เมืองไทย หลังยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม จากเหตุการเลือกตั้งครั้งที่กล่าวกันว่าสกปรกมาก ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย การเลือกตั้ง ครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ ๙ และเกิดขึ้นในช่วงระหว่าง พ.ศ. ๒๕๐๐ ซึ่ง ถื อ เป็ น ช่ ว งการฉลองกึ่ง พุ ท ธกาล และ จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ซึ่งเคยดำรง ตำแหน่งยาวนานที่สุดในประเทศไทยคือ ๘ สมัย เวลาทั้ง สิ้น ๑๔ ปี ๑๑ เดือน ๑๘ วัน ประกาศจะจัดการเลือกตั้ง ครั้งนี้ให้บริสุทธิ์ถวายเป็น “พุทธบูชา” ในวาระดังกล่าว แต่ ก ลายเป็ น ว่ า มี ก ารข่ ม ขู่ส ารพั ด จากบรรดานั ก เลง อันธพาล ที่ฝ่ายรัฐเรียกว่า “ผู้กว้างขวาง” และสนับสนุน ฝ่ายรัฐบาลคือ พรรคเสรีมนังคศิลา ที่เพิ่งตั้งขึ้นมาในปี พ.ศ. ๒๔๙๘ เพื่อรองรับพรรคของนายกรัฐมนตรี จอมพล ป. พิบูลสงคราม และพลตำรวจเอก เผ่า ศรียา นนท์ กล่าวกันว่ามีการใช้คนฝ่ายรัฐบาลเวียนเทียนกันลง คะแนน การลงคะแนนเถื่อน แอบเปลี่ยนหีบเลือกตั้งในที่ ลับตาคน รุนแรงถึงขนาดมีการฆาตกรรมคนที่สนับสนุน ผู้สมัครบางคน และการนับคะแนนยังใช้เวลายาวนานถึง ๗ วัน ๗ คืน ผลการเลือกตั้งฝ่ายรัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้รับการเลือกตั้งชนะพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็น พรรคฝ่ายค้าน ผลการเลือกตั้งไม่อาจเป็นที่ยอมรับได้
วัยรุ่น
เ มื ่อ กึ ่ง
ศตวรรษ พระนคร วลัยลักษณ์ ทรงศิริ, พัชรินธร เดชสมบูรณ์รัตน์, รัชนีบูล ตังคณะสิงห์ มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์
จอมพล ป. พิบูลสงคราม และจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
วันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๐๐ นิสิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และประชาชน เดินขบวนประท้วง การเลือกตั้ง เริ่มที่ท้องสนามหลวง โดยมีทำเนียบรัฐบาลเป็นจุดหมาย มีการลดธงชาติครึ่งเสา จอมพล ป. พิบูลสงคราม ประกาศสถานการณ์ ฉุกเฉินในวันเดียวกันนั้น ต่อมาเมื่อขบวนผู้ชุมนุมมาถึงสะพานมัฆวานรังสรรค์ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ผู้บัญชาการทหารบก กลับถอดหมวกโบกรับกลุ่มผู้ ชุมนุม โดยกล่าวว่าทหารจะไม่มีวันทำร้ายประชาชน ต่อมาได้ข้อสรุป ว่า จอมพล ป. พิบูลสงคราม ยอมรับว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ไม่บริสุทธิ์ และจะจัดให้มีการเลือกตั้งใหม่ การชุมนุมวันนั้นจึงสลายตัว แต่ต่อมา เหตุการณ์บานปลายเป็นความขัดแย้งกันระหว่างกลุ่มทหารและตำรวจ ที่สนับสนุนจอมพลทหาร ตำรวจที่ต่างขั้วกัน จนเมื่อถึงที่สุดจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำรัฐประหารในวันที่ ๑๖ กันยายน พ.ศ. ๒๕๐๐ กระทำการรัฐประหาร จอมพล ป. พิบูลสงครามหลบหนีไปได้และ ขอลี้ภัยทางการเมืองที่ประเทศญี่ปุ่น และถึงแก่อนิจกรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๗ แต่ก็เป็นภายหลังที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๐๖
ที่จ อมพลสฤษดิ์ถึ ง แก่ อ สั ญ กรรมแล้ ว จึ ง เกิ ด คดี ฟ้ อ งร้ อ งมรดก มหาศาลซึ่งเป็นผลมาจากการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในช่วงเวลานี้เองประเทศไทยเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและ วัฒนธรรมอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยได้รับผลกระทบจากการบริหาร ประเทศ ในยุคจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ อย่างเต็มที่ นอกจากจะเป็นรัฐ เผด็จการทหารอย่างเต็มที่โดยประกาศยกเลิกสถาบันทางการเมือง ต่างๆ ยังมีการวางแผนพัฒนาที่เน้นแต่เพียงเฉพาะด้านเศรษฐกิจ และ ได้รับการสนับสนุนจากต่างประเทศ ทำการศึกษา ค้นคว้า วิจัย โดย เฉพาะอย่างยิ่งจากสหรัฐอเมริกาจนกลายเป็นพื้นฐานของแผนพัฒนา เศรษฐกิจในระยะเวลาต่อมา สร้างสาธารณูปโภคสำคัญที่เป็นพื้นฐาน ของการดำรงชีวิต เช่น ไฟฟ้า, ประปา, ถนน กระจายไปทั่วทั้งในเมือง และชนบท ผลงานที่สำคัญ เช่น การออกกฎหมายเลิกการเสพและ จำหน่ายฝิ่นโดยเด็ดขาด กฎหมายปราบปรามพวกนักเลง อันธพาล กฎหมายปรามการค้าประเวณี ที่รู้จักกันมากคือการใช้รัฐธรรมนูญ มาตรา ๑๗ หรือ “ม. ๑๗” จัดการผู้กระทำผิดอย่างเด็ดขาดจนเป็นที่ จดจำมาถึงทุกวันนี้ ปราบปรามการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ที่สร้าง ผลกระทบต่อนักศึกษาและปัญญาชนจำนวนมาก รื้อฟื้นกิจกรรมที่ แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ เช่น จัดงาน เฉลิมฉลองวันพระราชสมภพ, การสวนสนามของทหารรักษาพระองค์, การประดับไฟบนถนนราชดำเนินในวันเฉลิมพระชนมพรรษา เป็นต้น
หลังช่วงเวลา พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา แม้จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จะไม่ได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีโดยทีเดียว แต่เป็นนายพจน์ สารสิน และเมื่อมีการเลือกตั้งแต่ความขัดแย้งภายในรัฐบาลจอมพล ยุคสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เป็นจุดเริ่มของ “สงครามเย็น” ถนอม กิตติขจร จึงร่วมกันทำรัฐประหารและเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๒ จนถึง พ.ศ. ๒๕๐๖ เมื่อถึงอนิจกรรมหนึ่งเดือนหลังจาก ที่มีมหาอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้องมากมายและพื้นที่ทำสงครามใหญ่นั้นอยู่ ที่เวียดนาม โดยมีประเทศไทยเป็นฐานสำคัญให้กับสหรัฐอเมริกาทีเ่ ข้า
๒
ซ้าย ประธานาธิบดีจอห์น เอฟ.เคนเนดี้ ขณะแถลงสถานการณ์ในเวียดนาม ขวา เอลวิส เพรสลีย์ นักร้องขวัญใจวัยรุ่น ชาวไทยยุคหลังกึ่งพุทธกาล
เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในเวียดนามเพื่อสกัดกั้นการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ใน เอเชีย ซึ่งมีจีนเป็นผู้นำรวมทั้งสหภาพโซเวียต รัฐบาลไทยตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ภายใต้การนำของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้สนับสนุนให้สหรัฐเข้ามาป้องกันคอมมิวนิสต์ในอินโดจีน เพราะช่วง เดียวกับเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคมไทยและเปลี่ยนรัฐบาลอันต่อเนื่องยาวนาน จากจอมพล ป. พิบูลสงครามมาเป็นจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีการเผยแพร่ลัทธิ คอมมิวนิสต์ในอีสานและการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๘๕ จนกระทั่งหลังการรัฐประหารเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ ที่คณะทหาร ล้มล้างรัฐบาลนายปรีดี พนมยงค์ ผู้มีแนวคิดนิยมลัทธิคอมมิวนิสต์มุ่งสู่ชนบทเพื่อหา แนวร่วมจากประชาชนระดับล่าง และเริ่มมีการจับอาวุธต่อสู้ในพื้นที่ภาคอีสานตั้งแต่ ปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ซึ่งในช่วงนี้แม้จะมีการผลัดเปลี่ยนอำนาจ แต่ก็ขึ้นอยู่ในมือของทหาร และผู้นำฝ่ายไทยนั้นฝักใฝ่และคาดหวังความช่วยเหลือด้านการทหารและอื่นๆ จาก สหรัฐอเมริกามาโดยตลอด ในช่วงรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีการพัฒนาเมืองชายทะเลในภาคตะวัน ออกเพื่อให้เป็นแหล่งบันเทิงและการท่องที่ยว และมีการสร้างถนนสายมิตรภาพสู่ภาค ตะวันออกเฉียงเหนือและถนนสายยุทธศาสตร์เชื่อมต่อกับฐานทัพที่สัตหีบและสนาม บินอู่ตะเภาที่เริ่มสร้างตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๔ อีกด้วย ทำให้เกิดแหล่งบันเทิง บาร์ การ ขายบริการประเภทต่างๆ และชุมชนที่เติบโตทางเศรษฐกิจที่ขยายตัว สหรัฐอเมริกา ใช้ภูมิภาคตะวันออกเป็นฐานในการทำสงครามและมีทหารอเมริกันเข้ามาพักผ่อน จำนวนมาก โดยเฉพาะตั้งแต่ช่วงสงครามเวียดนามเกิดขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๘ จนถึง ราวๆ พ.ศ. ๒๕๑๖-๘ ในช่วงเวลาดังกล่าว นักเขียนอเมริกันสองท่านคือ วิลเลี่ยม เจ. เลเดอเรอ และ ยูยีน เบอดิค ร่วมกันเขียน The Ugly American. ขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๑ กล่าวถึง การเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สร้างในยุคสงครามเย็นที่โลกจับตามอง
คอมมิวนิสต์ ทางสหรัฐอเมริกาจึงต้องทำทุกอย่าง เพื่อที่จะคานอำนาจทางการเมืองของโลกไว้โดย การเข้ า ไปแทรกแซงกิ จ การภายในของประเทศ แถบนั้น ทั ้ง ทางลั บและเปิ ด เผย สะท้อนความ เป็ น จริ ง ที่น่ า จะใช้ ส ถานการณ์ ที่ส มมตขึ้น ใน ประเทศไทย ต่อมาราว พ.ศ.๒๕๐๖ ถ่ายทำในประเทศไทย และมีมาลอน แบรนโดนำแสดง โดยมี ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช ร่วมแสดง อย่างไรก็ตาม กล่าวกันว่าภาพยนต์อเมริกัน เรื่องนี้ไม่ได้รับความนิยมจากคนไทยทั่วไปเพราะ ช่วงนั้นกระแสวัฒนธรรมอเมริกันจับใจผู้คนโดย เฉพาะวัยรุ่น เนื้อหาการต่อต้านวิธีการทางการ เมืองที่เข้าแทรกแซงของอเมริกันจึงไม่ได้รับการ ตอบรับจากคนไทยที่ถูกโฆษณาชวนเชื่อทั้งจาก รัฐบาล และจากหนังฮอลิีวู๊ดต่างๆ รวมทั้งเพลง ตามสมัยนิยม เช่น เพลงของเอลวิส เพรสลีย์ เดอะบราเดอร์โฟร์ พอล แองก้า ฯลฯ และคนไทยส่วนใหญ่นั้นเห็นว่าวัฒนธรรม อเมริกันในช่วงนั้นคือ “พระเอก” ไม่ใช่ผู้ร้าย เช่ น ในหนั ง สื อ และภาพยนต์ The Ugly American.
๓
วัยรุ่นเมื่อกึ่งศตวรรษและผลผลิตจาก
เข้ า สู ่ ยุ ค แห่ ง ความตึ ง เครี ย ดระหว่ า งลั ท ธิ ก ารปกครองแบบ ประชาธิปไตยและลัทธิคอมมิวนิสต์ที่เรียกว่า “ยุคสงครามเย็น” ที่ต่อ อิทธิพลวัฒนธรรมอเมริกัน เนื่อ งมาจนเกิ ด สงครามเวี ย ดนาม ที่ท ำให้ ส หรั ฐ อเมริ ก าติ ด หล่ ม หลั ง ช่ ว งเวลากึ ่ง พุ ท ธกาลหรื อ ราวหลั ง พ.ศ. ๒๕๐๐ ในยุคที่ สงครามอย่างยาวนานและแทบจะกล่าวได้ว่าพ่ายแพ้ในทางนามธรรม จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ กำลังครองอำนาจมีอิทธิพลเข้าแทนที่จอมพล แก่สงครามนอกประเทศครั้งนี้จนเกิดบาดแผลแก่ผู้คนในสังคมตลอด ป. พิบูลสงคราม สังคมไทยอยู่ในช่วงสงบจากการประท้วงภายในที่มี มา มาต่อเนื่องจากการเลือกตั้งที่ไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน การ สงครามเย็นและสงครามเวียดนามที่ติดตามมาด้วยสงครามใน รัฐประหาร ผ่านช่วงสมัยอันหวาดกลัวของประชาชนในรัฐตำรวจยุค ลาว การฆ่าล้างเผาพันธุ์ในกัมพูชาและความตึงเครียดที่เกิดขึ้นใน อัศวินของอธิบดีกรมตำรวจ พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ (พ.ศ. ประเทศจากการปราบปรามผู้นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ในประเทศไทย ๒๔๙๕-๒๕๐๐) “ภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ ไม่มีสิ่งใดที่ตำรวจไทยทำไม่ ตั้งแต่ช่วงกึ่งพุทธกาลเป็นต้นมาจนถึงราวปลายทศวรรษที่ ๒๕๒๐ ที่ ได้ฯ” ค่อยๆ คลี่คลายไปพร้อมการเมืองที่มีเสถียรภาพ การถอนตัวของกอง เป็นที่รับรู้ว่ากองปราบที่สามยอดในยุคนั้นเลี้ยงนักเลงอันธพาล ทัพและฐานทัพอเมริกันในภูมิภาคนี้ การเปลี่ยนสนามรบเป็นสนาม เป็นลูกน้องด้วย กล่าวได้ว่าเป็นยุครัฐตำรวจที่เป็นกองทัพอย่างเต็มที่ การค้าในประเทศรอบๆ เมืองไทย การมีอิทธิพลที่ทำให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมายจนถึงปัจจุบัน เช่น สภาพสังคมไทยหลัง ๒๕๐๐ เปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล กรณีสังหาร ๔ อดีตรัฐมนตรีอีสานที่ถนนพหลโยธิน การจับตัวและ ทีเดียว ในแง่มุมหนึ่งทำให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของชนบท การ สังหารฮะยีสุหรง อับดุลย์การ์เดร์ และเป็นเครื่องมือในการทำให้เกิด เคลื่อนย้ายแรงงานสู่เมืองหลวง เข้าสู่แรงงานข้ามชาติสำหรับผู้ชาย การเลือกตั้งที่ไม่ยุติธรรมที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยก่อนที่ เกิดอาชีพที่เห็นกันดาษดื่นคือ “เมียเช่า” “พาร์ทเนอร์” และ “หญิง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ถูกกลุ่มทหารนำโดยจอมพลสฤษดิ์ ธนะ- บริการ” ในยุคที่มีทหารอเมริกันตั้งฐานทัพอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ หลาย รัชต์ รัฐประหารในที่สุด แห่งในประเทศไทย รวมทั้งแหล่งท่องเที่ยวยามราตรีในกรุงเทพฯ ก็ หลังจากนั้น สังคมไทยที่เริ่มเปลี่ยนแปลงมีการรับความช่วยเหลือ เฟื ่ อ งฟู ม ากมาย นอกเหนื อ จากไนท์ ค ลั บ ระดั บ หรู แ ถบถนน และเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกโดยเฉพาะจากวัฒนธรรมแบบอเมริกัน ราชดำเนินกลาง บริเวณวงเวียนอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยไปจนถึง ที่กำลังเผยแพร่ไปทั่วโลกในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ และดำเนิน โรงแรมรอยัลหรือโรงแรมรัตนโกสินทร์ในเวลาต่อมา ก็มีย่านเที่ยว ต่างๆ ตามฐานะและวัยที่แตกต่างกัน เช่นที่พัฒน์พงศ์ เพชรบุรีตัดใหม่
ซ้าย นักร้องดังของยุคสมัยหน้าโลลิตา ไนท์ คลับระดับหรูริมถนนราชดำเนินกลาง ขวา หนังสือสะท้อนความเป็นจริง “สัตหีบยัง ไม่มี ลาก่อน” ของ ‘รงษ์ วงษ์สวรรค์
๔
วัยรุ่นพระนคร
เมื ่อ กึ ่ง ศ ต ว ร ร ษ ตั้งแต่ต้นกรุงรัตนโกสินทร์ รวม ทั้งชาวลาวพวนที่ถูกกวาดต้อน มาตั้งแต่สมัยสงครามเจ้าอนุวงศ์ เมื่อ พ.ศ.๒๓๖๙ ตั้งหลักแหล่ง ในย่านนี้ด้วย จนเรียกกันว่าบ้าน ลาว แม้แต่ชื่อถนนเจริญกรุงใน ช่วงจากสี่กั๊กพระยาศรีไปจนถึง กำแพงเมือง ตรงสะพานเหล็กก็ เรี ย กกั น ว่ า ถนนบ้ า นลาวด้ ว ย และนั บ จากถนนอุ ณ ากรรณ อ้อมไปพาหุรัด หักเลี้ยวกลับมา ถ น น ตี ท อ ง แ ล ะ ว ก เ ข้ า ด้ า น เจริญกรุง ตรงกลางเป็นเวิ้งว่าง ทำเครื่องสูบน้ำบาดาลอยู่ชิดตลาดมิ่ง เมืองด้านพาหุรัดเรียกว่า สนามน้ำจืด เพราะเคยตั้งถังน้ำขนาดใหญ่สูบเอาน้ำ บาดาลขึ้นมาเก็บไว้ บ่อน้ำบาดาลแห่งนี้ เป็นแห่งแรกที่มีขึ้นในเมืองไทย ต่อมา จึงถมทำเป็นโรงภาพยนต์ศาลาเฉลิมกรุงที่สร้างขึ้นเมื่อมีการฉลองพระนคร ครบ ๑๕๐ ปี พ.ศ. ๒๔๗๕
สั ง ค ม ที ่ รั บ วั ฒ น ธ ร ร ม ตะวันตกได้เร็วที่สุดคือสังคมวัย รุ่นและชุมชนผู้คนในกรุงเทพฯ ยุ ค สมั ย หลั ง พ.ศ. ๒๕๐๐ สภาพบ้านเมืองที่ต้องเรียบสงบ และถูกควบคุมเคร่งครัด นักเลง อันธพาลถูกกำหราบหลังจากยุค รัฐตำรวจอัศวินไปแล้ว สถานที่เ ที่ย วทั น สมั ย ที่สุ ด ในยุคนั้นคือบริเวณ “หลังวัง” คนในรุ่น นั้น เรี ย กช่ ว งเวลาใน การแสวงหาความบันเทิงของวัย รุ่นยุคนั้นว่า “ยุคโก๋หลังวัง” ก็มี ซึ่ง ทางตะวั น ตกจะเรี ย กวั ย รุ่น ที่นิ ย ม กระแสแฟชั่น และเพลงแบบเอลวิ ส เพรสลีย์หรือร็อคแอนโรลล์ในช่วงเริ่ม ต้นสงครามเวียดนามว่ายุคซิกตี้ [60th] ประเทศไทยเริ่ม ได้ รั บ อิ ท ธิ พ ลของ วั ฒ นธรรมต่ า งประเทศอย่ า งเด่ น ชั ด โดยเฉพาะวัฒนธรรมอเมริกัน ราชา ร็อคแอนด์โรลอย่าง เอลวิส เพรสลีย์ และดาราดังข้ามโลก เช่น เจมส์ ดีน ล้วนเป็นแม่แบบของวัยรุ่นทั่วโลก และ วัยรุ่นไทย ทั้งเรื่องเสื้อผ้า การแต่งกาย และทรงผม ด้านตะวันออกของเมืองมีวังของ พระบรมวงศานุ ว งศ์ ชั้น ผู้ใ หญ่ ตั้ง อยู่ หลายแห่งในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อมีการสร้าง “วังบูรพาภิรมย์” ซึ่งเป็นวังที่ พระบาทสมเด็ จ พระจุ ล จอมเกล้ า เจ้ า อยู่หั ว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นพระราชทาน สมเด็จ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช พระเจ้าลูก ยาเธอพระองค์ สุ ด ท้ อ งในสมเด็ จ พระเทพศิรินทราบรมราชินี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๘ เป็น
บน วังบูรพาภิรมย์ ล่าง โรงภาพยนต์ศาลาเฉลิมกรุง
พระตำหนักใหญ่สูง ๒ ชั้น ประกอบด้วย อาคาร ๓ หลัง เนื้อที่กว้างขวางตั้งแต่ริมถนน จากป้ อ มมหาชั ย ไปจนถึ ง สะพานเหล็ ก หรื อ สะพานดำรงสถิต พื้นที่บริเวณนี้เคยมีวังเก่า
หลังจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เสด็จ ทิวงคตในปี พ.ศ. ๒๔๗๑ ทายาทของ ท่านให้เช่าเป็นที่ตั้งโรงเรียนสตรีภานุทัต ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ และ หลั ง สงครามสงบลงจึ ง ใช้ เ ป็ น อาคาร เรียนของโรงเรียนพณิชยการพระนคร ในเวลาต่อมา ราว พ.ศ. ๒๔๙๕ ทายาทราชสกุลภาณุพันธุ์ได้ขายวังบูรพาให้เอกชน คือนายโอสถ โกศิน ในราคา ๑๒ ล้าน ๒ หมื่นบาท จึงรื้อ อาคารต่ า งๆ ในวั ง ออกเพื ่ อ สร้ า งเป็ น ศูนย์การค้าและโรงภาพยนตร์สามแห่ง คือโรง ภาพยนตร์คิงส์ โรงภาพยนตร์ควีนส์ และโรง
๕
โรงภาพยนต์แกรนด์, คิงส์ และห้างสรรพสินค้าเซนทรัล วังบูรพา
ภาพยนตร์แกรนด์ ทำพิธีเปิดเมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๗ ย่านวังบูรพาเมื่อรวมกับตลาดมิ่งเมือง ที่ปัจจุบันคือศูนย์การค้าดิ โอลด์สยามพลาซ่าสร้างขึ้นมาพร้อมๆ กับโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง
เพื่อเที่ยวและด้วยความเป็นวัยรุ่นจึงมีเรื่องชกต่อยฟันแทงและใช้ อาวุธปืนหรือระเบิดกันบ้างประปราย จนกลายเป็น “ตำนาน” ของ นักเลงวัยรุ่น วัยเกเร วัยเริ่มต้นชีวิตที่ถูกเล่าสืบทอดกันและถูกเขียน เป็นนวนิยายบ้าง สร้างเป็นภาพยนต์บ้างอยู่หลายเรื่องหลายครั้ง
ตลาดมิ่งเมืองมีชื่อเสียงในฐานะแหล่งชุมนุมช่างตัดเย็บเสื้อผ้า เพื่อรองรับลูกค้าที่มาซื้อผ้าที่ตลาดสำเพ็งและพาหุรัด แล้วไม่มีเวลา ไปหาร้านตัดเย็บ เป็นการอำนวยความสะดวกให้ลูกค้า และเป็นการ ส่งเสริมเกื้อกูลซึ่งกันและกัน เมื่อซื้อผ้าแล้วมีแหล่งตัดเย็บอยู่ใกล้ๆ ก็ได้เสื้อกลับบ้านอย่างรวดเร็ว ตลาดแห่งนี้จึงได้รับความนิยมจาก สุภาพสตรีเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ดารา นักร้อง จนถึงประชาชนทั่วไป
สำหรับนวนิยายที่โด่งดังที่สุดน่าจะเป็นการตีพิมพ์ลงเป็นตอนๆ ในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์เรื่อง “เส้นทางมาเฟีย” โดยสุริยัน ศักดิ์ไธสง ที่โปรยหัวว่า เป็นเบื้องหลังเรื่องราวและยุทธการนักเลง แห่งกรุงเทพมหานครระหว่างปี ๒๔๙๘-๒๕๐๕ บันทึกโดยผู้ใกล้ ชิด ผู้ร่วมสร้างตำนานในยุคนั้น เรื่องจริงที่อ่านสนุกระทึกใจไปกับ เหตุการณ์จริงที่เป็นข่าวหน้าหนึ่งมาแล้ว การเขียนอย่างสมจริงดูจะ เป็นเสน่ห์สำหรับคนรุ่นหลังไม่ใช่น้อยจึงถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนต์ ในเวลาต่อมาเรื่อง “๒๔๙๙ อันธพาลครองเมือง” และมีผู้จดจำเล่า ขานจนเห็นวัยรุ่นในยุคนั้นเป็นทั้งนักเลงทั้งมาเฟียผู้ร้ายไปจนถึงฮีโร่ และบุคคลที่วัยรุ่นอยากเอาเยี่ยงอย่างเพราะดาราที่นำแสดงนั้นช่างดู โดดเด่น เท่อย่างยิ่ง เรื่องราวของพวกเขา เช่น “แดง ไบเลย์, ดำ เอซ โซ่, ปุ๊ ระเบิดขวด” ฯลฯ แพร่กระจายกลายเป็นเรื่องที่ถูกเชื่อว่าเป็น จริงไปทั่วทั้งประเทศ
ตึกด้านนอกตรงหัวมุมสี่แยกพาหุรัดมีร้านรัตนมาลา เป็นร้าน เก่าแก่ ขายสินค้านานาชนิด ที่มีชื่อเสียงมากในสมัยก่อนก็คือตะเกียง เจ้าพายุ ถัดมาทางด้านถนนตรีเพชรเป็นร้านของแขก ขายภาชนะใน ครัวที่ทำด้วยอลูมิเนียม มีร้านขายยาแก้วเภสัช รวมทั้งร้านขายปืนที่ มีอยู่หลายร้าน อีกส่วนหนึ่งของตลาดมิ่งเมืองเป็นอู่จอดรถโดยสาร สำหรับผู้จะเดินทางไปต่างจังหวัด ย่านวังบูรพาคือแหล่งรวมวัยรุ่นชายหญิงนำสมัยและทันสมัย แหล่งใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ช่วงเวลานั้นเพราะมีห้างสรรพสินค้า ภัตตาคาร ห้องอาหาร ร้านไอศครีม และโรงภาพยนตร์ ตู้เพลงซึ่ง เป็นยังเป็นของใหม่และทันสมัยจนวัยรุ่นคลั่งไคล้ จังหวะเต้นรำที่ เป็นที่นิยม คือ ร็อคแอนด์โรล และจังหวะทวิสต์ เกิดการทะเลาะ วิวาทตามแบบวัยรุ่นทุกยุคได้ตลอดเวลาจนกลายเป็นเรื่องเล่าขาน สืบต่อถึงวัยรุ่นนักเที่ยวเล่นในสมัยนั้น แถวนี้เป็นย่านบันเทิงมีโรง หนังถึงสี่โรงคือ ศาลาเฉลิมกรุง แกรนด์ คิงส์ ควีนส์ นับว่าย่าน “วัง บูรพา” นี้เป็นย่านการค้าที่ใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น
อย่างไรก็ตาม การเขียนเรื่องเล่าหรือประวัติศาสตร์ร่วมสมัยย่อ ไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างขึ้นมาโดยขาดการตรวจสอบ ยิ่งหากเรื่องราวเหล่า นั้นยังเป็นประวัติศาสตร์ที่ยังมีชีวิตหรือประวัติศาสตร์สังคมที่เป็น ความทรงจำร่วมกันของผู้คนร่วมสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ กลุ่มวัยรุ่นใน ยุคนั้นบางท่านซึ่งอยู่ในเหตุการณ์ที่ถูกเล่าซ้ำแล้วซ้ำเล่าในรูปแบบ ต่างๆ ที่ยังมีชีวิตอยู่จึงเริ่มบันทึกและเขียนออกมาเป็นหนังสือบันทึก ความทรงจำในช่วงชีวิตของตน
ที่ควรกล่าวถึงและสามารถให้เหตุผลและสถานการณ์ตามสภาพ วัยรุ่นที่เที่ยวย่าน “หลังวัง” และย่านการค้าอื่นที่รุ่งรเืองในช่วง แวดล้อมที่เป็นจริงได้อย่างยิ่งคืองานเขียนของ “บรรเจิด กฤษณา ร่วมสมัยกันคือ “บางลำพู” ต่างคบค้าเพื่อนในถิ่นตนเองและต่างถิ่น ยุทธ” เรื่อง “เดินอย่างปุ๊” และ “เสื้อลายขวางกับหนังสือเดินทาง
๖
๑/๒ เล่ม” โดยปุ๊ กรุงเกษม ถือเป็นการ บอกเล่ า เรื่อ งราวเดี ย วกั น แต่ แ ตกต่ า งใน ประเด็นสำคัญคือ การเน้นในเรื่องราวของ วั ย รุ่น ที่ถู ก ขนานนามว่ า เป็ น มาเฟี ย หรื อ นักเลงที่กำลังไต่รุ่นสู่การเป็นอันธพาลที่ ฟังดูมีความรุนแรงในการใช้ชีวิตหรือต้อง เสี ่ ย งคุ ก ตะราง ซึ ่ ง บุ ค คลผู ้ ที ่ อ ยู ่ ใ น เหตุการณ์จริง บอกเล่าเรื่องราวอีกด้าน หนึ่งที่แตกต่างไป เพราะกลุ่มวัยรุ่นในยุค นั้น เน้ น ในทางการเที่ย ว ฟั ง เพลงจาก ตู ้ เ พลงที ่ ข องทั น สมั ย มากในเวลานั ้ น แต่งตัวเลียนแบบเจมส์ ดีน ฟังเพลงเอลวิส เพรสลีย์ ดูหนังฮอลลีวู้ด และหาเรื่องชก ต่อยจนถึงใช้มีดหรือไม้เพื่อแสดงถึงนิสัยสู้ คนหรือใจนักเลงและรักพวกพ้อง แต่ไม่ถึง กั บ เข้ า ไปอยู่ใ นวั ง วนของเส้ น ทางมาเฟี ย หรือผู้มีอิทธิพลปล้นฆ่า ตีรันฟันแทงกัน หรือใช้อาวุธปืนใช้ระเบิด และอยู่ในแวดวง ผิ ด ก ฎ ห ม า ย ดั ง เ ช่ น ใ น ห นั ง สื อ ห รื อ ภาพยนต์ที่กลายเป็นภาพจดจำเมื่อกล่าว ถึงวัยรุ่นในยุคนั้น แต่แท้ที่จริงวัยรุ่นหรือนักเลงรุ่นเล็ก ในช่วงหลัง พ.ศ. ๒๕๐๐ ในยุคจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ต่างตกอยู่ใต้อิทธิพลของ วัฒนธรรมแบบอเมริกันในยุคสงครามเย็น
และค่อนข้างถูกควบคุมด้วยเจ้าหน้าที่ เช่น ตำรวจอย่างเข้มงวดทีเดียว นักเลงในรุ่น เก่าต่างถูกปราบปรามขึ้นบัญชีดำหรือถูก จับติดคุกลาดยาวกันไปมากมาย โรงฝิ่นถูก ยกเลิก แหล่งอบายมุกถูกจำกัดพื้นที่ เป็น ยุ ค ที่ถู ก กล่ า วว่ า เป็ น การควบคุ ม พวกผู้มี อิ ท ธิ พ ลและอั น ธพาลจากยุ ค รั ฐ ตำรวจที่ สร้างไว้อย่างแท้จริง แต่ นั ก เลงรุ ่ น เด็ ก หรื อ วั ย รุ ่ น ที ่ เ ริ ่ ม เติบโตไม่ได้หายไปไหน การออกมามีเรื่อง กั น นั้น แทบจะเป็ น ปกติ ข องการเที่ย วเตร่ การรักพวกพ้อง และการใช้ชีวิตแบบเพื่อน น้ำมิตรที่มีฉากหลังการเลียนแบบดาราและ วั ฒ นธรรมแบบฮอลลี วู้ด ในยุ ค สมั ย ที่ สังคมไทยกำลังเปลี่ยนแปลงเพื่อก้าวไปสู่ ความทั น สมั ย แบบตะวั น ตกอย่ า งขนาน ใหญ่ และภายใต้การเมืองแบบเผด็จการที่ เคร่งครัดในกฎระเบียบตามสมควร และ อยู่ในการเมืองระหว่างประเทศที่ต้องเป็น ฝ่ายเลือกข้างเพื่อต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ ในค่ายที่สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำ
ยังคงอยู่ในสังคมที่ยังคงรู้จักหน้ารู้จักพ่อแม่พี่ น้อง รู้จักผู้ใหญ่ และสามารถไกล่เกลี่ยเพื่อไม่ ให้เกิดปัญหารุนแรงมากตามมาได้ วัยรุ่นจากที่ต่างๆ มีสถานที่ท่องเที่ยวและ ชุมชนที่อยู่จึงนิยมตั้งชื่อสมญานามตามสถาน ที่ต่างๆ หรือตามกลุ่ม ตามชุมชน กลายเป็น ผู้นำในทางแฟชั่น ผู้นำในกลุ่มของความเป็น นักเลงแบบเก่าคือ การเป็นคนจริงและรักพวก พ้อง ความนิ่งและไม่รังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า จน กลายเป็นสัญลักษณ์และความทรงจำของยุค สมัยของนักเลงรุ่นเด็ก ในช่วงหลังกึ่งพุทธกาล กันตลอดมาจนถึงปัจจุบัน
สังคมวัยรุ่นในกรุงเทพฯ ยุคนั้นจึงยัง
๗
รต. พิเชษฐ ปัทมินทร
พร พิษณุ ชื่อที่ใช้ในการแสดงภาพยนต์
น้าเชษฐ : วัยรุ่นตรอกหลังวัดราชนัดดาฯ น้าเชษฐ หรือ “พิเชษฐ ปัทมินทร” เพิ่งร้างตำแหน่งหน้าที่จาก สก. เขต พระนครไปในยุครัฐบาลทหารของ คสช. แต่ก่อนหน้านั้น น้าเชษฐเกษียณ ราชการในยศนายร้อยตรีหน้าที่ “สารวัตรทหาร” รูปร่่างสูงใหญ่ ยังแข็ง แรงในวัย ๖๖ ปี ช่วงวัยรุ่นของน้าเชษฐโชกโชน เพราะเติบโตในย่านเมืองเก่า กรุงเทพฯ บ้านน้าเชษอยู่บริเวณประตูหลังวัดราชนัดดาฯ เดินออกประตูไปก็ถึงพอดี มี คนเอาป้ายไปติดให้ว่าบ้านน้าเชษเป็นบ้านองุ่น และมีเถาว์องุ่นเลื้อยเห็นอยู่ หน้าบ้าน บอกว่าพื้นที่แถวนี้ปลูกสวนอะไรได้มาตั้งแต่ต้นกรุงฯ แต่ก็ไม่มี รายละเอียดอะไรอีก แถวหลังวัดราชนัดดาฯ บริเวณริมคลองวัดราชนัดดา ซึ่งเป็นคลองท่อ หรือคลองหลอดเชื่อมระหว่างคลองเมืองชั้นในที่ขุดสมัยสมเด็จพระเจ้า กรุงธนบุรีและคลองโอ่งอ่าง-บางลำพูที่เป็นคลองเมืองชั้นกลาง ทำให้ บริเวณคลองเชื่อมทั้งคลองวัดราชนัดดาฯ และคลองวัดราชบพิธทำหน้าที่ ช่วยให้น้ำไหลผ่านได้เร็วขึ้น รักษาระดับการขึ้นลงของน้ำหมุนเวียน เมื่อไป ถามทุกคนที่เคยใช้ชีวิตอยู่ที่ริมคลองทั้งสองแห่ง ต่างก็พูดว่าเคยมีน้ำไหล และน้ำสะอาดมากทีเดียว
ย่านบ้านเรือนหลังวัดราชนัดดาฯ ตลอดไปจนริมคลอง ออกไปจนถึงหน้าถนนดินสอ ฝั่งตรงข้ามของถนนดินสอคือ ตรอกศิลป์และตรอกตึกดิน กลุ่มบ้านเหล่านี้มีทั้งพื้นที่ดิน ส่วนบุคคล ที่ดินวัด และที่ดินในส่วนทรัพย์สินฯ คละกัน บ้าน น้าเชษก็อยู่ในที่ดินทรัพย์สินฯ รวมทั้งบ้านขุนวิจารณ์ฯ, บ้าน คุณพระศรีฯ ที่เป็นบ้านไม้หลังใหญ่สองสามบ้าน หลังใหญ่ และดูสวยมาก แต่ก็เสื่อมไปตามกาลเวลาคือบ้านพระศรี หรือ พระศรีสาคร (ช้อย พันธุมสุต) ทำงานอยู่กระทรวงพระคลัง และเป็นคุณพ่อของน้าแพท แห่งลลนา (ศิริสวัสดิ์ พันธุมสุต) ที่เพิ่งสิ้นชีวิตไปไม่นาน ส่วนบ้านน้าเชษฐ บ้านฝ่ายตายายที่อยู่ก็เป็นหนึ่งในที่ดิน พระราชทานแต่เดิมฝ่ายแม่คือในตระกูล ณ ตะกั่วทุ่ง ซึ่งมา พบรักกับพ่อน้าเชษฐที่อยู่แถวแยกคอกวัวในตระกูลปัทมินทร บริเวณกลุ่มบ้านหลังวัดราชนัดดายังมีคนเก่าๆ ที ่เช่าที่ ทรั พ ย์ สิ น อยู ่ แ บบเงี ย บๆ ส่ ว นใหญ่ เ คยเป็ น ลู ก หลาน ข้าราชการ ที่ทำงานกรมอู่ทหารเรือก็มาก เคยเป็นตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ ก็หลายคน บางคนแต่งงานกับคนใกล้ๆ ข้ามตรอกคนละฝั่งถนนก็มี น้าเชษจบมัธยมที่วัดมกุฎกษัตริย์ เหมือนเด็กๆ แถวนี้ หลายคน ในแวดวงวัยรุ่นจอมซ่าด้วยกัน น้าเชษฐบอกว่าได้ “เดินเที่ยว” กับพวก แดง ไบเล่ย์, พัน หลังวัง, ปุ๊ ระเบิด, ดำ เอสโซ่, จ๊อด เฮาดี้, แอ๊ด เสือเผ่น, เหลา สวนมะลิ และสารพัด แต่ละคนเป็นตัวแสบในแถบถิ่นฐานบ้านช่องที่อยู่ และเรียก กันโดยักมีฉายาถิ่นบ้านต่อท้าย นักเลงสมัยนั้นออกแนวรื่นรมย์ ไปเที่ยวฟังเพลงฝรั่ง ร้อคแอนโรลและเอลวิส เพรสลีย์ ดูหนังฮอลลีวู้ด โดยเฉพาะ คลั่งไคล้ เจมส์ ดีน อย่างมากเขม่นก็ตีกัน ส่วนน้าเชษแม้เป็น รุ่นน้องหลายปี แต่การได้เดินไปไหนมาไหนด้วย กับพี่ๆ เหล่า นี้ออกจะเท่และรู้สึกว่าเจ๋งกว่าใครในรุ่นเอามากๆ เด็กรุ่นๆและก๊วนแก็งค์มักจะใช้ร้านกาแฟโกยี บริเวณสี่ แยกสะพานวันชาติที่เป็นร้านสะดวกซื้อทุกวันนี้ เป็นสถานที่ นัดพบเพื่อรอเวลา ๑๑ โมงเช้า เพื่อไปดูวงดนตรีที่สวนอัมพร จะเต้นรำหรือไปต่อกันที่ไหน น้าเชษรอบรู้เรื่องกรุงเทพฯ ยุค ต้นๆ กึ่งพุทธกาล รู้ละเอียดและจำได้ทุกย่านทุกตรอก ไปจน ที่เที่ยวของหนุ่มๆ และรู้จักคุณหมอเพียร เวชบุล เป็นอย่างดี
๘
น้าเชษฐเล่าว่า เด็กวัยรุ่นนักเลงแถวทั้งหน้าวัดและหลังวัดราช นั ด ดาฯ กลั ว ตำรวจแถวนั้น อยู่ค นหนึ่ง ที่เ ป็ น นั ก เขี ย นดั ง อยู่ สน.สำราญราษฎร์ กลัวขนาดถ้าเห็นต้องหลบ นักเขียนดังผู้เป็นนาย ตำรวจท่านนี้เคยใช้ปืนจุดสองสองยิงพวกนั่งราวสะพานข้ามคลองวัด ราชนัดดาฯ ตกน้ำตกสะพานมานักต่อนักแล้ว เป็นนายตำรวจประเภท มือถึงตีนถึง งานเขียนทั้งเรื่องสั้นและเรื่องยาวบทความของท่านจึงมี ข้อมูลจริงจังและโด่งดังพอๆ กับนักเขียนยุคทองในยุคฟ้าเมืองไทยคือ “พ.ต.อ. ลิขิต วัฒนปกรณ์”
เบี้ยว ตรอกพระยาเพ็ชรฯ / กบ ป้อม มหากาฬ หากใครยังไม่เคยเห็นกรุงเทพฯ ครั้งที่ยังมีเสน่ห์และชีวิตยังเนิบช้า เมื่อเกือบศตวรรษที่แล้ว ลองไปยืนริมถนนมหาไชย ฝั่งวัดราชนัดนา แล้วเงยหน้าสูงๆ เพื่อมองไปที่ยอดกำแพงที่มีใบเสมาและหมู่ยอดไม้ ใหญ่สูงลิ่วเป็นทิวแถวด้านหลังกำแพง ยามเย็นลมพัดจนยอดไม้ใหญ่ เอนไหวพลิ้วตามแรงลม ทำจิตสงบนิ่งสักพักก็คงระลึกชาติได้
ความเกเรดูจะเป็นเรื่องธรรมดาของเด็กรุ่นๆ น้าเชษฐ บ้านอยู่ บริเวณนี้อีกเช่นกัน พวกเราคนกรุงเทพฯ เกือบจะเป็นพยานให้ ใกล้โรงหนังเฉลิมไทยก็ขายตั๋วผีหาเงินใช้ เดินตั๋วหนังที่โรงหนังบุษย เกิ ด การทำลายพื้น ที่ช านพระนคร พื้น ที่อ ยู่อ าศั ย สำคั ญ ของคน พรรณ ตลาดนานาแถบบางลำพูก็ทำ ที่โรงหนังพาราไดซ์ที่เมื่อก่อนชื่อ กรุงเทพฯ ย่านประวัติศาสตร์ที่หากหายไปเป็นสนามหญ้าเสียแล้ว ก็ โรงหนังเฉลิมวันชาติก็เคยทำงานหารายได้พิเศษ คงจะเรียกทุกอย่างให้กลับคืนไม่ได้ตลอดกาล เมื่อออกจากโรงเรียนในชั้นมัธยมปลายได้ก็อยากเป็นนักแสกง ชาวบ้านที่อยู่หลังกำแพงนั้นเอง พวกเขาช่วยกันเก็บพื้นที่สำคัญ เพราะมีญาติผู้พี่ผู้น้องคือ “จุมพล ปัทมินทร” นายทหาร ดารานักร้อง เหล่านี้ไว้ให้พวกเรา นับแต่พระราชกฤษฎีกาเวนคืนตั้งแต่ พ.ศ. ตลกรุ่นล้อต๊อก สมพงษ์ ก๊กเฮง ฯลฯ กับนักแสดงและผู้กำกับดังคือ ๒๕๓๕ ถึงวันนี้ก็ ๒๓ ปี รัฐท้องถิ่น ผู้จัดการพื้นที่ ยังไม่สามารถ เริงเมือง ปัมทมินทร สรุปว่าได้เข้าวงการนักแสดงในชื่อ “พร พิษณุ” ทำให้บริเวณริมน้ำตรงนี้กลายเป็นสนามหญ้า สวนสาธารณะเหมือนที่ เล่นหนังในรุ่นเดียวกับสรพงษ์ ชาตรี อื่นๆ ตามการออกแบบของคณะกรรมการเกาะรัตนโกสินทร์ได้ พวก แต่ฝ่ายญาติๆ เห็นไม่น่าจะมั่นคงจึงติดต่อให้ไปรับราชการทหาร เราก็เลยยังคงได้เห็นภาพและชื่นชมชีวิตและสภาพเป็นพระนครแบบ ที่กองพันสารวัตรทหาร และอยู่มาจนเกษียณอายุ แต่น้าเชษฐก็ยังเล่น เดิมๆ ของเราจากบริเวณส่วนที่ถูกเรียกว่า “ชุมชนป้อมมหากาฬ” หนังไปถึง ๓๐๐ เรื่องได้ โดยเฉพาะเรื่องชุดทหารเกณฑ์ ซึ่งดูจะเข้ากับ พี่กบชื่อจริงคือ “ธวัชชัย วรมหากุล” อายุเข้า ๕๗ ปีแล้ว ร่อง ชีวิตจริง รอยความเก๋าอยู่ที่ทรงผมตัดเกรียนรอบศีรษะ แต่ไว้ยาวที่ด้านบน ไว้ น้าเชษฐในปัจจุบันไม่มีลูก แต่เลี้ยงลูกแมวที่เก็บจากข้างทางอย่าง หนวด ดูเหมือนนักรบชาวบ้านในหนังพวกบางระจันทำนองนั้น มักใส่ รักใคร่ ชีวิตผ่านร้อนผ่านหนาวมามาก วันนี้อยู่เงียบๆ ที่บ้านซึ่ง กางเกงขาก๊วย เสื้อผ้าฝ้ายแขนยาวสีเข้มและหากเพ่งใบหน้าดีๆ จะพบ ตนเองเกิดหลังวัดราชนัดดาฯ และคุยสนุกสนานสมเคยเป็นวัยรุ่นชาว ว่ามีรอยแผลเป็นยาวที่หน้าสองสามแห่ง อันหมายถึงคงผ่านช่วง สมรภูมิวัยรุ่นมาไม่น้อยแน่นอน พระนครรุ่นใหญ่ตัวจริง ตรงบ้านพี่กบ เคยเรียกกันว่า “ตรอกพระยาเพ็ชร” ก็มาจาก พระยาเพ็ชรปราณี ข้าราชการกระทรวงวัง ที่เริ่มตั้งวิกคณะลิเกเล่นอยู่
บ้านที่มีเถาองุ่น
บ้านเรือนในชุมชนหลังวัดราชนัดดาฯ
๙
วัยรุ่นพระนคร
เมื ่อ กึ ่ง ศ ต ว รร ษ ที่หน้าวัดราชนัดดาฯ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ และ สมเด็ จ กรมพระยาดำรงราชานุ ภ าพเขี ย น บันทึกไว้ว่ากำเนิดลิเกเป็นอย่างไร จนเกิดเป็น วิกลิเกที่ถือว่าโด่งดังมากในสมัยนั้น
อย่างพิถีพิถัน พี่กบบอกว่าคนมาหาตาทั้งวัน หรื อ ไม่ ต าก็ อ อกไปหาอุ ป กรณ์ พ วกหนั ง วั ว แถวคลองเตยบ้าง คนมาหาจากนอกเมือง พวกอยุธยา อ่างทองก็มี มาถึงก็ผูกเรือกับลำ บ้านพี่กบก็อยู่ในตรอกนี้ คลองเมืองหรือ ไม่รวกที่ปักข้างคลองเดินทางกันแบบนี้เข้ามา คลองโอ่งอ่างอยู่ด้านหลัง ด้านหน้าก็คงเป็น หาตากันแบบปากต่อปาก บ้างก็เอาไม้มาให้ วิกลิเกพระยาเพ็ชรตั้งแต่สมัยโบราณ พี่กบ พร้อม ตามีผู้ช่วยแค่คนเดียว อยู่กันในบ้านนี้ เองและบอกสูตรลับทั้งพวกการเคี่ยวรัก การ ถ่วงตะกั่วให้หมด พี่กบเล่าว่าของพวกนี้เป็น ความลับ ขนาดปิดห้องทำกันทีเดียว แม้แต่ คนในครอบครัวก็ไม่เคยได้รู้
เพลงที่ฟังก็ต้องเพลงฝรั่งอย่างเดียว จะมีใคร มาเปิดเพลงลูกทุ่ง เพลงอีสานอะไรที่ไหน พี่ กบกล้าลบทิ้ง ให้รู้บ้างถิ่นใคร หลายคนก็คง ไม่มีใครอยากมีเรื่องกับแกจริงๆ พี่กบไปเรียนมัธยมที่วัดมกุฎฯ จนถึง ม.ศ. ๔-๕ แม้จะใส่ขาสั้น แต่เรื่องตีกันทั้งช่าง กลอุเทนถวายฯ ช่างก่อสร้างดุสิต ฯลฯ ก็ไป
พี่กบเล่าว่าช่วงเวลาที่คุณตาเสียชีวิต คง เป็ น ครู ที่มี ลู ก ศิ ษ ย์ ม าก คนดนตรี ม ากั น มากมาย ที่พี่พ บจำได้ ก็ มี ม าจากทั้ง ดุ ริ ย ประณีต เช่น นฤพล หรือครูแจ้ง ก็เคยเห็นมา หากัน พี่กบยังเด็กๆ ไม่ได้อะไรทางดนตรีมา จากตาอู๋เลย ได้แต่ใจนักเลง ช่างคิดและดูเป็น ศิลปินหน่อยๆ โตมาในยุคที่เอลวิสกำลังเฟื่อง แถมย่านบางลำพูยังเป็นสวรรค์ของนักเที่ยว ทั้งกลางวันกลางคืน พอถามเรื่องบ้านพี่กบเป็นยังไงหลังคุณ ตาคุณยายสิ้นแล้ว พี่กบตอบว่า เบี้ยว ตรอกพระยาเพ็ชร
เล่าว่า บ้านนี้เป็นของทวด พ่อของตา เกินกว่า นั้นก็สืบไม่ไหวแล้ว แต่ที่แน่คือ ที่บ้านพี่กบตา อู๋สืบวิชาทำปี่พาทย์ ทำกลองทัด กลองแขก ไปจนถึงกลองเพลตามวัด งานที่ไว้ชื่อลือชาก็ คือขุดกลองเจ้าพ่อหอกลองที่นำไปไว้บนชั้น ๓ เมื่อสัก พ.ศ. ๒๕๐๙ คุณทวดของพี่กบคง เป็นคนดนตรีระดับครูในแถบนี้ตั้งแต่แรกมา ตาอู๋นอกจากเป็นช่างทำปี่พาทย์และถ่วง ตะกั่วปี่พาทย์ฝีมือดีที่สุดคนหนึ่งแล้ว ก็ยังขุด กลองขึงหนึงทำตะโพนไทยมอญ ใช้ลานบ้าน และบ่อน้ำทำเองเป็นสถานที่ผลิตเครื่องดนตรี
ไม่รู้สิ ผมไม่ค่อยได้อยู่บ้าน ออกไปกับ แก๊งค์เพื่อน ที่บ้านเป็นยังไงบ้างช่วงนั้นก็จำไม่ ค่อยได้แล้ว ..เพราะพี่กบเริ่มได้ฉายาจากเด็ก วัยรุ่นทั้งหลายที่เรียกพี่ว่า “ไอ้เบี้ยว ตรอก พระยาเพ็ชร” ประมาณนั้น พอเริ่มเป็นหนุ่ม ชีวิตพี่กบมีแต่แสงสี รอบๆ บ้านที่ตรอกพระ ยาเพ็ชรก็มีแต่ย่านเริงรมย์ สนุกในวัยหนุ่ม เพราะที่เที่ยวที่เล่นสนุกเยอะแยะ เต็มไปด้วย สีสันมากมาย
พี่กบ ป้อมมหากาฬ หรือธวัชชัย วรมหากุล
รบแบบวัยรุ่นมาแล้วอย่างโชกโชน ในแก๊งค์ที่ มีลูกน้องเดินตาม แต่พี่กบไม่เคยไปยุ่งกับยา เสพติ ด ขนาดผงขาว แม้ จ ะเห็ น ๆ กั น อยู่ เพื่อนๆ ใน กุล่มแก๊งค์ก็ไม่มีใครเอา เพราะ แกไม่เอาขนาดนั้นและห้ามทุกๆ คนเสียด้วย
วัยรุ่นวั ยร้ อ นสมั ยมั กถู ก ตำรวจเรี ย ก ตรวจขากางเกง ถ้าเอาลูกปิงปองยัดใส่ขา ราวๆ ต้นๆ ทศวรรษที่ ๒๕๑๐ รุ่นพี่กบ กางเกงไม่ได้ก็ถูกต้อนขึ้นรถโดนข้อหาเป็นภัย นั้นสิงอยู่แถวตลาดนานา นั่งราวสะพานคอ สังคมกันไป ตำรวจกับเด็กวัยรุ่นไม่ชอบหน้า เอียงๆ คอยดูว่ามีใครจะกล้าสบตาบ้าง หยอด กันมานานแล้ว เหรี ย ญเล่ น ตู้เ พลงหน้ า โรงหนั ง บุ ษ ยพรรณ
๑๐
นักเลงยุคนั้นไม่มีปืน ไม่มีระเบิด ตีกั น พลาด ปีนั้นพี่กบผ่านรวดทั้งข้อเขียนทั้งสอบ แต่งงานแล้วพี่กบบอกว่า พี่กับภรรยาไม่เคย อย่างมากก็มีดและไม้ พี่กบบอกว่าที่ชอบไป พละ แต่พอมาตรวจร่างกาย เมื่อเขาให้แบมือ แยกห่างกันอีกเลย บางลำพู เพราะมีเพื่อนเยอะมาจากชุมชน หงายคว่ำ เท่านั้นเองชีวิตพี่กบกับอนาคตการ พี่กบเริ่มชีวิตใหม่หลังแต่งงานเมื่ออายุ ร อ บ ๆ บ า ง ล ำ พู ทั ้ ง ท า ง วั ด ราว ๒๕ ปี ไปเป็นพนักงานขายห้าง สามพระยา วัดอินทร์ฯ ตรอกไก่แจ้ เซนทรัลชิดลม แต่เงินเดือนน้อยนิด ทำ ตรอกมะยม วั ย รุ ่ น มุ ส ลิ ม แถว อยู่ราว ๒ ปี หลังจากนั้นก็ไปเป็น จักรพงษ์มักนุ่งโสร่งมาเที่ยวกัน แต่ พนั ก งานขายอยู่โ ชว์ รู ม รถยนต์ นิ ส สั น บางคนในโสร่งก็มีไม้คมแฝกซ่อนไว้ และอยู่ยาวจนเป็นผู้จัดการโชว์รูม ชีวิต บางคนก็ขึ้นชื่อว่า “ดุ” จนมีชื่อ ไม่มี มนุ ษ ย์ เ งิ น เดื อ นของพี่ก บมาสะดุ ด เอา ใครข้ามเขตใคร โดยเฉพาะถ้ามีใคร ตอนปี ๔๐ เมือ่ เศรษฐกิจฟองสบู่แตก มาจีบสาวๆ แถวบ้านแถวถิ่น แบบนี้ รอบแรก พี่กบได้เงินชดเชยมา ๖ เดือน ก็มีเรื่องกัน พี่กบเล่าไป หันรอยแผล ก็ เ ป็ น อั น จบชี วิ ต ชายหนุ่ม มนุ ษ ย์ เ งิ น ที ่ ค งเย็ บ ไปเป็ น ร้ อ ยเข็ ม ให้ ดู ไ ป เดือนตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เพราะโดนตี หั ว สลบ แกเล่ า ว่ า ชาวบ้านที่ป้อมมหากาฬ เริ่มเข้าสู่ ประเภทสลบหมดสติ ไ ปฟื้น ที่โ รง ช่วงสภาพวิกฤตขึ้นเรื่อยๆ หลายคนเห็น พยาบาล หรื อ ไปฟื้น อี ก วั น หนึ่ง ก็ พ้องต้องกันว่าไม่อยากย้ายไปอยู่ที่อื่นๆ หลายรอบอยู่ เช่น ถนนฉลองกรุงอะไรแบบนั้น ชาว มีอยู่ครั้งหนึ่งที่อาการหนักเกือบ บ้านมีแต่อดตาย ผู้คนที่เคยข้าขายใน ตาย เพราะไปโดนแทงเลือดตกในมา ย่านสถานที่สังคมแบบเมืองจะไปปรับ จากแถวๆ ตลาดสามยอด พอมาถึง ตัวอยู่แฟลตหรืออยู่ห่างไกลกันได้แบบ แถวๆโรงหนังคิงส์ย่านที่บอกว่ามัน นั้นได้อย่างไร เปรอะเลอะรุงรังสารพัดอย่างก็เจอ พี่กบเริ่มเข้ามาสู้กับปัญหาอย่างเต็ม คนรู้จัก พ่อมีร้านขายหมูพอเห็นแท่ง เป็นนายตำรวจก็ดับวูบลงทันที ตัว ย้ายไปไหนก็คงยากแล้ว คนในชุมชนตาม ลับมีดปลายแหลมก็คว้าเอามาแทงพุงตัวเอง ในแก๊งค์วัยรุ่นของพี่กบ ใครอยู่ในแก๊งค์ ที่มีเจ้าของยี่สิบกว่าแปลงถูกจัดการเรียบร้อย จนเลือดที่คั่งพุ่งออกมาได้ รอดตาย แต่ก็สลบ ก็ต้องไปสักพระพิรอดที่กระเดือก ใครๆ ก็สัก แต่ ค นที่อ ยู่อ าศั ย ไม่ ท ราบเรื่อ งรายละเอี ย ด ไม่ฟื้นไปเป็นวันๆ กระเดือก แต่พี่กบเปลี่ยนมาสักที่ข้อมือ ไม่น่า ส่วนใหญ่ไม่ได้เงินชดเชยจากการปลูกสร้าง พี่ก บใช้ ชี วิ ต แบบนี้จ นเริ่ม จะเรี ย นจบ เชื่อ รอยสักเล็กๆ สัญลักษณ์พระพิรอดที่ข้อ อาคารเพราะความสั บ สนดั ง กล่ า ว แต่ ที่ ม.ปลาย ก็คิดอยากเป็นตำรวจ อยากสอบเข้า มือทำให้ชีวิตเปลี่ยน กว่าจะกล้าบอกแม่ที่นึก แน่นอนคือเจ้าของที่ตามสิทธิส่วนใหญ่มอบที่ นายร้อยตำรวจสามพราน พอเรียนจบก็ไป และหวังว่าพี่กบจะสอบได้ก็สองวัน พี่กบก็ ให้ กทม. ไปแล้ว บอกแม่ว่าอยากเป็นตำรวจจริงๆ แม่ก็พาไป เสียใจแทบไม่เป็นผู้เป็นคน หลังจากนั้นก็ไป ราวๆ ปี ๒๕๔๒-๔๓ พี่กบแทบจะเลิก หา พล.ต.อ.มนต์ชัย พันธุคงชื่น อธิบดีกรม เรียนรามฯ เรื่อยๆ ได้ไม่เกินสองปี พี่กบจึง ออกไปขายเสื้อยืดสกรีน ครอบครัวเริ่มไม่คุย ตำรวจสมัยนั้น เพราะเคยเป็นลูกบุญธรรม เลิกเรียนไปเด็ดขาด เรื่อยเปื่อยไปจนเกณฑ์ กันเพราะไม่เข้าใจ ภรรยาพี่กบไม่เห็นด้วยเลย ของคุณตาอู๋ ปรากฏว่าสอบอะไรก็ผ่าน แต่ ทหารออกมาแล้วทีนี้ก็ได้พบคนรัก คนที่มา กว่าจะเข้าใจกัน ก็เกือบจะทำให้ครอบครัว พอสอบว่ายน้ำเท่านั้นเอง แกว่ายไปได้ครึ่ง เปลี ่ ย นแปลงชี วิ ต พี ่ ก บจนไม่ เ หลื อ คราบ แตกกันไป ทั้งที่อยู่ไม่เคยห่างและพื้นฐาน สระก็เกือบจมน้ำตาย ครูฝึกครูคุมสอบต้อง นักเลงหัวไม้อะไรอีก ความรักแน่นหนา จนต่อมาก็กลับมาช่วยกัน กระโดดไปเอาตัวขึ้นมา เพราะหมดแรง เพราะ หลังบ้านหันลงคลองเมืองหรือคลองโอ่ง คนหนุ่มสาวในหมู่บ้านหลังกำแพงเมือง ไม่ค่อยได้พักผ่อน ไม่ได้หลับ อาหารการกิน อ่างได้ วันหนึ่งแกพายเรือจะไปจอดพักไว้ หลายคนมีประสบการณ์เดียวแบบพี่กบ บาง ไม่ได้ดูแลตัวเอง เสียใจมาก คิดว่าไม่น่าพลาด แถวๆ ทางขึ้นตลาดนานา ก็เห็นหญิงสาวคน คนเมื่อต้องมีเวรยามเฝ้าทั้งกลางวัน กลางคืน แต่มาเป็นเสียแบบนี้ หนึ่งหน้าตาน่ารัก ออกมาทำกับข้าวอยู่หลัง ในช่วงวิกฤต เพราะกลัวทั้งไฟไหม้ และบาง ปีที่สองเตรียมตัวใหม่ เปลี่ยนแปลงตัว บ้านตรงข้าม ขายพวกประตูหน้าต่าง วงกบ ครั้ง ต้ อ งปิ ด ทางเข้ า ออกตามประตู ช่ อ งกุ ด เอง ทั้งฟิตร่างกาย ทั้งกินอาหารบำรุง ออกไป แกชะเง้อมองเป็น “รักข้ามคลอง” หลังจาก เหลือเพียงหัวป้อม ท้ายป้อม เมื่อต้องเฝ้าเวร วิ่ง แทบทุ ก เช้ า คิ ด ว่ า อย่ า งไรเสี ย ก็ ไ ม่ ค วรจะ
๑๑
วัยรุ่นพระนคร
เมื ่อ กึ ่ง ศ ต ว รร ษ ยามขนาดนี้ หลายคนต้องทิ้งงานประจำไป วันวานยังหวานอยู่ โดยปริยาย คนที่ป้อมมหากาฬสูงวัยขึ้นมา เติบโตขึ้นมาพร้อมกับสถานการณ์เช่นนี้ บาง วันนี้ยังมีความทรงจำ คนเรียนกฎหมาย ไม่ได้ต้องพึ่งนักวิชาการ จิ๊กโก๋ยุคหลังกึ่งพุทธกาล หวีผมเรียบ ที่ไหนหรือนักพัฒนาเอกชนที่ไหน แปล้ ไว้จอน ใส่เสื้อลายดอกพับแขนกับขา จากเด็กหนุ่มเบี้ยวทุกคนเป็นชีวิตจิตใจ เดฟ รองเท้าส้นตึก ส่วน “จิ๊กกี๋” มัดมวยผม มาสู่ชี วิ ต ที่ใ ช้ เ พื่อ การทำงานแข็ ง ขั น อยู่ใ น สูง นุ่งกระโปรงสุ่มไก่ ใส่รองเท้าส้นสูง เลียน ชุมชนป้อมมหากาฬ ซึ่งที่จริงก็คือตรอกพระ แบบดาราฮอลลีวูดในยุคนั้น นั่งรถรางมานัด ยาเพ็ชรปราณี ในบ้านที่เป็นสมบัติตกทอดมา พบกันที่ “ย่านวังบูรพา” บ้าง “ตลาดสิบสาม จากรุ่น คุ ณ ทวดและแหล่ ง กำเนิ ด ลิ เ กตั้ง แต่ ห้าง ตลาดนานา โรงหนังบุศยพรรณ บาง สมัยรัชกาลที่ ๕ พี่กบและคนหลังกำแพงที่ ลำพู ฯลฯ เป็นภาพของวัยรุ่นในกรุงเทพฯ ยุค ป้อมมหากาฬ ปรับตัวเอง พัฒนาตนเอง แทบ หลัง พ.ศ. ๒๕๐๐ ในช่วงที่กำลังรับอิทธิพล ไม่ได้การสนับสนุนอย่างจริงจังจากที่ใด หรือ วัฒนธรรมตะวันตกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา จากองค์กรใดๆ หลายคนพัฒนาตัวเองกลาย อย่างเต็มที่ และแม้ แ ต่ ใ นกลุ่ม ที่เ รี ย กว่ า เพื่อ นในวง เป็นองค์กรชาวบ้านที่เป็นเครือข่ายเรื่องที่อยู่ อาศัยที่ถูกไล่รื้อจากทั่วประเทศ พี่กบไม่ได้ นักเลงรุ่นเล็กสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์มา โดดเดี่ยวแต่กลับมีเพื่อนจากท้องถิ่นต่างๆ ที่ จนถึงยุคฐานทัพอเมริกันเต็มบ้านเต็มเมืองใน เผชิญปัญหาเดียวกันทั้งประเทศและขยายไปสู่ ยุคสงครามเวียดนาม ทุกวันนี้ยังมีการติดต่อ เครือข่ายในประเทศอื่นๆ ด้วย ประสบการณ์ พบปะพูดคุยกันอยู่บ้าง โดยเฉพาะในช่วงวัน จากปัญหาของตนเองถูกนำไปใช้กับสถานกา สงกรานต์ที่มารวมตัวกันทำบุญให้ผู้ล่วงลับ รณ์อื่นๆที่กำลังบีบคนจนให้อยู่ยากขึ้น แย่ขึ้น ไปแล้วที่วัดตรีทศเทพอย่างสม่ำเสมอมานาน ไปจากที่เ ป็ น อยู่แ ละจะทวี ค วามรุ น แรงขึ้น หลายปีแล้ว รายชื่อทุกคนในกลุ่มแก็งค์ถูกจารึกไว้ใน เท่านั้นเอง บันทึกความทรงจำในฐานะของเพื่อนน้ำมิตร ที่รอดชีวิต รอดคุกตะรางมาด้วยกัน รอดชีวิต จากวงเด็กเกเร วงนักเลงมาเป็นผู้ใหญ่ที่รับ ผิดชอบทั้งตนเองและครอบครัว หลายท่าน
เป็นผู้มีชื่อเสียง หลายท่านมีฐานะและการงาน อันมั่นคงในกาลต่อมา เมื ่ อ บ้ า นเมื อ งเปลี ่ ย นจนกลายเป็ น มหานครเช่นทุกวันนี้ วัยรุ่นก็ยังไม่เลิกมีเรื่อง ระรานกันหากเกิดการเขม่น แต่การทะเลาะ วิวาทดูจะรุนแรงและเป็นเรื่องใหญ่โตที่มีการ ใช้อาวุธเข้ามาเกี่ยวข้องมาก ทั้งปืนและความ รุนแรงอื่นๆ ซึ่งทำให้เสียชีวิตกันมากมาย การตั้งเป็นแก็งค์ต่างๆ ดูจะกลายเป็นกลุ่ม อาชญกรรมมากกว่าการรวมกลุ่มเพื่อเที่ยว สนุกสนานตามประสาวัยรุ่น การห้ามปรามดูแลให้อยู่ในขอบเขตของ ผู้ใหญ่ในชุมชนต่างๆ การไม่รังแกผู้ที่อ่อนแอ กว่า การรักพวกพ้องในระดับเพื่อนน้ำมิตรที่ คบกันไปจนวันตายเช่นนี้ ดูจะหายเลือนไป พร้อมๆ กับการหายไปของชุมชนดั้งเดิมต่าง ในพระนครกรุงเทพฯ ของเรา บรรณานุกรม ปราณี กล่ำส้ม. จากพาหุรัดถึงตลาดมิ่งเมือง. วารสารเมืองโบราณ ฉบับที่ ๓๑.๒ ปี ๒๕๔๘ ปุ๊ กรุงเกษม. เดินอย่างปุ๊, สำนักพิมพ์ H.A พิมพ์ ครั้งแรก, มีนาคม ๒๕๔๖. ปุ๊ กรุงเกษม. เสื้อลายขวางกับหนังสือเดินทาง ๑/๒ เล่ม (เดินอย่างปุ๊ ๒) สำนักพิมพ์ H.A พิมพ์ครั้งแรก, กันยายน ๒๕๔๖. สุริยัน ศักดิ์ไธสง. เส้นทางมาเฟีย, สำนักพิมพ์มติ ชน, ๒๕๔๐.
๑๒