กู
ขอมอบหนังสือ “ ...ไม่ใช่อริยะ” เป็นธรรมะบรรณาการ
แด่ ................................................................................................................ ................................................................................................................
จาก ................................................................................................................ ................................................................................................................
2
กู...ไม่ใช่อริยะ
ISBN : 978-616-91754-2-1 พิมพ์ครั้งแรก : พฤษภาคม 2557 จำ�นวนพิมพ์ : 5,000 เล่ม ออกแบบรูปเล่ม : พชรชน คอมพิวเตอร์กราฟฟิก : เอกจาริณี ภาพปก-ภาพประกอบ : เอกจาริณี พิสูจน์อักษร : คณะศรัทธาวัดวังหิน ติดต่อ-ประสานงาน : ผศ.ทิพย์สุดา อินทะพันธุ์ เหรัญญิก : พรทิพย์ นวลศิริ โทร.084-688-8272 เจ้าของ : มูลนิธิจิตตภาวนาชินวงส์ วัดวังหิน ต.พลายชุมพล อ.เมือง จ.พิษณุโลก 65000 โทร.087-308-4387 Email : wat-wanghin@hotmail.com Webside : www.chinawangso.net พิมพ์ที่ : โฟกัสมาสเตอร์พริ๊นต์ 1/20 จ.พิษณุโลก โทร.055-225037 หรือวิญญู จิตตเสถียร โทร.081-674-2377
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
3
‘ คำ�นำ� ’ บนดาวเคราะห์สีน้ำ�เงินดวงนี้ มีเรื่องราว ต่างๆ เกิดขึน้ ทุกวินาที ทุกเรือ่ งราวล้วนเป็นเรือ่ ง ธรรมดาที่ควรเกิดทั้งสิ้น ไม่มีเรื่องไหน ควรค่าแก่การจดจำ� ไม่มีเรื่องไหน ไร้ค่าจนต้องลืมเลือน บนดวงจิตทุกดวงในโลกนี้ มีเรือ่ งราวต่างๆ เกิดขึน้ ตลอดเวลา ทุกเรือ่ งล้วนเป็นเรือ่ งธรรมดา ที่เคยเกิดแล้วทั้งสิ้น ไม่มีเรื่องไหน ควรค่าแก่การยึดถือ ไม่มีเรื่องไหน ไร้ค่าจนต้องเกลียดชัง หนังสือเล่มนี้ เพียงเสนอเรื่องสั้นผ่าน มุมมองธรรมดามุมหนึ่งของผู้เขียน ให้ผู้อ่านได้ ตรึกตรอง
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
5
ไม่มีเรื่องไหน ควรค่าแก่การสรรเสริญ ไม่มีเรื่องไหน ไร้ค่าจนต้องด่าทอ เรื่องสั้นชวนหรรษา พาให้คิด สะกิดต่อม ปัญญา ของหลวงตาแกร่ง เพียงแสดงให้เห็น ความหลากหลายแห่งความคิด และสรุปให้เห็น ถึงความเป็นหนึ่งเดียวแห่งธรรม ไม่มีเรื่องไหน ไม่มีใคร ไม่มีอะไร มีเพียงสิ่งธรรมดา ด้วยการุณยธรรม พระมหาวิเชียร ชินวํโส พฤษภาคม 2557
6
กู...ไม่ใช่อริยะ
7
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
‘
สารบัญ
’
เพื่อนร่วมทุกข์ พรออนไลน์ หลวงตา FC สัจนิยม สมอง & จิต กู...ไม่ใช่อริยะ นรก-สวรรค์ อุปาทานสร้าง ขอทานจัญไรหรือผูู้เห็นภัยในวัฎฎะ
7 19 31 51 65 77 99 115
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
9
‘ เพื่อนร่วมทุกข์ ’ ท่ามกลางอากาศเย็นสบายในเหมันตฤดู สำ�นักสงฆ์โนนศิลา ซึ่งตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ ท้ายหมูบ่ า้ นมองเห็นได้แต่ไกล หมูไ่ ม้เบญจพรรณ ร่มรืน่ กระจายอยูท่ ว่ั บริเวณ เสียงนกสารพัดชนิด ร้องรับขับขานกันตามธรรมชาติ ก่อให้เกิดความ วิเวกภายในสำ�หรับผู้มาเยือนได้เป็นอย่างดี ภายในสำ�นักสงฆ์แห่งนี้ มีหลวงตาแกร่ง เป็นเจ้าสำ�นัก ท่านเป็นข้าราชการครูที่ลาออก ก่อนเกษียณอายุราชการ เพราะเหตุที่ภรรยาคู่ ชีวิตลาจากไปสู่ปรโลก โชคดีที่ไม่มีทายาทจึง ตัดสินใจออกบวชแสวงหาทีส่ ดุ แห่งทุกข์ได้โดยง่าย
10
กู...ไม่ใช่อริยะ
ผ่านไป 12 พรรษา หลังจากทีเ่ ทีย่ วธุดงค์ ฝึกภาวนามานาน ท่านได้พบที่สัปปายะเชิงเขา แห่งนี้ จึงตัดสินใจปักหลักจำ�พรรษา ณ วัดร้าง แห่งหมูบ่ า้ นโนนศิลาในวัย 63 ปี เรือ่ งราวต่างๆ จึงเกิดขึ้น ณ สำ�นักสงฆ์โนนศิลา สายวันนัน้ หลังฉันภัตตาหารเสร็จ หลวงตา ได้ให้การต้อนรับสตรีวัยกลางคน พร้อมเพื่อน ชายหญิงที่มาด้วยกลุ่มหนึ่ง สตรี ที่ นั่ ง อยู่ ต่ อ หน้ า หลวงตาในขณะนี้ หน้าตาอมทุกข์ เริม่ ระบายความอัดอัน้ ตันใจให้ฟงั ด้วยหวังจะได้พบพระผูว้ เิ ศษทีจ่ ะช่วยปลดเปลือ้ ง ทุกข์ให้เธอได้ “หนูแนะนำ�ให้เขามาหาหลวงตาค่ะ” ลูกสาวทายก ผูค้ นุ้ เคยกับวัดเอ่ยขึน้ื มาก่อน พลางหันไปบอกเพื่อน “มีอะไรก็เล่าให้หลวงตาฟังสิเธอ”
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
11
เจ้าของปัญหา จึงกล้าเอ่ยขึ้นมา “ไม่รู้กรรมอะไรของหนูนักหนา 2 ปีมานี้ มันประดังประเดเข้ามาจนตั้งรับไม่ไหวแล้ว” “สมน้ำ�หน้า” หลวงตาพูดยิ้มๆ เธอสะดุ้ง “อะไรนะ” พร้อมกับอุทานออกมาด้วยความแปลกใจ “สมน้ำ�หน้า” หลวงตาย้ำ� “สมกับกรรมทีโ่ ยมเคยทำ�มาแล้วไง อย่าไป โทษเทวดาฟ้าดินที่ไหน สิ่งที่เกิดขึ้นคือความ ยุติธรรมแห่งกรรมที่เราเคยทำ�มาแล้วทั้งนั้น ไหนเรือ่ งมันเป็นอย่างไร ลองเล่าให้ฟงั หน่อยซิ” เธออ้�ำ อึง้ ด้วยความไม่แน่ใจว่าควรจะเล่า ให้ฟังหรือไม่ เกรงจะโดนด่าอีกรอบ แต่เมื่อ สังเกตเห็นใบหน้าเปีย่ มเมตตาของท่าน เรือ่ งราว ต่างๆ จึงพรั่งพรูออกมา
12
กู...ไม่ใช่อริยะ
แม่ป่วยหนักและเสียชีวิตไปแล้ว หมดเงิน รักษาพยาบาลไปมิใช่น้อย สามีเจ้าชู้ ปล่อยให้เป็นแม่เลีย้ งเดีย่ ว ดูแล ลูกอีก 2 คน ลูกชายที่ย่างเข้าสู่วัยรุ่น ดื้อรั้น เอาแต่ใจ ตนเอง ถูกเพื่อนร่วมธุรกิจโกงจนหมดตัว แถมบาปซ้ำ�กรรมซัดสุขภาพกาย สุขภาพ จิตก็พลอยแย่ไปด้วย การเงินจึงมีปญ ั หา เจ้าหนีน้ อกระบบข่มขู่ อยู่ไม่หยุดหย่อน มันประดังประเดเข้ามาพร้อมๆ กันอย่าง ที่เธอว่าจริงๆ หลวงตาจึงถามด้วยความเห็นใจว่า “แล้ว 2 ปีที่ว่ามานี้ โยมผ่านมันมาได้ยังไง” “หนูกไ็ ม่รเู้ หมือนกัน รูแ้ ต่วา่ มันทุกข์เหลือ เกิน คงเพราะนึกถึงลูกทั้ง 2 คนละมั้ง สงสาร
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
13
ว่าพวกเขายังเล็ก หนูต้องอยู่ให้ได้” เธอพูดพร้อมกับน้ำ�ตาที่รื้นขึ้นมาให้เห็น “โยมเก่งนะ ความทุกข์ทผี่ า่ นเข้ามาในชีวติ นั่นแหละ ช่วยทำ�ให้โยมเข้มแข็ง เพียงแต่ว่ามัน อาจจะผ่านช้าหน่อย ไม่ค่อยจะทันใจเราเท่านั้น เอง” หลวงตาให้กำ�ลังใจ “หนูทำ�เวรทำ�กรรมอะไรมาคะหลวงตา ชีวิตจึงเป็นอย่างนี้” เธอคร่ำ�ครวญ “อย่าไปสนใจสิง่ ทีผ่ า่ นมาแล้ว ทุกคนล้วน แต่เคยทำ�ดีทำ�ชั่วมาด้วยกันทั้งนั้น เวลากรรมดี ส่งผล ไม่เห็นมีใครตีโพยตีพาย แต่เวลากรรมชัว่ ส่งผลก็เอาแต่คร่ำ�ครวญหวนไห้ ฉะนั้นหลวงตา อยากให้โยมสนุกกับมัน ยังไงก็ต้องเจอ ยังไงก็ ต้องชดใช้หนี้กรรมแล้ว ถ้าสนุกกับมัน จึงจะมี ปัญญาไปแก้ปัญหาได้ แต่ถ้ามัวแต่จมกับมัน
14
กู...ไม่ใช่อริยะ
จะไปแก้ ไ ขอะไรได้ มั น ทุ ก ข์ อ ยู่ แ ล้ ว ยั ง ไป กลัดกลุม้ ให้มนั อีก เหมือนเอาโคลนไปล้างโคลน ยิ่งทำ�จิตก็ยิ่งดำ�มืด ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย” หลวงตาได้โอกาสร่ายยาว “ขอถามโยมหน่อยเถอะ คนอื่นพ่อแม่เขา ป่วยหรือเปล่า” “ป่วยค่ะ” เธอตอบแบบงงๆ “พ่อแม่คนอื่นๆ ที่ตายมีบ้างไหม” “เยอะแยะเลยค่ะ” “คู่อื่นที่สามีเขานอกใจมีหรือเปล่า” หลวงตา ได้โอกาสรุกต่อ “สังคมสมัยนีด้ จู ะเป็นเรือ่ งธรรมดาไปแล้วค่ะ” “แล้วที่ลูกดื้อรั้น เกเรละ” “โอ๊ย ใครมีลูกว่านอนสอนง่าย โชคดียิ่ง กว่าถูกหวยเสียอีก” เธอเริ่มสนุกกับคำ�ถามของหลวงตา “ต่อให้ลูกดี แต่ถ้าลูกป่วย ลูกตาย หรือ
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
15
ถูกคนอื่นเขารังแก พ่อแม่จะทุกข์หรือเปล่า” “ทุกข์แน่นอนคะ อยากจะป่วยแทนเขา ด้วยซ้ำ�ไป” “แล้วคนอื่นเขาถูกโกงกันบ้างไหม” “มีคะ่ ถ้าเราไม่โกงเขา เขาก็โกงเรา หรือไม่ ก็โกงเพราะระบบหรือนักการเมืองคอรัปชัน่ โดย นโยบาย” เธอเริ่มเมามัน อารมณ์ปฏิรูปการเมือง เริ่มเข้าสิง “แล้วคนอื่นเขามีปัญหาการเงินบ้างหรือ เปล่า” หลวงตาถามต่อ “มีเหมือนกันทุกคนเลยค่ะ ไม่มากก็น้อย บ้างครั้งหนูยังคิดปลอบใจตัวเองว่า โชคดีนะที่ ยังมีบ้านอยู่ มีงานทำ� เพราะเศรษฐีหลายคน เป็นหนี้กันระดับร้อยล้าน พันล้าน เป็นหนี้ มากกว่าหนูเสียอีก”
16
กู...ไม่ใช่อริยะ
“นั่นสินะ โยมไม่ได้ซวยคนเดียวหรอก ยัง มีเพื่อนร่วมทุกข์อีกทั้งโลก” หลวงตาได้โอกาสขึ้นธรรมมาสน์ “มีสิ่งใด ก็ทุกข์เพราะสิ่งนั้นนั่นแหละ ยิ่ง รักมาก ก็ทกุ ข์มาก รักน้อย ก็ทกุ ข์นอ้ ย ถ้าไม่รกั ก็ไม่ทกุ ข์ คนทัง้ โลกก็มเี รือ่ งทุกข์อย่างเดียวกับที่ เราทุกข์ ทุกข์ซ้ำ�ๆซากๆ อยู่ตลอดทั้งชาติ ไม่มี ใครดีกว่าใครหรอก” หลวงตาหยุ ด สั ง เกตคนฟั ง เมื่ อ เห็ น ว่ า เข้าใจก็อธิบายต่อ “เราทุกคนเป็นเพือ่ นร่วมทุกข์ อย่าน้อยใจ ว่าทำ�ไมเราซวยอยู่คนเดียว เราทุกคนที่เกิดมา ล้วนซวยกันทั้งนั้น ผลกรรมเก่าก็คอยรุมเร้า กรรมใหม่ก็ทำ�ด้วยความไม่รู้ ผลกรรมก็ส่งผล เป็นทุกข์ซ้ำ�ๆอีก หมุนย่ำ�รอยเดิมอยู่ตลอดเวลา โชคดีแล้วทีเ่ จอเหตุการณ์เหล่านีใ้ นช่วงทีม่ กี �ำ ลัง ต่อสูอ้ ยู่ ถ้าอายุมากกว่านีก้ อ็ าจหมดโอกาสแก้ตวั ”
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
17
เธอพยักหน้ายอมรับ “ปัญหาของโยมก็คอื ไปจมอยูก่ บั ความคิด แท้จริงแล้วทุกข์ไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลา ช่วงเวลา แห่งความสุขมีแทรกอยู่ในทุกข์นั้น แต่โยมกลับ มองข้ามไป ที่จริงแล้วความทุกข์นี้มันพอทนได้ เพราะถ้าทนไม่ไหวก็คงบ้าหรือไม่ก็ตายไปแล้ว” เธอยิ้มออกมาได้ ตั้งใจฟังหลวงตา “ลองใช้วธิ กี ารฝึกสติจดั การกับทุกข์ดบู า้ ง เมื่อจิตเผลอคิด รู้ทันมัน ไม่จมอยู่กับทุกข์นั้น และในขณะเดี ย วกั น ก็ ไ ม่ ต่ อ ต้ า นความทุ ก ข์ วางใจให้ได้วา่ มันเป็นเรือ่ งธรรมดาทีท่ กุ คนต้อง เจอะเจอ เมื่อยอมรับมันได้ คุณจะเห็นคุณค่า ของทุกข์ ว่ามันช่วยฝึกฝนเราให้เข้มแข็ง อดทน อ่อนน้อม และไม่หลงเหลิงไปกับการดำ�เนิน ชีวิต” “โลกนี้มีอยู่ 2 มุมเสมอ ไม่บวกก็ลบ สับเปลีย่ นกันมาให้โยมได้ศกึ ษา ทุกข์นน้ั ไม่ใช่ปญ ั หา
18
กู...ไม่ใช่อริยะ
ปัญหามันอยู่ที่ว่าเวลาสุข คุณหลงระเริงไปกับ มันไหม เวลาทุกข์คุณวิ่งหนีความจริงหรือเปล่า หากมีสติหันหน้าเข้ามาเรียนรู้มัน คุณจะฉลาด มากขึ้นๆๆ จนเมื่อมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นกับ ชีวติ จิตจะเข้าใจทันทีวา่ ก็แค่เรือ่ งธรรมดาเรือ่ ง หนึ่งที่ ‘พอดี’ จะต้องเกิดตามกรรมและผลแห่ง กรรมที่เราทำ�มานั่นเอง” ใบหน้าอมทุกข์ของหญิงสาว สว่างไสว มากขึ้น ก้มลงกราบหลวงตาด้วยความเข้าใจใน ชีวิต “กราบขอบพระคุณหลวงตามากค่ะ หนู เข้าใจแล้ว ทุกคนเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กันจริงๆ บางคนทุ ก ข์ ม ากกว่ า บางคนทุ ก ข์ น้ อ ยกว่ า อยู่ ที่ มุ ม มองและทั ศ นคติ ต่ อ การดำ � เนิ น ชี วิ ต นั่นเอง ต่อไปหนูจะสนุกกับมัน แก้ไขมันด้วย ปัญญา จะไม่หลงจมกับมันอีกต่อไปแล้ว” เธอกล่าวด้วยใบหน้าแช่มชื่น
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
19
“เอ้อ หลวงตาเจ้าคะ ช่วยรดน้ำ�มนต์ หน่อยได้ไหมคะ จะได้ล้างซวยให้เขา” ลูกสาวทายก ชำ�เลืองมองเพือ่ นหญิง แล้ว เอ่ยถามหลวงตา หลวงตามองหน้าพร้อมกับอดด่าไม่ได้ “นี่ตกลงเข้าใจแบบไหนกันเนี่ย จะพาขึ้น สวรรค์ ยังจะดันลงนรกอีก พวกเอ็งอาบน้ำ�เอง ไม่เป็นหรือไง ใช้พระยิ่งกว่าขี้ข้าซะอีกนะเนี่ย” ทั้งกลุ่มหัวเราะขำ� เมื่อเห็นหลวงตาเริ่ม ของขึ้น จึงพากันกราบลา หลวงตาย้อนกลับมาสำ�รวจจิตใจตนเอง พลางรำ�พึงว่า “เฮ้อ..กูนมี่ นั เป็นกระโถนเอาไว้ทงิ้ ขยะของ คนอื่ น แท้ ๆ มี แ ต่ เ รื่ อ งไม่ เ ป็ น เรื่ อ งทั้ ง นั้ น เลย คนทุ ก ข์ มั น มี ที่ ไ หนเล่ า ...มั น มี แ ต่ ค วามทุ ก ข์ เท่านั้นเอง”
21
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
‘
พรออนไลน์
’
เวลา 08.00 น. ก่อนฉันภัตตาหารเพียง มื้อเดียวของวันนั้น สตรีสูงอายุ 2 ท่าน ขับรถ เก๋งมารอแต่เช้า พร้อมทั้งรายงานให้ฟังว่า “เพื่อนอยู่ต่างจังหวัด ฝากให้ซื้ออาหาร และเครือ่ งสังฆทานมาทำ�บุญให้เขาเจ้าค่ะ เพือ่ น กำ�ลังมีทุกข์มากเลยค่ะ” “ถ้างั้นก็ประเคนได้เลยโยม พระกำ�ลังจะ ฉันภัตตาหารพอดี จะได้รับพรไปพร้อมๆ กัน” หลวงตาบอกอย่างเมตตา หลังจากถวายจตุปจั จัยไทยธรรมเสร็จแล้ว เธอขอให้หลวงตารอสักครูห่ นึง่ แล้วกดโทรศัพท์ ไปหาเพื่อน
22
กู...ไม่ใช่อริยะ
“นี่ เ อ๋ . ..ฉั น ถวายสั ง ฆทานให้ เ ธอแล้ ว นะ พระกำ�ลังจะให้พรพอดี เธอรับพรนะ” ว่าแล้วก็กดเปิดลำ�โพง วางโทรศัพท์ไว้ หน้าหลวงตา หลวงตามองอย่างงงๆ “เอาอย่างนี้เลยเหรอโยม ให้พรออนไลน์ เนี่ยนะ” “ค่ะ เพื่อนไม่มีเวลามาเองค่ะ” ในปั จ จุ บั น นี้ มี ก ารทำ � บุ ญ ออนไลน์ อ ยู่ มากมายในโลกไซเบอร์ ไม่ว่าจะเป็นสวดมนต์ ออนไลน์ ฟังธรรมะออนไลน์ ถวายพระพร ออนไลน์ โรงเรียนออนไลน์ ช่วยเหลือภัยพิบัติ ต่างๆ โดยการหักเงินจากค่าโทรศัพท์ หรือบัตร เครดิตเป็นต้น และแน่นอนว่าโลกมี 2 ด้านเสมอ ทำ�บาป ออนไลน์ ก็ เ ห็ น มี อ ยู่ เ กลื่ อ นเมื อ ง เช่ น หวย ออนไลน์ พนันออนไลน์ คาสิโนออนไลน์ เกม ออนไลน์ หรือเว็บลามกอนาจารต่างๆ
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
23
แม้แต่การออนไลน์ที่ไม่ใช่ทั้งบาปและบุญ ก็มี เช่น E-Commerce อีกมากมายหลายล้าน เว็บ หลวงตาเคยตำ�หนิพระนวกะทีน่ �ำ โทรศัพท์ สมาร์ทโฟน มานั่งเล่นเฟสเล่นเกมอยู่ทั้งวันว่า “เฮ้อ...พวกท่านนี่มันหลังสู้ฟ้า หน้าสู้เฟส ทั้งวัน ไอ้นี่เขาเรียกว่า หลงออนไลน์ ไหนบอก ว่าจะมาปฏิบตั ธิ รรม เอาแต่จม้ิ หน้าจออยูอ่ ย่างนี้ พวกท่ า นจะเอาเวลาที่ ไ หนมาดู ต นเองเล่ า เอาโทรศัพท์มาให้หลวงตายึมเล่นสักครึง่ เดือนสิ สึกเมื่อไหร่ค่อยมารับคืน” แล้วหลวงตาก็ยึดเอาโทรศัพท์ไปเก็บไว้ โลกเสมื อ นจริ ง ช่ า งมี อิ ท ธิ พ ลต่ อ มนุ ษ ย์ มากขึ้น จนหลายคนชักไม่แน่ใจเสียแล้วว่า ไอ้ที่ อยู่ในจอมอนิเตอร์ กับคนที่นั่งจิ้มแป้นพิมพ์อยู่ หน้าจอนี่ อะไรคือความจริง
24
กู...ไม่ใช่อริยะ
ว่ากันว่ามีอยู่ 3 อย่างทีเ่ กีย่ วข้องกับชีวติ เรา ก็คือ... 1.สิ่งที่เราเป็นจริงๆ 2.สิ่งที่เราอยากเป็น 3.สิ่งที่คนอื่นอยากให้เราเป็น สิ่งที่เรากำ�ลังเป็นอยู่นั้น แน่นอนว่าย่อม มีหลายประการ ที่เราไม่ปรารถนาจะเป็น แต่ มันฝืนไม่ได้ ตามสันดานเดิมที่สั่งสมมา เช่น ความขี้เกียจ ความมักง่าย โลเล ขาดความ อดทน ความขลาดเขลาเบาปัญญา เป็นต้น สิ่งที่เราอยากเป็น ก็เช่น ความเป็นฮีโร่ ความกล้าหาญ ความเก่งกาจ ความมีเมตตา กรุณา ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถฝึกฝนสร้างให้เกิด มีขึ้นมาได้ แต่สิ่งที่คนอื่นอยากให้เราเป็นนี่สิ สร้าง ความปวดเศียรเวียนเกล้าให้แก่ผเู้ ป็นเป้าประสงค์
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
25
มากที่สุด เพราะสิบคนก็มีความอยากสิบอย่าง ทั้งความอยากระยะยาว ความอยากระยะปาน กลาง และความอยากระยะสั้น ขืนกระสันตาม ความอยากของคนอืน่ เห็นทีวา่ เราจะกลายเป็น สัตว์ประหลาดสปีชีส์หนึ่งเป็นแน่ วันหนึง่ มีชายสูงวัยผูค้ นุ้ เคยกับหลวงตานำ� พระพุทธรูปบูชาทองเหลืองหน้าตัก 7 นิว้ มาหา พร้อมกับเอ่ยขอความเห็นว่า “ท่านว่าพระพุทธรูปองค์นี้ดีไหมครับ” “พระก็ดที กุ องค์นนั่ แหละโยม ไม่เห็นท่าน ขอข้าวกิน หรือบ่นอะไรเลยไม่ใช่เหรอ” “แหมท่านก้อ...คือผมหมายถึงว่ามีคนให้ ผมมาบูชา ผมก็เลยอยากจะรู้ว่า เป็นพระดีหรือ เปล่า จะได้เอาไว้บูชาในบ้าน ได้ทราบว่าท่าน นั่งทางในเป็น ช่วยเช็คให้ผมหน่อย” ว่าแล้วก็ยนื่ พระพุทธรูปส่งให้ แม้พยายาม
26
กู...ไม่ใช่อริยะ
ปฏิเสธว่า “ฉันนั่งเป็นแต่ทางนอกนะโยม ทางในนั่ง ไม่เป็น” “เอาเหอะน่ า เช็ ค ให้ ผ มหน่ อ ยเถอะ” แกคะยั้นคะยอไม่เลิกลา หลวงตาหลับตาลง ปลงกับตัวเองว่า ‘กูเป็นผู้วิเศษขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรวะเนี่ย.. เฮ้อ’ ผ่านไป 1 นาที หลวงตาส่งพระคืนให้ แล้วก็เอื้อนเอ่ยในสิ่งที่โยมเขาอยากได้ยินว่า “พระดีมากเลยโยม บูชาแล้วเจริญรุง่ เรือง เอาไว้บูชาในบ้านนั่นแหละดีแล้ว” “ผมก็ ว่ า อย่ า งนั้ น แหละ พอหลวงตา รับรองอย่างนี้ผมยิ่งมั่นใจ” ว่าแล้วก็กราบลาไป หลวงตานึกด่าในใจว่า ‘...ผมว่าแล้ว... แสดงว่าตั้งใจจะเอาไว้บูชา อยู่แล้ว แล้วมึงเสือกมาถามกูทำ�ไมวะเนี่ย’
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
27
บางรายพิสดารกว่านัน้ ยกโขยงดัน้ ด้นมา หาหลวงตาตามเสียงเล่าลือ แล้วก็ถามว่า “ลูกเสียไปแล้ว เพราะประสบอุบัติเหตุค่ะ ดิฉันอยากทราบว่า ลูกดิฉันไปเกิดเป็นอะไรคะ” และอีกหลายคนถามว่า “คุณพ่อเสียชีวติ ไปแล้ว คุณแม่จากไปแล้ว ดิฉันทำ�บุญอุทิศไปให้ ไม่ทราบว่าจะได้รับหรือ เปล่า” หลวงตาทำ�หน้างงๆ พร้อมกับตอบว่า “อยากรูก้ ต็ อ้ งไปถามญาติของคุณเอาเองซิ ว่าเขาไปเกิดเป็นอะไร หรือได้รบั ส่วนบุญหรือยัง ถามอาตมาจะไปรู้ได้ไง” คนถามทำ�หน้าผิดหวัง ไม่ยอมรับมุก จึง ต้องอธิบายให้ฟังว่า “โยมจะรูไ้ ปเพือ่ อะไร ถ้าอาตมาบอกว่าลูก โยมตกนรก หรือเกิดเป็นเปรตโยมก็จะทุกข์ไป เปล่าๆ หน้าทีข่ องโยมก็คอื ทำ�บุญอุทศิ ไปให้ ส่วน
28
กู...ไม่ใช่อริยะ
เขาจะอยากรับหรือเปล่า ได้รับไหม ไม่ใช่หน้าที่ ของเรา นัน่ มันหน้าทีข่ องเขา บุญของเขา กรรม ของเขา เราเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยไม่ได้หรอก” แล้วโยมกลุ่มนั้นก็จากลาไปด้วยความไม่ พอใจในคำ�ตอบ หลวงตาก็ได้รำ�พึงรำ�พันว่า “กูนี่ชักจะเป็นผู้วิเศษเข้าไปทุกวันแล้ว” บางรายหนักไปกว่านั้น โยมท่านหนึง่ มาถามหาหลวงตาอยูห่ ลาย ครั้ง พอทราบว่าหลวงตาติดกิจนิมนต์ ไปต่าง จังหวัด ก็หอบเครื่องสังฆทานกลับไป มาหาอยู่หลายรอบ จนได้พบหลวงตา สมใจ ก็กล่าวรายงานว่า “โยมมาหาท่านตั้งหลายครั้งแล้ว วันนี้ โชคดีจริงๆ ได้พบท่าน”
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
29
“มีเรื่องอะไรหรือโยม” หลวงตาเอ่ยถาม ด้วยความเมตตา “โยมจะมาถวายสังฆทานค่ะ” “ทำ�ไมไม่ถวายกับพระรูปอื่น พระมีตั้ง หลายรูป จะได้ไม่เสียเวลา” หลวงตาเอ่ยถามด้วยความไม่เข้าใจ “คือ…กลัวว่าจะได้บญ ุ น้อยค่ะ เขาว่ากันว่า ท่านเป็นพระอริยะ ทำ�บุญกับพระอริยะน่าจะได้ บุญมากกว่า” หลวงตา ตาเหลือก ความดันพุ่งปรี๊ดขึ้น มาทันที “หา! อาตมาเนี่ยน่ะ เป็นพระอริยะ เพิ่ง จะรู้นะเนี่ย” พูดพลาง ถอนหายใจเฮือกๆ “โยมจะรูไ้ ด้ยงั ไง ว่าอาตมาเป็นอะไร อย่า ไปเที่ยวแต่งตั้งให้ใครเขาเป็นอริยะ พระอริยะ หน้าตาเป็นอย่างไรหรือ มีเขางอกออกมา หรือ
30
กู...ไม่ใช่อริยะ
มีหางโผล่มาอย่างนั้นหรือ พระพุทธเจ้าสอนว่า อย่าไปเชื่อมงคลตื่นข่าว ก็คืออย่าเชื่อข่าวลือ นั่นเอง ไอ้ที่พระดีๆ เสียหายกันอยู่ทุกวันนี้ก็ เพราะข่าวลือของโยมนั่นแหละ” หลวงตาอดนึกถึงคำ�สอนของหลวงปู่ชา สุภทฺโท ไม่ได้ เมื่อคราวที่ท่านจาริกไปเผยแผ่ ธรรมที่ ป ระเทศอั ง กฤษ มี ฝ รั่ ง คนหนึ่ ง ถาม หลวงปู่ว่า “ท่านเป็นพระอรหันต์หรือเปล่าคะ?” หลวงปู่ตอบอย่างลึกซึ้งว่า “ต้นไม้ผลิดอกออกผล มีนกมาเกาะกิ่งไม้ แล้วจิกกินผลไม้นน้ั จะหวานหรือเปรีย้ ว เป็นเรือ่ ง ของของนกที่ จ ะรู้ ไ ด้ แต่ ต้ น ไม้ ไ ม่ รู้ อ ะไรเลย อย่าเป็นพระพุทธเจ้าเลย อย่าเป็นอรหันต์ อย่าเป็น พระโพธิสตั ว์ อย่าเป็นอะไรเลย การเป็นอะไร ก็มี
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
31
แต่ความทุกข์เท่านัน้ แหละ เราไม่มคี วามจำ�เป็น ต้องเป็นอะไรสักอย่าง” แต่ เ มื่ อ เจอโยมพู ด ทำ � นองนี้ ห ลายครั้ ง หลวงตาก็ชักจะเคลิ้มๆ ไปว่า ตนเองเป็นพระ อริยะเข้าจริงๆ จึงอดที่จะด่าตัวเองไม่ได้ว่า “มึงฝันเข้าไป ปรุงแต่งเข้าไป ไอ้อริยะใหญ่ ระวังนะมึง อริยะมักจะคูก่ บั อริแยะ คือศัตรูเยอะ เน้อ”
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
33
‘ หลวงตา FC ’ แฟนคลับ หรือที่คนสมัยก่อนเรียกกันว่า แม่ยก ถ้าเรียกแบบประชด เขาเรียกว่าติ่งดารา เป็นคนทีค่ อยตามไปเชียร์ ตามไปกรีด๊ ตามไปยก ป้ายไฟ หรือแม้แต่คอยโหวตตามหน้าจอทีวีให้ กับนักล่าฝัน นักร้อง นักแสดง นักกีฬา ว่ า กั น ว่ า บริ ษั ท บั น เทิ ง และสโมสรกี ฬ า ทัง้ หลายให้ความสำ�คัญกับแฟนคลับพอๆ กับตัว ดารานั่นแล เพราะแฟนคลั บ คื อ กลุ่ ม คนที่ เ ห็ น ดี เ ห็ น งามไปหมดทุกเรื่อง ใครกระทบกระทั่งบุคคลที่ ตนชืน่ ชอบไม่ได้ แม่ตอ้ งออกมาปกป้องกันอย่าง เต็มที่
34
กู...ไม่ใช่อริยะ
แฟนคลับจึงมีผลทั้งบวกและลบกับดารา นักร้องที่ตนชื่นชอบ ไม่เว้นแม้แต่ในสำ�นักสงฆ์โนนศิลา ในสำ�นักกรรมฐานหลายแห่งมักจะมีเรือ่ ง ราวพิสดารพันลึกอยู่เสมอ เช่น นั่งสมาธิทีไรเห็นแสงสารพัดสี นิมติ เห็นสวรรค์ นรก เห็นเทวดา นางฟ้า หรือบางคนถึงกับสื่อสารกับเทวดา มาร หรือแม้แต่มนุษย์ต่างดาวได้ การได้พบได้เห็นสภาวะแปลกๆ อันเกิด จากอาการของสมาธิ เป็นเหตุให้เขาเหล่านัน้ ให้ ความเคารพศรัทธาพ่อแม่ครูบาอาจารย์อย่าง มาก แล้วแถมชักชวนญาติสนิทมิตรสหายให้เกิด ความเคารพศรัทธาด้วย กระบวนการแฟนคลับ พระจึงเกิดขึ้น โดยเฉพาะผูช้ าย มักจะนิมติ เห็นเรือ่ งราวใน อดีตชาติของตนเอง ทีเ่ กีย่ วข้องกับครูบาอาจารย์
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
35
เช่น เคยเกิดเป็นพ่อ เป็นพี่ เป็นน้อง หรือเป็น อาจารย์-ลูกศิษย์กันมาก่อน ระลึกชาติได้ ก็ไม่ใช่เรือ่ งแปลกนัก แต่ไอ้ท่ี หนักไปกว่านั้นก็คือผู้หญิงที่ระลึกได้ว่าเคยไป เกี่ ย วข้ อ งเป็ น อะไรๆกั บ หลวงพ่ อ หลวงปู่ ครูบาอาจารย์ที่สอนกรรมฐานในสำ�นักนั้นๆ แม้แต่สำ�นักสงฆ์โนนศิลาเองก็ไม่อาจตก เทรนด์นี้ได้ สตรี นั ก ปฏิ บั ติ ธ รรมท่ า นหนึ่ ง มาส่ ง อารมณ์กับหลวงตาว่า “โยมเห็นอดีตชาติของตนเอง เกิดในสมัย ไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าสามีเป็นทหารเอก เมื่อสามี ออกรบ โยมก็รออยูท่ บี่ า้ น แต่เขาก็ไม่กลับมาอีก เลย ในนิมิตบอกว่าเขาตายในสนามรบ ในนิมิต นั้นโยมเสียใจมาก โยมเพิ่งจะรู้เดี๋ยวนี้ว่าทหาร คนนั้นก็คือหลวงตานั่นเอง เราเป็นคู่บารมีกัน” ว่าแล้วก็ส่งสายตาหวานๆ ให้หลวงตา
36
กู...ไม่ใช่อริยะ
‘เวรละกู อีกแล้วเหรอเนี่ย คู่อวิชชานะสิ ไม่ใช่คู่บารมี’ หลวงตาคิดในใจพลางระลึกถึงเหตุการณ์ คล้ายๆ กันนี้ที่ได้ยินได้ฟังจากสตรีคนอื่นๆ ต่าง กรรมต่างวาระ จึงได้แต่เตือนสติว่า “นั่นมันนิมิต ต่อให้มันเป็นจริง มันก็เป็น อดีตไปแล้ว ทุกคนเกิดมาล้วนแต่เคยเกี่ยวข้อง ผูกพันเป็นญาติพี่น้อง เป็นมิตร เป็นศัตรูคู่ อาฆาตกันมาแล้วทัง้ นัน้ หน้าทีข่ องผูป้ ฏิบตั กิ ค็ อื เห็นก็สักแต่ว่าเห็น เห็นแล้วก็ทิ้งไป อย่ายึดมา เป็นอัตตาตัวตน ก่อให้เกิดความผูกพันกันใหม่ แล้วสิ่งที่จะตามมาก็คือความทุกข์” “โยมก็เข้าใจนะคะ แต่มันตัดใจไม่ได้” “ไม่ต้องตัดหรอก แค่รู้ว่าใจเป็นอย่างไร เดี๋ยวมันก็วางไปเอง” วั น วารผั น ผ่ า น เจ้ า หล่ อ นก็ ยิ่ ง ยึ ด ถื อ ผูกพันมากผิดปกติ เดีย๋ วนำ�อาหารพิเศษมาถวาย
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
37
เดี๋ยวซื้อของมาถวายเป็นการเฉพาะ หนักเข้าก็ เทีย่ วหึงหวงกระทบกระทัง่ คนอืน่ ทีเ่ ข้าใกล้หลวงตา กลายเป็นองครักษ์พิทักษ์พระ นับเป็นแฟนคลับ ตัวแม่ พาให้ญาติโยมคนอื่นเห็นแล้วไม่งาม แม้เพือ่ นนักปฏิบตั ธิ รรมคนอืน่ ๆจะพยายาม เตือนสติ แต่เธอก็ไม่ใส่ใจ ด้วยอ้างว่า เธอไม่ได้ เป็นฉันไม่มีทางเข้าใจหรอก วันหนึ่งเมื่อหลวงตาได้โอกาส จึงได้เตือน สติว่า “อย่ามัวแต่หลงอดีต ติดอนาคตอย่างนั้น ทำ�ไมไม่ระลึกได้บ้างว่าเคยเกิดเป็นจิ้งจก ตุ๊กแก หรือเป็นเปรต เป็นอสูรกาย ลงนรกมาแล้วกีช่ าติ มั ว แต่ ติ ด ยึ ด อยู่ อ ย่ า งนี้ การปฏิ บั ติ ธ รรมจะ ก้าวหน้าได้อย่างไร” แม้จะตักเตือนหลายครั้ง ก็ยังทำ�หน้ามึน กระโหลกหนา ปัญญาถึกเหมือนเดิม
38
กู...ไม่ใช่อริยะ
อีกรายหนึง่ ประหลาดไปกว่านัน้ มาปฏิบตั ิ ธรรมในวั ด อยู่ ห ลายครั้ ง ท่ า ทางก็ ดู ป กติ ดี การปฏิบตั กิ ก็ า้ วหน้าเป็นทีน่ า่ พอใจ แต่หลังจาก หายไปเกือบปี โผล่มาอีกทีก็มีอาการแปลกๆ สอบประวัตแิ ล้วจึงรูว้ า่ มีอาการทางจิตเวชมาก่อน และขาดยามานานแล้ว “จะมาแต่งงานกับพระ” เธอเล่าให้เพื่อนนักปฏิบัติฟัง “พระรูปไหนล่ะ ท่าทางพระหนุม่ ในวัดก็ดู จะบวชกันนานนะ ไม่เห็นมีรูปไหนบอกจะสึก” เพื่อนถามอย่างงงๆ “จะแต่งกับหลวงตานั่นแหละ” เธออธิบายเพิม่ หน้าตาเปีย่ มรัก แต่สร้าง อาการช็อคเว็บ ให้เกิดขึน้ แก่ญาติโยมพอสมควร จึงต้องบอกให้ญาติโยมนำ�ส่งโรงพยาบาล จิตเวช หลวงตาอดนึกถึงวรรณกรรมในธรรมบท อันเกี่ยวเนื่องด้วยความรักไม่ได้
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
39
ในสมั ย พุ ท ธกาล มี ภิ ก ษุ ก ลุ่ ม หนึ่ ง ประมาณ 60 รู ป เรี ย นกรรมฐานจาก พระพุทธเจ้าแล้ว จึงเดินทางไปสูห่ มูบ่ า้ นมาติกคาม อันมีอบุ าสิกาท่านหนึง่ ชือ่ มาติกามารดา ซึง่ เป็น มารดาของผูใ้ หญ่บา้ นนัน้ คอยอุปถัมภ์บำ�รุงอยู่ พระสงฆ์เหล่านัน้ มีความพากเพียรในการ ปฏิบตั มิ าก จึงได้ประชุมตัง้ กฎกติกาในหมูส่ งฆ์วา่ จะงดการคลุกคลีพูดคุยกัน หากมีอะไรผิดปกติ ก็ให้ตีระฆังเป็นสัญญาณประชุมกัน มาติกาอุบาสิกา นำ�อาหารมาถวายพระ แต่หาพระไม่เจอ ได้ทราบจากภิกษุรูปหนึ่งว่า ท่านตั้งกติกากัน เพื่อความสะดวกในการเจริญ พระกรรมฐาน จึ ง ได้ อ้ อ นวอนให้ พ ระสอน กรรมฐานให้นางบ้าง ต่อมานางก็บรรลุเป็นพระอนาคามี พร้อม ทัง้ อภิญญาจิต บรรลุกอ่ นภิกษุทท่ี า่ นอุปถัมภ์อยู่ ด้วยซ้�ำ ไป แถมรูว้ าระจิตของภิกษุเหล่านัน้ นางรู้
40
กู...ไม่ใช่อริยะ
ว่าเหล่าภิกษุตอ้ งการอาหารสัปปายะ จึงได้น�ำ อาหาร ไปถวาย เมื่อท่านได้รับอาหารอันเป็นสัปปายะ ก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ ภิกษุรูปหนึ่งได้ทราบข่าวว่า ที่มาติกคาม มีอุบาสิกาผู้รู้วาระจิต ก็ต้องการที่จะไปเจริญ ภาวนาที่นั่นบ้าง พลางคิดที่จะลองของในใจว่า หากอุบาสิการู้วาระจิตจริง ก็ควรจะส่งคนไป ทำ�ความสะอาดกุฏไิ ว้รอ ควรนำ�อาหารทีป่ ราณีต มาถวาย ปรากฏว่าอุบาสิกามาติกาจัดเต็มตามที่ ภิกษุนั้นปรารถนา ท่านจึงชักไม่แน่ใจว่าควรจะ อยูป่ ฏิบตั ธิ รรมดีหรือไม่ เพราะคิดว่าธรรมดาจิต ของปุถชุ น ย่อมคิดดีบา้ งชัว่ บ้าง ถ้าคิดดีกแ็ ล้วไป แต่ถา้ คิดชัว่ ช้าลามก แล้วอุบาสิกานัน้ รูท้ นั คงน่า อั บ อายเป็ น อย่ า งยิ่ ง ท่ า นจึ ง เผ่ น กลั บ ไปเฝ้ า พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าปลอบใจว่า ดีแล้วจะได้ระวัง
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
41
ใจตนเอง แล้วส่งพระรูปนัน้ กลับไปยังมาติกคาม เหมือนเดิม วันหนึ่งเมื่อภิกษุนั้นเจริญภาวนา จิตเข้าสู่ อุปจารสมาธิ ระลึกชาติย้อนกลับไป 99 ชาติ จึงเห็นว่ามาติกอุบาสิกากับตนนัน้ เคยเป็นคูค่ รอง กันมา และนางก็ได้ท�ำ ร้ายตนถึงแก่ชวี ติ มา 99 ชาติ ขณะเดียวกันนั้นเองอุบาสิกาก็กำ�ลังเข้า สมาธิอยู่ จึงได้ส่งกระแสจิตเตือนภิกษุนั้นให้ ระลึกย้อนกลับไปอีก เมื่อภิกษุย้อนระลึกไปถึง ชาติที่ 100 จึงได้เห็นว่าอุบาสิกานั้นเคยสละ ชีวติ เพือ่ ตนเองมาก่อน จิตของท่านจึงเกิดความ ปีติเบิกบาน น้อมจิตเข้าสู่วิปัสสนาญาณ เข้าถึง ภาวะแห่งพระนิพพานในฉันพลันนั้นทันที อีกเรื่องหนึ่งที่เกี่ยวเนื่องกับการครองคู่ แต่กลายเป็นคู่เวร คู่กรรมก็คือ ภิกษุกลุม่ หนึง่ ได้โดยสารเรือสินค้าไปเพือ่ จะเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าที่นครสาวัตถี
42
กู...ไม่ใช่อริยะ
แต่แล้วจูๆ่ เรือก็ไม่ยอมขยับเขยือ้ น เมือ่ ลูก เรือชักใบขึ้น ลมก็พัดเป็นปกติ เหตุใดเรือจึงไม่ เคลื่อนไหว กัปตันเรือและลูกเรือพร้อมทั้งผู้โดยสาร หลายร้ อ ยคนก็ ป รึ ก ษาหารื อ กั น ในที่ สุ ด เมื่ อ สำ�รวจตรวจสอบจนทัว่ แล้ว ก็คดิ กันว่าน่าจะมีคน กาลกิณีอยู่บนเรือลำ�นี้ จึงได้ทำ�สลากเสี่ยงทาย แจกจ่ายให้จับทั่วทุกคน ปรากฏว่าสลากที่บ่งว่า กาลกิณีตกอยู่ในมือของภรรยาสาวแรกรุ่นของ กัปตันเรือ เพื่อความแน่ใจ จึงได้ทำ�สลากอีก 2 ครั้ง สลากก็ตกอยู่กับภรรยาของกัปตันเช่นเดิม ใน ที่สุดกัปตันจึงตัดสินใจว่า แม้จะรักสักปานใด แต่เพื่อเห็นประโยชน์ แก่สว่ นรวม จึงได้สงั่ ให้น�ำ นางโยนลงทะเลโดยที่ ตนจะไม่หันไปดู แต่ถ้าหากนางร้องอ้อนวอนก็ อาจจะทำ�ให้ตนใจอ่อน จึงสั่งให้นำ�เอาทรายใส่
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
43
กระออม(ภาชนะสำ�หรับใส่น้ำ�) แล้วมัดโยงไว้กับ คอนาง โยนนางลงทะเลไปพร้อมกับกระออมนัน้ นั่นคือการจับเธอถ่วงน้ำ�นั่นเอง กัปตันเรือสมกับเป็นผู้นำ� แม้ภรรยาจะ ร้องไห้ออ้ นวอนอย่างไร ก็ไม่กลับคำ� ในทีส่ ดุ นาง ก็ถูกโยนลงมหาสมุทรไป แล้วที่น่าประหลาดใจ ก็คือ เรือเคลื่อนที่ได้ทันที นางทำ�กรรมอะไรมา จึงได้หน่วงหนักถึงปานนั้น ภิกษุทโี่ ดยสารไปกับเรือนำ�ความนีม้ ากราบ ทูลถามพระพุทธเจ้า ณ พระเชตวันมหาวิหาร พระองค์จึงตรัสเล่าถึงอดีตกรรมของสตรีนาง นั้นว่า ในอดีตเธอเป็นภรรยาของคฤหบดีในเมือง พาราณสี เป็นแม่บา้ นแม่เรือนผูเ้ พียบพร้อม นาง มีสนุ ขั ตัวหนึง่ ทีจ่ งรักภักดีมาก ไม่วา่ จะอยูท่ บี่ า้ น หรือไปเก็บผักหักฟืนในป่า สุนัขตัวนี้ก็วิ่งตาม เฝ้ามองดูนางด้วยความรัก เพราะสุนขั นัน้ ในอดีต
44
กู...ไม่ใช่อริยะ
เกิดเป็นมนุษย์และเคยเกิดเป็นคูค่ รองกับนางมา ถึง 3 ชาติ จึงทำ�ให้มันจงรักภักดีอย่างยิ่ง บรรดาหนุ่มๆ ทั้งหลายเห็นนางไปที่ไหน ก็มีสุนัขตามไป จึงอดที่จะแซวไม่ได้ว่า เป็นนาง พรานสุนขั บ้าง เป็นเมียสุนขั บ้าง จนสร้างความ อับอายขวยเขินให้แก่นางเป็นอย่างยิ่ง เมือ่ ได้ยนิ คำ�พูดเสียดแทงใจของคนอืน่ อยู่ บ่อยครั้ง ความรังเกียจต่อสุนัขจึงเกิดขึ้นในใจ ของนาง สุนัขก็คือสุนัข แม้เจ้านายจะตี จะขว้าง จะด่าอย่างไร เพื่อไม่ให้มันวิ่งตาม แต่มันก็ยัง จงรักภักดี วิ่งตามนายหญิงอยู่ไม่ห่าง ในที่สุดอำ�นาจโทสะที่สั่งสมไว้ก็ทำ�ให้นาง สร้างกรรมหนัก นางคิดชัว่ วางแผนกำ�จัดสุนขั ที่ ทำ � ให้ น างอั บ อาย วั น หนึ่ ง นางนำ � เชื อ กและ กระออมเปล่าไปทีแ่ ม่น�้ำ แล้วเรียกสุนขั ผูซ้ อื่ สัตย์ นั้นให้ติดตามไป มันดีใจมาก เจ้านายทั้งขว้าง
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
45
ทัง้ ตีมาหลายวัน เหตุไฉนวันนีใ้ จดี เรียกให้ตดิ ตาม ไปเล่า มันกระดิกหางวิ่งตามเจ้านายไป เมือ่ ไปถึงแม่น�้ำ นางนำ�ทรายใส่ในกระออม จนเต็ม แล้วนำ�เชือกทีม่ ดั กระออมไปผูกไว้กบั คอ สุนัข โยนกระออมนั้นลงไปในน้ำ� กระออมที่มี น้ำ�หนักมาก ก็ลากเอาสุนัขนั้นให้จมลงไปที่ก้น แม่น�ำ้ นัน้ ทันที น่าสงสารสุนขั ...ตายเพราะอำ�นาจ ความรักโดยแท้ เพราะกรรมนั้น นางตกนรกอยู่ยาวนาน พ้นจากนรกแล้ว เพราะเศษกรรมนั้น ก็ถูกจับ ถ่วงน้ำ�อยู่นับ 100 ชาติ นี่ไม่ใช่เพราะความรัก ความผูกพันหรือ หลวงตารำ�พึงกับตนเองว่า “ความรักช่างก่อเวร ก่อกรรมได้อย่างน่า สยดสยองจริงๆ คงมีน้อยมาก ที่ความรักจะจบ ลงอย่างสุขนาฏกรรม เหมือนดังภิกษุหนุ่มกับ
46
กู...ไม่ใช่อริยะ
มาติกาอุบาสิกา เพราะส่วนมากมักจะจบลงด้วย โศกนาฏกรรมดุจดังหญิงสาวกับสุนัขผู้ซื่อสัตย์ นับว่าเป็นคู่อวิชชากันโดยแท้” หลวงตานึ ก ถึ ง เนื้ อ ความในยโสธราเถริยาปทานอันเป็นคำ�กล่าวของพระภัททากัจจานาเถรี ซึ่งอดีตก็คือพระนางพิมพาหรือยโสธรา เป็นพระนามของชายาเจ้าชายสิทธัตถะ ซึ่งต่อ มาได้เสด็จออกบรรพชา และได้ตรัสรู้เป็นพระ สัมมาสัมพุทธเจ้า พระนางพิมพานั้นได้เริ่มต้นติดตามเป็น คู่รักคู่บารมีพระโพธิสัตว์ มาตั้งแต่เบื้องต้น 4 อสงไขยกับแสนกัป ได้ร่วมสุข ร่วมทุกข์ ได้ร่วม สร้างบุญบารมีมากับพระโพธิสัตว์ยาวนานกว่า สตรีอื่น จนถึงพระชาติสุดท้าย แม้พระสวามีจะ เสด็จออกมหาภิเนษกรม พระนางก็ยงั คงเฝ้ารอ พระสวามี ข องพระนางเพี ย งพระองค์ เ ดี ย ว
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
47
จนกล่าวได้ว่า... “คราใดที่พระนางได้ยินข่าวว่า เจ้าชาย สิทธัตถะนุง่ ห่มผ้าย้อมน้�ำ ฝาด พระนางก็เปลีย่ น ชุดทรงมานุ่งห่มผ้าย้อมน้ำ�ฝาดด้วย เจ้ า ชายสิ ท ธั ต ถะทรงบรรทมบนพื้ น ไม้ พระนางก็บรรทมบนพื้นไม้ด้วย เจ้าชายสิทธัตถะทรงอดพระกระยาหาร พระนางก็ทรงอดพระกระยาหารด้วย ไม่ ว่ า จะได้ ข่ า วว่ า พระสวามี ป ฏิ บั ติ ต น อย่างไร พระนางพิมพาก็ปฏิบัติตนเยี่ยงนั้น” จนได้ ต ามเสด็ จ รั บ ครุ ก รรมเป็ น ภิ ก ษุ ณี พร้อมกับหญิงอีก 1,100 คน เมื่อพระชนมายุ 40 พรรษา หลังจากขอกรรมฐานจากพระพุทธเจ้า เพียง 15 วัน ก็สำ�เร็จอรหัตตผล พร้อมด้วย อภิญญาจิต สามารถระลึกชาติได้ถงึ หนึง่ อสงไขย แสนกัป ด้วยการระลึกเพียงคราวเดียว ความเสียสละและความทุกข์ยากทั้งปวง
48
กู...ไม่ใช่อริยะ
ของพระนางพิมพา ได้เปิดเผยออกมาจากวาจา ของพระนางเอง เมื่อพระนางได้กราบทูลลา พระพุทธเจ้าในวันสุดท้ายเพื่อนิพพาน ว่า “...ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า เมื่อหม่อมฉัน ท่องเที่ยวไปในวัฏสงสาร หากมีความพลั้ง พลาดใดในพระองค์ ขอพระองค์ทรงโปรด ประทานโทษแก่หม่อมฉันด้วยเถิด การกระทำ�อันยิ่งยวดเป็นอันมากของ หม่อมฉันย่อมเป็นไปเพือ่ ประโยชน์แก่พระองค์ ขอพระองค์พงึ ทรงระลึกถึงกุศลกรรมเก่าของ หม่อมฉันเถิด หม่อมฉันสั่งสมบุญไว้เพื่อประโยชน์แก่ พระองค์ หม่อมฉันงดเว้นการเที่ยวไปในสถานที่ ไม่ควร แม้ชีวิตก็ยอมสละเพื่อประโยชน์แก่ พระองค์ได้ พระองค์ประทานหม่อมฉันเพื่อให้เป็น
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
49
ภรรยาผูอ้ นื่ หลายพันโกฏิกปั เพือ่ ประโยชน์แก่ พระองค์ หม่อมฉันมิได้เสียใจในเรื่องนั้นเลย พระองค์ประทานหม่อมฉันเพือ่ อุปการะ หลายพันโกฏิกัป เพื่อประโยชน์แก่พระองค์ หม่อมฉันมิได้เสียใจในเรื่องนั้นเลย พระองค์ประทานหม่อมฉันเพือ่ ประโยชน์ เป็นอาหารหลายพันโกฏิกัป หม่อมฉันมิได้ เสียใจในเรื่องนั้นเลย หม่อมฉันบริจาคชีวิตหลายพันโกฏิกัป เพือ่ ให้ปวงชนพ้นภัย ก็ยอมสละชีวติ ของหม่อม ฉันให้ หม่อมฉันไม่เคยหวงเครือ่ งประดับและผ้า นานาชนิดซึง่ อยูท่ ตี่ วั เพือ่ ประโยชน์แก่พระองค์ ทรัพย์ ข้าวเปลือก ปัจจัย เครือ่ งบริจาค บ้าน นิคม ไร่นา บุตร ธิดา ช้าง ม้า โค ทาสี ทาสา มากมายนับไม่ถ้วน พระองค์ทรงบริจาคแล้ว เพือ่ ประโยชน์แก่พระองค์ พระองค์ทรงตรัสบอก
50
กู...ไม่ใช่อริยะ
หม่อมฉันว่า เราย่อมให้ทานแก่พวกยาจก เมือ่ เราให้ทานอันอุดม เราย่อมไม่เห็นเธอเสียใจ หม่อมฉันยอมรับทุกข์มากมายจนนับ ไม่ถ้วนเพื่อประโยชน์แก่พระองค์ ข้าแต่พระ มหามุนหี ม่อมฉันได้รบั สุขย่อมอนุโมทนา และ ในคราวทีไ่ ด้รบั ทุกข์กไ็ ม่เสียใจ เป็นผูย้ นิ ดีแล้ว ในที่ทุกแห่งเพื่อประโยชน์แก่พระองค์ หม่อมฉันมีอายุ 78 ปี ล่วงเข้าปัจฉิมวัย ถึงความเป็นผู้มีกายแก่หง่อมแล้ว มีวัยแก่ มี ชีวติ น้อย จักลาพระองค์ไป ได้ท�ำ ทีพ่ งึ่ ของตน แล้ว มีมรณะใกล้เข้ามาในวัยสุดท้ายแล้ว ข้าแต่พระมหาวีรเจ้า หม่อมฉันจักถึง ความดับในคืนวันนี้ มิได้มีชาติ ชรา พยาธิ และมรณะ จักไปสูน่ พิ พานทีไ่ ม่มปี จั จัยปรุงแต่ง เป็นอมตบุรีอันหาภัยมิได้...”
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
51
พระนางพิมพาจึงนับว่าเป็นคู่รักยิ่งกว่า คูร่ กั เป็นคูค่ รองยิง่ กว่าคูค่ รอง เป็นเนือ้ คูย่ งิ่ กว่า เนื้อคู่ และเป็นนางแก้วแห่งพระโพธิสัตว์ ที่ สมควรยกย่องบูชา ถึงจะทุกข์ยากลำ�บากแค่ไหน แต่เพราะต้องบำ�เพ็ญบารมีคู่กัน พระนางก็ทำ� ด้วยความเสียสละและสุขใจอย่างยิ่ง นับเป็นคู่ บารมีโดยแท้
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
53
‘ สัจนิยม ’ เวลา 16.00 น. รถเก๋งสีดำ�วิ่งเข้ามาในวัด แล้วจอดใต้ ต้นมะขามใหญ่หน้าโบสถ์ หนุม่ ใหญ่แต่งตัวเนีย้ บ ตัง้ แต่หวั จรดเท้าสอดส่ายสายตา เมือ่ เห็นหลวงตา กำ�ลังกวาดใบไม้อยู่ไม่ไกลนัก จึงเดินไปหา แล้ว ยกมือไหว้แบบแกนๆ พลางบอกจุดประสงค์ “หลวงตา ผมมาหาท่านเจ้าอาวาส ท่าน อยู่กุฏิไหนหรือครับ” “เจริญพร ท่านเจ้าอาวาสไม่รบั แขกบนกุฏิ โยมไปรอที่ศาลาโน่นก็แล้วกัน เดี๋ยวท่านจะไป พบโยมที่นั่น”
54
กู...ไม่ใช่อริยะ
ชายหนุ่มหันไปดูศาลาด้านทิศตะวันออก ของวัดตามที่หลวงตาชี้บอก แล้วเดินตรงไป ผ่านไปราว 10 นาที หลวงตาวางไม้กวาด ดึงผ้าอาบน้ำ�ฝนที่เคียนเอวไว้มาเช็ดหน้า เดิน ขึ้นมาบนศาลา แล้วกล่าวทักทายชายหนุ่ม “ขอโทษทีนะคุณ ช้าไปหน่อย” ชายหนุ่มอึกอักแสดงสีหน้าไม่พอใจ “ไหนละครับเจ้าอาวาส ผมมาพบเจ้าอาวาส เรียนหลวงตาไปแล้ว หลวงตาลืมหรือครับ” “ไม่ลืมหรอก อาตมานี่แหละเจ้าอาวาส” ชายหนุ่มแสดงอาการเคอะเขิน “แหม…เอ้อ หลวงพ่อ..หลวงตา ผมจะใช้ สรรพนามยังไงดี ผมไม่คอ่ ยได้เข้าวัดครับ จุดไต้ ตำ�ตอแท้ๆ” หลวงตาโบกมือ ยิ้มแย้มแจ่มใส “ไม่เป็นไรหรอก โยมจะเรียกยังไงก็ได้ ว่าแต่โยมมีธุระอะไร”
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
55
“คือ..ผมมาถวายสังฆทานครับ” เขามองไปที่ห่อสังฆทานข้างตัว “เอาละ ก่ อ นถวายขอถามหน่ อ ยว่ า คุณถวายเนื่องในโอกาสอะไร” หลวงตาเริม่ เรือ่ งสนทนา เพือ่ สร้างความ คุ้นเคย “ก็ถวายให้เจ้ากรรมนายเวรครับ” เขาพูดเหมือนกับที่หลายคนชอบพูด “เจ้ากรรมนายเวรของคุณคือใคร” หลวงตาซักต่อ เขาอึดอัด ไม่รู้จะตอบ อย่างไรดี “คือ…ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ” เขาสารภาพ “อาตมาว่าเจ้ากรรมนายเวรของคุณก็คือ โมหะ” หลวงตาพูดอย่างมีอารมณ์ขัน “โมหะหมายถึงอะไรครับหลวงตา”
56
กู...ไม่ใช่อริยะ
ชายหนุ่มชักเริ่มสนุก “โง่” หลวงตาตอบหน้าตาย ชายหนุม่ ผงะ คงสงสัยว่า หลวงตาอารมณ์ เสียหรือไง ถามแค่นี้ก็โดนด่าแล้ว หลวงตาเห็นอาการอย่างนัน้ จึงรีบอธิบาย “อาตมาไม่ได้ด่าโยม โมหะมันแปลว่าไม่รู้ แปลว่าหลง ก็คือโง่นั่นเอง” “แหม หลวงตาล้อเล่นก็ไม่บอก อย่างคน ที่เรียนจบสูงๆ ก็ไม่มีโมหะซิครับ” เขารู้สึกเป็นกันเองมากขึ้น จึงถามต่อ “มันไม่ได้โง่อย่างนั้น ส่วนมากมันหนักไป ทางฉลาดมากเกินไป ฉลาดจนโง่” หลวงตาพูดหน้ายิ้มๆ “ยังไงหรือครับ” เขาทำ�หน้าสงสัย “มันฉลาดเพราะความอยากได้ อยากใหญ่
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
57
ใจแคบ จนยึดเอาความคิดเห็นของตนเองเป็นใหญ่ ไม่ยอมรับฟังคนอื่นเขา จนแบ่งแยกเป็นเขา เป็นเรา เป็นพวกกู พวกมึง แล้วก็กอ่ ให้เกิดความ ทะเลาะเบาะแว้งกัน มันเป็นอย่างนี้ทั้งนั้น” “ถ้าอย่างนั้นเห็นทีจะโง่กันทั้งโลกสิครับ เพราะมันเป็นอย่างหลวงตาว่าจริงๆ” เขาแสดงความคิดเห็นอย่างไม่แน่ใจ “คุณรู้ไหม โมหะที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ หมายถึงไม่รู้เรื่องอะไร” “ไม่ทราบครับ” “ไม่รวู้ า่ อะไรคือทุกข์ อะไรคือเหตุแห่งทุกข์ ไม่รู้จักความดับทุกข์ และวิธีที่จะดับทุกข์” หลวงตาอธิบายหลักวิชาการ “ฟังดูเหมือนพุทธศาสนาจะหนักไปทาง ทุกขนิยมนะครับ” เขาทักท้วง “คุณเคยได้ยินเรื่องนี้ไหม”
58
กู...ไม่ใช่อริยะ
หลวงตาเกริน่ นำ� แล้วหยิบกระดาษ A4 และ ดินสอที่วางอยู่บนอาสน์สงฆ์ ขีดเขียนอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงยกกระดาษให้ชายหนุ่มดู พลางถามว่า “คุณเห็นอะไรในกระดาษนี้” เขางง ไม่รู้หลวงตาจะมาไม้ไหน “เห็นจุดสีดำ�เล็กๆ ครับ” “เห็นอะไรอย่างอื่นอีกไหม” หลวงตาถามต่อ เขาสอดส่ายสายตามองจนทั่วกระดาษ แล้วส่ายหน้า “ไม่มีแล้วครับ” หลวงตาถามกลั้วหัวเราะ “กระดาษสีขาวทั้งแผ่นคุณไม่เห็นหรือ” เขาทำ�หน้าครุน่ คิดครูห่ นึง่ แล้วจึงหัวเราะ ออกมา “นั่นสินะ ผมนี่โง่จริงๆ” “คุณจำ�ไว้นะ พุทธศาสนาไม่ได้เห็นแต่จุด
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
59
ดำ�อย่างเดียว แต่เห็นสีขาวนั้นด้วย” หลวงตาอธิบายเพิ่มเติม “พูดง่ายๆ ก็คือทุกสิ่งในโลกนี้ มีทั้งคุณ และโทษ แต่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้รู้ถึงทาง ออกจากโทษนั้นด้วย” หลวงตาพูดยิ้มๆ “กระดาษขาว หมายถึง ความสุข จุดสี ดำ�หมายถึงความทุกข์ แต่ถ้าเห็นจุดดำ�อยู่บน กระดาษสีขาว นัน่ แปลว่า มองโลกและชีวติ ตาม ความเป็นจริง ความเป็นจริงที่ว่าก็คือ โลกนี้มี ทัง้ ดีและชัว่ สุขและทุกข์ บวกและลบ พระพุทธเจ้า จึงสอนให้เห็นทุกข์ รู้เท่าทันทุกข์ แล้วจิตจึงจะ พบกับความสุขเอง นี่แหละทางออกจากทุกข์ ของพระพุทธเจ้า” “ขออีกรอบหนึ่งครับหลวงตา ผมตาม ไม่ทัน” เขาทักท้วง
60
กู...ไม่ใช่อริยะ
“ก็คุณพูดถึงทุกขนิยมไม่ใช่หรือ” หลวงตาทบทวนคำ�ถาม “ครับ ?” เขายังงงอยู่ “ถ้าเห็นโลกเป็นสีขาวอย่างเดียว เรียกว่า สุขนิยม แต่กก็ ลายเป็นว่ามองโลกสวยเกินไป แต่ ถ้าเห็นโลกเป็นจุดดำ�อย่างเดียว ก็คือทุกขนิยม เพราะมองโลกในแง่ร้ายเกินไป ในโลกนี้ไม่มี อะไรเป็นบวกหรือลบล้วนๆ อย่างนัน้ หรอก การ มองเห็นจุดดำ�กลางกระดาษขาว จึงเป็นสัจนิยม คือมองโลกตามความเป็นจริง หรือตามที่โลก มันเป็น” “แล้วมันเกี่ยวกับอวิชชาตรงไหนครับ” เขาย้อนแย้ง “เอ้ า ก็ ค นทั่ ว ไปพยายามจะหลี ก หนี ความจริง เช่น รักสุขเกลียดทุกข์ ชอบดีหนีร้าย ไม่ยอมรับว่าสุขกับทุกข์น่ะมันของคู่กัน ดีกับชั่ว
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
61
มันก็คู่กันอยู่อย่างนั้น” “แล้วมันจะผิดแปลกตรงไหนละครับ” เขาไม่ยอมรับ “มันแปลกทีไ่ ม่ยอมรับความจริงไงล่ะ เมือ่ ไม่ยอมรับว่ามันทุกข์ หรือวิง่ หนีความทุกข์ มันก็ ‘ไม่รู้’ จักทุกข์จริงๆ เมื่อไม่รู้ก็เลยไม่เข้าใจทุกข์ เมื่ อ ไม่ เ ข้ า ใจทุ ก ข์ แล้ ว จะไปละทุ ก ข์ ไ ด้ ยั ง ไง มันเหมือนปวดหัวผิดปกติ ก็เอาแต่กนิ ยาแก้ปวด กลบเกลื่ อ นไปวั น ๆ ไม่ ย อมไปหาหมอให้ เ ขา วินจิ ฉัยโรค จากเบาเลยกลายเป็นหนัก เสียน้อย เสียยาก เสียมากเสียง่ายไปนะสิ” หลวงตาร่ายยาว “แล้วอย่างนี้จะเรียกว่าโง่หรือฉลาดดีล่ะ” หลวงตาถามย้ำ� “ครับเข้าใจแล้วครับ” เขายอมรับเหตุผล “แล้ ว โมหะเป็ น เจ้ า กรรมนายเวรยั ง ไง เหรอครับ”
62
กู...ไม่ใช่อริยะ
เขาถามต่อด้วยความสนใจ “เพราะไม่รู้ จึงทำ� พูด คิด ด้วยความโง่ ยิง่ ทำ� ยิง่ พูดก็ยงิ่ ผิด ยิง่ คิดก็ยงิ่ แย่กว่าเดิม สร้าง เวรสร้างกรรมให้แก่ตนเองไม่รู้จบ แล้วอย่างนี้ จะเรียกว่าเจ้ากรรมนายเวรได้ไหม” ชายหนุ่มฟังด้วยความทึ่ง “แหมผมคิดถูกทีแ่ วะเข้ามาถวายสังฆทาน ที่วัดนี้ ผมเพิ่งเข้าใจชัดเจนก็วันนี้เอง” “อาตมาจะเล่าเรื่องในพระไตรปิฎก เรื่อง มาในหัตถกสูตร ให้คุณฟัง หัตถกราชกุมารชาวเมืองอาฬวี ได้เห็น พระพุทธเจ้าประทับบนทีป่ ดู ว้ ยใบไม้ในฤดูหนาว อันเยือกเย็น ซ้ำ�มีหิมะตกในระยะเวลาแปดวัน มีพื้นดินแตกระแหง ลมหนาวก็โหมพัด ผ้าไตร จีวรของพระพุทธองค์ก็บาง จึงกราบทูลถามว่า พระองค์ทรงเป็นสุขดีหรือ?
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
63
มีพุทธดำ�รัสตอบว่า “ดูกอ่ นกุมาร เราอยูเ่ ป็นสุขดี เราเป็นคน หนึ่งในบรรดาคนที่อยู่อย่างมีความสุขในโลก เราขอย้อนถามท่านในข้อนี้ ท่านจะเข้าใจความ ในเรื่องนี้อย่างไร คฤหบดี หรือบุตรคฤหบดีในโลกนี้ มีเรือน ยอดอันงดงาม ลมพัดเข้าไม่ได้ มีบานประตูมดิ ชิด ในเรือนนั้นมีบัลลังก์ ซึ่งปูด้วยผ้าลาดมีขนยาว ข้างบนมีเพดาน มีหมอนสีแดงวางไว้ทงั้ สองข้าง มีประทีปน้�ำ มันจุดไว้สว่างไสว ภรรยาสีค่ นบำ�รุง บำ�เรอด้วยสิง่ ทีน่ า่ พอใจ คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีนน้ั อยูเ่ ป็นสุขหรือไม่” หัตถกราชกุมารทูลตอบว่า “เขาย่อมอยู่เป็นสุข และเขาเป็นหนึ่งใน จำ�นวนคนที่อยู่เป็นสุขในโลก” พุทธดำ�รัสตรัสถามต่อว่า “ดู ก่ อ นกุ ม าร คฤหบดี ห รื อ บุ ต รแห่ ง คฤหบดีพึงเกิดความเดือดร้อนทางกายหรือ
64
กู...ไม่ใช่อริยะ
ทางจิต ซึง่ เกิดจาก ราคะ โทสะ โมหะ อันเป็น เหตุให้ผู้ที่ถูกมันเผาอยู่เป็นทุกข์ มิใช่หรือ?” หัตถกราชกุมารทูลยอมรับ “ดูกอ่ นกุมาร คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีนน้ั ถูกความเร่าร้อนอันเกิดแต่ราคะ โทสะ โมหะใด เผาลนอยูจ่ งึ อยูเ่ ป็นทุกข์ ราคะ โทสะ โมหะนัน้ เราละได้แล้วอย่างเด็ดขาด ถอนรากขึ้นแล้ว ทำ�ให้เหมือนตาลยอดด้วน เพราะฉะนัน้ เราจึง อยู่เป็นสุข” แล้วหลวงตาก็อธิบายเพิ่มเติม “เห็นไหมว่า พระพุทธเจ้าอาจจะทุกข์พระ วรกาย แต่ไม่ทรงทุกข์พระทัย เพราะพระองค์ ละโมหะอันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์เหล่านั้นได้แล้ว เมื่อไม่มีโมหะ โลภะและโทสะจึงเกิดไม่ได้” เขาพยักหน้าเข้าใจ และถามด้วยใบหน้าอัน สงสัยใคร่รู้
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
65
“ผมขอถามหลวงตาหน่ อ ยได้ ไ หมครั บ แต่อย่าโกรธผมนะครับ” “คุณจะถามอะไร” หลวงตาเป็นฝ่ายสงสัยเสียเอง “หลวงตายังทุกข์อยู่หรือเปล่าครับ” เขาถามหน้าตาย “ทุกข์แต่ไม่เป็น” หลวงตาตอบสบายๆ “หมายความว่ายังไงครับ ผมไม่เข้าใจ” “ก็เห็นแต่ว่ากายใจนี้มันทุกข์ แต่ไม่ยอม เป็นทุกข์ไปกับมันเท่านั้นเอง”
67
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
‘
สมอง& จิต
’
วันหนึ่งมีอาจารย์มหาวิทยาลัยหนุ่ม ซึ่ง เคยอุปสมบทอยู่จำ�พรรษากับหลวงตา แวะมา เยี่ยมเยือนที่กุฏิบนเนินเขา หลังจากทักทายกัน พอสมควรแล้ว หลวงตาจึงถามว่า “วิชาที่เอ็งสอนมันเกี่ยวกับอะไรวะ” “อ๋อ เกี่ยวกับชีววิทยาครับหลวงตา” เขาตอบ “มันเป็นความรู้เกี่ยวกับชีวิตยังงั้นหรือ” หลวงตาหาเรื่องสนทนาต่อ “ครับ จะบอกว่าเกี่ยวกับชีวิตทั้งหมดก็คง ไม่ใช่ เพราะเกี่ยวกับเรื่องกายภาพโดยส่วนมาก ส่วนเรื่องของจิตนี่นักชีววิทยาเขาเห็นว่าจิตคือ สมอง...สมองก็คือจิตครับ”
68
กู...ไม่ใช่อริยะ
“ไหนเอ็งลองยกตัวอย่างให้ขา้ ฟังหน่อยซิ” หลวงตาไม่เข้าใจ “หลวงตาลองนึกภาพเซลล์สมองแสนล้าน เซลล์ ส่งสัญญาณเชือ่ มต่อกันโดยเฉลีย่ 5-50 ครัง้ ต่ อ วิ น าที สั ญ ญาณประสาทเดิ น ทางได้ 432 กิโลเมตรต่อชัว่ โมง ความเร็วระดับนีท้ �ำ ให้คนเห็น และบรรยายวัตถุไปพร้อมกันได้ เช่น หลวงตามอง เห็นแมว ทำ�ให้นึกถึงโดราเอมอน ซึ่งก็คือการ์ตูน โปรดของหลวงตาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กๆ” หนุ่มนักชีววิทยาอธิบายได้น่าสนใจ “ฮือ่ ข้าไม่เคยได้ยนิ แต่ฟงั แล้วดูจะอธิบาย เกี่ ย วกั บ เรื่ อ งของอายตนะในพุ ท ธศาสนาได้ ชัดเจนขึน้ เคยได้ยนิ ว่าเขามีงานวิจยั เกีย่ วกับสมอง อยู่มิใช่หรือ” ในฐานะครูเก่า หลวงตาจึงสนใจเรื่องนี้ “ครับ เขาเรียกว่า วิชาทีศ่ กึ ษาเรือ่ งระบบ
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
69
ประสาทต่ออารมณ์ความรูส้ กึ มีนกั วิจยั ทางด้าน ระบบประสาทเกี่ยวกับอารมณ์คนหนึ่งที่มีผล งานน่าสนใจ คือ ศาสตราจารย์รชิ าร์ด เดวิดสัน ศาสตราจารย์ท่านนี้สนใจและศึกษาวิจัย เกีย่ วกับอารมณ์ตอ่ ระบบประสาท และวิธกี ารฝึก สมาธิและการเจริญสติต่อการเปลี่ยนแปลงของ สมอง แต่เดิมนักวิทยาศาสตร์เชือ่ ว่า เซลล์สมองที่ มีมาแต่เกิดจะค่อยๆ โตขึน้ จนเต็มทีใ่ นวัยหนุม่ สาว และกลางคน เมื่อเข้าสู่วัยชราก็จะเริ่มเสื่อมลง และตายลงในทีส่ ดุ เซลล์สมองมีจ�ำ นวนเท่าไหร่กม็ ี เท่านัน้ ไม่มกี ารแบ่งตัวเพิม่ ขึน้ หรือเปลีย่ นแปลง เลย” เขาหยุดเล็กน้อย เพื่อให้หลวงตาคิดตาม “แต่ต่อมา ดร.เดวิดสัน ได้ทำ�การศึกษาใน พระทิเบตรูปหนึง่ ชือ่ พระ ดร.แมทธิว ริคาร์ด ซึง่ ฝึกสมาธิมาเป็นเวลา 20-30 ปี เมื่อตรวจด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ fMRI
70
กู...ไม่ใช่อริยะ
ก็พบว่าคนที่ฝึกสมาธิเป็นเวลานานๆ สมองมี ส่วนเปลือกนอกสีเทาๆ ที่เรียกว่า Gray Matter ซึ่งเป็นส่วนที่อยู่ของเซลล์ประสาทจะหนาตัวขึ้น นัน่ หมายถึงมีเซลล์สมองเพิม่ ขึน้ และบริเวณส่วน หน้า แถวหน้าผากด้านซ้าย จะมีการทำ�งานของ คลื่นสมองดีขึ้น มีลักษณะของคลื่นสมองช้าลง และสม่�ำ เสมอมากขึน้ ทีเ่ รียกว่าคลืน่ แกรมม่า ซึง่ พบในคนที่จิตเป็นสมาธิลึกๆ” อาจารย์หนุ่ม พยายามอธิบาย “แสดงว่าสมองหนาขึ้น แต่ปัญญาอาจจะ บางลงก็ได้” หลวงตาอดแหย่เล่นไม่ได้ “ถ้าปัญญาเกิดที่จิต ก็คงไม่เกี่ยวว่าสมอง จะหนาหรือบางมั้งครับ” เขาเริ่ ม สนุ ก กั บ ข้ อ โต้ แ ย้ ง ของหลวงตา แล้วอธิบายต่อ “หลวงตาอย่าเพิ่งขัดคอซิครับ ต่อมา เขา
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
71
ได้ทดลองในอาสาสมัครทีฝ่ กึ สมาธิทกุ วัน วันละ 30 นาที เช้าและเย็น เป็นเวลา 3 เดือน แล้ว ตรวจดูดว้ ยเครือ่ งคอมพิวเตอร์ fMRI ก็พบว่ามีการ เปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน แสดงว่า สมองคนเรามี ความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง และการทำ � งาน ซึ่ ง เขาเรี ย กปรากฏการณ์นี้ ว่ า Neuroplasticity หรือ ความยืดหยุ่นของสมอง ซึง่ เป็นเรือ่ งทีค่ น้ พบใหม่ และได้ท�ำ ลายความเชือ่ เก่าที่ว่าสมองเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เขาได้ทดลองทัง้ แบบสมถและวิปัสสนากรรมฐานก็พบว่า ได้ผล เช่นเดียวกัน สมองของคนเราสามารถพัฒนาได้ ตลอดเวลาโดยการเจริญสติ ทำ�ให้สมองสร้าง เซลล์สมองใหม่ๆ มากขึน้ การทำ�งานดีขนึ้ คลืน่ สมองสม่ำ�เสมอ ช้าลง ซึ่งเป็นลักษณะของคนที่ มีความสุข สุขภาพจิตดี นอกจากนั้ น เขายั ง ได้ ศึ ก ษากรณี ข อง อารมณ์เครียด อารมณ์โกรธ และอารมณ์เศร้า
72
กู...ไม่ใช่อริยะ
ซึ่งมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงในสมองในทิศทาง ตรงข้าม คือมันทำ�ให้เซลล์สมองเสื่อม ความจำ� เสื่อมลง และเซลล์อายุสั้นลงครับ” เขาอธิบายให้หลวงตาฟังอย่างกระตือรือล้น “เอ ข้าก็ฝึกสมาธิมานานนะ แต่พออายุ มากเข้า ทำ�ไมชักจะหลงๆ ลืมๆ ล่ะ” “ก็ต้องเสื่อมบ้างสิครับหลวงตา แต่คงจะ เสื่อมช้ากว่าคนทั่วไปละมั้ง” เขาพูดยิ้มๆ แล้วอธิบายต่อ “แล้วสมองเนีย่ มันไปพ่วงกับระบบทัง้ หมด ในร่างกาย เช่น ระบบควบคุมอุณหภูมริ า่ งกายอยูท่ ่ี สมองส่วนไฮโปทาลามัส” เขาชี้ไปที่สมองส่วนหน้า แล้วพร่ำ�ต่อ “การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิภายนอกเพียง แค่องศาเดียวก็กระตุ้นให้ร่างกายปรับอุณหภูมิ จนพอเหมาะพอดี ถ้าร่างกายมีอณ ุ หภูมสิ งู เกินไป หลอดเลื อ ดที่ ผิ ว หนั ง จะขยายตั ว เพื่ อ ระบาย
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
73
ความร้อน หากอุณหภูมลิ ดลง หลอดเลือดจะหดตัว และต่อมเหงือ่ จะปิด หากอุณหภูมริ า่ งกายต�่ำ กว่า 36 องศาเซลเซียส กล้ามเนื้อทั่วร่างกายจะสั่น เพื่อผลิตความร้อนขึ้นมาทดแทน” “อือ น่าสนุกดีนะ” หลวงตาสนใจ “ผมว่าสิ่งที่น่าจะนำ�มาอธิบายเรื่องของ อายตนะได้ชัดเจนก็คือ กล้ามเนื้อตาซึ่งควบคุม การมองเห็น เรากะพริบตานาทีละ 15 ครัง้ หรือ หนึ่งหมื่นห้าพันครั้งขณะที่ยังตื่น เรากะพริบตา โดยอัตโนมัติ เพื่อป้องกันดวงตาและกำ�จัดสิ่ง สกปรก ยิ่งกว่านั้นสมองยังไม่ยอมปล่อยให้การ มองเห็นของเราขาดตอน ขณะกะพริบตาจึงมี การเติมเต็มข้อมูลที่หายไป เราจึงไม่ทันรู้สึกว่า ดวงตาปิด” เขาอธิบายต่ออย่างเมามัน “หมายความว่าอย่างไร มันเกีย่ วกับอายตนะ
74
กู...ไม่ใช่อริยะ
ตรงไหน” หลวงตาเริ่มงง “อ้าว...หลวงตา มันก็แปลว่าสิ่งที่เรามอง เห็นนั้น คือสีที่มากระทบกับตาเพียงแวบเดียว แล้วก็ดับไป แต่ความที่สมองมันแปรผลได้เร็ว มาก เราจึงรับรูไ้ ด้วา่ เรากำ�ลังเห็นอะไร พูดง่ายๆ ก็คือ ทุกคนเห็นสิ่งที่กำ�ลังอยากเห็นไงครับ” หลวงตางงหนักไปกว่าเดิม “มั น แปลว่ า สิ่ ง ที่ เ รามองเห็ น เป็ น เพี ย ง มายาอย่างหนึ่งนะหรือ” “ถูกแล้วครับ ไม่ใช่เพียงแค่ทางตาอย่าง เดียวนะครับ ทางอายตนะทีเ่ หลือ คือ หู จมูก ลิน้ กาย ใจ ก็เหมือนกัน” “เออ...ข้าเข้าใจแล้ว นึกถึงในพระสูตรที่ กล่าวว่า ที่คนเรามองเห็นได้นั้น เพราะมีเหตุ 3 อย่ า งคื อ 1.มี จั ก ขุ ป ระสาท 2.มี สี ต่ า งๆ หรื อ รูปารมณ์มากระทบ 3. มีจักขุวิญญาณ คือจิต
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
75
เข้าไปรับรู้สีนั้นๆ” หลวงตาอ้างหลักวิชาการ “ครับ ทางจิตวิทยา ก็บอกว่าการรับรู้จะ เกิดขึ้นได้ ต้องเป็นไปตามขั้นตอนของกระบวน การ 3 อย่างนี้ คือ ขัน้ ที่ 1 สิง่ เร้า (Stimulus) มากระทบอวัยวะ สัมผัสของอินทรีย์ ในทีน่ เี้ รากำ�ลังคุยเรือ่ งของตา อินทรีย์ ก็คือจักขุนทรีย์ ขั้ น ที่ 2 กระแสประสาทสั ม ผั ส วิ่ ง ไปยั ง ระบบประสาทส่วนกลาง ซึง่ มีศนู ย์อยูท่ สี่ มองเพือ่ สั่งการ ตรงนี้เกิดการรับรู้ (Perception) ขั้นที่ 3 สมองแปลความหมายออกมาเป็น ความรู้ ความเข้ า ใจ โดยอาศั ย ความรู้ เ ดิ ม ประสบการณ์เดิม ความจำ� เจตคติ ความต้องการ บรรทัดฐาน บุคลิกภาพ เชาวน์ปัญญา ทำ�ให้เกิด การตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่ง” เขาอธิบายอย่างผู้ทรงภูมิรู้จริงๆ
76
กู...ไม่ใช่อริยะ
“แสดงว่ า การรั บ รู้ ใ นสิ่ ง เดี ย วกั น ของ แต่ละคนก็ไม่เหมือนกันสิวะ” “ก็แหงละครับหลวงตา อย่างเช่นคน 5 คน มองน้�ำ แก้วเดียวกัน ถ้าคนแรกเป็นนักวิทยาศาสตร์ ก็อาจนึกถึง H2O หากคนที่ 2 เป็นนักพุทธปรัชญา ก็อาจมองน้�ำ ว่าเหมือนห้วงแห่งตัณหา ส่วนถ้าคน ที่ 3 เป็นนักศิลปะ ก็อาจเห็นสวรรค์ชนั้ ดุสติ อยูใ่ น น้�ำ นัน้ หรือถ้าคนที่ 4 เป็นนักเศรษฐศาสตร์ ก็อาจ มองเห็นมูลค่าของน้ำ�นั้น และถ้าคนที่ 5 เป็น กรรมกร ก็อาจคิดว่าถ้าได้ดื่มน้ำ�นั้นสักอึกก็คงดี นี่แล้วแต่ประสบการณ์ เจตคติ ความต้องการ บุคลิกภาพ และเชาวน์ปัญญาจริงๆ ครับ” “ฟังดูแล้ว ทางวิทยาศาสตร์เอง ก็เชือ่ ว่าไอ้ สิ่งที่รับรู้จริงๆ คือสมอง ไม่ใช่จิตอยู่ด แต่ไอ้ที่ข้า เห็นอยู่นี่ สมองมันก็แค่ตัวแปรสัญญาณส่งไปที่ จิตอีกทีว่ะ” หลวงตาแย้ง
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
77
“หลวงตาเห็นตอนไหนครับ” เขาถามด้วยความสงสัย “ก็เห็นในปัจจุบนั ขณะ ทีข่ า้ รูส้ กึ ตัวนีแ่ หละ” “อย่าไปพูดให้คนทัว่ ไปฟังนะครับ เดีย๋ วเขา จะหาว่าหลวงตาเป็นบ้าไปแล้ว” จบคำ�พูดของชายหนุ่ม ทั้งสองก็หัวเราะ ลั่นพร้อมกัน “เออ ข้าก็พระบ้าองค์หนึง่ เท่านัน้ แหละว่ะ”
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
79
‘ กู...ไม่ใช่อริยะ ’ นิสิตแพทย์จากศูนย์แพทยศาสตร์ศึกษา ชั้นคลินิคกลุ่มหนึ่ง มาพักปฏิบัติธรรมที่สำ�นัก สงฆ์โนนศิลา ตามโครงการของอาจารย์แพทย์ ทีต่ อ้ งการให้ลกู ศิษย์ได้มาเรียนรูก้ ารฝึกจิต เพือ่ ลด ความเครี ย ดจากการเรี ย นและการทำ � งาน อันแสนหนัก หลายคนระบายให้หลวงตาฟังว่า มีความ รูส้ กึ เบือ่ โรงพยาบาล รูอ้ ย่างนีไ้ ม่เรียนแพทย์แล้ว เหนือ่ ยกับการทีต่ อ้ งดูแลเคสผูป้ ว่ ยทีต่ นรับผิดชอบ กลัวอาจารย์แพทย์ดุ ไหนจะอ่านหนังสือ ส่งงาน อาจารย์ จนหาเวลาส่วนตัวไม่ได้ ออกมาอยู่วัด บ้างถือว่าได้พักผ่อน
80
กู...ไม่ใช่อริยะ
แต่ที่ไหนได้ ต้องมาเดินจงกรม นั่งสมาธิ ฟั ง ธรรม จนหลายคนเริ่ ม รู้ สึ ก ว่ า หนี เ สื อ ปะ จระเข้หรือเปล่าก็ไม่รู้ ในช่วงสนทนาธรรม ซึง่ เป็นชัว่ โมงทีผ่ เู้ ข้ารับ การอบรมชอบ เพราะไม่ตอ้ งนัง่ สมาธิ เดินจงกรม และเป็นเวลาที่จะได้ระบายคลายออก นิสิตแพทย์หนุ่มคนหนึ่งเอ่ยถามหลวงตา “หลวงตาครับ เราจะรูไ้ ด้อย่างไรว่าบรรลุ ธรรมแล้ว” หลวงตามองหน้า เห็นว่าเป็นอาการสงสัย จริงๆ ไม่ใช่ลองของ จึงตอบว่า “เวลาคุ ณ ทานมะม่ ว ง คุ ณ รู้ ไ หมว่ า มั น เปรี้ยวหรือหวาน” “รู้สิครับ” นิสิตแพทย์งงๆ กับคำ�ตอบ “แล้วมันเกี่ยวกับการบรรลุธรรมตรงไหน ครับ”
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
81
“เอ้า กินเองรู้เอง บรรลุธรรมเอง ก็ต้องรู้ เองสิ ไม่ต้องถามใคร” หลวงตาตอบแบบเล่นสำ�นวน “แล้วการบรรลุธรรมเป็นอย่างไรหรือคะ” นิสิตสาวหุ่นท้วมคนหนึ่งเอ่ยถาม “ก็เข้าใจถึงกฎธรรมชาติหรือกฎไตรลักษณ์ ว่ามันไม่เที่ยง ไม่ทน ไม่แท้ จนใจไม่เป็นทุกข์กับ ทุกปรากฏการณ์นั่นแหละ” หลวงตาตอบยิ้มๆ “ทุกวันนี้หนูก็เห็นว่ามันไม่เที่ยงอยู่แล้ว ก็แสดงว่าหนูบรรลุธรรมแล้วสิค่ะ” เพื่อนทั้งกลุ่มส่งเสียงเฮลั่นศาลา เปิดทางให้หลวงตาฮุคกลับทันที “อ้อ หลวงตาเพิง่ จะเห็นพระอริยะต่อหน้า ต่อตาวันนี้เอง” พอเห็นเธอทำ�ท่าอายม้วนต้วน หลวงตาจึง แก้เขินให้ว่า
82
กู...ไม่ใช่อริยะ
“มันไม่ใช่อย่างทีเ่ ธอเห็นหรอก เธออาจจะ เห็นคนแก่ คนเจ็บ คนตาย มันเห็นด้วยตานอก แต่กฎไตรลักษณ์ทวี่ า่ นัน้ ต้องเห็นด้วยตาใน หรือ ตาปัญญา จนใจมันยอมรับได้จริงๆ ว่ามันไม่เทีย่ ง ไม่ทน ไม่แท้ อยู่ทุกขณะจิตนั่นแหละ” นิ สิ ต หนุ่ ม อี ก คน สวมแว่ น ตาหนาเตอะ ถามหลวงตาว่า “แล้วหลวงตาเคยเห็นกฏไตรลักษณ์หรือ เปล่าครับ” เขาถามอย่างซื่อๆ หลวงตายิ้ม แล้วตอบ อย่างไม่ให้เข้าเนื้อ “นักปฏิบตั ธิ รรมทุกคน ถ้าปฏิบตั ถิ กู ต้องแล้ว ล้วนเคยเห็นทั้งนั้น” “ถ้าอย่างนัน้ หลวงตาก็เป็นพระอริยะแล้ว สิค่ะ” ว่าที่แพทย์หญิงตัวเล็กที่สุดในกลุ่มถาม แทรกขึ้นมาทันที
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
83
เล่นเอาหลวงตาอึ้ง นึกถึงการอวดอุตริ มนุสสธรรมในพระวินัย แล้วจึงตอบเลี่ยงๆ ออก ไปว่า “ไม่เคยมีใครเป็นพระอริยะหรอก” “แสดงว่าเดี๋ยวนี้ ไม่มีพระอริยะแล้วสิฮะ” หนุ่มหน้าใส จนไม่แน่ใจว่าเป็นหนุ่มหรือ เป็นสาวกันแน่ เอ่ยถาม “จะพูดอย่างนัน้ ก็ไม่ได้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตราบใดที่ ยั ง มี ผู้ ป ฏิ บั ติ ถู ก ต้ อ งตามธรรมอยู่ ตราบนั้นโลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์” หลวงตาอ้างพุทธพจน์ “อ้าว ก็ตะกี้นี้หลวงตาบอกว่าไม่เคยมีใคร เป็นพระอริยะไงครับ” หลายคนทักท้วงเสียงเซ็งแซ่ “ใครถาม ยกมือให้ดูหน่อยซิ” หลวงตาย้อนถาม “ผมครับ”
84
กู...ไม่ใช่อริยะ
หนุ่มมาดมั่นรายหนึ่ง ยกมือ “งั้นหลวงตาถามหน่อย คุณอยู่ที่ไหน” หลวงตาเริ่มเล่นมุก หนุม่ ผูม้ าดมัน่ เริม่ งงกับคำ�ถาม ตอบอย่าง ไม่แน่ใจว่า “ผมก็นั่งอยู่นี่ไงครับ” “ผม หรือฉัน หรือกู ทีว่ า่ นัน้ คือส่วนไหน” หลวงตาย้ำ�ให้งงหนักไปกว่าเดิม “ก็ เอ้อ ทัง้ หมดของร่างกายนีแ่ หละครับ” เขาชี้ที่ตัวเขาเอง “ในฐานะที่พวกคุณจะเป็นหมอในอนาคต งั้นหลวงตาขออ่านตัวอย่างจากหนังสือนี้” หลวงตายกวารสารเกี่ยวกับสุขภาพเล่ม หนึ่งให้ทุกคนดู “แล้วคุณช่วยวิเคราะห์หน่อยซิวา่ I-my-me หรือ myself อยู่ตรงไหนกันแน่” แล้วหลวงตาก็เริ่มอ่านบางส่วน
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
85
“กระดูกมีการสร้างใหม่ประมาณร้อยละ 0.03 ของกระดูกทั้งร่างกาย กระดูกของเรา แข็งพอกับเหล็ก แต่มนี �้ำ หนักเบาเท่ากับอะลูมเิ นียม กระดูกไม่ใช่โครงสร้างสีขาวขุน่ ทีไ่ ร้ชวี ติ แต่เป็น เนื้อเยื่ อ มี ชี วิ ต ที่ ป ระกอบด้วยหลอดเลือดและ เส้นประสาท กระดูกมีการซ่อมแซมและเสริมสร้าง ตัวเองตลอดเวลา ในแต่ละปี กระดูกของผู้ใหญ่ มีการสร้างใหม่ทดแทนประมาณร้อยละสิบ ผู้ที่ กระดู ก ขาหั ก และใส่ เ ฝื อ กสองสามสั ป ดาห์ เนื้อกระดูกจะบางลง แต่เมื่อเริ่มเดินหรือออก กำ�ลังกาย กระดูกจะเสริมสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง ผิวหนังมีเซลล์ตายและผลิตออกประมาณ ห้าสิบล้านเซลล์ หรือเท่ากับนาทีละสามถึงสีห่ มืน่ เซลล์ ผิวหนังคืออวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและ มีหน้าที่สำ�คัญหลายประการ พื้นที่ผิวหนังหนึ่ง ตารางนิ้วประกอบด้วยต่อมเหงื่อถึง 650 ต่อม หลอดเลือดยาวหกเมตร เซลล์เม็ดสีหกหมืน่ เซลล์
86
กู...ไม่ใช่อริยะ
และปลายประสาทมากกว่าพันตำ�แหน่ง ร่างกายประกอบด้วยเซลล์หลายล้านๆเซลล์ จึงมีโอกาสเกิดการกลายพันธุข์ องดีเอ็นเอ จนเกิด เป็นเซลล์มะเร็ง ซึง่ มีการแบ่งตัวอย่างควบคุมไม่ได้ และอาจรวมตัวกันเป็นก้อนเนือ้ งอก ในแต่ละนาที เซลล์ของร่างกายมีการแบ่งตัวมากมาย มีการ สร้างสำ�เนายีนถึงสามหมื่นชุด แต่น่าแปลกว่า ทำ�ไมไม่เป็นมะเร็งตลอดเวลา เหตุผลคือร่างกาย มีระบบตรวจสอบข้อผิดพลาดขณะทีเ่ ซลล์แบ่งตัว มีเอ็นไซม์ซึ่งทำ�หน้าที่ตรวจสอบและซ่อมแซม ดีเอ็นเอที่ผิดพลาด หากเอ็นไซม์ไม่ทำ�งาน เซลล์ สามารถตรวจพบข้อผิดพลาด และทำ�ลายตัวเอง มันอาจบอกว่า ‘ฉันกำ�ลังจะเป็นมะเร็ง จึงจำ�ต้อง ฆ่าตัวตายเพื่อปกป้องร่างกาย’ ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงได้สามล้านเซลล์ ต่อวินาที หรือประมาณสองแสนหกหมืน่ ล้านเซลล์ ต่อวัน เม็ดเลือดแดงเป็นส่วนประกอบของเลือด
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
87
ซึ่ ง มี ห น้ า ที่ สำ � คั ญ ที่ สุ ด อย่ า งหนึ่ ง คื อ ขนส่ ง ออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงทุกเซลล์ทั่วร่างกาย เลือด หนึ่งหยดประกอบด้วยเซลล์เม็ดเลือดแดงหลาย ล้านเซลล์” แล้ ว หลวงตาก็ เ งยหน้ า ขึ้ น มองทุ ก คน อย่างพินิจ พร้อมกับเอ่ยถามว่า “ใครก็ ไ ด้ ช่ ว ยตอบหน่ อ ยซิ ในเมื่ อ เซลล์ ต่างๆ เหล่านี้ มันทำ�งานของมันเอง มันซ่อมตัว มันเองได้ตามธรรมชาติโดยไม่ต้องไปหาหมอ ที่ไหน แล้วเซลล์ตัวไหนที่ชื่อ ‘นาย ก.’ ‘นาง ข.’ หรือเซลล์ตัวไหนเป็นคุณ” ทุกคนเงียบ แต่มอี ยูร่ ายหนึง่ ตอบอย่างไม่ มั่นใจว่า “ก็คงเป็นทั้งหมดของร่างกายนั่นแหละ ครับ ที่เป็นเรา” หลวงตายิ้มแย้ม ถามต่อ
88
กู...ไม่ใช่อริยะ
“ที่อ่านไปนั่นมันเกี่ยวกับชีววิทยา ถ้างั้น พูดให้ละเอียดแบบฟิสิกค์ควอนตัม แล้วพวกคุณ ช่วยตอบหน่อย ว่า ‘เรา’ อยู่ตรงไหน” หลวงตาไม่รอคำ�ตอบ อธิบายต่อ “ในร่างกายของเรา รวมทัง้ สรรพสิง่ ต่างๆ มีอนุภาคเล็กๆ อยูม่ ากมาย ตัง้ แต่สมัยโบราณแล้ว ที่ปรัชญาตะวันตกเอ่ยถึง ‘อะตอม’ ซึ่งแปลว่า แบ่งแยกไม่ได้ หรือปรัชญาตะวันออกกล่าวถึง ปรมาณู ที่แปลว่าเล็กสุดๆ หรือที่เรียกในหลัก ทางศาสนาแทบจะทุกลัทธิศาสนาก็คือ ‘อัตตา’ หรือ ‘อาตมัน’ ซึ่งก็คือสิ่งที่เที่ยง มั่นคง ไม่มีวัน เปลี่ ย นแปลง ยกเว้ น พุ ท ธศาสนาที่ ก ล่ า วถึ ง ‘อนัตตา’ แปลว่าไม่มีตัวตนที่แท้จริง จนมาถึง 100 ปีทแ่ี ล้วฟิสกิ ส์แบบนิวตัน ก็ยงั เชือ่ อย่างนัน้ ” หลวงตาอธิบายอย่างเมามัน นิสิตแพทย์ หลายคนมองหน้าหลวงตาอย่างทึ่งๆ
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
89
“อนุภาคแปลว่าอะไร” หลวงตาถาม เพื่อพักยก “ส่วนที่เล็กที่สุดครับ” หนึ่งในจำ�นวนนั้นตอบ “คุ ณ เก่ ง มาก แต่ ที่ ห าคำ � ตอบไม่ ไ ด้ คื อ อนุภาคเหล่านัน้ มารวมตัวกันได้อย่างไร เพราะมัน ต่างเคลือ่ นทีด่ ว้ ยความเร็วแสง จนกระทัง่ 48 ปี มาแล้ว มีการตั้งทฤษฎีอนุภาคมูลฐาน ที่มีการ กล่ า วถึ ง ‘ฮิ ก ก์ ส โบซอน’ (Higgs Boson) เอาไว้ดว้ ย ปัจจุบนั จึงค้นพบ ‘ฮิกส์ โบซอน’ หรือที่ เรียกกันว่า ‘อนุภาคพระเจ้า’ ทีเ่ ล็กทีส่ ดุ โดยการ ทดลองในเครือ่ งชนอนุภาคขนาดใหญ่ มันแปลก ที่ว่า ‘อนุภาคฮิกก์ส’ นี่มันเกิดขึ้นและดับไปใน ทันที จึงต้องใช้เครื่องตรวจวัดอนุภาคที่มีความ ละเอียดมากๆ และน่าจะมีอนุภาคที่เล็กกว่านี้ ไปเรื่อยๆแต่วิทยาศาสตร์ยังค้นไม่พบ คุณเคย ได้ยินเรื่องพวกนี้หรือเปล่า”
90
กู...ไม่ใช่อริยะ
หลวงตาถามสบายๆ ทุกคนตั้งใจฟัง “เขาว่ากันว่า ตัง้ แต่เกิดการระเบิดใหญ่ใน จักรวาลหรือทีเ่ รียกว่า Big Bang มาแล้ว สิง่ ต่างๆ อยูก่ นั อย่างกระจัดกระจาย มีแต่อนุภาค ไม่มมี วล ไม่มีแ สงใดๆ แล้ ว อะไรทำ�ให้มันรวมตัวกันจน เกิดมีมวล มีพลังงานได้” หลวงตาพูดไปก็ถามไป เพือ่ ทบทวนความ ทรงจำ�ที่เคยอ่านมา “แล้ ว เชื่ อ ไหมว่ า นั ก วิ จั ย พยายามศึ ก ษา ข้อมูลทั้งหมด หมื่นเทระไบต์ หรือล้านล้านไบต์ เพื่ อ ค้ น ให้ พ บฮิ ก ก์ ส 110 ตั ว จากการชนกั น ทั้งหมดของโปรตอน 700 ล้านล้านเหตุการณ์ เชียวนะ” หลวงตาอธิบายเพิ่มเติม “โอ้โฮ...” ผู้ฟังอุทานพร้อมกัน “ขนาดนั้น เขาก็ยังไม่มั่นใจว่าใช่ ‘ฮิกก์ส’
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
91
จริ ง ๆหรื อ เปล่ า เมื่ อ เวลาผ่ า นไปทฤษฎี นี้ อ าจ เปลีย่ นไปอีกก็ได้ ถ้าเอาความเพียรขนาดนีม้ าฝึก จิต น่าจะหมดกิเลสได้เลย ว่าไหม” หลวงตาพูดขำ�ๆ “นักฟิสิกส์เชื่อกันว่า ‘ฮิกก์ส โบซอน’ คือ อนุภาคตัง้ ต้นทีด่ งึ ดูดให้อนุภาคอืน่ ๆ มารวมตัวกัน จนมีมวล กลายเป็นอะตอม เป็นโมเลกุล ขยายใหญ่ เป็นสสาร เป็นมวลสาร ก่อกำ�เนิดเป็นโลก ดวงดาว รวมถึงสิ่งมีชีวิตบนโลก มีนักฟิสิกส์อยู่หลายคน ซึ่ ง ก็ ร วมถึ ง นายปี เ ตอร์ ฮิ ก ก์ ส นั ก ฟิ สิ ก ส์ จ าก สก็อตแลนด์ เป็นผูเ้ สนอทฤษฎีอนุภาคพระเจ้านีข้ น้ึ และเชื่ อ กั น ว่ า นี่ คื อ อนุ ภ าคตั้ ง ต้ น ของการก่ อ กำ�เนิดทุกสิ่ง ถ้านำ�สสารใดก็ตามแบ่งเป็นชิ้นๆ จนได้ชิ้นเล็กที่สุดเท่าที่จะเล็กได้ เราเรียกสิ่งนั้น ว่าอะตอม ภายในอะตอมจะมีนิวเคลียสอยู่ตรง กลาง และมีอีเล็คตรอนวิ่งวนล้อมรอบอยู่ แต่พอ เจาะลึกเข้าไปในนิวเคลียส ก็จะเจอกับอนุภาค
92
กู...ไม่ใช่อริยะ
โปรตรอนและนิวตรอน ภายในโปรตรอนและ นิวตรอนยังมีอนุภาคเล็กๆ ซ่อนอยู่อีก ซึ่งสิ่งที่ ทำ�ให้อนุภาคเล็กๆ เหล่านี้ รวมตัวกันได้ ก็ คื อ ‘ฮิ ก ก์ ส โบซอน’ เขาจึ ง เรี ย กกั น ว่ า ...อนุ ภ าค พระเจ้า” “แสดงว่าพระเจ้ามีจริงสิครับ” นิสิตหน้าตากร้านโลกคนหนึ่งเอ่ยถาม “เออจะเรี ย กว่ า ยั ง ไงก็ ไ ด้ ห ลวงตาไม่ มี ความเห็นและไม่ใช่ประเด็น แต่ถา้ จะพูดแบบพุทธ ไอ้ เ จ้ า ฮิ ก ก์ ส โบซอนนี้ หลวงตาเรี ย กมั น ว่ า วิญญาณธาตุ หรือธาตุรู้ เพราะวิญญาณเป็นเหตุ ปัจจัยให้เกิดนามรูปนั่นเอง” หลวงตาอธิ บ ายเชิ ง พุ ท ธปรั ช ญา แล้ ว อธิบายต่อ “ฮิกก์ส โบซอนจึงเป็นเหมือนต้นกำ�เนิด ของสรรพสิง่ เพราะเมือ่ อนุภาคทัง้ หลายเคลือ่ นที่
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
93
ผ่านมัน จะเคลือ่ นทีไ่ ด้ชา้ ลง และจะเกิดการรวม ตัวเป็นกลุม่ ก้อนขึน้ มา เพราะเจ้าฮิกก์ส ดึงดูดอนุ ภาคอืน่ ๆ ให้เคลือ่ นทีช่ า้ ลงและเข้าใกล้ตนเองมาก ขึ้น เกาะกลุ่มจนกลายเป็นมวลสารขึ้นมา และ เมื่ อ มวลสารขยายใหญ่ ขึ้ น ก็ ก ลายเป็ น โลก ดวงดาว สรรพสิ่งและสิ่งสมมุติที่เรียกว่า ‘เรา’ ขึ้นมา หรือเปรียบเทียบง่ายๆ โดยเอาอนุภาค ฮิกก์สไปเปรียบกับคน เช่น ถ้ามีชายหนุม่ หน้าตา ธรรมดา ผ่านเข้าไปในหมูส่ าวๆ ก็ไม่สามารถให้ สาวๆ เข้ามารุมล้อมได้ เพราะหนุ่มคนนี้ไม่มี แรงดึงดูดทางเพศมากพอ แต่พอให้ ณเดชน์ ผ่าน เข้าไปในหมู่สาวๆ พวกเธอก็จะเข้ามารุมล้อม ณเดชน์ทนั ที กลายเป็นกลุม่ ก้อน เป็นมวลขึน้ มา” หลายคนยิ้มขำ�กับการเปรียบเทียบของ หลวงตา
94
กู...ไม่ใช่อริยะ
“นีห่ ลวงตาไม่ได้คดิ เอง นายปีเตอร์ ฮิกก์ส แกเปรียบเทียบอย่างนั้น” แล้วหลวงตาก็ทวนคำ�ถามเดิม “ตกลงว่าอนุภาคตัวไหน คือคุณ” หลวงตาชี้ไปที่เจ้าของคำ�ถาม “เอ้อ ไม่มีครับ” เขาอ้อมแอ้มตอบแบบไม่เต็มใจ “คุณตอบว่าไม่มเี พราะยอมรับเหตุผลของ หลวงตา แต่ไม่ได้ตอบเพราะเข้าใจด้วยตนเอง” หลวงตาแย้ง “ลองยกแขน ยกขาขึ้นดูคุณก็ยังรู้สึกว่า เป็น ‘ของกู’ อยู่ดีใช่ไหม” “ใช่ครับ” ทุกคนยิ้ม “มนุษย์พยายามจะหาคำ�ตอบของชีวติ และ จักรวาล โดยใช้เครือ่ งมือภายนอก แต่พระพุทธเจ้า หาคำ�ตอบด้วยเครื่องมือภายในคือจิต ต่อให้หา
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
95
คำ�ตอบได้วา่ จักรวาลนีเ้ กิดมาจากไหน แล้วมันจะ แก้ทกุ ข์ได้อย่างไร ในเมือ่ สิง่ ทีร่ บั รูก้ ค็ อื เครือ่ งชน อนุภาคไม่ใช่จิตตนเอง” หลวงตาดึงเข้าหาพุทธศาสนา “คนกำ � ลั ง แก่ ง แย่ ง แข่ ง ขั น เอารั ด เอา เปรียบกัน ทุกข์ยากจากความอยากของตนเอง แย่งทรัพยากรธรรมชาติ น้ำ� อาหาร พลังงาน ก่ อ ให้ เ กิ ด มลภาวะ โลกร้ อ น อนุ ภ าคพระเจ้ า จะมีประโยชน์อะไร หรือถ้าจะมีประโยชน์อยูบ่ า้ ง ก็คงจะช่วยตอบปัญหาเรือ่ งอนัตตาทีพ่ ระพุทธเจ้า อธิบายมา 2,000 กว่าปีแล้ว ว่าทุกสิ่งเกิดแล้วก็ ดับไปจริงๆ” หลวงตานักอนุรักษ์ปรารภ “เขา ‘ลงทุ น ’ สร้ า งเครื่ อ งมื อ ด้ ว ยงบ ประมาณมากมายมหาศาล แน่นอนว่าจะต้องมา จากทรัพยากรส่วนอืน่ ๆ ของโลก เพือ่ ให้เข้าใจสิง่ ที่ พ ระพุ ท ธเจ้ า ค้ น พบมานานมากแล้ ว ซึ่ ง คื อ
96
กู...ไม่ใช่อริยะ
กฎแห่งไตรลักษณ์นั่นเอง ในขณะที่พระพุทธเจ้า สอนให้ ‘ลงแรง’ คือใช้ความเพียร สติ สัมปชัญญะ ฝึ ก ฝนจิ ต จนมี กำ � ลั ง มากพอๆ กั บ เครื่ อ งชน อนุภาคขนาดใหญ่นั่น เมื่อจิตเข้าไปเห็น มันก็ ฉลาดขึ้นมาเอง ว่าชีวิตนี้เกิดดับอยู่ตลอดเวลา ไม่เที่ยง ไม่ทน ไม่แท้ มันจึงวางความยึดถือลงไป ได้เอง” ว่าที่แพทย์หญิงอีกคนหนึ่งถามว่า “พระพุ ท ธเจ้ า ตรั ส ไว้ ต รงไหนบ้ า งหรื อ เปล่าคะ เกี่ยวกับเรื่องนี้” “โอ๊ย...มากมาย หลวงตาจะยกตัวอย่างใน มหานิทานสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ 10 ให้ฟัง ดูกรอานนท์เพราะความไม่รจู้ ริง เพราะ ไม่แทงตลอดธรรมนี้ หมูส่ ตั ว์น.ี้ ..จึงไม่พน้ อบาย ทุคติ วินิบาต สังสาร... ดูกรอานนท์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึง เกิดสังขาร
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
97
เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงเกิดวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงเกิดนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงเกิดสฬายตนะ เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงเกิดผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงเกิดตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงเกิดอุปาทาน เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงเกิดภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงเกิดชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงเกิด ชรามรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส ฯ ความเกิ ด ขึ้ น แห่ ง กองทุ ก ข์ ทั้ ง มวลนี้ ย่อมมีด้วยประการฉะนี้ ฯ สรุปง่ายๆ ก็คอื ทุกสิง่ ทีเ่ กิดขึน้ ในจักรวาลนี้ ล้วนเกิดจากมีเหตุปัจจัยปรุงแต่งสืบต่อกัน ไม่มี อะไรเป็นเรา เป็นของเราทั้งสิ้น” หลายคนทำ�หน้ามึนงงไม่เข้าใจ
98
กู...ไม่ใช่อริยะ
“ไม่วา่ จะเป็นพระพุทธศาสนาเถรวาทของ เราที่สอนเรื่องวิปัสสนา หรือพระพุทธศาสนา มหายานทีส่ อนสมาธิแบบเซน ต่างก็บอกวิธมี อง โลกแบบเดียวกัน คือมองโลกให้เห็น ‘ศูนยตา’ หรือความว่างในสรรพสิง่ ‘ศูนยตา’ ในมหายาน ก็คือ ‘อนัตตา’ ในเถรวาทนั่นเอง สรรพสิ่งเป็น ‘อนัตตา’ คือไม่มแี ก่นสารก็เพราะมันเป็น ‘ศูนยตา’ คือว่างจากแก่นแท้ถาวร เมือ่ ใดจิตใจหยุดปรุงแต่ง ก็จะเห็นความว่างในจักรวาล ปริศนาธรรมหรือ โกอานของพระพุทธศาสนานิกายเซน สอนให้ มองโลกแบบ ‘ศูนยตา’ คือว่างจากการยึดถือทีใ่ จ สร้างขึน้ พระพุทธศาสนาเถรวาท เรียกการมอง โลกแบบนีว้ า่ ‘ยถาภูตญาณทัสสนะ’ แปลว่าเห็น รู ป นามด้ ว ยปั ญ ญาตามความเป็ น จริ ง หรื อ วิปัสสนากรรมฐานนั่นเอง” แล้วหลวงตาก็สรุปจบ
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
99
“และนี่แหละคือการอธิบายคำ�ตอบของ หลวงตาที่ว่า ไม่มีใครเป็นอริยะ มีแต่วิญญาณ ธาตุที่เข้าใจชีวิตตามความเป็นจริงและเห็นรูป นามเกิดดับนัน่ แหละทีบ่ ริสทุ ธิห์ ลุดพ้นจากความ ยึดถือ พูดง่ายก็คือ ‘กู’ ไม่ใช่อริยะ หรือไม่มี ‘กู’ ที่เป็นอริยะ เพราะ ‘กู’ ไม่เคยมี แล้วจะมี ‘กู’ ที่ไหนเป็นอริยะ” “แสดงว่าพระอริยะไม่มีหรือครับ” ยังมีคนไม่เข้าใจ ถามขึ้น “มี แต่ไม่มีใครเป็นพระอริยะ” หลวงตาดูท่าจะเยิ่นเย้อ มองหน้าทุกคน แล้วจึงตัดบท “นีม่ นั ชัว่ โมงสนทนาธรรมไม่ใช่หรือ ปล่อย ให้หลวงตาพูดอยู่คนเดียว จะเรียกว่าสนทนาได้ ยังไงเนี่ย เอ้า...พวกคุณพูดบ้าง”
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
‘
101
นรก-สวรรค์...อุปาทานสร้าง
’
ในห้องเรียนของมหาวิทยาลัย กลุ่มนิสิต
มหาบั ณ ฑิ ต ภาคพิ เ ศษ นิ ม นต์ ห ลวงตาไป บรรยายธรรมเกี่ยวกับการเจริญภาวนา เมื่อถึง 15 นาทีสุดท้ายก่อนหมดเวลา หลวงตาจึงให้ โอกาสนิสิตถามปัญหาธรรมะ “สวรรค์ นรก ไม่เคยมีอยู่จริง” หลวงตา ตอบทีเล่นทีจริง นิสติ ว่าทีม่ หาบัณฑิตทัง้ กลุม่ ทำ�หน้าแปลกใจ หลังจากตัง้ คำ�ถามกับหลวงตาว่า ทำ�บุญจะได้ขนึ้ สวรรค์ ทำ�บาปจะตกนรกจริงหรือไม่
102
กู...ไม่ใช่อริยะ
“อ้าว..หลวงตาทำ�ไมถึงพูดอย่างนั้นละค่ะ ตั้งแต่เด็กๆ หนูเคยได้ยินว่าสวรรค์นรกมีอยู่จริง หลวงตาพูดอย่างนีจ้ ะไม่ขดั แย้งกับความเชือ่ ของ ชาวพุทธหรือค่ะ” ข้าราชการสาวซึ่งแสดงออกว่าเป็นผู้นำ� ของห้องเอ่ยถามด้วยความงุนงง “ก็นี่มันเป็นคำ�ตอบที่พวกคุณอยากได้ยิน ไม่ใช่หรือ” “!!!!” “หลวงตารู้ได้ยังไงครับ ว่าพวกผมไม่เชื่อ หรือหลวงตารู้วาระจิตพวกผม” หนุ่มน้อยคนเดียวในกลุ่มนั้นเอ่ยถาม “ก็คนรุ่นใหม่เขาเชื่อกันอย่างนั้นนี่” หลวงตาพูดพลางหัวเราะเบาๆ “หลวงตามีเหตุผลอะไรเจ้าค่ะ ถึงบอกว่า นรกสวรรค์ไม่มีจริง” สาวเจ้าเนือ้ วัยกลางคน ดูเหมือนจะคุน้ เคย
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
103
กับวัดเอ่ยถาม “ถ้างั้น หลวงตาขอถามคุณบ้าง พวกคุณ เคยได้ยินเรื่องอย่างนี้ไหม” หลวงตานึกถึงงานวิจยั ชิน้ หนึง่ ทีอ่ า่ นผ่าน ตามาหลายครั้ง “จิตแพทย์ชาวอเมริกันท่านหนึ่งได้วิจัย เกีย่ วกับคนทีก่ �ำ ลังเผชิญกับภาวะใกล้ตาย ทีภ่ าษา ฝรั่งเขาว่า a near-death experience หรือเรียก ย่ อ ว่ า NDE คนไทยชอบเรี ย กว่ า ตายแล้ ว ฟื้ น แต่ถา้ ไม่อยูใ่ นภาวะเฉียดตาย เขาเรียกว่าถอดจิต หรือวิญญาณออกจากร่าง ฝรั่งเรียกว่า Out of Body Experience หรือเรียกย่อว่า OBE ภาวะ เหล่ า นั้ น มั ก มี เ หตุ ก ารณ์ อ ย่ า งใดอย่ า งหนึ่ ง เหมือนที่หลวงตาจะพูดให้ฟังต่อไปนี้” หลวงตากระแอมเพื่ อ เรี ย กความสนใจ นิสิตทุกคนทำ�หน้าแปลกใจ พลางคิดว่า ‘หลวงตานี่ไม่ธรรมดาแฮะ’
104
กู...ไม่ใช่อริยะ
“มักมีเรื่องเล่าว่าบางคนจมน้ำ� ตกต้นไม้ หรือช็อคด้วยเหตุใดก็ตาม แม้กระทั่งคนที่นั่ง สมาธิมภี าวะสงบ มักเห็นกายละเอียด หรือคนไทย เรียกว่าวิญญาณลอยออกจากร่าง” นิสิตหลายคนพยักหน้า “บางคนบอกว่าเห็นตนเองลอยอยูใ่ นห้อง ผ่าตัด เห็นหมอกำ�ลังใช้ไฟฟ้าช็อต ปั้มหัวใจ และ มักมีความรู้สึกสุข สงบ เบาสบาย โดยที่ขณะนั้น ไม่กลัวตาย” “หนูก็เคยอ่านเจอค่ะ” นิสิตคนหนึ่งเห็นด้วย “บางคนบอกว่า มีเทวดาหรือยมทูตพาไป เที่ ย วนรก สวรรค์ แต่ แ ปลกว่ า แม้ แ ต่ ศ าสนา เดียวกัน นรก สวรรค์ที่เห็นนั้นไม่เหมือนกัน” หลวงตากวาดสายตามองหน้าคนฟัง เมื่อ เห็นทุกคนตั้งใจฟังจึงสาธยายต่อ “บางคนพบญาติพน่ี อ้ งทีต่ ายไปแล้ว รวมทัง้
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
105
เพื่อนฝูงหรือคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันและยังมี ชีวติ อยู่ บางครัง้ คนพวกนัน้ ก็พยักหน้า โบกมือให้ หรือทำ�ท่าคล้ายจะเป็นสัญญาณบอกให้กลับไป บางคนได้มีโอกาสพูดคุยกับคนที่เสียชีวิตแล้ว เหตุการณ์อย่างนีห้ ลวงตาเคยได้ยนิ โยมทีป่ ว่ ยหนัก เล่าให้ฟงั แม้ไม่ได้อยูใ่ นภาวะเฉียดตาย ก็เคยเห็น ภาพนิมิตอย่างนี้” คนฟังหูผึ่ง ตาตั้ง ฟังอย่างตั้งใจ “และที่สำ�คัญทุกคนที่เจอภาวะอย่างนั้น มักเห็นบุญบาปที่ตนเคยทำ�ไว้ เป็นการทบทวน ความดีและความชัว่ ของตนอีกครัง้ หนึง่ บางครัง้ ก็อาจนึกถึงภารกิจที่ยังไม่ลุล่วง ซึ่งต้องกลับไป จัดการให้เรียบร้อยเสียก่อน ก็เลยมีการต่อรองกับ ยมบาล อย่างนี้ก็มี” “ทีน่ า่ แปลกใจก็คอื คนทีเ่ ฉียดตายส่วนมาก ไม่ ต้ อ งการกลั บ มา แต่ ก็ เ ข้ า ใจว่ า เป็ น ไปไม่ ไ ด้ มีความรู้สึกว่าครอบครัวยังต้องการเขาอยู่
106
กู...ไม่ใช่อริยะ
บางคนก็ถูกส่งกลับไปสู่ที่เดิม โดยผู้ที่อยู่ ในแสงสว่าง เพื่อน หรือญาติพี่น้องที่ได้พบ ไม่มี ใครยอมให้ผ่านสิ่งกีดขวางไปได้” หลวงตากระแอม เพื่อสำ�รวจความตั้งใจ ของคนฟัง “การกลับคืนของกายละเอียดสู่กายเนื้อ หรื อ วิ ญ ญาณกลั บ เข้ า ร่ า ง ก็ มั ก เป็ น ไปอย่ า ง รวดเร็วมาก จะมีความรู้สึกคล้ายกับว่ามีพลัง ผลักหรือดูดให้กลับเข้าสู่อุโมงค์ด้วยความเร็ว สูงสุดจนเข้าไปอยู่ในกายเนื้อตามเดิม” หลวงตายกแก้ ว น้ำ � ขึ้ น ดื่ ม แก้ ร ะคายคอ แล้วพูดต่อ “ทุ ก คนที่ ผ่ า นภาวะเฉี ย ดตายจะจดจำ � อย่างติดตาติดใจจนชั่วชีวิต สิ่งที่ทุกคนรายงาน เหมือนกันคือว่า ความคิด ความเชือ่ ของคนเหล่า นีเ้ ปลีย่ นแปลงไปจากเดิม คือมีศรัทธาในศาสนา ที่ตนนับถืออยู่มากขึ้น มีความเชื่อในเรื่อง
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
107
ของผลบุญและบาป และกฎแห่งกรรมมากกว่า แต่กอ่ น บางคนคิดว่าตนเองมีอ�ำ นาจจิตมากขึน้ สามารถล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า หรือสามารถ รักษาโรคภัยไข้เจ็บบางอย่างได้ก็มี” หลวงตาสรุป แล้วถามต่อว่า “นีเ่ ขาทำ�วิจยั กับคนทุกศาสนา ทุกภูมภิ าค ของโลกนะ พวกคุณคิดว่ายังไง” “หลวงตากำ � ลั ง จะบอกพวกผมว่ า ยั ง ไง ครับ” ผู้นำ�ในกลุ่มถามอย่างฉลาด “กำ�ลังบอกพวกคุณว่านรก สวรรค์ ไม่มอี ยู่ จริง” หลวงตาย้ำ�คำ�ตอบเดิม “ผมไม่เข้าใจครับ” เขายังงงอยู่เช่นเดิม “ทีพ่ ดู อย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่าหลวงตา คัดค้านพระพุทธเจ้านะ เพราะพระพุทธเจ้าตรัส
108
กู...ไม่ใช่อริยะ
เรื่องภพ-ภูมิ นรก สวรรค์ต่างๆ ไว้พอสมควร แต่ ทีแ่ น่ๆ พระองค์ให้ความสำ�คัญกับชีวติ ในปัจจุบนั ชาตินี้ มากกว่าสัมปรายภพ” “พวกเรายังงงกันอยู่ดีค่ะ” ทุกคนพยักหน้า “เอ้า...ก็ที่ยกตัวอย่างให้ฟังนั้น จะเห็นว่า แต่ละคน แต่ ละความคิด แต่ละศาสนา แต่ละ ความเชื่อ ประสบการณ์เกี่ยวกับชีวิตเฉียดตาย หรือวิญญาณออกจากร่าง ทำ�ไมไม่เหมือนกัน” นิสิตทุกคนตั้งใจจดจ่อ “หลวงตาอยากจะบอกว่า นัน่ เป็นเรือ่ งของ อุปาทาน คือความเชือ่ ความยึดถือทีแ่ ตกต่างกัน ไป” หลวงตาร่ายยาว “ที่พูดนี่ไม่ใช่ไม่เชื่อเรื่องภพ-ภูมิ แต่เชื่อว่า ภพ-ภูมขิ องทุกคนไม่วา่ ศาสนาไหนหรือไม่นบั ถือ ศาสนาต้องเหมือนกัน ในเมื่อทุกคนมีรูปนาม
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
109
เซลล์ อะตอม สปีชีส์เหมือนๆ กัน” เมื่อยังเห็นทุกคนงง หลวงตาจึงเริ่มต้น อธิบายใหม่ “คุณเคยฝันแบบครึ่งหลับครึ่งตื่นไหม คือ มันเหมือนจริงมากๆ น่ะ” “เคยครับ” หนุ่มหนึ่งยกมือ “เคยฝันว่าเหาะได้ หรือเหาะหนีอันตราย ลอยไปลอยมาตามใจปรารถนา อย่างเนีย้ เคยฝัน บ้างไหม” หลวงตาถามต่อ “โยมเคยฝันอยู่หลายครั้งเจ้าค่ะ” สาวใหญ่คนหนึ่งตอบ “ในขณะที่ฝัน เรารู้สึกว่ามันจริงสุดๆ แต่ เมื่อตื่นขึ้นมาเราจึงรู้ว่าเราฝัน หรือไม่แน่ขณะที่ ตื่นเราอาจจะฝันอยู่จริงๆ ก็ได้ หรือในขณะที่ฝัน นั้นมันอาจจะเป็นจริงๆ ก็ได้”
110
กู...ไม่ใช่อริยะ
ทุกคนทำ�หน้ามึนๆ กับคำ�พูดหลวงตา “เอาละๆ หลวงตาขอเล่ า เรื่ อ งนี้ ใ ห้ ฟั ง มี ผู้ ห ญิ ง คนหนึ่ ง แกชื่ อ ดร.ซู ซ าน แบล็ ก มอร์ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาของประสบการณ์ ถอดจิตหรือวิญญาณออกจากร่าง เรือ่ งราวของเธอคนนีน้ า่ สนใจมากๆ สมัย สาวๆ ตอนเรียนอยู่ปี 1 ที่อ็อกฟอร์ด เธอเคย เผชิญกับประสบการณ์วญ ิ ญาณหลุดจากร่างด้วย ตนเอง คือนั่งๆ อยู่แล้วก็รู้สึกเหมือนหลุดลอย ขึน้ ไปบนเพดาน มองลงมาเห็นร่างตัวเองนัง่ อยู่ บนเตียง จากนัน้ ก็สามารถใช้จติ เดินทางท่องเทีย่ ว ไปทั่ว ออกไปนอกโลก นอกอวกาศ ค่อยๆ รู้สึก เหมือนกลายเป็นหนึง่ เดียวกับจักรวาล เป็นความ รูส้ กึ ทีศ่ กั ดิส์ ทิ ธิม์ าก จนทำ�ให้ตงั้ แต่นนั้ มาเธอเลย เริม่ มีความเชือ่ เรือ่ งวิญญาณ แล้วก็เริม่ หันเหไป ศึกษาอย่างเอาจริงเอาจังในด้านปรากฎการณ์ ทางจิ ต เหนื อ ธรรมชาติ ที่สำ�คัญมากๆคือเธอ
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
111
หาทางพิสจู น์ ไม่ใช่เชือ่ แบบงมงาย และหลังจาก ได้ลงมือทดลองศึกษาวิจัยไปเรื่อยๆ เป็นสิบๆปี เมือ่ รวบรวมหลักฐานทัง้ หมดแล้ว ก็ได้ขอ้ สรุปว่า ปรากฎการณ์พวกนีเ้ ป็นเรือ่ งของสมองส่วนหนึง่ ที่เรียกว่า Angular Gyrus เมื่อเจอผลสรุปดังนี้ แกก็ เ ลยทิ้ ง ความเชื่ อ ทางด้ า นไสยศาสตร์ อภิปรัชญาทัง้ ปวง แล้วหันมาโปรโมตการมองเรือ่ ง เหล่านี้ให้ถูกต้องตามระดับความจริงของมัน” “แสดงว่าการถอดจิตออกจากร่าง หรือ มโนมยิทธิไม่จริงหรือคะ” หญิงสาวสวมแว่นหน้าตาจริงจัง เอ่ยถาม “มีสิ เอางี้ พุทธศาสนายอมรับความจริง 2 อย่าง อย่างแรกเรียกว่าสมมุติสัจจะ คือ สมมุติ ว่ า จริ ง เช่ น คน สั ต ว์ สิ่ ง ของ พระพุ ท ธเจ้ า พระผู้เป็นเจ้า ชาวพุทธ ชาวคริสต์ ชาวอิสลาม สวย หล่อ ชาย หญิง โลก จักรวาล เป็นต้น”
112
กู...ไม่ใช่อริยะ
หลวงตาหยุดให้ผู้ฟังคิด “อย่ า งที่ ส องเรี ย กว่ า ปรมั ต ถสั จ จะ คื อ ความจริงแท้ หรือความจริงสากล คือ สรรพสิ่ง มีเพียง สสาร พลังงาน ธาตุรู้ หรือภาษาพระเรียก ว่ า รู ป -นาม รวมถึ ง พระนิ พ พาน ไม่ ไ ด้ มี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา-เขา พระเจ้า เทวดาทีไ่ หนเลย” หลวงตายกแก้วน้ำ�ขึ้นดื่ม เพื่อให้เวลาทุก คนตามทันแล้วอธิบายต่อ “เราเชื่อว่ามีนรก สวรรค์ พระผู้เป็นเจ้า พระพุทธเจ้า พระอรหันต์ คนดี คนเลว ตาม สมมุติสัจจะ” บางคนเริ่มเข้าใจ “ในปรมัตถสัจจะ ไม่มใี คร มีเพียงสิง่ ๆหนึง่ หรือรูป-นาม สสาร พลังงาน ธาตุรู้ ที่เกิดดับไป ตามเหตุปัจจัยอยู่ตลอดเวลา” “อ้าว แล้วนี่ผมไม่ได้มีอยู่จริงหรือครับ”
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
113
หนุ่ ม เหลื อ น้ อ ยคนหนึ่ ง เอ่ ย ถามอย่ า ง ประหลาดใจ “มี แต่ไม่จริง” หลวงตาหัวเราะ “มันก็เหมือนกับคนตายแล้วฟื้น เห็นนรก สวรรค์ นั่ น แหละ เขาเห็ น จริ ง แต่ ไ ม่ มี อ ยู่ จ ริ ง เพราะเห็นตามจินตนาการ หรือความเชือ่ ทีต่ นมี มันจึงเห็นไม่เหมือนกันไง” หลวงตาพยายามอธิบายให้เข้าใจ “อนุภาคเล็กๆ ในร่างกายของเรา เกิดดับ เคลือ่ นไหวเปลีย่ นแปลงตลอดเวลา เซลล์เก่าตายไป เซลล์ใหม่เกิดขึ้นมาแทน เพียงแต่ว่าอนุภาคทุก อนุภาคหรือเซลล์ทกุ เซลล์ ไม่ได้เกิดดับพร้อมกัน เราจึงมีความรู้สึกว่า ‘มี’ อยู่ตลอดเวลา แต่ที่แท้ ไม่เคยมีใครอยู่จริง และไม่เคยมีใครตาย มีเพียง ความสืบต่อกันของรูปนามนีเ้ ท่านัน้ รูปนามในอดีต เป็นเหตุปัจจัยให้รูปนามในปัจจุบันเกิด รูปนาม
114
กู...ไม่ใช่อริยะ
ในปัจจุบันก็เป็นเหตุปัจจัยให้รูปนามในอนาคต เกิดขึ้น...เป็นอย่างนี้เสมอ” หลวงตาพูดอย่างจริงจัง “ตกลงว่านรก สวรรค์ไม่มีจริงๆ หรือคะ” สาวน้อยหน้าตาฉลาดคนหนึ่งถามย้ำ� “มีสิ แต่มีตามสมมุติสัจจะ แต่ไม่ใช่ตาม ปรมัตถสัจจะ ก็ในเมือ่ ตัวตน-เรา-เขาไม่เคยมีอยูจ่ ริง แล้วจะมีใครขึ้นสวรรค์-ลงนรกเล่า? อย่าลืมว่า กฎเกณฑ์นี้พระพุทธเจ้าไม่ได้ตั้งขึ้นเอง แต่ทรง ค้นพบความจริงตามธรรมชาติ ฉะนั้นกฎเกณฑ์ ธรรมชาติจึงไม่เกี่ยวกับศาสนาไหน แต่เป็นสิ่งที่ เสมอกันกับทุกคน” “แต่ตัวตนก็มีอยู่นี่ครับ” ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย “เฮ้อ! ถ้างัน้ เรามาคุยกันเรือ่ งนรก-สวรรค์ ภพ-ภูมิตามคัมภีร์พุทธศาสนาดีกว่า”
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
115
หลวงตาพูดอย่างปลงๆ แล้วอธิบายต่อ “คำ�ว่าภูมิ เรียกตามภาษาบาลี มี 31 ภูมิ ส่วนภาษาวิทยาศาสตร์ น่าจะเรียกว่า มิติ...” “มันมีอยู่จริงๆ หรือค่ะ” สาวน้อยในกลุ่มถาม หลวงตา “!!!!!!!!!!”
117
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
‘
ขอทานจัญไร หรือผู้เห็นภัยในวัฏฏะ
’
บวชทำ�ไม? คือคำ�ถามทีค่ นรุน่ ใหม่ มักจะ ขัดแย้งกับพ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ที่ต้องการให้ลูก หลานบวชตามประเพณี ว่าทีพ่ อ่ นาคคนหนึง่ พร้อมทัง้ พ่อแม่ มาหา หลวงตาที่วัด เพื่อขออนุญาตมาศึกษาธรรมใน สำ�นักสงฆ์โนนศิลา หลวงตาสำ�รวจหน้าตาและเฟอร์นิเจอร์ ของทุกคน คุณพ่อวัยกลางคน แต่งตัวดีท่าทาง มีฐานะ ออกจะดูเกร็งๆ คุณแม่วัยใกล้เคียงกัน เสือ้ ผ้าหน้าผมเป๊ะตัง้ แต่หวั จรดเท้า หน้าตาแช่มชืน่ ส่วนลูกชายไว้เคราเล็กๆ แต่งตัวตามสมัยนิยม คิ้วสองข้างขมวด ดูท่าทางกำ�ลังเซ็งโลก
118
กู...ไม่ใช่อริยะ
ทั้ง 3 ยกมือไหว้เก้ๆ กังๆ ดูไม่คุ้นเคยกับ พระเท่าไรนัก หลวงตายิ้มแย้ม พูดจากทักทายสบายๆ เพื่อให้บรรยากาศเป็นกันเอง “มีธุระอะไรกันหรือ” “อยากจะเอาลูกชายมาบวชกับหลวงตา เจ้าค่ะ” ผู้เป็นแม่รายงาน “แน่ใจหรือ จะเอาลูกชายมาบวชที่นี่ วัดนี้ ไม่ค่อยจะสะดวกสบายเท่าไรนักนะ” หลวงตาพู ด นิ่ ม ๆ ปกติ จ ะไม่ ค่ อ ยจะรั บ ผู้ไม่มีศรัทธามาบวชด้วยอยู่แล้ว “นั่นสิครับ ผมก็ไม่ได้อยากบวชเท่าไรนัก หรอก” ลูกชายพูดโพล่งขึ้นมา แม่หนั ไปมองตาเขียว แล้วปรับสีหน้าทันที ดุจนักแสดงอาชีพ
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
119
“คือ ลูกชายไม่คอ่ ยจะเต็มใจบวชค่ะ แต่พอ่ แม่ เห็นว่าเรียนจบตรีแล้ว จะไปต่อโททีต่ า่ งประเทศ เลยอยากให้ลกู บวชเสียก่อน จะได้ใจเย็นๆกว่านี”้ คุณแม่รายงานต่อ หลวงตาได้แต่คดิ ในใจว่า ‘เฮ้อ ลูกไม้หล่น ไม่ไกลต้น’ พลางถามว่า “แล้วทำ�ไมจึงเลือกที่นี่ล่ะ” “ลู ก เขาเลื อ กเอง เขาบอกว่ า อยู่ วั ด ป่ า เงียบๆดีกว่า เขาไม่ค่อยจะศรัทธาวัดในเมือง” พ่อเอ่ยปากอธิบายเป็นครั้งแรก “เอ้า ก็ไหนว่าลูกไม่อยากบวช” หลวงตาหันไปมองทางลูกชาย “คื อ ผมขั ด ไม่ ไ ด้ ห รอกครั บ แต่ ไ หนๆ จะบวชแล้วผมก็อยากจะเลือกเอง ที่จริงพ่อแม่ อยากจะให้บวชวัดใกล้บ้าน จะได้ใส่บาตรทุกวัน แต่ผมไม่ค่อยจะศรัทธาพระวัดนั้นเท่าไร”
120
กู...ไม่ใช่อริยะ
ชายหนุ่มระบายคลายเครียด “เพราะอะไรหรือ” หลวงตาถามยิ้มๆ “ก็...ผมไม่พูดดีกว่า” เห็นเขาอึกอัก หลวงตาจึงตัดบท “คุณอย่าดูพระแค่เพียงภายนอกนะ เคย อ่านประวัติของเจ้าคุณนรรัตนราชมานิตไหม ท่านเป็นพระในเมืองเหมือนกัน แต่เขาว่ากันว่า ท่านเป็นอรหันต์กลางกรุง” หลวงตาหยุดนิดหนึง่ เพือ่ ให้เขาได้คดิ ตาม “แล้วที่นี่ดียังไง” หลวงตาถามต่อ “เพือ่ นผมเคยมาบวชทีน่ ค่ี รับ ผมเคยมาเยีย่ ม เพื่อนๆเล่าให้ฟังว่าที่นี่ทำ�วัตรทุกวัน ฉันรวมใน บาตรมื้อเดียว นั่งสมาธิทุกวัน แต่วัดในเมือง ผมไม่เคยเห็นทำ�อย่างนี้” ขณะที่ตอบสีหน้าก็แสดงอาการชื่นชม
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
121
“ที่ไม่เคยเห็นเพราะคุณไม่ค่อยได้เข้าวัด หรือเปล่า” หลวงตาถามยิ้มๆ “คุณรูไ้ หม ทีน่ ม่ี เี หตุผลอะไร จึงทำ�อย่างนัน้ ” หลวงตาถามเอง ตอบเอง “เราไม่ได้คดิ ว่าทำ�อย่างนีแ้ ล้ว จะหมดกิเลส เร็วกว่าที่เขาไม่ทำ� อย่างเช่นที่ฉันรวมในบาตรก็ เพื่อลดภาระในการล้างภาชนะ ที่ฉันมื้อเดียว ก็เพราะเราทดลองแล้วว่า เวลาฉันของพระช่วงเช้า และเพลใกล้เคียงกัน ยังไม่ทนั หิวก็ตอ้ งฉันอีกแล้ว เป็นภาระทีจ่ ะต้องมาจัดอาหารตอนเพลอีก ก็เลย เลือ่ นเวลาฉันเช้าให้สายขึน้ มาหน่อย ฉันมือ้ เดียว ง่ายดี และที่ทำ�วัตรทุกวัน เพราะพระใหม่มีเวลา บวชน้อย อย่างน้อยก็จะได้นงั่ สมาธิสวดมนต์และ ฟังธรรมทุกวัน เผื่อจะได้เข้าใจในพุทธศาสนา มากขึ้น” หลวงตาอธิบายให้ฟัง
122
กู...ไม่ใช่อริยะ
“คุณอย่าติดรูปแบบพิธกี รรมมากนัก รูปแบบ พวกนัน้ มีไว้เพือ่ ทำ�ให้สงั คมสงฆ์ของทีน่ อ่ี ยูร่ ว่ มกัน อย่างมีความสุข แต่ไม่ใช่เพื่อเอาไว้ดูถูกวัดอื่นๆ เพราะแต่ละวัดมีบริบทแตกต่างกัน” ชายหนุ่มพยักหน้าแสดงอาการเข้าใจ “ก่อนจะรับหรือไม่รับ หลวงตาขออธิบาย กฏเกณฑ์ของทีน่ ใี่ ห้ฟงั ก่อน ถ้ารับได้กอ็ ยูร่ ว่ มกัน ได้” หลวงตาชี้แจง เขายอมรับ “ก่อนบวช ควรตั้งปณิธานที่จะทำ�สิ่งดีๆ ที่ทำ�ได้ยาก ซึ่งคุณเองมักผลัดผ่อนมาโดยตลอด เช่น การอยูอ่ ย่างเรียบง่ายในทีส่ งบสงัด หรือการ อยู่กับตัวเองไม่หนีไปหาสิ่งอื่น เช่น โทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่หนังสือ หรือการฝึกสติอย่างต่อเนือ่ ง หากไม่ท�ำ ในขณะบวช คุณอาจไม่มีโอกาสได้ทำ�อีกเลยในเพศฆราวาส
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
123
แม้ จ ะไม่ ใ ช้ เ รื่ อ งง่ า ยแต่ ก็ น่ า จะเป็ น การถื อ ว่ า เป็นการท้าทายตนเอง” ทุกคนเงียบ หลวงตาจึงถามต่อ “คุณแน่ใจหรือว่าจะปฏิบตั ติ ามกเกณฑ์นไ้ี ด้” คุณแม่ชิงตอบเสียก่อน “เขาไม่มปี ญ ั หาหรอกค่ะ เป็นคนทีห่ นักไป ทางเหตุผลอยูบ่ า้ ง อีกอย่างบวชไม่นานนัก คงไม่ เป็นไร” “ชีวิตพระน่ะ สบายแต่ไม่สะดวก แต่ชีวิต ฆราวาสน่ะ สะดวกแต่ไม่สบาย” หลวงตาด้นต่อ “เป็นยังไงหรือครับ” คุณพ่อสงสัย “พระไม่มภี าระทีต่ อ้ งรับผิดชอบครอบครัว ไม่ตอ้ งกังวลเรือ่ งของเศรษฐกิจ การเมือง การงาน ก็เลยสบาย แต่ชวี ติ ฆราวาสนัน้ สะดวก จะทำ�อะไร
124
กู...ไม่ใช่อริยะ
ก็ได้ อยากกินอะไรก็กิน อยากเที่ยว จะขึ้นห้าง เข้าผับ ก็ไม่มีปัญหา แต่พระทำ�อย่างนั้นไม่ได้ เพราะมีพระวินัยที่จะต้องรักษาอยู่” หลวงตาอธิบาย แล้วหันไปถามชายหนุ่ม “คุณจะบวชสักกี่วัน” “15 วันครับ” เขารีบตอบ “แล้วคุณจะได้อะไร มีเวลาบวชแค่นั้น” “นั่นสิครับ ผมจะได้อะไร ผมก็แค่บวชตาม ประเพณี ผมไม่เห็นว่าคนทีเ่ คยบวชจะได้อะไรเลย” หนุ่ ม น้ อ ยพยั ก หน้ า ไปทางพ่ อ ท่ า ทาง ล้อเลียน “หั น หน้ า เข้ า วั ด ทดแทนพระคุ ณ พ่ อ แม่ หั น หน้ า ออกจากวั ด ทดแทนพระคุ ณ เมี ย บวช 15 วันทดแทนพระคุณพ่อแม่ แล้วที่เหลือ ทั้งชีวิตสำ�หรับทดแทนพระคุณลูกเมียอย่างนั้น หรือ”
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
125
หลวงตาพูดพลางหัวเราะเบาๆ “ทีจ่ ริงแล้วก็อย่างทีค่ ณ ุ เข้าใจ การทดแทน พระคุณพ่อแม่ ไม่จ�ำ เป็นต้องบวชก็ได้ เพราะไม่งน้ั ผู้ ห ญิ ง บวชพระไม่ ไ ด้ ก็ ท ดแทนพระคุ ณ พ่ อ แม่ ไม่ได้นะสิ จริงไหม” “อ้าวหลวงตาทำ�ไมพูดอย่างนั้น มันยิ่งไม่ ค่อยอยากบวชอยู่ด้วย” คุณพ่อท้วงติง พลางหันไปมองลูกชาย “แต่ ฟั ง ให้ จ บก่ อ น พระพุ ท ธเจ้ า สอนว่ า การทดแทนพระคุณพ่อแม่ ‘ทางกาย’ นัน้ ทำ�อย่างนี้ 1) ท่ า นเลี้ ย งเรามาแล้ ว ก็ เ ลี้ ย งท่ า นตอบแทน 2) ช่วยเหลือการงาน กิจธุระของท่าน 3) ช่วยดำ�รง วงศ์ตระกูล ไม่ทำ�ให้ตระกูลเสียหาย 4) ทำ�ตัวให้ เหมาะสมที่จะรับมรดกไม่สุรุ่ยสุร่ายล้างผลาญ ทรัพย์สินที่พ่อแม่หาไว้ให้ 5) เมื่อท่านเสียชีวิตไป แล้วทำ�บุญอุทิศส่วนกุศลให้ท่าน” หลวงตาอธิบายยาวเหยียด
126
กู...ไม่ใช่อริยะ
“พวกคุณว่าใน 5 ข้อนี้ การทดแทนพระคุณ พ่อแม่ตอนทีท่ า่ นยังมีชวี ติ อยู่ กับตอนทีท่ า่ นตาย ไปแล้วพระพุทธเจ้าให้ความสำ�คัญกับอย่างไหน มากกว่ากัน” หลวงตาถาม “ตอนทีท่ า่ นยังมีชวี ติ อยูค่ รับ มีตง้ั 4 ข้อแน่ะ” ชายหนุ่มตอบ “อึม นัน่ สินะ แล้วมีขอ้ ไหนบ้างไหมทีบ่ อก ว่าต้องบวช” หลวงตาถามต่อ “ไม่ มี เ ลยครั บ ถ้ า อย่ า งนั้ น ไม่ ต้ อ งบวช ก็ได้สิครับ” ชายหนุ่มรีบตอบ “อย่าพึ่งด่วนสรุป ไอ้การที่วัยรุ่นคนหนึ่ง จะเข้าใจชีวติ ได้นน้ั อย่างน้อยก็ควรต้องบวชสักครัง้ จะได้รวู้ า่ ทำ�อย่างไร จึงจะเข้าใจถึงพระคุณของพ่อแม่
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
127
จะดำ�รงชีวิตอย่างไร จึงจะไม่ทำ�ให้ตระกูลของ ท่านเสียหาย หรือจะรักษาทรัพย์สมบัตขิ องท่าน ไว้ได้อย่างไร ฉะนั้นการบวชจึงเป็นเรื่องสำ�คัญ ประการหนึ่ง” “อ้าว แล้วกัน หลวงตาพูดอย่างนีก้ เ็ ข้าทาง คุณพ่อคุณแม่ผมสิครับ” เขาพูดทีเล่นทีจริง “ฮ่าๆ ใจเย็นๆ” หลวงตาขำ� แล้วอธิบายต่อ “มีพุทธพจน์ที่ตรัสถึงการทดแทนพระคุณ พ่อแม่ทางจิตวิญญาณไว้ว่า การที่จะตอบแทนคุณแก่บุคคลทั้งสอง คือ มารดาและบิดา เรากล่าวว่ากระทำ�ไม่ได้ ง่ายเลย ดูกอ่ นภิกษุทงั้ หลาย บุตรพึงแบกมารดา ด้วยบ่าข้างหนึง่ แบกบิดาด้วยบ่าข้างหนึง่ เขา มี อ ายุ มี ชี วิ ต อยู่ ต ลอดร้ อ ยปี และพึ ง ปฏิ บั ติ
128
กู...ไม่ใช่อริยะ
บำ�รุงท่านทั้งสอง ด้วยการอบกลิ่น การนวด การอาบน้ำ� และการดัดอวัยวะต่างๆ แก่ท่าน ทั้ ง สอง แม้ ท่ า นทั้ ง สอง ก็ พึ ง ถ่ า ยอุ จ จาระ ปัสสาวะบนบ่าของเขานั่นเอง ถึงกระนั้นเขาก็ ยังไม่ชื่อว่าตอบแทนบุญคุณแก่มารดาบิดา ดู ก่ อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย อนึ่ ง บุ ต รพึ ง ตั้ ง มารดาบิดาไว้ในราชสมบัติ มีอำ�นาจยิ่งใหญ่ ในแผ่นดินใหญ่ อันมีรตั นะ 7 ประการมากมายนี้ แม้กระนั้นก็ยังไม่ชื่อว่าตอบแทนคุณมารดา บิดา ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมารดาบิดามี อุปการะมาก เป็นผูบ้ �ำ รุงเลีย้ ง เป็นผูส้ อนให้ลกู รู้จักโลก ส่วนบุตรคนใด ทำ�ให้มารดาบิดาผู้ไม่มี ศรัทธาให้สมาทานตัง้ มัน่ ในศรัทธาสัมปทา ให้ มารดาบิ ด าผู้ มี ทุ ศี ล สมาทานตั้ ง มั่ น ในศี ล สั ม ปทา ให้ บิ ด ามารดาผู้ มี ค วามตระหนี่ สมาทานตั้งมั่นในจาคสัมปทา ให้มารดาบิดา
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
129
ผู้ ท รามปั ญ ญา สมาทานตั้ ง มั่ น ในปั ญ ญา สั ม ปทา ดู ก่ อ นภิ ก ษุ ทั้ ง หลาย ด้ ว ยเหตุ มี ประมาณเท่ า นั้ น และบุ ต รย่ อ มชื่ อ ว่ า เป็ น ผู้ กระทำ�ตอบแทนบุญคุณแก่มารดาบิดาแล้ว” “พูดง่ายๆ ก็คอื ทำ�ให้ทา่ นมีคณ ุ ธรรมสูงขึน้ นั่นชื่อว่าได้ทดแทนบุญคุณพ่อแม่แล้ว ที่ท่านว่า อย่างนั้น เพราะชีวิตต้องตอบแทนด้วยชีวิต การ เลี้ยงดูไม่ได้ให้ชีวิตใหม่ แต่การที่ทำ�ให้ท่านได้มี ศรัทธาเป็นต้นนั้น ถือว่าได้ให้ชีวิตใหม่ที่ดีกว่า เพราะเมื่อท่านมีศรัทธามั่นคงเป็นต้น ชีวิตของ ท่านในกาลต่อไปก็ดำ�เนินไปเพื่อสิ่งที่เป็นบุญ กุศล หากยังต้องเกิดในภพใหม่ก็มีแต่จะดียิ่งขึ้น นั่นคือการให้ชีวิตใหม่แก่พ่อแม่” “ฉะนัน้ เพียงการบวชจึงไม่เป็นการทดแทน แต่อุบายอันเกิดจากการบวชนั้นแหละมักเป็น เหตุให้พ่อแม่ได้เข้าวัดมากขึ้น หลวงตาเห็นมา เยอะแล้ว พอลูกบวช พ่อแม่ก็บวชด้วย ลูกสึก
130
กู...ไม่ใช่อริยะ
พ่อแม่ก็สึกด้วย ซึ่งการที่พ่อแม่ได้เข้าวัดมากขึ้น หากลูกได้แนะนำ�เองก็ดี หรือให้พ่อแม่ได้โอกาส ฟังธรรมจากครูบาอาจารย์กด็ ี ก็อาจทำ�ให้พอ่ แม่ ได้ศรัทธาเพิม่ ขึน้ หรือคุณธรรมเพิม่ ขึน้ ในระดับใด ระดับหนึง่ นัน่ ก็เป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ได้ ทุกภพทุกชาติเลยทีเดียว” หลวงตาอธิบายเพิ่มเติม “เดีย๋ วครับหลวงตา แล้วทีว่ า่ ลูกบวชพ่อแม่ ก็บวชด้วย ลูกสึกพ่อแม่ก็สึกด้วยหมายความว่า อย่างไรครับ” เขาถามด้วยความสงสัย “อ้ า ว พอลู ก บวช พ่ อ แม่ ใ ส่ บ าตรพระ ลูกชายได้ทกุ วัน แต่พอลูกสึก พ่อแม่กเ็ ลิกใส่บาตร แม้เป็นอย่างนี้ก็ยังดีกว่า พ่อแม่ที่เอาลูกมาบวช แล้วก็ไม่โผล่มาอุปถัมภ์บำ�รุงเลย เหมือนตัดหาง ปล่อยวัดยังไงยังงั้น” หลวงตาหัวเราะเบาๆ แล้วจึงพูดต่อ
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
131
“ดังนั้นการบวชจึงเป็นเพียงอุบายขั้นต้น ยังไม่ใช่การทดแทน นอกจากการบวชจะเป็นการ ให้โอกาสแก่ตัวเราเอง ที่จะได้สั่งสมบุญ-เจริญศีล สมาธิ - ปั ญ ญา อย่ า งเต็ ม ที่ แ ล้ ว ยั ง เป็ น การ ตอบแทนพระคุณบิดามารดาผู้ให้กำ�เนิดเราอีก ด้ ว ย มารดาบิ ด านั บ เป็ น บุ ค คลที่ มี พ ระคุ ณ อั น ยิง่ ใหญ่ตอ่ เรา ท่านได้ให้ก�ำ เนิดกายเนือ้ เป็นต้นแบบ ทั้งทางกายและทางใจ ทำ�ให้เรามีโอกาสสร้าง ความดี จึงจำ�เป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องหาโอกาส ตอบแทนคุณของท่าน ใครทำ�ได้เช่นนี้ ย่อมได้ชอื่ ว่าเป็นลูกยอดกตัญญู” ชายหนุ่มหน้าตาแช่มชื่นขึ้นมา พยักหน้า อย่างเข้าใจ “ฟังหลวงตาอธิบายแล้วค่อยอยากบวชขึน้ มาหน่อย” หลวงตาฟังแล้วชื่นใจ “ดีแล้วลูก ถ้าอย่างนั้น ก็เอาบทขานนาค
132
กู...ไม่ใช่อริยะ
คือคำ�ขอบวชไปท่องให้ขึ้นใจ ให้เหมือนกับที่เรา ตัง้ ใจบวช ในคำ�ขอบวชนัน้ พระพุทธเจ้าท่านบอก เป้าหมายของการบวชเอาไว้แล้ว คือการทำ�พระ นิพพานให้แจ่มแจ้ง ไม่ใช่บวชพอให้แล้วๆ หรือ บวชเพื่ อ ถอนทุ น คื น แต่ ก ารบวชเพื่ อ ทำ � พระ นิพพานให้แจ้งนั่นแหละ จะทำ�ให้เราเป็นพระที่ดี เป็นเนือ้ นาบุญของโลก มีโอกาสได้โปรดสัตว์คอื ให้ญาติโยมเขาได้บุญกับเรา ไม่ใช่ให้สัตว์โปรด” หลวงตาให้กำ�ลังใจ “เป็นยังไงครับให้สัตว์โปรด” เขาสงสัย “เอ้าก็อย่างที่คนโบราณเขาบอกไง บวช หลบ บวชลี้ บวชหนีการงาน บวชผลาญข้าวสุก บวชสนุกตามเพื่อน บวชเปื้อนพระศาสนา บวช เป็นขี้ข้าชาวบ้าน กินๆนอนๆ พอให้ผ่านไปวันๆ รอแต่วันจะสึก ถ้าบวชอย่างนี้ ไปบิณฑบาตทีไร ก็กลายเป็นให้ชาวบ้านเขาโปรด ไม่ใช่ไปโปรดเขา”
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
133
ทั้งสามคนยิ้มขำ�ๆ “คุณอย่าลืมว่าชีวิตพระ ไม่ต่ำ�ที่สุดก็สูง ที่สุดไปเลย” หลวงตา เรียกความสนใจเพิ่ม “เป็นอย่างไรหรือครับ” หนุ่มน้อยถามด้วยความสนใจ “คำ�ว่าภิกษุแปลได้ 2 อย่าง คือแปลว่าผูข้ อ กับผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร” หลวงตากระแอม “ถ้าเป็นพระที่ไม่ดี บวชมาเพราะหวังลาภ สักการะ ก็เป็นได้แค่เพียงขอทานจอมลวงโลก เลวยิง่ กว่าขอทานทัว่ ไปเสียอีก จะเรียกว่าขอทาน จัญไรก็ได้ เพราะหลอกชาวบ้านว่าตนเป็นพระ นี่เรียกว่าต่ำ�สุด...” หลวงตามองหน้าผู้มาขอบวช “แต่ ถ้ า เป็ น พระที่ ดี ตั้ ง ใจศึ ก ษาปฏิ บั ติ
134
กู...ไม่ใช่อริยะ
จะเป็นคนที่มีคุณสูงสุด ประเสริฐที่สุด เป็นเนื้อ นาบุญของโลก เพราะเป็นผู้เห็นภัยในวัฏสงสาร คุณเข้าใจไหม” เขายิม้ พลางเอ่ยขึน้ มาดุจเป็นคำ�สัญญาที่ ให้ไว้กับหลวงตา “ครับ ผมจะตั้งใจเป็นพระที่ดีครับ” หลังจากที่กำ�หนดวันบวช ได้รับคำ�ชี้แจง วิธีการท่องขานนาคและรับใบสมัครบวชแล้ว ชายหนุ่มก็กราบลาหลวงตาด้วยใบหน้าเอมอิ่ม หลวงตาคิดคำ�นึง พลางทอดถอนใจ ‘จะมีสักกี่คนน้อ ที่ตั้งใจบวชเป็นทายาท พระศาสนา ตอนมาสมัครก็ดตู งั้ ใจดี แต่พอบวช แล้วก็สู้กับความขี้เกียจไม่ได้สักคน’
พระมหาวิเชียร ชินวํโส
“พระธรรมดา”
๏ ก็แค่พระธรรมดา...หลวงปู่หลวงตา
ยศถาศักดามิเอา ๏ เพียงตื่นภาวนาตอนเช้า หอบบาตรลูกเก่า ขอข้าวชาวบ้านเขากิน ๏ ชีวิตเหมือนนกโบยบิน ท่องเหนือเมฆิน ไม่แบกไม่หอบใดใด ๏ มีเพียงกลดบาตรหนึ่งใบ กับทั้งผ้าไตร ท่องไปเหนือโลกโศกตรม ๏ ผืนฟ้าใช้แทนผ้าห่ม แผ่นดินแทนพรม นอนฟังหรีดหริ่งเรไร ๏ อยู่บนยอดเขาเนาไพร ไม่เกาะเกี่ยวใด ดวงใจปลอดมายาการ ๏ ขับเพลงพุทธมนต์เบิกบาน แต่งบทกวีกานต์ วิญญาณศานติเสรี ๏ เสียงนกแทนเสียงดนตรี กล่อมวนาลี หิ่งห้อยร้อยแสนแทนไฟ ๏ เก็บกิ่งไม้ ในพงไพร กองฟืนก่อไฟ ต้มน้ำ�ร่ำ�แทนสุรา ๏ พูดคุยกับสุญญตา ขบโศลกปรัชญา เอื้อนเอ่ยวจีเตือนตน ๏ เรียบง่ายไร้ห่วงกังวล ปลดปล่อยตัวตน
...อิสระเป็นพระธรรมดา...
@ เสาเดี่ยว, โคราช / ๑๐.๐๖ น. / ๒๐ ก.พ. ๕๒
136
กู...ไม่ใช่อริยะ
เส้นทางสร้างบุญ 1.สร้างอุโบสถวัดวังหิน ติดต่อบริจาคร่วมบุญได้ท่ี พระมหาวิเชียร ชินวํโส โทร. 087-308-4387 หรือร่วม บริจาคผ่านทางบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาสิงหวัฒน์ พิษณุโลก เลขที่บัญชี 644-0-35909-6 2.มูลนิธิจิตตภาวนาชินวงส์ เพื่อการจัดโครงการ พัฒนาชีวิตด้วยจิตภาวนา,โครงการความรู้สู่ความสุข ช่วงสุดท้ายของชีวติ ติดต่อสอบถาม คุณพรทิพย์ นวลศิริ เหรัญญิก โทร.084-688-8272 ชือ่ บัญชี มูลนิธจิ ติ ตภาวนา ชินวงส์ ธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนสิงหวัฒน์ พิษณุโลก บัญชีเลขที่ 535-0-46653-7 3.กองทุนเผยแผ่ธรรม เพื่อผลิตสื่อวีซีดีธรรมะ และหนังสือธรรมะ ติดต่อบริจาคได้ท่ี คุณพรทิพย์ นวลศิริ หรือบริจาคผ่านบัญชีธนาคารกรุงเทพ สาขาถนนสิงหวัฒน์ พิษณุโลก ชื่อบัญชี พระมหาวิเชียร ชินวํโส เลขที่บัญชี 535-0-22451-4 4.ค่าน้ำ�-ค่าไฟ วัดวังหิน ติดต่อสอบถามได้ที่ คุณประชุม สุขเสวก ไวยยาวัจกร โทร.081-888-5276 หรือบริจาคผ่านบัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาถนนสิงหวัฒน์ บัญชีเลขที่ 644-0-29335-4