รายงานผลการวิจัย คณะสถาปตยกรรมศาสตรและ การออกแบบสิ่งแวดลอม เรื่อง การศึกษาเปรียบเทียบการวางผังและลักษณะทางกายภาพระหวาง เมืองโบราณ สุโขทัยและเมืองโบราณเชียงใหม THE COMPARATIVE STUDY OF THE PLANNING AND PHYSICAL CHARACTERISTICS BETWEEN SUKHOTHAI AND CHIANGMAI ANCIENT CITY
ไดรับการจัดสรรงบประมาณวิจัย ประจําป ๒๕๕๓ จํานวนเงิน ๑๕,๐๐๐ บาท
ผูวิจัย นางสาวจรัสพิมพ บุญญานันต
งานวิจัยเสร็จสิ้นสมบูรณ วันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓
คํานํา การศึกษาเปรียบเทียบการวางผังและลักษณะทางกายภาพระหวางเมืองโบราณ สุโขทัยและเมืองโบราณเชียงใหมนี้ แรกเริ่มเกิดขึ้นจากความสนใจใครรูของผูวิจัยเอง เมื่ อ สั ง เกตเห็ น รู ป พรรณสั ณ ฐานที่ ค ล า ยคลึ ง กั น ของเมื อ งโบราณสุ โ ขทั ย และเมื อ ง เชียงใหม โดยเฉพาะอยางยิ่งรูปทรงของคูเมืองและกําแพงเมืองรูปสี่เหลี่ยมเกือบจัตุรัส ยิ่งเมื่อมองจากแผนที่ทางภูมิศาสตรก็ยิ่งสังเกตไดถึงความคลายคลึงกันของตําแหนงที่ตั้ง ทางภูมิศาสตรของเมือง ผูวิจัยจึงไดเดินทางไปสํารวจพื้นที่เบื้องตน และไดเห็นถึงความ ชัดเจนของลักษณะทางกายภาพของเมืองทั้งสองในรายละเอียด ทั้งความเหมือน ความ คลายคลึง และขอแตกตาง จึงไดจัดทําโครงการศึกษาวิจัยนี้ขึ้น โดยมีเปาหมายเพื่อจะ ขอสรุปของรูปแบบและลักษณะทางกายภาพที่คลายคลึงกัน และแตกตางกันระหวางการ วางผังเมืองโบราณทั้งสอง เปนการพัฒนาตอยอดองคความรูดานศาสตรในการวางผัง เมืองในประวัติศาสตร และอิทธิพลตางๆที่มีผลตอลักษณะทางกายภาพของเมือง การวิจัยนี้ไดเริ่มดําเนินการตั้งแตวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ และสิ้นสุดใน วันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๓ ทั้งนี้ทําการศึกษาโดยการเก็บขอมูลทุติยภูมิจาก เอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวของ และเก็บขอมูลปฐมภูมิโดยการสํารวจพื้นที่ศึกษา การ ถายภาพและการจดบันทึก จากนั้นจึงนําขอมูลมาวิเคราะหเปรียบเทียบเพื่อหาขอสรุป ดังกลาว ผู วิ จั ย หวั ง เป น อย า งยิ่ ง ว า การศึ ก ษาเปรี ย บเที ย บการวางผั ง และลั ก ษณะทาง กายภาพระหวางเมืองโบราณสุโขทัยและ เมืองโบราณเชียงใหม จะเปนประโยชนตอทั้ง สถาบั นการศึกษา และหนวยงานที่รั บผิดชอบและเกี่ยวของกับการพั ฒนาพื้นที่เมือง โบราณ เกิดประโยชนสูงสุดตอการอนุรักษและพัฒนาพื้นที่เมืองโบราณอันเปนมรดกทาง วัฒนธรรมของชนชาติสืบตอไป จรัสพิมพ บุญญานันต กันยายน ๒๕๕๓
กิตติกรรมประกาศ งานวิจัยนี้ถือกําเนิดขึ้นและดําเนินการไปไดดวยดีจนกระทั่งเสร็จสิ้นได ก็ดวย ความช ว ยเหลื อ จากหลายๆฝ า ย หน ว ยงานแรกที่ จ ะต อ งขอขอบคุ ณ คื อ คณะ สถาปตยกรรมศาสตรและการออกแบบสิ่งแวดลอม มหาวิทยาลัยแมโจ ที่สนับสนุนทุน การวิ จั ย (ได รั บ การจั ด สรรงบประมาณวิ จั ย ประจํ า ป ๒๕๕๓) รวมทั้ ง ขอบคุ ณ คณะกรรมการวิจัยของคณะตลอดจนเจาหนาที่ที่เกี่ยวของทุกทาน ที่ชวยเหลืออํานวย ความสะดวกดวยดีเสมอมา หน ว ยงานต อ มาที่ ต อ งขอขอบคุ ณ คื อ บริ ษั ท พี แอล ดี ไ ซน จํ า กั ด นํ า โดย อาจารย ดร. วีระพันธ ไพศาลนันท ที่กรุณาใหผูวิจัยไดรวมเดินทางไปศึกษาดูงานยัง เมืองโบราณนครธม เมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา อันเปนตนแบบของเมืองโบราณ ทั้งสองในงานวิจัยครั้งนี้ ทําใหผูวิจัยไดขอมูลภาพถายกลับมาประกอบการจัดทํารายงาน ฉบับสมบูรณ นอกจากนี้ตองขอขอบคุณพนักงานในบริษัท พี แอล ดีไซน จํากัด ผูรวม เดินทาง ที่ใหชวยเหลือในทุกดาน พรอมดวยมิตรไมตรีที่ดี ตลอดระยะเวลาที่เดินทางไป เก็บขอมูลทําการวิจัย ขอขอบคุณบุคคลในครอบครัวอันเปนที่รักยิ่งเริ่มจากพี่ชายของผูวิจัย คุณตอพงษ บุญญานัน ต ที่ก รุณ ารับ ภาระดู แลคุ ณพ อ ที่ป ว ยเป นอั ม พฤกษ แทนผู วิ จัย ระหว า งที่ เดิ น ทางไปลงพื้ น ที่ เ ก็ บ ข อ มู ล ทุ ก ครั้ ง ขอบคุ ณ น อ งชายของผู วิ จั ย ดร.ภาคภู มิ บุ ญ ญานั นต ที่ ค อยดู แ ลรั บ ส ง ในบางช ว งเวลาของการเดิ น ทาง และท า ยที่สุ ด นี้ ต อ ง ขอขอบคุณบุคคลที่สําคัญที่สุดในชีวิตคือคุณพอจํารัส และคุณแมสุวิมล บุญญานันต ซึ่ง คอยสนับสนุนใหกําลังใจในทุกๆเรื่องตลอดมา จรัสพิมพ บุญญานันต ผูดําเนินการวิจัย
สารบัญ คํานํา กิตติกรรมประกาศ สารบัญ สารบัญตาราง สารบัญภาพ บทคัดยอ Abstract
หนา (ข) (ค) (ง) (ฉ) (ช) ๑ ๓
บทที่ ๑ บทนํา ความเปนมาและความสําคัญของปญหา วัตถุประสงคของการวิจัย ขอบเขตการวิจัย ประโยชนทคี่ าดวาจะไดรับจากการวิจัย งบประมาณในการวิจัย ระยะเวลาในการดําเนินการวิจัย ขอจํากัดและปญหาในการทําวิจัย
๕ ๖ ๖ ๖ ๗ ๗ ๗
บทที่ ๒ การตรวจเอกสารและวรรณคดีที่เกี่ยวของ ความสําคัญเชิงประวัตศิ าสตรของเมืองโบราณสุโขทัยและเมืองเชียงใหม ๘ ทฤษฎีเกี่ยวกับการวางผังเมืองโบราณ ๑๑ บทที่ ๓ ระเบียบวิธวี ิจัย แหลงขอมูลงานวิจัย เครื่องมือที่ใชในการวิจัย วิธีการเก็บรวบรวมขอมูล วิธีการวิเคราะหขอมูล การประมวลผลขอมูล
๑๒ ๑๓ ๑๓ ๑๔ ๑๔
(จ) (จ)
สารบั ญ (ตญอ(ต ) อ) สารบั บททีบทที ่ ๔ ่ ผลของการศึ กษาวิ จัยและการอภิ ปรายปราย ๔ ผลของการศึ กษาวิ จัยและการอภิ การศึการศึ กษาเปรี ยบเทียยบเที บภูยมบภู ิหลัมงทางด านประวั ติศาสตร และศาสนา กษาเปรี ิหลังทางด านประวั ติศาสตร และศาสนา การศึการศึ กษาเปรี ยบเทียยบเที บลัยกบลั ษณะทางภู มิศาสตร กษาเปรี กษณะทางภู มิศาสตร การศึการศึ กษาเปรี ยบเทียยบเที บความเชื ่อทางศาสนากั บสัณบฐานของเมื อง อง กษาเปรี ยบความเชื ่อทางศาสนากั สัณฐานของเมื การศึการศึ กษาเปรี ยบเทียยบเที บลัยกบลั ษณะของกํ าแพงเมื องและคู เมืองเมือง กษาเปรี กษณะของกํ าแพงเมื องและคู การศึการศึ กษาเปรี ยบเทียยบเที บการแบ งพื้นงทีพื่ก้นารใช ที่ดินที่ดิน กษาเปรี ยบการแบ ที่การใช การศึการศึ กษาเปรี ยบเทียยบเที บระบบน้ ําและชลประทาน กษาเปรี ยบระบบน้ ําและชลประทาน
หนาหนา ๑๕ ๑๕ ๓๐ ๓๐ ๓๔ ๓๔ ๕๐ ๕๐ ๕๕ ๕๕ ๖๐ ๖๐
บททีบทที ่ ๕ ่ สรุ รายผล และข อเสนอแนะ ๕ ปสรุอภิ ป ปอภิ ปรายผล และข อเสนอแนะ ที่มาที่มประเด็ นปญนหา และขและข อมูลอพืมู้นลฐานของโครงการ า ประเด็ ปญหา พื้นฐานของโครงการ ผลการวิ จัย จัย ผลการวิ การอภิ ปรายผล การอภิ ปรายผล ปญหาที ่พบในการวิ จัย จัย ปญหาที ่พบในการวิ ขอเสนอแนะ ขอเสนอแนะ บรรณานุ กรมกรม บรรณานุ
๖๔ ๖๔ ๖๕ ๖๕ ๗๐ ๗๐ ๗๑ ๗๑ ๗๑ ๗๑ ๗๒ ๗๒
สารบัญตาราง ตารางที่ ๑ ๒ ๓
หนา
การเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพของเมืองโบราณสุโขทัย ๒๑ การเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพของเมืองโบราณเชียงใหม ๒๘ เปรี ย บเที ย บลั ก ษณะภู มิ ป ระเทศของเมื อ งโบราณสุ โ ขทั ย และเมื อ ง ๓๐ เชียงใหม
สารบัญภาพ ภาพที่
หนา
๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑ ๑๒ ๑๓ ๑๔ ๑๕ ๑๖ ๑๗ ๑๘ ๑๙ ๒๐ ๒๑ ๒๒
๘ ๙ ๑๐ ๑๗ ๑๘ ๑๘ ๑๘ ๒๕ ๒๖ ๓๒ ๓๓ ๓๕ ๓๖ ๓๖ ๓๗ ๓๗ ๓๗ ๓๙ ๓๙ ๔๐ ๔๑ ๔๔
พระพุทธรูปปางลีลาศิลปะสุโขทัย อนุสาวรียสามกษัตริยผูทรงรวมสรางเมืองเชียงใหม พระพุทธสิหิงค พระพุทธรูปศิลปะลังกา พระปรางคทวี่ ดั พระพายหลวง หนาบันพระปรางควัดพระพายหลวง ศาลตาผาแดง พระปรางคประธาน วัดพระศรีมหาธาตุเชลียง เจดียหลวง จ.เชียงใหม เวียงเจ็ดลิน เชิงดอยสุเทพ จ.เชียงใหม ลักษณะภูมิประเทศของเมืองเกาสุโขทัย ลักษณะภูมิประเทศของเมืองเชียงใหม พระโพธิสตั วอวโลกิเตศวร ปราสาทนครวัด ภาพจําลองของจักรวาลตามความเชื่อของพุทธศาสนานิกายมหายาน ทัศนียภาพโดยรวมของเมืองนครธม ปราสาทบายน ตั้งอยูที่ใจกลางเมืองนครธม รูปสลักใบหนาของพระเจาชัยวรมันที่ 7 ที่ปราสาทบายน พระปรางควัดพระพายหลวง ภาพถายทางอากาศเมืองเกาสุโขทัย วัดมหาธาตุตงั้ อยูบริเวณกลางเมืองเกาสุโขทัย วัดตระพังทองตั้งอยู บนเกาะกลางสระน้าํ หุนจําลองเขาพระสุเมรุ ทีว่ ดั พระธาตุหริภุญชัย จ.ลําพูน ภาพถายทางอากาศเมืองนครธม นครวัด บารายตะวันออกและบาราย ตะวันตก ๒๓ ภาพถายทางอากาศเมืองนครธม นครวัด ปราสาทบายน ปราสาทพนม บาเค็ง และบารายตะวันตก ๒๔ แสดงทิศของแนวแกนหลักของสิ่งปลูกสรางในเมืองสุโขทัยที่มีความ แตกตางกัน ๒๕ ศาลหลักเมือง เมืองเกาสุโขทัย
๔๔ ๔๖ ๔๗
(ช)
สารบัญภาพ (ตอ) ภาพที่ ๒๖ ๒๗ ๒๘ ๒๙ ๓๐ ๓๑ ๓๒ ๓๓ ๓๔ ๓๕ ๓๖ ๓๗
หนา ภาพถายทางอากาศเมืองเชียงใหม สภาพของคูเมืองสุโขทัยในปจจุบัน ประตูออทางทิศตะวันตกของเมืองสุโขทัย ประตูทาแพและกําแพงเมืองเชียงใหม ประตูทาแพและกําแพงเมือง มุมมองจากถนนราชดําเนิน การแบงพื้นที่การใชที่ดินของเมืองโบราณสุโขทัย การใชที่ดินภายในเขตคูเมืองเชียงใหมและพื้นที่ใกลเคียง พระเจดียวัดอินทขิล ภายในหอศิลปวัฒนธรรมเชียงใหม เสาอินทขิลในปจจุบัน ตั้งอยูภายในบริเวณวัดเจดียหลวง วิหารลายคําภายในวัดพระสิงค เขื่อนพระรวง เมืองโบราณสุโขทัย แนวคลองสงน้ําเขาเมืองจากคูเมืองโบราณสุโขทัย
๔๙ ๕๑ ๕๒ ๕๔ ๕๕ ๕๗ ๕๘ ๕๙ ๕๙ ๕๙ ๖๑ ๖๒
การศึกษาเปรียบเทียบการวางผังและลักษณะทางกายภาพระหวาง เมืองโบราณสุโขทัยและเมืองโบราณเชียงใหม THE COMPARATIVE STUDY OF THE PLANNING AND PHYSICAL CHARACTERISTICS BETWEEN SUKHOTHAI AND CHIANGMAI ANCIENT CITY จรัสพิมพ บุญญานันต๑ CHARASPIM BOONYANANT ๑
สาขาวิชาภูมิสถาปตยกรรม คณะสถาปตยกรรมศาสตรและการออกแบบสิ่งแวดลอม มหาวิทยาลัย แมโจ จังหวัดเชียงใหม
บทคัดยอ งานวิจัยนี้เปนการศึกษาเปรียบเทียบการวางผังและลักษณะทางกายภาพระหวาง เมืองโบราณสุ โ ขทั ย และเมื อ งโบราณเชี ย งใหม ซึ่ งเปนแหลงอารยธรรมที่ สําคั ญ ของ ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใตในอดีต และเปนราชธานีของอาณาจักรอันยิ่งใหญอัน ไดแกอาณาจักรสุโขทัยและอาณาจักรลานนา เมืองทั้งสองตางก็เปนถิ่นกอกําเนิดงาน ศิลปวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณงดงาม และทรงอิทธิพลอยางมากในภูมิภาคแถบนี้เปนเวลา ยาวนานหลายรอยป เปนที่ทราบกันดีวาพญามังรายเปนกษัตริยของลานนาผูทรงกอตั้ง เมืองเชียงใหม โดยนํารูปแบบมาจากผังเมืองสุโขทัยในยุคสมัยของพอขุนรามคําแหง มหาราช ดังนั้นลักษณะทางกายภาพของเมืองทั้งสองจึงคอนขางที่จะคลายคลึงกันอยาง เห็นไดชัด อยางไรก็ดี ยังมีปจจัยอื่นๆอีกหลายประการที่มีอิทธิพลตอรูปแบบ และ ลักษณะทางกายภาพของผังเมืองตลอดจนวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นเปนลําดับตอเนื่องผาน ชวงเวลาตางๆในประวัติศาสตร ยังผลใหเกิดลักษณะที่แตกตางกันของผังเมืองโบราณทั้ง สองแหงในรายละเอียด ในการศึกษาเปรียบเทียบนี้ มีวัตถุประสงคเพื่อหาขอสรุปของ รูปแบบและลักษณะที่คลายคลึงกัน และแตกตางกันระหวางเมืองโบราณทั้งสอง หัวขอ ตางๆ ที่ถูกนํามาศึกษาเปรียบเทียบประกอบดวย
๒
๑. ๒. ๓. ๔. ๕. ๖.
ภูมิหลังทางประวัตศิ าสตรและศาสนา ลักษณะทางภูมิศาสตร ความเชื่อทางศาสนากับสัณฐานของเมือง ลักษณะของกําแพงเมืองและคูเมือง การแบงพื้นที่การใชทดี่ ิน ระบบน้ําและชลประทาน
ทั้งนี้ทําการศึกษาโดยการเก็บขอมูลทุติยภูมิจากเอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวของ และเก็บขอมูลปฐมภูมิโดยการสํารวจพื้นที่ศึกษา การถายภาพและการจดบันทึก จากผล ของการเปรียบเทียบ ทําใหสามารถสรุปไดถึงปจจัยที่สําคัญที่มีอิทธิพลตอรูปแบบและ ลักษณะทางกายภาพ รวมไปถึงวิวัฒนาการของผังเมืองโบราณทั้งสองเมือง เริ่มตนจาก ความแตกตางทางดานสภาพภูมิศาสตรในระดับภูมิภาค อันสงผลใหเกิดความแตกตาง ของสภาพภูมิศาสตรในระดับทองถิ่น เมืองเชียงใหมมีความอุดมสมบูรณของแหลงน้ํา มากกวาเมืองสุโขทัย อันเปนผลทําใหเกิดความแตกตางกันของลักษณะพืชพรรณ การ ตั้งถิ่นฐานบานเรือน ระบบน้ําและการชลประทาน ปจจัยอีกประการหนึ่งที่มีอิทธิพลอยาง มากและสงผลตอลักษณะสัณฐานของเมืองก็คือความเชื่อทางศาสนา โดยเฉพาะอยางยิ่ง คติความเชื่อเรื่องจักรวาลในศาสนาพุทธนิกายวัชรยาน ซึ่งไดนํารูปแบบมาจากเมืองนคร ธม โดยนํ า มาปรั บ ใช ใ ห เ ข า กั บ คติ ค วามเชื่ อ ทางศาสนาของพื้ น ถิ่ น ของแต ล ะเมื อ ง อยางไรก็ดีศาสนาที่มีบทบาทมากที่สุดก็คือพุทธศาสนาลัทธิหินยานนิกาย ลังกาวงศ ในการกอสรางเมืองทั้งสองใหมีสัณฐานสี่เหลี่ยมเกือบจัตุรัส ตางตองอาศัยหลักดารา ศาสตร และคณิต ศาสตรที่ มีค วามเจริ ญก าวหน า ซึ่ง สันนิษ ฐานว าไดม าจากศาสนา พราหมณโดยผานราชครูและโหราจารยประจําราชสํานัก ลักษณะของคูเมืองและกําแพง เมืองทั้ง ๒ มีความคลายคลึงกันในเรื่องของรูปรางเทานั้น แตแตกตางกันมากในเรื่อง ของขนาด วัสดุที่ใชในการกอสราง ตําแหนงและรูปรางของประตูเมืองและปอมประตู เมื อ ง การวางตํ า แหน งพื้ นที่ ใ ชส อยของทั้ งสองเมืองมี ค วามคล า ยคลึงกั นในภาพรวม ภายนอกเขตกําแพงเมือง แตแตกตางกันในพื้นที่ในเขตกําแพงเมือง ซึ่งเปนไปตามหลัก ความเชื่อในเรื่องศาสนาและโหราศาสตร และตามปจจัยที่สําคัญในการตั้งถิ่นฐานนั่นคือ แหลงน้ํา การเปลี่ยนแปลงลักษณะและรูปแบบทางกายภาพของเมืองเชียงใหมเกิดขึ้น มากกวาเมืองสุโขทัย เนื่องจากเปนเมืองศูนยการการติดตอเชื่อมโยงกับเมืองตางๆใน พื้นที่ลุมแมน้ําปงไดสะดวก นอกจากนี้ยังมีชวงเวลาความเจริญรุงเรืองที่ยาวนานกวา เมืองสุโขทัยอีกดวย
๓
ABSTRACT This research was the comparative study of the physical characteristics between Sukhothai and Chiangmai ancient city which are important civilization sources of Southeast Asia Region. They were the capital cities of the great Sukhothai and Lanna Kingdom. Both cities are sources of unique and graceful art and culture that have played important roles in these regions for many centuries. As we all knows that Paya Mangrai, the first Lanna King, established Chiangmai, using Sukhothai ancient city planning during King Ramkhamhang era as a model. Therefore, physical characteristics of both ancient cities were distinctly similar. However, there were many other factors that influenced appearances, characteristics, and evolutions of their planning during a long period of time in the history. These resulted in the differences in details of their heir planning. The objective of this comparative study was to find summaries of the similarities and differences between the city planning appearances and characteristics of both ancient cities. Two cities were compared in the following subjects. 1. 2. 3. 4. 5. 6.
Historical and religious background Geography Religious beliefs and the cities’ forms Characteristics of the cities’ walls and moats Landuses planning Water and Irrigation system
The method of the thestudy was to collect secondary data from related documents, and also primary data from site surveying, photography, and notes. The conclusion from the comparison showed important factors that influenced appearances, characteristics, and evolution of those ancient cities’ planning. First, there were differences of geography in a regional level which resulted in the difference of the local geography. Chiangmai has more plentiful water resources than Sukhothai. As a result, they were different in plants, settlements, and water drainage systems. Another factor that influenced the cities’ forms were religious
๔
beliefs, especially, that about the universe of Wacharayana, a Buddhist doctrine from the Angkor Thom. It was applied to be consistent with the local religious beliefs of each city. However, the one playing the most important roles was the Hinayana Buddhism, the Langkawong Nikaya. To build the square shape cities, advance principles in astronomy and mathematics were used. Itwas was supposed that they came from Brahman Religious via the royal teachers and astrologers. The characteristics of both cities’ walls and moats were similar in shapes but different in sizes, materials, the locations and shapes of the cities’ doors and fortresses. The landuse planning of both cities were similar at the areas outside of the cities’ walls, but different at those inside which depended on the religious and astrology beliefs. It also depended on water resources which were an important factor for human settlements. There were more changes in the physical characteristics of Chiangmai city than those in Sukhothai ancient city. Because it has been the center that could conveniently link to other cities in Ping River basin. Moreover, it has had a longer flourish period than Sukhothai ancient city.
๕
บทที่ ๑ บทนํา ๑. ความเปนมาและความสําคัญของปญหางานวิจัย เมืองโบราณสุโขทัยและเมืองโบราณเชียงใหม ตางก็เปนแหลงอารยธรรมที่สําคัญ ของดินแดนสุวรรณภูมิในอดีต เมืองสุโขทัยเคยเปนราชธานีแหงแรกของราชอาณาจักร สยาม สวนเมืองเชียงใหมหรือเมืองนครพิงคนั้นเคยเปนราชธานีของอาณาจักรลานนา ทางตอนเหนือ เมืองทั้งสองตางก็เปนถิ่นกอกําเนิดงานศิลปวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ งดงาม และทรงอิทธิพลอยางมากในภูมิภาคแถบนี้เปนเวลายาวนานหลายรอยป เปนที่ ทราบกันดีวา พญามังรายเปนกษัตริยของลานนาผูทรงกอตั้งเมืองเชียงใหม โดยนํา รูปแบบมาจากผังเมืองสุโขทัยในยุคสมัยของพอขุนรามคําแหงมหาราช ดังนั้นลักษณะ ทางกายภาพของเมืองทั้งสองจึงคอนขางที่จะคลายคลึงกันอยางเห็นไดชัด อยางไรก็ดี ยังมีปจจัยอื่นๆอีกหลายประการที่มีอิทธิพลตอรูปแบบ และลักษณะทางกายภาพของผัง เมืองตลอดจนวิวัฒนาการที่เกิดขึ้นเปนลําดับตอเนื่องผานชวงเวลาตางๆในประวัติศาสตร ยังผลให เกิดลักษณะที่แตกตางกันของผังเมืองโบราณทั้งสองแห งในรายละเอียด ใน การศึ ก ษาเปรี ย บเที ย บนี้ มี วั ต ถุ ป ระสงค เ พื่ อ หาข อ สรุ ป ของรู ป แบบและลั ก ษณะที่ คลายคลึงกัน และแตกตางกันระหวางเมืองโบราณทั้งสองโดยทําการเปรียบเทียบใน หัวขอตางๆ ประกอบดวย ๑. ภูมิหลังทางประวัตศิ าสตรและศาสนา ๒. ลักษณะทางภูมิศาสตร ๓. ความเชื่อทางศาสนากับสัณฐานของเมือง ๔. ลักษณะของกําแพงเมืองและคูเมือง ๕. การแบงพื้นที่การใชทดี่ ิน ๖. ระบบน้ําและชลประทาน ทั้งนี้ทําการศึกษาโดยการเก็บขอมูลทุติยภูมิจากเอกสารทางวิชาการที่เกี่ยวของ และเก็บขอมูลปฐมภูมิโดยการสํารวจพื้นที่ศึกษา การถายภาพและการจดบันทึก จากผล ของการเปรียบเทียบ ทําใหสามารถสรุปไดถึงปจจัยที่สําคัญที่มีอิทธิพลตอรูปแบบและ ลักษณะทางกายภาพ รวมไปถึงวิวัฒนาการของผังเมืองโบราณทั้งสองเมือง อันจะเปน การชวยเสริมสรางความรูทางดานประวัติศาสตรของเมืองโบราณในราชอาณาจักรไทย ตอไป
๖
๒. วัตถุประสงคของโครงการวิจัย ๒.๑ เพื่ อหาข อสรุปของรู ปแบบและลัก ษณะทางกายภาพที่ ค ล า ยคลึ งกัน และ แตกตางกันระหวางการวางผังเมืองโบราณทั้งสอง ๒.๒ เพื่อทราบถึงองคความรูดานศาสตรในการวางผังเมืองในประวัติศาสตร และ อิทธิพลตางๆที่มีผลตอลักษณะทางกายภาพของเมือง ๒.๓ เพื่อใชเ ปนขอมู ลที่สําคั ญใหนักวิจัย นักศึกษา หน วยงานราชการ และ หนวยงานอื่นๆที่เกี่ยวของ ทําการคนควา นํามาตอยอดใชประโยชนตอไป ทั้งทางดาน การวิจัยและการศึกษา ๒.๔ เปนการเผยแพรขอมูลมรดกทางศิลปวัฒนธรรมของชาติ ๓. ขอบเขตของโครงการวิจัย ทําการเปรียบเทียบรูปแบบและลักษณะทางกายภาพของเมืองโบราณสุโขทัยและ เมืองเชียงใหมในหัวขอตางๆตอไปนี้ ๓.๑ ศึกษาเปรียบเทียบประวัติศาสตรและชวงระยะเวลาของการกอสรางและการ เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญ ๓.๒ ศึกษาลักษณะทางภูมิศาสตรกายภาพของสถานที่ตั้งเมือง ๓.๓ ศึกษาความเชื่อทางศาสนาที่มีอิทธิพลตอลักษณะสัณฐานของเมือง ๓.๔ ศึกษาลักษณะของคูเมืองและกําแพงเมือง ๓.๕ ศึกษาตําแหนงที่ตั้งของการใชประโยชนที่ดิน ๓.๖ ศึกษารูปแบบการวางระบบน้ําและการชลประทาน ๔. ประโยชนที่คาดวาจะไดรับ เชน การเผยแพรในวารสาร จดสิทธิบัตร ฯลฯ และ หนวยงานที่นําผลการวิจัยไปใชประโยชน ๔.๑ ได พั ฒ นาองค ค วามรู ใ นด า นศาสตร ใ นการสร า งเมื อ งโบราณที่ มี สั ณ ฐาน สี่เหลี่ยมในเอเชียตะวันออกเฉียงใต ซึ่งผลงานวิจัยและเอกสารตําราจะสามารถนําไปจด สิทธิบัตรได ๔.๒ หนวยงานทั้ งภาครั ฐและภาคเอกชนจะสามารถนํ าเอาข อมู ลที่ ไ ดนี้ ไป ประยุกตใชเพื่อการศึกษาอนุรักษปรับปรุงและพัฒนาภูมิทัศนเวียงโบราณเหลานี้ ซึ่งจะ กอใหเกิดประโยชนอยางยั่งยืนตอไปในอนาคต
๗
๔.๓ เปนการเผยแพรขอมูลและปลูกจิตสํานึกในคุณคาของมรดกทางวัฒนธรรม ของชาติใหกวางขวางยิ่งขึ้น ๕.
งบประมาณของโครงการวิจัย
๕.๑ ป ง บประมาณ ๒๕๕๓ ได รั บ งบประมาณอุ ด หนุ น การวิ จั ย จากคณะ สถาปตยกรรมศาสตรและการออกแบบสิ่งแวดลอม มหาวิทยาลัยแมโจ รวม ๑๕,๐๐๐ บาท จัดอยูในหมวดคาตอบแทน ๖. ระยะเวลาในการดําเนินการวิจัย เริ่มตั้งแตเดือนตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ สิ้นสุดเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๔๓ ๗. ขอจํากัดและปญหาที่พบในการวิจัย ๗.๑ เนื่องจากรูปแบบและลักษณะทางกายภาพเมืองโบราณทั้งสองเมืองนี้มี ความเกี่ยวของโดยตรงกับเมืองนครธม ประเทศกัมพูชา ผูวิจัยจึงมีความจําเปนที่จะตอง เดินทางไปสํารวจเก็บขอมูลที่ประเทศกัมพูชา ซึ่งตองใชเวลาและงบประมาณสนับสนุน มากกวาที่ประมาณการไวแตแรก
๘
บทที่ ๒
การตรวจเอกสารและวรรณคดีที่เกี่ยวของ ๑. ความสําคัญเชิงประวัติศาสตรของเมืองโบราณสุโขทัยและเมืองเชียงใหม
ภาพที่ ๑ พระพุทธรูปปางลีลาศิลปะสุโขทัย เปนงานประติมากรรมลอยตัวที่สวยงามมีเอกลักษณ เฉพาะตัว ไดรับการยกยองวาเปนงานพุทธศิลปอันล้ําเลิศระดับโลก
๙
ในบรรดานครหลวงของไทยที่ไดกอตั้ง รุงเรือง และบางก็เสื่อมสลายไปในแวน แควนดินแดนสยามนับแตอดีตมาจนถึงปจจุบันนี้ เมืองโบราณสุโขทัยและเมืองเชียงใหม นับไดวาเปนนครหลวงที่สําคัญและมีชื่อเสียงเปนอยางมาก ในยุคแหงความรุงโรจนเมือง ทั้ง สองต า งก็เ ป น ศู น ย ก ลางทางการปกครองการค า ศาสนาศิ ล ปะและวั ฒนธรรม ที่ มี อิทธิพลตออาณาจักรใกลเคียง เมืองโบราณสุโขทัยซึ่งเปนเมืองหลวงของแควนสุโขทัย นั้นมีชื่อเสียงในฐานะที่เชื่อกันมาแตเดิมวา เปนราชธานีแหงแรกของราชอาณาจักรไทย๑ ที่มีการพัฒนารูปแบบศิลปกรรมและสถาปตยกรรมที่สวยงามและมีเอกลักษณเฉพาะตัว (ภาพที่ ๑) จนองคการสหประชาชาติ ไดประกาศยกยองและขึ้นทะเบียนใหเปนเมือง มรดกโลก สวนเมืองเชียงใหมนั้น มีความยิ่งใหญในฐานะที่เปนเมืองหลวงของอาณาจักร ลานนาในอดีต และเปนเมืองที่มีวิวัฒนาการอยางตอเนื่องยาวนาน นับตั้งแตสมัยของ พญามังรายในพุทธศตวรรษที่ ๑๙ ผานความรุงโรจนและความเสื่อมสลายจากการศึก สงครามมานับครั้งไมถวน จนกระทั่งไดกลายมาเป นนครเชียงใหม เมืองที่ใ หญเปน อันดับ ๒ ของไทยในปจจุบัน เป นที่ ท ราบกันดี ว า ในป พ.ศ. ๑๘๓๙ ๒ พญามังราย กษั ต ริ ย แหงราชวงศ ลวจังกราชเปนผูกอตั้งเมืองเชียงใหมขึ้น โดยทรงทูลเชิญพระสหาย ๒ พระองค คือ พระรว งหรือพอขุนรามคําแหงเจาเมืองสุโขทัยในเวลานั้น และพญางําเมืองเจาเมือง พะเยา ใหเสด็จมารวมกันในการสรางเมืองเชียงใหม (ภาพที่ ๒) ดวยเหตุนี้การวางผัง เมืองเชียงใหม จึงไดรับอิทธิพลจากลักษณะของผังเมืองเกาสุโขทัยอยางเห็นไดชัด
ภาพที่ ๒ อนุสาวรียสามกษัตริย ผูทรงรวมสรางเมืองเชียงใหม ตั้งอยูบริเวณหนาหอ ศิลปวัฒนธรรมเชียงใหมใน ปจจุบัน ๑
ในปจจุบันพบหลักฐานทางโบราณคดีที่พิสูจนไดวามีเมืองโบราณหลายเมืองที่เกิดขึ้นทั้งในชวงกอน และในสมัยเดียวกับกรุงสุโขทัยที่มีสถานะเปนเมืองหลวงของแควน ซึงกระจัดกระจายอยูในบริเวณ นี้ ดู [๑๓] ศรีศักร วัลลิโภดม. (๒๕๔๐). นครหลวงของไทย. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ เมือง โบราณ. ๒ จากหลักฐานจารึกที่พบที่วัดเชียงมั่น ซึ่งจารึกขึ้นในสมัยของพระเจาติโลกราช
๑๐
โดยเฉพาะอยางยิ่งการวางตําแหนงทางภูมิศาสตรของเมือง และลักษณะทางดาน กายภาพโดยทั่วไปของกําแพงเมืองและคูเมือง อยางไรก็ดีแมวาลักษณะการวางผังเมือง ของเมื อ งทั้ ง สองจะมี ค วามคล า ยคลึ ง กั น ในระยะเริ่ ม แรก แต เ มื่ อ เวลาผ า นไปเกิ ด วิวัฒนาการของเมืองอันเนื่องมาจากเหตุและปจจัยตางๆที่เขามาเกี่ยวของ ยกตัวอยาง เชน การกอสรางเพิ่มเติมและการบูรณะปฏิสังขรณสิ่งปลูกสรางของเมืองโดยกษัตริยแตละ พระองค การเกิ ด ศึ ก สงครามคติ ค วามเชื่ อ อิ ท ธิ พ ลทางศาสนาและอิ ท ธิ พ ลทางด า น ภู มิ ศ าสตร เหล า นี้ ค อ ยๆหล อ หลอมให น ครหลวงอั น ยิ่ ง ใหญ ทั้ ง สองเกิ ด ลั ก ษณะทาง กายภาพที่โดดเดนเฉพาะตัวแตกตางกัน ซึ่งไดสงผลตอชีวิตและประวัติศาสตรความ เปนไปของเมืองที่แตกตางกันในที่สุด เมืองสุโขทัยนั้นคงความรุงโรจนอยูไดเพียง ๒ ศตวรรษ จากนั้นจึงคอยๆถูกลดบทบาทลงจนพนไปจากสถานะการเปนเมืองหลวงของ แควน ผูคนก็ตองอพยพทิ้งบานเมืองไปตั้งถิ่นฐานใหมทางทิศตะวันออกแถบริมแมน้ํา ยม๓ คงเหลือเพียงกลุมชุมชนขนาดเล็กที่ยังคงอาศัยอยูในพื้นที่เดิมสืบเนื่องตอกันมา จนถึงปจจุบัน งานศิลปกรรมและสถาปตยกรรมที่หลงเหลืออยูจึงมีลักษณะดั้งเดิมอยู คอนขางมาก ไมถูกตอเติมเสริมแตงโดยคนรุนหลังในสมัยตอๆมาเทาไหรนัก นับเปน มรดกอันล้ําคาแกการศึกษาดานประวัติศาสตรและศิลปะของชาติเปนอยางยิ่ง ในขณะที่ เมืองเชียงใหมไดพัฒนาตอเนื่องมา นับถึงปจจุบันได ๗๑๐ ปแลว ยังคงความสําคัญใน ฐานะที่เปนศูนยกลางความเจริญในทุกๆดาน มรดกอันล้ําคาทางพุทธศิลปยังคงปรากฏ ใหพบเห็นกันอยูทั่วไป (ภาพที่ ๓) แตก็อยูทามกลางปญหาและความวุนวายของสังคม เมืองในยุคโลกาภิวัตนในชว งตนพุทธศตวรรษที่ ๒๑ นี้ การเปลี่ยนแปลงของเมื อง เชียงใหมคงเกิดขึ้นอยางตอเนื่องและรวดเร็ว เมื่อเปรียบเทียบกับความงามที่สงบนิ่งของ เมืองโบราณสุโขทัย ความแตกตางที่มีตนกําเนิดมาจากความคลายคลึงของเมืองทั้งสองนี้ จึงเปนปริศนาที่ทาทายใหศึกษาคนควาตลอดมา
ภาพที่ ๓ พระพุทธสิหิงค พระพุทธรูปศิลปะลังกา ผลงาน สรางสรรคทางพุทธศิลปอันล้ําคา ถูกอัญเชิญมาประดิษฐาน ณ วัดพระสิงห จ.เชียงใหม ในสมัยของพระเจาแสนเมืองมา เมื่อกวา ๖๐๐ ป มาแลว ๓
บริเวณที่ตั้งของเมืองสุโขทัยในปจจุบัน
๑๑
๒. ทฤษฎีเกี่ยวกับการวางผังเมืองโบราณ สรัสวดี อองสกุล (๒๕๔๔) อธิบายถึงหลักสําคัญของระบบนิเวศเมือง ซึ่งมี บทบาทสําคัญในการสรางเมืองเชียงใหม ประกอบดวย ๒.๑ การเลือกสถานที่อันเหมาะสมกับการตั้งเมืองโดยพิจารณาสภาพภูมิศาสตร เชน พิจารณาแหลงน้ํา และทิศทางการไหลของน้ํา ลักษณะของความอุดมสมบูรณของ ดิน ความสูงต่ําของภูมิประเทศ ๒.๑.๑ การกําหนดเขตการใชประโยชนที่ดิน ๑) การกําหนดการใชประโยชนที่ดินใหถูกตองเหมาะสมกับระบบ นิเวศ เชน กําหนดพื้นที่ปา พื้นที่ชุมชนเมือง เปนตน ๒) การกําหนดเขตการใชประโยชนที่ดินตามคติความเชื่อ เชน คติ จักรวาล คติความเชื่อเรื่องทิศ เปนตน จะเห็นไดวามีปจจัยสําคัญๆหลายประการที่เกี่ยวของกับการวางผังเมืองโบราณ ประกอบดวย ลักษณะทางภูมิศาสตรกายภาพของสถานที่ตั้งเมือง การกําหนดเขตการ ใชประโยชนที่ดิน คติความเชื่อตางๆ เปนตน อรุณรัตน วิเชียรเขียว (๒๕๓๙) อธิบายองคประกอบของผังเมืองเชียงใหม ไดแก สัณฐานรูปรางของเมืองที่เปนรูปสี่เหลี่ยมเกือบจัตุรัส ลอมรอบไปดวยกําแพงและ คูน้ํา ภายในกําแพงเมืองแบงพื้นที่ใชสอยออกเปนพื้นที่ตางๆ ไดแก พื้นที่พระราชวัง หลวง พื้นที่ศาสนสถาน พื้นที่สนามหลวง พื้นที่ตลาด พื้นที่บานเรือนขุนนาง พื้นที่ บานเรือนราษฎร สวนภายนอกกําแพงเมืองสวนใหญเปนพื้นที่การเกษตรและปาไม เมื่อทําการสังเกตจากแผนผังของเมืองโบราณสุโขทัยและเมืองโบราณเชียงใหม ในเบื้องตน จะเห็นลักษณะทางกายภาพทั้งที่คลายคลึงกันและแตกตางกันในเบื้องตน เชน ลักษณะที่ตั้งทางภูมิศาสตรคลายคลึงกันแตมีความแตกตางกันในรายละเอียดที่พอ มองเห็นได ลักษณะสัณฐานของเมืองรูปสี่เหลี่ยมผืนผามีความคลายคลึงกัน ลักษณะ ของกําแพงเมืองมีความแตกตางกัน ตําแหนงที่ตั้งขององคประกอบตางๆของเมืองมี ความแตกตางกัน เปนตน
๑๒
บทที่ ๓
ระเบียบวิธวี จิ ัย การวิจัยครั้งนี้ซึ่งจัดได ได้ววา่าเป เป็นนการวิ การวิจจัยัยเชิเชิงงประวั ประวัตติศิศาสตร าสตร์ (Historical (HistoricalResearch) Research), เพื่อคนควาหาขอเท็จจริงที่เกิดขึ้นในอดีต มาจนถึงปจจุบัน ทําการศึกษารูปแบบและ ลักษณะของการวางผังเมืองโบราณสุโขทัยและเมืองเชียงใหม ทั้งความคลายคลึงกัน และความแตกตางกัน รวมทั้งอิทธิพลที่กอใหเกิดความเหมือนและความแตกตางเหลานั้น โดยอาศัยหลักฐานทั้งทางดานโบราณคดีที่มีอยู หลักฐานจากการสํารวจ และหลักฐาน จากเอกสารที่เกี่ยวของ ถือเปนการวิจัยประยุกต (applied research) ดําเนินการศึกษา คนควาเพื่อหาความรูใหม ๆ โดยนําเอาความรูและวิธีการตาง ๆ ที่ไดจากการวิจัยขั้น พื้นฐานมาประยุกตใชอีกตอหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อเพิ่มพูนความรู และในการวิจัยในขั้นตอๆไป ผู วิ จั ย เริ่ ม ทํ า การค น คว า จากเอกสารของบรรดานั ก ปราชญ ร าชบั ณ ฑิ ต ที่ ไ ด ตี พิ ม พ เผยแพร พบวามีผูสนใจคนควาเกี่ยวกับเรื่องราวของเมืองทั้งสองอยางมากมาย แตละ ทานตางก็มีขั้นตอนการศึกษาที่ละเอียดลึกซึ้ง และแสดงปรัชญาประกอบหลักฐานทาง ประวัติศาสตรและโบราณคดีประกอบเอาไวชัดเจน ความรูเหลานี้มีทั้งที่ไดพบขอพิสูจนที่ ชัดเจนแลว และมีอีกมากที่ยังไมสามารถหาขอสรุปที่ชัดเจนได ผูเขียนจึงไดทําการ รวบรวมข อมู ล เหล า นั้น รวมทั้ ง ได ห าเอกสารแผนผั ง และภาพถ า ยประกอบเพิ่ ม เติ ม นํ า มาเปรี ย บเที ย บระหว า งทั้ ง สองเมื อ ง แม จ ะไม ค าดหวั ง ว า จะพบข อ มู ล แปลกใหม ทางดานประวัติศาสตร ศิลปะ และโบราณคดี แตการเปรียบเทียบครั้งนี้อาจทําใหเกิด ความเขาใจที่กระจางชัดมากยิ่งขึ้น เกี่ยวกับอิทธิพลสําคัญที่สงผลตอวิวัฒนาการของนคร หลวงโบราณแหงราชอาณาจักรไทยทั้งสองแหง
รายละเอียดวิธีดําเนินการวิจัยคณะผูวิจัยไดดําเนินการตามขั้นตอน ดังนี้ ๑. แหลงขอมูลการวิจัย
ไดแก
จากวั ต ถุป ระสงค ก ารวิ จัย คณะผูวิ จัยได กําหนดแหลงข อมู ล ออกเปนสองกลุ ม
๑๓
๑.๑ แหลงขอมูลทุติยภูมิ แหลงขอมูลที่เกี่ยวของกับเมืองโบราณสุโขทัยและเมืองเชียงใหม ตามหัวขอ ที่จะนํามาเปรียบเทียบ ไดแก ขอมูลที่เกี่ยวของกับภูมิหลังทางประวัติศาสตรและศาสนา ลักษณะทางภูมิศาสตร ความเชื่อทางศาสนากับสัณฐานของเมือง ลักษณะของกําแพง เมื อ งและคู เ มื อ ง การแบ ง พื้ น ที่ ก ารใช ที่ ดิ น และระบบน้ํ า และชลประทาน โดยมี แหลงที่มาของขอมูลจาก หองสมุดหลายแหงในประเทศ แหลงขอมูลออนไลน อุทยาน ประวั ติ ศ าสตร สุ โ ขทั ย ในรูป แบบของขอ มูล จากเอกสาร แผนงาน แผนที่ แผนผั ง ภาพถายทางอากาศ ตํารา เอกสาร และงานวิจัยที่เกี่ยวของ ๑.๒ แหลงขอมูลปฐมภูมิ ไดแกแหลงขอมูล ณ ตัวเมืองโบราณโดยตรง ประกอบดวยเมืองโบราณสุโขทัย เมืองเชียงใหม และเมืองนครธม ในรูปของภาพถาย ภาพวาด สมุดบันทึก ๒. เครื่องมือที่ใชในการวิจัย เครื่องมือที่ผูวิจัยใชในการเก็บขอมูล ไดแก การสํารวจ และการสังเกตโดยตรง แบบไมมีสวนรวม (Non-Participation Observation) โดยใชเครื่องมือคือกลองถายภาพ การวาดภาพ และการจดบันทึก เพื่อสํารวจองคประกอบของสภาพแวดลอมทางกายภาพ ในเมื อ งโบราณสุโขทัย เมื องเชีย งใหม และเมื องนครธม ไดแก สั ณ ฐานของเมื อ ง กําแพงเมือง และประตูเมือง การวางตําแหนงพื้นที่ใชสอยตางๆภายในเมือง ตลอดจน รูปแบบการจัดการระบบน้ําและชลประทาน ๓. วิธีการรวบรวมขอมูล ๓.๑ การรวบรวมขอมูลทุติยภูมิ เปนการรวบรวมจากเอกสาร หนวยงานที่เกี่ยวของ สําเนาเอกสารและจด บันทึก จากนั้นแยกขอมูลทั้งหมดออกเปนหมวดหมูตามหัวขอที่จะเปรียบเทียบ ๓.๒ การรวบรวมขอมูลจากการสํารวจและสังเกตการณภาคสนาม ใชการจดบันทึก และการถายภาพ สภาพแวดลอมทางดานกายภาพของ เมืองโบราณสุโขทัย เมืองเชียงใหม และเมืองนครธม
๑๔
๔. วิธีการวิเคราะหขอมูล คณะผูวิจัยทําการวิเคราะหขอมูล โดยนําขอมูลที่ศึกษาจากเอกสาร หนังสือ และ งานวิ จั ย ที่ เ กี่ ย วข อ ง และนํ า มาประมวลผลการวิ เ คราะห ร ว มกั บ ข อ มู ล ที่ ศึ ก ษาจาก ภาคสนามไดแก การสํารวจและการสังเกตการณ ทําการวิเคราะหเปรียบเทียบตาม ประเด็นการจัดเก็บขอมูลตามหัวเรื่องในเครื่องมือในการวิจัย ๕. การประมวลผลขอมูล เปนการประมวลผลขอมูลจากการศึกษาและการวิเคราะหขอมูลทุติยภูมิ ขอมูล จากการสั ง เกตการ และข อ มู ล จากการสํ า รวจ นํ า มาประมวลผลร ว มกั น เพื่ อ เปรียบเทียบรูปแบบและลักษณะทางกายภาพระหวางเมืองโบราณสุโขทัย และเมือง เชียงใหม โดยแยกตามหัวขอที่กําหนด โดยใชคําบรรยายประกอบกับ แผนที่ ภาพถาย ทางอากาศ และภาพถายใหเห็นชัดเจนและเขาใจงาย
๑๕
บทที่ ๔ ผลของการศึกษาวิจัยและการอภิปราย ๑. การศึกษาเปรียบเทียบภูมิหลังทางดานประวัติศาสตรและศาสนา ลักษณะทางดานกายภาพของเมืองโบราณ ที่ยังคงหลงเหลือใหเห็นเปนประจักษ พยานแหงความเจริญรุงเรืองในอดีตที่ชัดเจน คือ คูเมือง กําแพงเมือง ศาสนสถาน และศาสนวัตถุ สวนอาคารที่เปนที่พักอาศัยหรือแมแตพระราชวังในสมัยกอนนั้น นิยม กอสรางดวยไม จึงผุพังไปตามกาลเวลา ดังนั้นการอธิบายภู มิหลังทางประวัติ ศาสตร เพื่อใหเขาใจวิวัฒนาการของการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพของเมือง จึงตอง แสดงควบคูไปกับอิทธิพลทางศาสนาและลัทธิตางๆที่มีบทบาทสําคัญในชวงนั้นๆ ๑.๑ ภูมิหลังทางดานประวัติศาสตรและศาสนาของเมืองเกาสุโขทัย เมืองโบราณสุโขทัย ถือกําเนิดกอนเมืองเชียงใหมประมาณ ๑ ศตวรรษ คือในราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๗ เปนการเกิดขึ้นอยางชาๆอยางคอยเปนคอยไปจาก การกอตัวของชุมชน ตามแนวเสนทางการคาขายระหวางชุมชนชาวไทเชื้อสายลาวกาว ในบริเวณที่ราบลุมแมน้ําโขงทางทิศตะวันออกเฉียง เหนือ และชุมชนมอญที่ตั้งถิ่นฐานอยู บริเวณอาวเมาะตะมะทางทิศตะวันตก๔ ชาวลาวกาวเดินทางคาขายบนเสนทางแหงนี้ และมีบางสวนที่ไดตั้งถิ่นฐานบนพื้นที่ที่เหมาะสมแกการอยูอาศัย เกิดเปนชุมชนขนาด เล็กกระจายอยูตามเสนทาง ในชวงระยะเวลาเดียวกันนี้อาณาจักรขอมเมืองพระนคร กําลังเจริญเติบโตแผอาณาเขตและอิทธิพลออกมาทางตะวันออกของสยามประเทศโบราณ ซึ่ ง เมื อ งโบราณสุ โ ขทั ย ในยุ ค สร า งบ า นแปงเมื อ งก็ ไ ด รั บ อิ ท ธิ พ ลทางด า นศาสนาและ วัฒนธรรมของขอมบางสวนเชนกัน ตอมาในชวงปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ อํานาจของ ขอมจึงเสื่อมสลายลงไป พรอมๆกับการเติบโตรุงเรืองขึ้นของราชอาณาจักรสุโขทัย เรา สามารถแบงชวงการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพของเมืองเกาสุโขทัยออกไดดังนี้ ชวงที่ ๑ ชวงตั้งถิ่นฐาน ในปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๗ เมื่อคนไทเชื้อสายลาวจากทางลุมแมน้ําอู ลุมแมน้ําของบางสวน ไดอพยพยาย ถิ่นมารวมตัวจัดตั้งเปนชุมชนขนาดใหญ โดยมีศูนยกลางอํานาจอยูที่หัวหนาชุมชนซึ่ง ๔
[๖] ธิดา สาระยา. (๒๕๓๙). อารยธรรมไทย กรุงเทพฯ: สํานักพิมพเมืองโบราณ.
๑๖
เรียกกันวาขุน ชนเผาไทพื้นถิ่นเปนกลุมคนที่มีความเชื่อในจิตวิญญาณ และสิ่งเหนือ ธรรมชาติ นับถือผีบาน ผีเรือน และผีบรรพบุรุษ ในชวงตั้งถิ่นฐานนี้คาดวาอิทธิพล ความเชื่อทางพุทธศาสนาลัทธิหินยาน ไดแผขยายมาจากมอญบางแลว เนื่องจากศาสนา พุทธไดเจริญรุงเรืองในดินแดนสุวรรณภูมิมาเนิ่นนานตั้งแตพุทธศตวรรษที่ ๖ แตอยางไร ก็ดีไมปรากฏพบหลักฐานทางโบราณคดีของการสรางศาสนสถานในชวงนี้ ซึ่งหากมีก็คง จะเป น อาคารที่ ถู ก สร า งขึ้ น ง า ยๆโดยใช โ ครงสร า งไม จึ ง ไม เ หลื อ ร อ ยรอยปรากฏใน ปจจุบัน ชวงที่ ๒ ชวงเริ่มสรางเมือง ในระหวางพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ตรงกับสมัยของ พอขุนศรีนาวนําถม เปนระยะที่กรุงสุโขทัยไดรับอิทธิพลความเชื่อจากพระพุทธศาสนา ลัทธิมหายาน และศาสนาพราหมณจากขอมเมืองพระนคร โดยผานมาทางเมืองลพบุรี ในสมัยของพระเจาสุริยวรมันที่ ๗ กษัตริยผูยิ่งใหญแหงเมืองพระนคร (๑๗๒๔๑๗๖๒) ขอมไดแผขยายอิทธิพลมาถึงลุมแมน้ําเจาพระยา โดยยึดไดเมืองละโวเปนเมือง หนาดานที่สําคัญ จากนั้นจึงไดมีความพยายามที่แผขยายอํานาจทางการเมืองขึ้นมาทาง ตอนเหนือ ตามเสนทางทางการคาจากเมืองละโวขึ้นมายังดินแดนทางตอนเหนือที่มีอยู เดิม จากหลักฐานหลักศิลาจารึกที่วัดพระพายหลวงระบุวา “ผีฟา (เจาเมือง) ยโสธรปุระ (เมืองพระนคร) ไดพระราชธานพระนางศีขรมหาเทวี มาใหพอขุนผาเมือง พระราชโอรส ของพอขุนศรีนาวนําถม ผูครองเมืองสุโขทัยในยุคแรกๆ พรอมดวยตําแหนงกมรเตงศรีบ ดินทราทิ ต ย ๕ นั่นยื น ยั น ได วาผู นํ าชุมชนในยุคนี้ ไดยอมรั บ พั นธไมตรี แ ละพระราช อํานาจทางการเมืองของกษัตริยขอมโดยผานการสมรสขามเมือง ดังที่ปรากฏกลาวอาง ในจารึกที่ปราสาทพระขรรควา๖ “แดผูที่มีความมั่งคั่งสมบูรณ ที่พระองคไดพระราชทาน ใหแลว พระองคก็ยังพระราชทานพระราชธิดาที่ทรงศิริโฉมใหเสกสมรสดวย”๗ ทั้งสอง เมืองนาจะมีสัมพันธไมตรีที่ดีตอกันมาตั้งแตกอนหนานี้ก็เปนได ดังภาพสลักกองทัพชาว สยามที่ไปชวยรบกับพวกจามในสมัยของพระเจาสุริยวรมันที่ ๒ (พ.ศ. ๑๖๕๖-๑๖๙๓) บนระเบี ย งภาพทิ ศ ตะวั น ตกฝง ใต ข องนครวัด ด ว ยเหตุนี้ อิท ธิ พ ลของศิ ล ปกรรมและ สถาปตยกรรมแบบขอม จึงไดแผขยายมายังเมืองสุโขทัย มีการสรางศาสนสถานทาง ๕
[๑๕] ศิลปากร, กรม. (๒๕๒๕) พระบรมราชานุสาวรีย พอขุนรามคําแหงมหาราช และรวม เรื่องเมืองสุโขทัย. กรุงเทพ: กองโบราณคดีและประวัติศาสตร กรมศิลปากร. ๖ จารึกในสมัยของพระเจาสุริยะวรมันที่ ๗ พบที่ปราสาทพระขรรคซึ่งกอสรางในป พ.ศ. ๑๗๓๔ ๗ [๑๑] ยอรช เซเดส. (ปราณี วงษเทศ ผูแปล). (๒๕๔๖). เมืองพระนคร นครวัด นครธม. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ มติชน.
๑๗
พุทธศาสนาลัทธิมหายานขึ้นเพื่อเปนที่เคารพสักการะและเปนศูนยกลางของเมือง คือวัด พระพายหลวง (ภาพที่ ๔-๕) และศาสนสถานอื่นๆ เชน ศาลตาผาแดง (ภาพที่ ๖) งานกอสรางอื่นๆที่เห็นไดชัดวาไดรับอิทธิพลจากพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ก็คือกําแพง เมืองและคูเมืองรูปสี่เหลี่ยมผืนผา ซึ่งนาจะสรางขึ้นเพื่อเปนการขยายเมืองจากเดิมซึ่งเคย มีศูนยกลางอยูที่วัดพระพายหลวงทางทิศเหนือ เมื่อจํานวนประชากรของเมืองมีเพิ่มมาก ขึ้น และการปกครองระบบสมบูรณาญาสิทธิราชเริ่มกอรูปกอรางขึ้นในสุโขทัย๘ การ ขยายเมืองในชวงนี้นาจะเกิดขึ้นพรอมๆกับการเสื่อมอิทธิพลของขอมเมืองพระนคร๙ ใน ตอนปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ลักษณะของการสรางเมืองไดรับอิทธิพลจากลักษณะการ วางผังเมืองและ ศาสนสถานของนครธมอยางชัดเจน ซึ่งจะอธิบายในรายละเอียดใน ภายหลัง
ภาพที่ ๔ พระปรางค ที่ วั ด พระพายหลวง ศู น ย กลางเมื อ ง แ ห ง แ ร ก ข อ ง สุโขทัย
๘ ๙
ไดรับอิทธิพลจากขอมเมืองพระนคร หลังจากการสิ้นพระชนมของพระเจาชัยวรมันที่ ๗ ประมาณป พ.ศ. ๑๗๖๒
๑๘
ภาพที่ ๕ หนาบันพระปรางค วัดพระพายหลวงมี ลักษณะคลายที่พระ ปรางคสามยอด จ. ลพบุรี
ภาพที่ ๖ ศาลตาผาแดง เปนโบราณสถาน ตามแบบศิลปะเขมรสมัยพระเจาสุริยวรมัน ที่ ๒ พุทธศตวรรษที่ ๑๗
ภาพที่ ๗ พระปรางคประธาน วัดพระศรี มหาธาตุ เ ชลี ย ง เมื อ งสํ า คั ญ เมื อ งหนึ่ ง ของ แควนสุโขทัย
๑๙
อยางไรก็ดีในขณะเดียวกันอิทธิพลความเชื่อของพุทธศาสนาลัทธิหินยานที่แพร มาจากเมืองมอญก็ยังคงอยู ดังหลักฐานปรากฏในศิลาจารึกวัดศรีชุม๑๐ แหงเมืองสุโขทัย ที่กลาววาในสมัยของพอขุนศรีนาวนําถมมีการสรางพระธาตุเจดียขึ้นตามเมืองสําคัญทั้ง ๔ เมือง ของแควนสุโขทัย๑๑ (ภาพที่ ๗) ชวงที่ ๓ ชวงแหงความเจริญรุงเรือง อยูในชวงตั้งแตปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ในสมัยพอขุนศรีอินทราทิตย ไปจนถึงตนพุทธศตวรรษที่ ๒๐ เมื่อสิ้นสุดสมัยพระ มหาธรรมราชาลิไท (พ.ศ. ๑๙๑๓) หลังจากพอขุนศรีนาวนําถมสิ้นพระชนม พอขุนบางกลางหาวไดรวมมือกับพอ ขุนผาเมืองขับไลขอมสบาดโขลญลําพง ซึ่งเขามาครอบครองเมืองอยูในเวลานั้นออกไป พอขุนบางกลางหาวไดสถาปนาขึ้นเปนกษัตริยครองกรุงสุโขทัยทรงพระนามวาพอขุนศรี อินทราทิตย ในชวงเวลาดังกลาวขอมเมืองพระนครไดเสื่อมอํานาจลง และเนื่องจากขอม ไดแผอิทธิพลมาสูแควนสุโขทัยในชวงระยะเวลาอันสั้น ดังนั้นเมื่อขอมเสื่อมอํานาจ พุทธ ศาสนาลัทธิหินยานซึ่งนับถือกันมาแตเดิมจึงกลับเขามามีอิทธิพลอีกครั้ง รวมไปถึงคติ ความเชื่อเรื่องจิตวิญญานของคนไทพื้นถิ่น เราสามารถแบงอิทธิพลของพุทธศาสนาที่ ไดรับออกเปน ๒ ชวงที่แตกตางกันกลาวคือ ๓.๑ ชวงที่ไดรับอิทธิพลจากพุทธศาสนาลัทธิหินยานนิกายลังกาวงศ ซึ่งเผยแพรขึ้นมาจากเมืองนครศรีธรรมราช เริ่มตั้งแตรัชสมัยของพอขุนรามคําแหง มหาราช (พ.ศ. ๑๘๒๒-๑๘๖๐) ไปจนสิ้นสุดรัชสมัยของพญางั่วนําถม (พ.ศ. ๑๘๘๓๑๘๙๐) ในสมั ย พ อ ขุ น รามคํ า แหง พระองค ท รงโปรดให นิ ม นต พ ระมหาเถร สั ง ฆราชและคณะสงฆ จ ากนครศรี ธ รรมราชให ขึ้น มาเผยแพรพ ระพุ ท ธศาสนาที่ เ มื อ ง สุโขทัย พระองคยังไดโปรดใหกอสรางวัดในเขตอรัญญิกในแถบเชิงเขาหลวงทางทิศ ตะวันตกของเมือง จากศิลาจารึกหลักที่ ๑ แสดงใหเห็นวาเมืองสุโขมัยไดมีการวางผัง เอาไวแลวอยางเปนระเบียบเรียบรอยในสมัยของพระองค อิทธิพลของพุทธศาสนาลัทธิ
๑๐
จารโดยสมเด็จพระมหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนีศรีรัตนลังกาทีปมหาสามี เมื่อประมาณ ป พ.ศ. ๑๘๘๐-๑๙๑๐ ๑๑ [๑๓] ศรีศักร วัลลิโภดม. (๒๕๔๐). นครหลวงของไทย. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ เมืองโบราณ.
๒๐
หินยานนิกายลังกาวงศจากเมืองนครศรีธรรมราช ยังคงสืบเนื่องตอมาจนกระทั่งเขาสู รัช สมัยของพระมหาธรรมราลิไท กษัตริยองคที่ ๖ แหงราชวงศพระรวง ๓.๒ ชวงที่ไดรับอิทธิพลจากพุทธศาสนาลัทธิหินยานนิกายลังกาวงศ ซึ่ ง เผยแพร ขึ้ น มาจากเมื อ งพั น ๑๒ อยู ใ นรั ช สมั ย ของพระมหาธรรมราชาลิ ไ ท (พ.ศ. ๑๘๙๐-๑๙๑๓) พระมหาธรรมราชาลิไท ทรงมีศรัทธาแรงกลาในพระพุทธศาสนา และ ทรงศึกษาพระพุทธศาสนามาแตเดิมกอนขึ้นครองราชย พระสงฆที่มีบทบาทสําคัญในการ เผยแพรพระศาสนาคือ พระสุมนเถระ ซึ่งไดเดินทางไปศึกษาพระไตรปฎกที่นครพัน นอกจากนี้พระองคยังไดอัญเชิญพระมหาสามีสังฆราช พระสงฆผูทรงความรูจากนครพัน มาจํ า พรรษาที่เ มื อ งสุ โขทัย อี กด ว ย ในสมั ยนี้ มีก ารก อสรา งพุ ท ธศาสนสถานเอาไว มากมาย และไดทรงเผยแพรพระราชอํานาจในทางธรรมไปทั่วแควนสุโขทัย ดวยการ สรางพระมหาธาตุเจดียไวตามเมืองตางๆ และทรงประดิษฐานรอยพระพุทธบาทจําลองที่ เขาสุมนกูฎ เมืองสุโขทัยอีกดวย ชวงที่ ๔ ชวงที่ตกอยูภายใตอิทธิพลทางการเมืองของกรุงศรีอยุธยา เริ่ม ตั้งแตรัชสมัยของพระมหาธรรมราชาที่ ๒ (พ.ศ. ๑๙๑๑-๑๙๔๓) จนถึงเมื่อกรุงสุโขทัย ถูกผนวกเขากับกรุงศรีอยุธยา ในรัชสมัยของพระมหาธรรมราชาที่ ๔ บรมปาล(พ.ศ. ๑๙๖๒) ในสมั ย นี้ ก รุ ง สุ โ ขทั ย ยั ง คงได รั บ อิ ท ธิ พ ลจากพุ ท ธศาสนาลั ท ธิ หิ น ยานนิ ก าย ลั ง กาวงศ แต มี ก ารแลกเปลี่ ย นรู ป แบบและลั ก ษณะทางศิ ล ปะ วั ฒ นธรรม และ สถาปตยกรรม กับกรุงศรีอยุธยา เมื่อกรุงศรีอยุธยาแผขยายอํานาจขึ้นมาเหนือแควน สุโขทัย มีการบูรณะปฏิสังขรณและตอเติมวัดตางๆ เพิ่มเติม ชวงที่ ๕ ชวงที่กรุงสุโขทัยถูกผนวกรวมเปนสวนหนึ่งของราชอาณาจักร กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยา เริ่ ม ตั้ ง แต เ มื่ อ สิ้ น สุ ด ราชวงศ พ ระร ว ง (พ.ศ. ๑๙๖๒) จนกระทั่ ง กรุงศรีอยุธยาเสียแกพมา (พ.ศ. ๒๓๑๐) เปนยุคสมัยที่กรุงสุโขทัยกลายเปนเมืองหนา ดานในการทําสงคราม ทั้งระหวางกรุงศรีอยุธยากับลานนา ระหวางกรุงศรีอยุธยากับ กรุงหงสาวดี รวมไปถึงศึกสงครามภายในเพื่อแยงชิงราชสมบัติกันเอง ในสมัยนี้เกิด พันธไมตรีผูกพันเกี่ยวดองเปนญาติกัน ระหวางราชวงศสุโขทัยและราชวงศสุพรรณภูมิ ๑๒
ปจจุบันคือเมืองผาอัน อยูในประเทศพมา หางจากอําเภอแมสอด จังหวัดตาก ไปทางทิศ ตะวันตก ประมาณ ๑๐๐ กิโลเมตร
๒๑
ซึ่งภายหลังไดขึ้นเปนใหญในกรุงศรีอยุธยา นับเปนยุคสมัยที่มีแตความวุนวายเนื่องจาก สงครามและความขัดแยง เมื่อกรุงศรีอยุธยาเสียแกพมาทั้ง ๒ ครั้ง กรุงสุโขทัยก็ได กลายเปนเมืองรางไป โดยครั้งแรกรางไป เปนระยะเวลา ๘ ป (พ.ศ. ๒๑๒๗-๒๑๓๕) และเริ่มมีการฟนฟูบูรณะเมืองขึ้นใหม ในสมัยของพระศรีเสาวราช ไดทําการปรับปรุงคู เมืองและกําแพงเมืองใหแนนหนา แข็งแรงขึ้น ตอมาเมืองไดรางอีกครั้งเมื่อเสียคราวเสีย กรุ ง ครั้ ง ที่ ๒ ในป พ.ศ. ๒๓๐๘ จนกระทั่ ง ในป พ.ศ. ๒๓๒๙ ในสมั ย ของ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟาจุฬาโลก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกลาใหยายเมืองมาตั้ง ใหมที่บานธานี ริมฝงแมน้ํายมในปจจุบัน จึงเปนอันสิ้นสุดความรุงเรืองของเมืองเกา สุโขทัยนับแตนั้นเปนตนมา ตารางที่ ๑ ชวงการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพของเมืองโบราณสุโขทัย ชวงที่
เวลา
ชวงที่ ๑ ชวงตั้งถิ่นฐาน
ปลายพุทธ ศตวรรษที่ ๑๗
ผูปกครอง/รัช สมัย หัวหนาชุมชนซึ่ง เรียกกันวาขุน
ชวงที่ ๒ ชวงพุทธ ชวงเริ่มสรางเมือง ศตวรรษที่ ๑๘
พอขุนศรีนาวนํา ถม
ชวงที่ ๓ ชวงแหงความ เจริญรุงเรือง
ตั้งแตรัชสมัยพอ ขุนศรีอินทรา ทิตย - สิ้นสุด สมัยพระมหา ธรรมราชาลิไท (พ.ศ. ๑๙๑๓)
ปลายพุทธ ศตวรรษที่ ๑๘ ตนพุทธศตวรรษ ที่ ๒๐
อิทธิพลทาง ศาสนา/ความเชิ่อ
ผีบาน ผีเรือน และผีบรรพบุรุษ
ลักษณะที่สําคัญ
อาคารถูกสรางขึ้น งายๆโดยใช โครงสรางไม พระพุทธศาสนา ลักษณะของการ สรางเมืองและ ลัทธิมหายาน และศาสนา ศาสนสถานไดรับ พราหมณจากขอม อิทธิพลจาก เมืองพระนคร ลักษณะการวาง โดยผานมาทาง ผังเมืองและ เมืองลพบุรี ศาสนสถานของ นครธมอยาง ชัดเจน พุทธศาสนาลัทธิ มีการสราง ศาสนสถาน หินยานนิกาย มากมาย และ ลังกาวงศที่ ขยายไปในพื้นที่ เผยแพรมาจาก นครศรีธรรมราช เขตอรัญญิก และจากเมืองพัน
๒๒
ตารางที่ ๑ ชวงการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพของเมืองโบราณสุโขทัย (ตอ) ชวงที่
เวลา
ชวงที่ ๔ ชวงที่ตกอยู ภายใตอิทธิพล ทางการเมืองของ กรุงศรีอยุธยา
ชวงพุทธ ศตวรรษที่ ๒๐
ชวงที่ ๕ ชวงที่กรุงสุโขทัย ถูกผนวกรวมเปน สวนหนึ่งของ ราชอาณาจักรกรุง ศรีอยุธยา
ชวง ปลาย ศตวรรษที่ ๒๐ – ตนศตวรรษที่ ๒๔
ผูปกครอง/รัช สมัย ตั้งแตรัชสมัยของ พระมหาธรรม ราชาที่ ๒ – ถึง รัชสมัยของพระ มหาธรรมราชาที่ ๔ บรมปาล
สิ้นสุดราชวงศ พระรวง-ถึงกรุง ศรีอยุธยาเสียแก พมา
อิทธิพลทาง ศาสนา/ความเชิ่อ
ลักษณะที่สําคัญ
พุทธศาสนาลัทธิ หินยานนิกาย ลังกาวงศ
มีการแลกเปลี่ยน รูปแบบและ ลักษณะทางศิลปะ วัฒนธรรม และ สถาปตยกรรม กับกรุงศรีอยุธยา มีการบูรณะ ปฏิสังขรณและตอ เติมวัดตางๆ เพิ่มเติม เมืองรางและไดรับ การฟนฟูหลาย ครั้ง มีการบูรณะ ปรับปรุงคูเมือง และกําแพง เมืองขึ้นใหม
พุทธศาสนาลัทธิ หินยานนิกาย ลังกาวงศ
๒.๒ ภูมิหลังทางดานประวัติศาสตรและศาสนา ของเมืองเชียงใหม จากหลักฐานทางดานโบราณคดีแสดงใหเห็นวาพื้นที่บริเวณแองเชียงใหม-ลําพูน อันเปนที่ตั้งของเมืองเชียงใหมนั้น เปนพื้นที่ที่มีผูคนอยูอาศัยมานานแลว ตั้งแตยุคกอน ประวัติศาสตร๑๓ และมีผูคนอยูอาศัยสืบเนื่องเรื่อยมาจนถึงยุคประวัติศาสตร ในชวง กอนที่เมืองเชียงใหมจะถูกสรางขึ้นนั้น กลุมชนที่อาศัยอยูในพื้นที่แถบนี้มีอยู ๓ กลุม๑๔ ประกอบดวย
๑๓
มีการขุดคนพบเครื่องมือเครื่องใชเหล็ก ซึ่งอยูในยุคโลหะชวงแรก มีอายุระหวาง พ.ศ. ๒๔๓๖๔๓ ดู [๒๔] ฮันส เพนส และ แอนดรู ฟอรบส. ศิริรัฐ ทองใหญ. ผูแปล. (๒๕๔๗). ประวัติศาสตรลานนาฉบับยอและชาวเชียงใหม. เชียงใหม: หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม, เทศบาลนครเชียงใหม. ๑๔ ดูเอกสารอางอิงจากเชิงอรรถที่ ๑๓
๒๓
สุเทพ เทพ
ม มอาศั ยอยู บริ่บเวณเชิ งดอย ๒.๒.๑ กลุม่ ชาวละว ชาวละว้าาซึซึ่ง่งเปเป็นนชนพื ชนพื้น้นเมืเมืองดั องดั้งเดิ้งเดิ อาศั ยอยู ริเวณเชิ งดอยสุ
๒.๒.๒ กลุ ม คนมอญซึ่ ง อพยพมาจากเมื อ งละโว มาตั้ ง รกรากที่ เ มื อ ง หริภุญชัยตั้งแตประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๓ ๒.๒.๓ กลุมคนไทยวนซึ่งอาศัยกระจัดกระจายอยูทั่วไปหลายพื้นที่ โดยมี กลุมใหญสวนหนึ่งที่มาตั้งหลักแหลงอยูในที่ราบลุมแมน้ําอิงและแมน้ํากก๑๕ ชุมชนของกลุมคนไทยวนไดขยายตัวขึ้นและมีวิวัฒนาการเกิดเปนเมืองใหญที่มี ความเปนปกแผนมั่นคง จนกระทั่งชวงตนพุทธศตวรรษที่ ๑๙ พญามังราย กษัตริย องค ที่ ๒๕ ในราชวงศ ล วจั งกราชเจาเมืองเงินยางจึ งทรงพยายามแผ ขยายพระราช อํานาจ และรวบรวมหัวเมืองนอยใหญที่อยูในละแวกใกลเคียง ใหมารวมกันใหมั่นคงเปน ปกแผน เพื่อปองกันการรุกรานจากพวกมองโกล พระองคทรงสรางเมืองหลวงแหงใหม คือเมืองเชียงราย ขึ้นในบริเวณที่ราบลุมแมน้ํากก เมืองกุมกามในบริเวณที่ราบลุมแมน้ํา ปง และทายที่สุดทรงสรางเมืองเชียงใหมขึ้นใน ป พ.ศ. ๑๘๓๙ ในพื้นที่เชิงดอยสุเทพ บริเวณริมแมน้ําปง เมืองเชียงใหมจึงถือกําเนิดจากการกอสรางของกษัตริยผูยิ่งใหญที่ เคยผานการสรางเมืองมาแลวหลายเมือง เมืองเชียงใหมไดเจริญรุงเรืองสืบเนื่องยาวนาน มาจนถึงปจจุบัน เกิดการบูรณะปฏิสังขรณหลายครั้งหลายหน จนยากที่จะทําการศึกษา ใหรูชัดถึงวิวัฒนาการของการเปลี่ยนแปลงลักษณะและรูปแบบของการวางผังเมืองได ชัดเจนเทาเมืองเกาสุโขทัย อยางไรก็ดี เราอาจแบงชวงการเปลี่ยนแปลงลักษณะทาง กายภาพของเมืองเชียงใหม โดยอาศัยปจจัยที่เกี่ยวของกับอิทธิพลทางการเมืองและ ศาสนาไดดังนี้
ชวงที่ ๑ ชวงกอนการสรางเมือง ในราวกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๖ ถึง ตน พุทธศตวรรษที่ ๑๙ กอนที่พญามังรายจะมาสรางเมืองเชียงใหมนั้น บริเวณเชิงดอยสุเทพนี้เปนที่อยู อาศั ย ของชาวละว า ๑๖ ซึ่ ง เป น ชนชาติ ที่ มี ค วามเชื่ อ ในเรื่ อ งจิ ต วิ ญ ญานและสิ่ ง เหนื อ ธรรมชาติ นับถือผีบานผีเรือนและผีบรรพบุรุษ ตั้งบานเรือนเปนชุมชนขนาดเล็กที่มี ความเขมแข็ง มีหัวหนาปกครองตนเอง
๑๕ ๑๖
บริเวณอําเภอเมืองเชียงแสน จังหวัดเชียงรายในปจจุบัน เปนชนพื้นเมืองที่ไดอพยพมาอาศัยอยูในพื้นที่นี้ตั้งแตประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ ๑๖
๒๔
ชวงที่ ๒ ชวงสรางบานแปงเมือง ในพ.ศ. ๑๘๓๙ ตรงกับรัชสมัยของพญา เม็งราย ไปจนสิ้นสุดสมัยของพญาผายู (ประมาณ พ.ศ. ๑๘๘๒-๑๘๙๘๑๗) ในสมัยนี้ เชียงใหมไดรับอิทธิพลทางความเชื่อจากพุทธศาสนาลัทธิหินยานอยางพุกามที่นับถือกัน มาแตเดิมในหมูคนไทยวน พระพุทธศาสนาลัทธิหินยานนิกายลังกาวงศโดยผานมาทาง กรุงสุโขทัย ความเชื่อทางดานโหราศาสตรและหลักรัฐศาสตรจากศาสนาพราหมณ โดย ผานทางราชสํานักของเมืองหริภุญชัย รวมถึงความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณและสิ่งเหนือ ธรรมชาติทั้งที่มีอยูเดิม และที่ไดรับมาจากชาวละวาซึ่งเปนคนพื้นถิ่น ในการรวบรวมอาณาจักรลานใหเปนปกแผนนั้น พญามังรายไดยึดเมืองหริภุญชัย ซึ่งมีความเจริญรุงเรืองและมีอารยธรรมของตนเองมากวา ๕๐๐ ปกอนหนานี้ เขาเปน สวนหนึ่งของลานนาในป พ.ศ. ๑๘๒๔ ดวยเหตุนี้ชาวไทยวนจึงไดซึมซับเอาความเชื่อ ทางดานโหราศาสตรและหลักรัฐศาสตรจากศาสนาพราหมณ ที่มีในราชสํานักหริภุญชัย มาดวย และนํามาใชในการสรางเมืองเชียงใหม การผสมผสานระหวางวัฒนธรรมไทยวน และมอญนี้ดําเนินเรื่อยมาตลอดชวงการสรางบานแปงเมือง นอกจากนี้พระพุทธศาสนา ลัทธิหินยานนิกายลังกาวงศจากเมืองสุโขทัย ยังมีอิทธิพลอยางมากตอการสรางเมือง เชียงใหม เนื่องจากทั้งสองเมืองตางเจริญสัมพันธไมตรีตอกันอยางตอเนื่องนับแตเริ่ม สร า งเมื อ ง ๑๘ ในช ว งการสร า งบ า นแปงเมื อ งนี้ มี ก ารสร า งวั ด สํ า หรั บ พระสงฆ ทั้ ง ฝ า ย อรัญวาสี เชนที่วัดอุโมค และฝายนครวาสีซึ่งมีรากฐานมาจากมอญ ชวงที่ ๓ ชวงแหงความเจริญรุงเรือง เริ่มตั้งแตรัชสมัยของพญากือนา (พ.ศ. ๑๙๑๐-๑๙๓๑ ๑๙) ไปสิ้ น สุ ด ในสมั ย ของพญาสามฝ ง แกน (พ.ศ. ๑๙๔๔-๑๙๘๕ ๒๐) ในชวงนี้ไดรับอิทธิพลทางพุทธศาสนาจากหลายแหลงสามารถแบงเปนชวงสําคัญดังนี้
๑๗
อางจากชินกาลมาลีปกรณ ดู [๒๔] ฮันส เพนส และ แอนดรู ฟอรบส. ศิริรัฐ ทองใหญ. ผูแปล. (๒๕๔๗). ประวัติศาสตรลานนาฉบับยอและชาวเชียงใหม. เชียงใหม: หอศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม, เทศบาลนครเชียงใหม. หนา ๑๙๘. ๑๘ ในการสรางเมืองเชียงใหม กษัตริยตางเมือง ๓ พระองค ซึ่งทรงเปนพระสหายกัน ไดเสด็จมา พรอมกันเพื่อรวมกันสรางเมืองเชียงใหม ประกอบดวย พญามังรายเจาเมืองเชียงใหม พญารวงเจาเมืองสุโขทัย และพญางําเมืองเจาเมืองพะเยา ๑๙ ชินกาลมาลีปกรณ ดู [๒๔] ฮันส เพนส และ แอนดรู ฟอรบส. ศิริรัฐ ทองใหญ. ผูแปล. (๒๕๔๗). ประวัติศาสตรลานนาฉบับยอและชาวเชียงใหม. เชียงใหม: หอศิลปวัฒนธรรม เมืองเชียงใหม, เทศบาลนครเชียงใหม. หนา ๑๙๙. ๒๐ ชินกาลมาลีปกรณ ดูเชิงอรรถที่ ๑๙
๒๕
๑) ชวงที่ไดรับอิทธิพลทางพุทธศาสนาลัทธิหินยานนิกายลังกาวงศโดย ผานมาทางเมืองสุโขทัยในสมัยพญากือนา พระองคไดทรงนิมนตพระสุมนเถระพระสงฆ ฝายอรัญวาสีสายลังกาวงศ๒๑ มาจากเมืองสุโขทัย ภายหลังทานไดเปนเจาอาวาสวัดสวน ดอกที่ถูกสรางขึ้นทางทิศตะวันตก วัดเจดียหลวงก็ ถูกสรางขึ้นในสมัยนี้ เชนเดียวกัน (ภาพที่ ๘) ๒) ชวงที่ไดรับอิทธิพลทางพุทธศาสนาลัทธิหินยานแบบพุกาม ในสมัย ของพญาแสนเมืองมา (พ.ศ. ๑๙๒๘-๑๙๔๔๒๒) พระมหาเถระสามีราชครู๒๓ ไดเดินทาง ไปศึกษาที่พุกามถึง ๓ ครั้ง รวมถึงเจาอาวาสองคตอๆมาและพระเถระชั้นผูใหญอีก หลายรูปของวัดสวนดอกก็ไดไปศึกษาพระพุทธศาสนาที่พุกาม จากนั้นจึงเริ่มปรากฏมี วรรณกรรมภาษาบาลีเกี่ยวกับประวัติศาสตรพุทธศาสนาซึ่งแตงโดยพระเถระลานนาหลาย เลม ในชวงตั้งแต ป พ.ศ. ๑๙๕๓- ๒๐๔๓ ยกตัวอยางเชน ตํานานจามเทวี สิหิงคพุทธ รูปนิทาน และตํานานมูลศาสนา
ภาพที่ ๘ เจดียหลวง จ.เชียงใหม สราง ในสมั ย ของพญาแสนเมื อ งมา (พ.ศ. ๑๙๓๑-๑๙๕๔) เพื่อถวายเปนพระราชกุศล ให แ ก พ ระราชบิ ด าคื อ พญากื อ นา ต อ มา ภายหลังไดรับความเสียหายจากเหตุการณ แผนดินไหวจนยอดพังทลายลงมา ๒๑
ทานเคยไปอุปสมบทครั้งที่ ๒ ในลัทธิลังกาวงศ ที่เมืองเมาะตะมะทางตอนใตของพมา ชินกาลมาลีปกรณ ดู เชิงอรรถที่ ๑๙ ๒๓ คาดวาจะเปนเจาอาวาสรูปที่ ๒ ของวัดสวนดอก ๒๒
๒๖
๓) ชวงที่ไดรับอิทธิพลทางพุทธศาสนาลัทธิหินยานนิกายลังกาวงศโดย โดยเผยแพรมาจากประเทศลังกาโดยตรง ในสมัยของพญาสามฝงแกน พระธรรมคัมภีร และพระเมธังกรไดเดินทางพรอมคณะสงฆจํานวนหนึ่ง ไปอุปสมบทใหมที่ประเทศลังกา ในป พ.ศ. ๑๙๖๗ และเดินทางกลับมาเผยแพรธรรมะในเชียงใหม ในป พ.ศ. ๑๙๗๓ โดยพํานักที่วัดปาแดงเชิงดอยสุเทพ นอกจากนี้ในตนรัชกาลของพญาสามฝงแกนยังได เกิดสงครามระหวางเชียงใหมและสุโขทัย๒๔ อันเปนสาเหตุใหเกิดการสรางเวียงเจ็ดลิน๒๕ ณ เชิงดอยสุเทพ ซึ่งถือเปนชัยภูมิทีดี (ภาพที่ ๙)
ภาพที่ ๙ เวียงเจ็ดลิน เชิงดอยสุเทพ จ.เชียงใหม ที่มา: http://pointnetwork.pointasia.com/th/PointAsia/main.aspx ๒๔ ๒๕
สุโขทัยเปนฝายลาทัพกลับไป เปนเมืองรูปทรงกลม เสนผาศูนยกลางประมาณ ๘๐๐ เมตร ดานหนึ่งอิงดอยสุเทพ ใน ปจจุบันอยูบริเวณที่เปนมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพายัพ จ. เชียงใหม
๒๗
ช ว งที่ ๔ ช ว งแห ง การศึ ก สงครามเพื่ อ การช ว งชิ ง และแผ ข ยายอํ า นาจ ระหวางลานนาและกรุงศรีอยุธยา เริ่มตั้งแตสมัยของพญาติโลกราช (พ.ศ. ๑๙๘๔๒๐๓๐) ไปจนกระทั่งเมืองเชียงใหมตกเปนเมืองขึ้นของพมาในสมัยของพญาพระเมกุฏิ (พ.ศ. ๒๑๐๑) ยังคงสืบทอดความศรัทธาเชื่อทางพุทธศาสนาที่เจริญมาตั้งแตชวงที่ ๓ ในสมัยของพญาติโลกราช พระองคพยายามที่จะขยายอํานาจและขอบเขตของ อาณาจักรลานนาออกไปจนถึงแควนสุโขทัยซึ่งในขณะนั้นตกเปนสวนหนึ่งของอาณาจักร กรุงศรีอยุธยา จึงทําใหเกิดศึกสงครามที่ยืดเยื้อยาวนาน ตลอดรัชสมัยของพระองค แต ศึกสงครามไมไดเปนอุปสรรคตอการความเจริญทางศาสนาซึ่งยังคงดําเนินตอไปอยาง ต อ เนื่ อ ง มี ก ารบู ร ณะวั ด เจดี ย ห ลวง วั ด ป า แดง พระเถระแห ง ล า นนาหลายรู ป ได ประพั น ธ ว รรณกรรมทางพุ ท ธศาสนาหลายต อ หลายเรื่ อ ง เช น ชิ น กาลมาลี ป กรณ จั ก รวาฬที ป นี มั ง คลที ป นี เป น ต น ในสมั ย พระเมื อ งแก ว (พ.ศ. ๒๐๓๘-๒๐๖๙) พระองค ไ ด บู ร ณะปฏิ สั ง ขรณ กํ า แพงเมื อ งเชี ย งใหม ใ ห แ ข็ ง แรงมั่ น คงกว า เดิ ม เมื อ ง เชียงใหมในยุคหลังจากสมัยของพญาติโลกราชเปนตนมามีความออนแอลงทางการเมือง เกิ ด ความป น ป ว นวุ น วายจากการแย ง ชิ ง ราชบั ล ลั ง ก ห ลายครั้ ง ในที่ สุ ด ในป พ.ศ. ๒๑๐๑ จึงตกเปนเมืองขึ้นของพมา ช ว งที่ ๕ ช ว งตกเป น เมื อ งขึ้ น ของพม า เริ่ ม ตั้ ง แต ส มั ย พระเมกุ ฏิ (พ.ศ. ๒๑๐๑) ไปจนถึงสมัยของพญาจาบานบุญมา (พ.ศ. ๒๓๑๘) ไดรับอิทธิพลทางดาน พุ ท ธศาสนาลั ท ธิ หิ น ยานอย า งพุ ก าม ในช ว งนี้ เ มื อ งเชี ย งใหม ต อ งตกอยู ใ นภาวะศึ ก สงครามระหวางกรุงศรีอยุธยาและพมาหลายครั้ง และมักจะเกิดศึกสงครามรบกันเองเพื่อ แยงชิงความเปนใหญ เกิดโจรผูรายปลนสะดมเมืองอยูเปนประจํา บานเมืองเกิดความ เสื่อมโทรม ชวงที่ ๖ ชวงที่เมืองเชียงใหมถูกผนวกรวมเปนสวนหนึ่งของราชอาณาจักร สยาม เริ่มตั้งแตสมัยของพญาจาบานบุญมา (พ.ศ. ๒๓๑๘) จนถึงปจจุบัน ในชวงแรก เปนชวงฟนฟูเมือง หลังจากไดรับอิสระจากพมาแลว เจาเมืองเชียงใหมจึงไดทําการ บูร ณะปฏิ สั งขรณ ฟ น ฟูเ มื อ ง ในสมัย ของพญาธรรมลั ง กา (พ.ศ. ๒๓๕๘-๒๓๖๔) พระองคไดทํานุบํารุงพระศาสนา ปฏิสังขรณวัด เชนวัดพระสิงห วัดพระธาตุจอมทอง และขุดลอกคูเมือง บูรณะกําแพงเมืองชั้นนอก๒๖ มีการรวบรวมผูคนจากชุมชนตางๆเขา ๒๖
เปนกําแพงดินเลียบไปตามแนวของคลองแมขา โอบลอมกําแพงเมืองชั้นในฝงตะวันออกและใต เอาไว
๒๘
มาอาศั ย ในเมือง จึ ง เกิด ความหลากหลายทางศิล ปวัฒนธรรมของกลุ มผู คนเหลานั้ น ต อ มาเป น ช ว งที่ มี ก ารติ ด ต อ ค า ขายกั บ ชาติ ต ะวั น ตก และมี ก ารเปลี่ ย นแปลงปฏิ รู ป การเมืองการปกครอง จึงไดรับอิทธิพลทางศาสนาจากมิชชันนารีชาวตะวันตก และเกิด การพัฒนาของเมืองตามแบบสมัยใหม ตารางที่ ๒ ชวงการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพของเมืองโบราณเชียงใหม ชวงที่
เวลา
ผูปกครอง/รัช สมัย กลางพุทธ หัวหนาชุมชน ชวงที่ ๑ ชวงกอนการสราง ศตวรรษที่ ๑๖ - ชาวละวา ถึง ตนพุทธ เมือง ศตวรรษที่ ๑๙ ชวงพุทธ รัชสมัยของ ชวงที่ ๒ ชวงสรางบานแปง ศตวรรษที่ ๑๘ พญามังราย ไป จนสิ้นสุดสมัยของ เมือง พญาผายู
ชวงที่ ๓ ชวงแหงความ เจริญรุงเรือง
ชวงพุทธ ศตวรรษที่ ๒๐
ชวงที่ ๕ ชวงตกเปน เมืองขึ้นของพมา
พุทธศตวรรษที่ ๒๒-ตนพุทธ ศตวรรษที่ ๒๔
อิทธิพลทาง ลักษณะที่สําคัญ ศาสนา/ความเชิ่อ
ผีบาน ผีเรือน และผีบรรพบุรุษ
อาคารถูกสรางขึ้น งายๆโดยใช โครงสรางไม
พุทธศาสนาลัทธิ หินยานอยาง พุกาม และลัทธิ หินยานนิกาย ลังกาวงศ /ความ เชื่อทางดาน โหราศาสตรและ หลักรัฐศาสตร จากศาสนา พราหมณ /ความ เชื่อในเรื่องจิต วิญญาณและสิ่ง เหนือธรรมชาติ รัชสมัยของ พุทธศาสนาลัทธิ พญากือนา -ไป หินยานนิกาย สิ้นสุดในสมัยของ ลังกาวงศ/พุทธ พญาสามฝงแกน ศาสนาลัทธิ หินยานแบบ พุกาม สมัยพระเมกุฏิ - พุทธศาสนาลัทธิ ไปจนถึงสมัยของ หินยานอยาง พญาจาบานบุญ พุกาม มา
การผสมผสาน ระหวางวัฒนธรรม ไทยวนและมอญ ปรากฏในการ สรางศาสนสถาน ทั้งฝายอรัญวาสี และคามวาสี
มีการสรางวัดวา อารามที่สําคัญ หลายแหง เชน วัด เจดียหลวง วัด สวนดอก บานเมืองเกิด ความเสื่อมโทรม เนื่องจากศึก สงคราม
๒๙
ตารางที่ ๒ ชวงการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพของเมืองโบราณเชียงใหม (ตอ) ชวงที่ ชวงที่ ๖ ชวงที่เมือง เชียงใหมถูก ผนวกรวมเปน สวนหนึ่งของ ราชอาณาจักร สยาม
เวลา
ผูปกครอง/รัช สมัย ตนพุทธศตวรรษ สมัยของพญาจา ที่ ๒๔ - จนถึง บานบุญมา ปจจุบัน จนถึงรัชกาล ปจจุบัน
อิทธิพลทาง ลักษณะที่สําคัญ ศาสนา/ความเชิ่อ
พุทธศาสนาลัทธิ หินยานนิกาย ลังกาวงศ/พุทธ ศาสนาลัทธิ หินยานแบบ พุกาม/ศาสนา คริสตจาก ตะวันตก
มีการ บูรณะปฏิสังขรณ ฟนฟูเมือง คูเมือง กําแพงเมือง /เกิด การพัฒนาของ เมืองตามแบบ สมัยใหม
จะเห็นไดวาประวัติศาสตรในชวงแรกของเมืองเชียงใหมและเมืองสุโขทัยมีความ คลายคลึงกันในภาพรวม กลาวคือ เริ่มตนจากการกอสรางบานเมือง จนเจริญรุงเรือง ขึ้น ฟนฟูศาสนาพุทธดวยการเสาะแสวงหาพระเถระผูทรงคุณวุฒิจากที่ตางๆมาเพื่อ เผยแพรพระพุทธศาสนา มีการสรางวัดวาอารามสําคัญในเมือง ตอจากนั้นจึงกาวเขาสู ยุคเสื่อมโทรมเมื่อเกิดศึกสงครามเพื่อแผขยายอํานาจของอาณาจักรที่เขมแข็งกวา คือ พมาและกรุงศรีอยุธยาซึ่งภายหลังไดกลายมาเปนราชอาณาจักรสยาม ในชวงหลังเมือง ทั้งสองตางตกอยูใตอิทธิพลทางการเมืองของเมืองอื่นเปนเวลานาน แตทายที่สุดแลว เมื อ งเก า สุ โ ขทั ย กลั บ ถู ก ปล อ ยให ร กร า งเสื่ อ มสลายไปตามกาลเวลา ในขณะที่ เ มื อ ง เชียงใหมถูกฟนฟูบูรณะขึ้นมาใหม และเจริญมาจนถึงปจจุบัน เมื่อเปรียบเทียบกันเรื่อง ชวงเวลาของยุคสมัยที่เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพของเมืองที่สําคัญๆ จะ เห็ น ว า เมื อ งโบราณเชี ย งใหม มี ช ว งอายุ ยื น ยาวกว า และสามารถแบ ง ยุ ค ของการ เปลี่ยนแปลงไดถึง ๖ ชวง ในขณะที่เมืองโบราณสุโขทัยมีชวงอายุสั้น และสามารถแบง ยุคของการเปลี่ยนแปลงออกไดเพียง ๕ ชวงเทานั้น สวนอิทธิพลทางศาสนาของทั้งสอง เมืองมีทั้งสวนที่คลายคลึงกันและแตกตางกัน เนื่องจากตําแหนงที่ตั้งและอาณาเขตติดตอ กับเมืองที่อยูใกลเคียง เมืองเชียงใหมตั้งอยูบนที่ราบลุมแมน้ําปง เปนศูนยกลางการคา ขายและการเมืองการปกครอง ที่สามารถเชื่อมโยงกับเมืองตางๆอยางกวางขวางทั้งทาง ทิศใต และทิศเหนือ จึงไดรับอิทธิพลจากความเชื่อทางศาสนาและวัฒนธรรมที่มีความ หลากหลายมากกวากรุงสุโขทัย ประกอบดวย ความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณและสิ่งเหนือ ธรรมชาติ พุทธศาสนาลัทธิหินยานอยางพุกาม และลัทธิหินยานนิกายลังกาวงศ ความ เชื่อทางดานโหราศาสตรและหลักรัฐศาสตรจากศาสนาพราหมณ และวัฒนธรรมตะวันตก ที่เขามาพรอมกับกลุมมิชชันนารีในคริสตศาสนา สวนเมืองสุโขทัยนั้น ไดรับอิทธิพลจาก
๓๐
ความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณและสิ่งเหนือธรรมชาติ และพุทธศาสนาลัทธิหินยานนิกาย ลั ง กาวงศ เ ป น หลั ก อย า งไรก็ ดี ศ าสนาที่ ท รงอิ ท ธิ พ ลมากที่ สุ ด ต อ ทั้ ง สองเมื อ งก็ คื อ พระพุทธศาสนานิกายหินยานลัทธิลังกาวงศ ๒. การศึกษาเปรียบเทียบลักษณะทางภูมิศาสตร ลักษณะทางภูมิศาสตรเปนปจจัยสําคัญในการเลือกทําเลการตั้งถิ่นฐานของมนุษย การศึกษาลักษณะทางภูมิศาสตรของเมืองทั้งสองจะชวยใหเราเขาใจรูปแบบการวางผัง เมืองทั้งสองไดดียิ่งขึ้น โดยจําแนกหัวขอในการศึกษา ออกเปนลักษณะทางภูมิประเทศ ลักษณะของดิน สภาพภูมิอากาศ และลักษณะพืชพรรณ ๒.๑ ลักษณะทางภูมิประเทศ ลักษณะภูมิประเทศของเมืองโบราณสุโขทัยและเมืองเชียงใหมมีความแตกตางกัน ในระดับภูมิภาค แตมีความคลายคลึงกันในระดับทองถิ่น (ตารางที่ ๓) ในระดับภูมิภาค เมืองโบราณสุโขทัยตั้งอยูบนที่ราบภาคกลางตอนบน เปนที่ราบลุมแมน้ํายมอันกวางใหญ พื้นที่สวนใหญมีความอุดมสมบูรณดี ทําใหเปนแหลงเกษตรกรรมที่สําคัญในอดีต พื้นที่ สวนใหญมีความสูง ๕๐-๑๐๐ เมตร จากระดับน้ําทะเล ถัดไปทางดานทิศตะวันตกและ ทางทิศใตของเมืองเปนที่ราบดอนและที่ลาดเชิงเขา สวนทางทิศเหนือและทิศตะวันออก เปนที่ ร าบลุ ม ริมลํา น้ําแม ลํ าพัน ซึ่ง ไหลไปบรรจบกับ แมน้ํายมซึ่ง หางออกไปทางทิ ศ ตะวั น ออกประมาณ ๑๒ กิ โ ลเมตร ในขณะที่ เ มื อ งเชี ย งใหม นั้ น ตั้ ง อยู ใ นแอ ง ที่ ร าบ เชียงใหม-ลําพูน อยูระหวางเทือกเขาถนนธงชัยตะวันออกและเทือกเขาผีปนน้ํา ซึ่งเปน แหลงตนน้ําลําธารที่สําคัญหลายสายของประเทศไทย เปนพื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ อุดมไปด ว ยแร ธ าตุที่ เ กิ ด จากการสลายตั ว ของหินในแถบเทื อกเขา จึงเหมาะแก ก าร เกษตรกรรม เมืองเชียงใหมตั้งอยูในระดับความสูง ๒๐๐-๕๐๐ เมตรจากระดับน้ําทะเล บนพื้นที่ลุมแมน้ําปงซึ่งไหลลงใตไปสูแมน้ําเจาพระยา ตารางที่ ๓ เปรียบเทียบลักษณะภูมิประเทศของเมืองโบราณสุโขทัยและเมืองเชียงใหม หัวขอเปรียบเทียบ สภาพภูมิประเทศในภาพรวม ความสูงจากระดับน้ําทะเล
เมืองโบราณสุโขทัย ที่ราบลุมแมน้ํายม ๕๐-๑๐๐ เมตร
เมืองเชียงใหม ที่ราบลุมแมน้ําปง ๒๐๐-๕๐๐ เมตร
๓๑
ตารางที่ ๓ เปรียบเทียบลักษณะภูมิประเทศของเมืองโบราณสุโขทัยและเมืองเชียงใหม (ตอ) หัวขอเปรียบเทียบ เทือกเขา
เมืองโบราณสุโขทัย มีเทือกเขาประทักษตั้งอยูทาง ทิศตะวันตกของเมือง
แมน้ําและลําหวย
แมน้ําแมลําพันไหลผานทางทิศ ตะวันออกของเมืองไปรวมกับ แมน้ํายม จากเขาประทักษมีคลองเสาหอ ทําหนาที่ทดน้ําเขาสูเมือง
เมืองเชียงใหม มีดอยสุเทพตั้งอยูทางทิศ ตะวันตกของเมือง ซึ่งเปนสวน หนึ่งของเทือกเขาถนนธงชัย ตะวันออก แมน้ําปงไหลผานทางทิศ ตะวันออกของเมืองจากทิศ เหนือลงสูทิศใต จากดอยสุเทพมีลําหวย ธรรมชาติหลายสาย เชน หวย แกว หวยกูขาว หวยเย็น หวยผาลาด หวยอุโมงค และ หวยโปงนอย ไหลลงสูพื้นที่ เมือง
ลักษณะภูมิประเทศในระดับทองถิ่นของเมืองโบราณสุโขทัย เปนพื้นที่ราบซึ่งอยู หางจากเขาประทักษ๒๗ไปทางทิศตะวันออกประมาณ ๒.๕ กิโลเมตร และมีลําน้ํา แมลําพันไหลผานทางทิศตะวันออกของเมืองกอนที่จะไหลไปรวมกับแมน้ํายมที่อยูหาง ออกไปทางทิ ศ ตะวั น ออกประมาณ ๑๒ กิ โ ลเมตร (ภาพที่ ๑๐) ในขณะที่ เ มื อ ง เชียงใหมตั้งอยูทางทิศตะวันออกของดอยสุเทพ ซึ่งเปนสวนหนึ่งของเทือกเขาถนนธงชัย ตะวั น ออก ซึ่ ง ทอดตั ว ยาวตลอดแนวด า นทิ ศ ตะวั น ออกของจั ง หวั ด เชี ย งใหม เป น ระยะทางประมาณ ๑๘๐ กิโลเมตรเลยทีเดียว สวนในทางทิศตะวันออกของเมืองหาง ออกไปจากกําแพงเมืองประมาณ ๑ กิโลเมตร เปนแมน้ําปงที่ไหลจากเหนื อลงสูใต โดยมีคลองแมขาเปนคลองขนาดเล็ก ไหลออมตัวเมืองจากมุมของกําแพงเมืองดานที่ ตะวันออกเฉียงเหนือบริเวณแจงศรีภูมิ ไปจรดมุมของกําแพงเมืองดานทิศตะวันตกเฉียง เหนือบริเวณแจงกูเรือง (ภาพที่ ๑๑)
๒๗
เขาประทักษเปนสวนหนึ่งของทิวเขาขนาดเล็กยาวประมาณ ๒๕ กิโลเมตรในแนวเหนือใต มียอด เขาหลวงเปนยอดเขาที่สูงที่สุด
๓๒
๒.๒ ลักษณะของดิน ดินในบริเวณเมืองเกาสุโขทัยเปนดินในเขตที่ดอนต่ํา มีการชะลางออกมากกวา สะสม แตความรุนแรงของการชะลางออกไมมากนัก เนื่องจากความลาดชันไมมาก จากนั้นก็จะมีการพัฒนาดินชั้นลางเปนชั้นดินดานตางๆ เหมาะสมกับการปลูกพืชไรชนิด ตา งๆ ส ว นดิ นในพื้ น ที่ จั ง หวั ดเชี ย งใหมเ ป น ดินในแอ ง ระหวา งภู เ ขา จึ ง มีค วามอุด ม สมบูรณสูง พื้นที่เปนที่ดอนระดับต่ํา๒๘ มีการระบายน้ําไดดี แตไมถึงกับมีการชะลาง ทําใหธาตุอาหารคอนขางสูง มีการสะสมดินเหนียวในดินชั้นลาง เหมาะแกการทํานา ทํา ไร ทําสวน ๒.๓ สภาพภูมิอากาศ ทั้งเมืองเชียงใหมและเมืองสุโขทัยตางก็มีสภาพภูมิอากาศแบบมรสุมเขตรอน มี ระดับความชื้นปานกลาง และมีฝนตกนอย ประมาณ ๕.๕-๖.๕ เดือนในรอบป อยางไร ก็ดีเนื่องจากเมืองเชียงใหม ตั้งอยูทางทิศเหนือขึ้นไปกวาเมืองสุโขทัย จึงมีอุณหภูมิเฉลี่ย ต่ํ า กว า ที่ จั ง หวั ด สุ โ ขทั ย โดยเฉลี่ ย ประมาณ ๒.๓ องศาเซลเซี ย ส ตลอดทั้ ง ป นอกจากนี้สภาพที่ตั้งที่โอบลอมไปดวยสันเขาของจังหวัดเชียงใหม ทําใหมีหมอกในชวง ฤดูหนาว และมักจะเกิดลมแรงหรือพายุฝนฟาคะนอง
ภาพที่ ๑๐ ลักษณะภูมิประเทศของเมืองเกาสุโขทัย ๒๘
หมายถึงบริเวณที่ราบบรรจบกับเชิงเขา
๓๓
ภาพที่ ๑๑ ลักษณะภูมิประเทศของเมืองเชียงใหม
๒.๔ พืชพรรณ พื ช พรรณส ว นใหญ ข องเมื อ งสุ โ ขทั ย มี ค วามคล า ยคลึ ง กั บ พื ช พรรณของเมื อ ง เชียงใหมบริเวณเชิงดอยสุเทพ คือเปนปาเต็งรัง หรือปาแดง เนื่องจากเปนพื้นที่ลาดเชิง เขา ภูมิอากาศมีชวงชื้นสลับกับแลงชัดเจน ดินเปนดินทรายหรือดินลูกรัง พันธุไมสําคัญ ไดแก เต็ง รัง พลวง เหียง พะยอม กวาว พฤกษ กระโดน รกฟา กระบก สวนพืช พรรณที่มีความแตก ตางกันคือบริเวณบนเขาทางทิศตะวันตกของเมือง พืชพรรณบน อุทยานแหงชาติสุเทพ-ปุย เปนปาเบญจพรรณหรือปาผลัดใบผสม พันธไมที่สําคัญไดแก มะคาโมง สมเสี้ยว ทองกวาว แสมสาร ประดูปา ไผ สัก เปนตน ในขณะที่พืช พรรณบนเทือกเขาหลวงในเขตอุทยานแหงชาติรามคําแหง เปนพรรณไมที่พบในปาดิบ แลง เชน ไมวงศยาง ยางขาว ยางแดง ยมหอม กฤษณา สมพอ เปนตน พื้นที่อีก บริเวณหนึ่งของจังหวัดเชียงใหมซึ่งมีความแตกตางจากพรรณไมในจังหวัดสุโขทัยคือ พืช พรรณที่อยูบนที่ราบริมฝงแมน้ํ าปงทางทิศตะวันออกของเมื องนั่นเอง มีลักษณะเปน พรรณไมที่พบไดในปาพรุน้ําจืดหรือปาบึงน้ําจืด เปนพื้นที่ที่ไดรับน้ําที่เออลนตลิ่งในฤดู ฝน ไม มีก ารสะสมของอิน ทรี ย วัต ถุ อย างถาวร เนื่องจากซากพืช ถูกน้ํ าพัดพาไปกั บ กระแสน้ํา ปจจุบันไดเปลี่ยนแปลงไปเปนพื้นที่อยูอาศัยและพื้นที่เกษตรกรรมมาก พืชที่ มักพบในแถบนี้ไดแกอินทนิลน้ํา สะแก สักน้ํา กระทุมบก ตะขบน้ํา กันเกรา เปนตน
๓๔
๓. การศึกษาเปรียบเทียบความเชื่อทางศาสนากับสัณฐานของเมือง ความเชื่อทางศาสนาและศาสตรในการวางผังที่เรียนรูสืบตอกันมา๒๙ เปนปจจัย สําคัญหลักๆที่สงผลตอลักษณะสัณฐานของผังเมืองโบราณสุโขทัย และเมืองเชียงใหม นอกเหนือไปจากสภาพภูมิศาสตรของพื้นที่ จากการวิเคราะหภูมิหลังทางประวัติศาสตร และศาสนาของเมืองทั้งสอง เราทราบวากษัตริยผูวางผังเมืองสุโขทัยไดนํารูปแบบมาจาก ผังเมืองนครธม๓๐ จากนั้นพญามังรายปฐมกษัตริยแหงลานนาจึงไดนํารูปแบบของเมือง สุโขทัยมาใชในการสรางเมืองเชียงใหมอีกทอดหนึ่ง การนํามาใชนี้มิไดหมายถึงการลอก แบบมาให เ หมื อ นกั น ทุ ก ประการ แต ไ ด นํ า มาประยุ ก ต ใ ช ใ ห เ หมาะกั บ วิ ถี ชี วิ ต และ วัฒนธรรมของชาวเมืองนั้นๆ ดังนั้นในการเปรียบเทียบความเชื่อทางศาสนา และศาสตร ในการวางผังที่ เ รียนรู สืบ ต อกั นมานี้ จึ งมีความจําเปนที่จะตองศึกษายอนไปถึงเมือง ตนแบบแรกสุดนั่นก็คือเมืองนครธมดวย เพื่อใหเกิดความเขาใจที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ๓.๑ ความเชื่อทางศาสนา เมื่ อ ทํ า การศึ ก ษาอย า งละเอี ย ด หลั ก ความเชื่ อ ทางศาสนาเป น สิ่ ง สํ า คั ญ ที่ นักปราชญราชบัณฑิตในสมัยโบราณไดนําเอามาใชในการวางผังเมือง โดยเฉพาะการ วางผังเมืองนครธม ซึ่งเชื่อวาเปนเมืองตนแบบของเมืองสุโขทัย ในสมัยของพระเจา ชัยวรมันที่ ๗ กษัตริยผูสรางเมืองนครธม พระองคทรงนับถือพระพุทธศาสนา ลัทธิ วัชรยาน ศาสนสถานที่สําคัญในสมัยของพระองคจึงมักจะมีภาพแกะสลัก หรือรูปเคารพ ในลัทธิวัชรยาน๓๑ เชน พระไภษัชยคุรุ พระโลเกศวร พระนางปรัชญาปารมิตา เปน ตน (ภาพที่ ๑๒) นอกจากนี้ยังพบหลักฐานจารึกที่สี่มุมพระนครซึ่งสะทอนใหเห็นถึงคติจักรวาล ตามความเชื่อของศาสนาพุทธนิกายมหายาน ซึ่งไดรับอิทธิพลมาจากศาสนาพราหมณ อีกตอหนึ่ง ในการวางผังไดมีความพยายามที่จะใหเกิดความสอดคลองกับพลังอํานาจ ของจักรวาล โดยการสรางเมืองจําลองเลียนแบบลักษณะของจักรวาล ซึ่งเชื่อกันวาใจ กลางของจักรวาลประกอบดวยเขาพระสุเมรุสูงเสียดฟาไปจนถึงสวรรค ซึ่งซอนกันอยู ๒๙
สันนิษฐานวาสืบทอดกันโดยผานพราหมณประจําราชสํานักของแตละเมือง เปนเมืองหลวงของขอมซึ่งสรางขึ้นในสมัยของพระเจาชัยวรมันที่ ๗ ( พ.ศ. ๑๗๒๔ -๑๗๖๒) ๓๑ [๑๐] พิริยะ ไกรฤกษ. (๒๕๔๔). อารยะธรรมไทย พื้นฐานทางประวัติศาสตริยศิลปะ เลม ๑ ศิลปะกอนพุทธศตวรรษที่ ๑๙. กรุงเทพฯ: บริษัท อมรินทรพริ้นติ้งแอนดพับลิชชิ่ง จํากัด (มหาชน).หนา ๑๐๗-๑๐๙. ๓๐
๓๕
สูงขึ้นไปเปนชั้นๆ สวนฐานจมอยูใตมหาสมุทร ถัดออกมาจากเขาพระสุเมรุจะมีภูเขารูป วงแหวนลอมรอบเปนชั้นๆอีก ๗ ชั้น แตละชั้นกั้นดวยมหาสมุทรสีทันดรถัดออกไปอีก เปนทวีปทั้ง ๔ และมหาสมุทรประจําอยูทั้ง ๔ ทิศ พนจากทวีปและมหาสมุทรนี้จึงเปน กํ าแพงจัก รวาล (ภาพที่ ๑๓) ดังนั้นเมืองนครธมจึ งถูกวางผั งเปนรู ปสี่เหลี่ ยมจั ตุรั ส ลอมรอบไปดวยกําแพงหินขนาดใหญ ซึ่งเปรียบเสมือนกําแพงจักรวาล (ภาพที่ ๑๔) ตรงใจกลางเมืองเปนที่ตั้งของปราสาทบายน (ภาพที่ ๑๕-๑๖) ซึ่งเปรียบไดกับเขาพระ สุเมรุ และปราสาทไพชยนตที่ประทับของพระอินทรซึ่งอยูบนสวรรคเหนือยอดเขาขึ้น ไป๓๒
ภาพที่ ๑๒ พระโพธิสัตวอวโลกิเตศวร รูปเคารพ ในพระพุ ท ธศาสนานิ ก ายมหายาน ประดิษฐานในปราสาทนครวัด
๓๒
[๑๑] ยอรช เซเดส. (ปราณี วงษเทศ ผูแปล). (๒๕๔๖). เมืองพระนคร นครวัด นครธม. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ มติชน.
๓๖
ภาพที่ ๑๓ แสดงภาพจํ าลอง ของจักรวาลตามความเชื่อของ พุทธศาสนานิกายมหายาน (ดัดแปลงจากภาพ Shumisengizu จาก National Museum of Japanese History ดู [๒๕] Hiroo Aoyama. A Witness to History, [Online]
ภาพที่ ๑๔ ทัศนียภาพโดยรวมของเมืองนครธม (ภาพถายปายแผนผังที่ศูนยตอนรับนักทองเที่ยว นครธม เสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา)
๓๗
ภาพที่ ๑๕ ปราสาทบายน ตั้งอยู ที่ใจกลางเมืองนครธม
ภาพที่ ๑๖ รู ป สลั ก ใบหน า ของ พระเจ า ชั ย วรมั น ที่ ๗ ซึ่งเชื่อวาพระองคเปน ภ า ค ห นึ่ ง ข อ ง พ ร ะ โพธิสัตว อวโลกิเตศวร ที่ปราสาทบายน
ภาพที่ ๑๗ พระปรางควัดพระ พายหลวง
๓๘
เมื่อกรุงสุโขทัยถูกสรางขึ้นในสมัยแรกในพุทธศตวรรษที่ ๑๘ นั้นวัด พระพาย หลวง ถูกสรางขึ้นเพื่อใชเปนศูนยกลางของเมือง ลักษณะของผังวัดพระพายหลวงใน ระยะแรกเป น อาคารพระปรางค ๓ ยอด (ภาพที่ ๑๗) มี คู น้ํ า ล อ มล อ ม มี ค วาม คลายคลึงกับแผนผังของพระปรางค ๓ ยอด ที่เมืองลพบุรี เชื่อวาไดรับอิทธิพลจาก พุทธศาสนาลัทธิวัชรยานของขอมในสมัยนั้น ดังนั้นจึงสันนิษฐานไดวาปราสาททั้ง ๓ องคนาจะสรางขึ้นเพื่อประดิษฐานรูปเคารพในลัทธิวัชรยานที่นิยมบูชากัน ไดแก พระ ไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา๓๔ ประทับที่ปรางคองคกลาง และดานขางคือรูปพระโลเกศวร ยืน ๔ กร กับพระนางปรัชญาปารมิตา ยืน ๔ กร ประทับที่ปรางคทั้ง ๒ ขาง ดังที่ พบไดในพระพิมพในสมัยเดียวกัน๓๕ แตในภายหลังจึงถูกเปลี่ยนเปนพระพุทธรูปในลัทธิ หินยานตามความเชื่อของคนสุโขทัยแทน ๓๓
เมื่อมีการขยายเมืองสุโขทัยโดยการสรางกําแพงเมืองรูปสี่เหลี่ยมผืนผาในทางทิศ ใตของวัดพระพายหลวง ยังคงไดรับอิทธิพลความเชื่อเรื่องคติจักรวาลจากขอมอยาง ชัดเจน คือกําแพงเมืองและคูเมืองเปนรูปสี่เหลี่ยม มีประตูเขาออกทั้ง ๔ ทิศ (ภาพที่ ๑๘) และบริเวณกลางเมืองเปนที่ตั้งของวัดมหาธาตุ (ภาพที่ ๑๙) ซึ่งเปนวัดสําคัญของ เมือง เปรียบเสมือนกับเขาพระสุเมรุที่อยูใจกลางของจักรวาล แตเนื่องจากชาวสุโขทัย นับถือพุทธศาสนาลัทธิหินยาน ซึ่งแผขยายมาจากมอญมาแตดั้งเดิม ไดประยุกตให ศูนยกลางเมืองเปนวัดที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อใหเปนศูนยรวมจิตใจของชาวเมือง ทั้งหมดแทน วัดมหาธาตุไมไดถูกตั้งอยูที่ตําแหนงตรงกลางเมืองพอดี เหมือนปราสาท บายนแหงเมืองนครธม
๓๓
ปจจุบันตั้งอยูทางทิศเหนือของเมืองเกาสุโขทัย พระพุทธเจาในลัทธิวัชรยานผูทรงรักษาโรคภัยไขเจ็บ ๓๕ [๑๐] พิริยะ ไกรฤกษ. (๒๕๔๔). อารยะธรรมไทย พื้นฐานทางประวัติศาสตริยศิลปะ เลม ๑ ศิลปะกอนพุทธศตวรรษที่ ๑๙ กรุงเทพฯ: บริษัท อมรินทรพริ้นติ้งแอนดพับลิชชิ่ง จํากัด (มหาชน). หนา ๑๑๖-๑๑๗. ๓๔
๓๙
ภาพที่ ๑๘ ภาพถายทางอากาศเมืองเกาสุโขทัย ที่มา: http://earth.google.com/
ภาพที่ ๑๙ วัดมหาธาตุตั้งอยูบริเวณกลางเมืองเกาสุโขทัย
๔๐
นอกจากลักษณะของกําแพงเมืองและศาสนสถานใจกลางเมืองแลว สิ่งที่เห็น เด น ชั ด อี ก อย า งหนึ่ ง ของเมื อ งสุ โ ขทั ย ก็ คื อ สระน้ํ า ภายในวั ด หลายวั ด กลางใจเมื อ ง ประกอบดวย วัดสระศรี วัดตระพังเงิน วัดตระพังทอง (ภาพที่ ๒๐) วัดใหม ลวน แล ว แตมีคู น้ําหรือ สระน้ําลอมรอบทั้ งสิ้น เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชเจ าฟ า มหา วชิราวุธมกุฎราชกุมาร ทรงทอดพระเนตรเห็นสระน้ําและคูเหลานี้ ทรงสันนิษฐานวา พระสงฆสวนใหญในกรุงสุโขทัยนาจะถือสีมาน้ําในการอุปสมบท๓๖ การอุปสมบทกลาง น้ํ า นี้ เ ป น ธรรมเนี ย มนิ ย มปฏิ บั ติ ข องพระสงฆ ใ นพระพุ ท ธศาสนานิ ก ายหิ น ยานลั ท ธิ ลั ง กาวงศ จึ ง มี ค วามเป น ไปได ว า น า จะเริ่ ม ตั้ ง แต ส มั ย ที่ ค ณะสงฆ ที่ เ ดิ น ทางมาจาก นครศรีธรรมราชในสมัยของพอขุนรามคําแหงมหาราช (พ.ศ. ๑๘๒๒-๑๘๖๐)
ภาพที่ ๒๐ วัดตระพัง ทองตั้ ง อยู บนเกาะ กลางสระน้ํา สรางขึ้น ใ น ส มั ย พ ญ า ลิ ไ ท (พ.ศ. ๑๙๐๓)
สําหรับการวางผังเมืองเชียงใหมนั้นแมวาจะใชคติจักรวาลที่รับมาจากกรุงสุโขทัย (ภาพที่ ๒๑) ในเรื่องการวางผังเมืองเปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผาก็ตาม แตการวางตําแหนง ศูนยกลางเมืองกลับใชแนวความเชื่อของการนับถือผีบานผีเมืองของชาวละวา ซึ่งเปนคน พื้นถิ่นของเชียงใหมมาแตเดิม คือใชเสาอินทขิลเปนศูนยกลางเมือง๓๗ นอกจากนี้จาก หลั ก ฐานจารึ ก ที่ วั ด เชี ย งมั่ น ๓๘ ยั ง ได จ ารึ ก ภาพดวงเมื อ งบนแผนที่ ด าวตามหลั ก ๓๖
[๑๗] สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจาฟามหาวชิราวุธมกุฎราชกุมาร. (ร.ศ. ๑๒๗). เรื่องเที่ยว เมืองพระรวง. พระนคร: โรงพิมพบํารุงนุกูลกิจ. ๓๗ ตําแหนงของเสาอินทขิลแตเดิมอยูในบริเวณวัดอินทขิล ซึ่งในปจจุบันเปนพื้นที่เจดียรางที่ตั้งอยู ภายในหอศิลปวัฒนธรรมเชียงใหม ๓๘ จารในสมัยของพญาติโลกราช ในป พ.ศ. ๒๑๒๔
๔๑
โหราศาสตรเอาไวที่สวนบนของจารึก แสดงการผูกดวงและดูฤกษ มีการกําหนดชัยภูมิ ของเมือง นั่นหมายความวาความเชื่อเรื่องโหราศาสตรและดาราศาสตร เขามามีบทบาท สําคัญในการวางผังเมืองเชียงใหมดวย ซึ่งยังไมพบหลักฐานระบุไดแนชัดวาเปนความ เชื่อที่ไดรับอิทธิพลมาจากไหน แตสามารถสันนิษฐานได ๒ แนวทางคือ ๑) ไดรับ อิทธิพลความเชื่อของศาสนาพราหมณมาจากพวกพราหมณประจําราชสํานัก ซึ่งอาจจะมี ประจําอยูเดิมของนครเงินยางอยูแลว หรือเปนพราหมณประจําราชสํานักเมืองหริภุญชัย ที่พญามังรายไดเขาครอบครองไวกอนหนานี้ หรืออาจจะเปนพราหมณประจําราชสํานัก จากสุโขทัยก็เปนได ๒) ไดรับอิทธิพลความเชื่อทางโหราศาสตรของพระสงฆมอญ ซึ่ง เรี ย นรู สื บ ต อ กั น มาตั้ ง แต ส มั ย พระสงฆ จ ากชมพู ท วี ป ได เ ดิ น ทางเข า มาเผยแพร พระพุทธศาสนาในดินแดนสุวรรณภูมิ ตั้งแตเมื่อพุทธศตวรรษที่ ๖
ภาพที่ ๒๑ หุนจําลองเขาพระ สุเมรุ ที่วัดพระธาตุหริภุญชัย จ.ลํ า พู น ตามความเชื่ อ ทาง พุทธศาสนานิกายหินยาน
๔๒
๔.๒ ทฤษฎีเกี่ยวกับศาสตรในการวางผังเมือง เพื่ อ ที่ จ ะให เ ข า ใจศาสตร ใ นการวางผั ง เมื อ งโบราณสุ โ ขทั ย และเมื อ ง เชียงใหมไดกระจางชัดยิ่งขึ้น เราจําเปนตองมองยอนกลับไปที่เมืองตนแบบดั้งเดิมคือ เมืองนครธมเสียกอน เมืองนครธมเปนเมืองที่มีผังเมืองเปนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ กวางยาวดานละประมาณ ๓ กิโลเมตร สรางซอนทับอยูบนเมืองยโศธรปุระเดิม๓๙ และ เปนสวนหนึ่งของเมืองพระนครหลวงซึ่งเจริญรุงเรืองสืบเนื่องยาวนานกวา ๔๐๐ ป ดาน ทิศตะวันออกเปนที่ตั้งของบารายเก็บกักน้ําสมัยโบราณซึ่งมีความกวาง ๑.๘ กิโลเมตร ยาวถึง ๗ กิโลเมตร (ภาพที่ ๒๒) เปนเรื่องนาอัศจรรยที่ชาวขอมสามารถวางผังเมือง นครธมที่มีความกวางมากขนาดนั้นใหเปนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสพอดี และมีประตูเมืองที่อยู ตรงกลางกําแพงเมืองทั้ง ๔ ดานพอดี นอกจากนี้ศาสนสถานกลางเมืองคือปราสาท บายนยังวางไดตําแหนงศูนยกลางเมืองพอดีอีกดวย และยิ่งนาประหลาดใจขึ้นไปอีกเมื่อ พบวาทิศทางการวางแนวกําแพงเมืองและศาสนสถานรวมทั้งบารายของทั้งเมืองพระนคร ไมใชแตแคเฉพาะในเขตเมืองนครธมเทานั้น ตางอยูในทิศทางเดียวกันหมด และเปน แนวเหนือใตคอนขางจะแมนยํา มีคลาดเคลื่อนไปเพียงเล็กนอย (ภาพที่ ๒๓) การ กําหนดทิศระยะไกลในสมัยโบราณมักจะอางอิงดวงดาวและตําแหนงของดวงอาทิตย แต คอนขางจะเกิดความคลาดเคลื่อนไดงาย เนื่องจากตําแหนงของดาวเหนือ (Polalis) ใน สมัยโบราณจะอยูหางจากแนวแกนขั้วโลกเหนือมากกวานี้๔๐ และตําแหนงการขึ้นและตก ของดวงอาทิตยก็ไมเหมือนกันในแตละวัน ถาเชนนั้นชาวขอมโบราณสามารถเล็งทิศให แมนยําเชนนี้ไดอยางไร ในเมื่อพวกเขาไมมีอุปกรณสํารวจที่ทันสมัยเชนที่พวกเราใชกัน อยูในปจจุบัน หากเราจะตั้งสมมติฐานแบบตรงไปตรงมาก็คือ พวกเขาคงตองมีเครื่องมือ อุปกรณในการเล็งทิศเพื่อกําหนดตําแหนงในระยะไกลอยางแนนอน และพวกเขาจะตอง มีความรูทางดานดาราศาสตรและคณิตศาสตรที่แตกฉานแมนยําอยางมาก ทิศที่สําคัญใน ที่นี้มี ๒ แนวแกน คือ แนวแกนทิศเหนือ-ทิศใต และแนวแกนทิศตะวันออก-ตะวันตก การที่จะเล็งทิศระยะไกลขนาดนี้ใหแมนยําไดโดยใชหลักดาราศาสตร จําเปนจะตองขึ้นไป อยูบนที่สูง เชนภูเขาหรือสิ่งปลูกสรางที่มีความสูง เพราะในระดับสายตาทัศนวิสัยยอม ถูกบดบังโดยตนไม ทางทิศใตของเมืองนครธมมีภูเขาขนาดเล็กเรียกวาภูเขาพนมบาเค็ง ดานบนเขามีปราสาทชื่อวาพนมบาเค็งตั้งอยู สรางโดยพระเจายโศวรมันผูกอสรางเมือง ยโศธรปุระซึ่งเปนเมืองดั้งเดิมกอนที่จะมีการสรางเมืองนครธมซอนทับ ปราสาทพนม บา ๓๙
เมืองยโศธรปุระสรางขึ้นในสมัยของพระเจายโสวรมัน (พ.ศ. ๑๔๓๒-๑๔๕๓) ดู [๑๑] ยอรช เซเดส. (ปราณี วงษเทศ ผูแปล). (๒๕๔๖). เมืองพระนคร นครวัด นครธม. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ มติชน. หนา ๑๒. ๔๐ เนื่องจากแกนหมุนรอบตัวเองของโลกเหวี่ยงสายเปนวงเหมือนลูกขาง
๔๓
เค็ง มีลักษณะเปนเขาหินทรายขนาดยอม มีความสูง ๖๕ เมตร มีปรางควางซอน ลดหลั่นกันเปนชั้นๆลงมาจากยอดเขา ชั้นแรกมีปรางคองคกลางและปรางคทิศทั้ง ๔ ซึ่งหมายถึงเขาพระสุเมรุตามความเชื่อเรื่องภูมิจักรวาลในศาสนาพราหมณ ตั้งบนฐาน ๕ ชั้นลดหลั่นลงมาตามไหลเขา ซึ่งแตละชั้นมีปรางคบริวาร ๑๒ องค ซึ่งเปนจํานวนทีต่ รง กับทิศของจักรราศีทั้ง ๑๒ ทิศที่สถิตยอยูรอบเสนโคงของจักรวาล สวนในชั้นลางสุดมี ปรางคบริวาร ๔๔ องค ซึ่งเมื่อรวมจํานวนปรางคทั้งหมดมี ๑๐๘ องค ซึ่งตรงกับ จํานวน ๑๐๘ นวางค ซึ่งเปนการแบงองศายอยภายในราศีทั้ง ๑๒ นั่นเอง๔๑ ดังนั้น เราสามารถสันนิษฐานไดวาการสรางปรางคบนยอดเขา พนมบาเค็งนาจะเปนการ กําหนดทิศทั้ง ๑๒ ของขอบฟาจักรวาล ตามตําราโหราศาสตรและดาราศาสตรของ ศาสนาพราหมณนั่นเอง จึงมีความเปนไปไดที่พราหมณและปุโรหิตประจําราชสํานักเมือง พระนครในแตละยุคแตละสมัยจะใชปราสาทพนมบาเค็งในการเล็งทิศเพื่อกําหนดตําแหนง ในระยะไกลในการสรางเมืองและศาสนสถานตางๆในเมือง โดยกําหนดจุดทิศเหนือและ ทิศตะวันออกบนเสนขอบฟา ในวันที่เปนตนจักรราศีของป ซึ่งดวงอาทิตยจะขึ้นตรงกับ ทิศตะวันออกและตกทางทิศตะวันตกพอดี จากนั้นก็เล็งตําแหนงบนพื้นดินซึ่งเปนพื้นที่ กอสรางตามแนวทิศดังกลาวและกําหนดจุดหมายตาบนพื้นดินโดยใชหลักคณิตศาสตร และตรีโกณมิติพื้นฐาน การที่กําหนดใหมีศาสนสถานใจกลางเมืองนอกจากจะเปนเพราะ ความเชื่อตามคติจักรวาลแลวยังเปนตําแหนงสําคัญที่ใชเปนจุดอางอิงในการวัดระยะ ซึ่ง ชวยทําใหสามารถสรางเมืองรูปทรงสี่เหลี่ยมที่มีมุมฉากที่สมบูรณอีกดวย๔๒ อยางไรก็ดี สมมติฐานนี้ยังตองการหลักฐานพิสูจนยืนยันตอไป
๔๑
ในวงรอบ ๑๒ ราศีมี ๓๖๐ องศา ซึ่งเทากับ ๓๖ ตรียางค และเทากับ ๑๐๘ นวางค (ใน ๑ ราศี มี ๙ นวางค) ๔๒ จากหนังสือนิราศนครวัด ดู [๑๑] ยอรช เซเดส. (ปราณี วงษเทศ ผูแปล). (๒๕๔๖). เมือง พระนคร นครวัด นครธม. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ มติชน. หนา (๒๔).
๔๔
ภาพที่ ๒๒ ภาพถายทางอากาศเมืองนครธม นครวัด จะเห็นบารายเก็บน้ําขนาดใหญอยูทางทิศ ตะวันออกและตะวันตกของเมือง ที่มา: http://earth.google.com/
ภาพที่ ๒๓ ภาพถายทางอากาศเมืองนครธม นครวัด ปราสาทบายน ปราสาทพนมบาเค็ง และบา รายตะวันตก ที่มา: http://earth.google.com/
๔๕
เมื่ อเราหั นกลั บ มาดูผั งเมืองโบราณสุ โขทัย บาง เป นที่ นาสัง เกตได ว ากลุ ม ของ ศาสนสถานที่สําคัญและแนวกําแพงเมืองนั้นมีแนวแกนไมอยูในแนวเดียวกัน และบิดไป จากแนวแกนทิศเหนือ-ใต และแนวแกนทิศตะวันออก-ตะวันตก คอนขางมาก (ภาพที่ ๒๔) สามารถแบงสิ่งปลูกสรางที่อยูในแนวแกนเดียวกันออกไดเปนกลุมใหญๆ กลาวคือ ๑) กลุมศาสนสถานที่วัดพระพายหลวง รวมไปถึงแนวคันดินรูปสี่เหลี่ยมผืนผาขนาดใหญ ที่อยูทางทิศตะวันออกของศาสนสถาน ๒) แนวกําแพงเมืองทั้ง ๔ ดาน แนวแกนทาง สัญจรจากกลุมศาสนสถานกลางเมื อง ไปยังประตูเมืองทางดานทิศเหนือ (ประตูศาล หลวง) และทิศตะวันออก (ประตูกําแพงหัก) แนวสิ่งปลูกสรางที่วัดตะพังทอง และวัด มหาธาตุ รวมไปถึงแนวคูน้ําทางทิศใต และทิศตะวันออกของเขตพระราชฐาน๔๓ วัดศรี สวาย ๓) กลุมศาสนสถานกลางเมืองไดแก วัดสระศรี วัดตระพังเงิน วัดชัยสงคราม วัดตระกวน แนวแกนทางสัญจรจากกลุมศาสนสถานกลางเมือง ไปยังประตูเมืองดานทิศ ใต (ประตู น ะโม) แนวประตู ด า นทิ ศ ตะวั น ตก (ประตู ทิ ศ อ อ ) และวั ด ศรี ชุ ม ส ว น ศาสนสถานนอกเมืองที่อยูหางไกลจะไมขออางถึงในที่นี้ เพราะอยูหางเกินกวาที่จะระบุ ทิศไดชัดเจนในขณะนี้ การกําหนดทิศของสิ่งปลูกสรางตางๆในเมืองไมตรงกับแนวแกน ทิศเหนือ-ใต และทิศตะวันออก-ตะวันตก และยังไมตรงกันเอง (ในแตละกลุมของโบราณ สถานที่กลาวมา) อาจสันนิษฐานไดวาในการกอสรางเมืองสุโขทัยนั้นไมไดมีการกําหนด พื้นที่และสรางเครื่องมือเพื่อใชในการเล็งทิศอยางถาวร และไมนาจะมีการเล็งทิศจากบน ภูเขาสูง (ซึ่งจะทําใหมองเห็นภาพรวมของเมืองทั้งหมด) ดังนั้นในการเล็งทิศในการ กอสรางแตละยุคสมัยจึงมีโอกาสผิดเพี้ยนไปไมตรงกัน อยางไรก็ดีเรายังไมอาจสรุปได เลยทีเดียววาโบราณสถานขนาดเล็กๆซึ่งตั้งอยูใกลกันหรือติดกันและมีทิศทางการวาง ตํ า แหน ง ในแนวแกนเดีย วกั น จะต อ งสร า งในยุ ค สมั ย เดี ย วกั น เสมอไป เนื่ อ งจากการ กอสรางอาคารสิ่งปลูกสรางขนาดเล็กอาจจะสามารถอางอิงทิศในการกอสรางกับสิ่งปลูก สร า งที่ อ ยู ข า งเคี ย งได โดยไม ต อ งใช ห ลั ก ดาราศาสตร ใ ดๆ ดั ง นั้ น แม ว า จะสร า งใน ระยะเวลาคนละยุคคนละสมัยหางกันหลายรอยป ก็อาจจะยังคงสามารถวางตําแหนงใน ทิศที่ตรงกันได แตในการสรางสิ่งปลูกสรางขนาดใหญ หรืออยูหางไกลออกไปก็ยังจําเปน จะตองกําหนดทิศโดยใชหลักดาราศาสตร เรายังไมพบหลักฐานที่จะชี้ใหเห็นถึงวิธีการที่ ใชในการเล็งทิศในการสรางเมืองสุโขทัย แตเราอาจตั้งสมมติฐานในการเล็งทิศการสราง เมืองสุโขทัยไดดังนี้ ๑) เล็งทิศจากสิ่งปลูกสรางชั่วคราวที่มีความสูง ที่สรางขึ้นเฉพาะใน แตละครั้งที่มีการวางผังเมืองหรือผังบริเวณ๔๔ ๒) เล็งทิศจากสิ่งปลูกสรางที่อยูขางเคียง ๔๓ ๔๔
อยูในบริเวณที่เปนพิพิธภัณฑสถานแหงชาติรามคําแหงในปจจุบัน เนื่องจากเมืองสุโขทัยมีขนาดไมใหญมาก ไมจําเปนตองเล็งทิศจากภูเขาสูงเสมอไป
๔๖
(สําหรับสิ่งปลูกสรางขนาดเล็ก) ในขณะนี้ยังไมมีขอพิสูจนสมมติฐานดังกลาวนี้ แตเรา อาจกลาวไดวาทิศของสิ่งปลูกสรางของเมืองสุโขทัยที่แตกตางกันในแตละกลุม มีสาเหตุ มาจากการวิธีการและผลการเล็งทิศในแตละยุคสมัยของการกอสราง เสา หลักเมือง ของเมืองเกาสุโขทัยนั้น ไมไดตั้งอยูในตําแหนงกลางเมือง (ภาพที่ ๒๕) สําหรับศาสน สถานที่ตั้งอยูที่ตําแหนงศูนยกลางเมืองพอดีคือ พระเจดียวัดชนะสงคราม ซึ่งสรางใน สมัยหลังจากการกอสรางกําแพงเมือง จึงไมนาจะถูกใชเพื่อประโยชนเปนตําแหนงสําคัญ ที่ใชเปนจุดอางอิงในการวัดระยะ เหมือนศาสนสถานกลางเมืองนครธมได ในการกอสรางเมืองเชียงใหม พบหลักฐานที่เปนประโยชนอยางยิ่งในการทําความ เขาใจเกี่ยวกับการใชความรูทางดานดาราศาสตรและโหราศาสตรในการวางผัง นั่นก็คือ ดวงเมืองที่จารึกเอาไวที่สวนบนของหลักจารึก แสดงการผูกดวงและดูฤกษ และมีการ กําหนดชัยภูมิของเมือง จากการตรวจสอบและสืบคนตามปทางสุริยคติแลว๔๕
ภาพที่ ๒๔ แสดงทิศของแนวแกนหลักของสิ่งปลูกสรางในเมืองสุโขทัยที่มี ความแตกตางกัน
๔๕
[๔] คณะกรรมการตรวจสอบและสืบคนดวงเมืองและตํานานพื้นเมืองเชียงใหม. (๒๕๓๗). จดหมายเหตุการตรวจสอบและสืบคนดวงเมืองนพบุรี ศรีนครพิงคเชียงใหม. เอกสารทาง วิชาการเพื่อเฉลิมฉลองและสมโภชเชียงใหม ๗๐๐ ป, เชียงใหม: โรงพิมพ ส. การพิมพ. หนา ๙.
๔๗
ภาพที่ ๒๕ ศาลหลักเมือง เมืองเกาสุโขทัย
พบวาตรงกับวันที่ ๑๒ เมษายน พ.ศ. ๑๘๓๙๔๖ หลังจากวันเถลิงศกของปดังกลาว ประมาณ ๑๖ วั น ๔๗ ซึ่ ง เป น จุ ด เริ่ ม ต น ของฤดู ร อ นเมื่ อ ฤดู ก าลเก็ บ เกี่ ย วสิ้ น สุ ด ลง เหมาะสมที่จะเปนชวงเวลาของการกอสรางซึ่งตองใชแรงงานผูคนจํานวนมาก และเพื่อให การเล็งทิศในแนวตะวันออก-ตะวันตกใกลเคียงกับความเปนจริงมากที่สุด จําเปนทีจ่ ะตอง ทําการเล็งทิศในวันเถลิงศกหรือวันใกลเคียง ถาเปนเชนนั้น การเล็งทิศนาจะเตรียมการ ไวกอนวันสรางเมืองตามฤกษ ดังปรากฏในตํานานพื้นเมืองเชียงใหมถึงรายละเอียดใน การสรางเมืองวา
๔๖ ๔๗
ตามจารึกที่วัดเชียงมั่นระบุวา เปนวันพฤหัสบดี ขึ้น ๘ ค่ํา เดือนวิสาขะ จ.ศ. ๖๕๘ วันเถลิงศกไดแกวันขึ้นปใหมของไทย เปนวันที่พระอาทิตยขึ้นทางทิศตะวันออกและตกทางทิศ ตะวันตกพอดีในฤดูรอน และชวงเวลากลางวันและกลางคืนจะยาวเทากัน โหราจารยกําหนดให เปนจุดตั้งตนของราศีเมษ อันถือเปนราศีที่ ๑ ของจักรราศี วันเถลิงศกของป พ.ศ. ๑๘๓๙ คือวันแรม ๗ ค่ํา เดือน ๕ ตรงกับวันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ. ๑๘๓๙
๔๘
“แลวเจาพระญาทั้ง ๒ หื้อแตงเครื่องพลิกัมมปูชาเทวดาทังหลาย ฝู ง รั ก ษาเมื อ ง กะทํ า พลิ กั ม ม ปู ช าแต ง เป น ๓ โกฐาก ปู ช าที่ ไชยภูมิอันตั้งหอนอน โกฐากถวน ๒ ปูชาเสื้อเมืองที่พระญาหนู เผือกอยูกลางเวียง โกฐากหนึ่งมาแจกเปน ๕ สวน ไพปูชาที่จัก แปงประตูทั้ง ๕ แหง...”๔๘ หมายความวากอนที่จะเริ่มการกอสรางไดมีการกําหนดตําแหนงอันเปนชัยภูมิ และตําแหนงของประตูเมืองทั้ง ๕ ไวเรียบรอยแลว จากนั้นจึงกระทําพิธีบูชาเทวดาที่ ตําแหนงเหลานั้น กอนเริ่มตนการกอสราง การกําหนดตําแหนงสําคัญดังกลาวนาจะได กระทํ า ไปพร อ มกั บ การเล็ ง ทิ ศ ของกํ า แพงเมื อ งในช ว งวั น เถลิ ง ศก และจากตํ า นาน พื้นเมืองเชียงใหม ฉบับ ๗๐๐ ป กลาวถึงแผนการกอสรางเมืองของ พญามังราย วา “ขามักตั้งไชยภูมิไพวันตก วันออก ใต เหนือ พุน ๕๐๐ วาแล วาอั้น…”๔๙ หมายถึ ง พระองค ท รงมี พ ระราชดํ า ริ ใ ห วั ด จากตํ า แหน ง ชั ย ภู มิ ซึ่ ง น า จะเป น ศูนยกลางเมือง (บริเวณที่พบหนูเผือก) ไป ๕๐๐ วา ทั้ง ๔ ทิศ ไมไดเล็งทิศจาก ภูเขาสูงดังเชนที่สันนิษฐานไวในการสรางเมืองของขอมโบราณ ซึ่งก็มีความเปนไปได เนื่องจากเมืองเชี ย งใหม มีข นาดเล็กกวา เมืองนครธมมาก เมื่ อพิจารณาลัก ษณะของ กําแพงเมืองและคูเมืองของเมืองเชียงใหม พบวาใกลเคียงกันแนวแกนทิศเหนือ-ใตและ ทิศตะวันออก-ตะวันตกมากกวาเมืองสุโขทัย ตําแหนงของประตูก็อยูในตําแหนงกึ่งกลาง ที่เหมาะสม มีผิดเพี้ยนไปบางก็คือประตูทาแพชั้นในซึ่งอยูทางทิศตะวันออกของเมืองซึ่ง เยื้องต่ําลงมาทางดานใตเพียงเล็กนอย คาดวานาจะเกิดจากความคลาดเคลื่อนเมื่อมีการ บูรณะปฏิ สังขรณประตูขึ้นใหม ซึ่งจะอธิบายในหัวขอตอไป แสดงวาการเล็ งทิศและ กํ า หนดตํ า แหน ง ในการสร า งเมื อ งเชี ย งใหม มี ค วามละเอี ย ดแม น ยํ า ดี (ภาพที่ ๒๖) ถึงแมวาเรายังไมพบหลักฐานทางโบราณคดีที่จะชี้ใหเห็นถึงวิธีการที่ใชในการเล็งทิศใน การสรางเมืองเชียงใหม แตเราอาจตั้งสมมติฐานในการเล็งทิศการสรางเมืองเชียงใหมได จากหลักฐานทางเอกสารประวัติศาสตร ไดดังนี้ ๑) เล็งทิศจากสิ่งปลูกสรางชั่วคราวที่มี ๔๘
ตํานานพื้นเมืองเชียงใหม ฉบับ ๗๐๐ ป, หนา ๓๕-๓๖. ดู [๒๒] หางหุนสวนจํากัด เฌอ กรีน. (๒๕๔๐) รายงานการขุดคนและบูรณะกําแพงเมืองเชียงใหม. เชียงใหม: ดาวคอมพิว กราฟก. หนา ๑๒. ๔๙ ตํานานพื้นเมืองเชียงใหม ฉบับ ๗๐๐ ป. หนา ๓๓-๓๕. ดู [๒๒] หางหุนสวนจํากัด เฌอ กรีน. (๒๕๔๐) รายงานการขุดคนและบูรณะกําแพงเมืองเชียงใหม. เชียงใหม: ดาวคอมพิว กราฟก. หนา ๑๒.
๔๙
ความสูง บริเวณใจกลางเมืองอันเปนตําแหนงชัยภูมิ ๒) เล็งทิศจากสิ่งปลูกสรางที่อยู ขางเคียง (สําหรับสิ่งปลูกสรางขนาดเล็ก) และเนื่องจากเมืองเชียงใหมมีความเจริญที่ สืบเนื่องยาวนามมาจนถึงปจจุบัน ดังนั้นในสมัยหลังที่ชนชาติตะวันตกไดเขามามีบทบาท ในดิ นแดนแถบนี้๕๐ จึ งไดนํ าเอาวิทยาการสมัยใหม ในการเล็งทิศ และวัดมุ มเข ามาใช ดังนั้นแผนผังของอาคารและสิ่งปลูกสรางในสมัยรัตนโกสินทรหรือที่ไดรับการซอมแซม ใหมข องเมื องเชียงใหม จึงค อนขางจะตรงกับแนวแกนทิ ศเหนือ-ใต และทิศตะวั นออกตะวันตก คอนขางมาก สําหรับตําแหนงที่อยูบริเวณศูนยกลางเมืองเชียงใหมพอดีนั้น ไมพบวามีศาสนสถานใดตั้งอยู นั่นแสดงวาคติความเชื่อเรื่องการจําลองจักรวาลและเขา พระสุเมรุที่จะตองอยูตําแหนงศูนยกลางเมืองพอดีนั้น ไดลดบทบาทไปอยางมาก การ วางตําแหนงของพื้นที่ชัยภูมิและเสาอินทขิลเปนไปตามหลักโหราศาสตรมากกวา ไมไดมี ผลตอการกําหนดจุดอางอิงและการวัดระยะ
ภาพที่ ๒๖ ภาพถายทางอากาศเมืองเชียงใหม ที่มา: http://pointnetwork.pointasia.com/th/PointAsia/main.aspx ๕๐
ในสมัยรัตนโกสินทร เมื่อเชียงใหมถูกผนวกเขาเปนสวนหนึ่งของสยามประเทศแลว
๕๐
๔. การศึกษาเปรียบเทียบลักษณะของกําแพงเมืองและคูเมือง ๔.๑ รูปรางและขนาด จากศิลาจารึก หลักที่ ๑ ของกรุงสุโขทัย ซึ่งจารโดยพอขุนรามคําแหงมหาราช ระบุวา “เมืองสุโขทัยนี้ ตรีบูรได ๓๔๐๐ วา” ในปจจุบันเมื่อวัดขนาดของกําแพงเมือง เกาสุ โ ขทั ย ซึ่ งมี ลั ก ษณะเป น รูป สี่ เหลี่ ย มผื น ผา จากทางด านทิ ศ เหนื อถึ ง ด า นทิ ศ ใต กวาง ๑,๔๐๐ เมตร จากทางดานทิศตะวันออกถึงทิศตะวันตก ยาว ๑,๘๑๐ เมตร มี ลักษณะเปนกําแพงพูนดิน ๓ ชั้น สูง ๕-๘ เมตร คูน้ําที่กั้นกําแพงแตละชั้น กวาง ๓๐-๔๐ เมตร (ภาพที่ ๒๗) มีทั้งสิ้น ๔ ประตู ประกอบดวย ประตูนะโมดานทิศใต ประตูกําแพงหักดานทิศตะวันออก ประตูออดานทิศตะวันตก และประตูศาลหลวงดาน ทิศเหนือ กําแพงเมืองเชียงใหมมีรูปรางเปนสี่เหลี่ยมจัตุรัส จากตํานานพื้นเมืองเชียงใหม พอขุนรามคําแหงและพญางําเมืองทรงแนะนําพญามังรายไมใหสรางเมืองใหญเกินไป เพราะจะยากแกการดูแลรักษาเมือง โดยสรางกําแพงแตละดานยาวเทากับ ๑๐๐๐ วา ในปจจุบันเมื่อวัดขนาดของกําแพงเมืองเชียงใหมในแตละดานจะมีความกวางและความ ยาวใกลเคียงกัน ประมาณ ๑,๖๐๐ เมตร มีแตกตางกันบางเล็กนอย มีประตูทั้งสิ้น ๕ ประตูหลั ก๕๑ เมืองเชียงใหมยั งมีกําแพงเมืองชั้นนอกอีกชั้นหนึ่ง มี ลักษณะเปนแนว กําแพงอิฐบนคันดินรูปโคงเลียบไปตามคลองแมขา โอบรอบครึ่งหนึ่งของกําแพงเมือง ชั้นในตั้งแตแจงศรีภูมิ ซึ่งตั้งอยูที่มุมเมืองทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ออมไปทางทิศใต ไป จรดกับแจงกูเรือง ซึ่งตั้งอยูที่มุมเมืองทิศตะวันตกเฉียงใต
๕๑
มีชื่อปรากฎใน ตํานานพื้นเมืองเชียงใหม ฉบับ ๗๐๐ ป, หนา ๔๕. กลาวถึงชื่อประตูเมืองใน สมัยพญาแสนภู พ.ศ. ๑๘๖๒ ทั้งสิ้น ๓ ประตู คือ ประตูเชียงใหมทางทิศใต ประตูหัวเวียง ทางทิศเหนือ และประตูสวนดอกทางทิศตะวันออก
๕๑
ภาพที่ ๒๗ สภาพ ของคู เ มื อ งสุ โ ขทั ย ใน ปจจุบันถูกปกคลุมไป ดวยตนไมใหญ
๔.๒ การเปลี่ยนแปลงของกําแพงเมืองและคูเมือง ในสมัยเริ่มกอสรางเมืองสุโขทัยนั้น คาดวาเมืองสุโขทัยนาจะมีเพียงกําแพงดิน ชั้นใน และคูเมืองชั้นในเพียงชั้นเดียว จากหลักฐานการขุดคนทางดานโบราณคดีของ กรมศิลปากร๕๒ พบวาในการกอกําแพงเมืองชั้นกลางและชั้นนอกของเมืองสุโขทัยนั้น มี การนําดินจากบริเวณใกลเคียงที่เคยเปนที่ที่มีคนอยูอาศัยมากอน นํามาทับถมกันเปน ปอมประตูและกําแพงเมือง มีการพบวัตถุโบราณที่มีอายุอยูในชวง พ.ศ. ๑๙๑๑-๒๑๘๑ นอกจากนี้ ที่ ป อ มประตู เ มือ งด า นทิ ศ ใต ถู ก สร า งทับ บริ เ วณที่ เ คยเป น วั ด มาก อ น และ ภายหลังไดถูกทิ้งรางไป จึงสันนิษฐานไดวากําแพงเมืองชั้นกลางและชั้นนอกรวมไปถึงคู เมืองชั้นนอกและปอมประตูเมือง ถูกสรางขึ้นภายหลังจากการกอสรางกําแพงเมืองชั้นใน และคูเมืองชั้นใน ซึ่งนาจะเปนสมัยการฟนฟูเมืองโดยพระศรีเสาวราชเจาเมืองสุโขทัย ในป พ.ศ. ๒๑๓๕ หลังจากที่เมืองสุโขทัยถูกทิ้งรางไปเปนเวลา ๘ ป๕๓ ในการบูรณะ เนื่องจากตองการปองกันภัยจากขาศึกศัตรู จึงจําเปนตองบูรณะคูเมืองและกําแพงเมือง ใหใหญโตแข็งแรงขึ้น มีการขูดคูเมืองชั้นนอกสรางกําแพงเมืองชั้นนอกรวมไปถึงปอม ๕๒
[๑๖] ศิลปากร, กรม. (๒๕๓๑). การขุดคนทางโบราณคดีในอุทยานประวัติศาสตรสุโขทัย. โครงการอุทยานประวัติศาสตรสุโขทัย, กรุงเทพ: กองโบราณคดีและประวัติศาสตร กรมศิลปากร. ๕๓ เนื่องจากพระนเรศวรมหาราชทรงกวาดตอนผูคนจากหัวเมืองเหนือ มาไวที่กรุงศรีอยุธยาระหวาง การศึกสงครามกับพมา ในระหวาง พ.ศ. ๒๑๒๗-๒๑๓๕ ดู [๑๕] ศิลปากร, กรม. (๒๕๒๕) พระบรมราชานุสาวรีย พอขุนรามคําแหงมหาราช และรวมเรื่องเมืองสุโขทัย. กรุงเทพ: กองโบราณคดีและประวัติศาสตร กรมศิลปากร. หนา ๑๕๓-๑๕๔.
๕๒
ประตูเมืองเพิ่มเติม คาดวาการกออิฐประกอบแกนดินกําแพงเมืองชั้นในดานตะวันตก นาจะสรางขึ้นในสมัยนี้ดวย (ภาพที่ ๒๘) เชนเดียวกันตามแบบอยางกําแพงเมืองของกรุง ศรีอยุธ ยา ภายหลั งเมื่ อเมื่อสุ โขทัยถูกตีแตกโดยกองทั พพมาอีกในป พ.ศ. ๒๓๐๘ ความเสียหายที่เกิดขึ้นคงจะมากจนเปนการยากที่จะฟนฟูเมืองได และอีกประการหนึ่งคง เป น เหตุ ผ ลทางการเมื อ งของกรุ ง รั ต นโกสิ น ทร ที่ ต อ งการรวมศู น ย อํ า นาจเอาไว ที่ กรุงเทพฯเพียงแหงเดียว พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟาจุฬาโลกจึงโปรดใหยายเมือง สุโขทัยมาตั้งใหมยังบานธานีริมแมน้ํายมอันเปนที่ตั้งปจจุบัน ในป พ.ศ. ๒๓๒๙ และนํา ผลงานศิ ล ปกรรมส ว นใหญ ม าไว ที่ ก รุ ง เทพฯ เมื อ งเก า สุ โ ขทั ย จึ ง เสื่ อ มสลายไปตาม กาลเวลา ไมไดรับการบูรณะซอมแซมอีก จนกระทั่งเกิดโครงการฟนฟูบูรณะปฏิสังขรณ อุทยานประวัติศาสตรสุโขทัยในรัชกาลปจจุบัน
ภาพที่ ๒๘ ป ร ะ ตู อ อ ท า ง ทิ ศ ต ะ วั น ต ก ข อ ง เ มื อ ง สุโขทัย
ในสมัยแรกสรางเมืองเชียงใหม๕๔สันนิษฐานวานาจะมีกําแพงเมืองและคูเมือง เพียงชั้นเดียวเหมือนเชนปจจุบัน แตไมปรากฏหลักฐานเอกสารแสดงวาเปนกําแพงดิน หรือกอดวยอิฐ เหตุที่เห็นวาเปนชั้นเดียวก็เนื่องจาก ในป พ.ศ. ๑๘๘๕ ในรัชสมัยของ พญาผายู มีการขยายคูเมืองใหกวาง ถึง ๑๖ เมตร๕๕ และกอกําแพงเมืองดวยอิฐ (เปน การเสริมกําแพงเดิม) ในการขยายคูเมือง ถาหากกําแพงเมืองมี ๓ ชั้นก็คงเปนเรื่อง ยุงยากซับซอนจะตองปรับเปลี่ยนแนวกําแพงชั้นนอกใหมซึ่งนาจะถูกบันทึกไวพรอมกับ การขยายคูเมือง แตไมปรากฏวามีบันทึกในเรื่องดังกลาว ๕๔
สรางใน ป พ.ศ. ๑๘๓๙ ในสมัยของพญาเม็งราย ชินกาลมาลีปกรณ, หนา ๑๐๔. ดู [๒๒] หางหุนสวนจํากัด เฌอ กรีน. (๒๕๔๐) รายงาน การขุดคนและบูรณะกําแพงเมืองเชียงใหม. เชียงใหม: ดาวคอมพิวกราฟก. หนา ๑๔.
๕๕
๕๓
มีการเจาะประตูเมืองเพิ่มเติมสําหรับเหตุการณเฉพาะหนา ๒ ครั้ง ครั้งแรก ใน ป พ.ศ. ๑๙๔๓ สมั ย พญาแสนเมื อ งมา เจาะประตูเ มื องด า นที่ ติ ดกั บ วั ด พราหมณ อัญเชิญพระศพพญากือนาจากพระราชวังนอกเมือง เขามาในเมือง แลวกอกําแพงปด ดังเดิม ทั้งนี้เพราะกลัวกองทัพกรุงศรีอยุทธยาจะมาบุก๕๖ ครั้งที่ ๒ เกิดขึ้นในสมัยของ พญาสามฝงแกน (พ.ศ. ๑๙๔๔-๑๙๘๔ ๕๗) มีการเจาะชองประตู ชื่อประตูส วนแร๕๘ บริเวณกําแพงเมืองดานทิศใต เพื่อใหพระมหาเทวีราชชนนีซึ่งตั้งพระตําหนักอยูตําบล สวนแร ภายนอกกําแพงเมือง เสด็จมาดูการกอพระเจดียภายในเมือง ตอมากําแพงเมืองและคูเมืองดานทิศตะวันออกเฉียง เหนือซึ่งเปนพื้นที่ที่ถือเปน ชัยภูมิของเมือง ถูกรื้อทําลายในสมัยของพญาติโลกราช (ป พ.ศ. ๑๙๘๕-๒๐๓๐๕๙) พรอมๆกับการตัดตนนิโครธ ซึ่งเปนไมศรีเมืองเชียงใหม เพื่อสรางเปนพระราชวังใน บริเวณนั้น ทั้งนี้เนื่องจากพระองคหลงกลลวงของชีมานชื่อมังลุงหลวง ซึ่งเปนไสศึกจาก กรุงศรีอยุธยาใหมาทําลายศรีเมืองเชียงใหม กําแพงเมืองที่ถูกทําลายลงไดถูกซอมแซม บู ร ณะด ว ยอิ ฐ ในสมั ย ต อ มาคื อ สมั ย พระเมื อ งแก ว (พ.ศ. ๒๐๓๙-๒๐๖๙) ในช ว ง ระยะเวลาตอมาในสมัยที่เชียงใหมตกอยูภายใตการปกครองของพมาไมปรากฏวามีบันทึก เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงคูเมืองหรือกําแพงเมือง จนกระทั่งเปนอิสระจากพมาและเขามา เปนสวนหนึ่งของราชอาณาจักรสยามจึงมีการฟนฟูบูรณะคูเมืองกําแพงเมืองและประตู เมือง หลังจากที่เมืองไดรับความเสียหายจากการศึกสงครามและถูกทิ้งรางไปถึง ๒๐ ป ในป พ.ศ. ๒๓๔๐ สมัยของพระยากาวิละ ในสมัยรัตนโกสินทรเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญของกําแพงเมืองเชียงใหมเมื่อ กําแพงเกิดชํารุดหักพังไปทั้ง ๔ ดาน ขาหลวงใหญมณฑลพายัพและเจาเมืองเชียงใหม จึงใหทําการไถเกรดกําแพงเมืองเพื่อกอสรางถนนรอบเมือง ภายหลังเมื่อกําแพงเมือง เชียงใหมไดรับการขึ้นทะเบียนใหเปนโบราณสถานแหงชาติ๖๐ จึงไดมีการปฏิสังขรณ ประตูเมืองและแจงเมืองเชียงใหมหลายครั้งหลายหนระหวาง ป พ.ศ. ๒๕๐๙ เปนตน มา โดยครั้งลาสุดมีการบูรณะกําแพงเมืองเชียงใหมใน ป พ.ศ. ๒๕๓๙ ที่ผานมานี่เอง (ภาพที่ ๒๙-๓๐) ๕๖
เหตุที่ไมนําพระศพเขาประตูเมืองที่มีอยูเดิม คาดวาเปนเหตุผลเกี่ยวกับความเชื่อของคนเมือง ชินกาลมาลีปกรณ ดู เชิงอรรถที่ ๑๙ ๕๘ ตอมาอาจเปนประตูแสนปรุงหรือสวนปรุง ๕๙ ชินกาลมาลีปกรณ ดู เชิงอรรถที่ ๑๙ ๖๐ เมื่อวันที่ ๘ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ ๕๗
๕๔
สวนระยะเวลาการกอสรางกําแพงเมืองชั้นนอกของเมืองเชียงใหม ยังเปนที่ ถกเถียงกันวาสรางขึ้นในสมัยไหน สันนิษฐานได ๓ กรณีคือ ๑) สรางในสมัยพระเม กุฏิสุทธิวงศ (พ.ศ. ๒๐๙๔-๒๑๐๑) ตามคําเสนอของขุนนางพมา ทําการขุดคูเมือง กอ กําแพงดินชั้นนอก เปนราหูอมกําแพงเมืองเกา ใน พ.ศ. ๒๑๐๐๖๑ ๒) สรางสมัย กษัตริยพมาพระนามสุทโธ ในป พ.ศ. ๒๑๖๐ ๓) สรางสมัยแมทัพโกษาธิบดีแหงกรุง ศรี อ ยุ ธ ยาเมื่ อ ครั้ ง ยกทั พ มาตี เ มื อ งเชี ย งใหม ในป พ.ศ. ๒๒๐๔-๐๕ ส ว นการ บูรณะปฏิสังขรณ และเสริมสรางกําแพงเมืองชั้นนอกนั้น เกิดขึ้นในป พ.ศ. ๒๓๖๔ ใน สมัยของพญาชางเผือก (พ.ศ. ๒๓๕๖-๒๓๖๔) ตระกูลเจาเจ็ดตน พระองคทําการขุด คูเมืองชั้นนอก และใหกออิฐบนกําแพงดิน ตั้งแตแจงศรีภูมิออมลงมาทางทิศใตจนตลอด แนว จะเห็นไดวาลักษณะทางกายภาพของกําแพงเมืองเชียงใหม มีการเปลี่ยนแปลง หลายครั้งหลายคราในประวัติศาสตร ที่มากที่สุดคือการไถเกรดทําลายในสมัยรัชกาลที่ ๕ ดังนั้นลักษณะของกําแพงเมือง และประตูเมืองสวนใหญในปจจุบัน เปนของที่สรางขึ้น ใหม ซึ่งคาดวาจะแตกตางไปมากจากของดั้งเดิมตั้งแตเริ่มสราง แตตําแหนงกําแพงเมือง ที่เลียบไปตามคูเมืองเดิมนาจะใกลเคียงกับแนวเดิมมากที่สุด ในสมัยโบราณมีพระเถระใน พระพุทธศาสนาของลานนาหลายทาน ที่ไดประพันธเอกสารประวัติศาสตรและตํานาน พื้นเมืองในเชิงศาสนาไวมากมาย และไดกลายเปนเอกสารสําคัญใหคนรุนหลังไดศึกษา เปรียบเทียบ แตกตางกับเมืองเกาสุโขทัยที่วรรณกรรมทางดานประวัติศาสตรศาสนามิได เจริญแพรหลาย จึงไมทราบประวัติการเปลี่ยนแปลงของคูเมืองและกําแพงเมืองมากนัก นอกจากหลักฐานทางโบราณคดีที่มีอยู
ภาพที่ ๒๙ ประตูทาแพและกําแพงเมือง ได รับการบูรณะครั้งลาสุดใน ป พ.ศ. ๒๕๓๙
๖๑
ตํานานพื้นเมืองเชียงใหม ฉบับ ๗๐๐ ป, หนา ๑๗.
๕๕
ภาพที่ ๓๐ ประตู ท า แพและ กําแพงเมือง มุมมองจากถนน ราชดําเนิน
๕. การศึกษาเปรียบเทียบการแบงพื้นที่การใชที่ดิน การวิเคราะหการแบงพื้นที่การใชที่ดินของเมืองโบราณนั้นมีความยากลําบาก พอสมควร เพราะเปนธรรมดาที่การใชที่ดินในแตละเมืองยอมสามารถเปลี่ยนแปลงไปได ในแตละยุคแตละสมัย โดยเฉพาะเมืองที่มีประวัติศาสตรสืบเนื่องยาวนาน อาจเปลี่ยนไป ตามป จ จั ย ต า งๆมากมาย เช น จํ า นวนประชากรที่ เ พิ่ ม มากขึ้ น ความเชื่ อ การ เปลี่ ย นแปลงทางด า นการเมื อ ง การคมนาคมขนส ง โดยสาร แต อ าจมี บ างพื้ น ที่ ที่ มี ลักษณะการใชที่ดินที่คงเดิ ม ยากที่จะเปลี่ยนแปลง เชน พื้ นที่ศาสนสถานอันเป นที่ เคารพบูชาของประชาชน หรือพื้นที่เขตพระราชฐาน เปนตน ระหวางเมืองโบราณที่ เวลาหยุดนิ่งลง กับเมืองที่มีความเจริญเติบโตไมหยุดนิ่งตลอดเวลา เราควรจะกําหนด ชวงเวลาในการเปรียบเทียบที่เหมาะสมอยางไร ปญหาก็คือสําหรับโบราณสถานที่เมือง โบราณสุโขทัย เราไมสามารถจําแนกยุคสมัยในการสรางไดชัดเจนทั้งหมด ไดแตเพียง คาดคะเนเทานั้น ในการเปรียบเทียบครั้งนี้ จึงจะขอเปรียบเทียบภาพรวมอยางคราวๆ ในชวงเวลากอนสมัยกรุงรัตนโกสินทรเทานั้น ซึ่งเปนชวงเวลากอนทีก่ รุงสุโขทัยจะถูกทิ้ง รางไปเทานั้น๖๒ กรุงสุโขทัยเมื่อเริ่มสรางเดิมใหศาสนสถานวัดพระพายหลวงเปนศูนยกลางเมือง ไม ปรากฏหลักฐานแนชัดวาพระราชวังและบริเวณบานเรือนที่อยูอาศัยของกลุมบุคคลชั้นสูง รวมไปถึงบานเรือนของประชาชนธรรมดารวมตัวกันหนาแนนอยูที่ใดบาง ทางดานทิศ ตะวั น ออกของวั ด พระพายหลวงมี คั น ดิ น รู ป สี่ เ หลี่ ย มผื น ผ า ขนาดใหญ มี ร อ งรอยคู น้ํ า ๖๒
ขอมูลสวนใหญที่ใชในการเปรียบเทียบนี้ อางอิงจาก [๑๒] ศรีศักร วัลลิโภดม. (๒๕๓๒). เมืองโบราณในอาณาจักรสุโขทัย. กรุงเทพฯ: สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.
๕๖
ชลประทานภายใน และมี ซ ากศาสนสถาน และร อ งรอยการอยู อ าศั ย ในบางบริ เ วณ สันนิษฐานวานาจะเปนพื้นที่นาที่มีความสัมพันธกับวัดพระพายหลวง มีศาลตาผาแดงซึ่ง เปนศาลเทพเจาประจําเมืองอยูทางทิศใต ตอมาเมื่อมีการขยายเมืองยายศูนยกลางเมืองมา อยูทางดานทิศใต สรางเปนกําแพงเมืองและคูเมืองรูปสี่เหลี่ยมผืนผาโอบลอม ใจกลาง เมื อ งเป น ที่ ตั้ ง ของพระราชวั ง ๖๓ และวั ด ประจํ า เมื อ งนั้ น ก็ คื อ วั ด มหาธาตุ ซึ่ ง อยู ท างทิ ศ ตะวันตกของพระราชวัง บรรดาวัดสําคัญๆของเมืองสุโขทัยจะเกาะกลุมอยูกลางเมือง บาง วัดมีตระพังลอมรอบวิหารตามคติความเชื่อในการถือสีมาน้ํา และเพื่อประโยชนในการนํา น้ํามาใชในการอุปโภคบริโภคของชาวเมืองดวย วัดเหลานั้น ไดแก วัดสระศรี วัดตระพัง เงิ น นอกจากนี้ ยั ง มี วัด อื่ น ๆที่ ไ ม ถือ สี ม าน้ํ า ได แ ก วั ด ตระกวน วัด ใหม และวั ด ชั ย สงคราม ทางดานทิศเหนือและทิศตะวันออกของเมืองยังมีวัดที่ถือสีมาน้ําอีก ๒ วัดคือวัด ตระพังสอและวัดตระพังทอง บานเรือนที่อยูอาศัยของผูคนสวนใหญจะหนาแนนอยูทางฝง ตะวันออกของเมือง เนื่องจากสามารถขุดบอบาดาลที่รองรับน้ําซึมจากตระพังตางๆได สวนดานตะวันตกของเมืองเปนบริเวณที่มีผูคนอยูเบาบาง เนื่องจากขาดแคลนน้ําใตดินที่ เหมาะกับการอุปโภคบริโภค ภายนอกเขตกําแพงเมืองทางทิศตะวันตกซึ่งเปนพื้นที่ปาเขา ตามเชิงเขาและ ยอดเขาเตี้ยๆเปนที่ตั้งของวัดอรัญญิกหลายแหง เชน วัดสะพานหิน วัดพระบาทนอย วัดอรัญญิก วัดปามะมวง เปนตน ทางดานทิศใตเปนพื้นที่ลาดต่ํา เปนพื้นที่เรือกสวน ปาหมาก ปาพราว นอกจากนี้ยังเปนที่ตั้งของวัดอันเปนที่จําพรรษาของพระเถระผูใหญ เชน วัดเชตุพน วัดมุมลังกา วัดอโศการาม เปนตน ทางดานทิศตะวันตกและทิศเหนือ เปนที่ราบลุมมีลําน้ําแมลําพันไหลผาน จึงถูกใชเปนพื้นที่เกษตรกรรมทํานา (ภาพที่ ๓๑) สําหรับเมืองเชียงใหมในยุคสรางบานแปงเมืองนั้น มีการสรางวัดประจําเมืองวัด แรกอยูในตําแหนงชัยภูม๖๔ ิ ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองคือวัดเชียงมั่นในปจจุบัน สวนตําแหนงของพระราชวังก็ควรจะอยูบริเวณใกลกับวัดเชียงมั่นนั่นเอง ในสมัยตอมาใน สมัยของพระเจาแสนเมืองมา(พ.ศ. ๑๙๒๘-๑๙๔๔) ไดทรงสรางวัดหัวขวงแสนเมืองมา หลวงขึ้ น ๖๕ ซึ่ ง เชื่ อ กั น ว า เป น วั ด สํ า คั ญ ที่ ติ ด กั บ ข ว งหลวงหรื อ สนามหลวงของเมื อ ง ๖๓
อยูในบริเวณที่เปนพิพิธภัณฑสถานแหงชาติรามคําแหงในปจจุบัน จากการผูกดวงเมืองเชียงใหม ตําแหนงศรีของเมืองอยูทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ๖๕ ปจจุบันชื่อวาวัดหัวขวง ตั้งอยูภายในเขตกําแพงเมืองเชียงใหม ดานติดกับประตูชางเผือกหรือ ประตูหัวเวียงทางทิศเหนือ และตั้งอยูทางดานทิศตะวันตกของวัดเชียงมั่น หางออกไปประมาณ ๓๐๐ เมตร ดู [๑๙] สุรพล ดําริหกุล. (๒๕๓๙). แผนดินลานนา. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ เมืองโบราณ. หนา ๑๕๒-๑๖๙. ๖๔
๕๗
เชียงใหมในอดีต ดังนั้นทางดานทิศใตของวัดหัวขวงจึงควรจะเปนที่ตั้งของสนามหลวงซึ่ง รายลอมไปดวยสถานที่ทําการของขุนนางหรือที่เรียกกันวา “เคาสนามหลวง” นั่นเอง ในปจจุบันพื้นที่ที่ตั้งอยูทางดานทิศใตของวัดดังกลาว เปนที่ตั้งของกลุมของสถานศึกษา และสถานที่ ร าชการ ประกอบด ว ย เรื อ นจํ า จั ง หวั ด เชี ย งใหม วิ ท ยาลั ย อาชี ว ศึ ก ษา โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย โรงเรียนพาณิชยการลานนา มีอาคารพาณิชย สอดแทรกอยู เปนชวงๆ วัดสําคัญอีกวัดหนึ่งซึ่งสรางขึ้นในสมัยพระเจาแสนเมืองมาเชนเดียวกัน ก็คือ วัดพระสิงห เปนวัดที่ตั้งอยูตามแนวแกนทิศตะวันออก-ตะวันตก กลางใจเมือง โดย ตํ า แหน ง ของวั ด ตั้ ง อยู เ ยื้ อ งไปทางทิ ศ ตะวั น ตก เป น ที่ ป ระดิ ษ ฐานของพระพุ ท ธรู ป คูบานคูเมือง นั่นก็คือพระพุทธสิหิงค มาจนกระทั่งถึงปจจุบัน (ภาพที่ ๓๒)
ภาพที่ ๓๑ การแบงพื้นที่การใชที่ดินของเมืองโบราณสุโขทัย
๕๘
ภาพที่ ๓๒ การใชที่ดินภายในเขตคูเมืองเชียงใหมและพื้นที่ใกลเคียง มีการวางตําแหนงเสาอินทขิลซึ่งเปรียบเสมือนเสาหลักเมืองไวบริเวณใกลๆกับ ศูนยกลางเมืองเยื้องไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือเล็กนอย ในบริเวณซึ่งตอมาเปนวัด อินทขิล (ภาพที่ ๓๓) ตอมาในสมัยหลัง ไมทราบชวงเวลาที่แนชดั เสาอินทขิลไดถูก ยายมาประดิษฐานไวทวี่ ัดเจดียหลวง๖๖ (ภาพที่ ๓๔) ในปจจุบันไมเหลือรองรอยของสระน้ําหรือธารน้ําในเมือง เนื่องจากพื้นที่เมืองถูก ปรับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ไมสามารถระบุตําแหนงที่ตั้งของบริเวณพื้นที่พักอาศัยสวน ใหญได แตเมื่อพิจารณาจากตําแหนงที่ตั้งของศาสนสถานซึ่ง กระจายตัวอยูหนาแนน ตามแนวแกนทิศตะวันออก-ตะวันตก ตั้งแตแมน้ําปง ไปจนถึงวัดพระสิงห (ภาพที่ ๓๕) จึ ง สั น นิ ษ ฐานได ว า ในพื้ น ที่ โ ดยรอบบริ เ วณดั ง กล า วน า จะมี ผู ค นอาศั ย อยู ห นาแน น เชนเดียวกัน สวนในบริเวณที่ถัดออกไปจากแนวแกนดังกลาว รวมไปถึงพื้นที่ภายใน เขตคู เ มื อ งชั้ น นอก มี อ าคารศาสนสถานกระจายตั ว อยู เ บาบางกว า ดั ง นั้ น ในพื้ น ที่ โดยรอบบริเวณดังกลาวนาจะมีผูคนอาศัยอยูหนาแนนนอยกวาพื้นที่ตามแนวแกนกลาง ๖๖
ตั้งอยูในบริเวณใกลๆกับศูนยกลางเมืองเยื้องไปทางทิศตะวันตกเฉียงใตเล็กนอย สรางในสมัยของ พระเจาแสนเมืองมา(พ.ศ. ๑๙๒๘-๑๙๔๔) เมตร ดู เอกสารอางอิงในเชิงอรรถที่ ๖๔, หนา ๑๐๙-๑๕๑.
๕๙
เมือง การกระจายตัวของกลุมศาสนสถานและที่พักอาศัยที่มีกระจัดกระจายไปทั่วทุก บริเวณดังกลาว แสดงวาภายในเมืองเชียงใหม ไมมีปญหาเรื่องแหลงน้ําบาดาลเพื่อการ อุปโภคและบริโภคเหมือนดังเชนที่พบในเมืองสุโขทัย
ภาพที่ ๓๓ พระเจดียวัดอินทขิล ภายใน หอศิลปวัฒนธรรมเชียงใหม ซึ่งเปนวัดที่ตั้ง ของเสาอินทขิลตั้งแตเริ่มสรางเมือง
ภาพที่ ๓๕ วิหารลายคําภายในวัดพระสิงค ภ า ย ใ น ป ร ะ ดิ ษ ฐ า น พ ร ะ พุ ท ธ สิ หิ ง ห พระพุทธรูปคูบานคูเมืองเชียงใหม
ภาพที่ ๓๔ เสาหลักเมือง หรือเสาอินทขิล ในปจจุบัน ตั้งอยูภายในบริเวณวัดเจดียหลวง
๖๐
สวนภายนอกเขตกําแพงเมืองนั้น พื้นที่ที่เหมาะสมกับการเกษตรมีทั้งดานทิศ เหนือและทิศตะวันออกและทิศใต สวนทางทิศตะวันตกเปนปาเขา บริเวณเชิงดอยสุเทพ ทางทิศตะวันตกในอดีตกอนการสรางเมืองเปนที่อยูของชาวลัวะ ตอมาในสมัยเมื่อ พระพุทธศาสนาเจริญรุงเรืองจึงเปนสถานที่ตั้งของวัดอรัญวาสีหลายวัด อาธิเชน วัด บุ บ ผารามสวนดอกไม ๖๗ วั ด พระธาตุ ด อยสุ เ ทพ ๖๘ วั ด ป า แดงหลวง ๖๙ ในสมั ย กรุ ง รัตนโกสินทรเมื่อเมืองเชียงใหมเปนสวนหนึ่งของราชอาณาจักรสยาม เกิดการเดินทาง ติดตอคาขายกับเมืองสําคัญทางใต รวมไปถึงฝรั่งชาติตะวันตกเจริญขึ้น พื้นที่บริเวณริม แมน้ําปงทางดานทิศตะวันออกของเมือง ไดกลายเปนที่พักอาศัยของขาราชการจาก กรุงเทพฯ ชาวตะวันตก พอคา มีตลาดแลกเปลี่ยนสิ้นคาที่ขนสงขึ้นลองมาตามลําน้ําปง ในพื้นที่ริมแมน้ํา สวนในเขตกําแพงเมืองนั้นมีตลาดสําคัญตั้งอยูบนถนนกลางเมืองกอน ถึงวัดพระสิงห ๖. การศึกษาเปรียบเทียบระบบน้ําและชลประทาน ระบบน้ําและชลประทานของเมืองสุ โขทัย ยั งคงเหลือร องรอยใหทําการศึกษา คนควาอยูมาก จะเห็นแนวคันดินทดน้ํา อยูทั่วไปโดยเฉพาะทางทิศตะวันตกของตัว เมือง ในขณะที่ระบบน้ําและชลประทานของเมืองเชียงใหมถูกเปลี่ยนแปลงไปหมดแลวใน ปจจุบัน จนไมเหลือรองรอยเดิม เปนการยากมากที่จะทําการเปรียบเทียบ อยางไรก็ดี ในพื้นที่เมืองโบราณสุโขทัยและเมืองเชียงใหม มีระบบการจัดการน้ําและชลประทานของ เมืองเพื่อประโยชนในการอุปโภคและบริโภคของชาวเมือง เพื่อระบายน้ําในฤดูน้ําหลาก และเพื่อการเกษตร เนื่ อ งจากเมื อ งสุ โ ขทั ย มี ป ญ หาเรื่ อ งการขาดแคลนน้ํ า บาดาลเพื่ อ การอุ ป โภค บริโภค อีกทั้งยังขาดแคลนน้ําจากแหลงน้ําลําธารในหนาแลง ดังนั้นระบบเก็บกักน้ําผิว ดินจึงเปนเรื่องจําเปนอยางมาก ชาวเมืองสุโขทัยอาศัยคูเมือง และตระพังเก็บน้ําตามวัด สําคัญๆกลางเมืองในการเก็บกักน้ํา น้ําเหลานี้จะไหลซึมเขาสูบอบาดาลตามที่พักอาศัย ๖๗
ในปจจุบันคือวัดบุบผาราม หรือที่ชาวบานเรียกกันทั่วไปวาวัดสวนดอก เปนวัดที่พญากือนา (พ.ศ. ๑๙๑๐-๑๙๓๑) โปรดใหสรางขึ้นเพื่อใหเปนที่พํานักของพระมหาสุมนเถระ พระสงฆชั้น ผูใหญจากเมืองสุโขทัยผูเดินทางมาเผยแพรศาสนายังนครเชียงใหม ๖๘ พญากือนาทรงโปรดใหสรางขึ้นในป พ.ศ. ๑๙๒๙ เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ที่พระสุมน เถระ ไดอัญเชิญมาจากกรุงสุโขทัย ๖๙ ตั้งอยูเชิงดอยสุเทพ
๖๑
ของประชาชนที่ตั้งอยูหนาแนนทางทิศตะวันออก มีการสรางคันดินหลายแนวเพื่อทดน้ําที่ ไหลมาจากแหลงน้ําธรรมชาติบนเทือกเขาทางทิศตะวันตกและจากน้ําที่หลากมาตามผิว ดิน เขาสูกําแพงเมือง คูเมือง และตระพังภายในคูเมือง เชนคันดินทางทิศตะวันตก ของวัดพระพายหลวงทําหนาที่ชักน้ําและระบายน้ําเขาสูลําหวยแมโจน ซึ่งเปนคูเมืองใน สมัยแรกเริ่ม ที่มีศูนยกลางเมืองอยูที่วัดพระพายหลวง๗๐ หรือคันดินที่อยูทางดานทิศ ตะวันตกของวัดศรีชุม รวมไปถึงคันดินที่อยูบริเวณเชิงเขาสะพานหินและเขาพระบาท นอย จะทดน้ําใหไหลมารวมกันกอนเขาสูกําแพงเมืองและคูเมืองทางประตูออ กอนจะ ไหลไปสูตระพังตางๆและไหลออกไปทางคูเมืองทางทิศตะวันตกลงสูลําน้ําแมลําพัน สวน เขื่อนพระรวงซึ่งเปนทํานบที่กั้นระหวางเขาสะพานหิน และเขาพระบาทนอย (ภาพที่ ๓๖) ทํ า หน า ที่ ท ดน้ํ า เข า สู ค ลองเสาหอ เข า หล อ เลี้ ย งคู เ มื อ งทางมุ ม กํ า แพงเมื อ งด า นทิ ศ ตะวันตกเฉียงใต และสงน้ําเขาไปสูตระพังเก็บน้ําภายในเมืองทางประตูออ (ภาพที่ ๓๗) ซึ่งตั้งอยูทางทิศตะวันตกของเมืองโบราณสุโขทัย กอนถูกปลอยออกไปยังลําน้ําแม ลํา พันทางทิศตะวันออก
ภาพที่ ๓๖ เขื่อนพระรวง ทํานบ กั้ น น้ํ า ร ะ ห ว า ง เ ข า สะพานหิ น และเขา พระบาทนอย เพื่อทด น้ํ า เ ข า เ มื อ ง โ บ ร า ณ สุโขทัย
๗๑
[๑๒] ศรีศักร วัลลิโภดม. (๒๕๓๒). เมืองโบราณในอาณาจักรสุโขทัย. กรุงเทพฯ: สถาบัน ไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร. หนา ๔๔.
๖๒
ภาพที่ ๓๗ แนวคลองสงน้ําเขา เมื องจา กคู เมื อ ง เขามาทางประตูออ ซึ่ ง ตั้ ง อ ยู ท า ง ทิ ศ ตะวันตก
สําหรับน้ําเพื่อการอุปโภคบริโภคของเมืองเชียงใหมในอดีตนั้น สันนิษฐานวา นาจะใชน้ําบาดาลจากแหลงน้ําใตดิน ทั้งนี้เนื่องจากทั่วทั้งเมืองเชียงใหมตั้งอยูใกลกับ แมน้ําปงมาก ไมมีปญหาการขาดแคลนแหลงน้ําใตดินเหมือนเชนที่เมืองสุโขทัย ดังนั้น จึงไมมีความจําเปนที่จะตองเก็บกักน้ําไวในสระหรือตระพังเหมือนที่สุโขทัย นอกจากนี้ยัง มีลําน้ําธรรมชาติหลายสายที่ไหลมาจากดอยสุเทพ เชน หวยแกว หวยกูขาว หวยเย็น หวยผาลาด หวยอุโมงค และหวยโปงนอย เปนตน ลําหวยเหลานี้ ในสมัยกอนมีน้ํา ไหลตลอดทั้งป ลําหวยแกวเปนลําน้ําสายสําคัญที่ใชในการทดน้ําเขามาหลอเลี้ยงคูเมือง เชียงใหม และลําเหมืองตางๆที่ขุดขึ้นภายในเมือง ในป พ.ศ. ๒๓๕๘ พญาธรรมลังกา ทรงโปรดใหขุดลําเหมือง ๓-๔ สายภายในเมืองเชียงใหม ซึ่งภายหลังถูกไถกลบเปนที่ อยูอาศัยของประชาชนและถนนหนทาง จนไมเหลือรองรอยเดิม ๗๑ ในฤดู น้ํ า หลาก พื้ น ที่ เ มื อ งสุ โ ขทั ย ประสบป ญ หาน้ํ า ท ว มขั ง ในที่ ลุ ม เป น ระยะ เวลานาน สรางความเสียหายใหแกเรือกสวนไรนาและบานเรือนราษฎร จึงจําเปนตอง ขุดคลองในทิศตะวันออกและดานใตของเมือง ชื่อวาคลองยาง๗๒ เพื่อระบายน้ําเมื่อมีน้ํา มากเกินไป แตที่เมืองเชียงใหมนั้นเนื่องจากอยูในพื้นที่สูง มีความลาดเอียงมากกวา เมืองสุโขทัยและอยูติดกับแมน้ําปง น้ําที่หลากมาจะถูกระบายลงแมน้ําปงไหลลงไปทาง
๗๑
[๒๒] หางหุนสวนจํากัด เฌอ กรีน. (๒๕๓๐) รายงานการขุดคนและบูรณะกําแพงเมือง เชียงใหม. เชียงใหม: ดาวคอมพิวกราฟก. หนา ๑๙. ๗๒ ดูเชิงอรรถที่ ๗๓, หนา ๔๘.
๖๓
ทิศใตอยางรวดเร็ว ไมทวมขังเปนเวลานาน ยังไมพบหลักฐานเกี่ยวกับคลองระบายน้ํา ในอดีตของเมืองเชียงใหม ในดานการชลประทานเพื่อการเกษตรนั้น เมืองสุโขทัยนับวามีความกาวหนามา ตั้งแตสมัยแรกกอสรางเมือง เมื่อครั้งที่มีศูนยกลางเมืองอยูที่วัดพระพายหลวง มีคันดิน รูปสี่เหลี่ยมผืนผาขนาดใหญอยูทางดานทิศตะวันออกของวัดพระพายหลวง ภายในมี รองรอยของลําเหมือง แยกจากลําน้ําแมลําพันเขาไปในพื้นที่ สันนิษฐานวาเปนพื้นที่ทํา นาหลวง๗๓ ที่มีระบบชักน้ําเขานา และระบายน้ําออกเมื่อมีน้ํามากเกินไป นอกจากนี้ยัง พบระบบชลประทานแบบเหมืองฝายอีกหลายแหงหางออกไปนอกตัวเมืองไปทางทิศ เหนือ๗๔ สวนในพื้นที่เมืองเชียงใหมนั้น เนื่องจากบานเมืองมีความเจริญเติบโตสืบเนื่อง มาจนถึงปจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงพื้นที่ทําการเกษตรที่อยูโดยรอบแนวกําแพงเมือง กลายเปนพื้นที่อยูอาศัยไปหมดแลว ในขณะนี้ยังไมพบหลักฐานเกี่ยวกับรองรอยของ ระบบชลประทานเพื่อการเกษตรในสมัยโบราณ
๗๓
[๑๘] สุจิตต วงษเทศ. (๒๕๔๘). แควนสุโขทัย รัฐในอุดมคติ. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ มติชน. หนา ๘๖-๘๘. ๗๔ ดูเชิงอรรถที่ ๗๓, หนา ๔๙.
๖๔
บทที่ ๕
สรุป อภิปรายผล และขอเสนอแนะ ๑. ที่มา ประเด็นปญหา และขอมูลพืน้ ฐานของโครงการ ในบรรดาราชธานีแหงแวนแควนตางๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต ที่ เจริญรุงเรืองในศตวรรษที่ ๑๙-๒๐ นั้น เมืองสุโขทัยและเมืองเชียงใหมจัดไดวาเปนราช ธานีที่มีความโดดเดนกวานครอื่นๆอยางเห็นไดชัด เนื่องดวยเปนศูนยกลางการเมือง การปกครอง การคา ศาสนา และศิลปวัฒนธรรม เปนที่นาสนใจที่เมื่อสังเกตลักษณะ ทางกายภาพโดยรวมของเมืองทั้งสอง พบวามีลักษณะสัณฐานคลายคลึงกันอยางนา ประหลาดใจ คือเปนรูปรางเกือบสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยิ่งไปกวานั้นยังมีลักษณะทางภูมิศาสตร ของที่ตั้งเมืองที่คลายคลึงกันอีกดวย สิ่งที่เห็นนี้เปนเพียงความบังเอิญหรือเกิดขึ้นดวย เหตุผลอื่นใดกันแน และรูปลักษณที่มองรวมๆวาเหมือนหรือคลายคลึงกันนั้น จริงๆแลว มีความแตกตางกันในรายละเอียดอยางไร อะไรเปนสาเหตุที่กอใหเกิดความแตกตาง เหลานั้น จากขอสงสัยดังกลาวผูวิจัยจึงไดเริ่มดําเนินการทําวิจัยนี้ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค เพื่ อหาข อ สรุป ของรู ป แบบและลัก ษณะทางกายภาพที่คลา ยคลึ งกัน และแตกต างกั น ระหวางการวางผังเมืองโบราณทั้งสอง ซึ่งจะเปนการสรางเสริมองคความรูดานศาสตรใน การวางผังเมืองประวัติศาสตร และอิทธิพลตางๆที่มีผลตอลักษณะทางกายภาพของเมือง โบราณอันเปนมรดกของประเทศ การวิจัยครั้งนี้เปนการวิจัยเชิงประวัติศาสตร (Historical Research) มีพื้นที่ ศึกษาไดแกเมืองโบราณสุโขทัยและเมืองโบราณเชียงใหม โดยมีขั้นตอนการทําวิจัยเริ่ม จากการเก็บขอมูลเบื้องตนของเมืองโบราณทั้งสองแหง เพื่อสํารวจวามีการศึกษาคนควา ข อ มู ล ในเรื่ อ งนี้ ม าแล ว อย า งไรบ า ง โดยการเก็ บ ข อ มู ล จากแหล ง ข อ มู ล ทุ ติ ย ภู มิ จ าก หองสมุดตางๆ และแหลงขอมูลออนไลน ในรูปของเอกสาร แผนงาน แผนที่ แผนผัง ภาพถายทางอากาศ ตํารา และงานวิจัยที่เกี่ยวของ เมื่อไดข อมูลเบื้องตนแลว จึง กําหนดขอบเขตของเนื้อหาที่จะศึกษาเปรียบเทียบ ซึ่งสรุปได ๖ ประเด็น ประกอบดวย ๑.๑ ๑.๒ ๑.๓ ๑.๔
ภูมิหลังทางดานประวัติศาสตรและศาสนา ลักษณะทางภูมิศาสตรกายภาพของสถานที่ตั้งเมือง ความเชื่อทางศาสนากับสัณฐานของเมือง ลักษณะของคูเมืองและกําแพงเมือง
๖๕
๑.๕ ตําแหนงที่ตั้งของการใชประโยชนที่ดิน ๑.๖ รูปแบบการวางระบบน้ําและการชลประทาน เมื่อกําหนดขอบเขตของเนื้อหาที่จะศึกษาไดชัดเจนดีแลว จึงเริ่มเก็บรวบรวม ขอมูลในรายละเอียด ทั้งจากแหลงขอมูลทุติยภูมิดังที่ไดกลาวมาแลว และทําการลง พื้นที่เก็บขอมูลจากแหลงขอมูลปฐมภูมิ ไดแกการสํารวจภาคสนามในพื้นที่เมืองโบราณ โดยตรง ทําการเก็บขอมูลในรูปแบบของการภาพถาย ภาพราง และบันทึก ทําการ สํารวจและการสังเกตโดยตรงแบบไมมีสวนรวม (Non-Paticipation Observation) โดย มีเครื่องมือวิจัยคือการถายภาพ การรางภาพ และการจดบันทึก เมื่อเก็บรวบรวมขอมูล เรียบรอยแลว จึงทําการจัดระเบียบและจําแนกขอมูลออกเปนหมวดหมูตามหัวขอที่ กําหนดไว แลวจึงทําการวิเคราะหเปรียบเทียบขอมูลที่ไดอยางเปนระบบ และนํามา ประมวลผลโดยใชคําบรรยายประกอบกับภาพวาด แผนที่ และรูปถายใหเห็นชัดเจน และเขาใจงาย และในทายที่สุดจึงทําการประเมินผลและสรุปผลการวิจัย ขอเสนอแนะ และการนําไปใช ๒. ผลการวิจัย ๒.๑ ภูมิหลังทางดานประวัติศาสตรและศาสนา ในแตละชวงเวลาที่ไดศึกษามาบานเมืองทั้งสองมีการเปลี่ยนแปลงไป ตามวั ฏ จั ก รที่ ส อดคล อ งกั น คื อ เริ่ ม จากการสร า งบ า นเรื อ นและอาคารต า งๆด ว ยไม จากนั้นก็พัฒนาขึ้นเปนเมืองโดยที่รับเอารูปแบบของเมืองมาจากเมืองตนแบบที่มีอิทธิพล อยูในขณะนั้น บานเมืองคอยๆเจริญเติบโตไปตามลําดับ พรอมกับที่อิทธิพลทางศาสนา จากที่ตางๆถูกเผยแพรเขามาในเมือง มีการสรางวัดวาอารามทั้งในเขตคามวาสีและ อรัญวาสี ตอมาก็เขาสูยุคศึกสงครามบานเมืองถูกรุกรานจากขาศึกศัตรู เกิดความเสื่อม โทรมจนตองถูกทิ้งราง ทายที่สุดก็เขาสูชวงการฟนฟูบูรณะเมือง มีการบูรณะคูเมือง ประตูเมืองและวัดวาอารามตางๆ ทายที่สุดที่มีความแตกตางกันคือเมืองสุโขทัยถูกยาย ไปตั้งใหมที่ริมแมน้ํายม ทําใหตัวเมืองเกากลายเปนเมืองราง ในขณะที่เมืองเชียงใหม ยังคงตั้งอยูที่เดิมและยังคงเจริญเติบโตมาจนถึงยุคปจจุบัน เมื่อเปรียบเทียบกันเรื่อง ชวงเวลาของยุคสมัยที่เกิดการเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพของเมืองที่สําคัญๆ จะ เห็ น ว า เมื อ งโบราณเชี ย งใหม มี ช ว งอายุ ยื น ยาวกว า และสามารถแบ ง ยุ ค ของการ เปลี่ยนแปลงไดถึง ๖ ชวง ในขณะที่เมืองโบราณสุโขทัยมีชวงอายุสั้น และสามารถแบง ยุคของการเปลี่ยนแปลงออกไดเพียง ๕ ชวงเทานั้น สวนอิทธิพลทางศาสนาของทั้งสอง
๖๖
เมืองมีทั้งสวนที่คลายคลึงกันและแตกตางกัน เนื่องจากตําแหนงที่ตั้งและอาณาเขตติดตอ กับเมืองที่อยูใกลเคียง เมืองเชียงใหมตั้งอยูบนที่ราบลุมแมน้ําปง เปนศูนยกลางการคา ขายและการเมืองการปกครอง ที่สามารถเชื่อมโยงกับเมืองตางๆอยางกวางขวางทั้งทาง ทิศใตและทิศเหนือ จึงไดรับอิทธิพลจากความเชื่อทางศาสนาและวัฒนธรรมที่มีความ หลากหลายมากกวากรุงสุโขทัย ประกอบดวย ความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณและสิ่งเหนือ ธรรมชาติ พุทธศาสนาลัทธิหินยานอยางพุกาม และลัทธิหินยานนิกายลังกาวงศ ความ เชื่อทางดานโหราศาสตรและหลักรัฐศาสตรจากศาสนาพราหมณ และวัฒนธรรมตะวันตก ที่เขามาพรอมกับกลุมมิชชันนารีในคริสตศาสนา สวนเมืองสุโขทัยนั้น ไดรับอิทธิพลจาก ความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณและสิ่งเหนือธรรมชาติ และพุทธศาสนาลัทธิหินยานนิกาย ลั ง กาวงศ เ ป น หลั ก อย า งไรก็ ดี ศ าสนาที่ ท รงอิ ท ธิ พ ลมากที่ สุ ด ต อ ทั้ ง สองเมื อ งก็ คื อ พระพุทธศาสนานิกายหินยานลัทธิลังกาวงศ ๒.๒ ลักษณะทางภูมิศาสตร จากการเปรียบเทียบลักษณะภูมิประเทศของเมืองโบราณทั้งสองเมือง พบวามีความคลายคลึงกันในภาพรวม แตมีความแตกตางกันเมื่อทําการเปรียบเทียบกัน ในรายละเอียด กลาวคือ ในดานความคลายคลึงกันนั้น เมืองทั้งสองตางก็ตั้งอยูบนที่ราบ ลุมแมน้ําอันอุดมสมบูรณระหวางกลางเทือกเขาและแมน้ํา โดยมีทิวเขาอยูทางดานทิศ ตะวั น ตกและมี แ ม น้ํ า อยู ท างด า นทิ ศ ตะวั นออก โดยที่ เ มือ งสุ โ ขทั ย ตั้ งอยู ร ะหว า งเขา ประทักษและแมน้ําแมลําพันซึ่งไหลไปสูแมน้ํายมอีกทอดหนึ่ง สวนเมืองเชียงใหมนั้น ตั้งอยูระหวางดอยสุเทพกับแมน้ําปงซึ่งไหลจากทิศเหนือลงสูทิศใต ดวยเหตุนี้พื้นที่เมือง จึงมีความลาดชันจากทิศตะวันตกไปทางทิศตะวันออก ทั้งเมืองโบราณสุโขทัยและเมือง เชียงใหมตางก็มีสภาพภูมิอากาศแบบมรสุมเขตรอน เมื่อทําการเปรียบเทียบในรายละเอียด พบวาดอยสุเทพซึ่งตั้งอยูทางทิศ ตะวันตกของเมืองเชียงใหมนั้น เปนสวนหนึ่งของเทือกเขาถนนธงชัยตะวันออก ซึ่งเปน แหลงตนน้ําลําธารที่สําคัญของภาคเหนือ จึงมีลําหวยหลายสายที่ไหลจากดอยสุเทพลง มาหลอเลี้ยงพื้นที่ราบลุมอันเปนที่ตั้งของเมือง ดวยเหตุนี้เมืองเชียงใหมจึงเปนเมืองที่มี น้ําทาอุดมสมบูรณมาก เมื่อเปรียบเทียบกับเทือกเขาประทักษทางทิศตะวันตกของเมือง เกาสุโขทัยซึ่งเปนเพียงทิวเขาขนาดเล็ก ในการสรางเมืองสุโขทัยจึงตองทําฝายทดน้ําเขา คลองเสาหอเพื่อนําน้ําเขาสูเมือง จากลักษณะภูมิอากาศและแหลงน้ํา ทําใหลักษณะของ พืชพรรณของทั้งสองเมืองมีความหลากหลาย ทั้งมีสวนที่คลายคลึงกัน และแตกตางกัน ขึ้นอยูกับสภาพของแตละพื้นที่ โดยที่เมืองเชียงใหมจะมีความหลากหลายของลักษณะ พืชพรรณมากกวา คือมีทั้งพื้นที่ที่เปนปาเต็งรัง พื้นที่ปาเบญจพรรณ และพื้นที่ปาพรุน้ํา จืด ในขณะที่พืชพรรณของเมืองโบราณสุโขทัยลักษณะของปาเต็งรังเปนสวนใหญ
๖๗
๒.๓ ความเชื่อทางศาสนากับสัณฐานของเมือง นอกจากสภาพภู มิอ ากาศของพื้ น ที่ ความเชื่ อ ทางศาสนาเป น ป จ จั ย สํ าคั ญ หลัก ๆที่ส งผลตอ ลั ก ษณะและรูป แบบของผั งเมื องโบราณสุ โ ขทัย และเชี ย งใหม โดยเฉพาะอยางยิ่งลักษณะสัณฐานของเมืองรูปทรงสี่เหลี่ยมเกือบจัตุรัส ซึ่งมีตนแบบมา จากเมืองนครธม ซึ่งถูกสรางขึ้นในสมัยของพระเจาชัยวรมันที่ ๗ เมื่อประมาณกวา ๘๐๐ ปมาแลว สะทอนใหเห็นคติเกี่ยวกับสัณฐานของจักรวาลในพระพุทธศาสนา ลัทธิ วัชรยาน ในการสรางเมืองสุโขทัยนั้น ไดรับอิทธิพลจากความเชื่อเหลานี้มาในชวงแรกๆ ของการก อ สร า งเมื อ งในพุ ท ธศตวรรษที่ ๑๘ ปรากฏให เ ป น เป น ประจั ก ษ พ ยานใน ลักษณะของการวางผังวัดพระพายหลวง และผังของเมืองโบราณสุโขทัย ตอมาใน ศตวรรษที่ ๑๙ ตรงกับสมัยของพอขุนรามคําแหงมหาราชแหงเมืองสุโขทัย พญามังราย จึ ง ได นํ า เอารู ป แบบการสร า งเมื อ งสั ณ ฐานสี่ เ หลี่ ย มจั ตุ รั ส นี้ ไปใช ใ นการสร า งเมื อ ง เชียงใหม อยางไรก็ดีเมื่อผานยุคสมัยและกาลเวลา เมืองทั้งสองตางไดรับอิทธิพลความ เชื่อจากพุทธศาสนาที่เผลแพรมาจากตางถิ่นตางที่ เมืองโบราณสุโขทัยนั้นรับเอาความ เชื่อทางศาสนาพุทธนิกายลังกาวงศมาจากนครศรีธรรมราช สงผลตอลักษณะการวางผัง วัดซึ่งมีอุโบสถตั้งอยูบนเกาะกลางน้ํา เรียกกันวาตระพังซึ่งหมายถึงสระน้ํา และการ กอสรางพระบรมธาตุเจดียบนพื้นที่กลางเมือง เพื่อเปนที่เคารพสักการะและเปนศูนยรวม จิตใจของประชาชน สําหรับเมืองเชียงใหมนั้นความเชื่อทางศาสนาที่เขามามีอิทธิพลตอ ลักษณะทางกายภาพของเมือง นอกเหนือไปจากการวางผังเมืองรูปทรงสี่เหลี่ยมตาม แบบสุโขทัยนั้นมีหลายประการ กลาวคือ ๑) ความเชื่อในเรื่องจิตวิญญาณและสิ่งเหนือ ธรรมชาติของชาวลัวะ โดยการนําเอาเสาอินทขิลมาใชเปนศูนยกลางเมือง ๒) ความเชือ่ เรื่องโหราศาสตรและดาราศาสตร ถูกนํามาใชในการวางตําแหนงพื้นที่ใชสอยภายในเมือง เปนตน ๓) อิทธิพลจากพระพุทธศาสนาลัทธิหินยานนิกายลังกาวงศ และพุกาม มีผลตอ ลักษณะและที่ตั้งของวัดวาอารามตางๆ ทั้งในเขตคามวาสีและอรั ญวาสี การที่เมือง เชียงใหมไดรับอิทธิพลความเชื่อทางศาสนาที่แตกตางหลากหลายมากกวาเมืองโบราณ สุโขทัย เนื่องจากมีความสัมพันธเชื่อมโยงกับเมืองอื่นๆโดยรอบในแงมุมตางๆมากกวา อีกทั้งเปนเมืองที่มีอายุยืนยาวกวาดวย ศาสตรในการสรางเมืองที่ถูกศึกษาเปรียบเทียบในงานวิจัยชิ้นนี้ ไดแก การเล็ง ทิ ศ เพื่ อ กํ า หนดตํ า แหน ง ในระยะไกลเพื่ อ การก อ สร า งคู เ มื อ ง กํ า แพงเมื อ ง และ ศาสนสถานตางๆ เมื่อพิจารณาจากผังเมืองโบราณทั้งสองเมืองจะเห็นไดวา ผังของศาสนสถานที่ สําคัญๆ และแนวคูเมือง กําแพงเมืองสุโขทัยนั้นไมอยูในแนวเดียวกัน แตจะบิดไปจาก แนวแกนทิศเหนือใตและแนวแกนทิศตะวันออกตะวันตกเปนอยางมาก เมื่อเปรียบเทียบ
๖๘
กับผังของเมืองเชียงใหม ซึ่งพบวาใกลเคียงกับแนวแกนทิศเหนือใต และตะวันออก ตะวันตกมากกวา นอกจากนี้ตําแหนงของประตูก็อยูในตําแหนงที่ใกลเคียงกับกึ่งกลาง กํ า แพงเมือ งมากกวา ซึ่ง ชี้ ใ ห เ ห็ นถึ ง วิท ยาการและศาสตรใ นการเล็ ง ทิ ศ เพื่ อ กํ า หนด ตําแหนงระยะไกลที่ดีกวาในการสรางเมืองโบราณสุโขทัย นอกจากนี้ยังมีหลักฐานยืนยัน ถึงการนําเอาหลักโหราศาสตรมาใชในการผูกดวงเมือง แสดงใหเห็นวานักปราชญราช บั ณ ฑิ ต และช า งผู ส ร า งเมื อ งมี ค วามรู เ รื่ อ งดาราศาสตร โ ดยผ า นหลั ก ทางโหราศาสตร สามารถคํานวณวันเถลิงศกอันเปนวันที่ชวงเวลากลางวันและกลางคืนยาวเทากันได ทํา ใหสามารถเล็งทิศของสิ่งปลูกสรางในเมืองไดอยางไมผิดเพี้ยนมากนัก ในขณะที่ทิศทาง ของสิ่งปลูกสรางตางๆของเมืองโบราณสุโขทัยจะมีความแตกตางกันในแตละกลุม อันมี สาเหตุมาจากวิธีการเล็งทิศในแตละยุคสมั ยของการปลูกสรางที่ไมแมนยําเท าที่ เมื อง เชียงใหม ๒.๔ ลักษณะของกําแพงเมืองและคูเมือง ๒.๔.๑ รูปรางและขนาด รูปรางของผังเมืองเชียงใหมมีลักษณะใกลเคียงกับรูปสี่เหลี่ยม จัตุรัสมากกวาเมืองสุโขทัยที่คอนขางจะเปนรูปสี่เหลี่ยมผืนผา อาจมีสาเหตุที่สามารถ สันนิษฐานไดหลายประการ กลาวคือ ๑) เกิดจากการที่ความสามารถในการเล็งทิศและ กําหนดระยะในการสรางเมืองโบราณสุโขทัยไมแมนยํามากนัก ในขณะที่ชางในการสราง เมืองเชียงใหมมีความชํานาญกวาในเรื่องดังกลาว หรือ ๒) ผูสรางเมืองโบราณสุโขทัย ไมไดใหความสําคัญกับการเปนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสเทาใดนัก ในขณะที่ในการสรางเมือง เชียงมีการใหความสําคัญกับเรื่องนี้ สวนในดานขนาดพื้นที่เมืองนั้นมีความใกลเคียงกัน ๒.๔.๒ การเปลี่ยนแปลงของกําแพงเมืองและคูเมือง เนื่องจากเมืองเชียงใหมมีอายุยืนยาวในประวัติศาสตรมากกวา เมืองโบราณสุโขทัย ดังนั้นจึงมีการบูรณะปรับปรุง เปลี่ยนแปลงมากมายหลายครั้งกวา ทั้งดวยเหตุผลทางดานการเมืองและเพื่อตอบสนองตอความตองการดานประโยชนใชสอย ในขณะที่เมืองโบราณสุโขทัยมีการบูรณะปรับปรุง ก็ในสมัยฟนฟูเมือง เมื่อประมาณ ศตวรรษที่ ๒๑ หลังจากที่เมืองไดถูกทิ้งรางไปนานเทานั้น ลักษณะดั้งเดิมเมื่อแรกสรางของกําแพงเมืองและคูเมืองของเมือง โบราณทั้งสองเปนกําแพงเมืองสรางจากดินและมีเพียงชั้นเดียวเทานั้น ตอมาจึงถูกบูรณะ ปรับปรุงเสริมเปนกําแพงกออิฐในภายหลัง เพื่อปองกันภัยจากการรุกรานของขาศึกศัตรู
๖๙
การเปลี่ยนแปลงลักษณะทางกายภาพของกําแพงเมืองเชียงใหม ครั้งใหญที่สุด เกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อมีการไถเกรดทําลายกําแพงเมือง ดังนั้น กําแพงเมืองและประตูเมืองที่เห็นอยูในปจจุบันเปนสิ่งที่ถูกสรางขึ้นมาใหมในภายหลัง ทั้งสิ้น ๒.๕ การแบงพื้นที่การใชที่ดิน การวางตําแหนงของวัดสําคัญกลางเมืองและพระราชวังในเมืองทั้งสองมี ความแตกตางกัน ในเมืองสุโขทัยจะเกาะกลุมกันอยูตรงกลาง แตที่เมืองเชียงใหมจะอยู กระจายแยกกัน ทั้งนี้เนื่องจากอิทธิพลความเชื่อที่แตกตางกัน ในการวางผังเมืองสุโขทัย ยังคงไดรับอิทธิพลความเชื่อเรื่องศูนยกลางจักรวาลซึ่งไดรับมาจากขอม มากกวาเมือง เชียงใหมซึ่งความเชื่อในเรื่องดังกลาวคลายความสําคัญไปมากแลว ดังนั้นในการวางผัง เมืองสุโขทัยจึงใหน้ําหนักความสําคัญกับแนวแกนทิศทั้ง ๔ ใกลเคียงกัน ในขณะที่เมือง เชี ย งใหม ได ใ ห ค วามสํ า คั ญ กั บ แนวแกนทิ ศ ตะวั น ออก-ตะวั น ตก อั น เป น ทิ ศ ทาง เชื่อมโยงจากประตูเมืองทิศตะวันออกซึ่งเชื่อมไปสูแมน้ําปงผานเขาสูใจกลางเมืองไปยังวัด พระสิงห ซึ่งเปนศูนยกลางความเคารพบูชาของชาวเมือง ตําแหนงของวัดและสถานที่ พักอาศัยของเมืองเกาสุโขทัยเกาะกลุมอยูทางทิศตะวันออกมากกวาในขณะที่ของเมือง เชียงใหมนั้นมีลักษณะกระจายอยูทั่วไปในเมือง ทั้งนี้เนื่องมาจากสาเหตุของแหลงน้ํา บาดาลซึ่ ง เหมาะสมกั บ การอุ ป โภคบริ โ ภคของเมื อ งสุ โ ขทั ย มี ค วามขาดแคลนในฝ ง ตะวันตก ไมเหมือนกับที่เมืองเชียงใหมนั้นไมมีความขาดแคลนเรื่องแหลงน้ําบาดาล พื้นที่ปาเขาของทั้งสองเมืองอยูทางดานทิศตะวันตกเหมือนกัน ซึ่งมีความสัมพันธกับที่ตั้ง ของวัดอรัญวาสีซึ่งสวนใหญตั้งอยูตามที่ลาดเชิงเขา ทั้งสองเมืองตางก็มีวัดที่สําคัญอยูบน ยอดเขาทางฝงตะวันตก ไดแกวัดสะพานหินที่เมืองเกาสุโขทัย และวัดพระธาตุดอย สุ เทพที่ เ มื อ งเชี ย งใหม ตํ า แหน ง ของพื้ น ที่ ที่ เ หมาะสมกั บ การทํ า การเกษตรที่ มี ค วาม ใกลเคียงกัน คือพื้นที่ทางทิศเหนือ และทิศตะวันออก ซึ่งเปนที่ราบลุมริมฝงแมน้ํา แต ทางทิศใตของเมืองสุโขทัยมีลักษณะเปนที่ดอนจึงเปนเรือกสวน และปาโปรง ในขณะที่ ทางทิ ศ ใต ข องเมื อ งเชี ย งใหม เ ป น ที่ ร าบลุ ม เหมื อ นทางทิ ศ เหนื อ และทิ ศ ตะวั น ออกจึ ง สามารถทําการเกษตรไดดี ๒.๖ ระบบน้ําและชลประทาน การพัฒนาก าวหนาในดานระบบน้ํ าและชลประทาน ของเมืองสุโขทัย เกิดขึ้นจากความจําเปนอันเนื่องมาจากปญหาเรื่องการขาดแคลนน้ําในฤดูแลง และน้ํา หลากในฤดู ฝ น ชาวเมื อ งสุ โ ขทั ย ได พ ยายามแก ป ญ หาดั ง กล า ว ซึ่ ง นั บ ว า ประสบ
๗๐
ความสํ า เร็จมากพอสมควร สว นในเมื องเชียงใหมนั้นมีแหลงน้ําธรรมชาติ อย างอุ ดม สมบูรณ มากเพียงพอสําหรับการหลอเลี้ยงเมืองขนาดใหญ ที่มีประชากรเปนจํานวน มาก เสียดายวาการเปลี่ยนแปลงอยางมากของเมืองเชียงใหมในชวงศตวรรษที่ผานมา ทําใหไมสามารถสืบหาหลักฐานเกี่ยวกับระบบน้ําและชลประทานในสมัยโบราณได ๓. การอภิปรายผล แมวาเมืองเชียงใหมและเมืองโบราณสุโขทัยจะตั้งอยูในพื้นที่ทางภูมิศาสตรที่ดู เหมือนวาคลายคลึงกันในทางกายภาพ แตเมื่อทําการศึกษาอยางละเอียดแลว พบความ แตกต า งในรายละเอี ย ดมากพอสมควร เริ่ ม ต น จากความแตกต า งทางด า นสภาพ ภูมิศาสตรในระดับภูมิภาค อันสงผลใหเกิดความแตกตางของสภาพภูมิศาสตรในระดับ ทองถิ่นที่แตกตางกัน เมืองเชียงใหมมีความอุดมสมบูรณของแหลงน้ํา มากกวา และอยู ในตํ า แหน ง ที่ เ ป น ศู น ย ก ลางการคมนาคมขนส ง ทางน้ํ า ของอาณาจั ก รล า นนา จึ ง คง สามารถรั ก ษาความเจริ ญ เติบ โตของเมื อ งเอาไวไ ด จ นถึง ป จ จุ บั น ส ว นสุ โ ขทั ย แม จ ะ แกปญหาเรื่องความขาดแคลนน้ําไดดี แตเนื่องจากอยูในตําแหนงที่เปนเมืองหนาดาน เปนเขตกันชนทางการเมืองระหวางอาณาจักรใหญๆที่อยูรายรอบ๗๕ จึงตกเปนเปาหมาย ของการแยงชิงขยายดินแดนจากอาณาจักรเหลานั้น ในภายหลังดวยเหตุผลทางดาน การเมืองแควนสุโขทัยจึงเสื่อมสลายลง ในการกอสรางเมืองทั้งสอง ตางตองอาศัยหลัก ดาราศาสตร และคณิตศาสตรที่มีความเจริญกาวหนา ซึ่งสันนิษฐานวาไดมาจากศาสนา พราหมณโดยผานราชครูและโหราจารยประจําราชสํานัก และมีหลักฐานชัดเจนในการ สรา งเมื อ งเชี ย งใหม เนื่อ งจากไดมีก ารบั นทึ ก เรื่ อ งราวเกี่ ยวกับ การสรา งเมืองเอาไว มากมาย รวมไปถึงการผูกดวงเมืองอีกดวย ลักษณะของคูเมืองและกําแพงเมืองทั้ง ๒ มีความคลายคลึงกันในเรื่องของรูปรางเทานั้น แตแตกตางกันมาก ในเรื่องของ ขนาด วั ส ดุ ที่ ใ ช ใ นการก อ สร า ง ตํ า แหน ง และรู ป ร า งของประตู เ มื อ งและป อ มประตู เ มื อ ง นอกจากนี้เมืองเชียงใหมยังปรากฏมีกําแพงดินชั้นนอกโอบลอมครึ่งหนึ่งของกําแพงเมือง ชั้นในทางดานทิศใตและทิศตะวันออกอีกดวย ในยุคที่เจริญรุงเรืองนั้นเมืองทั้งสองตางก็ ไดรับอิทธิพลทางดานความเชื่อและศาสนามาจากหลายแหลง แตศาสนาที่มีบทบาทมาก ที่ สุ ด ก็ คื อ พุ ท ธศาสนาลั ท ธิ หิ น ยานนิ ก ายลั ง กาวงศ ซึ่ ง เผยแพร ม าจากทั้ ง ที่ เ มื อ ง นครศรีธรรมราช เมืองนครพัน เมืองพุกาม และที่มาจากประเทศศรีลังกาโดยตรง การ วางตําแหนงพื้นที่ใชสอยของทั้งสองเมืองมีความคลายคลึงกันในภาพรวมภายนอกเขต กําแพงเมือง เชน ตําแหนงของเขตอรัญญิก พื้นที่ทําการเกษตร เปนตน ทั้งนี้สืบ เนื่องมาจากสภาพทางภูมิศาสตรของพื้นที่ แตแตกตางกันในพื้นที่ในเขตกําแพงเมือง ๗๕
ไดแก พมา กรุงศรีอยุธยา และลานนา
๗๑
เชน ตําแหนงของวัดสําคัญคูบานคูเมือง ตําแหนงของพระราชวัง ซึ่งเปนไปตามหลัก ความเชื่ อ ในเรื่ อ งศาสนาและโหราศาสตร ซึ่ ง มี ห ลั ก ฐานชั ด เจนในกรณี ข องเมื อ ง เชียงใหม๗๖ สวนตําแหนงของวัดที่มีความสําคัญรองลงมา และพื้นที่บานพักอาศัย จะ กระจายไปตามทําเลทางภูมิศาสตรที่เหมาะสมกับการตั้งถิ่นฐาน ตามปจจัยที่สําคัญคือ แหลงน้ํา การเปลี่ยนแปลงลักษณะและรูปแบบทางกายภาพของเมืองสุโขทัยเกิดขึ้นนอย กว า เมื อ งเชี ย งใหม เนื่ อ งจากมี ช ว งเวลาความเจริ ญ รุ ง เรื อ งสั้ น กว า แต ก ลั บ พบว า หลักฐานที่พบนั้นสวนใหญไดจากการขุดคนทางดานโบราณคดี หลักฐานเอกสารและ จารึกเกี่ยวกับการสรางเมืองและการเปลี่ยนแปลงลักษณะและรูปแบบของเมืองนั้นมีอยูไม มากนั ก ส ว นที่ เ มื อ งเชี ย งใหม นั้ น กลั บ มี เ อกสาร จารึ ก และวรรณกรรมเกี่ ย วกั บ ประวั ติ ศ าสตร ลานนาที่อางอิง เรื่องราวเกี่ ยวกั บศาสนาเอาไวมากมาย แตการศึกษา ทางดานโบราณคดีนั้นเปนไปไดยากกวา เนื่องจากเป นเมืองที่ยั งคงมีชี วิตและมีการ เจริญเติบโตอยูตลอดเวลา ๔. ปญหาที่พบในการวิจยั ๔.๑ ปญหาในระหวางการศึกษา จัดเก็บรวบรวมขอมูล ในการวิจัยครั้งนี้เปนการ วิจัยเชิงประวัติศาสตร จําเปนตองอาศัยอางอิงขอมูลทุติยภูมิเปนสวนใหญ ซึ่งมีหลักฐาน เอกสารไมมากนัก ตองใชเวลาในการสืบหาและรวบรวมนานพอสมควร ๔.๒ เนื่องจากตนแบบของเมืองโบราณสุโขทัยและเมืองเชียงใหมคือเมืองนครธม เพื่อใหงานวิจัยมีความสมบูรณ ตองเดินทางไปเก็บขอมูล การสํารวจพื้นที่ โดยการ ถ า ยภาพและบั น ทึ ก ที่ เ มื อ งนครธมด ว ย ซึ่ ง ก็ ต อ งใช ร ะยะเวลาและงบประมาณที่ นอกเหนือไปจากที่ประมาณการไว ๕. ขอเสนอแนะ ๕.๑ โครงการวิจัยที่จะจัดทําตอไปสามารถนําโครงการนี้ไปพัฒนาตอเนื่องได โดย อาจศึกษาใหครอบคลุมกวางขวางและละเอียดยิ่งขึ้น โดยอาจมุงเนนไปที่เมืองที่มีสัณฐาน รูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสเมืองอื่นๆที่มีความเกี่ยวของกัน เชน เมืองนครธม เปนตน
๗๖
เรื่องเดียวกัน, หนา ๓๙-๔๐
๗๒
บรรณานุกรม [๑] กวี วรกวิน. (๒๕๔๗). แผนที่ความรูทองถิ่นไทยภาคกลาง. กรุงเทพฯ: บริษัท พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) จํากัด. [๒] กวี วรกวิน. (๒๕๔๗). แผนที่ความรูทองถิ่นไทยภาคเหนือ, กรุงเทพฯ: บริษทั พัฒนาคุณภาพวิชาการ (พว.) จํากัด. [๓] คณะกรรมการชําระประวัตศิ าสตรไทยและจัดพิมพเอกสารทางประวัติศาสตร และ โบราณคดี. (๒๕๓๙).เมืองและแหลงชุมชนโบราณในลานนา. กรุงเทพฯ: หจก. ไอเดีย สแคว. [๔] คณะกรรมการตรวจสอบและสืบคนดวงเมืองและตํานานพื้นเมืองเชียงใหม. (๒๕๓๗). จดหมายเหตุการตรวจสอบและสืบคนดวงเมืองนพบุรี ศรีนคร พิงคเชียงใหม. เอกสารทางวิชาการเพือ่ เฉลิมฉลองและสมโภชเชียงใหม ๗๐๐ ป, เชียงใหม: โรงพิมพ ส. การพิมพ. [๕] ทวี สวางปญยางกรู. (๒๕๒๙). “เมืองโบราณเปรียบเทียบ สุโขทัย เชียงใหม เชียงตุง”. กําแพงเมืองเชียงใหม. อนุสรณเนื่องในพิธีเปดและฉลองประตูทา แพ ๑๓ เมษายน ๒๕๒๙. เชียงใหม: คณะกรรมการตรวจสอบและจัดทํา หนังสือกําแพงเมืองเชียงใหม. [๖] ธิดา สาระยา. (๒๕๓๙). อารยธรรมไทย กรุงเทพฯ: สํานักพิมพเมืองโบราณ. [๗] ธิดา สาระยา. (๒๕๔๕). กวาจะเปนคนไทย. กรุงเทพฯ: สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. [๘] นวลศรี วงศทางสวัสดิ.์ (๒๕๒๙). “เมืองเชียงใหม”. กําแพงเมืองเชียงใหม. อนุสรณเนื่องในพิธีเปดและฉลองประตูทา แพ ๑๓ เมษายน ๒๕๒๙. เชียงใหม: คณะกรรมการตรวจสอบและจัดทําหนังสือกําแพงเมืองเชียงใหม. [๙] บุญชู โรจนเสถียร. (๒๕๔๘). ตํานานสถาปตยกรรมไทย. กรุงเทพฯ: บริษัท โรงพิมพกรุงเทพฯ (๑๙๘๔) จํากัด. [๑๐] พิริยะ ไกรฤกษ. (๒๕๔๔). อารยะธรรมไทย พื้นฐานทางประวัติศาสตรศิลปะ เลม ๑ ศิลปะกอนพุทธศตวรรษที่ ๑๙. กรุงเทพฯ: บริษทั อมรินทรพริ้นติ้ง แอนดพับลิชชิง่ จํากัด (มหาชน). [๑๑] ยอรช เซเดส. (ปราณี วงษเทศ ผูแปล). (๒๕๔๖). เมืองพระนคร นครวัด นครธม. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ มติชน. [๑๒] ศรีศักร วัลลิโภดม. (๒๕๓๒). เมืองโบราณในอาณาจักรสุโขทัย. กรุงเทพฯ: สถาบันไทยคดีศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร.
๗๓
[๑๓] ศรีศักร วัลลิโภดม. (๒๕๔๐). นครหลวงของไทย. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ เมือง โบราณ. [๑๔] ศรีศักร วัลลิโภดม. (๒๕๔๕). ประวัติศาสตรโบราณคดีของลานนา ประเทศ. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ มติชน. [๑๕] ศิลปากร, กรม. (๒๕๒๕) พระบรมราชานุสาวรีย พอขุนรามคําแหงมหาราช และรวมเรื่องเมืองสุโขทัย. กรุงเทพ: กองโบราณคดีและประวัตศิ าสตร กรม ศิลปากร. [๑๖] ศิลปากร, กรม. (๒๕๓๑). การขุดคนทางโบราณคดีในอุทยานประวัติศาสตร สุโขทัย. โครงการอุทยานประวัติศาสตรสุโขทัย, กรุงเทพ: กองโบราณคดีและ ประวัติศาสตร กรมศิลปากร. [๑๗] สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจาฟามหาวชิราวุธมกุฎราชกุมาร. (ร.ศ. ๑๒๗). เรื่องเทีย่ วเมืองพระรวง. พระนคร: โรงพิมพบํารุงนุกูลกิจ. [๑๘] สุจิตต วงษเทศ. (๒๕๔๘). แควนสุโขทัย รัฐในอุดมคติ. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ มติชน. [๑๙] สุรพล ดําริหกุล. (๒๕๓๙). แผนดินลานนา. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ เมือง โบราณ. [๒๐] สิริ เปรมจิตต. (๒๕๒๒). พระพุทธศาสนาในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ เสียงไท. [๒๑] สันติ เล็กสุขุม. (๒๕๔๘). งานชางไทยโบราณ. กรุงเทพฯ: สํานักพิมพ เมือง โบราณ. [๒๒] หางหุนสวนจํากัด เฌอ กรีน. (๒๕๔๐) รายงานการขุดคนและบูรณะกําแพง เมืองเชียงใหม. เชียงใหม: ดาวคอมพิวกราฟก. [๒๓] ฮันส เพนส. (๒๕๒๙). ประวัติกาํ แพงเวียงเชียงใหมในอดีตโดยสังเขป, กําแพงเมืองเชียงใหม. อนุสรณเนื่องในพิธีเปดและฉลองประตู ทาแพ ๑๓ เมษายน ๒๕๒๙, เชียงใหม: คณะกรรมการตรวจสอบและจัดทํา หนังสือกําแพงเมืองเชียงใหม. [๒๔] ฮันส เพนส และ แอนดรู ฟอรบส. ศิริรัฐ ทองใหญ. ผูแปล. (๒๕๔๗). ประวัติศาสตรลานนาฉบับยอและชาวเชียงใหม. เชียงใหม: หอ ศิลปวัฒนธรรมเมืองเชียงใหม, เทศบาลนครเชียงใหม. [๒๕] Hiroo Aoyama. A Witness to History, [Online] http://www.rekihaku.ac.jp. History Department, National Museum of Japanese History.