เมื่อสร้างกรุงธนบุรีทางฝั่งตะวันตก ของแม่น้ำเจ้าพระยา มีชุมชนมุสลิมที่มี รากเหง้ า มาจากชุ ม ชนมุ ส ลิ ม จากกรุ ง ศรีอยุธยามาแต่เดิมอยู่อาศัยอยู่หลายแห่ง โดยเฉพาะชุ ม ชนบริ เ วณริ ม คลองบางกอกใหญ่และบางกอกน้อย (ซึ่งรู้จักผู้คน กลุ่มนี้ในนามแขกเทศหรือแขกแพ) นอก เหนื อ ไปจากบ้ า นเรื อ นที่อ ยู่อ าศั ย ยั ง มี มั ส ยิ ด และกู โ บร์ ที่เ ป็ น เสมื อ นเสาหลั ก ของความเป็นชุมชนมุสลิมซึ่งสะท้อนถึง ตระกูล เผ่าพงศ์ ที่มาที่ไปตั้งแต่สมัยกรุง ศรีอยุธยาและกรุงธนบุรี ผู้นำในชุมชน ทางฝั ่ ง ธนบุ รี ส่ ว นใหญ่ เ ป็ น ขุ น นาง ข้ า ราชการราชสำนั ก ในระดั บ สู ง ชั้น เจ้าพระยา เช่น เจ้าพระยาจักรี (หมุด), เจ้ า พระยาราชวั ง สั น เสนี ย์ (มะหมู ด ) ขุนนางในสมัยกรุงธนบุรี, ชั้นพระยา เช่น พระยาราชบั ง สั น คนต่ า งๆ พระยา จุฬาราชมนตรี ฝ่ายหญิงก็เป็นพระสนม หลายท่าน รวมทั้งเจ้าจอมมารดาเรียม หรือสมเด็จพระศรีสุลาไลย พระบรมราช ชนนีของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้า อยู่หัว รวมทั้งขุนนางในระดับทั่วไป เช่น ขุนและหลวงอีกมากมาย
ชุมชน
มุสลิม
สื บ เนื ่ อ งมาจนถึ ง ต้ น กรุ ง รั ต นโกสินทร์ เมื่อสร้างเมืองใหม่ทางฟาก ตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา มีการขุด คลองเมืองขยายเพิ่มเติมจากคลองเมือง ในสมันกรุงธรบุรีคือคลองเมืองชั้นในสุด เป็นคลองเมืองแห่งใหม่ที่ทำให้เมืองขยาย พื้นที่ขึ้นอย่างชัดเจน ในช่วงระยะต้นกรุง นี้ มีการศึกสงครามกับทางปาตานีเพื่อ ควบคุมให้เป็นรัฐในบรรณาการเช่นเดิม เมื่อครั้งยังเป็นกรุงศรีอยุธยา จึงมีการ กวาดต้ น ผู้ค นพลเมื อ งชาวมลายู มุ ส ลิ ม เข้ามาตั้งบ้านเรืออยู่อาศัยภายในพระนคร ส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งอยู่ทางด้าน นอกเมื อ งและกระจั ด กระจายไปตาม ลำคลองขุดใหม่ทางตะวันออกอีกหลาย แห่ง ชุมชนในครั้งต้นกรุงเทพฯ แตกต่าง จากชุมชนมุสลิมเดิมทางฝั่งธนบุรีเพราะ ส่วนใหญ่เป็นชาวมลายูที่สืบเชื้อสายมา จากเมื อ งปาตานี แ ละบริ เ วณเมื อ งใกล้ เคี ย งที่ถู ก กวาดต้ อ นรอนแรมมาอยู่ยั ง เมืองหลวงชั้นในและพื้นที่ขยายของเมือง หลวงใหม่
ถือเป็นหนึ่งในกำลังพลเมืองที่ร่วม สร้างพระนครในครั้งต้นกรุงฯ ไม่ต่างไป ชุ ม ชนมุ ส ลิ ม ที่ฝั่ง ธนบุ รี จึ ง เป็ น ชาว จากผู้ค นที่ถู ก อพยพเคลื่อ นย้ า ยมาจาก สยามที่นับถือศาสนาอิสลามที่มีรากเหง้า หัวเมืองประเทศราชอื่นๆ เช่น ชาวลาว สืบเชื้อสายมาจากขุนนางเดิมในสมัยกรุง ชาวทวาย ชาวมอญ ชาวเขมร ชาวจาม ศรีอยุธยาเสียเป็นส่วนใหญ่ ชาวญวน และชาวจีนที่อพยพโยกย้ายและ
ร่วมสร้าง พระนคร วลัยลักษณ์ ทรงศิริ, พัชรินธร เดชสมบูรณ์รัตน์, รัชนีบูล ตังคณะสิงห์ มูลนิธิเล็ก-ประไพ วิริยะพันธุ์
แผนที่เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๔-๒๔๗๕ แสดงตำแหน่งที่ตั้งของชุมชนมุสลิมในย่านเก่าของกรุงเทพมหานคร
ตั้งถิ่นฐานปะปนกันอยู่กับคนไทยสยาม ซึ่งต่างล้วนมีบทบาทในการ สร้ า งพระนครที่ก รุ ง เทพมหานคร เมื อ งที่มี ค วามหลากหลายทาง ชาติพันธุ์ ศาสนา และวัฒนธรรมอย่างยิ่ง เพราะเป็นทั้งเมืองที่สร้างขึ้น ใหม่และเป็นเมืองท่าค้าขายที่เป็นศูนย์กลางทางการเมืองและเศรษฐกิจ ตั้งแต่เมื่อสองร้อยกว่าปีที่ผ่านมา
ส่วนปาตานี กลันตัน ตรังกานู และไทรบุรี นั้น ถูกผนวกเป็นส่วน หนึ่ง ของอำนาจรั ฐ แบบโบราณอี ก ครั้ง หนึ่ง ในช่ ว งต้ น แผ่ น ดิ น กรุ ง รัตนโกสินทร์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ หลังจาก สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์หรือกรุงเทพฯ เป็นพระนครใหม่ มีศึกกับ พม่าหลายครั้งตั้งแต่ ศึกเก้าทัพ ศึกท่าดินแดงและสามสบ ซึ่งพม่ามีการ บัญชาการรบซึ่งมีศูนย์กลางอยู่ทางตอนใต้แถบ ทวาย มะริด ตะนาวศรี และส่งทัพเข้ามาทางหัวเมืองทางใต้จึงมีการสู้รบทางหัวเมืองทางใต้และ ประวัติศาสตร์และมูลเหตุของการโยกย้าย เรื่อยมาจนถึงหัวเมืองมลายูในคราวนั้นเอง กรมพระราชวังบวรมหา ถิ่นฐานของชุมชนมุสลิมในพระนคร สุรสิงหนาทซึ่งใช้สงขลาเป็นที่มั่นก็ส่งทัพเรือไปยังหัวเมืองปาตานีซึ่ง เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาล่มสลายเมื่อทศวรรษที่ ๒๓๑๐ และเริ่ม เป็นภารกิจทางการเมืองที่ต่อเนื่องมาจากการล่มสลายของบ้านเมือง สร้างบ้านสร้างเมืองใหม่บริเวณศูนย์กลางอำนาจเดิม ที่ราบลุ่มปากน้ำ กรุงศรีอยุธยาเมื่อ ราว พ .ศ. ๒๓๒๘-๒๓๒๙ เจ้าพระยาในภาคกลางของสยามประเทศครั้งนั้น ถือเป็นการผลัด “รั ฐ ปาตานี ” เคยอยู่ใ นฐานะเมื อ งประเทศราช แต่ เ มื่อ กรุ ง เปลี่ยนแผ่นดินที่ระบบการปกครองบริหาร ณ ศูนย์กลางที่ใช้การ ศรี อ ยุ ธ ยาล่ ม สลายเสี ย แล้ ว จึ ง เป็ น เหตุ ขั ด แย้ ง เรื่อ งการไม่ ส่ ง เครื่อ ง ปกครองแบบรัฐโบราณแบบประเทศราชล้มเหลวไปแล้วนั้นให้ฟื้นกลับ บรรณาการในฐานะประเทศราชแก่ รั ฐ ที่เ กิ ด ใหม่ แ ต่ สื บ เนื่อ งมาจาก คืนขึ้นมาใหม่ กรุงศรีอยุธยาที่กรุงเทพฯ สงครามครั้งนั้นจึงได้นำปืนใหญ่พญาตานีมา ในช่วง ๑๕ ปีแห่งแผ่นดินกรุงธนบุรี โดยสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ ไว้ ณ กรุงเทพฯ ที่นำมาใช้งานรวมกับปืนใหญ่ที่หล่อใหม่ และได้นำเอา พระเจ้าแผ่นดินที่มีเชื้อสายจีนอยู่มากกว่าครึ่งนั้น ต้องส่งกองทัพไป เชื้อพระวงศ์สุลต่านปาตานีและกวาดต้อนครัวจากเมืองปาตานีมาพร้อม ปราบชุมนุมหรือกลุ่มการเมืองก๊กต่างๆ ที่เคยอยู่ในพระราชอาณาเขต ปืนใหญ่พญาตานี โดยกำหนดให้ผู้คนเชื้อสายเจ้าเมืองปาตานีตั้งรกราก ของกรุงศรีอยุธยา บ้านเมืองนอกพระราชอาณาเขตที่เคยเป็นเมืองขึ้น อยู่ที่แถบหลังวัดอนงคารามหรือบริเวณสี่แยกบ้านแขก ฝั่งธนบุรีใน แต่เดิม ถือเป็นภาระการสงครามตลอดรัชกาลในความพยายามกอบกู้ ปัจจุบัน ไม่ไกลนักกับแถบกลุ่มชุมชนชาวมุสลิมที่เป็นขุนนางเดิมจาก บ้านเมืองที่ล่มสลายไปแล้วให้กลับฟื้นคืนกลับ เพื่อรวบรวมบ้านเมือง กรุ ง ศรี อ ยุ ธ ยาและเป็ น ขุ น นางผู้ใ หญ่ ใ นรั ช กาลเมื่อ ต้ น กรุ ง ฯ (“ปา ขึ้นเป็นรัฐที่สามารถบริหารราชการแผ่นดินให้ได้เช่นเดิมอีกครั้งหนึ่ง ตานี..สุลต่านมลายู เชื้อสายฟากิฮฺ อาลี มัลบารี” โดย อารีฟิน บินจิ อัล-ฟอฏานี (หรือพล.ต.ต. จำรูญ เด่นอุดม) เขียนเรื่องสาแหรกตระกูล
๒
กล่องใส่คัมภีร์อัล กุรอ่าน ที่เพื่อนๆ เชื้อสายมลายูในพื้นที่ Facebook : Melayu in the past อ่านได้ความว่า “เมื่อปี ๑๒๖๐ ฮ. (ปีมะโรง) Ibadul Hadi ได้บริจาคกุรอ่าน ๓๐ ญูซุอ์ พร้อมกล่องที่ถูก ประดับมุก ลิลลาฮิ ตาอาลา” ซึ่งเทียบกับพุทธศักราชราว ๒๓๘๗
เจ้าเมืองปาตานีเดิมในยุคนั้น เชื้อสายและถิ่นฐานในกรุงเทพฯและปริมณฑล) แต่การ ตั้งถิ่นฐานภายในกำแพงพระนครนั้นยังไม่มีบันทึกที่แน่ชัดแต่อย่างใดว่ามีหรือไม่ใน ครั้งต้นรัชกาลที่ ๑ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากความไม่มีเอกภาพของการเมืองภายใน อันเนื่องมาจาก เมืองใหญ่คือ ปาตานีได้ถูกตีแตก บ้านเมืองเสียหายและถูกกวาดต้อนผู้คนกระจายไป อยู่ตามหัวเมืองภาคใต้หลายแห่ง โดยเฉพาะทางนครศรีธรรมราช เมืองมลายูทาง ตอนเหนือทั้งหลายที่เป็นรอยต่อติดกับหัวเมืองสยามนั้นก็ไม่ได้มีความสงบภายใน แต่อย่างใดประการหนึ่ง และมีความคิดเสมอว่าควรจะแยกตนเป็นอิสระจากสยามจึง เกิดการสงครามกันอยู่บ่อยครั้ง จนราว พ.ศ. ๒๓๕๑-๒๓๕๒ ปลายรัชกาลที่ ๑ ต่อ เนื่องจนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ทางสยามจึง จัดการแบ่งแยกรัฐปาตานีเดิมออกป็น ๗ หัวเมืองและให้ขึ้นตรงกับเมืองสงขลาและ เมืองนครศรีธรรมราชที่ผลัดกันควบคุมจนทำให้เกิดปัญหาในการปกครองในเวลาต่อ มาจนกลายเป็นสงครามครั้งใหญ่ครั้งรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ในพระราช พงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉบับ เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ กล่าวถึงเหตุการณ์เมื่อกองทัพครั้งเจ้าพระยาพระคลัง (ดิศ) ภายหลังเป็นสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยุรวงษ์เมื่อรัชกาลพระบาทสมเด็จพระ จอมเกล้าฯ ซึ่งเป็นที่สมุหพระกลาโหมและกรมท่าขวาเป็นแม่ทัพครั้งนั้นราว พ.ศ. ๒๓๗๕ สงครามกับไทรบุรีดำเนินมาจนถึง พ.ศ. ๒๓๘๒ หลังจากนั้นหัวเมืองมลายู จึงพอจะสงบบ้าง และกองทัพสยามนำเจ้าเมืองมลายูที่ไม่สวามิภักดิ์เข้ามาจำไว้พร้อม กวาดต้อนครัวจำนวนหนึ่งซึ่งมาจากเมืองไทรบุรีหรือเคดาห์ เมืองกลันตัน ยะหริ่ง สตูล โดยมีบันทึกและความทรงจำจากคนเชื้อสายมลายูตามท้องถิ่นต่างๆ ว่า มีการ กวาดต้อนผู้คนจำนวนมากมาไว้ในบริเวณท้องถิ่นฟากตะวันออกที่เมืองเริ่มขยายตัว ไปทางฉะเชิงเทรา ในช่วงรัชกาลนั้นจ้างแรงงานจีนขุดคลองบางกะปิและคลองแสน แสบเชื่อมต่อกับแม่น้ำบางปะกงเป็นเวลาถึง ๔ ปี อันเนื่องจากศึกสงครามใหญ่กับ ทางญวนในยุคนั้น แล้วคงนำชาวมลายูมุสลิมไปตั้งถิ่นฐานเพื่อสร้างชุมชนในพื้นที่ดัง กล่าวเป็นจำนวนไม่น้อย ย่านนี้จึงเต็มไปด้วยชุมชนมุสลิมมากมายที่มีอาชีพพื้นฐาน
ทางเกษตรกรรม ส่วนตัวเมืองฉะเชิงเทราบริเวณที่ สวนและเมื อ งริ ม แม่ น้ ำ นั้น ก็ ก ลายเป็ น หั ว เมื อ งที่มี ชุ ม ชนชาวจี น ขนาดใหญ่ ท างฝั ่ ง ตะวั น ออกของ กรุงเทพฯ สำหรั บ ชาวมลายู ที่น่ า จะเป็ น ผู้มี ค วามรู้ห รื อ มี ฝีมือทางช่างต่างๆ ที่อาจเคยอยู่ในราชสำนักเป็น ข้าหลวงมาแต่เดิมที่ถูกกวาดต้อนมาครั้งรัชกาลที่ ๓ ครั้งนั้นให้เข้าสังกัดที่อาสาจาม, โรงไหม และบางส่วน ซึ่งมาจากเมืองระแงะไปสังกัดฝ่ายสังฆทาน ทำงาน บุญให้กับเจ้าคุณตานี (เจ้าจอมมารดา กรมหมื่นสุรินทรรักษ์, เป็นพี่สาวต่างมารดากับเจ้าพระยาพระ คลัง (ดิศ) ที่ได้ชื่อเช่นนี้เพราะกำเนิดเมื่อบิดายกทัพ กลั บ มาจากราชการที่เ มื อ งตานี ค รั้ง รั ช กาลที่ ๑, จดหมายหลวงอุดมสมบัต,ิ พิมพ์ครั้งที่ ๒, ๒๔๕๘) และให้ ร วมกลุ่ม อยู่อ าศั ย กั บ ชาวมลายู ใ นพระนคร แถบใกล้โรงไหมหลวงที่ติดกับวัดชนะสงคราม อัน เป็นอาณาบริเวณย่านของพระราชวังบวรสถานมงคล หรือวังหน้า ซึ่งในเวลาต่อมาจึงแยกออกไปตั้งบ้าน เรือนอยู่แถบตรอกศิลป์บ้าง ขยายมาทางถนนบ้าน แขกหรือถนนตานี ทางตึกดินใกล้ตรอกบวรรังษี มี บางส่ ว นที่อ ยู่แ ยกออกไปนอกเมื อ งแถบริ ม คลอง มหานาค ซึ่งมีกูโบร์สำหรับฝังศพเพียงแห่งเดียวใน บริเวณนี้ เพราะชุมชนมุสลิมภายในเมืองชั้นในต้อง นำศพออกมาฝั ง ที่นี่ตั้ง แต่ เ ริ่ม ต้ น ตั้ง ถิ่น ฐานจนถึ ง ปัจจุบันเช่นเดียวกับชาวพุทธที่ต้องนำศพมาเผานอก
๓
อาณาบริเวณกำแพงเมืองและคูเมืองเมื่อแรกสร้างกรุงฯ เช่นกัน
เฉพาะ “โรงไหม” ริมคลองหลอดที่เป็นคูเมืองเก่านั้นขึ้นอยู่กับกรม ในสมัยรัชกาลที่ ๓ นับเป็นช่วงรัชกาลที่มีศึกสงครามมากและมี พระราชวังบวรสถานมงคล บริเวณโรงไหมหลวงน่าจะอยู่บริเวณ การเกณฑ์ครัวจากบ้านเมืองประเทศราชต่างๆ เช่น เข้ามาไว้เป็น โรงเรียนข่าวทหารบกต่อเนื่องกับตรอกโรงไหมในปัจจุบัน แรงงานช่างชั้นสูงในพระนคร พร้อมทัพที่ยกกลับในศึกสงครามตาม หลังจากทศวรรษที่ ๒๓๗๐-๒๓๘๐ ซึ่งมีการอพยพโยกย้ายชาว หัวเมืองประเทศราชมากมายเช่นกันในตลอดรัชกาล มลายูมุสลิมเข้ามาอยู่อาศัยยังภายในกำแพงพระนครอย่างชัดเจน โดย เริ่มต้นที่ด้านเหนือฝั่งคลองคูเมืองหรือคลองหลอดที่โรงไหมหลวงหน้า พระราชวังบวรสถานมงคลแล้ว ชุมชนชาวมลายูมุสลิมก็คงขยายออก ย่านมุสลิมในพระนคร ไปในพื้นที่อื่นๆ ที่พอสืบค้นร่องรอยได้ เพราะจากเอกสาร “สารบาญชี การนำชาวมลายูมุ สลิ ม มาตั้งถิ่น ฐานอยู่ใ กล้ชิ ดกั บชุ ม ชนของ เล่ม ๑-๔ ของกรมไปรษณีย์กรุงเทพมหานคร” เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๖ ขุนนางระดับผู้ใหญ่และพระบรมมหาราชวังและพระบวรราชวังนั้น พอมองเห็นร่องรอยของชุมชนชาวมลายูมุสลิมในเขตกำแพงพระนคร ในระยะแรกกลุ่มหรือปัจเจกบุคคลทั้งหลายนั้นมีฐานะ “ไพร่” ที่ขึ้นอยู่ ได้ว่า ขยับขยายมาอยู่ที่ใดบ้าง โดยกล่าวถึง “หมู่บ้านแขกข้างวัด กับขุนนางท่านต่างๆ หรือแม้แต่กงสุลต่างชาติในยุคที่มีการบีบคั้นใน ชนะสงคราม” เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่ารอบวัดชนะสงครามเคยมีการ ทางอาณานิคมของภูมิภาคนี้ โดยไม่เว้นแม้แต่ชาวพระนครที่เป็นครัวที่ ขุดคูคลองล้อมรอบวัด คลองด้านหนึ่งถูกถมกลายเป็นส่วนหนึ่งของ ถูกนำมาจากหัวเมืองอื่นๆ เมื่อมาอยู่กับมูลนายและบ้านเมืองใหม่ก็มี ถนนจักรพงษ์ คลองล้อมรอบวัดชนะสงครามนี้มีคลองขุดให้เชื่อมกับ การจัดระบบระเบียบการปกครองในระดับถึงตัวบุคคลเลยทีเดียว คลองหลอดหรือคลองคูเมืองชั้นแรกที่เชื่อมต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยา ระบบเช่ น นี้สื บ เนื่อ งมาจนถึ ง สมั ย รั ช กาลพระบาทสมเด็ จ พระ ได้ด้วย และยังมีคลองที่ขุดต่อจากคลองล้อมรอบวัดไปออกทางตลาด จุลจอมเกล้าฯ ที่ปรับเปลี่ยนรูปแบบการปกครองจนเป็นระบบมณฑล บางลำพูแล้วขนานไปกับถนนสิบสามห้างเชื่อมกับคลองบางลำภูบน เทศาภิบาล สร้างการปกครองแบบเทศบาล เริ่มให้สิทธิแบบปัจเจกและ หรือคลองคูเมืองชั้นกลางได้ด้วย คลองล้อมรอบวัดเหล่านี้ยังมีผู้จดจำ รวมถึงกรรมสิทธิ์ในที่ดินและยกเลิกระบบการขายบุคคลลงไปเป็นทาส ได้ว่า แม่ค้าผลไม้จากสวนฝั่งธนฯ ยังเข้ามาขายผลไม้จากสวนที่ใน ตรอกสุเหร่าได้ (มานิดา แตงน้อย, อายุ ๙๐ ปี, ชุมชนตรอกสุเหร่า ในกลุ่มฐานะที่ต่ำกว่าไพร่ลงไป เป็นต้น คนมุสลิมจากหัวเมืองในรัฐปาตานีเดิม เมื่อถูกนำมาอยู่อาศัยใน มัสยิดจักรพงษ์)
คลองล้อมรอบวัดชนะสงครามนี้ถูกถมให้กลายซอยรามบุตรีที่ กำแพงพระนครโดยมีบันทึกอย่างชัดเจนครั้งรัชกาลที่ ๓ น่าจะขึ้นอยู่ กับมูลนายในส่วนของพระราชวังบวรสถานมงคลหรือวังหน้า โดย ล้อมรอบวัดชนะสงครามในปัจจุบันและเรื่อยมาถึงตรอกมะยมและ
ซ้าย มัสยิดจักรพงษ์หลังนี้สร้างมาเกือบร้อยปีแล้ว ขวา มานิดา แตงอ่อน ผู้อาวุโสเกือบจะสูงสุดของชาวตรอกสุเหร่า มัสยิดจักรพงษ์ ช่างทองและเกิดในตระกูลช่างทอง วันนี้อายุ ๙๐ ปีแล้ว
๔
ชุมชนมุสลิม
ร่วมสร้างพระนคร ซอยรามบุ ต รี ใ นอี ก ฟากถนนจั ก รพงษ์ ผ่านถนนตานีและกลายเป็นเกาะกลางถนนที่ กลายเป็ น หลุ ม หลบภั ย ในช่ ว งสงครามโลก ครั้งที่ ๒ ปัจจุบันทำเป็นห้องน้ำสาธารณะของ กรุงเทพมหานคร วัดชนะสงครามหรือวัดตองปุ เป็นวัด ดั้ง เดิ ม ที่ชื่อ วั ด กลางนามาตั้ง แต่ ก่ อ นสร้ า ง กรุงเทพฯ โดยตั้งชื่อวัดตองปุแบบเดียวกับที่ กรุงศรีอยุธยาเคยมี สืบเนื่องในการเป็นวัด ของคณะสงฆ์ในรามัญนิกายซึ่งเป็นกลุ่มกำลัง สำคัญในการทำศึกฝ่ายพม่าเมื่อครั้งต้นกรุงฯ รวมทั้งเป็นวัดสำคัญในพระราชวังบวรสถาน มงคล โดยมีการเก็บอัฐิของเจ้านายในสาย วังหน้ารวมกันที่นี่ตั้งแต่เมื่อรัชกาลพระบาท สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ชุมชนที่อยู่รอบวัดชนะสงครามจึงมีหลาย กลุ่ม เช่น บ้านเรือนของผู้ทำงานในวังหน้า ตามริมคลองเชื่อมวัดชนะสงครามกับคลอง หลอด ตรอกสะพานแดงรอบวัดชนะสงคราม ด้านหนึ่งมีบ้านเรือนขุนนาง โรงเลื่อยตั้งอยู่ บริ เ วณถนนวั ด ชนะสงครามหรื อ ถนน จักรพงษ์มีวังเชื้อพระวงศ์วังหน้า บ้านเรือน ขุนนาง ในกรมช่างต่างๆ ล่ามแปลภาษา เรือนค้าขายของต่างๆ มีทั้งคนไทยคนมลายู และจีนผูกปี้ดูจะเป็นย่านตลาดกรายๆ คน มลายูนั้นชื่อนำหน้า เช่น “ต่วนหะยี”, “โต๊ะ” และมีขุนนางที่รับราชการอยู่กรมช่างทอง คือ ขุนขจิตรังการ
ช่างทองและช่างรับทำทองรูปพรรณเสีย ๑๙ หลังคาเรือน มีหมอบ้านหนึ่ง ทอผ้าขาย ๒ บ้าน ผู้คนที่อยู่อาศัยหากเป็นฝ่ายชายจะมีชื่อ นำหน้าขึ้นต้นด้วย โต๊ะ และโต๊ะหะยีที่ดูจะใช้ เรียกผู้อาวุโสและผู้ที่อาจะเคยไปประกอบพิธี ฮัจน์ เช่นโต๊ะซัน บุตรโต๊ะมะ, โต๊ะมาก บุตร นายมั่น, โต๊ะมะหะยะเลาะ ฯลฯ และยังมีการ เรียกชื่อว่านายด้วย ส่วนฝ่ายหญิงขึ้นต้นด้วย อำแดงเช่นเดียวกับคนในพระนครอื่นๆ ในหมู่บ้ า นแขกข้ า งวั ด ชนะสงครามนี้ มีขุนนางอยู่บ้างในระดับหมื่น มีหม่อม มี หลานสมเด็จเจ้าพระยาฯ รวมอยู่ด้วย ผู้คนที่ เป็นช่างทองรับจ้างทำทองรูปพรรณแก่ชาว บ้านทั่วไป ไม่ได้เป็นช่างทองหลวงแต่อย่างใด อย่ า งไรก็ ต าม ในเอกสารจากแหล่ ง เดียวกันมีชื่อ “ถนนบ้านช่างพลอย” ที่แม้จะ ไม่มีข้อมูลบ่งบอกแน่ชัดว่าอยู่ที่ใด แต่น่าจะ อยู่ในบริเวณใกล้เคียงในย่านเดียวกัน เพราะ ผู้คนส่วนใหญ่มีมูลนายที่ขึ้นกับทางวังหน้าอยู่ แทบทั้งสิ้น จำนวนบ้านกว่า ๖๖ หลังคาเรือน แต่มีบ้านร้างไป ๓ หลัง มีฉางข้าวหนึ่งแห่ง บ้านเรือนทำด้วยไม้เรือนชนิดต่างๆ เป็นส่วน ใหญ่และตึก มีช่างทองหลวงและช่างเจียรไน พลอยที่เ ป็ น ขุ น นางในกรมพระราชบวรฯ อยู่เรือนปั้นหยาบ้าง เรือนไม้กระดานบ้างและ มีตำแหน่งในระดับคุณหลวง ท่านขุนอยู่หลาย บน มัสยิดตึกดิน เริ่มสร้างเป็นอาคารก่ออิฐ คน มีช่างฝีมือที่ทำทองและนากเป็นรูปพรรณ ถาวรหลังจากไฟไหม้ครั้งใหญ่ในชุมชน หลายบ้าน และบ้านทอผ้าขายสองสามหลัง พ.ศ. ๒๕๒๕ ชุมชนบ้านช่างพลอยนี้เป็นมลายูมุสลิมอย่าง ล่าง คุณตาประเสริฐ เจริญราชกุมาร ช่างทอง แน่ชัดอยู่หลายบ้านและดูท่าว่าจะเป็นคนกลุ่ม คนสุดท้ายของชาวตึกดิน ผู้เพิ่งล่วงลับไปเมื่อ ใหญ่ของย่านบ้านแถบนี้
ส่วน “หมู่บ้านแขกข้างวัดชนะสงคราม” ตามบันทึกในครั้งรัชกาลที่ ๕ น่าจะเป็นชุมชน มั ส ยิ ด จั ก รพงษ์ ใ นปั จ จุ บั น ที่มี พื้น ที่ิติ ด กั บ วันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา พื้นที่อยู่อาศัยของข้าราชการในวังหน้าและวัง เมื่อ ตั ด ถนนเฟื่อ งนครจากปากคลอง ของกรมหลวงจักรเจษฎาและวังพระองค์เจ้า ตลาด ผ่านบ้านหม้อ บ้านญวน สี่กั๊กพระยา พงศ์ อิ ศ เรศร์ ใ นวั ง หน้ า ที่ร้ า งไปตั้ง แต่ ค รั้ง เรือน ในชุมชนมี “กะดีแขก” หรือบาแลหรือ ศรี ผ่านวัดมหรรณพาราม และโรงเลี้ยงวัว รัชกาลที่ ๕ ระบุว่ามีจำนวน ๔๘ หลังคา มัสยิดของชุมชนด้วย และเป็นบ้านเรือนของ หลวงตรงมาจนถึ ง ริ ม กำแพงเมื อ งแถบ
๕
ละออศรี (รัชตะศิลปิน) พิพิธภัณฑ์ ซ้าย แผนที่เก่า พ.ศ. ๒๔๔๐ แสดง ตำแหน่งและอาณาบริเวณของตึกดิน ก่อนที่จะมีการตัดถนนราชดำเนินกลาง ขวา แผนที่กรุงเทพฯ เมื่อต้นกรุง จาก เอกสารของเซอร์ จอห์น ครอฟอร์ด พ.ศ. ๒๓๗๑ แสดงบริเวณตึกดินอย่าง ชัดเจน
บางลำพู ใ กล้ วั ด บวรนิ เ วศที ่ เ รี ย กว่ า ถนนตะนาวเมื ่ อ พ.ศ. ๒๔๐๖-๒๔๐๗ ในรัชกาลที่ ๔ ส่วนที่เป็นร่องรอยต่อเนื่องในชื่อ ถนนบ้านแขกหรือถนนตานีที่ตัดขวางระหว่างถนนตัดใหม่นี้กับถนน หน้าวัดชนะสงครามก็น่าจะเกิดขึ้นภายหลังและถนนเส้นนี้น่าจะเป็น ถนนเดียวกับถนนบ้านช่างพลอยตามที่บันทึกไว้ในเอกสารของกรม ไปรษณีย์
ดำเนินที่สร้างขึ้นอีกสองปีต่อมาบริเวณของตึกดินมีเขตจรดแนว คลองหลอดวัดราชนัดดา มาจนจรดแนวใกล้คลองหลังวัดบวรรังษี
ตรอกศิลป์นี้อยู่ใกล้กับวัดมหรรณพารามที่มีการกล่าวถึงกลุ่ม บ้านช่างทองและช่างทองหลวงที่ตั้งอยู่หน้าวัดมหรรณฯ ด้วยหลาย บ้านในเอกสารของกรมไปรษณีย์ ซึ่งก็น่าจะเป็นกลุ่มบ้านช่างทอง และช่างทำทองต่างๆ ที่เป็นกลุ่มบ้านย่านดั้งเดิมของชาวมัสยิดตึกดิน อนึ่ง เมื่อสัมภาษณ์ช่างแกะลายลงบนแหวนหรือแผ่นทองหรือ ในปัจจุบันด้วย เงินที่บ้านมัสยิดตึกดินในปัจจุบันคือ ประเสริฐ เจริญราชกุมาร (เสีย เมื่อตัดถนนราชดำเนินก็ต้องเวนคืนที่ดินทำให้พื้นที่ของตึกดิน ชีวิตแล้ว, ข้อมูลสัมภาษณ์, อายุ ๘๙ ปี, ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘) ถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนของถนนราชดำเนินกลาง ดังที่มีชื่อตรอก เล่าข้อมูลที่มีผู้รู้อยู่น้อยคนแล้วว่า ตระกูลฝ่ายแม่ของตนเองนั้น ตึกดินและสะพานตึกดินใกล้กับคลองหลอดวัดเทพธิดาฯ และมัสยิด สืบทอดเชื้อสายมาจากคนแถบ “โคกโพธิ์” แล้วถูกอพยพโยกย้าย ตึกดินและชุมชนตึกดินทางฝั่งโรงเรียนสตรีวิทยาดังที่พบเห็นใน มายังกรุงเทพมหานคร แต่เดิมชุมชนมัสยิดตึกดินในปัจจุบันมี ปัจจุบัน ชาวบ้านที่เป็นช่างทองรูปพรรณต่างๆ ก็ถูกเวนคืนที่ดิน ถิ่นฐานเดิมอยู่ที่แถวๆ “ตรอกศิลป์” ฝั่งใต้คลองหลอดวัดเทพธิดาฯ โดยได้รับพระราชทานที่ดินทดแทนในบริเวณดังกล่าวและย้ายมา ทำเครื่องทอง ตลับพระ แหวนฝังพลอยสี เครื่องประดับกำไลต่างๆ สร้างบ้านเรือนที่ฝั่งเหนือของถนนราชดำเนิน และตีทองคำเปลว เหตุนี้จึงเรียกว่าตรอกศิลป์ เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงครามสร้างตึกสองฝั่งถนนราชดำเนินใน โดยเล่าว่าแทบทุกบ้านจะมี “โต๊ะทำทอง” และเครื่องมือทำทอง ปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ต้องเวนคืนพื้นที่โรงเรียนสตรีวิทยาที่อยู่ริมถนน บริเวณนั้นอยู่ใกล้กับ “ตึกดิน” ซึ่งเป็นสถานที่โล่งกว้างใช้สำหรับ ราชดำเนินฝั่งใต้มาสร้างไว้ ณ สถานที่ตั้งทุกวันนี้ กินพื้นที่ชุมชน เก็ บ ดิ น ปื น หลวงมาตั้ง แต่ ค รั้ง สร้ า งกรุ ง ฯ และดิ น ปื น ที่เ ป็ น วั ต ถุ มัสยิดตึกดินที่ถูกเวนคืนไปไม่น้อย โดยมีคลองคั่นซึ่งคลองนี้คนเก่า อันตรายจึงสร้างออกมาไกลพระบรมมหาราชวังหน่อย แต่เมื่อมีการ เล่าว่าเรือขนข้าวเปลือกยังเคยล่องเข้ามาได้ ปัจจุบันกลายเป็นพื้นที่ ขยายตัวของเมือง สร้างวัดและบ้านช่องขุนนางและพ่อค้า ตึกดินก็ดู ชุมชนบ้านเรือนที่มาปลูกกันในภายหลังและมีปัญหาเรื่องกรรมสิทธิ์ เหมือนจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง ตามแผนที่ พ.ศ. ๒๔๔๐ ยังมีการ ที่ดินซึ่งไปบุกรุกทางน้ำสาธารณะด้วย แสดงอาณาบริ เ วณของตึ ก ดิ น ที่กิ น พื้น ที่ทั้ง สองฝั่ง ของถนนราชชุมชนมัสยิดตึกดินในทุกวันนี้มีพื้นที่ไม่มากนักและอยู่ปะปะไป
๖
กั บ คนพุ ท ธที่ต่ อ เนื่อ งมาจากแถบตรอก บวรรังษี หลังวัดรังษีสุทธาวาสที่มารวม กับวัดบวรนิเวศภายหลังในสมัยรัชกาลที่ ๖ เป็นแนวคลอง อีกฝั่งหนึ่งเรียกว่า ตรอก บวรรังษี เคยมีขุนนาง ข้าราชการอยู่อาศัย และเติบโตกันที่นี่หลายท่าน แม้แต่อาจารย์ ศรีศักร วัลลิโภดม ก็เคยเล่าว่าเกิดที่ตรอก นี้เช่นเดียวกัน ในกลุ่มชาวบ้านที่นี่ทั้งชาว พุทธและมุสลิม บางบ้านยังประกอบอาชีพ ทั้งตีทองคำเปลว ทำทองรูปพรรณ เป็น ช่างแกะลายดังที่คุณตาประเสิฐ เจริญราช กุ ม ารทำเป็ น อาชี พ สื บ ต่ อ มาพร้ อ มกั บ คนในชุมชนอีกหลายท่าน ชุมชนตึกดิน เคยมีเพียงบาแลไม้เป็นอาคารศาสนสกิจ ดั้งเดิม ต่อมาเมื่อชุมชนถูกไฟไหม้ครั้งใหญ่ ราว พ.ศ. ๒๕๒๕ จึงเริ่มสร้างมัสยิดเป็น อาคารตึกถาวรดังที่เห็นในปัจจุบัน การเป็ น ช่ า งทองหลวงและช่ า งทอง ที่รับทำเครื่องทองรูปพรรณชนิดต่างๆ ให้ กั บ ผู้มี ฐ านะเพี ย งพอจะซื้อ หาได้ และ เป็นการทำทองแบบโบราณทำให้เมื่อมีการ เปลี่ย นแปลงรู ป แบบทางการปกครอง สังคมและเศรษฐกิจแบบสมัยใหม่มาตั้งแต่ สมัยรัชกาลที่ ๔ มีการสร้างโรงกษาปณ์ที่ อยู่ติดกับถนนเจ้าฟ้าและบริเวณด้านหน้า คือคลองหลอดหรือคลองเมืองชั้นในสุดที่ ขุดตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีและด้านหนึ่งติดกับ คลองล้ อ มรอบวั ด ชนะสงครามเพื่อ ผลิ ต เหรียญต่างๆ และต่อมาคือการผลิตเครื่อง ราชอิสริยาภรณ์ พนักงานช่างแกะและช่าง ทำเครื่อ งประดั บ เพชรพลอยและเครื่อ ง ประดับทองคำจึงเป็นชาวบ้านมุสลิมแถบ มั ส ยิ ด จั ก รพงษ์ แ ละตึ ก ดิ น จำนวนมาก เนื่องจากมีความชำนาญที่สืบทอดงานช่าง ฝีมือมาจากภายในชุมชนนั่นเอง แม้แต่คุณ ยายมานิดา แตงอ่อน ซึ่งเป็นคนทำเครื่อง ทองในบ้ า นที่สื บ ทอดมาจากคุ ณ พ่ อ ของ คุ ณ ยาย ซึ่ง รั บ งานในวั ง มาทำด้ ว ยและ ทำงานโรงกษาปณ์ ม าก่ อ นก็ ใ ช้ ง านฝี มื อ เหล่านี้สมัครเป็นข้าราชการในกองกษาปณ์ ในยุคของคุณยายจนเกษียณอายุราชการ ส่ ว นมั ส ยิ ด จั ก รพงษ์ ถื อ เป็ น อาคาร มั ส ยิ ด เป็ น หลั ง แรกแถบนี้แ ละน่ า จะเป็ น
สุ เ หร่ า ของชุ ม ชนมาตั้ง แต่ เ มื่อ แรกสร้ า ง ชุมชนแล้วและมีการบริจาคที่ดินเพิ่มเติม จากที่เคยเป็นบาแลเรือนไม้ยกพื้นสูงเป็น อาคารตึ ก ลวดลายประดั บ ต่ า งๆที่เ ป็ น ช่องลมล้วนเป็นงานฉลุจากไม้สักโดยช่าง ในบ้านที่ฝีมือชั้นครูทุกแผ่น ออกแบบเขึยน ลายอยู่ในสายเลือด และมีเอกสารจากคำ บอกเล่าของคนในชุมชนว่าเปลี่ยนจากบา แลเรือนไม้เป็นสุเหร่าก่ออิฐถือปูนราว พ.ศ. ๒๔๔๑ และมัสยิดหลังที่เห็นในปัจจุบัน มีอายุ ๙๓ ปีแล้ว ยุคนั้นคนตรอกสุเหร่า น่าจะมีฐานะดีมั่นคงกันมากเพราะเป็นช่าง หลวงและข้าราชการกันโดยมาก ชุ ม ชนมุ ส ลิ ม ภายในเขตคลองเมื อ ง พระนครนั้น แม้จะมีกุฎีหรือบาแลหรือ มัสยิดก็ตาม แต่ก็ไม่มีสถานที่สำหรับฝัง ศพ เช่นเดียวกับผู้ที่อยู่อาศัยภายในเมืองที่ เป็นชาวพุทธ และไม่ใช่พระบรมวงศานุวงศ์ ชั้น สู ง สุ ด ที่ต้ อ งนำศพออกนอกเมื อ งทาง ประตูผีอาจจะเป็นประตูช่องกุดแห่งใดแห่ง หนึ่งแถวถนนมหาไชยใกล้กับวัดสระเกศ แล้วไปเผาหรือฝังนอกเมือง คนมุ ส ลิ ม ในเมื อ งที ่ มี อ ยู ่ ส องแห่ ง ใหญ่ๆ เช่นเดียวกัน คนจากมัสยิดตึกดิน และจั ก รพงษ์ ก็ ต้ อ งนำศพไปฝั ง ที่กู โ บร์ มหานาคนอกเมือง และคงออกทางประตูผี เพื่อไปทางคลองมหานาคเช่นเดียวกัน ทุก วันนี้หากไปเดินดูป้ายชื่อก็จะพบตระกูลเชื้อ สายจากชุมชนมุสลิมภายในเมืองมาฝังที่ มัสยิดมหานาคเป็นกลุ่มๆ นอกเหนือจาก คนในชุมชนมหานาคเองและคนจากชุมชน ที่ไม่มีกูโบร์บริเวณใกล้เคียง ชุ ม ชนนอกคลองเมื อ งบางลำภู โอ่งอ่าง ที่เป็นคลองคูเมืองชั้นกลางที่ขุด ตั้งแต่เมื่อแรกสร้างพระนครในรัชกาลที่ ๑ ด้ า นนอกก็ ยั ง มี ชุ ม ชนแบบนอกเมื อ งกึ่ง ชนบทที่ยังทำเกษตรกรรม เช่นการทำนา ได้หลายแห่ง เช่น ย่านสนามควาย ย่าน บ้านบาตร-วัดสระเกศฯ ย่านวัดคอกหมู ย่านชุมชนมลายูมุสลิมมหานาค ย่านบ้าน ชาวจาม ซึ่งล้วนอยู่ริมคลองมหานาคที่ขุด ขึ้นครั้งรัชกาลที่ ๑ ในคราวเดียวกับคลอง
มัสยิดมหานาคมีการบูรณะมาโดยตลอด
เมืองบางลำภู-โอ่งอ่างที่ต่อเนื่องกับคลองขุด บางกะปิซึ่งขุดในคราวรัชกาลที่ ๓ เพื่อเป็นเส้น ทางคมนาคมไปยังนอกเมืองทางฝั่งตะวันออก ของพระนคร เมื่อ มี ก ารขยายเมื อ งออกไปโดยการขุ ด คลองขุดใหม่หรือคลองผดุงกรุงเกษมในคราว รัชกาลที่ ๔ พ.ศ. ๒๓๙๔ ทำให้บริเวณคลอง ขุดใหม่ตัดกับคลองมหานาคและคลองทีไ่ ปทาง บางกะปิกลายเป็น “สี่แยก” และกลายเป็น ศูนย์กลางการคมนาคมและย่านการค้าสำคัญ มาตั้งแต่บัดนั้น และชุมชนมัสยิดมหานาคที่มี กูโบร์ฝังศพก็กลายเป็นชุมชนภายในเมืองไป ในเอกสารของกรมไปรษณีย์เรียกบริเวณ นี้ว่า “คลองสี่แยกไปบางกะปิ” ซึ่งก็คือ “สี่แยก มหานาค” ในปัจจุบันนั่นเอง บริเวณนี้มีชุมชน รายคลองอยู่กันไม่น้อยทั้งจีนผูกปี้อยู่บ้าง ชาว จามที่ถูกเรียกว่า “แขกครัว” และชาวมลายู ที่ขึ้น มู ล นายกั บ พระยาราชวั ง สั น และเจ้ า คุ ณ ทหาร หรือเจ้าพระยาสุรวงศ์ไวยวัฒน์ (วร บุนนาค) และขึ้นกับมูลนายอีกหลายท่าน โดย ปลูกบ้านเรือนขัดแตะบ้าง เรือนจากบ้าง เรือน ฝาไม้กระดานบ้าง เรือนแพในน้ำก็มีหลาย หลังคาเรือน โดยชาวจามส่วนใหญ่เลี้ยงไหม
๗
๒๓๕๐ เป็นอาคารหลังเล็กๆ โดย “พระเทพ” บิดาขุนรัตนภิบาล (เสงี่ยม) พร้อมกับการจัดหาที่สร้างกุโบร์ด้วย จึงน่าจะ เป็นช่วงเวลาใกล้เคียงและเป็นยุคแรกๆ ในการตั้งถิ่นฐานที่นี่ ต่อมาจึงสร้างใหม่เมื่อราว พ.ศ. ๒๓๙๔ และถูกไฟไหม้ไป พร้อมกับบ้านเรือนในชุมชนครั้งใหญ่เมื่อ พ.ศ. ๒๔๗๒ และ สร้างใหม่เป็นมัสยิดที่เห็นในปัจจุบันก่อนจะปรับปรุงบูรณะ ซ่อมแซมมาเป็นลำดับ แผนผังชุมชนมหานาคแต่เดิม แสดงพื้นที่ใช้สอยต่างๆ และบ้านของตระกูลใหญ่ในมหานาค
มัสยิดมหานาคในปัจจุบัน
และทอผ้า ซึ่งชาวมลายูก็ทอผ้าอยู่บ้างเช่นกัน ค้าขายบ้าง ทำสวนบ้าง ทำนา บ้าง แต่ไม่ปรากฏว่าเป็นช่างทองดังเช่นชุมชนมุสลิมในพระนครชั้นใน ย่าน นี้ถือว่ามีอาชีพทอผ้า ทอผ้าม่วง ทอผ้าไหมขายกันมากที่สุด และถือว่าเป็น ชุมชนมุสลิมที่ค่อนข้างหนาแน่นต่างจากชุมชนภายในเมือง ชาวมุสลิมที่มหานาคมีคำนำหน้านอกจาก “โต๊ะ”, “โต๊ะหะยี” แล้วก็มี “ต่วน”, “ต่วนหะยี” ก็หลายท่าน อย่างไรก็ตาม จากการสัมภาษณ์ผู้คน (หะริน สิริคาดี ญา อายุ ๗๓ ปี, นิวัฒน์ วงษ์มณี อายุ ๗๕ ปี, สมบัติ จันทร์ไทย อายุ ๖๓ ปี, สมาน เมฆลอย อายุ ๕๕ ปี, ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘) ในชุมชนมั สยิดมหานาค เล่าว่า ชุมชนนี้มีตระกูลใหญ่ๆ อยู่หลายตระกูล และรับราชการเป็นช่าง หลวงอยู่หลายท่าน เช่น ขุนศิลปศาสตร์ (สิน), ขุนสารพัดช่าง (นิ่ม), ขุน บริหารคู้นิคม, พระเทพ (หมึก), ขุนรัตนภิบาล (เสงี่ยม) ชุมชนนี้อาจจะขยับ ขยายจากชุ ม ชนช่ า งในเมื อ งมาอยู่ท างฝั่ง นอกเมื อ งที่ยั ง คงมี พื้น ที่ท ำนา ทำสวน หรืออยู่มาตั้งแต่แรกเริ่มในคราวครั้งรัชกาลที่ ๓ ที่มีการอพยพโยก ย้ายชาวมลายูมุสลิมมาครั้งใหญ่และครั้งเดียวกัน โดยมีลูกหลานขุนนาง ชาวมุสลิมนั้นสืบต่อกันมาในตระกูลต่างๆ อย่างมั่นคงจนทุกวันนี้ เมื่อพื้นฐานของชุมชนเป็นข้าราชการ และสามารถสร้างสุเหร่าขึ้นเป็น แห่งแรกๆ ในย่านพระนคร ชาวชุมชนสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างก่อน พ.ศ.
เมื่อสร้างสุเหร่าหรือมัสยิดแล้วจึงมีการสอนศาสนาตาม ลำดับ โดยท่านผู้รู้ซึ่งสอนในบ้านเรือนตนเองก่อนที่จะมี สุเหร่าถาวร บางท่านก็เป็นอิหม่ามไปพร้อมกันด้วย กล่าวกัน ว่าต่อมาจึงมีผู้สนใจมาเรียนด้วยทั้งจากใกล้และจากที่ไกลๆ เช่น จากทางคลองรังสิต ฯลฯ เพราะมีท่านครูที่มีบ้านเรือนอยู่ ในชุมชน ทุกท่านผ่านการเรียนศาสนาจากตะวันออกกลาง คนละเกือบสิบปีมาทั้งนั้น บางท่านมาจากชุมชนอื่นๆ แต่มา แต่งงานกับภรรยาที่เป็นบุตรสาวของโต๊ะต่างๆ ที่เป็นตระกูล ใหญ่ในชุมชนและตั้งถิ่นฐานที่นี่ มีบาแลสำหรับสอนผู้เรียน ศาสนาที่บ้าน ซึ่งก็คงความคล้ายรูปแบบปอเนาะ ที่เป็นอัต ลักษณ์ของชาวปาตานีมาแต่เดิม กล่าวกันว่า มีท่านครูที่สำคัญ ๔ ท่าน ที่เก่งวิชาการด้าน ต่างๆ เช่น บางท่านเก่งทางหลักศาสนา เช่นวิชาฟิกซ์และซะ เตาอุฟ คือหลักนิติศาสตร์และการพัฒนาจิตใจ บางท่านเก่ง ด้านภาษายาวี การอ่านกีตาบยาวีต่างๆ บางท่านเก่งทางด้าน วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ เป็นต้น และเป็นหลักที่ทำให้ ชุมชนมหานาคเป็นชุมชนสอนศาสนาที่มีชื่อเสียง มีนักเรียน ผ่านการเรียนศาสนาแบบเดิมๆ ที่นี่ในอดีตกันมากมาย และ สื บ เนื่อ งมาเมื่อ มี ก ารจดทะเบี ย นโรงเรี ย นเอกชนในสมั ย เจ้ า พระยาธรรมศั ก ดิ์ม นตรี เ ป็ น รั ฐ มนตรี ว่ า การกระทรวง ธรรมการ เป็นโรงเรียนบำรุงอิสลามวิทยา ซึ่งท่านเจ้าพระยาฯ เอง ก็สร้างโรงเรียนสตรีจุลนาคในอีกฟากหนึ่งของคลอง มหานาคในเวลาต่อมาเช่นกัน สี่แ ยกมหานาคซึ่ง เป็ น ย่ า นชุ ม ชนการค้ า มาตั้ง แต่ อ ดี ต จนถึงทุกวันนี้ตั้งอยู่ใกล้กับสะพานเจริญราษฎร์ ๓๒ ที่ข้าม คลองมหานาค สร้างในสมัยรัชกาลที่ ๖ (สร้าง พ.ศ. ๒๔๕๖) แทนสะพานร้อยปีซึ่งสร้างเนื่องในโอกาสฉลองพระนครครบ ๑๐๐ ปี อันเป็นสะพานเก่า (สร้าง พ.ศ. ๒๔๒๕) ปากซอย มัสยิดมหานาคในปัจจุบันเมื่อข้ามสะพานเจริญราษฎร์ ๓๒ จะต่อเนื่องกับตลาดโบเบ๊ที่ขายเสื้อผ้าค้าส่งและมีตลาดผลไม้ ด้านในเคยเป็นวังมหานาคที่ใหญ่โตของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหลวงนครไชยศรีสุรเดช ต้นตระกูลจิรประวัติ ก่อนจะขายพื้นที่วังส่วนใหญ่ไปทำโรงแรมรอแยลปริ๊น ท์ เ ซส และยั ง เหลื อ วั ง มหานาคตั้ง อยู่ ท่ามกลางความจอแจของตลาดโบ๊เบ๊ทีเดียว
๘
กูโบร์ที่มหานาคป็นกูโบร์ใหญ่โตและกลายเป็นโอเอซีสกลางเมือง กูโบร์พื้นที่นั้นเรียกต่อมาว่า “กูโบร์ใน” แล้วมีการเพิ่มเติมพื้นที่ ใหญ่ในปัจจุบัน บริเวณที่จอแจกลับกลายเป็นอีกโลกหนึ่งจนน่าเป็น โดยการวากัฟที่ดินโดย โต๊ะปุก บุตรกีเที่ยง โต๊ะเหรี่ยม ส่วนกูโบร์นอก สถานที่พักผ่อนและปลงต่อชีวิตและโลกย์ไม่ว่าผู้เข้าเยี่ยมชมนั้นจะ หลวงศิลปศาสตร์ (สิน) เป็นผู้วากัฟหรืออุทิศที่ดินที่เคยเป็นที่นาให้ นับถือศาสนาใด สาธารณะ ทำให้พื้นที่กูโบร์มีพื้นที่กว่า ๑๘ ไร่ ส่วนพื้นที่อยู่อาศัย ชาวชุ ม ชนเล่ า ให้ ฟั ง ว่ า แต่ เ ดิ ม พื้น ที่กู โ บร์ เ ดิ ม คงอยู่ลึ ก กว่ า นี้ ขนาดเพียง ๕ ไร่เท่านั้น พอสมควร เพราะกล่าวกันว่าบริเวณพื้นดินปัจจุบันเพราะมีการถม เมื่อครั้ง “ตนกูอับดุลเราะห์มาน” ผู้นำการเรียกร้องเอกราชและ รอบสองแล้ว และดินส่วนหนึ่งที่ถมก็ได้มาจากดินที่ขุดลอกจากคลอง เป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของมาเลเซีย ท่านเกิดที่รัฐเคดาห์หรือ มหานาค ไทรบุรี ในขณะที่ยังอยู่ในการปกครองของสยามเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๖ แต่เดิมก่อนที่จะมีการทำสะพานข้ามคลองมหานาคนั้น กูโบร์ ก่อนที่จะกลายเป็นหนึ่งในสหพันธรัฐมาเลเซีย เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ ท่าน มหานาคเคยอยู่บริเวณเชิงสะพานเจริญราษฎร์ ๓๒ และบริเวณนั้น เป็ น บุ ต รของเจ้ า พระยาไทรบุ รี (อั บ ดุ ล ฮามิ ด ) (เจ้ า พระยาฤทธิ ใกล้กับแนวร่องน้ำเก่าที่ดึงเข้ามาเลี้ยงพื้นที่ภายใน ส่งไปให้สวนและ สงคราม) หรือ Sultan Abdul Hamid Halim Shah ( ค.ศ. ๑๘๘๑ – ที่นา ต่อมาปรับเป็นถนนพังคีในปัจจุบัน ชุมชนมหานาคจึงมีลำน้ำ ค.ศ. ๑๙๔๓) สุลต่านองค์ที่ ๒๕ กับหม่อมมารดาชาวไทยนามว่า ล้อมรอบจนทำให้คล้ายเป็นเกาะมาแต่เดิม ฝั่งถนนด้านตะวันตกกลาย หม่อมเนื่อง นนทนาคร หรือมะเจ๊ะเนื่อง ชายาองค์ที่ ๖ ซึ่งเป็นบุตรี เป็นถนนนาคราชซึ่งแต่เดิมติดกับโรงเลี้ยงเด็กที่สร้างครั้งรัชกาลที่ ๕ ของหลวงนราบริรักษ์ (เกล็บ นนทนาคร) เจ้าเมืองนนทบุรีในสมัย เมื่อจะสร้างสะพานซึ่งน่าจะเป็นการสร้างเมื่อครั้งฉลองร้อยปีพระนคร พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพี่ชายร่วมพระมารดาคือ ซึ่งบริเวณสี่แยกมหานาคนั้นเป็นตลาดน้ำและตลาดชายน้ำแล้ว จึงขอ ร้อยเอกตนกู ยูซุฟ ซึ่งรับราชการในกรมตำรวจไทย พระราชทานที่ดินเพื่อสร้างโดยมีผู้ดำเนินการ ๔ ท่าน คือ ท่าน บันทึกกันว่าท่านตนกูอับดุล เราะห์มานเป็นศิษย์เก่าโรงเรียน ลักษณา พระยารังสัน ท่านศรเสนี ท่านศรีมหาราชา เทพศิรินทร์ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหานาคนัก ซึ่งรวมทั้งพี่ชายท่านที่โอน จากรายชื่อดังกล่าวซึ่งเป็นการบอกเล่าจากความทรงจำที่มีผู้คน สัญชาติเป็นไทยด้วย ภายหลังพี่ชายที่รับราชการตำรวจเสียชีวิตด้วย ในชุมชนบันทึกไว้ คาดว่าน่าจะเป็นขุนนางที่เป็นมูลนายของชาวชุมชน โรคปอดบวม ก็ฝังไว้ที่มัสยิดมหานาค คาดกันว่าที่พำนักในกรุงเทพฯ มหานาคนั่นเอง เท่าที่พอประเมินได้คือเป็นตำแหน่งขุนนางฝ่ายมุสลิม นั้น คงอยู่กั บ ทางบ้ า นมารดาที่ถ นนวรจั ก รซึ่ง ใกล้ เ คี ย งกั บ มั ส ยิ ด ในราชสำนัก ทั้งหมดนั้นคือตำแหน่งทางราชการแบบเก่าครั้งปลาย มหานาค กรุงศรีอยุธยาและอาจต่อเนื่องถึงต้นกรุงเทพฯ คือตำแหน่งพระยา ราชวังสัน ขุนลักษมณา พระศรีมหาราชา เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นขุนนาง มุสลิมเชื้อสายกรุงเก่าจากทางฝั่งธนฯ และคงเป็นผู้จัดการหาพื้นที่อยู่ อาศัย ตลอดจนการกำกับผู้คนในสังกัดของตนครั้งกวาดครัวจาก ปาตานีมาเมื่อต้นกรุงฯ สืบมา
บริเวณกูโบร์มหานาค
เมื่อท่านดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว จึงมีความพยายามขอ นำร่างพี่ชายกลับไปฝังยังสุสานหลวงที่เคดาห์อยู่หลายครั้ง จนครั้งสุด ท้ายสัปบุรุษของมัสยิดมหานาคก็อนุญาต ลุงหริน สิริคาดีญา ที่อายุ ๗๓ ปี ยังจำได้ว่า ได้ไปเสริฟน้ำแก่แขกในราชวงศ์จากเคดาห์และ ผู้ใหญ่จากมาเลเซียเมื่อครั้งเป็นเด็กเล็กๆ ศรีษะเพิ่งโผล่พ้นขอบแนว
ซ้าย บริเวณกูโบร์มหานาค ขวา ตนกู อับดุล เราะห์ มาน ถ่ายภาพคู่กับ หลวงถวิลเศรษฐพานิชย์ การ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๗
๙
ชุมชนมุสลิม
ร่วมสร้างพระนคร กำแพงกูโบร์มาเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งอาจจะ ขุนศิลปศาสตร์ (สิน) บริเวณกูโบร์ทำบ้าน มีอายุไม่ถึง ๑๐ ขวบก็เป็นผู้เห็นเหตุการณ์นี้ เรือนบ้าง ค้าขายกันสืบต่อมา ด้วย แต่โดยพื้นแล้วชาวชุมชนมหานาคดั้งเดิม เพราะที่ตั้งของชุมชนมัสยิดมหานาคอยู่ ล้วนเป็นลูกหลานของข้าราชการและผู้มีความ ในบริ เ วณสี่แ ยกมหานาคที่เ ป็ น จุ ด ตั ด การ รู้ทางช่างที่รับราชการในพระบรมมหาราชวัง ค้าขายทางน้ำ จึงทำให้มีชาวเรือค้าขายตลอด ส่วนหนึ่ง เมื่อผสมผสานกับผู้รู้ทางศาสนาจึง จนชาวมุสลิมจากนอกพระนคร เช่น ทาง ทำให้ผู้คนลูกหลานคนที่นี่ออกไปรับราชการ กันโดยมาก และแตกสายไปยังอาชีพอื่นๆ เมื่อสังคมเปลี่ยนแปลงไปตามลำดับ
ช่างทองหลวง / ช่างทองอิสระ ที่ต รอกสุ เ หร่ าชุ ม ชนมั สยิ ดจั ก รพงษ์ ชาวบ้ า นฝั่ง นี้ล้ ว นแต่ เ ป็ น ลู ก หลานช่ า งทอง ช่างที่ทำทองรูปพรรณ อันหมายถึงเครื่อง ประดับต่างๆ รายงานการศึกษาของ ไพโรจน์ สาลี รัต น์ อดีต นั ก ศึก ษาคณะโบราณคดี ศึกษาเรื่องช่างทองที่ตรอกสุเหร่า ซึ่งเป็น
ชุ ม ชนมหานาคมี พื้น ที่ใ นการอยู่อ าศั ย มากกว่าชุมชนในเมืองที่มัสยิดจักรพงษ์และ มัสยิดตึกดินมาก กว้างขวาง สมเป็นชุมชน ชานพระนครชั้นนอก
บริเวณกูโบร์มหานาค
อยุ ธ ยาและทางใกล้ ช ายฝั่ง ทะเลมาค้ า ขาย บริเวณนี้ จนเป็นการอพยพโยกย้ายเข้ามาอยู่ อาศัยในเวลาต่อมา ซึ่งก็ควรเป็นหลังจากขุด คลองขุดใหม่หรือคลองผดุงกรุงเกษม โดยมี ผู้คนจากแถบตะเกี่ยทางพระนครศรีอยุธยามา แต่งงานกับมุสลิมแถบฝั่งธนฯ แล้วอพยพมา ค้าขายและอาศัยในชุมชนนี้ แล้วนำเอาไขวัว มาส่ ง ขายเป็ น ส่ ว นผสมของน้ ำ มั น หรื อ สบู่ ต่างๆ บ้างนำไม้ฟืนที่เป็นไม้แสมมาจากทาง ป่าชายเลนมาขึ้น ค้าไม้ฟืนกันเป็นอาชีพหลัก ของชุมชน เมื่อเข้ามาแล้วก็รุกที่วากัฟของ
แต่ถึงเช่นนั้น ความเปลี่ยนแปลงก็ยัง ทำให้ เ ห็ น ร่ อ งรอยว่ า เคยเป็ น ชุ ม ชนใหญ่ ที่ ผู้ค นโยกย้ า ยออกไปหาที่อ ยู่ใ หม่ ต ามขนาด ของครอบครั ว ที่เ ติ บ โตขึ้น อย่ า งเห็ น ได้ ชั ด เพราะบ้ า นบางหลั ง ก็ ถู ก ปิ ด ตายและเก่ า พั ง ตามกาลเวลา อีกทั้งยังอยู่ริมคลองมหานาค ต่อคลองแสนแสบที่มีเรือโดยสารวิ่งกันเร็วฉิว บนท้ อ งน้ ำ สี ค ล้ ำ มี ก ลิ่น ก็ ยิ่ง ทำให้ พื้น ที่ริ ม คลองไม่ค่อยน่าพิสมัยสำหรับการอยู่ริมน้ำ แบบเดิม ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ไม่ต่างไปจากชุมชน มัสยิดจักรพงษ์ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางย่านตลาด และบริเวณโดยรอบกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยว ของนั ก ท่ อ งเที ่ ย วต่ า งชาติ ม านั บ หลาย ทศวรรษจนทำให้สภาพแวดล้อมถูกรุกคืบเข้า มาทุกด้าน บ้านบางหลังกลายเป็นบ้านเช่า หรืออพาทเมนต์ราคาถูกสำหรับคนทำงานใน ละแวกใกล้เคียง รวมทั้งมัสยิดตึกดินที่กลับ กลายเป็นชุมชนแออัดเช่นกัน สภาพเช่นนี้มี ผลต่ออนาคตของชาวบ้านในชุมชนที่ต้องการ แสวงหาพื้นที่สำหรับอยู่อาศัยโดยเฉพาะใน กลุ่มคนรุ่นใหม่
สะพานเจริญราษฎร์ ๓๒ หนึ่ง ในสะพานชุด “เจิรญ” ที่ข้าม คลองมหานาค สร้างในสมัย รัชกาลที่ ๖ พ.ศ. ๒๔๕๖
ชุมชนบ้านเกิดของตนเอง เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๕ ทำให้พบเห็นข้อมูลที่น่าสนใจหลายประการ ชุมชนตรอกสุเหร่าเมื่อ ๔๓ ปีที่แล้วแบ่ง ออกเป็น ๒ กลุ่มคือ ชุมชนชาวมุสลิมที่เป็น เจ้าของที่ดินและเจ้าของบ้านเช่าประมาณ ๔๐ หลังคาเรือน ในกลุ่มนี้เป็นช่างทองผู้มีฐานะ ประมาณ ๑๐ หลังคาเรือน และเป็นเจ้าของ ห้องเ่าของผู้เช่าอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นกลุ่มคน ไทยและจี น และในช่ ว งเวลานั้น กลุ่ม คน ภายในชุมชนที่มีการศึกษาจะออกไปประกอบ อาชีพข้างนอกราวๆ ๔๐ % ในขณะที่กลุ่ม
๑๐
ช่างทองยังคงทำทองอยู่ที่บ้านในราว ๖๐ % เยอรมันชื่อ “นายไกรซ์เล่อ” ตั้งร้านอยู่ที่ แต่ในปัจจุบันนั้นผู้ทำอาชีพช่างทองล้วนสูงวัย แพร่งนรา นำเอาวิทยาการและวิธีการผลิต และไม่มีผู้ทำอาชีพนี้อีกต่อไปแล้ว แบบใหม่ซึ่งเป็นแบบตะวันตกเข้ามาตีตลาด ของช่างทองมุสลิมแต่เดิม เช่น ใช้เพชรลูก ในกลุ่มผู้ถูกอพยพโยกย้ายมาจาก หัวเมืองทางใต้ครั้งรัชกาลที่ ๓ นั้น ส่วนหนึ่งเป็นช่างทองคำประดับเพชร ทับทิม หรือมรกต และถูกกำหนดให้ เป็นช่างทองหลวงทำเครื่องทรงและ เครื ่ อ งราชู ป โภคถวายตั ้ ง แต่ ค รั ้ ง รัชกาลที่ ๓ โดยเล่าสืบกันจาก บรรพบุรุษว่า ช่างทองหลวงที่อยู่ใน ชุมชนตรอกสุเหร่า มัสยิดจักรพงษ์ ในครั้งรัชกาลที่ ๓ ได้แก่ พระวิเศษ สุวรรณ (โต), หลวงแป้น, ขุนลังกา, ช่างลงยา (ไมตรี) ส่วนช่างทองหลวง ในสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ ได้แก่ พระยา ภักดี, หลวงสามณหัตถกิจ ช่างทอง หลวงในรัชกาลที่ ๖-๗ ได้แก่ พระยา นริ น ทร์ ศิ ล ปการ, หลวงสุ ว รรณ พงษ์, หลวงภัทราภรณ์ การเป็นช่างทองหลวงเป็นหนึ่ง ในช่างสิบหมู่ ที่ไม่ได้มีเพียง “๑๐” ชนิ ด เท่ า นั้น แต่ ใ ช้ เ ป็ น ชื่อ ที่เ รี ย ก จำนวนมากแบบรวมๆ สมเด็จพระเจ้าบรม วงศ์เธอ กรมพระนริศรานุวัติวงศ์ ทรงจำแนก งานช่างหลวงออกมาได้ถึง ๒๙ งานช่าง และ กรมช่างสิบหมู่และข้าราชการเหล่านี้สลายไป หลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองใน ครั้งรัชกาลที่ ๗
แต่ก็ต้องเลิกเพราะการใช้สายตาที่มากเกินไป ด้วย อีกทั้งมีทางเลือกในการศึกษาเล่าเรียน เพื่อไปทำมาหากินในอาชีพอื่นๆ มากขึ้นด้วย ทำให้คนภายในชุมชนไม่นิยมหัดทำงานเป็น ช่างทองนับแต่เมื่อราวสี่สิบที่ผ่านมาแล้ว ช่างทองแบ่งตามวิธีการผลิต โดย การแบ่งงานเป็นลำดับขั้น คือ “ช่างรูป” คือช่างทองผู้ทำหน้าที่ทำทองให้เป็นรูป ร่ า งของเครื่อ งประดั บ แต่ ล ะชนิ ด อย่ า ง คร่าวๆ เช่น ทำรูปแหวน กำไล ต่างหู, “ช่างฝัง” คือช่างทองที่ทำหน้าที่ฝังเพชร พลอยลงในเรื อ นของเครื่อ งประดั บ , “ช่างลาย” คือช่างที่ออกแบบรูปร่างและ ลวดลายของเครื่อ งประดั บ แต่ ล ะชนิ ด , “ช่างแกะ” หรือ “ช่างแร” เป็นผู้แกะ ลวดลายลงบนเครื่องประดับ โดยการ สลั ก ลายเข้ า ไปในเนื้อ ทองให้ เ ป็ น ร่ อ ง ตามลวดลายที่ต้องการ
พระรูปสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุม พันธุ์ทรงฉายกับสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวีในกรอบดอกไม้ทอง พระองค์ทรงรู้ภาษา มลายูได้ถึงขนาดแปลฮิกายัต ปันหยีสะมารังหรืออิเหนาได้
ก ร ณี มั ส ยิ ด ตึ ก ดิ น ที ่ มี คุ ณ ต า ประเสริ ฐ เจริ ญ ราชกุ ม ารเล่ า ให้ ฟั ง แสดงว่าท่านเป็น “ช่างแกะ” หรือ “ช่าง แร” เรียนรู้วิธีแกะลายลงบนเนื้อเงิน เนื้อทอง ที่ใช้ทำตลับหรือกลักบุหรี่ ที่มี คนสั่งทำและทำงานให้ร้านมากที่สุดคือ แกะ ลายกรอบพระทั้งเงินและทอง เครื่องมือก็มี เช่น มีดแกะปลายรูปร่างต่างๆ ที่ต้องคม เพราะแกะลงไปบนเนื้อโลหะ เช่น ทองหรือ เงิน แท่นที่เรียกว่าลูกตุ้มเหล็กกลมซึ่งหมุนได้ รอบทิศสะดวกแก่การแกะลายได้ทุกมุม โดย ช่างแกะนี้ทำทั้งแกะลายแหวนหรือแกะลงบน กรอบพระที่ผู้ค นนิ ย มเลี่ย มทองพระเครื่อ ง เพื่อห้อยคอมาตลอด และทำรายได้เฉพาะ ให้ช่างแกะหรือช่างแรได้มากในยุคหนึ่ง เป็น รายได้ที่ค่อนข้างดีมากทีเดียว เพราะคุณตา ประเสริฐทำงานเป็นช่างแกะสองรอบ คือทำที่ ร้านเครื่องประดับช่วงกลางวันรอบหนึ่ง และ กลางคืนทำที่บ้าน รายได้ดีมาก จนอายุห้าสิ บกว่าๆ ก็เลิก เพราะใช้สายตามากและปรากฎ ว่ามีเครื่องปั๊มเริ่มเข้ามา ทำให้งานฝีมือแบบ การแกะลายมีคนสั่งทำลดลง
แทนเพชรซีก การฉลุลวดลายโปร่งเพราะ เครื่องมือดี การตั้งกระเปาะแทนการฝังแบบ โบราณ เป็นต้น ทำให้ช่างทองตรอกสุเหร่า เปลี่ยนวิธีการผลิตทำทองแบบดั้งเดิม หันไป ใช้วิชาการทำทองแบบใหม่เช่นนายไกรซเลอร์ กันหมด เพราะถือเป็นของทันสมัยอย่างยิ่งใน ช่างทองหลวงที่รับราชการในพระบรม สมัยนั้น มหาราชวังจากตรอกสุเหร่าถูกจำแนกได้อีกว่า การสืบทอดวิชาช่างทองต้องหาคนที่ไว้ใจ เป็ น ช่ า งทองที่เ ป็ น ข้ า ราชการประจำ และ ได้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นคนในครอบครัว โดยมี ข้าราชการที่รับเบี้ยหวัดรายปี และยังมีช่าง พ่อหรือลูกชายคนตัวทำหน้าที่แจกจ่ายงานไป ทองชาวบ้านที่ทำงานค้าขายเครื่องประดับกับ ยังคนในครอบครัวที่มีความชำนาญต่างกัน ราชสำนัก ข้าราชการและพ่อค้าคหบดี ซึ่งยัง หากเป็ น เด็ ก มาฝึ ก หั ด ก็ จ ะสอนกั น เฉพาะ แบ่งออกได้อีกว่าเป็นกลุ่มบ้านช่างทองที่มีทุน ภายในกลุ่มเดียวกันเท่านั้น แม้จะเคยมีความ มากและช่ า งทองรั บ งานช่ ว งต่ อ ที่มี ทุ น น้ อ ย พยายามสืบทอดวิชาให้กับคนนอกกลุ่ม แต่ก็ กว่า เป็นไปโดยชั่วคราว เพราะสภาพแวดล้อมและ โดยกล่าวว่าชาวตรอกสุเหร่าทำงานเป็น สังคมที่เปลี่ยนแปลง การฝึกฝนในการเป็น ช่างทองที่มีสถานภาพทางสังคมสูงและมีฐานะ ช่างทองเป็นการงานอาชีพเฉพาะที่ทำยากและ เมื่อเปรียบเทียบงานช่างก็สามารถงาน จนเมื่อ ปลายรั ช กาลที่ ๖ มี ช่ า งฝรั่ง ชาว ต้องมีความละเอียดประณีตขั้นสูงสุดและใช้ สายตามาก จนผู้สูงอายุแม้จะมีความชำนาญ แกะลายลงบนเครื่องประดับ มีมิติเป็นงาน
๑๑
ละเอียดประณีต ส่วนงานบ้านพานเป็นงานตอกลายเพื่อดุนให้เกิด ลวดลายขึ้นมา เป็นความชำนาญของช่างคนละแบบ เครื่อ งทองแบบโบราณที่ช าวชุ ม ชนตรอกสุ เ หร่ า มั ส ยิ ด จักรพงษ์บันทึกไว้ ซึ่งส่วนใหญ่ทำจากทองคำ ๑๐๐ % จึงเป็นเนื้อ ทองอ่อนเหมาะจะทำลวดลายได้ง่าย แต่เมื่อสมัยกว่าสี่สิบปีที่แล้ว ช่างทองก็ไม่สามารถทำเครื่องทองเหล่านี้ได้แล้วมีดังเช่น โต๊ะเครื่องทองของป้าเล็ก ลอประยูร ผู้ล่วงลับไปแล้ว ที่มัสยิดจักรพงษ์ ปัจจุบันจดแสดงที่พิพิธบางลำภู
โต๊ะกล่องเครื่องมือของคุณตาประเสริฐ เจริญราชกุมาร ที่ได้ รับมรดกมาจากพ่อที่ท่านไม่เคยพบหน้า เพราะสิ้นไปตั้งแต่ เมื่อยังเล็กมาก กล่าวว่าเป็นกล่องเครื่องมือของหมอเด็ก ตามนามสกุล ราชกุมารที่เป็นนามของคุณพ่อ
เบ้ากลมหมุนได้รอบทิศและเครื่องมือแกะของ คุณตาประเสริฐ ซึ่งเป็นช่างแกะหรือช่างแร
จี้ ใช้ห้อยกัยสายสร้อย แบ่งเป็นจี้ตัวผัวและตัวเมียและจี้สี่ทิศ, จั่น คือสายสร้อยข้อมือมีหัวตรงกลางเป็นรูปกลมฝังทับทิม หรือ มรกตล้อมเพชร, ใบไม้ปลายมือ คือจี้ตัวเล็กๆ ห้อยปลายสาย สร้อย, ลูกปะวะหล่ำ คือสร้อยข้อมือ ทำด้วยลวดทองขดเป็นลูกลาย โปร่ง ร้อยติดกันด้วยสายสร้อย กำไลตะขาบ เป็นสร้อยทองถักรอบข้อมือ, สร้อยบิด สร้อยทอง ใช้ลวดทองบิดให้แบนแล้วคล้องกัน, สร้อยดอกจิก คือสร้อยทำเป็น รูปดอกไม้เล็กๆ ต่อกันเป็นสาย, สร้อยกลีบดอกลำดวน เป็นรูป กลีบดอกลำดวน, ต่างหูดอกลำดวน, กำไลข้อเท้าก้านบัว, ปิ่นปัก จุก, กำไลข้อมือ, แหวนข้อมะขาม, แหวนยอดโบราณ, แหวนแมงดา, แหวนมณฑป, แหวนรังแตน, ต่างหูพวง, ต่างหูระย้า, ต่างหูเต่ารั้ง, ตุ้มรังแตน, ต่างหูกระจก เป็นต้น ส่วนเครื่องทองแบบใหม่ของชาวตรอกสุเหร่ากล่าวกันว่าแม้จะ มีรูปแบบใหม่ แต่ก็ยังคงผลิตแบบเดิมอยู่ เช่น การทำแหวน มีพวก แหวนปลอกมีดหรือแหวนทองเกลี้ยง, แหวนนามสกุล, แหวนนพ เกล้า, แหวนล้อม, แหวนมอญ, แหวนแถว, แหวนลิ้นจี่ทั้งทรงเครื่อง และธรรมดา, แหวนไขว้ พวกเข็มกลัด แบ่งเป็นเข็มกลัดเพชรและ เข็มกลัดพลอย พวกสร้อยคอ แบ่งเป็น สร้อยคอมือ, สร้อยเพชร หรือสังวาลย์, สร้อยพลอย, ทับทิม, มรกต เป็นต้น ช่างทองนั้นต้องมีความชำนาญในการดูเนื้อทอง การดูเพชร พลอย และสามารถตีราคาตามท้องตลาด ตามความนิยมได้อย่าง ชำนาญด้วย ลูกค้าที่เคยมีส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าประจำที่มีความคุ้น เคยและค้าขายกันมานาน ในอดีตช่างทองที่ตรอกสุเหร่ากล่าวว่า มี การค้าขายกับราชสำนักอยู่เสมอ ส่วนตลาดภายนอกราชสำนักจะ เป็นกลุ่มที่มีสถานภาพทางสังคมและมีฐานะที่อยู่ในกลุ่มที่ดีที่สุด พ่อค้าคหบดีชาวเชียงใหม่เคยเดินทางรอนแรมด้วยเรือนับสิบวัน เพื่อมาหาซื้อเครื่องทองเหล่านี้ จนสร้างรายได้อย่างมากมายให้กับ ชาวชุมชนตรอกสุเหร่าในอดีตเป็นอย่างมาก
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ ตราประจำพระองค์อักษรย่อ ประจำรัชกาลที่ ๖
๑๒
ชุมชนมุสลิม
ร่วมสร้างพระนคร ชุมชนมุสลิมใน “เกาะรัตนโกสินทร์” ชุมชนมุสลิมที่ถูกลืม ชุมชนมุสลิมในย่านเก่าทุกวันนี้ประสบ ปั ญ หาการอยู ่ อ าศั ย ในรู ป แบบปั ญ หาที ่ คล้ายคลึงกัน นั่นคือการเติบโตของเมืองที่ ทำให้ชุมชนมีพื้นที่ความเป็นอยู่แออัด คนใน ชุมชนที่ทำอาชีพอื่นๆ เลือกที่จะไปอยู่ในย่า นอื่นๆ ในชุมชนมุสลิมด้วยกันแต่มีพื้นที่ใน
ประทานเมตตา หาทั้งสิ่งของบรรเทาทุกข์ ต่างๆ อาหารที่ชาวมุสลิมทานได้มาช่วยอย่าง แข็งขันเต็มที่และเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นปกติ ของชาวบ้านในเขตเมืองเก่าที่เป็นชุมชนมุสลิม ในท่ามกลางชาวพุทธและวัดหลวงหลายแห่ง เพื่อนบ้านของชาวมัสยิดตึกดินที่ตรอก บวรรังษีก็เป็นเพื่อนบ้านที่ีเติบโตมาด้วยกัน และเล่นด้วยกันมาแต่เล็กแต่น้อย ในปัจจุบัน บ้านทั้งตรอกนั้นฝั่งหนึ่งประสบปัญหาเพราะ เป็ น ที่วั ด หลายหลั ง เป็ น การถวายให้ เ ป็ น กรรมสิทธิ์ของวัด และหลายบ้านต้องย้าย หลักแหล่งออกไปอย่างจำยอม และยังคงจะ เกิดปัญหาตามมาอีกในระยะเวลาอันใกล้นี้
ชาวบ้ า นที่ต รอกสุ เ หร่ า อย่ า งคุ ณ ยาย มานิดา แตงอ่อน เมื่อวัยเด็กและวัยสาวก็ ใกล้ชิดกับชุมชนพุทธ มีงานกิจกรรมใดๆ ก็มักไปเยี่ยมหรือนำอาหารไปช่วยงานได้ไม่ใช่ เรื่องแปลก รวมทั้งวัฒนธรรมมหรสพพวก ลิเกก็เป็นเรื่องปกติในการไปดูที่วิกบางลำพู และอี ก ประการหนึ ่ ง คื อ การได้ เ รี ย นใน โรงเรี ย นที่ใ กล้ บ้ า น เพื่อ นบ้ า นที่อ ยู่ถ นน เดียวกัน เช่น ถนนจักรพงษ์ ที่มีทั้งพ่อค้าและ ชาวบ้านทั้งจีน มุสลิม คนไทยพุทธก็ทำให้มี เพื่อนร่วมเรียนหนังสือหลากหลายแหล่งที่มา ซึ่งเป็นเรื่องปกติของชีวิตในย่านพระนครนี้ เช่นกัน
ชุมชนในตรอกบวรรังษีที่โครงสร้างทาง หลังจากเกิดเพลิงไหมครั้งใหญ่ที่ชุมชน สังคมแตกสลายไปเพราะเกิดจากการถูกไล่รื้อ ตึ ก ดิ น ก็ มี ก ารออกไปอยู่กั บ ญาติ ใ นแถบ
การใช้ชีวิตกว้างขวางกว่าบ้านเดิม ชุมชน มุ ส ลิ ม ในเมื อ งเช่ น ที ่ ต รอกสุ เ หร่ า มั ส ยิ ด จักรพงษ์และมัสยิดตึกดิน ถือได้ว่าเป็นชุมชน หลั ง ตึ ก แถวและอาคารสำคั ญ ที่ห ายไปจาก สายตาของเมือง และมีสภาพแวดล้อมที่คับ แคบ ไม่ว่าจะเป็นทางเดินเข้าออก ทางเดิน ภายในชุมชน บ้านเรือนที่เก่าไปตามอายุ การ จัดการน้ำเสียหรือขยะ เป็นต้น
ภาพลายเส้นแสดงเครื่องทองที่เป็นเครื่องประดับแบบโบราณ จากงานศึกษาของไพโรจน์ สาลีรัตน์ งานของช่างทองตรอกสุเหร่า
เป็นสำคัญ ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถรวมกัน ติด แตกต่างไปจากชาวมัสยิดตึกดินที่ได้รับ พระราชทานที่ดิ น เพื่อ อยู่อ าศั ย มาแต่ อ ดี ต ทำให้ไม่มีปัญหา และยังคงมีมัสยิดรวมทั้ง ผู้ส อนศาสนาและกรรมการทั้ง มั ส ยิ ด และ ชุมชนที่เข้มแข็ง ทำให้กลายเป็นที่พึ่งในบาง เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ไฟไหม้ทั้งชุมชนตึก เรื่องของชาวบ้านจากตรอกบวรรังษี จาก ดิน เหลือรอดมาได้ไม่กี่หลังคาเรือน สมเด็จ ปัญหาที่เกิดขึ้นในบางกรณี พระสังฆราชฯ องค์ที่สวรรคตไปแล้ว ท่าน
ไกลๆ ออกไป บางบ้านก็ขายหรือสร้างเป็นอ พาร์ทเม้นต์ให้เช่า สภาพแวดล้อมแบบเดิมๆ ก็ค่อยๆ หายไปด้วย และที่สำคัญคือคนใน ชุมชนก็เริ่มหายไปหรือย้ายออก เพราะมีเครือ ญาติมากมายหลายแห่ง ทั้งทางฝั่งธนฯ ทาง หนองจอก ฉะเชิงเทรา แต่บางบ้านก็เลือกที่จะ มีบ้านหลังที่สองแถวๆ บางบัวทองที่มีชุมชน มุสลิมเช่นกัน แต่เดินทางไปมาสะดวกกว่าทาง แถบตะวันออกของกรุงเทพฯ มากกว่า
๑๓
ทำนุ เหล็งขยัน ผู้นำชุมชนชาวมัสยิดตึกดิน
สมบัติ จันทร์ไทย, หะริน สิริคาดีญา, นิวัฒน์ วงษ์มณี ชาวมัสยิดมหานาค
มัสยิดมหานาคในปัจจุบัน
อาจารย์สมาน เมฆลอย มัสยิดมหานาค
อาจารย์ซัน, โอภาส มิตรมานะ มัสยิดจักรพงษ์
ประเพณีและการรวมญาติที่เป็นปกติธรรมดาในชีวิต ของชาวมุสลิมในย่านเก่าของกรุงเทพฯ
อีกประการหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ คนในชุมชนนั้น ส่วนใหญ่ค้าขายและมีรายได้ไม่มากนัก การค้าขายก็ เช่น ขายพวงมาลัยแก่รถติดตามสี่แยกบ้าง การค้าขาย อาหารกับข้าราชการในกระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ที่ เคยมีอยู่มากมายภายในย่านเมืองเก่า และย้ายออกไป มากเมื่อ สร้ า งศู น ย์ ร าชการ แม้ แ ต่ ข้ า ราชการจาก กรุงเทพมหานครที่เริ่มย้ายออกไป และสำนักงานของ เอกชนตามตึกในแถบถนนราชดำเนินกลางที่แทบจะ ไม่มีอยู่แล้ว และถนนราชดำเนินทั้งหมดก็ห้ามค้าขาย แล้ว สิ่งเหล่านี้คือการทำให้เมืองประวัติศาสตร์ให้ร้าง ผู้คนไปโดยปริยาย และนักท่องเที่ยวก็ไม่ใช่ผู้ที่จะสร้าง รายได้ให้แก่ชุมชนแต่อย่างใด จนทำให้รายได้ของ คนในชุมชนหายไปจนน่าใจหาย ซึ่งเป็นเช่นนี้กับทุก ชุมชนในย่านเมืองเก่ากรุงเทพมหานครของเรา ส่วนมัสยิดจักรพงษ์นั้น เป็นสถานที่สำหรับทำ ละหมาดให้แก่ทั้งข้าราชการมุสลิมในอดีต และนักท่อง เที่ยวในปัจจุบันที่รู้กันไปทั่วว่ามีมัสยิดรองรับสำหรับ นักท่องเที่ยวชาวมุสลิมจากทั่วโลก ซึ่งจะมีผู้เข้ามา ละหมาดมากโดยเฉพาะในวันศุกร์ ส่วนคนเก่าๆ หรือผู้ ที่มีอาชีพช่างทองต่างล้มหายตายจากไปแล้ว พูดได้ว่า ไม่มีช่างทำทองสืบทอดการทำทองของตรอกสุเหร่าได้ อีกต่อไปแล้ว รวมทั้งกล่าวได้ว่ารุ่นอายุ ๙๐ คือคุณ ยายมานิดา แตงอ่อน นั้นแทบจะไม่มีเพื่อนร่วมรุ่น แต่ เมื่อ ถึ ง เวลามี ง านหลั ง พิ ธี ก รรมทางศาสนาก็ จ ะมี ลู ก หลานมาเยี่ยมเยีนเต็มบ้านทีเดียว ความเป็นชุมชนและ ครอบครัวของชาวมุสลิมทั้งสามชุมชนนั้นยังเหนียว แน่นมั่นคงมากกว่าชุมชนชาวพุทธในชุมชนเมืองทั่วๆ ไปมากทีเดียว ส่ ว นมั ส ยิ ด มหานาคแก่ เ ปิ ด แก่ ช าวมุ ส ลิ ม จากที่ ต่างๆ รองรับเป็นกลุ่มใหญ่และแยกกลุ่มชายหญิง อย่างชัดเจนแทบจะตลอดเวลา เพราะอยู่ในย่านการค้า และมีผู้เดินทางมาได้สะดวกกว่ามัสยิดในพระนคร แต่ พื้นที่การอยู่อาศัยยังสามารถขยับขยายได้มากกว่า คน ดั้ง เดิ ม จึ ง ยั ง อยู่อ าศั ย ที่ม หานาคนี้ม ากกว่ า ชุ ม ชนใน พระนครทั้งสองแห่ง รวมทั้งยังมีการสอนศาสนา มี โรงเรียน มีกูโบร์ มีการค้าขาย แม้ลูกหลานจะย้ายออก ไปมากแล้ ว ก็ ต าม ก็ ดู จ ะเป็ น ชุ ม ชนที่มั่น คงเพราะ จำนวนคนผู้อยู่อาศัยดูจะมั่นคงกว่านั่นเอง อย่างไรก็ตาม ชาวชุมชนมัสยิดตึกดินก็ยังมีความ หวังต่อการปรับตัวเพื่อจะอยู่ให้ได้ในพื้นที่ย่านเมือง ประวัติศาสตร์ ที่ดูค่อนข้างจะอยู่ยากสำหรับการดำเนิน
๑๔
ไพโรจน์ สาลีรัตน์. ช่างทองหมู่บ้านตรอก สุเหร่า. ปริญญาตรีศิลปศาสตร์บัณฑิต (โบราณคดี) คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัย ศิลปากร, ๒๕๑๕. อารีฟิน บินจิ. ปาตานี..สุลต่านมลายู เชื้อสาย ฟากิฮฺ อาลี มัลบารี ประวัติศาสตร์ที่ถูกลืม, จัด ชุมชนมุสลิมของพวกเขาให้อยู่หลบๆ และ ช่ า งชั้น สู ง ในพระนครหายไปแทบหมด พิมพ์โดย มูลนิธิอิสลามภาคใต้, เงียบๆ อีกทั้งการท่องเที่ยวและนิทรรศการ แล้ว วันนี้แค่เสียดายอาจจะยังไม่พอจะเอ่ย พฤษภาคม ๒๕๕๘.
ชีวิตแบบปกติ ที่ยังต้องพึ่งพาเศรษฐกิจการ เพราะงานฝีมือมีราคาแพงและอาจไม่ต้องตาม ค้าขายทั้งอาหารและของรับประทานตามรถ สมัยนิยม รูปแบบชีวิตต่างเปลี่ยนไปและไม่ เข็น สามารถที ่ จ ะปรั บ ตั ว ได้ กั บ สภาพชี วิ ต รวมทั้งพวกเขารู้สึกว่า “ถูกหลงลืม” อัน วั ฒ นธรรมและเศรษฐกิ จ ที่เ ปลี่ย นไปอย่ า ง เนื่องมาจาก อยู่หลังอาคารที่บดบังความเป็น รวดเร็ว ต่างๆ ใน่ายเก่าของกรุงเทพฯ ก็แทบจะไม่ ปรากฏเรื่องราวของชาวมุสลิมที่มีรากเหง้า ร่ ว มกั น กั บ คนกรุ ง เทพมหานครกลุ่ม อื่น ๆ และเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มชาติพันธุ์ที่สำคัญ ทัดเทียมกับชาวสยามกลุ่มอื่นๆ เช่นกัน
จากความวุ่นวายทางสังคมและการเมือง ในช่วงต้นกรุงฯ ก็พอเห็นแล้วว่า บ้านเมืองใน ยุคสร้างกันใหม่ หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งที่สองนั้น การสงครามส่วนใหญ่เป็นการ ช่วงชิงทรัพยากรบุคคลเพื่อมาเป็นพลเมือง บริเวณรอบและภายในพระนครของเรา ของตนเองเป็นสิ่งสำคัญเหนือกว่าอื่นใด เต็มไปด้วยย่านหัตถกรรม งานฝีมือช่างชั้นสูง ยุคสมัยของรัตนโกสินทร์คือการปรุงใหม่ เราสูญเสียช่างทองที่สืบเชื้อสายและสืบงาน ในหลากหลายวัฒนธรม โดยผู้คนต่างกลุ่ม ฝีมือในชุมชนมุสลิมย่านเก่าของกรุงเทพฯ ไป ชาติ พั น ธุ์แ ละวั ฒ นธรรมที่มี ที่ม าอั น หลาก หมดแล้วในทุกวันนี้ ขอแสดงความเสียใจต่อ หลาย หนึ่งในกลุ่มชาติพันธุ์เหล่านั้นคือผู้สืบ ครอบครั ว ของคุ ณ ตาประเสริ ฐ เจริ ญ ราช เชื้อสายมาจากชาวมลายูมุสลิมที่ถูกอพยพมา กุ ม ารที่เ สี ย ชี วิ ต ไปหลั ง จากให้ สั ม ภาษณ์ ถึ ง จากหัวเมืองทางคาบสมุทร งานช่างทองและความเป็นมาของชุมชนมัสยิด และผู้คนเหล่านี้คือคนสร้างชาติสู่สยาม ตึกดินไปเพียง ๑ เดือนก่อนหน้านี้เท่านั้น ยุคสมัยใหม่ [Modern Siam] หลังจากนั้น ทุกวันนี้งานช่างฝีมือที่เรียกรวมๆ ว่า “งาน เพียงไม่กี่ทศวรรษต่อมา ช่างสิบหมู่” ที่เคยได้รับการอุปถัมม์จากราช สำนักก็สูญหายไปมาก ก่อนที่จะมีการสร้าง วิทยาลัยในวังหรือศูนย์ศิลปาชีพพิเศษ งาน บรรณานุกรม ช่างฝีมือตามชุมชนต่างๆ ในและรอบพระนคร กรมไปรษณีย์และโทรเลข. สารบาญชี ส่วนที่ ๒ ของเราสลายไปตามกาลเวลาและไม่ มี ผู้ใ ด คือราษฎรในจังหวัด ถนน แลตรอก จ.ศ. สามารถสืบทอดได้ แต่หลายสิ่งสูญไปแล้ว ๑๒๔๕ เล่มที่ ๑-๔. สำนักพิมพ์ต้นฉบับ,
สัมภาษณ์ โอภาส มิตรมานะ. มัสยิดจักรพงษ์, เกิด พ.ศ. ๒๔๙๗ อายุ ๖๑ ปี, สัมภาษณ์ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๘. มานิดา แตงอ่อน. มัสยิดจักรพงษ์, เกิด พ.ศ. ๒๔๖๘ อายุ ๙๐ ปี, สัมภาษณ์ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๘. ประเสริฐ เจริญราชกุมาร. มัสยิดตึกดิน, เกิด พ.ศ. ๒๔๖๙ อายุ ๘๙ ปี (เสียชีวิตแล้ว), สัมภาษณ์ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘. ทำนุ เหล็งขยัน. มัสยิดตึกดิน, อายุ ๕๗ ปี, สัมภาษณ์ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘. หะริน สิริคาดีญา. มัสยิดมหานาค, อายุ ๗๓ ปี, สัมภาษณ์ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘. นิวัฒน์ วงษ์มณี. มัสยิดมหานาค, อายุ ๗๕ ปี, สัมภาษณ์ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘. สมบัติ จันทร์ไทย. มัสยิดมหานาค, อายุ ๖๓ ปี, สัมภาษณ์ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘. สมาน เมฆลอย. มัสยิดมหานาค, อายุ ๕๕ ปี, สัมภาษณ์ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๘.
พิมพ์ครั้งที่ ๒, ๒๕๔๑.
๑๕