมุนี จากวัดมหาธาตุส่งมา แม่เข้าปฏิบัติอยู่ 1 เดือน มีแต่ ผู้หญิงทั้งนั้น ผู้ชายมีแต่พระบวชใหม่ ราวสัก 10 รูป เขาจะมีคนครัว ข้ า วสารและเครื่ อ งครั ว ชาวตลาดหั น คาและชาวบ้ า นเขาจะน ามา บริจาค กินไม่หวาดไหวโดยไม่ต้องเสียเงิน ทั้งพระทั้งชี ทั้งอุบาสิกามี หน้าที่ปฏิบัติอย่างเดียว ต้องอยู่ในอิริยาบถ 4 ค่อยจับและตรวจดูจิต และอารมณ์ของตัวเอง วิปัสสนากรรมฐานก็คือตามดูตัวเราเอง กายา นุปัสสนาได้แก่พิจารณากาย เวทนานุปัสสนาให้พิจารณาในเวทนา จิตตานุปัสสนาให้พิจารณาในจิต ธรรมมานุปัสสนาให้พิจารณาใน


85

ธรรม รวมแล้วจะเป็นกรรมฐาน 4 เท่านั้น มีอยู่ที่ตัวเรานั้นเอง แล้ว จะมีจริงๆด้วยตามที่พระพุทธเจ้าชี้แนะ ถ้าใครอยากรู้เรียนรู้เอาเอง ตามที่พระพุทธเจ้าที่ชี้ทางไว้ นี่คือวิปัสสนา ส่วนกรรมฐานนั้นอีกอย่าง หนึ่ง ถ้าใครสามารถทาได้ถึงชั้นสูงๆ ก็อาจได้หูทิพย์ตาทิพย์ หรือมีฤทธิ์ เหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ถ้าหันมาเจริญวิปัสสนาแล้วจะสาเร็จอรหันต์ ได้ง่าย สติปัฏฐาน เรียกว่า ฌาน ส่วนวิปัสสนากรรมฐาน เรียกว่า ญาน แปลว่ารู้แจ้งในรูปและนาม ในตัวเรานี้มี 2 ส่วน ส่วนหนึ่งเป็นรูป อีกส่วนหนึ่งเป็นกองนาม ส่วนรูปนั้นประกอบด้วย ธาตุน้า ธาตุดิน ธาตุ ลม ภาพไฟ ส่ ว นธาตุดิน คืออาหารต่างๆที่เรากินเข้าไปเพื่อบารุง ร่ า งกาย ส่ ว นธาตุ น้ านั้ น ก็ คื อ สิ่ ง ที่ มั น เหลวหรื อ มั น ไหลได้ นั้ น แหละ เรียกว่าธาตุน้า ส่วนธาตุไฟนั้นเราจะมองไม่เห็นตัว รู้แต่อาการมันร้อน หรือเย็นเท่านั้น ส่วนธาตุลมนั้นคือ (เคลื่อน) ไหวได้นั่นคือลม ถ้าตัวเรา ไม่มีธาตุลมเสียแล้ว ตัวเราก็จะแข็งคือดุกดิกไม่ได้ เช่นรูจมูกสูดเอาลม เข้าไปเลี้ยงร่างกาย เรียกว่า กลุ่มธาตุ มันจะแตกพังได้ ส่วนนามนั้นเรา จะมองไม่เห็น มันมีหน้าที่อยู่ 4 อย่าง คือ รับ รู้ จา คิด ที่อยู่ก็คือที่หัวใจ นั้นเอง ส่วนกายนั้นจะเป็นที่พักอาศัยของนามและจะเป็นคนรับใช้ของ นาม คือจิตใจนั้นเอง คือจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว แต่จะต้องอาศัยซึ่ง กันและกัน มีแต่จิตไม่มีกายก็ไม่ได้ เปรียบเหมือนรถยนต์ไม่มีคนขับรถก็ วิ่งไม่ได้ จิ ตเปรี ย บเหมือนคนขับ รถ กายเราเปรียบเหมือนตัว รถ ถ้า คนขับรถเกเรก็พากันแหลกลาญไปหมด คนขับก็เหมือนจิตใจ คนจะดี จะเลวก็อยู่ที่จิต ภาษาพระเรียกว่านาม หมดทั้งโลกนี้มีแต่รูปกับนาม รูปใหญ่ เช่นแผ่นดิน ต้นไม้ พวกเขาทั้งหลายเหล่านี้เรียกว่า มหาภูตรูป


86

คือรูปที่ไม่มีวิญญาณครอง มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายเป็นรูปที่มีวิญญาณ ครอง รูปทั้งหลายเหล่านี้เกิดขึ้นและดับไปตามธรรมชาติเปลี่ยนแปลง เป็ น อนิ จ จั ง แปลว่าไม่เที่ยง ทุกขัง แปลว่าทนไม่ได้ อนัตตา แปลว่า บังคับบัญชาไม่ได้ เขาก็ต้องเป็นไปตาม ธรรมชาติของเขา ถามว่าถ้ารู้ อย่างนี้แล้วจะได้อะไรขึ้นมา เราจะได้ไม่ยึดติดในตัวตนของเรา ทรัพย์ สมบัติทั้งหลาย เมื่อเวลาเราจะตายไปเราจะได้ไม่เสียอกเสียใจ ถ้าเราไป เกิดใหม่เราจะได้ไปภพภูมิที่สูงกว่า ภูมิที่สัตว์ทั้งหลายจะต้องเวียนว่ายตายเกิดกันอยู่นั้น มีถึ ง 31 ภูมิ เทวภูมิ มี 6 ชั้น พรหมภูมิ มี 20 ชั้น ต่ากว่า มนุษย์ภูมิ มี 4 ชั้น เรียกว่า อบายภูมิ ได้แก่ 1 นรก 2 เปรต 3 อสูรกาย 4 สัตว์เดรัจฉาน ทุกชนิด สูงกว่ามนุษย์มี 6 ชั้นคือ ชั้นที่ 1 ชื่อจาตุมหาราชิกา ชั้นที่ 2 ชื่อตาวะติงสาที่เรียกกันคุ้นหูว่าดาวดึงส์นั้ นเอง ชั้นที่ 3 ชื่อ มายา ชั้นที่ 4 ดุสิตา 5 นิมมานรดี 6 ปะระนิมิสวะตี ภูมินี้เรียกว่าเทวภูมิ เป็นภูมิ ของผู้มีศีลมีทานที่ได้สร้างไว้ในมนุษย์ภูมิ ถ้าใครเกิดมาเป็นมนุษย์ โชคดี ที่ได้เกิดมาสร้างบารมี ถ้าใครจะสร้างบารมีที่ที่ภูมิมนุษย์เท่านั้นภูมิอื่น ไม่มีพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้ท่านก็ต้องลงมาเกิดในโลกมนุษย์ ส่วนพรหมภูมินั้น เป็นของผู้ที่ได้ฌานชั้นสูงสูงขึ้นไป เมื่อถึงมรณภาพ แล้วจะไปบังเกิดในชั้นต่างๆทั้ง 20 ชั้นของภูมินี้ แล้วแต่กาลังฤทธิ์และ กาลังฌานของแต่ละบุคคลที่มีวาสนาบารมีไม่เท่ากัน พระธรรมคาสั่งสอนที่เขียนไว้ในสมุดนี้ แม่ได้จาพระอาจารย์ ต่างๆ ที่ท่านๆ ได้เทศนามาทางวิทยุกระจายเสียง จาผิดบ้างถูกบ้าง ลูก


87

ขอสมาอภัยต่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและผู้รู้ทั้งหลายด้วย ขออย่าให้ลูก ต้องมีบาปมีกรรมเลย ขอกราบนมัสการพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและท่าน อาจารย์ทั้งหลายมาณที่นี้ด้วยความเคารพอย่างสูง เรื่องนี้ขอหยุดไว้แค่ นี้ แม่จะเล่าถึงพ่อแก่ (คุณตา) ของพวกเอง ก็คือพ่อของแม่ นั่นเอง เมื่อเกิดมาไม่เคยเห็นพ่อทาบาปเลยและ (ไม่เคยเห็น) ด่าว่าใคร คนอื่นเลย ถ้าลูกหลานนั่นแหละแกก็จะดุเอาบ้าง ถ้าจะด่าด้วยถ้อยคา อันหยาบคายนั้นไม่มี แกถือศีล 5 ถ้าเหล้า (สุรา) แล้วไม่ต้องพูดถึง พร้อมทั้งเครื่องดองของเมาต่างๆ แต่ตอนหนุ่มแกกินหมาก แกสวดมนต์ เก่ง แม่จะเล่ าถึงอานิ ส งส์ ของการสวดมนต์ สมัยนั้นไม่ได้ยินถึงเรื่อง กรรมฐานเลย พ่อ (คุณตา) สวดมนต์เก่ง สวดทั้งเจ็ดตานาน 12 ตานาน สวดสติปัฏ ฐานแปลได้ทั้งเล่ ม สวดด้ว ยปากเปล่ าทั้งนั้น พ่อ (คุณตา) ปัญญาดี จาแม่น แม่ (คุณยาย) กับพ่อ (คุณตา) เขาจะนอน แยกกัน แม่เองชอบนอนกับพ่อ (คุณตา) ก่อนนอนพ่อจะสวดมนต์ แม่ เองชอบนอนฟังพ่อ (คุณตา) สวดมนต์ เพราะดี สวดมนต์ฟังจนหลับไป เลย ตอนตี 4 ก็ลุกขึ้นสวดมนต์จนกระทั่งแจ้ง แกสวดมนต์จนตลอดชีวิต สวดเสียงดังลั่นบ้าน ใครจะราคาญหรือไม่แกไม่สนใจ แก้สวดจนวาระ สุดท้าย ตอนแก่มากไปไหนไม่ได้แกยิ่งสวด 3 เวลา ตอนเช้าทาวัตรจึง สวด ตอนกลางวันกินข้าวเพลแล้วก็สวด เพราะแกจะกินข้าว 5 โมง เหมือนพระ แกถือศีล 8 ตอนเย็นแกจะไม่กินข้าว กินแต่โอวัลติน ตอน เย็นแกก็ทาวัตรสวดมนต์เป็นประจา อยู่มาจนถึงอายุ 90 ปีพอดี แกก็ เสียชีวิต


88

จะเล่าถึงอานิสงส์ของพ่อแก่ (คุณตา) ที่แกรักษาศีล 5 และแก สวดมนต์ทุกวัน พ่อแก่ (คุณตา) ของพวกเอ็ง เคยบวชเป็นลูกศิษย์ของ หลวงพ่อคง (หลวงพ่อเฒ่า) วัดบางกะพี้ หรื อวัดคงสวัสดิ์นั่นเอง คน สมัยก่อนเขาจะบวชกันอย่ างน้อยต้อง 3 พรรษา ถ้าใครบวชพรรษา เดียวเขาจะไม่เรียกว่าทิด ถ้าเรียกอ้ายทิด เช่น เป็นลูกหลานเขา เขาถือ ว่าบาป ถ้าบวช 3 พรรษาขึ้นไป เมื่อสึกแล้วจึงจะเรียกได้ เมื่อสมัย แม่ยังเด็กอยู่ บ้านเมืองยั งเป็ นป่าอยู่ หมูป่าชุม เสื อ และสัตว์ต่างๆ เช่น ลิง ค้าง ส่วนค้างนั้น ก็เหมือนลิงนั่นแหละแต่ตัวมัน ใหญ่กว่า สีมันจะดามอๆ อีเก้ง หมาจิ้งจอกมันจะเห่าหอนตอนกลางคืน กลางวันไม่รู้ว่ามันไปอยู่กันที่ไหน หน้าทานาต้องยกไปอยู่ที่นา เพราะนา ไกลบ้าน ต้องปลูกกระท่อมเล็กและต้องให้สูงๆรวมกันอยู่เป็นกลุ่ม เอา คอกควายไว้กลาง ต้องปลูกกระท่อมล้อมรอบกันขโมยลักควาย เมื่อไป ทางานก็ต้องมีลูกจ้างคนภาคอีสาน เขาจะมารับจ้างตั้งแต่หน้าทานา จนถึงหน้าเกี่ยวข้าวเสร็จ ปีละ 60 บาท โดยมากจะมีหนุ่มรุ่นๆ อ่าน หนังสือไม่ออก ทหารก็ไม่เคยเป็น บางคนอาเภอจังหวัดอยู่ที่ไหนก็ไม่ เคยรู้ มาเป็นลูกจ้างพวกแก่ (คุณตา) จะสอนหนังสื อให้อ่านออกไปทุก คน มีลูกจ้างคนหนึ่งชื่อ ที่เพ็ง เขามาอยู่ด้วยกันหลายปี เขาดีมาก เขา ทาตัวเหมือนพี่ชาย เขาเป็นหนุ่มฉกรรจ์ เขาร่างกายแข็งแรง ขยันทานา และงานทุกอย่างแทนพ่อด้ว ย พอเลิกทานาแล้ วก็เลิกจ้าง เขาก็กลั บ บ้านเขา เขาบอกว่าบ้านเขาอยู่จังหวัดขอนแก่น หายไปสัก 2 ปี เขา กลับมาเยี่ยม เขาบวชเป็นพระมาเป็นสมภารอยู่วัดท่าแก้ว ใต้หนองแค


89

ไปหน่อย ต่อมาแม่มีครอบครัวเลยไม่รู้เรื่องกันว่าท่านอยู่นั่นหรือกลับ บ้านท่าน นี่คือบุญของแม่ที่ทาไว้ จะมีคนช่วยอุปถัมภ์ค้าชูมาทุกขั้นตอน เมื่อทานาอยู่นั้น พ่อแก่ (คุณตา) ถึงจะไปอยู่กระท่ อมนา แกก็ ยังหนุ่มอยู่ แกก็ถือศีล 5 เป็นประจา ถึงวันโกนก็ไล่ควายเข้าบ้าน ถึงวัน พระเขาจะไม่ใช้แรงงานสัตว์ จะหยุดไถนาวันพระเป็นประเพณี เมื่อจะ อยู่นาหรือจะอยู่บ้านแกก็สวดมนต์ของแกอยู่ตามปกติ มีอานิสงส์ก็คือ สมัยนั้นหมูป่ามันชุมมากเป็นฝูงอย่างกับฝูงควาย มันจะออกหากินตอน กลางคืน สาหรับนาข้าวออกรวงกาลังจะเกี่ยวนั้น เจ้าหมูป่าจะออกมา กัดกินรวงข้าว ยกกันมาเป็นฝูง เจ้าหมูป่ามันลงนาของใคร เจ้าของก็ไม่ ต้องเกี่ยว มันจะเหยียมบ้างกินบ้างแหลกราญไปเลย ส่วนนาของพ่อแก่ (คุณตา) พวกเองนั้นจะไม่ได้รับความเดือดร้อนจากสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ โดยที่นาติดกันจะโดนกันรอบข้าง ทั้งที่เจ้าของเขาเอาปืนไปคอยดักยิง ตอนกลางคืน มันก็เข้าย่าจนได้ ส่วนพ่อแก่นั้นปืนก็ไม่มี ตลอดจนควายก็ ไม่มีขโมยลักควายของแก ตัวผู้สวยๆไม่เคยโดนขโมยลักควาย พอเกี่ยว ข้าวเสร็จจะขนขึ้นลาน กองเสร็จแล้วจะทาบุญลานกันก่อนถึงจะนวด เอาแรงกัน ทาทุกอย่าง ถึงวันของใครก็หุ งข้าวเลี้ยงกัน พร้อมทั้งคาว หวาน ทางานร่วมกันเหมือนกับเป็นพี่น้องกัน ใครจะบวชนาค งานศพ แต่งงาน เราจะช่ว ยกัน ทาครั ว ทั้งคาวทั้งหวาน จะทากันเอาเองเพื่อ ฝึกหัดลูกหลานไปในตัว จะทากันเป็นหมดทุกคน ประเพณีอย่างนี้กาลัง จะจมหายไป คนบ้านเหนือกับคนบ้านใต้จะไม่รู้จักกัน คนก็เห็นแก่ตัว บูชาเงินเป็นพระเจ้า


90

เขียนเสียเรื่อยเปื่อยนอกลู่นอกทาง จะเล่าถึงพ่อแก่ (คุณตา) ยังไม่จบ จะเล่าถึงพ่อแก่ของพวกเอง วันที่แกจะสิ้นชีวิต ปรกติแกจะกิน ข้าวกลางวัน 5 โมงเช้า ถ้าเที่ยงแล้วแกจะไม่กิน ตอนอายุมากเข้ าหูแก ตึง จะไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาตี แม่ก็ทางานอยู่ใกล้ๆแก เดี๋ยวแกจะถามว่า เพลหรือยัง เพื่อคอยฟังเสียงนาฬิกาแทนแก วันที่จะเสียชีวิตมันบังเอิญ คนแก่ (ที่มีบ้าน) อยู่ใกล้กันนั้นก็คือ อาแพ แกมาวานตัดผมกาลังพ่อกิน ข้าวเพล ปรกติกินข้าวเสร็จแล้วแกจะสวดมนต์ แม่ตัดผมไปด้วยฟังพ่อ สวดมนต์ไปด้วย พ่อก็หยุดไปเฉยๆ แม่ก็เหลียวไปดูเห็นพ่อฟุบลงไปทั้งที่ แกยังพนมมืออยู่ แม่ก็วิ่งไปดูแล้วจัดแกนอนบนที่นอน แกจะหายใจทาง ปาก มีแต่ล มหายใจออก ลมหายใจเข้าไม่ค่อยมี แม่ก็ถามว่าพ่อเป็น อะไรไป พ่อก็ตอบมาคาเดียวว่า เปล่า พูดแบบลิ้นคับปาก คือลิ้นแก แข็ง แม่ก็นึกรู้ว่าพ่อคงจะไม่อยู่กับเราแน่ ก็พนมมือกราบลงไปที่หน้าอก พ่อ แล้วขอสมาลาโทษ พ่อตอบว่า ไม่เอาหรอก แค่นั้นเองก็ไม่พูดอีก เลย ไปตามหมอมาฉีดยาหมอก็ไม่ฉีด พอหมอกลั บพอลั บตัว ไปพ่อก็ หมดลมหายใจเรา 3 โมงเย็น แกไม่ได้ป่วยมาก่อนเลย เมื่อพ่อแก่สิ้นชีวิตแล้ว ก็เอาศพสวดไว้ 3 คืน ในสมัยนั้นยาฉีดก็ ไม่มี พอคืนที่ 3 รุ่งเช้าก็จะทาบุญเช้าแล้วก็จะเอาศพพ่อไปเก็บใส่กุดังไว้ ก่อน เตรียมใจให้ผ่องใสบริสุทธิ์พร้อมเสียก่อนจึงจะเผาศพพ่อ จะได้ ทาบุญด้วยใจบริสุทธิ์ผ่องใส เมื่อแต่ก่อนวัดไม่มีเมรุเผาศพต้องทาเมรุเอา เอง จ้างช่างมาทา เอาต้นกล้วยมาทา เรียกว่าแทงหยวก สวดศพอยู่ครบ 3 คืน ถึงคืนที่ 3 ก็จะทาบุญหน้าศพ พอรุ่งเช้าแม่ลุกขึ้นเช้ามืด แม่ได้ยิน เสียงในโรงศพพ่อดังฟอดๆ แม่ก็ไปเปิดดู เขาเอาผ้าขาวคลุมปากลงไว้


91

เปิดดูก็เห็นลิ้นพ่อลอดออกริมฝีปาก ก็แสดงว่าศพเริ่มจะเน่าแล้ว แม่ก็ พูดว่า พระท่านจะมาฉันข้าว ข้างโรงศพนี้ท่านจะเหม็นกลิ่นจะทาให้ พ่อต้องบาปนะ ที่นี้เพื่อจะทาบุญอุทิศส่วนกุศลให้พ่อ หลังจากนั้นพระ ก็มาทาบุญกันที่ข้างโลงศพ ก็ไม่มีกลิ่นอายอะไรทั้งสิ้น พอทาบุญเสร็จ เขาจะเอาศพไปเข้ากุดังที่วัด แม่ก็ต้องเก็บข้าวของที่ต้องเก็บเพื่อจะได้ ใส่กญ ุ แจบ้าน เพราะเปิดประตูเลื่อนเข้าไป กลิ่นนั้นมันไปรวมกันอยู่ใน ห้องเลื่อนได้อย่างไร ศพเขาก็เอาลงจากบ้านไปแล้ว แม่ก็รีบเก็บของ ใส่เรือน รีบใส่กุญแจบ้าน แล้วก็รีบตามไปวัด เก็บความอัศจรรย์ใจไว้ คนเดียวจนทุกวันนี้ พอเวลาผ่านไป พอถึงเดือน 5 ก็กาหนดจะทาศพ ในสมัยนั้นถ้า งานศพผู้มีอายุเขาจะต้องจัดงานศพให้ใหญ่โต 3 คืน 3 วัน มีเทศน์แจง 3 ธรรมาสน์ น้าบ่อที่วัดนั้นใช้ไม่ได้ น้าบ่อเป็นสนิม วันเผาศพจะเลี้ยง พระถึง 90 องค์ เต็มศาลา เรื่องที่อัศจรรย์ใจก็คือ ตอนที่จัดงานศพ บ่อเป็นสนิมเป็นฝ้าสีเหลือง จาเป็นต้ องลงไปใช้น้าในแม่น้า จึงได้ จ้างคณสาหรับตักน้าใช้ในงานถึง 3 คน พอถึงงานเข้าจริงๆ น้าใน บ่อก็ใสแจ๋ว ใช้อย่างสบาย เลยไม่ต้องจ้างคนตักน้า พอเสร็จงาน น้า ในบ่อก็ใช้ไม่ได้เหมือนเดิม เป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่ง ชี้ให้เห็นว่า ทาดีต้ อ งได้ดี เพราะทาถึ งดี ตามค าสั่ ง สอนของพระพุ ท ธเจ้ า ถึง จะ ล่วงลับไปแล้ว ลูกหลานที่อยู่ข้างหลังก็สบาย ถึงจะไม่ร่ารวย ก็อยู่กัน อย่างไม่เดือดร้อน เราทาดีเพื่อต่อเอาความดี ถ้าเราทาชั่วแล้วจะต่อเอา ความดีนั้น เป็นไปไม่ได้ ความดีที่ต้องปฎิบัติมีอยู่ 10 ข้อที่พระ สัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ ก็คือกรรมบท 10 นั่นเอง กรรมบถนั้นก็คือ


92

กายกรรมมี 3 ข้อ 1) ไม่ฆ่าสัตว์ 2) ไม่ขโมยสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ อนุญาตให้ 3) ไม่ประพฤติผิดประเวณีในผัวและเมียคนอื่น วจีกรรมมี 4 ข้อ คือ 1) ไม่พูดเท็จ 2) ไม่พูดส่อเสียด 3) ไม่พูดคาหยาบ 4) ไม่ พูดเพ้อเจ้อเหลวไหลไร้สาระด้วยอาการคนองปาก มโนกรรมมีอยู่ 3 ข้อ คือ 1) ไม่คิดอิจฉาริษยาเขา 2) ไม่คิดผูกอาฆาตพยาบาท ปองร้าย เขา 3) จงคิดเห็นในทางที่ถูกต้องตามทานองคลองธรรม ข้อนี้ชี้ให้เห็นว่า ถึงแม้จะเป็นฆราวาสผู้ครองเรือน ก็ปฏิบัติและ ทาตามคาสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ถ้าผู้ใดปฏิบัติธรรม พระ ธรรมจะคุ้มครองผู้นั้นแน่นอน พระธรรมคาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็น สัจธรรม เป็นความจริงที่มีอยู่ ในโลกนี้เป็นของไม่เที่ยงแท้ เป็น อนิจจัง มันจะเปลี่ยนแปรไป ทุกขัง ทนอยู่ไม่ได้ อนัตตา บังคับบัญชาไม่ได้ จะต้องเป็นไปตามกฎของธรรมชาติ ใครจะรู้หรือไม่รู้เขาเป็นไปตามกฎ ของธรรมชาติของเขานั่นเอง มีแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้น ท่าน เป็นผู้รู้จริงมาชี้แนะให้พวกเรารู้ ตามหัวข้อใหญ่ตามที่ท่านได้ชี้แนะไว้ให้ พวกเราได้รู้ ก็คือ สัพเพ สังขารา อะนิจจา สังขาร คือร่างกายและจิตใจ มันไม่ เที่ยงเกิดขึ้นดับไป มีแล้วหายไป สัพเพ สังขารา ทุกขา สังขาร คือร่างกายและจิตใจมันเป็น ทุกข์ทน อยากเกิด แก เจ็บ ตายไป สัพเพ ธัมมา อะนัตตา สรรพสิ่ ง ทั้ ง หลายทั้ ง ปวงไม่ ใ ช่ ตั ว ไม่ใช่ตน ไม่ควรถือว่าเราว่าของเรา


93

อะธุวัง ชีวิตัง ชีวิตของเราไม่ยั่งยืน ธุวัง มะระณัง ความตายของเราเป็นของยั่งยืน อะวัสสัง มะยา มะริตัพพัง เราจะพึงตายเป็นแน่แท้ มะระณะปะริโยสานัง เม ชีวิตัง เรามีความตายเป็นที่สุด ชีวิตัง เม อะนิยะตัง ชีวิตของเราเป็นของไม่เที่ยง มะระณัง เม นิยะตัง ความตายของเราเป็นของเที่ยง อะจิรัง วะตะ อะยัง กาโย ร่างกายนี้ไม่ได้ตั้งอยู่ยั่งยืนนาน อะเปตะวิญญาโณ คุณปราศจากวิญญาณ ฉุฑโฑ อันเขาทิ้งเสียแล้ว อะธิเสสะติ (ปะฐะวิง) จะนอนทับ (ซึ่งแผ่นดิน) นิรัตถัง ยะ กะลิงคะลัง ดั ง ท่ อ น ไ ม้ แ ล ะ ท่ อ น ฟื น ห า ประโยชน์มิได้ พระไตรปิฎกทั้ง 3 ปิฎกนั้นจะจบลงตรงนี้ รู้แจ้งแทงตลอด รู้ซึ้ง ถึง จิ ต ใจและสมบั ติ ได้ ด้ ว ย ผู้ นั้ น ก็ จ ะส าเร็ จ ธรรมชั้ น สู ง แต่ ผู้ เ ขี ย นมี สติปัญญาน้อย เพียงแต่จาท่านอาจารย์ทั้งหลาย ท่านได้กรุณาส่งเสียง มาตามวิทยุกระจายเสี ยง ก็ฟังทั้งกลางวันและกลางคืน แล้วก็ปฏิบัติ ตาม ได้บ้างไม่ได้บ้าง ก็เป็นพระเดชพระคุณของพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย คือท่านเป็น สงฆ์สาวกของพระสั มมาสัมพุทธเจ้าโดยแท้ และขอท่าน เหล่านั้นจงเจริญในพระธรรมคาสั่ งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ ยิ่งๆขึ้นไป ผู้เขียนนี้ยังมีบุญและวาสนาน้อยอยู่ จะเดินตามหลังท่านผู้ เป็นพระสงฆ์สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น มิฉะนั้น


94

แล้ว ผู้เขียนก็คงจะเป็นคนหูหนวกตาบอด เสียชาติที่เกิดมาเป็นมนุษย์ พบพระพุทธศาสนา ไม่มีอะไรที่จะยิ่งกว่าอีกแล้วในโลกนี้ พรุ่งนี้จะขอพักไว้เพียงเท่านี้ จะเขียนภาษิตโบราณมาไว้ให้ ลูกหลานอ่าน แม่เคยเอามาใช้เป็นประจา ดีมาก เหมือนจะมีคนคอย ตักเตือนเรา 1. อย่านอนตื่นสาย อย่าหน่ายทากิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา 2. มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์ มีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน ไม่ควรซื้อก็อย่าไปพิไรซื้อ ให้เป็นมื้อเป็นคราวทั้งคาวหวาน เมื่อพ่อแม่แก่เฒ่าชรากาล จงเลี้ยงท่านอย่าให้อด ระทดใจ (ของสุนทรภู่) 3. ทรัพย์นั้นบ่ไกล ใครปัญญาไว หาได้บ่นา ทั่วแคว้นแดนดิน มีสิ้นทุกสถาน ผู้ใดใจคร้าน บ่พานพบนา (ภาษิตอีสาน) 4. ปริศนาธรรม ของท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธิมุนี มีอยู่ว่า ปริศนาธรรมข้อ 1 มีอยู่ว่า “สี่คนหาม สามคนแห่


95

5.

หนึ่งคนนั่งแคร่ สองคนพาไป” ปริศนาธรรมข้อ 2 มีอยู่ว่า มียักษ์ตนหนึ่ง มีหน้าอยู่สามหน้า มีตาสองข้าง ข้างหนึ่งสว่าง ข้างหนึ่งริบหนี่ มีฟันไม่มาก ปากละสิบสองซี่ เคี้ยวกินสัตว์ ทั่วปฐพี ยักษ์ตนนี้คืออะไร มีอะไรให้โกรธ อย่าโทษเขา ต้นตัวเราว่าใจ ไม่เข้มแข็ง ถึงแม้ว่าโกรธนั้น จะมาแรง ใจเราแข็งกว่าจะ ชนะมัน (ของหลวงพ่อสุระเสียง)

เมื่อสงครามโลกสงบลงใหม่ เสือ (พวกโจร) หรือเรียกอีกอย่าง หนึ่งว่า คนป่า ชุกชุมมาก หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ซ่องโจร นั่นเอง จะ มี ชุ ก ชุ ม อยู่ แ ถวจั ง หวั ด สุ พ รรณและจั ง หวั ด อุ ทั ย แต่ ล ะช่ อ งเขาจะมี ลูกน้องมาก ถ้าเข้าปล้นบ้านไหน เขาจะกวาดหมดทั้งหมู่บ้าน เจ้าของ บ้านพากันหนี เขาก็จะเอาไฟจุด (เผาบ้าน) เหลือแต่เสา แถวคลองคด คลองควาย แม่ไปขายละมุด ลงเรือสีเลือดหมูไปตามคลองท่าแห (แม่ น้าท่าจีน) ใกล้จะถึงตลาดหันคา สองฟากคลองมีแต่เสาเรือนไฟไหม้ มี ตลาดเล็ กน้ อยพอที่จ ะปล้ น ได้ เขาก็ป ล้ น ใครมีลู กสาวที่อยู่บ้านเด่น หน่อย ก็ต้องไปที่ซุกฝากเขา กลัวมันจะฉุดไปทาเมียมัน คราวหนึ่งทิด


96

แถม (นายแถม) เขาเป็นหัวหน้าวงเพลงฉ่อย เขาเป็นพี่น้องกับแม่ย่า พวกโจร พวกโจรเขาหาเพลงไปเล่นในซ่องโจร เขานั้นให้ลงเรือไปขึ้นที่ ตลาดท่าช้าง พวกเพลงก็ไม่รู้ว่า (ไปเล่นให้) โจร พ่อถึงตลาดท่าช้าง โจร มันก็เอาม้ามารับไปที่ซ่องโจร มันอยู่ในหุบเขา คนเป็นหัวหน้ามีเรือน ทรงไทย 7 หลัง มีเมีย 7 คน ซ่อง (ก๊ก) นี้ดังมาก มีบ้านพักลูกน้อง คลัง สาหรับเก็บปืน มีคนยามตลอดทาง เขาอยู่กันอย่างราชา พวกชาวบ้านก็ เข้าดงเข้าป่าไปตัดฟืน เผาถ่านเลี้ ยงขายเลี้ ยงชีวิต กัน ที่เล่ ามานี้เพียง อาเภอวัดสิงห์กับอาเภอหันคาของจังหวัดชัยนาทเท่านั้น เพราะเขตมัน ติดต่อกันทั้งจังหวัดสุพรรณและจังหวัดอุทัย สมั ย นั้ น เป็ น ดงไม้ สู ง ถ้ า เดิ น ไปถึ ง วั ง หมั น ต้ อ งไปค้ า งที่ บ้ า น หนองพญา หลังอาเภอวัดสิงห์ บ้านแม่ย่อของพวกเอง รุ่งเช้าออกเดิน ไปที่วัดวังหมันที่ไปสอนโรงเรียนอยู่ก็มืดพอดี พ่อเองเขาไฟสอนโรงเรียน แรกในแถวนั้น หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านใหญ่เป็นบ้านลาว แถวดอนขึ้นไป โดยมากจะเป็นลาวแทบทั้งนั้น คนไทยอย่างเราจะอยู่ตามริมแม่น้าลา คลอง เขียนเล่าไปเสียเพลิน ที่เล่ามานี้ ชี้ให้เห็นว่าแม่กับพ่อสองคนนี้ ฝ่าฟันอุปสรรคกันมาแค่ไหน บางครั้งก็ถูกเขาดักยิงเพราะมันจะแย่งเอา ปืน พ่อเองเขามีปืนสั้นอยู่ 1 กระบอก ตัวเองเขามีคาถากาบังกายได้ เขาจะเสกผ้าเขาม้า ขอดไว้ที่ใช้ผ้า แล้วจะเอาผ้าเคียนหัว แล้วจะไม่มี ใครมองเห็นเขา แต่พ่อเองเขามองเห็นมัน เขาเคยมาเล่าให้ฟัง บางครั้ง ต้องเดินทางมากลางคืนคนเดียว เมื่อกลับมาจากโรงเรียนเพื่อจะกลับ บ้าน เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่าคนเราเกิดมาลาบากยากแค้นแสนสาหัส ได้อะไร


97

กันไปบ้างนอกเสียจากความแก่และความตาย เหมือนกันหมดไม่ว่าคนมี และคนจน ส่วนจิตใจของแม่นั้นไม่ว่าจะลาบากสักเพียงใดแม่ก็ไม่ สนใจ ตั้ ง ใจอยู่ อ ย่ า งเดี ย วว่ า จะไม่ ข อแตะต้ อ งกั บ ความชั่ ว อย่ า ง เด็ดขาด แม้ถึงจะต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานก็ต้องสั่งสอนและห้ามปราม ไม่ ใ ห้ ก ระทาความชั่ ว ตามที่ สั ง คมเขารั ง เกี ย จ ผลสุ ด ท้ ายแม่ ก็ไ ด้ พ บ ความสาเร็จในบั้นปลายของชีวิต สิ่งที่แม่ภาคภูมิใจนั้นคือ เมื่อเป็นเพศ หญิงได้เสียสละเลือดในอก เลี้ยงลูกชายจนได้ปริญญาบัตรถึง 4 คน หลานอีก 2 คน ที่ได้เลี้ยงมาจากมือของแม่เอง นี่คือความสาเร็จในชีวิต เมื่อที่ได้ตั้งใจไว้ ส่วนหลานคนอื่นก็ให้ความสงเคราะห์อนุเคราะห์ตาม สมควร แม่เองก็ไม่เคยร่ารวย พ่อแม่ปู่ย่าตายายก็ไม่ร่ารวย แต่เขารวย บุญกัน ถึงจะไม่ร่ารวยเขาก็อยู่กันอย่างมีความสุข ตั้งแต่มีทาบุญกันแล้วจัดงานกัน กินเลี้ยงกัน เลี้ยงเหล้า (สุรา) ยากัน เหล่านี้ เป็นการทาตัวอย่างให้เด็กๆดู ตอนนี้คนเสียหมด ขี้เมา หมดทั้งผู้หญิงผู้ชาย ผลลัพธ์ก็มาถึงเด็กๆด้วย ตอนหลังปัจจุบันเดี๋ยวนี้ ผิดกว่าเด็กแต่ก่อนมาก เราไม่ต้ องไปสอนเขาเลย เขาจะไม่รู้เรื่องของ ผู้ใหญ่เลย เขามองคนแก่เหมือนตัวอีแร้งอีกาน่าสงสาร เด็กที่เกิดมารุ่น หลังมันจะห่างจากมนุษย์ไปทุกที ตามที่แม่ได้พรรณามานี้ ก็พอสมควรแล้ว จะขอยุติไว้เพียงนี้ บุญกุศลอันใดที่แม่ได้กระทามาแล้วทั้งหมดนี้ เพิ่งเลิกคุ้มครองปกป้อง ลูกและหลานทั้งหมดนี้ให้อยู่เย็นเป็นสุข โดยทั่วหน้ากันทุกท่านเทอญ ส่วนเมื่อนั้นก็ขอลาจากลูกและหลานไปตามเวลาของสังขารไม่วันใดก็วัน หนึ่ง เพราะอยู่มานานแล้ว กรรมอันใดที่แม่ทาให้ลูกต้องโกรธ หรือลูก


98

ทาให้แม่ต้องโกรธ เราจงมาอโหสิกรรมกันเสีย อย่าได้มีเวรกรรมซึ่งกัน และกันเลย คิดเสียว่าเราเกิดมาเพื่อสร้างบารมีร่วมกัน วิธีทาน้าพริกขนมจีน ของโบราณที่ได้ใช้กันมา นามะพร้าวมาคั้นกะทิ คั้นเอาหัวกะทิแยกไว้ก่อน แล้วเอาหาง กะทิใส่หม้อ แล้วนาน้าปลาน้าส้มมะขามเปียกใส่ ใส่น้าตาลปี๊บ ใส่ลงไป ในหม้อที่ใส่หางกะทินี้ เพื่อเป็นน้าพริ กขั้นต้น เมื่อใส่ลงไปแล้วก็ให้ชิมดู ให้รส เปรี้ยว เค็ม หวาน ให้มันพอดีกัน แล้วยกขึ้นตั้งไฟ ให้น้าเดือด พอสมควร แล้วยกลงตั้งไว้ ให้น้าในหม้อนี้เย็น แล้วจึงปรุงเครื่องใส่ที หลัง เมื่อน้าในหม้อนี้เย็นเรียบร้อยแล้ว ก็เอาเครื่องปรุงใส่ลงไป (1) ให้ เ อามะพร้ าวที่ ขู ด แล้ ว มาคั่ ว ก่ อ น ก่ อ นจะคั่ ว ก็ ใ ห้ เ อาน้ าตาลเคล้ า มะพร้าวที่จะคั่วนั้นเสียก่อน อย่าเดล้าให้มาก ใส่แต่เพียงนิดหน่อย แล้ว ใส่กระทะคั่ว ใช้ไฟอ่อน คั่วให้เหลือง (2) และซอยหอมซอยกระเทียม ก่อนจะเจียวหอมกระเทียมนั้น ถ้าใส่หอมกระเทียมมากๆยิ่งอร่อย (3) เอาถั่ว ลิสงคั่ว แล้ วตาป่น ใส่ ลงไปในหม้อกระทิเมื่อน้าในหม้อเย็นแล้ ว และก็เอา (4) กุ้งแห้งมาแช่น้าหรือกุ้งสดก็ยิ่งดี แต่ย่างไฟเสียก่อน แล้ว เอาขิงสดมาเผาไฟมาใส่ด้วยสักน้อยก็ยิ่งดี เราเอาเครื่องปรุงเหล่านี้มาใส่ครกตาให้แหลกเสียก่อน หอม กระเที ย ม มะพร้ า วคั่ว กุ้ งแห้ งหรื อกุ้ งสด หรื อขิ ง เผาใส่ แ ต่นิ ด หน่ อ ย พอสมควร หอมกระเทียมนั้นเผาใส่บ้างก็ยิ่งดี เผาแล้วแกะเอาแต่เนื้อ


99

มัน แล้วก็โขลกปนกันไป เมื่อโขลกเสร็จแล้วก็เอาหัวกะทิที่เราเก็บไว้นั้น มาเคี่ยวให้ขึ้นมันเสียก่อน จึงเอาเครื่องปรุงที่เราโขลกไว้นั้นลงเคี่ยวกับ กะทิที่เราเคี่ย วไว้ในกระทะนั้ น พอสมควรแล้ วจึงเอาลงในหม้อที่เรา เตรียมทาน้าไว้ แล้วก็คน แล้วก็ลองชิมดู ถ้ามันยังไม่พอดีเราก็เติมเอา ตามต้องการ ต่อไปเราก็เอา (5) หมูสามชั้นมาสับ แล้วก็เคี่ยวให้น้ามันออก แล้วก็ซอยหอมลงไปเจียวให้เหลือง จึงเอาพริกป่นใส่ลงไป เพราะเหลือง ดีแล้วจึงเอาลงในหม้อที่ผสมเครื่องไว้แล้วนั้นเพื่อผัดพริกใส่ แล้วก็เอา (6) ผิวมะนาวผ่าเป็นซีกเล็กๆ เพื่อจะให้มันหอมผิวมะนาว แต่ต้องใช้ มะนาวผิวหนาเพื่อจะใช้ผิวมัน นี่คือกะน้าพริกขนมจีน


100


101

ภาคผนวก


102

ประวัติย่อ นายสวัสดิ์ บุญญานันต์1

ชาตะ 5 มกราคม พ.ศ. 2447 มรณะ 22 พ.ค. 2514 1

จากอนุสรณ์ ในงานฌาปณกิจศพ นายสวัสดิ์ บุญญานันต์ ณ วัดคงสวัสดิ์วฒ ั นาราม ตาบลหาดท่าเสา อาเภอเมือง จังหวัดชัยนาถ วันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2515


103

เกิด

เครือญาติ

การศึกษา

วันที่ 5 มกราคม เพราะ 2447 ณ บ้านหนองพญา ตาบลมะขามเฒ่า อาเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท เป็ น บุ ต รนายบุ ญ นางยิ่ ง บุญ ญานั น ต์ มี พี่น้ อ งร่ ว ม บิดามารดา 5 คนคือ 1. นายสวัสดิ์ บุญญานันต์ 2. นางชิด ถึงแก่กรรมแล้ว 3. นายทองคา บุญญานันท์ (ถึงแก่กรรมแล้ว) 4. นายประชุม บุญญานันต์ 5. นายศิริ บุญญานันต์ - ศึกษาในชั้นประถมศึกษาโรงเรียนวัดหนองพญา จน จบชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ในปีพ. ศ. 2462 - อุ ป สมบท ณ วัด หนองพญา ในปี พ.ศ 2468 ได้ ศึกษาพระธรรมวินัย จนสอบได้นักธรรมชั้นโท และ ธรรมศึกษาชั้นเอก - พ. ศ. 2473 เข้าเรียนโรงเรียนฝึกหัดครูมูล จังหวัด นครสวรรค์ สาเร็จการศึกษาในปีพ.ศ 2475 - ได้ เ ข้ า รั บ ราชการครู ตั้ ง แต่ พ . ศ. 2475 ในขณะ ปฏิ บั ติ ร าชการได้ ส นใจศึ ก ษาเล่ า เรี ย นด้ ว ยตนเอง ตลอดมา จนสอบได้ ป ระกาศนี ย บั ต ร คู่ พิ เ ศษ ประถมศึกษา ปอปอ ในปีพ.ศ 2500


104

ครอบครัว

การทางาน

ได้แต่งงานกับ นางส้ มลิ้ ม เมื่อประมาณปีพ.ศ 2472 ได้อยู่กินด้วยกันมาด้วยความสุขจนถึงแก่กรรม มีบุตร ด้วยกัน 7 คนคือ 1. ร.ท. ถวิล บุญญานันต์ ร.น. 2. นางมาลัย โพธิ์ชัย (แต่งงานกับนายสมพร โพธิ์ ชัย) 3. นายฉลอง บุญญานันต์ 4. นายจารัส บุญญานันต์ 5. เด็กชายดารง บุญญานันต์ (ถึงแก่กรรมแล้ว) 6. นางชูจิ ตร พวกคง (แต่งงานกับนายกิตติพจน์ พวกคง) 7. นายเรืองชัย บุญญานันต์ เริ่มเข้ารับราชการครู เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ พ. ศ. 2445 ตาแหน่งครู น้อยโรงเรียนวัดหนองพญา เมื่อ ปฏิบัติงานครบ 1 ปีก็ได้ย้ายไปเป็นครูใหญ่โรงเรียนวัด คลองปลาไหล หลั งจากนั้ น ก็ได้เป็นครูใหญ่เรื่อยมา โดยย้ายไปโรงเรียนต่างๆหลายแห่ง จนเกษียณอายุ ราชการเมื่อวันที่ 30 กันยายนพ.ศ 2508 รวมเวลาที่ รับราชการประมาณ 34 ปี เมื่อเริ่มรับราชการ ได้รับ เงิ น เดื อ นเดื อ นละ 15 บาท เมื่ อ ปลดเกษี ย ณอายุ ราชการ ได้รับเงินเดือน 1200 บาท


105

ประวัติการทางานโดยย่อมีดังนี้ ก.พ. พ.ศ. 2475- ก.พ. พ.ศ. 2476 ก.พ. พ.ศ. 2476- ก.ค. พ.ศ 2478 ก.ค. พ.ศ 2478- มิ.ย. พ.ศ 2486 ก.ค. พ.ศ 2486- ก.ย. พ.ศ 2486

ครูน้อย โรงเรียนวัดหนองพญา ครูใหญ่ โรงเรียนวัดหนองปลาไหล ครูใหญ่ โรงเรียนวัดวังหมัน ครูน้อย โรงเรียนชลประทาน (เขื่อนพลเทพ) ตุ.ค. พ.ศ. 2486- มี.ค. พ.ศ. 2487 ครูใหญ่ โรงเรียนวัดธรรมามูล เม.ย. 2487- ก.ค. พ.ศ 2489 ครูใหญ่ โรงเรียนชลประทาน (เขื่อนพลเทพ) ส.ค. พ.ศ 2489- มี.ค. พ.ศ 2492 ครูใหญ่โรงเรียนวัดสุขารมย์ เม.ย. พ.ศ. 2492- มี.ค. พ.ศ 2508 ครูใหญ่ โรงเรียนวัดคงสวัสดิ์ วัฒนาราม ถึงแก่กรรม ความดันโลหิตสูง เส้นโลหิตฝอยในสมองแตก ถึงแก่ กรรมเมื่ อ วั น ที่ 22 พฤษภาคมพศ 2514 เวลา ประมาณ 10.00น


106

ประวัติสังเขป นายทองอินทร์ ดีสาร2 นายทองอินทร์ ดีสาร เป็นบุตรนายเขียว นางสัมฤทธิ์ ดีสาร เกิดเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม พ.ศ 2449 ณ บ้านประจารัง ตาบลหาดท่า เสา อาเภอเมือง จังหวัดชัยนาท มีพี่น้องร่วมบิดามารดา 1 คน คือนาง ส้มลิ้ม บุญญานันต์ ซึ่งปัจจุบันมีภูมิลาเนาอยู่บ้านเดิม การศึกษาและการรับราชการ พ. ศ. 2460 - 2465 เข้ารับการศึกษา ณ โรงเรียนประจาจังหวัด ชัยนาท สอบไล่ได้ชั้นประถมปีที่ 4 พ. ศ. 2465 - 2469 บวชเป็นสามเณร อยู่วัดอรุณราชวราราม วัด แจ้ง พ. ศ. 2470 - 2475 อุป สมบทเป็ นพระภิกษุจาพรรษาณวัดอรุณ ราชวราราม วัดแจ้ง กรุงเทพ คณะบวชเป็น สามเณรและพระภิ ก ษุ ได้ เ ข้ า ศึ ก ษาปริ ยั ติ ธรรม ณส านั ก วั ด พระมหาธาตุ ยุ ว ราช รั ง สฤษฎิ์ สอบไล่ ไ ด้ นั ก ธรรมชั้ น โท และ

2

จาก จารัส บุญญานันต์. 2530. อนุสรณ์ จาก หมอ ทองอินทร์ ดีสาร. กาแพงเพชร: วิทยาลัยครูกาแพงเพชร


107

บริเวณธรรม 4 ประโยค ลาสิกขาบทเมื่อ พ.ศ 2475 พ. ศ. 2477- 2478 ถูกเกณฑ์เข้ารับ ราชการทหารในกองทัพบก ในกองเสนารักษ์มณฑลทหารบกที่ 1 พญาไท กรุงเทพ ได้รับยศเป็นสิบตรี พ. ศ. 2479 เ ข้ า รั บ ก า ร อ บ ร ม ผู้ ช่ ว ย แ พ ท ย์ ก ร ม สาธารณสุขกระทรวงมหาดไทย เป็นเวลา 6 เดือน พ. ศ. 2480 ได้ รั บ บรรจุ แ ต่ ง ตั้ ง ในต าแหน่ ง สารวั ต ร สุ ข า ภิ บ า ล ก ร ม ส า ธ า ร ณ สุ ข กระทรวงมหาดไทย ได้รับเงินเดือน 34 บาท -เดือนธันวาคมพ.ศ 2480 ได้รับคาสั่งให้ไป ด ารงต าแหน่ ง สารวั ต รสุ ข าภิ บ าล ประจ า จั ง หวั ด ก าแพงเพชร และรั บ ราชการที่ นี่ จนถึงพ. ศ. 2509 จึงได้เกษียณอายุราชการ ในขณะดารงตาแหน่งพนักงานอนามัยตรี เต็ม ค่า 1,200 บาท หลังเกษียณอายุราชการแล้ว ได้รับบานาญเดือนละ 900 บาท เมื่อรับราชการอยู่ ในปี พ. ศ. 2495 ได้ซื้อที่ดินติดกับเขตวัด บาง โครงสร้างบ้านเป็นที่อยู่ และได้อาศัยอยู่ตลอดมาจนบัดนี้


108

ราชการพิเศษ ในปี พ.ศ. 2484 ทางราชการทหาร กองเสนารักษ์ มณฑล ทหารบกที่ 1 กรุ ง เทพ ได้ เ รี ย กระดมพลทหารกองหนุ น เข้ า ไป ประจาการเพือ่ การเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส ในสงครามอินโดจีน เป็นเวลา 6 เดือน แล้วกลับเข้ารับราชการอย่างเดิม ในเดือนธันวาคม พ.ศ 2484 - 2487 ราชการทหารได้เรียก ระดมพลทหารกองหนุนเข้ารับราชการ เพื่อร่วมในสงครามมหาเอเชีย บูรพาร่วมกับประเทศญี่ปุ่น ได้เข้ารับราชการทหารในสังกัด ร. พัน 29 พิษณุโลก ซึ่งได้เคลื่อนทัพจากที่ตั้งปกติ จังหวัดพิษณุโลก ไปปฏิบัติการ ณ อาเภอแม่สอด จังหวัดตาก แล้วต่อไปยังจังหวัดเชียงใหม่ พักที่วัด สาเภา วัดพันอ้น แล้วเคลื่อนทัพไปพักที่บ้านแม่นะ อาเภอเชียงดาว แล้ ว ต่ อไปพักที่กิ่ ว ผาวอก เป็ น ต้น แม่ น้ าปิ ง ซึ่ง เป็น หมู่บ้า นชายแดน จังหวัดเชียงใหม่ กองทัพได้เข้ายึดรัฐฉาน (เรียกว่าไทใหญ่หรืองิ้ว) โดย ยึดบ้ านพงป่ าแซมและเมืองหางหรื อเมืองห้ างหลวง (ซึ่งสมเด็จพระ นเรศวรมหาราชยกทัพไปตีพม่าผ่านมาสิ้นพระชนม์ที่เมืองเมืองหางนี้) เมืองต่วน และเข้ายึดเมืองสาดได้เป็นเมืองสุดท้าย เสร็จแล้วเดินทัพ กลับจังหวัดเชียงใหม่ พักทัพอยู่ ณ อาเภอแม่แตง เนื่องจากนี้ตั้งอยู่ริม แม่น้ากกไหลผ่านเชียงราย เชียงแสน ลงสู่แม่น้าโขง และมีวัตถุโบราณ ทางพระพุทธศาสนา เช่น เจดีย์ โบสถ์ วิหาร อยู่หลายแห่ง ต่อมาทางราชการได้สั่งให้ ร.พัน 29 เข้ายึดเมืองเชียงตุงในรัฐ ฉาน กองทัพจึงเดินทางจากอาเภอแม่แตง ผ่านอาเภอเวียงป่าเป้า เข้า ตัวเมืองเชียงราย อาเภอแม่สาย ((สุดเขตประเทศไทย ทิศเหนือมีแม่น้า


109

เป็นเขตแดน มีสะพานเหล็กข้ามเข้ารัฐฉานที่บ้านท่าขี้เหล็ก) ท่าขี้เหล็ก เมื อ งโก เมื อ งเล็ น เมื อ งพะยาก ดอยเหมย (เป็ นดอยใหญ่ สู ง มากมี น้าค้างตกปอยๆตลอดวัน บนยอดดอยเป็นที่ราบกว้าง ใหญ่ อังกฤษตั้ง ที่ทางานอยู่บ นนั้นทั้งฝ่ายทหารและพลเรื อนขณะที่ยึดครองประเทศ พม่าอยู่ จากดอยเหมยถึงเมืองเชียงตุงประมาณ 8 กิโลเมตร) เข้ายึด เมืองเชียงตุงได้ และพักกองทัพในเมืองเชียงตุง และตีได้เมืองมะ เมือง เชียงล้อ ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกับประเทศจีนที่เมืองยูนาน มีแม่น้าไหล ผ่านเป็นเขตแดน หลังจากนั้นไม่นานทางราชการก็สั่งให้ยกทัพกลับที่ตั้ง ปกติจังหวัดพิษณุโลก ในปีพ.ศ 2487 และสั่งปลดราชการทหาร จึงเข้า รับราชการในแผนกอนามัยจังหวัดกาแพงเพชรตามเดิม อนึ่งทหารที่สู้ รบในรัฐฉานเป็นทหารจีนทั้งสิ้น ระยะทางจากเชียงตุงถึงเชียงรายเป็น ภูเขาตลอดทาง ในปี พ.ศ. 2511 หลังเกษียณราชการ ได้รับเลือกตั้ง เป็นสมาชิกสภาจังหวัดกาแพงเพชร พ. ศ. 2511- 2557 ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกเทศบาลเมือง กาแพงเพชรติดต่อกันมาทุกปี ร่วมเป็นเวลา 27 ปีเต็ม งานด้านการกุศล -ได้เข้าร่วมเป็นกรรมการวัด ทั้งวัดคูยาง วัดเสด็จ และวัดบาง ตลอดมา แต่ในระยะหลังจากปีพศ 2510 ได้เป็นกรรมการดูแลใกล้ชิด เฉพาะวัดบางซึ่งอยู่ติดกับบ้านพัก จนปี พ.ศ 2524 จึงไม่สามารถดูแล ช่วยเหลือได้ เพราะป่วย


110

-ในปี พ. ศ. 2558 ได้ อุ ทิ ศ ที่ ดิ น จ านวน 10 ไร่ 2 งาน ให้ เทศบาลเมืองกาแพงเพชร ใช้พื้นที่ก่อสร้างโรงเรียนเทศบาล 4 (อินทร์ - ชุ่ม อุปถัมภ์) ซึ่งเปิดเรียนอยู่จนในปัจจุบันนี้ -ในปีพ. ศ. 2529 เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2529 ได้โอน เงินสมทบทุนให้มูลนิธิวิทยาลัยครูกาแพงเพชรจานวน 50,000 บาท ซึ่ง ทางมูลนิธิได้จัดตั้งเป็นกองทุน “อินทร์ -ชุ่มดีสาร” ไว้ในมูลนิธิ -ใน พ.ศ 2530 - สร้างพระไตรปิฎกพร้อมตู้เก็ บ 1 ชุด ถวายวัดบาง มูลค่า 14,000 บาท -สร้างพระประธาน 1 องค์ พร้อมโต๊ะหมู่บูชาชุดใหญ่ 1 ชุดถวายวัดบาง มูลค่า 35,000 บาท -บริจาคเงินสมทบทุนสร้างศาลาวัดบางเพื่อสร้างเสา 3 ต้น มูลค่า 9,000 บาท -บริ จ าคเงิ น สมทบทุ น สร้ า งศาลาวั ด บาง 100,000 บาท (นางชม ร่วมบริจาค 1,000 บาท) การรับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ใ น ร ะ ห ว่ า ง เ ข้ า รั บ ร า ช ก า ร ตั้ ง รั บ พ ร ะ ร า ช ท า น เครื่องราชอิสริยาภรณ์ดังนี้ 1. เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย 2. เหรียญบรมราชาภิเษก 3. เหรียญจักรพรรดิมาลา


111

4. เหรียญชัยสมรภูมิ 5. เหรียญช่วยราชการภายใน ประวัติครอบครัว นายทองอินทร์ ดีสาร ได้สมรสกับนางชุ่ม วิเศษเนียม บุตรสาว นายเฮง นางแม้น วิเศษเนียม ณ ตาบลบ้านหม้อ บางตะนาวศรี อาเภอ เมือง จังหวัดนนทบุรี ในปี พ.ศ. 2475 และได้อยู่ร่วมกันมาจนปัจจุบัน ไม่มีบุตรธิดาด้วยกัน แต่ได้รับหลานสาวฝาแฝดของนางชุ่ม เป็นบุตรบุญ ธรรม 2 คน ตั้งแต่อายุ 1 ขวบ และได้เลี้ยงดูให้การศึกษา จนมีงานทา มีครอบครัวเป็นหลักฐานคือ 1 นางยุ พาพรรณ ผ่ องหิ รัญ สมรสกับ พันตารวจตรีสั มฤทธิ์ ผ่ อง หิรัญ 2 นางกัณธีรา สุรังคะมณีศิลป์ สมรสกับนายแพทย์บัณฑิต สุรังคะ มณีศิลป์ ไม่ถึงที่ตายก็ไม่วายชีวาวาด ถึงตายก็ต้องวายชีวาวัน

ใครพิฆาตเข่นฆ่าไม่อาสัญ ใครไม่ทันคิดร้ายก็ตายเอง

เตรียมตัวก่อนตาย เตรียม สร้างทางชอบไว้ หวังกุศล ตัว สุขส่งเสริมผล เพิ่มให้


112

ก่อน ตาย

แต่มฤตยูดล เผด็จที่ เทียวนา พรากจากลูกได้ สถิตย์ด้าว แดนเกษม หาบไปไม่ได้ ยศลาภหาบไปไม่ได้แน่ เว้นเสียแต่ต้นทุนบุญกุศล ทั้งสมบัติทั้งหลายให้ปวงชน ร่างของตนเขายังเอาไปเผาไฟ




Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.