LONG LIVE LESSONS | (BORN-OLD-TILL-DIE SERIES 03)

Page 1

LONG LIFE LESSONS

เพลานำล อ ง ทั ่ ว ท อ งโลกา จดจำจรรจา เริ ่ ม เรี ย นรู  ไ ป


Have you ever been a Bully? คุณเคยโดนใครกลั่นแกล้งทางค�ำพูดหรือ เปล่า? ว่ากันว่า ค�ำพูดในเชิง ค�ำด่าทอ เปรียบเสมือนมีดที่มองไม่เห็นก�ำลังทิ่ม แทงใจเราอยู่ ค�ำเหล่านั้นส�ำหรับบางคนมันคือค�ำอัน แสนห่างไกลหรือแสนจะใกล้ตัว เชื่อว่าทุกคนต้องเคยประสบพบเจอค�ำพูด เชิงดูถูกดูแคลนจากคนอื่นๆมาไม่มากก็ น้อย ...และฉันก็เป็นหนึ่งคนในนั้นเช่นกัน

ฉันเมื่อตอนอนุบาล ใส่ชุดนักเรียนครั้งแรก



ประถม

“ร่าเริง และ รับรู้”

“หูย ลูกป้านะ สอบได้ที่ 1 ตลอดเลย แล้วเราล่ะสอบได้ที่เท่าไหร่” ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ลำ�ดับ 25 จาก 32 เกรดเฉลี่ย 3.37 “ลูกนาย a ได้เกรด 4.00 มาหลายปีเลยนะ เราก็ทำ�ให้ได้บ้างสิ” ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ลำ�ดับ 15 จาก 32 เกรดเฉลี่ย 3.95 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ลำ�ดับ 18 จาก 32 เกรดเฉลี่ย 3.50 ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ลำ�ดับ 11 จาก xx เกรดเฉลี่ย 3.68 “อยากได้อะไรสอบให้ได้เลขตัวเดียวก่อน ถ้าได้เดียวจะให้” ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ลำ�ดับ 09 จาก xx เกรดเฉลี่ย 3.80 “ไม่ได้เรื่องเลย ทำ�ไมทำ�ได้เท่านี้” ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ลำ�ดับ 06 จาก xx เกรดเฉลี่ย 3.90


ณ ช่วงเวลาวัยประถมของฉันนั้น ตอน ป.1 ฉันจ�ำได้ว่า ฉันเป็นเด็กร่าเริง ปกติคนหนึ่ง ยิ้มแย้มแจ่มใส ช่างพูด ช่าง คุย การไปโรงเรียนของฉันในแต่ละวันมัน คือความสนุก ผลการเรียนและล�ำดับที่ แทบไม่ได้มีผลอะไรกับฉันเลย ณ ช่วงเวลานั้น แต่ฉันจ�ำเหตุการณ์หนึ่งในวัน “รักลูกดั่ง ดวงใจ” ตอนฉันอยู่ ป.1ได้ วัน รักลูกดั่งดวงใจ คือวันที่ผู้ปกครองของ แต่ละคนจะต้องมาที่ ร.ร.เพื่อฟัง


การบรรยายต่างๆจากคณาจารย์ที่ ร.ร.และ เป็นวันรับใบ รายงานผลการ พัฒนาคุณภาพการเรียนรายบุคคล ซึ่ง ส�ำหรับฉันมันก็คือ วันเกรดออกนั้นเอง... ฉันจ�ำได้ว่าวันนั้น ป๊า(พ่อ)เป็นคนมารับใบ เกรดเอง สายตาของป๊านั้นเรียบเฉยตอน มองเกรดของฉัน และฉันก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะท่านก็ดูไม่ได้คิดอะไรเช่นกัน แต่พอ ฉันเดินห่างออกมาระยะหนึ่ง ฉันได้ยิน เสียงถอนหายใจเบาๆ “เฮ้อ...” การถอนหายใจครั้งนั้น ช่วงวินาทีนั้น ณ ตอนฉันเป็นเด็ก ฉันไม่ได้คิดอะไร แต่ไม่รู้ ท�ำไมจนถึง ทุกวันนี้ ฉันยังจ�ำเหตุการณ์นั้นได้แม่นเหลือเกิน


ถ้าฉันจ�ำไม่ผิด ฉันจ�ำได้ว่า ในวัยเด็กนั้นฉัน เป็นเด็กคนหนึ่งที่พูด ไม่ค่อยชัดฉันไม่ สามารถพูดควบกล�้ำหรือกระดกลิ้นได้ (เอาจริงๆทุกวันนี้ก็ยังท�ำไมได้ 5555) นอกจากนี้ ฉันยังอ่อนภาษาอังกฤษมาก แบบมากที่สุด คุณครูเลยกวดขันฉันด้วย การจับฉันมานั่งอ่านหนังสือภาษาไทย เพื่อให้ฉันสามารถออกเสียงได้ชัดขึ้น ฉัน ต้องท�ำแบบนี้ทุกครั้งก่อนกลับบ้าน ภาษาอังกฤษเช่นกัน ฉันต้องท�ำแบบฝึกหัด มากกว่าคนอื่นเสมอคิดว่าน่าจะฝึกหนัก พอตัวแต่ตอนนี้ฉันลืมไปแล้วว่าตอนนั้นท�ำ อะไรบ้าง... ช่วงประถมฉันจ�ำได้ว่าฉันเรียนพิเศษแบบ หนักมาก ฉันน่าจะเริ่มเรียนอย่างจริงจัง ตอน ป.4 ในตอนแรกที่ฉันอยากเรียน พิเศษนั้น มันเป็นเพราะว่า ฉันแค่อยากได้ ค่าขนมเพิ่ม เหตุผลตั้งต้นคือเท่านั้นจริงๆ แต่ยิ่งนานวันเข้า จากช่วง ป.4 ไปสู่ ป.5 และ ป.6 การเรียนเพื่อเอาค่าขนม มันได้ แปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นแทน ความกดดัน และความเครียด


ได้ถาถมเข้ามา การติวสอบเพื่อเตรียมตัว เข้าม.1 ความคาดหวังที่จะสอบเข้าห้องคิง (เป็นห้องเรียนวิทย์-คณิตเข้มข้นกว่าห้อ งอื่นๆ)จึงบังเกิดขึ้น ช่วง ป.6 ฉันเรียนพิเศษทุกวันจันทร์-เสาร์ เลิกเรียน 6 โมงเย็นทุกวัน ยิ่งช่วงใกล้ เตรียมสอบเข้าฉันกลับบ้าน 1 ทุ่มบ่อยๆ สถาบันติวอยากให้พวกเราท�ำข้อสอบได้ เลยเพิ่มเวลาติวให้ สถาบันติวเอาข้อสอบ ม.ต้นต่างๆมาให้ฉันลองท�ำ บอกเลย ว่าเครียดฉิบหายตอนนั้นพูดเลย “It a very fucked up!!” สุดท้ายแล้วเมื่อถึงวันสอบจริงฉันก็ไปสอบ เข้าห้องคิงแต่ผลที่ได้คือ ฉันไม่ติด


นอกจากฉันจะยังสอบไม่ติดห้องคิงของที่ นั้นแล้ว ร่างกายฉันนั้นมันก็ส่งสัญญาณมา หาฉันและนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้น ของโรค ความผิดปกติทางประสาทเรื้อรังอย่างหนึ่ง ลักษณะเด่นคือปวดศีรษะปานกลางถึงขั้น รุนแรงเป็นซ�้ำ มักสัมพันธ์กับอาการทาง ระบบประสาทอิสระจ�ำนวนหนึ่ง หรือสิ่งที่ เรียกว่า ไมเกรน นั่นเอง



“ร่าเริง และ รับรู้” ฉันเมื่อยังเด็กในกิจกรรมวันเด็ก ที่ลุกขึ้นไปเต้นบนเวที อย่างร่าเริงและสนุกสนาน


มัธยมต้น “นิ่งเฉย และ จดจำ�”

"เนี่ย จบไปก็ต่อราชการสิ สบายจะตาย" ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เทอม 1 ลำ�ดับ 04 จาก 43 เกรดเฉลี่ย 3.66 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เทอม 2 ลำ�ดับ 02 จาก 43 เกรดเฉลี่ย 3.91 ห้องธรรมดา "เรียนหมอนะ เงินเดือนจะได้สูงๆ" ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เทอม 1 ลำ�ดับ 04 จาก 42 เกรดเฉลี่ย 3.68 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 เทอม 2 ลำ�ดับ 03 จาก 42 เกรดเฉลี่ย 3.81 ห้องธรรมดา "เนี่ยลูกญาติเรียนกายภาพบำ�บัด ม.ดังมาเงินเดือนดีมากเลยนะ เรียนแบบนี้มั้งสิ" ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เทอม 1 ลำ�ดับ 05 จาก 41 เกรดเฉลี่ย 3.70 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เทอม 2 ลำ�ดับ 05 จาก 41 เกรดเฉลี่ย 3.80 ห้องธรรมดา "เรียนวิทย์-คณิตสิดี เรียนได้หลายสาย" ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 เกรดเฉลี่ยรวม 3.76 ห้องธรรมดา ต่อมัธยมปลาย ห้องวิทย์-คณิต ยื่นเกรด 3.50+ ไม่ต้องสอบคัดเลือก ห้องคณิต-อังกฤษ ยื่นเกรด 3.00+ ไม่ต้องสอบคัดเลือก ห้องอื่นๆ ยื่นเกรด 2.00+ ไม่ต้องสอบคัดเลือก เลือก ห้องคณิต-อังกฤษ


หลังจากที่ฉันสอบเข้าห้องคิงไม่ได้แล้ว ฉัน ได้พยายามลองสอบอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ เป็นการสอบห้องธรรมดา ผลสรุปคือ ฉัน ได้เข้ารับการศึกษา ถึงแม้ห้องที่ฉันไปอยู่ จะเป็นอันดับท้ายๆก็ตาม ตลอดระยะว่าที่ฉันได้เรียนช่วงมัธยมต้นที่ ผ่านมา ฉันตั้งใจและพยายามอย่างหนัก เพื่อที่ฉันจะสอบได้ที่ 1 สักครั้ง แต่ก็อย่าง ที่เห็น ฉันยังท�ำไม่ได้เลย พวกผู้ใหญ่มักจะ ชอบถามฉันว่า “ฉันได้ที่เท่าไหร่” แน่นอน ฉันไม่เคยได้ที่ 1 มันท�ำให้ในใจฉันลึกๆใน ตอนนั้นเจ็บปวด ไม่ใช่แค่เพราะการที่ฉัน ไม่ได้ที่ 1 จะท�ำให้ฉัน


เจ็บปวดอย่างเดียว แต่ฉันมักจะถูกเปรียบ เทียบกับคนอื่นๆที่ พวกเขาคิดว่าดีกว่าฉัน เสมอ ทั้งยังโยงถามไปถึงอนาคตอีกว่า ม.ปลายว่าฉันจะเรียนอะไร? จะเรียนมหาวิทยาลัยไหน? จบมาจะท�ำอาชีพอะไร? แน่นอนฉันมีค�ำตอบในใจ เกริ่นก่อนว่า ฉันเป็นคนชอบวาดรูปมาก ตั้งแต่เด็ก ฉันวาดรูปตั้งแต่ยังจ�ำความได้ ศิลปะมันเป็นสิ่งที่อยู่ในใจฉันมาเสมอ ถ้า ให้พูดถึงอนาคตข้างหน้าว่าฉันจะท�ำอะไร ใน จะเรียนอะไร ในอนาคต เท่าที่ฉันรู้ใน ตอนนั้นอาชีพที่เกี่ยวศิลปะในโลกของฉัน ตอนนั้นคือ นักเขียนการ์ตูน อาจารย์ ศิลปะ ซึ่งแน่นอนตัดช้อยอาจารย์ออกไป ได้เลย เพราะฉันคิดว่าตัวเองไม่น่าจะสอน ใครได้ ประกอบกับที่ฉันชอบดูการ์ตูนมาก ดังนั้น ค�ำตอบที่ฉันจะตอบคือ “เรียนศิลปะกับเป็นนักเขียนการ์ตูนค่ะ”


และแน่นอนอีกว่าทุกคนบอกฉันว่าเรียน ศิลปะมันไส้แห้ง หางานยาก ไปหาอาชีพที่ มันมั่นคงกว่านี้ดีกว่า เช่นการต่อราชกาลมี สวัสดิการต่างๆ รองรับ แก่ไปจะได้ไม่อด ตาย นั้นคือประโยคต่างๆ ที่ฉันมักได้เมื่อตอบค�ำถามเหล่านั้น ความ คิดที่จะเรียนศิลปะของฉันมันก็ถดถอยลง ฉันจึงคิดว่า จะเรียนให้ดีไปก่อนแล้วหา งานดีๆ ที่มั่นคงท�ำ เก็บเรื่องศิลปะไว้เป็น เรื่องส่วนตัว ฉันจึงตั้งใจเรียนขึ้นเรื่อยๆ พยายามที่จะสอบให้ได้ที่ 1 จนถึง ณ ตอน มัธยมต้น ฉันยังคงเรียนพิเศษเสริมเช่นเคย เหมือนที่ผ่านมา แม้ว่าสายการเรียนการสอนในห้องของฉัน จะไม่เน้นการเรียนการสอนวิชาวิทย์-คณิต เหมือนห้องคิง แต่ฉันก็เรียนพิเศษเสริมเอา เพื่อที่ว่าฉันจะได้ต่อม.ปลายห้องวิทย์คณิตได้ ฉันเรียนพิเศษทุกวันเสาร์ ช่วง ชีวิตของฉันขณะนั้นเท่าที่จ�ำได้มัน แทบ ไม่มีมากเลย


วันจันทร์

- เรียน

วันอังคาร

- เรียน

วันพุธ

- เรียน

วันพฤหัสบดี

- เรียน

วันศุกร์

- เรียน

วันเสาร์ วันอาทิตย์

- เรียนพิเศษ - ท�ำการบ้านที่เหลืออยู่

อย่างงี้เรียกได้ว่า ไม่มีอะไรเลยดีกว่า ฉัน อยู่ติดบ้านมากขึ้น ไม่ได้ออกไปเล่นข้าง นอก เพราะฉันไม่ค่อยมีเวลา เอาจริงต่อ ให้ออกไปได้ ฉันก็ไม่รู้จะท�ำอะไร ที่ไหน อยู่ดี เพื่อนรอบตัวฉัน ณ ตอนนั้นก็เรียน พิเศษเช่นกัน เจอกันน้อยลง เวลาว่างส่วน ใหญ่ของฉันเลยจบลงที่การดูทีวี วาดรูป อยู่บ้าน ตัวตนของฉันค่อยๆเริ่มเปลี่ยน ฉันพูดน้อยลง และนิ่งขึ้น ไม่แน่ใจเหมือน กันนะ ว่ามันเปลี่ยนเป็นแบบนี้ตั้งแต่เมื่อ ไหร่ แต่รู้ตัวอีกทีมันก็เป็นแบบนี้ไปเสีย แล้ว


ณ ช่วงเวลาที่ฉันเรียนอยู่ ฉันจ�ำได้ลางๆว่า ฉันปวดหัวมาก แต่มันปวดหัวแค่ข้างเดียว คือด้านซ้าย ระยะแรกๆฉันทนได้แต่มัน หนักขึ้นเรื่อยๆจนฉันทนไม่ได้ ฉันไปหา หมอ จากผลการตรวจก็พบว่า ฉันมีภาวะ เครียดและเป็นไมเกรน ในช่วงแรกๆหลัง การตรวจฉันต้องทานยารวมทั้ง ช่วงนั้น การเรียนของฉันมันยากขึ้นเรื่อยๆไม่ใช่ที่ ห้องเรียนปกติแต่มันคือที่ เรื่องที่ฉันได้ เรียนรู้จากที่เรียนพิเศษ ฉันรับรู้ได้ว่าสมอง ฉันไม่ชอบการเรียน เรื่องราวเหล่านัี้นเป็น อย่างมาก ทุกครั้งที่ฉันไปเรียนพิเศษ การต้องเจอ สถานการณ์ที่ตึงเครียด วิชา เคมี ฟิสิกส์ ชีวะ ที่ฉันไม่เข้าใจมันท�ำให้ ฉันปวดหัว จากทั้งหมดนี้มันท�ำให้ฉันรับรู้ ได้ว่าฉันไม่สามารถไปต่อทางนี้ได้ ฉันท�ำไม่ ได้จริง ฉันรู้ว่าตัวเองชอบอะไรนะ แต่มันมี ความเสี่ยงที่ฉันจะไปต่อทางนั้น จบมาฉัน ต้องหางานดีๆท�ำ ฉันเป็นลูกคนเดียว พ่อ แม่ฉันแก่มากแล้ว ฉันต้องมีเงิน


เวลาผ่านไปจนถึงช่วง ม.3 เทอม 2 ที่ใกล้ จะสิ้นสุดลง ทุกคนต้องเลือกแผนการเรียน ม.ปลายของตัวเองและในช่วงเวลานั้นความ พยายามต่อการเรียนมันก็ส่งผลต่อฉัน เกรด ของฉันเฉลี่ยรวมมันสูงจน ฉันสามารถเลือก เรียนแผนการเรียนไหนก็ได้โดยไม่ต้องสอบ เข้าถ้าฉันยังเรียน ม.ปลายที่เดิม แน่นอนฉัน เรียนม.ปลายที่เดิมอยู่แล้ว ฉันต้องมาตัดสิน ใจเลือกว่าฉันจะเรียนแผนการเรียนไหน มัน มีทั้งหมด 4 แผนการเรียนหลักๆ คือ วิทยาศาสตร์-คณิตศาสตร์ คณิตศาสตร์-ภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษ-ศิลปะ+สังคม ภาษาอังกฤษ-ภาษาที่สอง แน่นอนฉันอยากเลือกเรียนศิลปะ แต่ฉันก็ ต้องคิดถึงความมั่นคงต่างๆที่จะตามมาฉัน ไม่เรียน วิทย์-คณิต แน่ๆเพราะมันทำ�ให้ฉัน ปวดหัวประกอบกับมีเพื่อนคนหนึ่งของฉัน มาเตือนสติฉันไว้ว่า “เลือกดีๆ เพราะมันส่งผลต่อทั้งชีวิตของ เรา”


ดังนั้นฉันเลยตัดสินใจที่จะเลือกเรียน แผนการเรียน คณิต-อังกฤษ คุณคงสงสัยว่า อ้าว ไม่เรียนแผนศิลปะ หรอ? สาเหตุที่ไม่เลือกเรียนศิลปะโดยตรง เลยเพราะฉันนั้นอยาก เผื่อเลือก ไว้ก่อน เผื่อไว้ว่าฉันไปเรียนคณะอื่นๆที่ไม่ใช่ศิลปะ ฉันจะได้มีตัวเลือกในการสอบเข้าเยอะขึ้น ฉันจึงลงเรียนแผนการเรียนนั้นไปแล้วค่อย บอกพ่อแม่ ตอนนั้นป๊าโกรธจนไม่คุยด้วยเลยนะช่วง แรกๆ55555 แต่สุดท้ายก็คุยๆกันได้แล้ว ตอนปิดเทอม ม.3 ขึ้น ม.4 ฉันจึงใช้เวลา ช่วงปิดเทอมหาทุกคณะที่เกี่ยวกับศิลปะ เลยท�ำให้ฉันรู้ว่า มันต้องสอบดรออิ้งเข้า


มัธยมปลาย “ร้อนรน และตัดสินใจ”

"ทำ�ไมไม่เรียนวิทย์-คณิตล่ะ มาต่อสายศิลป์ทำ�ไม?" ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เทอม 1 ลำ�ดับ 02 จาก 40 เกรดเฉลี่ย 3.48 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เทอม 2 ลำ�ดับ 02 จาก 40 เกรดเฉลี่ย 3.51 ห้องคณิต-อังกฤษ "ลูกอาก็ได้เกรด 3 กว่าๆเหมือนกัน แต่อยู่ห้องวิทย์-คณิตนะ" ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เทอม 1 ลำ�ดับ 03 จาก 40 เกรดเฉลี่ย 3.51 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เทอม 2 ลำ�ดับ 02 จาก 40 เกรดเฉลี่ย 3.81 ห้องคณิต-อังกฤษ "เรียนศิลปะหาเงินยากนะ ทำ�ไมไม่เข้าพวกวิศวะล่ะหรือไม่ก็ต่อราชการหางานง่ายๆ" ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เทอม 1 ลำ�ดับ 01 จาก 40 เกรดเฉลี่ย 3.71 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เทอม 2 ลำ�ดับ 05 จาก 40 เกรดเฉลี่ย 3.50 ห้องคณิต-อังกฤษ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4-6 เกรดเฉลี่ยรวม 3.59 ห้องคณิต-อังกฤษ เลือกเรียน คณะศิลปกรรมศาสตร์ ม.เอกชนแห่งหนึ่ง


ฉันได้รู้มาว่า การเตรียมสอบเข้าเรียน คณะศิลปะจะต้องมีทักษะดรออิ้ง ซึ่งฉัน ไม่มี่เลยในตอนนั้น ฉันค้นหาไปเรื่อยๆ และค้นพบว่ามหาวิทยาลัยเอกชนจะมี การสอนที่ต่างจากมหาวิทยาลัยรัฐบาล มหาวิทยาลัยเอกชนมีข้อดีที่ฉันคิดไว้คือ ไม่ต้องสอบเข้า ไม่ต้องมีทักษะก็สมัครเรียนได้ แต่ในข้อดีเหล่านั้นมันแลกมาด้วยการ จ่ายค่าเทอมที่แพงขึ้น แน่นอนม.เอกชน ค่าเทอมมันแพงกว่าม.รัฐบาลอยู่แล้ว แต่ฉันได้ลองดูค่าเทอมคณะต่างๆแล้ว เทียบค่าใช้จ่ายดูแล้ว มันก็แทบไม่ต่าง กัน ฉันจึงตั้งมั่นไว้ว่าจะเข้าเอกชนแต่ ด้วยค่าเทอมที่แสนแพงนี้ ฉันเลยจะลอง สมัครทุนการศึกษา เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ ฉันตั้งเป้า ไว้ว่าม.ปลายนี้ฉันต้องเรียนให้เกรด มากกว่า 3.50 เพื่อที่ว่าเวลาสมัครทุน ฉันจะได้ผ่านเกณฑ์คัดเลือก


ช่วงม.ปลายนี้ ฉันเรียนพิเศษน้อยลงส่งผล ให้ระยะที่ผ่านมา ฉันปวดหัวน้อยลง ไม่ได้ กินยาแก้ไมเกรนอีกแล้ว มีปวดหัวบ้าง เวลาเจออากาศร้อนหรือ เรื่องราวอื่นๆแต่ถือว่าลดน้อยลงกว่าแต่ ก่อนเยอะ ด้วยความที่ฉันไม่ต้องเจอวิชา สายวิทยาศาสตร์ด้วยล่ะ ฉันเลยมีความ สบายตัวมากกว่าแต่ก่อน แน่นอนว่าการที่ฉันเลือกที่จะเดินสายทาง นี้ พวกผู้ใหญ่ไม่ค่อยเห็นด้วยกับฉันเท่า ไหร่ ฉันยังคงโดนเปรียบเทียบเรื่องเกรด เช่นเดิม ฉันไม่เคยได้เกรด 4.00 ไม่เคย ได้ที่ 1 นั้นยังคงเป็นตราบาปในใจฉัน เวลาผ่านไปสู่การเรียนปีสุดท้ายของช่วง ชีวิตมัธยม ฉันยังคงตั้งใจเรียนต่อไปเรื่อยๆ “เหนื่อยไหมช่วงนั้น?”


ถ้าเป็นตัวเองตอนนี้ที่แก่ขึ้นมองย้อน กลับไปเห็นเด็กม.ต้นที่ลากยาวมาถึง ม.ปลายที่วันๆไม่ได้ท�ำอะไรอย่างอื่นเลย นอกจากเรียน ฉันว่ามากกว่าเหนื่อยคือ น่าเศร้า แต่ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ฉัน เลือกที่จะเปลี่ยนเรื่องราวพวกนี้ไหม ค�ำ ตอบของฉันก็คงเป็น ไม่ เพราะฉันคิดว่า ถ้าฉันไม่ได้เติบโตและ เรียนรู้มาแบบนี้ ฉันก็คงไม่ใช่ฉันทุกวันนี้ และแล้วก็ถึงวันออกเกรด ม.6 เทอม 1 สิ่งมหัศจรรย์ได้เกิดกับฉัน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เทอม 1 ล�ำดับ 01 จาก 40 เกรดเฉลี่ย 3.71 ใช่!! ฉันสอบได้ที่ 1 ของห้อง ฉันควรดีใจใช่ไหม ใช่สิ!! ครั้งแรกในชีวิต เลยนะ เวลาหลาบสิบปีที่ฉันได้พยายาม มาเพื่อการเรียนที่ได้ที่ 1 ของฉัน แต่ว่า ในตอนนี้พอได้เข้าแล้วจริงๆ กลับรู้สึก


ว่างเปล่ามากเลย

มันไม่ได้ดีใจ หรือ magic moment ขนาดนั้น ฉันไม่ได้รู้สึกว่าตัวฉันได้ต่างไป จากเดิม ฉันไม่ได้ได้อะไรจากการเรียนใน ครั้งนี้ ชีวิตฉันแทบไม่ต่างไปจากเดิม จน บางทีฉันก็คิดว่า นี่หรอคือความรู้สึกของ การได้ที่ 1 ฉันไม่ได้มีความภาคภูมิเหมือน ที่ฉันจะคิดไว้เลย สิ่งที่แตกต่างออกไปจาก เดิมนั้นก็คือ ค�ำพูดของพวก ผู้ใหญ่ที่เปรียบเทียบฉันกับคนอื่น ค�ำพูด พวกนั้นได้หายไปจากฉันแล้ว เป็นครั้ง แรกๆที่ฉันรู้สึกโล่งใจขนาดนี้ว่าฉันจะไม่


โดนเปรียบเทียบอีกแล้ว เป็นการเหนื่อยที่ ดูคุ้มค่ารึเปล่านะ พอฉันได้ที่ 1 ในครั้งนี้จังหวะมันลงที่เป็น ช่วงสมัครสอบของมหาวิทยาลัยต่างๆ เกรดสะสมที่ใช้ยื่นสอบก็ครบแล้ว เทอมที่ สองของฉันเลยไม่จ�ำเป็นต้องใช้ ฉันเลยตัดสิน ช่างแม่งไปเลยยยยยยยย ไม่สนเกรดการเรียนที่เรียนมาอีกต่อไป เอาเวลาไปท�ำอย่างอื่น เก็บเงินสมัครเรียน ติวศิลปะเอง หาเวลาออกก�ำลังกายเพิ่ม ภูมิต้านทานให้ตัวเองเพื่อรับมือกับการ เรียนในช่วงมหาวิทยาลัย ฉันมีความสุข มาก ณ ช่วงเวลานั้น มันเหมือนเป็นช่วง ปลดปล่อยเวลาที่ผ่านมา ชดเชยเวลาใน หลายๆปี เรียกได้ว่า มันคือความสุข ณ ขณะหนึ่งในชีวิตของฉันเลยก็ว่าได้ จนถึงตอนนี้ฉันยังไม่มีที่เรียนมหาวิทยาลัย


ฉันรอช่วงเวลาเปิดรับสมัครเด็กทุนจาก ม.เอกชนต่างๆ ฉันลองสมัครเข้า ท�ำพอร์ต โพลิโอเองทั้งหมด ผลก็คือฉันได้ติดเข้ารอบสัมภาษณ์ จุด อ่อนที่สุดของฉัน ณ ช่วงเวลานั้นคือ การ พูด ถ้าไม่รู้สึกสนิทใจกับใครฉันจะพูดน้อยลง มากๆ ทั้งนี้ ฉันว่ามันเป็นผลพวงที่ฉันเรียน อย่างเดียว ไม่ค่อยได้ออกไปไหน ปฏิสัมพันธ์ฉันน้อยลงมากๆ เป็นคนนิ่ง เงียบ และการสอบสัมภาษณ์ครั้งแรกของ ฉัน ดันเป็นการสอบครั้งส�ำคัญของฉันเสีย ด้วยสิ และผลการสอบสัมภาษณ์ของฉัน คือ ฉันไม่ผ่านเกณฑ์ ถามว่าเสียใจไหม? ฉันเสียใจ


แต่ด้วยประสบการณ์การผิดหวังของฉัน มันท�ำให้ฉันไม่ได้เจ็บปวดหนักมากเท่าไหร่ ฉันมองหาทางอื่น ทางที่ฉันจะได้เรียน ศิลปะและค่าใช้จ่ายน้อยลง มันทุนอีกทุน หนึ่งถึงจะไม่ได้ให้ทุนเท่าทุนแรกที่ฉัน สมัครเข้า แต่ก็ได้รับส่วนลดบ้างบางส่วน ฉันเลยท�ำพอร์ตใหม่และสมัครเข้าผลก็คือ ฉันไม่ติด...


รอบนี้ฉันผิดหวังมาก มันเคว้งคว้างมากฉัน ไม่รู้จะไปทางไหนต่อ ฉันคิดไม่ออกจริงๆ ตอนนี้ แต่ด้วยความพยายามของฉัน พ่อ แม่เลยบอกกับฉันว่า เข้าเรียนไปเถอะ พยายามเข้ามาขนาดนี้แล้ว กู้เรียนเอาก็ได้ ไม่เป็นไร... ยังดีที่พ่อแม่ของฉันเข้าใจ ฉันรู้สึกดีใจและ ปลื้มปิติมากที่พวกท่านยอมให้ฉันได้เรียน คณะนี้ เพราะในตอนแรกที่ฉันบอกพวก เขาว่าจะเข้าเรียนคณะศิลปะในวัยเด็ก พวกเขาคิดว่าฉันพูดเล่น ประกอบกับ อยากให้ฉันเรียนอย่างอื่น ที่ดูมั่นคงกว่านี้ แต่ด้วยความพยายามทั้งหมดของฉัน ฉันจึงได้เข้าเรียนคณะศิลปะในที่สุด แม้ว่า จะไม่เหมือนที่ฉันวางแผนไว้ก็ตา

รูปวันสุดท้ายของการจบการ ศึกษาชีวิตมัธยมของฉัน ช่วงชีวิตหลังจากนี้ที่ผ่านมาฉัน ไม่ค่อยมีรูปตัวเองมากนักเพราะ ฉันเป็นคนกลัวการถูกถ่ายรูป





มหาวิทยาลัย

“กระจ่าง และ เติบโต”

ปัจจุบัน

"เกรดไม่ดีรึเปล่ามาเรียนมอเอกชนเนี่ย" ปริญญาตรี ปี 1 เทอม 1 เกรดเฉลี่ย 3.83 "ย้อมผม แต่งตัวอย่างงี้ เป็นเด็กเกเรแน่เลย ต้องหนีเรียนแน่ๆ" ปริญญาตรี ปี 1 เทอม 2 เกรดเฉลี่ย 4.00 "น่าสงสารเนอะ พ่อแม่ไม่ค่อยมีตังค์ส่งมาเรียน" ปริญญาตรี ปี 2 เทอม 1 เกรดเฉลี่ย 4.00


ฉันได้เข้าเรียนคณะที่ฉันอยากเรียนมา ตลอดชีวิตนี้และความเป็นมหาวิทยาลัย เอกชน ฉันจึงสามารถแต่งหน้า ย้อมผม หรือแต่งตัวยังไงก็ได้ไม่เหมือนกับช่วง เวลาในอดีตที่ผ่านมาที่ฉันต้องท�ำตาม กฎระเบียบต่างๆของโรงเรียน และการกลับมาของค�ำดูถูกดูแคลนของ พวกผู้ใหญ่รอบตัวฉันจึงเริ่มต้นขึ้น อีกครั้ง


ฉันได้เข้าเรียนคณะที่ฉันอยากเรียนมา ตลอดชีวิตนี้และความเป็นมหาวิทยาลัย เอกชน ฉันจึงสามารถแต่งหน้า ย้อมผม หรือแต่งตัวยังไงก็ได้ไม่เหมือนกับช่วงเวลา ในอดีตที่ผ่านมาที่ฉันต้องท�ำตามกฎ ระเบียบต่างๆของโรงเรียน และการกลับมาของค�ำดูถูกดูแคลนของ พวกผู้ใหญ่รอบตัวฉันจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง พวกเราเริ่มพูดดูถูกดูแคลนฉัน แต่ในคราว นี้ไม่ใช่ฉันที่รับรู้เพียงผู้เดียว แต่คือพ่อแม่ ของฉันนั้นคือผู้รับเรื่องราวทั้งหมดด้วย ก่อนฉันจะรู้เรื่องราวอีก พวกเขาต่างหาพูดค�ำต่างๆนาๆ มาว่าฉัน โดยที่พวกเขาไม่ได้รู้จักฉันด้วยซ�้ำ ค�ำดูถูก เหล่านั้นฉันได้แต่เพียงแค่ อดทนและเก็บ ไว้ในใจท�ำได้เพียงแต่ ปล่อยให้เวลาเป็นตัว พิสูจน์ตัวของมันเอง


ฉันชอบเรียนคณะที่ฉันเลือกมานี้มาก ฉัน รู้สึกไม่เหนื่อยใจเลยในการมาเรียนที่นี่ ฉัน รู้สึกมีความสุขทุกครั้งที่ได้ท�ำงานที่ฉันรัก แน่นอนมันต้องมีช่วงผิดหวัง ท้อแท้ และ เหนื่อยหรือยากขึ้นบ้าง แต่ฉันว่ามันคือ เรื่องปกติเป็นธรรมดา และแล้วก็มาถึงช่วง เวลาที่ผลการเรียนของฉันออกเกรดของ ฉันค่อนข้างสูงทีเดียว นอกจากนี้ ฉันยังได้รับรางวัลจาก มหาวิทยาลัยเป็นเงินจ�ำนวนหนึ่ง สาเหตุที่ ได้นี้ฉันได้จากผลการเรียนของ ฉัน พร้อม มีข้อเสนออีกว่า ถ้าฉันยังคงเรียนได้เกรด รวม 3.80 ขึ้นไปอยู่เรื่อยๆทุกเทอมฉันจะ ไม่เสีย ค่าเทอมการเรียนในปีนั้นๆ ถึงแม้ว่า ฉันจะสอบชิงทุนไม่ติด แต่ มหาวิทยาลัยที่ฉันเลือกและก�ำลังเรียนอยู่ นี้ ยังคงให้โอกาสฉัน ฉันซาบซึ้งน�้ำใจนี้มาก ฉันจะตั้งใจเรียนแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆเพื่อที่ ว่าฉันจะได้ทุนเหล่านี้ ทุนนี้มันมีส่วนช่วย


ชีวิตฉันได้เยอะมากถ้าฉันท�ำได้ ช่วยลด ภาระค่าใช้จ่ายของที่บ้าน ฉันได้อีกเยอะ มันมีหลายครั้ง ที่ฉันเห็นพ่อแม่เสียสละ สิ่ง ต่างๆเพื่อให้ฉันมาเรียนที่นี้ได้แล้ว บางครั้ง มันท�ำให้ฉันทุกข์ใจเพราะด้วย คณะที่ฉัน เรียนนี้ ค่าใช้จ่ายมันสูงมาก แต่พอมันมีทุน มาให้แบบนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีต่อฉันและ ครอบครัวของฉัน และเป็นอีกครั้ง ไม่นานมานี้ ฉันสามารถ ลบค�ำครหาต่างๆที่เกี่ยวกับฉันได้ ถึงแม้ ภาพลักษณ์ภายนอกฉันจะดูเกเร และไม่ ได้เรื่อง(ในสายตาคนอื่น) แต่มันก็ไม่ใช่สิ่งที่ จะมาตัดสินตัวตนของ ฉันทั้งหมด ฉันเริ่มที่จะเรียนรู้ และวางตัว ต่อเรื่องราวเหล่านี้ได้ ก็แหงล่ะเรื่องราว พวกนี้มันรวมๆกันมาเป็น 10 10 ปีเลยนะ มันต้องเรียนรู้กันบ้างล่ะหน่าา


หลังจากนั้นไม่นาน ค�ำดูถูกต่างๆ จาก ผู้ใหญ่ก็เริ่มจางลง ฉันคิดว่าทุกอย่างมันจะจบลงแล้ว แต่มัน ยังไม่จบ และยังเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวของบาง สิ่งบางอย่างในใจฉันอีกด้วย


“กระจ่าง และ เติบโต” ตัวของในปัจจุบัน ปี 2019 นี้



Touching a Bully Bully Noun แปลว่า แมงดา, ขี่รังแก, คนพาล A person who habitually seeks to harm or intimidate those whom they perceive as vulnerable. Verb แปลว่า พาล, ระราน, กุมเหง, ข่ม เหงคะเนงร้าย, พาลเกเร Seek to harm, intimidate, or coerce (someone perceived as vulnerable) ที่มา : Google translate Bully จริงๆค�ำๆนี้มันมีมานานแล้วแต่ เพิ่งถูกหยิบยกมาใช้อย่างแพร่หลายเมื่อ ไม่นานมานี้เอง ส�ำหรับฉันค�ำนี้เป็นค�ำที่ จ�ำกัดความ ค�ำพูดของพวกเขาได้ดีที่สุด



ฉันเพิ่งมารู้เมื่อไม่นานมานี้ หลังจากเรื่อง ราวทั้งหมด การที่ฉันเรียนได้ดี การที่ฉัน วางตัวต่างๆต่อสังคมภายนอก ถึงแม้ว่าค�ำดูถูกดูแคลนดูเหมือนว่าจะสิ้น สุดลงแล้ว แต่มันยังไม่จบแค่นั้น แน่นอนพวกเขาไม่พูดดูถูกฉันแล้ว แต่พวก เขา พวกดูถูกพ่อแม่ฉัน What? Really? นี่คือความคิดของฉันในใจ พวกเขาพูดใส่ พ่อแม่ของฉันว่า น่าสงสารฉันเนอะ พ่อแม่ ไม่มีเงินส่งเรียน เอาจริงๆ ไม่มีค�ำพูดที่มันสร้างสรรค์กว่านี้ แล้วหรือยังไงกันคะ ฮาโหลวววว ในตอนแรกฉันไม่รู้เรื่องราวพูดนี้ิเลย แม้แต่ นิดเดียว แต่มันมีวันหนึ่ง แม่เคยมาระบาย เรื่องราวพวกนี้กับฉัน


ณ ช่วงวินาทีนั้นฉันโกรธมาก แบบอะไรวะ ไม่รู้จะสรรหาค�ำไหนมาพูดได้อีก คือ เรื่อง ฐานะที่บ้านของฉัน แน่ล่ะว่าพวกเราไม่ได้ มีมาก แต่พวกท่านก็ไม่ได้ทิ้งฉันไว้กลาง ทาง พวกท่านยังคงพยายามที่จะส่งเสียฉัน ให้ ฉันได้ในสิ่งที่คิดว่าดีที่สุด ค�ำพุดเหล่านั้นมันทิ่มแทงเป็นอย่างมาก พวกเราว่า พวกเขาดูถูกฉัน ไม่เป็นไร แต่พวกเขาจะมาดูถูกดูแคลนพ่อแม่ฉัน แบบนี้ไม่ได้ แต่ก็นั้นแหละ ค�ำพูดเป็นเพียงลมปาก บทเรียนที่ฉันเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้คือ อย่าแคร์ค�ำพูดที่ไม่มีประโยชน์ต่อตัวเรา


พวกเขาไม่ได้ส�ำคัญขนาดที่เราจะต้องมา นั่งใส่ใจ และฉันไม่ได้คิดจะล้างแค้น พวก เขาหรืออะไรสิ่งที่ฉันท�ำได้และจะท�ำ คือ การปล่อยวาง ปล่อยให้เวลาจะเป็นตัวพิสูจน์ตัวมันเองนี้ แหละบทเรียนอันมีค่าของฉัน ตลอด 10 ปีที่ผ่านมานี้ฉันได้เรียนรู้มันได้ ในที่สุด

เด็กคนนั้นสู่ฉันในวันนี้



Long Life Lessons

ฉันคือเด็กคนหนึ่งที่เติบโตขึ้นมาได้จากค�ำ พูดแย่ๆพวกนั้น พวกเขาไม่ได้ดูเป็นผู้ใหญ่ส�ำหรับฉันเลย ถึงแม้ว่าพวกเขาจะอายุมากกว่าแต่ ความ คิดความอ่านของพวกเขา ค�ำพูด และการ ตัดสินต่างๆ มันเหมือนเด็กส�ำหรับฉัน แทบจะไม่ได้ต่างอะไรมากไปกว่าฉันเมื่อ ยังเด็กกว่านี้เลย แต่พอมาลองนึกย้อนดู บางทีต้องขอบคุณพวกเขานะ กับค�ำดูถูก ดูแคลนพวกนั้น ที่ท�ำให้ฉันผลักดันตัวเอง ให้ได้มาจนถึงทุกวันนี้


มาคิดดูในอีกมุมหนึ่ง บางทีค�ำพูดเหล่านั้น ในมุมของฉันมันคือ ค�ำดูถูก, ดูแคลน แต่ในมุมมองของพวกเขาอาจจะเป็นเพียง ค�ำทักทาย, ความเป็นห่วง ก็ได้ เราเกิดมา คนละยุคกัน ประสบการณ์ ความคิด ความอ่าน ย่อมไม่เหมือนกัน ฉันว่าบางทีหากคิดมองย้อนกลับไป ถ้าฉัน เกิดในยุคเดียวกับเขา พบเจอ ประสบการณ์ต่างๆแบบเขา หรือเขาเกิด ในยุคเดียวกับฉัน พบเจอเรื่องราวแบบฉัน มุมมองมันอาจจะสลับกันก็ได้ ทั้งนี้มันคือ การใช้ชีวิตและเติบโตขึ้นไปในอีกระดับ หนึ่งของฉัน เรื่องราวทั้งหมดที่ฉันหยิบยกเล่ามานี้เป้น เพียงประสบการณ์และการเรียนรู้ของฉัน ฉันหวังว่าเรื่องราวพวกนี้ จะยังคงได้เป็น แง่คิด และ ความรู้ ต่อตัวผู้อ่าน(รวมถึงตัว ฉันเอง) ไม่มากก็น้อย


เรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี้ เกิดขึ้นกับฉัน แน่นอนมัน bad luck มาก แต่ก็เป็น bad luck ที่ท�ำให้เกิด lesson ที่ดีมากๆ “บทเรียนราคาแพง” นี่สินะคือบทเรียนของการใช้ชีวิต นี่สินะ คือการเรียนรู้ผ่านช่วงที่ชีวิตอันแสน ยาวนานนี้ นี่สินะคือการเติบโตขึ้นอย่าง แท้จริง ฉันหวังว่าคุณผู้อ่านนี้จะได้เรียนรู้และ เติบโตขึ้นไปพร้อมๆกันกับฉันนะ ที่นี่ถึงตา ของคุณแล้ว ลองบอกเล่าเรื่องราวของตัวเองดูสิ

from me, to myself to my parent to everyone



“______ ______” ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________


________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________




________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________


________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________


________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________


________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________


________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________


________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________ ________________________


นี่เปนเรื่องราวการเรียน รูและเติบโต ขึ้นของฉัน ไมวา คุณจะผานเรือ่ งราว แบบไหนมา ฉั น อยาก ใหคณ ุ ลองอาน เรื่องราว ของฉันดูไมแนวา เราอาจ จะเจอสถานการณเดียว กันก็ได


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.