สะกด (SAKOD) Issue1

Page 1


20

เรื่องสั้นโดย

พาขวัญ ปัญญาโตนะ สิรี จิตตรีกวีผล ณัฐนิช เศรษฐสกล พุทธิพงศ์ อึงคนึงเวช มัธวรรณศ์ สุจริตธนารักษ์ จิดาภา บางนาชาด ฆนาธร ขาวสนิท อาริยา เทพรังสิมันต์กุล วรฐิติ มโนสร้อย


ธนาคาร จันทิมา เกศกนก อ่างเหล็ก ธมลวรรณ บรรจงเกลี้ยง นรวีร์ สังข์เผือก พุทธพงษ์ เจียมรัตตัญญู กานน นุชดอนไผ่ เจษฎ์ เลิศเจียมรัตน์ ณวรา หิรัญกาญจน์ นิภาภรณ์ แสงสว่าง อริสา แสงเป่า ตติยาภรณ์ เกสรทอง


ค� ำ น� ำ ........................................ 6 จากการอ่านหนังสือกระดาษสูค่ อมพิวเตอร์.....8 นักโทษประหาร................................ 30 ปั จ จุ บั น ของวั น วาน......................... 42 บั น ทึ ก ของจู น ............................. 60 ดอกหอมนาน................................. 72 สะดุ ด ...................................... 86 สี่ จุ ด ศู น ย์ ศู น ย์ . ............................. 94 ตั ว ประกอบ.............................. 110 อพยพ................................ 116 อี ก ครั้ ง .......................................130 การหายไปของย่อหน้าแรก..................140 เงา...................................... 156 สิ่ ง กี ด ขวาง................................. 164 ความฝันสีควันธูป..............................174 สลาย.................................... 186


สั ง ขยา .................................. 194 ปรีดาอาณาเขต..............................204 มนุ ษ ย์ ก ล.................................... 214 และโบยบิ น ไป.............................. 224 สิ่ ง ที่ ค วรค่ า .............................. 236 เชิงอรรถ...................................... 246 สนทนาภาษาไซไฟ.........................260 การเขียนนวนิยายกับภาชนะ................274 สารคดี เ ชิ ง สร้ า งสรรค์ . .................. 286 กวี นิ พ นธ์ ส ร้ า งสรรค์ ฯ ................. 298 ประวัติศาสตร์วรรณกรรมสมัยใหม่ ....306 ประวั ติ ศ าสตร์ ส ่ ว นตั ว ฯ................. 314 เรื่ อ งสั้ น เรื่ อ งแรก.................... 322 รายชื่อผู้ร่วมอบรมฯ........................ 332


ค�ำน�ำ

อศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครเปิดให้บริการแก่สาธารณะตัง้ แต่ เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2551 โดยมีภารกิจหลักในการรณรงค์ให้ประชาชน รู้รักศิลปะ และสร้างกระบวนการให้ความรู้ทางด้านศิลปะแขนงต่างๆ ที่ แวดล้อมอยูใ่ นชีวติ ประจ�ำวัน ทัง้ ทางทัศนศิลป์ ดนตรี ภาพยนตร์ ศิลปะการแสดง และ วรรณกรรม โดยได้สร้างสรรค์งานนิทรรศการ และกิจกรรมทางศิลปวัฒนธรรม รวมทัง้ เปิดให้ประชาชนได้รว่ มรับฟังการเสวนา หรือการเข้าอบรมในกิจกรรมอันหลากหลาย เพือ่ เป็นส่วนหนึง่ ในการพัฒนาความรู้ ความเข้าใจในงานด้านศิลปวัฒนธรรม อันเป็น ตัวสะท้อนความคิด ความรู้ ประวัตศิ าสตร์ทงั้ ในส่วนบุคคลและองค์รวมของสังคม เพือ่ ให้เกิดความรู้ ความเข้าใจในที่มาของสิ่งต่างๆ เพื่อกระตุ้นการใฝ่รู้ ความคิดวิเคราะห์ จินตนาการ หรือแม้แต่แรงบันดาลใจ ทีจ่ ะน�ำไปสูก่ ารต่อยอดการสร้างสรรค์ เพือ่ ร่วมกัน พัฒนาสังคมให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป “ค่ายเขียนงานสร้างสรรค์กรุงเทพมหานคร Bangkok Creative Writing Workshop” ที่หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (bacc) ได้ร่วมกับ บริษัท บุ๊คโมบี้ จ�ำกัด จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในระหว่างเดือน เมษายน – มิถุนายน 2555 ถือ เป็นอีกหนึ่งภารกิจส�ำคัญของ bacc ในการขับเคลื่อนให้เกิดการสร้างองค์ความรู้ทาง ศิลปะและวัฒนธรรมอันหลากหลายให้แก่สังคมและประชาชน การอบรมได้เปิด โอกาสให้กลุ่มนักเขียนมือใหม่ได้เรียนรูจ้ ากมุมมองและประสบการณ์ของวิทยากรใน

6


แวดวงวรรณกรรม bacc ต้องขอขอบคุณวิทยากรทุกท่านที่ให้เวลาและเปิดโอกาสให้ ผู้ร่วมอบรม (และประชาชนทั่วไปในบางสัปดาห์) ได้สัมผัสคลังความรู้ของแต่ละท่าน ไม่ว่าจะเป็นคุณอุทิศ เหมะมูล อ.ธเนศ วงศ์ยานนาวา คุณวินทร์ เลียววาริณ คุณ วาด รวี คุณวรพจน์ พันธ์ุพงศ์ และคุณซะการีย์ยา อมตยา และที่ส�ำคัญ คุณกิตติพล สรัคคานนท์ และคุณปราบดา หยุ่น แห่งบุ๊คโมบี้ สองครูประจ�ำค่ายที่แข็งขันในการ อ่าน แนะน�ำ ให้ความรู้ แก่ผู้ร่วมอบรมตลอด 6 สัปดาห์ รวมทั้งกัณหรัตน์ เลี่ยมทอง หัวหน้าฝ่ายกิจกรรมของ bacc และทีมงาน ทีร่ ว่ มริเริม่ และประสานการจัดการ จนการ อบรมครั้งนี้ผ่านไปได้ด้วยดี ท้ายที่สุดนี้ คงต้องขอแสดงความยินดีกับผู้ร่วมอบรมทุกท่านที่ให้ใจและเวลาใน การมาเข้าค่ายในครัง้ นี้ และหนังสือทีอ่ ยูใ่ นมือท่านเล่มนี้ ก็เป็นพยานและผลผลิตของ ความมุง่ มัน่ ในการเติบโตเป็นนักเขียนของพวกเขาต่อไป ขอให้ผอู้ บรมทุกท่านประสบ ความส�ำเร็จอย่างที่ตั้งใจ และขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุขกับการอ่านในครั้งนี้ค่ะ

ลักขณา คุณาวิชยานนท์ ผู้อ�ำนวยการหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

7


จากการอ่านหนังสือกระดาษ สู่คอมพิวเตอร์

ธเนศ วงศ์ยานนาวา


การอ่านใน Hypertext ก็ท�ำให้ การอ่านอยู่ในโลกของความเป็นอนันต์ (infinity) เพราะอาณาเขตของตัวบท เป็นสิ่งที่ก�ำหนดได้ยาก แต่ละประโยค มีช่องทางออกเสมอ ช่องทางที่จะ น�ำพาผู้อ่านไปสู่โลกใหม่ๆ โลกที่ไม่มี อาณาเขตของความรู้ ไม่มีการแยกกัน ระหว่างสาขาต่างๆ เพราะทุกอย่างถูก เชื่อมโยงถึงกันได้หมดตราบใดก็ตาม ที่ต้องการจะเชื่อมโยง แต่นั่นก็ใช่ว่าจะ ท�ำให้เกิดการบูรณาการของความรู้ได้ เมื่อทุกอย่างด�ำเนินไปอย่างไม่มี ที่สิ้นสุดก็ท�ำให้ทุกอย่างไม่มีจุดเริ่มต้น และไม่มีจุดจบ


จากการอ่านหนังสือกระดาษ สู่คอมพิวเตอร์ ธเนศ วงศ์ยานนาวา

วั

ฒนธรรมการอ่านหนังสือก�ำลังเปลี่ยนแปลงไป เพราะการอ่าน ไม่ได้มีแต่มนุษย์เท่านั้นที่สามารถท�ำการอ่านได้ แต่ยังมีเครื่อง คอมพิวเตอร์ที่สามารถอ่านได้เช่นกันอีกด้วย การอ่านในโลก คอมพิวเตอร์ก็จะเห็นได้จากแปล เช่นใช้ Google ท�ำการแปล ชีวิตของ HAL คอมพิวเตอร์ที่มีสามารถอ่านปากของมนุษย์ผู้เป็นศัตรูตัวฉกาจที่ คิดจะฆ่าคอมพิวเตอร์ HAL ในนิยายวิทยาศาสตร์ 2001 Space Odyssey (1968) ผลงานประพันธ์ของ Arthur C. Clarke จินตนาการอยูไ่ ม่ไกล ไปจากความเป็นจริง พัฒนาการของโลกดิจติ อลคอมพิวเตอร์ทำ� ให้ยากที่ จะแยกได้วา่ เครือ่ งจักรก�ำลังจะกลายเป็นมนุษย์หรือมนุษย์กำ� ลังจะกลาย เป็นเครื่องจักร สภาวะของความเป็ น Cyborg ที่ ร ่ า งกายกั บ เครื่ อ งจั ก รและ อิเล็กทรอนิกส์เข้ามารวมอยู่ในที่เดียวกันเพื่อทดแทนอะไรบางอย่าง โดยมีเป้าหมายในการท�ำงานร่วมกัน ดังจะเห็นได้จากวงการทหาร การ แพทย์ อุตสาหกรรม ฯลฯ จนสภาวะของการเป็น Cyborg เป็นสภาวะ ปกติของมนุษย์ เพราะ Cyborg เพิ่มประสิทธิภาพของการท�ำงานของ มนุษย์ ถ้าจะกล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือเพิ่มความรวดเร็วและราคาถูกลง

10


การเชื่อมต่อของมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมภายนอกก็แสดงให้เห็นถึงความ ส�ำคัญของเทคโนโลยีจนท�ำให้สามารถที่จะกล่าวได้ว่า การใช้โทรศัพท์ มือถือก็เป็นรูปขั้นต�่ำของการเป็น Cyborg ชีวิตในเมืองจึงเป็นชีวิตของ Cyborg ได้เสมอ ส�ำหรับคอมพิวเตอร์มนุษย์และเครื่องจักรได้ประสาน กันในพื้นที่ของฐานข้อมูล (database) ความหวาดกลัวต่อการขึ้นมามี อ�ำนาจของเครื่องจักรไปจนถึงหุ่นยนต์ปรากฏให้เห็นได้จากภาพยนตร์ อย่าง Metropolis (1927) หรืออย่างใน The Terminator (1984) มา จนถึง The Matrix (1999) เป็นต้น ในขณะที่สื่อกระดาษที่เป็นรูปแบบหนึ่งของข้อมูลและเทคโนโลยี แบบดั้งเดิมและอักษรในฐานะ “เทคโนโลยี” แบบหนึ่งด้วยนั้น ก็ก�ำลัง จะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสื่ออิเล็กทรอนิกส์ รูปแบบของการอ่านก็ย่อม ต้องเปลีย่ นแปลงไป ปริมาณของการอ่านหนังสือผ่านหนังสือในรูปแบบ อิเล็กทรอนิกส์ก็มีปริมาณเพิ่มมากยิ่งขึ้น ทั้งๆ ที่เมื่อเปรียบเทียบด้าน ความเร็วของการอ่านหนังสือบนจอกับหนังสือกระดาษแล้ว การอ่าน บนจอช้ากว่าการอ่านผ่านกระดาษยี่สิบถึงสามสิบเปอร์เซ็นต์ อย่างไร ก็ดี ถ้าจะพิจารณาในมิติของการเรียนรู้ ปรากฏว่าเมื่อเปรียบเทียบกัน ระหว่างการเรียนรูข้ องเด็กจากหนังสืออิเล็กทรอนิกส์กบั หนังสือกระดาษ สือ่ ดิจติ อลก็ดจู ะเป็นอะไรทีด่ งึ ดูดความสนใจส�ำหรับเด็กมากกว่าจนท�ำให้ เด็กๆ มีความสามารถในการเรียนรู้เพิ่มมากยิ่งขึ้น1 ถึงกระนัน้ ก็ดี ผูอ้ า่ นในพืน้ ทีค่ อมพิวเตอร์กม็ กั จะต้องเผชิญกับการถูก รบกวนสมาธิจากอะไรอืน่ ๆ บนจอ อะไรทีถ่ งึ แม้วา่ จะไม่ได้อยูใ่ นใจกลาง ของสายตา แต่อะไรที่อยู่ชายขอบของ “จอ” ก็ยังทรงพลังมากพอที่จะ   Amelia K. Moody, Laura M. Justice, and Sonia Q. Cabell, “Electronic versus Traditional Storybooks: Relative Influence on Preschool Children’s Engagement and Communication”, Journal of Early Childhood Literacy, Vol. 10. No. 3 (2010), pp. 294-313. 1

11


ท�ำให้ผู้อ่านเบี่ยงเบนความสนใจไปได้ โดยนี่ยังไม่ต้องค�ำนึงถึงเสียง อะไรอืน่ ๆ ทีค่ อมพิวเตอร์สามารถจะส่งเสียงเตือนขึน้ มาได้อกี ทัง้ หมดนี้ ก็ท�ำให้นักประพันธ์ชาวอเมริกันคนดังอย่าง Philip Roth ท�ำนายว่าอีก ยี่สิบห้าปีข้างหน้านวนิยายนั้นคงจะเข้าข่าย “เกือบจะสูญพันธ์ุ” จ�ำนวน คนอ่านนวนิยายที่อยู่ในรูปแบบของกระดาษก็คงจะมีจ�ำนวนลดน้อยลง มาก จนท�ำให้มนุษย์ที่อ่านหนังสือกระดาษกลายเป็นมนุษย์สายพันธุ์ พิเศษ ทั้งนี้ก็เพราะวัฒนธรรมการอ่านนวนิยายต้องการสมาธิสูง ใน ขณะที่วัฒนธรรม “จอ” ไม่ว่าจะเป็น “จอภาพยนตร์” “จอโทรทัศน์” “จอ คอมพิวเตอร์” ไม่ต้องการความเข้มข้นขนาดนั้น โดย Roth กล่าวว่าถ้า ใครอ่านนิยายเกินสองอาทิตย์ก็ไม่ต้องอ่านต่อไปแล้ว ส่วนตัว Roth เอง ก็ยืนยันว่า เขาเลิกอ่านนวนิยายไปแล้วด้วยซ�้ำ2 ในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2009 นักเขียนอเมริกันคนดัง Paul Auster กลับตอบโต้ว่า สิ่งที่ Roth เสนอนั้นก็เป็นเรื่องปกติของเขาที่พูดมาเป็น สิบปีแล้ว ส�ำหรับ Auster มนุษย์ตอ้ งการฟังเรือ่ งราว (story) อันเป็นสิง่ ที่ หาได้ทกุ ทีจ่ ากโทรทัศน์ไปจนถึงวิทยุ เด็กๆ ก็ตอ้ งการฟังเรือ่ งเล่าเฉกเช่น เดียวกันกับผูใ้ หญ่ จริงอยูท่ คี่ นปัจจุบนั อ่านนวนิยายน้อยลง แต่นวนิยาย ก็ยงั คงมีอยูแ่ ละก็ยงั คงผลิตออกมามหาศาล นวนิยายเป็นอะไรทีย่ ดื หยุน่ ไม่ตายตัว เราจะท�ำอะไรกับมันก็ได้ ไม่มีกฎเกณฑ์ นวนิยายจึงประดิษฐ์ ตัวตนซ�ำ้ ขึน้ มาใหม่ (reinvent) ได้เหมือนกับสังคมทีส่ ร้างตัวเองขึน้ มาใหม่ ได้เสมอๆ ในประวัตศิ าสตร์แต่ละช่วงของมนุษย์กต็ อ้ งการประดิษฐ์ตวั ตน ซ�้ำขึ้นใหม่ อย่างไรก็ดคี นอย่าง Auster ซึง่ ดูราวกับว่าเป็นพวก Neo-Luddite ที่   Philip Roth “The Novel is a Dying Animal”, http://www.openculture. com/2011/10/philip_roth_predicts_death_of_the_novel.html. Retrieved April 14, 2012 2

12


ได้ประกาศตัวเขาเองว่า เขาไม่มคี อมพิวเตอร์ ไม่มโี ทรศัพท์มอื ถือ แต่เขา เองก็ยอมรับการอ่านนวนิยายจากโทรศัพท์มอื ถือ อนาคตของนวนิยาย จะเป็นอย่างไร Auster ก็เห็นว่า ยังเร็วเกินไปทีจ่ ะกล่าวว่าอะไรจะเกิดขึน้ กับหนังสือ แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรสิ่งที่ส�ำคัญในความเห็น Auster ก็คือ การอ่าน3 แต่นั่นก็เป็นเพียงแค่ความหวัง เพราะใช่ว่าทุกๆ คนนิยมที่จะ อ่านหนังสือ อย่างน้อยก็คงไม่มีใครท�ำให้ผู้ทรงอิทธิพลและเจ้าของธุรกิจ สิง่ พิมพ์อย่าง Rupert Murdoch หันมาอ่านหนังสือได้ เพราะนัน่ เป็นสิง่ ที่ มหาเศรษฐีสื่อและสิ่งพิมพ์อย่าง Murdoch ไม่นิยมท�ำ4 ในขณะเดียวกัน ธุรกิจหนังสือพิมพ์ของเมืองใหญ่ๆ ก็ก�ำลังประสบกับการขาดทุนอย่าง ต่อเนื่อง โลกของคอมพิวเตอร์กลายเป็นเครื่องมือส�ำคัญส�ำหรับการอ่านและ การน�ำเสนอวิถชี วี ติ แบบใหม่หรือวัฒนธรรมการสือ่ สารแบบดิจติ อล การ อ่านหนังสือผ่านโลกดิจติ อลก็ยงั ท�ำให้วฒ ั นธรรมวัตถุ (material culture) เพิม่ ความส�ำคัญมากยิง่ ขึน้ หรือถ้าจะกล่าวอย่างง่ายๆ ภูมปิ ญ ั ญานัน้ ยาก ที่จะต่อต้านกับเทคโนโลยีได้อีกต่อไป ในขณะที่วัตถุและเทคโนโลยีนั้น ต้องมีการเปลีย่ นแปลงและยกระดับคุณภาพอยูต่ ลอดเวลา การอ่านก็ตอ้ ง เปลี่ยนแปลงไปพร้อมเทคโนโลยีด้วยเช่นกัน ถ้าไม่เปลี่ยนก็จะอ่านไม่ได้ การอ่านจึงเป็นการอ่านเพื่อวิ่งตามกับพัฒนาการของเทคโนโลยี ดังนั้น โลกแห่งวัตถุจึงได้กลายเป็นอะไรที่ขาดไม่ได้เหมือนทีวี ตู้เย็นที่จ�ำเป็น ต้องใช้ นีไ่ ม่ใช่ความสุขเล็กน้อยๆ อีกต่อไป แต่ได้กลายเป็นอะไรทีข่ าดไป เสียไม่ได้ในชีวิตอีกแล้ว   “Big Think Interview With Paul Auster”, http://www.bigthink.com/ ideas/17287. Retrieved April 15, 2012 3

“Big Think Interview With Michael Wolff”, http://www.bigthink.com/ ideas/20599. Retrieved April 15, 2012 4

13


ความสุขทีไ่ ด้เชือ่ มต่อกับคนอืน่ ๆ ทีก่ ลายเป็นเพือ่ นๆ กันในโลกของ “ความจริงลวงที่เสมือนจริง” (virtual reality) แบบใน “facebook” ก็ท�ำให้ การสร้ า งสายสั ม พั น ธ์ ฉั น ท์ เ พื่ อ นท� ำ เงิ น ให้ กั บ ใครบางคนจนเป็ น มหาเศรษฐีระดับโลก ความบันเทิงจากการอ่านข้อความและการน�ำเสนอ ของอีกหลายๆ คนจึงท�ำให้คนอีกหลายๆ คนมีความสุขจากเงินที่ได้มา จากความบันเทิงของคนอีกหลายต่อหลายคน แต่การสร้างสายสัมพันธ์ ผ่านโลกดิจิตอลก็ใช่จะมีแต่การสร้างมิตรภาพเท่านั้น การท�ำลายมิตร และสร้างศัตรูกพ็ ร้อมจะเกิดขึน้ ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน การเป็นมิตรและ ศัตรูแสดงออกให้เห็นอย่างเด่นชัดและมีความเป็นสาธารณะ ดังราวกับว่า สานสัมพันธ์ฉันเพื่อนและศัตรูจะต้องกระท�ำแบบรัฐที่ต้องประกาศและ ลงนามความสัมพันธ์หรือไม่ก็ประกาศสงครามต่อกัน เส้นทางของสาย สัมพันธ์ในโลกการสือ่ สารดิจติ อลจึงด�ำเนินไปสูเ่ ส้นทางแบบ ‘กึง่ กฎหมาย หรือกึ่งเป็นทางการ’ ความสุขที่เกิดขึ้นจากการได้อ่านข้อความและการอ่านทุกชนิดที่ ปรากฏอยู่บนจอท�ำให้โลกดิจิตอลหรือคอมพิวเตอร์ก็ไม่ได้แบ่งแยกงาน ออกจากความบันเทิง ทุกอย่างอยูใ่ นทีเ่ ดียวกันจนท�ำให้โลกดิจติ อลเป็น อะไรทีม่ ากยิง่ กว่า “บ้านทีท่ ำ� งาน” เพียงแต่การอ่านในโลกแห่งนีน้ นั้ ไม่ได้ อ่านผ่านวัสดุทเี่ ป็นกระดาษอีกต่อไป หนังสือก�ำลังจะหมดบทบาทลงไป เรือ่ ยๆ แม้วา่ ในขณะนีย้ งั ไม่มกี ารรณรงค์เพือ่ อนุรกั ษ์หนังสือหรือสิง่ พิมพ์ ต่างๆ เพราะแม้กระทั่งห้องสมุดหลายต่อหลายแห่ง (แม้กระทั่งในโลก ตะวันตก) ที่หลังจากได้ท�ำสิ่งพิมพ์จากอดีตให้มาอยู่ในพื้นที่ดิจิตอลแล้ว ก็มีความต้องการที่จะท�ำลายสิ่งพิมพ์เก่าๆ เช่น หนังสือพิมพ์ที่ท�ำเป็น ไมโครฟิล์มแล้วก็ต้องท�ำลายหนังสือพิมพ์เก่าทิ้ง เพราะเปลืองพื้นที่และ ค่าเก็บรักษา เป็นต้น กาลอวสานของหนังสือและสิ่งพิมพ์ก�ำลังคืบคลาน ใกล้เข้ามา แต่ชะตากรรมภายใต้การโหยหาอดีต ความอนุรักษนิยม การยึดติดอยู่กับคุณค่าของหนังสือที่แสดงสถานะที่คงทนถาวรกว่า

14


มีอายุยืนยาวกว่า ฯลฯ ก็ย่อมท�ำให้หนังสือนั้นยังไม่ตายไปจากวิถีชีวิต ได้อย่างง่ายๆ แต่อย่างไรก็ดี ความตายของสิ่งหนึ่งย่อมน�ำมาซึ่งอะไรใหม่ๆ เฉก เดียวกันกับการเกิดของสิ่งมีชีวิตที่ต้องการความตาย แม้คงจะไม่อาจ กล่าวได้ว่านี่เป็นความตายแบบเสียสละเพื่ออนาคตของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เพราะความตายของหนังสือไม่ได้เป็นอะไรที่ “วัฒนธรรมวัตถุ/หนังสือ” เลือกได้ด้วยตนเอง หนังสือกระดาษก�ำลังจะกลายเป็นเพียงโทรเลขที่ ใครๆ ก็คดิ ด้วยตัวเลขแล้วว่าเป็นการสือ่ สารในแบบทีไ่ ม่คมุ้ ค่า ความตาย ของหนังสือท�ำให้ความฝันเรือ่ งสังคมไร้กระดาษใกล้ความจริงมากยิง่ ขึน้ การไม่ตัดต้นไม้ ท�ำลายสิ่งแวดล้อมก�ำลังจะหมดไป นี่เป็นความหวังอีก ประการหนึง่ ของโลกในศตวรรษทีย่ สี่ บิ เอ็ดเฉกเช่นเดียวกันกับความหวัง ที่ต้องการให้โลกเย็นขึ้นด้วยการไม่ต้องใช้เครื่องปรับอากาศและเครื่อง ท�ำความร้อนไปจนถึงการเดินทางไกลโดยไม่ตอ้ งใช้เครือ่ งบิน แต่ในขณะ เดียวกันแร่ทมี่ ธี าตุโลหะหายาก (Rare Earth Elements--REE) ก็กลับเป็น สิ่งที่โลกดิจิตอลเสาะแสวงหา ส�ำหรับการอ่านด้วยสือ่ ทีแ่ ตกต่างกันมีผลต่อการรับรูใ้ นสมองทีแ่ ตก ต่างกันหรือไม่? การอ่านบนจอคอมพิวเตอร์และโลกดิจิตอลกับกระดาษ สถานะและสภาวะของโลกคอมพิวเตอร์และกระดาษย่อมเป็นอะไรที่ มีความแตกต่างกัน วัตถุและวัสดุก็เป็นคนละชนิด วิธีการน�ำเสนอก็ แตกต่างกันออกไป เพราะอย่างน้อยๆ สิง่ ทีน่ ำ� เสนอบนจอก็มอี ะไรหลายๆ อย่างเกิดขึน้ ได้พร้อมๆ กัน การอ่านบนจอคอมพิวเตอร์เปรียบได้เหมือน กับการดูหนังแผ่นอยูท่ บี่ า้ น ผูด้ สู ามารถจะสูบบุหรี่ รีดผ้า ผัดกับข้าว ฯลฯ ก็สามารถท�ำได้พร้อมๆ กันไป การอ่านบนจอคอมพิวเตอร์ไม่ได้มแี ค่การ อ่านที่มีความต่อเนื่องแบบที่เกิดขึ้นกับหนังสือกระดาษ ส�ำหรับการอ่านผ่านโลกดิจิตอลในแบบที่เป็น Hypertext (การคลิก link ไปยังข้อความต่างๆ) ก็พร้อมเสมอจะท�ำให้เกิดการย้ายตัวบทไปสู่

15


ตัวบทใหม่ๆ โดยการย้ายข้ามตัวบทใหม่ๆ แสดงให้เห็นถึงความไม่ตอ่ เนือ่ ง ในการอ่าน แต่ก็กลับแสดงให้เห็นถึงการเชื่อมต่อกับตัวบท (text) ที่มี การข้ามตัวบทจากตัวบทหนึ่งไปสู่อีกตัวบทหนึ่ง สถานะของ Hypertext จึงไม่มีขั้นตอนว่าอะไรอยู่ในต�ำแหน่งที่สูงกว่าที่จะจ�ำเป็นจะต้องเข้าถึง ก่อนหรือเป็นส่วนสรุปสุดท้าย หรือถ้าจะกล่าวอย่างง่ายๆ Hypertext ไม่มีล�ำดับขั้น เมื่อไม่ล�ำดับขั้นก่อนหลังและสูงต�่ำ เส้นทางของความเป็น เสรีประชาธิปไตยในการอ่านก็มีเพิ่มมากขึ้นไปด้วย ส่วนการอ่านใน Hypertext ก็ท�ำให้การอ่านอยู่ในโลกของความเป็น อนันต์ (infinity) เพราะอาณาเขตของตัวบทเป็นสิง่ ทีก่ ำ� หนดได้ยาก แต่ละ ประโยคมีชอ่ งทางออกเสมอ ช่องทางทีจ่ ะน�ำพาผูอ้ า่ นไปสูโ่ ลกใหม่ๆ โลก ที่ไม่มีอาณาเขตของความรู้ ไม่มีการแยกกันระหว่างสาขาต่างๆ เพราะ ทุกอย่างถูกเชื่อมโยงถึงกันได้หมดตราบใดก็ตามที่ต้องการจะเชื่อมโยง แต่นั่นก็ใช่ว่าจะท�ำให้เกิดการบูรณาการของความรู้ได้ เมื่อทุกอย่าง ด�ำเนินไปอย่างไม่มที สี่ นิ้ สุดก็ทำ� ให้ทกุ อย่างไม่มจี ดุ เริม่ ต้นและไม่มจี ดุ จบ ทุกๆ ทีเ่ ป็นจุดเริม่ ต้นและเป็นจุดจบได้ในเวลาเดียวกัน ครัน้ เมือ่ เป็นอะไร ทีไ่ ม่มที สี่ นิ้ สุดก็ทำ� ให้ยากทีจ่ ะรูว้ า่ สิง่ ทีไ่ ม่มที สี่ นิ้ สุดนีม้ รี ปู ร่างหน้าตาเป็น อย่างไร เมื่อใดที่คิดถึงสิ่งที่ไม่มีที่สิ้นสุดก็กลับท�ำให้วิตกกังวลกับอะไรที่ ไม่รู้ถึงจุดที่สิ้นสุด ดังราวกับว่าไม่มีใครสามารถที่จะควบคุมมันได้ พื้นที่ของ Hypertext เป็นพื้นที่ท�ำให้ความรู้ทุกสิ่งทุกอย่างสามารถ เกิดขึน้ ได้ จากศาสนาไปสูว่ ทิ ยาศาสตร์ ประวัตศิ าสตร์ และอะไรอืน่ ๆ อีก มากมาย พื้นที่ของการอ่านในโลก Hypertext จึงเป็นอะไรที่เต็มเปี่ยม ไปด้วยทุกสิง่ ทุกอย่างและทุกอย่างเป็นไปได้หมด การอ่านในโลก Hypertext จึงเป็นการอ่านทีเ่ ชือ่ มโยงกับทุกสิง่ ทุกอย่าง ทุกอย่างเป็นไปได้ เมือ่ ทุกอย่างเป็นไปได้ก็ท�ำให้การอ่านในพื้นทีข่ อง Hypertext เปรียบประดุจ การอ่านนิยาย/วรรณกรรม เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้ ทุกอย่างๆ สามารถอุบัติขึ้นได้พร้อมกับความตื่นตาตื่นใจที่มีกับเรื่องราวและความ

16


แปลกใหม่ต่างๆ พื้นที่นี้ไม่มีข้อจ�ำกัด ไม่มีข้อห้าม ความฝันของโลกเสรี ประชาธิปไตยปรากฏขึ้นในโลกของ Hypertext ที่โลกแห่งความจริงและ ความฝันเกือบจะไม่ได้แยกออกจากกัน อย่างไรก็ดี การอ่าน Hypertext ท�ำให้การอ่านข้อความหรือเรือ่ งราว ต่างๆ นั้นเคลื่อนตัวไปสู่พื้นที่ของความเป็นนวนิยาย/วรรณกรรมนั้นก็ แสดงว่า คนอ่านพร้อมทีจ่ ะผสมปนเปภาษาและประโยคทีใ่ ช้กนั ในภาษา ของวรรณกรรมกับชีวติ ประจ�ำวัน เพราะในโลกของชีวติ ประจ�ำวันก็คงจะ ไม่มี “โยคีขี่รุ้งพุ่งออกมา” ถึงแม้ว่าโยคีและรุ้งจะเป็นสิ่งที่ด�ำรงอยู่จริง แต่ “โยคีขี่รุ้ง” นั้นก็คงจะหาไม่ได้ในชีวิตประจ�ำวัน ภาษานวนิยาย/ วรรณกรรมจึงรังแต่จะสร้างความฉงนงงงวย เพราะชีวิตจริงนอกจอ คอมพิวเตอร์กลับ “ไม่ม”ี แต่กพ็ ร้อมทีจ่ ะ “มี” ได้เมือ่ เคลือ่ นไปสูพ่ นื้ ทีใ่ หม่ เช่น ค�ำว่า Cyberspace ที่มาจากนวนิยายวิทยาศาสตร์โดย William Gibson ดังเรื่อง Neuromancer (1984) ก็ได้กลายมาเป็นค�ำที่ได้รับการ ยอมรับและใช้กนั อย่างแพร่หลาย ค�ำทีถ่ กู ใช้ในนวนิยายได้กลายมาเป็น อะไรบางอย่างในชีวิตประจ�ำวัน พื้นที่นวนิยายและชีวิตประจ�ำวันได้ถูก ผสมผสานเข้าด้วยกัน พลังของนวนิยายประโลมโลกจึงอาจจะทรงพลัง เหมือนกับที่พวกเหล่าอนุรักษ์นิยมในอดีตได้มีความหวาดกลัวต่อการ อ่านนวนิยายประโลมโลกว่าจะท�ำให้คนอ่านเสียผู้เสียคน ดังนัน้ การเข้าใจภาษาปกติธรรมดาๆ ทีใ่ ช้ในชีวติ ประจ�ำวันและภาษา นวนิยาย/วรรณกรรม ตลอดจนภาษาทีใ่ ช้เป็นอุปมาอุปไมย ฯลฯ ก็อาจจะ เป็นอะไรที่แยกออกกันได้ยากในสังคมที่มีโครงสร้างและระบบวิธีคิดที่ แตกต่างกันออกไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมที่ไม่ได้มีการแยกโลกที่ จับต้องได้กบั โลกทีอ่ ยูเ่ หนือประสาทสัมผัสทัง้ ห้า ภาษาของชีวติ ประจ�ำวัน กับภาษาในต�ำนานเองก็ยังแยกออกจากกันได้ยาก ความแตกต่างของ โครงสร้ า งความคิ ด และระบบความคิ ด ของสั ง คมใดสั ง คมหนึ่ ง ก็ จ ะ ท�ำให้การรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในลักษณะที่แตกต่างกันออกไป เช่น

17


ความเข้าใจนวนิยายเรื่องหนึ่งของสังคมหนึ่งๆ ก็แตกต่างไปจากอีก สังคมหนึง่ ดังนัน้ คนอ่านจ�ำนวนหนึง่ ในกรอบความคิดแบบหนึง่ ก็สามารถ ที่จะแยกได้ว่าอะไรคือสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริงและอะไรเป็นเรื่องที่ไม่มีวันที่จะ เป็นจริง เช่น ถ้าเอา Hamlet หรือ Macbeth ของ Shakespeare ไปอ่านให้ เหล่าชนเผ่าพืน้ เมืองในดินแดนต่างๆ ฟัง ก็จะได้ความเข้าใจในอีกรูปแบบ เป็นต้น กรอบความคิดที่เชื่อในภาษาตามธรรมชาติและภาษาวรรณกรรม หรือภาษาในต�ำนานนัน้ เมือ่ ผนวกเข้ากับระบบความคิดและความเข้าใจ ทางวัฒนธรรมต่างๆ ในโลกก็คือการเพิ่มปริมาณของความหลากหลาย ครั้นเมื่อผนวกกับความหลากหลายของตัวบทอิเล็กทรอนิกส์ที่ยังเปิด โอกาสให้กับการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเรื่องราวต่างๆ ได้ ก็ยิ่งเพิ่มความ หลากหลายให้มีมากขึ้นไปอีก ส�ำหรับในโลกของหนังสือแบบใหม่ ไม่ว่า จะเป็นมิติของการเขียนหรือจะเป็นการอ่าน ทุกอย่างสามารถแก้ไขได้ จากคนนอก เป็นความรู้ที่มีส่วนร่วมในการแก้ไขได้แบบที่เกิดขึ้นกับ Wikipedia แต่ความรูแ้ บบนีก้ ไ็ ม่สามารถทีจ่ ะหาผูป้ ระพันธ์ได้อย่างแท้จริง เพราะทุกๆ คนสามารถที่จะเข้าไปแก้ไข ตัดถอน เพิ่มเติม จนกลายเป็น ผู้ประพันธ์ร่วมไปได้ แต่ก็ไม่ได้มีใครที่ได้ “คะแนน” หรือ “เงิน” จากการ ประพันธ์ในลักษณะนี้ไป เพราะทุกๆ คนเป็นผู้ประพันธ์นิรนาม พื้นที่ของตัวบทแบบ Wikipedia จึงเป็นโลกในอุดมคติของศาสนาที่ ไม่มีใครสามารถที่จะแสดงความเป็นเจ้าของ หรือถ้าจะกล่าวอีกนัยหนึ่ง ทุกๆ คนก็เป็นเจ้าของ นีเ่ ป็นอุดมคติของคอมมิวนิสต์ทไี่ ด้เกิดขึน้ จริงแล้ว ในโลกดิจติ อล ทุกๆ คนมีสว่ นร่วมในการสร้างความรูท้ ไี่ ม่ตอ้ งเสียเงินเสีย ทองให้กบั สถาบันการศึกษาทีน่ บั วันค่าใช้จา่ ยส�ำหรับการศึกษาก็มแี ต่สงู ขึน้ เมือ่ ไม่มใี ครเป็นเจ้าของก็ทำ� ให้สถานะของการไม่มเี จ้าของเป็นหมาย “เลขหนึง่ ” เลขทีจ่ ะต้องปรากฏออกมาเมือ่ ใดก็ตามทีม่ ใี ครสักคนใช้เครือ่ ง คอมพิวเตอร์เพื่อแสวงหาอะไรบางอย่าง เพียงแต่ “เลขหนึ่ง” นี้ไม่ได้ถูก

18


ก�ำกับด้วยกรอบความคิดเรื่องทรัพย์สินส่วนตัวอีกต่อไป พืน้ ทีค่ วามรูแ้ บบ Wikipedia นัน้ สภาวะของความเป็นทรัพย์สนิ ส่วนตัว ไม่สามารถเกิดขึน้ ได้ แต่เมือ่ ไม่มคี วามเป็นของส่วนตัว ไม่มใี ครเป็นผูแ้ สดง “อ�ำนาจ” ของผูป้ ระพันธ์ ก็ทำ� ให้ผลงานชิน้ นัน้ หาคนรับผิดชอบไม่ได้ เพราะ ไม่มอี ะไรที่เรียกว่า “ความรับผิดชอบรวมหมู่” ที่เกิดขึ้นจากการไม่มีใคร ลงนาม ตัวบทแบบนี้มีความยืดหยุ่น ไม่มีลักษณะที่ตายตัวแบบตัวบท ของสิ่งพิมพ์กระดาษ เนื้อหาจึงพร้อมเสมอที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขไปได้ ในทุกๆ วินาทีจนไม่มีอะไรที่เพียงพอจะจับต้องได้ว่าเป็นฝีมือใคร ตัว บทแบบนี้จึงไม่เหลือร่องรอยแห่งอัตลักษณ์ของผู้เขียนเอาไว้ ความ หวาดกลัวต่อการสูญหายของอัตลักษณ์แห่งปัจเจกชนดูจะไม่แตกต่าง ไปจากความหวาดวิตกของ Plato เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงจากภาษาพูด มาเป็นภาษาเขียนเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว การเกิดขึ้นของตัวอักษร ท�ำให้การใช้ความทรงจ�ำจากการเรียนรูผ้ า่ นมุขปาถะ หรือภาษาพูดหมด ความส�ำคัญลง พื้นที่ของการอ่านและความรู้ที่เกิดขึ้นจาก “คอมมิวนิสต์ดิจิตอล” จนท�ำให้อัตตาและความเป็นปัจเจกชนสลายหายไปนั้นถือได้ว่าเป็นภัย อันตรายส�ำหรับส�ำนึกแบบปัจเจกชนเป็นใหญ่ ความหวาดวิตกนี้ท�ำให้ หนึ่งในเจ้ายุทธจักรแห่งโลกดิจิตอล Jaron Lanier ในปี ค.ศ. 2006 เรียก ว่า “ลัทธิดจิ ติ อลเหมา” (Digital Maoism) ทีท่ กุ อย่างตกเป็นของส่วนรวม และอยู่ภายใต้ “อภิ” (meta) ภายใต้นามของ Google หรือ Wikipedia มากกว่าจะเป็นของปัจเจกชนคนหนึ่งๆ ผู้สร้างสรรค์งานขึ้นมา สภาวะ ของความเป็น “อภิ” นั้นเป็นอะไรที่ดูจะขัดแย้งและสร้างความวิตกจริต ให้กับส�ำนึกอุดมคติแบบอเมริกันที่พร้อมจะเห็นการกระท�ำของส่วนรวม ในลักษณะที่ไม่ปรากฏอัตลักษณ์ ว่าคือรูปการแสดงออกของเผด็จการ เบ็ดเสร็จ (totalitarianism) และองค์กรขนาดใหญ่ที่ท�ำตัวเป็นศูนย์กลาง โดย Lanier เห็นว่า เหมือนกับอ่านพระคัมภีร์ไบเบิลที่ไม่รู้ว่าใคร

19


เขียน สภาวะของพระคัมภีร์ก็ท�ำให้ทุกอย่างเป็นเพียงการบงการของ พระผู้เป็นเจ้าที่ท�ำให้มนุษย์เป็นเพียงผู้แบกรับภาระให้กับพระองค์ แต่ มนุษย์ก็จะไม่ได้ชื่อเสียงหรือการยอมรับใดๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่มี ใครเห็นตัวตนของพระผูเ้ ป็นเจ้า การเขียนเป็นการเขียนแบบ “มือทีม่ อง ไม่เห็น” ของ Adam Smith แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว การท�ำงานของ “มือทีม่ องไม่เห็น” มักจะล้มเหลวเสมอๆ เช่นทีป่ รากฏให้เห็นในอาณาเขต ของเศรษฐกิจ5 เพียงแต่วา่ มือผูป้ ระพันธ์ทมี่ องไม่เห็นนัน้ ด�ำรงอยูเ่ สมือน หนึ่งว่าไม่ได้ด�ำรงอยู่ พื้นที่ของการอ่านในโลกคอมพิวเตอร์หรือ “ความจริงที่เสมือนจริง” ยังเป็น Hypermedia ที่เชื่อมต่อโลกของภาพ เสียง ดัชนี สัญลักษณ์ และภาษาเข้าด้วยกัน ไปจนถึงสภาวะของการตอบโต้กัน (interactivity) พื้นที่ของ Hypermedia จึงเป็นพื้นที่ต้องต่อสู้แข่งกัน ประสาทสัมผัสจึง ต้องท�ำงานด้วยกันหมดทุกส่วน การอ่านแบบเงียบๆ ไม่สามารถเกิดขึ้น ได้อกี ต่อไปในโลกของ Hypermedia การอ่านจึงไม่ได้ตอ้ งการความนิง่ แต่ ต้องการพลวัตร การเปลีย่ นสถานะไหลลืน่ ไปตามทีต่ า่ งๆ โดยการเดินทาง ก็ไม่ได้เป็นไปตามขัน้ ตอนทีค่ อ่ ยๆ เปลีย่ นแปลงเป็นแต่ละล�ำดับแต่ละขัน้ โดยทีพ่ ฒ ั นาการของการเล่าเรือ่ งก็ไม่ได้มจี ดุ หมายอยูท่ ใี่ ดทีห่ นึง่ ประหนึง่ การประกอบสร้างโครงสร้างปิรามิดที่ทุกอย่างต้องไปรวมศูนย์อยู่ที่ยอด หรือรวมศูนย์อยู่ที่พระผู้เป็นเจ้าตามกรอบคิดของเอกเทวนิยม (monotheism) พัฒนาการแบบเส้นตรง (unilinear) ก�ำลังจะกลายเป็นอดีต แต่ ถึงกระนัน้ ก็ดี สิง่ ทีแ่ ปลกใหม่บนโลกดิจติ อลก็ยงั คงน�ำเสนออะไรบางอย่าง ที่คุ้นเคย เช่น การพลิกหน้า เป็นต้น เพียงแต่การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้น   Jaron Lanier, “Digital Maoism: The Hazards of the New Online Collectivism”, http://www.edge.org/3rd_culture/lanier06/lanier06_index.html. Retrieved April 12, 2012 5

20


ได้ก็ต่อเมื่อมีเสียงคลิกไปจนถึงเสียงพลิกหน้าจากมือผ่านโลกดิจิตอล หนังสือดิจติ อลไม่ได้เป็นภาพทีเ่ คลือ่ นไหวแบบสือ่ อืน่ ๆ เพราะยังไม่ ได้พฒ ั นาจนมีหนังสือแบบทีเ่ ป็นหนังสือในจินตนาการแบบ Harry Potter แม้วา่ กระบวนการ Automation นัน้ จะท�ำให้ทกุ สิง่ ทุกอย่างสามารถด�ำเนิน ไปได้ดว้ ยตนเองจนสามารถสร้างสหกริยา (interactive) กับผูใ้ ช้ได้ ทุกสิง่ ทุกอย่างได้ถกู ถ่ายทอดลงไปในโลกดิจติ อลเพือ่ ความสะดวกมากกว่าทีจ่ ะ สร้างความสัมพันธ์สองทางระหว่างผูป้ ระพันธ์กบั ผูอ้ า่ น เพราะสภาวะของ การตอบโต้กนั ยังคงเป็นสิง่ ทีย่ งั ไม่ได้เกิดขึน้ หนังสือทีม่ ผี ปู้ ระพันธ์ยากที่ จะเกิดสภาวะของสหกริยา (interactive) ขึ้นมาได้ สถานะของผูป้ ระพันธ์ของอังกฤษดินแดนแห่งส�ำนึกเรือ่ ง “ทรัพย์สนิ ส่วนตัว” (private property) ซึ่งก็เป็นประเทศอังกฤษนี่เองที่ท�ำให้ค�ำ ว่า “Copyright” ได้ส�ำแดงอานุภาพออกมาในปี ค.ศ. 17106 และเมื่อ เป็นทรัพย์สินส่วนตัวอันเป็นสิทธิตามธรรมชาติตามกรอบคิดของ John Locke ก็หมายความว่าหนังสือเป็นอะไรทีล่ ะเมิดไม่ได้ สิง่ ทีล่ ะเมิดมิได้นนั้ คือความคิดริเริม่ (originality) อันเป็นความคิดของยุคฟืน้ ฟูศลิ ปวิทยาการ แต่กลายมาเป็นความคิดกระแสหลักในศตวรรษที่สิบแปด7 เพื่อแสดง คุณลักษณะของความเป็นปัจเจกชน จนท�ำให้ผลงานวรรณกรรมกลายเป็น เรื่องของสิ่งที่ไม่มีรูปร่างไม่มีตัวตนแต่มีเจ้าของที่ครอบครองอะไรที่ไม่มี ความเป็นวัตถุเหล่านี้ ภายใต้กฎหมายและส�ำนึกของผู้อ่านก็ไม่สามารถที่จะเป็นได้ทั้ง ผู้ประพันธ์และผู้อ่านในเวลาเดียวกัน โลกทุนนิยมหนังสือยังไม่มีพื้นที่ ของผูส้ ร้างสรรค์รว่ มกันระหว่างผูป้ ระพันธ์และคนอ่าน สิง่ ทีผ่ อู้ า่ นอาจจะ   Mark Rose, Authors and Owners: The Invention of Copyright, (Cambridge: Harvard University Press, 1993), p. 4 6

7

Ibid, p. 6.

21


เป็นไปได้กค็ อื เป็นผูอ้ า่ นทีม่ จี ติ ส�ำนึกและความคิดเป็นของตนเองในการ ประเมินค่าสิ่งที่ผู้อ่านอ่านมากกว่าผู้ที่มี “สิทธิอ�ำนาจ” ในเรื่องราวของ บทประพันธ์ต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ในโลกของ Hypertext นั้นเป็นเพียงว่า หนังสือถูกถ่ายทอดลงไปสูโ่ ลกดิจติ อล หนังสือเล่มหนึง่ ภายใต้ความเป็น เจ้าของที่เป็นของมนุษย์นั้นไม่สามารถเกิดสภาพ Hypertext ได้ เพราะ เป็นไปไม่ได้ที่คนคนหนึ่งจะประพันธ์เรื่องราวต่างๆ ขึ้นได้ทั้งหมดเพียง คนเดียวในโลก Hypertext เพราะโลกของ Hypertext เองก็วางอยูบ่ นฐาน ความคิดในเรือ่ งของการเชือ่ มต่อกันของตัวบททีแ่ ต่ละชิน้ ต่างก็มเี จ้าของ จนท�ำให้กรอบความคิดของ Roland Barthes เรื่อง “ความตายของ ผู้ประพันธ์” (the Death of the Author) เกิดขึ้นไม่ได้อย่างน้อยๆ ก็ ในความเข้าใจของกฎหมาย แต่ในโลกวรรณกรรมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง กรอบความคิดเรือ่ ง “ผูป้ ระพันธ์ตายแล้ว” ทีไ่ ม่ใช่ผปู้ ระพันธ์ทมี่ ชี วี ติ เลือดเนื้อและมีความเป็นเจ้าของนั้น เป็นกรอบคิดที่วางอยู่บนฐานคิดที่ ให้ความส�ำคัญกับ “ความคิด” ในฐานะที่เป็นนามธรรมที่แสดงรูปลักษณ์ ออกมาเป็นรูปธรรม สภาวะของการเป็นเจ้าของทีม่ ี “อ�ำนาจเหนือสิง่ นัน้ ๆ” ได้แสดงพลังแห่งอ�ำนาจของบุคคลผู้นั้นในการสร้างและประดิษฐ์คิดค้น สภาวะที่เป็นรากฐานให้กับมนุษยนิยมและมนุษยศาสตร์ เพียงแต่การ แสดงอ�ำนาจเหล่านีก้ ต็ อ้ งด�ำเนินไปตามกฎเกณฑ์อะไรบางอย่าง อย่างไร ก็ดี ตัวบทเป็นอะไรที่หลากหลาย และอย่างน้อยๆ ก็ยังเป็นสิ่งที่ปรากฏ ในความคิดของ Roland Barthes ผู้เสนอความคิดเรื่อง “ความตายของ ผู้ประพันธ์” ส�ำหรับ Barthes แล้ว ตัวบททีไ่ ม่ใช่หนังสือนัน้ ก็มลี กั ษณะของความ เป็นพหุ (plural) ไม่ได้มีความเป็นหนึ่งเดียว เพราะตัวบท “ระเบิด” “กระจาย” ไปในทีต่ า่ งๆ8 ตัวบทไม่ได้เป็นอะไรทีอ่ ยูอ่ ย่างโดดเดีย่ ว แต่เป็น 8

Roland Barthes, “From Work to Text”, in The Rustle of Language,

22


“เครือข่าย”9 นอกจากนัน้ ก็เป็นอะไรที่ “นับไม่ได้”10 เพราะตัวบทต่างๆ เหล่านี้ ถูกน�ำไปผลิตซ�้ำๆ ไม่ได้แตกต่างไปจากการสร้างไฟล์หรือการคัดลอก ไฟล์ในโลกคอมพิวเตอร์ เพียงแต่ในโลกดิจิตอลสิ่งต่างๆ เหล่านี้กลับ เข้ามาอยู่ในโลกของภาพและจอประมวลผล โลกที่ท�ำงานแตกต่างไป จากโลกของภาษา ถึงแม้วา่ จะมีความพยายามในการอธิบายภาพผ่าน หลักการและการท�ำงานของภาษาจนท�ำให้ภาพ (image) และประติมาน (icon) ถูกลดทอนให้เหลือเพียงภาษาก็ตามที ครั้นถ้าพิจารณาจากตัวบทกลับไปสู่สภาวะของการเป็นหนังสือก็ เป็นสภาวะที่หลากหลายด้วยเช่นกัน เนื่องด้วยหนังสือนั้นไม่ได้มีเพียง แค่ผปู้ ระพันธ์ เพราะยังต้องมีสำ� นักพิมพ์ เจ้าของส�ำนักพิมพ์ คนจัดหน้า จัดรูปแบบของตัวอักษร คนออกแบบรูปร่าง ขนาด และปกหนังสือ ไล่เรียงไปจนถึงบรรณาธิการทีด่ แู ลตัง้ แต่เรือ่ งภาษาไปจนถึงการจัดพิมพ์ หนังสือไม่ได้มีเพียงแค่นักเขียน แต่ต้องการอะไรอื่นๆ อีกมากมายจน กระทั่งถึงกระบวนการที่กลายเป็นหนังสือ ส�ำหรับก่อนที่หนังสือจะมี สถานะของการมี ‘เจ้าของคนเดียว’ นัน้ หนังสือในฐานะกระบวนการของ การเรียนรูเ้ ป็น “ของขวัญทีพ่ ระผูเ้ จ้าประทาน” ให้กบั มนุษย์ ดังนัน้ เมือ่ เป็น “ของขวัญ” จากพระผู้เป็นเจ้า ก็ย่อมไม่มีใครหรือผู้ใดที่ได้ครอบครอง เป็นของส่วนตัว แต่ต้องเป็นของส่วนรวม เมื่อเป็นของส่วนรวมก็ไม่ สามารถที่จะใช้ไปเพื่อหวังผลก�ำไรได้11 สถานะของหนังสือเป็นกระบวนการสร้างวัตถุที่มีวัฒนธรรมของ translated by Richard Howard, (Berkeley: University of California Press, 1989 [1986]), p. 59. 9

Ibid, p. 61

10

Ibid, p. 57

Mark Rose, Authors and Owners: The Invention of Copyright, pp. 13-14.

11

23


การผลิตหนังสือที่แต่ละยุคแต่ละสมัยต่างก็มีวิธีการน�ำเสนอหรือการท�ำ ทีแ่ ตกต่างกัน การเปลีย่ นแปลงรูปแบบของวัตถุสำ� หรับการอ่านจากเป็น ม้วน (scroll) มาสูก่ ารเย็บเล่ม เปลีย่ นจากการอ่านจากบนลงล่างมาสูก่ าร พลิกหน้า การจัดย่อหน้า การจัดประโยคให้อยูใ่ นรูปแบบของการเล่าเรือ่ ง ที่มีย่อหน้าไปสู่การจัดประโยคให้อยู่ในรูปของ ประโยคประโยคเดียว ประโยคทีป่ รากฏในรูปแบบของบทกวี ประโยคทีไ่ ม่ได้ถกู กัน้ ด้วยช่องไฟ หรือจุด ประโยคหัวกระสุน (Bullet Point) ในรูปแบบที่น�ำเสนอกันใน ลักษณะของ Power Point ทีไ่ ม่มคี วามเป็นบทกวี แต่เป็นค�ำสัน้ ๆ เป็นจุดๆ และไม่ได้มอี ะไรเชือ่ มต่อกันก็ได้ ไม่ตอ้ งการค�ำสัณฐาน ค�ำบุพบท ประธาน หรือกรรม เป็นต้น ประโยคหัวกระสุนแสดงให้เห็นถึงความรูท้ ถี่ กู ย่อยและ ตัดถอนแตกเป็นเสี่ยงๆ เพื่อให้เหลือเพียงหัวกระสุนเพียงหัวเดียว หัว กระสุนทีแ่ สดงให้เห็นถึงความรวดเร็ว สัน้ และกระชับเสียยิง่ กว่าบันทึกสัน้ ช่วยจ�ำ (memo) ซึง่ ทัง้ หมดก็เป็นองค์ประกอบส�ำคัญของสภาวะสมัยใหม่12 ความเร็วและความต้องการจะมีอะไรพร้อมๆ กันในเวลาเดียวกัน มากกว่าที่จะพุ่งเป้าไปที่ที่เดียวท�ำให้การอ่านในโลกคอมพิวเตอร์เต็ม ไปด้วยความหลากหลาย การอ่านไม่ได้เป็นเพียงแค่การอ่านหนังสือแต่ เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการอ่านใน “วัตถุแบบอื่น” หรือ “สื่อ” อื่นๆ ไปพร้อมๆ กัน เช่น การอ่านอีเมล์ เป็นต้น ผู้อ่านเองก็พร้อมเสมอที่จะ เปลี่ยนไปสู่การอ่านอะไรแบบอื่นๆ เพียงในระยะเวลาไม่กี่นาที ถึงแม้ว่า การอ่านตัวบทในโลกดิจิตอลจะท�ำให้ผู้อ่านไม่ได้ติดตรึงอยู่กับเรื่องใด เรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ โดยผู้อ่านสามารถที่จะเคลื่อนตัวไปในพื้นที่ต่างๆ ของตัวบทต่างๆ ได้อย่างเสรี การอ่านในโลกดิจิตอลจึงเป็นการอ่านที่   John Guillory, “The Memo and Modernity”, Critical Inquiry, 31 (Autumn, 2004). http://www.uchicago.edu/research/jnl-crit-inq/features/artstatements/ arts.guillory.htm. Retrieved April 2, 2012. 12

24


มีเสรีภาพ แม้ว่าเสรีภาพที่กล่าวถึงนั้นจะหมายความถึงความไม่อดทน ต่อการอ่านอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นระยะเวลายาวนานก็ตาม ถ้าจะ กล่าวในแบบเชิงศีลธรรมนัน่ ก็คอื ผูอ้ า่ นทุกๆ คนพร้อมทีจ่ ะถูกล่อลวงไปสู่ เรื่องอื่นๆ ได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ดี หนังสือไม่ว่าจะเป็นกระดาษหรืออิเล็กทรอนิกส์ซึ่งไม่ใช่ ตัวบทก็ยงั คงมีสงิ่ หนึง่ ทีถ่ กู ตอกตรึงไว้อย่างไม่เปลีย่ นแปลง นัน่ คือชือ่ ของ ผูป้ ระพันธ์ยงั อยูเ่ หมือนเดิม ทุกสิง่ ทุกอย่างยังคงถูกติดตรึงไว้อย่างแน่นหนา ให้เห็นถึงการไม่เปลีย่ นแปลงของสิง่ ทีผ่ ปู้ ระพันธ์นำ� เสนอ แต่ในพืน้ ทีข่ อง โลกดิจิตอลที่ทุกอย่างกลายเป็นเพียงแค่การแทนที่ข้อความหรือใส่อะไร บางอย่างใหม่ลงไปในพื้นที่อันเดิม ในขณะที่หนังสือกระดาษต้องการ พื้นที่ในลักษณะแบบเดียวกันกับรัฐสมัยใหม่ตลอดจนปัจเจกชนซึ่งต่าง ก็ต้องการดินแดนที่แน่นอนตายตัว แถมยังถูกก�ำกับด้วยกรอบความคิด เรื่องอ�ำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน ส�ำหรับในโลกดิจิตอลทุกอย่างนั้นก็ สามารถเล็ดลอดออกไปได้ เพราะเป้าหมายส�ำคัญของโลกดิจิตอลก็คือ การเชือ่ มต่อกับอะไรอืน่ ๆ จนท�ำให้ไม่มอี ะไรทีเ่ รียกได้วา่ อยูข่ า้ งนอกหรือ อยูข่ า้ งใน แต่เป้าหมายของหนังสืออิเล็กทรอนิกส์กไ็ ม่ได้มคี วามมุง่ หวังที่ จะเชื่อมต่อกับหนังสือเล่มอื่นๆ เพราะหนังสือแต่ละเล่มถูกก�ำหนดให้มี ขอบเขตด้วยกฎหมาย หนังสืออิเล็กทรอนิกส์จงึ ไม่ได้ใช้กรอบคิดเช่นเดียวกับ การท�ำวีซ่าครั้งเดียวแล้วเข้าได้หลายๆ ประเทศ ในขณะที่พื้นที่ของดิจิตอลเป็นพื้นที่ของการเชื่อมต่อ การแบ่งปัน ร่วมกันใช้พื้นที่ที่เดียวกัน ผลัดหมุนเวียนเปลี่ยนกันไป หรือถ้าจะกล่าว อย่างง่ายๆ การก�ำหนดแบ่งหรือแยกพืน้ ทีถ่ กู ท�ำลาย นอกจากนัน้ ในโลก ของ Hypertext ทุกอย่างไม่ได้พงุ่ เป้าไปสูจ่ ดุ สุดยอดหรือมีเป้าหมายเพียง หนึ่งเดียว สถานะของผู้ประพันธ์จึงไม่ได้มี “อ�ำนาจ” (authority) ในฐานะ ที่เป็น “ผู้ประพันธ์” (author) ได้ง่ายๆ แบบเดิมอีกต่อไป ดังที่ได้กล่าว มาแล้วว่า Hypertext ที่ผู้อ่านสามารถจะเริ่มต้นเรื่องราวเรื่องหนึ่งแล้วก็

25


เดินทางแยกไปตามแต่ความต้องการของผู้อ่านว่าจะสนใจและต้องการ ท�ำความเข้าใจประเด็นทีต่ นเองสนใจก่อนหรือหลังอย่างไร ความต้องการ ของผู้อ่านนั้นมาก่อนเสมอ จนยากที่จะมีใครบังคับได้ ในขณะเดียวกัน การอ่านทีแ่ ยกออกไปจากความต้องการอ่านตัวบทเดิมก็สามารถทีจ่ ะหัน กลับมาบรรจบกับเส้นทางของการอ่านอันแรกก็ได้ การแสวงหาความ เป็นเอกภาพร่วมกันจากการอ่านจึงเป็นอะไรทีย่ ากมากยิง่ ขึน้ ไปกว่าการ อ่านที่น�ำไปสู่การตีความที่ไม่เหมือนกัน เส้นทางของการอ่านจึงไม่ได้มกี ารบังคับตายตัวแบบหนังสืออันเป็น การอ่านทีด่ ำ� เนินไปแบบเส้นตรงหรือใช้ตรรกะนิรนัย (deductive)13 จนไม่ สามารถท�ำให้ผอู้ า่ นออกนอกลูน่ อกทางไปได้ ถึงแม้วา่ ผูอ้ า่ นจะไม่ได้เป็น ผูป้ ระพันธ์ แต่ผอู้ า่ นก็เป็นผูแ้ สดงทีส่ ามารถทีจ่ ะแหวกจารีตของการอ่าน เพื่อไม่ต้องถึงจุดสุดยอดหรือเป้าหมายที่ผู้เขียนตั้งเป้าเอาไว้ จนท�ำให้ การอ่านเหลือเพียงแค่การได้แสดงหรือเล่นกับการอ่านทีก่ ระท�ำด้วยการ บังคับทิศทางที่ผู้อ่านพึงปรารถนา แรงปรารถนาที่ไม่สามารถจะคาด ได้ว่าผู้อ่านจะเลือกไปในเส้นทางใด ผลลัพธ์จึงเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ถึงแม้ว่ารูปแบบแนวทางของการอ่านจะสามารถคาดค�ำนวณได้ผ่านตัว โปรแกรมที่ช่วยในการสืบค้นหาข้อมูล หรือผ่าน Really Simple Syndication (RSS) แต่นั่นก็เป็นเพียงแบบแผน (pattern) ของผลลัพธ์ที่เกิด ขึ้นจากการกระท�ำของบุคคลต่างๆ การคาดเดาไม่ได้ของผู้อ่านสร้างเส้นทางแห่งการเป็นองค์อธิปัตย์ (sovereign) ทีก่ ำ� หนดเส้นทางการอ่านของตนเอง เส้นทางทีแ่ สดงให้เห็นถึง ความเป็นอัตวิสยั ทีส่ ามารถยกไปสูร่ ะดับของการหลงใหลในตนเอง เพราะ   Roger Chartier, “Language, Books, and Reading from the Printed World to the Digital Text”, Critical Inquiry, 31 (Autumn, 2004). http:// www. uchicago.edu/research/jnl-crit-inq/features/artsstatements/arts.chartier.htm. Retrieved April 2, 2012 13

26


สิง่ ทีต่ วั ตนรับรูห้ รือบริโภคข้อมูลข่าวสารก็คอื การแสดงออกของความเป็น องค์อธิปตั ย์ เพราะไม่เพียงแต่ได้บริโภคเท่านัน้ แต่ยงั เพิม่ เติมความเป็น อัตวิสยั ออกไปได้ดว้ ยในเวลาเดียวกัน เพราะในโลกของสหกิรยิ าย่อมเป็น พื้นที่ที่ใครต่อใครก็ตามสามารถแสดงตัวของตนเองออกมาได้ ตัวตนที่ แสดงออกมามีตั้งแต่การจัดรูปแบบของตัวหนังสือ สีที่จะใช้ เป็นต้น การ เขียนด้วยคอมพิวเตอร์จึงแตกต่างไปจากพิมพ์ดีด เพราะตัวอักษรของ พิมพ์ดีดเป็นอะไรที่เลือกไม่ได้ รูปแบบของตัวอักษรมีลักษณะที่ตายตัว ส�ำหรับการใช้เครื่องพิมพ์ดีดหรือเขียนด้วยลายมือนั้น ก็ยังท�ำให้เห็น ร่องรอยของต้นฉบับทีม่ รี อยขีดเขียน ระโยงระยางของการแก้ไขค�ำ เปลีย่ น ค�ำใหม่ ตัดค�ำ เพิ่มค�ำ ฯลฯ ซึ่งสิ่งต่างๆ เหล่านี้ยังเป็นอะไรที่หลงเหลือ ไว้แต่ในห้องสมุดและเป็นเพียงแค่ร่องรอยในประวัติศาสตร์ ในโลกของ Hypertext ทุกอย่างมีอะไรทีจ่ ะต้องมีอะไรอยู่ “เบือ้ งหลัง” ที่ ทุกๆ อณูสามารถทีจ่ ะสืบหาได้ตอ่ เรือ่ ยๆ ดังราวกับว่าทุกๆ ประโยคต้องมี การอ้างอิงและยังเป็นการอ้างอิงต่อไปได้เรื่อยๆ จนราวกับว่าการเขียน หรือการเล่าเรื่องใน Hypertext เป็นการเขียนที่ไม่มีที่สิ้นสุด การเขียน ที่ไม่มีจุดจบในอนาคต ไม่เพียงแต่เท่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างและทุกเรื่อง ยังสามารถทีจ่ ะผลิตซ�ำ้ ได้เรือ่ ยๆ การเขียนในโลกของ Hypertext จึงเป็น โลกของหลุมด�ำทีด่ ดู ทุกสิง่ ทุกอย่างน�ำมาหลอมรวมเข้าไว้ในพืน้ ทีเ่ สมือน จริงทีด่ จู ะเป็นจริงเสียยิง่ กว่าสิง่ ทีเ่ ป็นจริงทีผ่ า่ นประสบการณ์ของการอ่าน แบบโลกสองมิติ ไม่มอี ะไรอยูใ่ นตัวหนังสือบนระนาบแบนๆ ของตัวอักษรที่ เรียงรายกันขึน้ มาเป็นประโยค ตัวอักษรบนหนังสือสิง่ พิมพ์กระดาษเป็น อะไรทีต่ ายตัว ไม่ได้เกิดขึน้ จากกระบวนการของ “ตัวเลขทีต่ รงกันข้ามกัน” (binary digit) อันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครมองเห็น โลกดิจิตอลเป็นทั้งภาษาและรหัส แต่ก็ไม่ได้มีใครสนใจรหัสว่าเป็น อะไรและท�ำงานอย่างไร เพราะคอมพิวเตอร์เป็นเรื่องของเทคโนโลยีที่ ผู้ใช้มีหน้าที่ใช้โดยไม่จ�ำเป็นต้องรู้ว่ามันมีการท�ำงานอย่างไร หนังสือใน

27


โลกของดิจติ อลเป็นโลกของการท�ำงานทีใ่ ช้ทงั้ เวลาและสถานที่ ในขณะ ทีห่ นังสือกระดาษไม่มมี ติ ขิ องการเดินทางของเวลาในการท�ำให้ตวั อักษร ปรากฏ หนังสือกระดาษไม่มกี ารผสมกันของรหัสต่างๆ ด้วยรหัสทีไ่ ม่มี ความสัมพันธ์อะไรกันตัง้ แต่เริม่ แรกก็สามารถจับน�ำมารวมและเรียงล�ำดับ ต�ำแหน่งกันใหม่ รหัสของคอมพิวเตอร์ไม่ได้เป็นอะไรทีส่ ำ� คัญส�ำหรับชีวติ หน้าจอคอมพิวเตอร์ สิ่งที่เห็นบนจอคอมพิวเตอร์ก็ไม่ใช่เนื้อแท้ภายใน แต่ก็ไม่มีใครสนใจว่าเนื้อแท้จริงๆ นั้นเป็นอะไร เพราะสิ่งที่มีเสน่ห์และ ให้ใคร่ครวญโหยหาก็เป็นเพียงรูปลักษณ์ภายนอก สิ่งที่อยู่ภายนอกจึง เป็นอะไรที่ส�ำคัญกว่าสิ่งที่อยู่ภายใน ภาพภาษาบนจอคอมพิวเตอร์นั้นไม่ได้เป็นภาษา แต่เกิดขึ้นจาก กระบวนทางรหัสคอมพิวเตอร์ทใี่ ช้ตวั เลขแปลงออกมาเป็นภาพมากกว่า ทีจ่ ะเป็นภาษา ในแง่นี้ ภาพของตัวอักษรบนจอคอมพิวเตอร์จงึ เป็นเพียง ภาพทีใ่ ห้ความหมายของค�ำพูดมากกว่าทีจ่ ะเป็นตัวอักษรล้วนๆ ในการที่ จะเห็นภาพทีเ่ ป็นตัวอักษรก็ตอ้ งผ่านกระบวนการของการใช้อปุ กรณ์ของ คอมพิวเตอร์ เช่น Mouse ทีย่ อ่ มไม่ใช่สตั ว์ทเี่ รียกว่าหนู และเครือ่ งหมายที่ ต้องการใช้เป็นค�ำสัง่ เป็นต้น ในขณะทีห่ นังสือเมือ่ เห็นอยูต่ รงหน้าก็รแู้ ล้ว ว่ า คื อ ตั ว หนั ง สื อ เปิ ด หน้ า แรกก็ เ ห็ น เรื่ อ งราวและตั ว อั ก ษรได้ ทั น ที เบื้องหลังของหนังสือกระดาษก็ไม่ได้มีอะไรลึกลับที่ผู้อ่านเข้าไม่ถึง ส่ ว นตั ว อั กษรและการเล่ า เรื่ อ งในตั ว บทคอมพิ ว เตอร์ เ ป็ น เพี ย ง เสมือนจริงก็ไม่มีความชัดเจนว่าอะไรเป็นสิ่งที่จริงหรือไม่จริงอันเป็น ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจากกรอบความคิดของวัฒนธรรมวัตถุหนังสือ วัฒนธรรมที่เป็นเพียงสองมิติ วัฒนธรรมหนังสือกระดาษจึงมีความ ชัดเจน ไม่ได้ซอ่ นอะไรทีล่ กึ ลับมองไม่เห็น ไม่มวี นั ทีห่ นังสือจะหายไปแบบ ม้วนเทปค�ำสั่งเช่นในภาพยนตร์โทรทัศน์ Mission Impossible แต่โลก หนังสือดิจติ อลก็พร้อมเสมอทีจ่ ะสลายหายไปจากโลกเสมือนจริง (virtual reality) เมื่อผู้ใช้ออกค�ำสั่งท�ำลาย โลกที่ไม่มีใครมองเห็นและไม่มีความ

28


จ�ำเป็นที่จะต้องมองให้เห็น ความชัดเจนแบบต้องการเจาะลึกของโลก Hypertext จึงไม่มีและไม่มีความจ�ำเป็นที่จะต้องมี

29


เหนือท้องฟ้าขึ้นไปอาจไม่มีสวรรค์ ใต้ผืนดินที่เราย�่ำเหยียบอาจไม่มีนรก

นักโทษประหาร

ณัฐนิช เศรษฐสกล


โซ่ ต รวนเขรอะคราบสนิ ม กระทบกั น ดั ง เคล้ ง คล้ า ง ในความมืด แสงเหลืองนวลของดวงจันทร์ส่องผ่าน หน้าต่างทะลุซี่กรงทาบเป็นลายฉายไปบนก�ำแพงหิน หยดน�้ำไหลจากเพดานสู่พื้นเบื้องล่างคราวละหยดสอง หยดเป็นจังหวะ หนูสองสามตัววิ่งขวักไขว่ไปมาตามท่อ ระบายน�้ำนอกห้องขังที่ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้ง

คุกใต้ดนิ มีทางเดินสีทบึ ทึมทอดยาวไปในความมืด พืน้ หินสีเทาเข้มเย็นเยียบดุจน�ำ้ แข็ง ฟากหนึง่ มีหอ้ งเล็กๆถูกกัน้ ขึน้ ด้วยแท่งเหล็กขนาดกลางเรียงต่อกันเป็นซีก่ รง บางห้อง ว่างเปล่า บางห้องมีคนถูกคุมขัง และบางห้องเหลือเพียงซากเน่าของมนุษย์ อากาศหนาวเย็นโรยตัวครอบคลุมไปทั่ว ฝังลึกลงไปใต้ผิวหนัง ดูราวกับนรกขุม สุดท้ายอยูห่ า่ งเพียงปลายจมูก นักโทษหลายคนนอนขดริมผนังห้อง ร่างกายสัน่ ระริก ด้วยพิษไข้ ลมหายใจของพวกเขาพ่นยาวออกเป็นควันสีขาวราวกับพลังชีวิตก�ำลัง แผ่วพร้อมอุณหภูมิที่ต�่ำลง ที่ห้องขังหมายเลขสี่ – ส�ำหรับนักโทษประหาร – ร่างสูงใหญ่หากทว่าซูบเซียว ของชายหนุม่ นัง่ พิงหลังกับก�ำแพงห้อง เลือดสีสดซึมผ่านไรผมจนจับตัวเป็นก้อนแข็ง กรัง ดวงตาสีเปลือกไม้ซอ่ นอยูห่ ลังผมสีออ่ นทีย่ าวรุงรังปรกใบหน้า ทุกครัง้ ทีเ่ ขาขยับ โซ่ที่ขาทั้งสองจะกระทบกันในความมืดมิด อากาศเย็นเยียบท�ำให้บาดแผลทั่วร่าง ปริแตก ความเจ็บแสบกรีดผ่านผิวหนัง แล่นจากแขนขาสู่เส้นประสาทจนชาดิก ชายหนุม่ ถ่มเลือดในปากลงพืน้ ก่อนแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีนำ�้ เงินเข้มผ่านช่อง 31


สี่เหลี่ยมเล็กๆ แสงจันทร์นวลทอแสงเศร้าไว้อาลัยให้ค�่ำคืนสุดท้ายของชีวิต “พรุ่งนี้แล้วสินะ” เสียงแหบพร่าของชายชราข้างห้องขังดังขึ้น นักโทษประหารเบือนหน้าจาก ท้องฟ้านอกหน้าต�่ำงสู่เพื่อนร่วมชะตากรรม สภาพของนักโทษชราทีถ่ กู คุมขังในคุกนานนับเดือนเดือนสภาพไม่ได้ดกี ว่าคนอืน่ เท่าไหร่นกั หนวดสีขาวยาวรุงรัง เปรอะเปือ้ นด้วยฝุน่ ดิน เสือ้ ผ้าทีส่ วมอยูข่ าดวิน่ เนือ้ ตัว เหม็นสาบและเต็มไปด้วยรอยแผล หากสิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากคนอื่นคือดวงตาขุ่นมัว ที่แสดงว่าเขาไม่ได้คลุ้มคลั่งหรือเสียสติเหมือนคนอื่นๆ “ส่วนของฉันก็อกี สิบสีว่ นั ” ปลายนิว้ หงิกงอชีไ้ ปทางรอยขีดบนก�ำแพง “แต่ไอ้หอ้ ง ถัดไปอีกสามห้องดันชิง่ ตายไปเสียก่อน พวกหนูมนั ถึงขึน้ มาจากท่อ …เพราะได้กลิน่ ซากศพนั่นแหละ” ไม่มีค�ำตอบจากนักโทษประหารอีกคน “แกนี่ก็แปลก ท่าทางก็ดูฉลาดคล่องแคล่วดี ท�ำไมไม่ท�ำอย่างอื่น จะท�ำตัวเป็น กบฏแบ่งแยกดินแดนไปท�ำไม หรือแกอยากเป็นวีรบุรษุ แต่วรี บุรษุ ต้องได้รบั การเชิดชู อยู่ท่ามกลางฝูงชนสิวะ” ชายชราว่า “ไม่มีฮีโร่ที่ไหนถูกยัดใส่กรงพร้อมโทษประหาร เหมือนแกหรอก” ใบหน้าซึ่งครั้งหนึ่งเคยหล่อเหลาของนักศึกษานักศึกษาที่เปี่ยมด้วยความฝัน ความทะเยอะทะยาน และอุดมการณ์กระตุกยิม้ น้อยๆ ก่อนยิงค�ำถามใส่เพือ่ นข้างห้อง “แล้วลุงล่ะ มาจากที่ไหน ฟังจากส�ำเนียงที่พูดคงไม่ใช่คนของราชการแน่” ใบหน้าเหี่ยวย่นแสยะยิ้มในแสงสลัว ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะหึๆในล�ำคออย่าง ถูกใจ ฝ่ามือหยาบกร้านเต็มไปด้วยรอยปูดโปนของเส้นเลือดถูไปมา แล้วยกขึน้ กอดอก ดวงตาฝ้าฟางจ้องมองหนูที่โผล่หัวมาจากท่อระบายน�้ำ ชายชราเริ่มเล่าเรื่องราวของเขา “ถูกของแก ฉันไม่ใช่คนของราชการ จริงๆต้องบอกว่าทีท่ ฉี่ นั เคยอยูม่ นั ไม่ใช่ของ ราชการ หมูบ่ า้ นฉันอยูข่ อบสุดของดินแดนตัง้ ใหม่นี่ คนในหมูบ่ า้ นไม่คอ่ ยได้ออกไปไหน ฉันโตขึน้ กับบ้านไม้หลังเล็กๆ มีนอ้ งชายน้องสาวอีกสีค่ น พอฉันอายุได้สบิ ขวบ ทหารของ ทางการก็มาปักเขตแดน แล้วบอกว่าทีน่ คี่ อื ดินแดนของพวกเขา จากนัน้ ก็หายไปเกือบ สองปี ไม่เคยมีคนของทางการโผล่มา” 32


เสียงแห่งอดีตดังกังวานในความเงียบงัน “แล้ววันดีคืนดี พวกฝ่ายทางการก็มาอีกครั้ง คราวนี้มาพร้อมหมายเรียกตัว พ่อ ฉันถูกบังคับไปเป็นทหารปราบกบฏที่ชายแดนตะวันตก พวกนั้นไม่ยอมผนวกรวม เป็นส่วนหนึ่งของประเทศ พ่อหายไปแล้วไม่เคยกลับมาที่บ้านอีกเลย พอสงครามจบ ถนนเส้นใหม่ก็ตัดมาถึงหมู่บ้าน เราโดนสั่งไม่ให้พูดภาษาดั้งเดิม แต่ต้องใช้ภาษาที่พวกเขาพูดคุยกัน น้องฉันสองคนโดนพาตัวไปเพื่อเป็นคนรุ่นใหม่ ของหมู่บ้าน” เขายักไหล่เล็กน้อยเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น “ส่วนฉันก็ถูกเกณฑ์ เข้าเมืองมาเป็นแรงงานสร้างอะไรก็ตามทีพ่ วกทหารกับขุนนางต้องการ โชคร้ายทีฉ่ นั ไม่ได้เรียนหนังสือ พองานหมด ฉันก็เร่รอ่ นหางานไปเรือ่ ย ทีอ่ ยูน่ านหน่อยก็รา้ นขนมปัง เล็กๆในเมือง เจ้าของร้านสอนฉันพูดภาษาของเขา กระทัง่ เจ้าของร้านตาย และฉันทน นิสัยแย่ๆ ของเจ้าของใหม่ไม่ได้เลยลาออก เร่ร่อนรับจ้างหางานไปเรื่อย สุดท้ายก็ไป มีเรื่องกับทหาร เผลอใช้มีดพกแทงทะลุปอดมัน” “ทหารคนนั้นตาย ส่วนลุงถูกจับพร้อมโทษประหาร” คนฟังสรุปเรื่องราวทั้งหมด “แล้วลุงเคยคิดถึงที่ที่ลุงเคยอยู่บ้างไหม?” “ฉันไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในหัวฉันเรียกว่าความคิดถึงได้หรือเปล่า แต่ทุกครั้งที่ฉันนอน อยู่ในคุกนี้ ก�ำลังหมดหวังกับชีวิต หวาดกลัวกับความตายที่คืบคลานเข้ามา เมื่อฉัน มองผ่านบานหน้าต่างเล็กๆ นั่นออกไป ฉันคิดว่าตัวเองกลับไปเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ก�ำลังนอนหลับบนเกวียนทีเ่ ต็มไปด้วยกองฟาง ไม่มคี วามทุกข์ ไม่มสี งคราม ไม่มกี าร พลัดพราก…” “การแย่งชิงอาณาเขตท�ำให้สงครามเกิดขึ้น คนกลุ่มหนึ่งต้องการขยายอ�ำนาจ น�ำมาซึ่งการครอบครองดินแดน แรงงาน และเสบียงอาหาร” ชายหนุ่มหัวเราะขื่นๆ “ความเชื่อเรื่องศาสนา ความจงรักภักดี บางครั้งก็เป็นเพียงข้ออ้างส่งคนจ�ำนวนมาก ไปตายแทน” และเป็นครั้งแรกที่นักศึกษาหนุ่มผู้ถูกคุมขังเปิดประเด็นสนทนายาวเหยียด ราวกับไม่มีใครรับฟังสิ่งที่เขาพูดมาเป็นเวลานาน ในยุคที่มีการยอมรับความคิดต�่ำงอย่างเปิดเผย ความจริงเป็นเพียงสิ่งอวดโอ้ สวยหรู คนส่วนน้อยที่แตกต�่ำงกลายเป็นคนชายขอบ และสุดท้ายก็ถูกพิพากษาให้ จบชีวิตลงเยี่ยงสัตว์ตัวหนึ่ง 33


“รู้ไหม…” นักโทษชราอ้าปากหาวหวอด ก่อนเอนตัว เหยียดหลังบนพื้นหินเย็น เยียบ “บางทีคนเราก็ต้องท�ำหูหนวกตาบอดบ้าง อย่าไปสอดแส่หาเรื่องรู้ไปหมดทุก อย่าง” เขาชี้นิ้วไปบนเพดาน “เรื่องบางเรื่องต้องรอเวลาถึงจะรู้ความจริง เรื่องบาง เรื่องต่อให้ตายลงไปก็พูดไม่ได้ ของแบบนี้มันมีกลไกของมันทั้งนั้น กลไกที่เรียกว่า อ�ำนาจไง” “ที่ที่ผมจากมาบอกผมเสมอว่าเหนือขึ้นไปอาจไม่มีสวรรค์ ใต้ผืนดินที่เราย�่ ำ เหยียบอาจไม่มนี รก มนุษย์เกิดจากดิน หล่อหลอมด้วยน�ำ้ เผาผลาญด้วยไฟ ปลิวไปกับ สายลม เมือ่ เราตายร่างกายจะสูญสลายกลับเป็นส่วนหนึง่ ของธรรมชาติ ส่วนวิญญาณ จะกลายเป็นดาวอยู่ข้างบนนั้น” “เล่าต่อสิ คืนนี้ฉันจะอยู่ฟังนิทานของแกจนถึงเช้าเลยเป็นไง” เสียงของหัวเราะของทัง้ คูด่ งั ประสาน สะท้อนกังวานในคุกใต้ดนิ อันมืดมิด นักโทษ หลายคนสะดุง้ ตืน่ จากภวังค์ ดวงตาปูนโปนกวาดตามองไปรอบ สองมือเกาะซีก่ รงรอฟัง นิทานเล่าขานจากนักโทษประหารเสียงนุ่ม “แม่เล่าว่าที่ที่ผมอยู่ไม่มีชื่อเรียก เราเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ไม่มีขุนนาง ไม่มีทหาร ไม่มีทาส ไม่มีผู้พิพากษา ไม่มีอะไรทั้งนั้น เรามีภาษาพูดของเรา เป็นภาษาโบราณที่ สืบทอดกันมาในหมู่บรรพบุรุษ และใช้ภาษาเหล่านี้บันทึกเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นใน หมูบ่ า้ น บันทึกต�ำรับยาโบราณ หรืออะไรก็ตามทีต่ อ้ งการให้คนรุน่ หลังรับรู้ ไม่มใี ครรูจ้ กั สิ่งที่เรียกว่าพระเจ้า นรก หรือสวรรค์ ที่เราเชื่อก็มีเพียงแต่วิญญาณของธรรมชาติ ตอนเด็กผมมักหนีออกมานอนตากน�ำ้ ค้างใต้ตน้ ไม้ ทุกคืนดาวเหนือจะส่องประกาย พื้นดินที่ผมเหยียบกลายเป็นสีเงินจากแสงดาว กลิ่นต้นไม้ไอดินหอมกรุ่นไปทั่ว ไกล ออกไปสักไมล์สองไมล์มีทุ่งหญ้าขนาดใหญ่ แต่งแต้มด้วยสีเหลือง สีส้ม สีแดง และ สีขาว รุ่งอรุณเริ่มต้นที่บ่อน�้ำหลังบ้าน ตกเย็นดวงอาทิตย์จึงลาลับที่ทุ่งดอกไม้ ยาม สนธยาท�ำให้ทกุ อย่างแม้แต่ตวั ผมกลายเป็นสีทอง ในฤดูหนาวทีท่ ผี่ มอยูจ่ ะกลายเป็น สีขาวโพลน มีการก่อกองไฟ ร้องเล่นเต้นร�ำฉลองให้แก่การเริ่มต้นใหม่ในฤดูใบไม้ผลิ แต่วันดีคืนดีพวกเขาก็มาพร้อมการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ มาพร้อมกับแผนที่ที่ เต็มไปด้วยเส้นแบ่งเขตจ�ำนวนมาก เป็นครั้งแรกที่ผมรู้ว่าที่ที่ผมอยู่มีหน้าตาคล้าย รูปสามเหลี่ยม และมีชื่อเรียกประหลาดๆที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน เขาบังคับให้เรา เลิกพูดภาษาของเรา และต้องเชื่อในสิ่งที่พวกเขาเชื่อ เขาบอกว่าต่อไปนี้เราจะต้อง จงรักภักดีและอยู่ภายใต้สตรีผู้หนึ่ง… ผมไม่รู้จักหล่อน ไม่เคยเห็นหน้าค่าตา แต่ผม 34


ถูกบังคับให้ท�ำตามค�ำของพวกเขา พวกนั้นมีอาวุธ และบอกว่าถ้าไม่ท�ำตามกฎของ พวกเขา เราจะถูกประหาร พ่อกับผู้ชายหลายคนท�ำการต่อต้าน แต่ก็ถูกทหารจับตัวไปและโดนประหารใน ทีส่ ดุ ผูพ้ พิ ากษาบอกว่าพ่อกับคนอืน่ ๆท�ำผิด ผิดทีไ่ ม่เชือ่ ฟังกฎของเขา ผิดทีพ่ ยายาม แบ่งแยกตัวเองออกจากดินแดน แต่ผมไม่เข้าใจ… ผิดด้วยหรือทีเ่ ราจะพยายามปกปักษ์ รักษาสิ่งที่เป็นจิตวิญญาณของเรา” ชายหนุ่มกลืนน�้ำลายลงคอ ดวงตาเป็นประกายเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต “หลังจากนั้นชื่อเรียกผมก็เปลี่ยนไป เขาเรียกผมด้วยชื่ออะไรสักอย่าง แต่ไม่ใช่ ชื่อดั้งเดิมที่ปู่ตั้งให้ เขาว่าชื่อของปู่ไม่มีความหมาย และไม่ใช่ภาษาของเขา ผมถูกส่ง เข้าไปเรียนในโรงเรียนทีต่ วั เมือง ถูกคนส่วนใหญ่ลอ้ เลียนว่าพูดภาษาประหลาดๆ ถูก จับเข้าโบสถ์ คุกเข่าสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระเจ้าของพวกเขา ผมต่อสู้ ดิ้นรน แต่ก็ไร้ ประโยชน์ จนสุดท้ายต้องยอมแพ้ ท�ำตัวให้กลมกลืนกับคนส่วนมาก แต่ผมยังไม่เคยลืม ไม่เคยลืมนิทานโบราณของแม่ ไม่เคยลืมชือ่ ทีแ่ ท้จริง ไม่เคยลืม ภาษาโบราณ หรืออะไรก็ตามที่เรียนรู้ในวัยเด็ก ผมสาบานกับตัวเองแน่วแน่ ไม่ว่า อะไรจะเกิดขึ้น ผมจะท�ำให้บ้านของผมกลับมาเป็นเหมือนเดิม พวกนั้นบอกว่าการ เป็นพลเมืองของเขาจะท�ำให้หมู่บ้านเราปลอดภัย แต่เปล่าเลย มันไม่เคยทาอะไรให้ ทุกปีจะมีทหารกองหนึ่งบุกมารีดไถเงินทองจากชาวบ้านโดยอ้างว่านั่นคือภาษีที่เอา มาบ�ำรุงคนในรัฐ น่าสมเพชสิ้นดี” “ไอ้ขุนนางตัวแสบนอนบนกองเงินกองทอง ในขณะที่ประชาชนยังอดอยากปาก แห้ง” “ใช่… แล้วหลังจากนัน้ ผมกับเพือ่ นทีม่ คี วามคิดเหมือนกันก็เริม่ เคลือ่ นไหว เราเริม่ ท�ำการเจรจาต่อรองกับทางขุนนางและทหาร ขอให้ที่ที่เราอยู่กลายเป็นเขตปกครอง พิเศษ แต่พวกนัน้ ไม่ยอม… เพือ่ นคนหนึง่ ถูกจับแขวนคอและโดนยัดข้อหากบฏ กบฏ งั้นหรือ? เขาเรียกเจ้าของดินแดนว่ากบฏ ช่างน่าสมเพชสิ้นดี แล้วผมก็เรียนรู้ว่าล�ำพังแค่การเจรจายังไม่เพียงพอส�ำหรับปลดปล่อยคนของ เราให้เป็นอิสระ ความต้องการเอาชนะน�ำไปสู่การใช้ก�ำลังและอาวุธเข้าต่อสู้ สงคราม ระหว่างเจ้าของใหม่และเจ้าของเดิมยืดเยื้อกว่าสองปี จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของ ผม เพื่อนหลายคนถูกฆ่าตาย ส่วนผมถูกจับเข้าคุกและสั่งประหารในฐานะผู้น�ำกบฏ หัวรุนแรง…” 35


เรื่องเล่าของนักโทษประหารสิ้นสุดลงเมื่อรุ่งอรุณมาเยือน แสงสีทองทอดตัวจับ เส้นขอบฟ้าตัดกับความมืดมิดของราตรีกาลทีก่ ำ� ลังเลือนหาย ทิวทัศน์ผา่ นกรอบหน้า ต�ำ่ งเล็กแคบแปรเปลีย่ นจากท้องฟ้าสีนำ�้ เงินเป็นฟ้าขาว ห้องขังทีส่ ถี่ กู ไขกรงเหล็กออก เสียงโซ่ตรวนและลูกตุ้มเหล็กลากครืดคราดไปตามพื้นหิน ร่างของนักโทษประหาร ก้าวขึ้นบันไดทีละขั้นอย่างเชื่องช้า ไร้เรี่ยวแรง ไม่มีอาหารมื้อสุดท้าย ไม่มีค�ำสั่งเสีย ไม่มีการเรียกบาทหลวงมาน�ำทางสู่พระผู้ เป็นเจ้า ชายหนุ่มจ�ำไม่ได้ว่าเขาเดินทางผ่านอะไรมาบ้าง รู้สึกตัวอีกครั้งบานประตู เหล็กกล้าสีทึมทึบก็ถูกผลักออก แสงสว่างจากภายนอกส่องทะลุนัยน์ตา เบื้องหน้า มีทางเดินลูกรังสลับเศษกรวดทรายทอดเป็นทางยาว ทหารนับสิบนายยืนเรียงแถว ประจันหน้าพร้อมปืนยาวในมือ เบื้องหลังชายในเครื่องแบบคือฝูงชนจ�ำนวนมากที่มารอคอยการส�ำเร็จโทษใน วันนี้ เสียงพูดคุยกระหึม่ ไปทัว่ ราวโรงมหรสพ หลายคนมีสหี น้าโกรธแค้น บางคนอยากรู้ อยากเห็น และบางคนสะอกสะใจกับการประหารครั้งนี้ แทนที่จะก้มหน้าหลบหนีความผิดเช่นนักโทษคนอื่น เขากลับแหงนหน้าขึ้นมอง ท้องฟ้า เสียงกรีดร้องตะโกนสาปแช่งด้วยความชิงชังผ่านหูทงั้ สองข้างไปอย่างไร้ความ หมาย โซ่ที่เท้าทั้งสองข้างถูกปลดออก แขนขาเบาโหวงราวปุยนุ่น ในหัวว่างเปล่า ไร้ซึ่งความรู้สึก วูบหนึ่ง เขาเหลือบเห็นแววตาใสแจ๋วของเด็กชายที่มองลอดผ่านฝูงชนจ�ำนวน มากเข้ามา พลันความคิดถูกกระชากให้หวนนึกถึงบ้านเกิด ความหวาดกลัวต่อความ ตายเฉกเช่นมนุษย์ทั่วไปที่ซ่อนอยู่ใต้จิตส�ำนึกเข้าครอบง�ำ ขาทั้งสองข้างไม่สามารถ ก้าวต่อไปข้างหน้าได้ เขาอยากวิ่งหนี อยากย้อนเวลากลับไปบอกตัวเองไม่ให้ตัดสินใจในสิ่งนี้ อยาก กลับไปเป็นเด็กหนุ่มคนเดิม ไม่มีกบฏ ไม่มีการแบ่งแยกดินแดน ไม่มีสงคราม หาก โลกแห่งความเป็นจริงไม่อาจย้อนได้ จ�ำต้องยอมก้มหน้ารับชะตากรรมที่ก�ำลังเกิด ขึ้นอย่างสง่างามที่สุด “เป็นอะไรไป ท�ำไมไม่เดิน” นายทหารด้านหลังเอ่ยถาม ชายหนุ่มเหลียวมองทหารนายนั้น ก่อนก้มหัวเล็ก น้อยตามนิสัย 36


“ไม่มี ไม่มีอะไรทั้งนั้น” ทุกย่างก้าวที่เหยียบขึ้นบันไดไม้มุ่งตรงสู่แท่นประหารช่างยาวนานไร้ที่สิ้นสุด ราวกับปลายสุดของบันไดแห่งนี้คือการสิ้นสุดของความฝัน เชือกสีน�้ำตาลแขวนเป็น บ่วงรัดลอยอยู่กลางอากาศ จากจุดนี้สามารถมองเห็นผู้คนนับหมื่นนับพันที่รายล้อม ธงประจ�ำชาติสนี ำ�้ เงิน ตรงกลางสลักด้วยรูปราชสีหน์ บั ร้อยพร้อมใจกันสะบัดพลิว้ ราวเย้ยหยันในความพ่ายแพ้ครั้งนี้ ชายหนุม่ ไม่ได้ยนิ เสียงการประกาศโทษความผิดหรือสิง่ อืน่ ใด ดวงตาสีออ่ นจับจ้อง ที่พิราบตัวหนึ่ง ตาของมันเป็นสีแดงดุจเลือด ขนทั่วตัวเป็นสีขาวดุจหิมะ วินาทีนั้น เหมือนโลกทั้งใบเปลี่ยนจากอาคารไม้และผู้คนที่รายล้อมกลายเป็นทุ่งกว้างใหญ่สุด ลูกหูลูกตา ต้นไม้ใบหญ้าถูกแดดย้อมเป็นสีทองอร่าม ปลายเชือกสีน�้ำตาลหนาคล้องเข้ากับล�ำคอของนักโทษประการ แรงกดทับบาด ลึกเข้าไปใต้ผิวหนัง หากเขาไม่มีความรู้สึกใดใดอีกต่อไป เสียงกระซิบจากอดีตดังแว่วเข้ามาพร้อมสายลม พวกเขาขนานนามเราว่าอคิราภ์นคร เพราะภายใต้ผืนดินที่พวกเราย�่ำเหยียบนั้น… นักโทษประหารยังคงเฝ้ามองนกพิราบขาว เรียวปากได้รูปกระตุกยิ้มกับความ ตายเบือ้ งหน้า ดวงตาสีแดงของมันสบกลับมา พริบตาเดียวปีกสีขาวก็โบกสะบัดก่อน ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า แล้วบินลับ หายไปทางทิศตะวันตก เชือกสีนำ�้ ตาลถูกตัดขาด ร่างทัง้ ร่างถูกชักขึน้ สูงชิดคานไม้ เจ้าพิราบขาวบินจากไปแล้ว เหลือเพียงเศษขนจ�ำนวนมากโปรยปรายเป็นทางยาว เช่นเดียวกับวิญญาณของนักโทษประหารที่เดินทางไปสู่เส้นทางแห่งความเป็น นิรันดร์ ชายวัยกลางคนในชุดเต็มยศของทหารระดับสูงโขยกเขยกจากเก้าอี้บุนวมตรง ไปยังโต๊ะเครื่องดื่ม ฝ่ามือหยาบกร้านจากการหยิบจับอาวุธและฝึกซ้อมดีดฝาบรั่นดี รสเลิศกระเด็น ก่อนกระดกของเหลวสีอ�ำพันลงคอโดยไม่ผสมอะไร แอลกอฮอล์บาด ทะลุล�ำคอและโพรงปาก แผลที่ยังไม่หายสนิทแสบจนชา เขาแลบปลายลิ้นแตะแผลที่มุมปาก ยังคงได้กลิ่นคาวเลือดคลุ้ง อีกไม่ถึงสองชั่วโมงจะเป็นเวลาแขวนคอนักโทษกบฏ ไอ้หนุ่มอวดดีอวดฉลาดที่ บังอาจก่อสงครามกับทางการที่มีก�ำลังมากกว่าหลายพันเท่า มันฆ่าทหารตายเป็น 37


ร้อย เผาบ้านเรือนเสียหายนับสิบ ยังไม่นบั อาชญากรการเมืองตัวเอ้ทหี่ ลุดรอดจากคุก ไปได้อีกจ�ำนวนหนึ่ง โทษประหารอาจไม่เพียงพอส�ำหรับกบฏอวดดี ความจริงการเชือดไก่ให้ลิงดูใน ครั้งนี้ไม่จ�ำเป็นต้องให้ทหารยศสูงอย่างเขาไปดูด้วยซ�้ำ หากศักดิ์ศรีและความแค้นที่ ฝังแน่นในอกสั่งให้เขาแต่งชุดเต็มยศและเตรียมตัวไปยังลานประหารแต่เช้าตรู่ ผู้คนจ�ำนวนมากรายล้อมไปทั่วบริเวณ หากเมื่อขบวนทหารไปถึง ประชาชน จ�ำนวนมากก็พร้อมใจกันหลีกทางให้ เสียงปรบมือ เสียงตะโกนอย่างปลาบปลื้ม ชื่นชมยินดี และกุหลาบแดงจ�ำนวนมากถูกส่งมอบให้แก่ทหารที่น�ำความสงบสุขมา สู่รัฐอีกครั้ง “ท่านครับ อีกไม่ถึงสามสิบนาทีเราจะประหารนักโทษแล้ว” “สั่งให้คนเตรียมเก้าอี้ไว้ที่ระเบียงชั้นสอง ฉันจะขึ้นไปดูมันบนนั้น” สั่งการเสร็จ เขาก็เดินขึ้นบันไดอย่างยากลาบาก แม้การรบในครั้งนี้ทหารจะเป็น ฝ่ายชนะและได้รับค�ำสรรเสริญเยินยอ แต่เขาต้องเสียเอ็นร้อยหวายไปข้างหนึ่งด้วย ฤทธิ์มีดสั้น กลายเป็นคนที่ไม่สามารถเดินเหินตามปกติชั่วชีวิต จากมุมมองของเขา เบื้องล่างเต็มไปด้วยผู้คนจ�ำนวนมากยืนออแออัด ตรงกลาง ลานกว้างใหญ่คอื แท่นไม้ใหญ่โตตระการตา คล้ายกับว่าสถานทีแ่ ห่งนีค้ อื มหรสพชัน้ ดี ที่ตัวละครเอกในชุดเก่าขาดและโซ่ตรวนแขนขาก�ำลังก้าวสู่เวที นายพลคนดังแห่งกองทัพยกเหล้าราคาแพงขึน้ ดืม่ อีกครัง้ ดวงตาสีอาพันจับจ้อง ยังลานประหาร ไอ้หนุ่มตัวแสบมองทุกสิ่งอย่างด้วยสายตาสงบนิ่ง ริมฝีปากขยับรอย ยิม้ เยือกเย็นเหมือนยอมรับในความตายอันใกล้มาถึง ธงสีนำ�้ เงินสลักลายราชสีหโ์ บก สะบัดให้ความปราชัยของพวกกบฏและเฉลิมฉลองให้ชัยชนะของกองทัพ เสียงสัญญาณครั้งสุดท้ายดังขึ้นพร้อมเชือกที่ขาด กระชากนักโทษประหารขึ้นสู่ เบือ้ งบน ร่างนัน้ บิดเกร็ง สองมือพยายามไขว่คว้าอากาศนานเกือบสามนาทีกอ่ นตกลง ข้างตัว เสียงเฮดังขึ้นจากทั่วทุกสารทิศ ชาวบ้านหลายคนปีนขึ้นแท่นไม้ ในมือมีก้อน หิน มีด อาวุธ และสิง่ ของจ�ำนวนมากขว้างปาใส่วตั ถุไร้วญ ิ ญาณอย่างป่าเถือ่ นบ้าคลัง่ เลือดสีแดงไหลอาบศพ หยดเป็นทางตามแรงโน้มถ่วง ไม่นานนักก็มีผู้กล้าใช้มีดควัก ลูกตา ตัดลิ้น กรีดแทงใบหน้าหล่อเหลาจนไม่เหลือชิ้นดี ก่อนที่ประชาชนจะพร้อมใจ กันราดน�้ำมันและจุดไฟเผา ใครคนหนึ่งท�ำท่าจะประกาศห้าม หากเขารีบยกมือส่งสัญญาณ เอ่ยสั้นๆว่า 38


“ไม่ตอ้ ง ปล่อยให้พวกเขาท�ำไป เย็นนีเ้ ราจะจัดงานเลีย้ งเฉลิมฉลองให้กบั ชัยชนะ ในครั้งนี้” “มีหลายคนสงสัยว่าดินแดนแค่นนั้ ท�ำไมเราถึงยอมยกให้พวกกบฏไปไม่ได้ เพราะ ความเสียหายที่เกิดขึ้นขยายวงกว้างมากกว่าพื้นที่ตรงนั้นเสียอีก” “กลับไปประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ ว่าดินแดนของเรา รัฐของเรามีประวัติศาสตร์ที่ ยาวนาน การรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่นไม่ใช่เรือ่ งง่าย เราต้องรักชาติและจงรักภักดีตอ่ ประเทศของเรา คนของเราที่กล้าหาญ กตัญญู ได้เสียสละพลีชีพให้แก่รัฐเป็นจ�ำนวน มาก อย่าให้ความดีของพวกเขาต้องสูญเปล่าเพราะกบฏเพียงกลุ่มเดียว” “ครับ” แล้วเขาก็กลับไปยังบ้านพักของตน สมองครุ่นคิดให้การจัดการในครั้งนี้เป็นไป โดยราบรื่นและทรงอิทธิพลยาวนานที่สุด ใต้ผืนดินเล็กๆแห่งนั้นมีแร่ราคาแพงจ�ำนวนมากฝังอยู่ เพราะฉะนั้น เขาจะไม่มีวันยอมเสียบ่อเงินบ่อทองขนาดใหญ่ไปเด็ดขาด “ไปเอาสมุดบันทึกกับปากกามา” “จะท�ำอะไรหรือครับ?” “ฉันจะเขียนบันทึกเรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้ ให้เป็นอุทาหรณ์สอนใจลูกหลาน ของเราในภายหลัง” นี่เป็นหนทางสถาปนาอ�ำนาจที่ดีที่สุด ประตูห้องสี่เหลี่ยมเล็กแคบถูกผลักออก แสงสว่างจากภายนอกส่องลอดเข้ามา ในความมืดมิด ร่างของเด็กหนุ่มที่หลับสนิทสะดุ้งเฮือก รีบยันตัวขึ้นมองเพื่อนสนิท ที่หอบเอกสารจ�ำนวนมากเข้ามา ดวงตาเรียวยาวหรี่มองท่าทางเร่งรีบของเพื่อนอย่างสงสัย “แกจะรีบท�ำอะไร” “หาเอกสารสมัครมหาวิทยาลัย” คนตอบตอบทั้งที่ไม่เงยหน้ามอง “อ้อ ตกลงจะสมัครที่ไหนล่ะ” “เรียนแพทย์ที่ไหนก็ได้” “ฉันจะไปสมัครเป็นทหาร” 39


“แน่ใจหรือ? รู้อยู่ว่าถ้าเขาส่งนายไปที่นั่น โอกาสรอดแทบเป็นศูนย์” “ฉันอยากเป็นฮีโร่” เขายิ้มจนตาหยี “ถึงตายก็ไม่เสียดายชีวิต” “นายก�ำลังเพ้อเจ้อเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ สมัยนี้กับสมัยนั้นไม่เหมือนกันแล้ว” “เหมือนสิวะ” เด็กหนุม่ หัวเราะ “ถ้าจะตาย อย่างน้อยก็ได้ภมู ใิ จว่าตายเพือ่ ประเทศ ของเรา ดีกว่าเป็นพวกคนทรยศทีอ่ ยูร่ กโลกรกแผ่นดิน เหมือนไอ้กบฏตัวเอ้ในต�ำนาน นั่นไง สุดท้ายก็ตายเหมือนหมาข้างถนนตัวหนึ่ง” “กบฏแบ่งแยกดินแดนในยุคเริ่มแรก” คนฟังพยักหน้ารับ “คาบประวัติศาสตร์พึ่ง สอนเราไป แต่ฉนั ก็สงสัยอยูว่ า่ มันจะเป็นเรือ่ งจริงหรือ คนบ้าอะไรมันจะเลวระย�ำต�ำบอน ไร้ความดีได้ขนาดนั้น” ฟังข้อสงสัยของเพือ่ นแล้วเขาก็หวั เราะอีกครัง้ หมอนีท่ า่ จะบ้า นีม่ นั เรือ่ งราวของ บันทึกประวัติศาสตร์ ไม่ใช่นวนิยาย ต�ำนาน หรือนิทานปรัมปราเสียหน่อยที่จะมีการ ปรุงแต่งจนกลายเป็นละครหลังข่าว หลักฐานส่วนใหญ่ในพิพิธภัณฑ์ แบบเรียน และ หนังสือตามห้องสมุดก็ชี้ตรงกันชัดๆ ว่าใครถูกใครผิด “ไอ้โง่เอ๊ย ประวัติศาสตร์ที่ไหนจะเล่าเรื่องราวโกหกบ้างวะ”

40



ปัจจุบันของวันวาน

ธมลวรรณ บรรจงเกลี้ยง 42


ปัจจุบัน 11:30 P.M. –ร่างสูงโปร่งของชายหนุม่ วัยสามสิบขยับ ตัวเข้าไปใกล้ประตูห้องนอนของเขามากขึ้นเรื่อยๆ แม้ เวลาในขณะนี้จะดึกพอส�ำหรับการบังคับร่างของเขาให้ ล้มตัวลงนอนบนเตียงได้แล้วก็ตาม ทว่าความรู้สึกของ ‘สีฝุ่น’ ในเวลานี้กลับต่อต้านความเคยชินของร่างกาย ด้วยเหตุผลบางอย่างที่แม้แต่เขาเองก็ไม่อาจตอบได้ว่า มันคืออะไร

แต่ถึงจะไม่รู้ว่าเหตุผลข้อนั้นคืออะไรก็ตาม สีฝุ่นกลับตัดสินใจเอื้อมมือไปเปิด ประตูหอ้ งนอน ร่างสูงโปร่งก้าวเข้าไปในห้องสีเ่ หลีย่ มขนาดเล็กทีม่ ดื ทึบอย่างเชือ่ งช้า เขาไล่สายตามองหาจุดเล็กๆท่ามกลางความมืดและอะไรบางอย่างภายในห้องนั้นที่ เขาตั้งใจว่าจะหยิบมันออกมา ทันทีที่ดวงไฟกลางห้องส่องสว่าง ภาพความทรงจ�ำบางส่วนที่ปรากฏขึ้นใน เวลาเดียวกันนัน้ ท�ำให้สฝี นุ่ เดินไปทีต่ ไู้ ม้ขา้ งเตียงด้วยความลนลานและงุม่ ง่ามอยูใ่ นที ถึ ง กระนั้ น ชายหนุ ่ ม ก็ ใ ช้ เ วลาเพี ย งไม่ น านในการค้ น หาของที่ เ ขาต้ อ งการจาก ลิ้นชักตู้ใบนั้น เมือ่ พบของทีต่ อ้ งการแล้ว สีฝนุ่ ก็รบี หยิบมันออกมาก่อนเดินกลับไปทีโ่ ทรทัศน์ ซึ่งวางอยู่ตรงหน้าเตียงของเขา วินาทีนั้นเองที่สีฝุ่นรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาอย่างประหลาด เงาสะท้อนบนหน้าจอ โทรทัศน์เผยให้เห็นเจ้าของร่างสูงโปร่งในชุดคอเต่าสีกรมท่าซึ่งตัดเย็บอย่างประณีต ทว่าใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยความทุกข์ตรมหม่นหมอง เมื่อสีฝุ่นได้ก้มลงไป มองบางสิง่ ซึง่ อยูใ่ นมือซ้ายของเขา ความเศร้าหมองบนใบหน้าทีเ่ คยยิม้ แย้มของสีฝนุ่ ก็ยิ่งแลดูชัดเจนมากยิ่งขึ้น 43


เขายังคงจ้องมองดีวีดีแผ่นหนึ่งที่อยู่ในมือเขาตอนนี้ ดีวดี แี ผ่นสีขาวสะอาดเกลีย้ ง ไม่มรี อยขีดเขียนอะไรบนแผ่นเลยแม้แต่นดิ เดียว สีฝนุ่ เงยหน้าขึน้ มาจากเงาสะท้อนบนแผ่นดีวดี ี ก่อนจะเอือ้ มมือไปเปิดโทรทัศน์ และเครื่องเล่น และไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น... เครื่องเล่นก็ท�ำงานโดยอัตโนมัติ ทันทีทดี่ วี ดี แี ผ่นนัน้ ได้ถกู วางลงไปบนถาดของเครือ่ งเล่น สีฝนุ่ รูส้ กึ เหมือนมีใคร คนหนึ่งซึ่งรู้จักมักคุ้นเป็นอย่างดีขยับเข้ามายืนอยู่ใกล้ๆเขาอีกครั้ง เช่นเดียวกับอดีต เมื่อวันวานที่เขาก�ำลังนึกถึงอยู่ในตอนนี้...

อดีต

09:30 A.M. –เสียงกระแทกส้นเท้าของใครคนหนึง่ ยังคงดังก้องอยูใ่ นหูของสีฝนุ่ ไม่เพียงแต่เด็กหนุ่มเท่านั้นที่ได้ยินเสียงไม่น่าอภิรมย์ในช่วงเช้า หากคนอื่นที่นั่งอยู่ ในห้องก็ได้ยินเหมือนเขาเช่นเดียวกัน เสียงไม่น่าอภิรมย์นั้นนอกจากจะดังก้องในหู ทั้งสองข้างของสีฝุ่นแล้ว มันยังสะท้อนไปตามพื้นไม้ผุๆตรงระเบียงหน้าห้องเรียน อีกด้วย นักเรียนบางคนที่ทนเสียงนั้นไม่ไหวถึงกับวิ่งออกมาจากห้องพร้อมหันไป ด่าทอใส่ผู้ส่งเสียงคนนั้นที่บังอาจรบกวนความสงบของพวกเขาอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน เป็นการทะเลาะเบาะแว้งที่เกิดขึ้นเป็นประจ�ำทุกเช้า โดยเฉพาะนักเรียนหญิงระดับ มัธยมปลายซึ่งไม่น่าแปลกใจเลยหากจะมีมวยหญิงเกิดขึ้นหลังจากนั้น ทว่ายังไม่ทนั เริม่ ยกแรก อาจารย์ฝา่ ยปกครองก็มกั จะโผล่เข้ามาห้ามปรามและ ไล่พวกเธอกลับเข้าห้องเรียนไปก่อนทุกครัง้ ไป นัน่ จึงท�ำให้พวกนักมวยหญิงรอดจาก การถูกตัดคะแนนความประพฤติอย่างหวุดหวิด แต่นนั่ ก็ไม่ได้หมายความว่าเรือ่ งราว บาดหมางเหล่านั้นจะยุติลงได้อย่างสมบูรณ์ เพราะทุกครั้งที่เสียงกระแทกส้นรองเท้า ดังขึ้นในวันถัดไป เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นเมื่อวันก่อนก็จะหวนกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง เหมือนไม่มีทางใช้ค�ำว่า ‘สิ้นสุด’ กับเหตุการณ์นี้ สีฝุ่นซึ่งอยู่ในชุดนักเรียนและตัดผมรองทรงในขณะนั้น นึกสงสัยว่าใครคือ เจ้าของเสียงที่กระแทกส้นเท้าอย่างไม่เกรงใจ เขาตัดสินใจลุกจากที่นั่งแล้วเดินออก ไปนอกห้องเพื่อหาค�ำตอบ ทันทีที่เดินออกมาจากห้องเรียนและเห็นใบหน้าบึ้งตึงของเด็กสาวผมสั้น สีฝุ่น ก็เดาได้ทนั ทีวา่ ใครเป็นเจ้าของเสียงกระแทกส้นรองเท้าทีก่ อ่ ให้เกิดการด่าทออยูท่ กุ วี่ 44


ทุกวัน

“เธออีกแล้ว” เด็กสาวคนนั้นหันมามองเขาอย่างไม่ใส่ใจนัก “ถ้าไม่ใช่ฉัน แล้วจะเป็นใครล่ะ” เธอย้อนถามเสียงแข็ง “อาจารย์วริ ยิ ะเตือนเธอแล้วไม่ใช่เหรอว่าอย่าเดินกระแทกส้นแบบนี้ นีไ่ ม่ใช่ครัง้ แรกนะฝน เธอโดนเขาเตือนเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว จ�ำได้บ้างไหม” “ขี้เกียจจ�ำ” “เธอนี่ชอบสร้างปัญหาให้ตัวเองตลอดเลย” “เออๆ ฉันยอมรับว่าฉันชอบสร้างปัญหาให้ตัวเอง พอใจรึยังล่ะฝิ่น” สีฝนุ่ หรีต่ ามอง ‘สายฝน’ อย่างไม่พอใจนัก “ฉันชือ่ ฝุน่ ไม่ได้ชอื่ ฝิน่ จะให้ฉนั ต้อง บอกกี่ครั้งนะว่าฉันชื่อ...” “เออน่า!” สายฝนตวาดพลางมองหน้าสีฝนุ่ อย่างไม่สบอารมณ์ “นายออกมาเพือ่ บอกให้ฉนั ไปซ้อมร้องเพลงกับนายใช่ไหม ‘ตอนเทีย่ งเหมือนเดิมนะ ฉันนัดไอ้ตอ้ มกับ ไอ้ปองไว้แล้ว เร็วๆเข้าล่ะ อย่าสายนะ’ นายจะพูดอย่างนี้ใช่ไหม” แม้จะรู้สึกขัดเคืองใจที่อีกฝ่ายรู้ทันความคิดตน แต่ความรู้ทันของเธอนั่นเองที่ ท�ำให้สีฝุ่นยิ้มออกมาได้บ้าง “ใช่ หวังว่าเธอคงจะไม่มาสายเหมือนคราวที่แล้วนะ ถ้า สายอีกล่ะก็... วงเดอะชาร์โคลคิลเลอร์สคงต้องหานักร้องใหม่แทน ‘สายฝนส้นตึก’” พูด จบ สีฝนุ่ ก็หวั เราะออกมาพร้อมน�ำพาร่างสูงโปร่งของตัวเองวิง่ กลับเข้าไปในห้องเรียน โดยไม่สนใจค�ำด่าของสายฝนที่พ่นออกมาไม่ยั้งปากหลังจากนั้น...

ปัจจุบัน

11:43 P.M. –เป็นเวลากว่าสิบนาทีแล้วที่สีฝุ่นนั่งเพ่งมองภาพบนหน้าจอ โทรทัศน์ดว้ ยความรูส้ กึ เศร้าหมอง ใบหน้าของเขาในตอนนีแ้ ทบไม่เหลือเค้าของความ ร่าเริงของสีฝนุ่ คนเดิมอีกต่อไป แม้สฝี นุ่ บนจอโทรทัศน์จะดูรา่ เริงและยิม้ แย้มเหมือนที่ หลายคนคุ้นเคย แต่นั่นก็ดูเหมือนว่ามันเป็นเพียงอดีตที่ตายจากเขาไปเสียแล้ว “คุณฝุ่นเล่นกีตาร์มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” เสียงแหลมสูงของพิธีกรสาวชื่อดังในจอโทรทัศน์เรียกสติของสีฝุ่นที่อยู่บนพื้น ห้องให้เงยหน้ากลับขึ้นมามองหน้าจอโทรทัศน์อีกครั้ง เขาเห็นตัวเองในจอโทรทัศน์ ก�ำลังส่งยิ้มให้กับบรรดาผู้เข้าร่วมฟังการสัมภาษณ์ในห้องส่งอย่างเป็นกันเอง ก่อน 45


จะหันกลับไปยิ้มให้กับพิธีกรสาวคนนั้นแล้วกล่าวว่า “ตั้งแต่ผมจ�ำความได้ ผมก็เล่น มาตั้งแต่ป.5 ครับ แต่เพิ่งมาเอาจริงเอาจังกับมันก็ตอนม.1” “แสดงว่าคุณฝุ่นชอบเล่นกีตาร์มาตั้งแต่เด็ก เอ... ว่าแต่ว่าคุณฝุ่นเคยฝันอยาก เป็นอะไรมาก่อนไหมคะก่อนจะมาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความส�ำเร็จแบบนี้” สีฝนุ่ ในโลกแห่งความเป็นจริงทอดสายตามองสีฝนุ่ ทีก่ ำ� ลังยิม้ อยูใ่ นจอโทรทัศน์ อย่างอาลัย เขากดปุม่ หยุดเล่นชัว่ คราวจากรีโมทคอนโทรลทันทีเมือ่ ได้ยนิ ค�ำตอบของเขา ชายหนุ่มลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องนอน ตอนนั้นเองที่เขารู้สึกกระหายน�้ำ ขึ้นมาอย่างประหลาด สีฝุ่นเดินไปที่ตู้เย็นในห้องครัวบิลท์-อิน ทว่าเมื่อได้เหลือบไปเห็นรูปถ่ายใน กรอบสีด�ำที่วางอยู่บนเคาน์เตอร์ท�ำครัวข้างตู้เย็นนั่นเอง ความรู้สึกกระหายน�้ำที่ ชายหนุ่มเคยมีอยู่เมื่อครู่ก็แทบจะกลายเป็นความว่างเปล่าไปในทันที เมื่อได้เห็นเงา สะท้อนของเขาทับซ้อนเงาสะท้อนของใครคนหนึ่งในรูปถ่ายรูปนั้น มันเป็นรูปของเขากับสายฝนถ่ายคู่กันในยามค�่ำคืน โดยมีพื้นหลังเป็นชิงช้า สวรรค์สีขาวขนาดใหญ่ที่ประดับไฟหลากสีให้เห็นถึงความสวยงามในยามค�่ำคืนของ เทศกาลส�ำคัญที่ทางสวนสนุกจัดขึ้น สีฝุ่นจ�ำได้ดีว่ารูปนี้ถูกถ่ายไว้เมื่อสองเดือนก่อน ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ พวกเขาตัดสินใจนัดเจอกันอีกครั้งหลังจากที่ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปมีชีวิตเป็น ของตัวเอง สายฝนในรูปถ่ายต่างจากสายฝนในอดีตอย่างมาก ใบหน้าที่เคยอิ่มเอิบกลับ กลายเป็นซูบตอบจากการตรากตร�ำท�ำงานหนัก ผมของเธอยาวขึ้นกว่าสมัยเรียน และมักจะถูกปล่อยให้ยาวสยายไปตามกระแสลม เช่นเดียวกับสายฝนในรูปถ่ายทีผ่ ม สีด�ำยาวสลวยของเธอถูกปล่อยไปตามแรงพัดหวนของลมอย่างอิสระตามธรรมชาติ สีฝนุ่ เองก็รเู้ รือ่ งนีเ้ ป็นอย่างดี จึงไม่ถอื สาหาความอะไรกับสายฝนเลยเมือ่ กระแส ลมพัดพาผมของเธอมาบังใบหน้าของเขาพอดิบพอดีหลังจากถ่ายรูปนั้นเสร็จ ทว่าเมือ่ ได้เพ่งมองแววตาของเธอในรูปถ่ายอีกครัง้ ในวันนี้ สีฝนุ่ กลับรูส้ กึ ได้ถงึ อะไรบางอย่างที่แปลกไปจากเมื่อก่อนราวกับว่าสายฝนจงใจมองเขาด้วยความรู้สึก แปลกประหลาดแบบนั้นมาตั้งแต่แรก หรือว่า... สายฝนต้องการจะบอกกับเขาถึงความห่างเหินที่เกิดขึ้นด้วยการ สบตากันแทนค�ำพูดเหมือนในวันนั้น 46


สีฝุ่นตัดสินใจวางรูปถ่ายไว้ที่เดิมอีกครั้ง ก่อนจะออกไปจากห้องครัวเพื่อกลับ ไปดูดวี ดี บี นั ทึกการสัมภาษณ์ของเขาในรายการทอล์กโชว์ตอ่ จากทีเ่ ขาได้กดปุม่ หยุด เล่นชั่วคราวไว้ก่อนหน้านี้...

อดีต

08:12 P.M. – สายฝนเลื่อนมือขวาซึ่งแต่เดิมเคยแนบกับล�ำตัวไว้ขึ้นมาคล้อง แขนข้างซ้ายของสีฝนุ่ อย่างเป็นกันเอง ในขณะทีพ่ วกเขายังคงเพลิดเพลินกับการเดิน ชมบรรยากาศรอบบริเวณสวนสนุกในยามค�่ำคืนด้วยกันเพียงสองคนนั้น หญิงสาว กลับรูส้ กึ ว่าความสนุกทีเ่ กิดขึน้ เมือ่ ครูห่ ลังจากถ่ายรูปด้วยกันก�ำลังจะจางหายไปจาก ตัวตนที่แท้จริงของเธออย่างช้าๆ ฝุ่น... นายจะรู้ตัวบ้างไหมว่านายเปลี่ยนไปแล้ว “เออฝน อยากซื้ออะไรกลับบ้านก่อนไหม” สีฝุ่นหันมามองเธอพลางชี้ไปที่ร้าน ขายของทีร่ ะลึกซึง่ อยูไ่ ม่ไกลจากทีพ่ วกเขาก�ำลังเดินอยูม่ ากนัก “มีชอ็ กโกแลตขายใน นั้นด้วยนะ เธอชอบกินช็อกโกแลตไม่ใช่เหรอ” นิว้ เรียวทีเ่ คยทาบไว้บนท่อนแขนใหญ่เลือ่ นออกจากการเกาะกุมแทบจะในทันที ทีไ่ ด้ยนิ ประโยคนัน้ มือขวาของสายฝนกลับมาแนบล�ำตัวผอมบางของเธออีกครัง้ หนึง่ “ไม่ดีกว่า ฝุ่น ฉันอยากกลับบ้าน” หญิงสาวตัดสินใจหันหลังเดินกลับไปทางเดิมที่เธอ และสีฝุ่นเคยก้าวผ่านตรงนั้นมาด้วยกันอย่างรวดเร็ว สีฝนุ่ ได้แต่ยนื มองท่าทีทเี่ ปลีย่ นไปของเธออยูค่ รูห่ นึง่ ก่อนทีส่ ติสมั ปชัญญะของ เขาจะกลับมาท�ำงานอีกครัง้ เมือ่ ได้เห็นใบหน้าของสายฝนเปือ้ นน�ำ้ ตาหันกลับมามอง เขาพร้อมกับโบกมือลาอย่างรวดเร็ว ชายหนุ่มรีบก้าวเข้าไปหาเธอด้วยความตกใจ “เป็นอะไรรึเปล่าฝน เมื่อกี้เธอ ยังโอเคอยู่เลยนี่” “ได้โปรด...” “ฝน เธอเป็นอะไร” สายฝนผลักสีฝุ่นอย่างสุดแรง “ออกไปจากชีวิตฉันสักที! ท�ำไมนายจะต้องมา ยุ่งกับฉัน! ท�ำไมนายต้องใส่ใจดูแลฉันด้วย! ท�ำไมๆๆๆๆ” “ฝน!” สีฝุ่นรวบมือทั้งสองข้างของเธอไว้แน่น แววตาของเขาที่มองกลับมายัง สายฝนนัน้ เต็มไปด้วยค�ำถามมากมายทีแ่ ม้แต่ตวั เขาเองก็ไม่อาจตอบได้วา่ เป็นเพราะ 47


อะไร “นี่เธอเป็นอะไร! เธอไม่เคยเป็นแบบนี้เลยนะ!” “นายต่างหากล่ะที่เป็น... ไม่ใช่ฉัน!” “เธอหมายความว่ายังไง” สายฝนสะบัดมือทั้งสองข้างของเธอออกจากมือของเขาด้วยแรงที่เหลือน้อย เต็มที ก่อนจะก้มลงมองพืน้ หินทีอ่ ยูเ่ บือ้ งล่างราวกับทุกสิง่ ทุกอย่างตรงหน้าไม่มคี วาม หมายอะไรอีกเลยส�ำหรับเธอ แม้กระทั่งคนที่เธอรักมากที่สุดอย่างสีฝุ่น ท่ามกลางอากาศที่เริ่มเย็นลงเรื่อยๆ หนุ่มสาวทั้งสองยังคงยืนเงียบ ไม่โต้ตอบ อะไรกันเกือบสิบห้านาทีหลังจากนั้น จนกระทั่ง... “นายเปลีย่ นไปแล้ว ฝุน่ เปลีย่ นไปแบบ... ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่านายจะเปลีย่ น ไปจริงๆ” สีฝุ่นจ้องหน้าสายฝนที่มองกลับมาด้วยแววตาสมเพชอย่างไม่เข้าใจ เขาเห็นเธอหัวเราะ เขาเห็นเธอร้องไห้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาสีฝุ่นคิดว่าเขารู้จัก สายฝนดีพอที่จะเรียกได้ว่าเธอคือหนึ่งในคนที่ส�ำคัญที่สุดในชีวิต ทว่าเหตุการณ์ใน ค�่ำคืนนี้กลับท�ำให้ความเชื่อที่เคยมั่นคงของเขามีความสั่นคลอน มันไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว... “จริงสินะ ฉันไม่มีสิทธิ์มาต่อว่าอะไรนายอีกแล้วนี่ นายเป็นคนดังไปแล้ว... เป็นถึงนักธุรกิจชื่อดังระดับประเทศ คนในวงการนั่นยกย่องให้นายเป็นหนึ่งในผู้ทรง อิทธิพลทางธุรกิจ ส่วนฉันน่ะเหรอ ฉันมันก็แค่นักร้องกระจอกๆคนนึงที่ท�ำงานอยู่ใน ผับในบาร์ ไม่มโี อกาสได้ทำ� ในสิง่ ทีฉ่ นั ต้องการเลยสักอย่าง ฉันไม่เคยได้ในสิง่ ทีฉ่ นั ได้... ไม่เหมือนนายนี!่ นายรวย นายมีครบทุกอย่าง ไม่เว้นแม้แต่เพือ่ นและคนรักของนาย” “ฉันยังเป็นสีฝุ่นคนเดิมของเธออยู่นะฝน” สีฝุ่นปฏิเสธเสียงแข็ง “ฉันยังเป็นฉัน คนเดิม...” “ฉันเคยเชื่อว่านายเป็นนายคนเดิม แต่สิ่งที่นายพูดต่อหน้าคนทั้งประเทศใน วันนั้น มันท�ำให้ฉันหมดศรัทธาในตัวนายจน...” สายฝนเม้มปากแน่นพลางจ้องหน้า สีฝุ่นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจพูดออกมาในที่สุดว่า “ฉันจะไม่มีวันเป็นเพื่อนกับคน อย่างนายอีก!” เธอหันหลังให้เขาและท�ำท่าจะเดินออกไป ทว่ายังไม่ทนั ทีจ่ ะได้กา้ วออกจากตรงนัน้ สีฝนุ่ กลับเข้ามาคว้ามือขวาของสายฝน มาจับไว้แน่น เธอจึงต้องหันกลับมาเผชิญหน้ากับเขาอีกครั้ง 48


“ปล่อยฉันเถอะ ฝุ่น มันจบแล้ว” “ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าเธอต้องการจะบอกอะไรกับฉันกันแน่” “นายให้สัมภาษณ์อะไรไว้กับพิธีกรจอมแฉในวันนั้น... ความฝันของนาย... ความฝันของนาย... นายจ�ำได้ไหม!” “ฝน...” “นายมันเห็นแก่ตัว! นายไม่เคยท�ำอะไรจริงจังเลยสักอย่าง วงดนตรีนายก็ทิ้ง กีตาร์ของนายที่นายรักนักหนา นายก็เอาไปขาย นายไม่เคยท�ำตามที่นายฝัน แล้ว ไหนล่ะความฝันที่นายบอกว่านายอยากท�ำ... หายไปแล้วนี่! มันหายไปแล้ว!” มือขวาของสายฝนหลุดจากมือของสีฝุ่นทันทีที่ได้ยินเธอพูดถึงอดีตอีกครั้ง อดีตที่เขาพยายามลืม... อดีตที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด... ชายหนุม่ พยายามบังคับตัวเองให้เข้าไปหาสายฝนเพือ่ สงบสติอารมณ์ของเธอ ทว่าหญิงสาวกลับสะบัดตัวออกห่างจากเขาพร้อมทัง้ ถอยหลังออกไปอีกสามก้าวใหญ่ แม้ในตอนนัน้ เธอจะหอบหายใจแรงเพราะความเหนือ่ ย ทว่าใจทีย่ งั ไม่ยอมแพ้ตอ่ การ เรียกร้องความยุตธิ รรมในตัวตนทีแ่ ท้จริงของสีฝนุ่ กลับท�ำให้เธอกล้าพูดออกไปให้เขา ได้ยิน “นายลองกลับไปถามตัวเองใหม่อกี ทีนะว่าในชีวติ นีน้ ายต้องการอะไรมากทีส่ ดุ นายลองกลับไปถามตัวเองอีกครั้ง ถ้านายหาค�ำตอบให้กับตัวเองได้ ฉันจะอ้าแขน ต้อนรับนายอีกครั้งในฐานะสีฝุ่น... เพื่อนคนเดิมที่ฉันเคยรู้จัก แต่ถ้านายตอบตัวเอง ไม่ได้ว่านายต้องการอะไร นายก็เป็นเพียงแค่...” นัน่ เป็นครัง้ แรกและครัง้ สุดท้ายทีพ่ วกเขาได้พดู คุยกันอย่างจริงจังหลังเรียนจบ มัธยม เพราะไม่กนี่ าทีทสี่ ายฝนหยุดตัวเองไว้ไม่ให้พดู อะไรมากไปกว่านัน้ เธอก็ตดั สิน ใจหันหลังให้กับสีฝุ่นและเดินออกไปจากตรงนั้นทันทีโดยไม่หันกลับไปมองชายหนุ่ม ผู้เป็นเจ้าของมิตรภาพหนึ่งเดียวของเธออีกเลย...

ปัจจุบัน

01:00 A.M. –นิ้วโป้งข้างขวาของสีฝุ่นเลื่อนไปกดปุ่มย้อนหลังจากรีโมท คอนโทรลอีกครั้ง แม้สมองจะรับรู้ถึงความรู้สึกชาตรงบริเวณนิ้วมือแล้วก็ตาม ทว่า ชายหนุ่มก็ไม่อาจบังคับตัวเองให้ละสายตาไปจากหน้าจอสี่เหลี่ยมตรงหน้าได้เลย วินาทีนี้ไม่มีสิ่งใดที่เขาจะคิดถึงและโหยหาไปมากกว่าการกลับมาของสายฝน 49


อีกแล้ว เขาอยากได้สายฝนกลับคืนมา ไม่ว่าจะเป็นสายฝนจากอดีตหรือสายฝนในปัจจุบัน ชายหนุ่มก็พร้อมที่จะรับ เธอกลับเข้ามาในชีวิตของเขาอีกครั้ง... “แสดงว่าคุณฝุ่นชอบเล่นกีตาร์มาตั้งแต่เด็ก เอ... ว่าแต่ว่าคุณฝุ่นเคยฝันอยาก เป็นอะไรมาก่อนไหมคะก่อนจะมาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความส�ำเร็จแบบนี้” สีฝนุ่ ในจอโทรทัศน์ยมิ้ กว้างตามแบบฉบับของหนุม่ ในฝันพลางตอบค�ำถามของ พิธกี รสาวไปด้วยว่า “ผมเคยฝันอยากเป็นนักกีตาร์ชอื่ ดังครับ” เขาแค่นหัวเราะออกมา นิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อ “อันที่จริงมันก็เป็นแค่ฝันเล็กๆที่ดูไม่น่าเป็นไปได้เลยส�ำหรับ ผมในตอนนั้น เพราะผมโตมากับครอบครัวนักธุรกิจ มีน้องสาวที่ต้องดูแลในตอนนั้น เพราะเธอยังเล็ก ผมกับเพื่อนในวงซึ่งตอนนั้นผมใช้ชื่อวงว่า ‘เดอะชาร์โคลคิลเลอร์ส’ แปลว่า ‘นักฆ่าสีฝุ่น’ ซึ่งก็คือชื่อผมเอง” ผูช้ มในสตูดโิ อต่างพากันหัวเราะครืนเมือ่ ได้ยนิ ชือ่ วงดนตรีของสีฝนุ่ ชายหนุม่ ใน ชุดสูทยิม้ รับเสียงหัวเราะเหล่านัน้ อย่างอารมณ์ดี ก่อนจะหันไปพูดกับพิธกี รสาวต่อว่า “ผมชอบนักกีตาร์มาก ผมรู้สึกว่าเขาสามารถถ่ายทอดความงดงามในบทเพลงเหล่า นั้นให้คนอื่นรับรู้ได้ผ่านเครื่องดนตรีที่เขาเล่น ก็เหมือนกับนักเปียโนที่ใช้นิ้วพรมลง ไปบนคีย์เพื่อให้เกิดเสียงเพลง แต่ก็นั่นแหละครับ ผมท�ำตามฝันที่ผมต้องการไม่ได้” “ท�ำไมล่ะคะ” พิธีกรสาวถามพลางขยับตัวเล็กน้อยจากโซฟาที่เธอใช้นั่งอยู่ “ท�ำไมคุณฝุ่นถึงท�ำตามความฝันของคุณไม่ได้ ในเมื่อคุณฝุ่นเองก็มีความสามารถ แทบทุกด้าน” สีฝุ่นในจอโทรทัศน์มีท่าทีล�ำบากใจเล็กน้อยต่อการตอบค�ำถามข้อนั้น แต่ใน ทีส่ ดุ เขาก็ตดั สินใจตอบออกมาว่า “บางครัง้ โลกแห่งความฝันกับโลกแห่งความเป็นจริง มันก็ไม่ได้บรรจบกันเสมอไปครับ ผมเลยตัดสินใจทิ้งความฝันนั้นไว้เพื่อใช้ชีวิตอยู่ใน โลกแห่งความเป็นจริง ใครจะเชือ่ ล่ะว่าคนอย่างผมจะเป็นนักกีตาร์ได้ ผมเล่นกีตาร์ได้ ห่วยจะตายไปในชีวติ จริง เพือ่ นผมสมัยเรียนอยูช่ นั้ มัธยมด้วยกันยังบอกกับผมเลยว่า ผมไม่มีทางเป็นนักกีตาร์ได้” พูดจบ ชายหนุ่มในจอโทรทัศน์ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา อย่างขื่นๆให้กับผู้ชมทางหน้าจอพร้อมทั้งโบกมือให้อย่างตลกขบขัน ตอนนั้นเองที่สีฝุ่นเข้าใจถึงเสียงหัวเราะของเขาในจอโทรทัศน์ว่าเป็นเสียง หัวเราะที่ฟังดูขมขื่นมากกว่าตลกจริงๆ... 50


หลังจากกดปุม่ หยุดเล่นชัว่ คราวไปได้ไม่นานนัก ชายหนุม่ ก็พลันนึกถึงใบหน้า ของ ‘ไอ้ตอ้ ม’ และ ‘ไอ้ปอง’ สองเด็กหนุม่ อดีตเพือ่ นซีท้ เี่ ขาเคยสนิทสนมอยูด่ ว้ ยกันสมัย เรียนเช่นเดียวกับสายฝนขึ้นมาในห้วงความคิด ทว่าในตอนนี้เขากลับจ�ำรายละเอียด ของสองคนนี้ไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว มันไม่เหมือนกับสายฝน ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่พวกเขาขึ้นไปแสดงดนตรีบนเวทีต่อหน้านักเรียนและ อาจารย์ในหอประชุม หรือเวลาที่สีฝุ่นถูกทิ้งให้ยืนอยู่เพียงล�ำพังไม่ว่าจะเป็นสนาม ฟุตบอลหรือสนามบาสเกตบอล เขามักจะเห็นร่างของสายฝนเดินเข้ามาหาเขาพร้อม กับทักทายด้วยรอยยิ้มมุมปากตามฉบับของเธออยู่เสมอ มันเป็นรอยยิ้มเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้นที่สีฝุ่นเห็นว่ามันท�ำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจขึ้น มาอย่างประหลาด ทว่ายิ่งเขาถล�ำลึกลงไปค้นหาสายฝนในภาพความทรงจ�ำในอดีตของเขามาก ขึ้นเท่าไหร่ สีฝุ่นก็รู้สึกเหมือนหัวใจของเขาก�ำลังถูกรัดด้วยเชือกเส้นหนึ่ง ถึงแม้จะ เป็นเพียงแค่เชือกที่บางเบาเหมือนเส้นด้าย แต่มันก็รัดหัวใจเขาแน่นพอที่จะท�ำให้ เขาเจ็บปวดจนไม่อาจควบคุมอารมณ์ความรู้สึกใดๆได้อีก สีฝุ่นพยายามรับมือกับความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันภายในใจของเขา ทว่าในเวลานี้ชายหนุ่มไม่อาจท�ำอะไรได้เลยนอกจากซบหน้ากับฝ่ามือทั้งสองข้าง แม้วา่ สีฝนุ่ จะรวยล้นฟ้า มีหน้ามีตาในสังคมมากแค่ไหนก็ตาม แต่มนั ไม่ชว่ ยเขา เลยแม้แต่น้อยเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิต “ฝน...” สีฝุ่นร้องออกมาด้วยน�้ำเสียงสั่นเครือ “เธออยู่ไหนแล้วตอนนี้...” ชายหนุ่มยังคงนั่งร้องเรียกหาสายฝนอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆ ก่อนจะผล็อยหลับ ไปด้วยความอ่อนเพลียในที่สุด...

อดีต

11:00 A.M. –สายฝนคว้าแจ๊คเก็ตหนังสีด�ำตัวโปรดของเธอขึ้นมาสวมทับเสื้อ เชิต้ สีขาว ก่อนจะวิง่ ไปทีม่ อเตอร์ไซค์ซงึ่ จอดอยูต่ รงหน้าบ้านของเธอด้วยความรีบร้อน หญิงสาวตั้งใจไว้แล้วว่าวันนี้เธอต้องพบสีฝุ่นให้ได้ แม้ ฝ นจะตกหนั ก จนมองไม่ เ ห็ น หนทางตรงหน้ า แต่ ส ายฝนก็ ยั ง คงขั บ มอเตอร์ไซค์ไปตามทางอย่างแน่วแน่ 51


หญิงสาวตัดสินใจเร่งความเร็วให้เร็วขึน้ จากสีส่ บิ กิโลเมตรต่อชัว่ โมงเป็นหกสิบ กิโลเมตรต่อชัว่ โมง เมือ่ เห็นว่าเวลาบนหน้าปัดนาฬิกาข้อมือเดินหน้าเร็วขึน้ กว่าทีเ่ ธอ คาดไว้ตั้งแต่แรก เมือ่ สองวันก่อน สายฝนโทรศัพท์ไปทีห่ มายเลขของเลขานุการส่วนตัวของสีฝนุ่ เธอใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีในการพูดคุยเรื่องของสีฝุ่นกับเลขาคนนั้นก่อนจะได้ความ ว่าวันนีส้ ฝี นุ่ จะเข้ามาประชุมทีบ่ ริษทั พร้อมกับนักธุรกิจชือ่ ดังจากต่างประเทศในเวลา ประมาณบ่ายโมง ทว่าด้วยความอยากรูแ้ น่นอนว่าเขาจะมาเมือ่ ไหร่กนั แน่ เธอจึงซักไซ้ ไล่ความกับเลขาอย่างเอาเป็นเอาตายในสายโทรศัพท์เพิม่ เติม จนกระทัง่ ทราบว่าสีฝนุ่ จะเข้ามาที่บริษัทของเขาประมาณเที่ยง นั่นก็หมายความว่าเธอต้องพบกับสีฝุ่นให้ได้ก่อนการประชุมส�ำคัญจะเริ่มต้น ขึ้น และเธอก็มีเวลาเพียงแค่หนึ่งชั่วโมงเท่านั้นในการไปที่บริษัทก่อนที่เขาจะมาถึง! ยิ่งนึกถึงใบหน้าและท่าทีของสีฝุ่นในวันนั้นมากเท่าไหร่ สายฝนกลับยิ่งรู้สึกผิดในใจมากขึ้นจนยากที่จะให้อภัยตัวเองกับเรื่องนี้ได้... ‘มิตรภาพ’ ถูกวัดด้วยฐานะทางสังคมเท่านั้นเองเหรอ... สายฝนจ�ำได้ดวี า่ วันทีค่ วรจะเป็นวันทีด่ ที สี่ ดุ อย่างการได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย เหมือนคนอื่นๆ กลับไม่ได้เป็นไปตามที่ได้คาดหวังไว้เลย เธอจ�ำเป็นต้องดูแลแม่ที่มี ฐานะยากจน มันท�ำให้เธอต้องก้าวออกจากโลกการศึกษามาสู่โลกของผู้ใหญ่ที่ต้อง ท�ำงานมีภาระรับผิดชอบเต็มตัวโดยไม่มีปริญญาบัตรรองรับ ด้วยความยากจนและการเป็นอยูอ่ ย่างขัดสนทีต่ ดิ ตัวมาตัง้ แต่กำ� เนิด ท�ำให้สายฝน ต้องดิ้นรนท�ำงานหาเช้ากินค�่ำด้วยการเป็นนักร้องตามผับบาร์และร้านคาราโอเกะ ต่างๆเพื่อให้เธอและแม่มีเงินพอที่จะใช้จ่ายในสิ่งที่จ�ำเป็น ชีวิตของสายฝนที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงและไม่เคยไว้เนื้อเชื่อใจใคร มาตั้งแต่เล็ก ท�ำให้เธอสามารถเอาตัวรอดจากสถานการณ์ต่างๆที่เสี่ยงต่อการเกิด อันตรายแก่ตัวเธอเองได้แทบทุกครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการถูกลวนลามจากชายหนุ่ม แปลกหน้า การถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าของสถานทีท่ ตี่ อ้ งการให้คา่ จ้างเธอต�ำ่ กว่า มาตรฐาน หรือแม้กระทั่งการถูกดักท�ำร้ายจากหญิงสาวต่างหน้าที่เข้ามาหาเรื่องเธอ เพียงเพราะหึงหวงแฟนหนุ่มเจ้าชู้เท่านั้น แต่ถึงจะถูกคนในสังคมรังแกเธอมากแค่ไหนก็ตาม สายฝนก็ยังรู้สึกดีอยู่บ้างที่ อย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิตเธอได้มีโอกาสรู้จักกับคนดีๆอย่างสีฝุ่น ถึงแม้ตลอดเวลาที่ 52


ผ่านมาเธอจะมีเรือ่ งให้ตอ่ ปากต่อค�ำกับเขาอยูบ่ อ่ ยครัง้ แต่หญิงสาวกลับเต็มใจยอมรับ ชายหนุ่มเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเธอตั้งแต่วันแรกที่ได้พบกันแล้ว สีฝนุ่ เป็นคนคนเดียวทีส่ ายฝนกล้าบอกกับตัวเองได้อย่างเต็มปากเต็มค�ำว่าเขา เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดในชีวิต และก็คงไม่มีใครเป็นเพื่อนที่คอยเอาใจใส่ดูแลเธอได้มากกว่าสีฝุ่นอีกแล้ว... ฉันสัญญาว่าจะไม่ท�ำให้นายเสียใจเพราะฉันอีก... ฉันสัญญา เสีย้ ววินาทีนนั้ เองทีส่ ายฝนตัดสินใจแตะคันเบรกของมอเตอร์ไซค์และบังคับรถ ให้หกั หลบรถเก๋งสีดำ� ไปทางด้านขวา ทว่ามันไม่เร็วพอทีจ่ ะหลบการพุง่ ชนของรถเก๋ง คันนั้นได้เลยแม้แต่น้อย ร่างของหญิงสาวกระเด็นออกจากมอเตอร์ไซค์ทันทีที่รถเก๋งคันดังกล่าวพุ่งชน เธออย่างจัง เพียงพริบตาเดียวทีเ่ ธอหมุนคว้างอยูก่ ลางอากาศก่อนจะค่อยๆร่วงหล่น ลงไปกระแทกกับพื้นถนนอย่างแรง วินาทีทรี่ า่ งของเธอได้สมั ผัสกับพืน้ ถนนอีกครัง้ สายฝนก็รทู้ นั ทีวา่ ร่างกายของ เธอไม่ตอบสนองตามทีเ่ ธอต้องการได้อกี ต่อไปแล้ว เธอได้กลิน่ เลือด ทว่าไม่อาจบอก กับตัวเองได้ว่ามันมาจากส่วนไหนของร่างกาย สายฝนกะพริบตามองภาพตรงหน้า แต่กไ็ ม่เห็นอะไรเลยนอกจากคลืน่ แสงขาว ที่ตกลงมากระทบกับดวงตาคล้ายการมองแท่งปริซึมเท่านั้น เธอพยายามตั้งค�ำถาม พลางค้นหาค�ำตอบเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยความสงสัย แต่ดูเหมือนเธอจะไม่ได้ยินอะไรเลยนอกจากเสียงของสีฝุ่นที่ยังคงแว่วเข้ามา ในโสตประสาทให้เธอได้ยินอีกครั้ง... 11:27 A.M. –ประตูทางเข้าห้องฉุกเฉินถูกเปิดออกอย่างรวดเร็วพร้อมกับการ วิ่งเข้ามาของเจ้าหน้าที่และพยาบาลกลุ่มหนึ่งพวกเขาเข็นร่างของสายฝนเข้ามาใน บริเวณห้องสี่เหลี่ยมขนาดกลางซึ่งมีป้ายเขียนไว้หน้าประตูว่า ‘ห้องผ่าตัด’ พยาบาลสาวร่างผอมซึง่ เคยจับมือขวาของสายฝนไว้ตงั้ แต่นงั่ อยูใ่ นรถพยาบาล ตัดสินใจปล่อยมือของเธอออกเพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ในการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปที่ เตียงซึ่งวางอยู่กลางห้อง แพทย์หนุ่มใหญ่ในเสื้อคลุมกาวน์สีขาวก้าวเข้ามาพร้อมกับ ผูช้ ว่ ยและพยาบาลอีกสองคนเพือ่ ท�ำการผ่าตัดสายฝนตามทีไ่ ด้รบั แจ้งเหตุกอ่ นหน้านัน้ การผ่าตัดยังคงด�ำเนินต่อไปเป็นเวลาสามชัว่ โมง วินาทีสดุ ท้ายก่อนเข้าสูช่ วั่ โมง 53


ทีส่ นี่ นั่ เองทีร่ า่ งของสายฝนถูกเข็นออกมาจากห้องผ่าตัดพร้อมกับแพทย์ผดู้ ำ� เนินการ และผู้ช่วย พวกเขาตัดสินใจเข็นร่างของสายฝนไปยังหอพักผู้ป่วยทันทีเมื่อได้รับแจ้ง ว่ามีการโอนเช็คเงินสดจ�ำนวนหนึง่ เป็นค่ารักษาพยาบาลให้กบั สายฝนจากข้อความใน มือถือของเจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งรับหน้าที่เข็นเตียงผู้ป่วย 03:12 P.M. -เมื่อกลุ่มแพทย์และเจ้าหน้าที่ได้เดินไปถึงหน้าห้องพักผู้ป่วยใน หมายเลข ‘502’ ใบหน้าที่เคยเรียบเฉยของแพทย์เจ้าของไข้ก็มีอันเปลี่ยนเป็นแปลก ใจไปในพริบตา เมื่อได้เห็นร่างของชายหนุ่มสูงโปร่งคนหนึ่งในชุดสูทสีเทาก�ำลังยืน มองอะไรบางอย่างซึ่งอยู่ภายนอกหน้าต่าง เขายืนอยู่ตรงนั้นราวกับว่าไม่มีใครอยู่ใน ห้องนี้เลยแม้แต่คนเดียว ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีอะไรเลยแม้กระทั่งตัวตนของเขาที่ก�ำลังยืนมองออกไปนอกหน้าต่างอยู่ ณ ขณะนี้ ทว่าความว่างเปล่าทีม่ าพร้อมกับความเงียบภายในห้องสีเ่ หลีย่ มนัน่ เองทีท่ ำ� ให้ ทุกคนในห้องรูส้ กึ อึดอัดใจอย่างบอกไม่ถกู ไม่เว้นแม้กระทัง่ แพทย์หนุม่ ใหญ่ทยี่ งั คงยืน สังเกตอากัปกิริยาของชายหนุ่มคนนั้น เขาตัดสินใจถามขึ้นมาว่า “คุณเป็นสามีของคุณกัลสรารึเปล่าครับ” ชายหนุ่มผู้ไร้ซึ่งตัวตนเบือนหน้าออกจากเงาสะท้อนบนกระจกหน้าต่าง ก่อน จะหันมาเผชิญหน้ากับแพทย์หนุ่ม “ทางโรงพยาบาลได้รับเช็คเงินสดของคุณแล้ว เลยอยากจะให้คุณ...” “ผมเป็นเพือ่ นสนิทของเธอครับ กัลสรายังไม่ได้แต่งงาน” ชายหนุม่ ตอบ ก่อนจะ ก้าวไปทีโ่ ซฟาสีนำ�้ ตาลข้างโทรทัศน์และทรุดตัวนัง่ ลงอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจสายตา ของใครต่อใครที่มองมายังเขาเลยว่ารู้สึกอย่างไรต่ออากัปกิริยาเมินเฉยของเขา สีฝนุ่ จ�ำไม่ได้วา่ เกิดอะไรขึน้ บ้างระหว่างทีก่ ำ� ลังนัง่ ทบทวนถึงเหตุการณ์ทเี่ กิดขึน้ กับสายฝน เขาได้ยินเสียงซุบซิบนินทาจากกลุ่มพยาบาลที่มาช่วยจัดเตียงคนไข้ให้ สายฝนนอน ได้ยินเสียงวิทยุเรียกเข้าของเจ้าหน้าที่ที่แทรกเข้ามากลบเกลื่อนความ เงียบเป็นระยะๆ รวมถึงเสียงของแพทย์เจ้าของไข้ที่เดินเข้ามาคุยกับเขาเป็นการ ส่วนตัวด้วย “สมองของคุณกัลสราได้รับการกระทบกระเทือนอย่างรุนแรง ผมเกรงว่า...” สติสัมปชัญญะที่เคยเหือดหายไปจากตัวตนของสีฝุ่นกลับมาท�ำงานอีกครั้ง 54


เธอเป็นอะไร... เจ้าหญิงนิทรา พิการตลอดชีวิต หรือว่า... วินาทีทมี่ าพร้อมกับความเงียบงัน ไร้ซงึ่ การปริปากของสีฝนุ่ นัน่ เองทีท่ ำ� ให้เขา รู้สึกว่าตนก�ำลังยืนนิ่งเหมือนหุ่นกระบอกที่ถูกทิ้งไว้กลางพื้นห้อง ไม่เหลือใครเลยแม้ กระทั่งสายฝนที่ก�ำลังนอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่ในตอนนี้ “เธอจะจ�ำอะไรไม่ได้อีกแล้ว ใช่ไหมครับคุณหมอ” สีฝุ่นถามเสียงสั่น “ใช่ไหมครับ” แพทย์หนุ่มถอนใจยาวออกมา “เธออาจจะจ�ำอะไรไม่ได้เลยตลอดชีวิต หรือไม่ ก็... อาจจะจ�ำได้แค่บางส่วนเท่านั้น” สีฝุ่นหันมามองหน้าแพทย์เจ้าของไข้อย่างงุนงง “อาจจะเหรอครับ ท�ำไมคุณ หมอถึงพูดว่าอาจจะล่ะครับ” “อาการป่วยของคุณกัลสราเป็นอะไรที่... ละเอียดอ่อนมาก ผมเกรงว่าผมอาจ จะไม่สามารถให้ค�ำตอบกับคุณได้อย่างแน่นอนว่าเธอจะจ�ำอะไรได้บ้าง จ�ำอะไรไม่ได้ บ้าง ไว้วนั หลังเราค่อยคุยกันถึงเรือ่ งความทรงจ�ำของเธอดีกว่านะครับ ผมขอตัวก่อน” แพทย์หนุ่มหันหลังเดินออกไปจากห้องพร้อมกับเจ้าหน้าที่และพยาบาล โดย ไม่ลืมที่จะปิดประตูห้องตามมารยาทของแพทย์ที่ต้องการให้คนเฝ้าไข้ได้มีโอกาส ส�ำรวจอาการป่วยของคนไข้อย่างชัดเจน ทันทีที่ได้ยินเสียงปิดประตู สีฝุ่นก็รีบก้าวเข้าไปหาสายฝนที่ก�ำลังนอนอยู่บน เตียงตามสัญชาตญาณของผูท้ อี่ ยูใ่ นอาการหวาดกลัวต่อความเปลีย่ นแปลง ชายหนุม่ ตัดสินใจยืน่ มือไปแตะแก้มของหญิงสาวเบาๆ พลางเหลือบมองผ้าพันแผลซึง่ เกิดจาก การผ่าตัดด้วยความไม่มั่นใจระคนสงสัยในคราวเดียวกัน จริงหรือที่แพทย์หนุ่มบอกว่าสายฝนอาจจะจ�ำอะไรไม่ได้เลยตลอดชีวิต...

ปัจจุบัน

09:53 A.M. – “และแล้ว... เจ้าหญิงกับเจ้าชายก็อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข” สีฝนุ่ หันมายิม้ ให้กบั สายฝนทีย่ งั คงจ้องมองเขาอย่างไม่วางตาเพียงมุมปากแค่ชวั่ ขณะ หนึ่ง ก่อนจะปิดหนังสือนิทานที่เพิ่งอ่านให้เธอฟังจบไปเมื่อครู่ เขาวางมันไว้บนโต๊ะ ข้างเตียงก่อนหันกลับมามองหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่าสายฝนยังคง จ้องมองเขาอยู่อย่างนั้น สีฝุ่นจึงลุกจากเก้าอี้เพื่อไปหยิบขวดน�้ำดื่มในตู้เย็นออกมา รินใส่แก้วให้เธอดื่ม “อาชวิน...” 55


ชายหนุ่มหันกลับไปมองหญิงสาวในชุดคนไข้ด้วยความสงสัย “มีอะไรเหรอ” “คุณคิดว่า... มันจะเป็นไปได้ไหมที่เจ้าหญิงจะไม่ได้อยู่กับเจ้าชาย” “หมายถึงในชีวิตจริงน่ะเหรอ” สายฝนหรือกัลสราพยักหน้าแทนค�ำตอบ สีฝุ่นหรืออาชวินเอื้อมมือไปปิดตู้เย็นก่อนเดินกลับเข้ามาหาเธออีกครั้ง ตอนนั้นเองที่เขาจ้องหน้าเธอนิ่งเหมือนต้องการจะบอกอะไรบางอย่างให้เธอรู้ ทว่าสายฝนที่ตอนนี้ความจ�ำเสื่อมกลับไม่เข้าใจในความหมายของเขาเลยแม้แต่นิด เดียว เธอท�ำได้แค่ยิ้มตอบกลับเขาไปเท่านั้น สีฝนุ่ ทีเ่ พิง่ นึกได้วา่ สายฝนความจ�ำเสือ่ มยิม้ แก้เก้อตอบ ก่อนจะอธิบายค�ำตอบ ให้เธอเข้าใจแทน “มันมีความเป็นไปได้อยู่เสมอนะที่เจ้าชายกับเจ้าหญิงจะไม่ได้อยู่ ด้วยกัน บางครั้งความรักมันก็เป็นเพียงแค่อดีตที่หลงเหลืออยู่ในความทรงจ�ำ เป็น เพียงแค่อากาศที่ลอยคว้าง เราจับต้องไม่ได้ อย่าว่าแต่จับเลย เรามองไม่เห็นมันเลย เสียด้วยซ�้ำ” “คุณเคยมีอดีตเกี่ยวกับความรักเหรอ” สายฝนถาม สีหน้าของเธอเต็มไปด้วย ความอยากรูอ้ ยากเห็นในแบบเดียวกับทีส่ ฝี นุ่ คิดว่าเธอช่างไม่ตา่ งจากเด็กวัยเจ็ดแปด ขวบเลยสักนิด “เล่าให้ฉันฟังหน่อยได้ไหม” สีฝุ่นเดินไปหยิบอะไรบางอย่างในกระเป๋าท�ำงานของเขาออกมาโดยไม่ตอบ ค�ำถามของสายฝนเลยแม้แต่ค�ำเดียว สายฝนมองอากัปกิรยิ าทีเ่ ปลีย่ นไปของสีฝนุ่ อย่างไม่เข้าใจ “คุณกลัวอดีตเหรอ” เธอถามอย่างไม่มั่นใจนัก สีฝนุ่ หันกลับมายิม้ ให้สายฝนอีกครัง้ หนึง่ “ผมไม่ได้กลัวอดีต” เขาตอบพลางยืน่ โน้ตบุก๊ สีเทาให้เธอดู “แต่ผมอยากให้คณ ุ รับรูอ้ ดีตของผมด้วยวิดโี อในดีวดี แี ผ่นนีแ้ ทน” “ดีวีดีอะไรเหรอ” “เดี๋ยวคุณก็รู้เองแหละ กัลสรา” ชายหนุ่มเผยรอยยิ้มให้หญิงสาวเห็นอีกครั้ง ก่อนจะใส่แผ่นดีวีดีลงไปในเครื่อง มันถูกเล่นด้วยโปรแกรมมัลติมีเดียในเครื่องโน้ตบุ๊กเพียงไม่กี่นาทีที่ข้อความ เตือนได้ถูกแสดงออกมา... เพลงน�ำเข้าสู่รายการจบลงเพียงเวลาไม่นานหลังจากที่ดีวีดีได้ถูกเล่นภายใน เครื่อง ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะถูกแทนที่ด้วยการปรากฏตัวของพิธีกรสาวชื่อดังในชุด 56


ราตรีสั้นสีแดง ตอนนัน้ เองทีส่ ายฝนรูส้ กึ คุน้ หน้าค่าตาของพิธกี รสาวคนนีข้ นึ้ มาอย่างประหลาด คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยเห็นหน้าค่าตามาก่อน ทว่าเมื่อได้ทบทวนรายชื่อของ คนรูจ้ กั ผ่านความทรงจ�ำทีเ่ ลือนรางของเธออีกครัง้ สายฝนกลับไม่พบชือ่ ของพิธกี รสาว ที่ใกล้เคียงกับชื่อของคนที่เคยอยู่ในความทรงจ�ำของเธอเลยแม้แต่ชื่อเดียว เมือ่ เห็นว่าการเรียกความทรงจ�ำกลับคืนมานัน้ ไร้ผล เธอจึงหันกลับไปจ้องมอง ภาพในจอสี่เหลี่ยมผืนผ้าอีกครั้ง ผู้ชมในห้องส่งเสียงและปรบมือต้อนรับแขกรับเชิญ ของพิธีกรสาวที่เพิ่งเดินออกมาจากหลังฉากซึ่งตกแต่งด้วยคริสตัลสีเขียว เป็นเวลา เดียวกับที่เพลงถูกบรรเลงขึ้นมาอีกครั้งโดยวงดนตรีที่เล่นอยู่ภายในห้องส่ง วินาทีที่สายฝนได้เห็นใบหน้าแขกรับเชิญของรายการ สีหน้าที่เคยเรียบเฉย ของเธอก็แปรเปลี่ยนเป็นความตกใจอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้ว่าชายหนุ่มในเทปสัมภาษณ์ คนนั้นคือ ‘อาชวิน’ ชายหนุ่มที่ก�ำลังนั่งอยู่ข้างเธอในตอนนี้! หญิงสาวหันกลับไปมองสีฝุ่นอีกครั้ง ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันแน่... พิธีกรสาวในจอสี่เหลี่ยมหันมายิ้มให้กับกล้องหนึ่งครั้ง ก่อนจะหันกลับไปถาม สีฝุ่นในจอว่า “คุณฝุ่นเล่นกีตาร์มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ” “ตั้งแต่ผมจ�ำความได้ ผมก็เล่นมาตั้งแต่ป.5 ครับ แต่เพิ่งมาเอาจริงเอาจังกับ มันก็ตอนม.1” “แสดงว่าคุณฝุ่นชอบเล่นกีตาร์มาตั้งแต่เด็ก เอ... ว่าแต่ว่าคุณฝุ่นเคยฝันอยาก เป็นอะไรมาก่อนไหมคะก่อนจะมาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความส�ำเร็จแบบนี้” “ฝุน่ ...” สายฝนเรียกชือ่ ของชายหนุม่ เบาๆ เธอยังคงจ้องหน้าเขาอย่างไม่วางตา “มันเป็นชื่อเล่นของคุณเหรอ” “ใช่” สีฝุ่นตอบ ตาของเขายังคงจ้องไปที่วิดีโอในจอโน้ตบุ๊กอย่างใจจดใจจ่อ “อันที่จริงมันก็เป็นแค่ฝันเล็กๆที่ดูไม่น่าเป็นไปได้เลยส�ำหรับผมในตอนนั้น เพราะผมโตมากับครอบครัวนักธุรกิจ มีน้องสาวที่ต้องดูแลในตอนนั้นเพราะเธอยัง เล็ก ผมกับเพื่อนในวงซึ่งตอนนั้นผมใช้ชื่อวงว่า ‘เดอะชาร์โคลคิลเลอร์ส’ แปลว่า ‘นักฆ่าสีฝุ่น’ ซึ่งก็คือชื่อผมเอง” เสียงหัวเราะที่ดังมาจากล�ำโพงของโน้ตบุ๊กดึงดูดความสนใจของสายฝนให้หัน 57


กลับไปมองภาพในจออีกครั้ง “ผมชอบนักกีตาร์มาก ผมรูส้ กึ ว่าเขาสามารถถ่ายทอดความงดงามในบทเพลง เหล่านัน้ ให้คนอืน่ รับรูไ้ ด้ผา่ นเครือ่ งดนตรีทเี่ ขาเล่น ก็เหมือนกับนักเปียโนทีใ่ ช้นวิ้ พรม ลงไปบนคียเ์ พือ่ ให้เกิดเสียงเพลง แต่กน็ นั่ แหละครับ ผมท�ำตามฝันทีผ่ มต้องการไม่ได้” “ท�ำไมล่ะคะ... ท�ำไมคุณฝุ่นถึงท�ำตามความฝันของคุณไม่ได้ ในเมื่อคุณฝุ่นเอง ก็มีความสามารถแทบทุกด้าน” “บางครัง้ โลกแห่งความฝันกับโลกแห่งความเป็นจริง มันก็ไม่ได้บรรจบกันเสมอ ไปครับ ผมเลยตัดสินใจทิง้ ความฝันนัน้ ไว้เพือ่ ใช้ชวี ติ อยูใ่ นโลกแห่งความเป็นจริง ใคร จะเชื่อล่ะว่าคนอย่างผมจะเป็นนักกีตาร์ได้ ผมเล่นกีตาร์ได้ห่วยจะตายไปในชีวิตจริง เพื่อนผมสมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยมด้วยกันยังบอกกับผมเลยว่าผมไม่มีทางเป็นนักกีตาร์ ได้” “คุณอยากเป็นนักกีตาร์เหรอ” สายฝนหันมาถามสีฝุ่นด้วยความแปลกใจ สีฝุ่นพยักหน้า “มันเป็นความฝันของผมน่ะในอดีต” สายฝนหันกลับไปมองภาพของสีฝุ่นในจอสี่เหลี่ยมอีกครั้ง... เธอได้ยินเสียง หัวเราะของเขา มันเป็นเสียงหัวเราะที่ฟังดูประหลาดทว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยความร่าเริงสดใส เหมือนใครคนหนึ่งที่เธอเคยรู้จักมาก่อน ทว่ายิ่งค้นหาตัวตนของใครคนนั้นในความ ทรงจ�ำของเธอมากเท่าไหร่ สายฝนกลับไม่พบความชัดเจนในค�ำตอบมากพอที่จะ ท�ำให้เธอเชื่อว่าเธอเคยรู้จักกับใครคนนั้นจริงๆ “แต่ถึงแม้ว่าผมจะไม่ได้เดินตามความฝันของผม... ผมก็ยังโชคดีที่มีเพื่อนอยู่ คนนึงที่ยังคงเดินตามความฝันของเขาอย่างไม่ยอมแพ้ เขาเป็นคนน่านับถือมากใน เรื่องนี้ และผมเองก็นับถือเขามากครับ แม้เขาจะไม่มีโอกาสได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย เหมือนคนอื่น แต่เขาก็ท�ำให้ผมรู้ว่าตราบใดที่เรายังมีลมหายใจอยู่ ความฝันของเขา จะไม่มีวันตายไปจากเรา นอกเสียจากว่าเราจะล้มเลิกความฝันของเรากลางคันด้วย ตัวของเราเอง ผมเชื่อว่าใครก็ตามที่ยังคงเดินตามความฝันอยู่ เขาจะไม่มีทางยอม แพ้ต่อโชคชะตาของเขาแน่นอน และต่อให้ความตายมาพรากเขาไปจากผม... เขาก็ จะยังคงอยู่ในใจของผมเสมอครับ” สองสามนาทีหลังจากนั้นวิดีโอก็หยุดเล่นโดยอัตโนมัติ สายฝนหันกลับมามอง ใบหน้าของสีฝุ่นอีกครั้ง 58


แววตาของหญิงสาวยังคงเต็มไปด้วยความสงสัยในสิ่งที่ชายหนุ่มต้องการจะ บอกผ่านแผ่นดีวีดีที่เพิ่งเลื่อนออกมาจากตัวเครื่อง ตอนนั้นเองที่เธอเห็นเขาเก็บมัน ไว้ในซองพลาสติกสีใสซึ่งมีข้อความบนเทปกาวแปะไว้ว่า ‘แด่สายฝน’ “แล้วเพื่อนคนนั้นของคุณคือใครเหรอ อาชวิน” สายฝนถามเสียงเบา “เธอชื่อ สายฝนใช่ไหม” สีฝนุ่ หันกลับมามองหน้าเธออีกครัง้ มันเป็นครัง้ ทีเ่ ท่าไหร่แล้วนะทีเ่ ขาพยายาม จะบอกกับเธอว่าเธอคือสายฝน เพื่อนรักของเขาที่ยังคงเป็นปัจจุบันของวันวาน และ เป็นเงาของความฝันในอดีตที่ติดตามเขามาจนถึงทุกวันนี้ แต่ทกุ ครัง้ ทีส่ ฝี นุ่ ก�ำลังจะอ้าปากบอกความจริงให้สายฝนรับรู้ ทุกสิง่ ทุกอย่างที่ เขาคาดหวังไว้ตั้งแต่แรกกลับไม่เป็นไปตามความคาดหวังของเขาเลยสักครั้ง ทุกสิ่ง ทุกอย่างที่เขาคาดหวังไว้นั้น ไม่เคยเกิดขึ้นเลยสักครั้งในชีวิตจริง บ่อยครั้งเหลือเกิน ที่ความหวังเหล่านั้นจะถูกแทรกแซงด้วยการเข้ามาของแพทย์เจ้าของไข้คนเดิม พยาบาล หรือไม่ก็ใครคนหนึ่งที่เข้ามาเยี่ยมสายฝน... สายฝนที่อยู่ในฐานะกัลสรา หญิงสาวผู้ความจ�ำเสื่อมชั่วคราว (หรือ อาจจะ ความจ�ำเสื่อมตลอดไป) และแน่นอนว่าสีฝุ่นผู้ดูแลกัลสราในฐานะอาชวิน ชายหนุ่มผู้สูญเสียตัวตนของ เขาไปเพียงชั่วขณะ (หรืออาจจะสูญเสียตลอดไป) ก็ยังคงต้องทุกข์ตรมกับการไม่ได้ เปิดเผยเรื่องราวระหว่างเขากับเธอให้อีกฝ่ายรับรู้เสียที...

59


บันทึกของจูน

มัธวรรณศ์ สุจริตธนารักษ์ 60


ต�ำรวจหนุ่มก้มตัวมุดเข้าไปใต้เตียงพลางสาดแสงจาก ปลายกระบอกไฟฉายในมือไล่ไปจากหัวเตียงสู่สุดปลาย อีกด้านหนึ่ง ท่ามกลางอากาศที่ร้อนและเหนอะหนะ อวัยวะใต้ถงุ มือยางชุม่ ไปด้วยเหงือ่ แสงไฟไล้ไปตามกอง กระดาษที่ซ้อนทับกันอย่างไม่ตั้งใจ ของจิปาถะไร้ความ หมายสุมหัวซุกตัวอยู่ใต้เท้าของกันและกัน และนี่ไม่ใช่ ส่วนเดียวของบ้านที่ไร้ระเบียบ

ไร้ประโยชน์ ไร้ประโยชน์ การลงส�ำรวจ หนึ่งในพื้นที่เกิดเหตุคดีหญิงสาวถูกลักพาตัวไม่ได้ ช่วยให้งานของเขาคืบหน้าไปไหนเลย เวลานี้แม้แต่ไรฝุ่นก็ดูเหมือนว่าจะเคลื่อนตัว เร็วกว่างานของเขา ต�ำรวจหนุ่มเริ่มถอดใจเมื่อปลายล�ำแสงสะดุดเข้ากับบางอย่างที่ ดูเหมือนจะเป็นประโยชน์ตอ่ การสืบสวน เขาเอือ้ มมือสุดแขน ตะปบสิง่ นัน้ เข้ามาหาตัว หยิ บ มั น ใส่ ซ องพลาสติ ก ใสแล้ ว ถอดถุ ง มื อ ออก รายงานต่ อ ผู ้ บั ง คั บ บั ญ ชาแล้ ว ไม่ช้าก็ผลุนผลันออกไปจากสถานที่แห่งนั้น ลมทะเลโชยเอากลิ่นหอมจางๆของเกลือมาปนผสมกับกลิ่นเหงื่อที่แทรกออก จากเครือ่ งแบบรัดตัว ฟ้าสีสดจ้ากว่าทีท่ นี่ ายต�ำรวจจากมา ระหว่างทางสูท่ หี่ มาย เขานึก สบถในใจว่าท�ำไมจะต้องมาท�ำงานท่ามกลางบรรยากาศที่ยั่วยวนให้ยอมตัวปล่อยใจ ไปกับธรรมชาติรอบตัวของเกาะเช่นนี้ ครู่ต่อมาเขาก็หยุดอยู่ตรงหน้าศาลาของ หมู่บ้านที่เจ้าหน้าที่ดัดแปลงมาเป็นศูนย์การสืบสวนตามหาหญิงสาวที่ถูกลักพาตัว ในตอนแรกเขาออกจะแปลกใจว่าที่นี่ไม่มีสถานีต�ำรวจ แต่เมื่อเทียบขนาดของเกาะ 61


กับจ�ำนวนคนบนนั้นแล้วก็พอที่จะเข้าใจได้ ลากเก้าอี้มาลงนั่ง สวมถุงมือกลับเข้าไป อีกครัง้ นายต�ำรวจยกสิง่ ทีเ่ ขาพึง่ ค้นเจอมาไว้ระดับสายตา แล้วรวบรวมสมาธิทงั้ หมด ที่เหลือส�ำรวจของสิ่งนั้น สมุดบันทึกเปื้อนรอยขะมุกขะมอมจนไม่สามารถบอกได้ว่ามันเคยมีสีอะไร มาก่อน อันที่จริงแล้วไม่มีใครแน่ใจด้วยซ�้ำว่ามันเคยมีสีอะไรมาก่อนหน้านี้หรือไม่ นายต�ำรวจพลิกหน้าสมุดบันทึกผ่านๆในรอบแรกก่อนจะค่อยๆเปิดดูแต่ละหน้าอย่าง ละเอียด สิ่งแรกที่สังเกตได้คือ สมุดเล่มนี้ไม่มีเส้น สมุดเล่มนีไ้ ม่มเี ส้น และจะว่าไปแล้วสมุดเล่มนีแ้ ทบจะไม่มเี รือ่ งราวอะไรบันทึก ไว้เป็นตัวอักษรมากนัก หากเทียบกับจ�ำนวนภาพวาด มีสเก๊ตช์หยาบๆของสถานที่ สัญลักษณ์สามเหลีย่ มทีด่ ไู ร้ความหมาย ใบหน้าและส่วนต่างๆของคนอีกจ�ำนวนหนึง่ และหากสังเกตดีๆแล้วดูเหมือนว่าจะมีใบหน้าของคนสองสามคนที่ประดับอยู่บน ผิวกระดาษบ่อยครั้งกว่ารูปอื่นๆ บันทึกนี้คงไม่ช่วยอะไรในการสืบสวนมากนักหาก หน้าแรกของส่วนที่เป็นตัวหนังสือไม่ได้ปรากฏข้อความว่า ขณะทีค่ นเดินไปในทิศทางเดียวกันสามารถมองเห็นเส้นผม ต้นคอ และแผ่นหลัง ของกันและกัน พวกเขาอาจจะอุน่ ใจทีม่ ผี รู้ ว่ มเดินทางมากมาย กลับกัน ฉันเลือกทีจ่ ะ เดินไปในทิศทางตรงกันข้าม แม้จะต้องแลกมาด้วยความเดียวดาย แต่มนั ท�ำให้ฉนั ได้ มองเห็นใบหน้าของพวกเขา ผู้คนจากอีกทิศหนึ่ง ฉันเห็นความเจ็บปวด เห็นความ เบือ่ หน่าย ความสุข ความปรารถนา สะท้อนปนเปออกมาจากใบหน้าเหล่านัน้ ฉันเห็น ความรูส้ กึ ทัง้ หลายของมนุษย์ทผี่ คู้ นทิศเดียวกันพลาดโอกาสได้มองเห็น ใบหน้าเหล่านัน้ ท�ำให้ฉันได้รู้สึกว่า ฉันมีชีวิตอยู่ จูน ใช่แล้ว จูน หญิงสาวทีถ่ กู ลักพาตัวไป นายต�ำรวจเชือ่ มัน่ อย่างยิง่ ว่าบันทึกเล่มนี้ จะน�ำพาเขาไปสู่การไขคดี เจ้าหน้าที่จับตัวคนร้ายได้ หญิงสาวชื่อจูนได้กลับไปสู่ ครอบครัวทีร่ อคอย หากทุกอย่างเป็นไปตามความคาดหมายบวกกับโชคดีอกี เล็กน้อย เขาอาจมีเวลาว่างได้พักผ่อนบนเกาะนี้อีกสองสามวัน ตอนจบอันแสนสุขรอเขาอยู่ ข้างหน้า ด้วยก�ำลังใจที่เขาสร้างขึ้น นายต�ำรวจเริ่มต้นอ่านบันทึกนั้น 62


ปกติแล้วฉันไม่ชอบบันทึกความทรงจ�ำด้วยตัวอักษร ส�ำหรับฉัน ถ้อยค�ำที่ ประดิษฐ์กินเวลาในการบันทึกเรื่องราวนานเกินกว่าที่ฉันต้องการ ต่างจากรูปวาด ที่ดึงเอาความทรงจ�ำตอนหนึ่งๆกลับมาได้แทบจะทันที แต่ครั้งนี้ต่างออกไป มีบาง อย่างผลักดันให้ฉันต้องเขียน บางอย่างนี้รบกวนฉันเหมือนกับยุงที่ส่งเสียงวี้วี้เวลา บินอยู่ใกล้ๆหู เสียงนี้รบกวนฉันไม่หยุดหย่อน และฉันไม่สามารถใช้มือปัดมันออกไป ได้ง่ายๆ เพราะเสียงรบกวนของมันออกมาจากด้านใน ไม่ใช่ด้านนอก ยุงน่าร�ำคาญ ตัวนี้คล้ายจะหายไปก็ต่อเมื่อฉันเริ่มจรดปากกาลงบนผิวกระดาษเท่านั้น เมื่อฉันเริ่ม เขียน เสียงจังหวะกระพือปีกของยุงก็เปลีย่ นไป ราวกับว่า มันก�ำลังพยายามจะทลาย แก้วหูที่ขังมันไว้ในนั้น ฉันรู้สึกได้ว่ายุงก�ำลังจะบินออกจากหูของฉันแล้ว ทุกอย่างเริ่มต้นเมื่อประตูบานนั้นสั่นไหว คืนนัน้ ฉันนัง่ สังสรรค์อยูก่ บั กลุม่ คนสนิทในบาร์พเิ ศษเฉพาะทีส่ ดุ ในเมือง ไม่ใช่ที่ สวยหรูอะไรหรอก อันทีจ่ ริงมันเป็นแค่ตกึ แถวคูหาเดียวบนตรอกมืดๆของเมืองเท่านัน้ แต่สงิ่ พิเศษเฉพาะคือผูค้ นทีน่ นั่ ต่างหาก อย่างน้อยก็ในความรูส้ กึ ของฉันตอนนัน้ ทุก คนทีร่ ถู้ งึ การมีอยูข่ องบาร์แห่งนัน้ ล้วนต้องเป็นคนพิเศษในแนวทางพิเศษๆของตัวเอง เหมือนกับว่าบาร์นนั้ เป็นเกาะลับทีผ่ รู้ กั การผจญภัยเท่านัน้ ทีจ่ ะสามารถค้นพบได้ แล้ว การค้นพบก็เป็นเหมือนใบรับรองความพิเศษของผู้มาเยือน คุณเข้าใจใช่ไหม? ฉัน นั่งอยู่ที่นั่น โบยบินไปกับบรรยากาศแสนสุข มองดูคนรอบตัวเคลื่อนไหวด้วยท่าทาง พิเศษๆด้วยกัน ตามจังหวะทีพ่ วกเขาคิดว่าไม่เหมือนใคร ฉันนัง่ อยูท่ นี่ นั่ รูส้ กึ ว่าตัวเอง ช่างโชคดีที่ได้อยู่ในที่แห่งนั้น จนประตูบานนั้นสั่นไหว ฉันหันไปเห็นว่าประตูร้านบานนั้นสั่นอย่างรุนแรงจนก�ำแพงทั้งสี่ด้านโยกตัว ตามไปด้วย! ฉันหันไปมองรอบตัว คิดว่าจะต้องมีคนอื่นๆสังเกตเห็นเช่นกัน ใครจะ ไม่สังเกตเห็นได้ล่ะ! แต่เปล่าเลย ไม่มีใครรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ ฉันพยายามกระทุ้ง ซี่โครงคนข้างๆแล้วตะโกนแข่งกับเสียงดนตรีว่า ประตูบานนั้นสั่นไหวจนก�ำแพง ทัง้ สีด่ ้านโยกตัวตามไปด้วย! เขาจ้องหน้าฉันอย่างงุนงง บอกว่าเรือ่ งพรรค์นนั้ มันเป็น ไปไม่ได้หรอก จากนัน้ ก็หวั เราะ บอกว่าฉันช่างเป็นผูห้ ญิงทีเ่ ต็มไปด้วยอารมณ์ขนั และ จินตนาการ ตบท้ายด้วยการถามว่าฉันดื่มไปแล้วกี่แก้ว ตลกสิ้นดีคุณว่าไหม? ใครจะ ไปตะโกนบอกคนอืน่ ว่าก�ำแพงสัน่ ไหวหากมันไม่เป็นอย่างนัน้ จริงๆ แถมถามว่าฉันดืม่ 63


ไปแล้วกี่แก้ว! วินาทีนั้นฉันรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างได้ดูดสีและเสียงออกจากสถาน ที่แห่งนั้น ภาพบาร์ตรงหน้าฉันเปลี่ยนจากรูปถ่ายปกนิตยสารที่แสนจะน่าดึงดูดเป็น รูปติดบัตรไปในพริบตาเดียว ตอนนั้นฉันรู้สึกได้ว่าความพิเศษต่างๆของบาร์แห่งนั้น ช่างหลอกลวงและจอมปลอม รสชาติของเครือ่ งดืม่ หวานเลีย่ นเกินความจ�ำเป็น เสียง ดนตรีก้องสะท้อนซ�้ำซากวนเวียน ประตูบานนั้นเปิดออก! และฉันก็รวู้ า่ ชีวติ ของฉันจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ฉันรูส้ กึ ได้ถงึ ทุกขัน้ ตอน ทุก รายละเอียดตั้งแต่การสั่นไหวจวบจนประตูบานนั้นดีดตัวออกจากกรอบไม้ ชายหนุ่ม คนหนึง่ สวมหน้ากากกันแก๊สพิษก้าวเข้ามาในบาร์ มือหนึง่ ถือกระป๋องมาด้วย ฉันจ้อง เขาตาไม่กะพริบ และรูส้ กึ ได้วา่ สายตาใต้หน้ากากใบนัน้ จ้องมองมาทีฉ่ นั เช่นเดียวกัน คล้ายจะบอกว่า ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เราจะเป็นส่วนหนึ่งของกันเสมอ ชายคนนัน้ หายเข้าไปในฝูงคนทีเ่ บียดเสียดกันอยูใ่ นบาร์ ฉันหยุดหายใจรอดูวา่ จะเกิดอะไรขึน้ ครูห่ นึง่ ก็ได้ยนิ เสียงฟ่อๆเหมือนเสียงขูข่ องงูพษิ จากด้านในสุดของร้าน ตามมาด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายของฝูงคน และกลิ่นฉุนกึกของสารเคมีบางอย่าง จากนั้นมีเสียงกระดูกกระแทกกับก้อนเนื้อบางส่วนของร่างกาย เจ้าของบาร์คนเดิม ลากชายหนุ่มคนนั้นแหวกกลุ่มคนออกมา หน้ากากหลุดลุ่ยลงมาอยู่ที่คอ กระป๋อง บางอย่างยังค้างอยู่ในมือ ชายหนุ่มขัดขืนพอเป็นพิธี พยักหน้าให้ฉันสั้นๆก่อนจะถูก โยนออกจากประตู ทางที่เขาโดนลากออกมายังแหวกคลื่นคนให้อยู่กันคนละฝั่งฟาก เผยให้เห็นผนังด้านในสุดของร้าน ที่ที่ผู้มาเยือนทั้งหลายได้จรดถ้อยค�ำสรรเสริญถึง ความพิเศษสุดของบาร์ ตอนนี้บนผนังมีสัญลักษณ์สามเหลี่ยมที่เส้นภายนอกค่อยๆ ขดตัวเข้าสู่ศูนย์กลาง ดูเป็นสัญลักษณ์ที่เรียบง่าย ท�ำได้รวดเร็ว แต่ก็มีบางอย่างที่ เตะตาฉันจนอดไม่ได้ที่จะใช้เวลาสักครู่มองอย่างพินิจ บางอย่างที่ดูน่าเกรงขามและ ดึงดูดอย่างแปลกประหลาดในเวลาเดียวกัน ใต้สัญลักษณ์มีข้อความทิ้งไว้สั้นๆ แต่ คลื่นคนไหลกลับมาบดบังจนฉันไม่สามารถเห็นได้ ไว้ทีหลัง เวลานี้ประตูได้เปิดออก แล้ว และฉันจะท�ำอะไรอืน่ ได้ นอกจากเดินออกนอกประตูนนั้ ไป บานประตูเปิดอ้าหยิบ ยื่นโอกาสในการแสวงหาพร้อมความเป็นไปได้ที่ไม่สิ้นสุด เส้นทางที่ทอดตัวออกจาก ช่องประตูดทู งั้ อันตรายและยัว่ ยวน ให้ความรูส้ กึ ไม่แน่นอนและชัดเจนในเวลาเดียวกัน ฉันตัดสินใจวิ่งออกจากประตูหวังตามหาตัวชายหนุ่มคนนั้น แต่มีเพียงเจ้าของบาร์ เหล้าที่ยืนสบถด่าอยู่ใต้ชายคาหน้าร้านของเขา 64


ต�ำรวจหนุม่ พักสายตาจากการอ่าน วางสมุดบันทึกของจูนลง “ชายหนุม่ จากบาร์” เขาเตือนตัวเองไว้ในใจ ผูต้ อ้ งสงสัยหมายเลขหนึง่ ดูเหมือนว่าสมุดบันทึกเล่มนีจ้ ะช่วย ให้ เ ขาไขคดี เ ร็ ว ขึ้ น กว่ า ที่ คิ ด เอาไว้ อากาศรอบศาลายั ง ร้ อ นเหนี ย วเหนอะหนะ ไม่เปลีย่ น แม้จะมีลมทะเลโชยมาให้คลายร้อนเป็นครัง้ คราว แต่ดเู หมือนว่าหลังคาของ ศาลานั้นไม่ท�ำหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายแม้แต่น้อย อาจจะเป็นเพราะอากาศร้อน รอบตัวท�ำให้นายต�ำรวจถอดเข็มขัดออก เขาปลดกระดุมทุกเม็ดของเครื่องแบบที่ ครอบคลุมส่วนบนของร่างกาย ดึงผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋ากางเกงออกมาซับเหงื่อ สะบัดตัวสองสามครั้ง แล้วหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาไว้ในมือ สายตาไล่กวดตัวอักษรบน หน้ากระดาษของจูนต่อไป หลังจากนั้นฉันพยายามใช้ชีวิตอย่างปกติต่อไปในห้องเช่าของอาคารห้องชุด เก่าๆที่ฉันยึดถือเอาเป็นที่พัก ทั้งๆที่รู้อยู่ลึกๆว่าเป็นการเสแสร้งที่ไร้ผล ที่ฉันเลือก อยูท่ นี่ นั่ เพราะราคาค่าห้องทีถ่ กู จนน่าตกใจ อีกสาเหตุหนึง่ ก็คอื บนดาดฟ้ามีสระว่ายน�ำ้ -สถานที่โปรดส่วนตัวของฉัน แม้มันจะดูมอซอมากก็ตาม แดดเปรีย้ งวันนัน้ เป็นเหตุให้ไม่มใี ครอยากถูกแผดเผาหากไม่จำ� เป็น บนดาดฟ้า ว่างเปล่า แล้วฉันก็กลายเป็นเจ้าของอาณาจักรสระน�้ำแห่งนี้ชั่วคราว ฉันแช่ตัวในน�้ำ อย่างอ้อยอิ่ง พยายามนึกถึงใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้น แปลกที่ท้ายที่สุดของการ คะนึง ใบหน้าของชายหนุ่มคนนั้นกลับกลายเป็นใบหน้าของหญิงสาวที่ฉันไม่เคย เห็นมาก่อน ใบหน้านัน้ ดูนา่ เกรงขามและดึงดูดอย่างแปลกประหลาดในเวลาเดียวกัน แรงดึงดูดนัน้ พาลให้คดิ ไปว่าฉันคุน้ ชินกับหญิงสาวแปลกหน้า เพียงไม่เคยตระหนักถึง การมีอยูข่ องเธอมาก่อน ฉันไล่ความฟุง้ ซ่านออกจากหัว พาความคิดกลับมาทีส่ ระน�ำ้ ดืม่ ด�ำ่ กับอิสระและความเป็นส่วนตัวทีม่ าพร้อมความปลอดภัย-จุดทีล่ กึ ทีส่ ดุ ก็แค่หนึง่ จุดห้าเมตร ฉันคิดเช่นนัน้ ลมเบาๆไล้ให้เกิดระลอกน�ำ้ ทีอ่ อ่ นแรง ฉันด�ำดิง่ ลงสูเ่ บือ้ งล่าง เมื่อมองผ่านใต้น�้ำขึ้นมาสู่ผิว โลกด้านบนช่างดูบิดเบี้ยวอย่างแปลกประหลาด มีเสียงกระโดดตูม! ตามมาด้วยคลื่นใต้น�้ำสั่นกระทบตัว ใครบางคนก�ำลังรุกล�้ำ อาณาจักรส่วนตัวโดยไม่ขออนุญาต ฉันโผล่ขนึ้ เหนือน�ำ้ พร้อมๆกับผูบ้ กุ รุก แทบหยุด หายใจ เมือ่ เห็นว่าผูบ้ กุ รุกคือชายหนุม่ คนนัน้ เขาส่งยิม้ ให้ฉนั เป็นแค่ยมิ้ มุมปากทีเ่ กิด ขึ้นเพียงแวบเดียวจนฉันไม่สามารถแน่ใจว่าเขายิ้มให้ฉันจริงๆ ร่องรอยฟกช�้ำจาก วันก่อนยังปรากฏให้เห็นบนใบหน้าของเขา ฉันส่งรอยยิ้มชนิดเดียวกันกลับไปให้เขา 65


ที่สระน�้ำนั้น เราแลกเปลี่ยนค�ำพูดโดยไม่ใช้เสียง หัวเราะให้กับความส�ำเร็จของการ ค้นพบกันและกัน ฉันไม่แน่ใจว่าเขาค้นพบฉัน หรือฉันเองเป็นฝ่ายร้องเรียกให้เขา มาหา แต่รสู้ กึ เหมือนว่าเราเป็นฝาแฝดของกันและกัน เพียงแต่วา่ ฉันนัง่ อยูท่ ขี่ อบสระฝัง่ นี้ ส่วนเขานั่งมองฉันจากขอบสระอีกด้านหนึ่ง ขอบสระอีกด้านที่มีทุกอย่างเหมือนกับ ขอบสระด้านที่ฉันลอยตัวอยู่ แผ่นกระเบื้อง แท่นกระโดด เหมือนราวกับว่าเป็นเงา สะท้อนของกันและกัน นั่นคือตอนที่ฉันได้รู้จักกับ ดิ่ง ส�ำหรับฉัน เขาคือกุญแจของความเป็นไปได้ทกุ อย่าง ตัง้ แต่นนั้ ฉันก็ใช้เวลาส่วน ใหญ่ในชีวิตอย่างสิ้นเปลืองไปกับเขา ดิ่งชอบที่จะนั่งฟังเรื่องเล่าและความคิดฟุ้งซ่าน ของฉัน และฉันก็ถกู ดึงดูดด้วยการเล่นพิเรนทร์ๆของเขา ใช่แล้ว การเล่นพิเรนทร์เป็น ศิลปะของดิ่ง ฉันจะอยู่ที่นั่นด้วยเสมอ ชื่นชมผลงานจากด้านหลังในเวลาที่เขาออก แสดง นอกจากจะฝากสัญลักษณ์และข้อความไว้บนพืน้ ผิวต่างๆของเมืองอย่างทีฉ่ นั ได้เห็นในครั้งแรกที่เจอเขา ดิ่งมักร่วมสังเกตการณ์ตามงานเลี้ยงฉลองต่างๆ ไม่ว่าจะ งานเล็กหรือใหญ่ โอกาสในการฉลองจะเป็นเรือ่ งอะไรก็ตาม ตัง้ แต่งานฉลองยอดขาย รายปีทะลวงเป้าชาวบ้านของบริษทั ยักษ์ใหญ่ยกั ษ์เล็ก งานฉลองครบรอบสัปดาห์ทสี่ ี่ ของเดือน (รายได้ของงานเพือ่ การกุศล) ไปจนถึงงานเลีย้ งของสมาคมนักธุรกิจค้าไวน์ เนื่องในโอกาสกิ่งองุ่นกิ่งแรกแตกใบตามฤดูกาล ดิ่งจะอยู่ในงานด้วยเสมอ ไม่เสิร์ฟ อาหาร ก็ท�ำเครื่องเสียง ไม่จัดเวที ก็เป็นตัวแสดงเสียเอง ดิ่งไม่ได้ไปตามงานประชุม เหล่านี้เพื่อหวังค่าเหนื่อยที่ไม่คุ้มแรง แต่เขาไปเพื่อความบันเทิงชนิดอื่น เขาไปเพื่อ ศิลปะของเขา ในทุกงานเหล่านี้จะมีเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น เกิดขึ้นเพียงแค่ชั่ว แวบเดียวเท่านั้น ทุกคนรู้สึกได้ถึงความกระอักกระอ่วน แต่กลับไม่มีใครพูดขึ้นว่ามี บางอย่างไม่เข้าทีเ่ ข้าทางเกิดขึน้ แชมเปญสีเข้มกว่าปกติทมี่ รี สชาติประหลาด โพเดียม ฐานไม่แข็งแรงจนล้มลงมาในบางครั้ง หรือภาพโป๊ที่ปรากฏในสุดยอดงานเลี้ยงฉลอง เพียงเสี้ยววินาที ทุกคนเชื่อว่าเป็นความบังเอิญหรือเป็นเหตุผิดพลาดเล็กๆน้อยๆ ของการจัดงาน ฉันยืนยันได้ว่าไม่เป็นความจริง ทุกอย่างล้วนเป็นความตั้งใจที่ ประดิดประดอยอย่างแยบยลให้ดเู หมือนเป็นความบังเอิญ และทุกอย่างเกิดจากฝีมอื ดิง่ ทัง้ นัน้ แม้ดงิ่ จะไม่เคยอธิบายว่าเขาสร้างศิลปะของเขาเพือ่ จุดประสงค์ใด แต่ฉนั เสพติด งานศิลป์ของดิ่ง ถล�ำลึกเข้าไปในโลกของเขาจนไม่อาจถอนตัวได้ การอ่านของนายต�ำรวจสะดุดลงอีกครั้งหนึ่ง ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะอากาศร้อน 66


เหนอะหนะรอบตัวหรือเรื่องราวจากสมุดบันทึก แต่เขารู้สึกอึดอัด การหายใจยาก ล�ำบากเหมือนอยูใ่ ต้นำ�้ เหมือนถูกดึงลึกลงไปสูอ่ ะไรบางอย่างทีล่ ำ� พังตัวเขาไร้สนิ้ อ�ำนาจ จะขัดขืนได้ ทางเลือกเดียวที่เปิดโอกาสให้กับเขาคือการยอมตัวให้กับแรงดึงดูดนั้น เขาลุกขึ้นจากที่นั่ง เหวี่ยงชุดเครื่องแบบส่วนบนลงไปกองกับพื้นศาลา รู้สึกถึงแรง บีบรัดเกินพอดีของถุงมือยาง เขาสะบัดมันออกจากสองมือ เช็ดมือชุ่มเหงื่อกับขา กางเกง แล้วใช้มอื เปล่าเปลือยคูน่ นั้ พลิกหน้าต่อไปของสมุดบันทึกของจูน เริม่ ไม่แน่ใจ ว่าเรื่องราวเหล่านี้จะพาเขาไปยังที่แห่งใด แต่อย่างน้อยๆเขาก็มั่นใจได้ว่านี่ไม่มีสิ่งใด เกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัวแล้วอย่างแน่นอน ฉันถล�ำลึกเข้าไปในโลกของเขาจนไม่อาจถอนตัวได้ ส่วนเขาก็บุกรุกเข้ามาใน โลกของฉันโดยความยินยอมจากตัวฉันเอง ยามตื่นใบหน้าของดิ่งแจ่มชัดจนท�ำให้ ฉันลืมหญิงแปลกหน้าไปชั่วขณะ ทุกคืนที่ฉันฝัน จะมีดิ่งเป็นตัวละครในนั้นอยู่เสมอ แต่มสี งิ่ ประหลาดเกิดขึน้ กับดิง่ ในฝันของฉัน ขณะหนึง่ ตัวละครนัน้ เป็นดิง่ ทีฉ่ นั เคยคุน้ แต่แวบถัดมาเขากลายเปลีย่ นไปเป็นหญิงสาวแปลกหน้า ยิง่ ฉันฝันบ่อยครัง้ ขึน้ เท่าใด ดูเหมือนว่าภาพของหญิงสาวแปลกหน้าจะปรากฏตัวบ่อยขึ้นและนานขึ้น บ่อยขึ้น และนานขึ้น บ่อยขึ้นและนานขึ้น แล้วบนสนทนาระหว่างเราก็เกิดขึ้นในฝัน หากแต่ เนื้อหาของเสียงที่ประสมจากตัวอักษรได้ตกหล่นระหว่างทางที่ฉันใช้เดินทางออก จากโลกนิทรา บ่ายวันหนึ่งขณะที่เราแช่ตัวอ้อยอิ่งอยู่ในสระ ฉันเล่าทุกรายละเอียดของความ ฝันให้ดิ่งได้ฟัง เล่าถึงการบุกรุกของเขา รวมถึงเรื่องราวของหญิงแปลกหน้าคนนั้นที่ คอยรบกวนความฝันของฉัน ดิง่ จ้องฉันอย่างต้องการชัง่ ใจอะไรบางอย่าง แล้วเปลีย่ น เป็นส่ายหัวช้าๆ เขาบอกว่ามีบางอย่างถึงเวลาที่ฉันต้องพร้อมเผชิญ มีบางคนที่ถึง เวลาจะต้องเจอ เย็นวันนัน้ เราก็ตตี วั๋ ขึน้ รถโดยสารเพือ่ มุง่ หน้าไปยังชายฝัง่ ไปยังเกาะ แห่งหนึ่ง ไปยังบ้านของเขา รถโดยสารวิ่งบนถนนเส้นหลักผ่านฉากของเมือง ทุ่งนา นานๆทีก็จะมีฉากเมืองเล็กๆสลับกลับมาให้เห็น สายตาฉันสะดุดกับขอบเกาะกลาง ถนนทีว่ งิ่ ไล่ลอ้ กับรถโดยสารเกือบตลอดเส้นทาง ขอบของเกาะกลางถนนนีก้ อ่ ขึน้ ด้วย ปูนอย่างเรียบง่าย แล้วทาทับด้วยสีด�ำสลับขาวเพื่อช่วยให้เห็นเส้นทางได้ง่ายขึ้น แต่ เมื่อรถโดยสารเร่งความเร็วถึงระดับหนึ่ง ฉันสังเกตได้ว่าเส้นขอบถนนสีด�ำขาวกลับ หายไป กลายเป็นปูนสีเทาที่เลื้อยไปไม่สิ้นสุด 67


วันรุ่งขึ้นเท้าสองคู่ของเราก็ฝังตัวอยู่ใต้แผ่นทราย ฟองคลื่นเคลื่อนตัวมา คลอเคลียกับผิวกายส่วนล่างสุดเป็นระลอกๆ จุดนี้เองเป็นที่ที่ผืนดินกับผืนน�้ำกลืน กินกร่อนกัดกันและกัน ไม่มีเส้นใดแบ่งส่วนของโลกทั้งสองออกจากกันอย่างแน่ชัด มีเพียงฟองคลื่นและก้อนกรวดที่เคลื่อนตัวไปมาหากันและกันตลอดเวลา เรานั่งเรือ ต่อไปยังเกาะเล็กที่เป็นบ้านของดิ่ง แสงแดดเคลือบผิวน�้ำสะท้อนสู่สายตาไม่สิ้นสุด ที่เส้นขอบฟ้าคล้ายว่ามีเส้นฝนขีดตกแต่งอยู่ไกลๆ ขีดฝนเหล่านั้นรบกวนจิตใจของ ฉัน พวกมันชวนให้เชือ่ ว่าพายุบางอย่างก�ำลังก่อตัวอยูใ่ นมุมใดมุมหนึง่ เหนือน�ำ้ ทะเล ที่ท่าเรือมีจุดเล็กๆที่ปลิวไหวอยู่เพียงจุดเดียว เมื่อเรือใกล้เทียบท่าจุดเล็กๆที่ ปลิวไหวก็ขยายใหญ่ขึ้นเป็นภาพของหญิงสาว หญิงสาวแปลกหน้าคนนั้น! ฉันเดาว่า เธอน่าจะมีอายุมากกว่าดิง่ กับฉัน ทัง้ ๆทีเ่ ธอดูเรียบๆไม่แยแสกับอะไรซักอย่างในโลก ใบนี้ แต่ความน่าเกรงขามบางอย่างบวกกับแรงดึงดูดแปลกประหลาดได้ตรึงสายตา ของฉันไว้กับภาพเบื้องหน้าภาพนี้อย่างแน่นหนา ดิ่งโบกมือให้กับหญิงคนนั้นพร้อม หันมาบอกฉันว่า นี่คือ อิ่ม นีค่ อื อิม่ และอิม่ อาจจะเป็นบานประตูถดั ไปทีก่ ญ ุ แจของความเป็นไปได้ทกุ อย่าง ได้นำ� ทางฉันมาถึงทีน่ ี่ อิม่ พาเราเดินแยกจากถนนเส้นหลักไปตามทางสายเล็กลัดเลีย้ ว สู่บ้านของเธอ บ้านหลังนี้เช่นเดียวกันเคยเป็นที่อาศัยของดิ่ง ฉันเดาว่าหากมองจาก มุมไกล เราคงดูเหมือนสามจุดเล็กๆที่พร้อมจะปลิวไหวไปในอากาศ ระเบียงบ้านหัน ไปทางทิศของทะเล ถูกคั่นไว้ด้วยความกว้างของหาดทรายไม่กี่ก้าว เราลอยตัวอย่างเกียจคร้านในระดับน�ำ้ ทะเล สัมผัสและรสชาติของทะเลต่างจาก สระว่ายน�ำ้ อย่างเทียบกันไม่ได้ ดิง่ ส่งยิม้ มุมปากแบบเดิมให้ฉนั เหมือนเขาอ่านความคิด ของฉันได้ เราย้ายมาทอดตัวบนหาดทราย อิม่ เล่าให้ฉนั ฟังว่าเธอกับดิง่ คุน้ เคยกันมา ตั้งแต่วัยเด็ก จากนั้นเนื้อหาของบทสนทนาในความฝันระหว่างอิ่มกับฉันที่หล่นหาย ถาโถมกลับเข้าสูฉ่ นั โดยไม่ปริปาก เราแลกเปลีย่ นเรือ่ งราวของกันและกันอย่างหมดสิน้ สิ่งปิดบัง หลังจากนั้นก็แทบจะเป็นกิจวัตรประจ�ำวันอันเกียจคร้านที่เราจะต้องท�ำ ตื่น ขึ้นมาในตอนเช้า แช่ตัวในน�้ำตอนสาย สลับกันแผ่ร่างบนผิวทรายเป็นระยะๆ บท สนทนาของอิ่มเคลื่อนฉันไปสู่ขอบเขตใหม่ คู่ของความรู้สึกขัดแย้งเกิดขึ้นในตัวฉัน ผสมผสานกันลงตัวอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งหนาวและระอุ สงบและอิสระ เศร้าและอบอุ่น 68


ในเวลาเดียวกัน ก�ำแพงที่คอยแบ่งศัตรูคู่ตรงข้ามอ่อนปวกเปียก ปล่อยให้สิ่งต่างๆ ถาโถมโจมตีกันตราบเท่าที่ต้องการ ไม่เหลือความสว่างหรือความมืด ความดีหรือ ความเลว แก่นสารหรือความไร้สาระ ฉันถูกเติมเต็มอย่างทีไ่ ม่เคยเป็นมาก่อน จนลืม ไปว่ามีบางอย่างถึงเวลาที่ฉันต้องพร้อมเผชิญ ฟ้าเริ่มทาทับด้วยเฉดสีเย็น ฉันนั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ร่างภาพคนทั้งสองก�ำลังพูด คุยเล่นหัวกันอยูต่ รงริมระเบียง เสียงหัวเราะไร้ความเสแสร้งสะท้อนทัว่ บ้านจนฉันอด ไม่ได้ที่จะอมยิ้มไปด้วย อิ่มไล่นิ้วไปตามเส้นผมของดิ่งและเขาก็ยินยอมให้นิ้วทั้งห้า เคลื่อนไหวผ่านพุ่มผมของเขาอย่างอิสระ ศิโรราบให้กับทุกอิริยาบถที่อิ่มจะน�ำพาไป ดิง่ หันมายิม้ ให้ฉนั ครัง้ นีไ้ ม่ใช่ยมิ้ มุมปากเหมือนเคย แต่เป็นรอยยิม้ ทีต่ รงไปตรงมากว่า รอยยิ้มใดทั้งหมด อิ่มยื่นมือมาข้างหน้า อาจจะด้วยความน่าเกรงขามหรือแรงดึงดูด ประหลาดจากตัวเธอ ฉันก้าวเข้าไปหาเธอด้วยความเต็มใจ สายตาของอิ่มจ้องมอง ฉันเนิน่ นาน สายตานัน้ ทะลวงเข้าไปถึงภายใน ฉันรูส้ กึ เหมือนถูกตรวจสอบ อุณหภูมิ ร่างกายค่อยๆไต่เพิ่มสูง ความเขินอายกลายเป็นความกล้าหาญ ฉันไล่นิ้วแผ่วเบาไป ตามส่วนโค้งเว้าของใบหน้าอิ่ม รูปหน้าที่เรียบง่ายแต่สมมาตรอย่างประหลาด ระยะ ห่างระหว่างเรียวนิ้วและผิวหน้าท�ำให้เกิดไออุ่นปกคลุมบรรยากาศ ไอความร้อนจาก อีกแหล่งหนึ่งปะทะแผ่วเบาที่ใบหู ต้นคอ แผ่นหลัง และร่างกายส่วนล่างของฉัน ร่าง ของดิ่งกับฉันประกบกันอย่างแนบสนิท ไม่ทันตั้งตัวริมฝีปากของอิ่มก็สัมผัสกับส่วน เดียวกันบนใบหน้าฉัน แล้วกลีบปากคูเ่ ดียวกันก็คอ่ ยๆไล้สมั ผัสทุกตารางนิว้ บนเรือน ร่างฉันอย่างช้าๆ บางส่วนของฉันสั่นไหวหมดเรี่ยวแรงและเต็มไปด้วยพลังในเวลา เดียวกัน แล้วร่างกายของฉันก็เริ่มท�ำงาน เหมือนฉันได้ตื่นขึ้นจากการนอนหลับ โลก รอบตัวทุกอย่างช่างเป็นจริง หัวใจดิ้นคลั่กอย่างคุ้มคลั่งใต้เนื้อหน้าอก ขนบนผิวกาย ลุกชันอย่างไม่ทันตั้งตัว ฉันสูดหายใจลึก รู้สึกถึงอณูเล็กที่สุดของอากาศที่แตะสัมผัส ส่วนที่บางที่สุดของปอด ก๊าซต่างชนิดแลกเปลี่ยนกันที่นั่น ตอนนั้นเองที่ฉันรู้สึกตัว เต็มที่ว่า ฉันมีชีวิต ไกลออกไปจากระเบียง ขีดฝนที่เส้นขอบฟ้าขยับเข้ามาใกล้เกือบถึงชายฝั่ง ทีละน้อย ทีละน้อย ขีดฝนเหล่านัน้ ค่อยๆระบายผืนดินด้วยความชืน้ จนชุม่ แล้วไอร้อน จากผืนทรายก็กระจายตัวไปในอากาศ ฉันตืน่ ขึน้ มาในตอนเช้า มองไม่เห็นดิง่ และอิม่ ฉันค้นหาคนทัง่ คูจ่ นทัว่ ตอนนัน้ เอง ที่ฉันเริ่มได้ยินเสียงกระพือปีกของยุง แล้วฉันก็รู้ว่าบางอย่างที่ฉันต้องพร้อมเผชิญ 69


คืออะไร ว่างเปล่า ว่างเปล่า นายต�ำรวจพลิกหน้าถัดไปของสมุดบันทึก แต่สิ่งที่รอให้เขาค้นพบมี เพียงความว่างเปล่า ความรูส้ กึ อึดอัดหายไป อุณหภูมใิ นตัวเขาก�ำลังไต่สงู ขึน้ เขาวาง สมุดลงบนโต๊ะ มือยังสั่นเล็กน้อยจากเรื่องราวที่ได้สัมผัส หัวใจดิ้นคลั่กอย่างคลุ้มคลั่ง ใต้เนือ้ หน้าอก เขาตัดสินใจก้าวออกจากชายคาของศาลาทีต่ อนนีด้ เู ล็กแคบลงไปมาก เสื้อสีขาวขอบสีเลือดหมูพร้อมกางเกงสีกากีถูกถอดทิ้งไว้ระหว่างทาง เหลือเพียงภาพชายหนุ่มคนหนึ่งก�ำลังมุ่งหน้าไปทางทิศของทะเล

70



ดอกหอมนาน

นิภาภรณ์ แสงสว่าง 72


1. “คุณรูส้ กึ อย่างไรเวลามีเพศสัมพันธ์กบั คนแปลกหน้า” ฉันถามเธอไปอย่างนั้น...

เธอไม่ตอบ เพียงแค่ส่ายหน้า สองมือเกาะกุมกันไว้บนตัก พร้อมยกขาซ้ายขึ้น มาไขว้บนขาขวา เบือนหน้าหนี ตาจับจ้องไปที่ประตู หัวใจของฉันเต้นเร็วขึ้นเรื่อยๆ หากวันนี้ไม่มีค�ำพูดใดเล็ดลอดออกจากปากของเธอ นั่นหมายความว่า หน้ากระดาษ กว่า 10 หน้านั้นจะว่างเปล่า “คุณรู้สึกอย่างไรที่ต้องท�ำงานนี้” ฉันถามเธอต่อ โดยที่ไม่ได้จ้องหน้าเธอ “ยังไงนะ” เธอถามย�ำ้ คิว้ ขมวด พร้อมเอียงคอเข้ามาใกล้ กลิน่ แป้งหอมฉุน ปะทะ จมูก เป็นกลิ่นแป้งที่ฉันไม่คุ้นเคยมาก่อน เปลือกตาสีฟ้าสลับชมพูเข้ม กะพริบถี่ อาจ เป็นเพราะฉันพูดเบา หรือเธอไม่เข้าใจค�ำถามกันแน่ ฉันถามซ�้ำด้วยน�้ำเสียงที่ดังกว่าเดิม “คุณ..รูส้ กึ ..ยังไง..ที.่ .ต้อง..ท�ำงาน..แบบนี”้ ฉันถามช้าๆชัดๆทีละประโยคพร้อม โน้มตัวลงต�่ำ ตาจ้องตา “หืม..(ลากเสียงยาว)ไม่..ไม่รู้สึกอะไร ก็..” เธอหยุดพูดทั้งยังไม่ยอมสบสายตา ประสาน ก่อนจรดปากกาลงบนกระดาษฉันลองปล่อยให้เวลาแทรกตัวผ่านบรรยากาศ แห่งความอึดอัดระหว่างสองเรา ไม่สิ ไม่ใช่แค่เราสองคน ถัดห่างออกไปจากตรงนี้ มีการ จับคู่ ถาม-ตอบค�ำถามเช่นนี้ อยู่ในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ กลิ่นแอร์ใหม่เอี่ยม ดูไม่เข้ากับ 73


โต๊ะ เก้าอี้ สมัยคุณพ่อคุณแม่ยังสาว เสียงพูดคุยดังอยู่ใกล้ๆ ฟังไม่ได้ศัพท์ แต่ก็พอ ฟังรู้เรื่อง อย่างในบางช่วงบางตอน หรือบางประโยคก็สามารถดังดึงดูดให้คนทั้งห้อง ตั้งใจเงี่ยหูฟัง หรือถึงกับต้องหันไปมองปฏิกิริยาของผู้ถูกถาม ที่นี่บรรจุคนกว่า 5 คู่ ทุกคนยกเว้นฉันดูเป็นมืออาชีพทั้งผู้ถามและผู้ตอบ “ก็..อะไรคะ” ฉันถามต่ออย่างไม่ลดละ “เคยมีแฟนแล้ว ไม่เป็นไร” เธอตอบสั้นๆแล้วเงียบไป อากาศถูกบีบจนกลาย เป็นก้อน อัดแน่นไปทั่วทั้งบริเวณ มันกลิ้งไปกลิ้งมาปะทะเราทุกคนในที่นี้ บางครั้ง มันก็กลิง้ มาทับร่างทัง้ ร่างของฉัน จนหายใจแทบไม่ออก คอเริม่ แห้งผาก ขยับข้อมือดู นาฬิกา นีเ่ วลาก็ลว่ งเลยเกือบจะเทีย่ งคืน เราทัง้ คูย่ งั ขยับเขยือ้ นไปไหนไม่ได้ นอกจาก ต้องท�ำหน้าทีถ่ ามและตอบกันไปมา จนกว่าจะหมดข้อค�ำถามในทุกหน้ากระดาษ ฉัน ยกน�ำ้ ขึน้ ดืม่ พร้อมพยักหน้าให้หญิงสาวทีน่ งั่ อยูต่ รงหน้า เชือ้ เชิญให้ดมื่ น�ำ้ เพือ่ หยุดคัน่ วินาทีแห่งความแปลกหน้า ปล่อยให้หว้ งเวลาของการยกขวดน�ำ้ ขึน้ ดืม่ เป็นเพียงเสีย้ ว เวลาที่ท�ำให้เราทั้งคู่รู้สึกเป็นอิสระต่อกันอย่างน้อยก็ในความรู้สึกของฉัน “คุณชื่ออะไรและอายุเท่าไหร่คะ” ฉันถามเสียงดัง “หอมโนน อายุสามสิบต้นๆ” เธอยังคงตอบเสียงเบา ด้วยสายตาเลื่อนลอย เหมือนก�ำลังครึ่งหลับครึ่งตื่น ชื่อที่เธอบอกครั้งนี้ไม่เหมือนกับชื่อที่ฉันถาม ตอนเรา เจอกันครั้งแรกเมื่อ 6 ชั่วโมงที่แล้ว “ชื่อแปลว่าอะไร แปลกจัง” ฉันถามถึงชื่อ ด้วยเชื่อว่าการถามที่มาหรือค�ำแปล ของชือ่ จะช่วยสร้างบรรยากาศแห่งความสัมพันธ์ทรี่ าบรืน่ สวยงามให้เกิดขึน้ ระหว่าง คนที่เพิ่งรู้จักกันได้ และชื่อจะน�ำพาเราไปสู่ตัวตนของคนนั้น ต�ำราเรียนที่ฉันทิ้งร้าง อัญเชิญขึ้นหิ้งหลังเรียนจบมาหมาดๆ บอกไว้อย่างนั้น ไม่มีเสียงตอบโต้ หอมโนน ไม่ได้ตอบอะไรกลับมาสักค�ำ เช่นเดิม หรือว่า..เธอจะไม่ได้ยินที่ฉันพูดอีกแล้ว

2.

“หอมโนน แปลว่าอะยัง” ใครคนหนึ่งตะโกนมาแต่ไกลด้วยน�้ำเสียงสูงขึ้นจมูก แต่เป็นส�ำเนียงคุ้นหู ฟังง่าย “แปลว่ากลิ่นหอมนวลจ้ะพ่อใหญ่” นางรีบพูดสวนกลับด้วยภาษากลางที่คุ้น เคยกว่า ใจกลัวๆกล้าๆ โชคดีทตี่ อนเด็กๆ แม้จะยากจนมาก แต่ครูกด็ นั้ ด้นมาสอนถึง หมู่บ้าน เธอเคยฝันว่าอยากเป็นครู เพราะครูคนไทยกลุ่มนั้นท�ำให้ได้รู้ว่าเธอเป็นคน 74


ส�ำคัญ แม้จะเกิดอยูใ่ นพืน้ ทีท่ เี่ ต็มไปด้วยความยากล�ำบาก ระเบิด และลูกปืน แต่วนั นัน้ ก็เป็นวันแรกที่ได้รู้จักกับชื่อของตนเองที่เป็นภาษาไทย จนถึงวันนี้ก็จ�ำไม่เคยลืม ชายร่างผอมเกร็ง ผมบาง ผิวขาวเหลืองนุ่งห่มผ้าพื้นเมือง ใบหน้าดูใจดี อายุ ไม่น่าจะเกินห้าสิบ เจ้าของต้นเสียงเดินเข้ามาใกล้ ส�ำหรับที่นี่เธอต้องเปลี่ยนชื่อ เขา ว่าชื่อเชยๆอย่างนี้ ไม่เหมาะกับอาชีพใหม่ที่เพิ่งตัดสินใจท�ำ “จะชื่อเมย์ หรือชื่อมุก ชื่ออิหยัง ก่อ กึ๊ดเอาเอ๊ง อาชีพจะอี๊จะต้องใช้ชื่อตี๊มัน ทันสมัยหน่อย” ชายคนเดิมพูดส�ำทับ “ชื่อมุกก็ได้” นางตอบสั้นๆ ในมือก�ำเศษกระดาษไว้แน่น ก่อนหน้านี้ หอมโนน ไม่เคยคิดว่าจะต้องใช้มัน ตัดสินใจจะฉีกทิ้งอยู่หลายครั้ง แต่แปลกที่มันไม่เคยหาย ออกไปจากกระเป๋าเงินใบนี้เลย ไม่ว่าจะกี่ปีมันก็ถูกพับเรียบเงียบกริบอยู่ที่เดิม รอยปากกาลายมือโย้ไปเย้มาจนเกือบไม่เป็นภาษาของพี่เพียงเจ ที่มีชื่อไทยว่า เจน ค�ำพูดสุดท้ายของเธอ และการเปลี่ยนใจครั้งล่าสุดของหอมโนน กลับกลายเป็นเรื่อง ราวเดียวกันจนน่าประหลาดใจ บ้านปูนสองชั้น โอ่โถงใหญ่โต กระเบื้องสีน�้ำเงินขัดมันแวววับ สะท้อนเห็นเป็น รูปใบหน้าเกือบชัดเจนคล้ายกระจก หากมองจ้องลงไปที่พื้น โต๊ะ เก้าอี้รับแขก บุนวม นุ่มนิ่ม นั่งสบาย ผ้าม่านลวดลายดอกไม้สีหวาน ชวนฝัน โทรทัศน์เครื่องยักษ์ แสงไฟ สีเหลืองนวลตา บ้านที่น่าอยู่แบบที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เหยียบ บ้านหลังใหญ่ๆอย่างนี้มันเหมือนฝันที่เป็นจริงของหญิงสาววัยยี่สิบต้นๆ พี่เพียงเจ บอกว่า ท�ำงานที่นี่สบาย มีทั้งอาหารและที่พักให้ หากได้อาศัยอยู่ในบ้านนี้จริงๆ คง เป็นโชคดีที่สุดในชีวิตของเธอ ก่อนหลับตาคิดเพ้อเพียงล�ำพัง วิมานในอากาศฝันยัง วาดไม่ทันเสร็จ พ่อใหญ่ก็เรียกให้เดินตามไปยังที่พัก แสงแดดยามเย็นส่องแยงตา เมื่อหันกลับไปดูบ้านหลังใหญ่ก่อนตัดสินใจเดิน ตามพ่อใหญ่ เพือ่ ไปบ้านหลังใหม่ในชีวติ ใหม่ มันจะเหมือนกับบ้านสังกะสีอมฝุน่ ร้อน ระอุทงั้ กลางวันกลางคืน ในแคมป์คนงานก่อสร้างทีเ่ คยอดทนอยูม่ ากว่า 8 ปีไหม สอง มือกอดกระเป๋าเสื้อผ้าสีฟ้าซีดขาวไว้แน่น “พออยูไ่ ด้กอ่ ” พ่อใหญ่ถามเมือ่ ไขกุญแจและเปิดประตูสงั กะสีเผยให้เห็นภายใน ของห้องสี่เหลี่ยม มันเป็นห้องที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ แต่ยังเห็นรายละเอียดไม่ชัด เพราะยัง ไม่ได้เปิดไฟ มีเพียงล�ำแสงแดดสีส้มผ่านทะลุเป็นเส้นฟุ้งผสมฝุ่นละอองที่ลอยอยู่ใน 75


อากาศ ลอดรูก�ำแพงอิฐระหว่างรอยต่อก�ำแพงและหลังคา ห้องที่ต้องใช้เป็นทั้งที่พัก หลับนอน และที่ท�ำงานพ่อใหญ่บอกไว้เท่านี้ “อยู่ได้จ้ะ” หอมโนนตอบเสียงหนักแน่น ห้องที่ดูเป็นสัดส่วนแน่นหนา กันแดด กันฝนได้ขนาดนีถ้ อื ว่าดีทสี่ ดุ ตัง้ แต่อพยพหนีตายมาจากบ้านเกิด มันดีกว่าบ้านสังกะสี ผุพัง เดินทีสะท้อนสะเทือนถึงกันทุกห้อง หรือแม้แต่กระทั่งกระซิบยังได้ยินเป็นเรื่อง เป็นราว ในห้องเล็กๆบรรจุไปด้วยเตียงนอนขนาดใหญ่ ที่นอนหนานุ่ม ชั้นวางของ โต๊ะเครือ่ งแป้งกลางเก่ากลางใหม่ ทีม่ มุ ห้องถูกกัน้ ด้วยอิฐบล็อกทีย่ งั ไม่ได้ฉาบ สูงไม่เกิน เอวก่อไว้อย่างหยาบๆ มีถังน�้ำ ขันน�้ำ และฝักบัวติดผนัง ไม่มีโถส้วม ไม่มีหน้าต่าง หลังคาสังกะสี ขึงด้วยแผ่นพลาสติกอีกหนึ่งชั้น เดาเอาเองว่าคงเอาไว้กรองความ ร้อนจากหลังคา ผนังห้องทั้งสองข้างก่อไว้ไม่ถึงความสูงของหลังคา สามารถปีนไป ยังห้องข้างๆได้อย่างสบาย ข้างหนึง่ ถูกกัน้ ด้วยผ้าลายดอกไม้ อีกข้างถูกปล่อยว่างไว้ “เสร็จเรื่องบนเตียงก็ อาบน�้ำฮื้อลูกค้าเค้าก�ำเน้อ ล้างเนื้อล้างตัวของตั๊วต้วย” “ฮักษาความสะอาดห้องเองเน้อ ลูกค้าจะได้ฮักได้หลงตั๊ว” “ฮู้กฎของตี้นี่ดีแม่นก่อ กะอยู่กันแบบปี๊แบบน้อง ท�ำตั๊วสบายๆ เอ่อ แล้วจะเริ่ม ยะการคืนนี้เลยก่อ” พ่อใหญ่พูดเสียงดังฟังชัด เอ่ยถามก่อนจุดมวนยาสูบ “จ้ะ” หอมโนนวางกระเป๋าเสื้อผ้าลงบนเตียง พลางกวาดสายตาไปทัว่ ห้อง ไม่มี ความหวาดกลัว ไม่มีความกล้าหาญ เหลือแต่ความเฉยชาธรรมดา บางทีงานนี้อาจ ท�ำให้ลูกชายทั้งสามคนอยู่อย่างสบาย เมื่อนึกถึงลูกก็อดไม่ได้ที่จะคิดถึงใครบางคน ผู้ชายคนนั้น คนที่สัญญาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะดูแลเธอและลูกให้มีความสุข...บัดนี้ เขากลับตัดช่องน้อยแต่พอตัว หนีตายไปสบายอยู่โลกอื่นเพียงล�ำพัง “ดี อาบน�้ำแต่งตัวฮื้อสวย สองทุ่มป๊ะกัน” พ่อใหญ่ยิ้มกว้าง ควันยาสูบพวยพุ่ง ออกจากปากและจมูก แล้วร่างเล็กๆก็เดินหายไปในความมืด

3.

อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ เมื่อสองข้างทางเริ่มแน่นขนัดไปด้วยต้นไม้สูง ถนน เปลี่ยนจากลาดยางเป็นถนนดินแดง ผมขับมอเตอร์ไซค์ด้วยใจหวาดหวั่น มันเป็น เช่นนี้ทุกครั้งที่ต้องมาที่นี่ ผมถูกก�ำชับก�ำชาอย่างสม�่ำเสมอถึงกฎเหล็กทางวิชาชีพ หากอารมณ์กระเจิดกระเจิง แหกกฎเกณฑ์แล้วท�ำตามอารมณ์ดบิ ของผมเมือ่ ไหร่ นัน่ 76


หมายความว่า พรุง่ นีผ้ มจะว่างงานในทันที .. แต่ใครจะรูว้ า่ อาการของคนหนุม่ แบบนัน้ ไม่เกิดขึ้นง่ายๆในงานของผมแน่นอน สาวๆที่นี่ ดูน่าสงสารมากกว่าน่าพิศมัย ผิวขาวๆ ปากแดงๆ ท่าทีทางทางเอาอกเอาใจ ขันอาสาบริการบีบนวด ไม่ได้ท�ำให้ เลื อ ดอุ ่ น ๆในร่ า งกายของผมพลุ ่ ง พล่ า นอย่ า งที่ เ คยเป็ น มา วั น นี้ ก็ เ ช่ น เดี ย วกั น ผมจ�ำเป็นต้องหาข้อมูลเพิ่ม ผมสั่งเหล้าและกับแกล้มสองสามอย่างตามธรรมเนียม เลือกสาวๆมานั่ง คลอเคลีย กลิ่นแป้งหอมแรงจากเนื้อตัวกลบกลิ่นกายของสาวแรกรุ่น และสาวใหญ่ จนกลายเป็นกลิน่ เดียวกันเสียหมด หน้าตาถูกตกแต่งด้วยแป้งหนาเตอะ สีสนั จัดจ้าน จนแทบจินตนาการถึงใบหน้าเบื้องหลังเครื่องส�ำอางไม่ถูก ผมไม่ได้ใส่ใจพวกเธอ มากกว่าเป้าหมายที่ถูกใบสั่งก�ำกับไว้ในหัวสมอง .. วันนี้ผมยังไม่เห็นเธอ ที่นี่คือร้าน คาราโอเกะ มีตู้คาราโอเกะเก่าๆที่ไม่ได้ถูกใช้งานวางอยู่หนึ่งตู้ ไม่มีไมโครโฟน ไม่มี ล�ำโพง มันถูกตั้งจนฝุ่นเกาะหนาไว้อย่างนั้น ผมไม่เคยเห็นใครมาที่นี่แล้วใช้บริการ ร้องเพลงคาราโอเกะจริงๆจังๆสักคน โต๊ะถัดไป เป็นชายวัยกลางคนก�ำลังนั่งดื่ม เหล้ากึ่งเมากึ่งมีสติ ก่อนฉุดร่างหญิงสาวข้างกายหายไปในความมืด ส�ำหรับที่นี่ไม่มี พิธีรีตองอะไรให้ยุ่งยาก ภายในกระท่อมมุงจาก ขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 4 เมตร ยาว 6 เมตร กั้นผนังด้วยไม้ไผ่ซีก ตีเป็นตารางไขว้รูปสามเหลี่ยม มีโต๊ะไม้ วางเรียง กันเหมือนโรงอาหารในโรงเรียนรัฐบาล พื้นเป็นพื้นดินขรุขระ เคาน์เตอร์ไม้บริการ ขายเหล้าเบียร์ แสงไฟสลัว เสียงจิ้งหรีดดังระงมไปทั่ว มันเงียบเชียบเกินกว่าจะเป็น สถานรื่นเริงบันเทิงใจ “พี่ชื่ออะไรจ๊ะ” หญิงสาวข้างกายกระซิบกระซาบมาที่หู “เอ่อ ..ชัย ชื่อชัย น้องชื่ออะไรหล่ะ” ผมถามเธอกลับ กลิ่นหอมนวลจากแก้ม และผิวพรรณของเธอดีเสียจนผมจ้องมองอยู่นานสองนาน ต้นแขน ต้นขา ล�ำคอ ขาว เนียนจนท�ำให้ผมรู้สึกขนลุกซู่ เสียอย่างเดียวที่แต่งหน้าจัดไปหน่อย ผมชอบสาวๆที่ ไม่แต่งหน้าแต่งตาเพราะมันดูมีเสน่ห์มากกว่าส�ำหรับผม “หนูชื่อมุกจ้ะ” เธอรินเหล้าใส่แก้ว ผสมโซดาอย่างคล่องแคล่ว “คืนนี้..” ผมพยักหน้า เป็นอันรู้กันว่าคืนนี้ผมจะใช้เธอเป็นแหล่งข้อมูล “จ้ะ” เธอยิม้ บางๆให้ผม ก่อนหยิบตลับแป้งขึน้ ปะหน้าตาให้ดโู ดดเด่นอยูต่ ลอด เวลา 77


ผมไม่ได้สนใจเธอมากกว่าการเก็บข้อมูลรอบตัวให้ได้มากทีส่ ดุ ระหว่างทางเดิน ไปห้องท�ำงานของเธอซึง่ อยูไ่ ม่ไกลจากกระท่อมมุงจากมากนัก สิง่ ทีอ่ ยูต่ รงหน้าผมคือ ห้องแถวทีถ่ กู ก่อด้วยอิฐบล็อกเปลือยไม่ได้ฉาบ ไม่ได้ทาสี กัน้ เป็นห้องเล็กๆเรียงราย อยู่ตรงหน้าประมาณ 6-7 ห้อง ประตูสังกะสีถูกใส่กุญแจไว้ หลังคาเป็นสังกะสี สภาพ ห้องท�ำงานดูจากภายนอกคล้ายกับห้องเก็บของในโกดังไม่มผี ดิ ไม่แปลกใจใช่ไหมครับ ว่าท�ำไม ผมถึงไม่เหลืออารมณ์ใดๆ นอกจากอยากได้ขอ้ มูลทีต่ อ้ งการแล้วออกจากทีน่ ี่ ไปให้เร็วที่สุด ผมเกิดมาในครอบครัวของชนชัน้ กลาง พ่อแม่รบั ราชการ ตัวผมเองจบปริญญา ตรี จากสถาบันชือ่ ดัง ก่อนเรียนจบได้มโี อกาสมาฝึกงานทีน่ ี่ ผมจึงหลงใหลในรูปแบบ การท�ำงานที่ทั้งท้าทายและได้ช่วยเหลือผู้คน ... ผมไม่ชินกับสถานที่และบรรยากาศ แบบนี้เท่าไหร่นัก หากต้องร่วมรักกับคนแปลกหน้าสักคนที่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ผมเลือกที่จะควบคุมอารมณ์และท�ำสิ่งนี้กับคนที่ผมรักมากกว่า มุกค่อยๆหยิบลูกกุญแจ ไขประตูสงั กะสีทเี่ กือบผุพงั นัน้ เปิดออก เธอตรงไปทีเ่ ตียง สองมือปัดพัดวีผงฝุ่นให้หลุดออกจากหมอนและที่นอน ก่อนค่อยๆถอดเสื้อผ้าออก ผมรีบยกมือขึ้นปราม “ยังไม่ตอ้ งน้อง ..” ผมบอกเธอไปอย่างนัน้ เธอหยุดในทันที และหันหน้ามามอง หน้าผม ผมนั่งลงบนเตียงข้างเธอ “พี่เหงาอะ แค่อยากหาคนคุยด้วย” เป็นค�ำพูดที่ผมใช้เป็นประจ�ำในการท�ำงาน และไม่น่าเชื่อ สาวๆส่วนใหญ่ปักใจเชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริงเสมอ “มุกคุยกับพี่ได้ไหม” ผมอ้อนถามเธอ “ได้จ้ะ” เธอตอบสั้นๆ “พี่ท�ำงานขับรถ ขับรถมาทั้งวันเหนื่อยจนหมดแรง กลับบ้านไปก็ไม่มีใคร เมีย ก็ยังไม่มี เลยออกมาหาเพื่อนคุยเล่น มุกท�ำงานที่นี่มานานรึยัง” ผมเปิดเกมรุกง่ายๆ “นานแล้วจ้ะ” เธอตอบแต่ไม่สบตา พร้อมกับค่อยๆเคลื่อนย้ายร่างอันบอบบาง มาอยู่ข้างหลังผม สองมือบีบนวดลงที่ไหล่จนผมรู้สึกสบาย เธอช่างเอาอกเอาใจผม ได้ดีจริงๆ “ท�ำงานเหนื่อยไหม” ผมถามต่อ “ไม่เหนื่อยหรอกจ้ะ อยู่ที่นี่สบายดี” ส�ำเนียงเธอดูแปลก ไม่คุ้นหู หญิงสาวที่นี่ 78


ส่วนใหญ่ไม่ใช่คนไทย ข้อมูลเบื้องต้นที่ผมได้มาบอกไว้อย่างนั้น “ท�ำไมถึงเลือกมาท�ำงานที่นี่ล่ะ” ผมถามเธอไปอย่างนั้น “ก็...หนูไม่รเู้ หมือนกัน” เธอตอบเลีย่ งๆสองมือหยุดบีบนวด ผมนอนลงบนเตียง อยากให้เธอรู้สึกผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น “วันนี้แอนไม่อยู่เหรอไม่เห็นเลย ปกติมาที่นี่ทีไร พี่จะชอบคุยกับเค้า” “อยูจ่ ะ้ แต่มคี นเรียกก่อนหน้าทีพ่ จี่ ะมา” เธอตอบซือ่ เป้าหมายของผมยังอยูท่ นี่ ี่ “นัง่ เฉยๆก็ได้ไม่ตอ้ งท�ำอะไร คุยเป็นเพือ่ นพีก่ พ็ อ” ผมย�ำ้ กับเธออีกครัง้ เธอท�ำหน้า แปลกใจเล็กน้อย “ปกติ ไม่มีใครเคยท�ำอย่างพี่” เธอบอกผม “คนแบบพีก่ ม็ ไี ม่ตอ้ งแปลกใจไป” เธอพยักหน้าแบบงงๆ แต่กไ็ ม่ได้ถามอะไรเพิม่ ผมไม่รู้ว่าเธอจะจับได้ไหม ว่าผมมาสืบหาข้อมูลจากเธอ .. แต่โดยรวมเธอก็ดูซื่อๆ อายุอานามน่าจะประมาณ 29-30 เธอดูแก่กว่าผมมาก ถึงผมจะไม่ได้สมั ผัสมือของเธอ แต่แรงบีบนวดจากฝ่ามือนั้นก็เเหมือนผ่านงานหนักมาอย่างโชกโชน ก่อนกลับผมถามเธอว่า ชื่อมุก คือชื่อจริงๆของเธอหรือเปล่า เธอตอบว่าไม่ใช่ จริงๆเธอชื่อ หอมโนน มาจากภูเขาสูงนอกเขตประเทศนี้ ผมถามเธอต่อว่า “หอมโนนแปลว่าอะไร” ผมถามเพราะอยากรู้ความหมาย “แปลว่าหอมนวลจ้ะ” เธอตอบแบบอายๆ “หากแปลไทยเป็นไทย คงหมายความว่าหอมนานสินะ” กลิ่นหอมจากเนื้อตัว ร่างกายของเธอหอมนวล ติดตรึงใจดังชื่อ หลังหมดเวลาครึ่งชั่วโมง ผมบอกลาเธอ และขอให้เธอโชคดี แอบสงสัยในใจว่า ดอกหอมนานที่บ้านของเธอจะเป็นดอกไม้ที่มี ลักษณะแบบไหนกัน วันนี้หน้าที่ของผมเสร็จสิ้นแล้ว ต่อจากนี้เธอคงไม่ได้เห็นผมอีก

4.

“เธอ..” ชายหนุ่มสวมแว่นตาด�ำคนนั้น ชี้นิ้วมาที่หอมโนน เธอกระโดดขึ้นหลัง รถกระบะ สอดตัวลงใต้แผงไม้ นอนเหยียดยาวตัวตรง สองมือกอดกระเป๋าเสื​ื้อผ้าไว้ แน่น ข้างซ้ายคือร่างของป้าซอวา ข้างขวาคือร่างของพี่กอพี และยังมีอีกหลายร่างที่ 79


เบียดเสียดยัดเยียดกันอยูใ่ ต้แผงไม้นี้ ด้านบนเป็นกองกะหล�ำ่ ปลี สลับกับร่างคนนอน เหยียดตรงเป็นชั้นๆ กลิ่นเหม็นเขียว เหงื่อไคล และเสียงลมหายใจแผ่ว ดังกังวานอยู่ ในหัวสมอง ..หอมโนนหลับตานิง่ นีเ่ ป็นครัง้ ทีส่ ามทีเ่ ธอลักลอบเข้าเมือง..หลังจากถูก ส่งตัวกลับเมื่อสองเดือนก่อน ความยากไร้ อับจน ถีบชีวิตให้เธอต้องดิ้นรนทุกข์ทน ซ�้ำๆ ครั้งแรกเธอถูกซุกไว้ใต้ผ้าใบสีด�ำร้อนอบ กับเพื่อนๆอีกเกือบยี่สิบชีวิตหลังรถ กระบะ ได้ยินเพียงเสียงลมกระทบกับผ้าใบสะบัด และได้สัมผัสกับลมเย็นผ่านรูเล็กๆ ทีม่ เี พียงแสงแดดทีล่ อดผ่านมาได้ ครัง้ ทีส่ องเธอเดินเท้าผ่านป่ารกชัฏกว่า 3 คืน 4 วัน กินนอนและค้างคืนในป่าดงดิบ เกือบหมดแรงเดินต่อไปไม่ไหวกลางป่าลึก บางคนที่ หมดแรงไปต่อไม่ได้ หอมโนนท�ำได้เพียงเดินต่อไปข้างหน้าและไม่กล้าหันหลังกลับ ไปมองคนที่หยุดอยู่ข้างหลังคนนั้นอีกเลย และครั้งนี้แม้จะเสียค่านายหน้ามากกว่า ทุกครั้ง เมื่อเธอไม่มีทางเลือกอื่นใดอีก การทนอดอยู่ในพื้นที่แห้งแล้งอิสรภาพแห่งนี้ ไม่รองรับการเกิดมาของสิง่ มีชวี ติ ไม่วา่ จะเป็นสัตว์หรือคน ระยะทางไกลกว่า 100 กิโลเมตร เพียงแค่หลับตาตื่น หากเธอไม่ย่อท้อต่อวิบากกรรมตรงหน้า ชีวิตรูปแบบใหม่ จะเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง (และอีกครั้ง) ที่บ้านเกิดของเธอทหารคือศัตรูที่น่ากลัวยิ่งกว่าเสือหิวโซในป่า..ส�ำหรับที่ที่ เธอก�ำลังจะไป ต�ำรวจคือเพชฌฆาตผู้ฆ่าความฝันความหวังของผู้คนที่ไร้เงินและไร้ สัญชาติ “นางหอมโนน ชั้นบอกแกกี่ครั้งแล้วว่าห้ามตื่นสาย” หญิงวัยกลางคนฟาดไม้ หวายลงทีห่ ลังของเธอ หอมโนนสะดุง้ ทะลึง่ ตัวขึน้ ตัง้ ตรง ร่างกายทีอ่ อ่ นเพลีย เพราะ ได้กินข้าวเปล่าไร้กับวันละหนึ่งถ้วย กับสารพัดงาน ในบ้านหลังใหญ่ กว่าสองเดือนที่ เธอทนท�ำงานอยูท่ นี่ ี่ เงินสักบาทเธอไม่เคยได้รบั จากนายจ้าง ..บ้านตึกแถวติดลูกกรง แน่นหนา ในวันที่ความอดทนเดินทางมาถึงขีดสุด หอมโนนตัดสินใจกระโดดลงจาก ระเบียงชั้นสองในคืนนั้น หลังจากที่ขออนุญาตนายจ้างออกมาเก็บเสื้อผ้าที่ตากเอา ไว้..ขาข้างขวาของเธอหักในทันทีที่กระแทกกับพื้นถนน เธอค่อยๆกระเสือกกระสน ไถตัวเองไปกับพืน้ ในใจร้อนรน น�ำ้ ตาไหลไร้เสียงสะอืน้ ไห้ดว้ ยความเจ็บปวด จนในทีส่ ดุ ได้พบกับคนใจดี พาเธอส่งโรงพยาบาล และเมื่อเธอกลับมาเดินได้อีกครั้ง ก็ถูกส่งตัว กลับบ้านในทันที บ้านที่เธอไม่เคยคิดอยากจะกลับไปอีก 80


“ค่าจ้างวันละ 100 บาทนะหักค่านายหน้าวันละ 40 บาทครบสองปีถึงจะได้ วันละ 100 บาทเต็ม จะท�ำไหม” ชายแก่ผิวด�ำ ท่าทางดุดัน เจ้าของล้งปลาแจกแจง รายละเอียดการท�ำงาน “ได้เลยจ๊ะ” หอมโนนตอบเสียงดัง ค่าแรงวันละ 60 บาท ส�ำหรับเธอมันมากจน อดอมยิม้ ไม่ได้ ทุกวันเธอต้องท�ำงานในล้งปลาตัง้ แต่เวลาตีสามถึงสามสีท่ มุ่ งานแกะกุง้ คัดปลา ท�ำให้นวิ้ ของเธอเริม่ เปือ่ ยยุย่ เป็นแผลเรือ้ รัง กลิน่ คาวปลาเหม็นติดตัว ติดผม ซึมลึกเข้าไปในซอกเล็บที่เหี่ยวย่น สองมือบวมแดงอักเสบเพราะโดนเปลือกกุ้งบาด ซ�้ำแล้วซ�้ำเล่า หอมโนนอดทนต่อความเจ็บปวดทั้งหมด เธอไม่เคยปริปากบ่น อะไร ที่ท�ำแล้วได้เงิน ส�ำหรับเธอมันคือโอกาส หอมโนนท�ำงานอยู่ที่นี่ได้สองปีตามก�ำหนด เวลาปลดหนีค้ า่ นายหน้า .. พรุง่ นีเ้ งิน 100 บาทต่อวันจะเป็นอยูใ่ นมือเธอเต็มเม็ดเต็ม หน่วย ในเช้าวันนัน้ เองอยูๆ่ ก็เกิดความโกลาหลวุน่ วาย นายศักดิถ์ กู ต�ำรวจรวบตัวจับ ในคดีมแี รงงานต่างด้าวไว้ในครอบครองอย่างผิดกฎหมาย หอมโนนคิดในใจ ต้องเป็น พี่อูดีที่เพิ่งลาออกไปแน่ๆ ที่แจ้งต�ำรวจให้มาจับนาย หลังโดนเบี้ยวค่าแรงเมื่อเดือนที่ แล้วยังไม่ทนั ได้ตงั้ ตัวเตรียมใจภายในวันนัน้ เอง หอมโนนถูกส่งตัวกลับไปยังบ้านเกิด อีกครั้ง หลังจากจากมา...ได้สองปี “งานหนัก ค่าแรงวันละ 120 กินนอนในแคมป์ ห้ามออกไปเดินเพ่นพ่านที่ไหน โอเคไหม” นายจ้างคนใหม่ท่าทางใจดี บอกกฎกติกาในการท�ำงานที่แคมป์ก่อสร้าง ใจกลางเมืองใหญ่ให้หอมโนนรับรู้ ทีน่ มี่ พี นี่ อ้ งจากบ้านเกิดของเธอมาท�ำงานด้วยกันอยู่ หลายคน งานผสมปูน หาบน�ำ้ ตักหิน ตักทราย เป็นงานหนักทีห่ อมโนนท�ำได้สบายมาก งานตากแดดตากฝน ค่าแรงสูงขนาดนี้เธอยอมแลกแม้ว่าผิวจะด�ำคล�้ำ มือแตกกร้าน และปวดเมื่อยอย่างแสนสาหัสในทุกวันหลังท�ำงานเสร็จ แต่ที่นี่ก็ไม่โหดร้ายส�ำหรับ คนต่างที่ต่างถิ่นอย่างเธอและเพื่อนๆอีกหลายคน และที่นี่ก็ท�ำให้เธอได้พบกับ เจียฮ้อ ชายจีนฮ่อ ผิวขาว ร่างเล็ก หอมโนนเห็น ความขยันขันแข็งในการท�ำงานของเขา และเจียฮ้อเองก็ดูมีท่าทีสนใจในตัวเธอ .. ไม่นานทั้งคู่จึงย้ายมาอาศัยกินอยู่หลับนอนในห้องเดียวกัน ไม่ว่านายจะย้ายไป ก่อสร้างทีไ่ หน ทัง้ คูจ่ ะติดตามไปทุกทีด่ ว้ ยความภักดี สีป่ ใี ห้หลัง เธอให้กำ� เนิดลูกชาย สามคนซึง่ มีอายุไล่เลีย่ กัน และอยูว่ ยั ก�ำลังกินก�ำลังนอน คอยติดสอยห้อยตามพ่อและ แม่ไปทุกที่ 81


เพียงแต่ช่วงหลังๆเขาเปลี่ยนไป เริ่มเก็บตัวเงียบ และท�ำงานน้อยลง เงินใน แต่ละวันจึงไม่เพียงพอต่อปากท้อง หอมโนนไม่กล้าเอ่ยปากต่อว่าสามี เธอยังคงก้ม หน้าก้มตาท�ำงานหนัก ในขณะที่สามีเริ่มติดยาเสพติดอย่างหนัก จนร่างกายผอมโซ บางครัง้ เจียฮ้อจะทิงิ้ ลูกและเมีย หายไปนานสองสามวัน และกลับมาพร้อมกับร่างกาย ทีโ่ รยรา หอมโนนไม่รวู้ า่ ท�ำไมเขาถึงเปลีย่ นไปได้ขนาดนี้ อาจเป็นเพราะน�ำ้ ยาทีบ่ รรจุ อยู่ในเข็มฉีดยาอันนั้น ไม่นานเกินรอ เด็กๆเติบโตขึ้นทุกวัน ลมหายใจของเจียฮ้อเริ่มแผ่วเบาลง จน เงียบหาย... หอมโนนก�ำเงิน 120 บาทไว้ในมือแน่น เธอเหนื่อยเกินกว่าจะท�ำงาน ก่อสร้างเพือ่ เลีย้ งดูลกู ทัง้ สามคนเพียงล�ำพัง หรือหากต้องท�ำต่อไป แม้วา่ จะเพิม่ ความ ขยัน เพิ่มระยะเวลาในการท�ำงาน ลูกๆของเธอก็คงไม่พ้นสภาพเดียวกับสามีเป็นแน่ เธอนึกถึงกระดาษแผ่นนั้น ที่พี่เพียงเจหยิบยื่นไว้ให้เมื่อนานแล้ว .. พี่เพียงเจ แวะมา เยีย่ มเยียนบ้าง แต่ละครัง้ เธอมักหอบขนม เสือ้ ผ้ามาฝากเด็กๆเสมอ ทัง้ แต่งเนือ้ แต่งตัว ด้วยเสื้อผ้าชั้นดี ผมเผ้าสวยงามไม่หยาบกร้าน มองดูเผินๆแทบแยกไม่ออกว่าเธอ ไม่ใช่คนที่นี่ ...ทั้งค�ำพูดค�ำจาและท่าทางรสนิยม หอมโนนตัดสินใจในทันที .. เธอไม่รงั้ รอคิดหน้าคิดหลังอีกต่อไปแล้ว .. ต่อไปนี้ หากเธอจะมีความสุขเล็กๆน้อยๆจากการท�ำงานสบายๆเหมือนกับคนอื่นเขาบ้าง ก็ คงไม่เป็นไร

5.

เมื่อ 6 ชั่วโมงที่แล้ว เธอบอกกับฉันว่าเธอ ชื่อมุก หญิงสาวที่นั่งเงียบ อยู่มุม กระท่อมหลังคามุงจาก หลังจากทีท่ มี งานของฉันได้บกุ เข้าไปเพือ่ ช่วยเหลือเป้าหมาย “แอน” เด็กหญิงอายุ 14 ปีทที่ ำ� งานขายบริการอยูใ่ นร้านคาราโอเกะแห่งนี้ ฉันรูส้ กึ ถึง บรรยากาศของความอึดอัดที่มันอัดแน่นไปทั่วบริเวณ เราให้เวลาแต่ละคนเข้าไปเก็บ ของที่จ�ำเป็นได้ โดยมีฉันคอยติดตามเข้าไปในห้องด้วย หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ต�ำรวจ ถึงจะสามารถเข้าไปเก็บหลักฐานอื่นๆได้ ภายในห้องเล็กๆนั้น มุกหยิบข้าวของไม่กี่ อย่างใส่ลงในถุงด�ำที่ฉันยื่นให้ เธอถามว่าจะได้กลับมาที่นี่อีกไหม ฉันไม่ได้ให้ค�ำตอบ ที่แน่นอน เพราะต้องรอผลการด�ำเนินคดีจากต�ำรวจเสียก่อน ห้องอิฐบล็อกถูกก่อขึ้น อย่างง่ายๆ ภายในถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ผ้าปูที่นอนถูกขึงตึง มีมุ้ง แขวนไว้ที่ผนังข้างหนึ่ง มุมเล็กๆที่ถูกแบ่งไว้ในห้องนั้น มีถังน�้ำ สายยาง สบู่ และยา 82


สระผม ฉันแปลกใจเล็กน้อยแต่กไ็ ม่ได้ถามอะไรออกไป หางตาสะดุดกับกล่องกระดาษ ทีบ่ รรจุถงุ ยางอนามัยไว้เกือบเต็มกล่อง ใต้เตียงมีถงั ขยะทีบ่ รรจุถงุ ยางอนามัยใช้แล้ว จ�ำนวนหนึ่ง เวลาล่วงเลยมาเกือบตีหนึ่ง หลายคนหลายคู่ทยอยออกจากห้องนี้ไป และ เปลี่ยนหน้าคนเข้ามาใหม่ ถามและตอบด้วยค�ำถามเดิมๆ “คุณได้ค่าจ้างครั้งละเท่าไหร่คะ” ฉันถามต่อหลังจากปล่อยให้เวลาล่วงเลยมา สักพัก มุก หรือ หอมโนน ดูเหนื่อยล้าแต่ก็ดูเหมือนจะเริ่มให้ความร่วมมือมากขึ้น ฉันแอบบอกเธอไปว่าหากเธอตอบค�ำถามทุกหน้าเสร็จเรียบร้อยเมื่อไหร่ เราทั้งคู่จะ ได้กลับบ้านกันสักที “ได้ 300 บาทต่อครึง่ ชัว่ โมง แบ่งจ่ายให้พอ่ ครึง่ นึง” เธอเริม่ ตัง้ ใจตอบ นัน่ เท่ากับ ว่าเธอจะได้รับเงิน 150 บาทต่อคน ต่อการท�ำงานครึ่งชั่วโมง “วันหนึ่งคุณมีลูกค้าประมาณกี่คน” ฉันรีบถามค�ำถามส�ำคัญ “แล้วแต่ บางวันก็ไม่ได้เลย บางวันก็ 4 - 5 คน” หมายความว่า บางวันเธอไม่มี รายได้ แต่บางวันจะมีรายได้ถึง 750 บาท “ในแต่ละวันต้องท�ำอะไรบ้าง” “ตื่นเก้าโมงเช้า ท�ำความสะอาดห้อง ออกมากินข้าวที่เขาเตรียมไว้ให้ หลังจาก นัน้ ก็ไม่ได้ทำ� อะไร นัง่ รอลูกค้า” ข้อมูลทีฉ่ นั ได้มาจากนักสืบคือ ทีน่ เี่ ปิดให้บริการตัง้ แต่ 9 โมงเช้าถึงเที่ยงคืน เธอเริ่มพูดมากขึ้น ฉันจึงไม่อยากปล่อยโอกาสให้หลุดลอย รีบ ถามต่อโดยในทันทีก่อนที่เธอจะเปลี่ยนใจไม่ให้ข้อมูล “คุณเคยถูกท�ำร้ายร่างกายไหม ระหว่างที่ท�ำงานอยู่ที่นี่” “ไม่เคย พ่อใจดีนะ เขาไม่บังคับให้ท�ำงาน แล้วแต่ความสมัครใจ” “ถ้ามีประจ�ำเดือนต้องท�ำงานไหม” “ไม่ต้อง..พ่อจะให้หยุดงานจนกว่าจะหมด ค่อยกลับมาท�ำงานได้ อยากลาไป ไหนก็ได้ เขาไม่ว่าอะไร” “มีสามีไหม” “เคยมี แต่เสียไปแล้ว ตอนนี้มีลูกชายสามคน” ฉันแอบเห็นเธอยิ้ม “แล้วลูกอยู่ที่ไหน” “ส่งไปให้น้องช่วยเลี้ยงที่บ้าน ก็ส่งเงินให้เขาเดือนละสองพัน” “คุณมีบัตรประชาชนไหม” 83


“ไม่มี” เธอหลบตา ก่อนถามฉันเบาๆว่า “เขาจะปล่อยตัวเมื่อไหร่” ฉันว่าอาจจะต้องใช้เวลาสักพักเพื่อพิจารณาคดี เธอ ท�ำตาเศร้า “ทุกครั้งที่ท�ำงานคุณได้ใช้ถุงยางอนามัยไหม” “ใช้ทุกครั้ง มันเป็นกฎ” เธอเล่าว่าเธอจะเป็นคนใส่ถุงยางให้ลูกค้าเอง และหาก ลูกค้าคนไหนไม่ยอมใส่ เธอจะปฏิเสธเขาทันที “คุณเคยตรวจร่างกาย ตรวจเลือด หรือตรวจเอดส์ไหม” “เคยนะ หมอบอกว่าไม่ได้เป็นเอดส์” เธอตอบเร็วๆ ฉันท�ำเครือ่ งหมายถูกลงใน ช่องว่าง หน้าประโยคค�ำถามนั้น “ท�ำไมถึงไม่เลือกท�ำงานอย่างอื่น” “ท�ำงานอะไรก็เหนื่อยเหมือนกัน ไม่แตกต่าง เมื่อก่อนท�ำงานก่อสร้างก็ได้เงิน เท่านี้ แต่เหนื่อยมากกว่า” “อาชีพที่อยากท�ำ หรือเคยฝันเอาไว้คืออะไรคะ” ฉันถามค�ำถามสุดท้ายในหน้า สุดท้าย “อยากเปิดร้านของช�ำเล็กๆที่บ้านเกิด” เธอตอบอย่างคล่องแคล่ว สองตาจับ จ้องไปที่ประตู หลังจบการสนทนา ฉันบิดขี้เกียจสองสามที ดื่มกาแฟในเวลาตีสองกว่าๆ ท้อง เริ่มร้องด้วยความหิวแต่สมองเหมือนหยุดท�ำงานไปแล้ว กับการท�ำงานลงสนามครั้ง แรก และเคสแรกที่ได้ท�ำความรู้จัก .. แอบหวังว่าในอนาคตฉันจะเป็นมืออาชีพอย่าง พีๆ่ คนอืน่ ๆบ้าง ..เบือ้ งหน้ามืดสนิท ไม่มลี มหนาว แต่กลับเย็นเยียบไปทัง้ ร่างกาย ฉัน กระชับเสือ้ แจ๊คเก็ตเข้ารัดกุมตัวเพิม่ ความอบอุน่ ก่อนเดินเข้าไปในห้องประชุมอีกครัง้ เพื่อประเมินสถานการณ์และด�ำเนินคดีตามความผิดเคสต่อเคส

6.

“มุก ผลตรวจเลือดของคุณออกแล้วนะคะ” พยาบาลสาวท่าทางใจดีจากสถานี อนามัยประจ�ำต�ำบล เป็นอีกคนหนึ่งที่แวะเวียนมาที่นี่บ่อยครั้ง สาวๆที่นี่เรียกเธอ ว่าหมอ ถึงแม้ว่าแรกๆเธอจะมองคนท�ำงานอย่างหอมโนนและเพื่อนๆด้วยสายตาที่ แปลกและไม่ไว้วางใจ แต่กาลเวลาก็ท�ำหน้าที่ทลายก�ำแพงแห่งความแตกต่างนั้นลง 84


ได้ กว่าสามปีแล้วที่เธอยังคงเป็นหมอในดวงใจของทุกคนที่นี่ วันนี้ก็เช่นกันหลังจาก ที่พ่อใหญ่ขอร้องให้ช่วยมาตรวจอาการของหอมโนนในวันที่ไม่ได้นัดหมายเอาไว้เมื่อ สามวันก่อน ตอนนั้นหอมโนนป่วยหนัก ต้องหยุดท�ำงานเกือบครึ่งเดือน เธอเริ่มไม่มี เรี่ยวแรง ท้องไส้ไม่ปกติติดกันหลายวัน จากนั้นก็ลุกไม่ขึ้นนอนซมด้วยพิษไข้รุมเร้า “ผลเลือดออกมาว่าคุณติดเชื้อ HIV นะต้องกินยาต้านอย่างสม�่ำเสมอ ห้ามลืม แม้แต่วันเดียว แล้วสักพักอาการทั้งหมดจะดีขึ้นเรื่อยๆ และที่ส�ำคัญต้องใช้ถุงยาง อนามัยในการท�ำงานทุกครัง้ นะคะ จ�ำได้ใช่ไหม” พยาบาลสาวบอกย�ำ้ พร้อมก�ำชับให้ กินยาทุกวัน และหากยาหมดก็ให้ไปรับยาที่ศูนย์ในทันทีอย่างปล่อยให้เวลาล่วงเลย เพราะโรคนี้อาจกลับมาอีกครั้ง เธอก�ำมือหอมโนนแน่นส่งก�ำลังใจ หอมโนนถอนหายใจโล่งอก เธอแอบกังวลใจว่าอาจจะติดโรคเอดส์จากสามี เพราะหมอบอกว่าสามีของเธอตายด้วยโรคนี้ เพือ่ นๆ แวะมาเยีย่ มอาการและถามผลการตรวจเลือด เธอบอกกับทุกคนว่าเธอ ติดเชื้อ HIV ไม่ได้เป็นเอดส์ เพื่อนๆพากันแสดงความยินดีกับเธอ.. “หมดทุกข์หมดโศกสักทีนะหอมโนน” ทุกคนคิดเช่นนัน้ หอมโนนยิม้ บางๆ พยุง ตัวขึ้นนั่งเธอรู้สึกเหมือนว่าร่างกายกลับมากระชุ่มกระชวยอีกครั้ง พรุ่งนี้ถ้าเรี่ยวแรง กลับมาได้สักครึ่งหนึ่ง เธอจะเริ่มท�ำงานในทันที...


สะดุด

สิรี จิตตรีกวีผล 86


“นี่มันอะไรกันวะ”

ข้าวของกระจัดกระจายเกลือ่ นกลาดระเนระนาดเต็มพืน้ ห้อง ฝ่ามือฟาดโต๊ะเต็ม แรง กายสั่นไหวไปตามแรงเหวี่ยงของอารมณ์ที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความโมโหในโชค ชะตา ความแค้น ความเครียด ความกลัว ความสับสน ทุกอย่างประดังประเดเข้ามา ในชีวติ ผมไม่รจู้ ะเริม่ ต้นใหม่ยงั ไงดี อายุทยี่ า่ งจะเข้าเลขห้า จะมาเริม่ สร้างฐานะ สร้าง เนือ้ สร้างตัวใหม่กเ็ ป็นไปไม่ได้ แถมยังมีภรรยาและลูกทีต่ อ้ งเลีย้ งดู การทีต่ อ้ งออกจาก งานโดยสภาพแวดล้อมทีเ่ ปลีย่ นไป เจ้านายโยนงานมาให้รบั ผิดชอบมากขึน้ งานล้นมือ ความผิดพลาดก็เกิดขึน้ และนัน่ เป็นสาเหตุทที่ ำ� ให้โดนเรียกไปคุย สุดท้ายได้ขอ้ สรุปว่า จะได้เงินชดเชยแต่ตอ้ งออกจากงาน พอก้าวออกมาเพิง่ ได้รวู้ า่ แท้ทจี่ ริงต�ำแหน่งงาน ทีน่ งั่ อยูม่ คี นทีท่ างบริษทั อยากจะมอบให้ นัน่ จึงเป็นสาเหตุทที่ ำ� ให้เขาพยายามบีบออก จากงาน ในทีส่ ดุ ผมก็ตอ้ งยอมรับสภาพ ใช่สิ ผมมันไม่ได้นามสกุลใหญ่โตมากจากไหน ไม่ได้มีบารมีเหมือนใครๆ ผมแอบน้อยใจในโชคชะตามาโดยตลอด เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ภรรยาเดินมาพร้อมส�ำรับอาหาร “คุณคะ ทานอะไร สักหน่อยดีไหมคะ” แรงเหวีย่ งของมือมากพอทีจ่ ะท�ำให้สำ� รับอาหารตกกระจายเต็มพืน้ ห้อง เธอตกใจมากเพราะผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน เธอค่อยๆ ก้มลงเก็บเศษถ้วย ชาม พร้อมกับเช็ดอาหารทีห่ กเรีย่ ราดด้วยอารามสัน่ กลัว ภรรยาทีไ่ ม่เคยทุกข์รอ้ นกับ งานของผมเลยสักครั้ง ผมไม่เข้าใจเธอเลยจริงๆ ว่าท�ำไมเธอถึงไม่รู้สึกอะไรบ้าง ไม่ ห่วงว่าถ้าไม่มีงานท�ำครอบครัวจะอยู่อย่างไร เธอไม่เคยสนใจว่าจะมีเงินหรือไม่มีเงิน เพราะเธอไม่ได้ท�ำงานอยูแ่ ล้ว ผมเป็นคนหาเลีย้ งเธอมาโดยตลอด บางครัง้ ผมก็อยาก ให้เธอออกไปท�ำงานหาเลี้ยงแทนผมบ้าง จะได้รู้ว่าข้างนอกมันเป็นอย่างไร แม้ผมจะ พยายามท�ำความเข้าใจว่าเธอต้องเลี้ยงลูก แต่ก็ยังคิดอีกว่าท�ำไมเธอถึงไม่คิดจะหา รายได้เสริมเพือ่ ช่วยผมบ้าง นอกจากจะท�ำงานบ้าน เฝ้าบ้าน เลีย้ งลูกเพียงอย่างเดียว “นีค่ ณ ุ ! ผมถามคุณจริงๆ เถอะ คุณห่วงผมบ้างไหมว่าโดนบีบจากงาน พวกเรา 87


จะท�ำมาหากินอะไร จะมีเงินที่ไหนใช้ คุณเคยกังวลเรื่องพวกนี้บ้างไหม?” ผมตะคอก ใส่เธอด้วยก�ำลังเครียดจัด หาทางออกไม่ได้ และอยากมีคนที่เข้าใจตัวผมบ้าง คิดไป คิดมาก็เป็นเพราะผมไม่ให้เธอออกไปท�ำงานเอง ความโมโห ความโกรธ โทษตัวเอง ทับถมภายในจิตใจ หลายครั้งในชีวิต ทุกคนต่างออกเดินทางเพื่อหาจุดหมายปลายทาง หาความ ส�ำเร็จให้ชีวิต ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ชีวิตได้ออกเดินออกวิ่ง บางครั้งก็ตั้งใจเหยียบผู้อื่น เพื่อให้ตนเองก้าวหน้า ผมเองก็ท�ำเช่นนั้น หลายครั้งที่หันกลับไปด่าคนที่เชื่องช้า กว่า หลายครัง้ ทีห่ นั กลับไปดูถกู คนทีด่ อ้ ยกว่า และหลายครัง้ ทีห่ นั กลับไปเพือ่ เหยียบ ซ�้ำ ผมไม่เคยคิดว่าวันนี้ผมจะโดนคนอื่นเหยียบบ้าง เชื่อเถอะว่าหลายคนคงมีความ ทะเยอทะยานในหน้าทีก่ ารงาน อยากมีงานดีๆ ท�ำและมีเงินดีๆตอบแทน เพือ่ ให้ชวี ติ สุขสบายขึ้น ครอบครัวอยู่อย่างมีความสุข มีฐานะที่มั่นคงมากพอ เชื่อเถอะว่ากว่าที่ จะโดนบีบออก ผมทัง้ ล้ม ทัง้ ลุก ต้องใช้ความพยายามมากแค่ไหนกว่าจะได้มาถึงจุดนี้ ซึ่งเป็นจุดที่ผมคิดว่าประสบความส�ำเร็จในชีวิตทั้งครอบครัวและหน้าที่การงาน แต่ พอมาถึงวันนี้ไม่รู้ว่าอะไรเหมือนกันที่ท�ำให้รู้สึกว่าภรรยาที่อยู่ด้วยกันมาเป็นสิบๆปี ไม่เคยเข้าใจอะไรผมเลยสักครั้ง จนผมคิดว่า “ผมอยากอยู่คนเดียว” ผมขลุกอยูก่ บั เหล้าทัง้ วันทัง้ คืนจนไม่เป็นอันท�ำอะไร แต่ละวันโวยวายถึงเรือ่ งที่ โดนบีบออกจากงาน เรือ่ งครอบครัว โทษโชคชะตา โทษฟ้าดิน โทษทุกสิง่ บนโลกใบนี้ ผมหลับไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้ งัวเงียตื่นขึ้นมาตะวันก็อยู่กลางหัวซะแล้ว พักนี้ ภรรยาท�ำเหมือนผมไม่มตี วั ตน เธอไม่พดู กับผมสักค�ำหลังจากทีผ่ มไล่เธอออกไปจาก ห้อง แต่เธอก็ยังเป็นเหมือนเดิม ยังท�ำกับข้าวให้ทาน ดูแลบ้าน เธอท�ำตัวปกติ แต่มัน ปกติมากเกินไปกว่าทีป่ ระสาทการรับรูข้ องผมจะสามารถทานทน ผมไม่สามารถทีจ่ ะ อยูใ่ นบ้านได้ เพราะมันอึดอัดเหลือเกิน ไม่รวู้ า่ ท�ำไม ขวดเหล้าทีค่ อ่ ยๆเพิม่ ขึน้ รายล้อม รอบตัว ทีละขวดทีละขวด มันมากขึ้นจนนับไม่ถ้วนภายในไม่กี่ชั่วโมง ผมไม่สามารถ ออกไปข้างนอก แม้อยากจะออกใจจะขาด ก็มีแต่เหล้าเป็นเพื่อนพอให้ลืมเรื่องต่างๆ ที่ผ่านมา ผมจ�ำไม่ได้ว่า ตะวันตกดินไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แสงอาทิตย์ค่อยๆ เล็ดลอดเข้ามาในห้องนอน ปัดเป่าความมืดมิดยามราตรีให้ จางหายไป ผมค่อยๆ ลืมตาสู้กับแสงแดดยามเช้า ค่อยๆ เหลียวซ้ายแลขวา ไม่เห็น ภรรยานอนอยู่ข้างๆ ความคิดชั่วร้ายก็ผุดขึ้นทันที “นอนข้างนอก มันอุ่นกว่านอนใน 88


บ้านใช่ไหม” แสงแดดทีอ่ บอุน่ กลับกลายเป็นความร้อนทีเ่ ริม่ แผดเผาความรูส้ กึ นึกคิด และอารมณ์ให้คุกรุ่นขึ้นมาทันที ผมกระแทกเท้าลงจากที่นอน ปิดประตูดังลั่น แต่ดู เหมือนจะไม่มีใครได้ยิน ผมเดินลงมาข้างล่างมองหาภรรยา มองไปทางไหนก็ไม่เจอ และแล้วประตูบ้านก็ถูกเปิดออก ภรรยาเดินเข้ามาในสภาพอิดโรย หน้าตาบ่งบอกว่า เหนื่อยอ่อนเหมือนคนไม่ได้หลับไม่ได้นอน “ไม่เช้ากลับบ้านไม่ถกู หรือไง หรือกลัวหลงทางจนต้องไปนอนทีอ่ นื่ ไม่ใช่เด็กๆที่ กลับบ้านเองไม่ได้แล้วไม่ใช่ร”ึ น�ำ้ เสียงประชดประชันเหยียดหยัน แต่เธอกลับไม่สนใจ เธอมองหน้าผมแล้วก็เดินขึ้นไปห้องนอนโดยไม่พูดกับผมสักค�ำ “เออดี! อยากท�ำอะไรก็ท�ำเลย ผมมันหมดตัวแล้วนี่ หาคนใหม่ได้ก็เกาะเขาให้ ดีๆ ก็แล้วกัน” เสียงตะโกนดังลั่นด่าไล่หลังเธอไป ผมเดินถือขวดเหล้าไปนั่งกินหน้า บ้าน นั่งเหม่อมอง ตาลอย มีเหล้าเป็นเพื่อน กับแกล้มนิดหน่อยเท่าที่มีอยู่บนโต๊ะ ดี ทีล่ กู ๆ โตพอทีจ่ ะท�ำงานเองบ้างได้แล้ว พวกเขาจะได้ไม่ตอ้ งทนเห็นพ่อทีก่ นิ แต่เหล้า และแม่ที่ชอบหากินช่วงกลางคืน เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน ตอนที่ผมแต่งงานใหม่ๆ ภรรยาของผม...เธอเป็นคน เรียบร้อย อ่อนหวาน น่ารัก ดูแลเอาใจใส่ผมดีมาก ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่โชคดี ทีส่ ดุ ทีไ่ ด้เธอเป็นภรรยา ผมมีตำ� แหน่งหน้าทีก่ ารงานเป็นทีร่ จู้ กั ในสังคม เป็นทีเ่ คารพ นบนอบของคนอืน่ เป็นทีเ่ กรงขามของบรรดาลูกน้อง ไปไหนมาไหนมีคนนับหน้าถือตา ยกมือไหว้ ท�ำให้ผมรู้สึกภูมิใจเหลือเกิน สังคมที่อยู่นั้นแต่ละคนมีฐานะและหน้าที่ การงานดี มีความถือตัวอยู่ไม่น้อย บางครั้งก็อวดร�่ำอวดรวยจนถึงดูแคลนคนจน เมื่อผมเข้ามาอยู่แล้วก็เหมือนเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม มีอยู่วันหนึ่งผมพาภรรยาไปออกงานสังคม เธอเป็นคนเข้าสังคมได้ดีมาก ให้ เกียรติผมเสมอ ยกย่องผมต่อหน้าคนอืน่ ท�ำให้รสู้ กึ อิม่ เอิบใจเป็นอย่างยิง่ มีแต่คนชม เธอว่าเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมเหมาะสมกับผม แต่ความรู้สึกอิ่มเอิบใจก็หายวับไป ทันที เมื่อมีคนถามเธอว่าเธอท�ำอะไรเมื่ออยู่บ้าน และอนาคตอยากท�ำอะไร เธอตอบ ได้อย่างไม่อายปากว่า ท�ำกับข้าวอยูบ่ า้ น อยากเปิดร้านขายข้าวแกงเล็กๆ มันเป็นค�ำตอบ ทีท่ ำ� ให้ผมสุดจะทน ผูค้ นต่างมองผมเป็นตาเดียว สายตาแต่ละคูน่ นั้ เหยียดหยาม ดูถกู มีการกระซิบกระซาบนินท�ำตามมาเป็นระยะๆ มันท�ำให้ผมรู้สึกอับอายขายขี้หน้า “นีค่ ณ ุ ! คุณตอบอะไรไป คุณคิดได้ยงั ไงว่าอยากเปิดร้านขายข้าวแกง ผมท�ำงาน ต�ำแหน่งอะไรคุณก็รู้ มันเหมาะสมแล้วหรือกับหน้าตาของผมในสังคม คนอื่นเขาจะ 89


คิดยังไง ป่านนี้เขาคงคิดว่าผมไม่มีน�้ำยา ไม่มีเงินพอที่จะเลี้ยงภรรยาของตนเองให้มี ความสุขได้แล้ว ไม่อยู่มันแล้ว กลับ! กลับบ้าน ผมอายจนไม่มีหน้าจะทนอยู่ในงานนี้ ก็เพราะคุณ จ�ำไว้! อย่าท�ำอะไร อย่าตอบอะไรที่ท�ำให้ผมอับอายแบบนี้อีก” ผมก�ำมือ แน่น ตัวสั่นด้วยความโมโห เดินออกจากงานทันที หงุดหงิด สายตาทุกคู่ในนั้นที่จ้อง มองมาด้วยความเหยียดหยัน เมื่อกลับถึงบ้าน “คุณ ผมขอร้องละ อย่าคิดที่จะออกไปเปิดร้านขายข้าวแกง อย่างทีพ่ ดู ในงานนะ อย่างน้อยขอให้รกั ษาหน้าตาของผมบ้างเถอะ ถ้ามีใครมากิน มา เห็นแล้วจ�ำหน้าคุณได้แล้วเอาไปพูดกัน ผมไม่รู้จะตอบเขายังไง ขอร้องละ อย่าได้คิด จะท�ำ” น�ำ้ เสียงกระชากเด็ดขาด มันคือค�ำสัง่ มากกว่าการขอร้อง เธอพยักหน้าเหมือน เข้าใจ และตั้งแต่นั้นมาเธอก็อยู่แต่บ้านไม่ได้ออกไปไหนอีกเลย ซึ่งผมก็เบาใจที่อย่าง น้อยเธอก็เข้าใจและท�ำตามค�ำขอร้อง แต่นั่นมันเมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา แต่เดี๋ยวนี้ยิ่ง กว่าขายข้าวแกงเสียอีก เธอออกไปไหนก็ไม่รู้ตอนกลางคืนทุกวันๆ ผมเพิ่งได้สังเกต ตอนที่ตกงานนี่แหละ หายไปตั้งแต่ห้าโมงเย็นกลับมาอีกทีหกโมงเช้า บางวันเจ็ด แปดโมง สงสัยจะเพลีย งานมันต้องออกแรงทั้งคืน ความคิดชั่วช้าสามานย์ครอบง�ำ ผมเรียบร้อย เหล้าหยดสุดท้ายกลืนลงคอ ผมเมาได้ที่ เห็นภรรยาเดินออกมาจากห้องน�้ำ สงสัยก�ำลังจะเข้าห้องนอน ผมรี่ตรงเข้าไปหาจะคว้าแขนเธอเข้ามาดูร่องรอยของ เมื่อคืนซะหน่อย แต่ก็ไม่ทัน เธอเดินเข้าห้องนอนปิดประตู ผมทั้งตะโกนแหกปากอยู่ หน้าห้อง ทั้งทุบ ทั้งเคาะ ตัวผมกระตุกอยู่หลายครั้ง เหมือนคนสะอึกแรงๆ ผมงงเป็น ไก่ตาแตกว่า ตัวผมเป็นอะไร “เออ! ไม่เข้าก็ได้ อย่าให้รู้ว่าไปไหน ไปท�ำอะไรกับใคร อย่าให้จับได้ก็แล้วกัน” น�้ำเสียงหงุดหงิดที่พยายามเท่าไหร่ก็ไม่เคยได้ค�ำตอบสักที ผมนั่งกินเหล้าต่อไปจน ดึกดื่น ทั้งที่ตั้งใจไว้จะตามภรรยาออกไปข้างนอกเพื่อจะจับผิดว่าเธอไปไหน แสงแดดยามเช้าสาดส่องกลับมาสูส่ ายตาของผมอีกครัง้ ผมจ�ำไม่ได้วา่ มานอน อยูบ่ นเตียงนีต้ งั้ แต่เมือ่ ไหร่ เท่าทีส่ ติยงั มี ความจ�ำยังดี จ�ำได้วา่ นอนอยูห่ น้าบ้าน แต่รสู้ กึ ตัวตอนเช้าอีกทีกลับมาอยู่ที่เตียง สงสัยภรรยาพาขึ้นมานอน แอบคิดเข้าข้างตัวเอง แต่เมือ่ เดินลงมาบ้านก็วา่ งเปล่าเช่นเคย ภรรยาหายไปอีกแล้ว แต่กย็ งั มีกบั ข้าวกับปลา มีเหล้า มีนำ�้ มีสงิ่ ของวางอยู่ ผมแปลกใจว่าเธอมาวางไว้ตอนไหนทัง้ ๆ ทีเ่ ธอกลับมาผม ก็ตื่นแล้ว หรือเธอจะเข้าบ้านแล้วออกไปอีก แล้วรู้ได้อย่างไรว่าผมจะตื่นขึ้นมาเวลานี้ 90


เป็นประจ�ำ แต่เอาเถอะ คืนนี้แหละที่ผมตั้งใจว่าผมจะตามเธอออกไปข้างนอก จะได้ รู้กันเสียทีว่าเธอไปไหน ไปท�ำอะไร กับใคร เสียงเปิดประตูบ้านดังมาแต่ไกล ผมหันหลังกลับไปมองแทบจะทันที เธอเดิน เข้ามาด้วยสภาพอิดโรยเหมือนไม่ได้นอนเหมือนเดิมเช่นทุกวัน ในมือถือถาดอาหาร เหมือนไปใส่บาตรมายังไงยังงั้น สักพักเธอเดินขึ้นห้องไปเงียบๆ ผมค่อยๆ ย่องตาม ขึ้นไปดู แอบอยู่ตรงประตูที่เธอปิดไม่สนิท น�้ำตาของเธอค่อยๆ รินไหลจนตัวโยน เซไปอิงข้างฝา เธอร้องไห้ทรุดลงไปกับพื้น ผมไม่รู้ว่าเธอร้องไห้ท�ำไม พลันมีเสียง โทรศัพท์ดังขึ้น “เธอคุยโทรศัพท์กับใครน่ะ” ผมพึมพ�ำกับตัวเองแต่ไม่ได้ค�ำตอบ พยายาม เงี่ยหูฟังเต็มที่แต่ก็ไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงสะอึกสะอื้นที่ตามมาด้วยน�้ำตาไหลริน อาบแก้มทั้งสองเหมือนสายน�้ำที่ไหลอย่างไม่รู้จบ “เธอร้องไห้ท�ำไม เธอเป็นอะไร” ค�ำถามเหล่านี้ค้างคาอยู่ในสมอง จริงๆ แล้วนี่ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นเธอร้องไห้ แต่อาจเป็นครั้งแรกที่ผมสนใจว่าเธอร้องไห้ “เธอคุยกับใคร แล้วร้องไห้ท�ำไม” ความสงสัยในตัวภรรยาเริม่ มีมากขึน้ ทุกขณะ ซึ่งแต่ละครั้งก็ไม่เคยได้ค�ำตอบสักที คราวนี้ผมตั้งใจแน่วแน่ว่าต้องตามเธอไปให้มันรู้เรื่องรู้ราวเสียที จะได้ไม่ต้อง มานัง่ กังวลคิดอะไรไปเองคนเดียวเหมือนทีผ่ า่ นมา ตกเย็นเธอออกจากบ้าน หอบข้าว ของพะรุงพะรังเหมือนจะไปปิกนิกที่ไหนสักแห่ง สองมือเต็มไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ มากมายเหมือนจะย้ายบ้านอะไรท�ำนองนัน้ ไฟในบ้านดับหมดทุกดวง ประตูรวั้ ถูกปิด ลง ผมตามเธอออกไปห่างๆ กลัวว่าเธอจะรู้ ไม่นานเธอหยุดที่ร้านค้าแห่งหนึ่งไม่ไกล จากตัวบ้านนัก อาคารนั้นเป็นตึกแถวชั้นเดียว เปิดไฟสว่างโล่ง หน้าร้านมีโต๊ะกระจก วางอยู่พร้อมกับโต๊ะเก้าอี้อีกหลายตัวภายในร้าน เธอหายเข้าไปหลังร้าน สักพักเดิน ถือหม้อน�้ำซุปใสออกมาวาง กับข้าวกับปลา ทยอยวางเรียงรายหน้าร้าน เพียงเท่านี้ ก็ท�ำให้ผมรู้ได้ว่าเธอแอบผมมาเปิดร้านขายข้าวแกงโต้รุ่ง ผมยืนตัวสั่น เหงื่อพรั่งพรู ออกจากร่างกาย ก�ำมือแน่นเหมือนเล็บจะฝังเข้าไปในเนือ้ ตัวเอง ผมไม่รจู้ ะโกรธหรือว่า จะดีใจทีเ่ ธอมาท�ำงานแบบนี้ ความรูส้ กึ ในตอนนัน้ มันสับสนปนเปกันไปหมด เธอแอบ ท�ำแบบนี้มานานแค่ไหน ก่อนที่ผมจะตกงานหรือว่าหลังตกงาน หรือท�ำมาตลอดแต่ ผมไม่รู้ เธอพยายามหาเลีย้ งครอบครัวเท่าทีท่ ำ� ได้ แต่มนั ก็เหมือนกับเป็นการหักหน้า กันชัดๆ ผมเคยขอร้องว่าห้ามขาย ท�ำไมถึงไม่เชื่อฟังกันบ้าง หรือควรขอบคุณที่เธอ 91


มาขายข้าวแกงเพื่อช่วยเหลือผม ช่วยเหลือครอบครัว เท้าก�ำลังจะย่างเข้าไปในร้าน แต่กลับชะงัก พร้อมหยุดมองผู้คนที่ดาษดื่นเต็มร้าน ใจอยากเข้าไปด่า แต่สมองกลับ สั่งให้หันหลังแล้วเดินกลับบ้าน ประตูบ้านปิดอยู่ ความมืดมิดภายในบ้านมันเหมือนความอ้างว้างในจิตใจ ผม เดินเข้ามาในบ้านแล้วทรุดกายนั่งลงริมบันได คิดถึงแต่เรื่องข้าวแกง ข้าวแกง มัน เหมือนค�ำพูดทีห่ ลอกหลอนผม และฝังอยูใ่ นจิตใต้สำ� นึก ผมนัง่ นานจนลืมไปว่าตัวเอง เข้ามานัง่ อยูต่ รงนีไ้ ด้อย่างไร ผมรูส้ กึ เหมือนตัวกระตุกอย่างแรงครัง้ หนึง่ แต่กไ็ ม่ได้คดิ อะไร มองไปรอบๆ คงเป็นผมเซลงมานัง่ ไม่ดเี องแหละมัง้ และแล้วก็เผลอหลับไปตอน ไหนก็ไม่รู้ รูต้ วั อีกทีก่ อ็ ยูบ่ นเตียงทีห่ อ้ ง ทีเ่ ดิม เวลาเดิม เวลาเดียวกับทีต่ นื่ มาทุกๆ วัน ผมเริ่มเอะใจแล้วว่าท�ำไมต้องเป็นเตียงนี้ ห้องนี้ เวลานี้ ท�ำไมต้องตื่นที่นี่ทุกครั้ง ทั้งๆ ทีล่ า่ สุดนอนอยูร่ มิ บันได ความฉงนสนเท่หใ์ นใจเริม่ มีมากขึน้ ทุกขณะ ทุกก้าวทีย่ า่ งลง จากเตียงเต็มไปด้วยความคิดว่า “ท�ำไม อย่างไร อะไร เพราะอะไร” ผมเดินลงมาเห็น เธอแต่งตัวเหมือนก�ำลังจะออกไปข้างนอกอีก ทั้งๆ ที่เพิ่งกลับมาได้ไม่นาน เตรียม ข้าวของเหมือนก�ำลังจะไปหาใคร “เธอมาท�ำไมที่นี่ หรือใครเป็นอะไร” ผมถามตัวเองเมื่อเธอมาถึงหน้าโรง พยาบาลแห่งหนึ่ง เธอขึ้นลิฟต์ไปชั้นบนอย่างรวดเร็ว ตรงไปยังห้องหนึ่งที่ภายใน ดูสะอาดสะอ้าน ผมมองผ่านกระจกหน้าห้อง “เธอมาเยี่ยมใคร” ผมถามตัวเองและยังไม่มคี ำ� ตอบ ตอนนัน้ ผมเลยเห็นว่าพยาบาลผลักประตูเข้า มา เลยถือวิสาสะตามเข้ามาด้วย มองเห็นเตียงผูป้ ว่ ยทีม่ สี ายระโยงระยางเต็มไปหมด ร่างหนึง่ นอนทอดยาวอยูบ่ นเตียงนัน้ พยาบาลก�ำลังตรวจเช็คอาการพร้อมกับสัน่ ศีรษะ ให้กับภรรยา ใบหน้าเศร้าๆ ของพยาบาลคนนั้นท�ำให้ผมรู้สึกเหมือนว่าร่างนั้นไม่น่า จะรอดพ้นวันนีส้ กั เท่าไหร่ เสียงพยาบาลทีบ่ อกเล่าอาการของคนไข้ให้กบั ภรรยาของ ผมฟัง เธอฟังไปร้องไห้ไป เสียงของพยาบาลดังก้องอยู่ในโสตประสาท “คุณหมอพยายามช่วยคนไข้อย่างสุดความสามารถแล้วค่ะ แต่คนไข้กินยา เข้าไปเกินขนาดท�ำให้ร่างกายรับไม่ไหว พร้อมกับสภาพร่างกายและจิตใจของคนไข้ ในขณะที่รับประทานท�ำให้เกิดอาการช็อกและหมดสติ หัวใจหยุดท�ำงานก่อนที่จะมา ถึงโรงพยาบาล คุณหมอพยายามปัม๊ หัวใจคนไข้ขนึ้ มาได้ แต่กแ็ ผ่วเบาเหลือเกิน ทาง เราไม่สามารถบอกคุณได้ว่าคนไข้จะอยู่ได้นานแค่ไหน เราพยายามกันเต็มที่เพื่อจะ 92


ช่วยคนไข้แล้วค่ะ เมื่อคืนมีอาการชักกระตุกและกระอักเลือด ทางคุณหมอก็ได้ให้ยา คลายกล้ามเนือ้ และปัม๊ หัวใจไว้อกี ครัง้ แต่คนไข้อาการหนักเหลือเกิน ทางเราพยายาม ยื้อชีวิตไว้เต็มที่เท่าที่ทางเราจะท�ำได้ ขอโทษด้วยนะคะ” เธอร้องไห้เหมือนจะเป็น จะตายแทนใครคนนัน้ เธอกุมมือไว้อย่างหวงแหนราวกับเป็นแก้วตาดวงใจ “ใคร” ผม ชักสงสัยขึ้นมา พยาบาลเดินผ่านหน้าไป ผมชะโงกหน้าผ่านไหล่ของภรรยาไปเพื่อที่ จะได้รู้ว่าเป็นใคร “ใครน่ ะ ” ความสงสั ย ผุ ด ขึ้ น ในหั ว ดวงตาลึ ก โหลด� ำ คล�้ ำ ม่ า นตาปิ ด สนิ ท แก้มซูบตอบเหมือนซากศพ ร่างกายซีดเซียว เผยให้เห็นเข็มน�้ำเกลือภายในผิวหนัง สายระโยงระยางเต็มเตียงเต็มตัว “ญาติฝ่ายไหนของเธอน่ะ” ผมพยายามคิดว่าเธอมี ญาติที่ไหนบ้าง แต่เท่าที่ผมจ�ำได้เธอมีพี่สาวเพียงสองคนเท่านั้น แล้วผู้ชายคนนี้เป็น ใครกัน ผ้าขนหนูถูกชุบน�้ำอุ่นก่อนจะค่อยๆถูกบรรจงเช็ดถูตามร่างกายที่นอนแน่นิ่ง ไม่ไหวติง ความอ่อนโยนที่สัมผัสได้จากการกระท�ำนั้น ท�ำให้เริ่มรู้สึกว่า เขาต้องมี ความส�ำคัญอย่างมากต่อเธอ เสื้อถูกถอดออกเผยให้เห็นสร้อยพระองค์หนึ่ง ผมรู้สึก คุน้ ตาเหมือนเคยเห็นทีไ่ หน ฉับพลันนัน้ เองผมก้มลงมองทีห่ น้าอก มือทีส่ นั่ เทิม้ ค่อยๆ เลือ่ นขึน้ มาคล�ำทีล่ ำ� คอ พยายามจับสายสร้อยทีห่ อ้ ยคอไว้ให้นงิ่ แล้วค่อยๆเลือ่ นสายตา ก้มลงมามอง “เป็นไปไม่ได้หรอก ถ้าเป็นอย่างนั้นป่านนี้เราคง” ความคิดผมสิ้นสุดลง ค�ำพูดของพยาบาลดังก้องอยูใ่ นหัว “ทางเราพยายามยือ้ ชีวติ ไว้เต็มทีเ่ ท่าทีท่ างเราจะ ท�ำได้ ขอโทษด้วยนะคะ” “คุณคะ ไม่ต้องเป็นห่วงฉัน ไม่ต้องเป็นห่วงลูกนะคะ ลูกของเราโตพอที่จะดูแล ตัวเองได้แล้ว และฉันต้องขอโทษคุณด้วยทีไ่ ม่ทำ� ตามค�ำสัง่ ของคุณ แต่นนั่ เป็นหนทาง เดียวทีฉ่ นั จะหาเลีย้ งตัวเองและลูกๆของเราได้ ฉันหวังว่าคุณจะไม่โกรธ ฉันขอโทษนะ คะ ฉันรักคุณนะ และจะรักคุณตลอดไป” เธอบรรจงจูบแก้มทัง้ สองข้างของร่างกายทีน่ อน แน่นิ่งไม่ไหวติง น�้ำตาพรัง่ พรูไหลรินอาบแก้มสองมือพยายามจะโอบกอดภรรยาของ ตัวเอง ก็ไร้ซงึ่ ความหมาย ความเจ็บปวดรวดร้าวบังเกิดขึน้ ในใจ ผมทรุดตัวลงกับพื้น สิน้ ค�ำพูด สิน้ ค�ำแก้ตวั สิน้ ทุกทางแห่งการเริม่ ต้น ความส�ำนึกผิด ความรูเ้ ท่าไม่ถงึ การณ์ ท�ำให้ผมกลายเป็นแบบนี้ “ผมขอโทษ ผมรักคุณ” ค�ำพูดสุดท้ายที่พยายามเปล่งเสียง ออกไปให้ดังที่สุด เชื่อว่าเธอคงจะไม่ได้ยิน บัดนั้นร่างของผมค่อยๆสลายหายไป ราวกับแสงแดดยามเย็นที่ก�ำลังจะลาลับขอบฟ้า ร่องรอยน�้ำตา รอยยิ้ม เสียงหัวเราะ ที่เคยมีค่อยๆจางหายไปพร้อมกับดวงตะวัน 93


สี่จุดศูนย์ศูนย์

พุทธพงษ์ เจียมรัตตัญญู 94


ผมยังจ�ำเช้าวันที่ถูกเรียกให้ไปพบกับผู้ปกครองของ มนัสได้แม่น มันเป็นเช้ากลางเดือนธันวาคม ช่วงที่เพิ่ง ตรวจข้อสอบกลางภาคเสร็จพอดี หลังจากเข้าแถว เคารพธงชาติ ยังไม่ทันที่จะได้ปล่อยนักเรียนประจ�ำชั้น เข้าห้องเรียนครบทุกคน จู่ๆ พี่ปวีณาก็เดินมากระซิบที่ ข้างหูว่า “คุณแม่ของนายมนัส มารอพบที่ข้างตึกใหญ่” ประโยคสั้นๆ นั้นสื่อความหมายได้ครบถ้วน โดยไม่ต้อง ถามกลับให้มากความว่า “มนัสไหน” เพราะแม้โรงเรียน เอกชนแห่งนีอ้ าจจะมีมนัสอยูห่ ลายสิบคน และนักเรียนที่ ผมสอน ก็มีมนัสอยู่ถึงสามคน แต่คุณแม่ของนายมนัส นั้นมีอยู่คนเดียว คนเดียวที่ครูทุกคนในโรงเรียนรู้จักดี เกือบ 2 ปีทเี่ ข้ามาเป็นครูอยูท่ นี่ ี่ เรือ่ งราวของคุณแม่นายมนัสนัน้ ผ่านเข้ามาให้ ได้ยนิ อยูเ่ สมอ จนกลายเป็นความคุน้ เคยเหมือนกับได้พบเจอตัวจริงกันมานาน เสียง กระซิบของพีป่ วีณานัน่ เองทีก่ ระตุน้ เตือนให้ผมระลึกได้วา่ นีเ่ พิง่ เป็นครัง้ แรกต่างหาก ทีจ่ ะได้เห็นหน้าคุณแม่ของนายมนัสผูโ้ ด่งดัง เมือ่ นึกได้ดงั นัน้ กิตติศพั ท์ทเี่ คยสดับรับฟัง มาจึงปลุกเร้าให้ผมเริ่มประหม่า และคิดย้อนไปต่างๆ นานาว่าช่วงไม่นานมานี้ ผมได้ เผลอพูดจารุนแรงหรือแสดงกิริยาอะไรไม่ดีกับนายมนัสบ้างหรือเปล่า ความตืน่ เต้นกังวลนัน้ ค่อยๆ ก่อตัวขึน้ ตลอดการเดินไปสูจ่ ดุ นัดพบ ชีวติ ครูเกือบ 2 ปีของผม ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียวที่จะมีผู้ปกครองนักเรียนมาขอเจอตัว ครั้งนี้เป็น ครั้งแรกกลับประเดิมด้วยผู้ปกครองอันดับหนึ่งของโรงเรียนเลยทีเดียว เมือ่ ไปถึงศาลาไม้ขา้ งตึกใหญ่ ตอนแรกผมมองไม่เห็นคุณแม่ของมนัส จริงๆ แล้ว จะเรียกว่ามองไม่เห็นก็ไม่ถูกนัก เพราะทั้งศาลาก็มีผู้หญิงนั่งอยู่เพียงคนเดียว แต่ผม 95


ไม่ได้สนใจเพราะคิดว่าไม่ใช่ ใครจะไปเชื่อว่า ผู้ปกครองที่ร�่ำลือกันว่าเป็นผู้สนับสนุน รายใหญ่ประเภทสามารถต่อสายพูดคุยทุกเรือ่ งกับผูอ้ ำ� นวยการโรงเรียนได้โดยตรงนัน้ จะมีลกั ษณะธรรมดาเช่นนี้ ใบหน้าไม่มเี ครือ่ งส�ำอาง รวบผมตึง ใส่เชิต้ ลายดอก กางเกง ผ้าห้าส่วนสีด�ำ รองเท้าส้นเตี้ยเรียบๆ คู่หนึ่ง เครื่องประดับก็มีอยู่อย่างเรียบง่ายที่สุด ขัดแย้งกับภาพสาวใหญ่เชือ้ สายจีน เขียนหน้าเข้ม และมีเสือ้ ผ้าอาภรณ์หรูหรา อย่างที่ ผมเคยรู้จักในความเชื่อของตนเองโดยสิ้นเชิง กว่าผมจะเห็น ชนิดทีเ่ ห็นเป็นใครจริงๆ ได้นนั้ ก็ตอ้ งรอให้เธอยกมือสวัสดี แล้ว เรียกผมเข้าไปในศาลา นอกจากรูปร่างภายนอกขัดต่อความน่าจะเป็นแล้ว บุคลิกของ เธอยังตามมาลบภาพจินตนาการของผมให้ปลาสนาการลงสมบูรณ์ คุณแม่ของมนัส ยิ้มหวานอย่างเป็นธรรมชาติและเอ่ยกับผมด้วยความเคารพนบนอบทุกค�ำพูด แม้ ความเป็นจริงเธอน่าจะแก่กว่าผมสักยี่สิบปีด้วยซ�้ำ ระหว่างที่ผมยังประหลาดใจอยู่ กับความคาดหมายที่ผิดพลาด และเป็นปลื้มไปกับการดูเป็นคนพิเศษส�ำหรับเธออยู่ นั่นเอง ค�ำถามหนึ่งก็น้อมน�ำให้บทสนทนาของเราเข้าสู่ใจความส�ำคัญ “คุณครูตรวจข้อสอบของน้องรึยังคะ” และแล้วจุดประสงค์ของการมาเยือนที่ผมนึกสงสัยมาตลอดทางก็ได้ถูกเปิด เผย ค�ำถามของเธอกับสถานการณ์ของนายมนัสในตอนนัน้ ท�ำให้ผมพอจะเข้าใจทีม่ า ที่ไปได้ไม่ยาก เมื่อตอบให้ทราบว่าเพิ่งตรวจเสร็จไปเมื่อวาน ส่วนต่อมาก็เป็นถ้อยค�ำ ที่ด�ำเนินไปตามสูตร “เป็นอย่างไรบ้างคะ... ต้องรบกวนคุณครูรบี เช็คให้หน่อยนะคะว่าน้องได้คะแนน เท่าไหร่... มีคนตกไหมคะ... ถ้าตกต้องท�ำอย่างไร... คุณครูชว่ ยกรุณาเข็นให้ผา่ นด้วย นะคะ... คราวนี้จ�ำเป็นจริงๆ ค่ะ เทอมนี้ส�ำคัญมากเลยนะคะคุณครู แม่อยากให้น้อง เค้าได้เกรดสี่” แม่อยากให้น้องเขาได้เกรดสี่ หากเป็นคุณแม่นายมนัสในจินตนาการเอ่ย ประโยคนี้ มันคงเป็นถ้อยค�ำประกาศิตที่ผมต้องน้อมรับโดยทันที แต่ตอนนั้น คุณแม่ นายมนัสตัวจริงช่างมีน�้ำเสียงและแววตาแสดงถึงความเกรงอกเกรงใจเป็นอย่างยิ่ง กดดันให้ผมรู้สึกเกรงอกเกรงใจไปยิ่งกว่า ได้แต่พยายามส่งยิ้มตอบให้เห็นถึงความ ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง และบอกไปอ้อมๆ ว่ายังเหลือคะแนนให้เก็บอีกมาก หากนาย มนัสส่งงานครบ และท�ำข้อสอบปลายภาคได้ดี ก็น่าจะพอมีหวัง ก่อนจากกัน คุณแม่นายมนัสให้คกุ กี้ถุงใหญ่มาแทนค�ำขอบคุณ ที่ผมคิดไปเอง 96


ว่าคงส�ำหรับการสละเวลาตอนเช้ามาพูดคุยกับเธอ ท�ำให้ผมสามารถเดินออกมาจาก ศาลาด้วยความปลอดโปร่งโล่งใจ สุดท้ายแล้ว ทัง้ หมดก็ไม่ใช่เรือ่ งใหญ่อะไรอย่างทีค่ ดิ แต่ผมก็รสู้ กึ ผิดอยูล่ กึ ๆ เพราะรูเ้ ต็มอกว่าให้กำ� ลังใจเธอไปแบบมักง่าย ไม่มที างเป็นไป ได้เลยทีจ่ ๆู่ นายมนัสจะได้เกรดสีใ่ นวิชาทีเ่ ขาแทบไม่เคยขาดเว้นการสอบซ่อม แม้จะ ให้คะแนนงานและคะแนนจิตพิสัยจนเต็มเปี่ยมก็ตาม ซึ่งนั่นก็เป็นข้อหนึ่งที่ผมคิดจะ เก็บไว้ใช้อ้างว่าได้ช่วยจนถึงที่สุดแล้ว เพิง่ มารูเ้ อาทีหลัง ว่าการคาดเดาของตนเองนัน้ ผิดหมด เมือ่ ตอนทีไ่ ด้ขนึ้ ไปเจอ พี่ปวีณาอีกครั้ง บนห้องพักครู ในตอนเช้าวันเดียวกันนั้นนั่นเอง พีป่ วีณาสอนภาษาอังกฤษอยูท่ โี่ รงเรียนแห่งนีม้ าสิบกว่าปี คุณครูและเด็กๆ ทุก คนต่างก็รกั ใคร่พปี่ วีณา เพราะความโอบอ้อมอารีทฉี่ ายชัดอยูเ่ สมอบนตัวของแก เมือ่ วันทีผ่ มเพิง่ เปลีย่ นสถานะจากนักศึกษาฝึกสอนมาเป็นครูใหม่ทโี่ รงเรียนแห่งนี้ ก็ได้พี่ ปวีณานี่เอง ที่คอยช่วยเหลือดูแลไม่เคยขาด แม้จะอยู่กันคนละหมวด สอนกันคนละ วิชา แต่เนือ่ งจากห้องพักครูของเราเป็นห้องรวมกันระหว่างหมวดภาษาไทยและหมวด ภาษาอังกฤษ เราจึงได้พบเจอกันเป็นประจ�ำ และที่ส�ำคัญก็คือ ผมและพี่ปวีณาสอน ระดับชั้นเดียวกันมาตลอด 2 ปีที่ผมเข้ามาอยู่ที่นั่น นึกย้อนกลับไปทีไร ผมยังคงระลึกถึงน�้ำใจและความห่วงใยของพี่ปวีณาได้อยู่ เสมอ แม้เรื่องคุณแม่ของนายมนัสจะท�ำให้เกิดบาดแผลเล็กๆ ระหว่างเราก็ตาม เช้าวันนั้น หลังจากเดินออกมาจากศาลา ผมรีบขึ้นไปที่ห้องพักครูเพื่อเตรียม การสอน เข้าไปก็ไม่เจอใครแล้ว นอกจากพี่ปวีณาที่เดินตรงเข้ามาหาราวกับรออยู่ พี่ปวีณาถามถึงเรื่องคุณแม่ของนายมนัส นั่นท�ำให้ผมเดาได้ในตอนนั้นว่าคงเป็นแก นีแ่ หละ ทีแ่ นะน�ำให้คณ ุ แม่นายมนัสมาคุยกับผม เธอจึงรูจ้ กั ชือ่ ผมและพูดคุยกันเหมือน สนิทสนมได้อย่างนัน้ แต่เรือ่ งนีไ้ ม่ใช่ประเด็น จุดประสงค์การมาเยือนของเธอทีพ่ ปี่ วีณา เฉลยให้ผมฟังหลังจากนั้นต่างหาก ที่เป็นประเด็นส�ำคัญ พี่ปวีณาบอกว่า คุณแม่ของนายมนัส ได้เตรียมการให้ลูกชายคนเดียวของตน เข้าเรียนต่อโรงเรียนการบิน หลังจากจบ ม.6 ซึง่ ล�ำพังความสามารถของนายมนัสเอง ไม่มีทางจะท�ำส�ำเร็จได้อย่างแน่นอน แต่เรื่องท�ำนองนี้ ความสามารถของลูกไม่เคย ส�ำคัญไปกว่าเม็ดเงินของผู้ปกครองอยู่แล้ว ทุกอย่างจึงราบรื่นไร้ปัญหา เว้นก็แต่ 97


เอกสารส�ำคัญเพียงใบเดียวทีค่ ณ ุ แม่นายมนัสไม่สามารถซือ้ จากเจ้าหน้าทีข่ องโรงเรียน การบินได้ นั่นคือใบแจ้งผลการเรียนว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนจบการศึกษาระดับ มัธยมปลายด้วยผลการเรียนเฉลี่ยสะสมไม่ต�่ำกว่า 2.25 ทั้งพี่ปวีณาผู้เป็นครูประจ�ำชั้นและคุณแม่นายมนัสต่างรู้เรื่องนี้มาตลอด ทั้งคู่ พยายามกระตุน้ ให้เจ้าตัวท�ำเกรดให้ดมี าตัง้ แต่ ม. 5 แต่กระทัง่ ล่วงเข้ามาเทอมสุดท้าย ของ ม.6 เกรดของนายมนัสก็ยังไม่เคยแม้แต่จะเฉียดใกล้เลข 2 เลยสักครั้ง ดังนั้น หลังจากได้คิดค�ำนวณดู พี่ปวีณาบอกว่าทางเดียวที่เหลืออยู่คือ เทอม สุดท้ายนี้ นายมนัสต้องได้ผลการเรียน 4.00 เพียงอย่างเดียวเท่านั้นจึงจะเฉลี่ยรวม ได้ตามที่หวัง พลาดไปไม่ได้เลยสักวิชา ไม่เว้นแม้แต่วิชาภาษาไทยเสริมที่ผมเป็นคนรับผิด ชอบอยู่แต่เพียงผู้เดียว หลังจากเรียนจบ ผมก็เริ่มต้นชีวิตครูที่โรงเรียนเอกชนแห่งนี้ทันที โดยไม่คิด จะสอบบรรจุ เพราะไม่เคยคาดหวังว่าจะยึดอาชีพนี้ไปตลอด ผมมาเพื่อฆ่าเวลา รอ วันออกไปสู่งานที่ใฝ่ฝันไว้เท่านั้นเอง ในสายตาครูด้วยกัน ผมคือน้องครูผู้สงบเงียบ เรียบร้อยและอ่อนน้อมถ่อมตน ในสายตานักเรียน ผมคือครูหนุ่มผู้เข้าอกเข้าใจและ มีเรื่องเล่าแปลกใหม่มาเล่าให้ฟังอยู่เสมอ ผมระลึกไว้ตลอดว่า ผมเข้ามาอยู่ที่นี่เพียง ช่วงเวลาสั้นๆ จึงพยายามอยู่อย่างให้มีคนรัก เพื่อจากไปอย่างประทับใจทุกๆ คน นัน่ เป็นเหตุผลว่า ท�ำไมผมถึงไม่เคยกล้าถามถึงความเป็นเหตุเป็นผล หรือเรือ่ ง จ�ำพวกจรรยาบรรณอะไรกับพี่ปวีณาหรือครูคนอืน่ เลยสักครัง้ แม้จะรูส้ กึ ว่าเรือ่ งนีม้ นั ดูแปลก แต่ผมก็เลือกที่จะสงบเสงี่ยมตามตนเองถนัดดีกว่า เรื่องอย่างนี้คงเคยเกิด ขึ้นเป็นปรกติ เพียงแต่ครูหน้าใหม่อย่างผมอาจจะไม่เคยพบเจอเท่านั้นเอง พี่ปวีณา บอกว่า “หน้าที่ของครูคือการช่วยให้เด็กมีอนาคตที่ดี” ผมเข้าใจดีและรู้ว่า เด็กอย่าง นายมนัส ไปอยู่มหาวิทยาลัยเอกชน มีแต่จะเละเทะ และต่อให้คุณแม่สามารถพาเข้า มหาวิทยาลัยรัฐได้ ก็ไม่รู้ว่าจะไปรอดสักกี่ปี กับชีวิตนักศึกษาที่ไม่มีใครมาก�ำหนด กฎเกณฑ์ โรงเรียนการบินจึงดูเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด และในเมื่อกุญแจไขเข้าประตู ทางเลือกที่ดีที่สุดนี้มาตกอยู่ในมือของครู ครูที่ดีต้องไม่กระท�ำตัวให้เป็นปฏิปักษ์ต่อ ความเจริญทางสังคมของศิษย์อย่างแน่นอน 98


ผมเองแม้จะไม่ได้อยากเป็นครู แต่เมือ่ มีโอกาสเป็นแล้ว ก็อยากจะได้ชอื่ ว่าเป็น ครูที่ดีกับเขาเหมือนกัน เรือ่ งราวในโรงเรียนหลังจากนัน้ ก็ดำ� เนินไปตามวงจรอันเป็นปรกติของมันอย่าง เงียบๆ เงียบพอๆ กับความเป็นคนเงียบเชียบของผมในสายตาพีค่ รูทกุ คน ไม่มใี ครพูด ถึงเรื่องคุณแม่ของนายมนัส ราวกับไม่มีใครรับรู้ มานึกย้อนกลับไป มันเป็นเหมือน กับที่เขาว่า คลื่นลมทะเลมักสงบนิ่งก่อนจะมีพายุ แต่ตอนนั้นผมไม่รู้มาก่อนเลยว่าจะ มีพายุ คลื่นลมที่แสนสงบนิ่งในโรงเรียนของเรา จึงชวนให้ผมรื่นรมย์ไปกับช่วงเวลา สุดท้ายของอาชีพครูได้อย่างสบายใจ เวลาผ่านเลยมาจนถึงวันสุดท้ายก่อนหยุดยาวช่วงปีใหม่ วันแห่งงานรื่นเริงที่ คุณครูและนักเรียนทุกคนต่างรอคอย ช่วงกลางวันเป็นช่วงเวลาของเด็กๆ ตอนเช้า มีการจับหมายเลขเพื่อลุ้นสลากรางวัลที่โรงเรียนพยายามขายให้ผู้ปกครองมาตลอด ทั้งเดือนธันวาคม สลากพวกนี้ มีราคาชุดละ 500 บาท 1 ชุด มี 10 ใบ แต่ละห้องจะ ต้องได้ไป 40 ชุด เพื่อขายให้หมดตามค�ำสั่งของผู้อ�ำนวยการ ห้องที่ผมเป็นครูผู้ช่วย อยู่นั้นมีปัญหามาก เพราะมีนักเรียนไม่ถึง 40 คน และแม้โรงเรียนนี้จะได้ชื่อว่าเป็น โรงเรียนคนรวย แต่ก็ไม่ใช่ว่าผู้ปกครองผู้ร�่ำรวยทุกคนจะสนใจซื้อสลากที่ได้ลุ้นแต่ รางวัลที่พวกเขามีอยู่แล้ว ยังดีที่ครูประจ�ำชั้นของผม สามารถขายให้คนรู้จักคนอื่นที่ ไม่ใช่ผู้ปกครองนักเรียนได้จนหมด ห้องที่ไม่มีปัญหาเลยคือห้องของนายมนัส เพราะคุณแม่กว้านซื้อไปทุกชุด เพียงคนเดียว สลากที่มีอยู่ในมือจ�ำนวน 400 ใบ ส่งผลให้เช้าวันนั้น หนึ่งในรถมอเตอร์ไซค์ จ�ำนวน 3 คัน ซึง่ เป็นรางวัลใหญ่รองลงมาจากรถเก๋งคันหรู ได้ตกเป็นของคุณแม่นาย มนัสอย่างไม่ค่อยเหนือความคาดหมาย ที่เหนือความคาดหมายก็คือ เจ้าของของมัน หลังจากนัน้ เมือ่ คุณแม่นายมนัสตัดสินใจมอบรถมอเตอร์ไซค์คนั ดังกล่าวให้แก่พปี่ วีณา เพื่อไม่ให้เธอต้องนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาโรงเรียนเหมือนทุกวัน พี่ปวีณาปฏิเสธไปอย่างไรก็ไม่เป็นผล ทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่เคยรู้เลยว่าหลังจาก ที่เกิดเรื่องขึ้น แกจะยังคงใช้มอเตอร์ไซค์สีสวยคันนั้นอยู่เหมือนเดิมหรือเปล่า ช่วงบ่าย แต่ละห้องต่างแยกย้ายกันไปจัดกิจกรรมของตนเอง แล้วค่อยปล่อย นักเรียนกลับบ้านก่อนเวลาปรกติ ช่วงเย็นไปจนตลอดค�ำ่ เป็นงานกินเลีย้ งสังสรรค์ของ คุณครูทหี่ อประชุม ซึง่ ปีนนั้ ถูกก�ำหนดธีมของงานเป็นราตรีสชี มพู อันหมายความว่าครู 99


ทุกคนต้องแต่งชุดชมพูมาร่วมงาน ปัญหาของครูผชู้ ายคือมักไม่คอ่ ยมีเสือ้ ผ้าสีนี้ ส่วน ปัญหาของครูผหู้ ญิงก็คอื มีมากจนไม่รจู้ ะเลือกชุดไหน แต่สดุ ท้ายแล้ว ปัญหาของพวก เราก็หมดไปไม่กี่วันก่อนที่จะมีงาน เมื่อทางโรงเรียนแจ้งมาว่า ได้จัดเตรียมเสื้อโปโล สีชมพูตัวใหม่เอี่ยมให้คุณครูทุกคน ใส่มาร่วมงานกินเลี้ยงในคืนนั้นโดยพร้อมเพรียง เสื้อทั้งหมดเป็นบรรณาการจากคุณแม่นายมนัส โปโลสีชมพูนับร้อยตัวจึงฉาย ความสดใสสวยสะพรัง่ ไปทัง้ หอประชุม เมือ่ บวกกับความสนุกสานในช่วงจับของขวัญ และเสียงเพลงขับกล่อมบนเวทีจากเพือ่ นร่วมงานทีค่ นุ้ เคยกัน ยิง่ ท�ำให้คนื นัน้ เป็นคืน ที่ชื่นมื่นรื่นเริงโดยแท้ ผู้อ�ำนวยการในชุดเดียวกับพวกเราก็ยิ้มแย้มแจ่มใสอย่างที่ไม่ ค่อยได้เห็นบ่อยนัก ท่ามกลางเสียงจอแจของพี่น้องเพื่อนครูที่มาอยู่กันพร้อมหน้า ผมยังคงพูดน้อยเหมือนเช่นเคย แต่กเ็ พือ่ พยายามดืม่ ด�ำ่ กับช่วงเวลาอันน่าประทับใจ เหล่านั้นให้ได้มากที่สุด ก่อนที่จะไม่ได้สัมผัสมันอีกแล้ว จู่ๆ ช่วงหนึ่งของการดื่มด�่ำ สีชมพูอันละลานตาก็ท�ำให้ผมหวนนึกไปถึงรอย ยิ้มหวานๆ ของคุณแม่นายมนัสในครั้งแรกที่เจอกัน แม้คืนนั้นเธอจะไม่ได้อยู่ในงาน เลี้ยง แต่ผมกลับรู้สึกว่าเธอคอยส่งยิ้มให้ผมไปทั่วทั้งงาน แอบอ�ำพรางอยู่ในชุดชมพู ทั้งหลายที่เธอมอบให้เป็นของขวัญส่งท้ายปีเก่าแด่พวกเราทุกคน เปิดเรียนหลังจากหยุดยาวช่วงปีใหม่ไปได้ไม่กี่วัน คุณแม่นายมนัสก็มาพบผม อีกครั้ง ในชุดที่เรียบง่ายเหมือนตอนที่เจอกันคราวแรก เราพบกันเวลาเดิม สถานที่ เดิม ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปคือบรรยากาศในใจของผมเอง ไม่มีความตื่นเต้นกังวล หลงเหลืออยูอ่ กี แล้วในครัง้ ทีส่ อง เพราะมันเต็มไปด้วยความหวาดระแวงเข้ามาแทนที่ แม้จะกระจ่างแจ้งว่าจุดประสงค์นนั้ คืออะไร และการเผยตัวตนของเธอในรูปแบบต่างๆ ทีผ่ า่ นมา ท�ำให้ดเู หมือนว่าใครต่อใครในโรงเรียนก็นา่ จะรูเ้ รือ่ งนีก้ นั ดี แต่การนัง่ คุยกัน สองต่อสองในศาลาไม้ตรงมุมอับข้างตึกใหญ่อย่างนั้น ก็อดท�ำให้ผมต้องคอยระแวด ระวังสายตาแปลกๆ จากคนที่เดินผ่านไปผ่านมาไม่ได้ ไม่มสี กั ประโยคทีเ่ ราพูดกันเกีย่ วกับเรือ่ งโรงเรียนการบินหรือเกรดสีจ่ ดุ ศูนย์ศนู ย์ เธอบอกแค่ว่า เธอมาเพื่อสวัสดีปีใหม่ พร้อมหยิบปฏิทินตั้งโต๊ะและปากกามีราคา ด้ามหนึ่งยื่นมาให้ผม ไม่รู้ว่าเธอจะสังเกตเห็นหรือไม่ว่า ชั่วแวบหนึ่งผมลังเลใจที่จะ รับ ผมชั่งใจเพียงเพราะความหมายที่ซ่อนอยู่ของมัน แต่จะให้ท�ำอย่างไร ในเมื่อการ ที่ผู้ปกครองมอบของขวัญให้ครูช่วงเทศกาลปีใหม่ เป็นเรื่องปรกติมากๆ ในโรงเรียน 100


เอกชนแห่งนี้ และความจริงแล้วเธอก็ไม่ใช่ผู้ปกครองคนแรกที่น�ำของขวัญมาสวัสดี ปีใหม่แก่ผม แม้ลูกชายเธอจะไม่ใช่นักเรียนห้องที่ผมเป็นครูผู้ช่วยอยู่ก็ตาม ผมหยุดคิดเพียงชั่วครู่ในความรู้สึกอันสับสน เพียงเพื่อจะพบว่า ไม่มีเหตุผล อะไรที่จะไม่รับของพวกนั้น ผมจึงรับมันมาง่ายๆ พร้อมค�ำขอบคุณเหมือนตอนที่รับ คุกกี้ถุงใหญ่ในคราวแรก สิ่งเดียวที่อยากจะพูดกับเธอแต่ไม่รู้จะพูดได้อย่างไร คือ ผมรับมันมาในฐานะของขวัญวันปีใหม่ ไม่ได้รับมันมาเพราะจะให้เกรดสี่แก่ลูกชาย ของเธอ นับจากวันนั้น คุณแม่นายมนัสก็มาที่โรงเรียนไม่เคยขาด ทั้งมาคุยกับพี่ปวีณา และครูม.6 คนอื่นๆ บางครั้งก็ยืนหัวเราะร่วนอยู่กับผู้อ�ำนวยการ ยิ้มหวานๆ และ แววตาขี้เกรงใจของเธอมาปรากฏเป็นส่วนหนึ่งของโรงเรียนแห่งนี้อยู่เสมอ จนถึงวัน ที่ลูกชายเธอจบออกไป เมือ่ ช่วงเวลาสอบปลายภาคงวดเข้ามา ผมตัดสินใจให้คะแนนเก็บหลังกลางภาค แก่นายมนัส เต็มหมดทุกช่องเท่าที่เหลืออยู่ แต่ส่วนก่อนกลางภาคและคะแนนสอบ กลางภาคนั้น แก้ไขอะไรไม่ได้ เพราะส่งฝ่ายวิชาการบันทึกลงโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ไปหมดแล้ว เหลือคะแนนสอบปลายภาคอีก 40 คะแนน ส�ำหรับวิชาของผม นาย มนัสสามารถท�ำหล่นหายได้อีกเพียงแค่ 10 คะแนนเท่านั้น จึงจะได้ผลการเรียนตาม ที่ทุกๆ คนคาดหวัง สิ่ ง ที่ ท� ำ ให้ ผ มสบายใจได้ ก็ คื อ อย่ า งน้ อ ยๆ เทอมสุ ด ท้ า ยนี้ นายมนั ส ก็ เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งปรากฏตัวในชั้นเรียนเกือบครบทุกคาบ บางครั้งยัง เคยขึน้ มาหาผมและคุณครูคนอืน่ ๆ บนห้องพักครู เพือ่ ถามเรือ่ งรายงานทีต่ อ้ งส่งก่อน สอบด้วยซ�ำ้ ซึง่ เป็นเรือ่ งทีไ่ ม่เคยเกิดขึน้ กับนายมนัสเมือ่ เทอมก่อนๆ แม้รายงานทีส่ ง่ มาจะดูออกได้ไม่ยากว่าไม่ได้ทำ� ด้วยตนเองทัง้ หมด แต่นนั่ ก็ไม่ใช่ปญ ั หา เพราะครูทกุ คนต่างรู้กันดี ว่าเด็กที่ท�ำรายงานด้วยตนเองทั้งหมดนั้น แต่ละห้องมีอยู่ไม่เกินสิบคน เมื่อนึกถึงค�ำของพี่ปวีณา “หน้าที่ของครูคือการช่วยให้เด็กมีอนาคตที่ดี” พฤติกรรมเหล่านี้ของนายมนัส ยิ่งตอกย�้ำให้ตอนนั้นผมมั่นใจมาก ว่าผมก�ำลังช่วย เด็กไม่ผิดคน ต้นเดือนกุมภาพันธ์ งานในฝันที่แอบไปสมัครไว้ แจ้งข่าวให้รู้ว่าผ่านการคัด เลือก ผมตัดสินใจยืน่ ใบลาออกแทบจะทันทีทรี่ ขู้ า่ ว เพือ่ ให้มผี ลอีกหนึง่ เดือนนับจากนัน้ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่จะท�ำคะแนนเสร็จพอดี นั่นเท่ากับว่า ผมก�ำลังจะจากโรงเรียนแห่ง 101


นี้ไป พร้อมๆ กับนักเรียนชุดที่ตามสอนมาตลอด 2 ปี ช่างเป็นฉากจบที่ลงตัวและ งดงามเกินกว่าที่คาดฝันไว้ในตอนแรกที่เข้ามาอยู่ที่นี่ พี่น้องเพื่อนครูต่างเข้ามาแสดงความยินดี บ้างก็บ่นเสียดายตามมารยาท เมื่อ ทราบข่าวว่าผมก�ำลังจะจากไป วันสุดท้ายก่อนสอบปลายภาค มีพิธีปัจฉิมนิเทศส�ำหรับนักเรียน ม.6 ช่วงเช้า เด็กๆ ทัง้ หมดต่างมารวมตัวกันร้องเพลงอ�ำลาแด่คณ ุ ครูและรุน่ น้องทุกๆ คน ทุกวันนี้ เมื่อผมบังเอิญได้ยินเพลงเพลงนี้ทไี ร เสียงขับร้องปนเสียงสะอื้นไห้ ในวันนั้นยังคงดัง แว่วเข้ามาแทนทีเ่ สียงนักร้องจริงๆ ทุกครัง้ ภาพอันน่าประทับใจส่งผลให้ความปีตยิ นิ ดี ทีไ่ ม่เคยสัมผัสมาก่อนได้บงั เกิดขึน้ ในตัวผม กุหลาบนับร้อยดอก กระดาษนับร้อยแผ่น จากเด็กๆ ผ่านเข้ามาอยู่ในมือ บันดาลให้ผมรู้สึกอิ่มเอิบใจราวกับว่า ตนเองช่างเป็น ผู้ให้ที่ยิ่งใหญ่และจะไม่มีวันสิ้นสุดไปตลอดกาล นึกย้อนถึงความรู้สึกเหล่านั้นทีไร ผมก็อดใจหายไม่ได้ทุกที วิชาของผมถูกก�ำหนดไว้ในช่วงเช้าวันแรกของการสอบปลายภาค เมือ่ นักเรียน สอบของผมเสร็จ ผมรีบเข้าไปในห้องตรวจข้อสอบทันทีทมี่ เี วลาว่าง ห้องนีเ้ ป็นห้องที่ กระดาษค�ำตอบทุกวิชามาอยูร่ วมกัน และครูทกุ คนก็ถกู ก�ำหนดให้มาตรวจคะแนนทีน่ ี่ ที่เดียวเท่านั้น ปัญหาเริ่มเกิดขึ้น เมื่อผมตรวจกระดาษค�ำตอบของนายมนัส แล้วพบ ว่าท�ำคะแนนได้เกินครึ่งมานิดเดียวจากคะแนนเต็ม 40 คะแนน แม้นั่นจะเป็นคะแนน ที่มากที่สุดในการสอบปลายภาคทุกครั้งของนายมนัส แต่ก็ไม่ได้ท�ำให้ผมภาคภูมิใจ เลยแม้แต่น้อย เพราะมันท�ำให้ทุกอย่างผิดพลาดคลาดเคลื่อนไปหมด จะเกิดอะไรขึน้ ถ้านายมนัสไม่ได้เกรดสีใ่ นวิชาของผม ผมเฝ้าถามตัวเองในตอน นั้น นายมนัสจะเสียโอกาสในการเข้าโรงเรียนการบิน ความฝันของคุณแม่คนหนึ่งที่ อุตสาหะพยายามเพือ่ ลูกชายมาตลอดก็จะล้มพังไปอย่างไม่เป็นท่า และทีส่ ำ� คัญ เกรด สีท่ พี่ คี่ รูทกุ คนต่างให้เพือ่ ช่วยอนาคตของเด็กก็จะกลายเป็นเรือ่ งเปล่าประโยชน์ เพียง เพราะการท�ำตัวเป็นพระเอกด้วยการยืนหยัดในความจริงของเกรดวิชาเสริมตัวหนึง่ ที่ ไม่ได้มีความสลักส�ำคัญอะไรเลย ผมนิง่ คิดอยูน่ าน ท่ามกลางความสับสน ความวิตกกังวล และความรูส้ กึ ผิดชอบ ชัว่ ดีตา่ งๆ ทีป่ ระดังประเดเข้ามา ก่อนจะตัดสินใจใช้ปากกาลบค�ำผิดแก้รอยกากบาท ในกระดาษค�ำตอบของนายมนัส แล้วกาใหม่ให้ตรงกับค�ำตอบทีถ่ กู ต้อง จนได้คะแนน 102


เท่าที่ต้องการ ผลการเรียนของนักเรียนทุกระดับ ถูกแปะไว้บนบอร์ดหน้าห้องวิชาการ ในช่วง สัปดาห์สดุ ท้ายทีผ่ มอยูท่ นี่ นั่ ไม่มนี กั เรียนสักคนอยูใ่ นโรงเรียนเพราะเป็นช่วงปิดเทอม เหลือแต่คณ ุ ครูทตี่ อ้ งจัดการเอกสารต่างๆ จ�ำพวกสมุดพก แผนการสอน หรืองานวิจยั ในชั้นเรียนให้เสร็จเรียบร้อยก่อนจะได้หยุดยาวเช่นเดียวกัน ตอนนัน้ ผมเคลียร์เอกสารทุกอย่างเรียบร้อยหมดแล้ว และบางส่วนก็ไม่จำ� เป็น ต้องท�ำ เพราะเป็นส่วนทีใ่ ช้ส�ำหรับเทอมหน้า ผมจึงได้แต่มาโรงเรียนเพือ่ นับถอยหลัง เข้าสูว่ นั สุดท้ายของชีวติ ความเป็นครู ด้วยการใช้เวลาทีเ่ หลืออยู่ นัง่ อ่านกระดาษบอก ความในใจของนักเรียนทีน่ ำ� มามอบให้ในวันปัจฉิม ไม่มอี ะไรจะมีความสุขเท่ากับได้รวู้ า่ ช่วงเวลาการสอนสั้นๆ เพียง 2 ปีนั้น จะมีนักเรียนรักใคร่ผมได้มากมายขนาดนี้ โดย เฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนึกไปถึงว่า ผมเป็นครูที่ไม่เคยคิดอยากเป็นครูเลยแม้แต่นิดเดียว ความปลื้มอกปลื้มใจที่ก�ำลังก่อตัวขึ้นจนเต็มเปี่ยมจากความในใจของเด็กๆ ถูกท�ำลายลงด้วยข่าวจากห้องผู้อ�ำนวยการ คนที่มาแจ้งข่าวคือพี่ปวีณา พี่ปวีณามา บอกว่ากระดาษค�ำตอบของนายมนัสมีปญ ั หา และผูอ้ ำ� นวยการก�ำลังเรียกครูแต่ละวิชา เข้าไปสอบสวนทีละคน ใจผมวูบหายจนแทบจะไม่สามารถควบคุมสีหน้าให้เป็นปรกติ ผมกลัวเกินกว่า จะบอกพี่ปวีณาไปว่า น่าจะเป็นกระดาษค�ำตอบของผมเอง แต่ดูท่าแกจะไม่ได้สนใจ ว่าเป็นกระดาษค�ำตอบของใครสักเท่าไหร่ เพราะตอนนัน้ พีป่ วีณาก�ำลังอยูใ่ นอารมณ์ หงุดหงิด เนือ่ งจากพอข่าวนีแ้ พร่กระจายออกไปถึงห้องพักครูแต่ละห้อง เสียงลือเสียง เล่าอ้างว่าพวกครูผู้สอนนายมนัสรับสินบนจากผู้ปกครองก็ลอยเข้ามาถึงหูแกอย่าง รวดเร็ว พีป่ วีณาบอกชัดเจน ว่าแกไม่สนใจว่าใครจะพูดถึงเรือ่ งนีก้ นั อย่างไร แกรูต้ วั ดีวา่ แกก�ำลังท�ำอะไรอยู่ แม้สว่ นตัวแกจะปรับสัดส่วนการให้คะแนนใหม่เพือ่ นายมนัส แต่ก็ เป็นการปรับสัดส่วนให้เหมือนกันทุกห้อง ไม่ได้เป็นการแก้กระดาษค�ำตอบให้เด็กเพียง คนเดียว ถ้าผู้อ�ำนวยการจะสอบสวนแกเรื่องนี้ แกก็พร้อมที่จะพูดความจริงทั้งหมด ฟังพีป่ วีณาพูดแล้วผมก็เสียดายทีผ่ มรูเ้ รือ่ งนายมนัสช้าไป หากรูเ้ รือ่ งตัง้ แต่กอ่ น กลางภาค คงสามารถแก้สัดส่วนคะแนนได้เหมือนพี่ปวีณา แต่แม้ผมจะเป็นครูที่ “แก้ กระดาษค�ำตอบให้เด็กเพียงคนเดียว” หากผูอ้ ำ� นวยการจะสอบสวนเรือ่ งนี้ ผมก็พร้อม 103


ที่จะพูดความจริงทั้งหมดเช่นกัน ไม่นานนักหลังจากพี่ปวีณามาแจ้งข่าว ผมก็ถูกตามให้ไปรอพบผู้อ�ำนวยการ ความรู้สึกตื่นเต้นกังวลมีมากยิ่งกว่าคราวที่ต้องไปพบคุณแม่นายมนัสเป็นครั้งแรก นัง่ อยูห่ น้าห้องผูอ้ �ำนวยการได้สกั พัก พีค่ รูสอนวิชาสังคมก็เดินมานัง่ ข้างๆ เพือ่ รอเข้า เป็นคิวถัดไป เรายิ้มและทักทายกันเพียงสั้นๆ เหมือนต่างพยายามท�ำให้ดูเป็นเรื่อง ปรกติ ไม่มีสักค�ำที่จะเอ่ยถึงผลการเรียนของนายมนัส ได้แต่นั่งจมอยู่ในความเงียบ กันเนิ่นนาน ก่อนที่พี่ครูอีกคนที่สอนวิชาคอมพิวเตอร์จะเปิดประตูออกมาจากห้อง ด้วยสีหน้าเป็นกังวลไม่ต่างกัน เป็นสัญญาณให้ผมรู้ตัวว่าถึงเวลาแล้ว เป็นครั้งแรกอีกเช่นกัน ที่ผมได้มานั่งเผชิญหน้ากับผู้ที่มีต�ำแหน่งใหญ่ที่สุดใน โรงเรียน จริงๆ แล้วก่อนหน้านี้ ครูใหม่อย่างผมไม่เคยแม้แต่จะได้พูดคุยกันเป็นการ ส่วนตัวเลยด้วยซ�ำ้ บนโต๊ะของผูอ้ ำ� นวยการมีทงั้ ข้อสอบและกระดาษค�ำตอบของนาย มนัส ทีผ่ มเดาเอาว่าน่าจะเกือบครบทุกวิชาวางอยู่ ผูอ้ ำ� นวยการเลือ่ นกระดาษค�ำตอบ วิชาภาษาไทยเสริมให้มาอยู่ตรงหน้าผม แล้วถามอย่างใจเย็นว่า ผมเป็นคนตรวจ กระดาษค�ำตอบแผ่นนี้ใช่หรือไม่ ผมตอบกลับไปเพียงสั้นๆ ว่า ใช่ครับ แกจึงถามต่อ ไปว่า ร่องรอยการแก้ไขค�ำตอบนั้นเป็นของผมใช่ไหม ผมตอบกลับไปเหมือนเดิมว่า ใช่ครับ เพียงเท่านั้นแกก็บอกให้ผมออกไปจากห้องได้ พี่ครูสอนสังคมที่นั่งรออยู่ก็คงงุนงงไม่ต่างกัน จนหลุดถามออกมาเมื่อเจอกัน หน้าห้องว่า “ท�ำไมเร็วจัง” ผมได้แต่ยิ้มแห้งๆ ไม่รู้จะตอบว่าอะไร มีเรื่องราวอัดอั้น ตันใจมากมายที่อยากจะเล่าให้ผู้อ�ำนวยการฟัง แต่หากพูดไปก็คงเหมือนคนร้อนตัว ในเมื่อแกไม่ได้สนใจซักถามอะไรมากไปกว่าที่มาของกระดาษค�ำตอบที่อยู่ตรงหน้า พีป่ วีณาเข้ามาถามถึงเรือ่ งนีท้ นั ทีทขี่ นึ้ ไปเจอกันบนห้องพักครู ผมตัดสินใจเล่า ความจริงให้ฟงั ไม่มปี ระโยชน์อะไรทีจ่ ะหลีกหนีเรือ่ งพวกนีอ้ กี แล้ว เมือ่ ทราบเรือ่ งราว ทัง้ หมด พีป่ วีณาบอกว่าแกเข้าใจผม รูว้ า่ ผมไม่ได้มเี จตนาทีไ่ ม่ดี ซ�ำ้ ยังบอกอีกด้วยว่า ดีแล้วทีผ่ มตอบไปตรงๆ อย่างนัน้ และไม่ตอ้ งกังวลเรือ่ งทีผ่ อู้ ำ� นวยการไม่ได้ถามอะไร มาก คงเพราะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อย่างที่เราคิด แต่ผมคิดคนละอย่าง การไม่ถามของผู้อ�ำนวยการนั่นแหละที่จะท�ำให้เรื่องนี้ เป็นเรื่องใหญ่ เหลือเวลาอีกเพียงสองวันเท่านั้นในโรงเรียนแห่งนี้ จู่ๆ ผมก็ก�ำลังถูก แปะป้ายไว้ว่าเป็นครูที่ลาออกไปด้วยการรับสินบนจากผู้ปกครอง วันถัดมา เป็นวันทีน่ กั เรียน ม.6 มารับระเบียนแสดงผลการเรียนจากครูประจ�ำ 104


ชั้น ผมหวาดระแวงทุกครั้งที่เห็นพวกเด็กๆ ยืนมุงกันอยู่ที่บอร์ดหน้าห้องวิชาการ หลังจากช่วยครูประจ�ำชั้นแจกเอกสารต่างๆ จนเสร็จ ผมจึงเลือกที่จะขึ้นไปหลบตัว อยู่บนห้องพักครูอย่างกับคนมีชนักติดหลัง แม้จะมีค�ำถามมากมายที่อยากจะถามไถ่ ลูกศิษย์ทรี่ กั แต่ผมก็ไม่กล้าไปพบหน้า เพราะกลัวว่าจะเจอค�ำถามทีไ่ ม่สามารถตอบได้ เข้าเสียเอง นักเรียนเพียงคนเดียวที่ขึ้นมาหาผมที่ห้องพักครู คือนายมนัสผู้มาพร้อมกับ คุณแม่ ผมให้ทั้งคู่รอเจอกันที่ระเบียง เพื่อหลบสายตาพวกคุณครูที่ก�ำลังแอบจดจ้อง นายมนัสน�ำพวงมาลัยมาไหว้ขอบคุณผม โดยมีคุณแม่คอยบอกบทอยู่ข้างๆ ตอน แรกเธอจะให้ลูกชายลงคุกเข่าเสียด้วยซ�้ำ แต่ผมรีบปฏิเสธ ทั้งแม่และลูกช่างดูร่าเริง แจ่มใสและอ่อนน้อมถ่อมตนมากเสียจนผมรู้สึกกระอักกระอ่วนใจที่จะยืนอยู่ตรงนั้น ทันทีที่ทั้งคู่จากไป ผมรีบยัดพวงมาลัยของนายมนัสเข้ากระเป๋ากางเกง ด้วย ความหวังว่าจะไม่มีใครในห้องพักครูได้สังเกตเห็นมัน ผมแบกเอาความรูส้ กึ อึดอัดละอายใจกลับหอพักไปด้วยนับตัง้ แต่วนั ก่อนหน้านี้ ที่ถูกเรียกไปพบผู้อ�ำนวยการ คืนนั้นก็เช่นกัน การที่เด็กๆ ได้มาเห็นผลการเรียนของ เพื่อนทุกคนโดยพร้อมหน้า ยิ่งท�ำให้รู้สึกผิดบาปมากเข้าไปใหญ่ ไม่ต้องเห็นเองก็พอ จะนึกภาพออกว่า เกรดสีจ่ ดุ ศูนย์ศนู ย์ของนายมนัสนัน้ จะโดดเด่นสะดุดตาสักเพียงใด เลขสี่เรียงยาวกันลงมาตั้งแต่ต้นจนจบ ช่างเป็นชุดตัวเลขในฝันที่เรียบง่ายและทรง พลังอะไรเช่นนี้ ราวกับรอยเปื้อนเพียงจางๆ แต่ซักไม่ออกบนหน้าอกเสื้อนักเรียน ที่ชวนให้หงุดหงิดใจทุกครั้ง เมื่อเห็นการปรากฏตัวท่ามกลางความขาวสะอาดอย่าง หน้าตาเฉยของมัน ผมอยากรูป้ ฏิกริ ยิ าของเด็กๆ เกีย่ วกับเรือ่ งนี้ เหมือนตอนทีอ่ ยากอ่านความใน ใจของพวกเขาจากกระดาษทีม่ อบให้ในวันปัจฉิม ทางเดียวทีจ่ ะรูไ้ ด้ คือการเปิดเข้าไป ดูในเฟซบุ๊ค โลกแห่งปฏิกิริยาที่ไม่เคยหลับใหล และเพียงแค่ความในใจแรกๆ ที่เจอ ก็ท�ำให้ผมไม่ได้หลับใหลในคืนนั้นเช่นเดียวกัน “กูไม่ได้เข้ามหาลัยที่กูอยากเข้าเพราะกูไม่มีเกรดดีๆ กูไม่มีเกรดดีๆ เพราะกู ไม่มีเงิน - แด่ครูและเพื่อนบางคนที่กูเคยรัก” ข้อความนี้เป็นสเตตัสของเพื่อนในห้องนายมนัสเอง แต่สิ่งที่มีพลังมากกว่าตัว ข้อความ คือจ�ำนวนคนกดไลค์เกือบร้อยคน ไม่ว่าเด็กคนนั้นจะหมายถึงครูคนไหน แต่ผมอุปาทานไปเรียบร้อยแล้วว่า นั่นคือประโยคที่มุ่งสื่อสารกับผมโดยตรง และ 105


สัญลักษณ์รูปการชูนิ้วโป้งของปุ่มกดไลค์ ก็แปรสภาพกลายเป็นนิ้วชี้นับร้อยนิ้วจาก ลูกศิษย์ก�ำลังพุ่งตรงมาที่ผมเพียงคนเดียว เช้าวันรุง่ ขึน้ อันเป็นเช้าทีน่ า่ จะชวนให้เกิดความรูส้ กึ อาลัยอาวรณ์เป็นอย่างยิง่ เพราะมันเป็นเช้าวันสุดท้ายทีผ่ มจะได้อยูใ่ นโรงเรียนแห่งนี้ แต่เรือ่ งของนายมนัสได้เข้า กลบบรรยากาศพวกนัน้ ไปหมด ผมอยากจะเริม่ ต้นเช้าวันนัน้ ด้วยการย้อนเวลากลับ ไปยืนอยูห่ น้าเสาธง ในช่วงทีย่ งั เปิดเทอม เพือ่ บอกเล่าทุกสิง่ ทุกอย่างให้คนทัง้ โรงเรียน ที่มาเคารพธงชาติฟัง แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ คนเดียวที่ผมสามารถจะเล่าได้โดยไม่ดู ว่าเป็นการแก้ตัว คือเพื่อนครูรุ่นน้องคนหนึ่งที่สนิทสนมกันมากที่สุด ผมบอกกับเขา ในตอนท้ายว่าการทีผ่ อู้ ำ� นวยการไม่ถามผมสักค�ำว่าผมรับเงินสินบนมาหรือไม่นนั้ ท�ำให้ ผมรู้สึกติดค้างในใจเป็นอย่างมากหากจะต้องจากไปด้วยสถานะที่คลุมเครืออย่างนี้ น้ อ งคนนั้ น บอกว่ า ถ้ า เป็ น เขา เขาจะไปขออธิ บ ายความจริ ง ทั้ ง หมดให้ ผู้อ�ำนวยการฟัง ผมเองก็คิดเช่นเดียวกัน อย่างน้อยๆ หากผู้อ�ำนวยการผู้มีต�ำแหน่ง สูงสุดในโรงเรียนเข้าใจ ผมก็คงกลับมาเยี่ยมเยือนโรงเรียนแห่งนี้ในวันข้างหน้าได้ อย่างสบายใจมากขึ้น ผู้อ�ำนวยการเองก็ดูประหลาดใจที่ผมมาขอพบ ผมเริ่มต้นด้วยการอธิบายว่า ครั้งแรกที่ได้คุยกันนั้น ผมรู้สึกค้างคาใจที่ยังอธิบายอะไรหลายๆ อย่างได้ไม่หมด แกบอกว่าที่แกไม่ถามอะไรมากมาย เพราะผมยอมรับเรื่องแก้กระดาษค�ำตอบอย่าง ง่ายดาย ต่างจากครูอีกหลายคนที่มีความไม่ปรกติในระบบคะแนนเช่นเดียวกัน แต่ ยังไม่มีใครยอมรับ และผมก็อยู่ในสถานะที่ก�ำลังจะออกไปเองอยู่แล้ว จึงไม่จ�ำเป็น ต้องพูดอะไรให้มาก หากอยากจะให้แกถาม แกก็อยากจะถามเพียงข้อเดียวว่า คุณ แม่นายมนัสจ่ายให้ผมเท่าไหร่ ผมถึงกล้าท�ำเรื่องแบบนี้ ผมบอกว่า ผมไม่ได้รับเงินสักบาทเดียว หากจะพูดถึงสิ่งของ ผมได้รับเพียง คุกกี้หนึ่งถุง ปฏิทินวันปีใหม่ ปากกาหนึ่งด้าม และพวงมาลัยพวงเดียวเท่านั้น แต่ ทั้งหมดก็มีที่มาที่ไปและไม่ได้มาในฐานะอามิสสินจ้างเลยสักชิ้น ผู้อ�ำนวยการจึงถาม ต่อว่าแล้วท�ำไมผมถึงท�ำอย่างนัน้ ไม่คดิ เลยหรือว่ามันเป็นเรือ่ งทีผ่ ดิ ถ้าข้างบนเข้ามา ตรวจสอบ แกจะท�ำอย่างไร ผมตอบว่า ผมท�ำไปเพื่อช่วยให้เด็กมีอนาคตที่ดี แล้วอีก อย่าง ผมแทบจะรู้เรื่องเกรดสี่เป็นคนสุดท้ายเลยด้วยซ�้ำ ในฐานะที่มีอาวุโสน้อยที่สุด เมื่อพี่ครูคนอื่นๆ ไม่มีใครทักท้วงว่าเป็นเรื่องผิด และพร้อมใจกันช่วยทุกคน ผมจึง เข้าใจว่านี่เป็นสิ่งที่จ�ำเป็นต้องท�ำ แกถามต่อว่า พี่ครูคนไหนที่เป็นคนบอกเรื่องนาย 106


มนัสให้ผมรู้เป็นคนแรก ผมตอบไปโดยไม่ทันคิดว่า พี่ปวีณา ที่น่าตลกก็คือ ผู้อ�ำนวยการบอกกับผมว่า คุณแม่นายมนัสเคยมาพูดคุยเรื่องนี้ กับแกมาก่อนแล้ว แต่แกปฏิเสธไปว่าไม่มที างท�ำได้ และแกก็ไม่คดิ ว่าครูคนอืน่ จะกล้า ท�ำกัน ถ้านีเ่ ป็นเรือ่ งจริง มันจะน่าตลกมากทีแ่ กรูอ้ ยูก่ อ่ นแล้ว กลับไม่รบี ออกมาสัง่ ห้าม ไม่ให้พวกเราท�ำ เพราะชือ่ เสียงของคุณแม่นายมนัสโด่งดังในโรงเรียนแห่งนีไ้ ด้กใ็ นยุค ของผู้อ�ำนวยการท่านนี้ ทั้งเรื่องบนโต๊ะหรือใต้โต๊ะที่ใครๆ ต่างก็รู้กันดี แกจะไม่รู้เลย หรือว่าแกเป็นคนสร้างความสบายใจให้พวกครูในการทีจ่ ะช่วยเหลือลูกชายของเธอขึน้ มาเอง เพราะใครจะไปคิดว่า จู่ๆ ผู้อ�ำนวยการจะมาเอาจริงเอาจังกับเรื่องที่ส่อแววว่า จะมีการรับสินบน จากผู้ปกครองคนเดียวกับที่แกก็เคยรับมาก่อนมากมายหลายเท่า นึกมาถึงตรงนี้แล้วผมก็อดเสียใจไม่ได้ ที่คิดผิดว่าจะตัวเองจะสบายใจขึ้น เมื่อ ได้เข้าไปคุยกับผูอ้ ำ� นวยการโรงเรียน ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด จากทีค่ ดิ ว่าจะได้ ออกไปอย่างสง่าผ่าเผย ผมกลับปิดฉากด้วยการกลายเป็นหมาจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ผู้คาบ ข่าวไปบอกให้สิงโตมากัดกินฝูงของตนเอง บ่ายวันนั้น ผู้อ�ำนวยการเรียกครูที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ทุกคนยกเว้นผม เข้าห้องประชุม เรื่องราวที่เกิดขึ้นภายในห้องนั้น ผมเพิ่งมารู้เอาทีหลังจากน้องครูคน ที่สนิทด้วย ว่าผู้อ�ำนวยการพยายามสอบสวนพวกพี่ครู ด้วยการอ้างว่ามีครูคนหนึ่ง รับสารภาพแล้ว เรือ่ งทีแ่ ก้กระดาษค�ำตอบเพราะถูกพีค่ รูคนอืน่ ๆ กดดัน แกประชดประชัน ว่า อย่างน้อยๆ ครูคนนัน้ ก็มคี วามกล้าหาญอย่างยิง่ ทีย่ อมรับว่าตนเองเป็นคนแก้ คนที่ ถูกเพ่งเล็งมากที่สุดคือ พี่ปวีณา เพราะถ้าไม่มีครูประจ�ำวิชาคนไหนยอมรับว่าแก้ กระดาษค�ำตอบ ครูประจ�ำชั้นจะกลายเป็นคนที่น่าสงสัยที่สุด เนื่องจากมีเหตุจูงใจให้ แอบเข้ามาแก้เพื่อช่วยนักเรียนของตนเอง แม้จะไม่มีหลักฐานชัดเจนเรื่องการรับ สินบน แต่มอเตอร์ไซค์คันที่คุณแม่นายมนัสมอบให้พี่ปวีณาในวันปีใหม่ก็เป็นเรื่องที่ ทุกคนนึกถึงอยูเ่ สมอ และทีส่ ำ� คัญผูอ้ ำ� นวยการยังน�ำค�ำของผมมาตอกย�ำ้ เข้าไปอีกว่า แกเป็นคนที่มาบอกให้ผมช่วยเหลือนายมนัส ช่วงเย็น ขณะทีผ่ มก�ำลังเดินไปไหว้อำ� ลาคุณครูคนอืน่ ๆ ในโรงเรียนก่อนจะจาก ไปอย่างถาวร พีค่ รูทงั้ หมดก็ออกมาจากห้องประชุมกัน โดยไม่มใี ครในกลุม่ สนใจมอง มาที่ผมเลยสักคน พี่ปวีณานั้นเห็นได้ชัดว่าเพิ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก นั่นเป็น ครั้งสุดท้ายที่ผมได้พบกับพี่ปวีณา ข่าวล่าสุดที่รู้ก็คือ แกตัดสินใจยื่นใบลาออกคล้อย หลังผมจากไปได้ไม่กี่วัน 107


ส่วนเรือ่ งนายมนัส ทุกอย่างจบลงด้วยการทีผ่ อู้ �ำนวยการสัง่ ให้ฝา่ ยวิชาการสอบ เรื่องนี้จนถึงที่สุด จนพบว่ามีครูประจ�ำวิชาบางคน แก้กระดาษค�ำตอบ แก้ใบกรอก คะแนน และแก้คะแนนที่กรอกไปแล้วในคอมพิวเตอร์ ทั้งหมดถูกหักเงินเดือนหนึ่ง ปีเต็ม และทางโรงเรียนก็เปลี่ยนแปลงระบบการตรวจข้อสอบและการกรอกคะแนน ใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องที่ผู้อ�ำนวยการให้ค�ำนิยามว่า “น่าอับอายขายขี้หน้า” อีกครั้ง เมือ่ คืนวานนี้ ผมเพิง่ ได้กลับไปทีโ่ รงเรียนเป็นครัง้ แรกหลังจากออกจากทีน่ นั่ มา เมื่อ 1 ปีก่อน น้องครูคนเดิมกับพวกศิษย์เก่าเรียกร้องให้ผมไปสังสรรค์กันในงานกิน เลีย้ งใหญ่ประจ�ำปี ไม่นา่ เชือ่ ว่าเด็กๆ จะลืมเรือ่ งพวกนีไ้ ด้อย่างรวดเร็ว ไม่มใี ครพูดถึง มันอีกแล้ว หรือพวกเขาอาจจะไม่เคยสนใจอะไรมากเท่ากับผม ผมเองก็ไม่อาจทราบ ได้ เพราะช่วงหลังจากที่เจอสเตตัสนั้น ผมก็เลิกเล่นเฟซบุ๊คไปนานนับเดือน กลับมา อีกทีทุกอย่างก็เป็นปรกติ ราวกับเรื่องนี้ถูกลบออกไปจากหน้าประวัติศาสตร์ ท่ามกลางโต๊ะจีนและผูป้ กครองนับพันในค�ำ่ คืนอันสว่างไสว ผมเจอคุณแม่นาย มนัสภายในงานโดยบังเอิญ เธอมาให้ก�ำลังใจลูกสาวคนเล็กที่ต้องขึ้นไปร้องเพลงบน เวที ทันทีทเี่ ห็นผม เธอรีบเข้ามายกมือสวัสดีดว้ ยอารามดีใจ ทัง้ แววตาและรอยยิม้ นัน้ ยังคงเป็นเหมือนกับวันแรกทีผ่ มเคยได้พบ เธอเพิง่ ทราบได้ไม่นานว่าผมออกจากทีน่ ี่ ไปแล้ว จึงเข้ามาบ่นเสียดายที่ครูดีๆ อย่างผม กลับเลือกที่จะไปท�ำอย่างอื่น ผมบอกกับคุณแม่นายมนัสว่า สักวันผมอาจจะกลับไปเป็นครูอีก แต่ตอนนี้ขอ อยูก่ บั สิง่ ทีเ่ คยฝันไว้กอ่ น เธอบอกว่าเธอเข้าใจพวกคนหนุม่ ดี แล้วยกตัวอย่างลูกชาย ของเธอ ที่อุตส่าห์เข้าโรงเรียนการบินได้แล้ว แต่กลับไม่ชอบ ฝันอยากเป็นผู้ก�ำกับ ภาพยนตร์ จนสุดท้ายตอนนี้เธอต้องส่งไปเรียนและอยู่กับญาติที่ต่างประเทศ

108



ตัวประกอบ

วรฐิติ มโนสร้อย 110


ที่นั่น ผมก�ำลังนอนรอความตาย

ด้วยความบังเอิญ ผมได้รับโอกาสเล่นเป็นตัวประกอบในภาพยนตร์ฟอร์มเล็ก เป็นเรือ่ งราวเกีย่ วกับตัวละครสูช้ วี ติ จากโรคร้าย รายละเอียดนอกเหนือไปจากนัน้ ผม ก็ไม่รู้มากนัก จ�ำได้เพียงแค่ข้อความประกาศรับสมัครบอกว่าต้องการ ‘ตัวประกอบ’ ที่มีความอดทน เชื่อฟังตามค�ำสั่ง ไม่เรื่องมาก และยอมรับที่จะท�ำอะไรซ�้ำๆซากๆ เป็นเวลานาน เมื่อลองใคร่ครวญอยู่พักหนึ่ง ผมก็เห็นว่าตัวเองมีคุณสมบัติเหล่านี้ครบถ้วน กองถ่ายเรียกให้ผมไปเจอในวันรุ่งขึ้นตอนเช้าตรู่ ภาพแรกที่เห็นคือความ วุน่ วาย ผูค้ นหลากหลายเดินเปะปะไปมาอย่างรวดเร็ว เร่งรีบไร้ระเบียบคล้ายผึง้ แตกรัง เด็กยกของ ตากล้อง ช่างแต่งหน้า นักแสดง ตัวประกอบ คนเสิร์ฟน�้ำ พนักงานจัดไฟ คนควบคุมเสียง คนถือไมค์บูม โทรโข่ง หิ้วกระดานบอร์ด ห้อยวิทยุสื่อสาร ทั้งหมด ล้วนต่างท�ำหน้าที่ของตัวเองเพื่อขับเคลื่อนกองถ่ายไปข้างหน้าไม่ให้สะดุดแม้เพียง วินาทีเดียว พวกเขาเช่าห้องผู้ป่วยรวมของโรงพยาบาลเป็นสถานที่ถ่ายท�ำ เตียงผ้าปู สีเขียวอ่อนวางเรียง เก้าอี้ โต๊ะ กระปุกยา หนังสือพิมพ์ วัตถุหลากชนิดตบแต่ง สิ่งแวดล้อมให้ภาพออกมาน่าเชื่อถือ จนเมื่อแสงไฟส่องเข้าสู่ฉาก ผมเปลี่ยนเป็นชุด คนป่วยพร้อมกับนักแสดงตัวประกอบคนอืน่ และขึน้ ไปนอนบนเตียง ข้างๆมีนกั แสดง ในชุดคุณหมอยืนท่องบทพึมพ�ำอยูห่ ลังกล้อง เขาหลับตา ขยับปาก ท�ำสมาธิ รวบรวม พลังเพื่อปลดปล่อยมันสู่ภาพยนตร์ และช่วงเวลาเดียวกัน ผู้ก�ำกับเดินมาหาพวกเรา อย่างรีบๆ พร้อมให้ค�ำแนะน�ำสั้นๆ 111


“ฟังนะ พวกคุณจะท�ำยังไงก็ได้ ขอแค่ให้เหมือนคนป่วยมากที่สุด” นั่นคือค�ำแนะเพียงอย่างเดียว ผมปฏิบัติตามแทบทันที ทิ้งตัวนอนบนเตียง เอามือประสานวางไว้บนอกและมองเพดานที่ว่างเปล่า จนเมื่อนักแสดงพร้อม กล้อง พร้อม แสงพร้อม เสียงพร้อม ห้องที่เคยเต็มไปด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายก็ค่อยๆ เงียบลง ผู้ก�ำกับนั่งเก้าอี้มองภาพผ่านจอมอนิเตอร์ ท�ำสมาธิ กุมมือทั้งสองข้างเข้า ด้วยกัน ก่อนจะค่อยๆเงยหน้าขึ้น พร้อม กล้อง สปีด แอ๊คชั่น ตัวละครเอกก�ำลังนั่งบนเตียง สีหน้าเศร้าหมอง ล่องลอย หันซ้ายขวาเหมือน ก�ำลังรอคอยสิ่งส�ำคัญบางอย่าง เขาเริ่มมองไปรอบๆห้องอย่างไร้จุดหมาย เพดาน เตียง โต๊ะ นางพยาบาล ถังขยะ ผ้าพันแผล รถเข็น ขวดน�้ำ และในที่สุด คุณหมอสวม ชุดขาวก็เดินมาจากข้างหลัง ผ่านเตียงผูป้ ว่ ย ลัดเลาะผ่านช่องว่าง ตัวละครเอกดวงตา เบิกโพลงเมื่อเห็น คล้ายกับว่านั่นคือสิ่งที่เขารอคอยมาตลอด แต่แล้วก็มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น ผู้ก�ำกับตะโกนสั่งคัทเสียงดัง ก่อนจะเดินตรงมา ชี้นิ้วใส่หน้าผม “แกท�ำอะไรอยู่น่ะ ?” “ค.. ครับ ?” “แกเล่นเป็นคนป่วยใช่ไหม ?” “อ.. ครับ” “คนป่วยไม่เอามือมาประสานกันบนอก” “ท�ำไมล่ะครับ ?” ผมถาม “นั่นมันคนตายต่างหาก คนตายเอามือประสานกันบนอก !” โอเค ฟังดูสมเหตุสมผล ดังนัน้ ผมจึงเอามือวางไว้ขา้ งตัวแทน ส่วนเขาเดินกลับ ไปนั่งที่มอนิเตอร์ แสดงท่าทางหัวเสียกับเรื่องที่เกิดขึ้น ท�ำสมาธิ ประสานมือ พร้อม กล้อง สปีด 112


แอ๊คชั่น ตัวละครเอกนัง่ บนเตียง กุมประสานมือสองข้างไว้ดว้ ยกัน นิว้ โป้งข้างซ้ายถูกบั อุ้งมือขวาซ�้ำๆ สีหน้าของเขาประหม่าเหมือนกับว่ามีเรื่องน่าหนักใจ เขามองออกไป นอกหน้าต่าง ต้นไม้ ผู้คน กองขยะ สุนัข คนแก่นั่งบนรถเข็น และตอนนั้น คุณหมอ ในชุดสีขาวเดินเข้ามาในฉากพร้อมกับนางพยาบาล ลัดเลาะผ่านเตียงผู้ป่วยคนอื่นๆ ตรงดิ่งไปที่ตัวเอกเหมือนกับนั่นคือจุดหมายอันส�ำคัญ ทั้งคู่เผชิญหน้า คุณหมอกระแอมสองสามทีก่อนจะเริ่มพูดด้วยสีหน้าที่ยากจะ อธิบาย “สวัสดีครับ วันนี้หมอได้ผลตรวจมาแล้ว จึงมาแจ้งให้ทราบ” “ครับ.. อาการผมเป็นยังไงบ้างครับหมอ” “คุณมีครอบครัวหรือเปล่า ?” “ครับ ม.. มี ครับหมอ” “คุณมีคนที่คุณรักอยู่ใช่ไหม ?” “ค..ครับ เดี๋ยวสิหมอ นี่มันเรื่องอะไรกัน ?” “หมอเชื่อว่าถ้าเรามีคนที่รักอยู่เคียงข้าง เราจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ง่ายขึ้น” “อ.. เอ่อ อะไรนะครับ ผมไม่เข้าใจ” “หมอเสียใจ—“ “หมอครับ ได้โปรด บอกมาเถอะครับ ผมรับมันไม่ไหวอีกแล้ว” เขาน�ำ้ ตาคลอเบ้า “หมอเสียใจที่ต้องบอกแบบนี้ แต่จากผลตรวจนี่ คุณจะอยู่ได้อีกไม่นานนัก” “อ.. อะไรนะครับ ??” “อาจจะแค่หนึ่งปี หรือมากกว่านั้น” “น.... หนึ่งปี ?” “หมอรูว้ า่ มันเป็นเรือ่ งยากทีจ่ ะยอมรับ หมอจึงขอแนะน�ำว่าให้คณ ุ กลับบ้าน บอก คนในครอบครัว พยายามอธิบายให้ลกู ๆฟัง และเตรียมตัวให้พร้อมกับสิง่ ทีจ่ ะเกิดขึน้ ” ตัวเอกแสดงสีหน้าอึ้ง ใช้เวลาพักหนึ่งบีบน�้ำตา หน้าแดงก�่ำ เสียงคร�่ำครวญ ขยับปากเหมือนจะพูด ผมมองเงยหน้า เหลือบตา มองเห็นอารมณ์แห่งการสรรค์สร้าง ความรูส้ กึ ทีก่ ลัน่ ออกมาจากจินตนาการ โศกเศร้า หดหู่ สิน้ หวัง เสียใจ ท้อแท้ เขาเริม่ ก้มหน้า ร่างกายสั่นเทา ก่อนจะค่อยๆส่งเสียงสะอึกสะอื้น ขณะห้วงอารมณ์กำ� ลังจะถูกปัน่ ไปจุดสูงสุด ผูก้ ำ� กับก็ตะโกนสัง่ คัทอีกครัง้ ส่าย 113


หัว และเดินตรงมาที่ผม “แก” เขาตะโกน ผมหันไปมองคนข้างๆ “แกนั่นแหละ ไม่ต้องหันไปมองใคร” “ค.. ครับ ?” “แกจะเงยหน้ามองทางนี้ท�ำไม ห๊ะ ?” “ท�ำไมล่ะครับ ?” “เพราะแกเป็นคนป่วย คนป่วยไม่สนใจห่ะอะไรนอกจากว่าตัวเองจะหายหรือ เปล่า” โอเค ผมคิด สมกับเป็นมืออาชีพที่สามารถหาค�ำอธิบายอันสมเหตุสมผลได้ เสมอ คราวนี้ผมจึงนอนนิ่ง หลับตา ผู้ก�ำกับมีทีท่าหัวเสียหนักยิ่งกว่าเดิม เดินกลับ ไปนั่ง ท�ำสมาธิ ประสานมือ พร้อม กล้อง สปีด แอ๊คชั่น ชายคนเดิ ม นั่ ง อยู ่ บ นเตี ย งด้ ว ยสี ห น้ า เศร้ า หมอง ดวงตากลอกไปมาไร้ โฟกัส มองสิ่งรอบข้างอย่างไร้จุดหมาย กองนิตยสาร รถเข็น เก้าอี้ เพดาน พัดลม องค์ประกอบถูกจัดวางอย่างหละหลวม เขาไม่ใช่เป้าสายตาของใคร เป็นชายคนป่วย ท่าทางหดหูน่ งั่ โดดเดีย่ วอยูใ่ นห้องผูป้ ว่ ย และตอนนัน้ คุณหมอสวมชุดขาวเดินเข้ามา พร้อมกับนางพยาบาล ลัดเลาะเตียงคนป่วยตรงไปหาเขา “สวัสดีครับ วันนี้หมอได้ผลตรวจมา เลยมาแจ้งให้ทราบ” “ค... ครับคุณหมอ อาการผมเป็นยังไงบ้าง” “เอ่อ.. คุณครับ คุณมีครอบครัวหรือเปล่า ?” “ม.. มี ครับหมอ ท�ำไมเหรอครับ” “คุณมีคนที่คุณรักอยู่ใช่ไหม ?” “หมอครับ นี่มันเรื่องอะไรกัน” “หมอรู้ว่ามันยากที่จะผ่านจุดนี้ไปได้” “ม... หมอครับ หมอท�ำให้ผมกลัว” “แต่หมอเชื่อว่า ถ้ามีคนที่รักคอยอยู่ข้างๆแล้วล่ะก็ ทุกอย่างจะง่ายขึ้น” 114


“ม..หมอครับ ตกลงผมเป็นอะไรกันแน่ ได้โปรด” เขาน�้ำตาคลอเบ้า และเงียบ ไปพักใหญ่ “คุณครับ หมอเสียใจที่ต้องบอกแบบนี้ แต่จากผลตรวจนี่ คุณจะอยู่ได้อีกไม่ นานนัก” “อ. อะไรนะครับ” “คุณมีเวลาเหลือไม่มากนัก” “นี่หมอไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม ?” “หมอรูค้ รับ ว่ามันยากทีจ่ ะยอมรับ หมอขอแนะน�ำว่าให้คณ ุ กลับบ้าน บอกคนใน ครอบครัว พยายามอธิบายเรือ่ งนีใ้ ห้ดที สี่ ดุ หมอรูว้ า่ มันล�ำบาก แค่คณ ุ ควรจะเตรียมสิง่ ต่างๆทีจ่ ำ� เป็นส�ำหรับอนาคตของลูกๆ เตรียมตัวรับสิง่ ทีจ่ ะเกิดขึน้ ในอีกไม่ชา้ หมอเชือ่ ว่าคุณจะสามารถผ่านเรื่องเลวร้ายเหล่านี้ไปได้ และใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้คุ้มค่าที่สุด” “แต่.. แต่..” “หมอรู้ หมอเข้าใจ” “ผม... ผมจะบอกลูกๆยังไง” ตัวเอกเริ่มร้องไห้ เสียงกระซิกดังไปทั่วห้อง ส่วนผมก�ำลังนอนนิ่งหลับตาและ จินตนาการว่าตัวเองก�ำลังจะตาย เอาแบบนี้ก็แล้วกัน มันคือโรคที่ไม่มีทางรักษาหาย และอีกไม่เกินหนึง่ ปีผมก็จะกลายเป็นปุย๋ หรือไม่กผ็ กั ถึงตอนนัน้ เพือ่ นฝูงก็คงทยอยมา เยีย่ ม อัดจนเต็มห้องกว้างๆนี่ บนโต๊ะจะมีชอ่ ดอกไม้ กระเช้าของขวัญ เครือ่ งดืม่ บ�ำรุง ก�ำลัง การ์ดอวยพร และอาจจะมีใครสักคนปรากฏตัวขึน้ ใครสักคน ทีไ่ ม่เคยคิดจะใส่ใจผม นอกไปเสียจากวันทีผ่ มมีโอกาสจะตาย หลังจากนัน้ พวกเขาก็จะแสดงสีหน้าเศร้าโศก ทุกข์ระทมราวกับนี่เป็นความทรมานของตัวเอง เลิกคิ้ว เบ้ปาก น�้ำตาคลอ หรี่ตา สูด จมูก ส่งเสียงกระซิกสะอึกสะอื้น หรือบางที อาจจะถึงกับฟูมฟาย เอาเหอะ มันจะ มีอะไรน่าหดหู่ไปกว่าการมองคนที่เราแทบจะไม่รู้จักค่อยๆสิ้นลมหายใจไปอีกล่ะ ? นักแสดงเจ้าบทบาทยังคงร้องไห้ ร่างกายทรุดลงกับพื้น กล้องค่อยๆซูมเข้าไป เห็นใบหน้าทีเ่ ต็มไปด้วยคราบน�ำ้ ตา ความโศกเศร้าเอ่อล้น การแสดงหมดจด ยอดเยีย่ ม ไร้ที่ติ ผู้ก�ำกับสั่งคัท ร้องตะโกนเอ่ยชม คนในกองถ่ายปรบมือเสียงดังสนั่นหวั่นไหว เหล่าตัวประกอบลุกขึ้น กระแทกฝ่ามือสองข้างเป็นเสียงแห่งความยินดี สายตาจับ จ้องไปที่ตัวละครเอกซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางความสนใจทั้งมวล 115


ขณะที่ผมยังคงนอนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน

อพยพ

อาริยา เทพรังสิมันต์กุล 116


วันที่ 16 พฤษภาคม ...น่าจะปีที่ 12 ของการท�ำงาน (นับ รวมกับที่เคยท�ำงานอื่นมาก่อน)

ผมถูกส่งมาปฏิบตั หิ น้าทีท่ จี่ งั หวัดแห่งหนึง่ เป็นจังหวัดทีผ่ มไม่เคยมา ชือ่ อ�ำเภอ และต�ำบลก็ไม่เคยได้ยนิ มาก่อน มันเป็นชือ่ ทีอ่ า่ นออกเสียงยากและฟังดูตลกมาก ตอน ไอ้จูนมันอ่านให้ฟัง ผมเก็บเอาไปข�ำอยู่คนเดียวตั้งนานสองนาน ผมอยากจะเอาไป บอกใครต่อใครที่ผมรู้จัก อยากจะเก็บเอาไปเล่าไว้เป็นมุขตลกข�ำๆให้คนใกล้ตัวได้ หัวเราะกัน แต่น่าเสียดายจริงๆที่ผมจ�ำชื่อไม่ได้ มันจ�ำไม่ได้จริงๆให้ตายเถอะ ยิ่งนึก เท่าไหร่ก็ยิ่งนึกไม่ออก แต่ตอนนี้ผมนึกออกแค่ว่า ถ้าไม่ใช่เพราะงานหรือหน้าที่ ผม คงไม่มีทางได้มาเหยียบหมู่บ้านนี้เป็นแน่ ตอนแรกที่ผมพากลุ่มผู้อพยพตั้งแต่บ้านเลขที่ 526 จนถึงเขตชายป่าไปจุดขึ้น รถได้สำ� เร็จ ผมยังคิดเลยว่าภาระหน้าทีท่ ตี่ รากตร�ำท�ำมาอย่างหนักตัง้ แต่รงุ่ สางคงจะ เสร็จสิน้ ลงแค่นี้ ความเมือ่ ยล้าจากบ่าทีค่ อ่ ยๆลามมาเรือ่ ยๆจนเริม่ ปวดไปทัง้ แขน มัน ท�ำให้ผมไม่อยากจะท�ำอะไรอีกต่อไป เพราะสิง่ ทีผ่ มสละแรงกายหลายชัว่ โมงนัน้ ไม่ได้มี แค่พาชาวบ้านขึน้ รถอพยพไปยังศูนย์พกั พิงชัว่ คราวเท่านัน้ หากแต่ผมยังต้องเตรียม ทัง้ ก�ำลังและสมองรับมือกับชาวบ้านทีห่ ลากหลายมาก บางคนก็หวาดผวามากจนผม แทบจะต้องอุ้มขึ้นรถ บางคนก็นิ่งเฉยมาก ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น พอผมบอกรายละเอียดตามที่เขาถาม ก็ถึงกับเป็นลมล้มหงายรับแทบไม่ทัน ลูกเล็ก เด็กแดงร้องไห้กันจ้าละหวั่น ตกใจว่าในหมู่บ้านเกิดอะไรขึ้น พวกเด็กที่ซนๆหน่อยก็ ดูจะสนุกเชียวล่ะ ปั่นป่วนเจ้าหน้าที่กันให้วุ่น บางบ้านก็ไม่ยอมให้ความร่วมมือ ต้อง 117


เสียเวลาเกลี้ยกล่อมอยู่นานกว่าจะเข้าใจ เพราะว่าหวงของในบ้าน พอเจอบางบ้านที่ ยอมไปแต่ก็หวงของนี่เล่นท�ำเอาแย่ไม่แพ้กัน ล�ำบากต้องไปช่วยแบกทั้งที่ไม่ใช่เรื่อง เลย (เฉพาะบ้านที่มีรถ แต่ก็มีไม่ถึง 5 หลัง ส่วนใหญ่ใช้กันแต่มอเตอร์ไซค์) บางคน พอบอกว่าต้องอพยพทีก็เล่นขนทั้งหม้อ ไห กะละมัง ถ้วย ชาม แทบจะหมดบ้านมา ด้วย ก็ต้องไปปราม ขอให้เอาไปแต่ของใช้ที่จ�ำเป็นเท่านั้นจริงๆ แต่จะว่าไปแล้ว มัน ก็ไม่ใช่ความผิดชาวบ้านแต่เพียงฝ่ายเดียว ต้องยอมรับว่าทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เองก็ไม่ยอมแจ้งเตือนภัยชาวบ้านก่อนล่วงหน้าให้มันเร็วกว่านี้ ไม่มีมาตรการรักษา ความปลอดภัยหรือเตือนภัยอะไรทีด่ ใี ห้กบั ชาวบ้านเลย จนถึงเวลาทีภ่ ยั ธรรมชาติมนั จะเล่นงานเอาเข้าจริง ถึงได้ค่อยมาจ้าละหวั่นอพยพชาวบ้านกันอย่างนี้ คนที่ต้องทั้ง เหนื่อยท�ำงานและรับฟังค�ำด่าก็ไม่ใช่ใครอีก ก็พวกหน่วยที่ต้องมาลงพื้นที่อย่างผมนี่ เมื่ออาทิตย์ก่อนเจ้านายถอยรถจี๊ปออกมาใหม่ เป็นรถมือสองที่แต่งเลียนรถ ทหาร เขาอยากจะทดสอบสมรรถภาพเวลาขับขึ้นเขาดูว่าเครื่องมันยังไหวอยู่ไหม ก็ เลยให้ผมมายืมขับส�ำหรับท�ำงานนี้ดู มีเจ้าจูน น้าต่อง กับเปี๊ยก ขึ้นรถมากับผมด้วย เพื่อที่อย่างน้อยตอนขากลับไม่ต้องไปนั่งเบียดกับชาวบ้าน ผมสตาร์ทรถเตรียมขับ ออกไปแล้ว แต่มีวอเข้ามาพอดี แจ้งเข้ามาว่ายังมีชาวบ้านที่ยังไม่ได้ขึ้นรถมาด้วย เพราะบ้านหลังนั้นตั้งอยู่ห่างจากหมู่บ้านอยู่พอควร ใกล้กับบริเวณสันเขา และอาจ จะเพราะที่มันอยู่ลับตานี่แหละ จึงท�ำให้ยังมีคนตกค้างอยู่ ทุกคนบนรถจีป๊ นิง่ เงียบ เหมือนก�ำลังรอเงีย่ ฟังว่าจะมีใครสักคนพูดอะไรออกมา ก่อน ผมกวาดสายตาไปมองไอ้จนู น้าต่อง เปีย๊ ก ทีละคน ไม่มใี ครสบตากัน ทุกคนมอง ออกไปกันคนละทาง แต่ผมรับรู้ได้ถึงความกังวลใจที่ทุกคนมีอยู่ มันเป็นความกังวล ที่เกิดขึ้นมาเพราะเสียงวอที่เพิ่งดับไปเมื่อกี้นี้ ผมคิดว่าผมรู้ถึงเหตุผลหลายๆอย่างที่ อาจจะก�ำลังผุดขึน้ อยูใ่ นความคิดของทัง้ สามคนนัน้ ทีท่ ำ� ให้พวกเขาต้องนิง่ เงียบกันไป ส่วนตัวผมเองนั้นก็มีความคิดมากมายที่เกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แล้วก็สรุปให้กับ เหตุการณ์นั้นได้แทบจะฉับพลัน ผมพูดบอกทุกคนออกไปว่า “เดี๋ยวผมไปเอง” ทุกคนละทิง้ ห้วงภวังค์ความคิดตัวเองมารวมสายตากันอยูท่ ใี่ บหน้าผม แววตา แต่ละคนมันแสดงชัดเจนว่าใจชื้นขึ้น รู้สกึ ดีขึ้น (แน่สิ ก็ผมอาสาไปแทนแล้วนี่) มันปิด ยังไงก็ไม่มดิ แววตามันฟ้องออกมาผ่านสีหน้าทีแ่ สดงว่ากังวลและเหมือนจะเป็นห่วงผม ไอ้จนู มันถามผมว่า “พีจ่ ะไปคนเดียวหรอ แน่ใจหรอ?” ผมพยักหน้าให้มนั แทนค�ำตอบ เปีย๊ กมองสลับไปมาระหว่างผมกับจูน ผมรูว้ า่ มันก็คงสองจิตสองใจอยู่ ว่าจะไปกับผม 118


หรือจะถามค�ำถามเดียวกับไอ้จูน ซึ่งผมเข้าใจสถานการณ์ที่บ้านมันดี เมียมันก�ำลัง ท้องลูกแฝดได้ 6 เดือนแล้ว อย่างน้อยๆมันก็คงอยากรีบกลับบ้านไปหาลูกเมียมัน แล้วก็คงไม่อยากจะไปเสี่ยงอะไรด้วย น้าต่องยังคงจ้องมองผมนิ่ง ผมรู้ว่าน้าก�ำลังคิด อะไรอยู่ ทุกคนนิง่ กันไปสักพักนึง มันมีบรรยากาศของความรูส้ กึ อึดอัดกระจายอยูโ่ ดย รอบ ทั้งที่มันเพียงแค่ชั่ววินาที ทั้งที่มันเป็นการตัดสินใจของผมไปแล้วคนเดียวแท้ๆ แต่กลับท�ำให้เกิดบรรยากาศอย่างนีข้ นึ้ มาได้ เสียงรถจีป๊ ก็ฟงั ดูจะดังขึน้ อย่างกับเสียง เครื่องขุดเจาะถนน แรงสั่นสะเทือนของเครื่องยนต์ที่เผินๆไม่ได้มีอะไร ก็กลับรู้สึกว่า มันสั่นแรงขึ้น ผมอึดอัดกับการรอน้าต่องพูดอะไรบางอย่างออกมา ผมภาวนาให้น้า รีบๆพูดออกมาสักทีเถอะ จะแค่พูดหรือถอนหายใจออกมาก็ได้ การที่ทุกคนเงียบอยู่ อย่างนีแ้ ม้จะเพียงแค่ไม่กวี่ นิ าที มันสร้างความรูส้ กึ อึดอัดให้กบั ผมเป็นอย่างมาก และ คิดว่าเปี๊ยกกับไอ้จูนก็คงจะรู้สึกไม่ต่างกัน “เอ็งแน่ใจหรอว่าจะเข้าไปน่ะ ไม่รู้ว่าจะทันหรือเปล่า มันเสี่ยงมากนะ เอ็งลอง คิดดูให้ดีๆ” “ผมคิดดีแล้วครับ อีกอย่าง ผมคงรู้สึกไม่ดีถ้าไม่ได้เข้าไป” “เอ็งจะเอาอย่างนั้นแน่หรอวะ” น้าต่องนิ่งคิดไปอีกสักพัก หันมองจูนกับเปี๊ยก เหมือนสามคนนั้นก�ำลังตกลงอะไรบางอย่างกันในใจ ซึ่งผมว่าผมรู้ค�ำตอบที่ก�ำลังจะ ออกมาจากปากน้า “ถ้าเอ็งตัดสินใจแล้ว... ก็ตามใจเอ็ง แต่มีอะไรก็วอมาบอกพวกข้าด้วยล่ะ” น้าต่องกระโดดลงจากรถ เปี๊ยกกับจูนลงรถตาม ตอนนี้มีเพียงผมคนเดียวที่ นั่งอยู่บนรถจี๊ป น้าต่องมองมายังผม มันท�ำให้ผมรูส้ กึ วูบอะไรขึน้ มาสักอย่างทีบ่ อกไม่ถกู รูส้ กึ ถึง ความเสียใจและความรูส้ กึ ผิดทีถ่ กู ส่งมาผ่านสายตาของน้าต่อง แต่ผมคิดว่าผมเข้าใจ น้าดีครับ ผมเข้าใจเหตุผลน้าดี อย่าโทษตัวเองเลย มันไม่ใช่ความผิดน้าและคงจะไม่มี ใครผิดที่คิดตัดสินใจอย่างนั้น มันก็แค่งานอย่างที่ผ่านมานั่นแหละ “เอ็งเอารถเข้าไป เดี๋ยวพวกข้าตามไปขึ้นรถกับพวกคนอพยพเอา ยังไงก็ระวัง ตัวดีๆนะเฮ้ย แล้วกลับมากินมื้อดึกด้วยกัน ส่วนเรื่องรถเดี๋ยวข้าไปบอกนายให้เอง” น้าต่องบอกอะไรบางอย่างกับเจ้าจูน มันรีบวิง่ ไปทีก่ ลุม่ เจ้าหน้าทีอ่ กี กลุม่ ทีก่ ำ� ลัง เก็บข้าวของของหน่วยพยาบาล สักพัก ผมเห็นมันวิ่งกลับมาพร้อมกับหน้ากากกัน แก๊สแล้วยื่นมาส่งให้ผมที่รถ 119


“สู้ๆนะพี่ พี่ฮีโร่ผมจริงๆ ผมนับถือจากใจเลย” ผมวนรถเพือ่ เปลีย่ นทิศทางมุง่ หน้าไปยังหมูบ่ า้ นทีไ่ ร้ผคู้ น เบือ้ งหลังของหมูบ่ า้ น มีป่าสีเขียวชอุ่มสวยงามราวกับภาพถ่ายตามนิตยสารท่องเที่ยว มีภูเขาสูงใหญ่ และ ควันสีเทาคละคลุ้งออกมาเป็นครั้งคราวจากปลายยอด มันพุ่งขึ้นอยู่เรื่อยๆ สูงขึ้นไป แล้วฟุง้ กระจาย แต่ไม่เป็นจังหวะทีแ่ น่นอน ระยะเวลาก็มที งั้ สัน้ บ้างนานบ้างกว่าทีม่ นั จะพ่นควันออกมาอีกครั้ง คล้ายคนสูบบุหรี่ที่พ่นควันตามอารมณ์ มันเป็นภาพที่อยู่ เบือ้ งหลังไกลออกไปอีกจากหมูบ่ า้ น แม้ระยะทางจะดูหา่ งไกล แต่ชดั เจน มันสวยงาม แต่ให้ความรูส้ กึ ปวดร้าว เหมือนงานเขียนชิน้ เอกของตัวเองก�ำลังถูกแปรงสีเทาละเลง เลอะใส่ภาพท้องฟ้าทีส่ ว่างสดใส ผมก�ำลังมุง่ หน้าไปหามันอยู่ มันสวยงามอย่างลึกลับ ธรรมชาติที่ช่างน่าพิศวงและน่าอัศจรรย์ ผมขับรถจี๊ปมือสองลายทหารสภาพเกือบใหม่ เสียงเครื่องยนต์ดังมาก และ วิทยุก็เปิดไม่ได้ ผมขับวนไปทั่วหมู่บ้าน (ที่ชื่อก็ตลกไม่แพ้ชื่ออ�ำเภอกับชื่อต�ำบล) เพื่อหาบ้าน หลังสุดท้ายที่ยังไม่ได้รับความช่วยเหลือ แม้หมู่บ้านนี้จะเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆที่ ตั้งอยู่กลางป่ากลางเขา แต่เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่เลี้ยงสัตว์ก็ท�ำสวนเป็นอาชีพ บ้านแต่ละหลังจึงได้ตั้งห่างกันออกไป เส้นทางที่ใช้อยู่ก็ขรุขระเป็นเนินลาดชันขึ้นลง สลับกันไปไม่มีหยุดหย่อน ผมส่งว.ถามรายละเอียดอยู่นาน กว่าจะรู้ว่าบ้านหลังสุดท้ายนี้ไม่สามารถขับ รถเข้าไปได้ ต้องจอดอยู่ตรงช่วงเนินเขาที่เริ่มสูงชันกว่าจุดอื่นๆแล้วเดินต่อเข้าไปอีก ผมพยายามสับเท้าให้วอ่ งไวทีส่ ดุ เท่าทีจ่ ะท�ำได้ หวังอยูใ่ นใจลึกๆว่าคนในบ้านนีค้ งจะ ได้ขึ้นรถไปแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ที่แจ้งผมมาได้รับรายงานผิด ผมเปิดประตูเข้าไปไม่เจอ ใครเลย แล้วผมก็ขบั รถกลับไปทีศ่ นู ย์อย่างสบายใจ เสร็จสิน้ กันไปอีกวันส�ำหรับมนุษย์ เงินเดือนที่มีรายได้เสริมนิดๆหน่อยๆจากการแทงหวยรัฐบาลอย่างผม เดินต่อไปอีกไม่นานผมก็เจอบ้านเป้าหมายของผม มันเป็นบ้านไม้สภาพบ้าน ยังดูพอใช้ได้อยู่ แต่สภาพไม้ของบ้านดูจะผุกร่อนร่อแร่ สีทเี่ คยถูกทาไว้กล็ อกล่อนเป็น คราบออกมา มันดูเป็นบ้านสภาพทีโ่ ทรมจริงๆ แต่พอมองไปเรือ่ ยๆแล้วผมก็รสู้ กึ ว่ามัน เล็กๆน่ารักดีเหมือนกันนะ จะว่าไปสีของไม้เก่ามันได้อารมณ์ขลังดี ส่วนรอยผุๆเองก็ สวยเข้ากับสีไม้ดไี ม่เบา นึกถึงไอเดียทีเ่ ดีย๋ วนีม้ คี นเอาพวกเศษไม้เก่าๆมาท�ำเป็นของ ตกแต่งบ้านน่ารักๆสไตล์ยอ้ นยุค แล้วเอามาขายได้ราคาแพงๆ ผมว่ามันเป็นความคิดที่ 120


เข้าท่าเลยทีเดียว ไว้จะกลับไปลองดูตลาดแล้วลองท�ำดูมงั่ ดีกว่า ต้นทุนน่าจะไม่เท่าไหร่ แต่ว่าท�ำออกมาแล้วขายเอาก�ำไรได้หลายตังค์ ผมหยุดอยู่หน้าประตูบ้าน มีป้ายไม้แกะสลักหยาบๆติดอยู่ตรงหน้าบ้านเหนือ ขึ้นไปจากกล่องไปรษณีย์สังกะสี มันน่าจะเป็นบ้านเลขที่ เพราะเป็นเลขสลักเอาไว้ ว่า “609” ผมค่อยๆผลักบานประตูเข้าไป เสียงบานพับเสียดสีกันเอี๊ยดอ๊าด เป็นเสียง เหล็กฝืดที่บาดลึก เสียดแทง แล้วพุ่งปรี๊ดแทรกสอดในทุกโสตประสาท เหมือนสมอง ของผมก�ำลังจะด้านชาเพราะเสียงนั้น “คุณยายครับ เพือ่ ความปลอดภัยรบกวนคุณยายออกไปกับผมด้วยนะครับ ผม เตรียมรถเอาไว้แล้ว จอดอยู่ตรงเนินเขา” ผมบอกหญิงชราที่อยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง มุมที่น่าจะเรียกได้ว่าเป็นห้องครัว ผมเห็นยายยืดตัวขึ้นมาฟังผมอยู่ครู่หนึ่ง แล้วแกก็ก้มลงไปรื้ออะไรสักอย่างในตู้ข้าง เตาแก๊ส (ซึ่งน่าจะเรียกว่าเตาถ่านมากกว่า คิดว่าคงใช้ถ่านจุดไฟ เพราะไม่เห็นว่ามี ถังแก๊ส) แกดูไม่สนใจกับสิ่งที่ผมเพิ่งบอกไป ผมคิดว่าผมเจอกรณีผู้อพยพที่นิ่งเฉย และดูจากลักษณะของคุณยายแล้ว น่าจะเป็นกรณีหวงบ้านด้วย “รบกวนขอความร่วมมือด้วยนะครับ มันอันตรายจริงๆ ถ้าหากไม่รีบไปเราจะ แย่กันทั้งคู่นะครับ” ผมนิ่งรอดูท่าทีของยายแก แต่ก็ต้องรู้สึกเหนื่อยใจและหนักใจขึ้นไปอีก ท�ำไม คุณยายถึงยังนิ่งเฉยอยู่อย่างนี้ หรือว่าแกไม่เข้าใจค�ำว่า ‘อันตราย’ “คุณยายมีของอะไรทีจ่ ะให้ผมช่วยเก็บหรือเปล่าครับ? งัน้ เดีย๋ วผมช่วยเก็บบาง ส่วนไปก่อนละกัน” แม้ผมจะบอกไปอย่างนัน้ แต่ปฏิกริ ยิ าของยายก็ไม่ได้มอี ะไรเปลีย่ นแปลงไปเลย แกยังคงง่วนอยูก่ บั การท�ำครัว เตรียมผัก เตรียมเนือ้ สัตว์อะไรมากมายเต็มโต๊ะไปหมด ผมรู้สึกได้ว่าผมรีบมาก รู้สึกร้อนใจอยู่เหมือนกัน กลัวว่าจะออกไปจากที่นี่ ไม่ทนั ก่อนทีภ่ เู ขาไฟมันจะปะทุเอาเศษหินและพ่นควันออกมามากกว่านีจ้ นฝ่าออกไป ไม่ไหว ไม่แน่ใจว่าควรจะเอาของชิ้นไหนเก็บไปให้คุณยายก่อนดี แต่คิดว่ามันควรจะ เป็นของใช้สว่ นตัวทีส่ ำ� คัญ ผมคว้าถุงย่ามใบใหญ่ทพี่ าดอยูต่ รงราวบันไดได้กร็ บี ไปทีต่ ู้ เสือ้ ผ้า เปิดตูอ้ อกมาเห็นสภาพข้างในก็เลือกไม่ถกู แล้วจะหยิบอะไรดี ยายแกเล่นเก็บ หนังสือปนกับเสื้อผ้าเอาไว้ แม้จะจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ก็ท�ำให้ลังเล 121


ใจไปเหมือนกัน ว่านี่คือตู้เสื้อผ้าที่เก็บหนังสือ หรือตู้หนังสือที่เก็บเสื้อผ้าไว้ ผมเลือกหยิบเสื้อผ้าที่อยู่กองบนๆไปสัก 4-5 ชุด จับอะไรได้ก็ยัดใส่ถุงย่าม หนังสือก็เอาเล่มบนๆไปสัก 2 เล่มพอ เผื่อคุณยายจะได้เอาไปอ่านเล่นแก้เหงาตอนที่ อยู่ที่ศูนย์ ที่นี่ก็เหลือแต่ของใช้ส่วนตัวอื่นๆอย่างพวกแชมพู สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน แต่คดิ ว่าของพวกนีส้ ามารถไปหาได้ทศี่ นู ย์เพราะเขาต้องมีเตรียมไว้ให้อยูแ่ ล้ว เพราะ ฉะนั้นก็คงไม่ต้องเอาของคุณยายไป ก็อาจจะเหลือแต่ของอย่างอื่นที่คุณยายอาจจะ อยากเอาไปด้วย “ไปรื้ออะไรกับตู้ฉัน” ผมรีบโผล่หน้าออกจากประตูตู้ ท�ำไมก็ไม่รู้นะ ดีใจที่ได้ยินเสียงยายถามสักที “ผมช่วยยายเก็บของอยู่ไงครับ เราจะได้ออกไปจากนี่กันไวๆ” ผมรู้สึกว่าผมก�ำลังบังคับยาย เป็นวิธีที่ผมยังไม่เคยใช้กับชาวบ้านคนอื่น อาจ จะเป็นเพราะว่ายายแกอยู่คนเดียวด้วย และผมก็รู้สึกว่ายายแกเข้าใจสถานการณ์ดี เพียงแต่ดอื้ และมีเหตุผลอะไรสักอย่างทีไ่ ม่ยอมออกไป ท�ำไมผมถึงได้คดิ อย่างนัน้ นะ... “อย่ามายุง่ กับของของฉันนะ เด็กอะไรกันนี่ นิสยั ไม่ดเี ลยจริงๆ ไปนัง่ ตรงนูน้ ไป” คุณยายเดินมาตีมือผม เหมือนผมเป็นเด็กเล็กที่ก�ำลังหยิบของใช้มาเล่นเป็น ของเล่น แล้วจูงให้ผมไปนั่งที่ม้านั่งไม้ตัวใหญ่ ในอีกฟากหนึ่งของมุมห้องที่ดูคล้ายจะ เป็นมุมรับแขก ผมนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น แล้วก็ค้างอยู่อย่างนั้น รู้สึกว่าการรับรู้และสติของตัวเอง มันชะงักไปชั่วหนึ่ง เพราะไม่คิดว่าจะถูกปฏิบัติอย่างนี้ นี่ผมก�ำลังท�ำหน้าที่ที่จะต้อง พายายออกไปจากที่นี่ ไม่ใช่มารับการปรนนิบัติอะไรอย่างนี้ ท�ำไมมันดูเหมือนอะไร บางอย่างก�ำลังกลับตาลปัตรกัน คุณยายเดินกลับไปทีค่ รัว เด็ดยอดผักสักชนิดใส่ลงในตะกร้า ผักสีเขียวเข้มใบสวย ผิดกับผักทีผ่ มเคยเห็นในตลาดแถวบ้านตอนเช้า หรือทีถ่ กู ห่ออยูใ่ นพลาสติกตามห้าง สรรพสินค้า น่ากินแม้จะเป็นผักสดๆ ถึงผมจะเป็นคนไม่ค่อยกินผักสักเท่าไรก็ตาม กระเทียมถูกทุบและสับ ตามด้วยรากผักชี ต้นหอม ผักชนิดอื่นๆทยอยถูกเด็ด ใบ บ้างถูกหั่นหยาบๆ มีแต่ผักพื้นเมืองที่ผมไม่รู้จัก เห็นแค่นี้ก็รู้สึกได้ถึงกลิ่นเขียวๆ ของผักหลากหลายชนิดที่กองปนกันอยู่เต็มตะกร้า น�้ำในหม้อต้มเริ่มเดือดและมีควัน ฉุย ต�ำลึงถูกโยนใส่ลงไปในหม้อแล้วถูกปิดฝา ไม่มีควันใดๆเล็ดลอดออกมา เนื้อไก่ 122


หรือเนื้อหมูถูกหยิบออกมาสับ เสียงมีดกระทบกับเขียงดังเป็นจังหวะไปเรื่อยๆ มือ ที่เหี่ยวย่นและข้อมือที่ดูผอมลีบออกแรงสับอย่างสม�่ำเสมอ คุณยายดูแข็งแรงกว่าที่ ผมคิดเอาไว้มาก คุณยายหันมายิ้มให้ผม ขณะที่มือก็ยังคงออกแรงสับต่อไปเรื่อยๆ มันดึงให้ สติผมกลับเข้ามา เพิ่งจะรู้สึกตัวได้ นี่ผมก�ำลังเพลินไปกับการดูคุณยายท�ำอาหารจน เกือบลืมไปแล้วว่าตัวเองมาที่นี่เพื่อท�ำอะไร คิดแล้วก็น่าข�ำตัวเองสิ้นดี เหมือนตัวเอง ก�ำลังอู้งานอยู่เลย ผมเห็นว่าตอนนี้น่าจะเป็นช่วงที่คุณยายก�ำลังอารมณ์ดี คงจะเหมาะถ้าผมจะ พยายามให้แกยอมออกไปอีกสักครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้จะเดินไปบอกคุณยาย เพื่อให้ แน่ใจว่าแกได้ยินแน่ๆ แม้แกจะท�ำหูทวนลมใส่ “คุณยายครับ รีบออกไปกับผมเถอะนะครับ เดี๋ยวเราจะหนีออกไปกันไม่ทัน” ยายค่อยๆปาดเศษเนือ้ ไก่ออกจากใบมีด โกยเนือ้ ทัง้ หมดบนเขียงจากมือลงใส่ ชาม แล้วปรุงด้วยเกลือ พริกไทย น�้ำปลา และอื่นๆอีกมากมาย ทั้งสีและกลิ่นหอม ถ้า ท�ำเสร็จออกมาน่าจะอร่อยแน่ๆ “เธอก็รีบออกไปสิพ่อหนุ่ม ฉันไม่ไปกับเธอด้วยหรอก” “ได้โปรดอย่าท�ำให้ผมล�ำบากใจเลยนะครับ” “เธอเองก็ท�ำให้ฉันล�ำบากใจนะ” ผมไม่รู้จะท�ำอย่างไรกับคุณยายคนนี้ดี รู้แต่ว่า... ล�ำบากใจ ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง เห็นท้องฟ้าแล้วก็รู้สึกหนักใจ แผ่นดินเริ่มไหว สะเทือนเบาๆ มันเป็นสัญญาณให้รจู้ ากธรรมชาติวา่ สถานการณ์ก�ำลังเริม่ เข้าสูว่ กิ ฤต ยิ่งขึ้นแล้ว ผมรูส้ กึ ร้อนใจ กระอักกระอ่วน และทีแ่ น่ๆคือ ‘ล�ำบากใจ’ จะท�ำอย่างไรดีให้คณ ุ ยาย ยอมออกไปขึ้นรถกับผมดีๆ แล้วผมก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ มันเป็นการท�ำที่ ค่อนข้างจะทุเรศอยู่ แต่ถา้ ผมไม่ลองก็ไม่รวู้ า่ มันจะได้ผลหรือเปล่า แม้มนั อาจจะท�ำให้เกิด ความบาดหมางระหว่างผมกับยายขึ้นมาแน่ๆ แต่ถ้ามันท�ำให้ผมสามารถรักษาชีวิต คุณยายไว้ได้ ผมก็จะท�ำ 123


“ผมขอโทษจริงๆนะครับคุณยาย” ผมยกมือไหว้คณ ุ ยาย ขอโทษต่อการกระท�ำต่อจากนีอ้ ย่างสุดใจ ยายหันมามอง ด้วยสายตาใจดีและดูจะไม่เข้าใจว่าผมขอโทษอะไรแก ผมรีบหยิบย่ามสะพายใส่บ่า รอคุณยายล้างมือจนเสร็จ ค่อยๆดึงตะหลิวออก จากมือของคุณยายแล้วรีบยกตัวคุณยายอุ้มลอยขึ้นมาจากพื้น ตัวคุณยายเบามาก จนผมรู้สึกว่าผมก�ำลังอุ้มเด็กในร่างผู้ใหญ่ “ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ จะท�ำอะไร ปล่อยฉัน! ปล่อยฉัน!!” คุณยายพยายามดิ้นให้ผมปล่อย แต่ยิ่งดิ้นท�ำให้ผมยิ่งต้องประคองยายไว้ เพราะกลัวแกจะตกลงไปกระดูกกระเดี้ยวหัก ผมรีบเดินไปที่ประตู ตั้งใจจะก้าวขา ออกไป นั่นแหละ... อีกไม่ถึงคืบเท้าผมก็จะพ้นจากธรณีประตูบ้านไปแล้ว แต่ยายแก เอาเท้ากับมือยันประตูไว้กอ่ น ผมก็พยายามเปลีย่ นท่าอุม้ เพือ่ ให้ตวั แกพ้นออกไปจาก ประตู แต่กลับกลายเป็นยิ่งทุลักทุเลขึ้นไปทุกที “ปล่อยฉันลงเดี๋ยวนี้นะ จะบ้าไปแล้วหรือยังไง ปล่อย! เอาฉันลงไป!!” ผมพยายามเบีย่ งตัวใหม่ ถอยออกมาตัง้ หลัก แล้วรวบรวมแรงเดินไปทีป่ ระตูให้ ไวกว่าเดิม แต่ก็ไม่ส�ำเร็จเหมือนครั้งแรก คราวนี้ยายแกเอาเท้าถีบขอบประตูจนผมก็ เซถอยหลังไป เหนือ่ ยมาก เหนือ่ ยเป็นบ้า เห็นแกผอมๆอย่างนี้ แต่แรงเยอะไม่ใช่เล่น “ขอโทษนะยาย แต่ออกไปเถอะ” ยายแกดิ้นแรงขึ้นเรื่อยๆ จนผมก็อุ้มไม่อยู่แล้ว ผมรอจังหวะให้เท้าแกแตะถึง พื้นได้ปุ๊บ ก็รีบโอบตัวแกให้ออกมาพ้นๆจากธรณีประตูสักที แต่... ก็เหมือนเคย เอา อีกแล้ว! ยายเอามือเกาะขอบประตูไว้ เหมือนเราก�ำลังเล่นเกมอะไรสักอย่างกันอยู่ ยายแกไม่ยอมให้ตัวเองพ้นออกไปจากกรอบประตูแม้แต่นิดเดียวเลย ผมออกแรง เยอะ แต่ไม่กล้าออกแรงเยอะมากกลัวยายจะล้มไป ท�ำยังไงแกก็ไม่ปล่อยมือ ผมเห็น แกออกแรงเกาะจนมือแดงขึ้นเรื่อยๆ ข้างๆเริ่มถลอกเพราะครูดไปกับไม้ ผมชักรู้สึก ไม่ดีแล้ว รู้สึกว่าตัวเองก�ำลังท�ำร้ายคนแก่อยู่ “ฟังนะพอหนุม่ เธอก็รวู้ า่ เหตุการณ์มนั จะเป็นยังไงต่อไป ฉันก็รู้ และฉันก็ยนื ยัน ว่าฉันไม่ไป แม้ฉันจะตายฉันก็จะอยู่ในบ้านหลังนี้ เธออย่ามาพาฉันออกไปไหนเลย ฉันไม่ไป” ยายยืนพูดทั้งๆที่หอบอย่างหนัก ผมเองก็หอบไม่แพ้ยาย เหนื่อยมากๆ ฟัง 124


แล้วก็ยิ่งท้อ แล้วผมควรจะท�ำอย่างไรต่อไปดี จะให้ผมทิ้งยายไว้ผมก็ท�ำไม่ได้หรอก “ขอโทษด้วยนะพ่อหนุม่ เธอมานีก่ เ็ สียเวลาเปล่า รีบออกไปเถอะเดีย๋ วจะไม่ทนั ฉันเองก็อายุมากแล้ว อย่ามาเสียดายชีวิตคนแก่เลย” ผมยังคงยืนอยูท่ เี่ ดิม เป็นอีกครัง้ ทีร่ สู้ กึ ในหัวมันวูบไป ผมคงจะดูเป็นคนอ�ำมหิต อยูไ่ ม่นอ้ ยเลย ถ้าจะปล่อยให้ยายอยูใ่ นบ้านหลังนีต้ อ่ ไป แล้วผมก็ออกรถกลับไปทีศ่ นู ย์ กลับไปกินข้าวกับไอ้จนู เปีย๊ ก น้าต่องอย่างส�ำราญเฮฮา ‘อย่ามาเสียดายชีวติ คนแก่เลย’ ผมรู้สึกโหวงเหวงไปกับประโยคนี้ มันก�ำลังเป็นการตัดสินใจที่ขึ้นอยู่กับผม เรื่องของ ชีวติ ความเป็น และความตาย ผมรูส้ กึ ว่ามันจริง มันชัดเจนมาก มันใกล้เข้ามาทุกขณะ และรู้สึกตระหนักถึงมันได้ชัดกว่าที่ผ่านมา มันท�ำให้ผมนึกถึงภาพตัวเองที่ผ่านมา เมือ่ นานมาแล้ว อดีตทีเ่ คยแต่เกือบจะลืมแต่ไม่มที างลืม ผมควรจะเสียดายชีวติ ตัวเอง บ้างหรือเปล่า ถ้าหากว่าในตอนนั้น ผมไม่ได้ตัดสินใจอะไรบางอย่างที่มันส่งผลให้ผม ยังคงเป็นผมดั่งเช่นทุกวันนี้ ยายเดินกลับไปทีม่ มุ ครัว จัดแจงท�ำอาหารต่อไป ผมแอบเห็นน�ำ้ ตาแกไหล มัน คงมีอะไรบางอย่างที่ส�ำคัญมาก ที่ท�ำให้แกไม่ยอมออกไปจากบ้านนี้ไม่ว่าจะอย่างไร ก็ตาม “แต่คณ ุ ยายแค่ยา้ ยออกไปชัว่ คราวเท่านัน้ นะครับ แล้วเดีย๋ วผมก็จะพาคุณยาย กลับมาอยู่ที่นี่เหมือนเดิมแล้ว หลังจากที่ทุกอย่างมันเรียบร้อย” “เธอคิดว่าทุกอย่างมันจะยังคงเหมือนเดิมจริงๆหรอ พ่อหนุ่ม?” ผมกลับไปนัง่ ทีม่ า้ นัง่ ตัวเดิม วางกระเป๋าย่ามลง ในความรูส้ กึ ของผมตอนนีม้ นั มืด แปดด้าน ควรจะท�ำอย่างไรต่อไปดี เพราะมันชัดเจนแล้วว่าผมอาจจะไม่มที างออกเหลือ ในการที่จะท�ำให้คุณยายยอมออกไป กับเหตุผลทุกอย่างที่ยายพูดมา แกได้ตัดสินใจ อย่างหนักแน่นไปแล้ว และยอมรับมันอย่างสงบจนท�ำให้ผมรูส้ กึ ว่าผมไม่มพี ลังมากพอ ที่จะไปเปลี่ยนแปลงมันได้เลย มันท�ำให้ผมรู้สึกกลัวขึ้นมา ถ้าผมทิ้งยายไปเพื่อมีชีวิต ในแบบเดิมๆของผมต่อไป เหตุการณ์มันก็คงจะซ�้ำรอย ความรู้สึกผิดบาปในใจมา ทั้งชีวิตก็คงจะพุ่งขึ้นมาอีกจนผมทนรู้สึกมีชีวิตอยู่ต่อไม่ไหว เมื่อเหตุการณ์ที่เกิดกับ ครอบครัวผมเมือ่ ตอนเด็กๆ เหตุการณ์ทที่ ำ� ให้ผมรูส้ กึ ว่าผมมีชวี ติ อยูอ่ ย่างตายทัง้ เป็น จิตใจมันตายด้าน แม้รา่ งกายจะยังเจริญเติบโตต่อไปตามวัย ผมไม่ตอ้ งการอยูใ่ นสภาพ 125


นั้นอีก ผมไม่อยากให้เหตุการณ์มันซ�้ำรอยกับครอบครัวผมเมื่อตอนยังเด็ก ผมนัง่ คิดทบทวนและหาทางออกต่อไปอยูใ่ นใจ แล้วจูๆ่ คุณยายก็ยนื่ จานอาหาร กับน�ำ้ เปล่ามาวางไว้บนโต๊ะข้างหน้าผม เป็นไก่สบั ผัดกับสารพัดผักพืน้ เมืองทีผ่ มไม่รจู้ กั กลิ่นหอมน่าทานมาก น่าเสียดายที่ไม่มีข้าวสวยร้อนๆมาด้วย ผมหันไปมองยาย แกส่งยิ้มมาให้ผมแล้วเดินกลับไปที่ครัวต่อ “กินสิพ่อหนุ่ม ท�ำงานแต่เช้าคงจะหิวแย่แล้วล่ะสิ” ผมไม่รู้ว่าควรจะท�ำอย่างไรดี มันรู้สึกประทับใจและแปลกใจ แต่ก็ตอบออกไป ก่อนว่า “ขอบคุณครับ” แบบงงๆ ผมตักค�ำแรกเข้าปาก แม้จะแอบแขยงผักอยู่บ้าง แต่ว่ามื้อนี้อร่อยจริงๆ คงเป็นเพราะผมหิวด้วยล่ะมั้ง “ท�ำไมคุณยายถึงไม่อพยพไปล่ะครับ ก็แค่ย้ายไปชั่วคราว เดี๋ยวก็ได้กลับมา อยู่ที่เดิมแล้ว” ผมถามคุณยายออกไปทั้งที่ปากยังเต็มไปด้วยไก่ แต่เห็นว่ายายแกดูอารมณ์ น่าจะดีขึ้นแล้ว การชวนแกคุยถึงเหตุผลของแกมันอาจจะท�ำให้แกยอมออกไปก็ได้ “กลับมาอยู่ที่เดิมก็จริง แต่ความทรงจ�ำมันไม่เหลือแล้ว ตัวฉันก็ไม่เหลือใคร แล้ว ฉันก็ไม่รู้ว่าฉันจะกลับมาที่นี่ท�ำไมน่ะสิ คงเหลือแต่เศษหินดินโคลนทับที่ที่เคย เป็นบ้านของฉัน” “อ้อ! แล้วลูกหลานยายล่ะ ยายไม่คดิ ถึงเขาบ้างหรอ ถ้ายายไม่ยอมออกไปพวกเขา คงเป็นห่วงยายกันมากแน่ๆ ยิ่งถ้ายายเป็นอะไรไปเขาคงเสียใจกันมาก” “ก็ฉันเพิ่งบอกไปอยู่ ว่าฉันไม่เหลือใครแล้ว” “ยายอยู่คนเดียวกลางป่ากลางเขาแบบนี้เนี่ยนะ ยายอยู่มาได้ยังไง” “เพราะบ้านหลังนี้ไง มันมีความทรงจ�ำ มันไม่ได้จู่ๆก็ถูกสร้างมาหรอกนะ กว่า มันจะมีสภาพเป็นอย่างทีเ่ ห็นนี่ มันผ่านอะไรมาเยอะนะ อืม... มันผ่านมาเยอะมากจริง” ยายยืนยิม้ ทอดสายตามองไปรอบบ้าน ผมเห็นดวงตาของคุณยายเปล่งประกาย แม้จะดูเหลืองขุน่ ไปตามวัย มันเป็นสายตาทีท่ ำ� ให้ผมรูส้ กึ ได้ถงึ ความสุขทีเ่ ปีย่ มล้นไป ในแววตา การร�ำลึกถึงอดีตที่มีแต่ภาพความทรงจ�ำที่น่าจดจ�ำ สิ่งที่น่าประทับใจ ทุกสิง่ ทุกอย่างไม่วา่ จะเรือ่ งดีหรือร้ายภายในบ้านหลังนี้ ดูเหมือนมันจะเป็นสิง่ สวยงาม ในสายตายายไปเสียทุกอย่าง... ผมอยากจะมีชีวิตอย่างนี้บ้าง 126


“แล้วเธอเองล่ะพ่อหนุ่ม ท�ำงานนี้มากี่ปีแล้วล่ะ” “เฉพาะงานในหน่วยนี้ที่ท�ำอยู่ก็น่าจะเกือบๆ 5 ปีได้แล้วครับ” “กล้าหาญดีจริงนะ ยังหนุ่มยังแน่นอยู่แท้ๆ ดีมากๆ เป็นคนดีจริงๆที่เลือก ท�ำงานช่วยเหลือชีวิตคน” มันน่าแปลกนะ ท�ำไมผมไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองกล้าหาญเลย แล้วก็ไม่เคยรู้สึก ด้วยว่าตัวเองเป็นคนดีเพราะเลือกท�ำงานนี้ ผมคิดแค่ว่าผมท�ำงานเพื่อรับเงินเดือน ให้มีเงินประทังชีวิตอยู่ไปเท่านั้น เพราะผมไม่ชอบท�ำงานอะไรซ�้ำซากจ�ำเจ เบื่องาน ไหนผมก็เปลี่ยนไปเรื่อย กับความรู้ ปวช. แล้วก็ ปวส. ที่อีกครึ่งปีจะจบ มันท�ำให้ผม เลือกงานไม่ได้มาก แต่ส่วนใหญ่ก็เป็นงานที่ไม่ต้องนั่งแช่อยู่แต่ในออฟฟิศ ไม่ต้องยุ่ง กับเอกสารกองโต ขอแค่ชว่ งนัน้ ผมรูส้ กึ ว่าอยากท�ำเป็นพอ และผมก็ไม่รดู้ ว้ ยว่าผมจะ เรียนสูงๆเอาใบปริญญา เอาเกรดดีๆไปเพื่อใคร ถ้าจะให้ท�ำเพื่อตัวผมเอง ผมก็ไม่คิด ว่าผมจะได้ใช้มันคุ้มหรอก และผมก็ไม่ได้มีความฝันมากมายเหมือนอย่างคนอื่นด้วย ที่ฝันอยากมีรถ มีบ้าน มีธุรกิจส่วนตัว มีต�ำแหน่งหน้าที่การงานสูงๆดีๆ หรือร�่ำรวย จนล้นฟ้า แต่ผมมีฝันแค่ขอให้ผมมีฝันอย่างที่คนอื่นมี ขอเพียงแค่นี้ก็เพียงพอแล้ว “ท�ำไมล่ะน่ะ เธอไม่ภูมิใจกับมันอย่างนั้นหรอ” “ผม... ครับ ผมคิดว่าอย่างนั้น” คุณยายพยักหน้ารับฟัง ดูเหมือนแกก�ำลังครุ่งคิดอะไรบางอย่างอยู่พร้อมๆกับ จัดแจงครัวให้ดูมีระเบียบเรียบร้อยขึ้น ผมกินผัดไก่สับต่อไปเรื่อยๆ เพราะด้วยความหิว เพียงแค่ไม่นานมันก็หมด เกลี้ยงไม่เหลือแม้แต่น�้ำก้นจาน จู่ๆมันก็ท�ำให้ผมคิดถึงกับข้าวฝีมือแม่และคุณยาย ของผม ทีอ่ ร่อยมากจนผมต้องแย่งกันกินกับข้าวส่วนทีเ่ หลือกับน้องสาว แม้ขา้ วของเรา จะหมดเกลี้ ย งกั น ไปนานแล้ ว แต่ เ ราก็ จ ะแย่ ง กั น กิ น กั บ และซดน�้ ำ ที่ เ หลื อ อย่ า ง เอร็ดอร่อย เป็นกับข้าวที่มักจะน�ำของเหลือๆในตู้เย็นมาท�ำ โดยเฉพาะผักบางชนิด แม่ชอบที่เก็บไว้ในตู้เย็นนานเกินจนใกล้เน่า เอามาผัดรวมกับผักที่คุณยายมีแปลง ปลูกเองอยูห่ ลังบ้าน มันออกมากลายเป็นไก่ผดั ผักทีอ่ ร่อยมาก เป็นจานผักอย่างเดียว ทีผ่ มจะยอมกินได้ รสชาติมนั ช่างเหมือนกับผัดไก่สบั ค�ำนี้ กลิน่ แห่งรสชาติของผัก ไก่ และน�ำ้ ซอสทีล่ อยเข้ามาอยูใ่ นจมูก แต่มนั มีกลิน่ แห่งความทรงจ�ำตามติดเข้ามาอยูใ่ น ความรูส้ กึ ด้วย มันเป็นความรูส้ กึ ทีผ่ มลืมไปนานแล้ว อดีตทีผ่ มมีความสุขมากในชีวติ อดีตทีผ่ มอยากจะย้อนมันกลับคืน แต่มนั ไม่มที างหวนกลับมาได้อกี แล้ว คงเหมือนกับ 127


บ้านหลังนี้ของคุณยาย... “ไม่อิ่มบอกได้นะ ยายผัดเอาไว้เยอะ...” คุณยายมีอาการไอจนไม่สามารถฝืน พูดออกมาได้ ผมเองก็รสู้ กึ ได้ถงึ กลิน่ ฉุนทีล่ อยมากับลม มันมีทที า่ ทีฉ่ นุ รุนแรงขึน้ ผมยืดมอง ออกไปนอกหน้าต่างเห็นเขม่าควันพวยพุ่งขึ้นเป็นกลุ่มหนาขึ้นเรื่อยๆ แผ่นดินเริ่ม สั่นไหวรุนแรงขึ้นจนต้องจับจานข้าวกับแก้วน�้ำไม่ให้มันกระดอนไหลตกโต๊ะไป เสียง ค�ำรามจากธรรมชาติดังสนั่นน่ากลัว ผมเริ่มรู้สึกแสบจมูกมากขึ้น และคิดว่าคุณยาย เองก็คงจะแสบไม่ต่างจากผม “ยายเติมให้นะ” “ขอบคุณมากครับ” คุณยายเดินมาหยิบจานไปตักผัดมาเติมให้ผม กลิน่ ของผัดไก่หอมปะปนไปกับ กลิน่ ก�ำมะถันเหม็นฉุนแสบจมูก ผมหยิบหน้ากากมาใส่ไว้ในช่วงทีเ่ คีย้ วอาหาร รูส้ กึ ดี ขึ้นมากจริงๆที่กลิ่นมันจางลงไป “กินกล้วยบวชชีไหม เดี๋ยวยายท�ำให้” “ขอบคุณมากครับ ของโปรดผมพอดีเลย” ยายยิ้มแล้วเดินไอกลับไปที่ครัวต่อ เสียงตูมใหญ่คล้ายเสียงระเบิดดังสนั่นจาก ข้างนอกมาอีกระลอก บ้านสั่นไหวสะเทือนจนผมเสียวว่าแผ่นไม้จะพังลงมาทับ คุณ ยายมีอาการไอหนักขึ้น แต่แกก็ยังฝืนท�ำกล้วยบวชชีต่อไป ผมไม่เข้าใจแกหรอก ว่า แกนึกอะไรอยูถ่ งึ ยังทนท�ำกับข้าวอยูต่ อ่ ไป และผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน ว่าท�ำไม ยังมัวใจเย็นนั่งกินข้าวอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไปได้ ผมถอดหน้ากากเดินไปสวมให้คุณยายจากทางด้านหลังของแก ผมโอบกอด คุณยายไว้เหมือนตัวเองเป็นเด็กเล็กๆขี้อ้อน ผมกล่าว “ขอบคุณครับคุณยาย” เบาๆ รูส้ กึ ว่าตัวเองก�ำลังเก้อเขิน ยายเอามือข้างทีไ่ ม่ได้จบั ทัพพีมาบีบข้อมือผมไว้เบาๆแล้ว บอกว่า “ไม่เป็นไรๆ” ผมรู้สึกอยากกอดคุณยายไว้ให้แน่น มันอาจจะดูประหลาดที่จู่ๆ ก็กอดคนแปลกหน้าทีเ่ พิง่ จะรูจ้ กั ได้ไม่นานนัก แต่คนคนนีช้ า่ งท�ำให้ผมรูส้ กึ อุน่ ใจจริงๆ สภาพอากาศตอนนี้ยิ่งเลวร้ายลงไปใหญ่ ผมปิดหน้าต่างฝั่งที่ลมพัดเข้ามาเผื่อ จะช่วยอะไรได้ แม้จะไม่มีอะไรดีขึ้นมาก็ตาม แล้วกลับไปนั่งกินผัดไก่ต่อแบบแสบคอ 128


แสบตา แสบจมูก... กับกลิ่นแบบนี้มันไม่อร่อยเลย หลังจากนีไ้ ปผมก็ไม่แน่ใจว่าจะเกิดอะไรขึน้ ผมเพียงแค่อยากให้ทกุ คนรับรูเ้ รือ่ งนี้ กันอย่างถูกต้อง จะได้ไม่เอาไปพูดกันอย่างผิดๆ ถึงแม้ข้อความเยอะแยะมากมายที่ ผมเขียนลงไปนี้ มันจะดูเหมือนผมบ่นกับตัวเองเสียมากกว่า แต่เพราะในสมุดเล่มนี้ มันยังมีบันทึกส�ำคัญเกี่ยวกับงานอยู่ด้วย ผมก็ขอบันทึกอะไรสักเล็กน้อยไว้ทิ้งท้าย เผื่อจะมีใครคิดถึงผมขึ้นมาบ้าง (ผมคิดว่าผมหาที่ซ่อนสมุดเล่มนี้อย่างดีแล้ว!) ทั้งจูน เปีย๊ ก น้าต่อง ก็อย่าคิดมากและโทษตัวเอง เพราะมันเป็นการตัดสินใจของผมแต่เพียง คนเดียว ผมรูส้ กึ ขอบคุณทัง้ 3 คนนีม้ ากๆอย่างใจจริงทีเ่ ป็นทัง้ เพือ่ นร่วมงานและเป็น เหมือนครอบครัวทีด่ กี บั ผมมาโดยตลอด ขอบคุณนายทีช่ แี้ นะและสอนผมหลายอย่าง จนได้ดิบได้ดีในสายงานนี้ และขอโทษจริงๆครับที่ผมเอารถนายมาพังเสียแล้ว ทั้งที่ เพิ่งถอยมาได้ไม่นาน ขอบคุณทุกคนในกรมและทุกๆคน ทุกๆสถานที่ที่ผ่านเข้ามา ในชีวิตผม นี่อาจจะดูเหมือนผมเป็นคนคิดสั้นนะ แต่ที่จริงผมคิดยาวแต่เขียนสั้นน่ะ เพราะขี้เกียจ ป.ล. ขอบใจไอ้จูนมากที่อุตส่าห์ยกให้พี่เป็นฮีโร่ หวังว่าพี่จะไม่ท�ำให้ผิดหวังนะ ด้วยรัก เคารพ นับถือ และความซาบซึ้งจากใจจริง แวน.

129


อีกครั้ง

เจษฎ์ เลิศเจียมรัตน์ 130


ภาพหมองมั ว ของการลื ม ตาหลั ง จากนอนหลั บ ไป ยาวนาน ชายหนุ่มมองเห็นแต่สีขาวสว่าง ไม่มีเงา ไม่มี รอยต�ำหนิ ไม่มีมิติ ไม่มีอะไรอื่น มีเพียงความขาวสว่าง ยาวไกลไร้ที่สิ้นสุด เขาชันตัวขึ้นและพบว่านอนอยู่บน เตียงขาวสะอาดคล้ายกับทีเ่ คยพบเจอในสถานพยาบาล ทั่วไป ทุกสิ่งรอบตัวมีแต่สีขาวเรืองบริสุทธิ์ราวกับเตียง ลอยอยูใ่ นอากาศ ชายหนุม่ หย่อนเท้าลงอย่างเชือ่ งช้าจน กระทั่งฝ่าเท้าทั้งสองสัมผัสพื้นอย่างมั่นคง แต่กระนั้น การเดินก้าวแรกเกือบท�ำเขาล้ม ขาของเอฟสั่นระริก ล�ำตัวเซเอียงซ้ายขวายิ่งกว่าคนเมา แค่หา้ ก้าวเดินเท่านัน้ มือชายหนุม่ ก็สมั ผัสกับผนัง ทีแ่ ห่งนีม้ ขี อบเขต แต่ถกู ลบ เหลี่ยมมุมออกทั้งหมด สร้างมิติหลอกตาให้ยาวไกล เอฟยืนพิงผนัง อาการขาสั่นลด ลงมากแล้ว ร่างกายเขาก�ำลังระลึกถึงการเคลื่อนไหวอย่างที่เคยเป็น ‘ทีน่ คี่ อื โลกหลังความตาย ทีน่ คี่ อื นรก’ เอฟคิด ไม่มที างเป็นอืน่ เพราะเขาฆ่าตัว ตายหลังจากพบภรรยาหัวใจวายนอนตายอยูก่ ลางห้อง เธอเสียชีวติ ไปแล้วอย่างน้อย สองชัว่ โมงก่อนเขาจะพบเธอ แต่เขาไม่สนใจ อุม้ ร่างเย็นและแข็งทือ่ วิง่ ออกไปยังศูนย์ พยาบาลทีอ่ ยูห่ า่ งออกไปห้านาที ชายหนุม่ วิงวอนหมอ พยาบาล และเจ้าหน้าทีท่ กุ คน ในแผนกฉุกเฉินให้ชว่ ยชีวติ เธอ แม้ตวั เขาเองรูว้ า่ มันสายไปแล้ว แต่หวั ใจปฏิเสธ หัวใจ มันรู้ดีว่าชายหนุ่มไม่อาจขาดเธอได้ เธอคือสิ่งส�ำคัญหนึ่งเดียวในชีวิต ภาพรอยยิ้มภรรยาแวบผ่านเข้ามาในความคิด น�้ำตาชายหนุ่มไหลริน ทรุดตัว ลงกอดเข่า เริ่มสะอื้นไห้ เขาคิดถึงภรรยา เขาอยากพบเธอ เขาอยากจับมือ เขา อยากกอด เขาอยากบอกรัก เขาท�ำไม่ได้ เธอตายไปแล้ว เขาเองก็ตายไปแล้ว ตาย ไปพร้อมกับเธอ เขาอยากตายอีกครั้ง เขาไม่อาจอยู่ได้โดยไม่มีภรรยาเคียงข้าง เขา 131


ลุกขึ้นปาดน�้ำตา รอขาหยุดสั่นแล้วออกวิ่งเต็มก�ำลัง หมายมั่นกระแทกหัวกับผนัง ฝั่งตรงข้าม หมายมั่นให้ตายอีกครั้ง ภาพพร่าเลือนของการลืมตาหลังจากนอนหลับไปยาวนาน ชายหนุ่มมองเห็น แต่สขี าวสว่าง ไม่มเี งา แลหม่นหมอง มีรอยแตกร้าวเล็กๆ กระจายอยูท่ วั่ มันคือเพดาน ของห้องชายหนุม่ ทีส่ อ่ งสว่างปลุกตามเวลาทีเ่ ขาตัง้ ไว้ ชายหนุม่ กดปุม่ หยุดเสียงปลุก จากนาฬิกาข้อมือ ฝืนชันตัวขึ้นนั่งบนเตียง หัวปวดร้าวราวกับเพิ่งถูกประกอบใหม่ หลังจากแตกเป็นเสี่ยงๆ เขาหันไปมองผ้าห่มยับย่นกับหมอนใบหนึ่งข้างล�ำตัว ก่อน จะลุกขึ้นไปหยิบกระดาษโน้ตใบเล็กบนโต๊ะกลางห้อง ไปท�ำงานก่อนนะ กินแซนด์วิชให้หมดด้วย เป็นข้อความจากภรรยาซึง่ ออกไปท�ำงานแล้ว บนโต๊ะมีแซนด์วชิ วางอยูส่ องชุด ชุดหนึง่ เป็นอาหารเย็นอันเป็นอาหารมือ้ แรกของวันส�ำหรับเขา ส่วนอีกชุดถูกห่ออย่าง ดีเพื่อให้ชายหนุ่มน�ำไปกินที่ท�ำงานตอนดึก ซึ่งนับได้ว่าเป็นอาหารมื้อกลางวัน งาน กะดึกท�ำให้เวลาของชายหนุม่ ผิดแผกไป เขานึกเสมอว่ามันเป็นสาเหตุของอาการปวดหัว รุนแรงทีป่ ระสบพบทุกครัง้ หลังตืน่ นอน เรือ่ งปัญหาสุขภาพถูกร้องเรียนไปนานแล้ว แต่ ก็ทำ� อะไรไม่ได้ เพือ่ นร่วมต�ำแหน่งเดียวกันต่างสูงวัยเกินกว่าจะท�ำกะดึกไหว หัวหน้า ได้แต่ขอให้เขาอดทน อีกสองปีถึงจะมีเด็กจบใหม่เก่งพอมาช่วยแบ่งเบาภาระ ชายหนุ่มยอมทนสองปีอันยาวนานด้วยเหตุผลเดียวเท่านั้น หน้าที่ของเขา ส�ำคัญมาก ความผิดพลาดในการท�ำงานไม่ใช่แค่เขาจะเป็นอันตราย มันรวมถึงภรรยา ซึ่งเป็นสิ่งส�ำคัญสิ่งเดียวในชีวิตของเขา ภาพหมองมัวของการลืมตาหลังจากนอนหลับไปยาวนาน เอฟมองเห็นแต่สขี าว สว่าง ไม่มีเงา ไม่มีรอยต�ำหนิ ไม่มีมิติ ไม่มีอะไรอื่น มีเพียงความขาวสว่างยาวไกลไร้ สิน้ สุด เขาพยายามลุกขึน้ แต่พบว่าตัวถูกตรึงไว้กบั เตียง ทีค่ อ กลางอก สะโพก ข้อมือ และข้อเท้าทั้งสองถูกมัดติดไว้กับเตียงอย่างแน่นหนา ไม่มีรอยใดๆ ปรากฏบนผนัง ด้านที่ถูกกระแทกชน เขาแสยะยิ้มแล้วหัวเราะเบาๆ เขาคิดง่ายเกินไป ที่นี่คือนรก ที่ นี่คือสถานลงโทษ ไม่มีทางจะหลุดพ้นไปง่ายเพียงนั้น ผนังด้านหน้าชายหนุม่ ปรากฏประตูเลือ่ นออก ใครคนหนึง่ ก้าวเข้ามา ก่อนประตู จะปิดสนิทกลมกลืนตัวเองเป็นผนังไปเช่นเดิม เขาดีดนิว้ ครัง้ หนึง่ เตียงก็ดนั ตัวเอฟขึน้ 132


นัง่ สบสายตากับชายแปลกหน้าวัยประมาณสีส่ บิ ในชุดสูทสีดำ� เย็บตัดประณีตพอดีตวั เอฟแปลกใจว่ายมทูตช่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ “ท�ำไมคุณฆ่าตัวตาย?” ชายชุดด�ำเปิดประเด็น “ภรรยาผมตาย ผมไม่เหลือเหตุผลที่จะมีชีวิต” “งานของคุณ มันส�ำคัญมากมิใช่หรือ?” “คุณจะมาสนใจอะไรกับงานของผม?” “ผมสนใจ ทุกคนก�ำลังวุน่ วายกับการหาคนมาท�ำงานแทนคุณ แต่หาไม่ได้หรอก คนที่มีพรสวรรค์ในการอ่านแผนที่อวกาศเช่นคุณก�ำลังขาดแคลนบนนิคมอวกาศ” “ยมทูตจะมาสนใจอะไรกับคน กลัวคนตายหมดจะไม่มีงานท�ำหรือไง?” “ผมไม่ใช่ยมทูต คุณเองยังไม่ตาย คุณยังอยูบ่ นนิคมอวกาศความหวัง” เมือ่ เห็น เอฟอึ้งไม่ตอบกลับ ชายชุดด�ำกล่าวต่อ “ไม่ยากนัก ในการยับยั้งการฆ่าตัวตายของ คุณ แต่ยาก ในการไม่ให้คุณหรือใครรับรู้ว่าเรามีตัวตน” เมื่อรับรู้ว่าตนเองยังมีชีวิต ความรักความอาวรณ์ต่อภรรยากลับมาท่วมท้น หัวใจเขาอีกครั้ง เอฟกัดลิ้นของตนเต็มแรงด้วยหมายมั่นจะตายอีกครั้ง เลือดไหลริน ออกจากปากราวน�้ำตกลงสู่อกชายหนุ่ม ความเจ็บปวดมากมหาศาล แต่มันก็ปรากฏ เพียงแค่ชั่วขณะ ก่อนสติของเขาเลือนรางจางหายไปอย่างรวดเร็ว ลิฟต์น�ำร่างชายหนุ่มดิ่งลึกลงสู่ใจกลางนิคมอวกาศ สถานที่เฉพาะผู้ท�ำงาน เกีย่ วข้องการบังคับการบินนิคมอวกาศ เขาถอนใจยาวหลังก้าวออกมา ระยะเวลาสิบ นาทีทลี่ ฟิ ต์ตวั นีด้ ำ� ดิง่ ท�ำให้เขาอึดอัดเสมอ ชายหนุม่ สแกนลายมือและม่านตาเป็นครัง้ ที่ สามเพื่อจะเข้าห้องท�ำงาน ประตูเลื่อนออกเผยห้องที่ผนังด้านหนึ่งก�ำลังฉายภาพ แผนทีจ่ กั รวาล ใจกลางแผนทีม่ จี ดุ แดงเล็กจิว๋ ก�ำลังวิง่ ไปตามเส้นประสีแดงทีพ่ าดผ่าน จากขอบผนังหนึ่งจรดผนังอีกฝั่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่วิเคราะห์คาดการณ์ความปลอดภัยบนเส้นทางของนิคมอวกาศ คือ ชื่อเต็มต�ำแหน่งของชายหนุ่ม แม้คอมพิวเตอร์บนนิคมอวกาศก้าวหน้ามากพอที่จะ สามารถวิเคราะห์ค�ำนวณการเคลื่อนไหวรอบนิคมอวกาศได้อย่างแม่นย�ำ แต่มนุษย์ ก็ไม่สามารถวางใจฝากเรื่องความเป็นความตายไว้กับคอมพิวเตอร์ได้ ต�ำแหน่งนี้จึง ถูกตั้งขึ้นมาเป็นหลักประกันความปลอดภัยอีกขั้นหนึ่ง ชายหนุ่มนั่งลงที่โต๊ะท�ำงานกลางห้อง พิมพ์ค�ำสั่งลงบนแป้นพิมพ์เรียกดูเส้น 133


ทางการเคลือ่ นไหวของวัตถุรอบนิคมอวกาศ ซึง่ เหมือนเฉกเช่นทุกวัน ไม่เคยมีสญ ั ญาณ อันตรายใดๆ ปรากฏมาตลอดการท�ำงานห้าปี บางครั้งมันท�ำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหมือน เป็นแค่ยามเฝ้าโกดังที่ถูกลืมเลือน ภาพหมองมัวของการลืมตาหลังจากนอนหลับไปยาวนาน ชายหนุ่มมองเห็น แต่สีขาวสว่าง ไม่มีเงา ไม่มีรอยต�ำหนิ ไม่มีมิติ ไม่มีอะไรอื่น มีเพียงความขาวสว่าง ยาวไกลไร้สิ้นสุด เขาพยายามลุกขึ้นแต่พบว่าทั้งตัวถูกตรึงไว้บนเตียง ที่คอ กลาง อก สะโพก ข้อมือและข้อเท้าทั้งสองถูกมัดติดกับเตียง ไม่มีรอยเลือดใดปรากฏบน เสือ้ หรือเตียง ภายในปากของเขามีฟนั ยางยึดไว้กบั ฟันอย่างแน่นหนา กลางแขนขวา มีเข็มสายน�้ำเกลือเสียบติด “คุณเป็นคนแรกในการดูแลของหน่วยเราที่กระท�ำการฆ่าตัวตาย” ชายสูทด�ำ กล่าว เขาก้าวเข้ามาในห้องด้วยประตูบานเดิม “แต่คุณไม่มีวันท�ำส�ำเร็จ ด้วยความ สามารถของเรา อาการของคุณถูกบ�ำบัดโดยไม่เหลือร่องรอยใดๆ” “คุณส�ำคัญเกินกว่าจะตาย งานของคุณไม่อาจหาคนท�ำแทนได้ในเร็ววัน อย่าง เร็วอีกสามปี ถึงจะมีคนมีพรสวรรค์ในการอ่านแผนทีอ่ วกาศอย่างคุณเรียนจบออกมา” “คุณอยากเป็นสาเหตุของการสูญสิ้นของมนุษยชาติหรือ?” เอฟเงียบนิ่งไม่ตอบ “คริสต์ศกั ราชสองหนึง่ หกสอง ห้าสิบปีหลังจากนิคมอวกาศความหวังออกเดินทาง สู่ดาว กลิซห้าแปดหนึ่งดี เราไม่สามารถรับสัญญาณใดจากโลกได้อีก แสดงถึง อุกกาบาตได้เข้าชนโลกตรงตามการค�ำนวณของเหล่านักดาราศาสตร์ มนุษย์บนโลก คงสูญสิน้ เหลือเพียงมนุษย์บนนิคมอวกาศแห่งนีท้ จี่ ะต้องอยูร่ อดเพือ่ ไม่ให้มนุษยชาติ ต้องพบจุดจบ” ชายหนุม่ ยังคงเงียบ แต่เขาทราบเรือ่ งนีด้ ี มันอยูใ่ นวิชาประวัตศิ าสตร์ทรี่ ำ�่ เรียน มาแต่เด็ก ชาวนิคมส�ำนึกอยู่เสมอว่าต้องอยู่รอด พวกเขาต่างท�ำหน้าที่ของตนให้ดี ที่สุด เพื่อให้ทุกอย่างในนิคมอวกาศด�ำเนินไปอย่างราบรื่นจนกว่าจะถึงดาวดวงใหม่ “คริสต์ศกั ราชสองหนึง่ เก้าสาม เจ็ดสิบห้าปีหลังนิคมอวกาศความหวังออกเดินทาง รุ่นที่สามของชาวนิคมอวกาศก�ำลังอยู่ในวัยท�ำงาน เอฟซิลอนหนึ่งหนึ่งสองแปด ปัจจุบันอายุสามสิบปี ถูกจัดเป็นหัวกะทิด้านการค�ำนวณมาตั้งแต่วัยเยาว์ ท�ำงาน วิเคราะห์คาดการณ์ความเสีย่ งบนเส้นทางของนิคมอวกาศ กลับกระท�ำการฆ่าตัวตาย 134


ละทิง้ หน้าทีไ่ ปอย่างไร้เหตุผล เมือ่ ขาดผูว้ เิ คราะห์เส้นทางเบือ้ งหน้า การเดินทางของ นิคมอวกาศมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อยสามสิบเปอร์เซ็นต์ นับว่ามากคณานับ และไม่อาจยอมรับได้” “คุณอยากเป็นสาเหตุของการสูญสิ้นของมนุษยชาติหรือ?” ค�ำถามถูกย�้ำแต่ เอฟยังคงเงียบนิ่ง เมือ่ ไม่มปี ฏิกริ ยิ าตอบสนองใดจากเอฟ ชายชุดด�ำยอมถอยออกจากห้อง ปล่อย เอฟอยู่ตามล�ำพังอีกครั้ง ชายหนุ่มได้ยินและเข้าใจดีในค�ำกล่าวของชายกลางคน แต่ มันไม่สำ� คัญอะไรเลย นอกจากเธอแล้วทุกสิง่ ไร้ความหมาย เธอคือคนเดียวทีท่ ำ� ให้เขา รู้สึกมีความสุข รู้สึกมีชีวิต ไม่ใช่เป็นเพียงเครื่องค�ำนวณวิถีโคจรสะเก็ดดาวฝุ่นเขรอะ ในระหว่างทีค่ ดิ เขาก�ำมือขวาบีบเป็นจังหวะ ส่งเลือดแดงเข้มไหลย้อนแรงดึงดูด ขึ้นไปสู่ถุงน�้ำเกลือจนบวมเต่ง ชายหนุ่มตั้งใจบีบให้ถุงแตกออก ให้เลือดได้ไหลทะลัก ออกจนตายไป แต่สติกลับเลือนรางจางหายไปก่อนอย่างรวดเร็ว ขณะพระอาทิตย์จำ� ลองบนท้องฟ้าจ�ำลองเริม่ ฉายฉาน นิคมอวกาศเพิง่ ตืน่ จาก หลับใหล ชายหนุ่มก้าวเข้าไปนั่งในพาหนะทรงกลมขนาดหนึ่งที่นั่ง กล่าวชื่อสถานที่ แล้วปล่อยให้ระบบขับเคลือ่ นอัตโนมัตแิ ล่นพาเขากลับทีพ่ กั ขณะเดียวกันนัน้ เขาก็กด เบอร์โทรศัพท์ถึงภรรยา “ที่รัก” เธอกล่าวทักทาย มีเสียงสายน�้ำจากฝักบัวดังแว่วออกมาจากห้องน�้ำ เหมือนเคย “โทรมากวนคุณอาบน�้ำอีกแล้ว” “คุณก็คิดมากอีกแล้ว” เสียงเธอกังวานสดใส “งานเป็นไงบ้าง?” “เหมือนทุกวัน น่าเบื่อ ไม่มีอะไรเลย” “ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว ฉันยังไม่อยากกระเด็นออกไปนอกอวกาศ” เขาหัวเราะเพราะมุกนี้เสมอ “เตรียมข้าวต้มไว้ให้นะ กลับมาก็กินเลย ไม่ต้องรอ ฉันกินแล้ว” “ผมคิดถึงคุณ” “ฉันก็คิดถึงคุณ” ชายหนุ่มใช้สิบห้านาทีในการเดินทางด้วยยานพาหนะอัตโนมัติจึงถึงจุดหมาย เมือ่ เปิดประตูเข้าห้องก็พบกลิน่ ข้าวต้มเครือ่ งลอยอบอวล หมอนและผ้าห่มถูกพับ เขา 135


สัมผัสได้ถึงความสะอาดในบรรยากาศ เสียงสายน�้ำจากฝักบัวยังดังแว่วออกมา เธอ ก�ำลังเตรียมตัวออกไปท�ำงานเฉกเช่นคนทั่วไป ชายหนุ่มรี่เข้าไปรับประทานข้าวต้ม บนโต๊ะกลางห้องอย่างรวดเร็ว กลืนยาสีขาวสองเม็ดที่เธอเตรียมไว้ให้เช่นกันก่อนจะ ทิง้ ตัวลงบนเตียง ในใจเขาอยากจะฝืนตืน่ ให้นานอีกสักนิด อยากจะได้พดู คุยกับภรรยา อีกหน่อย แต่อาการปวดหัวกลับมาเล่นงานเขาอีกครัง้ ชายหนุม่ จึงตัดสินใจจะโทรหา เธอหลังตื่นนอนแทน ภาพหมองมัวของการลืมตาหลังจากนอนหลับไปยาวนาน ชายหนุ่มมองเห็น แต่สีขาวสว่าง ไม่มีเงา ไม่มีรอยต�ำหนิ ไม่มีมิติ ไม่มีอะไรอื่น มีเพียงความขาวสว่าง ยาวไกลไร้สิ้นสุด ตัวเขายังถูกตรึงไว้บนเตียง ที่คอ กลางอก สะโพก ข้อมือ ข้อเท้า รวมถึงทุกข้อนิ้วมือถูกมัดติดไว้กับเตียงอย่างแน่นหนา ภายในปากของเขามีฟันยาง ยึดติดกับฟัน แขนซ้ายของเขามีเข็มสายน�้ำเกลือเสียบติด แขนขวาไม่มีรอยเข็มหรือ รอยช�้ำใดๆ ปรากฏ “เราประมาทคุณเกินไป แต่เราจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นอีก” ชายสูทด�ำปรากฏตัว ทันทีที่เขาตื่น “พวกคุณเป็นใครกัน” ชายหนุ่มกล่าว “พวกเราคือหน่วยปรับเปลีย่ น มีหน้าทีจ่ ดั การดูแลไม่ให้ระบบนิคมอวกาศความ หวังเกิดความผิดพลาด” “ไม่เคยได้ยิน” “ย่อมเป็นเช่นนั้น พวกเราไม่มีตัวตน ทุกคนในหน่วยของเราต่างตายไปแล้ว” คิ้วชายหนุ่มขมวดชนกัน ชายสูทด�ำจึงอธิบายต่อ “ตายไปจากทะเบียนของรัฐ ตาย ลบล้างตัวตนเพื่อมาท�ำงานอยู่เบื้องหลังฉาก คอยก�ำกับดูแลให้เวทีเบื้องหน้าด�ำเนิน ไปราบรื่นจนจบ” “งั้นชีวิตบนนิคมก็แค่หุ่นที่ถูกเชิดให้เดินตามเรื่องราวที่ถูกก�ำหนดไว้แล้ว” “คุณเข้าใจผิด ถ้าเทียบแล้วชาวนิคมอวกาศเกือบทั้งหมดคือผู้ชมในโรงละคร เราดูแลได้แค่ไม่ให้ผชู้ มคนใดไปรบกวนตัวละครบนเวทีเท่านัน้ หน้าทีห่ ลักของเราคือ การดูแลความราบรื่นบนเวที บางครั้งเราก็ต้องมีการกระซิบบอกบทให้บ้างเหมือนที่ ก�ำลังท�ำอยู่ในตอนนี้” “ผมหรือจะส�ำคัญอะไร ถ้าผมอยู่บนเวทีจริง คงจะแค่ก้อนหินประดับฉาก” 136


“ถ้าคุณคือก้อนหิน คุณจะเป็นก้อนหินที่พระเอกสะดุดแล้วรอดตายจากลูกธนู ยอมรับเสียเถิด หน้าที่คุณมีความส�ำคัญมากต่อนิคมอวกาศ มันท�ำให้ผมยิ่งอยากจะ เข้าใจว่าท�ำไมคุณยังคิดฆ่าตัวตาย?” “ชีวิตผมมีแต่เธอ มีแต่เธอเท่านั้น ผมไม่สนใจห่ะอะไรอื่น ผมไม่ได้ท�ำหน้าที่นี้ เพื่อปกป้องนิคมอวกาศ ผมท�ำเพื่อปกป้องเธอ” “ท�ำไมคนหนึ่งคนถึงส�ำคัญกว่าคนหนึ่งแสน” “ผมรักเธอ” “ความรักเป็นเรื่องไร้สาระ ความรักไม่ช่วยให้เราอยู่รอด ภรรยาที่คุณรักก็ไม่ รอด” “อย่าพูดถึงเธอ” “ความจริงคือความจริง ยอมรับเสียเถิด คุณไม่อาจหนีพ้นความจริงที่ภรรยา คุณเสียชีวิตไปแล้ว” “หุบปาก” “คุณไม่อาจยอมรับความตายของภรรยาจึงต้องการหนีให้พ้นจากความจริง ดู เป็นสาเหตุทคี่ ณ ุ กระท�ำการฆ่าตัวตายทีเ่ ป็นไปได้ทสี่ ดุ แต่ผมยังไม่เข้าใจว่าท�ำไมคุณ ยอมรับความตายของภรรยาไม่ได้…” “หุบปาก ไอ้ระย�ำ มึงจะมาท�ำความเข้าใจกูท�ำห่าอะไร” เอฟตะคอกลั่นต่อด้วย ค�ำด่าอีกเป็นพรวน ไม่เปิดโอกาสให้อกี ฝ่ายได้พดู อีก จนสุดท้ายชายชุดด�ำต้องยอมแพ้ “คุณก�ำลังอยู่ในภาวะวิกฤตทางอารมณ์ เราจะให้คุณอยู่แบบนี้ จนกว่าสติคุณ จะกลับมา” เสียงสบถก่นด่าชายสูทด�ำดังต่อเนื่องจนประตูปิดสนิท เอฟจึงเปลี่ยนมาดิ้นให้ หลุดจากพันธนาการ เขาพยายามอยูน่ านแต่ไร้ผล ชายหนุม่ หมดแรง ร่างนิง่ งัน น�ำ้ ตา ไหลรินอาบแก้ม แต่เพียงไม่นาน เขาก็เริ่มตะโกนสบถก่นด่าอีกครั้ง เห็นดังนั้นชาย สูทด�ำกดปุ่มปล่อยแก๊ซยาสลบเข้าสู่ห้อง ส่ายหัวให้ตัวเอง ส�ำนึกได้ว่ามันคงเป็นการ กล่อมทีห่ ว่ ยทีส่ ดุ ทีเ่ คยมีมาในประวัตศิ าสตร์และเริม่ นึกถึงเจ้าหน้าทีค่ นอืน่ ๆ ในหน่วย ปรับเปลี่ยนที่น่าจะกล่อมเอฟซิลอนหนึ่งหนึ่งสองแปดได้ ภาพหมองมัวของการลืมตาหลังจากนอนหลับไปยาวนาน ชายหนุม่ มองเห็นแต่ สีขาวสว่าง ไม่มีเงา แลหม่นหมอง มีรอยแตกร้าวเล็กๆ กระจายอยู่ทั่ว มันคือเพดาน 137


ทีส่ อ่ งสว่างปลุกเขาตามเวลาทีต่ งั้ ไว้ ชายหนุม่ กดปุม่ หยุดเสียงปลุกจากนาฬิกาข้อมือ ฝืนชันตัวขึน้ นัง่ บนเตียง หัวปวดร้าวราวกับเพิง่ ถูกประกอบใหม่หลังจากแตกเป็นเสีย่ งๆ เขาหันไปมองผ้าห่มยับย่นกับหมอนใบหนึง่ ข้างล�ำตัว ก่อนจะลุกขึน้ ไปหยิบกระดาษโน้ต ใบเล็กบนโต๊ะอ่าน ไปท�ำงานก่อนนะ กินแซนด์วิชให้หมดด้วย เป็นข้อความจากภรรยาที่ชายหนุ่มอ่านมาแล้วสามร้อยกว่าครั้ง แซนด์วิชสอง ชุดทีว่ างบนโต๊ะเป็นไส้ทนู า่ แบบเดียวกันกับทีเ่ ธอเตรียมให้ในวันนัน้ กลิน่ ข้าวต้มเครือ่ ง อันอบอวลก็เป็นส่วนหนึง่ ของความทรงจ�ำทีย่ งั แจ่มชัด อ้อมแขนยังระลึกได้ถงึ ร่างอัน เย็นกระด้าง ดวงตายังจ�ำภาพนัยน์ตาฝ้าหม่นอันเบิกโพลง หัวใจยังท่วมท้นด้วยความ รักที่มีต่อเธอ ต่างกันที่วันนั้นเธอไม่รับสาย ไม่มีเสียงสายน�้ำจากฝักบัว สองสิ่งที่ชาย หนุ่มยังวาดหวังจะพบเจอแทนร่างของเธอ ทุกสิง่ คือการจัดฉากของหน่วยปรับเปลีย่ นตามการร้องของเขา ชายหนุม่ เลือก จมปลักในอดีตจ�ำลองดีกว่าต้องเผชิญหน้ากับปัจจุบันที่ไม่มีเธอ ตอนเธอจากไป ชาย หนุ่มฆ่าตัวตายไปสี่ครั้งแต่ไม่เคยประสบผลส�ำเร็จ เธอคือหนึ่งเดียวที่ท�ำให้เขาอยาก มีชีวิต แม้ตอนนี้เธอก็ยังเป็นเหตุผลเดียวที่เขายังใช้ชีวิต เขากดเบอร์โทรศัพท์ถึงภรรยา “ทีร่ กั ” เธอกล่าวทักทาย มีเสียงสายน�ำ้ จากฝักบัวดังแว่วเข้าโทรศัพท์เหมือนเคย “โทรมากวนคุณอาบน�้ำอีกแล้ว แต่อยู่คุยกับผมก่อน เสียงของคุณคือความสุข เดียวของผม” “คุณก็คิดมากอีกแล้ว” เสียงเธอกังวานสดใส “งานเป็นไงบ้าง?” “เหมือนทุกวัน ไม่มีคุณแล้ว ทุกอย่างน่าเบื่อ ว่างเปล่า ไร้ความหมาย แต่ผม จะท�ำมันต่อไป” “ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว ฉันยังไม่อยากกระเด็นออกไปนอกอวกาศ” เขาหัวเราะเพราะมุกนี้เสมอ “เตรียมข้าวต้มไว้ให้นะ กลับมาก็กินเลย ไม่ต้องรอ ฉันกินแล้ว” “ผมคิดถึงคุณ” “ฉันก็คิดถึงคุณ” เครือ่ งตอบรับอัตโนมัตทิ ำ� งานเสร็จสิน้ แล้ว ส่วนชายหนุม่ ยังคงถือสายฟังความ เงียบอยู่เช่นนั้น คาดหวังจะได้ยินเสียงเธอพูดอีก เขาทราบดีว่าเป็นไปไม่ได้ แต่หัวใจ 138


ปฏิเสธ หัวใจมันขอให้ชายหนุ่มถือสายฟังความเงียบอีกสักพักก่อนจะกล่าวค�ำอ�ำลา “ผมจะมีชวี ติ อยู่ เพราะคิดว่าคุณคงไม่อยากให้ผมฆ่าตัวตายตามคุณไป ถ้าเป็น ผมตายไป ผมก็ไม่อยากให้คุณท�ำเช่นนั้น ขอบคุณสิบปีที่คุณคอยดูแลผม ขอบคุณ จากใจจริง”

139


การหายไปของย่อหน้าแรก

ฆนาธร ขาวสนิท 140


ย่อหน้าแรกหายไปแล้ว อยูๆ่ มันก็อนั ตรธาน เลือนจางไร้ ร่องรอยราวกับไม่เคยด�ำรงอยูต่ รงนัน้ --ไม่ผดิ แน่ เริม่ ต้นบรรทัดแรกด้วยการเหลื่อมเข้าไปด้านในหนึ่งเคาะ บรรทัดต่อมา-และต่อมาอัดแน่นด้วยดงอักษรเรียงราย จากด้านบน ไล่ลงมาจนเกือบถึงกึ่งกลางหน้ากระดาษ แล้วจึงเคาะอีกหนึ่งครั้งเพื่อขึ้นย่อหน้าที่สอง --ไม่ผิด แน่ ย่อหน้าแรกเคยด�ำรงอยู่ตรงนั้น บนกระดาษแผ่น แรก ต้นฉบับของนวนิยายซึ่งเธอเป็นผู้เขียน ทว่าโดย ไม่ทันรู้ตัว อยู่ๆ มันก็วับหายไปเสียแล้ว อันตรธานหาย ไปพร้อมๆ กับเธอ

คืนแรกหลังจากตรวจแก้ต้นฉบับแล้วเสร็จ ผมเข้านอนด้วยอาการอ่อนเปลี้ย คล้อยหลับขณะนึกฝันถึงรูปเล่มของนวนิยายซึง่ ก�ำลังจะตีพมิ พ์ออกมาในไม่ชา้ มันคง ได้การตอบรับทีด่ ี เช่นเดียวกับนวนิยายเล่มก่อนๆ ของเธอ ปฏิเสธไม่ได้วา่ แม้เธอจะ เป็นนักเขียนหน้าใหม่ในแวดวงวรรณกรรม แต่ความร่วมสมัยบวกรวมกับบรรยากาศ ลึกลับชวนค้นหาซึ่งแฝงอยู่แทบทุกอณูในนวนิยายทุกเล่มที่เธอเขียน ก็ช่วยผลักดัน ให้เธอเป็นที่ยอมรับของนักอ่าน-นักวิจารณ์-รวมถึงนักเขียนด้วยกันอย่างรวดเร็ว นวนิยายเล่มทีส่ าม-ล�ำดับสุดท้ายของไตรภาคทีเ่ ธอวางแผนเว้นช่วงระยะเวลาในการ ตีพมิ พ์เอาไว้อย่างรอบคอบ ก�ำลังจะออกสูส่ ายตาของผูอ้ า่ นในอีกไม่ชา้ ผมคล้อยหลับ ไปในขณะใจอิม่ เอิบนึกวาดภาพความส�ำเร็จทีก่ ำ� ลังรอท่าอยูเ่ บือ้ งหน้าของทัง้ เธอและ ตัวผมผูเ้ ป็นบรรณาธิการ ทว่าในตอนนี้ ย่อหน้าแรก-ย่อหน้าทีใ่ ครๆ ต่างให้ความส�ำคัญ กลับอันตรธานหายไปเสียเฉยๆ เลือนจางไร้ร่องรอยราวกับไม่เคยด�ำรงอยู่ –หรือ บางทีมันอาจเริ่มต้นมาจากฝันประหลาดในคืนนั้น 141


ผมร่ ว มรั ก กั บ เธอ ใช่ - ในคื น นั้ น ผมฝั น ว่ า ผมร่ ว มรั ก กั บ เธอ –มิ ติ บิ ด เบี้ ย ว ทัศนียภาพรอบกายเต็มไปด้วยความมืดเข้มข้น มองเห็นไม่ถนัดนัก ทว่าผมก็รู้สึก ได้ว่าเป็นเธอ นาสิกประสาทรับรู้ถึงกลิ่นกล้วยไม้ป่า-กลิ่นน�้ำหอมที่เธอใช้เป็นประจ�ำ ผัสสะสัมผัสถึงผิวกายอ่อนนุม่ ทีเ่ บียดขยับบนร่าง ปรากฏเสียงแปลกปลอมเพียงหนึง่ เดียว-คล้ายลักษณะของการตะบี้ตะบันเคาะซ�้ำลงบนแป้นพิมพ์ดีดต่อเนื่อง ไม่มจี ดุ เริม่ ต้นอืน่ ใด เมือ่ รูส้ กึ ตัว เธอก็ขนึ้ คร่อมอยูบ่ นร่างของผมเสียแล้ว ราวกับ ภาวะเช่นนีส้ ถิตอยูต่ รงนัน้ มาเนิน่ นาน มือขวาทาบทับอยูบ่ นหน้าอก มือซ้ายปล่อยปละ อิสระ ล�ำตัวโยกคลอนสั่นไหว ไร้การทักทาย มีเพียงเสียงครางแผ่วและลมหายใจถี่ กระชัน้ ร่างกายของผมคล้ายเป็นอัมพาต สุขารมณ์ปนหวาดหวัน่ ด�ำเนินต่อเนือ่ งเนิบช้า ผมได้แต่นอนแน่นงิ่ อย่างเด็กไม่ประสา เธอขยับผ่อนหนัก-เบากระชัน้ ถีเ่ ป็นจังหวะลืน่ ไหล สายตาคมกริบจ้องเขม็ง ผมพยายามข่มเปลือกตาลงเพื่อหลบเลี่ยงสายตาคู่นั้น ทว่าไม่อาจควบคุมอวัยวะใดๆ ในร่างกายได้ ฉากรักเร้าร้อนที่เธอเป็นผู้กระท�ำเพียง ฝ่ายเดียวด�ำเนินไปราวไม่มจี ดุ สิน้ สุด ณ ขณะหนึง่ ผมอยากขยับประสานรับ ตอบสนอง สุขารมณ์ให้ถงึ ห้วงอัศจรรย์ ทว่าฝันพิกลมีเพียงเท่านัน้ ไม่มกี ารถะถัง่ ใดๆ จากตัวผม ไม่มีการบิดเกร็งล่องลอยสู่ความลึกล�้ำว่างเปล่าจากตัวเธอ ในฝันประหลาดเวลาไม่ อาจอยู่ทรงคงรูป มันยืดหดเข้า-ออกจนผมไม่สามารถคาดค�ำนวณได้ว่าผ่านไปนาน เท่าใด สิ่งเดียวที่พอนึกได้ คือการขยับบีบอัดของเธอที่กระท�ำต่อร่างกายนิ่งแข็งของ ผมด�ำเนินอยู่เนิ่นนานราวนิรันดร์กาล ชัว่ แวบเท่านัน้ ทีผ่ มได้ยนิ เสียงกระซิบของเธอ เพียงชัว่ แวบทีเ่ ธอโน้มตัวลงแนบ ชิดติดผิวเนื้อ หน้าอกหมดจดพอเหมาะคู่นั้น บดขยี้ซ่านความอบอุ่นแปลกพิสดาร ลงบนผิวกาย ชั่วแวบอีกเช่นกันที่ผมรู้สึกว่าถันข้างขวาของเธอมีขนาดเล็กกว่าข้าง ซ้าย ชัดเจนถึงเพียงนั้น เธอแนบปากประกบเข้ากับใบหูของผม เอ่ยถ้อยกระซิบเป็น ท�ำนองเนิบนาบคล้ายบทสวด ชั่วแวบเท่านั้น แต่ผมยังจดจ�ำได้ชัดเจน เมื่อสะดุ้งตื่น ขึ้นในเช้าของวันถัดมา นัน่ ล่ะ คือตอนทีผ่ มได้พบการหายไปของย่อหน้าแรก –ทันทีทลี่ มื ตาตืน่ ก่อนจะ ทันได้ใคร่ครวญใดๆ ผมรีบโผกระโจนไปยังห้องท�ำงานทันที หยิบต้นฉบับของนวนิยาย เรื่องนั้นขึ้นมาตรวจสอบ จ้องพินิจกระดาษแผ่นแรกของต้นฉบับอยู่นานพอควร หลัง จากนัน้ กรีดเปิดมันออกจนถึงหน้าสุดท้าย แล้วกลับมามองย้อนสิง่ ประหลาดทีเ่ กิดขึน้ อีกครัง้ กระดาษแผ่นแรกของต้นฉบับ จากขอบบนสุดจนเกือบถึงกึง่ กลางหน้า ปรากฏ 142


เพียงสีขาวสะอาดของเนือ้ กระดาษ ไร้รอ่ งรอยของหมึกด�ำอย่างทีค่ วรเป็น ถ้อยค�ำยืดยาว หลายประโยคทีเ่ คยนอนนิง่ อยูต่ รงนัน้ กระโดดหนีหายไปเสียเฉยๆ ทิง้ ไว้เพียงย่อหน้า ที่สองซึ่งมีข้อความเพียงไม่กี่บรรทัด ‘แรกเริม่ ของชีวติ หอยเปลือกแข็งทุกสายพันธ์ พวกมันจะเกิดมาโดยมีเพศผู้ แต่ มันสามารถเปลี่ยนเพศได้ตามต้องการ ทว่าพวกมันจะเลือกได้แค่ครั้งเดียว’ มีเพียงเท่านี้ จากนัน้ ตามด้วยถ้อยความยืดยาวของย่อหน้าทีส่ าม สิง่ ทีท่ ำ� ให้ผม กระอักกระอ่วนก็คือ ข้อความที่ปรากฏอยู่บนย่อหน้าที่สอง กลับตรงกับถ้อยกระซิบ เนิบนาบที่เกิดขึ้นในฝันประหลาดของผมทุกประการ ผมได้แต่นงั่ นิง่ อยูท่ โี่ ต๊ะท�ำงาน บางส่วนยังคงแข็งค้าง ไม่อาจสลัดฝันพิกลทีเ่ กิด ขึ้นเมื่อคืนออกได้หมด อีกนานโขกว่าที่จะกล้ายกหูโทรศัพท์กดหาเธอ ทว่าพบเพียง บริการรับฝากข้อความ ตลอดทัง้ วันผมพยายามติดต่อเธอทุกช่องทาง แต่กไ็ ม่เป็นผล แล้วอยูๆ่ โดยไม่มเี หตุผลใดๆ ผมกลับรูส้ กึ ได้ถงึ การหายไปของเธอ ราวกับเสาอากาศ ในตัวผม ไม่สามารถรับคลื่นการด�ำรงอยู่ของเธอได้อีกต่อไป ไร้วี่แววของการติดต่อกลับจากเธอในอีกหลายวันนับจากนั้น ผมได้แต่นั่งลงที่ โต๊ะท�ำงาน จับเจ่าอยู่กับหน้ากระดาษแผ่นแรก ไม่ได้ท�ำอะไรไปมากกว่าการรอคอย เผาบุหรี่ลัคกี้สไตร์ลงปอดมวนต่อมวน ไม่อยากเผยความร้อนรนมากนัก ทว่ายิ่งข่ม กล�้ำเท่าไร ความล่กลนลานกลับยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น ฝันพิกลตามหลอกหลอน ต่อเนือ่ ง ทุกสิง่ ทีเ่ กิดขึน้ ยังคงฉายภาพชัดในห้วงค�ำนึง ผมก�ำลังนึกถึงนิว้ มือเรียวยาว หมดจดคูน่ นั้ มือขวาทาบทับอยูบ่ นล�ำตัวเผยให้เห็นรอยหมึกทีต่ ดิ อยูร่ ะหว่างซอกเล็บ ข้างซ้ายปล่อยปละอิสระราวกับวาทยากรผูก้ ำ� ลังอ�ำนวยบทเพลงทีไ่ ม่มใี ครในโลกเคย สดับฟัง ชัดเจนถึงเพียงนั้น นิ้วมือเรียวยาวหมดจดคุ้นตา ซึ่งเธอมักเคาะพรมลงบน แป้นพิมพ์ของเครื่องพิมพ์ดีดเป็นประจ�ำ นัน่ เองคือหนึง่ ในปัญหาส�ำคัญในตอนนี้ ต้นฉบับของเธอไม่ได้เดินทางมาหาผม ในรูปแบบดิจิตอล เธอคล้ายนักเขียนหลงยุค ไม่นิยมใช้คอมพิวเตอร์เพื่อสร้างสรรค์

143


ต้นฉบับ ผมยิ่งแปลกใจ เมื่อรู้ว่านักเขียนคนโปรดของเธอคือ อุมแบร์โต เอโค่1 ผู้ ค่อนขอดต่อวิธีการเขียนแบบดั้งเดิม ครั้งหนึ่งเขาเคยเสียดเย้ยต่อการตื่นนอนตั้งแต่ แปดโมงเช้า เพือ่ มานัง่ ประจันหน้ากับเครือ่ งพิมพ์ดดี จนถึงเทีย่ งวัน หลังจากนัน้ ก็หยุด เขียน แล้วพาตัวเองออกเดินเล่นจนเย็นย�ำ่ ทว่าเธอเป็นนักเขียนประเภทนัน้ เดินสวน ทางกับแนวคิดของเอโค่ทุกกระเบียด ด�ำรงชีพตามกระบวนการที่เขาเย้ยหยัน หรือ เพราะมันเป็นแค่ความอยากเอาชนะ อยากยืนยันว่าถึงแม้จะใช้วิธีแบบเดิมๆ แต่เธอ ก็สามารถสร้างสรรค์งานเขียนทีย่ งิ่ ใหญ่เฉกเช่นเขาได้ ความจริงเป็นเช่นไรผมไม่อาจ ทราบ หากแต่นนั่ ไม่ใช่ความผิดของเธอ ผมต่างหากทีต่ อ้ งรับผิดชอบต่อความสะเพร่า ที่ไม่ได้ท�ำส�ำเนาใดๆ เก็บไว้ ปากผมยังคงคาบบุหรี่ หมุนเก้าอี้-ผินหน้าไปยังเครื่องพิมพ์ดีด ซึ่งเธอน�ำมา ฝากไว้หลายวันก่อนทีจ่ ะหายตัวไปพร้อมๆ กับย่อหน้าแรก เครือ่ งพิมพ์ดดี แบบพกพา ยี่ห้อเรมิงตัน เก่าคร�่ำ อวดร่องรอยโชกศึกจากกาลเวลา-วางสงบอยู่บนโต๊ะไม้อีกตัว เบื้องหน้า ผมนั่งห่างจากมันเกือบหนึ่งวา ทว่ากลิ่นแห่งยุคสมัยกลับลอยอวลออกมา จนฉุนกึก บรรยากาศรอบข้างซีดหม่นลงราวกับเครื่องพิมพ์ดีดโบราณมีแรงดูดดึง มหาศาลให้ทกุ สิง่ พลันแก่ชรา เสน่หล์ น้ เหลือของมันท�ำให้ผมต้องลุกยืนและพาตัวเอง เข้าหา เพ่งพินจิ เนิน่ นานจนลืมไปแล้วว่ามีบหุ รีค่ าบค้างอยูใ่ นปาก เมือ่ รูส้ กึ ตัว จึงค่อย ขยี้ดับ ก่อนลองจิ้มนิ้วเคาะกดลงไปบนแป้นพิมพ์ นานเท่าไรแล้วทีผ่ มไม่ได้แตะสัมผัสประดิษฐกรรมจากโลกเก่า วารวันทีม่ นุษย์ ยังคงด�ำรงชีพด้วยระบบอนาล็อก คืนวันที่ทุกสิ่งยังขยับขับเคลื่อนด้วยกลไกที่เรา สามารถมองเห็นได้ด้วยตา เสียงเคาะย�้ำของเครื่องพิมพ์ดีดซึ่งมีเอกลักษณ์นี่เองที่ ดังก้องอยู่ในฝันประหลาดของผม ผมเคาะกดลงบนแป้นพิมพ์ไม่หยุดมือ กระดาษ ซึ่งคาค้างอยู่ในเครื่องก�ำลังปรากฏรูปประโยคที่พิมพ์ลงไปอย่างคมชัด ยังใช้งานได้ ดีจนน่าประหลาด สัมผัสพิสดารจากปลายนิ้วค่อยๆ กระตุ้นเตือนให้ผมหวนระลึกถึง วัยเยาว์ทีละน้อย ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติ ตัวอักษรบางตัวหายไป และหลายตัวสลับต�ำแหน่งกันจนสับสน รูปประโยคที่ผมพยายามพิมพ์ไม่ปรากฏสิ่ง อุมแบร์โต เอโค่ (Umberto Eco) นักเขียน นักปรัชญา นักภาษาศาสตร์ นักสัญศาสตร์ นักวิจารณ์วรรณกรรม ชาวอิตาลี ผู้ประพันธ์ นวนิยายชิ้นเอกเรื่อง สมัญญาแห่งดอกกุหลาบ (The Name of the Rose) 1

144


ที่ต้องการ ก้านพิมพ์หลายก้านไม่ได้สัมพันธ์กับแป้นพิมพ์อย่างที่ควรเป็น เมื่อพิมพ์ จบจนถึงตัวสุดท้าย ความตกตะลึงพลันจู่จับ ผมค่อยๆ หมุนกระดาษแผ่นนั้นออกมา จากเครื่อง ก่อนอ่านทวนมันอีกครั้ง ใช่หรือไม่ว่านี้คือเบาะแสที่เธอได้ทิ้งไว้ เย็นวันนัน้ ผมพาตัวเองออกเดินไปตามทางเส้นเดียวกับทีเ่ ธอเคยบอกว่ามักใช้ เดินเล่นจนถึงเย็นย�่ำหลังหยุดเขียนงานในตอนเที่ยงวันเป็นประจ�ำ ผมก้าวเท้าขนาน ไปกับรางรถจักรดีเซล เศษซากอารยธรรมแห่งยุคสมัยซึ่งเป็นหนึ่งในประดิษฐกรรม เพียงไม่กอี่ ย่างทีย่ งั หลงเหลือมาจากโลกเก่า อาทิตย์กำ� ลังทิง้ ดวง ผมเดินหันหลังให้กบั แสงอัสดง มุง่ หน้าไปยังทิศตะวันออก รถจักรขบวนยาววิง่ สวนมา พาลมแรงเหม็นหืน ปะทะใบหน้า รางรถไฟทอดยาวจากสถานีหนึง่ สูอ่ กี สถานี จากจังหวัดหนึง่ สูอ่ กี จังหวัด หากออกเดินตามมันไปเรื่อยๆ โดยไม่ค�ำนึงถึงปัจจัยด้านเวลาและสภาพร่างกาย ผม อาจพาตัวเองไปสูดดมกลิน่ เค็มๆ ของเมืองชายฝัง่ ทะเลเข้าสักวัน ผมไม่รแู้ น่วา่ เธอเคย ออกเดินจากจุดเริม่ ต้นไปได้ไกลทีส่ ดุ สักแค่ไหน ยากจะคาดเดาได้วา่ ร่างกายบอบบาง เหมือนกลีบดอกแดฟโฟดิลเช่นนั้นจะยืนหยัดต่อเนื่องได้นานสักเพียงไร ขณะออกเดิน ห้วงฝันประหลาดยังตามหลอกหลอน มันควรมีจดุ เริม่ ต้นบางอย่าง ในการหายตัวไปของเธอและย่อหน้าแรกมิใช่หรือ เมื่อความมืดฉายฉาน ผมพบตัวเองหยุดพักอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟแห่งหนึ่ง เหนือ่ ยหอบจากการก้าวเดินต่อเนือ่ งยาวนาน แว่วเสียงอือ้ อึงจากมหานครทีถ่ กู ทิง้ ไว้ เบือ้ งหลัง ผมผินหันกลับไปมองเส้นทางทีเ่ ดินผ่าน พลางจุดบุหรีข่ นึ้ สูบ ก่อนตระหนัก ว่าตัวเองได้เดินห่างจากจุดเริ่มต้นจนไม่อาจมองเห็นมันได้อีกแล้ว ไกลเกินกว่าระยะ ท�ำการของสายตาสามารถคว้าจับ จุดเริ่มต้นคงด�ำรงตนอยู่ในความมืดที่ใด-ที่หนึ่ง เบื้องหน้า ผมนั่งลงข้างรางรถไฟที่ดูเหมือนจะอ่อนล้าจากกาลเวลาพอๆ กัน ก่อนที่ รถจักรดีเซลอีกขบวนจะวิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว ส่งสายลมเหม็นหืนเข้าปะทะใบหน้า อีกครั้ง แวบหนึ่งผมเงยหน้าขึ้นมอง และคล้ายเห็นเงาร่างของเธอวูบไหวผ่านไปใน อากาศ -อีกครั้ง ที่ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อกดหาเธอ ทว่าพบเพียงบริการรับฝาก ข้อความเช่นเคย และแล้วหยาดฝนก็โปรยเม็ด พากลิน่ ดินผสมน�้ำมันเครือ่ งพวยพุง่ ขึน้ มาจนแสบ จมูก ผมตัดสินใจสิน้ สุดการเดินทางตรงจุดนัน้ พาตัวเองเข้าหลบฝนทีส่ ถานีรถไฟร้าง 145


ไร้ นาฬิกาข้อมือบอกเวลาใกล้เที่ยงคืน เสียงอื้ออึงซึ่งดังแว่วมาจากมหานครเมื่อครู่ บัดนี้กลับโดนกลบด้วยเสียงของสายฝนที่กระหน�่ำหนักขึ้นเรื่อยๆ ผมเพิ่งสังเกตเห็น สุนขั ตัวหนึง่ ซึง่ นอนคุดคูอ้ ยูใ่ ต้เก้าอีไ้ ม้ตวั ยาวทีผ่ มใช้นงั่ เหมือนกับว่าอยูๆ่ มันก็ปรากฏ ตัวขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไป น่าแปลกหรือไม่ บางสิ่งมักสถิตนิ่งอยู่ ณ ที่แห่งหนึ่ง โดยที่ เราไม่จ�ำเป็นต้องทราบถึงจุดเริ่มต้น แม้ผมจะไม่สามารถสืบค้นหาภูมิหลัง หรือชื่อ เรียกของมัน แต่ถงึ อย่างไร สุนขั ตัวนัน้ ก็ยงั เป็นสุนขั ตัวเดิม ซึง่ นอนคุดคูอ้ ยูใ่ ต้เก้าอีไ้ ม้ โดยไม่ได้บิดผันแปรรูปไปเป็นอย่างอื่นมิใช่หรือ และแล้วผมก็หวนกระหวัดถึงฝัน ประหลาดนั่นอีกครั้ง บางส่วนพลันแข็งขันชูชันจนปวดแปลบ จ�ำเป็นหรือไม่ที่ทุกสิ่ง ต้องมีที่มา ในฝันประหลาด อยู่ๆ เหตุการณ์เหล่านั้นก็แสดงตน โดยมิได้เกริ่นน�ำใดๆ ล่วงหน้า ไม่เคยมีใครสามารถแกะรอย หรือบอกเล่าถึงเรือ่ งราวอย่างหนึง่ -อย่างใด ซึง่ ด�ำเนินอยูก่ อ่ นสิง่ ทีพ่ วกเขาตระหนักรูไ้ ด้ในความฝัน แต่หากพอมีหนทาง ผมก็อยากรู้ เหมือนกัน ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าสิ่งที่ผมได้พบเจอในฝันพิกลจะเป็นอย่างไร แรกทีเดียวผมคิดว่าเป็นเสียงเห่าของสุนขั ตัวนัน้ ทีฉ่ ดุ ให้ฝนั ของผมขาดห้วง ฝน ยังคงกระหน�ำ่ หนักในขณะทีล่ มื ตาตืน่ มีอาการเมือ่ ยขบและหนาวสัน่ จากละอองฝนที่ พรมอยู่ทั่วตัว ผมสะบัดศีรษะอย่างฝืนๆ อยู่หลายครั้งเพื่อขับไล่ความอ่อนล้าให้ออก จากร่าง พลางนึกทบทวนถึงความฝันที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ ทว่ากลับพบเพียงเงาสลัวจาก โลกแห่งความจริงเท่านัน้ ทีก่ ระจะชัด เข็มของนาฬิกาไม่ได้เลือ่ นไปจากจุดเดิมมากนัก ในตอนทีย่ กมันขึน้ ดูเวลาอีกครัง้ เข็มสัน้ นิง่ ค้างอยูก่ บั ที่ เข็มยาวเคลือ่ นไปข้างหน้าชัว่ แวบก่อนถอยหลังกลับ วนซ�้ำอยู่อย่างนั้น ยุติการท�ำงาน ไม่ขับเคลื่อนอุปโลกน์แห่ง เวลาอีกต่อไป เมื่อท�ำทีจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นกดเปิด ตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งตระหนักได้ ว่าเสียงเห่าของสุนัขตัวนั้น ไม่ได้ยินเสียงเห่าของสุนัขตัวเดิม “จิบนี่เสียหน่อย คงท�ำให้รู้สึกดีขึ้น” ใจผมหล่นวูบ เสียงนั้นคล้ายเสียงของเธอเหลือเกิน ทว่ามีอะไรบางอย่างที่ต่าง ออกไป “คุณคงรูแ้ ล้วว่าน้องสาวของฉันหายตัวไป” เธอพูดขึน้ ในขณะทีผ่ มหันหลังกลับ ไปมองหาที่มาของเสียง หน้าตาละม้ายคล้ายกันจนแทบแยกไม่ออก ผมไม่ทราบมาก่อนว่าเธอมีพี่สาว –น่าแปลก ที่ผมไม่เคยรับรู้ถึงภูมิหลัง หรือ 146


ประวัติส่วนตัวของเธอมากไปกว่าสิ่งที่เขียนไว้สั้นๆ หลังปกของนวนิยายทุกเล่ม – จริงๆ แล้ว แม้แต่จะสบตากับเธอตรงๆ ผมก็ไม่แน่ใจนักว่าเคยท�ำ แฝดผู้พี่มีใบหน้าละม้ายคล้ายเธอไม่ผิดเพี้ยน ชุดแซกรัดรูปสีด�ำ เผยเรือนร่าง หมดจดไม่แตกต่าง เพียงดวงตาและเส้นผมเท่านั้นกระมังที่ซีดจางกว่า –เธอส่งยิ้ม บางๆ มาให้ แต่ผมสัมผัสได้ว่ามันแฝงไว้ด้วยความหวาดหวั่นเต็มเปี่ยม ทั้งคู่คงเป็นฝาแฝด เธอยืน่ แก้วกาแฟมาตรงหน้า ย�ำ้ ให้ผมรับมันเอาไว้ –ผมรับมันมา แต่กลับหยิบ บุหรี่ขึ้นกลัดที่มุมปาก แล้วจุดสูบ “ฉันรูม้ าว่าหนังสือเล่มใหม่ของเธอก�ำลังจะตีพมิ พ์ เดาเอาว่าคงท�ำให้คณ ุ ล�ำบาก อยู่ไม่น้อย” “คงไม่เท่าการหายไปของย่อหน้าแรก–” ผมคล้ายละเมอ นึกอยากกลืนค�ำพูด ทั้งหมดที่หลุดออกมาเมื่อครู่กลับสู่ความว่างเปล่า “อะไรนะคะ” ผมส่ายศีรษะ ก่อนถามออกไปว่าเธอรู้จักผม และรู้ได้อย่างไรว่าผมอยู่ที่นี่ “คงเป็นฉันที่ออกตามหาคุณ หรือบางที- อาจเป็นคุณที่ออกตามหาฉัน” ผมเหนือ่ ยล้าเกินไปทีจ่ ะซักถามอะไรมากไปกว่านัน้ สายฝนก�ำลังซาเม็ด โลก ก�ำลังเขยือ้ นเข้าสูว่ นั ใหม่ ผมพยายามย้อนนึกว่าตัวเองเผลอหลับไปเมือ่ ใด แต่กไ็ ม่ใคร่ แน่ใจนัก ไม่นานสถานีรถไฟแห่งนัน้ ก็คลาคล�ำ่ ไปด้วยผูค้ น เธอและผมนัง่ ลงเคียงข้าง กันอยู่พักใหญ่ แต่ไม่มีบทสนทนาใดๆ หลุดออกมาจากปากของเราทั้งคู่ ก่อนแยกจาก เธอพูดเพียงว่า “แล้วเราจะได้เจอกันอีก” มีเสียงแปลกปลอมบางอย่างแผ่วทะลุผา่ นมาทางผนังอีกฟาก ในขณะทีผ่ มนัง่ อยู่ ภายในห้องนัง่ เล่น และก�ำลังคร�ำ่ เคร่งอยูก่ บั การอ่านข่าวลืออันพิลกึ พิลนั่ จากโซเชียล เน็ตเวิร์ค –มีหลายประเด็นซึ่งสันนิษฐานถึงเหตุผลในการหายตัวไปอย่างลึกลับของ นักเขียนสาวทีค่ อ่ นจะข้างเหนือจริงและแปลกพิสดาร ความคิดเห็น บางข้อความท�ำใจ ให้เชื่อได้ยากว่านั่นคือเรื่องจริงมากกว่าที่จะเป็นพล๊อตของนวนิยายสักเรื่อง ใครบาง คนบอกว่า นักเขียนสาวผู้นี้ก�ำลังตั้งครรภ์ จึงตัดสินใจเดินทางไปยังเกาะลับแลแห่ง หนึง่ ซึง่ มีพกิ ดั อยูใ่ กล้กบั ขัว้ โลกใต้ เพือ่ ทีจ่ ะท�ำการคลอดตามวิธแี บบพืน้ เมืองของทีน่ นั่ หรือถึงขัน้ ทีว่ า่ ฝีมอื การเขียนอันเอกอุของเธอ เป็นพรทีไ่ ด้รบั มาจากการท�ำสนธิสญ ั ญา 147


แลกเปลี่ยนดวงวิญญาณกับซาตาน และเธอก�ำลังอยู่ระหว่างหลบหนีการไล่ล่าของ ซาตานตนนั้น –ทั้งหมดนี้ ล้วนมาจากแหล่งข่าวซึ่งไม่อาจระบุที่มา แต่ไม่วา่ การหายตัวไปของเธอจะมาจากสาเหตุใด สิง่ ทีเ่ ห็นได้ชดั ก็คอื บัดนีม้ นั ได้กลายเป็นประเด็นซึ่งผู้คนในสังคมต่างให้ความสนใจอย่างกว้างขวาง ก�ำหนดการ ส�ำหรับตีพมิ พ์นวนิยายเรือ่ งใหม่ทเี่ ธอได้ก�ำหนดไว้กระชัน้ เข้ามาเรือ่ ยๆ นวนิยายเล่ม ก่อนๆ เริ่มกลายเป็นหนังสือที่หาซื้อได้ยาก นักอ่านหน้าใหม่ที่เพิ่งท�ำความรู้จักกับ ตัวอักษรของเธอ–ไม่ได้เริม่ อ่านเพียงสิง่ ทีป่ รากฏอยูใ่ นหน้ากระดาษอีกต่อไป พวกเขา ผูกโยงเรือ่ งแต่งในนวนิยายเข้ากับต�ำนานการหายตัวไปเหล่านัน้ และพากันตีความกันไป ต่างๆ นานา กระแสการรือ้ ค้นนวนิยายของเธอ กลายเป็นสิง่ ทีเ่ รียกได้วา่ ปรากฏการณ์ –ผมแทบอาเจียน เมื่อคิดได้ว่าจะเป็นเช่นไร หากพวกเขาได้รับรู้ถึงการอันตรธานไป อย่างไร้ร่องรอยของย่อหน้าแรกเข้าอีกประการ– และแล้วภวังค์ของผมก็สะบัน้ ขาด เสียงแปลกปลอมบางอย่างยังคงรบกวนโสต ประสาทต่อเนื่อง ทะลุผ่านผนังอีกฝั่งซึ่งอยู่ติดกับห้องท�ำงาน ลอยคว้างเรียกร้องการ สดับฟังจากผมไม่ลดละ ส่งเสียงกริก๊ ทีหนึง่ ก่อนจะกระหน�ำ่ ย�ำ้ อีกพัก และตามมาด้วย เสียงกริ๊กอีกหนึ่ง สลับเป็นจังหวะจะโคนผสานไปกับความหม่นมัวของม่านฝนบางๆ ยามค�ำ่ เมือ่ นิง่ ฟังอย่างตัง้ ใจ ผมก็ตระหนักได้วา่ นัน่ คือเสียงของการเคาะกดลงบนแป้น พิมพ์ดีด ซึ่งมีลักษณะไม่แตกต่างจากสิ่งที่เคยได้ยินในฝันประหลาด รู้ตัวอีกที ผมพบตัวเองยืนนิ่งอยู่หน้าประตูของห้องท�ำงานเสียแล้ว เหม่อลอย มือคีบบุหรี่ที่เพิ่งจุดสูบ เพ่งจ้องอยู่กับเชื้อราและรอยลอกล่อนบนบานประตู สดับฟัง ส�ำเนียงนุม่ ลึกของการเคาะกดลงบนแป้นพิมพ์ดดี ครัง้ แล้วครัง้ เล่าอยูอ่ ย่างนัน้ ราวกับ นั่นคือเสียงเปียโนอันพลิ้วไหวที่โดนบรรเลงโดยโชแปง2 ไม่ทันที่มือของผมจะได้แตะ สัมผัสกับลูกบิดประตู เสียงเคาะกดบนแป้นพิมพ์ดีดพลันหยุดกึก ขย้อนสรรพเสียง สู่ความเงียบ ผมต้องอัดบุหรี่เข้าปอดอึกใหญ่ ปลอบประโลมจิตใจไม่ให้ประหวั่นกลัว ก่อนตัดสินใจแง้มประตูให้เปิดออก “เครื่องพิมพ์ดีดเครื่องนี้ตกทอดมาจากพ่อของพวกเรา”   เฟรเดริก ฟรองซัวส์ โชแปง (Fryderyk Franciszek Chopin) คีตกวีเอกของโลกชาวโปแลนด์ ผลงานทุกชิ้นของโชแปงเป็นผลงานชิ้นเอก รวมถึงเพลงบรรเลงส�ำหรับเปียโน ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้ ส�ำหรับการเดี่ยวเปียโน 2

148


น�้ำเสียงราบเรียบละม้ายคล้ายอีกคน ทว่ากลิ่นน�้ำหอมที่แตกต่าง ก็ท�ำให้ผม สัมผัสได้ในทันทีว่าค�ำพูดเหล่านั้นเป็นของแฝดผู้พี่ เธอนั่งอยู่ตรงเครื่องพิมพ์ดีด หัน หน้ามาทางผม ก่อนกล่าวขออภัยส�ำหรับการเข้ามาโดยไม่ได้ขออนุญาต ถึงตรงนี้ ผม ป่วนปั่นจนแทบยืนไม่ติดพื้น ท�ำได้เพียงพยักหน้ารับเงียบๆ และพาตัวเองนั่งลงตรง โต๊ะท�ำงานข้างๆ เธออย่างทุลักทุเล “คุณคงมีเรื่องอยากคุยกับผม” “มากโขทีเดียว” “–จะเป็นอะไรไหม หากผมจะขอสูบบุหรี่” เธอหมุนกระดาษออกจากเครื่องพิมพ์ดีดอย่างเชื่องช้า ไม่ตอบค�ำ เนิ่นนานที่ คล้ายก�ำลังควานหาอะไรบางประการที่หลับลึกอยู่ ณ ที่ใด-ที่หนึ่งซึ่งเธอไม่อยากย่าง กรายเข้าใกล้ ผมหลับตา เงยหน้าขึน้ พ่นควันสีเท�ำให้ลอยสูเ่ บือ้ งบน โดนห้วงฝันพิกล เล่นงานอีกครั้ง ทว่าใบหน้าที่ปรากฏในความทรงจ�ำกลับแทนที่ด้วยใบหน้าของแฝด คนพี่ –ผู ้ นั่ งอยู ่ เบื้อ งหน้า ขณะที่พ ยายามข่ม กลั้ นอารมณ์ ไ ม่ ใ ห้ เ ตลิ ด ไปกั บภาพ วาบหวามในความคิด เธอก็เริ่มกล่าวถึงต�ำนานอีกบทหนึ่ง “พ่ อ ของฉั น เป็ น สายลั บ อย่ า งน้ อ ยใครหลายคนก็ พู ด กั น แบบนั้ น –หลั ง สงครามโลกครัง้ ทีส่ องสิน้ สุด โลกก็เคลือ่ นเข้าสูส่ งครามอีกรูปแบบทีด่ �ำเนินยุทธวิถกี าร รบด้วยสิง่ ทีเ่ รียกว่าอุดมการณ์ หรือทีเ่ รารูจ้ กั กันดีในนาม สงครามเย็น– ใครหลายคน บอกว่าพ่อท�ำงานเป็นสายลับในช่วงปลายของสงครามครั้งนี้ เช่นเดียวกับคุณ เช่นเดียวกับคนรุน่ เราส่วนใหญ่ ฉันหาได้มคี วามรูส้ กึ ร่วมใดๆ กับสงครามพวกนัน้ ฉันเติบโตมาในโลกทีส่ ถานการณ์ตา่ งๆ เริม่ คลีค่ ลาย ฉันไม่เคยรับรู้ ไม่เคยยินดี-ยินร้ายว่าใครเป็นผูช้ นะ หรือผูพ้ า่ ย- แม้แต่พอ่ จะฝักใฝ่ฝา่ ยใด–ฉันก็ไม่เคย ใส่ใจ ฉันไม่คอ่ ยเข้าใจนักเมือ่ มาใคร่ครวญเอาตอนหลัง แม้ตา่ งฝ่ายจะอ้างว่าท�ำการรบพุง่ เพือ่ ให้ได้มาซึง่ อุดมการณ์ของตน แต่ทา้ ยทีส่ ดุ ความเหีย้ มกระหายเหล่านัน้ ก็ดำ� เนินไป บนกองภูเขาแห่งซากศพของมนุษย์นับล้านอยู่ดี แม่เสียชีวิตหลังจากคลอดพวกเราได้ไม่นาน ฉันจดจ�ำใบหน้าของเธอไม่ได้ ด้วยซ�้ำ หลังจากนั้นเรามีช่วงเวลาอันแสนสุขไม่กี่ปีอยู่กับพ่อ ย้ายบ้านไปเรื่อยๆ จาก เมืองหนึ่งสู่อีกเมือง จากประเทศหนึ่งสู่อีกประเทศ ต่อเมื่อมีข่าวการพังทลายลงของ ก�ำแพงเบอร์ลนิ –ยุบรวมเยอรมนีตะวันตกเข้ากับเยอรมนีตะวันออก ไม่นานหลังจากนัน้ วันหนึง่ พ่อก็หายตัวไปเสียเฉยๆ และไม่เคยย้อนกลับมาอีกเลย ตอนนัน้ ฉันและน้องสาว 149


มีอายุเพียงไม่กี่ขวบ–” น�้ำเสียงของเธอเริ่มสั่นเครือ สองมือลูบคล�ำอยู่บนเครื่องพิมพ์ดีดแผ่วเบา ผม ค่อนข้างสับสน ไม่รู้ว่าควรวางตัวเช่นไร สุดท้าย ท�ำได้เพียงแสดงทีท่าเป็นผู้ฟังที่ดี เท่านั้น “เครือ่ งพิมพ์ดดี เครือ่ งนีเ้ ป็นของรักของหวงของพ่อ เขาไม่เคยให้ใครแตะต้องมัน นัน่ คือสิง่ มืดด�ำเกีย่ วกับพ่อหนึง่ เดียวทีต่ ดิ ค้างอยูใ่ นความทรงจ�ำของฉัน มันชวนให้คดิ อยูห่ รอกว่าท่านเป็นคนค่อนข้างลึกลับ ครัง้ หนึง่ น้องสาวของฉัน ต้องการอวดโอ่ความ กล้าบ้าบิน่ ของเธอให้เห็น ด้วยการแอบไปเล่นมันในขณะทีพ่ อ่ ไม่อยูบ่ า้ น เมือ่ ท่านกลับมา ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นไปได้อย่างไร แต่พ่อก็รู้ในทันทีว่าเธอได้แตะต้องพิมพ์ดีด เครือ่ งนี้ เป็นครัง้ แรกและครัง้ เดียว ทีฉ่ นั ได้เห็นพ่อผูอ้ อ่ นโยน–มีแววตาประหนึง่ ซาตาน –ไม่ใช่ดว้ ยการทุบตี เพียงเสียงก้องกัมปนาท-เด็ดขาดประโยคเดียวเท่านัน้ ก็ทำ� ให้เธอ ร้องไห้ไม่หยุด ฉันเพิง่ จะเข้าใจเอาตอนทีพ่ อ่ จากไปแล้วนัน่ ล่ะ เครือ่ งพิมพ์ดดี เครือ่ งนี้ อาจเป็นสิ่งของชิ้นเดียว ที่สามารถช่วยยืนยันได้ว่าจริงแท้แล้วพ่อคือใคร มาจากไหน และก�ำลังท�ำอะไรอยู่ นั้นเป็นเหตุผล ว่าท�ำไมเขาจึงไม่อาจให้ใครรับรู้-แตะต้องสัมผัส แม้วา่ ใครคนนัน้ คือลูกสาวของตัวเองก็ตาม –กระนัน้ ฉันก็ไม่เคยเชือ่ และไม่อาจท�ำใจ ให้เชื่อได้ว่าพ่อเป็นสายลับ เมื่อมีใครสักคนพูดขึ้นมาว่าพ่อเป็นสายลับ ฉันมักเถียง คอเป็นเอ็นเลยล่ะว่าพ่อเป็นคนดี เขาเป็นแค่นักลงทุนคนหนึ่ง ฉันอยากเชื่อแบบนั้น อย่างน้อยพ่อก็เคยบอกกับฉันแบบนั้น เมื่อพ่อหายตัวไป ฉันและน้องสาวถูกจับแยกจากกัน ด้วยเหตุผลอะไรฉันก็ ไม่แน่ใจนัก น้องสาวของฉันถูกส่งตัวกลับมาทีน่ ี่ ได้รบั การเลีย้ งดูจากญาติฝา่ ยแม่ ส่วนฉัน โดนรับตัวไปยังประเทศฝ่ายทุนนิยมเสรีอกี ประเทศ-ได้รบั การเลีย้ งดูจากญาติฝา่ ยพ่อ เราไม่ได้เจอกันอีกเลยนับจากนัน้ ก่อนจากกัน ฉันมองดูเธอกอดเครือ่ งพิมพ์ดดี แนบแน่น ร้องไห้โฮ ภาพสุดท้ายทีจ่ ดจ�ำได้คอื ใบหน้าของเธอทีโ่ ผล่พน้ ออกมาจากกรอบหน้าต่าง ของขบวนรถไฟทีก่ ำ� ลังเคลือ่ นตัวออกจากสถานี แต่เมือ่ มาย้อนนึกเอาตอนนี้ ฉันก็ชกั ไม่แน่ใจนัก ว่าใบหน้าที่ได้เห็น เป็นใบหน้าของเธอจริงๆ หรือเป็นเพียงเงาสะท้อน ของตัวฉันเองเท่านั้น–” เงาสะท้อน ใช่-เงาสะท้อน บางทีเรือ่ งเล่าในนวนิยายของนักเขียนสาว อาจเป็น เพียงเงาสะท้อนของเรือ่ งเล่าอีกเรือ่ ง เธอเขียนเรือ่ งราว-เรือ่ งหนึง่ ผ่านเครือ่ งพิมพ์ดดี เครือ่ งนัน้ เพือ่ ให้ได้มาซึง่ เรือ่ งเล่าอีกเรือ่ ง ราวกับนัน้ คือความพยายามอันหนักหน่วง 150


ทีจ่ ะปิดซ่อนอะไรบางอย่างซึง่ ไม่อาจให้ผใู้ ดรับรู้ ผมค่อนข้างพิศวงไปกับวิธกี ารท�ำงาน ของเธอ เหลือเชือ่ เธอสามารถจดจ�ำแป้นพิมพ์ดดี ทีม่ กี ารสลับต�ำแหน่งของก้านพิมพ์ เสียจนยุ่งเหยิงได้อย่างน่าอัศจรรย์ ประกอบสร้างนวนิยายสองเรื่องขึ้นมาในคราว เดียว–เล่นล้อซ้อนทับอยูร่ ะหว่างตัวอักษรทีเ่ ราสามารถมองเห็นได้ดว้ ยทัศนประสาท และตัวอักษรซึ่งอยู่ในอีกมิติ ที่ไม่มีใครสามารถใช้ผัสสะใดๆ แตะต้องสัมผัส นอกจาก ตัวเธอเพียงเท่านั้น ผมหยิบกระดาษแผ่นหนึง่ ขึน้ มาเพ่งพินจิ จุดบุหรีข่ นึ้ สูบอีกตัว แฝดผูพ้ เี่ ว้นช่วง การเล่าเรือ่ งชัว่ แวบ พ่นลมหายใจบางๆ ก�ำจายกลิน่ หอมแปลกประหลาด ก่อนพูดต่อ “แม้จะอยู่คนละซีกโลก แต่เราก็ยังติดต่อกันผ่านทางจดหมาย–จดหมายแต่ละ ฉบับของเธอ ทุกตัวอักษรจะถูกพิมพ์ผา่ นเครือ่ งพิมพ์ดดี เครือ่ งนีอ้ ย่างประณีต นัน่ คือ สิ่งที่ฉันสัมผัสได้ แม้ในตอนที่เทคโนโลยีพัฒนาไปถึงจุดที่เราสามารถใช้อินเตอร์เน็ต ส่งผ่านความข้อความโดยไม่จ�ำเป็นต้องพึ่งพาไปรษณีย์อีกต่อไป แต่เธอก็ยังยืนยันที่ จะพิมพ์ถ้อยค�ำเหล่านั้นด้วยเครื่องพิมพ์ดีดเครื่องนี้เช่นเดิม เป็นระยะเวลาหลายปี ที่ฉันอยากเดินทางมาพบเธอ แต่ก็ดูเหมือนยังไม่มีช่วง เวลาที่เหมาะเจาะลงตัว ต่อเมื่อทราบข่าวว่านวนิยายเล่มล่าสุดของเธอก�ำลังตีพิมพ์ ฉันจึงตัดสินโผล่พรวดมาแสดงความยินดีโดยไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า แต่เมื่อฉัน ย่างเท้าก้าวเหยียบลงบนผืนดินของประเทศนี้ ฉันก็สมั ผัสได้ทนั ทีวา่ เธอได้หายตัวไป เสียแล้ว –อาจเป็นเส้นสายล่องหนบางประการซึ่งยึดโยงอยู่ระหว่างฝาแฝดสองคน กระมัง ที่ท�ำให้รู้สึกได้เช่นนั้น–” ผมนิง่ ฟังอย่างตัง้ ใจ สัมผัสได้วา่ เสียงของสายฝนเบือ้ งนอก โดนบีบอัดจนบิดเบีย้ ว ด้วยถ้อยค�ำอันสั่นเครือของเธอ “ฉันกลัวว่าเธอจะอันตรธานหายไปเหมือนกับพ่อ หายตัวไปเสียเฉยๆ ไร้ซึ่ง เหตุผล และไม่ย้อนกลับมาอีก” เธอจบต�ำนานบทนีด้ ว้ ยประโยคเช่นนัน้ พร้อมยืน่ ส่งอะไรบางอย่างมาให้ –ผม รับมันมาพิจารณา ทันใด อาการตกตะลึงพล่านขึ้นเฉียบพลัน หัวสมองพองโตแทบ ปริแตก เมื่ออัดบุหรี่ลงปอดครั้งสุดท้าย กลับรู้สึกได้ว่ากลุ่มควันเหล่านั้นไม่อาจแตะ สัมผัสถึงก้นบึ้ง ผมก�ำลังควานหาอะไรกันแน่ แท้จริงแล้วสิ่งที่ผมก�ำลังค้นหา–ใช่เธอ และย่อหน้าแรกล่ะหรือ ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกประหนึ่งว่าเราก�ำลังเล่นซ่อนแอบอยู่ใน พรมแดนไร้ขอบเขต ที่ไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วใครเป็นผู้ตามหา และใครเป็นผู้ถูกค้นหา 151


กันแน่– “–ฉันเจอนี่ในบ้านของเธอ มันคงเป็นเหตุผลว่าท�ำไมเราถึงได้เจอกัน” เป็นค�ำพูดสุดท้าย ก่อนทีเ่ ธอจะไม่สามารถต้านทานมวลน�ำ้ ตาจ�ำนวนมหาศาล ของตัวเองได้อีกต่อไป ทุกสิ่งเหมือนเกิดขึ้นง่ายดาย และด�ำเนินไปอย่างเป็นธรรมชาติ ผมร่วมรักกับ เธอ ใช่-สุดท้ายแล้ว ผมได้รว่ มรักกับแฝดผูพ้ ี่ ทว่าครัง้ นีท้ กุ การกระท�ำเกิดขึน้ ในความ จริงหาใช่ความฝัน ไร้ซงึ่ อาการกระดากอาย ทุกกริยาบทด�ำเนินไปราวกับมีใครบางคน ก�ำหนดกะเกณฑ์มาแล้วว่าสุดท้ายมันต้องลงเอยเช่นนั้น ที่น่าแปลกก็คือ ก�ำหนัดอัน ร้อนเร่าที่เกิดขึ้นบนโลกแห่งความจริง กลับเลือนรางจนไม่อาจจับต้องได้ ผมพูดได้ เพียงแค่ผมร่วมรักกับเธอ แต่ไม่อาจอรรถาธิบายใดๆ มากไปกว่านัน้ เป็นฝันประหลาด ต่างหากที่กระจะชัดเสียยิ่งกว่า หรือเพราะตอนนัน้ ห้วงค�ำนึงของผมมัวพะวงอยูแ่ ต่การหายไปของย่อหน้าแรก ผมควรรับมือเช่นไร หากก�ำหนดการที่ได้วางแผนไว้เดินทางมาถึง และนวนิยายเล่ม นั้นยังไม่ปรากฏออกมาเป็นรูปเล่ม ใช่-มันควรเป็นความรับผิดชอบของบรรณาธิการ เช่นผมทีต่ อ้ งแจ้งแถลงให้ผรู้ อคอยนวนิยายเล่มนีร้ บั ทราบ แต่ผมคงไม่อาจบอกออกไป ตรงๆ กับใครได้ ว่านั่นเพราะย่อหน้าแรกได้หายไป มันคงกลายเป็นเรื่องข�ำขัน หรือ ไม่กอ็ าจแปรรูปไปเป็นต�ำนานอันลึกลับให้ผคู้ นได้กล่าวขานกันอีกระลอก บางแวบ ผม นึกอยากเขียนย่อหน้าแรกใส่ลงไปแทนที่ แต่หากท�ำแบบนัน้ เรือ่ งเล่าของเธอจะยังคง เป็นเรือ่ งเล่าของเธอแต่เพียงผูเ้ ดียวอยูอ่ กี หรือ –บทเกริน่ น�ำ หรือย่อหน้าแรก มีความ ส�ำคัญขนาดท�ำให้นวนิยายเรื่องหนึ่งเปลี่ยนแปลงไปได้มากน้อยสักแค่ไหน บางแวบ อีกเช่นกัน ที่ผมนึกอยากเมินเฉย ปล่อยผ่านนวนิยายเรื่องนี้ออกมาโดยไร้ซึ่งย่อหน้า แรก ผมอยากท�ำให้ตัวเองเชื่อได้ว่า บางทีมันอาจเป็นเจตนารมณ์ของเธอที่ต้องการ ให้เป็นเช่นนั้น แต่ถึงอย่างไร ผมก็ไม่มีทางล่วงรู้ได้อยู่ดี ถึงตรงนี้ผมได้ทราบถึงภูมิหลังของนักเขียนสาวผู้นี้มากขึ้น ข้อมูลหลากหลาย เกี่ยวกับเธอวิ่งวุ่นอยู่ในฐานระบบคิด ค�ำถามก็คือ มันท�ำให้ผมรู้จักเธอมากขึ้นจริงๆ หรือ การได้รบั รูต้ น้ ก�ำเนิดของเธอ เรือ่ งราวของเธอ ต�ำนานของเธอ มันท�ำให้นกั เขียน สาวที่ผมเคยรู้จักเปลี่ยนรูปไปเป็นอีกคนใช่หรือไม่ หรือจริงแท้แล้วเธอก็ยังคงเป็น นักเขียนสาวคนเดิม ซึง่ มีความสัมพันธ์ตอ่ ผม ในฐานะนักเขียนกับบรรณาธิการเท่านัน้ 152


ต่างกันเพียงผมได้สร้างฉากอัศจรรย์ลกึ ล�ำ้ ต่อพีส่ าวของเธอขึน้ มาบนโลกแห่งความจริง ใช่-อดีตอาจท�ำให้เราเพ่งพินจิ ปัจจุบนั ได้ดขี นึ้ แต่มนั ไม่พอล่ะหรือส�ำหรับการท�ำความ รู้จักใครคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหน้า จากปัจจุบันกาลที่เขาเป็น หลายสิ่งผุดโผล่ขึ้นง่ายดาย และเลือนจางไปอย่างง่ายดาย ผมไม่ได้พบแฝด ผู้พี่อีกเลยนับจากวันนั้น เธอวับหายไปเสียเฉยๆ เหมือนหลายสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้า อีกเช่นเคยทีผ่ มไม่สามารถท�ำอะไรได้นอกจากนัง่ ลงทีโ่ ต๊ะท�ำงาน เผาบุหรีล่ คั กีส้ ไตร์ลง ปอดมวนต่อมวน พลางเพ่งจ้องอยู่กับสิ่งที่แฝดผู้พี่ได้ทิ้งให้ไว้ ผมควรยอมรับหรือไม่ ว่าตัวเองได้ถูกยัดเยียดความพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง–จากอะไรก็แล้วแต่ที่ตนไม่อาจ ควบคุม อีกไม่กวี่ นั ก�ำหนดการส�ำหรับเปิดตัวนวนิยายเล่มนัน้ ก็กำ� ลังจะมาถึง และไม่วา่ ผมจะตัดสินใจด�ำเนินการต่อมันอย่างไร –สุดท้าย เมื่อถึงตอนนั้น ข่าวการหายตัวไป ของเธอคงไม่ ไ ด้ เ ป็ น เพี ย งแค่ ข ่ า วลื อ หรื อ ต� ำ นานอั น ลึ ก ลั บ ที่ ป รากฏอยู ่ แ ต่ ใ น โซเชียลเน็ตเวิร์คอีกต่อไป สื่อแขนงต่างๆ ทั้งโลกออนไลน์และออฟไลน์ คงเล่นข่าว การหายไปของนักเขียนสาวผู้พาย่อหน้าแรกในนวนิยายเล่มส�ำคัญหนีหายไปด้วย อย่างสนุกสนานเป็นแน่– กระนัน้ ผมก็รดู้ ี ไม่วนั ใดก็วนั หนึง่ อาจเพียงชัว่ ลัดนิว้ กระแส เหล่านัน้ ก็จะอันตรธานหายไปเสียเฉยๆ เช่นเดียวกับหลายๆ สิง่ ทีเ่ คยเกิดขึน้ ก่อนหน้า ผุดโผล่ขึ้นมาง่ายดาย วับหายไปอย่างง่ายดาย สุดท้ายก็เลือนจางจนราวกับไม่เคย ด�ำรงอยู่– เป็นวันเดียวกับที่นวนิยายของเธอควรเริ่มวางจ�ำหน่าย ผมพาตัวเองออกเดิน ไปตามเส้นทาง-เส้นนั้นอีกครั้ง เส้นทางเดิมกับที่นักเขียนสาวเคยบอกว่ามักใช้เดิน เล่นจนถึงเย็นย�่ำหลังหยุดเขียนงานในตอนเที่ยงวันเป็นประจ�ำ ก้าวเท้าขนานไปกับ รางรถจักรดีเซล เศษซากอารยธรรมแห่งยุคสมัย ฤดูกาลยังคงท�ำงานไม่บกพร่อง สาย ฝนกระหน�่ำหนัก ทิ้งละอองนับล้านเป็นม่านมัวหม่นทึบโดยไม่ปราณีปราศรัย เพียง ไม่กี่ก้าวย่างก็ช�ำแรกความเย็นยะเยียบจนถึงผิวกาย เสียงขยับขับเคลื่อนของรถจักร ดีเซลดังแทรกแหวกอากาศมาแต่ไกล ผมล้วงมือเข้าไปหยิบอะไรบางอย่างออกมาจาก กระเป๋า แล้วพิจารณามันอยู่ครู่ใหญ่ กระดาษสองแผ่นที่ถูกพับทบเข้าด้วยกัน บัดนี้ชุ่มโชกไปด้วยหยาดฝน เมื่อคลี่ 153


กางเปิดออก ก็พบว่าหมึกด�ำเข้มข้นทีเ่ คยประทับติดอยูบ่ นผิวกระดาษอย่างคมชัด ได้ โดนช�ำระล้าง เหลือเพียงร่องรอยกระด�ำกระด่าง และตัวอักษรไม่กี่ตัวที่ยังพอสังเกต เห็นเป็นเค้ารูป กระดาษแผ่นหนึ่ง ผมได้รับมันมาจากแฝดผู้พี่ ส่วนอีกแผ่น เป็นกระดาษที่ผมพยายามพิมพ์ทุกถ้อยกระซิบที่ได้ยินในฝัน ประหลาดลงไปบนมัน–เสียงกระซิบเนิบนาบของนักเขียนสาว–ซึง่ ตรงกับรูปประโยค ในย่อหน้าทีส่ องจากต้นฉบับของนวนิยายของเธอทุกประการ ใช่-ผมพิมพ์ทกุ ถ้อยค�ำ ด้วยเครื่องพิมพ์ดีดเครื่องนั้น –คงพอจะเดาได้ รูปประโยคที่ผมพยายามพิมพ์ ไม่ ปรากฏสิ่งที่ต้องการ ก้านพิมพ์หลายก้านไม่ได้สัมพันธ์กับแป้นพิมพ์อย่างที่ควรเป็น ตัวอักษรบางตัวหายไป และหลายตัวสลับต�ำแหน่งกันจนยุ่งเหยิง ผมยังจ�ำความ รู้สึกของตัวเองได้ดี ในตอนที่เคาะกดลงบนแป้นพิมพ์ดีดจนถึงตัวสุดท้าย ก่อนพบว่า ตัวอักษรที่ปรากฏไม่เป็นไปตามที่คาด กลับเป็นอีกข้อความ ต่างรูป-ต่างอารมณ์ต่างความหมาย-ทีเ่ ผยตัวให้เห็นเบือ้ งหน้า ราวกับว่าอยูๆ่ ข้อความเหล่านัน้ ก็ทะลุผา่ น มาจากอีกมิติหนึ่ง –ข้อความซึ่งมีตัวอักษรละม้ายคล้ายคลึงกับกระดาษอีกแผ่น ทุกประการ สิ่งนี่เองคงเป็นสาเหตุที่น�ำพาผมและแฝดผู้พี่ให้มาเจอกัน และแล้วผมก็ตดั สินใจขย�ำกระดาษทัง้ สองแผ่นเข้าด้วยกัน เขวีย้ งมันออกไปเท่าที่ พลังงานของตนยังมีเหลือ ทว่าก�ำแพงมหึมาที่ก่อตัวจากหยาดฝนกลับกางกั้นไม่ให้ มันพุ่งไปได้ไกลอย่างที่คิด ก้อนกระดาษ-ก้อนนั้นตกลงระหว่างรางรถไฟไม่ห่างจาก ตัวผมมากนัก ก่อนที่รถจักรขบวนยาวจะวิ่งผ่านมาด้วยความเร็ว พาลมแรงปะทะ ใบหน้าจนต้องเบือนหนี กระทั่งรถไฟขบวนนั้นผ่านเลยไปแล้ว ผมจึงได้หันกลับไป มองตรงจุดเดิมอีกครั้ง และพบว่าก้อนกระดาษ-ก้อนนั้นวับหายไปเสียแล้ว ตอนนั้นเองที่ผมหวนคิดถึงย่อหน้าแรก ที่บัดนี้ได้ปรากฏอยู่ในรูปเล่มของ นวนิยายซึ่งก�ำลังออกวางจ�ำหน่าย ย่อหน้าที่เคยด�ำรงอยู่บนกระดาษแผ่นแรกใน ต้นฉบับของเธอ –สุดท้าย ผมตัดสินใจเค้นทุกถ้อยค�ำที่ยังติดค้างอยู่ใความทรงจ�ำ พิมพ์มันลงไปใหม่ด้วยเครื่องพิมพ์ดีดเครื่องนั้น ใช่–สิ่งที่เผยให้เห็นไม่ได้เป็นไปตาม ที่เคาะกด กลับเป็นอีกรูปประโยคที่ผมได้ดึงมันออกมาจากอีกมิติ–มิติซึ่งไม่มีใคร สามารถพบเห็นนอกจากเธอ ย่อหน้าแรกทีไ่ ม่มสี ว่ นใดเชือ่ มสัมพันธ์กบั ย่อหน้าทีส่ อง ย่อหน้าแรกที่ถึงอย่างไรก็ยังเป็นย่อหน้าแรกของเธอ 154


สายฝนทิ้งเม็ดหนาหนักขึ้นอีกขั้น น่าแปลกที่เมื่อผมพยายามนึกถึงภาพฝัน ประหลาด กลับไม่พบสิ่งใดที่กระจะชัดอย่างที่เคยเป็น ผมเดินเลียบรางรถไฟเส้นนั้น ไปอย่างยากล�ำบาก บ่ายหน้าสูท่ ศิ ตะวันออก นึกหวังจะพาตัวเองไปสูดดมกลิน่ เค็มๆ ของเมืองชายฝัง่ ทะเลให้ได้สกั วัน พลางคิดไปว่าหากวันหนึง่ -วันนัน้ มาถึง ผมจะจดจ�ำ จุดเริม่ ต้นทีต่ นออกเดินจากมาได้หรือไม่ แต่ถงึ อย่างไร คงไม่มขี า่ วลือ หรือต�ำนานเล่า ขานอันลึกลับเกีย่ วกับการหายตัวไปของบรรณาธิการคนหนึง่ เป็นแน่ ตอนนัน้ เองทีผ่ ม สัมผัสได้ว่ามีดวงตาคู่หนึ่งจับจ้องมายังผม–ดวงตาซึ่งละม้ายคล้ายกับอีกคู่–ต่างกัน เพียงเล็กน้อย หรือไม่ผมก็คงคิดไปเอง และแล้วรอยยิ้มบางๆ ก็ผุดโผล่ขึ้นมาตรง ริมฝีปากอย่างไม่สมเหตุสมผล

155


เงา

เกศกนก อ่างเหล็ก 156


ผมแหงนหน้ามองต้นไม้ใหญ่ที่แผ่กิ่งก้านอยู่เหนือหัว ร่มเงาที่กระจายลงมาช่างเต็มไปด้วยความเปี่ยมที่จะ ปกป้องคุณว่าไหม? แต่นั่นมันในสายตาคนอื่น.

ส�ำหรับผมมันไม่ใช่เลย – ไม่ใช่เลย ...นี่มันอิทธิพลชัดๆ ความด�ำของเงามืดแผ่ ปกคลุมตัวผม แผ่ครอบคลุมทุกสรรพสิ่งที่อยู่ต�่ำกว่าอาณากิ่งก้านของมันรวมทั้งผม ด้วย เงาของมันท�ำให้ผมทอดเงาของตัวเองลงบนพืน้ ดินเหมือนคนอืน่ ๆ ไม่ได้อกี ต่อไป ไม่มีแม้แต่โอกาสจะออกไปต้องแสงแดดเพื่อสร้างเงาของตัวเอง ...ไม่มี ..ไม่มีวัน ...อย่างนั้นหรือ? ต้นไม้คือพ่อ... ผมมีเงาของพ่อแผ่ปกอยู่เหมือนกับใบไม้ที่ร่วงผล็อยมาตกอยู่ ใต้ตน้ ไม้ ไม่ได้ตงั้ ใจจะตกมาอยูต่ รงนี้ แต่ชว่ ยอะไรไม่ได้ทผี่ มเป็นใบไม้ของต้นไม้ใหญ่ ตระหง่านต้นนีแ้ ต่เดิม และแรงโน้มถ่วงผนวกลมบนโลกมันมีแรงไม่พอทีจ่ ะฉุดกระชาก ผมลงมาไกลกว่านี้... เกินกว่าที่เงาของพ่อจะทาบถึง สังคมและคนรอบข้างจึงจับตา มองผม คาดหวังผม และจินตนาการความเป็นตัวตนของผมผ่านสายตาของพวกเขา ในวัยเด็กนัน้ ผมไม่เคยมีชวี ติ แบบทีต่ อ้ งการจะมี ทุกครัง้ ทีป่ รากฏตัวพร้อมกับพ่อผมจะ โดนเพ่งมองจนเหงื่อตก ความสนใจ ความกดดัน ประเดประดังเข้ามาหาผม ทั้งที่ยัง เล็ก แต่ผมกลับรู้สึกว่าตัวเองต้องแบกอะไรสักอย่างเอาไว้ตลอดเวลา แต่เมื่อโตขึ้น... มันก็แย่ที่ผมดันมาฉุกคิดได้ว่า ผมไม่ได้อยากอยู่ใต้ร่มเงาและความคาดหวังของใคร ไปตลอดชีวิตและสุดท้ายผมก็ได้ตัดสินใจที่จะทิ้งทุกอย่างออกมา ออกจากบ้านที่เคย อยู่ ฐานะที่เคยเป็น สังคมที่เคยคลุกคลี 157


การกระท�ำนี้ ผมไม่เคยนิยามว่าเป็นพฤติกรรมของคนขี้ขลาด มันไม่ใช่การวิ่ง หนีแต่มันเป็นการเดินตามหาอิสรภาพต่างหาก อิสรภาพที่เหมือนกับแสงแดดอุ่นๆ เมื่อมันสาดกระทบ เงาที่เป็นของผมเองก็จะถูกทอดออกไป ไล้ไปตามต้นไม้ใบหญ้า ที่อยู่เบื้องล่าง โดยมีผมเป็นต้นไม้ยืนตระหง่านอยู่เหนือพวกมัน ซองจดหมายสีขาวถูกก�ำเอาไว้ด้วยมือเปื้อนเหงื่อ แสงแดดสาดจ้ากระทบ ใบหน้าผู้ที่ถือมันจนต้องหยีตาสู้ คิ้วสองข้างขมวดเข้าหากันจนแทบจะชน แสดง ความเป็นกังวลผ่านสีหน้าออกมาไม่หยุดหย่อน ความกังวลไม่ได้อยู่ตรงที่แดดร้อน นั่นก�ำลังลามเลียผิวหนังหยาบกร้านแบบผู้ชายของเขา แต่มันอยู่ที่ข้อความภายใน จดหมายนั่นต่างหาก... ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ คิดถึงจดหมายตามตัวในมือ คงยากแล้วทีจ่ ะท�ำเป็นไม่ สนใจมันเหมือนทีเ่ คยท�ำมาก่อน อาจเป็นเพราะผมห่างบ้านมานานเกินไปจนทางนัน้ แน่ใจว่าผมจะไม่กลับไปแน่ ถึงได้เรียกตัวกันจ้าละหวัน่ แบบนี้ ทัง้ โทรศัพท์ อีเมล์ หรือ แทบทุกช่องทางที่ท�ำให้ผมรู้ตัวได้ ผมก็โดนป่วนหมด จดหมายนี่ก็เหมือนกัน ไม่อยากจะนับว่ารับมาเป็นฉบับที่เท่าไหร่แล้ว “ดีใจจริงๆ ทีร่ วู้ า่ จดหมายนัน่ ถึงมือแก หลังจากฉันพยายามติดต่อแกสารพัดวิธี แต่ไม่เคยได้รบั การตอบกลับ” เสียงแรกทีส่ ง่ ออกมาต้อนรับผมทีก่ า้ วเข้าบ้านมายังคง เย็นชาเหมือนกับวันทีผ่ มก้าวออกไป ผมนึกสงสัยอยูต่ งั้ แต่ยงั เป็นเด็ก ว่าท�ำไมพ่อของ ผมถึงไม่เคยได้แสดงอาการห่วงหาอาทรผมซึ่งเป็นลูกเลยแม้แต่นิด “งานยุ่งครับพ่อ” ผมตอบไปส่งๆ ขี้เกียจจะพูดความจริงว่าที่ไม่ตอบกลับมาคือ พยายามเลี่ยงการต้องเจอเขาซะมากกว่า “แกน่าจะกลับมาท�ำหน้าที่ของแกได้แล้วนะ ฉันให้เวลาแกวิ่งเล่นมานาน เกินไปแล้ว” “ผมไม่เคยวิ่งเล่นครับพ่อ และยังยืนยันว่าจะไม่กลับมาอยู่ที่บ้านเหมือนที่ผม เคยบอกพ่อไว้” ผมตอบพ่อเสียงหนักแน่น “อย่าไร้สาระ ฉันบอกให้แกกลับมาแกก็ต้องกลับมา” พ่อตวาดลั่น “ถ้าพ่อจะท�ำอะไรไม่ปรึกษาผมอย่างนี้ ท�ำไมไม่สง่ คนไปลากผมกลับมาซะตัง้ แต่ แรก ยังไงๆ ผมก็ไม่มีทางได้ใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองต้องการอยู่ดี” ผมกระแทกเสียงกลับ 158


ค้านพ่อหัวชนฝาเหมือนทุกครั้ง “ฉันใจดีแค่ไหนแล้วทีป่ ล่อยแกไปใช้ชวี ติ แบบทีแ่ กต้องการตัง้ หลายปีดดี กั ทัง้ ๆ ทีแ่ กไม่จำ� เป็นต้องได้รบั สิทธิน์ นั้ ด้วยซ�ำ้ นีม่ นั ก็ใกล้เวลาทีแ่ กต้องท�ำหน้าทีข่ องแกแล้ว แกก็ควรเลิกท�ำตัวมีปัญหาแล้วกลับมาสักที” “ผมจะไม่กลับมาอยู่ที่นี่ และไม่ท�ำอะไรทั้งนั้น – ตลอดเวลาที่พ่อลากผมไปท�ำ โน่นท�ำนีต่ อนเด็กๆ มันยังไม่พอใจพ่ออีกหรือยังไงกัน อย่าเอาแต่คดิ ว่าตัวเองเป็นใหญ่ เหนือคนอื่นเขาสิพ่อ” ผมตะโกนสวนด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ที่พ่อเอาแต่พูดเหมือนผม เป็นสัตว์เลี้ยงที่พ่อให้สิทธิพิเศษมากกว่าใครอย่างไหนอย่างนั้น “เผื่อแกจะไม่รู้... แต่ฉันเป็นใหญ่เหนือแกมาโดยตลอด และแกจะได้เห็นว่ามัน เป็นยังไงถ้าแกไม่เลิกท�ำตัวเป็นไอ้บ้าสติเสียที่เอาแต่ต่อต้านอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ เลิก” “หึ... ผมก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าอย่างพ่อจะท�ำอะไรผมได้” รถคันเก่งส่งเสียงดังกระหึ่ม ผมจับพวงมาลัยไว้แน่น ใจลอยไปไหนต่อไหน การกระท�ำของพ่อชักจะท�ำให้ผมอยากหายตัวไปที่ไหนสักแห่งที่ไม่มีผู้คนอยู่เลย อย่างน้อยก็ไม่มใี ครเห็น ไม่มใี ครเอาเรือ่ งผมไปรายงานให้พอ่ รู้ จะได้หลุดจากสิง่ ทีผ่ ม เอาแต่หนีมาตลอดนี่สักที หนี.. ใช่สิ... แม้ตอนนี้ผมก็ยังขับรถออกมาเพื่อหนี ขณะทีส่ มองก�ำลังทบทวนเรือ่ งราวต่างๆ จนลืมสนใจสิง่ ทีร่ า่ งกายก�ำลังต้องท�ำ ตอนนีไ้ ปอย่างสิน้ เชิง เสียงดังลัน่ ก็ปลุกผมให้ตนื่ จากภวังค์ ลูกปืนบินเฉียดหัวไหล่ผม ไปอย่างเส้นยาแดงผ่าแปด กระจกหลังรถถูกเจาะเป็นรู และรถเครื่องมอเตอร์ไบท์ คันหนึ่งก็บิดเฉียดรถผมไปด้วยความเร็วสูง “เวรแล้ว” ผมสบถก่อนเหยียบคันเร่งกระชากให้เจ้าเครื่องยนต์ต้วมเตี้ยมนี่พา ไปยังที่หลบภัยให้เร็วที่สุด แต่มันก็ช้าอยู่ดี รถเครื่องคันนั้นดักอยู่ข้างหน้า คนขับจ่อ ปืนมาทีผ่ มอย่างแน่วแน่ ถนนร้างผูค้ น สองข้างทางก็เป็นทุง่ หญ้าและดงมะพร้าว หลุด กรุงเทพมาในยามโพล้เพล้เช่นนี้ จะหารถราที่ไหนมาเป็นเพื่อนร่วมทางพอให้ตะโกน ขอความช่วยเหลือได้ รถถูกเหยียบเบรกก่อนที่ชายปริศนาบนรถเครื่องนั้นจะลั่นไกปืน เหงื่อของผม แตกพลัก่ เต็มหน้าเต็มตาไปหมด กลืนน�ำ้ ลายลงคอยังยากล�ำบากในตอนนี้ ถ้าขยับ... 159


มันยิงแน่ แต่ผมก็ตัดสินใจกดกระจกลงแล้วตะโกนถาม “แกต้องการอะไร” “ปัง” แทนค�ำตอบมันกลับยิงปืนสวนมา คราวนี้ทะลุกระจกหน้ามาเฉียดใบหู เยี่ยม... ผมชักจะหงุดหงิดหนักที่มันเอาแต่ยิงเฉียดไปเฉียดมา เหมือนจะขู่ให้กลัว ขู่... มันก�ำลังขู่ผมอยู่อย่างนั้นหรือ “ฉันถามว่าแกต้องการอะไรจากฉัน” พอสิน้ เสียง เจ้าคนนัน้ ก็ลนั่ ไกปืนอีกที คราวนีล้ กู ตะกัว่ ไม่ได้เฉียดไปแต่เจาะเข้า หัวไหล่ด้านซ้ายอย่างจัง วูบนั้นสมองผมคิดว่ามันเอาจริงแน่... ดูโง่ที่เพิ่งคิดได้ตอนที่ กระสุนมันสร้างแผลให้ผมไปเรียบร้อยแล้ว ความปวดหนึบบริเวณหัวไหล่สร้างรอย ยับย่นระหว่างหัวคิ้วได้ชะงัด ประตูถูกดันเปิดออกก่อนที่ผมจะถูกเจ้าบ้านั่นยิงเข้าที่ ขาอีกจุด เดินไม่ได้แล้ว ผมขยับตัวโคตรล�ำบากในตอนนี้... หมอนั่นย่างสามขุมเข้ามา ก่อนเตะอัดมาทีซ่ โี่ ครงอย่างจัง ...จุกจนพูดไม่ออก ต้องพยายามอ้าปากสูดเอาอากาศ เข้าไปให้เยอะที่สุด แม้ จ ะยั ง ไม่ อ ยากตายตอนนี้ แต่ ถ ้ า มั น ยิ ง ซ�้ ำ มาอี ก ที ผมได้ ต ายอย่ า งไม่ สมปรารถนาเป็นแน่ “แก.... ต้องการอะ... อะไรจากฉัน” เสียงตะกุกตะกักตะโกนถามมันไป ผมไม่ ได้อ้อนวอนมันหรอก แต่ก่อนตายคนเราต้องรู้สาเหตุที่ต้องตายสิ “ก่อนหน้านี้คุณคุยกับใคร คุณพูดอะไรเอาไว้ เขาต้องการให้คุณทบทวนดูใหม่ สักหน่อย” ผมเบิกตาโพลง เป็นไปได้หรือนี่ เป็นไปได้หรือที่เขาจะท�ำกับผมขนาดนี้ เป็นไปได้หรือทีเ่ ขาจะท�ำร้ายส่วนหนึง่ ของเขาอย่างเลือดเย็น ทัง้ ๆ ทีผ่ มเป็นเลือดเนือ้ เชื้อไข เป็นลูกแท้ๆ ที่เขาสร้างมาเองกับมือ “ฉัน...ไม่... ท�ำ” ไม่มีเสียงตอบกลับ ชั่วพริบตาเดียวผมรู้สึกถึงด้ามปืนที่กระแทกหัว แล้วทุก อย่างก็ดับสนิท เสียงเครื่องปรับอากาศตัวเก่าคร�่ำครึดังหึ่งๆ ภายในห้องพัก ผมเหลือบไปเห็น โลโก้ของโรงพยาบาลจึงค่อยโล่งใจทีอ่ ย่างน้อยก็ยงั ได้รบั การรักษา หัวไหล่ผมหนักอึง้ 160


ขาก็ด้วย ชนิดว่ากระดุกกระดิกยังจะล�ำบาก เรื่องพยายามหนีจึงไม่ต้องพูดถึง ท�ำไมนะ ท�ำไมเรื่องมันถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ท�ำไมพ่อถึงต้องท�ำกับผมขนาดนี้ นีเ่ ป็นวิธที จี่ ะท�ำให้ลกู ชายหัวแข็งกลับใจอย่าง นั้นหรือ ส�ำหรับความเป็นพ่อลูก แน่ใจแค่ไหนว่ามันดูจะไม่ดูมากเกินไปสักหน่อย เสียงประตูหอ้ งเปิดและรองเท้ากระทบพืน้ ห้องก้องสะท้อนจากฝาผนังมาเข้าหู เรียกให้ผมหันไปมอง แน่นอน... เขาคือพ่อของผมเอง เสื้อผ้าบนตัวเขาแม้จะเป็นชุด ล�ำลองแต่ก็ยังดูทรงอ�ำนาจ “กว่าจะท�ำให้แกจะเลิกซ่าได้ ก็ต้องส่งลูกตะกั่วไปป้อนซะก่อน” “ฉันไม่เข้าใจ ว่าแกจะหนีไปอีกเพื่ออะไร คิดว่าทั้งหมดที่แกมีอยู่ รวมทั้งตัวแก มันเป็นของแกหรือ อิสรภาพอย่างนัน้ หรือ เหอะ... อย่าเอาแต่ฝนั เฟือ่ งเรือ่ งไร้สาระพวกนี้ ไปเลย เสียเวลาเปล่าๆ” “ผมไม่เข้าใจ ท�ำไมพ่อถึง...” “ท�ำกับแกแบบนี้อย่างนั้นหรือ” สายตาที่เหมือนผมหันกลับมาจ้องมองอย่าง เหนือกว่า พ่อคงนึกข�ำในค�ำถาม... ไม่สิ นั่นเขาก�ำลังข�ำอยู่ เขาคิดว่าผมถามค�ำถาม ชวนหัวหรือยังไงกัน “บอกฉันที ตั้งแต่เกิดมาแกเคยเห็นหน้าแม่ของแกไหม” ...ผมส่ายหน้า “อย่างนั้นบอกฉันอีกทีสิ ท�ำไมแกถึงเหมือนฉันอย่างกับแกะ” “ผมเป็นลูกพ่อ” น�้ำเสียงที่ลอดผ่านมาช่างเบาหวิว เต็มไปด้วยความกังวล ไม่รู้ ท�ำไม... แต่ตอนนี้หัวใจผมเต้นโครมครามอย่างกับจะหลุดออกมานอกอก “เปล่าเลย เปล่า... แกไม่เคยเป็นลูกของฉัน แต่แกคือฉัน – ฉันสร้างแกขึ้นมา” “พ่อพูดอะไรของพ่อ เสียสติหรือยังไง” ผมยันตัวเองลุกขึ้น จ้องมองชายชรา ตรงหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา “แกจะกลัวอะไรกับความคาดหวังทัง้ หลายทีแ่ กเจอมาตัง้ แต่เด็ก ในเมือ่ แกเกิด มาจากความคาดหวังของคนอืน่ ตัง้ แต่แรกแล้ว ฉันถามแกง่ายๆ แกคิดว่าชีวติ ของเด็ก ธรรมดาคนหนึ่ง จะมีใครมาเฝ้าดูพัฒนาการของมันชนิดติดแจอย่างนั้นหรือ – ใครจะ มาสนใจล่ะ... ลูกใครก็ลูกมัน” เขาเคลื่อนตัวไปทางหน้าต่าง หันมามองผมอีกครั้ง “ที่คนรอบข้างเขาเฝ้ามองแก ก็เพราะแกคือฉัน – ทุกครั้งที่ฉันพาแกออกไป 161


แสดงตัวต่อหน้าคนอื่น เขาก็คาดหวังจะเห็นแกเป็นอย่างที่ฉันเป็น อย่างที่ฉันเคย ประกาศไว้ตั้งแต่แกยังไม่เกิดมาว่า แก – คือ – ฉัน ...ในวัยที่เด็กกว่า” “ผมเป็นคนนะพ่อ จะมาจ�ำกัดว่าผมจะต้องเหมือนพ่อทุกอย่างได้ยังไง” ใจผม เต้นระส�่ำ พ่อพูดเรื่องนี้เหมือนกับเจ้านายผู้ทรงอ�ำนาจ แม้จะคิดว่ามันไร้สาระ แต่ ท�ำไมแววตาของเขามันถึงไม่บอกผมอย่างนั้น “อิสรภาพมันก็แค่ของหลอกเด็ก มายาคติคร�่ำครึที่สมมติขึ้นมาเป็นหลักยึด ให้คนที่เคว้งคว้าง ให้พวกหลักลอยไร้แรงขับเคลื่อน เสแสร้งเป็นสิ่งยิ่งใหญ่ให้มนุษย์ ไขว่คว้าดิ้นรนแย่งชิงมา... เพื่อที่จะปล่อยมันไป” “แกหนีจากฉันพ้น แกจะไปติดแอกอยู่กับอีกสิ่งที่ต้องเจอข้างหน้า....” “อะไรนะ” ผมอุทานเสียงดัง “จริงอยู่ แกเป็นคน แต่แกไม่ใช่คนที่เกิดขึ้นมาจากธรรมชาติของคน” “นี่... พ่อพูดอะไรของพ่อ ผมงงไปหมดแล้ว – ท�ำไมผมถึงเป็นคน ที่ไม่ได้เกิด จากธรรมชาติของคน แล้วเรื่องเกิดมาด้วยความคาดหวังนั่นอีก – ช่วยพูดให้เข้าใจ ง่ายๆหน่อย” ผมแถกตัวเองลงมาจากเตียง จ้องมองชายตรงหน้าด้วยความตะลึงงัน ความชราบดบังใบหน้าที่แสนจะคุ้นตาของผมเอาไว้ แต่ดวงตานั้นยังคงสุกปลั่งและ เป็นที่คุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ไม่... ไม่ได้คุ้นตาเพราะเขาเป็นพ่อที่ผมเห็นอยู่ทุกวันตอนเด็กๆ แต่มันคุ้นตา เพราะผมเห็นมันอยู่ในกระจกทุกเช้าต่างหาก “พ่อก�ำลังจะบอกว่าผมเกิดมาด้วยวิธีอื่นอย่างนั้นหรือ...” เหงื่อเม็ดเป้งแทรก ตัวผ่านรูขุมขนออกมาได้อย่างไรผมไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆ หัวใจผมเต้นผิดจังหวะไป หมดตอนนี้ “ปีนี้แกสามสิบแล้วใช่ไหม แกเริ่มเห็นอะไรที่ควรจะเห็นบ้างหรือยังล่ะ – หน้า ของฉันบนหน้าของแก หรือแม้แต่เส้นขนทุกเส้นของฉันบนตัวของแก... เห็นมันบ้าง หรือยัง” ชายชราหันกลับมามองผมลอดแว่นตาคู่นั้นอย่างผู้ชนะ “เลิกเรียนฉันว่าพ่อได้แล้ว C-1 ฉันไม่ใช่พอ่ ของแก แต่เป็นต้นแบบของแกต่างหาก ช่วยหยุดคิดอะไรแบบที่มนุษย์ทั่วไปเขาคิดกัน แล้วกลับมาท�ำหน้าที่หนูทดลองของ แกให้เสร็จสมบูรณ์ดีกว่า คนในแวดวงฉันเขายังต้องการจะเห็นความส�ำเร็จอีกขั้นที่ ฉันเคยประกาศเอาไว้” 162


“ฉันพลาดเองล่ะ ทีด่ นั ส่งแกไปเรียนหนังสือแทนทีจ่ ะเก็บแกไว้ในห้อง” เขาส่าย หน้าไปมาอย่างผิดหวังกับการตัดสินใจของตัวเอง แต่การกระท�ำทั้งหมดทั้งมวลนั่น ไม่ได้เรียกความสนใจของผมไปได้เลย `ผมเข้าใจผิดมาโดยตลอดว่าตัวเองคือใบไม้หรือลูกไม้ทตี่ กอยูใ่ ต้ตน้ ไม้ใหญ่ แต่ อันที่จริงผมไม่เคยถูกเงาใดๆ ทอดทับตัวผมทั้งนั้น เป็นผมเองที่ทอดตัวลงมาจาก ต้นไม้นั่น... ผมเองที่เป็นเงา... มันถึงหนีต้นไม้ใหญ่นี้ไม่พ้นสักที... ผมทรุดตัวลงกับ พื้น ก้มหน้ามองร่างกายตัวเอง พินิจพิเคราะห์มันมากกว่าทุกครั้งที่เคยดู ก่อนจะเงย หน้าขึ้นมองผู้ชายคนนั้นซึ่งก้มมองผมอยู่ก่อนแล้ว “ไม่ต่างกันเลยใช่ไหมล่ะ” เขายิ้มให้ผมอีกครั้งแล้วเดินออกจากห้องไป

163


สิ่งกีดขวาง

จิดาภา บางนาชาด 164


เงี ย บงั น จนสดั บ ได้ ถึ ง ความถี่ ข องคลื่ น พลั ง งานใน บรรยากาศ มืดมิดจนมองไม่เห็นว่าตัวเองเป็นใคร เย็น ยะเยือกจนสัมผัสได้ถึงความร้อนในร่างกาย ปลายเล็บ นิ้วชี้ข้างซ้ายรับรู้ถึงมวลเล็กๆของละอองฝุ่น ทุกอย่าง พลันหยุดนิง่ ได้กลิน่ เพียงลมหายใจทีม่ รี สจืดสนิท ความ หนึบหนับถูกปัน้ เป็นก้อนกลมอยูร่ ะหว่างลูกกระเดือกกับ ปลายสุดของลิ้น ยากเกินจะกลืนของเหลวลงล�ำคอ

สายตาเบิกโพลง รูมา่ นตาเปิดกว้าง หันหาแสงสว่างทีค่ นุ้ เคย เลิก่ ลัก่ ท่ามกลาง ความหวาดกลัว สิ่งปฏิกูลกลั่นเป็นของเหลวชโลมเคลือบแผ่นหลัง เสียงลมหายใจรัว เร็วยิง่ กว่าเสียงแห่งความชุลมุนในสงคราม จังหวะการเต้นของหัวใจคล้ายจะอ้อนวอน ให้หลุดพ้นไปจากการมีชีวิตอยู่ เสียงกรีดร้องแหลมสูงราวต้องการปลดแอกความ กดขี่ข่มเหง หยาดน�้ำไหลรินจากดวงตา เรือนร่างสั่นไหวระริก แสงสว่างที่ฉันเพรียก หา หายไปไหน? ฉันรับรูไ้ ด้ถงึ ไอความร้อนทีเ่ ป็นม่านขนานของสิง่ มีชวี ติ อีกหนึง่ ฝ่ามือเย็นเฉียบ โบกไขว่คว้าร่างนั้นราวกับขอความเมตตาช่วยเหลือ สัมผัสได้เพียงความลื่นที่ลักลั่น กับความเหนอะหนะทีฉ่ าบอยูบ่ นแผ่นผิวหนังแข็งหยาบไม่ตา่ งจากการลูบคล�ำตะไคร่นำ�้ บนหินโสโครก “พอแล้ว ได้โปรด” ฉันโพล่งขึ้นมาทันที “เธอท�ำให้ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียน” แสงสว่างจากไฟนีออนทีแ่ วบขึน้ มาอย่างกะทันหันท�ำให้ฉนั ต้องหยีตาด้วยปรับ รับสภาพไม่ทัน เสียงถอนหายใจท�ำให้ฉันต้องเหลียวมองหาตัวการ “ก่อนออกไป ปิดไฟด้วย” ฉันไม่รู้ว่าเขาแต่งตัวเสร็จตั้งแต่เมื่อไหร่ มันเร็วยิ่งกว่าการกะพริบตาสอง ครั้งของฉันเสียอีก ฉันลุกขึน้ ด้วยร่างเปลือยเปล่า เสียงจากการดึงผืนผ้าม่านท�ำให้ความคิดชะงักลง 165


แสงจันทร์ไม่ได้ท�ำให้ฉันรู้สึกถึงความนุ่มนวลอย่างที่ควรจะเป็น ในเวลานี้แสงอ่อนๆ ของมันยังจ้าเกินกว่าความรู้สึกของฉันจะรับไหว สายลมท� ำให้รู้สึกร้อนผิวกาย ฉันไม่รู้สึกง่วง ราวกับว่าเมื่อสักครู่คือการตื่นนอนตอนเช้าเสียมากกว่า “ยังอยู่อีกเหรอ ผมนึกว่าคุณกลับไปแล้ว” เขาเปิดประตูเข้ามา สิบนาทีหลังสิ้นประโยคนั้น ฉันยืนอยู่บนทางเท้า และคาดว่าขาทั้งสองข้างจะ น�ำทางฉันไปเรื่อยๆ ทัง้ ทีก่ อ่ นหน้า ฉันก�ำลังร้องหาแสงสว่าง แต่ในตอนนีแ้ สงทีจ่ า้ เกินไปของดวงไฟ ข้างทางท�ำให้สายตาฉันพร่าราง แสงทีแ่ สบนัยน์ตาแผ่กระจายเป็นรัศมีดคู ล้ายวงกลม ที่ดูไม่เป็นวงกลมนัก ฉันรู้สึกชอบรัศมีของแสงไฟก็เวลานี้ เสียงแตรรถยนต์ดังขึ้นราวเรียกร้องความสนใจ แท็กซี่ขึ้นไฟตัวอักษร “ว่าง” ชะลอรถ คล้ายจะเชื้อเชิญให้ผู้โดยสารร่วมเดินทางเติมเต็มที่ว่างในรถคันนั้น เปล่า ประโยชน์ สายตาผละออก มือควานหาซองบุหรี่ในกระเป๋าสะพายข้างสีด�ำ ฉับพลัน ฉันตัดสินใจโบกแท็กซีค่ นั ดังกล่าว เดินตรงเข้าไปหาและเปิดประตูตรงทีน่ งั่ ข้างคนขับ “ขอโทษค่ะ มีไฟแช็กไหมคะ” ชายคนขับนิ่งสักครู่หนึ่ง สายตาแสดงถึงความแปลกใจระคนไม่สบอารมณ์ หนังตาข้างซ้ายฉันกระตุกอย่างแรงราวจะหาเรื่องในปฏิกิริยาของชายคนตรงหน้า เขาหยิบไฟแช็กจากช่องเก็บของตรงกลางระหว่างคนขับกับที่นั่งที่ว่างนั่น หยิบยื่น ส่งให้ฉัน ฉันจุดไฟ แสงสีส้มแดงคล้ายผลเชอร์รี่ปรากฏบนปลายมวนบุหรี่ “ขอบคุณ ค่ะ” ไฟแช็กกลับคืนสู่เจ้าของ ไม่ทันที่เสียงจะหลุดลอดออกจากปากที่เผยอเตรียมจะพูดถ้อยค�ำบางค�ำของ ชายคนขับ ฉันปิดประตูรถและเดินต่อไป ควันสีขาวหม่นพวยพุ่งจากปากและจมูกเป็นระลอก อาการปวดท้องของฉัน ก�ำเริบ มันเป็นอย่างนี้และเวลานี้หลายวันหลายคืนติดต่อกัน ฉันเคยชินเสียแล้ว สิ่งที่ เบีย่ งเบนความสนใจของฉันในตอนนีด้ จู ะเป็น สิวทีก่ ำ� ลังจะเจริญเติบโตทีบ่ ริเวณปลาย คางของฉัน ทั้งที่เจ็บ นิ้วมือเจ้ากรรมยังคงลูบๆคล�ำๆ มันอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งฉัน ยืนอยูท่ ปี่ ระตูรวั้ หน้าบ้าน มันไม่ใช่บา้ นของฉัน แต่เป็นบ้านของพ่อและแม่ฉนั ต่างหาก บ้านมืดสนิท มีเพียงไฟหน้าบ้านสีเหลืองส้มที่เปิดค้างไว้รอต้อนรับการกลับ ของฉันเท่านั้น ฉันเดินขึ้นบันไดตรงเข้าห้องด้วยความคุ้นเคย แม้ในความมืดฉันยัง คงจ�ำได้ว่าบริเวณไหนคือที่นอน ฉันล้มตัวลงนอนและเพียงไม่กี่นาที ทุกอย่างพลัน 166


ดับลงสู่ภวังค์ เศษซากความตายถูกทิ้งร้าง จนกลายเป็นหนึ่งในก้อนหินนับล้าน ฉันตื่นมา ด้วยความรู้สึกเช่นนั้น เมือ่ คืนฉันฝันเห็นกรอบสีเ่ หลีย่ มของป้ายไฟ “ว่าง” ของรถแท็กซี่ มันช่างขัดกับ ความโค้งมนของคอนโซลรถ หากป้ายไฟนั้นจะแปรสภาพเป็นทรงกลม คงจะดูน่า รังเกียจดีมิใช่น้อย ความน่ารังเกียจไม่ควรถูกลดทอนด้วยสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จุดต่อจุดเรียงร้อยเป็นเส้นสาย ถ่านคาร์บอนตรงปลายดินสอถูกท�ำลายลงทีละ เล็กทีละน้อย กระดาษสีขาวถูกแต่งแต้มด้วยเส้นสายสีดำ� ต่อเนือ่ งกันเป็นเส้นโค้งเพือ่ มาพบกันจนไม่รู้ถึงจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด ฉันมักจะวาดวงกลมลงบนแผ่นกระดาษและฉีกมันทิ้งในทุกๆครั้งที่ฉันตื่นขึ้น มาด้วยความรู้สึกว่า ความไม่น่าอภิรมย์จะกลายเป็นความเคยชินในที่สุด circle คือ ความน่าเบื่อหน่าย มันฆ่าคนตายได้ ฉันนี่แหละ คนหนึ่งที่สักวันจะกลายเป็นเหยื่อ ของ circle นั้น ฉันต้องคุ้นเคยกับมันเสียที แต่อีกนานแค่ไหน? “เมื่อไหร่ลูกคุณจะหางานท�ำสักที” “แล้วลูกคุณล่ะ คนเดียวกับที่คุณก�ำลังพูดถึงรึเปล่า” “แม่ มันสูบบุหรี่ในห้องอีกแล้ว” “คุณไม่พูดกับลูกหน่อยล่ะ เรียนจบตั้งนานแล้วนะ” “แล้วท�ำไมคุณไม่พูดกับลูกเองล่ะ” “ท�ำไมคุณต้องกระแหนะกระแหนฉันอยู่เรื่อย!” “หนูไปท�ำงานก่อนนะ ด่ามันเรื่องบุหรี่ด้วย ได้กลิ่นตลอดที่ต้องคุยกับมัน” เสียงจอกแจกของคนขี้บ่นดังขึ้นแทรกเสียงน�้ำจากฝักบัวที่กระหน�่ำไหลทิ้งตัว ลงบนพื้นห้องน�้ำ ฉันนั่งอยู่บนชักโครกที่มีฝาปิดสนิท ร่างกายมิได้เปียกชุ่มโชกอย่าง กระเบือ้ งด้านล่างฝ่าเท้า เสียงน�ำ้ ตกกระทบลงจากทีส่ งู กลบเกลือ่ นเสียงพร�ำ่ บ่นได้เป็น อย่างดี แต่ไม่ใช่ในเช้าวันนี้ ฉันคงต้องหาวิธีการอื่นอีกครั้ง เพียงสักครูห่ นึง่ ร่างฉันฝ่าวงสนทนาของผูม้ พี ระคุณทัง้ สองออกมาสู่ วงสนทนา ของสายลม แม้แต่ธรรมชาติก็ยังไม่พอใจกับพฤติกรรมของฉัน แม้แต่ธรรมชาติยังคง นินทาฉัน แม้แต่ธรรมชาติยังคงล้อเลียนฉัน แม้แต่ธรรมชาติยังคงท�ำตัวน่ารังเกียจ เสียงเคาะประตูดงั ขึน้ และดังขึน้ อย่างต่อเนือ่ ง ผมเดาความร�ำคาญและความไม่ 167


สบอารมณ์ได้จากเสียงที่เกิดขึ้นนั้น มันดังไม่หยุดหย่อนราวครึ่งชั่วโมง ผมโกหก มัน แค่ไม่ถึง 1 นาทีด้วยซ�้ำ จากนั้นเสียงแห่งความหงุดหงิดถาโถมขึ้นคล้ายจะพังประตู อันบอบบางนั้นให้พังลง ไม่ต้องคิดให้ยาก ว่าต้นเหตุของเสียงนั้นมาจากใคร ผมตัดสินใจเดินอย่างเชือ่ งช้า ไปเปิดประตูออกและพบกับเธอ วงหน้ากลมคล้าย พระจันทร์ประทับด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยปรากฏอยู่ตรงหน้าผม “ตื่นนานรึยัง” เธอถามอย่างแผ่วเบา ด้วยทีท่านิ่งสงบ ขัดกับอารมณ์ที่ก�ำลัง ปะทุอยู่ข้างหลังประตูก่อนหน้านี้ “เมื่อวานฉันขอโทษ...” ผมรอฟังประโยคต่อไป แต่ กลับไร้ซึ่งสิ่งใดเล็ดลอดออกมา “ไม่เป็นไร ผมชินแล้ว” ผมเดินเข้าห้องมืดสลัว มีเธอเดินตาม และเสียงปิดประตู ดังขึ้นรั้งท้าย “ฉันอยากมีเซ็กซ์กับเธอ” สิ้นเสียงนั้น ทุกอย่างพลันตกอยู่ในความเงียบสนิท ผมปล่อยทิ้งประโยคนั้นราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่เธอพูด ผมค่อนข้างระอากับการร่วมรัก กับเธอ ไร้อารมณ์ ไร้ปฏิกิริยา ไร้ความรู้สึกใด นั่นคือสิ่งที่เธอเป็น เธอเดินเข้ามาประชิดตัวผมอย่างช้าๆ ผมเผยอริมฝีปากออกเล็กๆ ใช้มือขวาบังคับทิศทางศีรษะเธอไว้ ช่องว่าง ระหว่างเราเพียงแค่เศษผงธุลกี นั้ กลาง เธอใช้มอื เล็กๆดันผมออกอย่างสุดแรง ผมผละ ออกจากเธอทันที เธอท�ำอย่างนั้นอีกแล้ว สิ่งที่ทับถมมาตลอดก�ำลังปะทุขึ้นอย่างลาวากลางปล่องภูเขาไฟ และพร้อมจะ ระเบิดในไม่ช้า ในตอนนี้ ผมกระชากแขนเธออย่างแรงจนผมเองยังรู้สึกได้ ลากเธอโดยไม่สนใจการ สะบัดสะบิง้ ดึงดันของเจ้าตัว ผลักร่างนัน้ ลงสูเ่ ตียงนอนใจกลางห้อง ฉีกเสือ้ ผ้าเธอขาด วิ่น ทุกสัมผัสที่ผมจับต้องเรือนร่างนั้นเต็มไปด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นรุนแรงจนคุณแทบ จะไม่เชื่อเลยทีเดียว ว่าผมจะสามารถท�ำอย่างนั้นได้ ผมบดปากกับริมฝีปากบาง บด อย่างบ้าคลัง่ เสีย่ งชอนไชลิน้ เข้าไปภายในช่องปาก ผมรูส้ กึ ขนลุกเมือ่ ลิน้ ผมเผลอสะกิด สัมผัสเข้ากับฟันแข็งแรง ผมดูดลิน้ เธออย่างเอาเป็นเอาตาย ของเหลวหล่อลืน่ กระทบ กันจนเกิดเสียงดัง เจาะแจะ มือของเธออ่อนเปลี้ยอย่างคนไร้เรี่ยวแรงขัดขืน ผมขย�ำ ก้อนเนื้อนุ่มนิ่มจนแทบเละคามือ ริมฝีปากของผมเลื่อนลงมาที่ยอดถันและขบกัดมัน กัดมันอย่างแรงเลยทีเดียว ผมได้กลิ่นคาวเลือดเล็กๆ จากปากแผลที่เกิด พร้อมเสียง 168


โอดโอยตามมา ผมเคล้นคลึงเต้าเต่งตึงอยูอ่ ย่างนัน้ ลดมือหนึง่ ข้างสูห่ ว่างขา และจูโ่ จม การกระท�ำต่อสิง่ ทีค่ วรละมุนละม่อมกับมันมากทีส่ ดุ ผมกระแทกกระทัน้ ข้อมือ ส่งแรง จากข้อมือสูน่ วิ้ เพือ่ แหวกทางเข้าสูป่ ากทางแห่งการก�ำเนิด ละทิง้ ความอ่อนโยนสิน้ ไป ผมชักนิว้ เข้าๆออกๆพืน้ ทีฉ่ ำ�่ แฉะนัน้ จนเปียกโชกเลยก็วา่ ได้ ผมลากนิว้ มือถูไถอย่าง จริงจังคลุ้มคลั่ง ผมจับขาเธอทั้งสองข้าง อ้ากว้าง และสอดแทรกแท่งแข็งเข้าไป เสียง กรีดร้องดังขึ้น พลันร่างกายเธอเกร็งบีบรัดผมจากภายใน ร่างของผมกับเธอประสานเชื่อมโยงกันผ่านอวัยวะเดียว ผมเริ่มเคลื่อนไหว ภายในตัวเธอ และเพิ่มความเร็วตามจังหวะ ฝ่ามือเธอดันตัวผมออกห่าง อีกครั้ง กับการกระท�ำของเธอ แต่คราวนี้เธอจะไม่มีทางหลีกหนีได้ส�ำเร็จ มือดึงผมของเธอ ให้ใบหน้าเชิดขึ้นมารับจูบอันดูดดื่ม ผมดูดลิ้นเธอสลับกับการขบริมฝีปากของเธอ กึ่งรุนแรงกึ่งนุ่มนวล ผมท�ำมันอยู่อย่างนั้น และช่วงล่างของผมก็ยังไม่ละหน้าที่ โหมกระหน�่ำกระแทกอย่างกระชั้นถี่ ร่างเธอเกร็ง แล้วดิ้นพราด ราวกับต้องการจะ หลุดพ้นพันธนาการจากการจูบทีร่ นุ แรง และการล่วงล�ำ้ อย่างถาโถม อารมณ์ซาบซ่าน ทะยานสู่จุดสูงสุด น�้ำเชื้ออัดฉีดพร้อมผสมผสานเพื่อการก�ำเนิดที่ยิ่งใหญ่ ฉับพลันผมรูส้ กึ ถึงของแข็งทีก่ ระทบเข้ากับศีรษะ ความรูส้ กึ ชาแล่นจากพืน้ ทีท่ ี่ ถูกท�ำร้ายสูท่ วั่ ร่างกาย มือทีพ่ ยายามดันร่างผมออกท�ำการได้สำ� เร็จ ผมกระเด็นอย่าง กระดาษปลิวสู่พื้นกระเบื้องเย็นเฉียบ ไร้ความรู้สึกจากการกระแทกพื้นที่แข็งแรงกับ ร่างกายที่บอบบาง ผมกลับรู้สึกถึงมวลเล็กๆ ของน�้ำเหนียวๆไหลรินจากปากแผล บริเวณศีรษะมากกว่า บรรยากาศและวัตถุที่ผ่านตากลับพร่าราง ผมเห็นเธอเป็นเงาตะคุ่มก้มๆเงยๆ อยู่บริเวณช่วงล่างที่เปลือยเปล่า ความเย็นยะเยือกเข้าปกคลุมทั่วร่างกาย ยกเว้น อวัยวะเดียวทีไ่ ด้รบั ไออุน่ จากความร้อนของช่องปาก ผมควรจะสิน้ สติไปแล้ว แต่กลับ ตื่นตระหนกกับการกระท�ำของเธอ เธอผู้เป็นที่รักยิ่งของผม เธอใช้ปากรูดดึงแท่งที่ กึ่งอ่อนกึ่งแข็งนั่น ผมอดนึกปีติไม่ได้ต่อการที่เธอปลดแอกความสะอิดสะเอียนในตัว ผมได้ส�ำเร็จ อาการจุกหน้าอกแล่นเข้ามา นั่นคือความรู้สึกสุดท้ายก่อนจะไร้ซึ่งการ ตื่นอีกครั้ง ฉันรูส้ กึ อยากบวชเสียเหลือเกิน บวชในลัทธิทฉี่ นั สร้างขึน้ มาเอง แต่ฉนั ยังไม่ใช่ ปัญญาชนที่มีเวลาว่างคิดถึงแต่ความเป็นจริงห่าเหว และสร้างกรอบขึ้นมาให้ตัวเอง 169


แต่ยังปรารถนาให้ผู้คนยอมรับ มันน่าแปลกไหมละ คุณดูสิ หน้าท้องฉันมันบวมเป่ง เหมือนมีก้อนเนื้ออะไรสักอย่างผุดอยู่ข้างใน ท�ำไมของคุณไม่มเี ลยล่ะ อะไรนะ คุณคิดว่า ฉันควรจะให้หมอมาตรวจหรอ ฮ่าๆ อะไร กัน คุณก็เป็นหมอไม่ใช่รึไง ท�ำไมคุณไม่ตรวจให้ฉันหน่อยล่ะ ฮ่าๆ มันไม่ใช่เพราะฉัน สักหน่อยนา ฉันแค่คิดว่าฉันคงอ้วนขึ้นต่างหาก คุณไม่ต้องกังวลอะไรไปหรอก ก็ที่นี่ เลี้ยงดีซะเหลือเกิน ขอบใจคุณมากๆ เอ้า ลองขนมนี่ดูหน่อยสิ อร่อยใช่เล่นเลยล่ะ คุณ ตามใจแล้วกัน ฉันเล่าอะไรให้ฟังไหม ฉันอยู่คนเดียวมันเหงามากๆเลยนะ มีเรื่องเยอะแยะ อยากจะเล่าให้ใครฟัง แต่ดูสิ มีแค่คุณที่นานๆจะมาหาฉันสักที นี่มันกี่เดือนแล้วนะ ที่ฉันมาอยู่ที่นี่ หืม คุณถามหรอว่าฉันคิดถึงบ้านไหม ฮ่าๆ ตลกจัง ที่นี่เป็นบ้านฉัน ตัง้ แต่ฉนั เข้ามาอยูว่ นั แรกแล้วล่ะ อ้อ เอาจริง ฉันไม่มคี วามทรงจ�ำก่อนหน้าทีฉ่ นั เข้ามา อยู่เลย ไม่ใช่ ฉันไม่ได้ความจ�ำเสื่อม ฉันไม่ได้ลืม ฮ่าๆ ฉันแค่บอกว่ามัน “ไม่มี” ไงล่ะ เอาน่า คุณต้องเข้าใจฉันบ้างนะฉันไม่ได้พดู อะไรให้คณ ุ ตีความนะ ฉันไม่ได้ฉลาดขนาดนัน้ อ้อ คุณอยากจะฟังเรื่องที่ฉันจะเล่าไหม คุณมองออกไปที่หน้าต่างสิ สวนดอกไม้ วงกลมนั่นแหละ ฉันเคยเห็นมันในความฝันก่อนที่ฉันจะย้ายเข้ามา แล้วคุณลองคิด ต่อสิ ว่าฉันท�ำอย่างไรต่อในความฝันนั้น ฮ่าๆ คุณต้องไม่เชื่อแน่ๆ ฉันน่ะเอากรรไกร ตัดหญ้ามาตัดซะมันเป็นเหลี่ยมมุมมั่วซั่วหมดเลยล่ะ มันสวยมากๆ มากกว่า วงกลม ดั้งเดิมของมันอีก ใช่ๆ! คุณหมอ คุณฉลาดเหลือเกิน ฉันน่ะอยากจะตัดแต่งไอ้สวนนี่ ให้เป็นเหมือนที่ฉันเคยฝันเหลือเกิน นี่แหละ เรื่องที่ฉันอยากพูดคุยกับคุณ รับรองได้ คุณจะได้เห็นศิลปะที่สูงส่งจากตัวฉันเลยทีเดียว ฮ่าๆ อย่าเชื่อฉันมาก ฉันหาเรื่องคุย กับคุณไปเรื่อยแหละ คุณหมอที่รัก คุณดูมันสิ มันบวมเป่งเหมือนจะแตกออกมาให้ได้ ลองจับสิ ฉันรู้สึกว่าเหมือนว่ามีสิ่งมีชีวิตประหลาดอยู่ภายในตัวฉัน มันต้องเกิดจากคราวนั้น แน่นอน สัตว์หัวขนที่น่าขยะแขยงนั่นมันท�ำร้ายฉัน มันท�ำฉันเจ็บระบมไปหมดทั้งตัว คุณนึกออกใช่ไหม มันร้ายกาจมากเกินกว่าจะอยู่บนโลกใบนี้เลยทีเดียว คุณอยากรู้ ไหมว่ามันท�ำอะไรฉันบ้าง ฉันสามารถเล่ามันได้เป็นฉากๆ ตอนๆเลยทีเดียว ในหัว ของฉันตอนนีม้ นั เหมือนมีภาพยนตร์เปิดฉายอยูอ่ ย่างต่อเนือ่ งเลยล่ะ อย่าปฏิเสธเลย ฉันอยากจะเล่าให้คุณฟังมากๆ อะไรนะ คุณบอกว่าฉันต้องสงบสติอารมณ์งั้นหรอ นี่ ฉันมีสติสมประกอบทุกอย่างนะ คุณจะดึงมือฉันท�ำไม ปล่อย ปล่อยเดีย๋ วนี้ รูอ้ ะไรไหม 170


คุณในตอนนี้ ก็ไม่ได้ต่างไปจากไอ้สัตว์นรกนั่นเลยสักนิด! เดี๋ยว ฉันขอโทษ ฉันขอให้ คุณอภัยได้ไหม ฉันไม่ควรจะตะคอกใส่คณ ุ เลย คุณให้คนพวกนัน้ ออกไปเถอะ อะไรนะ ได้สิ ฉันจะลงจากโต๊ะนี่ แล้วก็คนื ปากกาให้คณ ุ นะ ฮ่าๆ ฉันนีแ่ ย่จริงๆ จะขโมยปากกา คุณเฉยเลย เอาล่ะ ฉันนั่งลงในที่ของฉันแล้ว คุณล่ะ บอกพวกเขาให้ออกไปสิ ฉันไม่ สบายใจเท่าไหร่ ทีม่ พี วกเขายืนจ้องฉันด้วยท่าทีอย่างนัน้ มันน่ารังเกียจ น่าขยะแขยง! ไป! ออกไป! ไอ้พวกสกปรก! อย่า! ได้โปรด คุณหมอ ให้พวกเขาปล่อยฉันได้ไหมคุณ ฉันเจ็บเหลือเกิน ไอ้เจ้าเปรตทีอ่ ยูข่ า้ งในฉันมันเรียกร้องให้คณ ุ ปล่อยฉันเสียที ไม่อย่าง นั้นมันคงจะพยศออกมาแน่ๆ ฉันกลัว ได้โปร...ดด คุณหมอขา ฉันเจ็บข้อมือมากๆเลย ถอดที่รัดให้ฉันหน่อยได้ไหม ไม่ค่ะ ไม่เลย เมือ่ วานฉันเป็นอะไรก็ไม่รู้ ฉันว่าเป็นเพราะขนมนัน่ แน่ๆ ลองไปถามคุณหมอเพือ่ นฉันสิ เขาไม่ได้กนิ ฉันกินคนเดียว ฉันเลยคลัง่ อย่างเมือ่ วานไง คราวนีฉ้ นั จะไม่กนิ อะไรมัว่ ซัว่ แล้ว ได้โปรด ถ้าอย่างนั้น คุณไปตามคุณหมอที่เป็นเพื่อนฉันได้ไหม ฉันอยากคุยกับเขา เหลือเกิน นั่นไง เขามาแล้ว คุณบอกคุณหมอคนนั้นให้ปล่อยฉันได้ไหม ฉันเจ็บมาก เห็นไหม แค่นเี้ องฉันก็เลิกพูดเลิกบ่นแล้ว ขอบคุณมากจริงๆ เอ๋..คุณจะให้ฉนั นอนอยู่ ที่ห้องนี้ก่อนหรอ ก็สบายดีนะ ได้สิ ถือเป็นการตอบแทนละกัน ฮ่าๆ ฉันอยากอยู่กับ เพื่อนสองคน คุณออกไปได้ไหม ขอโทษที่รบกวนด้วย เอาล่ะ คุณดูมันสิ ฉันค่อนข้าง ล�ำบากใจเล็กน้อยซะแล้ว ฉันจะเตรียมรับมือกับมันยังไงดี อะไรกัน คุณพูดได้ยงั ไงกัน คุณไม่แคร์ฉันบ้างหรือ ฉันคิดว่าคุณจะเข้าใจฉันได้ดีกว่านี้นะ คุณก็รู้ว่าฉันไม่สามรถ อยู่กับไอ้หน้าท้องที่บวมอย่างลูกโป่งนี้ได้ตลอดรอดฝั่งแน่ ให้ตายเถอะ มันใหญ่ขึ้น เรื่อยๆจนฉันแทบจะรับมันไม่ไหวแล้ว ฉันเกลียดรูปร่างโค้งมนของมัน มันท�ำให้ฉัน ขยะแขยง หยุด! หยุดพูดเสียที! คุณก�ำลังท�ำให้ฉันคลั่งจนจะเป็นบ้าอย่างที่พวกคุณ ก�ำลังยัดเยียดให้ฉนั เป็นอยูน่ ะ คุณจะไม่หยุดใช่ไหม! พอสักที! คุณจะท�ำอย่างนีก้ บั ฉัน ไม่ได้อีก เอาเชือกนี่ออกไปให้พ้น! คุณท�ำตัวคุณเองนะ อย่ามาโทษฉัน นี่เป็นเชือกของคุณเอง ฉันจะคืนให้คุณ ท�ำเป็นสร้อยแสนสวยให้ดีไหม อย่าดิ้นสิ อยู่นิ่งสักครู่เถิด ฉันเห็นคุณเป็นเพื่อนที่รัก ของฉัน แต่คุณก�ำลังกดดันฉันจนฉันรับมันไม่ไหว โธ่ ที่รัก คุณไม่เหมาะจะอยู่บนโลก นีเ้ ลย คุณอ่อนโยนเกินไป คุณเคยมองเห็นถึงความกลมของโลกนีไ้ หมทีร่ กั ฉันฝันเห็น มันทุกคืน ฉันอยู่กับมันตั้งแต่ฉันอยู่ภายในท้องกลมๆของแม่ฉัน จนถึงตอนนี้ ฉันรับ มันได้แล้ว แต่คุณกลับรับมันไม่ได้ คุณทนมันไม่ไหวหรอก นี่ฉันก�ำลังพยายามท�ำให้ 171


คุณหลุดพ้นนะที่รัก หากคุณยังอยู่ คุณจะรับมันไหวหรือ ฉันไม่เชื่ออย่างนั้นเลย ฉัน พูดจริงๆ ฉันรู้ว่าคุณจะผ่านช่วงนี้ไปได้ มันแค่ทรมานเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น ใจ เย็นๆ อย่าฝืนหายใจเลย คุณลองกลั้นหายใจดูสิ มันอาจจะช่วยก็ได้นะ ฉันก�ำลังหา ทางให้คุณอยู่ที่รัก ลองนึกสิ จุ๊ๆ อย่าพยายามเลย มันเพิ่มความทรมานให้คุณ อย่าง นั้นแหล่ะ อย่างนั้น..เด็กดี ฉันดีใจจังที่คุณยังมองฉันอยู่ ฉันยังอยากท�ำอะไรให้คุณดูสักนิด นี่ไง ปากกา ของคุณ อย่ากังวลไป ฉันจะคืนให้ทีหลัง ฉันไม่ได้ขโมยหรอก เชื่อฉันสิ คุณคอยดูดีๆ ฮ่าๆ คุณคงรูจ้ กั การท�ำฮาราคีรี มันคือการฆ่าตัวตายอย่างสมศักดิศ์ รีของเหล่าซามูไร แต่อย่าได้กลัวไป ฉันไม่ได้จะฆ่าตัวตาย ฮ่าๆ ฉันแค่ต้องการคว้านท้องเอาไอ้เปรตนี่ ออกมา ดูเป็นวิธีการที่เข้าท่าดีไหมล่ะคุณเอ๋ย ฮ่าๆ เลือดไหลออกมาเยอะเลย ฉัน กลัวเลือดนะ แต่ตอนนีฉ้ นั ต้องกลัน้ ใจน่าดูเลยล่ะ โอย มันเจ็บเอาการเลย แต่ไม่เป็นไร มันจะผ่านไป ดูคุณสิ คุณยังผ่านมันไปได้เลย เพื่อแลกกับอิสรภาพของฉัน ฉันต้อง เอามันออกมา สัตว์ประหลาดไง สัตว์ประหลาดที่คุณบอกว่ามันเป็นเลือดเนื้อเชื้อไข ของฉันน่ะ หึ ความเชื่อตลกๆ ฉันเกิดมาคนเดียว ฉันรับรู้ความเจ็บปวดคนเดียว แม้กระทัง่ ตอนนี้ ให้ตายเถอะ มันเจ็บจนฉันจะคุมสติไม่ไหวซะแล้ว ยังดีทฉี่ นั มีคณ ุ คอย อยูข่ า้ งๆ ฮ่าๆ เลือดไหลท่วมเลย โอย ฉันหน้ามืดซะแล้ว ฉันว่าฉันจะทนไม่ไหวแล้วล่ะ คุณดูมนั อา... มันน่าขยะแขยงเหลือเกิน ก้อนเนือ้ อัปลักษณ์ ฮ่าๆ มันหลุดออกมาแล้ว โอย เหงื่อฉันไหลอย่างกับก๊อกน�้ำเลย เสียงข้างนอกดูโหวกเหวกมากเลยคุณ เอาล่ะ ปากกาของคุณ ฉันบอกแล้วว่าฉันจะคืน

172



ความฝันสีควันธูป

ตติยาภรณ์ เกสรทอง 174


ทรวดทรงดั่งนาฬิกาทรายของเธอที่ถูกห่อหุ้มในชุดนักศึกษาใต้เสื้อกัน ฝนสีน�้ำเงินผุดขึ้นมาจากควันธูปสีเมฆฝนที่ก่อตัวเป็นรูปร่างต่างๆอย่าง อิสระเสรีท่ามกลางความมืดของหน้ากากแห่งยามราตรี บนรองเท้าส้น สูงแหลมเล็กสีด�ำ, เธอเดินฝ่าวงปี่พาทย์ที่เริ่มเก็บเครื่องดนตรีและเครื่อง ขยายเสียงที่จัดวางแต่ละชิ้นอย่างเบามือบนลงหลังรถบรรทุกสีลูกกวาด สายฝนโปรยลงมาบดบังสายตาของเธอเสียจนสิง่ ทีเ่ กิดขึน้ รอบตัวของเธอ นัน้ ดูเลือนลาง จมูกทีอ่ ดุ ตันไปด้วยน�ำ้ ตาพยายามสูดกลิน่ จางๆของดอกไม้ หลากสายพันธุ์แทรกตัวมาในกลิ่นธูปหอมที่อบอวลไปทั่วบริเวณ เธอเดิน ผ่านศาลเจ้าพ่อต่อสักซึง่ รายล้อมไปด้วยเหล่านางร�ำทีส่ อ่ งโทรศัพท์มอื ถือ แทนกระจกเพื่อลบเครื่องส�ำอางสีจัดจ้าน บ้างก็ก�ำลังสอดกางเกงยีนส์ เข้าไปใต้กระโปรงผ้าอินเดียสีเลือ่ มทองสลับเขียว บ้างก็นงั่ นับปึกเงินค่าจ้าง ของตนอย่างเพลิดเพลิน เสียงเครือ่ งประดับเคลือบสีทองกระทบกันเหมือน เสียงเศษสตางค์ในก้นกระเป๋า ส่วนแม่ค้าแม่ขายก็ฟังละครในโทรทัศน์ เคลื่อนที่เครื่องเล็กขณะเก็บแผงของตนอย่างเชื่องช้า บางแผงก็ขายพวง มาลัย ดอกไม้สด บ้างก็ขายน�ำ้ หวานสีสนั สดใสใส่ขวดพลาสติกวางเรียงราย ตลอดจนเครื่องบูชาหลายแขนง นักศึกษาสาวหยุดยืนอยู่หน้าแผงดอกไม้ แล้วตกลงซื้อพวงมาลัยมะลิที่ดอกบานเกือบหมดทั้งพวงกับน�้ำหวานอีก หนึ่งขวดตามค�ำแนะน�ำของแม่ค้า “มาขอลูกหรือแม่หนู อย่าลืมล่ะ ต้องมาไหว้ท่านติดกันสามวันนะ” หญิงชรา คราวยายเอ่ยถามด้วยน�้ำเสียงเอ็นดู โดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมองลูกค้าแม้แต่น้อยเพราะ นางก�ำลังสาละวนกับข้าวของที่ก�ำลังเก็บใส่ถุงกลับบ้านเพื่อน�ำกลับมาขายต่อในวัน รุ่งขึ้น บัวฝืนยิม้ แล้วยืน่ ธนบัตรใบละยีส่ บิ บาทสองใบให้กบั แม่คา้ เธอหย่อนพวงมาลัย และน�ำ้ หวานลงไปในถุงจ่ายตลาดสีเขียวทีม่ ชี อื่ ห้างดังของประเทศอังกฤษเขียนอยูข่ า้ ง บนด้วยตัวหนังสือสีทอง โดยปกติแล้วเธอจะระมัดระวังไม่ให้อะไรแปดเปื้อนหนังสือ เรียนและเอกสารทีเ่ ธอใส่เอาไว้ขา้ งในถุง แต่วนั นีค้ วามคิดของเธอไปจดจ่ออยูก่ บั เรือ่ ง อืน่ จนลืมคิดถึงหยดน�ำ้ ทีซ่ อ่ นตัวอยูต่ ามกลีบของดอกมะลิซงึ่ ได้ไหลลงไปให้ตวั หนังสือ 175


บนเอกสารประกอบการเรียนดูดซึมอย่างเงียบๆ น�้ำหวานสีแดงสดที่บรรจุอยู่ในขวด พลาสติกใสไม่มีฉลากที่บรรจุเรื่องราวบอกเล่าความเป็นมาของมันแต่อย่างใด ไม่มี วันผลิต วันหมดอายุ สถานทีผ่ ลิต หรือแม้แต่สว่ นประกอบทีค่ นส่วนมากมักจะอ่านก่อนซือ้ บัวไม่ได้สนใจในข้อนี้เพราะเธอไม่ได้ซื้อมันมาดื่มเองอยู่แล้ว เมื่อข้ามถนนแคบๆ มา ถึงใต้ตกึ ทีอ่ ยูฝ่ ง่ั ตรงข้ามศาลฯ เธอก็ถอดเสือ้ กันฝนออก เผยให้เห็นเสือ้ เชิต้ สีขาวขนาด พอดีตัว กระดุมรูปสามเหลี่ยมสีทองเรียงกันเป็นแถวตรง ชายเสื้อสีขาวถูกยัดเข้าไป ใต้กระโปรงสีด�ำที่ดูเล็กกว่าขนาดช่วงล่างของเธอ หัวเข็มขัดสีทองมีลายปั๊มนูนของ มหาวิทยาลัยฉายให้เห็นอย่างเด่นชัด เธอพับเสื้อกันฝนอย่างลวกๆแล้วยัดมันเข้าไป ในถุงพลาสติกที่เธอเหน็บไว้ตรงเข็มขัดที่โอบรัดเอวของเธอไว้แน่น แล้วถุงพลาสติก นั้นก็ถูกหย่อนลงไปในถุงสีเขียวใบเดิม เงาของนักศึกษาสาวเคลื่อนเข้ามาใกล้ประตูทางเข้าอย่างระแวดระวัง ทุกก้าว ของเธอเหมือนถูกค�ำนวณมาให้มขี นาดเท่ากันเพราะกระโปรงทีร่ ดั รึงต้นขาและสะโพก ประตูทางเข้ามีการเปิด-ปิดโดยอัตโนมัติ ทุกครัง้ ทีบ่ านประตูจะปิด เธอจะสาวเท้าเข้า มาเดินผ่านเซ็นเซอร์ให้ประตูเปิดแล้วก็ผละออกไปอีก เป็นแบบนี้อยูเ่ กือบครึง่ ชั่วโมง ในช่วงเวลาทีร่ า้ นใกล้ปดิ นี้ ไม่มใี ครให้ความสนใจกับสิง่ รอบข้างโดยเฉพาะผูห้ ญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ดูไม่มีพิษมีภัย พนักงานซุปเปอร์มาร์เก็ตรวมถึงเจ้าหน้าที่รักษาความ ปลอดภัยจดจ่ออยู่กับการท�ำงานของตนเองให้เสร็จเรียบร้อยเพื่อที่จะได้รีบกลับบ้าน หากเธอถือกระเป๋าใบใหญ่ หรือกล่องกระดาษอยู่ รปภ.สมโชคคงจะเดินไปเรียกต�ำรวจ ทีป่ อ้ มฝัง่ ตรงข้ามถนนมาประเมินสถานการณ์ไปนานแล้วเพราะก่อนหน้านีร้ า้ นอาหาร ตรงหัวมุมถนนเพิ่งโดนวางระเบิด ท�ำเอาคนตายเป็นเบือ หลังจากนั้นทุกคนเลยออก อาการตื่นตัวเกินกว่าเหตุทุกครั้งที่มีคนถือกล่องหรือกระเป๋าหรืออะไรก็ตามที่ขนาด ใหญ่ผิดปกติเดินเข้ามาซื้อของที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตแห่งนี้ หากแต่สิ่งเดียวที่อยู่ในมือของหญิ​ิงสาวคือกระดาษแผ่นเท่าสองฝ่ามือ สายตา ของเธอจับจ้องอยูท่ สี่ งิ่ ทีถ่ กู เขียนอยูด่ า้ นทีม่ เี พียงเธอมองเห็น ริมฝีปากทีม่ นั ขลับขยับ ขึน้ ลง ขดเป็นวง ส�ำหรับคนทีพ่ บเห็น เธอมองดูเหมือนผูป้ ระกาศข่าวในโทรทัศน์ทถี่ กู ปิดเสียง ไม่มีใครรู้ว่าเธอมาท�ำอะไร ไม่มีใครรู้ว่าเธอเป็นใคร เพราะแม้แต่ตัวบัวเองก็ ไม่รู้ว่าตนเองกลายเป็นใครและควรท�ำอะไรในเวลานี้เช่นกัน ในคืนวันพุธอาทิตย์ทสี่ องของเดือนแบบนี้ ร้านจะปิดก่อนเวลาครึง่ ชัว่ โมงเพราะ ปกติแล้วจะไม่มีลูกค้าเข้ามาจับจ่ายซื้อของหลังเวลาสี่ทุ่มครึ่ง บทสนทนาเกี่ยวกับ 176


อากาศและรายการโทรทัศน์ระหว่างลูกค้าและพนักงานเก็บเงินถูกแทนที่ด้วยเสียง ลิน้ ชักเงินดีดตัวเป็นระยะ ตามด้วยเสียงธนบัตรสีกนั แล้วตามด้วยเสียงหนังยางกระทบ กับปึกเงิน เสียงเหรียญขนาดเล็กใหญ่ถูกกวาดลงถุง นาฬิกาบนผนังสีขาวบอกให้ พนักงานทุกช่องปิดเคาน์เตอร์แล้วเริม่ นับเงิน ก่อนทีร่ ปภ.สมโชคกับรปภ.ธานีจะผลัด กันเดินไปหยิบท่อนเหล็กขนาดยาวมีปลายเป็นตะขอที่วางซ่อนอยู่หลังจุดให้บริการ ลูกค้าที่ปิดท�ำการไปก่อนแผนกอื่นๆ เพื่อเตรียมตัวเอามาเกี่ยวดึงกรงเหล็กที่อยู่ข้าง หน้าประตูกระจกลงเพื่อจะใส่กุญแจ เธอยังคงเดินวนไปวนมาอยู่หน้าร้านเหมือน ตุ๊กตาไขลาน ไม่มีใครสังเกตเห็นเธอนอกจาก มล พนักงานเก็บเงินช่องที่สอง ในมือ ของมลถือแผ่นพับโฆษณามหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งที่เธอพยายามท�ำงานหาเงิน ให้เพียงพอที่จะเข้าไปสมัครเรียนได้ มหาวิทยาลัยนั้นคือสถานศึกษาเดียวกันกับ บัว นักศึกษาสาวทีเ่ ดินวนไปวนมาหน้าร้าน เหมือนกับเธอจะมาอวดชุดนักศึกษาของเธอ ที่มลปรารถนาที่จะใส่เดินให้คนอื่นที่เคยดูถูกการศึกษาและฐานะทางครอบครัวของ เธอได้แต่มองแล้วเอาเก็บไปอิจฉา “ยังไม่นบั เงินหรือ มล” เสียงเล็กแหลมทีค่ นุ้ หูปลุกเธอจากภวังค์ และห้วงความ คิดที่เธอเดินหลงเข้าไป “ยังจ้ะ” มลส่ายหน้าแล้วยิ้มน้อยๆ “เหลือลูกค้าอีกคนนี่” เธอเอียงศีรษะเพื่อจะ ชีไ้ ปทีน่ กั ศึกษาสาว “เขาก�ำลังจะเข้ามาซือ้ ของ ถ้าปิดช่องกันหมด ใครจะคิดเงินให้ละ่ เธอหรือ?” มลพูดติดตลก เธอรู้ว่าค�ำตอบแบบนี้จะท�ำให้เพื่อนของเธอยิ้มได้ หลังจาก วันอันเหนื่อยล้าและยาวนาน “เธอนี.่ .. ท�ำงานเกินเงินเดือนตลอดเลยนะ” เพือ่ นสาวหยอกล้ออย่างรูใ้ จ “ถ้างัน้ เจอกันพรุ่งนี้นะจ๊ะแม่พนักงานดีเด่น” เพื่อนร่วมงานแซว ในน�้ำเสียงของเธอมีความ ชื่นชมเพื่อนคนนี้อยู่ไม่น้อย มลยิ้มรับอย่างสุภาพ ในใจของแคชเชียร์สาวรู้ดีว่าเธอ ตั้งใจนั่งรอลูกค้าคนนี้เพราะอะไร เธอรู้ว่าการได้พูดคุยกับนักศึกษาสาวที่เรียนอยู่ใน สถาบันทีเ่ ธอชืน่ ชมนัน้ อาจให้ประโยชน์กบั เธอในอนาคตก็ได้ ในวันทีเ่ ธออาจมีโอกาส เข้าไปเป็นรุน่ น้องของหญิงแปลกหน้าคนนัน้ เธอภาวนาให้หญิงแปลกหน้าเดินเข้ามา ซื้อของเพราะอีกไม่กี่นาที พนักงานรักษาความปลอดภัยก็จะท�ำการปิดร้าน บัวยกนาฬิกาข้อมือที่เคลือบด้วยทองค�ำขาวขึ้นดูแล้วหายใจเข้าจนล�ำตัวส่วน บนของเธอพองเหมือนปลาปักเป้าแล้วพยักหน้าถี่ๆพลางเดินเข้าประตูกระจกใสไป ที่จุดพักรถเข็น เธอดึงรถเข็นออกมาหนึ่งคัน พนักงานชายที่ก�ำลังจะล่ามโซ่และใส่ 177


กุญแจรถเข็นถอนหายใจอย่างหงุดหงิดก่อนจะเดินออกไปสูบบุหรี่รอเวลาเลิกงาน ต่อข้างนอก เธอแนบกระดาษใบนั้นไว้ระหว่างนิ้วชี้แล้วนิ้วโป้งข้างซ้ายแล้วใช้มือขวา หยิบของตามที่เขียนไว้ในรายการ เสียงล้อรถเข็นของเธอที่ถูกไสไปตามพื้นที่เพิ่งถูก ท�ำความสะอาดดังก้องซุปเปอร์มาร์เกตที่เกือบจะปลอดคน มลยังคงนั่งรอเธออย่าง ใจจดใจจ่อ ด้วยมือคูท่ ปี่ ระคองแผ่นพับใบเดิมและขาทัง้ สองข้างทีส่ นั่ อย่างทีต่ วั เธอเอง ก็ควบคุมไม่ได้ เธอนั่งอ่านชื่อมหาวิทยาลัยซ�้ำไป ซ�้ำมาหลายรอบ จนตัวหนังสือดูไม่ เหมือนกับตัวหนังสืออีกต่อไป ภาพเครือ่ งแบบนักศึกษาทีม่ คี วามละม้ายคล้ายคลึงกับ ชุดที่บัวใส่อยู่เพียงเล็กน้อยถูกพิมพ์ไว้ในหน้าหลัง กระดุมทองสี่เม็ด หัวเข็มขัดทอง แวววาว เหมือนดึงเอาดวงดาวมาเป็นเครื่องประดับเลย เธอคิดกับตัวเอง เสียงล้อรถเข็นแล่นเข้ามาใกล้เรื่อยๆ มลกลืนรอยยิ้มของเธอลงไปกับลูกอม มินท์ที่เธอเก็บไว้กับตัวตลอดส�ำหรับเวลาที่ต้องพูดคุยกับบุคคลส�ำคัญ เจ้านาย หรือ ลูกค้าที่เธอสนิทสนมด้วย และในกรณีนี้บัวก็คือผู้มีเกียรติที่เธอยึดเป็นแบบอย่าง บัว พับกระดาษทีม่ รี ายการซือ้ ของอยูแ่ ล้วก�ำเอาไว้ในมือซ้าย ขณะทีม่ อื ขวาของเธอเอือ้ ม ไปหยิบของทีละชิ้นวางลงบนสายพานสีด�ำข้างเคาน์เตอร์ สิ่งของที่เธอหยิบมาท�ำให้ มลประหลาดใจเล็กน้อย และเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อจ�ำนวนของสิ่งของเพิ่มขึ้น มลสแกน สิ่งของชิ้นแรกที่นักศึกษาสาวหยิบมา มันคือเบียร์หนึ่งแพค จ�ำนวนหกขวด ตามมา ด้วยถุงเท้าสีด�ำของผู้ชายเบอร์สิบหนึ่งถุงบรรจุสี่คู่ ครีมโกนหนวดของนอกหนึ่งขวด ใบมีดโกนอย่างดีหนึ่งโหล อาฟเตอร์เชฟของนอกหนึ่งขวด เจลใส่ผมของผู้ชายหนึ่ง กระปุก...มลพยายามมองหาหนวดบนใบหน้าสีขาวอมชมพูของเธอ แต่ก็ไม่มีแม้แต่ ขนอ่อน จะเป็นไปได้ไหมที่เธอไม่ใช่ผู้หญิงอย่างที่มองเห็น มลตัดสินใจชวนคุยเพื่อ ความกระจ่าง “ฝนตกทุกวันเลยนะคะช่วงนี้” บัวเงยหน้าขึ้นมามองแคชเชียร์สาวแล้วยิ้มน้อยๆก่อนที่จะก้มหน้าก้มตา ล�ำเลียงของจากในรถเข็นขึน้ บนสายพานต่อ เธอใส่คอนแทกเลนส์สซี งึ่ ก็ไม่ได้ให้ขอ้ มูล อะไรเลย เพราะไม่ว่าใครก็ใส่ได้ เสี้ยวนาทีต่อมา ดูเหมือนความสงสัยใคร่รู้ของมลจะ สัมฤทธิผ์ ล เสียงโทรศัพท์มอื ถือดังขึน้ เธอล้วงมือลงไปควานหาโทรศัพท์ทอี่ ยูใ่ นถุงสีเขียว เมื่อเห็นชื่อของคนที่โทรเข้ามา เธอแอบถอนหายใจเบาๆก่อนจะกดรับ “ค่ะ... อืม... อะไรก็ได้อะ... ยัง ติดฝนอยู่... “ เธอเงยหน้ามองสายฝนที่โปรยลง มาไม่ขาดสาย ส�ำหรับบัวแล้วพวกมันดูเหมือนซี่กรงบางๆเรียงรายอยู่เต็มไปหมด 178


เหมือนคุกที่มีขนาดใหญ่และยาวสุดลูกหูลูกตา “ก็ไม่ได้ไปไหน...มาซื้อของให้ตามที่สั่งไง...” บัวพูดต่อเบาๆ “อื้ม... อ้าว แล้ว ท�ำไมไม่ซื้อล่ะ? ก็ตกลงกันแล้วนี่?” เสียงเล็กๆของเธอเริ่มดังขึ้น มลรู้สึกได้ถึงความ หงุดหงิดใจของเธอจากรอยยับบนปกหนังสือโป๊ที่หน้าปกมีผู้หญิงเปลือยหน้าอกยืน หันข้างอยู่ ระหว่างหยุดฟังค�ำพูดของคู่สนทนาเธอแทบจะเขวี้ยงนิตยสารลามกนั้น ลงไปบนสายพาน “อืม... ค่ะ... ได้..แต่ว่าไม่รู้เงินจะพอรึเปล่านะ...” เธอลดเสียงต�่ำลงก่อนจะ กระแอมไอแก้เก้อ “อ้าว ก็ที่ออกไปกินข้าวกันวันนั้นไง...” คิ้วสีน�้ำตาลอ่อนขมวด เข้าหากันเป็นปม นัยน์ตาของเธอเบิกโพลง เหมือนได้ยินอะไรที่ไม่ถูกหู บัวเริ่มเพิ่ม แรงกดจากฟันของเธอลงบนริมฝีปากล่างมากขึ้นเรื่อยๆ มือของเธอก�ำเสื้อเชิ้ตสีขาว บริเวณหน้าท้องไว้แน่นจนมือสั่น แล้วตัดบทว่า “อืม ขอโทษค่ะ... ค่ะ...ได้ค่ะ...เจอ กันที่บ้านนะ” มลจ้องมองขวัญตรงกลางศีรษะของหญิงสาวตรงหน้าของเธอ รากผมเป็นสี ด�ำยาวประมาณครึ่งนิ้วได้ ถ้าหากเธอไม่ก้มหัวลง พนักงานสาวคงไม่มีวันรู้ว่าสีผม ธรรมชาติของเธอคือสีด�ำ เพราะสีน�้ำตาลอ่อนนั้นดูเข้ากับเธอเหลือเกิน ปลายผม ของเธอม้วนเป็นลอนเหมือนผมตุ๊กตา เธอกดวางโทรศัพท์แล้วปล่อยมันไหลลงไป อยู่ในก้นถุงคล้องแขนใบเดิม นักศึกษาสาวยกข้อมือด้านในของเธอขึ้นมาปาดน�้ำตา อย่างเงียบๆ โดยมีเสียงสแกนสินค้าอยู่เป็นเพื่อน ความรู้สึกของมลปนเปกันจนแยก ไม่ออก เธอไม่รู้ว่ามันใช่ที่ของเธอไหมที่จะถามว่าผู้หญิงคนนี้เป็นอะไร เธอรับรู้ได้ถึง ความเศร้าในล�ำคอของหญิงแปลกหน้า น�้ำตาเธอระเหยและลอยเข้ามาเจือลมหายใจ ที่ไหลลงคอของมล มันมีรสชาติเค็มและขมอย่างประหลาด รสขมนั้นอาจเป็นรสของ เครือ่ งส�ำอางทีเ่ ธอใช้ทใี่ ช้มากเกินไป หรืออาจเป็นเพราะความขมขืน่ ทีบ่ ม่ อยูภ่ ายในใจ ของลูกค้าสาวซึ่งมีรสชาติเหมือนเชื้อเบียร์สกัด มลตัดสินใจหยิบกระดาษเช็ดปากจากในกระเป๋าเสื้อที่เธอหยิบมาจากศูนย์ อาหารตอนกลางวันเผื่อเอาไว้เวลาเข้าห้องน�้ำแล้วยื่นให้กับมนุษย์ในรูปปั้นสตรีที่ตั้ง อยู่ข้างหน้าเธอ พนักงานสาวคิดว่าไม่พูดอะไรน่าจะดีกว่า เรื่องส่วนตัวคงไม่มีใคร อยากจะเอามาเล่าเท่าไร ยิ่งเป็นเรื่องที่ท�ำให้เศร้าใจด้วยแล้ว ยิ่งยากที่จะเล่าให้ใคร ฟัง บัวผงกหัวเป็นการขอบคุณแล้วรับเอากระดาษมาซับหน้าของเธอที่เปียกปอน มากกว่าตอนทีเ่ ธอเดินฝ่าฝนเข้ามาซือ้ ของตอนแรกเสียอีก เธอเอามือทาบอกแล้วกด 179


มือลงเพื่อสกัดกั้นไม่ให้เสียงสะอื้นเล็ดลอดออกมา ของในรถเข็นยังมีเหลืออยู่อีกนิด หน่อย มลเห็นว่าผู้หญิงตรงหน้าเธอไม่อยู่ในสภาพที่จะท�ำอะไรได้ในตอนนี้นอกจาก ระงับสติอารมณ์ตัวเอง “คุณ...ให้ดิฉันช่วยหยิบของไหมคะ?” มลถามด้วยน�้ำเสียงที่อ่อนโยน เธอพยักหน้าทัง้ ๆทีย่ งั ก้มหน้าอยูแ่ ล้วถอยไปเอาหลังพิงไว้กบั เคาน์เตอร์ขา้ งๆ กระดาษเช็ดปากหดตัวลงมาเหลือเพียงเศษกระดาษทีห่ ลุดลอกออกมาเป็นเส้นๆ แต่ บัวก็ยงั ใช้มนั อุดจมูกแล้วพยายามหายใจเอาอากาศเข้าปอดของตัวเองให้มากทีส่ ดุ เพือ่ ก�ำจัดอาการสะอืน้ ไห้นหี้ มดไปเสียที พนักงานสาวค่อยๆหยิบสินค้าทีละชิน้ แล้วจับมัน เรียงเป็นหมวดหมู่ เธอเอาเทียนไขกล่องเล็กวางไว้คกู่ บั ธูปหอมชุดเล็ก ถุงมือยางวางไว้ คู่กับน�้ำยาล้างห้องน�้ำ ส่วนขนมปัง ไข่ไก่แพ็คกลาง และเบคอนรมควันก็ถูกจัดวาง ไว้เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง สิ่งที่ไม่เข้าพวกก็คือไม้แขวนเสื้อที่ท�ำจากเหล็กและถุงขยะสีด�ำ อีกหนึ่งแพ็คใหญ่ เธอจึงวางมันไว้เป็นสองสิ่งสุดท้าย ดันรถเข็นออกไปจากช่อง ให้ พนักงานชายคนเดิมที่รับผิดชอบเก็บและล็อครถเข็นเอามันกลับที่เพื่อที่ตัวเขาจะได้ ตอกบัตรออกงาน จากนั้นมลก็กลับไปยืนอยู่ต�ำแหน่งแคชเชียร์เหมือนเดิม “น้อง...ใช่คนเดียวกับคนในรูปหรือเปล่า?” บัวถามด้วยเสียงที่สั่นเทาเหมือน เธอก�ำลังยืนอยู่บนยอดเขาที่มีแต่หิมะและก้อนน�้ำแข็ง ผมสีน�้ำตาลอ่อนปกคลุมหน้า ของเธอไปหมดมองดูคล้ายโขดหินทีถ่ กู พันด้วยเถาวัลย์ บัวชีน้ วิ้ ไปทีร่ ปู ทีแ่ ขวนอยูข่ า้ ง บนเสาข้างหลังมล ข้างใต้รปู มีตวั หนังสือเขียนไว้วา่ “พนักงานดีเด่นประจ�ำเดือน” สาว เจ้าน�้ำตาเงยหน้าขึ้นมาแล้วฝืนยิ้ม “เก่งจังเลย” มลยิ้มรับแล้วผงกหัวรับอย่างสุภาพแทนการขอบคุณ “แต่หนูว่าคุณผู้หญิงเก่งกว่านะคะ” มลกล่าวพลางสแกนสินค้าที่วางเรียงราย อยู่บนสายพาน “คุณได้เรียนมหาวิทยาลัยที่ดีขนาดนี้ จบไปคงได้ท�ำงานดีกว่าเป็น แคชเชียร์แน่นอนเลยค่ะ” แม้มลจะตอบไปพร้อมกับรอยยิ้มบนหน้าของเธอแต่ในใจ เธอนั้นเหมือนถูกใครเอาเข็มแทง จริงอยู่ที่เธอได้เป็นพนักงานดีเด่นแม้ว่าเธอจะเพิ่ง เริ่มท�ำงานมาได้ไม่ถึงปีตั้งแต่จบม.6 แต่เธอก็อยากจะเป็นมากกว่า “พนักงานดีเด่น ประจ�ำเดือน” ค�ำว่า ประจ�ำเดือน มันท�ำให้เธอรู้สึกต้อยต�่ำและด้อยค่าเหมือนตัวเธอ เป็นเลือดเสีย เป็นสิง่ ปฏิกลู ทีผ่ หู้ ญิงขับออกมาทางอวัยวะเพศ เธอติดอยูใ่ นห้วงความ คิดทีน่ า่ ขยะแขยงและน้อยเนือ้ ต�ำ่ ใจนัน้ จนลืมคิดไปว่า อาจมีผหู้ ญิงบางคนทีส่ วดมนต์ ไหว้พระขอให้ตนเองมีเลือดเสียไหลออกมาจากที่เดิม เวลาเดิม เหมือนเดือนก่อนๆ 180


บัวจ้องโทรศัพท์มือถือแล้วเงยหน้าขึ้นมามองมลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจพูดต่อ “ที่นี่ขาย....ชุดตรวจการตั้งครรภ์หรือเปล่าคะ” แคชเชียร์สาวพยักหน้าอย่างไม่เข้าใจแล้วเดินไปหยิบกล่องพลาสติกที่ใส่แบบ ทดสอบการตั้งครรภ์อยู่ข้างในเพื่อกันคนขโมยแล้วถือมาชูให้นักศึกษาสาวดู “มีแต่แบบนี้ได้มั้ยคะ?” “เอ่อ....อืม...มันมีความแม่นย�ำมากน้อยเท่าไร ทราบไหมคะ” มลพลิกกล่องไปอ่านด้านหลังเพือ่ ตรวจหาดูวา่ สินค้านีม้ คี ณ ุ ภาพเท่าใด มือของ เธอเย็นเฉียบเหมือนไปควานน�ำ้ แข็งมา แบบทดสอบการตัง้ ครรภ์? ท�ำไม? พูดมาสิวา่ ไม่ใช่ของคุณ มลกรีดร้องในใจภายใต้สีหน้าที่ราบเรียบ “เค้าบอกว่า...ได้ผลแม่นย�ำ 98% ค่ะ” “แล้ว...อีก 2% ล่ะคะ? อีก 2% หายไปไหน?” มลส่ายหน้า เธอละสายตาจากเครื่องแบบนักศึกษา กระดุมทอง...หัวเข็มขัด ทอง... ตอนนี้พวกมันดูไม่เหมือนดวงดาวเหมือนที่เธอเคยมองเห็นเมื​ื่อครั้งมันส่อง แสงวิบวับอยูไ่ กลๆ เมือ่ มามองดูใกล้ๆ มันดูเหมือนก�ำไลข้อเท้าของนางร�ำแก้บนแถว ศาลเจ้าพ่อต่อสักมากกว่า “มีบตั รจอดรถไหมคะ” มลถามโดยไม่มองหน้าคนตรงหน้าเธอ ขณะมือของเธอ ก�ำลังจัดของทั้งหมดลงถุงให้เรียบร้อย “ไม่มีค่ะ...เอ่อ...น้องคะ เอา...อันนั้น อีกกล่องนึงด้วยค่ะ” เธอชี้มือไปทางข้าง เคาน์เตอร์จากนั้นก็รีบดึงมือกลับอย่างรวดเร็ว แล้วเลี่ยงที่จะไม่สบตากับมลโดยการ ท�ำทีเป็นหากระเป๋าเงินไม่เจอ มลหยิบถุงยางอนามัยกลิ่นสตอร์เบอร์รี่แบบผิวขรุขระ ลงมาจากชั้นวางหนึ่งกล่อง “เอาแบบ...ไม่มีกลิ่นนะคะ ขอบคุณค่ะ” สินค้าชิ้นสุดท้ายได้ถูกสแกนและบรรจุลงถุงอย่างเรียบร้อย บัวยื่นบัตรสมาชิก ให้กับมลด้วยความเคยชิน แต่จู่ๆก็ขอบัตรคืนเสียดื้อๆ “วันนี้คุณสะสมแต้มได้ถึง 3,000 แต้มนะคะ ไม่เอาบัตรสมาชิกมาบันทึกแต้ม ไว้หรือคะ?” “ไม่เป็นไรค่ะ พอดี....ไม่ได้เอาบัตรตัวเองมา” บัวรีบยกถุงสีเขียวขึ้นมาบังหน้า แล้วท�ำทีเป็นหากระเป๋าเงินอีกครั้ง มลรู้ทันทีว่าเธอไม่อยากให้บัตรของเธอมีประวัติ ซื้อของที่เธอซื้อไปวันนี้ แคชเชียร์สาวจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที 181


“ทั้งหมด 3,452 บาท กับ 75 สตางค์ค่ะ” หลังจากเทถุง ปลิ้นกระเป๋า ค้นกล่องดินสอ เขย่าถุงปากกา เคาะกล่องใส่แผง ยาคุม ทั้งเนื้อทั้งตัวเธอก็มีเงินเพียง 2,324 บาท “แต่ฉันต้องการของพวกนี้ทั้งหมด...” “คุณพอจะมีบัตรเครดิตหรือบัตรก�ำนัลของขวัญอะไรไหมคะ” บัวส่ายหน้า “ขอฉันมาจ่ายที่เหลือพรุ่งนี้ได้ไหม ฉันสัญญาว่าไม่เบี้ยวแน่นอน” “ต้องขออภัยจริงๆค่ะ ตามกฎแล้ว...” “นี่ ฉันให้โทรศัพท์เธอเลยก็ได้ แลกกันกับของทั้งหมดนี่” แคชเชียร์สาวประหลาดใจและสับสนกับการกระท�ำของผูห้ ญิงทีย่ นื อยูข่ า้ งหน้า เธอ “ฉันจ�ำเป็นต้องใช้ของทั้งหมดนี่จริงๆ” “คุณผู้หญิงโกนหนวดหรือคะ?” มลหลุดปากถามไปโดยที่ลืมคิด ค�ำถามนัน้ ดูเหมือนจะกระตุกอะไรในห้วงความคิดของนักศึกษาสาวให้ตนื่ เธอ ส่ายหน้า นัยน์ตาเธอเริ่มมีประกายน�้ำอีกครั้ง “ไม่...” “งั้นท�ำไม...ไม่เอาไปเฉพาะของที่คุณจ�ำเป็นต้องใช้ล่ะคะ” “ฉัน หรือ?” บัวเริม่ รูต้ วั ว่าเธอไม่ได้ใช้คำ� ว่า ฉัน น�ำหน้าประโยคมาเป็นเวลานานแล้ว มันน่า ประหลาดใจเหลือเกิน โดยเฉพาะส�ำหรับเธอ ค�ำนี้มันไม่ดีอย่างไร มันพูดยากอย่างไร เธอถึงเลีย่ งทีจ่ ะไม่พดู มันมาเป็นเวลานานเพียงนี?้ ฉัน คือค�ำทีเ่ ธอได้ยนิ อยูต่ ลอดเวลา แต่ไม่เคยได้มีโอกาสเอื้อนเอ่ยมันออกมาเลย “ถ้าคุณต้องการ หนูจะเก็บของทีเ่ หลือเอาไว้ให้คณ ุ กลับมาจ่ายเงินแล้วเอาของ กลับบ้านพรุ่งนี้แทน แบบนั้นได้ไหมคะ?” มลเสนอ แม้เธอจะรู้อยู่แก่ใจว่ามันผิดกฎที่ จะท�ำแบบนัน้ แต่ถา้ ไม่เสนอความคิดอะไรสักอย่าง ทัง้ ตัวเธอเองและหญิงแปลกหน้า คงจะได้ยืนอยู่ในนี้กันทั้งคืนก็เป็นแน่ “ไม่” บัวตอบ หลังจากหยุดคิดเป็นไปพักหนึ่ง “ไม่?” มลทวนค�ำตอบของเธอแบบงงๆ บัวเดินรี่ไปที่ถุงแล้วเลือกเอาเฉพาะของเพียงสามอย่าง แล้วน�ำมาวางไว้บน สายพาน 182


“เอาแค่นี้” หญิงสาวกล่าวต่อ แล้วเก็บธนบัตรใบละหนึ่งพันบาทกลับลงไปเก็บ ในกระเป๋า “ตกลงมีแค่.... แบบทดสอบตั้งครรภ์, เทียนกล่องเล็ก, และธูปหอมชุดเล็ก... เท่านั้นนะคะ?” บัวพยักหน้าแล้วหยิบเสื้อกันฝนออกมาสลัดก่อนที่จะเอาสวมหัวเข้าไปใส่ไว้ เหมือนเดิม “ทั้งหมด...768 บาทค่ะ” มลเก็บธนบัตรหนึ่งพันบาทที่หญิงแปลกหน้าวางทิ้ง เอาไว้ นับเงินทอนสามครั้งแล้วเอาใส่มือเธอคืนไป ก่อนจะพนมมือไหว้ขอบพระคุณ ตามความเคยชิน มลมองถุงพลาสติกที่บรรจุของไว้เต็มด้วยความรู้สึกที่สับสนปนแปลกใจ ก่อน ที่จะมองตามหลังเสื้อกันฝนสีน�้ำเงินกับส้นของรองเท้าส้นสูงสีด�ำที่เดินจากไป ก่อน จะเดินออกประตูเธอหันกลับมามองมลแล้วถามว่า “น้องเคยไปไหว้ศาลเจ้าพ่อต่อสักไหม” มลส่ายหน้า “เคยไป...บนอะไร ที่ไหนไหม?. อีกครั้ง, มลส่ายหน้า “อืม..ไม่เป็นไร..แค่...” เด็กสาวจ้องหน้าเธออย่างไม่กะพริบตาเพื่อรอฟังว่าเธอก�ำลังจะพูดอะไรต่อ “เปล่า...แค่...สงสัยเฉยๆว่าบนแล้วได้ทกุ อย่างตามทีข่ อเหมือนทีค่ นเค้าว่าจริง หรือเปล่า” เธอพูดยิ้มๆก่อนที่จะดึงเอาขวดน�้ำหวานสีแดงกับพวงมาลัยที่บอบช�้ำ จนกลายเป็นสีเหลืองน�้ำตาลออกมาจากถุงสีเขียวใบเดิม “ขอบคุณนะ” บัวฝืนยิ้มให้ แคชเชียร์แล้วเดินจากไป นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่มลได้พบกับบัว ภาพสุดท้ายที่ติดตาของมลคือภาพเสื้อ กันฝนสีน�้ำเงินของเธอกลายเป็นสีฟ้าอ่อนเมื่อต้องกับแสงไฟหน้าห้องน�้ำสาธารณะ ที่อยู่ใกล้กับศาลเจ้าพ่อต่อสักก่อนที่ร่างของเธอจะถูกกลืนกินไปในความมืดและควัน ธูปสีเมฆฝนและคราบน�้ำตาแห่งความผิดหวังของมล พนักงานดีเด่นประจ�ำเดือนหันหลังกลับมาทีเ่ คาน์เตอร์ หยิบถุงพลาสติกทีบ่ รรจุ สิง่ ของทีห่ ญิงสาวตัดสินใจคืนทางร้าน แล้วน�ำมันกลับไปวางตามชัน้ วางทีละชิน้ อย่าง เป็นระเบียบ ไฟตามทางเดินเริ่มปิดแล้ว เหลือเพียงแสงไฟฉุกเฉินสีฟ้าอมเขียว มล 183


เดินกลับมาทีเ่ คาน์เตอร์ประจ�ำตัวั แล้วเริม่ นับธนบัตรและเหรียญในเครือ่ งเก็บเงิน เธอ นับเงินทุกปึกและเหรียญทุกถุงสามครั้งเหมือนทุกวัน แต่วันนี้เวลากลับเดินไปอย่าง เชื่องช้า สายตาจับจ้องอยู่ที่เงินกองนั้น กลิ่นของมันเหมือนกลิ่นรองเท้าหนังเก่าๆที่ เปียกน�้ำ เหรียญเหล่านั้นสีหม่นเหมือนสารตะกั่วในควันที่พวยพุ่งออกจากท่อไอเสีย แคชเชียร์สาวน�ำเงินทัง้ หมดใส่ลงในช่องใส่ธนบัตรในลิน้ ชักแล้วยกมันขึน้ ก่อนทีจ่ ะน�ำ มันไปใส่ตนู้ ริ ภัยเหมือนทีเ่ คยท�ำเป็นประจ�ำทุกวัน ข้างใต้นนั้ มีแผ่นพับมหาวิทยาลัยที่ เธอซ่อนไว้วางอยู่ เธอจะอ่านมันทุกครัง้ ทีม่ เี วลาว่าง แผ่นพับทีเ่ คยเธออยากเอาไปใส่ กรอบติดฝาบ้าน แผ่นพับที่เวลานี้มีค่าเพียงกระดาษแผ่นเดียวที่เธออาจเอาไปห่อผ้า อนามัยที่ใช้แล้วเมื่อกลับถึงบ้าน หรือเก็บเอาไว้ในซอกตู้เพียงเพื่อเธอจะไม่ต้องมอง เห็นมันอีก ปล่อยให้ความหวังที่เธอเคยได้จากการอ่านแผ่นพับนั้นเป็นเหมือนควัน ธูปที่ศาลเจ้าพ่อต่อสัก... เพราะส�ำหรับมล...มันคงเป็นแบบนั้นส�ำหรับเธอไปอีกพักใหญ่.

184



สลาย

พาขวัญ ปัญญาโตนะ 186


ตัวตนของคนคือกลุ่มสสารที่รวมตัวอัดแน่นกันด้วย กระบวนการสร้างทีพ ่ เิ ศษ พร้อมทัง้ การผันผวนระหว่าง ช่วงเวลาท�ำให้เกิดเป็นการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างจาก สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ทั้งนี้การคงอยู่ของทุกสิ่งไม่ว่าจะมีความ พิเศษเลิศเลอเพียงใด สิ่งสุดท้ายที่คนจะเป็นไป คือการ สลายหายไปกับสายลม

เขาค้นพบสัจธรรมข้อนี้เมื่อเขาท�ำให้ทุกอย่างกลายเป็นฝุ่นผงอย่างที่ทุกอย่าง ควรจะเป็น เพียงแต่ก่อนหน้านั้น เขาเอง...ก็ได้ผ่านเรื่องราวที่ต้องใช้ระยะเวลาหนึ่ง เพื่อที่จะเข้าใจในแง่คิดนี้ และนี่คือเรื่องราวของเขา ในสายตาของคนทัว่ ไป ทีแ่ ห่งนีค้ วรถูกท�ำลายทิง้ เสียเพือ่ ความปลอดภัยต่อผูท้ ี่ สัญจรผ่านไปมาและทดแทนพืน้ ทีใ่ นการอยูอ่ าศัยให้กบั คนอีกจ�ำนวนหนึง่ สภาพของ อาคารทีเ่ คยเป็นบ้านท�ำให้เขานึกสลด เขาไม่นกึ ว่าท่ามกลางการหมุนวนของช่วงเวลา บ้านของเขาจะเปลีย่ นแปลงไปได้มากขนาดนี้ บ้านของเขานัน้ เป็นเพียงหลังเดียวทีย่ งั คงอยู่อย่างโดดเดี่ยวท่ามกลางสิ่งก่อสร้างที่กลายเป็นเศษปรักหักพังกระจัดกระจาย อยู่ทั่วทั้งบริเวณ มีวัชพืชมากมายเข้าปกคลุมซากเหล่านั้น ต้นไม้สูงใหญ่ยืนต้นตาย ประปรายตามริมทางเดินตามระยะประดับเดิมในอดีต หญิงชราซึ่งเป็นอดีตผู้ดูแลหมู่บ้านเป็นคนน�ำทางให้กับเขา นางดูหวาดกลัว กับทุกสิ่งในที่แห่งนี้ เพียงเสียงสายลมกระซิบ ศีรษะของนางก็แทบหมุนรอบทิศด้วย ความตระหนก บ้านของเขาอยู่ ณ สุดทางของถนน มันเคยเป็นบ้านหลังที่ใหญ่ที่สุด สวยที่สุดและดีที่สุดในที่แห่งนี้ แม้ว่าบัดนี้ จะเหลือเพียงคราบตะไคร่ในสระว่ายน�้ำ กองใบไม้บนทางเดิน ฝุ่นหนาจับลวดลายกระจกจนหม่นมัว ถึงอย่างนั้น...ทุกอย่าง ก็ยังคงมั่นคงดุจพื้นหินอ่อนหน้าประตูบ้าน ที่เกิดร่องรอยรองเท้ายามผู้มาเยือนทั้ง สองเหยียบย่างเข้าไป 187


เขายังจ�ำได้ เมือ่ นางพรวดพราดยืน่ กุญแจในมือให้เขาอย่างรีบร้อน เหลียวซ้าย แลขวาอย่างหวาดระแวงในทุกๆความเคลื่อนไหวที่อาจจะเกิดขึ้น “ยังไงก็ระวังตัวหน่อยนะคะคุณ บ้านมันเก่าแล้ว” “ก็ดูแข็งแรงดีนี่ครับ” เขายิ้มละไมส่งให้ “ระวังอย่างอื่นค่ะ อย่างอื่นที่ไม่อาจจับต้องได้และท�ำลายได้ยากเหลือเกิน” สายตาและน�้ำเสียงของนางสื่อความหมายที่ลึกลงไปกว่านั้น “อย่างนั้นหรือครับ?” “ป้าเตือนคุณแล้วนะคะ” แล้วนางก็เดินหายลับไปท่ามกลางกองซากแห่งอดีต ที่กระจัดกระจาย เขาส�ำลัก ฝุน่ จ�ำนวนมหาศาลฟุง้ กระจายเมือ่ เขาเปิดประตูเข้า ไม่มที วี่ า่ งส�ำหรับ เขา ทุกสิ่งอัดแน่นกันจนเต็มทั้งสิ่งที่มองเห็นและมองไม่เห็น เป็นสิ่งที่เขารู้สึกหรือ สัมผัสได้ ฝุ่นยิ่งฟุ้งกระจายเมื่อเขาก้าวเท้าเข้าไปอีกก้าว เขาก�ำลังสร้างช่องว่างให้ กับตัวเอง เพื่อให้เกิดช่องว่างนั้นเขาต้องกระท�ำการแทรกแซงการเรียงตัวของสสาร ในอากาศ การกระท�ำการแทรกแซงที่เหมาะสมเขาวาดมือออกไปข้างล�ำตัวและวนกลับ มาด้านหน้า ก้าวเท้าหนึ่งก้าว ตามด้วยการวาดมืออีกหนึ่งครั้ง เขาค่อยๆเคลื่อนไหว รูส้ กึ ได้ถงึ การไหลวนของอากาศ ฝุน่ ถูกท�ำให้ตดิ อยูใ่ นอากาศและถูกเขาบังคับให้เกิด การเคลื่อนย้ายของสสาร เปิดพื้นที่ให้เขาแทรกเข้าไปได้ เขามองไปจนทั่วบริเวณ ความสวยงามที่เคยมีในอดีตสูญหายไปกับกาลเวลา ที่ผัน สิ่งของส่วนมากหายไปแล้วแต่บางสิ่งที่เร่งเร้าปลุกความทรงจ�ำของเขาในวัย เยาว์ก็ยังคงมีอยู่ทั้งบันไดเวียนที่เขาเคยไถลตัวลงมา แชนเดอเลียที่เป็นประกายใน ทุกค�ำ่ คืน ดอกกุหลาบแก้วทีเ่ ขาเคยท�ำกลีบหัก หรือแจกันคริสตัลของคุณปูท่ เี่ ขาชอบ แกล้งเดินเฉียดไปใกล้ให้พี่เลี้ยงใจหาย เมื่อไม่มีผู้ช�ำระค่าไฟที่นี่ย่อมไม่มีไฟฟ้า เขาเดินเข้าไปในห้องครัวด้านหลัง ค้น ตามตู้เก่าๆที่จ�ำได้ว่าใช้เก็บของส�ำรอง หยิบเทียนออกมาจ�ำนวนหนึ่งให้รู้สึกอุ่นใจว่า จะไม่ต้องถูกความมืดมิดโอบอุ้มในราตรีกาล เขาเดินขึ้นบันไดไป มือไล้ไปกับราวด้วยความเคยชิน ฝุ่นหนาจากราวจับที่มือ เขาจนกลายเป็นสีด�ำ บานประตูมากมายรอเขาอยู่เมื่อเขาไต่บันไดมาถึงปลาย เขา 188


เลือกที่จะเดินไปสุดบานระเบียงฝั่งซ้าย ห้องนั้นอยู่ในมุมแสงสว่างที่ส่องไปไม่ถึง ใน ห้องนั้น มีเก้าอี้ตั้งอยู่กลางห้องเพียงตัวเดียว มันเป็นเก้าอี้ไม้ยาวมีพนัก ปลายพนัก งอนวนเป็นครึง่ วงกลมไปยังด้านหลัง เขาเดินเข้าไปใกล้มนั เห็นปึกกระดาษตัง้ อยูห่ นีบ ด้วยคลิปหนีบหนาประมาณสองถึงสามร้อยหน้า แผ่นแรกเป็นเพียงกระดาษเปล่าไร้ อักษรใดๆ เขานัง่ ลงบนเก้าอีข้ า้ งกระดาษปึกนัน้ เขายืน่ มือไปเปิดมันออก เผยให้เห็น ตัวอักษรเรียงเป็นระเบียบอัดแน่นอยู่ มันเป็นเรือ่ งราว...ณ วินาทีทเี่ ขาเริม่ อ่าน เขารูส้ กึ ราวกับมีคนก�ำลังจะเล่าให้ฟงั เป็นเรือ่ งราวทีส่ ำ� คัญ...เรือ่ งอดีตอันน่าจดจ�ำทีผ่ คู้ นล้วนหลงลืมไปหรือถูกปกปิดไว้ดว้ ย เหตุอันไม่อาจแจงแถลงไขออกมาได้ พลันเขารู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองเขาอยู่ พลันเขารู้สึกถึงตัวตนของบางอย่าง ที่ค่อยๆ เกิดขึ้นมาอย่างเงียบเชียบและเข้าถึงเขา และกว่าเขาจะรู้ตัวก็สายเสียแล้ว ร่างกายของเขาเกร็งด้วยความระแวดระวัง แต่เขาไม่สามารถขยับได้ในชั่วขณะนั้น ปึกกระดาษที่อยู่ในมือของเขายังคงเปิดค้างอยู่อย่างนั้น แต่เขากลับถูกตรึงด้วยพลัง ของบางสิ่ง ถูกผูกมัดอย่างผู้ที่มีอ�ำนาจด้อยกว่าและไม่อาจหลุดพ้นจากพลังนั้นได้ “ผมจะเล่าให้เธอฟังเองแล้วกันนะ ในกระดาษนั่นมันเป็นเรื่องที่ยังไม่จบน่ะ” เสียงทุ้มกลั้วหัวเราะดังขึ้นข้างตัวเขา จากหางตาเขาเห็นเพียงเค้าโครงให้พอรู้ว่ามี คนนั่งอยู่ เสียงสายลมนิรนามพัดพาเสียงหัวเราะแผ่วเบามา เสียงนั้นหัวเราะเยาะเย้ย เขา เขารู้ “ผมเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูล และลูกชายคนเดียวของตระกูลมีหน้าทีอ่ ยู่ อย่างหนึง่ ทีส่ ำ� คัญนัน่ คือการแบกตระกูล” เสียงนัน้ กลัว้ หัวเราะอยูใ่ นล�ำคอ แต่เขากลับ รู้สึกว่าคนพูดขมขื่นเสียเหลือเกิน “เรื่องที่แย่คือ ผมมีความฝัน และผู้ที่มีหน้าที่เช่นนี้ไม่มีสิทธิ์ฝันถึงสิ่งใดได้ แต่ มันกลับกลายเป็นแรงผลักดันให้ผมรู้สึกว่า มันเป็นสิ่งที่ต้องการจะท�ำ… เมื่อคนเรา ตกหลุมรักสิ่งใดแล้ว ก็ถอนตัวออกจากมันได้ยากจริงๆ” สิ้นเสียงถอนหายใจ จู่ๆก็ มีเสียงที่ไร้ซึ่งที่มาตรงเข้าหาเขาอย่างรุนแรง ร้อนรนราวกับกลัวที่จะหายไปกับกาล เวลาที่ผันผ่าน ค�ำพูดนับร้อยนับพันประเดประดังเข้ามา 189


“อย่างแกจะท�ำอะไรได้!” เสียงเหล่านั้นล้วนผ่านการปรุงแต่ง ก้องกังวานสะท้อนกลับไปมา จากส่วน ลึกในจิตใจ ชายวัยกลางคนพยายามจับกระแสของเสียงเหล่านั้น เสียงที่ปะปนสร้าง ความมึนงงให้กับเขา “ผมจะเขียนหนังสือ(ผมจะเป็นนักเขียน)” เสียงนั้นก้องกังวาน “ไม่ได้ (ไม่ได้ ไม่ได้)” “น่าข�ำจริงๆ ผมรู้ได้ว่าภายใต้เปลือกของค�ำพูดนั้นคือความหวาดกลัว กลัวว่า สิง่ ทีต่ วั เองสร้างมาทัง้ ชีวติ จะพังทลายหายไปเพราะไร้ผสู้ บื ทอด” เสียงของคนข้างกาย นั้นเต็มไปด้วยความเย้ยหยันเกลียดชัง “ผมจะท�ำ (จะท�ำ จะท�ำ)” “เอาสิ ท�ำสิ (ท�ำสิ ท�ำสิ) ต่อให้แกท�ำดีขนาดไหน ฉันก็จะท�ำลายมันให้หมด ต่อ ให้แกพยายามให้ตาย แกก็จะไม่มีทางประสบความส�ำเร็จแน่นอน (แน่นอน)” “ตอนนัน้ ผมต้องขอยอมรับเลยล่ะว่าผมกลัว ผมถูกเลีย้ งมาด้วยการท�ำตามค�ำสัง่ ของพ่อ มันไม่ใช่แค่การไม่กนิ ข้าวเช้าหรือการไม่ออกจากห้อง ยังไงคนเราก็ตอ้ งใช้เงิน ในการด�ำรงชีวติ บอกตามตรง... ผมกลัว---กลัวทีจ่ ะเริม่ ต้นและกลัวทีจ่ ะล้มเหลว กลัว จนต้องยอมแพ้” มีเสียงกรีดร้องดังมาจากนอกห้อง มันไกลห่างออกไป แต่เขาก็ยงั รูส้ กึ ได้วา่ มัน เป็นเสียงทีเ่ จ็บปวด ราวกับสัตว์ปา่ บาดเจ็บทีไ่ ร้หนทางหนี เขานิง่ ฟังและรับรูไ้ ด้วา่ มัน เป็นเสียงที่มาจากจิตใจ ในนาทีต่อมาภายหลังเสียงอันโหยหวนนั้น เขารู้สึกถึงความ มืดด�ำที่เข้มขึ้น ความขมุกขมัวกลืนกินเขาผู้ไร้หนทางต่อสู้ “ผมยอมให้พ่อเป็นผู้สั่งการทั้งหมด สิ่งที่ผมรอคอยต้องใช้เวลา ผมต้องรออยู่ หลายปีและเก็บความซ่อนความฝันของผมให้มิดชิด” เขารู้สึกว่าความมืดที่ด�ำมืดขึ้น ครอบง�ำเขามากขึ้นทุกที เสียงทุ้มนั้นเริ่มแปรเปลี่ยนไปตามแรงอารมณ์ที่ดูจะรุนแรง มากขึ้น “เมือ่ สิน้ พ่อแล้ว ผมได้ทำ� ลายทุกอย่าง (ทุกอย่าง ทุกอย่าง) ทีพ่ อ่ สร้างขึน้ มามัน ช่างเป็นเรือ่ งทีส่ นุกสนาน สะใจจริงๆ เราขับไล่ทกุ คนและทุกสิง่ ออกจากชีวติ ไม่มสี งิ่ ใด หรือใครส�ำคัญกับเราอีกแล้ว” เสียงสะท้อนเริ่มปรากฏในค�ำกล่าวของผู้เล่า ราวกับว่า 190


ตัวเขากับเสียงเล่านั้นรวมเป็นหนึ่งเดียวกันในที่สุด “ต่อให้เราเขียนไม่เสร็จเราก็รอให้ผู้คนมารับฟังเรื่องของเรา อย่างนั้นแล้วไม่มี วันที่ตัวตนของเราจะสูญสลายไปได้อย่างแน่นอน (แน่นอน แน่นอน แน่นอน แน่นอน แน่นอน)” “เป็นยังไง เรื่องของผมสนุกใช่ไหม?” ทุกสิ่งที่พันธนาการเขาหายไป ปึกกระดาษร่วงหล่นลงบนพื้น เสียงลมปะทะกับหน้าต่างและเสียงกรีดร้องของสัตว์ราตรีปลดเขาออกจาก ภวังค์ เมื่อมองไปรอบกาย เขากลับมาอยู่ในห้องเดิมในรูปแบบมิติและการเรียงตัว ของสสารที่ถูกต้อง เขาสบตากับหน้าปัดนาฬิกาเวลา 3.59 น. ที่ตั้งอยู่ตรงข้าม ด้วย ความรูส้ กึ งุนงงและเศร้าสร้อยกับเรือ่ งทีเ่ กิดขึน้ เขาได้รจู้ กั ความมืดทีแ่ ท้จริง ความมืด ที่ไม่ใช่การหายไปของแสงแต่คือจิตใจที่หลงทาง แล้วเรือ่ งของผูท้ หี่ ลงทางจนจิตใจได้สญ ู สลายหายไปแล้วนัน้ จะเป็นเรือ่ งสนุกได้ อย่างไรกันละครับ...พ่อ เขาคิดอย่างโศกเศร้าเมือ่ ตอนนีแ้ ทบไม่มอี ะไรเหลือเป็นตัวตน ของพ่อให้เขาระลึกถึงอีกแล้ว นอกจากกระดาษไม่กี่ร้อยแผ่น ฝุ่นค่อยๆ ปกคลุมเขา พวกมันมายึดพื้นที่ของตนคืนจากการถูกแทรกแซง ค�่ำคืนที่เขายังหาค�ำตอบไม่ได้กับความมืดนั้นยังด�ำเนินต่อไป เขามาได้สติเมื่อห้วงเวลาช่วงหนึ่งได้ผ่านหายไป ส�ำนึกอัตโนมัติของมนุษย์สั่ง ให้เขาสร้างแสงขึ้นมา ในความมืดมิดนั้น เทียนถูกจุด วางลงบนพื้นด้วยมีฐานรองรับ เป็นน�้ำตา กองกระดาษปึกนั้นยังคงวางอยู่ข้างๆเขา ไม่มีเหตุผลหรือเจตนาใดๆแน่ชัด เทียนล้มลงบนกระดาษ และไฟก็เริ่มกัดกินเชื้อเพลิงนั้นอย่างรวดเร็ว เขาไม่อาจ หยุดมันได้ ในเสียงจากแสงเพลิงวิบวับตรงหน้านั้นคือเสียงร้องไห้ อาจเป็นสิ่งที่เขา อุปาทานขึ้นมา แต่เขาคิดว่าฝุ่นที่ปกป้องกระดาษนั้นก�ำลังพยายามหลบหนีออกมา เสียงปะทุนนั้ คือเสียงของร่างทีถ่ กู เผาไหม้ ไม่มนี ำ�้ ไม่มคี วามช่วยเหลือใดๆถูกหยิบยืน่ เข้าไป เขานั่งมองดูกองไฟโหมกระหน�่ำอยู่เช่นนั้น ในคืนอันมืดมิดนั้นเขานั่งมองกองไฟที่อยู่บนพื้นไม้ด้วยจิตใจที่รู้สึกผิดบาปที่ 191


ได้ท�ำลายตัวตนสุดท้ายของพ่อแท้ๆของเขาลง เขานั่งอยู่อย่างนั้นและคิดด้วยน�้ำตา ในเมื่อสิ่งหนึ่งสูญสลายหายไปแล้ว จะต้องมีสิ่งหนึ่งมาทดแทนเสมอ ...และเขาก็จะใช้ชีวิตนี้อยู่ในความมืดจวบจนกว่าตัวตนของเขาจะสลายกลาย เป็นฝุ่นผง แม้ว่าจิตใจที่เหลืออยู่นั้นจะสูญสลายไปกับความโศกเศร้านั้นแล้วก็ตาม…

192


193


สังขยา

พุทธิพงศ์ อึงคนึงเวช 194


...แสงแดดยามเช้าปลุกผมขึ้นมาอีกครั้ง ค�ำนวณจาก ล� ำ แสงที่ ส ่ อ งเข้ า มา นี่ ค งเป็ น เวลาเลยมื้ อ เช้ า ไปพอ ประมาณ ผิดกับความตั้งใจของผม ที่ตั้งเป้าหมายไว้ว่า จะตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อซึมซับบรรยากาศสองวันสุดท้ายที่ ได้อยู่ในชนบท หลังจากอาบน�้ำแปรงฟันเสร็จ ผมเริ่มมองหาวี่แววของจุ๋ม กับยายจ๋อม เผื่อว่า จะมีใครทิ้งอะไรไว้ให้ผมประทังท้อง ดั่งเช่นทุกๆวัน ขณะที่ผมก�ำลังจะเดินไปหาจุ๋มที่บ้านข้างๆ หญิงสาวเดินสวนเข้ามาที่หน้า ประตูบ้านของผมพอดี “ท�ำหน้าอย่างกับคนไร้วญ ิ ญาณแน่ะ ยังนอนไม่อมิ่ อีกเหรอ นีก่ ส็ ายมากแล้วนะ” เธอยิ้มเยาะผมเล็กน้อย ก่อนเดินถือปิ่นโตเข้าไปในบ้าน “ไม่ต้องไปหายายจ๋อมหรอก ยายเขาท�ำกับข้าวเอาไว้ให้ตุ้ยแล้ว ยายบอกว่า วันนี้ตุ้ยต้องตื่นสายแน่ๆ” ยายจ๋อมรู้ใจผมดีจริงๆ ผมแอบยิ้มน้อยๆในใจ “รีบกินเถอะ นัดพวกจ๊อบไว้ไม่ใช่หรอ เดี๋ยวก็ไปไม่ทันหรอก” จริงอย่างทีจ่ มุ๋ ว่า ผมรีบเดินเข้าไปในครัว แยกปิน่ โตสามชัน้ ของยายจ๋อมออกมา ชัน้ แรกเป็นไข่เจียว ตามมาด้วยกุนเชียงสีแดงสด ชัน้ ล่างสุดเป็นข้าวหอมมะลิหอมฉุย ที่ถูกอัดแน่ไว้ข้างใน โดยไม่รอช้า ผมรีบตักอาหารเข้าปาก เคี้ยวๆ กลืน อย่างรีบเร่ง เพื่อออกไปหาเพื่อนที่นัดไว้ บรรยากาศข้างนอกยังคงเปี่ยมล้นด้วยมิตรภาพเหมือนดั่งเช่นทุกวัน ผมปั่น จักรยานออกมาหน้าปากซอยของหมูบ่ า้ น ชาวบ้านหลายคนทีอ่ ยูแ่ ถวนัน้ ถามถึงยาย จ๋อม ผมเดาว่ายายคงไปเดินซื้อของที่ตลาดน�้ำ หรือไม่ก็ออกไปท�ำบุญที่วัด เหมือนที่ เคยท�ำอยู่เป็นประจ�ำ ผมขี่จักรยานข้ามสะพานมาที่ตลาด ผู้คนยังคงพลุกพล่าน แม้จะเป็นเวลาสาย แล้วก็ตาม ผมชอบบรรยากาศที่แลดูครึกครื้นของตลาดน�้ำแห่งนี้ แม่ค้าพ่อค้าที่อยู่ใน 195


เรือต่างส่งเสียงบอกสรรพคุณสินค้าของตัวเอง บ้างพายเรือไปตะโกนไปบ้าง ก็จอดอยู่ กับที่ มีรา้ นก๋วยเตีย๋ วอยูร่ า้ นหนึง่ ทีผ่ มชอบแวะทานเป็นประจ�ำเมือ่ มาถึงตลาด ชือ่ ร้าน ‘ก๋วยเตี๋ยวเรือนายฮ่ง’ คนขายเป็นผู้ชายวัยกลางคนชื่อเดียวกับร้าน เขามักจะเพิ่ม ลูกชิ้นให้ผมเป็นพิเศษเสมอทุกครั้งที่มากิน เขาบอกว่า “ไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มนะ แต่บอกยายจ๋อมว่า ว่างๆท�ำสังขยามาฝากพี่อีกนะ” ผมรับค�ำของเขาไปบอกยายจ๋อม และนานๆ ที ยายจ๋อมมักจะท�ำสังขยามา ฝากพี่ฮ่งเสมอ สังขยาของยายจ๋อมเป็นที่ขึ้นชื่อของผู้คนในละแวกนี้ เนื่องด้วยรสชาติที่หวาน กลมกล่อมก�ำลังดี หอม น่ารับประทาน มีหลายๆคนเคยแซวยายจ๋อมว่า “อยู่ว่างๆก็ ท�ำขายเลยสิ เผื่อเข้าตา จะได้เป็นสินค้าส่งไปขายที่กรุงเทพฯ” แต่ถึงอย่างนั้น ยาย จ๋อมยังไม่เคยท�ำขาย แต่จะท�ำไปฝากคนรู้จัก หากว่างๆก็จะท�ำให้ผมและจุ๋มกินด้วย ผมปัน่ มาถึงท้ายตลาดทีเ่ ป็นลานดินลูกรังกว้าง ตลบอบอวลไปด้วยฝุน่ จากดิน สีแดง ซึ่งผมและเพื่อนๆมักจะมาเล่นฟุตบอลกันที่นี่เสมอ “มาสายไปหน่อยนะตุ้ย แต่ไม่เป็นไร เริ่มเล่นกันเถอะ” จ๊อบบอกผม หลังจาก มารอผมสักพักใหญ่กับเพื่อนอีกสองสามคน เรามักจะตั้งทีมเล็กๆ ข้างละสองถึงสามคน หลังจากนั้นก็เตะลูกฟุตบอล พลาสติกของจ๊อบไปจนถึงเย็น ฟุตบอลเป็นกีฬาที่พวกเราชื่นชอบกันมาก เมื่อเวลา ปิดเทอมมาถึง เวลาส่วนใหญ่ของพวกเราหมดไปกับกิจกรรมนี้เสมอ หลังจากเล่นกันจนเหนื่อย ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ผมบอกลาจ๊อบและเพื่อนๆ ขีจ่ กั รยานกลับมาทางเดิม ผ่านตลาดน�ำ้ ทีต่ อนนีม้ เี พียงกระแสของน�ำ้ ไหลเอือ่ ยๆ บน ผิวน�้ำมีเงาสะท้อนของดวงจันทร์แจ่มจรัส พลิ้วไหวอยู่บนนั้น ผ่านเข้าไปภายในหมู่บ้าน ผู้คนต่างออกมาหน้าบ้าน เปิดไฟสว่างไสว บ้างนั่ง ล้อมวงคุยถึงเหตุการณ์ในระหว่างวันทีผ่ า่ นมา บ้างตัง้ วงกินเหล้า ถกกันเรือ่ งการเมือง และสังคม ชีวิตของผู้คนที่นี่วนเวียนไปอย่างนี้ ตื่นนอน ท�ำงานอยู่ในชุมชน ตกเย็น ก็ผ่อนคลายด้วยการพูดคุยและตั้งวงสังสรรค์ ยายจ๋อมกลับมาแล้ว และท�ำอาหารเย็นไว้ให้ผมและจุม๋ เรากินอาหารฝีมอื ยาย จ๋อมอย่างเอร็ดอร่อยเช่นเคย ทุกเย็นขณะที่เรานั่งกินอาหาร ยายจ๋อมมักจะมีอะไรมา เล่าให้ผมและจุ๋มฟัง วันนี้เป็นเรื่องของน้องสาวพี่ฮ่ง “น้องสาวพีฮ่ ง่ แกไปท�ำงานอยูท่ กี่ รุงเทพฯมานาน แกบอกว่าทีก่ รุงเทพฯมีคนใช้ 196


โทรศัพท์มอื ถือมากมาย ใช้ตดิ ต่อสือ่ สารกัน แกกลับมาคราวนี้ เลยขอเบิกเงินจากพีฮ่ ง่ เพิ่ม เพื่อไปซื้อโทรศัพท์” ยายจ๋อมเว้นจังหวะ มองหน้าผมและจุ๋มสลับกัน ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดต่อว่า “พีฮ่ ง่ ไม่รจู้ ะปฏิเสธน้องอย่างไร พอดีไปเจอยายทีต่ ลาด เลยขอค�ำปรึกษา ยาย ก็ไม่รหู้ รอกนะว่าโทรศัพท์มอื ถือมันดีอย่างไร ใช้กนั อย่างไร แต่มนั คงท�ำให้ตดิ ต่อกันได้ ง่ายขึน้ ยายบอกพีฮ่ ง่ ไปว่า ถ้าหากน้องสาวจ�ำเป็นต้องใช้กใ็ ห้เงินเขาไป ท�ำงานตัง้ ไกล จะได้ติดต่อสื่อสารกัน แต่พี่ฮ่งบอกว่าโทรศัพท์บ้านก็ยังใช้การดีอยู่ เขาเห็นว่าไม่ จ�ำเป็น” ยายจ๋อมเว้นจังหวะอีกครั้ง หลังจากนัน้ ยายจ๋อมไม่ได้เล่าต่อ เมือ่ รับประทานมือ้ เย็นเสร็จ ผมเดินกลับเข้าบ้าน พลางคิดหาค�ำตอบในใจว่า พี่ฮ่งได้จัดการเรื่องนี้อย่างไรหนอ.... วันรุ่งขึ้นผมตื่นเช้ากว่าเดิม เพื่อมาช่วยยายจ๋อมท�ำสังขยา ยายจ๋อมบอกว่า ท�ำให้ผมทานโดยเฉพาะ ก่อนที่จะต้องเดินทางไปเรียนในเมือง ยายจ๋อมบอกว่าจะ ท�ำสังขยาให้อร่อย ส่วนผสมระหว่าง น�้ำตาลปี๊บ น�้ำตาลทรายและกะทิ จะต้องลงตัว เข้ากันพอดี ผมเป็นคนเตรียมหั่นใบเตยผสมกับแป้งข้าวโพด ในขณะที่ยายจ๋อมเป็น คนผสมน�้ำตาลและกะทิ “ยายจ๋อมครับ แล้วสุดท้ายพี่ฮ่งท�ำยังไงครับ เรื่องที่น้องสาวอยากได้โทรศัพท์ มือถือ” ผมถามขึ้น ขณะที่ยายจ๋อมก�ำลังคนส่วนผสมให้เข้ากัน “ก็ต้องให้เงินเขาไปน่ะสิ จะท�ำอย่างไรได้” ยายจ๋อมตอบเสียงเรียบ “มันก็เป็นแค่ความเปลี่ยนแปลงอย่างหนึ่งนะ เหมือนตลาดน�้ำ ที่เมื่อก่อนใหญ่ กว่านี้ ตอนนี้เริ่มค่อยๆเล็กลงแล้ว ทางการเขาบอกว่ามันไม่เป็นระเบียบ อีกหน่อย คงไม่มีตลาดน�้ำให้เห็น ไม่แน่ว่า หลังจากนี้ ตอนยายไม่อยู่ เด็กๆรุ่นตุ้ยกับจุ๋มอาจมี โทรศัพท์มือถือกันหมดแล้วก็ได้ ใครจะรู้” ยายจ๋อมหันมายิ้มให้ผม รอยยิ้มอันประดับรอยย่นที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ ชีวิตนั้น สร้างความอบอุ่นใจให้ผมได้เสมอ หลังจากเทส่วนผสมทั้งหมดรวมกันและ น�ำไปตั้งไฟแล้ว ยายจ๋อมน�ำสังขยามากรองด้วยผ้าขาวบางอีกครั้ง เสร็จออกมาเป็น สังขยาสีเขียวอ่อนๆ มีกลิ่นที่ผมคุ้นเคย “หอมจังครับ” ผมชอบกลิ่นสังขยาตอนท�ำเสร็จใหม่ๆ มันให้ความรู้สึกสดชื่น อย่างบอกไม่ถูก 197


“กินเยอะๆล่ะ ยายเตรียมขนมปังไว้ให้แล้ว เดี๋ยวไปอยู่ที่กรุงเทพฯ ไม่มีใคร ท�ำให้กินแล้วนะ” ผมกินสังขยาหมดทั้งถ้วยในเวลาอันสั้น คลุกเคล้าไปพร้อมกับขนมปังที่ยาย จ๋อมเตรียมไว้ให้ สังขยาของยายจ๋อมยังตราตรึงผมได้เหมือนเคย เหมือนรอยยิ้มของ ยายที่ผมจะไม่มีวันลืม.... 21 กรกฎาคม 2540.... ยายครับ ยายเป็นอย่างไรบ้างครับ ผมมาอยู่ที่นี่คนเดียวเหงาสุดๆเลย ผม ไม่มีเพื่อนเตะฟุตบอลด้วยกันตอนเย็นๆอีกแล้ว ดูเหมือนผมจะเข้ากับใครที่นี่ไม่ค่อย ได้ เพื่อนๆที่นี่มักเรียกผมว่า “ไอ้บ้านนอก” ผมไม่รู้ว่ามันหมายความว่าอย่างไร ผม แตกต่างจากเขาหรือครับ แต่ที่แน่ๆ ไม่มีใครอยากยุ่งกับคนบ้านนอกอย่างผมเลย ผมคิดถึงพวกจุ๋มกับเพื่อนๆ ผมอยากกลับบ้านเราจังเลยครับ ที่นี่ไม่มีตลาดคล้ายๆ ที่บ้านเราเลย มีแต่ตึกเต็มไปหมด ผมเดินไปไหนไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครเข้ามาคุยกับ ผมเลย ผมอยากกลับบ้านเร็วๆแล้ว ยายท�ำสังขยาไว้ให้ผมด้วยนะครับ ด้วยรัก ตุ้ย ผมมาอยู่ที่กรุงเทพฯคนเดียวเป็นเวลาสามปีเต็มๆ ตั้งแต่จบชั้นประถมศึกษา ปีที่หก จนตอนนี้จบชั้นมัธยมศึกษาปีที่สาม การกลับบ้านครั้งนี้จึงเป็นสิ่งวิเศษสุด ส�ำหรับผม ที่จะได้กลับไปเจอจุ๋ม เพื่อนๆ และยายจ๋อม หลังจากนั่งรถมาไกลหลายชั่วโมง ผมเข้ามาสู่ตัวเมืองของจังหวัด ที่นี่เปลี่ยน ไปมาก มีรา้ นค้าต่างๆมากมาย ทัง้ แบบเดียวกับทีม่ ใี นกรุงเทพฯ และไม่มใี นกรุงเทพฯ ถนนหนทางแลดูได้รับการต่อเติมเสริมสร้าง ไม่มีดินลูกรัง หรือถนนที่ไม่สมบูรณ์ให้ เห็น ข้างทางมีเสาไฟฟ้าระโยงระยางขนานไปตามแนวตึกที่เพิ่งสร้างใหม่ หรืออาจ สร้างเสร็จนานแล้ว ขณะที่ผมไม่อยู่ หากกล่าวตามความเป็นจริงแล้ว การนั่งรถกลับมาที่นี่บ่อยๆ ไม่ได้เป็นปัญหา ส�ำหรับผม หากแต่ ก่อนจะไปเล่าเรียนที่กรุงเทพฯ ยายจ๋อมบอกกับผมว่า 198


“คิดถึงบ้านน่ะ มันก็ดีอยู่หรอก แต่หากจะกลับมาบ่อยๆเพียงเพราะอาลัย อาวรณ์กัน เดี๋ยวจะเรียนไม่รู้เรื่องเอา ยายอยากให้ตุ้ยไปเรียนรู้ชีวิตที่นู่น มันอาจจะ ดูเป็นโลกที่โหดร้ายไปบ้าง แรกๆตุ้ยอาจจะยังไม่ชิน แต่นั่นแหละ คือความเป็นจริง” ทุกครั้งที่ผมคิดถึงบ้าน อยากกลับมาบ้าน ผมคิดถึงค�ำพูดนี้ของยายจ๋อมเสมอ ผมต่อรถสองแถวเข้ามายังบริเวณตลาดน�้ำ ก่อนทางเข้าหมู่บ้าน ลักษณะของ ตลาดน�้ำเปลี่ยนไปเช่นกัน พื้นที่ตรงกลางซึ่งเป็นที่ส�ำหรับขายของ หดเล็กลง แทนที่ ด้วยร้านค้า ขนาบทัง้ สองข้าง โดยพืน้ ทีถ่ กู ถมให้ยนื่ ออกไป ร้านสองข้างทางถูกตกแต่ง ใหม่ให้ดูทันสมัยมากขึ้น บางร้านมีการติดป้ายเป็นภาษาอังกฤษ บ้างติดเครื่องปรับ อากาศและมีโทรทัศน์อยูใ่ นร้าน ต่างจากเมือ่ ก่อนทีเ่ ป็นเพียงร้านเล็กๆธรรมดา ทีว่ าง ของขายไว้ด้านหน้า แต่บรรยากาศโดยรวมแลดูไม่คึกคักนัก อาจเป็นเพราะผมกลับ มาในช่วงบ่ายแก่ๆ ซึ่งไม่ใช่ช่วงเวลาส�ำหรับจับจ่ายซื้อของ เมื่อผมเดินถึงบ้าน บ้านหลังข้างๆปิดสนิท มีเพียงข้อความบนกระดาษที่ถูก แปะไว้หน้าประตูบ้านว่า ‘วันนี้ไม่อยู่นะค่ะ ไปงานศพยายจ๋อม’...... 17 พฤษภาคม 2543.... ยายจ๋อมครับ ผมสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้แล้วนะครับ ยายดีใจไหมครับ ไอ้ตุ้ย คนนี้ของยายก็มีฝีมือเหมือนกันนะครับ อยู่ที่นี่มานาน ผมยังหาสังขยาที่มีกลิ่นหอม อร่อยนุ่มลิ้นแบบของยายไม่ได้เลยครับ ผมคิดถึงยาย... คิดถึงจุ๋ม คิดถึงบ้านเรา ไม่รู้ ว่าที่นู่นเปลี่ยนไปขนาดไหนแล้ว เมื่อคราวก่อนที่ผมกลับไป ไม่ได้เจอยาย ตลาดน�้ำ เปลี่ยนไปอย่างที่ยายบอกจริงๆครับ ผมไม่ชอบเลยครับ ไม่ชอบความเป็นเมือง ไม่ ชอบความเจริญที่คลืบคลานเข้ามาสู่หมู่บ้านของเรา ชุมชนของเรา เพื่อนๆของผมที่ นู่น นอกจากจุ๋มแล้ว ก็ไม่รู้เป็นอย่างไรกันบ้าง ไม่รู้ว่าพวกเขายังเตะฟุตบอลด้วยกัน อยู่หรือเปล่า ถ้าผมกลับไปอีกครั้ง ทุกๆอย่างจะเหมือนเดิมไหมครับ กลับไปรอบนี้ ถ้ายายไม่อยู่อีก บอกให้จุ๋มท�ำสังขยาไว้ให้ผมแทนก็ได้นะครับ ด้วยสูตรของยาย จุ๋ม คงท�ำได้อร่อยเหมือนกัน ด้วยรัก ตุ้ย 199


ผมลงจากรถอีกครั้ง เป็นอีกสามปีที่ความเปลี่ยนแปลงมากมายไหลบ่าเข้ามา สู่จังหวัดเล็กๆแห่งนี้ ร้านค้าใหม่ๆเกิดขึ้นมากมาย ตลอดแนวถนนเข้าสู่ตัวจังหวัด บรรยากาศแทบจะถอดแบบมาจากกรุงเทพฯ เลยทีเดียว ผมมองไปตามป้ายร้าน ต่างๆ ที่มีชื่อฝรั่งแปะอยู่ด้านหน้า ถูกสร้างต่อเติมให้มีความใหญ่โตมากขึ้น รวมทั้ง ร้านอาหารชือ่ เดียวกันกับร้านทีก่ รุงเทพฯ ประหนึง่ ยกจากเมืองหลวงมาตัง้ ไว้ทนี่ ี่ ห้าง สรรพสินค้าก็มีชื่อเดียวกันกับที่มีในกรุงเทพฯ เช่นกัน ทั้งหมดตั้งตระหง่าน แวดล้อม ไปด้วยความศิวิไลซ์ในแบบของความเป็นเมือง ผมเดินผ่านมาถึงตลาดน�ำ้ ทีไ่ ม่สมควรใช้คำ� ว่า “น�ำ้ ” อีกต่อไป ตลาดถูกออกแบบ โครงสร้าง และการจัดระเบียบใหม่ทั้งหมด ไม่มีการขายของอยู่บนเรือแจวอีกต่อไป เหลือเพียงร้านค้าสองข้างทางทีถ่ กู ต่อเติมเพิม่ เข้ามาอีก จนเหลือทีต่ รงกลางเป็นแม่นำ�้ เพียงเล็กน้อย ผมพบชาวต่างชาติบา้ งประปราย ตลอดทางทีเ่ ดินเข้าสูต่ วั ตลาด บ้างเป็น คนจากเมืองหลวง เดินทางมาท่องเที่ยวที่ตลาดน�้ำแห่งนี้ ดูเหมือนว่านี่คงไม่ใช่ตลาด เดียวกันที่ผมเคยมากินก๋วยเตี๋ยวของพี่ฮ่งอีกต่อไปแล้ว ผมเดินต่อไปทางหมูบ่ า้ น พบพีฮ่ ง่ โดยบังเอิญ เขาบอกว่าผมโตขึน้ มาก แทบจะ จ�ำไม่ได้เลย เราพูดถึงชีวิตความเป็นอยู่ของแต่ละคน ต่อด้วยเรื่องความหลังเกี่ยวกับ ยายจ๋อม เขาบอกกับผมว่า เขาก็คิดถึงสังขยาของยายจ๋อมเช่นเดียวกัน “พี่คิดถึงสังขยาของยายจ๋อมใจจะขาด เดี๋ยวนี้หากินไม่ได้แล้ว” ชายตาตี่ มีผม ขาวแซมเล็กน้อย พูดกับผม “อ่าว ท�ำไมล่ะครับ จุ๋มก็อยู่ทั้งคน น่าจะท�ำให้พี่กินได้” “หลายอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว” พี่ฮ่งพูด พลางถอนหายใจเบาๆ เขาแสดงความยินดีกับผม เมื่อรู้ว่าผมได้เข้ามหาวิทยาลัยอย่างที่ตั้งใจ ก่อนที่ จะเดินหายเข้าไปในตลาด ผมเดินต่อมาหยุดที่หน้าบ้านของจุ๋ม ผมยืนอยู่อย่างนั้น ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร เราไม่ได้เจอกันนาน แต่ละคนต่างผ่านช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อมาแล้ว ด้วยประสบการณ์ที่ แตกต่างกันไป ตั้งแต่ไม่มียายจ๋อม ผมไม่รู้ว่าเธอจะยังต้อนรับผมเหมือนเดิมหรือไม่ ผมกดกริง่ ทีห่ น้าประตูเบาๆ หญิงสาวคนหนึง่ เดินออกมา ผมคาดว่าคงเป็นจุม๋ หากแต่เธอดูสวยขึ้นมาก ผิดกับจุ๋มคนที่ผมได้พบเมื่อสามปีที่แล้ว เด็กสาวเปิดประตูออกมา เธอยืนจ้องหน้าผม จ้องอยูอ่ ย่างนัน้ เหมือนข้ามผ่าน ห้วงเวลาที่เป็นนิรันดร์ โดยไม่เอ่ยค�ำ เธอโผเข้ากอดผม ผมรู้สึกได้ถึงหยาดน�้ำตาที่ 200


ไหลลงมาตามแผ่นหลัง “จุ๋มคิดถึงยายจังเลยตุ้ย”........ .....หลังจากเข้ามาในบ้านและคุยกันได้สักพัก ผมรู้สึกว่าจุ๋มในวันนี้เปลี่ยนไป มากทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นรูปลักษณ์ภายนอก หรือตัวตนของเธอ “พวกไอ้จ๊อบเป็นไงบ้างล่ะ ได้เจอกันบ้างไหม” ผมถามเธอ พลันหวนนึกถึง บรรยากาศเก่าๆ “ไม่ค่อยได้เจอหรอก หลายๆเดือนจะได้เจอกันที หลังจากจ๊อบสมัครเป็น พนักงานที่บริษัทในห้างใหญ่ เขาก็ย้ายมันไปประจ�ำกรุงเทพฯ นานๆทีจะกลับมาให้ เห็นหน้า” เธอตอบเสียงเรียบ ถึงกระนั้น ผมเหลือบเห็นแววตาเศร้าในดวงตากลมโต ของเธอ “แล้วตั้งแต่ยายจ๋อมไม่อยู่ จุ๋มท�ำอะไร” เธอไม่ตอบ จุม๋ ชวนผมออกไปเดินเล่น ผมเดินมากับเธอถึงหน้าหมูบ่ า้ น ผ่านตลาดน�ำ้ ตรง ไปสู่ลานดินลูกรังสีแดงที่ผมรวมถึงจ๊อบและเพื่อนๆ เคยมาเตะฟุตบอลกันในวัยเด็ก แต่ภาพตรงหน้าผมไม่ได้เป็นลานดินอย่างทีค่ นุ้ เคยอีกต่อไปแล้ว มันแปรสภาพ ไปเป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่อีกแห่งหนึ่ง “รัฐบาลเขามีนโยบายจะท�ำชุมชนแห่งนีใ้ ห้เป็นสถานทีท่ อ่ งเทีย่ วแบบครบวงจร ในขณะเดียวกันก็เป็นตัวอย่างของชุมชนที่ได้รับการพัฒนาให้มีความเจริญเข้ามาใน ทุกด้าน กระตุน้ ให้เกิดการลงทุนของบริษทั ทัง้ จากของคนไทย และต่างประเทศ คราวนี้ ถ้ากรุงเทพฯมีอะไร ที่นี่ก็มีเหมือนกัน” เธอพูดด้วยน�้ำเสียงที่มีความสุขอย่างชัดเจน “จุ๋มชอบแบบนี้เหรอ ชอบความเป็นเมือง ถ้าที่กรุงเทพฯมีอะไร ก็อยากให้ที่นี่ มีเหมือนกัน” เธอหันมายิ้มและพยักหน้าให้ผม “ตุ้ยไม่เข้าใจหรอก ตุ้ยไปอยู่ที่นู่น สะดวกสบาย มีทุกอย่าง แต่คนที่นี่น่ะ ไม่มี อะไรเลย” ระหว่างทางเดินกลับ ผมสังเกตว่า ไม่มีการตั้งวงเหล้า หรือพูดคุยอยู่ที่หน้า บ้านใครอีกแล้ว ราวกับว่าแต่ละบ้านเป็นเอกเทศ แต่ละบ้านเหมือนมีโลกของตัวเอง “ละครตอนหลังข่าวสนุกมาก เดีย๋ วนีไ้ ม่มใี ครออกมาคุยกันข้างนอกแล้วล่ะ ร้อน ก็ร้อน ยุงเยอะ อยู่ในบ้านเปิดแอร์ ดูละคร มีความสุขกว่า” อีกครั้งที่ผมรู้สึกถึงความ สุขของเธอ เจือปนอยู่ในน�้ำเสียง 201


“ตอนนี้ทุกบ้านเขามีโทรทัศน์กันหมดแล้ว ไม่ต้องแย่งกันดูเหมือนเมื่อก่อน” ...คืนนีผ้ มนอนไม่หลับ ไม่ใช่เพราะทีบ่ า้ นผมยังคงไม่มเี ครือ่ งปรับอากาศเหมือน กับบ้านของจุ๋ม หากแต่เป็นความวุ่นวายในจิตใจ กับค�ำถามที่เกิดขึ้นมากมาย ผมไม่ เข้าใจว่าเพราะเหตุใด จุม๋ ถึงภูมใิ จกับสภาพชนบททีเ่ ปลีย่ นแปลงไป ท�ำไมเธอถึงภูมใิ จ กับสิ่งอ�ำนวยความสะดวก และบางอย่างที่เธอบอกว่าเหมือนกับกรุงเทพฯ ทั้งๆที่ผม หนีสิ่งเหล่านั้นมา เพื่อกลับมาสู่อะไรที่เป็นบ้านของเรา ที่เป็นเหมือนเดิม วันรุ่งขึ้นเธอชวนผมไปที่ห้างสรรพสินค้าท้ายตลาด เธอบอกให้ผมไปแสดง ความยินดีกับอาชีพใหม่ของเธอ ผมเดินเข้ามาจนถึงแผนกที่อนุญาตให้คนนอกเข้ามาเปิดร้านขายของ มีตั้งแต่ สินค้าทีท่ ำ� กันเองในชุมชน ผ่านการแปรรูปเป็นสินค้า ทีส่ ามารถวางขายบนชัน้ ในห้าง สรรพสินค้าขนาดใหญ่ไปจนถึงสินค้าที่มีคนในชุมชนน�ำเข้ามาขายจากต่างจังหวัด ผมพลันเหลือบไปเห็นร้านค้าร้านหนึง่ ทีม่ คี นยืนรุมซือ้ อยูไ่ ม่นอ้ ย มีเสียงตะโกน หนึง่ ถ้วย สองถ้วย ผสมปนเปกันไป ตามแต่จ�ำนวนที่ผู้ซื้อต้องการ ผมพยายามแหวกฝูงชนเข้าไปด้านใน ด้านหน้าตู้กระจกมีป้ายวางอยู่ด้านบน โดยมีข้อความว่า ‘สังขยายายจ๋อม สูตรดั้งเดิม’ ในที่สุดผมก็มองเห็นเธอ หลานสาว ของยายจ๋อมที่เป็นคนขาย ก�ำลังรับเงิน และทอนเงินให้กับลูกค้า อยู่เบื้องหลังความ โกลาหลนั้น สังขยาที่เธอขายเป็นถ้วยเล็กๆ ถ้วยละสี่สิบบาท ปริมาณเทียบกับราคา ถือว่าค่อนข้างแพงในความคิดของผม เทียบไม่ได้กับสังขยาถ้วยใหญ่ ที่ยายจ๋อม ท�ำให้ผมและจุ๋มกินในอดีต หลังจากจุ๋มขายสังขยาหมดในช่วงเย็น ผมช่วยเธอเก็บร้าน ก่อนเดินกลับบ้าน พร้อมกัน “จุม๋ มาขายสังขยาของยายตัง้ แต่ตอนไหน” ผมพูดขึน้ ขณะเราก�ำลังเดินผ่านตลาด “ช่วงต้นปีนเี่ อง จุม๋ ไม่รจู้ ะไปท�ำงานอะไร ไม่ชอบงานบริษทั ทีเ่ พือ่ นๆแห่กนั ไปสมัคร แล้วอีกอย่างจุ๋มคิดว่า ยายจ๋อมน่าจะท�ำสังขยาขายตั้งนานแล้ว สูตรของยายอร่อย ไม่เหมือนใคร” เธอตอบผมด้วยความภาคภูมิใจ “ตุ้ยว่า ยายจ๋อมคงไม่อยากให้เอาสังขยาของยายไปขาย ยายแค่อยากให้พวก เราได้กินสังขยาอร่อยๆ” เธอเดินต่อไปอย่างเงียบๆ พลางก้มมองปลายเท้าของตัวเอง ยิ้มที่มุมปากเล็ก น้อย 202


“ตุ้ยก็คิดถึงสังขยาของยายเหมือนกันนะ พรุ่งนี้จุ๋มท�ำให้กินหน่อยสิ” จะว่าไป แล้ว อีกจุดประสงค์หนึ่งของผมในการกลับมาที่นี่ ก็เพื่อมากินสังขยาของยายจ๋อม “ไม่ได้หรอกตุ้ย เดี๋ยวพรุ่งนี้ต้องท�ำไปขายอีก ช่วงนี้น�้ำตาลก็แพง ถ้าตุ้ยจะกิน ไปซื้อที่ร้านเอาแล้วกันนะ” เธอพูดเสียงเรียบ “ท�ำไมล่ะ เมื่อก่อนเรายังกินด้วยกันบ่อยๆ ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย” ผมรู้สึก ผิดหวังกับค�ำตอบของเธอ “ทุกอย่างมันเปลีย่ นไปแล้วตุย้ จุม๋ ต้องท�ำขาย ไม่มเี วลามาท�ำให้ตยุ้ กินคนเดียว หรอกนะ แล้วอีกอย่าง ตอนนี้จุ๋มต้องหาเลี้ยงตัวเอง ยายจ๋อมก็ไม่อยู่แล้ว มัวแต่มา ท�ำให้ตุ้ยกินคนเดียว จุ๋มอดตายกันพอดี” ความเงียบก่อตัวขึ้น คั่นกลางระหว่างเรา ตลอดทางจนถึงบ้าน เป็นอีกหนึ่งคืนที่ผมนอนก่ายหน้าผากอยู่คนเดียวในห้อง ผมไม่รู้ว่าจุ๋มจะเป็น เหมือนกันไหม ผมแค่รสู้ กึ ว่าบางอย่างเปลีย่ นไปแล้วตลอดกาล ตลอดเวลาทีผ่ มอยูใ่ น เมืองใหญ่ พบเจอผู้คนมากมาย ที่ใช้ชีวิตอย่างเป็นเอกเทศ ผมไม่เคยใส่ใจ ผมมักจะ นึกถึงบรรยากาศของทีน่ ี่ ความเป็นเพือ่ น และมิตรภาพ รวมถึงยายจ๋อม ทีเ่ ป็นก�ำลังใจ ให้ผมเสมอ แต่ตอนนี้ทุกอย่างก�ำลังเดินหน้าไปตามแนวทางที่ผมไม่ชอบ สุดท้ายคง ไม่เหลือใครและอะไรไว้ให้จดจ�ำ... 31 พฤษภาคม 2543.... ยายจ๋อมครับ ฝากบอกจุม๋ ด้วยนะครับว่า ผมต้องกลับแล้ว ตอนนีเ้ ธออาจก�ำลังขาย สังขยาของยายอยูท่ หี่ า้ งสรรพสินค้า ผมไม่อยากไปรบกวนเธอ ผมไม่รวู้ า่ การกลับมา ของผมในครัง้ นีไ้ ด้สร้างความล�ำบากใจให้กบั เธอหรือเปล่า ถ้าหากเธอไม่สบายใจเรือ่ ง ที่ผมมา ฝากบอกเธอว่าผมขอโทษนะครับ ผมไม่อยากให้เธอโกรธผม ที่นี่เหมือนจะ ไม่ใช่ ‘บ้าน’ หลังเดิม ส�ำหรับผมอีกแล้ว หากจุ๋มโกรธผมไปอีกคนหนึ่ง คงไม่ดีแน่ๆ ครับ ขอบคุณนะครับยาย ป.ล. เมื่อวานผมฝากพี่ฮ่งไปซื้อสังขยาที่ร้านของจุ๋ม ผมคิดว่าจุ๋มท�ำสังขยาได้ อร่อยไม่แพ้ยายเลยนะครับ ด้วยรัก ตุ้ย 203


ปรีดาอาณาเขต

ณวรา หิรัญกาญจน์ 204


ภาคธรรมดา ปรีดาไม่เคยย้ายบ้าน ตั้งแต่เด็กจนตอนนี้ เธอยังเป็นคนย่านนั้น ถนนนั้น ซอยนั้น หมู่บ้านนั้น ถ้า ปรีดาอยู่ในยุค 2499 เธอคงแถมนามสกุลต่อท้ายให้ตัวเองด้วยชื่อย่าน เหมือน พล ตรอกทวาย, เหลา สวนมะลิ หรือ แดง ไบเล่ ที่บ้านอยู่แถวตรอกสลักหินซึ่งเป็นที่ตั้ง โรงงานผลิตน�้ำอัดลมยี่ห้อไบเล่ ปรีดาเป็นผู้ช�่ำชองทุกตรอกซอกซอยในละแวกที่เธออยู่ เธอรู้ทางลัดไปตลาด รู้ว่าถ้าหนีโรงเรียนจะต้องหลบเข้ามุมไหนที่จะไม่เจอสารวัตรนักเรียนตรวจพบ ไปรษณีย์ทใี่ กล้ที่สดุ อยู่ตรงไหน ร้านขายยาที่มเี ภสัชกรไม่หลอกจ่ายยาให้เกินอาการ ต้องใช้เวลาเดินกี่นาทีจากหน้าบ้านจึงจะไปถึง คนในละแวกนั้นก็ล้วนเป็นคนที่ปรีดาคุ้นเคยทั้งสิ้น ทั้งแม่ค้าส้มต�ำที่รสมือคง เส้นคงวา พี่วินมอเตอร์ไซค์ผู้ไม่เคยปาดหรือซิ่งจนท�ำหัวใจเธอหล่น อาแปะร้านซ่อม นาฬิกาที่เอ็นดูเธอเหมือนลูก ไปจนถึงอาซิ่มร้านแก้ทรงผ้าที่เย็บตะเข็บได้ประณีต สุดใจ ปรีดาไม่เคยย้ายโรงเรียน เธอเรียนโรงเรียนเดิมตัง้ แต่อนุบาลจนถึงมัธยมปลาย 205


นัน่ เพราะปรีดารูส้ กึ ว่า ไม่มอี ะไรโศกเศร้าไปกว่าการต้องเริม่ ต้นนับหนึง่ ในความ สัมพันธ์ใหม่ และลงเอยด้วยศูนย์ในความสัมพันธ์ที่หล่นหาย แม้ปรีดาจะยังเรียนต่อ โรงเรียนเดิม แต่วันแรกของการเปิดเรียนก็ช่างน่าอึดอัด ไหนจะต้องแนะน�ำตัวกับ เพื่อนใหม่ ไหนจะต้องพยายามสานสัมพันธ์และแสร้งสร้างมนุษยสัมพันธ์อันดี การ เขียนสมุดเฟรนด์ชิปก็เป็นเรื่องไร้สาระพอกัน เพราะในท้ายที่สุดแล้ว ค�ำสัญญาเป็น มั่นเป็นเหมาะจากเพื่อนๆ ที่ย้ายโรงเรียนไปว่าจะโทรหาหรือติดต่อกลับมาบ่อยๆ ก็ เริ่มห่างหาย ความห่างเหินยิ่งทวีมากขึ้นเมื่อพวกเขาได้พบปะคนใหม่ๆ พวกเขาท�ำ ราวกับว่า เส้นรอบวงระหว่างเธอกับพวกเขาจะไม่โคจรมาแตะกันอีกแล้ว และในไม่ชา้ ชือ่ ‘ปรีดา’ ก็คงหลงเหลือเป็นเพียงความรูส้ กึ คุน้ ๆ ในความทรงจ�ำของพวกเขาเท่านัน้ ช่างไม่ยุติธรรมเอาเสียเลย เพราะในขณะที่ทุกคนยังเป็นตัวละครที่มีชีวิตใน โลกของปรีดา แต่ปรีดากลับเป็นตัวละครทีห่ ลบเข้าหลังฉาก หมดบทบาทในชีวติ ของ พวกเขาไปตลอดกาล แต่คนที่ท�ำให้ปรีดาเจ็บแค้นที่สุดคือ สิตา… สิตาเป็นทัง้ เด็กร่วมซอยและเป็นเพือ่ นตัง้ แต่สมัยอนุบาลยันมัธยมต้นของปรีดา สิตาวัยเด็กเป็นหนูน้อยแก้มยุ้ย ผมหยิกฟู และยิ้มเก่ง สิตาตัวเล็กกว่าเธอ จึงยกให้ เธอเป็นลูกพี่ สิตาเป็นลูกคนเดียวและขีอ้ อ้ นเหมือนลูกแมว ซึง่ นัน่ ก็ยงิ่ ท�ำให้เธอเอ็นดู สิตามากขึ้นไปอีก ทุกเย็น สิตาชอบชวนเธอปั่นจักรยานไปที่ป่าท้ายซอย สิตาชอบชวนเล่นซ่อน แอบไม่ก็จับแมลง สิตาชอบเอามือเล็กๆ ของเธอไล้กอหญ้า ไม่ก็นั่งจ้องต้นมะละกอ นิง่ ๆ แล้วถามเธอว่า เมือ่ ไหร่มะละกอจะสุก แต่จนแล้วจนเล่า ทัง้ เธอและสิตาก็ไม่เคย ได้เก็บมะละกอสุกแล้วเอาเม็ดมาดีดเล่นตามที่ตั้งใจไว้สักครั้ง ทัง้ สองสนิทสนมจนแทบจะเรียกได้วา่ รูต้ บั ไตของกันและกันทุกซอกมุม เช่นว่า สิตากลัวกิ้งกือ ส่วนปรีดาไม่ชอบตุ๊กแก สิตาเห็นผักไม่ได้ต้องเขี่ยออกจากจานเสมอ ในขณะที่ปรีดากินผักได้ทุกอย่าง เว้นแต่ฟักทองที่ชวนให้นึกถึงวันท้องเสีย สิตาเคยอั้นฉี่ตอนเรียนวิชาเลขของครูอมราจอมเฮี้ยบ แต่สุดท้ายเธอก็ทนไม่ ไหว ท�ำนบแตกกระจายท่วมกระโปรง วุน่ วายปรีดาต้องไปหากางเกงจากห้องพยาบาล มาให้เปลี่ยน ความลับของปรีดาก็น่าอายไม่แพ้กัน ตอนท�ำความสะอาดกระดานด�ำที่ ด้านบนสุดสูงเสียจนต้องต่อเก้าอีข้ นึ้ ไปเพือ่ ใช้ผา้ ชุบน�ำ้ ท�ำความสะอาด แต่หนนัน้ ปรีดา 206


คงพลาดท่า ไม่กข็ าเก้าอีเ้ กิดอาการง่อนแง่นกะทันหัน เธอจึงล้มครืนลงมา หน้าคะม�ำ กระโปรงเปิด เด็กผูช้ ายในห้องมามุงดูสง่ เสียงแซวกันยกใหญ่ สิตาทีก่ ำ� ลังโกยขยะอยู่ หลังห้อง จึงต้องรีบแจ้นมาท�ำหน้าที่เป็นกองเซ็นเซอร์ทันที ค่ายลูกเสือเนตรนารีทุกปี สิตากับเธอก็จับมือพร้อมใจอยู่หมู่เดียวกันทุกครั้ง แต่ ค รั้ ง ที่ ป รี ด าจ� ำ ได้ ไ ม่ ลื ม คื อ ค่ า ยลู ก เสื อ ฯ ครั้ ง สุ ด ท้ า ยของนั ก เรี ย นมั ธ ยมต้ น คืนสุดท้ายก่อนออกค่าย หลังกิจกรรมรอบกองไฟทีค่ รูประจ�ำค่ายสอนเรือ่ งดาวเหนือ แล้วมอบหมายให้แต่ละหมู่หาทางออกจากฐานที่ครูเตรียมไว้ด้วยการใช้ดาวเหนือ น�ำทาง โชคร้ายที่คืนนั้นพระจันทร์สวยเกินกว่าที่ปรีดาและสิตาจะใส่ใจดาวเหนือ ทั้งคู่จึงเผลอออกนอกเส้นทาง กว่าหัวหน้าหมู่จะรู้ตัวว่าหางแถว 2 คนแหว่งหาย ระหว่างทางก็ตอนมารายงานตัวกับครูประจ�ำฐานแล้ว คืนนั้นเป็นคืนแห่งความโกลาหลโดยแท้ ทุกคนในค่ายช่วยกันออกตามหา เด็กหญิง 2 คนที่หายตัวไป จนเวลาล่วงเข้าเกือบเที่ยงคืนที่ลูกเสือคนหนึ่งวิ่งแจ้น มาตามครูหวั หน้าค่าย บอกว่าเจอทัง้ คูจ่ บั มือกันแน่น นอนหลับสนิทอยูใ่ ต้ตน้ มะละกอ ห่างจากฐานสอนดูดาวไปทางทิศตะวันออกราว 400 เมตร แน่นอนว่า กว่าสิตากับปรีดา จะได้นอนหลับสบายในเต็นท์ คืนนั้นพวกเธอถูกครูทุกคนในค่ายว่ากล่าวตักเตือน เสียยกใหญ่ สิตามาเล่าให้ปรีดาฟังภายหลังว่า ตอนที่รู้ตัวว่าหลงทาง เธอกลัวจะไม่ได้ออก มาเจอทุกคนอีก ความมืดรอบตัวท�ำให้สิตาจินตนาการไปถึงผี หมี เสือสมิง เรื่องเล่า สยองขวัญประจ�ำค่ายประดังประเดเข้ามาจนเกือบท�ำให้สิตาปล่อยโฮ แต่ด้วยแววตา มุ่งมั่นและน�้ำหนักมือของปรีดาที่กุมมือสิตาไว้แน่น ก็ท�ำให้สิตาอุ่นใจว่า ปรีดาจะพา เธอกลับไปที่ค่ายได้อย่างแน่นอน แม้วา่ สุดท้ายแล้วฮีโร่ของงานนีจ้ ะเป็นลูกเสือคนนัน้ แต่ปรีดาดีใจทีร่ วู้ า่ สิตาคิด เช่นนั้น การหลงทางตามรอยพระจันทร์คืนนั้น จึงกลายเป็นความทรงจ�ำยอดนิยม อันดับหนึ่งในรายละเอียดความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับสิตา ทว่าหลังจากนัน้ ไม่นาน สิตาก็ยา้ ยบ้าน สิตาสอบเข้าได้ในโรงเรียนมัธยมปลาย ทีอ่ ยูค่ นละมุมเมืองกับโรงเรียนของปรีดา สิตาไม่มาเล่นกับปรีดาบ่อยเหมือนเคย ครัง้ หลังสุดที่พบกัน สิตาพาเพื่อนใหม่มาด้วย พร้อมทั้งแนะน�ำว่า นี่คือเพื่อนสนิทที่สุดที่ โรงเรียนใหม่ของเธอ แล้วจะให้ปรีดารู้สึกยังไงได้เล่า นอกจากน้อยใจ เสียใจ เจ็บใจ 207


แล้ว

การเกี่ยวก้อยสัญญา การกินน�้ำแข็งไสร่วมสาบานไม่มีความหมายใดอีกต่อไป

ความน้อยใจไม่เคยจบสิ้นตามกาลเวลาหรอกหรือ ปรีดาคิด พร้อมกับเริ่มหา หนทางที่จะท�ำให้เธอได้เจอสิตาอีกครั้ง

ภาคพิสดาร สิตาไม่รู้เหมือนกันว่าท�ำไมเธอจึงต้องออกมานั่งจ้องมะละกอทุกวัน จากการสังเกตของสิตา มะละกอบนต้นตรงหน้าไม่ใช่เฉดเขียวหัวเป็ดเหมือน มะละกอพันธุ์แขกด�ำ และก็ไม่ใช่สีเขียวแบบสังขยาเหมือนมะละกอพันธุ์ฮอลแลนด์ มะละกอ 12 ลูกทีข่ นึ้ โตงเตงเต็มต้นเป็นสายพันธุท์ เี่ ธอไม่เคยรูจ้ กั มาก่อน เป็นมะละกอ ลูกยาว มีรอ่ งข้างผลยาวตัง้ แต่โคนจนถึงปลายลูก สิตาจึงจนปัญญาทีจ่ ะเข้าใจว่า ต้อง รออีกกี่วัน บรรดาลูกเขียวๆ พวกนั้นจึงจะเริ่มแต้มสีส้มเหลืองซะที ใจหนึง่ สิตาก็ภาวนาให้มะละกอสุก เธอฝันไปต่างๆ นานาถึงรสหวานฉ�ำ่ ของมัน กินเปล่าๆ หรือบีบมะนาวหน่อยคงอร่อยเหาะ บางส่วนอาจเก็บไว้ท�ำแยม เม็ดด�ำๆ เก็บไว้ดีดเล่น อีกอย่างหนึ่ง สิตาคิดเองเออเองว่า ถ้ามะละกอสุก ภาระหน้าที่ ‘ที่นี่’ ของเธอคงจบสิ้นและจะได้ออกไปจาก ‘ที่นี่’ เสียที แต่มนั ก็เป็นความรูส้ กึ ก�ำ้ กึง่ บางครัง้ การทีไ่ ด้เห็นมะละกอยังเขียวค้างเติง่ อยูบ่ น ต้น ก็ทำ� ให้สติ าใจชืน้ ว่า วันเวลาของเธอ ‘ทีน่ ’ี่ จะยังขยายยืดยาวออกไป การใช้ชวี ติ อยู่ ‘ทีน่ ’ี่ ก็ทำ� ให้เธออิม่ เอมเปรมปรีดดิ์ ี ไม่ตอ้ งเรียนหนังสือ ไม่มกี ารบ้าน ได้วงิ่ ไล่จบั แมลง ได้เล่นสนุกทุกวัน โดยเฉพาะการได้เล่นกับปรีดา— เด็กสาวอีกเพียงคนเดียวทีอ่ ยูท่ นี่ ี่ นอกจากเป็นเพือ่ นเล่น ปรีดายังเอาอกเอาใจเธอทุกอย่างเหมือนพีส่ าวทีแ่ สนดี ปรีดา เป็นเพียงสิง่ เดียวทีท่ ำ� ให้ความคิดอยากออกไปจากทีแ่ ห่งนีก้ ลับล�ำหันเหเป็นบางครัง้ สิตาจ�ำไม่ได้เลยว่าเธอมา ‘ที่นี่’ ได้ยังไง มาตั้งแต่เมื่อไหร่ วันไหน และเธออยู่ที่ นี่มานานหรือยัง คลับคล้ายคลับคลาว่าวันแรกๆ ทีม่ า ศีรษะของเธอปวดหนึบราวกับ มีใครเอาคีมมาหนีบไว้ตลอดเวลา ขอบเขตตารางเมตรและพิกดั รุง้ แวงของทีน่ ี่ สิตาก็ระบุชดั เจนไม่ได้ รูเ้ พียงว่ามี บ้านไม้ของปรีดาเพียงหลังเดียวเท่านัน้ ตัง้ อยูโ่ ดดเดีย่ วกลางป่าทีอ่ ดุ มด้วยไม้ยนื ต้นสูง 208


ตระหง่านกระจัดกระจายไปทัว่ ไม้ลม้ ลุกเพียงอย่างเดียวคือต้นมะละกอทีอ่ ยูห่ ลังบ้าน ส่วนหน้าบ้านมีทางเดินทอดยาวออกไปลิบตา จนไม่รู้ว่าทางเดินนั้นสิ้นสุดตรงไหน สิตาเคยลองคิดเล่นๆ ว่า อยากลองเดินไปจนสุดทางนัน้ ดู มันอาจเป็นทางออก จาก ‘ที่นี่’ ก็เป็นได้ แต่จนแล้วจนรอด เธอก็ไม่กล้า เพราะมีเรื่องเล่าจากปรีดาว่า พ้นจากเขตบ้าน พงหญ้าสูงรกเรือ้ ท่วมเอวคืออุปสรรคด่านแรกทีย่ ากจะผ่านพ้นไป และแม้วา่ จะรอดพ้น จากการเจองูระหว่างทาง พ้นจากแนวหญ้าไปยังมีทะเลสาบเป็นด่านทดสอบด่านที่ สอง ซึ่งต้องรอให้ถึงวันเดือนเพ็ญหรือเดือนดับเท่านัน้ ทีน่ �้ำจะลดระดับลงต�่ำสุดให้พอ เดินผ่านไปได้ สิง่ ทีย่ ากทีส่ ดุ คือ การหนีให้พน้ สายตาสอดแนมของสัตว์ประหลาดขนฟู ขนาดมหึมาที่วนเวียนอยู่ฝั่งตรงข้ามทะเลสาบ ครั้งหนึ่งในคืนแรม 15 ค�่ำ ปรีดาเคย ฝ่าไปเกือบถึงจุดนั้น แต่พอได้เห็นเงาตะคุ่มของสัตว์ประหลาดที่เงื้อง่าขวานในมือ วิ่งดาหน้าตรงมาหาเธอ ปรีดาก็ต้องรีบหนีกลับทางเดิมอย่างไม่คิดชีวิต ‘มันทัง้ ดุรา้ ยและอันตรายเชียวล่ะ… เธอต้องตายแน่ๆ ถ้าเผลอเหยียบเข้าไปใน ถิ่นนั้น’ ปรีดาเตือน และทิ้งข้อสงสัยให้สิตานึกแปลกใจว่า ในคืนเดือนมืดเช่นนั้น ทาง ล�ำบากอย่างนั้น มีสัตว์ประหลาดวิ่งไล่ประชิดด้วยซ�้ำ ปรีดากลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยได้อย่างไร จนกระทั่งเย็นวันหนึ่งที่สิตาออกไปนั่งจ้องต้นมะละกอเหมือนปกติเช่นทุกวัน สิตาก็ร้องขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ เสียงเอะอะโวยวายของสิตาท�ำให้ปรีดาต้อง ออกมาดู เพื่อจะพบว่า ผลมะละกอบนต้นที่เคยมีอยู่ 12 ลูก ตอนนี้กลับหายไปสาม สิตายืนยันจากการสังเกตอย่างถี่ถ้วนทุกวันว่า มะละกอบนต้นมีอยู่ 12 ลูกแน่นอน แต่วันนี้นับแล้วนับอีกก็ยังได้ผลลัพธ์อยู่ที่ 9 ลูกเท่านั้น ทั้งคู่แปลกใจสงสัย นึกสันนิษฐานถึงความเป็นไปได้ต่างๆ นานา ‘นกคาบไปไม่ไหวแน่ มะละกอออกจะผลใหญ่ขนาดนั้น’ ‘หรือจะเป็นลิงล่ะ’ ‘ลิงกินมะละกอเนี่ยนะ เป็นไปไม่ได้หรอก’ ‘ยีราฟมั้ย มันน่าจะคอยาวถึงความสูงของต้นมะละกอพอดีนะ’ ‘ไม่ใช่หรอก ยีราฟตัวสูงออกอย่างนั้น ถ้าก้มมาเด็ดมะละกอคงคอเคล็ดพอดี’ ‘ช้างไง! ใช่ช้างรึเปล่า’ 209


‘ถ้าช้างผ่านมา บ้านเราน่าจะกระเทือนพอให้รู้ว่ามันมาสิ’ ในขณะทีป่ รีดายังหน้านิว่ คิว้ ขมวดหาค�ำตอบ สิตาก็เหลือบไปเห็นรอยเท้าขนาด ยาวเกือบ 8 นิ้วไม่ใกล้ไม่ไกลจากต้นมะละกอ สิตาสะกิดปรีดาให้หันมามองร่องรอย หลักฐานที่เธอค้นพบ ปรีดาพิจารณารอยเท้านั้นอย่างละเอียด เมื่อคืนฝนไม่ตก แต่ รอยเท้านั้นกลับทิ้งรอยชัดเจน หากไม่เป็นเพราะเจ้าของรอยเท้าเพิ่งผ่านไป ก็น่าจะ แปลว่า หัวขโมยมะละกอจะต้องตัวใหญ่และน�้ำหนักมากพอที่จะท�ำให้เนื้อดินบุ๋มลึก เป็นรูปเช่นนั้นได้ ปรีดาก้มมองรอยเท้านัน้ ใกล้ขนึ้ ไปอีก มีเส้นขนสีนำ�้ ตาลเข้มปลิวเรีย่ รายไปตาม ทางทีร่ อยเท้านัน้ ย�ำ่ ผ่าน ปรีดากับสิตาค่อยๆ เดินตามร่องรอยทีถ่ กู ทิง้ ไว้อย่างระแวด ระวัง และแล้วก็ได้พบของชิ้นหนึ่งที่ท�ำให้ปรีดาตกใจจนหน้าซีด มันคือขวานเล่มใหญ่ที่ปรีดาจ�ำได้ชัด ขวานเล่มเดียวกับที่ผู้ถือชูขึ้นด้วยหมายมั่นจะคร่าเอาชีวิตของเธอ ปรีดาล้มเลิกความคิดทีจ่ ะตามทวงมะละกอคืนมาทันที ปลอบใจสิตาว่ายังเหลือ มะละกออีกตั้ง 9 ลูกให้รอลุ้นว่าจะสุกวันไหน การออกไปต่อสู้กับสัตว์ประหลาดเพื่อ มะละกอ 3 ลูก ไม่ใช่เรื่องที่คุ้มค่าต่อการเสี่ยงชีวิตเลย คืนนัน้ ทัง้ คูเ่ ข้านอนหลับสนิทแต่หวั ค�่ำเช่นทุกวัน จึงไม่ได้ยนิ เสียงแหวกพุม่ ไม้ เสียงย�่ำเท้าสวบสาบมุ่งหน้ามายังบ้านของปรีดา ฝีเท้าของมันเบาหวิวราวกับศึกษา ศาสตร์แห่งการย่องเบามาจากแมว เมื่อใกล้ถึงที่หมาย มันเดินอ้อมไปทางหลังบ้าน แล้วหยุดยืนอยู่ที่ต้นมะละกอ มันลังเลใจว่าจะเด็ดมะละกออีกสักผลกลับไปดีหรือไม่ แม้ว่ามะละกอลูกที่มัน ขโมยไปก่อนหน้าจะยัง ‘ใช้’ ไม่หมด แต่คืนนี้เป็นคืนเดือนเพ็ญขึ้น 15 ค�่ำที่ระดับน�้ำ จะลดลงต�ำ่ สุด ช่วยให้การขนย้ายมะละกอข้ามฝัง่ สะดวกง่ายดายกว่าคืนทีผ่ า่ นมา เมือ่ ตัดสินใจได้ สัตว์ประหลาดจึงมองหาขวานทีม่ นั ท�ำหล่นไว้เมือ่ คืนวานเพือ่ ปลิดมะละกอ ออกจากต้น แต่ไม่ว่าจะเหลียวซ้ายแลขวาค้นหาเท่าใดก็ไร้วี่แวว ในระหว่างที่ก้มๆ เงยๆ อยู่นั่นเอง สัตว์ประหลาดก็พลาดท่า ถูกขวานฟันเข้า ทีก่ ลางหลังด้วยแรงมือของปรีดาทีม่ องเห็นเงาของสัตว์ประหลาดทาบผ่านแสงจันทร์ จากหน้าต่างห้องนอนเมื่อครู่ใหญ่ เธอคว้าขวานของมันที่วางอยู่ใกล้ตัวแล้วย่องตาม ออกมา โดยมีสติ าระวังหลังตามมาติดๆ ปรีดาหมายมัน่ ว่าจะต้องปราบมันให้เด็ดขาด 210


ไม่ให้มารุกรานอาณาเขตของเธออีก แม้แรงมือของปรีดาจะไม่มาก แต่ความคมของขวานก็ท�ำให้ขนสีน�้ำตาลของ สัตว์ประหลาดหลุดออกมากระจุกใหญ่ เหวอะหวะไปถึงผิวหนัง แผลไม่กว้างนัก แต่ ก็เพียงพอทีจ่ ะท�ำให้สตั ว์ประหลาดล้มลงไปนอนดิน้ เร่าร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด แสงจันทร์สอ่ งลงมากระทบร่างสัตว์ประหลาด อันทีจ่ ริงแล้ว ขนาดความสูงของ มันก็ไม่ได้สูงไปกว่าปรีดาเท่าใดนัก เพียงแต่ครั้งก่อนหน้า เธอเคยพบมันในคืนข้าง แรม รูปเงาที่ใหญ่โตผิดปกติจึงพลอยท�ำให้เธอเข้าใจว่ามันมีร่างกายสูงใหญ่เกินจริง ทว่าก็น่าแปลก ใบหน้าของสัตว์ประหลาดก็แลดูคลับคล้ายคลับคลา ราวกับเธอเคย พบเห็นหรือเคยรู้จักมาก่อน ปรีดารู้มานานแล้วว่า มีสัตว์ประหลาดอาศัยอยู่ที่ทะเลสาบฝั่งตรงข้าม แต่เธอ ไม่สนใจ เพราะคิดว่ามันคงรุกล�้ำเข้ามาในเขตบ้านของเธอไม่ได้ แต่ปรีดาคิดผิด คืนแห่งการเผชิญหน้ากันครั้งนั้น แม้จะเหนื่อยอ่อนและ สะลึมสะลือ แต่เธอกลับถึงบ้านอย่างปลอดภัยด้วยการน�ำทางและคุ้มกันของมัน ใน ความทรงจ�ำอันเลือนราง สัตว์ประหลาดตัวนั้นบอกกับเธอว่า นั่นไม่ใช่เวลาของการ ข้ามฝั่ง เพราะเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง น�้ำในทะเลสาบจะขึ้นอย่างรวดเร็วจนเธออาจ จมน�้ำได้ มันจึงรีบวิ่งมาเพื่อเตือนเธอ และขอโทษที่กลับกลายเป็นว่าท�ำให้เธอตกใจ กลัวมากกว่า ปรีดาไม่เคยเล่าเรือ่ งนีใ้ ห้สติ าฟัง ปรีดากลัวว่า ถ้าวันหนึง่ สิตาข้ามไปอีกฝัง่ หนึง่ ได้ สิตาจะไม่กลับมาหาเธออีก เธอกลัวว่าสิตาจะหันไปสนิทสนมกับสัตว์ประหลาด ที่แท้จริงแล้วมีจิตใจอารี ไม่ได้ดุร้าย น่ากลัว เหมือนเรื่องเล่าที่ปรีดาสร้างขึ้นมาเลย ในรอบอาณาเขตที่ปรีดาเคยเข้าใจว่ามีเพียงเธอกับสิตา สัตว์ประหลาดที่เคย ลัดเลาะอยู่ตามเส้นรอบวงได้รุกล�้ำเข้ามาในวงกลมของเธออย่างช้าๆ แม้จะพยายาม หมางเมินการมีอยู่ของมัน แต่สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการท�ำร้าย ปรีดาคนที่ยื้อยุดความสัมพันธ์อันหนึ่งอย่างสุดก�ำลัง กับปรีดาคนที่เพิกเฉย ความสัมพันธ์อีกอันหนึ่งไม่ไยดี เป็นปรีดาคนเดียวกันหรอกหรือ พระจันทร์กลมโตลอยอยูเ่ หนือศีรษะของปรีดา สิตา และร่างของสัตว์ประหลาด แสงจันทร์ส่องลงมากระทบใบหน้าสัตว์ประหลาดจนเห็นรายละเอียดเด่นชัด เป็น ใบหน้าที่ปรีดาเคยคุ้น แต่นึกไม่ออก 211


จนกระทั่งสิตาอุทานออกมาว่า ‘เมธี!’ แล้วพยุงร่างนั้นเข้าบ้านเพื่อท�ำแผล

ภาคธรรมดา ปรีดาเคยแปลกใจอยู่บ้างว่า เหตุใดทุกครั้งที่เธอกลับบ้าน วินมอเตอร์ไซค์ หมายเลข 9 จะว่างรอเธอขึ้นไปซ้อนเสมอ ปรีดาไม่ชอบใช้บริการวินมอเตอร์ไซค์ หมายเลขอืน่ เพราะมักจะปาด จะซิง่ จนเธอกลัวว่าแขนขาอาจร่วงหายระหว่างทางได้ แม่ของวินมอเตอร์ไซค์หมายเลข 9 ขายส้มต�ำรสเด็ดอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากบ้าน ของปรีดา ปรีดาชอบอุดหนุนส้มต�ำของแม่คา้ คนนี้ เพราะซือ้ ทีไรก็รสชาติถกู ปากทุกครัง้ ปรีดาเคยเลียบๆ เคียงๆ ขอสูตรการต�ำจากแม่คา้ บ้าง แม่คา้ บอกว่า ทีร่ า้ นใช้มะละกอ ดิบพันธุ์ครั่ง เป็นมะละกอลูกยาว มีร่องลึกยาวตลอดลูก เป็นสายพันธ์ุมะละกอที่ถูก พัฒนาขึน้ เพือ่ ท�ำส้มต�ำโดยเฉพาะ หลังเก็บจากต้น มะละกอพันธุน์ จี้ ะยังสด กรอบ อยู่ ได้เป็นอาทิตย์ ไม่ต้องแช่น�้ำมะนาว ไม่เหี่ยวง่ายเหมือนมะละกอพันธุ์อื่น ปรีดาถามแม่ค้าว่า มะละกอพันธุ์นี้หาซื้อยากมั้ย แม่ค้าชี้นิ้วไปท้ายซอย “ส่วนใหญ่ก็ซื้อมาจากตลาดทีละ 4-5 โล แต่วันไหนลูกค้าเยอะ มะละกอไม่พอ ป้าก็ให้ลูกชายไปเก็บๆ มาจากป่านั่นล่ะ ต้นนึงอยู่ได้สัก 3 ปี พอตายป้าก็ตัดทิ้ง แล้ว ปลูกใหม่” มิน่าล่ะ ปรีดาจึงแทบไม่เคยเห็นดงมะละกอในป่านั้นสุกคาต้นเลยสักครั้ง “แต่อย่าไปวุ่นวายท�ำเองเลยหนู กินของป้าคุ้มกว่า” ป้าพูดกลั้วหัวเราะ พร้อม ตีสากกระทบครกไปราวกับเป็นกิจกรรมเข้าจังหวะ ต่อให้ป้าไม่บอกเช่นนั้น ปรีดาก็ตั้งตัวเป็นลูกค้าขาประจ�ำอยู่แล้ว ส่วนหนึ่งนั่นเพราะรสมือของป้า อีกส่วนหนึ่งเพราะลูกชายของป้า— เมธี…ชายหนุ่มที่เป็นนักเรียนมัธยมปลายโรงเรียนเดียวกับเธอตอนกลางวัน.. รับจ๊อบเป็นวินมอเตอร์ไซค์หลังเลิกเรียน.. ลูกเสือที่เคยตามตัวเธอกับสิตาจนพบใน คืนทีพ่ ระจันทร์สวยจนหลงทาง.. เด็กชายทีช่ ว่ ยสิตาไล่เด็กชายปากเปราะคนอืน่ ออก ไปในวันที่เธอตกเก้าอี้กระโปรงเปิด เพราะเพียงเด็กหญิงตัวเล็กๆ อย่างสิตาเพียงคน เดียวคงกันเด็กผู้ชายเกือบครึ่งห้องไม่ไหว เมธี... ชายหนุ่มที่เคยเป็น ‘สัตว์ประหลาด’ แปลกหน้าและไม่คุ้นเคยต่อปรีดา ไม่มลี ายมือของเมธีอยูใ่ นสมุดเฟรนด์ชปิ ของปรีดา แต่มลี ายมือของปรีดาอยูใ่ น สมุดเฟรนด์ชิปของเมธี ปรีดาเพิ่งจะรู้ว่า ตัวละครที่เคยเป็นเพียงตัวประกอบก็พลิก 212


บทบาทกลายมาเป็นนักแสดงหลักได้เมื่อวงโคจรมีแรงดึงดูดเข้าหากัน หากปรีดาจะกลายเป็นตัวประกอบหรือเป็นนักแสดงที่หมดบทบาทลงในชีวิต ของใครก็ตาม ปรีดาคงไม่นอ้ ยใจ เสียใจ หรือเจ็บใจอีกแล้ว มันก็เหมือนกฎข้อที่ 3 ของ นิวตันที่บอกว่า แรงกิริยาจะเท่ากับแรงปฏิกิริยาแรงที่โลกดึงดูดดวงจันทร์จะเท่ากับ แรงทีด่ วงจันทร์ดงึ ดูดโลกเสมอ เหมือนแรงกิรยิ าของเมธีทดี่ งึ ดูดเธอจนค่อยๆ เท่ากับ ที่แรงปฏิกิริยาที่เธอดึงดูดเมธี ถ้าปรีดาออกแรงคิดถึงใคร ใครคนนั้นก็คงออกแรงคิดถึงเธอ ไม่มาก ไม่น้อย หรือเท่าๆ กับเธอ เหมือนที่ปรีดาก�ำลังคิดถึงสิตาอยู่ตอนนี้ แล้วโทรศัพท์ก็แสดงชื่อคนที่โทรเข้ามาว่า ‘Sita’ เหมาะเจาะพอดี

213


มนุษย์กล

นรวีร์ สังข์เผือก 214


“สุขสันต์วันเกิดนะครับคุณโจ” เด็กชายยื่นเค้กสีขาว เรี ย บง่ า ยปั ก เที ย นติ ด ไฟหนึ่ ง แท่ ง ให้ ช ายชราในรถ วีลแชร์ตรงหน้า

ชายชรายิ้มก่อนหลับตาเพื่ออธิษฐานก่อนเป่าเทียนเต็มแรง “ขอบใจนะจอห์น จ�ำแม่นจริงๆ ฉันเองลืมไปแล้วด้วยซ�้ำ” “ความจ�ำเป็นเรื่องถนัดของผมอยู่แล้วครับ” “นอกจากจ�ำแม่นแล้วยังเป็นเด็กตลอดกาลอีก น่าอิจฉาจริงๆ อืม... ใช่... ใช่แล้ว หน้าตาเหมือนกับวันแรกที่เจอกัน เรื่องนั้นฉันยังจ�ำได้ดี” “วันนั้นคุณไม่ชอบผมเอามากๆ เลย” “ใช่ที่ไหน ฉันใจดีจะตาย อาจจะหงุดหงิดนิดหน่อยก็เพราะโดนเพื่อนยัดเยียด ไอ้โครงการชื่อยาวเหยียดนั่นให้” “ถ้าเป็นคุณในตอนนี้ล่ะก็ ใช่ครับ ใจดีมากๆ เลย แต่เมื่อตอนนั้น ผมจ�ำได้แม่น เลย วันนัน้ ผมเดินตามเจ้าหน้าทีเ่ จสันมาทีน่ ี่ หยุดยืนหน้าประตูตรวจสอบความถูกต้อง ของที่อยู่ แล้วเขาก็เคาะประตู” เสียงเคาะประตูเรียกร้องให้ชายชราในรถวีลแชร์ไปหาที่ประตูหน้าบ้าน เขา กระแทกปุ่มสั่งเปิดประตูเปิดอย่างหงุดหงิดเพราะมันท�ำลายเวลานอนกลางวันของ เขาเสียไม่มีชิ้นดี 215


“สวัสดีครับ ศาสตราจารย์โจนาธาน สเติร์นสัน ใช่ไหมครับ” เสียงเคร่งขรึมของ ชายร่างใหญ่ในชุดสูทสากลสีด�ำสนิทถามขึ้นทันทีที่เห็นหน้าของผู้มาเปิดประตู ชายแก่พยักหน้า คิ้วขมวดมุ่น “มีธุระอะไร” “ผมชื่อเจสัน เบิร์ธ เป็นเจ้าหน้าที่จากโครงการวิจัยและพัฒนาจักรกลสมองกล อัตโนมัติเสมือนมนุษย์” ตอบพร้อมแสดงบัตรประจ�ำตัวแล้วยื่นนามบัตรให้ “อ๋อ ไอ้โครงการชื่อยาวเหยียดนั่นเอง เข้ามาก่อนสิ” เจ้าหน้าทีเ่ จสันเดินตามชายชราเข้ามาในบ้าน ตามติดด้วยเด็กผูช้ ายอีกคนหนึง่ แต่ชายชราไม่ทันสังเกตเห็น จนกระทั่งทั้งสามมาถึงห้องรับแขก “พาลูกชายมาด้วยหรือ” “อ๋อ ไม่ใช่ครับ นี่เป็นจักรกลสมองกลอัตโนมัติเสมือนมนุษย์รุ่นต้นแบบใน โครงการวิจยั ครับ พวกนักวิจัยตั้งชือ่ เล่นให้ว่ามนุษย์กล” แล้วหันไปพูดกับเครือ่ งจักร ที่มีรูปร่างเหมือนเด็กผู้ชาย “ทักทายคุณโจนาธานสิ” “สวัสดีครับ ผมหมายเลขหนึง่ ศูนย์แปด ยินดีทไี่ ด้รจู้ กั ” เด็กชายมนุษย์กลยืน่ มือ ไปจับมือของชายบนรถเข็น เขย่าเบาๆ แล้วปล่อย “เอ่อ... สะ..สวัสดี” “น่าทึ่งใช่ไหมครับ มนุษย์กลตัวนี้บรรจุระบบสมองกลแบบใหม่ล่าสุดเอาไว้ ก้าวหน้าขนาดที่เรียกได้ว่าใกล้เคียงมนุษย์ แต่ก็อย่างที่ทราบแล้วว่ายังอยู่ในขั้นตอน ของการวิจัย เลยอาจจะท�ำอะไรแปลกๆ ไปบ้าง แล้วก็ เจ้าหมายเลขหนึ่งศูนย์แปดนี่ ยังค่อนข้างใหม่ บรรจุเพียงโปรแกรมพืน้ ฐานเอาไว้จำ� นวนหนึง่ เท่านัน้ ทีเ่ หลือคงต้อง รบกวนคุณเป็นคนสอนให้” โจนาธานยกมือขวาขึ้นลูบคาง คิ้วขมวดตั้งสมาธิ พยายามคิดตามสิ่งที่เจ้า หน้าที่อธิบาย “เราจะให้เวลาคุณตัดสินใจเจ็ดวันว่าจะเข้าร่วมโครงการในระยะยาวหรือไม่ ส่วนนี่เป็นหนังสือสัญญาก�ำหนดข้อตกลงของผู้เข้าร่วมโครงการวิจัยครับ” เจสันยื่น แฟ้มอันหนึง่ ให้หลังพูดจบ “และผมหวังว่าคุณจะได้รบั ข่าวดีในอีกหนึง่ สัปดาห์นะครับ ตอนนี้ผมคงต้องขอตัวก่อน” เจสันโค้งค�ำนับแล้วเดินจากไป ส่วนหมายเลขหนึ่งศูนย์แปดก็ลุกขึ้นเดินตาม ไปเช่นกัน “อ๊ะ!” เจสันหยุด กลับหลังหัน แล้วย่อตัวลงให้สายตาอยูร่ ะดับเดียวกับมนุษย์กล 216


ยื่นมือขวาไปสัมผัสท้ายทอย “เอปซิลอน มะเขือเทศ พายสับปะรด ปลาทูน่า โอเมก้า ก�ำหนดตัวผู้ดูแล โจนาธาน สเติร์นสัน ยืนยันค�ำสั่ง” “ยืนยันค�ำสัง่ ผู้ดูแล โจนาธาน สเติรน์ สัน พบข้อมูลทีบ่ นั ทึกเอาไว้ น�ำมาใช้เป็น ฐานข้อมูลหลัก” “เรียบร้อย คราวนี้คงขอตัวจริงๆ แล้วครับ” เจสันโค้งค�ำนับแล้วเดินจากไป คราวนีม้ นุษย์กลไม่เดินตามไป แต่กลับหันมายัง ชายบนรถวีลแชร์แทน “มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับ” “ท�ำอาหารก็แล้วกัน ของในตู้เย็นน่าจะพอท�ำอะไรได้บ้าง” มนุษย์กลไปส�ำรวจตูเ้ ย็นตามค�ำสัง่ ไม่นานก็เริม่ ลงมือท�ำอาหาร ส่วนโจนาธาน แอบดูเจ้ามนุษย์กลสลับกับโทรทัศน์ เขาไม่พบความผิดปกติเลยแม้แต่น้อย ไมเคิล เคลื่อนไหวร่างกายจัดเตรียมอาหารได้คล่องแคล่วราวกับเป็นเชฟผู้เชี่ยวชาญที่ท�ำ อาหารมานานปี “เสร็จแล้วครับ” “งั้นเหรอ เดี๋ยวฉันไป” อาหารบนโต๊ะมีรปู ร่างหน้าตาอย่างกับหลุดออกมาจากภาพในความทรงจ�ำของ โจนาธาน เป็นเมนูที่เขามักจะกินเป็นประจ�ำ แต่เขาไม่ประมาทและหลงไปกับเปลือก นอกทีส่ วยงามน่ารับประทาน จึงเลือกทีจ่ ะชิมเพียงนิดเดียวแล้วก็ตอ้ งถอนหายใจด้วย ความผิดหวังหลังจากประสาทรับรสสัมผัสรู้ถึงรสชาติของอาหาร ลองเปลี่ยนไปชิม จานอื่นดูบ้าง รสชาติดี แต่ไม่เหมือนที่คาดหวังเอาไว้เลยแม้แต่น้อย “ท�ำไมถึงท�ำอาหารพวกนี้” “จากข้อมูลประวัติการรับประทานอาหารของคุณ ส่วนมากแล้วจะเป็นอาหาร ฝีมือภรรยา ดังนั้นผมเลยลองน�ำข้อมูลของภรรยาของคุณมาวิเคราะห์เพื่อหาเมนูที่ น่าจะเป็นไปได้ขึ้นมาครับ” “หึ เครื่องจักรยังไงก็เป็นแค่เครื่องจักร” “แล้วไม่กี่วันต่อมาแกก็เริ่มเปลี่ยนรสชาติอาหารจนดีขึ้นผิดหูผิดตา แต่แกไม่ น่าจะท�ำอะไรเกินโปรแกรมได้” “อ๋อ เรื่องนั้น สมองกลของผมออกแบบโดยเน้นการเรียนรู้เป็นหลัก ผมเลยไป 217


ขอเรียนท�ำอาหารกับเพื่อนสนิทของภรรยาของคุณ” โจจ้องจอห์นด้วยแววตาดุดัน “ใช่ครับ ผมขอโทษด้วยที่ใช้ฐานข้อมูลภรรยาของคุณโดยไม่ได้ขออนุญาต ผม แค่ไม่อยากกลับไปอยู่ศูนย์วิจัย” “มิน่า แกถึงชอบหายตัวไปไหนไม่รู้อยู่เรื่อย” “แล้วตอนนี้รสชาติอาหารเป็นยังไงบ้างครับ ต้องปรับตรงไหนอีกรึเปล่า” “จะปรับตรงไหนได้อีก แกเล่นถามค�ำถามนี้ทุกครั้งที่ฉันกินเสร็จมาตั้งหลายปี แล้ว แต่บางที ถ้าแกลองท�ำรสชาติที่อยากท�ำดูบ้าง ก็น่าสนใจดีนะ” “งั้นเย็นนี้ผมจะลองท�ำดูเลยนะครับ” “แหม ใจร้อนจริงๆ” “ก็ผมยังวัยรุ่นอยู่นี่นา” “ชักอยากให้ถึงมื้อเย็นไวๆ ซะแล้วสิ” “แหม ใจเย็นเป็นน�้ำแข็งขั้วโลกเลยนะครับคุณโจ” “ถ้าฉันรูว้ า่ แกจะชอบพูดจายอกย้อนแบบนีล้ ะ่ ก็ คงไม่ตอบตกลงไอ้โครงการบ้า นั่นแน่ๆ” ถึงค�ำพูดจะตัดเยื่อใย แต่รอยยิ้มกลับระบายบนใบหน้า “ผมไม่เชื่อหรอก จากฐานข้อมูล กิริยาแบบนั้นเป็นการพูดเล่นร้อยเปอร์เซ็นต์” “จริงๆ เล้ย แกเนี่ยน้า ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าไม่ต้องไปพึ่งไอ้ฐานข้อมงข้อมูลนั่น มากก็ได้ หัดใช้ความรู้สึกเสียบ้าง แบบที่ท�ำตอนวาดรูปน่ะ” “คร้าบ คร้าบ ผมจะพยายาม” “รู้ไหม แกท�ำให้ฉันคิดถึงจอห์นนีกับซาราห์” “จอห์นนี...” มนุษย์กลทวนค�ำพลางค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวกับชื่อนี้ “ลูกชายของ คุณที่เสียชีวิตในอุบัติเหตุพร้อมกับภรรยาของคุณสินะครับ” “อืม ถ้าแกเป็นคนจริงๆ ก็คงจะอายุพอๆ กับจอห์นนี วันนั้นฉันเลยตั้งชื่อแก ว่าจอห์น” “คุณคงคิดถึงพวกเขามาก” “ใช่ ถึงความทรงจ�ำหลายอย่างจะรางเลือน แต่เรื่องของพวกเขายังคงชัดเจน ฉันเคยคิดว่าน่าจะตายไปพร้อมกันตั้งแต่วันนั้น ดีกว่าอยู่เป็นคนพิการแบบนี้” “ผมขอโทษ” “ไม่ตอ้ งขอโทษหรอก ตอนนีฉ้ นั ไม่มคี วามคิดสิน้ หวังแบบนัน้ ก็เพราะแกนะ การ 218


ได้สอนวาดรูปท�ำให้ฉันรู้ว่ายังมีสิ่งที่คนพิการอย่างฉันท�ำได้อยู่ ถึงแกจะไม่ใช่มนุษย์ แต่บางทีแกอาจจะมีความเป็นมนุษย์ยิ่งกว่ามนุษย์บางคนเสียอีก” “คุณโจ...” “ฉันล่ะแปลกใจจริงๆ ที่อยู่ๆ มนุษย์กลก็นึกอยากวาดรูปขึ้นมาได้ด้วย” “จะว่าอยากก็ไม่ถกู นักหรอกครับ การได้เห็นภาพวาดฝีมอื ของคุณบ่อยๆ สมอง กลที่เน้นการเรียนรู้ก็เลยทดลองสร้างภาพแบบนั้นขึ้นมาบ้าง แต่ก็ได้ผลงานชิ้นแรก ออกมาอย่างที่เห็นนั่นแหละครับ” ทั้งสองเหลือบไปมองผลงานศิลปะชิ้นแรกของจอห์นที่แขวนอยู่บนผนังห้อง รับแขกพร้อมกันโดยมิได้นัดหมายแล้วอมยิ้มเมื่อนึกไปถึงเหตุการณ์เบื้องหลังภาพ วาดที่ลงสีผิดเพี้ยน แต่เค้าโครงภาพกลับแม่นย�ำราวภาพถ่าย อุปกรณ์วาดเขียนถูกมนุษย์กลหมายเลขหนึ่งศูนย์แปดขนมาจัดเตรียมไว้ที่ ระเบียงหลังบ้าน เจ้ามนุษย์กลสวมผ้ากันเปื้อน เริ่มลงมือร่างภาพด้วยดินสอที่ถูก เหลาจนหัวแหลมเล็กด้วยความรวดเร็ว เมื่อร่างจนพอใจแล้วก็หยิบเกรียงผสมสีและ พู่กันขึ้นมาด้วยมือขวา ส่วนมือซ้ายถือถาดผสมสี สายตาเล็งไปยังหลอดสีมากมาย ที่วางเตรียมเอาไว้ เมื่อเห็นว่าทุกอย่างพร้อมเจ้ามนุษย์กลก็ลงมือผสมสีแล้วละเลง บนผ้าใบด้วยท่วงท่าพลิ้วไหวเหมือนกับท่าทางของศิลปินชื่อดังที่มักเห็นในโทรทัศน์ “เจ้าหุ่นกระป๋อง แกอยู่ไหน มาช่วยฉันหน่อย” มนุษย์กลชะงักหยุดการเคลื่อนไหวทันทีที่ได้ยินเสียงเรียกของเจ้านาย “จะไป เดี๋ยวนี้ครับ” วางพู่กันและจานผสมสีลงก่อนรีบตรงดิ่งไปหาเจ้านาย “มาแล้วครับ” “ฉันหาอุปกรณ์วาดรูปไม่เจอ ตอนท�ำความสะอาดแกเอาไปเก็บไว้ไหน... เอ๊ะ! ท�ำไมแต่งตัวแบบนั้น” หมายเลขหนึง่ ศูนย์แปดมองดูตวั เอง ผ้ากันเปือ้ นทีม่ คี ราบสีกระจัดกระจายเด่น สะดุดตา “วาดรูปครับ” โจนาธานมองไปทางหน้าต่างหลังบ้านก็พบกับผ้าใบตั้งอยู่บนขาตั้ง พยักหน้า แสดงความเข้าใจแล้ววีลแชร์ก็เคลื่อนไปดูสถานที่เกิดเหตุบริเวณระเบียงหลังบ้าน ภาพวาดที่ยังไม่เสร็จดีอยู่บนขาตั้ง เป็นภาพสวนหย่อมที่สีผิดเพี้ยน ทว่าหาก พิจารณาแต่เส้นร่าง กลับดูเหมือนจริงราวกับเป็นภาพถ่าย 219


“แกวาดหรือ” “ใช่ครับ” “ท�ำไมลงสีแบบนี้” “ผมผสมสีไม่เป็น ก็เลย... เป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละครับ” “ไม่ว่ายังไงเครื่องจักรไม่มีทางสร้างงานศิลปะได้” “แต่ผมร่างได้เหมือนนะครับ” “ผิดตั้งแต่คิดแบบนั้นแล้ว ฉันจะแสดงให้ดูเอง ว่าศิลปะที่แท้จริงเป็นยังไง” โจนาธานสั่งให้น�ำผ้าใบแผ่นใหม่มาวางแทนที่ เขาวาดภาพสวนหย่อมในมุม เดียวกับทีห่ มายเลขหนึง่ ศูนย์แปดวาดเอาไว้กอ่ นหน้านี้ มนุษย์กลสังเกตการนิง่ เงียบ ตาไม่กะพริบจนแถบสีสุดท้ายถูกทาลงบนผ้าใบ “ผมอยากท�ำแบบนั้นได้บ้าง สอนผมหน่อย” ค�ำพูดนัน้ ท�ำให้โจนาธานนิง่ อึง้ ไปนาน เขามองเห็นภาพเงาของลูกชายซ้อนทับ กับเจ้ามนุษย์กลตรงหน้า จอห์นนีลกู ชายของเขามักจะพูดแบบนีเ้ สมอเมือ่ เห็นเขาวาด ภาพเสร็จ แต่เขาไม่เคยได้สอนลูกชายเลยสักครั้งเดียว “แน่ใจหรือ ฉันไม่ใช่ครูที่ดีหรอกนะ” “แน่ใจครับ” “รู้ใช่ไหมว่าฉันท�ำอาชีพอะไร” “แน่นอนครับ ตามฐานข้อมูล คุณเป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ไม่เคยมี ลูกศิษย์เลยแม้แต่คนเดียว” “แล้วรู้ไหมว่าท�ำไมไม่มี” “ไม่มีข้อมูลครับ” “เพราะฉันเคยคิดว่าฉันยังไม่มีฝีมือพอจะสอนใครได้ ฉันจึงไม่เคยสอนแม้แต่ ลูกชายของตัวเอง ถึงเขาจะเคยขอร้องฉันหลายครัง้ หลายหน แต่ฉนั ก็เอาแต่บอกตัวเอง ว่าฉันควรจะเก่งกว่านี้ก่อน จนในที่สุดฉันก็สูญเสียเขาไปตลอดกาลโดยที่ไม่เคยสอน อะไรให้เลย” น�้ำตารื้นขึ้นเต็มดวงตาของโจนาธาน “คุณโจนาธาน...” มนุษย์กลเคลื่อนตัวเข้าไปหา โจนาธานยกมือขึน้ ห้าม “ฉันไม่เป็นไร ไม่เป็นไร“ ยกแขนเสือ้ ขึน้ เช็ดน�ำ้ ตา แล้ว 220


พูดด้วยเสียงที่พยายามดัดให้ใส “ถ้าจะเป็นลูกศิษย์ฉัน ก่อนอื่นคงต้องตั้งชื่อก่อน ให้ เรียกว่าหมายเลขหนึ่งศูนย์แปดคงพิลึกน่าดู” “ชื่อ... หมายถึงชื่อแบบชื่อคนเหรอครับ” “ใช่ เอาเป็น... จอห์น ก็แล้วกัน ตั้งแต่นี้ไปนี้แกมีชื่อว่าจอห์น แล้วก็ เรียกฉันว่า โจก็พอ โจนาธานฟังดูห่างเหินไปหน่อย” “จอห์น จอห์น” มนุษย์กลทวนชื่อใหม่ของตนเอง รอยยิ้มค่อยระบายขึ้นบน ใบหน้าอย่างช้าๆ “ขอบคุณนะครับคุณโจนา... เอ๊ย! คุณโจ ผมจะตัง้ ใจเรียนเต็มทีเ่ ลย” “แกว่าฉันเป็นครูที่ดีไหม” “แค่ดไี ม่พอหรอกครับ ยอดเยีย่ มมากเลยต่างหาก ฝีมอื ผมพัฒนาขึน้ มากเพราะ การสอนของคุณ” “ฮ่า ฮ่า ยังประจบเก่งไม่เปลี่ยนเลยจริงๆ“ “ผมเปล่าประจบเสียหน่อย” “งั้นลองแสดงให้อาจารย์คนนี้ดูหน่อยซิว่าปีนี้ฝีมือก้าวหน้าไปถึงไหนแล้ว” “ได้เลยครับ” จอห์นหยิบผ้ากันเปื้อนมาสวม ส่วนอุปกรณ์ที่จ�ำเป็นอื่นๆ ถูกจัดเตรียมเอาไว้ แล้ว มันเดินไปประจ�ำที่ตรงหน้าผืนผ้าใบสีขาวหันหน้ามาทางโจ มือขวาหยิบดินสอ ขึ้นมากะระยะ ส่งยิ้มกว้างให้ผู้เป็นเจ้านายก่อนลงมือวาด “ถ้าออกมาไม่ได้เรือ่ งล่ะก็ ฉันจะส่งแกกลับศูนย์วจิ ยั แน่” ถึงจะพูดข่มขู่ แต่นำ�้ เสียง กลับไม่มีแววมุ่งร้ายดังว่าเลย “คร้าบ คร้าบ” โจจ้องมองจอห์นด้วยพลางอมยิม้ แต่แววตากลับทอประกายเศร้าสร้อย เขาสูด หายใจเข้าลึกก่อนเอ่ยค�ำพูดออกมาอย่างยากเย็น “ถ้าสมมุตวิ า่ วันนึงฉันหายไป แกจะ ท�ำอะไรให้ฉันเรื่องนึงได้ไหม” “คุณจะไปเที่ยวเหรอครับ ถ้าอย่างนั้นผมจะตามไปด้วย” “ฉันคงจะไปในที่ที่แกตามไปไม่ได้ อย่างนั้นแกจะว่ายังไง” “ผมก็จะรอคุณกลับมา ว่าแต่อยากให้ผมช่วยท�ำอะไรระหว่างที่คุณไม่อยู่เหรอ ครับ” ด้วยความทีเ่ ป็นมนุษย์กล จอห์นสามารถวาดรูปพร้อมกับพูดคุยได้อย่างไม่ขาด 221


ตกบกพร่อง ตอนนี้เปลี่ยนอาวุธในมือขวาจากดินสอเป็นเกรียงผสมสี และหยิบถาด ผสมสีขนึ้ มาควงด้วยนิว้ มือซ้าย สายตาเพ่งพินจิ มายังโจทีเ่ ป็นตัวแบบสลับกับหลอดสี “เมื่ออาทิตย์ก่อน ฉันได้รับค�ำเชิญให้ไปสอนวาดรูป คราวนี้ฉันว่าจะตอบตกลง แต่ถ้าวันนึงฉันไม่อยู่ขึ้นมา ฉันอยากให้แกไปสอนแทน ฉันจะลองคุยกับศูนย์วิจัยเอง ว่าพอจะมีทางให้เป็นไปได้บ้างไหม” “ท�ำไมล่ะครับ ผมยังไม่เก่งขนาดนั้นหรอก เป็นผู้ช่วยน่าจะเหมาะกว่า” “ฉันสอนจนหมดไส้หมดพุงแล้ว บวกกับความจ�ำสุดแม่นย�ำของแก แค่นกี้ ม็ นั่ ใจ ได้แล้วว่าแกจะต้องท�ำได้ เชื่อเถอะ” “เอ่อ... อืม...” จอห์นยกด้ามพู่กันมาเกาหัว ดวงตาปิดสนิท “ก็ได้ครับ ถ้าคุณ หายไปเมื่อไหร่ ผมจะไปสอนแทนให้” “ขอบใจ ขอบใจจริงๆ”

222



และโบยบินไป

กานน นุชดอนไผ่ 224


“โอ้ โอ เจ้าผีเสื้อเอย ก่อนเคยถลาเล่นลม แทรกแซมแกมพันธุ์ไม้ชวนชม หนอลมพาเจ้าไปแห่งใด หนอลมพาเจ้าไปแห่งใด”

เสียงเพลงหน้าประตูรั้วโรงเรียน ดังแผ่วจากเด็กชายชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่ง มันเป็นเพลงเดียวเกี่ยวกับผีเสื้อที่เขานึกออก เด็กชายร้องเพลงที่เขาจ�ำเนื้อได้เพียง ครึ่งเดียวนี้เวียนวนไปมา ขณะรอผู้เป็นแม่มารับกลับบ้าน อารมณ์ของเขาวันนี้ต่าง ไปจากทุกวัน เขารอแม่อย่างใจจดใจจ่อกว่าทุกที แก้มอมยิ้มป่องๆเก็บง�ำความจริง สุดอัศจรรย์ อัดอั้นด้วยความใคร่อยากบอกเล่าใครต่อใครได้รู้ เหยื่อรายแรกคือแม่ แม่มาเมื่อไหร่เขาจะบอกเล่าความอัศจรรย์นี้กับแม่ทันที ความลับของผีเสื้อ ที่วันนี้ เขาได้เรียนรู้มาจากคุณครู เสียงรถจักรยานยนต์คุ้นหู แว่วตามถนนลูกรังสีส้ม เด็กชายพาสายตาแลตาม เสียง เขาเห็นไกลๆ ภาพสตรีนางหนึ่งบนรถจักรยานยนต์สีน�้ำเงินคันเก่า เสียงแว่ว ดังขึ้น ภาพชัดเจนขึ้น แม่....ใกล้เข้ามาและใกล้เข้ามา จักรยานยนต์สีน�้ำเงินคันเก่าชะลอลง กระทั่งความเร็วลดจนหมดสิ้นตรงหน้า เด็กชายอย่างพอดี เด็กชายขึน้ ซ้อนท้าย โอบเอวผูเ้ ป็นแม่ ไม่รอช้ากับเจตนาจะพรัง่ พรู ความอัศจรรย์ให้พ้นแก้ม “แม่ครับ วันนี้คุณครูบอกว่า ผีเสื้อ จริงๆแล้วเป็นหนอนมาก่อน แล้วก็กลาย เป็นดักแด้ แล้วก็ค่อยกลายเป็นผีเสื้อ” 225


ผู้เป็นแม่เหลียวหลังหันหาลูก รอยยิ้มอ่อนโยนอาบบนใบหน้า สบคู่ดวงตาวาว ใสของเด็กชาย “จ้ะ คุณครูของแม่ก็เคยบอกเหมือนกันตอนแม่อายุเท่าหนู” ผู้เป็นแม่ตอบก่อนกดมือขวาลงเบาๆบิดให้รถจักรยานยนต์พากลับบ้านริมทุ่ง นา เด็กชายยิ้มอย่างเบิกบานด้วยว่าในใจเขาเต็มไปด้วยเรื่องราวของหนอน ดักแด้ และผีเสื้อ เด็กชายผลัดเปลี่ยนชุดนักเรียนเป็นเสื้อยืดตัวเก่ากับกางเกงขาสั้นที่ได้รับ ตกทอดจากพี่ชายข้างบ้าน เขาเปิดกระเป๋านักเรียนอย่างไม่รอช้า ตั้งใจมั่นเผด็จศึก การบ้านคณิตศาสตร์ ว่องไวกว่าทุกครั้ง ไม่ทันไรเด็กชายจบการบ้านคณิตศาสตร์ ข้อสุดท้ายด้วยค�ำตอบว่า หนึง่ บวกหกเท่ากับสี่ สิน้ เสร็จการบ้านเขาวิง่ ปร๋อออกจากบ้าน ริมทุง่ นา หวังกลับมาเพียงพร้อมหนอนตัวหนึง่ ลืมเสียสนิทเรือ่ งดวลดาบทางมะพร้าว กับสองเพื่อนซี้ข้างบ้านที่วันวานนัดกันเสียดิบดี พ้นปากประตูบา้ นไม่กกี่ า้ ววิง่ เด็กชายตัวน้อยหยุดลงตรงใต้ตน้ เฟือ่ งฟ้าเสาะหา ตามละแวกกิ่งก้านเล็กๆทว่ามากมายตามประสาของต้นไม้ชนิดนี้ ทุกกิ่งเฟื่องฟ้า เขามองหาครบถ้วนหวังกลับมาเพียงพร้อมหนอนตัวหนึ่ง แล้วอาการผิดหวังก็เกิด แต่ความหวังใหม่ถูกสร้างขึ้นทันที เขาวิ่งต่อไป ห่างบ้านริมทุ่งนาไม่เท่าไหร่ เขาชอบ เรียกระยะทางขนาดนีว้ า่ ครึง่ ก้าวอุลตร้าแมน เขาวิง่ และหยุดลงตรงโคนต้นกล้วยน�ำ้ ว้า เพ่งใบตองทุกใบ มองไล้ทั่วล�ำต้น และต้นกล้วยน�้ำว้าต้นต่อไปอีกหลายๆต้น แน่นอน เขาหวังกลับมาพร้อมกับหนอนตัวหนึ่ง อีกครั้งที่เด็กชายผิดหวัง เขาวิ่งต่อไปไกลจน ลมหายใจถี่หอบ หน้าบ้านคุณลุงคนขับรถสองแถวใจดีคือต้นมะขามรสเปรี้ยวขนาด ใหญ่ เด็กชายหยุดวิ่ง พักเหนื่อยชั่วครู่ให้การหอบจางลงและปีนขึ้นไป สูงจากพื้นดิน นัน้ เพียงครึง่ ล�ำตัว ยอดใบมะขามอ่อนๆพาให้เขาหยุดเรือ่ งหนอนชัว่ ครูอ่ ย่างช่วยไม่ได้ เด็กชายยืดคอเข้ากัดยอดใบมะขามสีเขียวอ่อนเข้าปากเคีย้ ว แม้รสเปรีย้ วของมันจะไม่ อร่อยเหมือนการกินขนม แต่เขาก็สนุกไปกับการกินใบไม้ในลักษณะนัน้ มันท�ำให้เขา สมมุตติ วั เองว่าเป็นไดโนเสาร์คอยาวเขมือบเคีย้ วใบไม้ยงั ชีพ ณ เวลานัน้ เอง ขณะทีเ่ ขา ก�ำลังเคีย้ วอย่างสนุกปาก เด็กชายก็ได้พบหนอนสีเขียวอ้วนๆตัวหนึง่ ความกว้างและ ยาวขนาดกว่าครึง่ นิว้ ก้อย หนอนเขียวเลือ้ ยคลานอยูบ่ นกิง่ มะขามน�ำ้ ตาลแก่เนือ้ ขรุขระ เด็กชายใช้สองปลายนิ้วซ้ายคีบร่างนิ่มๆย้ายหนอนเขียวจากกิ่งมะขามสู่ฝ่ามือขวา ของตนอย่างอ่อนโยน ก่อนกระโจนลงจากต้นไม้ มุง่ กลับบ้านริมทุง่ นา เด็กชายไม่รชู้ อื่ 226


เรียกของเผ่าพันธุ์หนอนเขียวล�ำตัวเป็นปล้องๆ เขาเรียกมันว่า “เจ้าเขียว” “แม่ครับ นี่คือเจ้าเขียว จะเลี้ยงมันไว้จนมันกลายเป็นผีเสื้อ” เด็กชายประกาศกร้าวต่อมารดาขณะแบฝ่ามือเผยให้เห็นหนอนตัวน้อย เป็นอีกครั้งของเย็นนี้ที่ผู้เป็นแม่ยิ้มด้วยใบหน้าแสนอบอุ่น เด็กชายใส่เจ้าเขียว ลงกล่องพลาสติกใบใสว่างเปล่าวางมันลงบนโต๊ะรับแขก ครัง้ หนึง่ กล่องนีเ้ คยบรรจุขา้ ว กล่องของร้านอาหารฟาสต์ฟู้ดจากเมืองหลวง ของฝากจากผู้เป็นพ่อ “แม่ครับกี่วันหนอนถึงจะกลายเป็นดักแด้?” “คงประมาณ 10 วันนะแม่ก็ไม่แน่ใจ แต่ถ้าโชคดีมากๆเจ้าเขียวอาจจะใกล้เป็น ดักแด้แล้วก็ได้” “แล้วหนอนกินอะไรเหรอ” “ใบไม้จ้ะ” เด็กชายมุง่ ไปยังต้นเฟือ่ งฟ้าต้นเดิม หักกิง่ บางๆสีนำ�้ ตาล เด็ดใบเขียวละม้ายใบ โพธิ์จะต่างกันก็แค่เพียงขนาดที่ด้อยกว่า ก�ำกอบกิ่งและใบน�ำลงวางสู่กล่องพลาสติก ใบใสจนเต็ม “อย่าปิดฝานะลูก” เสียงของแม่ลอยล่องจากในครัว น�ำให้เด็กชายพาฝาปิดกล่องในมือน้อยๆกลับ วางสูต่ เู้ ก็บของดังเดิมก่อนรุดกลับมาจัดระเบียบสรรพสิง่ ในกล่องพลาสติก เพือ่ แน่ใจ ให้กิ่งก้านใบห่างจากผนังด้านในกล่องพอที่ท�ำให้เจ้าเขียวไร้หนทางไต่หนีออกไป แล้วเขาก็ค่อยๆขยับใบเฟื่องฟ้าเข้าใกล้ส่วนหัวเจ้าเขียวอย่างเบามือ จ้องอยู่ เป็นนานทว่าเจ้าเขียวก็ไม่มีทีท่าจะขยับเข้ากัดกินแม้แต่น้อย กระทั่งเสียงของผู้เป็น แม่ลอยมาอีกครั้ง “มากินข้าวก่อนนะ เสร็จแล้วก็ไปอาบน�้ำด้วย” เด็กชายเดินไปตักข้าวอย่างเซื่องๆ เนื่องด้วยเป็นการเดินที่เจืออาการผิดหวัง ซ�้ำยังค่อยๆกินข้าวอย่างเชื่องช้า นึกหวังในใจว่าหากเขากลับไปจะพบว่าใบเฟื่องฟ้า แหว่งหาย เจ้าเขียวยังอยู่ที่เดิมเบื้องหน้านั้นคือใบเฟื่องฟ้าใบเดิม หากมองดูด้วยความ ตัง้ ใจจะเห็นส่วนหัวของเจ้าเขียวขยับเบาๆและแม้ปากของมันจะเล็กเกินกว่าทีต่ าเปล่า ของมนุษย์ธรรมดาจะมองเห็นทว่าก็สามารถรูไ้ ด้ไม่ยากว่าเจ้าหนอนน้อยตัวเขียวๆนี้ 227


ก�ำลังกินอาหารมื้อเย็น เจ้าหนอนเริ่มกินอาหารของมันสักพักแล้ว เริ่มขึ้นแทบจะ พร้อมๆกับการจากไปชั่วคราวของผู้ที่น�ำมันมาจากต้นมะขาม นั่นเองท�ำให้เห็นขอบ ใบเฟื่องฟ้าเกิดร่องรอยแทะเล็มขนาดเท่ากับส่วนปลายของส่วนปลายของฟันน�้ำนม หน้าบนของเด็กชายที่เพิ่งหลุดไปเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน เหตุการณ์ทดี่ ไู ม่สลักส�ำคัญอะไรสร้างรอยยิม้ เสียงหัวเราะ และดีดร่างกายเล็กๆ ของเด็กชายให้กระโดดโลดหลังเสร็จจากการล้างท�ำความสะอาดจานข้าวของตัวเอง ซึ่งแม่ของเขานั้นบอกอยู่บ่อยๆว่าหากโตกว่านี้เขาจะต้องเป็นคนล้างจานทุกใบ “แม่บอกให้อาบน�้ำก่อนไม่ใช่เหรอ?” เสียงผู้เป็นแม่ลอยมาอีก ลอยปนมากับ เสียงน�้ำไหลจากการที่เธอก�ำลังล้านจานใบที่เหลือ “แม่ๆ มันกินใบไม้จริงๆด้วย” เสียงตะโกนของเด็กชายดังขึน้ ระหว่างการกระโดด โลดเต้นที่ยากจะหยุดก่อนที่เขาจะรีบถอดเสื้อผ้าทั้งหมดออกกองลงตรงนั้น รีบคว้า ผ้าเช็ดตัว รีบวิง่ เข้าห้องน�ำ้ รีบเปิดฝักบัว รีบอาบน�ำ้ แต่งตัวและรีบกลับมาดูเจ้าหนอน อีกครั้ง แม้เด็กชายจะรู้ว่าไม่เร็วเท่าการแปลงร่างของต�ำรวจอวกาศเกียบันที่ใช้เวลา เพียง0.05วินาทีแต่การอาบน�้ำในครั้งนั้นก็เร็วที่สุดในชีวิตของเขานับตั้งแต่เขาเริ่ม อาบน�้ำเอง ใกล้ดึกความง่วงก็ค่อยๆแทรกตัวเข้าแทนที่ความตื่นเต้น ทว่าเด็กชายยังคง กลิ้งไปมาอยู่ใกล้ๆกล่องใบใสเพื่อรอ ไม่ได้รอดูการร่อยหรอของใบไม้ถึงแม้เจ้าเขียว ตอนนีย้ งั ไม่มที ที า่ ว่าจะหยุดกิน ไม่ได้รอการกลายเป็นดักแด้ของมัน เรือ่ งนัน้ เขาหมาย มั่นจะตื่นขึ้นดูในรุ่งเช้าเพราะเขารู้จากคุณครูว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ช้ามากถึง มากที่สุดจนยากจะเพ่งดู เขารอบอกเรื่องอัศจรรย์นี้กับใครอีกคนหนึ่ง แล้วเด็กน้อย ที่กลิ้งไปมาอยู่ข้างๆกล่องใบใสบนโต๊ะรับแขกก็เคลิ้มหลับไปก่อนที่เขาจะได้ยินเสียง ของแม่พูดผ่านโทรศัพท์ “แกรอคุณอยู่น่ะ” เวลาเกือบสีท่ มุ่ แขนคูก่ ำ� ย�ำของชายวัยกลางคนค่อยๆโอบร่างเล็กๆของเด็กชาย สูช่ นั้ สองของบ้านริมทุง่ นา พาเขาไปยังทีน่ อนผ้านวมสีชมพูออ่ นและปลอกหมอนลาย ลูกหมาทีภ่ รรยาของเขาจัดเตรียมไว้ ระหว่างการก้าวขึน้ บันไดสองสามขัน้ สุดท้ายมือ และแขนคู่ที่ได้เคยอุ้มกอดเขาในวันแรกเกิดก็ท�ำให้เขารู้สึกตัวแผ่วๆ เขาพูดออกมา เบาๆด้วยอาการกึ่งละเมอ 228


“พ่อครับ......ผีเสื้อ..จริงๆแล้วเป็นหนอนมาก่อน...”

ประสบการณ์ของฉัน วันหนึง่ ตอนทีฉ่ นั อยูช่ นั้ ป.1 ครูบอกฉันว่า ผีเสือ้ ทีจ่ ริงแล้วมันเป็นหนอนมาก่อน ฉันตืน่ เต้นมาก ฉันจึงรีบบอกแม่หลังจากโรงเรียนเลิก แม่บอกว่าครูของแม่กเ็ คยบอก พอกลับถึงบ้านฉันก็รีบท�ำการบ้านให้เสร็จแล้วจึงออกไปหาหนอนมาเลี้ยงเพราะฉัน อยากดูมันกลายเป็นดักแด้ ฉันได้หนอนมาตัวหนึ่งแล้วก็ตั้งชื่อมันว่าเจ้าเขียว ฉันเอา มันใส่ไว้ในกล่อง แม่บอกฉันว่าไม่ให้ปดิ ฝาฉันก็เลยไม่ปดิ แล้วฉันก็เอาใบไม้มาใส่ไว้ให้ มันกิน ฉันตื่นเต้นมากๆตอนที่เห็นมันกินใบไม้ พอตอนเช้าฉันก็บอกกับพ่อของฉัน เพราะว่าวันนัน้ พ่อกลับบ้านดึกฉันก็เลยต้องบอกพ่อตอนเช้า พ่อบอกว่าพ่อรูอ้ ยูแ่ ล้ว.... ดวงจันทร์สีเทาจางลงช้าๆ กระทั่งลับสายตาไปด้วยแสงจากดวงตะวันในทิศ ตรงข้ามที่แอบทอหลังพนามะพร้าวต้นสูง ก่อนหน้านั้นราวครึ่งชั่วโมงเด็กชายลืมตาก่อนการท�ำหน้าที่ของนาฬิกาปลุก ลุ้นขณะก้าวลงบันได “เจ้าเขียวจะเริ่มกลายเป็นดักแด้หรือยังนะ?” เขาจ้องมองใน กล่องใบใส กวาดตาหาเจ้าเขียวทีอ่ ำ� พรางร่างกายเป็นสีคล้ายใบเฟือ่ งฟ้า หนึง่ ใบในนัน้ บางส่วนแหว่งหายไปราวหนึง่ ในสี่ ใบไม้ใบนัน้ สร้างความปลาบปลืม้ ให้เด็กชายตัง้ แต่ แวบแรกที่เห็นก่อนที่เขากวาดสายตาต่อไปและหาสิ่งที่ส�ำคัญกว่าจนพบ ไม่รู้เจ้า หนอนเขียวที่ก�ำลังสงบนิ่งนั้นมีเปลือกตาหรือเปล่าแต่รู้สึกได้ว่ามันก�ำลังหลับและ.... เจ้าเขียวยังคงเป็นหนอน แล้วตะวันดวงกลมก็ลอยอ้อยอิง่ บริเวณแทบกึง่ กลางฟ้า ปิน่ โตสแตนเลสสองชัน้ เถาหนึ่งตั้งอยู่ข้างขาโต๊ะในห้องเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่หนึ่งทับสาม ภายในชัน้ แรกของปิน่ โตมีเศษข้าวเม็ดขาวประปราย ชัน้ ทีส่ องวางเปล่าเพราะมันเคย บรรจุหมูทอดอาหารสุดโปรดรสมือแม่ ทันทีทวี่ างมันทิง้ ไว้ตรงนัน้ เจ้าของปิน่ โตวิง่ ขึน้ ไปชั้นบนของอาคารเรียนไม้ตรงไปยังห้องสมุด ด้วยเขานึกขึ้นได้ว่าครั้งหนึ่งเคยเห็น ภาพวาดวงจรชีวิตของหนอนติดอยู่บนผนัง เพียงแต่ครั้งนั้นเขาไม่ได้สนใจมันนัก เด็กชายจ้องมองภาพวาดสีนำ�้ บนกระดาษทัง้ หกทีละรูป รูปแรกคือผีเสือ้ วางไข่ 229


รูปต่อมาคือตัวหนอนล�ำตัวเป็นปล้องๆลักษณะคล้ายเจ้าเขียวของเขาเพียงแต่ลำ� ปล้อง ของมันเป็นสีแดงสลับเหลือง ข้างๆรูปนั้นคือรูปหนอนที่เริ่มเป็นดักแด้จากส่วนหัว ตามด้วยดักแด้อีกรูปทว่ายังพอมองเห็นส่วนหางของเจ้าหนอนสองสี รูปที่ห้าจึงเป็น รูปดักแด้เต็มตัวและสุดท้ายรูปผีเสือ้ ตัวงามสีเดียวกันกับหนอน เด็กชายดูภาพเหล่านี้ ไปมาเพื่อจดจ�ำ โดยเฉพาะรูปดักแด้สามรูป ขณะเดียวกันนั้นเอง บรรดาเด็กนักเรียน ก�ำลังวิ่งเล่นกลางสนามได้อย่างไม่ร้อนแดดเพราะเมฆก้อนเล็กๆเคลื่อนตัวมาบดบัง ดวงตะวันอย่างพอดี ครูสอนคณิตศาสตร์ใช้เวลาว่างหลังอาหารตรวจการบ้าน แลดู เหมือนเธอจะไม่ค่อยพอใจกับการบ้านของนักเรียนคนหนึ่ง แล้วเมฆก็เคลื่อนผ่านไป ไกลออกไปไม่กกี่ โิ ลในบ้านหลังหนึง่ ข้างๆผืนนา จิตรกรเจ้าของผลงานสีนำ�้ บนกระดาษ ทั้งหก และลูกศิษย์ของเธอที่ใช้เวลากับการเรียนวาดรูประหว่างรอการเปิดภาคเรียน ของมหาวิทยาลัยก�ำลังสนทนาถึงกล่องใบใสที่วางอยู่บนโต๊ะรับแขก “เอาใบไม้มาใส่กล่องไว้ท�ำไมเหรอคะครู” ผูเ้ ป็นศิษย์เอ่ยขึน้ ท�ำให้ครูของเธอยิม้ มุมปากและตอบด้วยค�ำพูดทีร่ าวกับเสียง หัวเราะใสๆ “อ๋อ นี่ของลูกครูเองจ้ะ เค้าใส่หนอนเอาไว้ เค้าบอกว่าจะรอดูมันเป็นผีเสื้อ” “ถึงว่าล่ะ เมื่อวานน้องของหนูบ่นใหญ่เลยว่าลูกครูไม่ไปเล่นฟันดาบด้วยกัน” สองสตรีต่างวัยหัวเราะกันคิกคักด้วยความชอบใจ โดยไม่ทันได้สังเกต...การ เริ่มขดตัวของหนอนตัวน้อยในกล่อง หลังเลิกเรียน เด็กชายรี่ตรงไปยังห้องห้องหนึ่งของอาคารไม้ที่ทาด้วยสีเขียว อ่อน ห้องเดียวในโรงเรียนซึง่ ติดตัง้ เครือ่ งปรับอากาศเย็นฉ�่ำ ป้ายเหนือประตูเขียนว่า “ผูอ้ ำ� นวยการ” เด็กชายผลักประตูกระจกทีแ่ ขวนปิดด้วยผ้าม่านสีครีมเข้าไปโดยไม่ได้ เคาะเตือนผูอ้ ยูข่ า้ งใน ภาพแรกทีเ่ ห็นหลังการเปิดประตูโดยไร้มารยาทคือผูอ้ ำ� นวยการ ของโรงเรียนก�ำลังจัดการกับงานของเขาในคอมพิวเตอร์ “พ่อครับ จะกลับบ้านตอนไหน ผมจะกลับไปดูหนอน” “ท�ำการบ้านรอก่อน พ่อท�ำงานอีกแป๊บนึง” “โธ่พ่อ ผมจะกลับไปดูหนอน” เด็กชายเริ่มงอแงแต่ต้องนิ่งชะงักไปด้วยค�ำพูด ของผู้เป็นพ่อ “วันนี้ครูแววตามาบอกพ่อว่าหนูท�ำการบ้านมั่ว ตั้งใจนั่งท�ำการบ้านให้ดีๆแล้ว 230


เอามาให้พ่อตรวจด้วย ถ้าคราวหน้าไปโกหกครูเค้าอีกพ่อจะตี” ผู้เป็นทั้งพ่อและผู้อ�ำนวยการโรงเรียนยื่นค�ำขาด เคราะห์กรรมของการไม่เคย สอบได้ล�ำดับที่เป็นเลขสองหลักนั่นเองท�ำให้ครูแววตาเดาได้ไม่ยาก เด็กชายอ�้ำอึ้งไร้ ค�ำพูดใดๆหลุดออกมา ได้แต่เปิดกระเป๋าหยิบสมุดการบ้านขึน้ ท�ำอย่างว่าง่าย กระนัน้ ก็แฝงความไม่พอใจลึกๆ เขาแทบท�ำอะไรไม่ได้กับความไม่พอใจนี้นอกจากปลอบใจ ตัวเองว่า “อย่างน้อยก็ได้นั่งตากแอร์” ราวเวลาห้าโมงเย็นทีร่ มิ ทุง่ นาเด็กชายก้าวลงมาจากรถเก๋งสีดำ� เด็ดใบเฟือ่ งฟ้า จนเต็มหนึ่งก�ำมือ ตรงไปยังกล่องใสบนโต๊ะรับแขก ค้นหาในกล่องเพียงไม่นานเด็ก ชายแลเห็นเจ้าหนอนน้อยนอนนิ่งอยู่บนใบเฟื่องฟ้าที่ดูจะยับยู่เล็กน้อยจากการขาด น�้ำ เด็กชายเข้าใจในทันทีที่เห็นว่าท�ำไมมันถึงสงบนิ่งถึงเพียงนั้น เขาเห็นเจ้าหนอน เขียวที่ล�ำปล้องแรกได้กลืนส่วนหัวไปราวครึ่งหนึ่งตามสิ่งที่ควรจะเป็นของดักแด้ ระยะแรกๆ เขาไม่เอะใจสงสัยเลยว่าเป็นเพราะส่วนหัวของเจ้าหนอนจะหดเข้าตัวหรือ เป็นเพราะล�ำปล้องจะยืดยาวมาปกปิด ความตื่นเต้นของเด็กชายเอ่อล้นออกมาเป็น เสียงตะโกนลัน่ ทัว่ อาณาบริเวณ ชูมอื ขึน้ ฟ้าราวกับผูย้ นิ ดีในชัยชนะท�ำเอาใบเฟือ่ งฟ้า ในมือหล่นเกลื่อนพื้น “แม่ครับบบบบบ! มันเป็นดักแด้แล้ว” “แม่ท�ำกับข้าวอยู่จ้ะ” เขาเกือบจะหยิบเจ้ากล่องนัน้ วิง่ เข้าไปในครัวแล้ว โชคดีทแี่ ค่เกือบ โชคดีมากๆ เพราะเขาพลันฉุกคิดขึน้ มาได้วา่ ถ้าเขาจะรีบวิง่ ถือกล่องนัน้ ไปให้แม่ดบู างทีเจ้าดักแด้ อาจได้รบั ความกระทบกระเทือน ทว่าการอดใจรอไม่ได้อยูใ่ นอารมณ์ของเขา เด็กชาย วิ่งเข้าไปในครัวตามเสียงของมารดา พรรณนาถึงเจ้าหนอนนั้น รบเร้าให้เธอไปดูเจ้า เขียว จนในทีส่ ดุ ความออดอ้อนก็เอาชนะหน้าทีท่ ำ� อาหารจนได้ ปล่อยให้ไข่ดบิ สามใบ ที่ยังตีไม่เข้ากันดีกับส้อมหนึ่งคันในชามทิ้งรออยู่อย่างนั้น “แม่ดูสิ หัวมันหายเข้าไปนิดนึงแล้ว เหมือนรูปในห้องสมุดเลย” หากใครมาเห็นเธอเข้าตอนนี้คงสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงทางสีหน้าของ เธอได้ไม่ยากนัก แน่นอนว่าเธอมีอายุมากเกินกว่าจะตื่นเต้นกับการเปลี่ยนแปลง ของหนอนเสียแล้ว หลายสิ่งๆที่รวมกันเป็นความละมุนบนใบหน้าเธอมาจากความ ปลาบปลื้ม ความภูมิใจพรั่งพรูออกมาจากหัวใจของเธอต่างหาก จากหัวใจลอยสูง 231


ขึ้นสู่ใบหน้า ยกมุมปากทั้งสองข้างของเธอขึ้นอย่างเนิบช้างดงาม ซ�้ำยังโชยขึ้นไปอีก จนถึงดวงตาของเธอ เปลี่ยนมันให้ฉายประกายวาว แล้วมันก็มาเกาะกันอยู่ที่แววตา ของเธอนี่เอง มากมายจนแทบจะล้นออกมาเสียอีกหากเธอไม่สะกดมันเอาไว้ ทว่า ด้วยเหตุผลกลใดก็มอิ าจทราบเธอเลือกทีจ่ ะเก็บความลับเล็กๆบางอย่าง เธอเพียงพูด กับลูกชายตัวน้อยไปว่า “ว้าว โชคดีจัง เพิ่งจะเอามาเมื่อวานนี้เอง เป็นดักแด้แล้ว” แล้วเธอก็ยืนดูเจ้าหนอนนั้นสักพักพอให้แน่ใจว่าลูกชายจะไม่ไปรบเร้าอีกก่อน กลับเข้าครัว หยิบขวดน�ำ้ ปลา ค่อยๆหยดมันลงในช้อนด้ามสัน้ ก่อนเทลงในชามไข่ดบิ ท�ำแบบนี้ซ�้ำๆสองสามครั้งหรือบางทีอาจจะสี่เธอก็ชักไม่แน่ใจ ไข่เจียววันนั้นอาจจะ เค็มเกินไปนิด เพราะตอนใส่น�้ำปลาค�ำพูดหนึ่งยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของ แม่ครัวตลอดเวลา “เหมือนรูปในห้องสมุดเลย” เจ้าหนอนเขียวสร้างความตืน่ เต้นให้เด็กชายได้มากพอดู แต่ถงึ อย่างไรวันนีเ้ ขา ก็ไม่ต้องเสียเวลาออกไปวิ่งตามหาหนอนเหมือนวันวาน ไม่ต้องรอดูมันกินใบไม้ อีก ทัง้ การบ้านก็ถกู บังคับให้ท�ำจนเสร็จ พ่อของเขาก็ตรวจค�ำตอบให้เรียบร้อย การไม่ได้ เสียเวลาไปกับเรือ่ งเหล่านัน้ นัน่ เองท�ำให้เด็กชายคิดถึงภาระหน้าทีส่ ำ� คัญอีกอย่างหนึง่ ขึ้นมาได้ เขาจึงสรรหาค�ำขอโทษและค�ำแก้ตัวดีๆที่เด็กประถมคนหนึ่งจะพึงนึกออก น�ำพามันไปกับดาบทางมะพร้าวที่พิงอยู่กับผนังข้างประตูบ้าน เช้าทีส่ องนับจากการพบเจอระหว่างหนอนและเด็กชาย เป็นอีกเช้าทีเ่ ขาตืน่ ขึน้ ก่อนการท�ำงานของนาฬิกาปลุก แตกต่างจากเช้าวานเล็กน้อยตรงทีเ่ ขารูแ้ น่วา่ มันจะ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ แล้วก็เป็นดังที่คาด แม้จะไม่ต่างอะไรกับเย็นวานนักแต่ ส่วนหัวของเจ้าหนอนเริ่มจะไม่เรียกว่าเป็นปล้องๆอีกต่อไป เด็กชายยิ้มบานราวกับ จะไม่มีวันหุบมันได้ตลอดเวลาที่ท�ำกิจวัตรยามเช้า และแม้รู้ว่าจะเห็นภาพเดิมเขาไม่ วายจะแวะดูเจ้าเขียวอีกครั้งก่อนก้าวเข้าไปนั่งในรถเก๋งสีด�ำ แม่บอกว่าหนอนมันจะเริม่ เป็นดักแด้หลังจากมันเกิดมาได้ประมาณ 10 วัน ฉัน คงจะเอามันมาตอนวันที่สิบพอดีเพราะว่าพอถึงวันต่อมาพอฉันกลับจากโรงเรียนมา ดูมันก็เริ่มเป็นดักแด้แล้ว ฉันตื่นเต้นมากเพราะว่าฉันไม่เคยเห็นดักแด้จริงๆ มาก่อน ฉันเคยเห็นแต่ในรูปภาพทีห่ อ้ งสมุดของโรงเรียน พอเป็นดักแด้แล้วมันก็จะไม่กนิ ใบไม้ 232


แต่วันนั้นฉันก็เปลี่ยนใบไม้ให้มันเพราะใบไม้ที่ฉันใส่ไว้มันเหี่ยว มันจะได้คิดว่ามัน ไม่ได้อยู่ในกล่องแต่อยู่บนต้นไม้ เย็นวันนีเ้ จ้าเขียวก็กลายสภาพอีกนิดหน่อย แม้จะคนละสีแต่รปู ลักษณ์ของมัน มันเกือบจะใกล้เคียงกับรูปดักแด้รปู ทีส่ องทีเ่ ด็กชายเพิง่ ไปดูมาอีกครัง้ เมือ่ ตอนกลางวัน หลังจากเปลีย่ นใบไม้เสร็จสรรพ เด็กชายวาดฝันไปไกลกว่านัน้ ร่วมสัปดาห์ ในภาพฝัน ทีม่ เี พียงเขาและเจ้าเขียว แม้วนั หนึง่ นัน้ มันจะไม่ใช่หนอนอีกต่อไปแต่เขาก็จะยังคงใช้ ชือ่ นีก้ บั มัน ในเมือ่ เจ้าเขียวก็คอื เจ้าเขียว เขาจินตนาการถึงเจ้าผีเสือ้ น้อยค่อยๆแทรก ตัวออกมาจากดักแด้อย่างช้าๆ เขาเห็นกริยานีข้ องมันเพราะเข้าจ้องมองมันตลอดทัง้ วัน อาจจะท�ำได้ก็ได้หากวันนั้นเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ เขาไม่ดูการ์ตูนตอนเช้าแม้ว่า ตัวเอกจะเปลีย่ นทรงผมเป็นสีทองครัง้ แรก แต่เขาคงปฏิเสธการกินข้าวไม่ได้ ก็ขนาด วันทีพ่ ชี่ ายข้างบ้านได้วดิ โี อเกมมาใหม่เขายังถูกแม่บงั คับให้ตอ้ งกินข้าวเช้าก่อนจะไป เล่นด้วยเลย ดังนั้นเขาจะถือชามข้าวมากินตรงหน้าเจ้าเขียว เขานึกเนื้อเพลงท่อนที่ เหลือได้แล้ว ใครกันหนอจะใจร้ายได้ขนาดนี้ ลองเก็บหนอนสักตัวมาใส่กล่องพลาสติก ใสๆแล้วเฝ้าดูมันเป็นผีเสื้อสิ แล้วก็อย่าปิดฝานะ ใครเล่าใจร้ายบึ้งตึง เด็ดดึงฉีกทึ้งปีกงาม เด็ดดึงฉีกทึ้งปีกงาม ข้าอยากจะถามใครนะท�ำเจ้าเอย ข้าอยากจะถามใครนะท�ำเจ้าเอย แล้วพอวันต่อมามันก็เปลี่ยนไปอีก มันคล้ายๆกับรูปที่ฉันเห็นในห้องสมุด มันเหมือนกับหนอนผสมดักแด้ แล้วฉันก็ตื่นแต่เช้ามาดูมันทุกวันและตอนเย็นฉันก็ เก็บใบไม้มาเปลี่ยนทุกเย็น ฉันมีความสุขมากเวลาที่ดูแล้วมันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ทีละนิด เด็กชายยังคงหลุดไปไหนภาพฝันบ้าง ทัง้ ตอนทีอ่ อกไปวิง่ เล่นกับเพือ่ น ทัง้ ตอน เลือกตักเฉพาะเต้าหู้ทอดในผัดถั่วงอกของแม่ กระทั่งเวลานอน คืนนั้นเขาเห็นผีเสื้อ ตัวหนึง่ บินอยูร่ อบๆตัวทัง้ ๆทีเ่ ปลือกตาปิดสนิท ผีเสือ้ ตัวนัน้ สีเขียว แล้วเขาก็พดู ออก 233


มาด้วยเสียงที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่ได้ยิน “เจ้าเขียว” เมือ่ ผีเสือ้ หายไป เด็กชายก็ทำ� ดังเช่นเช้าทีผ่ า่ นมา ข้างๆโต๊ะรับแขกเด็กชายจ้อง มอง เพ่งพิจารณา ดูแล้วดูอกี พยายามค้นหาความเปลีย่ นแปลงบนร่างเล็กๆ เขาดูอยู่ เป็นนานด้วยความสงสัยใคร่รู้ สงสัยว่าตอนกลางคืนมันจะหยุดกลายร่าง สงสัยว่ามัน กลายร่างนิดเดียวจนยากที่จะสังเกต สงสัยว่าเขาควรต้องเอาใบไม้มาใส่ไว้มากกว่านี้ หรือเปล่า สงสัยว่าเขาต้องไปโรงเรียนและกลับมาดูอีกทีในตอนเย็น เด็กชายไร้เดียงสาไม่สงสัยเลยว่า บางที ดักแด้ก็ไม่กลายเป็นผีเสื้อ สองวันผ่านไป ทั้งเช้าและเย็นที่เขาไม่ลืมที่จะแวะมาดู การไม่เปลี่ยนแปลง แม้แต่น้อยกับค�ำตอบของแม่ที่บอกว่ามันอาจจะไม่แข็งแรง ท�ำให้เด็กชายเริ่มคิด หาค�ำตอบด้วยตัวเอง ภาพฝันเริ่มจาง จนกระทั่งเช้าวันถัดไปเจ้าเขียวก็ยังคงอยู่ใน สภาพเดิม ยกเว้นแต่สเี ขียวของมันดูหม่นลง หากมันเป็นสีของดักแด้กค็ งจะดีไม่นอ้ ย ส�ำหรับใครบางคน แต่ก็เปล่า เหมือนกับว่ามันมีสีม่วงหม่นเจืออยู่ด้วย สีหมองหม่นที่ พยายามจะบอกใครต่อใครโดยเฉพาะกับเด็กชายตัวน้อยว่าแม้เช้าถัดไปร่างกายของ เจ้าเขียวก็จะยังคงเป็นเช่นนี้ สีทบี่ อกว่าเจ้าเขียวจะไม่มวี นั กลายเป็นผีเสือ้ เช้าวันหยุด สุดสัปดาห์นี้เด็กชายยังคงมีความหวังแห้งๆ ขณะก้าวลงบันได มุ่งสู่กล่องใบใสอย่าง เช่นที่เคยท�ำทุกเช้าตั้งแต่มีเจ้าเขียว เขาจดจ้องมันอยู่อย่างนั้น เสียงตะหลิวของพ่อ ครูดไปกับกระทะจากการเคล้ากาแฟไปมาผสานกับเสียงท�ำกับข้าวของแม่ ส�ำหรับ เขาเสียงแค่เพียงผ่านไป ราวกับว่า ณ ขณะนั้น มีเพียงเด็กชาย เจ้าเขียว และความ เงียบงัน เขายืนอยู่อย่างนั้นกระทั่งเขาพบค�ำตอบที่ท�ำให้ภาพฝันเป็นเพียงภาพฝัน เด็กชายไม่ร้องไห้ เหตุเพียงเพราะการขาดหายไปบางส่วนของค�ำตอบ เมื่อไหร่ไม่รู้ที่แม่ยืนอยู่ข้างๆ “แม่” เด็กชายหันไปเรียกเธอ และค่อยๆเติมเต็มค�ำตอบของตัวเองด้วยเสียงสัน่ เครือ “มันตายแล้วใช่ไหม” ยังไม่ทนั ได้รบั ค�ำตอบจากแม่ น�ำ้ ตาของเด็กชายชัน้ ประถมศึกษาปีทหี่ นึง่ ก็เริม่ ท�ำหน้าที่ของมัน 234


กาแฟเม็ดด�ำเกรียมที่ความร้อนคลายตัวออกถูกเก็บเข้ากระปุกแก้วโปร่งแสง โดยชายวัยกลางคนที่ยังคงปฏิเสธการซื้อกาแฟส�ำเร็จรูปไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนาน เท่าไหร่ ภาพสีนำ�้ บนกระดาษทีม่ แี บบมาจากต้นมะพร้าวริมทุง่ นาวางตัง้ อยูใ่ นมุมหนึง่ ของบ้านรอคอยจิตรกรผูใ้ ห้กำ� เนิดมันมาวาดต่อในวันถัดไปด้วยว่าตอนนีเ้ ธอต้องผละ ความเป็นจิตรกรมิฉะนัน้ สามีและลูกของเธอจะพร�ำ่ บ่นถึงอาหารเย็น และทีช่ นั้ สองของ บ้านนี้เอง บนโต๊ะไม้สีน�้ำตาลแก่ข้างหน้าต่าง สมุดการบ้านวิชาภาษาไทยเปิดค้างอยู่ ในหน้าสุดท้าย มันจ�ำต้องอยูใ่ นสภาพนัน้ ช่วยไม่ได้หรอกเพราะเจ้าของของมันอยาก ออกไปวิง่ เล่นมากกว่าความคิดทีจ่ ะเก็บมันเข้ากระเป๋านักเรียน แต่นนั่ ก็ทำ� ให้เห็นรอย ดินสอทีล่ ากขึน้ เป็นตัวอักษร เรียงร้อยกันเป็นเรือ่ งราวสัน้ ๆนอนนิง่ สงบเกือบเต็มหน้า กระดาษ ถึงแม้อยากออกไปเล่นเต็มแก่ แต่กับข้อความสุดท้ายของการบ้าน เด็กชาย ชั้นประถมศึกษาปีที่สี่คนหนึ่งก็ใช้เวลากลั่นมันอยู่นานพอดู “.....แล้ววันหนึ่งดักแด้ของฉันก็กลายเป็นผีเสื้อและโบยบินไป”

235


สิ่งที่ควรค่า

อริสา แสงเป่า 236


‘สิทธิธรรม’ เด็กชายวัยสิบสีท่ อี่ ยูใ่ นชุดนักเรียนสีเหลือง หม่นขัดกับเด็กรอบกายที่ใส่ชุดขาวสะอาดเดินผ่านหน้า ไป แววตารังเกียจอย่างไม่ปิดบังส่งตรงมายังเด็กชาย ไม่ขาดสาย มากมายจนกระทั่งคนที่คิดว่าจะทนได้ก็ กลับต้องถอนใจ กวาดตามองรอบๆเห็นเพียงนักเรียน นานาชาติดสู งู ส่งกับกลุม่ คนในเครือ่ งแบบต�ำรวจสีแดง อย่างที่แสดงว่าเป็นหน่วยพิเศษแตกต่างจากต�ำรวจ ทั่วไปยืนกระจายอยู่ทั่ว สิทธิธรรมกระชับเป้บนบ่าขวา ก่อนจะตั้งท่าออกเดิน หากพอเลี้ยวพ้นมุมมาก็เจอเด็ก ผูช้ ายวัยทีด่ โู ตกว่าสองคนซึง่ เพิง่ เดินออกจากร้านกาแฟ ราคาแพงระยับแถวนั้น ถ้าเป็นเด็กนักเรียนคนอืน่ ๆคงท�ำหน้ารังเกียจเขา แล้วเดินหนีไปแล้ว หากไม่ใช่ กับสองคนนี้ เมื่อสิทธิธรรมถูกประกบหน้าหลังภายในชั่วพริบตาถัดมา “ทางเข้าโรงเรียนวัดอยู่ด้านหลังไม่ใช่หรือไง ท�ำไมแกถึงมาเดินตรงนี้ สกปรก จริง” ขณะที่พูด บุรุษร่างยักษ์หน้าตาดุดันคนหนึ่งในเครื่องแบบต�ำรวจหน่วยงาน เฉพาะก็ปรีเ่ ข้ามาพร้อมกับกล่องเหล็กใบหนึง่ ซึง่ มีเรดาร์สแี ดงปาดผ่านกลางวง ก่อน ทีห่ น้าจอบนกล่องจะขึน้ ตัวเลขหลักร้อยและวิง่ เพิม่ ขึน้ ไปอีกเมือ่ เด็กอีกคนพูดขึน้ โดย แยกหน้าจอเป็นสองจอ “หรือเพราะเป็นเด็กโรงเรียนกระจอกๆเลยไม่มสี มองมากพอจะเข้าใจว่าทางเข้า ข้างหน้านี้ส�ำหรับคนรวยเท่านั้น หา!” นายต�ำรวจเบนสายตามาหาคูก่ รณีทสี่ มควรจะต้องตอบโต้อย่างสิทธิธรรม หาก เด็กชายก็รู้ดีว่าไม่ได้... เขาตอบไม่ได้ ประเทศไทยในวันนี้ไม่เหมือนก่อนอีกแล้ว... 237


ผืนแผ่นดินทีเ่ คยเป็นแดนเสรีทางความคิด มีอสิ รภาพในการพูดคุยแลกเปลีย่ น ความเห็น ณ บัดนี้รอบกายของเขามีเพียงกลิ่นอายความอึดอัดคับข้อง อาจเป็นของ เขาเพียงคนเดียวก็เป็นได้ เพราะเขา... ไม่มีเงินไปแลกค�ำพูดอย่างลูกคนรวยที่ยืนดูถูกเขาปาวๆ ใช่ เงิน ‘แลก’ ค�ำพูด กฎหมายใหม่ ที่ แ สนจะน่ า รั ง เกี ย จของประเทศที่ เ คยประกาศตั ว ว่ า เป็ น ประชาธิปไตยอย่างเต็มเปี่ยม หากมันก็เปลี่ยนแปลงไปเมื่อตอนก่อนที่เขาจะเกิดได้ ไม่กี่ปี เหตุเพราะประชาชนที่รู้มากพากันลุกฮือขึ้นต่อต้านคณะรัฐบาล การประท้วง ไม่มีผลอย่างที่แล้วมา แต่กลับหันหัวเรือไปในทิศทางที่เลวร้ายกว่าอย่างการปฏิวัติ ระบอบการปกครองของประเทศจนกลายเป็นการปกครองระบอบใหม่ ประชาธิปไตย ที่ค่อนไปทางคอมมิวนิสต์... ประชาธิปไตยไว้บังหน้าว่าไม่ใช่ประเทศยากจน มีอิสระเสรีในการประกอบ อาชีพและพูดคุย หากก็ถกู ความเป็นคอมมิวนิสต์จำ� กัดเรือ่ งการพูดแสดงความคิดเห็น แรกๆของการใช้ระบอบนี้ พ่อแม่ของสิทธิธรรมเคยเล่าให้เขาฟังว่าเกือบจะ ไม่ได้ผลเพราะยังมีการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองอยู่ กระทั่งต้องเปลี่ยนโดยตั้ง หน่วยงานที่เรียกว่า ‘ต�ำรวจตรวจค�ำพูด’ ขึ้นมา หน้าที่ของพวกนี้คือถือกล่องเหล็กที่ มีระบบตรวจจ�ำนวนค�ำพูดไว้ และคอยเก็บเงินของผู้ที่คิดจะพูดคุยกันในที่สาธารณะ ทุก... ทุก... ค�ำพูด จะต้องถูกเก็บเงิน มากน้อยต่างกันไปแล้วแต่เรือ่ งทีพ่ ดู หาก เป็นเรือ่ งการเมือง ราคาต่อค�ำก็จะสูงหน่อย แต่หากเป็นการพูดทัว่ ไปหรือหาเรือ่ งอย่าง ที่เขาโดนอยู่ล่ะก็... มันก็ไม่กี่สตางค์ ทว่าคนจนอย่างเขา แม้ไม่กี่สตางค์ก็ไม่มีให้หรอก เพราะอย่างนั้น ตลอดสิบสี่ปีที่ผ่านมาเขาจึงต้องคอยหลบเลี่ยงและระงับใจอยู่ เสมอ แม้จะมีบ้างบางครั้งที่อดไม่ได้และเผลอพูดโต้ตอบจนโดนลงโทษ สังคมไทยใน วันนี้ยิ่งแบ่งแยกเส้นระหว่างคนที่ต่างชนชั้นกันชัดเจนมากขึ้น คนรวย ให้อย่างไรก็มี สิทธิพูดอยู่เสมอ ส่วนคนจนก็ต้องรูดซิปปิดปากไปตามระเบียบ ยังดีทถี่ งึ จะพูดในทีส่ าธารณะไม่ได้ แต่เมือ่ ทุกคนอยูใ่ นบ้านของตน ในทีท่ ไี่ ม่ได้ เรียกว่าสาธารณะ ค�ำพูดทุกค�ำก็สามารถพูดได้โดยไม่ถูกลิดรอน เด็กชายสัน่ หน้าคล้ายจะปลงกับสิง่ ทีค่ ดิ และเลิกสนใจคนหาเรือ่ ง ตัง้ ท่าจะเลีย่ ง ไปโรงเรียนของตน ทว่าอีกฝ่ายไม่พอใจที่จะหยุดอยู่แค่นั้น ไหล่ของสิทธิธรรมจึงถูก 238


เหนี่ยวไว้และกระชากกลับมาอย่างแรง อารมณ์ทเี่ หมือนจะสงบจึงพลันพลุง่ พล่านขึน้ ตามเลือดวัยรุน่ สิทธิธรรมกระชาก แขนออกแล้วเผลอโพล่งขึ้นอย่างลืมตัว “เฮ้ย จะอะไรกันนักกันหนาวะ” เสียงตื๊ดดังขึ้นจากกล่องเหล็กในมือต�ำรวจค�ำพูด พร้อมกับหน้าจอที่แสดงค่า เงินเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งจอ สิทธิธรรมหน้าเผือดสีเมื่อรู้ตัวว่าพลาดไปแล้ว ตรงข้ามกับ เด็กชายอีกสองคนที่ยิ้มเยาะอย่างสะใจที่ยั่วให้คนไม่มีเงินจ่ายพูดได้ส�ำเร็จ ก่อนจะ ควักเงินจากกระเป๋าส่งให้นายต�ำรวจอย่างยียวน ยักคิ้วกวนอารมณ์ก่อนจะจากไป สิทธิธรรมสันหลังเย็นวาบคล้ายว่าไปยืนพิงน�ำ้ แข็งก้อนมหึมาอย่างไรอย่างนัน้ เด็กชายเหลือบมองหน้าจอเห็นจ�ำนวนตัวเลขที่น้อยกว่าสองคนที่เพิ่งจ่ายเงินไป แต่ ส�ำหรับเขาแล้ว เมื่อนึกถึงปัจจัยที่มีในกระเป๋ากับความจ�ำเป็นที่จะต้องไปซื้อหนังสือ เรียนวันนี้แล้ว เขาก็ท�ำได้เพียงเงยหน้าขึ้นส่งสายตาน่าอาดูรให้นายต�ำรวจ “จะจ่ า ยหรื อ ไม่ จ ่ า ย” ต� ำ รวจนายนั้ น ถามด้ ว ยเสี ย งห้ ว นห้ า วเกิ น บรรยาย เนื่องจากท�ำงานแต่ในเขตคนรวยจนไม่เคยเห็นว่าใครจะมีปัญหากับการจ่ายค่าปรับ การพูดในที่สาธารณะ แต่กับเจ้าหนูตรงหน้านี่... สิทธิธรรมสั่นหน้าก่อนจะหลุบตาลงเป็นการตอบว่าเขาไม่มีเงินพอจะจ่าย และ ยื่นแขนออกไปข้างหน้าราวกับรู้ว่าบทลงโทษของคนที่ไม่มีเงินจ่ายค่าปรับจะเป็น อย่างไร นายต�ำรวจถอนหายใจแรงๆแล้วสบถบางอย่าง ค่าปรับพวกนีถ้ อื เป็นเงินเดือน ของพวกเขาเลยเชียวนะ นีอ่ ะไร พูดแล้วไม่จา่ ย คิดแล้วหงุดหงิดหนักขึน้ จนลงน�ำ้ หนัก มือแรงๆตอนที่ปักหมุดบนต้นแขนของสิทธิธรรม เด็กชายสะดุ้งเฮือก ความเจ็บแปลบแล่นพล่านไปทั่วแขนและเหมือนจะร้าว ไปทั่วร่าง สิทธิธรรมไม่อยากพูดว่าคุ้นเคยกับมันนัก แต่ก็โดนมันบ่อยเมื่อครั้งยังเด็ก กว่านี้ มันคือ ‘หมุดชา’ ทีค่ ดิ ค้นโดยนักวิทยาศาสตร์คนหนึง่ ซึ่งผูท้ ถี่ ูกปักหมุดนี้จะชา เหมือนท�ำแขนหายไปข้างหนึ่งเลยทีเดียว สิทธิธรรมน�้ำตาซึม ทั้งชีวิตเขาเคยโดนปักหมุดเพราะเผลอพูดแล้วไม่มีเงิน จ่ายค่าปรับมาเกือบสิบครัง้ แล้ว และทุกครั้งมันก็สร้างความเจ็บปวดกระทั่งเขาขยาด 239


การอ้าปากไปนาน กว่าจะหาเงินค่าปรับไปจ่ายเพือ่ ถอนหมุดออกจากแขนได้กห็ ลาย อาทิตย์ หรือถ้าหาไม่ได้ ซึ่งมันเป็นอย่างนั้นบ่อยครั้งกว่า เขาก็ต้องรอจนหมุดหมด อายุความ เกือบๆเดือนกระมัง ถึงจะพ้นจากนรกย่อยๆนี่ นรก... ที่ก็ไม่รู้จะต้องตกลงไปอีกสักกี่ครั้งกี่หนถึงจะรอดพ้น เย็นนั้นเด็กชายรีบวิ่งกลับบ้านให้เร็วที่สุด แม้ในสายตาคนรอบข้างจะเห็นว่า เด็กหน้าเบีย้ วเหยเกเพราะยังเจ็บแขนไม่คลายนัน้ ท�ำเพียงสาวเท้าเร็วๆไปก็ตาม เมือ่ ถึงบ้าน สิทธิธรรมพบแม่กำ� ลังเจียนใบตองไว้ส�ำหรับท�ำขนมขายในวันถัดไป ส่วนพ่อ ก็คงยังไม่กลับจากรับจ้างแบกหาม เด็กหนุ่มทรุดกายลงกอดแม่อย่างไม่ให้สุ้มเสียง จนหญิงสูงอายุสะดุ้ง “สิทธิ เป็นอะไรหรือเปล่าลูก” คนเป็นแม่ถาม ขมวดคิว้ เมือ่ รูส้ กึ ว่าลูกชายตัวร้อน ผิดปกติ สิทธิธรรมก้มหน้างุด แต่ก็ยื่นแขนออกไป คล้ายว่ามารดาจะรับรู้ค�ำตอบที่มา เป็นอวัจนภาษานัน้ หล่อนเลิกแขนเสือ้ ลูกขึน้ เห็นหมุดตัวหนึง่ ปักอยูบ่ นเนือ้ ทีแ่ ดงเป็น จ�้ำเลือด อุทานอย่างตกใจ “ตายแล้ว! นี่สิทธิไปพูดอะไรมา ลูกก็รู้ว่าเราไม่มีเงินจ่ายค่าปรับ” “ผมถูกไอ้พวกเด็กนานาชาติรงั แก มันยัว่ โมโหจนผมต้องพูด” อธิบายเสียงเครือ ไม่อยากเอาความทุกข์มาให้พอ่ แม่รบั รูแ้ ต่กอ็ ดไม่ได้ทจี่ ะระบาย “แม่ ผมไม่เข้าใจ ท�ำไม คนเราถึงไม่เท่ากันได้ขนาดนี้ ค�ำพูดมันเป็นสิทธิของเราไม่ใช่หรือ” “เฮ้อ ไอ้สิทธิเอ๊ย” แม่วาดแขนโอบลูกชายเข้ามากอด “มันไม่ใช่แล้วนี่ แม่เคย อยู่ในยุคที่คิดจะพูดอะไรก็พูดได้ มีอิสระเสรี แต่คนมีอ�ำนาจเขาไม่พอใจ มันก็เลย กลายเป็นแบบนี้” ความเงียบปกคลุมสองแม่ลกู อยูพ่ กั ใหญ่ กระทัง่ ผูเ้ ป็นพ่อกลับมาจากท�ำงาน ฟ้า ด้านนอกมืดมากแล้ว แต่ไฟในบ้านทีถ่ งึ จะสะโหลสะเหลก็พอส่องให้เห็นแขนลูกชายที่ มีหมุดชาปักอยู่ได้ “สิทธิ!” พ่อร้องตะโกน ไม่ใช่ว่าโกรธ หากแต่ตกใจและรู้ซึ้งว่ามันเจ็บแค่ไหน สีหน้าของพ่อที่เห็นลูกได้รับโทษหมองสีลง ความปลดปลงที่มาพร้อมความสงสาร จับหัวใจ ได้แต่เอ่ยสอนเพื่อให้สติ “เจ็บมากใช่ไหม จ�ำความเจ็บไว้ให้ดี ต่อไปอย่าพูด ในที่สาธารณะอีก เรามันจน ไม่มีความจ�ำเป็นต้องพูดหรอกลูก อะไรทนได้ก็ทนไป” 240


แค่คา่ ข้าวค่ายาก็ตอ้ งกระเบียดกระเสียรจับจ่ายเต็มทนแล้ว ครอบครัวในชุมชน แออัดอย่างพวกเขาไม่ควรหาเรื่องเสียสตางค์อีก เขาไม่ปฏิเสธหรอกว่าที่สอนลูกไป มันเป็นเรื่องผิด คนเราจะไม่มีสิทธิพูดเลยจริงๆหรือ? เป็นไปไม่ได้ แต่สถานการณ์ก็ บีบบังคับให้จ�ำต้องยอมรับเรื่องเป็นไปไม่ได้ให้มันเป็นไปได้ สิทธิธรรมขบริมฝีปากระงับแรงปวดที่แล่นวูบขึ้นมาเป็นระลอก พยักหน้ารับ ค�ำสอนของพ่อ เขารู้ว่าคงไม่มีเงินไปจ่ายค่าปรับในเร็ววันนี้หรอก หรือถึงมี... เขาก็ จะไม่จ่าย ความเจ็บปวดครั้งนี้จะได้เป็นบทเรียนว่า ‘คนจน’ อย่างเขาน่ะ... ไม่มีสิทธิ์พูด! เด็กน้อยในวันวานก�ำลังจะก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยในวันนี้ สิทธิธรรมลูบ ต้นแขนที่เป็นรอยแผลเป็นจากการปักหมุดชาเมื่อครั้งอายุสิบสี่ มันเป็นการปักด้วย อารมณ์ของต�ำรวจจึงรุนแรงและสร้างรอยแผลจารึกไว้อย่างนี้ แต่กด็ .ี .. มันช่วยเตือนใจ เขาได้มากเลยล่ะ นับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ เขาไม่เคยปริปากในที่สาธารณะอีกเลย หากอยูใ่ นย่านคนหาเช้ากินค�ำ่ ก็จะมีเพียงความเงียบรอบกายอย่างทีค่ นุ้ เคย จะมีอดึ อัด บ้างก็ตอนเดินผ่านย่านคนรวยนั่นแหละ แต่เอาเถอะ... เขาคร้านจะต่อต้านอะไร แบบนี้แล้ว สิทธิธรรมสอบเข้าคณะและมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศไทย ที่ส�ำคัญคือ เป็นสถานที่ซึ่งขึ้นชื่อว่าในอดีต นักศึกษาที่แห่งนี้มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่ค่อน ข้างรุนแรง ทว่าในปัจจุบันก็เหลือเพียงฝุ่นควันแล้วเท่านั้น ไม่มีใครเสี่ยงจะแลกชีวิต กับรัฐบาลที่แสนโหดเหี้ยมของยุคนี้อีกต่อไป การเรียนจึงจ�ำกัดอยู่แค่การเรียน ไม่ใช่ เรียนรู้จากการแสดงความคิดเห็นอภิปรายกันแต่อย่างใด แม้จะต้องจมอยูก่ บั วังวนความคิดว่านีค่ อื สังคมทีถ่ กู ต้องแล้วจริงหรืออยูท่ กุ ครัง้ ที่ได้เรียนเรื่องกฎหมาย แต่สิทธิธรรมก็ต้องปัดมันทิ้ง ในหัวเขามีข้อคิดเห็นที่ขัดแย้ง รุนแรงกว่าเมื่อครั้งยังเป็นเด็กเสียอีก ทว่าก็ท�ำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการเงียบและนิ่ง เฉย เพราะถึงเขาจะได้รำ�่ เรียนในมหาวิทยาลัยรัฐทีม่ ชี อื่ เสียง แต่ฐานะทางบ้านก็ไม่ได้ เปลี่ยนไป ที่หนักกว่าก่อนคือค่าปรับค�ำพูดดูจะแพงขึ้นหลายเท่าตัวอีกด้วย ข้อแถลงการณ์จากรัฐบาลที่พร�่ำกรอกหูประชาชนอยู่ทุกปีว่าที่ต้องจ�ำกัดสิทธิ การพูดก็เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอันจะส่งผลต่อตัวประชาชนเอง สุดท้ายมันก็แค่ค�ำอ้าง ที่ใครๆต่างก็รู้อยู่แก่ใจ 241


ไม่มที างเลือกใดให้กา้ วเดินนอกจากตัง้ ใจเรียนและท�ำมันให้ดที สี่ ดุ เมือ่ เวลาผ่าน พ้นไปครบรอบสีป่ ี บัณฑิตเกียรตินยิ มนามว่าสิทธิธรรมจึงได้ศกึ ษาต่อด้วยทุนรัฐบาล และมายืนอยู่แถวหน้าของการเป็นทนายผู้มีชื่อเสียงโด่งดัง เงินทองที่ว่าขัดสนในยามเด็กก็กลายเป็นมั่งคั่งขึ้นมา มากพอจะซื้อบ้านใน หมู่บ้านจัดสรรให้พ่อกับแม่อยู่ได้ มีอาหารดีๆรับประทานและมีที่นอนอันอุ่นสบาย โดยไม่ต้องสะดุ้งตื่นยามฝนพร�ำ และ... มีสิทธิที่จะพูดอะไรๆในที่สาธารณะได้อย่างไม่ต้องกลัวจะโดนลงโทษ ชายหนุ่มกระชับปกเสื้อให้เข้ารูปและคว้ากุญแจรถบนหลังตู้เย็นเพื่อออกไป ข้างนอก แต่ต้องชะงักเมื่อมารดาส่งเสียงทักขึ้น “สิทธิ จะออกไปไหนล่ะลูก วันนี้ไม่มีงานไม่ใช่หรือ” “จะไปโรงเรียนครับแม่ วันนี้มีงานเลี้ยงรุ่นน่ะ” หญิงชราพยักหน้ารับยิ้มๆ ดีเหมือนกัน ลูกชายของหล่อนจะได้พักบ้าง เอ่ย ตอบกลับไปอย่างไม่ต้องการให้เป็นกังวล “งัน้ ก็ไปให้สนุกนะลูก ไม่ตอ้ งห่วง พ่อแม่ทานข้าวเสร็จแล้วจะเข้านอนเลย อย่า ลืมเอากุญแจบ้านไปนะ อย่าขับรถเร็วล่ะ” “ครับแม่” ชายหนุม่ เดินเข้าไปหอมแก้มทีแ่ ม้ไม่เต่งตึงแต่ยงั คงกรุน่ กลิน่ หอมชืน่ ใจ ไม่คลาย ก่อนจะออกไปขึ้นรถเพื่อขับไปโรงเรียนวัดที่เคยร�่ำเรียนสมัยเด็ก ใช้เวลาไม่เกินชั่วโมง ชายหนุ่มก็เลี้ยวรถเข้าลานจอด เหลือบมองบรรยากาศ บ้านๆที่ไม่ได้เห็นมาหลายปีหลังจากย้ายไปอยู่หมู่บ้านและท�ำงานจนหัวหมุน ไม่ทัน ตัง้ ตัว เขารูส้ กึ คิดถึงความเป็นกันเองของชุมชนมากกว่าชีวติ ทีต่ อ้ งใส่หน้ากากเข้าหา กันเสียอีก เมื่อเดินเข้าไปในงาน เขาก็พบว่าตัวเองแต่งกายผิดกาละเทศะมากพอควร มี ไม่ถึงห้าคนที่ใส่เชิ้ตอย่างเขา หลายคนสวมเพียงเสื้อยืดกางเกงยีนเก่าๆมาร่วมงาน สิทธิธรรมเกาท้ายทอยเก้อๆขณะที่หลายคนร้องทัก “เฮ้ย นั่นสิทธิใช่ไหม โอ้โห ดูมีราศีขึ้นเยอะเลยนะ” ชายหนุ่มยิ้มเจื่อนๆตอบเพื่อนสมัยเด็ก เขาหันซ้ายขวาทักทายคนนั้นคนนี้ไม่ หยุด ดีที่งานเลี้ยงนี้จัดในพื้นที่ของโรงเรียนอันถือเป็นสถานที่การศึกษาซึ่งได้รับการ ละเว้นการจ่ายค่าปรับค�ำพูดเพราะมีกฎห้ามสนทนาการเมืองในสถานศึกษาอยู่แล้ว หลายคนจึงเหมือนปลดปล่อย หัวเราะโปกฮากันอย่างเต็มที่ 242


“อ้าว อาจารย์ สวัสดีครับ” สิทธิธรรมแทรกตัวจากวงล้อมของเพือ่ นๆออกไปหา อาจารย์ผู้หญิงวัยชราที่นั่งยิ้มอยู่มุมหนึ่งของงาน ยกมือท�ำความเคารพอย่างคุ้นเคย เพราะนี่คือครูประจ�ำชั้นของเขาเอง “สิทธิหรือ” “ครับ ผมเอง อาจารย์จ�ำผมได้ใช่ไหมครับ ตอนนี้ผมได้เป็นทนายอย่างที่เคย คุยกับอาจารย์แล้วนะ” “จ�ำได้สิ” ท่านหัวเราะแผ่วเบา “ดีใจจริงที่เห็นเธอโตไปแล้วได้ดีอย่างนี้ ตอนนี้ เธอคงร�่ำรวยมากเลยใช่ไหม” “ก็พอมีครับ ไม่ถึงขนาดร�่ำรวยอะไร” เขาตอบถ่อมตน แต่ก็คิดอย่างนั้นจริงๆ ด้วยความที่โตมาอย่างเด็กจนๆและไม่เคยมีใครสอนให้ทะเยอทะยาน สิทธิธรรมจึง ไม่เห็นว่าเงินจะมีค่ามากไปกว่าของที่ใช้แลกความสุขสบายให้พ่อแม่ มันก็แค่นั้น แค่ เท่านั้นแหละ... ส�ำหรับเขาน่ะ “แล้วพอมีของเธอน่ะ พอจะช่วยเปลี่ยนประเทศให้กลับมาน่าอยู่เหมือนเดิมได้ ไหม” คราวนี้รอยยิ้มใจดีแปรเป็นความขมขื่นอย่างบอกไม่ถูก สิทธิธรรมมองอย่างเห็นใจ สนิทกับอาจารย์คนนี้ในระดับหนึ่งและรู้ว่าท่านเคย มีบทบาททางการเมือง เคยพูดแสดงความคิดอะไรๆได้ แต่พอมาถึงยุคที่ไม่สามารถ ปริปากได้กค็ งจะเศร้าใจมาก กระทัง่ ผันตัวมาเป็นอาจารย์และคอยส่งเสริมให้ลกู ศิษย์ ถีบตัวเองขึ้นสู่สังคมด้านบนที่พอจะอ้าปากโต้ตอบความคิดเห็นได้บ้าง เหตุนี้กระมังที่ท�ำให้ท่านเลือกสอนโรงเรียนวัด โรงเรียนที่รวมเด็กชั้นล่างไว้ “แค่ผมคนเดียว... อาจจะไม่พอมั้งครับ” สิทธิธรรมบีบมืออาจารย์ที่เป็นหนึ่งใน แรงบันดาลใจให้เขาอยากจะท�ำงานเป็นทนายในวัยเด็ก ค�ำตอบของเขาอาจจะฟังดูขัดใจ แต่คนฟังก็รู้ดีว่าเป็นความจริง ค่าปรับค�ำพูด แสดงความเห็นทางการเมืองนั้นแพงมาก แล้วชนชั้นสูงที่มีอันจะกินก็ไม่เห็นค่ากับ การโต้แย้งเนื่องจากมีผลประโยชน์กันอยู่ อย่างน้อยพวกท�ำธุรกิจก็สามารถขึ้นราคา สินค้าและบริการได้โดยไม่มีใครมาร้องเรียน คิดดังนี้แล้วอาจารย์ท่านนั้นไม่ได้พูด อะไรต่ออีก นอกจากค�ำว่า “ลองเก็บไปคิดดูนะ” ค�ำว่าลองเก็บไปคิดดูนะของอาจารย์ ท�ำให้สิทธิธรรมนอนก่ายหน้าผากอยู่ 243


ทั้งคืน สุดท้ายวันถัดมาเขาก็เลือกที่จะ ‘คิด’ และ ‘ท�ำ’ ให้มันเสร็จสิ้น เขารู้ว่ามันจะไม่เกิดผลอะไร แต่อย่างน้อย... ก็น่าจะลอง ชายหนุม่ ขับรถออกจากบ้าน มุง่ หน้าตรงไปยังท�ำเนียบรัฐบาล แวะกดเงินจากตู้ เอทีเอ็มใกล้ๆกันแล้วเดินไปหยุดอยูห่ น้าตูค้ ำ� ร้องทีท่ ำ� ขึน้ เพือ่ ให้ผไู้ ม่พอใจมาร้องเรียน แม้ว่าค�ำร้องเรียนนี้จะไม่เคยกระทบแม้ปลายหูของผู้ที่ท�ำงานอยู่ในตึกเลย ก็ตาม... เขาล้วงกระเป๋าสตางค์ใบตุงออกจากกางเกง เปิดมันออกแล้วหยิบเงินฟ่อนหนึง่ ขึน้ มา ต�ำรวจชุดแดงทีอ่ ยูแ่ ถวนัน้ ปรีเ่ ข้าไปอย่างรวดเร็วเพือ่ เก็บเงิน สิทธิธรรมปรายตา มองนายต�ำรวจหน้าเข้มก่อนที่เขาจะกระตุกยิ้ม แค่นหัวเราะขื่นๆกับตัวเองในล�ำคอ อย่างทีไ่ ม่มใี ครคิด... เงินฟ่อนใหญ่ในมือชายหนุม่ ถูกโปรยให้ปลิวไปกับสายลม สิทธิธรรมเงยหน้าขึ้นมองยอดอาคารเบื้องหน้าด้วยสายตาดูแคลน ถูกต้องอย่างทีค่ รูของเขาว่า วันนีเ้ ขามีเงินมากพอทีจ่ ะพูด แต่เขาจะพูดไปท�ำไม พูดไปเพื่ออะไร ในเมื่อสุดท้ายแล้วค�ำพูดของเขาก็จะไม่มีความหมาย เงินพวกนีไ้ ม่สมควรเอามาแลกค�ำพูดของประชาชนหรอก มันสมควรน�ำไปแลก อย่างอื่นให้คนในอาคารนั้นมากกว่าในความคิดของเขา บางที... ส�ำหรับผู้บริหารประเทศแล้ว... ‘รูหู’ อาจจะส�ำคัญกว่า

244



เชิงอรรถ

ธนาคาร จันทิมา 246


เหตุเล็กน้อยในชั่วพลันแล่นนั้นกลับสามารถส่งผลที่ ยิ่งใหญ่ติดตามมา1

ขบวนแรกพบ, เขาขึ้นมาจากสถานีต้นสาย นั่งฝั่งซ้ายของรถไฟฟ้า นักศึกษา ฝั่งตรงข้ามก้มอ่านปึกต�ำรา คีบปากกาเน้นข้อความสีเขียวแสบ ส่วนตัวเขาแอบฟัง ประโยคในภาษาที่สามที่พุ่งเข้ารูหูซ้าย จากทิศใกล้ประตูเข้า-ออก คู่รักชาวต่างชาติ2 สะพายเป้ยักษ์ยืนสนทนาถึงการเดินทางเที่ยวต่อไปและของบางอย่างที่ลืมไว้ใน ห้องพัก เขาเหลือบมองวัยรุ่นชายเสื้อลายตารางทางด้านขวาก�ำลังใช้นิ้วคุยกริบผ่าน ข้อความนัดหมายปะปนกับสัญรูปอารมณ์3กลมดิกในโทรศัพท์ ผู้คนโดยรอบไม่มีใครสนใจใคร เว้นแต่เขา 1

คัดลอกจากบางบรรทัดในหนังสือเล่มหนึ่งที่นักเขียนคนนั้นอ้างมาจากนักเขียนอีกคน

เดิมทีผเู้ ขียนก�ำหนดให้นกั ท่องเทีย่ วทัง้ สองเป็นชาวตะวันตก เหตุทใี่ ช้คำ� ว่า ต่างชาติ เพราะ มาคิดอีกทีเริม่ ไม่แน่ใจว่าแท้จริงแล้ว เส้นแบ่งตะวันตกกับตะวันออกอยูต่ รงไหน ชาวอเมริกนั แถว ชายฝั่งแคลิฟอร์เนียอาจเห็นดวงอาทิตย์ตกดินที่หมู่เกาะตะวันออกของญี่ปุ่น ส่วนตะวันออกอาจ เริ่มนับตั้งแต่ชายฝั่งอังกฤษและทวีปแอฟริกาเรื่อยไปก็ได้ ทั้งนี้ ประเด็นดังกล่าวไม่มีผลต่อเรื่อง สั้น ผู้เขียนจึงระบุว่าเป็นชาวต่างชาติเฉยเฉย ดังนั้นผู้อ่านก็อย่าสงสัยเลยว่า ภาษาที่สามส�ำหรับ เขา คือภาษาอะไร 2

สัญรูปอารมณ์ (emoticon) คือชุดของสัญลักษณ์ต่างๆ เช่น :), ^-^, หรือ :-) หรือภาพขนาด เล็กทีแ่ สดงสีหน้าและสือ่ อารมณ์แทนมนุษย์ เป็นรูปแบบหนึง่ ของลักษณะน�ำ้ เสียงทีใ่ ช้แพร่หลายใน ข้อความอีเมล, ในกระดานข่าวอิเล็กทรอนิกส์, และในแชทรูม ค�ำว่า emoticon ในภาษาอังกฤษ มาจากการผสมค�ำว่า emotion (อารมณ์) และ icon (สัญรูป) เข้าด้วยกัน ( ที่มา wikipedia ) 3

247


นี่เป็นวันแห่งความไม่มั่นใจในตัวเองโดยแท้4 ช่างบังเอิญเสียนี่ แม้สถานีจะแออัดผู้โดยสาร แต่เธอคนนี้ก็เดินตรงเข้ามา พอดีกับที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามเพิ่งจะว่างคน เขาเสมองรองเท้าส�ำรวจไล่จรดเรือนผม สุดใบหน้า5 ก่อนเธอจะปิดเปลือกตาไม่รับรู้สิ่งใด ปล่อยลมหายใจแห่งความอิดโรย โปรยใส่อากาศ ทั้งก้านคอ เกลียวผม ช่วงไหล่ ความกว้างบ่า ระยะแขน และการจัด วางสรีระส่วนต่างต่างในท่านั่งของเธอยังคงแผ่รัศมีสงบงาม เขานึกสรรค�ำมาอธิบาย ราวภัณฑารักษ์พยายามหาวิธีน�ำเสนองานศิลปะชิ้นเอก เธอนิง่ , มองแต่ไม่ทนั เห็นเขา, ปล่อยภาพเบือ้ งหน้าเป็นวอลเปเปอร์วา่ งเปล่าไร้ ความหมาย ดวงตากรีดอายคู่นั้นปราศจากการทักทาย เธอรอจนอุณหภูมิร่างกาย ปรับเข้าหาองศาเซลเซียสภายในขบวนรถ, ภาพชายในสูทชุดหลวมยิ้มบางบางให้ เธอก่อนเลือนจาง เหมือนเธอจะได้ยินเสียงชัตเตอร์จากเปลือกตาตัวเองเบาเบา กล่าวได้ว่า บรรยากาศอึดอัดและคับคั่งบนรถไฟฟ้ายามพลบ เขาสัมผัสได้ว่า มีมอื ทีม่ องไม่เห็นของใครบางคนยืน่ เข้ามาปรับจอตาทัง้ สองจนโปร่งใส เขาค่อยค่อย   เขาอึดอัดและไม่เป็นตัวของตัวเองเลยในชุดขึงขังเอิกเกริกนี้ หากไม่ติดว่าต้องไปงาน เลี้ยงที่ผู้ใหญ่ร้องขอแกมบังคับให้เข้าร่วมแล้ว คนอย่างเขาคงไม่พาร่างเข้ามาพรางอยู่ในเสื้อผ้า อย่างเป็นทางการเช่นนี้ เขาท�ำใจให้ยอมรับอยู่นานหน้ากระจก ผมเผ้าเป็นมันเรียบ เนคไทคุณ ลุงยาวต่องแต่งแกว่งเหมือนนาฬิกาโบราณ ในสารรูปที่ชวนประหม่าเช่นนี้อาจมีสถานการณ์ กระอักกระอ่วนโผล่เข้ามาทักทายเมื่อใดก็ล้วนเป็นไปได้ทั้งนั้น 4

เขาใคร่สงสัยตัวเอง เหตุใดจูๆ่ ประสาทสัมผัสของเขาถึงคมชัดได้ถงึ เพียงนี้ เสียงส้นสูงตึกตัก ตอกพื้นยางที่คงมีแต่เขาเท่านั้นที่ได้ยิน อาจเป็นกลิ่นน�้ำหอม โลชั่นประทินผิวหรือครีมบ�ำรุงผม ยาวสลวยนั่น เล็บสีชมพูวาวบนเรียวนิ้วยาว หรือชายกระโปรงพลิ้วของเธอสัมผัสยอดเข่าของ เขาในจังหวะหมุนตัวอ้อมราวจับก่อนจะนั่งลงฝั่งตรงข้าม เธอดึงดูดเขา ยามผีเสื้อกระท�ำตะกละ ตะกลามต่อดอกไม้ก็คงแยกไม่ออกเหมือนกันว่าเกิดจากสัญชาตญาณหรือหลงในความงามแน่ ด้วยเครือ่ งแต่งกายเช่นนี้ สูทตัวโคร่ง เนคไทปลายบานยาวจรดซิป มันช่างยากยิง่ นักทีเ่ ขาจะสร้าง ปฏิสัมพันธ์ใด เพียงสายตา กระแอมไอ หรือรอยยิ้ม ไม่อาจหวังผลใดแก่ความแปลกหน้าระหว่าง เราได้ เธอหลับตาพริม้ ลง ขณะทีเ่ ขาก�ำลังจ้องบางสิง่ ทีเ่ วลามิอาจท�ำลาย เสีย้ วนาทียดื ยาดยาวนาน 5

248


ปลดล็อคโฟกัสรูมา่ นตาปล่อยเรือนร่างหญิงสาวเบือ้ งหน้าให้กลืนกลายกับทัศนียภาพ ป่าปูนเรืองแสงนอกกระจก

นานา6 นานเท่านาน คือระยะห่างระหว่าง เพลินจิต7 เหตุการณ์ด�ำเนินต่อมา ยายสูงวัยอุ้มหลานวัยน้อยขวบเข้ามาในขบวนรถ8 เธอลืมตามองเขาพลันเห็นยายกับหลานคู่นี้พอดี9

ต้นตระกูลนานาคนแรกทีเ่ ข้ามาในประเทศไทยสมัยรัชกาลที่ 4 คือ อาลี ฮามัด นานา อพยพ มาจากประเทศอินเดีย อาศัยอยู่ที่ฝั่งธนบุรี เป็นพ่อค้าขายผ้ากับคนในวังเพราะได้ราคาสูง ภาษา อังกฤษดีจึงได้รับแต่งตั้งเป็นพระยาสรรพาณิชย์ เริ่มท�ำธุรกิจส่งออกและน�ำเข้าสินค้า จนรุ่งเรือง เป็นปัจจัยหนุนส่งให้คนตระกูลนานา รุ่นหลังกลายเป็น ‘เศรษฐีที่ดิน’ ในเวลาต่อมา 6

เพลินจิต เป็นชือ่ ถนนในท้องทีแ่ ขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพมหานคร มีระยะทางตัง้ แต่ ถนนราชด�ำริ (สีแ่ ยกราชประสงค์) ตัดกับถนนชิดลม (สีแ่ ยกชิดลม) และถนนวิทยุ (สีแ่ ยกเพลินจิต) ไปจนถึงทางรถไฟเก่าสายช่องนนทรี ซึ่งจากทางรถไฟสายนี้ไปจะเป็นถนนสุขุมวิท สร้างขึ้นใน พ.ศ. 2463 โดยกรมสุขาภิบาล รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่า ถนนเพลินจิต ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2464 ส่วนอีกถนนหนึ่งตัดเชื่อมถนน เพลินจิตกับถนนพระรามที่ 4 และพระราชทานนามว่า “ถนนวิทยุ” 7

อายุคนแก่อาจคะเนยากกว่าอายุเด็กสักหน่อย อยู่ที่ว่าตลอดชีวิตแต่ละคนใช้ร่างกายมา อย่างไร ลักษณะกายภาพของเด็กจึงกะเกณฑ์อายุดว้ ยสายตาง่ายกว่า ผูเ้ ขียนไม่ทราบรายละเอียด ว่ายายคนนี้อายุเท่าไหร่แน่ ค�ำแนะน�ำเบื้องต้นคือผู้อ่านลองสมมติให้ตัวละครอายุเท่ากับยายตัว เองก็ได้ ตามนั้น  8

ศตวรรษที่ 21 มนุษย์หวั เราะด้วยตัวเลข ยิม้ ด้วยสัญลักษณ์ และเข้าสังคมด้วยนิว้ โป้ง นาฬิกา ก�ำหนด การรับรู้ของยามเช้า กลางวัน เย็นแทนดวงอาทิตย์ บนรถไฟฟ้าต่างคนต่างก้มหน้าใช้ ชีวิตติดพันกับเทคโนโลยีบนฝ่ามือ มนุษย์เงินเดือนต้องเหลือพลังงานไว้ครึ่งถังเพื่อใช้เดินทาง ไปกลับระหว่างห้องนอนกับทีท่ ำ� งาน ชายคนนีเ้ ขาอยูต่ รงหน้าตัง้ แต่เมือ่ ไหร่นะ ท�ำไมเพิง่ สังเกตเห็น รายละเอียดใบหน้าและผมเผ้าสะอาด สูทตัวนอกมิอาจอ�ำพรางส่วนสัดไร้พุง ปราดเปรียวและ กะทัดรัดเหมือนอีโคคาร์รุ่นใหม่ การแต่งตัวเนี้ยบประกาศมาดสุขุมภูมิฐาน แม้เนคไทจะใหญ่ รุ่มร่ามไปสักนิดส�ำหรับผู้ชายวัยยี่สิบกว่า แต่โดยรวมนับว่าดูดีทีเดียว เอ๊ะนั่น! ยายกับหลานผู้น่า สงสาร ใครจะเป็นคนลุกให้นั่งกัน ภายในสามวินาที หากไม่มีใครลุก เธอจะเสียสละที่นั่งเอง เธอ 9

249


เขาเห็นว่าเธอมองยายกับหลานคู่นี้เหมือนที่เขาเห็น เธอเห็นว่าเขาเห็นว่าเธอก็เห็น เขาเห็นเธอเห็นเขามองเธออยู่ เขาคิด10 ทนเห็นภาพหญิงชรากับเด็กน้อยยืนแกว่งโอนเอนตามแรงกระชากรถไฟฟ้าท่ามกลางฝูงชนคน หนุ่มสาวแบบนี้ไม่ได้เด็ดขาด   โปรดเอือ้ เฟือ้ ทีน่ งั่ ให้เด็ก สตรี คนชรา คนพิการ นักบวช งัน้ หรือ !? ความคิดขัดแย้งแทงใจ แต่ จะมีทางเลือกอืน่ ใดงัน้ หรือ หากไม่ใช่เธอคนนัน้ สายตาแบบนัน้ แหละทีป่ รายมาจนท�ำให้เขาต้องลุก เธอไม่รหู้ รอกว่า ดวงเนตรมฤคินทร์นนั้ มีอทิ ธิพลต่อเขามากเพียงใด เขามองหญิงชราทีอ่ มุ้ เด็กน้อย เข้ามา ระดับความน่าเวทนาคูณสองเลยสินะ ใครจะรู้ว่าเขาเหนื่อยล้าอะไรมาทั้งวัน ก่อนจะมานั่ง ผ่อนสบายบนรถไฟฟ้าขบวนนี้ หากการขโมยผิดศีลและอาญา การไม่ยอมถูกขโมยที่นั่งจะกลาย เป็นบาปจากการนั่งพักหรือไม่ ชั่วขณะตัดสินใจจะลุกหรือนิ่ง คือความหนักใจของเขาและผู้ชาย อีกหลายคน เส้นบางเบาที่คาบเกี่ยวระหว่างวีรบุรุษกับผู้ต้องหา การท�ำความดีเพราะเสียสละ หรือว่าจ�ำนน ความภูมใิ จชัว่ คราวกับความอับอายชัว่ ครูข่ บั เคีย่ วกันเข้าเส้นชัยแห่งมโนธรรมส�ำนึก ชัว่ แล่นทีเ่ ธอหันมามอง งูกระดิกหาง ช้างแลบลิน้ เขาคิดว่าเธอคงหันมาเห็นพอดี จังหวะทีจ่ ะเห็น การตัดสินใจทีร่ วดเร็วกว่าการคิด ลุกขึน้ กลางขบวนรถไฟฟ้าก่อนคนอืน่ เสียสละทีน่ งั่ ให้หญิงชรา กับเด็กน้อยผูน้ า่ สงสาร ผูช้ ายทุกคนต่างมีเวลาไม่เกินสามวินาทีสำ� หรับการตัดสินใจเรือ่ งท�ำนองนี้ สามวินาทีเกิดขึ้นรวดเร็วในสมอง ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม 10.1 วินาทีแรก “การรับรู้” ผู้โดยสารรับรู้ภาพสถานการณ์กระอักกระอ่วนที่เริ่มต้นขึ้น กลุ่มคน ตรงกับป้ายประกาศขอความเอื้อเฟื้อก้าวเข้ามาจากสถานีใดสถานีหนึ่ง มีเก้าอี้ว่างเหลือหรือไม่ ใครควรจะเป็นผู้เสียสละลุกขึ้น ค�ำนวณระยะจากประตูถึงที่นั่ง ตัวเองอยู่ต�ำแหน่งไหน ชายหญิง บนเก้าอี้ทั้งสองแถวต่างโอ-น้อย-ออกกันในจินตนาการ 10.2 วินาทีที่สอง “การประเมิน” ค่านิยมของสังคมและคุณธรรมเริ่มเดินเครื่องท�ำงาน ผู้ชายที่ มีสิทธินั่งทุกคนกลายเป็นวัตถุแห่งการจ้องมองโดยปริยาย รถไฟฟ้าแบ่งคนเป็นสามกลุ่ม คือ ผู้ น่าสงสาร เหยื่อ และผู้พิพากษา 10.3 วินาทีสุดท้าย “การตัดสิน” คือช่วงส�ำคัญที่สุด ผู้ชายทุกคนจะถูกพิพากษาการกระท�ำใน วินาทีนี้ ทว่าเขามีเวลาน้อยกว่านัน้ เขาต้องตัดสินใจลุกเสียแต่วนิ าทีแรก เรียกให้ถกู เขาถูกบังคับให้มี ปฏิกริ ยิ าสนองต่อสถานการณ์เช่นนีโ้ ดยไม่มเี วลาใคร่ครวญ คุณธรรมของสังคมเป็นโปรแกรมทีฝ่ งั ลึกในจิตใจ หากเลยวินาทีที่สองไป แม้เขาจะคิดด้วยเหตุผลหรือเต็มใจ มันก็สายเสียแล้วส�ำหรับ การเป็นคนดี การท�ำดีโดยไม่มโี อกาสได้คดิ การท�ำดีตามความเชือ่ ว่าเป็นสิง่ ทีต่ อ้ งท�ำเป็นความดี 10

250


อัศเจรีย์เจ็ด หลอดไฟส่ี ประกายวาบเหนือศีรษะของเขา แต่ไม่มีใครทันเห็น เขาลุกขึ้นอย่างองอาจแล้ววาดมือเชิญหญิงชรากับเด็กน้อยมานั่งแทนที่ด้วย กิริยาอาทร เธอชายตามองเหตุการณ์เล็กเล็กนี้แต่เพียงน้อย เขาเอื้อเฟื้อที่นั่งแก่ยายหลาน และใช้เวลาเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยเพื่อมายืนเกาะเสากลางรถไฟฟ้า ตรงเบื้องหน้าเธอพอดี เขาลงสถานีเดียวกับเธอ, เชื่อมสถานีเพื่อเปลี่ยนขบวนรถ ทั้งสองแยกย้ายไปคนละเส้นทาง11

ค�ำสามค�ำ

คืนนั้น เขาไม่อาจอ่านหนังสือที่ค้างไว้ต่อได้ เขาคิดถึงเธออย่างอธิบายไม่ได้ โดยปริยายและไร้เหตุผล ทั้งที่พยายามนึกใบหน้าให้ชัด แต่นึกไม่ออก ภาพทรงจ�ำประกอบทีละส่วน เป็นเรือนร่างอย่างเลือนราง ปะติดปะต่อความคิดโดยสังเขป และเรียกการพบหญิงสาวแปลกหน้าบน รถไฟฟ้าเมื่อเย็นนี้ว่าปรากฏการณ์ เพื่อนึกถึงสิ่งที่นึกไม่ออกด้วยการนึกถึงเหตุการณ์ที่อาจเทียบเคียงกัน เขาเล่นเกมเชือ่ มโยงความหมายระหว่างค�ำสามค�ำ : การเดินทาง ความบังเอิญ และการค้นพบ12 ประเภทไหนกัน เขาลุกขึ้นตั้งแต่เสี้ยววินาทีแรกแล้ว เมื่อสายตาเธอปรายมามองเขาพอดิบพอดี ร่างกายเขาก็อยู่เหนือเหตุผลใต้บงการของคนอื่น เคลื่อนไหวต่อเนื่องราวกับเป็นร่างทรงของ คุณงามความดี เพียงเท่านีส้ าธุชนทัง้ หลายก็ไม่มวี นั แยกคนท�ำดีออกจากคนกลัวบาปได้อกี ต่อไป   ผู้เขียนเจตนาให้ตัวละครใช้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีที่ตัวละครแยกย้ายกันคือ สถานี สยาม แต่ไม่ระบุว่าเขาจะขึ้นจากสถานีต้นทางอะไร หรือก�ำหนดว่าพบกันที่สถานีใด เพื่อเปิด โอกาสให้ผอู้ า่ นใช้จนิ ตนาการได้เต็มที ่ ทัง้ นี้ หากในอนาคตมีการขยายเส้นทางและเชือ่ มโยงขนส่ง มวลชนอื่นๆ มากขึ้น เงื่อนไขนี้ก็อาจเปลี่ยนแปลงได้ 11

เขาเริม่ จินตนาการผ่านประสบการณ์ของผูอ้ นื่ ทีเ่ คยได้ยนิ มา....เป็นหนึง่ เดียวกับอาร์คมิ ดิ สี

12

251


ก่อนหลับใหลไปขณะห้วงใดห้วงหนึ่งในความคิดของตัวเอง อบอุ่นในความมืดและเย็น ภาพยนตร์เบื้องหน้าปรากฏอยู่บนจอนานแล้ว แต่เธอไม่แน่ใจว่าตัวเองมาอยู่ ในโรงหนังแห่งนี้ได้อย่างไร เธอสังหรณ์ใจว่าอาจก�ำลังอยูใ่ นฝันของตัวเอง หากเป็นตะกอนความคิดคัง่ ค้าง เธอก็ควรฝันถึงภาพยนตร์เรื่องเดียวกับที่เพิ่งไปดูมาเมื่อค�่ำนี้สิ ทว่าไม่ใช่ แต่จะเอา อะไรแน่นอนกับความฝันเล่า รัศมีการมองเห็นรอบตัวสลัวรางแจ้งให้ทราบว่า เธอด�ำรงอยูโ่ ดดเดีย่ วท่ามกลาง ความมืดและหนาวเย็น เธอเริม่ กลับมาสนใจภาพยนตร์ทฉี่ ายบนจอ เพียงครูเ่ ดียว (อาจนานหลายนาที ขณะตื่น) ก็จ�ำได้ว่าเคยดูเรื่องนี้มาก่อน สมัยชนโรงเมื่อปี พ.ศ. 253613 เธอทบทวน เหตุการณ์วันนั้น14 และย้อนกลับมาเปิดวิดีโอดูฉากเก่าซ�้ำแล้วซ�้ำเล่าจนขึ้นใจ ฉากที่ จอห์น เกจพยายามกล่อมให้ไดอาน่ายอมหลับนอนกับเขา “ผมไม่ต้องการสูญเสียคุณไปเหมือนกับที่ผมสูญเสียหญิงสาวในรถไฟใต้ดิน คนนั้น” ที่ลืมนุ่งผ้าร้องยูเรก้าไปตามถนน สดชื่นเฉกลมหายใจสูดแรกเมื่อโคลัมบัสพบแผ่นดินใหม่ สั่น สะเทือนไปกับเท้าขวาของนีล อาร์มสตรองทีป่ ระทับบนพืน้ สีฝนุ่ ของดวงจันทร์ อยูใ่ นชัว่ นิรนั ดรของ คุณชายมอนตาคิวเมือ่ แรกพบสบตากับคุณหนูคาร์ปเู ลต หลัง่ ไหลไปกับลีโอนาโด ดาวินชียามค้น พบรอยยิม้ เลือนรางของโมนาลิซาบนผืนผ้าใบ ซึมซาบกับโศลกบทนัน้ ทีท่ ำ� ให้รามพบสีดา หรืออิม่ เอมเมื่อ ม.ร.ว.ดาริน วราฤทธิ์พบพี่ชายที่หายไปในเพชรพระอุมาเล่ม 48 จินตนาการถึงไอสไตน์ เมื่อพบฝั่งตรงข้ามของสมการอี มารีกูรีพบคุณสมบัติของเรเดียม และวินาที(ที่ก�ำลังเดินทางมา) ของอองซานซูจีเมื่อสัมผัสเสรีภาพและประชาธิปไตยในบ้านเกิดตัวเอง ...... ฯลฯ   ภาพยนตร์ที่ก�ำลังฉายคือเรื่อง Indecent Proposal (1993) เรื่องราวเกี่ยวกับมหาเศรษฐี หนุ่มที่พยายามซื้อทุกอย่างที่มนุษย์พึงมอบให้แก่กันได้ด้วยเงิน น�ำแสดงโดย โรเบิร์ต เรดฟอร์ด รับบท จอห์น เกจ และเดมี่ มัวร์ รับบท ไดอาน่า 13

เป็นภาพยนตร์ทเี่ คยดูสมัยเธอยังวัยรุน่ กับเพือ่ นผูช้ ายคนแรกทีเ่ ธอยอมให้จบั มือข้ามถนน เธอแทบจ�ำอะไรไม่ได้เลยถึงความสัมพันธ์ครั้งนั้นที่สิ้นสุดลงกะทันหันในวันใดวันหนึ่ง ทั้งสองคน ต่างเลิกติดต่อกันเสียเฉยเฉย ไม่มใี ครถามถึงเหตุผล ต่างรูเ้ พียงถึงเวลาต้องแยกย้ายกันไปราวกับ ถูกระบุวันหมดอายุไว้ เฉกเช่นไม่มีก�ำหนดการแน่ชัดส�ำหรับการมาและจากไปของเหมันต์ 14

252


จอห์น เกจกล่าวกับไดอาน่า จอห์น เกจเล่าเรือ่ งความไม่สมหวังในรัก เพราะเขาขีอ้ ายเกินกว่าจะไปทักทาย หญิงสาวผูท้ เี่ ขาหลงรักเมือ่ แรกเห็นในรถไฟฟ้าใต้ดนิ หลังจากวันนัน้ เธอก็หายไปจาก ชีวิตของเขาอย่างไร้ร่องรอย จะเหลือก็แต่ในความทรงจ�ำที่หลอกหลอนเขาตลอดมา ตราบจนถึงปัจจุบัน15 รู้สึกตัวอีกทีก็เมื่อร่างตะคุ่มนั้นเดินโขยกเขยกเข้ามาใกล้จนเกือบประชิดที่นั่ง ของเธอเสียแล้ว สิง่ ทีน่ า่ แปลกใจคือการเคลือ่ นไหวของร่างกายงุม้ ค่อมเชือ่ งช้าจนผิด สังเกต จากระยะไม่กฟี่ ตุ ร่างกายนัน้ ใช้เวลาเนิน่ นานกว่าจะขับเคลือ่ นมาถึง เป็นความ ก�ำ้ กึง่ ระหว่างท่วงท่าของเด็กหัดเดินทีเ่ กาะยึดสิง่ ทีอ่ ยูใ่ กล้มอื ทีส่ ดุ ค�ำ้ ยัน ขณะเดียวกัน อาการสัน่ สะเทิม้ ก็ชใี้ ห้เห็นว่าอาจเป็นคนชราร่างผอมแกร็น ทว่าร่างนัน้ เชือ่ งช้าเกินไป ช้าอย่างน่าสยดสยอง ขนแขนไล่ลกุ ชันไปถึงต้นคอ เธอไม่เคยเห็นคนเคลือ่ นไหวช้าเท่านีม้ าก่อน เธอ ดูไม่ออกว่าเป็นเด็กหรือคนแก่ เพศชายหรือหญิง แต่ความกลัวทีอ่ ธิบายไม่ได้นหี้ ยุด ร่างกายเธอให้แข็งชาอยู่กับเก้าอี้ อยากลุกหนีจากที่นี่เสียเดี๋ยวนี้แต่ท�ำไม่ได้ ร่างนั้น ขยับเข้ามาใกล้ทกุ ที ผมบนกระหม่อมบางจนเกือบโล้น ล�ำแขนอวบป้อมเหมือนเด็ก น้อย แต่เหีย่ วย่นเหมือนผิวหนังชราภาพ แสงจากจอฉายให้เห็นเรือนหน้าไม่ระบุเพศ ของสิ่งมีชีวิตที่ก�ำลังเคลื่อนเข้ามาใกล้ เธอกลั้นหายใจ มือหยาบและสากข้างนั้นเข้า มาคว้าแขนเธอไว้เพื่อจับยึด ย่ืนหน้าเข้ามาใกล้หูและพูดเบาเบาเหมือนกระซิบ เธอ หลับตาแต่ในใจก�ำลังกรีดร้อง หากไม่มีแสงไฟฉายส่องมาจากทางเดินด้านข้างโรงหนัง เธอหันไปมองย้อน แสงเห็นชายหนุ่มในชุดสูทหลวมกว่าตัวเดินเข้ามา ในใจรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นพนักงานเดินตั๋วหรือใครก็ตาม เธอไม่สน ความรู้สึกในฝัน เขาคือคนที่เข้ามา ช่วยชีวติ แม้เหตุการณ์เมือ่ สักครูย่ งั ไม่ได้ท�ำอันตรายแก่เธอ แต่เธอก็สมั ผัสได้ถงึ ความ รูส้ กึ คุกคาม เขาเดินเข้ามาจับมือเธออ่อนโยนและดึงเธอลุกขึน้ อย่างนุม่ นวล ทางเดิน ออกจากโรงหนังมืดมิดและวกวน เธอจับมือเขาเดินไปตามทางแคบและคดเคี้ยว เธอเดินตามหลังเขาซึ่งเดินน�ำไปข้างหน้า เขาไม่แม้หันมา เป็นความอบอุ่นอย่าง   ชูศักดิ์ ภัทรกุลวณิชย์, “อ�ำนาจของเรื่องเล่า,” ใน เชิงอรรถวัฒนธรรม, (กรุงเทพฯ: ส�ำนัก พิมพ์วิภาษา, 2539) หน้า 4. 15

253


ประหลาดบริเวณมือเย็นเฉียบของเขาและมือชุ่มเหงื่อของเธอ บรรยากาศมืดเย็น และอับชืน้ เธอลืมสังเกตว่าเด็กหญิงชราทีเ่ คลือ่ นไหวช้าขนาดนัน้ หายไปโดยทีเ่ ธอไม่ เห็นได้อย่างไร แต่ในความฝัน สิ่งใดจะโผล่หรือหายไป มันก็ไม่จ�ำเป็นต้องมีเหตุผล ระหว่างหาทางออกจากโรงหนัง เขาเล่าเรื่องราวของแม่มดตนนั้นให้เธอฟัง16 เขาสันนิษฐานว่ามันอาจจะเดินออกมาจากหนังสือ17 ที่เขาเพิ่งอ่านจบ แต่เธอกลับ สนใจข้อความแหบพร่าของเด็กหญิงชราที่มากระซิบข้างหู18 มากกว่า พยายามจ�ำ ให้แม่นก่อนความฝันจะสิ้นสุดลง

จะเล่าให้เธอฟัง

ภาพงานเลี้ยงด�ำเนินอยู่เบื้องหน้าเขานานแล้ว มันแทบไม่ต่างอะไรกับงาน เลี้ยงที่เพิ่งไปร่วมมาเมื่อค�่ำ มีเพียงรายละเอียดเล็กน้อยที่ผิดแผกกัน บรรดาแขก เหรือ่ กระทัง่ บริกรในงานนีส้ วมใส่หน้ากากสีเหลืองทีแ่ สดงอารมณ์หลากหลาย เขาไม่ แน่ใจว่าตัวเองรูจ้ กั ใครในงานนีห้ รือไม่ สงสัยว่าใครเป็นเจ้าภาพและเขาเดินทางมากับ ใครหรือเปล่า เขากวาดสายตามองไปโดยรอบแหวกบทสนทนาเอ็ดอึง เสียงหัวเราะ เริงร่า เพื่อมองหาใครบางคนที่เขารู้จักหรืออาจจดจ�ำเขาได้ ทุกคนจ้องมองแต่เขา ไม่อาจรับรู้สีหน้าเบื้องหลังสัญรูปอารมณ์เหล่านี้ได้เลย นาทีนี้เขาอยากมีหน้ากาก สักอันเหลือเกิน สถานการณ์เหนือจริงแต่สมจริงเกินเชือ่ เช่นนีท้ ำ� ให้เขาสงสัยว่าตัวเองอาจก�ำลัง ฝัน ความฝันสร้างความประหลาดใจให้มนุษย์ได้เสมอ บ้างบอกว่าบางอย่างทีบ่ ดิ เบีย้ ว   พ่อมดตนหนึ่งยอมให้คนบั่นร่างเขาออกเป็นชิ้นชิ้นและใส่เข้าไปในหม้อต้มเป็นอาทิตย์ เพือ่ ให้เขากลับมาเยาว์วยั อีกครัง้ เขาจ้างคนคอยเฝ้าไม่ให้ผใู้ ดแอบมองดูในหม้อ เพียงแต่คนยาม นั่นเองที่ไม่อาจอดทนต่อความสงสัยได้ มันเร็วเกินไป ดังนั้นเขาจึงอันตรธานไปพร้อมกับเสียง ร้องไห้ของเด็กทารก 16

โซเรน เคียร์เคกอร์ด, ปรัชญากัมปนาท (Diapsalmata), (กรุงเทพฯ: bookmoby, 2555), หน้า 18. โหลดอ่านฟรีได้ที่ http://www.bookmoby.com 17

18

“จงใช้ความรู้สึกให้น้อยลง แล้วเจ้าจะเข้าใกล้ความเป็นอมตะ”

254


ถูกระบายออกมาจากส่วนลึกในตัวเรา เขาแอบเชือ่ ว่ามีบา้ งเหมือนกันทีแ่ ต่ละคนปล่อย มันล่องลอยออกมาตอนหลับและมีใครบางคนรับช่วงต่อไป เธอคนนั้นแต่งหน้าชัดเข้มแทนการใส่หน้ากากอย่างคนอื่น ท่ามกลางผู้คน เหล่านั้นรอยยิ้มฉีกแก้มไม่สอดรับกับรอยปากแท้จริงของเธอแม้แต่น้อย ชุดราตรี ของเธองดงามกว่าใคร สังเกตอาการก็รู้ได้ทันทีว่าเธอก�ำลังมองหาคนรู้จักในงาน เช่นเดียวกับเขา คุณว่าเราควรจะเชื่อใจหน้ากากหรือใบหน้าของพวกเขาดี เขาเปิดบทสนทนา แรก ฉันก�ำลังไม่พอใจคุณอยู่ เธอยิ้มหวานกว่ารอยยิ้มกว้างที่เธอวาดไว้ข้างแก้ม คุณไม่ได้ใส่หน้ากากเหมือนพวกเรา เธอถามเหมือนเพิ่งสังเกตใบหน้าเขา คุณก็ไม่ได้ใส่ แค่เหมือนว่าใส่เท่านั้น เขาสบตาใบหน้าที่เพิ่งรู้จักราวคุ้นเคย มาแสนนาน สองคนออกมาสูดอากาศลานโล่งนอกงานเลี้ยงประหลาด เดินคุยกันอยู่นาน เขาก็สารภาพว่าอยากเห็นใบหน้าแท้จริงของเธอ แต่เล่าว่าวันหนึ่งเธออยากเข้างาน เลีย้ ง อยากสังสรรค์และมีสงั คม แต่ไม่อาจหาหน้ากากแบบนัน้ มาสวมใส่ได้ เนือ่ งจาก มีราคาทีต่ อ้ งจ่ายมากมายเกินไปส�ำหรับชีวติ เธอเลือกปลอมแปลงตัวเองด้วยการแต่ง หน้าทาสี การลบเครื่องส�ำอางนี้ช่างยากเย็น เธอบอกว่าทุกคืนที่กลับไป มีเพียง น�้ำตาไหลหลั่งรินหนทางเดียวที่จะล้างสีและท�ำให้ใบหน้าแท้จริงของเธอปรากฏ คุณท�ำให้ฉันร้องไห้ได้ไหม เธอถาม เขาไม่ตอบอะไร แต่เริ่มเล่าเรื่องเศร้าทีละเรื่องละเรื่องให้เธอฟัง

เขาเล่าเรื่องแรก19

จากหนังสือปรัชญาที่เขาเพิ่งอ่านจบ มีบางหน้ากล่าวถึงการพูดความจริงของ นักปรัชญาด้วยการเปรียบกับร้านขายของเก่าที่มีป้ายแขวนเอาไว้ว่า : รับรีดเสื้อผ้า แล้วพอใครบางคนเอาเสื้อผ้าไปรีดก็ถูกหลอก เพราะป้ายนั้นมีไว้ส�ำหรับขาย 19

โซเรน เคียร์เคกอร์ด, ปรัชญากัมปนาท, หน้า 26.

255


เธอหัวเราะและกล่าว ไม่ใช่ความผิดของนักปรัชญาเลย ความจริงต่างหากที่ท�ำให้เราผิดหวังเสมอ

เขาเล่าเรื่องต่อมา20

ว่าด้วยพฤติกรรมของคนบางกลุ่มที่ปฏิบัติตนเหมือนเหล่าคนแคระที่คอยเฝ้า เจ้าหญิงที่ถูกคุมขังไว้ในปราสาท แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อพวกเขาผล็อยหลับและตื่นขึ้น ในหนึ่งชั่วโมงต่อมา เจ้าหญิงก็หายตัวไปแล้ว กลุ่มคนแคระขาเล็กสั้นรีบคว้ารองเท้า เจ็ดโยชน์มาใส่ ผลกลายเป็นว่ารองเท้าที่เดินแค่ก้าวเดียวก็ออกน�ำหน้าเจ้าหญิงไป ไกลลิบ ท�ำให้พวกเขายิ่งหาเจ้าหญิงเท่าไหร่ก็ไม่มีวี่แววว่าจะพบตัวเลย เธอหัวเราะ หัวเราะร่วนแต่ไม่เพียงพอจะท�ำให้น�้ำตาไหลหลั่งริน

เขาเริ่มเล่าเรื่องต่อต่อมา21

ราวกับเป็นเรือ่ งจริงทีเ่ กิดขึน้ ไม่นานนัก เหตุไฟไหม้ดา้ นหลังของโรงละครเวที แห่งหนึง่ ซึง่ ก�ำลังท�ำการแสดงอยู่ ตัวตลกเดินออกมาบอกกล่าวกับผูช้ ม โชคร้ายเมือ่ พวกเขาคิดว่านัน่ เป็นเพียงมุขตลกจึงปรบมือชอบใจเกรียวกราว ยิง่ ตัวตลกบอกเตือน ผู้ชม พวกนั้นก็ยิ่งส่งเสียงโห่ฮาดังขึ้น เธอยิ้ม สุดท้ายตัวตลกทิ้งคนดูของเขาไปหรือไม่ เธอถามเขาถึงเรื่องที่อาจไม่มีวันรู้ ค�ำตอบ งานเลี้ยงไม่มีวันเลิกลาไปจากโลก เธอกล่าวบ้าง แต่เมื่อถึงวันหนึ่งของชีวิต เราทุกคนจะเลิกไปงานเลี้ยงเอง

20

เรื่องเดียวกัน, หน้า 20-21.21 เรื่องเดียวกัน, หน้า 23-24.

21

เรื่องเดียวกัน, หน้า 23-24.

256


เขาเล่าเรือ่ งแล้วเรือ่ งเล่าต่อมาอีกหลายต่อหลายเรือ่ ง22 มาถึงเรื่องของชายคนหนึ่งที่สูญเสียอ�ำนาจในการหัวเราะ หลังจากก้าวเท้า เข้าไปในถ�้ำมืดด�ำ กระทั่งเมื่อเติบโตและเบิกตากว้างขึ้นนั่นแหละ เขามองเห็นโลก แห่งความจริงจึงเริ่มส่งเสียงหัวเราะได้อีกครั้ง จากนั้นเป็นต้นมาเขาก็ไม่อาจหยุด หัวเราะได้อีกเลย เธอหัวเราะขมขื่น พร้อมกล่าวว่า อ�ำนาจในการหัวเราะท�ำให้ทุกคนเท่าเทียมกัน เขามองเธอหัวเราะขมขื่นต่อความจริงของชีวิต

เขาเล่าเรื่องสุดท้ายแล้ว ชื่อว่า 23 พระราชากับฉลองพระองค์ล่องหน

ค�ำพูดของเธอเมื่อครู่ กระตุ้นเขาให้นึกถึงเสียงหัวเราะสัตย์ซื่อของเด็กน้อยที่ กล้าหัวเราะพระราชาต่อหน้าประชาชนในนิทานของแอนเดอร์เซน24 เขาเล่านิทาน เกีย่ วกับอ�ำนาจของเสียงหัวเราะทีท่ ำ� ให้พระราชารูแ้ ท้วา่ ฉลองพระองค์ลอ่ งหนทีก่ ำ� ลัง สวมใส่เป็นอาภรณ์อนั เปลือยเปล่า ไม่มเี สนาบดีคนใดจริงใจต่อพระองค์เลย พระราช อ�ำนาจของพระองค์ถกู ลดทอนและท้าทายจากเสียงหัวเราะของเด็กน้อยไม่ประสาคน เดียว เขาเล่าเองยังอดกระฉอกข�ำไม่ได้ เธอกลับร�่ำไห้ ใบหน้ามีน�้ำตาหลั่งรินให้แก่ชะตากรรมของพระราชา   โลกความจริงที่ท�ำให้ชายคนนี้กลับมาหัวเราะอีกครั้งเป็นอย่างไร อ่านเพิ่มเติมใน “โซเรน เคียร์เคกอร์ด, ปรัชญากัมปนาท, หน้า 28-29.” 22

บ้างว่าเป็น นิทานของ ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน แต่ผู้เขียนไม่แน่ใจ เช่นเดียวกับ นิทานทุกเรื่องที่เราไม่รู้ที่มา ทราบเพียงว่า ใครรวมรวบและเป็นผู้เล่า กล่าวได้ว่า นิทานเป็นทั้ง เรื่องเล่าที่ไร้เชิงอรรถ และ/หรือ มีเชิงอรรถที่สืบค้นได้ไม่รู้จบ 23

ฮันส์ คริสเตียน แอนเดอร์เซน (Hans Christian Andersen) (ค.ศ. 1805-1875) ตามความ เห็นของผู้คนที่มีชีวิตอยู่ร่วมสมัยกับเขา แอนเดอร์เซนเป็นชาวเดนมาร์ก เขาเกิดในสลัม เป็นตัว ตลกน่าสมเพชให้คนหัวเราะมาตลอดชีวิต แต่แล้วเขาก็ใช้คติหัวเราะทีหลังดังกว่า ด้วยบรรดา งานเขียนที่เขาเรียกมันว่า ‘เรื่องเล่นๆ’ ที่เป็นนิทานส�ำหรับเด็ก ซึ่งท�ำให้ผู้ใหญ่ทั่วโลกนิ่งฟังด้วย ตาโต ( ที่มา wikipedia ) 24

257


ท�ำไมไม่คดิ บ้างว่าพระราชาไม่อยากได้ยนิ ความจริง ไม่วา่ ความเท็จจะบิดเบีย้ ว เพียงใด การหลอกลวงจะเลิศลอยแค่ไหน แต่ไม่มีวันสร้างบาดแผลให้เจ็บปวดได้ เท่ากับความจริง เธอกล่าวพลางสะอื้น เขาจ้องมองใบหน้าแท้จริงของเธอด้วยแววตาจดจ�ำ

เหตุการณ์สิ้นสุดลงเมื่อเช้า เป็นเช้าวันอังคารที่ปลอดโปร่งกว่าทุกวัน แมวเลียไล้ใบหน้าจนเธอรู้สึกตัว มันปลุกเธอก่อนเวลาที่ควรตื่นเล็กน้อย เพื่อ ขอให้เธอลุกไปเปิดประตูบ้านให้ แทบจะในนาทีเดียวกันกับฟากฝั่งของเขาที่ตื่นจากหลับใหลเพราะได้ยินเสียง ลูกนกร้องเจื้อยแจ้วอย่างผิดสังเกตแว่วมาจากกิ่งไม้ใกล้หน้าต่างห้องนอน หากมีเวลากว่านี้ ทั้งสองคงอยากนั่งนึกถึงคราบรอยความฝันเพียงเล็กน้อยที่ หลงเหลืออยู่ ก่อนนาฬิกาจะบงการชีวิตให้ลุกจากเตียงไปสู่ชีวิตท�ำงาน หากมีใครยื่นแบบสอบถามความชื่นชอบ เขาและเธอจะตอบตรงกันว่าต่าง หลงใหลอาการหลับลึกสูแ่ ละตืน่ ขึน้ จากความฝันทุกวีว่ นั สิง่ นีเ้ กิดขึน้ ประจ�ำวันเหมือน การหายใจเข้าออก เธอรีบปิดประตูใส่กุญแจ แต่ก็มีเหตุให้ต้องออกจากบ้านล่ากว่าทุกที เมื่อเธอ เหลือบไปเห็นซากนกตัวหนึ่งถูกแมวของเธอตะปบตาย คราบเลือดยังสด เธอเสีย เวลาไปเล็กน้อยกับการเก็บกวาดลานหน้าบ้าน เป็นเหตุให้ออกจากบ้านไปรถไฟฟ้า ช้ากว่าเคย เขาออกจากบ้านเช่นทุกเจ็ดโมงสิบห้าและทุกอย่างเกือบจะเป็นไปตามปกติ หากไม่ได้ยินเสียงลูกนกน้อยสองสามตัวที่ยังคงโก่งคอร้องจ้าอย่างน่าเวทนา วันนี้ แม่นกมาช้ากว่าทุกวัน เหลือวิสัยที่คนอย่างเขาจะท�ำอะไรได้ เขาเปิดดูกระเป๋าเพื่อ ดูว่าไม่ลืมหยิบหนังสือไปคืนเพื่อนที่ท�ำงาน บนรถไฟฟ้ายามเช้าเร่งรีบ เขาและเธอโดยสารไปพร้อมกับคาราวานมนุษย์ แปลกหน้า ที่มีสีหน้าซึมเซาและง่วงงงทุกวัน เธอสัมผัสได้ว่ามีสายตาจากผู้ชายคนหนึ่งลอบมองเธอจากมุมไกล เธอแสร้ง ท�ำเป็นมองไม่เห็น แต่เขาที่เธอคลับคล้ายคลับคลาคนนั้นท�ำให้เธอคิดถึงเหตุการณ์ 258


ในโรงหนังเมื่อคืน เธอหันกลับไปมองอีกครั้ง แต่เขาก็หันไปอีกทางเสียแล้ว ใจหนึ่ง ไม่อยากให้หนั มา เพราะไม่แน่ใจว่าเขาจะจ�ำเธอได้หรือเปล่า เธอหมกมุน่ อยูก่ บั ความ คิดเรื่องเขา บางทีเธออาจจะต้องลองใช้ความรู้สึกให้น้อยลง ส่วนเขายังคงหันรีหนั ขวางหันหลังกลับไปมองผูห้ ญิงคนแล้วคนเล่าทีเ่ ดินปะปน กันบนสถานี ไม่มใี ครสบตาเขาหรือมีทที า่ ว่าจะใช่ผหู้ ญิงทาหน้าขาวแทนหน้ากากเพือ่ ปลอมเป็นตัวตลกในงานเลี้ยงคนนั้น คนที่ร้องไห้แด่เรื่องราวของพระราชาในนิทาน ของแอนเดอร์เซน เขากระวนกระวายส่ายส่องผูห้ ญิงทุกคนทีส่ วนมา ทัง้ ทีจ่ ำ� ใบหน้า ของเธอไม่ได้แม้เพียงเค้า นั่นท�ำให้เขานึกข�ำความจริงจังของตัวเอง ก็อาจตรงดังค�ำกล่าวทีบ่ อกเล่าสืบกันมานั่นล่ะว่า อย่าประมาทเหตุเล็กน้อยใน ชั่วพลันแล่น เพราะมันอาจส่งผลที่ยิ่งใหญ่ติดตามมา

259


สนทนาภาษาไซไฟกับ

วินทร์ เลียววาริณ ธนาคาร จันทิมา เรียบเรียง

260


การเขียนไซไฟมีกติกาแค่เพียง ข้อเดียวคือ เรื่องที่เขียนต้องมีความ เป็นวิทยาศาสตร์ซึ่งไม่จ�ำเป็นต้องเป็น ทฤษฎีที่มีอยู่แล้วในปัจจุบัน คุณอาจ สร้างทฤษฎีขึ้นเอง แต่ต้องอธิบาย ในเชิงวิทยาศาสตร์ให้พอรับได้ ถ้าไม่ อธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ก็จะกลาย เป็นงานแฟนตาซีไป เช่นการบอกว่า มนุษย์สามารถบินได้ในอากาศ ถ้า บอกว่าบินโดยใช้สสาร-ปฏิสสารเพื่อ ให้ตัวเองลอยขึ้นมาก็จะเป็นนิยาย วิทยาศาสตร์ แต่ถ้าบอกว่าแค่บินได้ นี่ คือแฟนตาซี ท้ายที่สุดแล้วอยู่ที่ว่าคุณ บินท�ำไม นั่นคือกลับมาทีเ่ นื้อเรื่อง

261


สนทนาประสาไซไฟกับ วินทร์ เลียววาริณ ธนาคาร จันทิมา เรียบเรียง

ผมอ่านไซไฟตั้งแต่เด็ก

กติกาแค่เพียงข้อเดียว

มั ย ก่ อ นเมื อ งไทยไซไฟมี น ้ อ ย มาก หนั ง สื อ ไซไฟยุ ค แรกคื อ วิ ท ยาศาสตร์ - มหั ศ จรรย์ ข อง อ. จันตรี ศิรบิ ญ ุ รอด ผมเคยอ่านตอนเด็ก ตอนนัน้ ยังไม่คอ่ ยเข้าใจเรือ่ งระบบจักรวาล เท่าไหร่ อีกช่วงหนึง่ ได้มาอ่านนิยายไซไฟ แปลชุดหนึ่งซึ่งเป็นผลงานคัดสรรของ นิสติ คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ ทีผ่ มถือ เป็นบุญคุณต่อวงการหนังสือของบ้านเรา หลังจากนัน้ พอไปอยูน่ วิ ยอร์ก ผมจะพบว่า ตลาดของหนังสือแนวไซไฟใหญ่กว่าบ้าน เรามหาศาลประมาณห้าร้อยเท่า ชีวิตนี้ อ่านไม่หมดหรอกครับ แต่ต้องอ่านจาก ภาษาอังกฤษ

หลายคนกลั ว ไซไฟ แต่ จ ริ ง ๆแล้ ว การเขียนไซไฟ เรื่องสั้นหักมุมจบหรือ นิยายนักสืบต่างมีพื้นฐานเดียวกันหมด เวลาสร้างบ้าน หากคุณรู้หลักการ วางฐานราก การสร้างเสาหรือการหล่อ คานเหล่ า นี้ คื อ หลั ก การเดี ย วกั น ส่ ว น ผลจะออกมาเป็นบ้านเดี่ยว บ้านสองชั้น ตึกคอนโด หรือตึกออฟฟิศต่างๆ ได้ตาม ต้องการ เช่นเดียวกับการเขียนหนังสือ หาก จะเขียนเป็นนิยายเริงรมย์ นิยายโป๊ นิยาย นักสืบ นิยายไซไฟ หรือนิยายต่างๆ ก็คือ แบบบ้านแตกต่างกันที่สร้างออกมา โดย มีหลักการเดียวกัน

262


การเขี ย นไซไฟมี ก ติ ก าแค่ เ พี ย ง ข้ อ เดี ย วคื อ เรื่ อ งที่ เ ขี ย นต้ อ งมี ค วาม เป็นวิทยาศาสตร์ซึ่งไม่จ�ำเป็นต้องเป็น ทฤษฎี ที่ มี อ ยู ่ แ ล้ ว ในปั จ จุ บั น คุ ณ อาจ สร้างทฤษฎีขึ้นเอง แต่ต้องอธิบายในเชิง วิทยาศาสตร์ให้พอรับได้ ถ้าไม่อธิบาย ในเชิ ง วิ ท ยาศาสตร์ ก็ จ ะกลายเป็ น งาน แฟนตาซี ไ ป เช่ น การบอกว่ า มนุ ษ ย์ สามารถบิ น ได้ ใ นอากาศ ถ้าบอกว่าบินโดยใช้ สสาร-ปฏิ ส สาร เพื่ อ ให้ ตั ว เอง ลอยขึ้ น มาก็ จะเป็นนิยาย วิทยาศาสตร์ แต่ ถ ้ า บอก ว่ า แค่ บิ น ได้ นี่ คื อ แฟนตาซี ท้ายที่สุดแล้วอยู่ ที่ว่าคุณบินท�ำไม นั่น คื อ กลั บ มาที่ เ นื้ อ เรื่ อ ง ดั ง นั้นถ้าเข้าใจเคล็ดลับข้อนี้ อยากเขียน อะไรก็เขียนได้ หลักการคล้ายกันหมด นิยายนักสืบก็จะมีกติกาว่าต้องมีใครเป็น ฆาตกร ตอนจบคุณต้องเฉลยมา แล้วเวลา คุณเฉลยมาคนอาจจะต้องคาดไม่ถึงซึ่งก็

คือนิยายหักมุมจบนั่นแหละ นิยายก�ำลัง ภายในก็มีกติกาของมัน เช่น มีส�ำนัก มี วิทยายุทธ์ มีการต่อสูก้ นั จึงจะเรียกว่าเป็น ก�ำลังภายใน คุณลองอ่านงานของโกวเล้ง เขามีตั้งแต่นิยายรักที่เป็นก�ำลังภายใน นิยายนักสืบที่เป็นก�ำลังภายใน นิยาย สยองขวั ญ ที่ เ ป็ น ก� ำ ลั ง ภายใน มี ห มด ทุกแบบเลย ถ้าเข้าใจแล้ว ไม่ยากเลย ผลทีอ่ อกมาอาจแตกต่างกัน แต่ ว ่ า วิ ธี ก ารเขี ย น เ ห มื อ น กั น เหมือนกับการ สร้างบ้าน เ ห มื อ น กั บ การวาดรู ป เ ห มื อ น กั บ การเพ้นท์ติ้ง ผมจึ ง บอกว่ า ศิลปะ ไม่วา่ จะเป็น สายวรรณกรรม เขียน เรื่ อ งอ่ า นเล่ น หรื อ คุ ณ จะสร้ า งภาพจิ ตรกรรม ประติ ม ากรรม ภาพพิมพ์ ดนตรี สถาปัตยกรรม นาฏกรรม นาฏศิลป์ ทุกอย่างใช้หลักการเดียวกันหมด คุณสามารถสร้างทุกอย่างได้เลย ส่วนงาน จะดีหรือไม่ขนึ้ อยูก่ บั การฝึกฝนของแต่ละ

263


คน ถ้าคุณใช้ภาษาได้ดีมากคุณก็เป็น นักเขียน ถ้าคุณปัน้ ดินได้ดี เเม่นมาก คุณก็ เป็นนักปัน้ ถ้าคุณเรียบเรียงโน้ตดนตรีได้ ดี คุณก็เป็นนักดนตรี แค่นนั้ เอง พอเข้าใจ หลักการ ไม่ว่าคุณจะจับอะไรมา คุณก็ เขียนได้หมด หลักการเดียวกับคุณเขียน บทความ คุณก็ต้องจับคนอ่านให้อยู่ คุณ ให้สาระเขาไป อะไรที่เป็นส่วนเกิน คุณก็ ตัดทิ้งให้หมด มีหลักการแค่นี้เอง

ไซไฟกับวิทยาศาสตร์ ส�ำหรับคนที่สนใจไซไฟ เขาต้องมี ความชอบวิทยาศาสตร์อยู่แล้ว หมายถึง ชอบเทคโนโลยี ชอบศาสตร์ใหม่ๆ และมี ความรู้ในศาสตร์ที่เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ มากเป็ น พิ เ ศษ ถ้ า รู ้ ก็ จ ะหาเรื่ อ งมา เขียนได้ ยกตัวอย่าง ถ้าศึกษาเรื่องยีนส์ เรื่ อ งพั น ธุ ก รรมจะเข้ า ใจว่ า มนุ ษ ย์ ถู ก ก�ำหนดมาจากยีนส์ สมองส่วนหนึ่งเป็น ตัวก�ำหนดตัวเรา ถ้ารู้อย่างนี้ก็สามารถ สร้างพลอตเรื่องที่สัมพันธ์กับความรู้ได้ แต่ถ้าไม่รู้เลย ไม่มีทางที่จะสร้างพลอต ประเภทนี้ออกมาได้ คนที่จะเขียนนิยาย ไซไฟจะต้องศึกษาหาความรู้ เติมข้อมูล อยู่ตลอดเวลา เช่น ตอนนี้มีการค้นพบ

264

ดาวเคราะห์ดวงใหม่อยู่ที่สามพันปีแสง จากจุ ด นี้ แ ละมี ค วามเป็ น ไปได้ ว ่ า จะมี น�้ำ หรือมีการค้นพบเนบิวลาใหม่ที่ตรง จุดนั้น เราจ�ำเป็นต้องตามข่าวตลอดว่า มีเทคโนโลยีใหม่อะไรบ้าง ความรู้เหล่านี้ ท�ำให้เกิดเชื้อในการสร้างเรื่องขึ้นมาได้ หากมองกลับกัน วิธีท�ำงานอีกแบบหนึ่ง คือ การสร้างแนวคิดบางอย่างขึ้นมาแล้ว ค่อยไปหารายละเอียดมาใส่ แปลว่าต้อง ไปค้นข้อมูล เช่น สมมติบอกว่ามนุษย์ มีที่มาจากมนุษย์ต่างดาวที่ดาวดวงนั้น ดวงนี้แล้วเดินทางมาอย่างไร ลองรีเสิร์ช หาวิธีการดูว่าจะท�ำได้หรือไม่ได้ การวางโครงเรื่องที่เคยท�ำจะมีสอง แบบ คือ แบบแรก การมีข้อมูลบางอย่าง ทีก่ ระตุน้ ให้อยากจะสร้างเป็นพลอตขึน้ มา เช่น คุณอ่านข่าวพระเดินธุดงค์แล้วเกิด ความคิดบางอย่างจะสร้างเป็นพลอตขึ้น มานั่นแปลว่าคุณมีวัตถุดิบ แล้ววัตถุดิบ ท�ำให้เกิดพลอตเรือ่ ง แบบทีส่ อง คือ การมี แค่แนวคิดอยู่ในหัว เช่น คุณคิดว่าจะเกิด อะไรขึ้นถ้ามนุษย์เราบินได้ อันนี้เป็นแค่ ค�ำถามทีส่ ร้างขึน้ มาเฉยๆ ก่อนจะร่างเป็น พลอตขึ้นมา แบบนี้เป็นการสร้างพล็อต เรือ่ งจากอากาศ คือเริม่ จากศูนย์ แบบเดียว กับที่ผมเขียนอยู่เสมอๆ ในนิยายชุดของ


อะเดย์ เนื่ืองจากเป็นงานที่ได้รับโจทย์มา ก่อนเขียน เช่น บรรณาธิการบอกว่าฉบับนี้ จะเป็นโจทย์เกี่ยวกับถนนข้าวสาร นั่น แปลว่าผมต้องสร้างเรื่องที่เกี่ยวกับถนน ข้ า วสารโดยที่ ไ ม่ เ คยมี ไ อเดี ย เกี่ ย วกั บ ถนนข้าวสารมาก่อน เป็นต้น นีค่ อื สองวิธที ี่ ผมมักเลือกใช้วิทยาศาสตร์เป็นแค่ฉาก หรือโครงเรื่องเท่านั้นเอง วิทยาศาสตร์เป็นแค่ฉากหรือโครง เรื่ อ งเท่ า นั้ น สมมติ ว ่ า คุ ณ เขี ย นนิ ย าย นั ก สื บ อยู ่ แ ล้ ว คิ ด ว่ า ลั ก ษณะโครงเรื่ อ ง แบบนี้น่าจะท�ำเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ ได้ คุ ณ อาจจะใส่ อ งค์ ป ระกอบที่ เ ป็ น วิทยาศาสตร์เข้าไปในเรื่อง ตัวอย่างเช่น ผมเอาเรื่ อ ง นั ก สื บ พุ ่ ม รั ก พานสิ ง ห์ มาเปลี่ยนเป็นฉากในอนาคตแล้วพอใส่ ฉากวิทยาศาสตร์เข้าไปมันก็กลายเป็น ฉากวิทยาศาสตร์แล้ว เพราะความเป็น นิ ย ายวิ ท ยาศาสตร์ อ ยู ่ ที่ อ งค์ ป ระกอบ ของเรื่ อ งไม่ ไ ด้ อ ยู ่ ที่ แ นวคิ ด องค์ ป ระกอบมี ค วามเป็ น วิทยาศาสตร์แต่แนวคิดอาจ จะเป็ น การประชดสั ง คม ในพ.ศ.นี้ คุณจะเขียนนิยาย นักสืบ นิยายไซไฟ นิยายรัก นิ ย ายอิ ง ประวั ติ ศ าสตร์ เ มื่ อ

สมั ย สุ โ ขทั ย สาระอาจจะเป็ น ไปเพื่ อ สะท้อนสภาพสังคมในพ.ศ.นี้ก็ได้ สิ่งที่ แตกต่างระหว่างนิยายอิงประวัติศาสตร์ กับนิยายวิทยาศาสตร์จงึ อยูท่ อี่ งค์ประกอบ ของมัน คือฉากเป็นสุโขทัยมันก็คืออิง ประวัติศาสตร์ หากบอกว่าคุณก� ำลังเขียนนิยาย วิทยาศาสตร์ แล้วไม่สามารถเขียนนิยาย อิงประวัติศาสตร์ได้ นั่นแปลว่า คุณก�ำลัง สร้างกรอบมาล้อมตัวเอง คุณไม่ควรยึดติด กับการจัดประเภทมากเกินไป เพราะจะ ท�ำให้ดนิ้ ไม่หลุดและไม่สามารถสร้างสรรค์ งานใหม่ๆ ได้มากมาย คุณจะสร้างนิยาย วิ ท ยาศาสตร์ ผ สมกั บ นิ ย ายอิ ง ประวั ติ ศาสตร์ นิยายวิทยาศาสตร์ผสมกับเรือ่ งผี นิยายวิทยาศาสตร์ผสมกับเรือ่ งรัก นิยาย โป๊ผสมกับเรื่องอะไรก็เป็นไปได้ รวมถึง การสร้างเรือ่ งทีไ่ ม่จำ� เป็นต้องมีตวั หนังสือ คุณอาจสร้างเรื่องที่มีตัวหนังสือผสมรูป ตัวหนังสือผสมกลิน่ ตัวหนังสือ ผสมชนิ ด กระดาษ หรื อ ตั ว หนังสือผสมเสียงได้ทุกอย่าง แต่ สิ่ ง ที่ เ ราควรจะให้ ความส� ำ คั ญ ในการเขี ย น แต่ละครั้งคือต้องการจะเล่า เรื่องอะไรและจะเล่าให้ดีที่สุด

265


ได้อย่างไรจึงจะทรงพลังมากพอ

ที่นั่นอาจไม่มีความรัก งานเขียนแนววิทยาศาสตร์ไม่จำ� เป็น ต้องเกีย่ วกับคน ความรักหรือแสดงความ รู้สึกเสมอไป เนื่องจากเราไม่มีทางรู้ว่าสิ่ง ที่เกิดขึ้นอยู่นอกโลกหรือว่าไกลออกไป อีกสักสามพันปีแสงจะเป็นอย่างไร ผม อาจจะเขียนถึงก้อนอะตอมสักก้อนหนึ่ง ในจักรวาลห่างออกไปอีกสักห้าพันปีแสง ให้เป็นเรือ่ งราวขึน้ มา แต่เป็นเรือ่ งทีเ่ ขียน ยากมาก จินตนาการได้อย่างเดียว เพราะ ผมไม่มีพื้นฐานความรู้เลย สิ่งมีชีวิตที่นั่น อาจไม่มีความรัก ไม่มีคนแต่มีเรื่องราว ก็ได้ เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่จินตนาการยาก เนือ่ งจากสัญชาตญาณของมนุษย์ไม่วา่ จะ เขียนเรือ่ งอะไรก็มกั จะถูกเชือ่ มโยงเข้ากับ ลักษณะของคนเสมอ หากลองสังเกตจะ พบว่าเวลาคนเราเขียนเรื่องเกี่ยวกับการ ผจญภัยในอวกาศ มนุษย์ต่างดาวมักจะ มีลกั ษณะเหมือนคน เรามักจะเขียนให้คดิ และพูดได้เหมือนคน ท�ำไมมนุษย์ตา่ งดาว ต้องพูดได้เหมือนคน ท�ำไมมนุษย์ตา่ งดาว ต้องมีสมอง เป็นไปได้ไหมทีม่ นุษย์ตา่ งดาว จะคิดได้ด้วยอวัยวะหรือโครงสร้างอย่าง

266

อื่ น ที่ ไ ม่ ใ ช่ ส มอง หรื อ เป็ น ไปได้ ไ หมที่ มนุษย์ต่างดาวไม่จ�ำเป็นต้องมีรูปแบบ ชีวิตหรือโครงสร้างร่างกายที่ประกอบ ด้วยธาตุคาร์บอนอย่างคน กรอบเหล่านี้ต้องทิ้งให้หมด อย่าถูก จ�ำกัดด้วยเงื่อนไขต่างๆ การเขียนนิยาย วิทยาศาสตร์ตอ้ งไม่ถกู จ�ำกัดอยูแ่ ค่กรอบ ของการค้นพบทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น

แต่ท�ำไมต้องเป็นอย่างนั้น เราต้ อ งมี ก ระบวนการคิ ด แบบ วิทยาศาสตร์คือการตีความทุกอย่างที่ เป็ น เหตุ เ ป็ น ผลจากการทดลอง ทั้ ง นี้ ไม่ได้หมายความว่าสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ พูดในปัจจุบันเป็นเรื่องจริงหรือถูกต้อง เสมอไป ยกตัวอย่าง เรามักจะกล่าวกัน เสมอว่า ถ้าดาวเคราะห์ดวงใดไม่มีน�้ำจะ ไม่มีสิ่งมีชีวิต นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกพูด อย่างนี้ตลอดเลย แต่ท�ำไมต้องเป็นอย่าง นัน้ ท�ำไมคนจึงคิดว่าน�ำ้ เท่านัน้ ทีจ่ ะท�ำให้ เกิดสิ่งมีชีวิต เป็นไปได้ไหมที่จะมีสิ่งมี ชีวติ อยูบ่ นดวงอาทิตย์ คุณต้องตัง้ ค�ำถาม แบบนี้ ถึ ง จะสร้ า งพลอตเรื่ อ งที่ ฉี ก ออก ไปได้ ขณะเดียวกันก็ยังสามารถอธิบาย ด้วยวิทยาศาสตร์ได้ เราต้องพยายาม


หลุดจากกรอบต่างๆ เราต้องตัง้ ค�ำถามทัง้ กับกรอบทางวิทยาศาสตร์หรือกรอบทาง ตรรกะทั้งหลายที่ถูกสั่งสอนหรือได้รับ ความรูม้ า วิธคี ดิ แบบนีเ้ ท่านัน้ จึงจะท�ำให้ คุณได้โครงเรื่องหรือไอเดียใหม่อยู่เสมอ

เร่ืองสั้นที่มีตัวละคร 500 ตัว สมัยที่ผมเขียนเรื่องสั้นเชิงกราฟฟิก เช่ น อาเพศก� ำ สรวล ผมก็ โ ดนด่ า พอ สมควรว่ า วรรณกรรมต้ อ งบริ สุ ท ธิ์ คื อ มี แ ต่ ตั ว หนั ง สื อ เขาก็ เ ถี ย งกั น ตลอด ว่ า สมั ย ก่ อ นที่ โ ยฮั น กู เ ตนเบิ ร ์ ก (Johann Gutenberg) ผลิ ต ตั ว หนั ง สื อ มั น มี แ ต่ ตั ว หนั ง สื อ ตรงๆ ไม่ มี อิ ท าลิ ค (italic) ถ้ า เราใช้ อิ ท าลิ ค หรื อ ตั ว เอน ผิ ด ก็ ค ง ผิ ด ตั ว ห น า ก็ผดิ เพราะว่าตัวหนังสือควร มีแบบเดียว อย่างนั้นหรือ เปล่า เพราะฉะนั้น ถ้าเรา อยู่ในกรอบพวกนี้เมื่อไหร่ เราก็ มี ข ้ อ ถกเถี ย งตลอด คื อ มี ข ้ อ ให้ ด ่ า ตลอด มั น ควรจะหลุ ด ไปจากจุ ด นั้ น แล้ ว หลั ง จากนั้ น จะพบว่ า

คุ ณ มี อิ ส ระมาก คุ ณ จะเขี ย นอะไรก็ ไ ด้ เหมือนที่ยกตัวอย่างว่า ผมเขียนเรื่อง ผู ้ ช ายคนที่ ต ามรั ก เธอทุ ก ชาติ พิ ม พ์ ครั้ ง ที่ 85 ชื่ อ ยาวหน่ อ ย โดยที่ ไ ม่ รู ้ ว ่ า เป็ น เรื่ อ งสั้ น ประเภทไหน อาจจะเป็ น ไซไฟก็ ไ ด้ วรรณกรรมก็ ไ ด้ อิ ง ประวั ติ ศาสตร์ก็ได้ อะไรก็ได้หมดเลย คุณจะ บอกว่ า ผมผิ ด เหรอ ถ้ า โดยหลั ก การก็ ผิด เพราะไม่รู้จะจัดตระกูลอย่างไร อีก เรื่องที่ตั้งข้อสังเกตคือ สมัยผมเป็นเด็ก น่าจะเป็นอาจารย์เจือ สตะเวทินที่ตั้งข้อ สังเกตเกี่ยวกับการเขียนเรื่องสั้นว่า เรื่อง สั้นจะมีสูตรต่างๆ เช่น สูตรต้นร้ายปลาย ดี สูตรต้นดีปลายร้าย สูตรต่างๆ เหล่า นี้เขาไปศึกษามาจากงานเรื่องสั้นที่ฝรั่ง เขียนจ�ำนวนมากแล้วพยายามรวบรวม มาเพื่ อ ให้ เ ป็ น ประโยชน์ กั บ นั ก เขี ย น นั ก อ่ า น เพื่ อ จะได้ รู ้ ว ่ า เรา ก�ำลังเขียนแบบไหน ซึ่งอัน นั้นก็จะเป็นสูตร แต่ว่าสูตร เหล่านั้นผมก็คิดว่าค่อนข้าง จ�ำกัดจนเกินไป เพราะผมไม่ เห็นความจ�ำเป็นต้องเขียน เป็นสูตร ขณะเดียวกันก็จะ มีต�ำราการเขียนเรื่องสั้นที่ ออกมามากมายที่จะบอกว่า

267


เรื่องสั้นเรื่องหนึ่งความยาวไม่เกิน 4-5 หน้า ตัวละครต้องสัก 2-3 คน ฉากควรจะ มีแค่ 1-2 ฉาก กลายเป็นสูตรว่าเรื่องสั้น ทีด่ ตี อ้ งเป็นแบบนี้ ซึง่ ก็จริงเพราะเรือ่ งสัน้ ส่วนใหญ่ในโลกทีด่ ๆี มักจะหนา 3-4 หน้า ตัวละคร 1-2 ตัว แล้วก็ฉากฉากเดียว แต่วา่ มันผิดหรือเปล่าถ้าผมจะเขียนเร่อื งสัน้ ทีม่ ี ตัวละคร 500 ตัว มีฉาก 500 ฉาก ไม่มี สูตรส�ำเร็จ ไม่มีกฎที่ไหนที่จะท�ำไม่ได้ ผมก�ำลังจะพูดว่ามันเป็นไปได้ที่จะ สวนทางสูตร การเขียนเรื่องสั้นก็เหมือน กับการปั้นรูป การเขียนจิตรกรรม คือ เขียนให้น้อยที่สุด เรียบง่ายที่สุด ไม่ได้ แปลว่าท�ำไม่ได้ด้วยตัวละคร 500 ตัว เพราะว่ า คุ ณ สามารถที่ จ ะจั ด กลุ ่ ม องค์ ประกอบในเรือ่ ง บางทีเวลาคุณเขียนเรือ่ ง สั้นมักจะพบว่าเรื่องสั้นของคุณรุ่มร่ามไป เพราะว่ามีหลายองค์ประกอบจนล้นเกิน ถ้าคุณจัดกลุ่มองค์ประกอบให้รวมเข้า ด้วยกันได้ ตัวละคร 500 ตัวนั้นอาจจะ เป็นกลุ่มก้อนที่ท�ำให้เรื่องสั้นของคุณยัง คงความเรียบง่ายได้ ทัง้ ๆ ทีม่ ตี วั ละครอยู่ 500 ตัวและมีฉากอยู่ 500 ฉาก ประเด็น ของผมคือ อย่าไปถูกจ�ำกัดด้วยกติกาใดๆ ทีใ่ ครก็ตามเขียนขึน้ มา คุณท�ำได้ทกุ อย่าง

268

เครื่องปรุงเรื่อง งานเขี ย นไซไฟ เป็ น งานประเภท ที่มีอรรถรสหลากหลายมาก ส�ำหรับคน ที่เคยอ่านงานไซไฟของไอแซค อสิมอฟ จะพบว่ า เป็ น งานเขี ย นไซไฟที่ มี ห ลาย ตระกูล หมายถึงมีตงั้ แต่วทิ ยาศาสตร์แท้ๆ เช่น เรือ่ งดวงดาว เรือ่ งยานอวกาศ รวมทัง้ งานเขียนเชิงสืบสวนด้วย ยกตัวอย่าง ตัวละครนักสืบเป็นหุ่นยนต์ที่มาท�ำคดี สืบสวนต่างๆ เขาสามารถใช้องค์ประกอบ งานแนวไซไฟเล่าเรื่องต่างๆ ได้ทั้งหมด เนื่องจากเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์จึงมี รายละเอียดที่แม่นย�ำมาก การใช้ฉากหรือเหตุการณ์แบบงาน แนวไซไฟมาเป็นเครื่องปรุงเรื่องก็อาจ ช่วยสะท้อนสังคมปัจจุบันได้ เช่น ผม สามารถเขียนเรื่องของมนุษย์ต่างดาวไป ยึดครองดวงดาวอีกดวงหนึ่งแล้วท�ำให้ ระบบดวงดาวหนึ่งเสียหาย เพื่อสะท้อน การเข้ามายึดครองพื้นที่ร้านโชห่วยของ เซเว่นอีเลฟเว่นในเมืองไทย ผมเขียน ประชาธิปไตยบนเส้นขนานแล้วมีจานบิน จากต่างดาวมา คุณจะรับไม่ได้เชียวเหรอ คุณจะบอกว่า เอ๊ะ นิยายวรรณกรรมจะ ต้องไม่มีความเป็นไซไฟเข้ามา ใครเป็น


คนเขียนสูตรนี้ล่ะ ไม่มีใครเขียนสูตรนี้ สูตรเขียนโดยมนุษย์ทั้งนั้น ผมจะสร้าง สูตรใหม่ว่าเป็นอย่างนี้ได้ไหม ทั้งหมดนี้ ขึ้นอยู่กับคุณว่าจะอ่านออกแล้วน�ำเสนอ เรื่องได้ถึงประเด็นหรือไม่ ดังนั้น อย่าให้ กรอบหรือกฎเกณฑ์ใดๆ มาบังคับทิศทาง ของการเขียน

ขนาดยาว สนใจอย่างเดียวคือ เขียนแล้ว ดีหรือเปล่า โดนหรือเปล่า สะเทือนใจไหม ผมคิดว่าจุดนีน้ า่ จะเป็นเป้าหมายของการ เขียนหนังสือมากกว่า ท้ายสุดแล้วไม่ว่า อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณตอบโจทย์นี้ไม่ได้ คุณล้มเหลวอยู่แล้ว ไม่ว่าคุณจะเขียน กี่หน้าก็ตาม

ถ้าคุณตอบโจทย์นี้ไม่ได้ คุณล้มเหลวอยู่แล้ว

ไม่มีใครบอกได้ว่ามันผิด

ข้อส�ำคัญไม่ได้อยูท่ วี่ า่ คุณเขียนเรือ่ ง สั้นกี่หน้า เขียนตัวละครกี่คน ฉากกี่ฉาก ข้อส�ำคัญคือคุณเขียนได้ดีหรือเปล่า อ่าน แล้วโดนหรือเปล่า เพราะถ้าคุณเขียน ตัวละคร 1 ฉาก ตัวละคร 2-3 คน ความยาว 3 หน้ า แล้ ว คุ ณ เขี ย นมาน่ า เบื่ อ มากก็ แสดงว่าคุณล้มเหลว คุณสามารถเขียน เรื่องสั้นที่มีประเด็นเดียว ฉากเดียว ตัว ละครตัวเดียว แต่หนา 500 หน้าได้ไหม แต่คงจะเรียกว่าเรื่องสั้นล�ำบากนิดนึงแต่ จริงๆ มันก็คือเรื่องสั้น เพราะว่ามีแค่ฉาก เดียวอะ แต่บังเอิญมันหนา 500 หน้า ถ้า เราไม่ถูกจ�ำกัดด้วยจุดนี้ ก็แทบไม่ต้อง ไปสนใจเลยว่าก�ำลังเขียนอะไร เรื่องสั้น เรื่องยาว เรื่องยาวขนาดสั้น หรือเรื่องสั้น

การเตรียมข้อมูลก่อนลงมือเขียน ผม จะแบ่งออกเป็นแฟ้มๆ ในคอมพิวเตอร์ ก�ำหนดให้แฟ้มหนึง่ เป็นงานประเภทหนึง่ เช่ น แฟ้ ม นี้ เ ป็ น เรื่ อ งสั้ น แฟ้ ม นี้ เ ป็ น บทความก�ำลังใจ แฟ้มนีเ้ ป็นไซไฟ แฟ้มนี้ เป็นสืบสวนสอบสวน ซึ่งรวมแล้วมีอยู่ หลายสิบแฟ้ม บางแฟ้มผ่านไป 20 ปียัง ไม่เคยท�ำเสร็จก็มี ถ้าผมได้ข้อมูลที่น่าจะ เชื่อมโยงกับหัวข้อแฟ้มไหน ผมก็จะโยน เข้าไปในแฟ้มนั้น วันดีคืนดี ผมอาจจะไป เปิดดู การท�ำงานเป็นแฟ้มช่วยให้มรี ะบบ ถ้ามีขอ้ มูลน่าสนใจผมก็จะท�ำเป็นแฟ้มขึน้ มา เช่น ข้อมูลเกีย่ วกับเกร็ดวิทยาศาสตร์ น่าสนใจ ผมก็จะคัดลอกเข้ามาเก็บไว้เป็น ข้อมูลดิบในคอมพิวเตอร์ วันดีคืนดีก็อาจ จะเอามาใช้

269


การหาข้อมูลจากคอมพิวเตอร์ก็น่า จะใช้ได้อยู่ แต่ผมต้องตรวจสอบมากกว่า หนึ่งแหล่งเสมอ อย่างวิกิพีเดีย (wikipedia) ภาษาอังกฤษค่อนข้างใช้ได้ แต่ ผมยังไม่ค่อยเชื่อใจภาษาไทยเท่าไหร่ บางที ผ มอ่ า นจากหนั ง สื อ แล้ ว ก็ ค ่ อ ย ตรวจสอบจากอิ น เตอร์ เ น็ ต อี ก ที เพื่ อ ความถูกต้องที่สุด ยกตัวอย่างเรื่องที่ผม ไม่มีความรู้เลยอย่างการยิงปืน ผมจะ อ่านจากหนังสือหรือคอมพิวเตอร์แล้วไป สอบถามบรรณาธิการนิตยสารปืนหรือ คนที่ช�ำนาญเรื่องปืนอีกที ถามให้เเน่ใจ เลยว่าถ้าผมบากกระสุนแบบนี้เเล้วมัน จะระเบิดยังไง ส�ำหรับนิยายวิทยาศาสตร์ เสน่ ห ์ อ ย่ า งหนึ่ ง คื อ คุ ณ สามารถมั่ ว ได้ พอสมควร เพราะไม่มีใครบอกได้ว่ามัน ผิด คุณสามารถตั้งทฤษฎีใหม่ๆ คุณจะ ดีไซน์ยานอวกาศพิสดารยังไงก็ได้ ขอ อย่างเดียวคือคุณอธิบายด้วยหลักการ บางอย่ า งที่ พ อฟั ง ขึ้ น พอรองรั บ ด้ ว ย วิทยาศาสตร์ได้ เพราะฉะนั้นไม่มีใครยิง คุณตกได้ เวลานักวิจารณ์เขียนถึงนิยาย วิทยาศาสตร์ไม่มีใครวิจารณ์ลงในราย ละเอียด มันเลยอิสระและสนุกตรงทีเ่ ขียน ผิดก็ไม่มีใครว่า

270

เรื่องสั้นเรื่องแรก เรื่องสั้นเรื่องแรกที่ผมส่งไปแล้วได้ ตีพิมพ์เป็นแนวหักมุมจบชื่อเรื่องว่า ไฟ สมัยนั้นผมอ่านข่าวไฟไหม้โรงแรมแห่ง หนึง่ ในหนังสือพิมพ์แล้วก็จดุ ประกายเอา มาสร้างเป็นโครงเรื่องที่ว่าด้วยการเผา โรงแรม เผาซ่องเพื่อต่อต้านสังคม จาก นั้นก็ลองจบแบบหักมุม เจตนาตั้งแต่ต้น แล้ ว ว่ า จะหั ก มุ ม จบ การฝึ ก เขี ย นด้ ว ย เรื่องสั้นจบแบบหักมุมถือว่าเป็นการฝึก ที่ดี ผมอยากแนะน�ำให้นักเขียนใหม่ลอง เขียนเรื่องแนวนี้ คือเน้นที่โครงเรื่อง การ จัดล�ำดับของเรือ่ ง บทสนทนาลงตัว การใช้ ภาษาสละสลวย การเรียงเนือ้ เรือ่ งกระชับ สมมติเรื่องคุณยาวขนาดนี้ ประโยคแรก ของเรื่องคุณจะเริ่มจากท่อนไหน คุณจะ จับส่วนไหนของเรือ่ งมาน�ำเรือ่ ง พอท�ำได้ อย่างช�ำนาญดีแล้วค่อยไปเขียนเรื่องที่ เป็นวรรณกรรมจ๋า หมายถึงเรื่องที่ยาก และใช้ความคิดสูงขึ้นกว่านี้ คุณต้องท�ำให้คนอ่านในพารากราฟ แรกแล้วช็อค ต้องอ่านต่อให้จบ ซึ่งผม ถือเป็นสูตรเสมอในการเขียนเรื่องสั้น ถ้า ย่อหน้าแรกของคุณไม่สามารถจับคนอ่าน ได้ถือว่าคุณล้มเหลว เรื่องสั้นที่เปิดฉาก


มาบอกว่า สายลมเย็นพัดแผ่วมาจากทิศ ตะวันออก อะไรแบบนี้ โอกาสทีค่ นจะอ่าน ต่อจนจบค่อนข้างยาก ไม่ได้รังเกียจการ บรรยายฉากธรรมชาติแบบนี้ แต่ส�ำหรับ เรื่ อ งสั้ น ผมชอบให้ ย ่ อ หน้ า แรกเป็ น ประเภททีค่ นอ่านปุบ๊ ไม่อา่ นย่อหน้าต่อไป ไม่ได้ คืนนัน้ คุณไม่หลับ ต้องอ่าน ต่ อ ให้ ไ ด้ แล้ ว ถ้ า อ่ า น หน้ า แรกจบแล้ ว คุณต้องอ่านหน้าที่ สองต่ อ ไปไม่ ห ยุ ด ถ้ า คุ ณ เ ขี ย น แบบนี้ ไ ม่ ได้ คุณอย่า ส่ ง ให้ ใ คร อ่าน นี่คือ มาตรฐาน เ รื่ อ ง สั้ น ของผม เวลามี คนส่งเรื่องสั้นมาให้ผม อ่าน ถ้าย่อหน้าแรกไม่ผ่าน ผมก็ไม่อ่าน ต่อแล้ว เสียเวลาชีวิต เพราะมีหนังสืออีก มากมายให้อ่าน

ห้า มนุษย์ต่างดาว บินเข้ามา, หก นักการเมืองโผล่เข้ามา กรณี ที่ เ ป็ น นั ก เขี ย นหน้ า ใหม่ ผม ไม่แนะน�ำให้เขียนแบบไปตายเอาดาบ หน้าเป็นอันขาด เขียนแบบอิมโพรไวส์ แล้วด้นไปเรื่อยๆ ประเภทชอบ ฉากที่พระเอกนางเอกเจอกัน ในสวนสาธารณะ แต่ จ าก นั้นไม่รู้จะท�ำอะไรต่อ อย่า เขียนเรื่องแบบนี้เด็ดขาด คนฝึ ก เขี ย นมื อ ใหม่ ค วรรู ้ ว ่ า จะเขี ย นเรื่ อ ง อะไร เมื่ อ เห็ น ภาพชัดแล้วว่าคุณ จะสร้ า งบ้ า นทรงสเปน ทรงจีน ทรงญีป่ นุ่ จากนัน้ ค่ อ ยไปเติ ม รายละเอี ย ด จากประสบการณ์สมัยที่ผมเขียน เรื่องสั้นแนวหักมุม ผมก็เขียนเรื่อยๆ ไป เช่น ต�ำรวจเจอโจร พอเขียนไป 3 ใน 4 ส่วนแล้ว ไปยังไงต่อดีละ่ ปวดหัวมาก คือ คิดไม่ออกโดยสิ้นเชิง วิธีที่ง่ายที่สุดคือ คุณต้องรู้ก่อนว่า

271


จะเขียนอะไร ถ้าคุณเขียนเรื่องสั้นแนว หักมุม คุณเขียนตอนจบก่อนจะสะดวก ที่สุด แล้วค่อยมาเขียนตอนเริ่มต้นทีหลัง ถ้าคุณเขียนนิยายนักสืบ เขียนตอนจบ ก่อน แล้วค่อยมาเติมรายละเอียดทีหลัง ยกตัวอย่าง เวลาคุณปั้นรูป คุณปั้นทั้ง โครงก่อน อย่าปั้นเฉพาะหัว ปั้นไปปั้น มาแล้วสัดส่วนไม่ลงตัวกัน เพราะฉะนั้น คุณปั้นทั้งหมดแล้วค่อยใส่รายละเอียด ทีละจุด วิธีเขียนเฉพาะตัวของผมคือว่า ผมจะเขียนโครงร่างก่อนเลยว่านีเ่ ป็นเรือ่ ง เกี่ยวกับอะไร เช่น เรื่องนี้เกี่ยวกับผู้ชาย ผิ ด หวั ง กั บ ความรั ก คิ ด จะฆ่ า ตั ว ตาย แล้วไปเจอเหตุการณ์อะไรบ้าง คุณต้อง เขียนโครงสร้างทั้งเรื่องที่คุณพอใจก่อน โดยจั ด ล� ำ ดั บ ว่ า เริ่ ม ต้ น อย่ า งไร จบลง อย่างไรจนพอใจ เขียนร่างไว้ประมาณ 5-10 บรรทัด แล้วผมก็เติมเนื้อหาเข้าไป จาก 10 บรรทัดเป็น 20 บรรทัด จาก 20 เป็น 30 หรือ 50 บรรทัด บางบรรทัด ในโครงร่างอาจเป็นแค่เหตุการณ์ เช่น พระเอกเจอนางเอกในสวน แต่แค่ท่อนนี้ อาจเขี ย นขยายเป็ น ย่ อ หน้ า หรื อ สอง ย่อหน้าได้ในอนาคต วิธีนี้ช่วยคุณเขียน เรือ่ งได้ตรงก�ำหนดเวลาและมีโอกาสหลง ทางน้อยมาก ถ้าคุณไม่ชอบโครงเรือ่ งนัน้

272

แต่แรก คุณทิ้งไปเลย ไม่ต้องมาเสียเวลา ปั้นรายละเอียด มีอีกวิธีเป็นการเขียนแบบมืออาชีพ หน่ อ ย คื อ วิ ธี ส ร้ า งสรรทางเลื อ กแบบ ต่างๆ ขึ้นมา คุณคิดทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง กับเรื่องและไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องขึ้นมา แล้วเขียนออกมาเลย 50 ทางเลือก เช่น หนึ่ง พระเอกเจอนางเอกแล้วได้แต่งงาน กัน สองพระเอกเจอนางเอกแล้วไม่ได้ แต่งงานกัน สาม เพื่อนพระเอกมาเจอ นางเอก ไล่ไปเรื่อยๆ สี่ สุนัขตัวหนึ่งวิ่ง เข้ามาแล้วเจออะไร ห้า มนุษย์ต่างดาว บินเข้ามา หก นักการเมืองโผล่เข้ามา เจ็ด แปด ไล่แบบนี้ไปเรื่อยๆ อะไรก็ตาม ที่อยู่ในหัวคุณไล่ออกมาให้หมด แล้วดู ว่าทางเลือกแบบไหนพัฒนาไปสู่ตอนจบ ได้อย่างที่ต้องการ ถ้ายังหาไม่ได้ คุณ อาจจะเอาเบอร์หนึ่งมาบวกกับเบอร์เจ็ด หรือเบอร์หนึ่งบวกเบอร์เจ็ดบวกเบอร์ แปด นี่คือกระบวนการคิดแบบครีเอทีฟ หลังจากนั้นคุณก็เริ่มจะเห็นรูปธรรมมาก ขึ้นว่าควรจะจบเรื่องอย่างไร ถ้าคุณคิด กระบวนการมา 50 ทางเลือกแล้วยังไม่ เจอ คุณก็ทงิ้ เรือ่ งนัน้ ไปเถอะ หรือไม่กอ็ าจ เก็บเรื่องนั้นไว้ เผื่อเรื่องนั้นอาจจะน�ำไป ใช้กับเรื่องใหม่ในอีกสัก 5 ปีข้างหน้าแล้ว


ลงตัวพอดี ซึง่ กรณีนเี้ กิดขึน้ จริง บางเรือ่ ง คิดมาเป็น 10 ปี ไม่ไปไหนเลย วันดีคืนดี ผมเจอเรื่องที่คิดขึ้นใหม่แล้วโยงเข้ากับ เรื่องที่ค้างไว้ได้พอดี ผมอาจมีเรื่องที่ใช้ ฉากปัจจุบัน แต่เอาไปใช้กับเรื่องที่มีเป็น ฉากวิทยาศาสตร์ได้พอดี

บัตท่อมไลน์ การเขียนหนังสือนีส่ นุกมาก หากคุณ ควบคุมการเขียนได้ คุณจะรู้สึกเหมือน พระเจ้า คุมชีวิตตัวละคร สร้างทุกอย่าง ได้เอง นี่เป็นความสุขของการสร้างสรรค์ แต่ละคนที่เข้ามาในวงการนี้คงรู้ตัวเอง ดี ว ่ า ชอบรสชาติ ข องการเขี ย น แต่ ทุ ก อย่างก็มีราคาของมัน ถ้าคุณท�ำงานไม่ ลงตัวก็ทรมานเหมือนลงนรกเช่นกัน แต่ ความสุขจากการเขียนนี้มีราคามากกว่า ตัวเงิน เช่น เวลามีคนอ่านงานคุณแล้ว บอกว่าชอบ หรือบางครัง้ ถ้ามันจะเปลีย่ น ชีวติ หรือมุมมองของบางคนในทางทีด่ ขี นึ้ เราก็รู้สึกดีว่าสิ่งที่เราท�ำไปมีประโยชน์ มีบางคนทีบ่ อกว่าอ่านเรือ่ งสัน้ แล้ว ล้มเลิก ความคิดทีจ่ ะฆ่าตัวตาย ผมได้ยนิ ประโยคนี้ แล้วรู้สึกดีกว่าการได้รางวัลเสียอีก ขอให้ ก� ำ ลั ง ใจกั บ ทุ ก คนที่ ห ลงทางทั้ ง หลาย

ถ้าคุณท�ำงานเต็มที่ ฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง ผมคิดว่าคุณเกิดได้แน่นอนอยู่แล้ว ส่วน ใหญ่ ร ้ อ ยละร้ อ ยที่ เ ป็ น ได้ แ ค่ นั ก อยาก เขียน ไม่ได้เป็นนักเขียนก็เพราะว่าไม่อึด พอเท่านัน้ เอง เวลาโดนวิจารณ์นิดหน่อย ก็หยุดแล้ว หรือว่าเขียนไป 1 เรื่อง ส่งให้ บรรณาธิการแล้วโทรตาม บรรณาธิการ ไม่ ต อบก็ โ มโหน้ อ ยใจจนไม่ ย อมเขี ย น ต่อ ผมคิดว่าการเขียนต่อเนื่องไปเรื่อยๆ ย่อมต้องดีขึ้นอยู่เเล้ว ช่วงแรกที่ผมเขียน หนังสือ ถึงจะอ่านหนังสือมาเยอะ ผมก็ เขียนไม่ออกคือไม่รู้จะบรรยายอย่างไร มีภาพอยู่ในหัวแต่บรรยายออกมาไม่ได้ ดังนั้นก็ต้องใช้วิธีแบบค่อยเป็นค่อยไป ระยะแรกอาจบรรยายสั้นๆ เช่น ท้องฟ้า เป็นสีฟ้า พัฒนาขึ้นมาอาจบรรยายก้อน เมฆเป็ น เหลื อ บสี อ ะไรก็ ว ่ า กั น ไป การ คัดลอกวิธีการเขียนแบบนักเขียนรุ่นเก่า เพื่อที่จะเรียนรู้ไม่ได้เป็นสิ่งที่น่าละอาย นักเขียนรุน่ เก่า เขาจะใช้ภาษาได้สวยงาม นุม่ นวล สัน้ กระชับ ได้ใจความ สิง่ เหล่านี้ เรียนรูก้ นั ได้ เมือ่ ผ่านไประยะหนึง่ คุณก็จะ ดีขนึ้ เอง บัตท่อมไลน์ ก็คอื ว่า ท�ำงานหนัก ท�ำงานต่อเนื่อง ไม่หยุด รับรองได้เกิด แน่นอน

273


การเขียนนวนิยายกับภาชนะ

อุทิศ เหมะมูล

274


ภาชนะมาจากสิ่งที่ถูกอบรมสั่งสอนมา สิ่งที่เรียนรู้ ประสบการณ์ต่างๆ ภาชนะ อันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆ แต่ถูกสั่งสม มา ผ่านคติคิด ระเบียบแบบแผน จารีตประเพณี สิ่งที่ก�ำหนดไว้ว่าอะไร ดีงามและเลวทราม เพื่อที่จะรักษา เรื่องเล่าส่วนบุคคล นักเขียนจ�ำต้อง รู้จักภาชนะต่างๆให้มากยิ่งขึ้น ให้รู้เห็น รูปทรงหลากหลาย รวมถึงในท้ายที่สุด สามารถรังสรรค์ภาชนะของตนเองขึ้น มาได้เพื่อที่จะบรรจุใส่เรื่องราว

275


การเขียนนวนิยายกับภาชนะ อุทิศ เหมะมูล

1. ปัญหาอยู่ที่การหา ค�ำจ�ำกัดความ

อเริ่ ม ต้ น จะเขี ย นเรื่ อ งราวสั ก เรื่อง เราพยายามจะหาภาชนะ มาใส่มนั ไว้ ถึงแม้วา่ จะเป็นสิง่ ที่ ถูกต้อง ควรท�ำ แต่ส่วนใหญ่แล้ว ภาชนะ ที่ จ ะเอาเรื่ อ งราวใส่ เ ข้ า ไปมั ก ก� ำ หนด รูปร่างของเรื่องที่จะเล่าไปโดยปริยาย

276


2. ภาชนะมาจากไหน?

ภาชนะนั้นนี่แหละที่จะห่อหุ้มด้วย เรื่องเล่าของคุณไปตลอดเรื่อง จงท�ำให้มันเหมาะสมกับเรื่องเล่า ของคุณ ผจญภัยไปกับมันด้วยได้ ก็ยิ่งดี ให้ภาชนะอันนี้ประคอง เรื่องเล่าของคุณไปเรื่อยๆ

ภาชนะมาจากสิ่งที่ถูกอบรมสั่งสอนมา สิ่งที่เรียนรู้ ประสบการณ์ต่างๆ ภาชนะ อันนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาลอยๆแต่ถูกสั่งสม มา ผ่านคติคิด ระเบียบแบบแผน จารีต ประเพณี สิ่งที่ก�ำหนดไว้ว่าอะไรดีงาม และเลวทราม เพื่อที่จะรักษาเรื่องเล่า ส่วนบุคคล นักเขียนจ�ำต้องรู้จักภาชนะ ต่างๆให้มากยิ่งขึ้น ให้รู้เห็นรูปทรงหลาก หลาย รวมถึงในท้ายที่สุด สามารถ รังสรรค์ภาชนะของตนเองขึ้นมาได้เพื่อ ที่จะบรรจุใส่เรื่องราว

277


3. ในแง่นี้ภาชนะ ไม่ใช่แค่เครื่องมือ ไม่ว่ามันจะเป็นแนวอะไรก็ตาม ไม่ใช่หน้าที่ของผมที่จะต้องตอบแต่ เป็นหน้าที่ของบรรณาธิการที่เขา จะต้องอ่านทั้งหมด มันไม่ใช่หน้าที่ ของเขาหรอกหรือ?

278

ผมขอมองย้อนกลับ บางทีเรื่องเล่าก็เป็น ผลผลิตมาจากภาชนะ -ภาชนะที่ชีวิต ของคุณทั้งชีวิตถูกหล่อหลอมมาจาก ต�ำแหน่งแห่งทีท่ คี่ ณ ุ เกิด เติบโต ถูกเลีย้ งดู มาในครอบครัว ในชุมชน สังคม คติคิด หลักจริยธรรม คุณธรรม และศีลธรรมที่ หล่อหลอมคุณขึ้นมา-มันเป็นขึ้นมาก่อน เป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาก่อน-ที่คุณตัดสินใจ อยากจะเขียนเรื่องราวสักเรื่องหรือบอก ตัวเองว่าอยากจะเป็นนักเขียนเสียอีก ! -ในแง่นี้ตลอดชีวิตที่ผ่านมา


เราค่อยๆสร้าง ค่อยๆปั้นภาชนะใน จิตส�ำนึกของเราทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว ตลอดเวลาก่อนจะเป็นนักเขียน -ก็แล้วอันนี้แหละ ที่ส่งผลเข้าครอบ ล้อมกรอบเรื่องเล่าของคุณ คุณจะรู้ ได้อย่างไรว่า ภาชนะอันนี้เหมาะควร กับเรื่องที่คุณจะเล่า หรือไม่ก็ลดทอน ท�ำลาย และเป็นคู่ปฏิปักษ์กับเรื่องเล่า คุณเสียเอง -คุณจะรักษาเรื่องเล่าของคุณ อย่างไร ลองนึกถึงภาพเรื่องเล่าของ คุณ ที่ต้องด�ำรงคุณลักษณะผุดผาด สด ใหม่ เปราะบาง เรื่องเล่าของคุณจะต้อง บอบบางเสมอ เสมือนน�้ำ พูดอีกอย่าง ด้วยว่ามันมีชีวิตของมัน คุณพอจะตบๆ เกลาๆ ไล่ต้อนมันได้อยู่ เหมือนหมา เลี้ยงแกะ คุณเป็นคนเลี้ยงวัว วัวเป็น เรือ่ งเล่าของคุณ คุณปล่อยมันออกจากคอก ตอนเช้า พามันกลับเข้าคอกตอนเย็น ขณะคุณพามันไปกินหญ้าในทุ่ง ฝูงวัวมันก็ไม่ค่อยเชื่องกับคุณหรอก ถ้ามันจะเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาบ้าง แวะ แทะเล็มหญ้าบ้าง มันมีอิสระของมันอยู่ มีความไม่เชื่องอยู่ คุณต้องปล่อยให้มัน

ไม่เชื่องและเชื่อมือคุณ ความสัมพันธ์ ของคุณกับเรื่องที่คุณเล่าจะต้องเป็น แบบนี้ รักษาระยะห่างไว้บ้าง ให้ความ อัศจรรย์และปาฏิหาริย์มันเกิด ดังนั้นภาชนะที่ว่าก็คือ ‘คอก’ คือ หนทางที่คุณพาวัวไป อาจเป็นหนทางที่ คุณกับวัวของคุณไม่รู้ก็ได้ เปิดเส้นทาง ใหม่ๆ เข้าไปกินหญ้าของไร่เพื่อนบ้าน โดนไล่ตะเพิดออกมา คุณอาจทะเลาะ กันขึ้นโรงขึ้นศาล เกิดเหตุฆาตกรรม หรืออาจจะผิดใจกัน หวาดระแวงกันอยู่ ลึกๆ เก็บเงียบ เกลียดชังกันอยู่เงียบๆ ผูกพยาบาทจนวันตาย ภาชนะนั้นนี่แหละที่จะห่อหุ้มด้วย เรื่องเล่าของคุณไปตลอดเรื่อง จงท�ำให้ มันเหมาะสมกับเรื่องเล่าของคุณ ผจญภัยไปกับมันด้วยได้ก็ยิ่งดี ให้ ภาชนะอันนี้ประคองเรื่องเล่าของคุณไป เรื่อยๆ ผมไม่อยากให้ภาชนะอันนี้เป็น รูปทรงที่ตายตัว ไม่งั้นคุณจะกลายเป็น นักเขียนที่ฝึกเฝ้าเขียนแต่ภาชนะ คือรูปแบบเทคนิควิธีการ ไม่ได้ให้ความ ส�ำคัญกับเรื่องที่จะเล่า

279


4. ภาชนะอันนี้จะกลาย เป็นกรอบ เป็นแบบแผน พอคุณคิดจะเขียนนิยาย คุณเริ่มหา กรอบและแบบแผนที่จะเล่าก่อน (ผมว่า นี่ไม่ถูกต้องเอาเลย) มันฝังอยู่ในนี้เลย! (หัวสมอง) คุณมองหาภาชนะที่จะบรรจุ เรื่องเล่าลงไป แทนที่จะมองเรื่องเล่าเป็น ที่ตั้ง เราก็เฟ้นหาวิธีแนวทางที่จะเล่า กันใหญ่เลย จะเป็นผจญภัย แฟนตาซี หรือโรมานซ์ สืบสวนสอบสวน หรือแนว ประวัติศาสตร์ เป็นท้องถิ่นหรือในเมือง เหล่านี้แหละที่ครอบเราอยู่ มันคุ้นชินจน ไม่เกิดค�ำถาม ว่าเอ๊ะ! ท�ำไมถึงคิดแบบนี้ ขึ้นมาก่อนเลย เหมือนเป็นอัตโนมัติ ฝัง อยู่ในพันธุกรรม ย้อนกลับไปเป็นพันปี เรื่องการจัดระเบียบและหมวดหมู่ จัดหมวดหมู่ขึ้นมาก่อนแล้วเอาสิ่งที่เรามี เข้าไปในหมวดหมู่นั้นอย่างนี้ง่ายกว่า

280

คุณไม่ได้เป็นบรรณารักษ์ นัก วิชาการ นั่นเป็นหน้าที่การงานของเขา คุณเป็นนักเขียน หน้าที่ของคุณคือ ปกปักรักษาเรื่องเล่า ดูแลเรื่องเล่าของ คุณ ส�ำคัญที่สุดคือเลี้ยงมันยังไงให้ไม่ เชื่องมือคุณด้วย ดังนั้นมันจึงไม่ใช่สิ่ง ที่คุณควรท�ำเลย คือท�ำให้เรื่องเล่าของ คุณเชื่อง คาดเดาได้ อยู่ในรูปฟอร์มที่ ชัดเจนด้วยการน�ำมันไปใส่ไว้ในแบบวิธี และแนวทางต่างๆ


5. ผมขอเล่า ประสบการณ์ส่วนตัว สมัยเริ่มเขียนหนังสือใหม่ๆ ผมเสนอ รวมเรื่องสั้นให้ส�ำนักพิมพ์หนึ่ง (พวก คุณเองก็จะต้องเจอประสบการณ์แบบนี้) เขาจะให้คุณคัดย่อเรื่องเล่าของคุณให้ เขา ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร แนวไหน! สรุปความคิดและประเด็นที่จะสื่อสารลง ไปหนึ่งหน้ากระดาษ บรรณาธิการถามผมว่า “แนว อะไร?” ผมอึง้ ไปเลย ผมไม่เคยคิดมาก่อน ไม่เคยจ�ำกัดความเรื่องเล่าของตัวเอง เลยว่าแนวอะไร ดังนั้นผมจึงตอบไม่ได้ ผมตอบไม่ได้และมีสิทธิที่จะไม่ตอบ ไม่ว่ามันจะเป็นแนวอะไรก็ตาม ไม่ใช่ หน้าทีข่ องผมทีจ่ ะต้องตอบแต่เป็นหน้าที่ ของบรรณาธิการทีเ่ ขาจะต้องอ่านทัง้ หมด มันไม่ใช่หน้าที่ของเขาหรอกหรือ?

นี่ส�ำคัญนะครับบรรณาธิการจะต้อง อ่านทั้งหมด ไม่ใช่มาขอให้นักเขียน ลดทอนเรื่องเล่าของเขา ที่เขาใช้ เวลาท�ำงานมาเนิ่นนานและย่นย่อให้ บรรณาธิการอ่านในกระดาษเพียงหนึ่ง หน้า นี่เขาเรียกว่าขี้เกียจ บรรณาธิการ เคยตัว คุณอยากจะพิมพ์งานกับเขา คุณช่วยท�ำให้เขาเคยตัว คุณสร้างระบบ ของแบบวิธี คุณช่วยสร้างภาชนะโดย ไม่รู้ตัว

281


6. อีกเรื่องหนึ่ง มีน้องนักเขียนหน้าใหม่ถามอย่างสงสัย ใคร่รู้จริงๆ-ต�ำหนิเขาไม่ได้-เขาอยาก จะเขียนนิยายให้ครบรส เขียนนิยายให้ มีคุณภาพ เขาถามผมว่า “พี่ครับ ต้อง เขียนยังไงให้ซบั ซ้อนซ่อนนัยความหมาย มีนัยยะและสัญลักษณ์” ผมบอก “เดี๋ยวสิ เอาทีละค�ำถาม” ผมทบทวนค�ำถามของ น้องแล้วบอกว่า “พี่ไม่รู้จริงๆ เพราะพี่ไม่ ได้คิดถึงเรื่องที่น้องพูดถึงเลย ในเวลาที่ พี่ก�ำลังเขียนนิยาย” “แต่ว่านิยายของพี่มี สัญลักษณ์ให้ต้องตีความเต็มไปหมดเลย นะครับ” ผมบอกว่า “พี่พูดจริงๆนะครับ พี่ไม่รู้หรอกว่า อะไรคือสัญลักษณ์ ต้นแหน ศาล พระภูมิ ก็เป็นเพียงต้นแหนและศาล พระภูมิ พี่เห็นมันมาตั้งแต่เล็กๆ เช่น เดียวกับโรงปูนซีเมนต์ พี่ก็เห็นมันมา

282

ตั้งแต่เกิด ผูกพันกับมันมาทั้งในด้านดี และร้าย เท่านั้น ส่วนใครจะสังเคราะห์ ว่า ต้นแหนศาลพระภูมิคือสัญลักษณ์ ของความเชื่อท้องถิ่น โรงปูนซีเมนต์คือ สัญลักษณ์ของความเจริญ ของความ เปลี่ยนแปลงทางทุนนิยม นั่นเป็นเรื่อง ที่เขาสังเคราะห์ เขาพูดกัน ไม่ใช่พี่เลย ครับ ตอนที่พี่เขียนมัน พี่ไม่เคยคิดว่า มันเป็นภาพแทนสัญลักษณ์ของอะไร เลย ให้ตายสิเอ้า! ” ผมไม่เคยคิดถึงมันจริงๆนะครับ ไม่ เคยคิดว่ามันจะต้องเป็นสัญลักษณ์ ไม่ เคยคิดว่ามันจะต้องเป็นแนวไหนด้วย! คุณเป็นนักเขียนนิยาย คุณคิดเรื่องนี้


ก่อนได้ไง! คุณต้องคิดถึงเรื่องที่คุณจะ เล่าจดจ่อกับมัน คุณเอาเวลาไปยุ่งกับแบบแผนวิธี กับภาชนะในเรื่องเล่ามากกว่าตัวเรื่อง เล่าของคุณได้ยังไง บางคนยังไม่มีเรื่องเล่าด้วยซ�้ำ อาจ จะมีเพียงกลิ่นๆ อาจจะมีบางฉาก เป็น ฉากฮุกแรงๆ แล้วก็เริ่มแนวนี่มันจะต้อง เป็น คิดถึงสัญลักษณ์ที่จะต้องใส่เข้าไป คิดว่าจะยืดขยายเรือ่ งอย่างไร คิดตอนจบ ได้ก่อน ขยายตอนกลางและตอน เปิดเรื่อง หรือจะคิดตอนเปิดเรื่องไว้ ขยายตอนกลาง และตอนจบ คุณอาจได้เรื่องที่ดีเรื่องหนึ่ง สอง เรื่อง สิบเรื่อง ตลอดชีวิตการเขียนของ คุณ แต่คุณเป็นนักคิดนักออกแบบ ภาชนะมากกว่าจะเป็นนักปกปักรักษา

เรื่องเล่า อย่าให้เรื่องที่คุณจะเล่าอยู่ใน ความส�ำคัญล�ำดับสุดท้าย ที่พูดนี้คือเราอยู่ในแวดล้อมของ กรอบ ของความเชื่อ ค่านิยม และ แบบแผน แบบวิธีที่มักหักเหให้นักเขียน คิดเรื่องอื่นก่อนเรื่องเล่าของตัวเขาเอง คุณอยากจะเป็นนักเขียน อยาก จะเขียนเรื่องสั้นสักเรื่อง คุณอยากจะ เริ่มต้น สิ่งที่คุณท�ำอย่างแรกคือไปหา หนังสือคู่มือการเขียนมาอ่าน มันบอก

283


เทคนิควิธีการ ไกด์ไลน์ต่างๆ-นี่ไม่ใช่ เรื่องที่คนจะเอามาปรามาส-แต่ระเบียบ วิธีเหล่านี้จะช่วยกันสร้าง หล่อหลอม ภาชนะขึ้นมาส�ำหรับเรื่องเล่าของคุณ ท�ำให้ภาชนะเป็นความส�ำคัญอันดับ แรก และเรื่องเล่าของคุณเป็นล�ำดับรอง ท�ำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ? ในขณะที่ผมพิทักษ์เรื่องเล่า ผมชี้ ให้เห็นถึงความส�ำคัญของภาชนะด้วย นะครับ อย่างที่บอกไปตั้งแต่ตอนแรก ภาชนะอันนี้หล่อหลอมมาตั้งแต่คุณ เกิด ผ่านสิ่งต่างๆ จนเรียกได้ว่าเป็นมุม

284

มองของคุณ ทัศนคติของคุณ เป็นวิธี คิด เป็นส�ำนึกของคุณ ดังนั้นนักเขียน ผู้พิทักษ์เรื่องเล่า เวลาที่คุณลงมือเขียน คุณต้องให้อิสระกับวัวที่คุณเลี้ยง อย่า ท�ำให้มันเชื่องเชื่อมือคุณ แต่เป็นคอก ของคุณ และหนทางที่พาเรื่องเล่าของ คุณออกไปโลดแล่น ผจญภัยและเล็ม หญ้า คอกอันนั้น เส้นทางอันนั้น และ/ หรือภาชนะอันนั้น ที่คุณจะต้องตรวจ สอบอย่างระมัดระวัง พินิจพิเคราะห์ครั้ง แล้วครั้งเล่า ว่าภาชนะอันนี้ แบบวิธีคิด อันนี้คุณได้รับเอามาตั้งแต่เมื่อไหร่ ด้วย วิธีไหน คุณต้องตรวจสอบภาชนะบรรจุ ใส่เรื่องเล่าของคุณอย่างเอาใจใส่ อย่าง มากเพียงพอ การท�ำงานเขียนและนักเขียน เป็นการงานที่หนัก อย่าเอาแบบวิธีและ นิสัยบรรณาธิการที่ผมเล่าให้ฟังคนนั้น มาใช้ คุณไม่สามารถเรียนรู้ที่จะเขียน


ได้มีคุณภาพ น่าภูมิใจ ด้วยการอ่าน บทคัดย่อเรื่องเล่าของใครอื่นในหนึ่งหน้า กระดาษ ไม่ใช่ด้วยการอ่านเทคนิคและ คู่มือการเขียน แต่คุณจะต้องอ่านผลงาน ของนักเขียนคนอื่นๆ-ทั้งเล่ม-อ่านตลอด อายุขัยของคุณ อ่านแล้วจะเห็นว่า มันมีแบบวิธีต่างๆ และใหม่ๆ อยู่เสมอๆ อ่านเพื่อที่จะรักเรื่องราว และปกปัก รักษาเรื่องเล่า อ่านเพื่อจะได้ค้นพบ ความมหัศจรรย์ เติมเลือดเนื้อชีวิตชีวา ของเรื่องเล่า อ่านเพื่อค้นพบคุณสมบัติ พิสดารต่างๆในเรื่องแต่ง เพื่อที่จะ ศรัทธาในพลังของเรื่องเล่า เมื่อนั้นหัวใจ ของคุณเต็มเปี่ยมด้วยการอยากเล่าเรื่อง

285


สารคดีเชิงสร้างสรรค์

วรพจน์ พันธุ์พงศ์ ฆนาธร ขาวสนิท เรียบเรียง


เรื่องส�ำคัญมากของการเขียนสารคดี คือนักเขียนทีเ่ ล่าเรื่อง และแสดงความ คิดเห็น เรื่องที่เราเล่ากับความเห็นที่ เราแสดงลงไป มันควรที่จะพูดความ จริงได้เท่าที่ความจริงที่มันเป็น ซึ่งถ้า เราจะพูดความจริงได้เท่ากับความ จริงตรงนั้นจริงๆ มันต้องผ่านการรู้ เยอะเห็นเยอะ เราถึงจะสามารถพูดได้ ว่าแก้วเนี่ยมันใหญ่หรือไม่ใหญ่--มัน สวยหรือไม่สวย ถ้าเกิดมาเราเห็นแค่ แก้วใบเดียวเราก็พูดความจริงของมัน ไม่ได้ เพลงที่เพราะที่สุดถ้าเกิดมาเรา เคยฟังแค่เพลงเดียว เราก็ไม่รู้ว่า... จริงๆ มันอาจจะเป็นเพลงที่แย่มากก็ได้ เพลงนี้เนี่ย


สารคดีเชิงสร้างสรรค์กับ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ ฆนาธร ขาวสนิท เรียบเรียง

วัสดีทุกคนนะครับ ประโยคแรก อยากพูดว่า เราไม่เคยเรียนผ่าน ระบบมานะครั บ ไม่ เ คยเรี ย น นิ เ ทศศาสตร์ ไม่ เ คยเรี ย นการเขี ย น สิ่ ง ที่ พู ด เป็ น สิ่ ง ที่ คิ ด -ที่ ท� ำ งานอยู ่ ด ้ ว ย ความเชื่อแบบนี้ และก็นี่คือในทัศนะของ ข้าพเจ้านะครับ ไม่รวู้ า่ เป็นแบบทีถ่ กู หรือ เป็นแบบที่ดีหรือเปล่า ย้อนไปตรงที่ปราบดาบอกว่าพื้นที่ ของหนังสือพิมพ์-ของนิตยสาร ใช้ค�ำว่า สร้ า งสรรค์ ไ ด้ น ้ อ ยกว่ า —ส� ำ หรั บ พื้ น ที่ นะครั บ ตรงนี้ ก็ เ ห็ น แย้ ง นิ ด หนึ่ ง ก็ คื อ ทุ ก พื้ น ที่ นั้ น แหละสามารถใช้ ค วามคิ ด สร้างสรรค์ได้ แต่กต็ อ้ งบริหารพืน้ ที่ อย่าง หนั ง สื อ พิ ม พ์ ก็ อ าจมี พื้ น ที่ น ้ อ ยหน่ อ ย เพราะหนังสือพิมพ์มันประกอบด้วยคน

288

สองร้อยคน เราเป็นหนึ่งในนั้นเราก็ได้ สัมปทานมาสี่-ห้าตารางนิ้ว มันเป็นเรื่อง ของการใช้พื้นที่ พอขยับมานิตยสาร ซึ่ง ท�ำงานสัมภาษณ์มสี บิ หน้าอย่างนี้ เราก็มี พื้นที่ให้เล่นมากขึ้น มันเหมือนแบบหนัง สั้นกับหนังสองชั่วโมงมันแตกต่างกัน แต่ แน่นอน คิดว่าทั้งคู่สามารถใช้ความคิด สร้างสรรค์ได้

ค้นพบวิธีการเขียน ได้อย่างไร มั น ค่ อ ยๆ เป็ น มาเรื่ อ ยๆ เราจะ วิปริต-วิปลาสนิดหนึ่ง คือว่าตั้งแต่เรียน หนังสือมานี่ไม่เคยรู้ว่าชอบอะไร ไม่มี ความปรารถนาใดว่าจะไปท�ำอาชีพอะไร


คือเรียนไปแบบเดีย๋ วผิดกฎหมายน่ะ พ่อแม่สง่ มาเรียนหนังสือก็เรียนไปเรือ่ ยๆ ไม่ ได้ชอบอะไรเลย แต่วา่ มีอย่างหนึง่ คือ รูว้ า่ เกลียดอะไร เช่น ตอนจบมัธยมต้นจะ ต่อมัธยมปลายก็คือเลือกเรียนด้วยอะไร ก็ได้ที่ไม่มี ‘เลข’ ทีนี้ทางเลือกมันก็เหลือ จ�ำนวนหนึ่ง พอตอน ม.ปลาย ไม่มีเลข ก็เรียนศิลป์-ฝรั่งเศส พอเข้ามหา’ลัยก็ เรียนฝรัง่ เศสต่อ เรียนไปอย่างนัน้ น่ะครับ ไม่อยากท�ำอาชีพอะไร ไม่ชอบอาชีพที่ มีอยู่—ที่เห็นอยู่—ที่เขาเป็นๆ กัน และก็ ไม่ได้ชอบอ่านหนังสือ—ไม่เคยชอบเขียน หนังสือ แต่มาเริม่ อ่านบ้างตอนสักปีสามปีสี่ แต่ก็อ่านไปอย่างนั้นล่ะครับ เหมือน ว่างๆ มากกว่า และทีม่ าเริม่ ท�ำแล้วก็ชอบ เนี่ยเพราะว่าเป็นเรื่องบังเอิญ คือจบมา ทีแรกก็ท�ำงานอื่นนะครับ ท�ำงานสายที่ เรียนฝรั่งเศสมา แต่พอไปท�ำแล้วมันไม่ ชอบก็เลยออก ช่วงที่ออกมาก็เป็นช่วง ที่ส�ำคัญ เพราะตอนออกมาปุ๊บก็ตกงาน นาน ช่วงที่ตกงานเนี่ย... ยุคโน่นมันไม่มี อิ น เทอร์ เ น็ ต ก็ คื อ ต้ อ งไปอ่ า นหนั ง สื อ ในห้ อ งสมุ ด จริ ง ๆ แล้ ว เพื่ อ ไปเปิ ด หนังสือพิมพ์หางานน่ะครับ แต่ว่านั่งรถ มาเข้าห้องสมุดแล้วเปิดหนังสือพิมพ์— ยุคนู้นงานมันอยู่ในหนังสือพิมพ์นะครับ

พูดตอนนี้ทุกคนอาจจะไม่เข้าใจ คือไป ห้องสมุดทุกวัน ไปหางานในหนังสือพิมพ์ เสร็จแล้ว— นัง่ รถมาแล้วก็นงั่ อ่านหนังสือ ตกงานอยู ่ เ ก้ า เดื อ นคิ ด ว่ า อ่ า นหนั ง สื อ ไปเยอะพอสมควร (หัวเราะ) มันก็เลย กลายเป็ น เหมื อ นมี ค วามรู ้ ส ะสม และ พอได้งานก็คือได้งานหนังสือพิมพ์-งาน สื่อสารมวลชน คืิอไม่ชอบ—ไม่มีความ คาดหวังอะไร ส่งใบสมัครไปเรื่อยๆ แต่ พอไปท�ำงานแล้วพบว่าอันนี้ล่ะใช่- มัน ก็เหมือนเป็นเลือด-เป็นเนื้อ-เป็นตัวตน ขึ้นมาเรื่อยๆ —คือจริงๆ หน้าที่ที่ท�ำก็ ไม่ได้ชอบนะครับ มันเป็นข่าวเศรษฐกิจ ไม่ได้ชอบหน้าที่ที่ตัวเองท�ำ แต่ชอบชีวิต นักหนังสือพิมพ์ ชอบอาชีพนักสื่อสาร มวลชน ซึ่งเพราะว่ามันเป็นอาชีพที่เรา ได้ลงไปต้นตอ—ไปที่แหล่ง—ไปดูจริงๆ ไม่ใช่แบบเสพผ่านการรายงานของคนอืน่ และชอบที่มันเหมือนเป็นอาชีพของคน หนุ่มสาวน่ะครับ ที่ทุกคนมานั่งคุยกันมาประชุมกันว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง มีอะไร น่าสนใจ มีปัญหาอะไรในสังคมบ้านเมือง ทุกคนไม่เคยพูดถึงปัญหาของตัวเองเลย ทุกคนที่มาประชุมกันเนี่ยคุยกันว่ามันมี ปัญหาอะไร จะแก้ปัญหาอย่างไร หรือจะ รายงานอย่างไร ไม่เคยมาแบบเงินเดือน

289


ตอนนี้มันห้าพัน จะเพิ่มเป็นเจ็ดพันท�ำไง สื่อกับคนให้สัมภาษณ์ โอเค คนท�ำสื่อมี อะไรแบบนี่ —คือว่า ก็สนุกดี เริ่มท�ำข่าว หน้าที่ต้องหาความจริงสูงสุดอยู่แล้วล่ะ มาตั้งแต่ปี 2536 นี่ก็สิบเก้าปี แต่ท่ีต้องรับผิดชอบมากๆ ก็คือผู้ที่ให้ สัมภาษณ์ ซึ่งเราคิดว่าการพูดน่ะครับ มันพูดสองนาที-พูดห้านาที แต่เมื่อคุณ ท�ำอย่างไรหากต้อง พูดผ่านสื่อ มันอยู่ไปอีกยี่สิบปี-มันอยู่ รายงานเรื่องที่ไม่จริง ไปห้าสิบปี เราคิดว่าคนฉลาดมันไม่ควร พูดโกหก เพราะว่ามันจะประจานตัวเอง โดยประสบการณ์เราไม่เคยท�ำเรื่อง และถึงโกหกเก่ง มันก็จะมีเวลาอยูด่ ี วันนี้ ที่คอขาดบาดตายขนาดนั้นน่ะครับ มัน อาทิตย์นี้ เดือนนี้คุณหลอกลวงคนได้— เลยไม่ว่าจริง หรือไม่จริงส�ำหรับเรามัน แต่ ว ่ า เรื่ อ งนี้ มั น ก็ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ ความ ไม่ใช่ประเด็นใหญ่เท่าไหร่ คือสื่อมีหน้าที่ เปลี่ ย นแปลงด้ ว ยนะครั บ สมมุ ติ เ รา รายงานความจริงอยูแ่ ล้วแหละ สัมภาษณ์ สัมภาษณ์คนนี้—เดือนนี้ เขาคิดแบบนี้ เราก็อยากได้ความจริง แต่บางครั้งความ พรุ่งนี้เดือนหน้าเขาอาจจะคิดแบบใหม่ จริงมันไม่ได้มีความหมายอะไร เช่น ใน ก็ได้ คื อ สิ่ง นี้ เ ป็ นสิ่ ง ส� ำ คั ญมากส� ำ หรับ ห้องนั้นมีเก้าอี้เจ็ดตัว กับ ในห้องนั้นมี การเสพสื่อนะครับ ถ้าเลือกเป็นคนเสพ เก้าอีแ้ ปดตัว บางทีมนั ไม่ได้มคี วามหมาย สือ่ แล้วเนีย่ การหยุดอยูท่ วี่ นั เวลาใดเวลา อะไร เราพบกันเวลาเก้าโมง กับ เราพบ หนึ่งคือความหายนะมากเลย สมมุติว่า กันเวลาเก้าโมงห้านาที มันไม่ได้มีความ ปราบดา เคยอ่านเมือ่ สิบปีทแี่ ล้วไม่ได้พดู หมายอะไร บางความจริงนะครับ แต่บาง แบบนี้นี่ ท�ำไมวันนี้ถึง... เอ่า ก็วันเวลา ความจริงมีความหมายนะครับ เช่น พูด มันเปลี่ยนไปแล้ว เขาก็เคลื่อนไป ฉะนั้น ถึงข่าวสองทุ่ม กับ ข่าวหกโมงอย่างนี้มัน การแช่ความคิดตัวเอง หรือว่ายึดติด อันนี้ ต่างกัน ว่าก�ำลังพูดเรื่องอะไร คือแย่ครับ โลกเคลื่อนข้อมูลเคลื่อน เรา ส่ ว นเรื่ อ งว่ า ผู ้ ใ ห้ สั ม ภาษณ์ จ ะให้ ต้องเคลื่อนตามด้วย ไม่งั้นมันจะผิดไป ความจริงหรือไม่อย่างไร เราคิดว่ามัน หมดเลย เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของคนท�ำ คือสรุปตรงเรือ่ งความจริง หรือไม่จริง

290


แม้วา่ ท�ำเรือ่ งความจริง แต่วา่ ไม่ใช่สำ� คัญ ทีส่ ดุ เพราะว่าเรือ่ งเล่าต่างหากทีท่ ำ� ให้เรา เข้าใจชีวิต บางทีมันไม่ใช่เรื่องจริง หรือ ไม่จริง คล้ายๆ ทีเ่ ราเขียนเรือ่ งแต่ง เขียน นิยายเนี่ย ทุกคนก็รู้ว่าเป็นเรื่องปั้นน�้ำ เป็นตัว—เรื่องแต่งเรื่องสมมุติขึ้นมา แต่ มันไม่ส�ำคัญ ว่าจริงหรือไม่จริง เรื่องเล่า นั้นต่างหากล่ะถ้ามันมีพลังพอมันก็สอน ให้ เ ราเดิ น ไปสู ่ ค วามจริ ง แม้ ว ่ า ต้ น ตอ ของมั น ไม่ ใ ช่ ค วามจริ ง —เรื่ อ งเล่ า นั่ น ล่ ะ ส� ำ คั ญ ถ้ า เป็ น เรื่ อ งเล่ า ที่ ดี พ อ และ ก็ เ ป็ น หน้ า ที่ ค นท� ำ สื่ อ —คนสั ม ภาษณ์ ต้องพยายามมากๆ นะครับที่จะไล่—จะ หาความจริง แต่ที่ส�ำคัญมากๆ เลยเนี่ย เราว่าเป็นหน้าที่ของคนเสพสื่อ—-ของผู้ อ่านมากๆ เลย คือคุณอ่านอะไรแล้วเชื่อ ปุ๊บนี่มันโอ้โห—มันงมงายมาก ทุกอย่าง ที่อ่านก็คือข้อมูลหนึ่ง ไม่ได้แปลว่าความ จริง หรือไม่ใช่ความจริง มันเป็นหน้าที่ที่ เราต้องเอามาคิดวิเคราะห์ ตรงนี้คือสิ่ง ที่ส�ำคัญ ฉะนั้นไม่ว่าคนจะพูดอะไร-ไม่ ว่าหนังสือพิมพ์จะพูดอะไร-ไม่ว่าทีวีช่อง ไหนจะพูดอะไร เป็นหน้าทีท่ เี่ ราต้องมาคิด ไม่ใช่หน้าที่ที่ต้องไปเชื่อ ก็เป็นแบบหนึ่ง เฉยๆ ที่เราฟังไว้ ก็ควรฟังหลายๆ แบบ ในเรื่องเดียวกัน ยิ่งตอนนี้ด้วย ต้องฟัง

หลายแบบมากในเรื่องเดียวกันเนี่ย การ ฟังแบบเดียวก็เหมือนคนที่เห็นแต่แม่น�้ำ ล�ำคลองหน้าบ้าน ไม่เคยไปทะเล ไม่เคย เห็นหลายๆ แบบ มันก็ไม่สามารถพูดได้ อะครับ ว่าแม่น�้ำเนี่ยมันสวยงาม หรือ กว้างใหญ่แค่ไหนถ้าคุณเห็นแค่นี้ เห็น ดอกไม้ ส อง-สามดอกแค่ ห น้ า บ้ า น ไม่ สามารถพูดได้ว่าเป็นดอกไม้ที่สวยที่สุด หรื อ เปล่ า —ถ้ า คุ ณ เห็ น น้ อ ย ตรงนี้ มั น เป็นเรื่องส�ำคัญมากของการเขียนสารคดี คือนักเขียนที่เล่าเรื่อง และแสดงความ คิดเห็น เรื่องที่เราเล่ากับความเห็นที่เรา แสดงลงไป มันควรที่จะพูดความจริงได้ เท่าที่ความจริงที่มันเป็น ซึ่งถ้าเราจะพูด ความจริงได้เท่ากับความจริงตรงนัน้ จริงๆ มันต้องผ่านการรูเ้ ยอะเห็นเยอะ เราถึงจะ สามารถพูดได้ว่าแก้วเนี่ยมันใหญ่หรือไม่ ใหญ่—มันสวยหรือไม่สวย ถ้าเกิดมาเรา เห็นแค่แก้วใบเดียวเราก็พดู ความจริงของ มันไม่ได้ เพลงที่เพราะที่สุดถ้าเกิดมาเรา เคยฟังแค่เพลงเดียว เราก็ไม่รู้ว่า...จริงๆ มันอาจจะเป็นเพลงที่แย่มากก็ได้เพลงนี้ เนีย่ โลกนีม้ เี พลงทีด่ เี ต็มไปหมดเลยแต่วา่ คุณไม่เคยฟัง เหมือนเห็นไส้เดือนก็บอก ว่างูเห่าอะไรอย่างนี้ คือเมือ่ คุณไม่เคยเห็น ทุกอย่างก็จะคิดว่าไส้เดือนน่ากลัว

291


ความเป็นกลางของสื่อ มีหรือไม่ เรื่องนี้อีกสามวันน่ะ ถ้าคุยกันเรื่องนี้ (หัวเราะ) เราไม่แคร์เรือ่ งนีน้ ะ่ ครับ—ไม่ให้ ความส�ำคัญ—ไม่สนใจ เราแคร์เรือ่ งไปดูไปเห็นให้มากที่สุด แล้วก็พูดสิ่งที่เราเห็น เช่น เรื่องภาคใต้เราก็ไม่ได้ไปสามชั่วโมง แล้วก็กลับ คือเห็นอยู่นานที่สุด คือให้ไป เห็นทั้งกลางวัน-กลางคืน ให้ไปเห็นทั้ง ตอนเช้า-ตอนบ่าย ให้ฟังเสียงจากพระทหาร คือหลายทางที่สุดน่ะ และเราเป็น สือ่ ไง เราเป็นนักเขียน เราก็พดู สิง่ นัน้ เท่า ทีเ่ ราเห็น มันจริงรึเปล่าไม่รหู้ รอก คนเสพ สือ่ ก็เลือกคิดวิเคราะห์ตามเอา แต่วา่ สิง่ ที่ มันเป็นงานของเราก็คือ เราอยู่นานที่สุด น่ะ พยายามจะเห็นให้ทุกด้านมากที่สุด เหมื อ นเขาเปรี ย บเที ย บกั น เรื่ อ งช้ า ง แบบนี้ คนมองข้างหลังก็เห็นแบบหนึ่ง มองข้างๆ ก็เห็นอีกแบบ มองข้างหน้าเห็น แบบหนึ่ง ถ้าเราอยู่น้อย—ให้เวลาน้อย ก็จะเห็นแค่แป๊ปเดียวด้านเดียว เราอยู่ นานครบรอบโอกาสทีเ่ ราจะบอกเล่าเรือ่ ง ช้ า งได้ ค รบตั ว อย่ า งที่ ช ้ า งเป็ น มั น ก็ สู ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่มีใครเกาะกุมความเป็น สัจจะได้สงู สุดถูกต้องทุกอย่างอยูแ่ ล้ว มัน

292

ถึงย้อนมาตรงว่าคนเสพสือ่ ต้องวิเคราะห์ เอาเอง คนเสพสื่อก็เป็นคนชี้เองว่าคุณ เป็ น สื่ อ -เป็ น นั ก เขี ย นที่ เ ป็ น กลางหรื อ เปล่า—น่าเชื่อถือหรือเปล่า คืองานของ เรามันจะอธิบายไปเอง —เราว่าเป็นความ หยาบคายนะทีจ่ ะประกาศว่าเราเป็นสือ่ ที่ เทีย่ งธรรม—เราเป็นนักเขียนทีเ่ ป็นกลาง คือเรื่องพวกนี้ต้องให้คนอื่นพูดน่ะครับ

แล้วถ้าเราเป็นฝ่ายผิดล่ะ คือมนุษย์ผดิ เสมออยูแ่ ล้ว มันเคลือ่ น แล้วก็โลกมันก็ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ มนุษย์ เราคนหนึ่งก็รู้แค่บางอย่าง ฉะนั้นมันถึง จ�ำเป็นไงว่าพยายามรู้-เห็นนานๆ แล้วก็ มาพูดในเวทีสาธารณะ—มาพูดกัน ใครรู้ ด้านอืน่ อีกก็มาพูด มาลบล้าง ก็หกั ล้างกัน ไปเรื่อยๆ ค่อยๆ ขยับไป—คล้ายๆ เรื่อง ประวัติศาสตร์นะครับ สมมุติว่าเราพูดว่า คนไทยมาจากไหน ตอนนีป้ ี 2555 เราพบ ว่าด้วยหลักฐานทีม่ อี ยูเ่ นีย่ ค้นพบสิง่ นี้ แต่ นั่นอาจจะไม่ใช่ความจริงสูงสุด ปีหน้าค้น พบหลักฐานใหม่ก็เคลื่อนไปเรื่อยๆ คือ อย่างที่บอกตั้งแต่แรก ถ้าคิดที่จะเลือก เสพสื่อแล้ว ต้องเสพอย่างจริงจัง ต้อง เสพให้เยอะด้วยถ้าสนใจอะไรแล้ว ไม่งั้น


โอกาสผิดสูงมากๆ ไม่งั้นก็อย่างเสพสื่อ Non-fiction มันแทบไม่มเี ลยนะครับ —กวี ถ้าเลือกเป็นคนเสพสื่อแล้วต้องเอาให้ นิพนธ์ ความเรียง คือไม่ว่าใครจะท�ำงาน ถึงที่สุดไม่ว่าเรื่องอะไรนะครับ อะไร คุณยืนยันว่าจะเป็นคนเขียนเรือ่ งสัน้ ความเห็นเราก็คือไม่ควรจะปิดกั้นว่าจะ ได้รับอิทธิพลจากการอ่าน เสพแต่เรื่องสั้นอย่างเดียว คุณอยากเป็น เรื่องแต่งหรือไม่? กวีอา่ นแต่บทกวีอย่างเดียว คุณอยากเป็น นักเขียนความเรียงก็คือ... เสพด้านใด เอ้ อ .. คื อ พู ด ชื่ อ ไม่ ถู ก แล้ ว ล่ ะ ครั บ ด้านเดียวมันจะแคบเกินไปน่ะครับ มันต้อง เพราะไม่มศี รัทธาใดแล้ว ไม่มคี วามเชือ่ ใด ทุกทาง แล้วก็เอามาผสม เราว่าพรมแดน แล้วที่เคยชอบมา มันก็เปลี่ยนไปทุกวัน มันถูกท�ำลายไปหมดแล้ว แล้วทุกวันนี้ จะเอ่ยชื่อไปหลายๆ คนทุกวันนี้ก็รับไม่ งานหลายๆ ชิ้นเราก็ว่าก็แยกยากด้วย ได้แล้ว คือว่ามันเคลือ่ นไปทุกวัน แต่วา่ สิง่ เอาความเรี ย งมาวางเนี่ ย ไม่ รู ้ ว ่ า เป็ น บอกได้ก็คือ เราเป็นคนอ่านทุกประเภท ความเรี ย งหรื อ ว่ า เรื่ อ งสั้ น ซึ่ ง ตรงนี้ อ่านงานที่ซีเรียสที่สุด อ่านคลาสสิค อ่าน ส�ำหรับเรา-เราถือว่าเราเป็นผู้สร้างงาน หนังสือทีวีพูล อ่านก๊อสซิป อ่านการ์ตูน เราไม่แคร์ เราไม่ชี้ชัดลงไป ตรงนี้ให้เป็น อ่านป้ายข้างถนน อ่านก๊อปปี้ เสือ้ ใครเขียน หน้าที่ของผู้อ่าน นักวิจารณ์ กับสถาบัน อะไรบนเสื้ออย่างนี้ก็คือ อะไรที่มันเกี่ยว การศึกษาที่เขาเป็นคนจัดระเบียบ คน กับภาษา ที่เกี่ยวกับศิลปะน่ะ คือ เพลง ท�ำงานมีหน้าที่สร้างงานนะครับ ไม่ได้ ฟังเนื้อเพลงก็ฟังมันเขียนอย่างไร ฉะนั้น ก�ำหนดว่าฉันจะท�ำความเรียง หรือฉันจะ มันเลยผสมหลายๆ อย่าง ผสมมากๆ ท�ำเรื่องสั้น แต่ว่าฉันจะท�ำแบบนี้ มันอาจ น่ะ จับฉ่ายมาก พอสิ่งที่เราท�ำอยู่มันเป็น ยังไม่มชี อื่ ก็ได้ เราชอบท�ำแบบนี้ เราถนัด Non-Fiction เมื่อมีส่วนผสมของบทกวี แบบนี้ คุณก็ท�ำไป ของเรือ่ งสัน้ เราว่าโอกาสทีจ่ ะท�ำให้วธิ เี ล่าวิธีเขียนของเรามันจะราบรื่นสละสลวย ขึ้ น ก็ มี สู ง คื อ ตอนนี้ เ รามี ค วามเห็ น ว่ า พรมแดน หรือก�ำแพงของ Fiction กับ

293


คิดอย่างไรกับงานของเรา ที่ให้อิทธิพลต่อผู้อื่น เราเขียนหนังสือไปแล้ว สมมุติลง อินเทอร์เน็ตคนอยูท่ เี่ ปรูถา้ เขาอ่านภาษา ไทยออกเขาอ่านไปแล้ว เราไม่สามารถ ไปเคาะประตูบ้าน—ไปนอนเตียงเดียว กับเขา แล้วสามารถอธิบายทุกประโยค ให้ฟังได้น่ะครับ คุณต้องรับผิดชอบชีวิต คุณเอง ซึ่งมันอาจจะเข้าใจผิดบ้าง-เข้าใจ ถูกบ้าง พวกนี่มันเป็นความทับถมเป็น เรื่ อ งประสบการณ์ ก ารอ่ า นของแต่ ล ะ คน ซึ่งบางคนอ่านได้มาก-อ่านได้น้อย เข้าใจผิด-เข้าใจถูก ถ้าพื้นฐานการอ่าน มากขึ้นๆ มันก็จะลึกซึ้งขึ้น รู้ทันขึ้นว่า ผู้เขียนพูดว่าอะไร สื่อสารอะไร เรายก ตัวอย่างค�ำพูด-ค�ำอธิบายของคุณปุ้มนะ ครับ—พงศ์พรหม สนิทวงศ์ ณ อยุธยา เป็นโปรดิวเซอร์อยู่วงตาวันนะครับ เขา อธิบายเรื่องนี้ว่าอย่างนี้ครับ ในโลกของ อารยธรรม คุณจะรู้ว่าเพลงอะไรดี คุณ ต้องศึกษาเพลง คุณก็ต้องเป็นนักฟังที่ จริงจัง ที่ฟังเยอะ คุณจะรู้ว่างานเขียน วรรณกรรมห่วย หรือดี คุณก็ต้องศึกษา วรรณกรรมอย่ า งถึ ง ที่ สุ ด คุ ณ ถึ ง จะ แยกแยะได้ ในโลกอารยะ มันต้องศึกษา

294

ไม่งั้นมันก็... มันก็ขยะชิ้นหนึ่ง —มันก็ เหมือนไก่ได้พลอย มันก็เหมือนสัตว์ที่ เอาเพลงมาให้ เอาไบเบิลมาให้ เอาพระ ไตรปิ ฎ กมาก็ ไ ม่ ส ามารถเสพอะไรได้ เพราะมองไม่เห็นความงามในสิง่ นัน้ อย่าง ทีม่ นั ควรจะเปล่งประกายสูงสุด—อย่างที่ มันควรจะเป็นอยู่ มันก็เข้าไม่ถึง ถ้าคุณ ไม่มีการศึกษา เพราะโลกนี้มันเป็นโลก ของการศึกษานะครับ

3 เรื่องที่อยากจะกล่าว เรือ่ งแรก ‘เรือ่ งคลิป’ คิดว่าคนเดีย๋ วนี้ เสพสื่อผ่านคลิปเยอะ และความเติบโต ของเทคโนโลยี มั น ก็ ห ลอนหลอกลวง เราว่าเราดูคลิปแลวเรารู้ทุกเรื่องในโลก ความเห็นเรานะครับ คลิปค่อนข้างจะ น่ากลัวเพราะคลิปมันมีแต่ภาพและเสียง และมันสอนคนให้นั่งอยู่ที่บ้าน ถ้าเรื่อง นั้นๆ คลิปนั้นๆ เป็นเรื่องที่เราไปดูเองได้ เราสนับสนุนให้ไปดู คือการเสพแต่ภาพ และเสียงเนี่ยมิติมันน้อยมากเลยที่จะเข้า สู่ความจริง ความจริงมันมากกว่านี้เยอะ มากๆ ถ้าดูแต่คลิปคิดว่าโอกาสผิดสูงมาก และมันน้อยเกินไปมากๆ และเรือ่ งทีใ่ หญ่ เรือ่ งทีล่ ะเอียดอ่อน เรือ่ งทีซ่ บั ซ้อนในการ


ท�ำความเข้าใจศาสตร์นั้นควรจะมากกว่า ‘คลิป’ เช่น คลิปเวทีเสวนา กล้องก็จะจ่อ แต่ผู้พูด คุณก็จะเห็นแค่นั้น แต่ถ้าคุณไป ร่วมเวทีเสวนานั้นคุณจะเห็น คุณจะได้ คุยกั บ คนข้ า งๆ คุณจะได้รู้จังหวะการ ยิ้ม-การหัวเราะ ปฏิกิริยาต่างๆ ซึ่งมัน มากกว่านั้นมากๆ ที่จะท�ำให้เข้าสู่ความ จริง คือเรื่องบางเรื่องมันไม่ใช่แค่เรื่อง ‘ภาพ’ และ ‘เสียง’ อย่างสมมุติการเจอกัน การสัมผัสมือเนี่ย มันไม่ต้องพูดว่าฉันรัก คุณ ฉันคิดถึงคุณ แต่แค่สัมผัสนั้นน่ะมัน ลึกซึ้งกว่านั้นอีกมาก เรื่องที่สอง คือ ‘เรื่องการวิเคราะห์’ เราก� ำ ลั ง อยู ่ ใ นอาชี พ ที่ ก� ำ ลั ง จะท� ำ สื่ อ นะครับ จะเขียนหนังสือ เราว่าจ�ำเป็นมาก ที่ต้องวิเคราะห์ตลาด หรืออุตสาหกรรม ของสื่ อ ซึ่ งเราก� ำลังจะไปเป็น ส่วนหนึ่ง ของมัน นับว่าเป็นความจ�ำเป็นที่ต้องดู ว่าอุตสาหกรรมของมันเนี่ยมีสภาพเป็น อย่างไร ความเห็นเรา สื่อสารมวลชน เมืองไทยตอนนี้ เต็มไปด้วยเรื่องบันเทิง ไปยืนดูหน้าแผง ดูทีวี อินเทอร์เน็ตต่างๆ เรือ่ งบันเทิงเยอะมาก-ใหญ่มาก ซึง่ ถ้าเรา จะเขียนหนังสือ เราเป็นคนท�ำสือ่ คนหนึง่ ความเห็นเราก็คือ เราจะกระโดดเอาตัว

เราเข้าไปยืนเคียงข้างผู้สร้างสิ่งบันเทิง นัน้ หรือเราน่าจะขยับไปสูพ่ นื้ ทีอ่ นื่ ๆ บ้าง มันจะมีประโยชน์อะไรไหมทีเ่ ราจะไปเป็น นักเขียนในสายบันเทิง สายแอบถ่ายดารา ภาพหลุดก๊อสซิป มันจะมีประโยชน์อะไร หรือเปล่า หรือว่าเราจะท�ำแล้วท�ำได้ดี กว่าเขาหรือเปล่า ทีเ่ ขาถ่ายมาแล้วสามปี เราเพิง่ เข้าไปท�ำ จะแอบถ่ายสูเ้ ขาได้ไหม คือเราว่าสิง่ นีต้ อ้ งวิเคราะห์ ซึง่ มันก็โยงมา สู่สังคม เมื่อกี้ที่พูดคือเรื่องวงการสื่อนะ ครับ ต้องวิเคราะห์มาสูส่ งั คมด้วยว่าสภาพ สังคมตอนเนี่ย ไพร่ฟ้าหน้าใสหรือเปล่า —เราคิดถึงหมากฝรั่ง ในสถานการณ์ที่ บ้านเมืองไพร่ฟ้าหน้าใสเนี่ย การท�ำตัว เป็ น หมากฝรั่ ง น่ ะ โอเค หมากฝรั่ ง มี ประโยชน์นะครับ แต่คอ่ นข้างจะน้อย และ ไม่ ค ่ อ ยเหมาะกั บ ตอนนี้ เราเห็ น ว่ า บ้านเมืองตอนนี้น่ะไม่ค่อยดี สิ่งที่สังคม บ้ า นเมื อ งต้ อ งการคื อ ข่ า วสารข้ อ มู ล ที่ เป็นต้นไม้ เป็นข่าว เป็นน�้ำ สถานการณ์ มันเหมือนเราอยู่ในทะเลทรายมากกว่า ที่ จ ะเป็ น ไพร่ ฟ ้ า หน้ า ใส ฉะนั้ น เมื่ อ เรา วิเคราะห์เราเห็นสภาพสังคมแบบนี้ หรือ เราจะท�ำตัวเป็นต้นไม้ สิง่ นีม้ นั ก็ตอ้ งเลือก ว่ามันมีประโยชน์ไหม ว่าเดินอยู่ในทะเล ทรายแล้วมีคนยื่นหมากฝรั่งให้อันหนึ่ง

295


เนี่ย จะเวิร์กหรือไม่เวิร์ก เรื่องที่สาม มักจะได้ยินค�ำถามเยอะ ครั บ ว่ า ในเรื่ อ งจริ ง หรื อ เรื่ อ งสารคดี สามารถใส่ความคิดเห็นของผู้เขียนได้ ไหม —ตั้งแต่เลือกที่จะท�ำเรื่องอะไรแล้ว ตั้งแต่มีเรื่องมาเล่าให้ผู้ฟัง มันเป็น ‘การ เลือก’ ตั้งแต่แรกแล้วว่าคุณจะ ‘ใส่ความ เห็น’ แค่เลือกเรื่องใด-เรื่องหนึ่งมามัน ก็มีความเห็นอยู่แล้ว ฉะนั้นส�ำหรับเรา ก็คือว่าใส่ความคิดในข้อเขียนนั้น ใส่ไป เยอะมากเลย ถ้าใส่ไปแล้วมันดีมันก็ดี ถ้าไม่ใส่ความคิดผู้เขียนเลยถ้ามันเขียน ห่วยมันก็ห่วย เพราะฉะนั้นคือไม่มีข้อ จ�ำกัดอะไรว่าสามารถใส่ได้ หรือใส่ไม่ ได้ สิ่งส�ำคัญคือรู้น้อยอย่าพูดมาก ถ้า เราไม่ รู ้ ใ นเรื่ อ งนั้ น เราก็ ค วรให้ ค นอื่ น เป็ น คนพู ด สารนั้ น ๆ เพราะว่ า มั น ก็ ไ ม่ เวิร์กหรอกครับ ถ้าท�ำสื่อนะครับ คิดว่า การถอดเทปด้วยตัวเองเป็นเรื่องโง่ใน สายตาคนหลายๆ คน เป็นเรือ่ งเหนือ่ ยยาก เป็นเรือ่ งท�ำการทับซ้อน แต่เราคิดว่าการ ถอดเทปด้วยตัวเอง เป็นเรื่องส�ำคัญมาก ของคนท�ำสื่อ เพราะว่ามันคือการฟังซ�้ำ มันจะให้เราแยกแยะให้คณ ุ ค่าถูกว่า อะไร ส�ำคัญ อะไรควรจะเก็บไว้ อะไรควรจะ เอาทิ​ิ้ ง อะไรขาดตกบกพร่ อ งที่ ค วรจะ

296

ไปสัมภาษณ์อีกรอบหนึ่ง มันเป็นงานที่ โง่เขลาและเหนื่อย ปวดหู แต่ว่ามันเป็น สิ่งที่น�ำไปสู่ความจริง น�ำไปสู่ข้อมูลที่ถูก ต้อง ซึ่งจ�ำเป็นมากในการท�ำสื่อ —การ ฟังครั้งที่สองน่ะครับ คือตอนสัมภาษณ์ เราท�ำเองใช่ไหมครับ พอมาฟังเทปเนี่ย มันจะซาบซึ้งลึกซึ้งขึ้นในข่าวสารข้อมูล นั้นๆ ฉะนั้นโอกาสผิดพลาดมันจะน้อย โอกาสที่เราจะเข้าถึงประเด็นส�ำคัญของ มันเนี่ยก็มีสูง



กวีนิพนธ์สร้างสรรค์กับการสร้างสรรค์กวีนิพนธ์

ซะการีย์ยา อมตยา ฆนาธร ขาวสนิท เรียบเรียง


มันเป็นความเชื่อที่ผิดจากต้นก�ำเนิด ของบทกวี คือบทกวีเดิมทีเป็นมุขปาฐะ ไม่ใช่เฉพาะภาษาไทย แต่เป็นทั่วทั้ง โลก ภาษาอาหรับก็เหมือนกันคือมัน เกิดจากการพูด หรือเช่นภาษาของ อินเดียนแดงนี่ยิ่งเห็นได้ชัด คุณลองไป ดูค�ำพูดของหัวหน้าเผ่าอินเดียนแดง ลองไปดูนะครับ ถ้าเราฟังอย่างผิวเผิน มันก็คือค�ำพูด แต่ว่าเขาก็จะเรียบเรียง ถ้อยค�ำเหมือนบทกวี เวลาเขาพูดถึง ท้องฟ้า พูดถึงธรรมชาติ มันเหมือน อ่านบทกวี มันเป็นค�ำพูด พูดในสิ่งที่ เขาเชื่อ แต่สามารถเป็นบทกวีได้ด้วย ตัวของมันเอง บทกวีจึงมีรากมาจาก การเป็นมุขปาฐะ


กวีนิพนธ์สร้างสรรค์กับการสร้างสรรค์กวีนิพนธ์

ซะการีย์ยา อมตยา ฆนาธร ขาวสนิท เรียบเรียง

1 ‘บทกวีเผยให้สรรพสิ่งโปร่งใส และ แจ่มชัดยิ่งขึ้น ทั้งสอนให้เราเคารพมวล มนุษย์ และธรรมชาติ’

มขอยกค�ำของออคตาบิโอ ปัซ (Octavio Paz) กวีเอก ชาวเม็ ก ซิ โ กที่ ผ มแปลลง คอลัมน์กวี จุดประกายวรรณกรรม เมื่อ นานมาแล้วมากล่าวถึงตรงนี้ ในทีแรก ผมเชื่อและรู้สึกกับสิ่งที่ปัซ กล่าวมากๆ มากเสียจนเมื่อได้อ่านบท กวีของพอล ซีลาน (Paul Celan) กวีชาว โรมาเนียที่ว่า ‘บทกวีเหมือนข้อความใน ขวดลอยน�้ำ’ แล้วรู้สึกผงะไป เพราะสิ่งที่

300

ซีลานกล่าวมันเป็นคนละขั้วกันเลย ในมุมมองของปัซ บทกวีทำ� ให้เราแล เห็นสิ่งต่างๆ กระจ่างแจ้งหมดจด ขณะที่ ซีลานกลับบอกว่า บทกวีเหมือนข้อความ อะไรสักอย่างในขวดลอยน�้ำ ที่บางทีอาจ ส่งไปไม่ถึงใครเลย หรือถ้าถึงแล้วคนรับ อาจอ่านไม่ได้ ไม่เข้าใจและไม่รวู้ า่ ผูเ้ ขียน ข้อความต้องการสื่ออะไร จนเมือ่ ผมนัง่ ลงคิดอย่างจริงจังจึงได้ เข้าใจว่า แท้จริงแล้ว บทกวีมคี วามหลาก หลาย เวลาผมจะอธิบายว่าบทกวีเป็น อย่างไร ผมชอบที่จะท�ำเป็นวงกลม และ แบ่งเป็นเค้ก แล้วผมก็จะใส่—มีบทกวี แนวนีแ้ นวนัน้ ลงไป เช่น บทกวีโรแมนติก บทกวีอีโรติก บทกวีประเภทต่างๆ ลงไป ในในวงกลมนั้น ซึ่งผมคิดว่า สังคมก็มี


ส่วนในการนิยามและก�ำหนดทิศทางของ บทกวีไม่มากก็น้อย อย่างถ้าเราย้อนกลับไปอ่านบทกวี ของคนใน 14 ตุลาฯ หรือ 6 ตุลาฯ มัน ก็จะเต็มไปด้วยเรื่องการต่อสู้ต่างๆ เช่น เดียวกันในยุคปัจจุบนั เราก็พบว่ามีบทกวี การเมืองมากมาย จนบางครั้งมีความคิด เด็ดขาดตายตัวว่าบทกวีต้องรับใช้สังคม แล้ว และกลายเป็นว่ากวีต้องมี ‘หน้าที่’ ซึ่งผมมักจะปฏิเสธเสมอว่า ‘กวีเป็นคน ธรรมดา’ และหน้าทีข่ องเขาก็เหมือน ‘คน ธรรมดา’ ที่สะท้อนสิ่งที่ ‘ตัวเองรู้’ ส่วนจะ รับใช้อะไรหรือไม่ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง โดยส่วนตัวผมไม่เชื่อเรื่องพันธกิจ ของการเป็นนักเขียนที่ต้องมีอะไรบาง อย่างที่สูงส่งเป็นเครื่องรางน�ำทาง แต่ผม คิดว่าถ้านักเขียน หรือว่ากวีรับใช้ตัวเอง ด้ ว ยความจริ ง ใจ หรื อ เพราะตั ว เองมี ‘มนุษยธรรม’ อยู่ สิง่ ทีเ่ ขาแสดงออกมา โดย ไม่ต้องตั้งเป็นทฤษฎี หรือว่าอุดมการณ์ ใดๆ ก็มีความหมายมากพอ แค่เขารับใช้ ตัวเขาเอง เขาก็จะรับใช้คนอืน่ สิง่ ทีเ่ ขารัก และเชื่อโดยบางทีไม่จ�ำเป็นต้องก�ำหนด เข็มทิศตั้งไมล์หลักว่าต้องมุ่งไปสู่จุดนั้นจุดนี้

2 องค์ความรู้ของกวีอยู่ในบทกวีที่กวี ต่างๆ ได้เขียนไว้ หมายความว่า กวีคน หนึ่ง ถ้าเขาได้อ่านอะไรมามากพอ เขา ก็จะมีก้อนความคิดบางอย่าง และมันจะ อยู่ในบทกวีของเขานั่นแหละ โดยเฉพาะ ถ้าเขาไม่ได้เขียนงานประเภทอื่นเลย แต่ เขียนเพียงบทกวีจนกระทั่งสิ้นชีวิต ก้อน ความคิดต่างๆ ของเขาก็จะสั่งสมอยู่ใน บทกวี ผมคิดว่า การที่กวีบางคนมักจะอ่าน บทกวี เ พี ย งอย่ า งเดี ย ว เพราะหนึ่ ง คื อ เขาต้องการอ่านคนอื่น เพื่อจะไม่ท�ำใน สิ่งที่คนอื่นท�ำแล้ว เพียงแต่ถ้าเราจะอ่าน เฉพาะบทกวีในภาษาของเราเองเนีย่ เรา ก็จะไม่กว้าง คือถ้าเราสามารถอ่านกวีใน ภาษาอื่นด้วยนั่นก็จะท�ำให้เรากว้างขึ้น เราจะเห็ น สไตล์ แ ละรู ป แบบการเขี ย น อื่นๆ และโดยส่วนตัวผมเห็นว่ากวีนั้น ต้องอ่านอย่างอื่นด้วยนะครับ วิชาการ ประวัติศาสตร์ หรือปรัชญาก็สามารถอยู่ ในบทกวีได้ แต่จะแสดงออกอย่างไรนี่คือ ค�ำถามที่กวีต้องตอบด้วยตัวผลงาน

301


3

เขียน มนุษย์ทุกคนพูดได้ก่อนเขียน หรือ ถ้าย้อนไปในอดีตมนุษย์ออกเสียงก่อน มันเหมือนกับว่ามันเป็นความเชื่อที่ แล้วก็เสียงนัน้ แหละทีจ่ ะมาขีดว่าถ้าเสียง ผิดจากต้นก�ำเนิดของบทกวี คือบทกวี ‘อ้า’ ต้องเขียนอย่างไร ดังนั้นบทกวีมันก็ เดิมทีเป็นมุขปาฐะ ไม่ใช่เฉพาะภาษา เลยออกมาจากการพูดก่อน ไทย แต่เป็นทั่วทั้งโลก ภาษาอาหรับก็ คือถ้ากวีเชื่อว่าการอ่านบทกวีไม่ใช่ เหมือนกัน คือมันเกิดจากการพูด หรือ สิ่งที่ถูกต้อง—ไม่ใช่การครุ่นคิด จริงๆ เช่นภาษาของอินเดียนแดงนีย่ งิ่ เห็นได้ชดั ไม่ ใ ช่ น ะครั บ คื อ การอ่ า นบทกวี ใ ห้ ค น คุ ณ ลองไปดู ค� ำ อื่ น ฟั ง เนี่ ย มั น พูดของหัวหน้า เหมือนกับว่าเรา เผ่าอินเดียนแดง ก� ำ ลั ง ย้ อ นเอา ลองไปดูนะครับ บทกวี ไ ปสู ่ ต ้ น ถ้ า เราฟั ง อย่ า ง ก� ำ เนิ ด ของมั น ผิวเผิน มันก็คือ เพราะว่ า เวลา ค�ำพูด แต่ว่าเขา เราอ่ า นบทกวี ก็ จ ะเรี ย บเรี ย ง ให้คนอื่นฟังเนี่ย ถ้ อ ยค� ำ เหมื อ น มันต่างกับการที่ ออคตาบิโอ ปัซ (Octavio Paz) บทกวี เวลาเขา ว่าคนอืน่ อ่านบท กวีชาวเม็กซิโก พู ด ถึ ง ท ้ อ ง ฟ ้ า พู ด ถึ ง กวีของเรา คือมันได้ข้อดีข้อ ธรรมชาติ มันเหมือนอ่านบทกวี มันเป็น เสียต่างกัน อย่างเช่นผมอ่าน ฉันอยาก ค�ำพูด พูดในสิง่ ทีเ่ ขาเชือ่ แต่สามารถเป็น เป็นนักแม่นปืน ผมเคยอ่านแล้วมีพี่คน บทกวีได้ด้วยตัวของมันเอง บทกวีจึงมี หนึง่ เขาบอกว่าตอนเขาอ่านตอนแรกเขา รากมาจากการเป็นมุขปาฐะ ไม่ชอบเลย แต่พอเขาฟังที่ผมอ่าน—ผม ความเป็นมุขปาฐะ มันจะต้องมีคนฟัง ก็ไม่ได้แสดงอะไรมากหรอก แต่ว่ามันมี และการทีม่ านัง่ เขียนบทกวีเนีย่ มันเป็นสิง่ น�ำ้ เสียงบางอย่าง เพราะในบทกวีของผม ที่เกิดทีหลัง คือมนุษย์เราเนี่ยพูดได้ก่อน เนี่ยมันจะมีน�้ำเสียง อย่างเช่นผมบอกว่า

302


‘เหมือนเด็กที่ได้ของเล่นชิ้นใหม่’ สีหน้า ส�ำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าตัวบทกวี ของผมมันออกมา ในบทกวี ฉันอยากเป็น ยังมีความส�ำคัญอยู่ หรือกระทั่งเพลงนะ นักแม่นปืน ผมเปรียบเทียบการชอบการ ครับ เพลงบางอย่าง เพลงบางเพลงเนี่ย ฆ่าคนกับอารมณ์ของเด็กทีไ่ ด้ของเล่นชิน้ พอขึ้นเวทีเรามีความรู้สึกว่ามันต้องร้อง ใหม่ คือคงนึกออกว่าเวลาเด็กได้ของเล่น เพลงนี้ถึงจะเข้า ผมคิดว่ากระบวนการ ชิ้นใหม่จะดีใจขนาดไหน ซึ่งผมคิดว่าถ้า การท�ำงานของเขามันเสร็จสิน้ ไปแล้ว คือ อ่านบทกวีของผมธรรมดาเนี่ยคุณก็ได้ บทกวีชนิ้ นัน้ มันจบไปแล้ว และก็คอื จริงๆ อีกแบบหนึง่ พอได้ยนิ น�ำ้ เสียงของผมเนีย่ ในแง่ ก ารสร้ า งสรรค์ มั น ถื อ เป็ น สมบั ติ คุณจะเข้าใจบาง สาธารณะ งาน อ ย ่ า ง ม า ก ขึ้ น ศิลปะ... คือไม่ใช่ แต่ไม่ได้บอกว่า เรื่ อ งลิ ข สิ ท ธิ์ น ะ มั น จ� ำ เป็ น ที่ ก วี ครั บ หมายถึ ง ทุกคนจะต้องมา พอมั น ออกไป อ่านบทกวี และ เนี่ ย มั น คื อ ของ ก็ แ สดงนะครั บ สาธารณะ แต่ว่า มั น ไม่ จ� ำ เป็ น เราอาจจะยึดติด คื อ บางคนอาจ ว่าในทัศนะของ พอล ซีลาน (Paul Celan) จะไม่ มี ทั ก ษะ เราตอนนี้ เ ขา กวีเอกชาวโรมาเนีย เขียนได้ดีมาก แต่ว่าเวลา เป็นคนไม่ดีแล้ว และท�ำให้ อ่าน-อ่านไม่ได้ คืออ่านแล้วก็อ่านจริงๆ กลายเป็นว่าบทกวีที่เขาเขียนมาทั้งหมด น่ะก็มีนะครับ แต่ก็ไม่ได้เป็นการต�ำหนิ ไม่มคี า่ เลย ซึง่ ผมคิดว่าเราก็ใจแคบเกินไป แต่ขณะเดียวกันผมคิดว่าการอ่านมันจะ กับงานศิลปะ ตอนนีส้ มมุตวิ า่ ผมคิดแบบนี้ ช่วยส่งเสริมให้บทกวีมีชีวิตมากขึ้น คือมี ในอี ก สองวั น ผมอาจจะเปลี่ ย นไปแล้ ว ชีวิตในผู้คนน่ะ —คนที่ไม่เคยอ่านบทกวี ผมอาจจะเขียนบทกวีสดุดีอะไรเยอะแยะ น่ะ พอได้ฟังบทกวีมันก็ อ่อ บทกวีเป็น ไปหมด และสิง่ ทีผ่ มเขียนก่อนหน้านีม้ นั จะ อย่างนี้นี่เอง หมดค่าไปเลยหรือ สิ่งที่ผมเขียนทั้งหมด

303


เนีย่ ผมก็เชือ่ ในสิง่ นัน้ ก็เหมือนกันคนอืน่ ๆ ก่อนหน้านี้เขาเชื่อในสิ่งนั้น เขาถึงผลิต ออกมา อยู่ในป่าก็คือมีเพลงที่ว่ามาแต่ง ใหม่ไม่ได้แล้วน่ะ มันเป็นเพลงที.่ .. ต้องใช้ เพลงนี้เท่านั้นบนเวทีนี้ถึงจะรู้สึกฮึกเหิม อะไรอย่างนี้ แต่ถ้าเราใจแคบ ก็จะบอก ว่าไม่ต้องดีกว่า เพราะมันเป็นอ�ำมาตย์ ไปแล้ว อาทิตย์ก่อน ผมได้ฟังอุทิศ เหมะมูล บรรยาย อุทิศบอกว่าอะไรนะ... ‘ภาชนะ’ ใช่ไหมครับ คือจริงๆ เวลาเราสร้างงาน ผมก็เห็นด้วยกับอุทิศนะครับ คือเราอย่า ไปสร้างภาชนะก่อน จริงๆ งานวรรณกรรมทั้งหมดที่ออก มาเนี่ย ทฤษฎีจะมาทีหลังนะครับ จะมา บอกว่ า มั น เป็ น Post-modern หรื อ Hybridity ก็ว่าไป คือคนเขียนไม่ได้จ�ำกัด ตัวเองหรอกว่าเป็นอะไร ผมคิดว่ามันไม่มี ความจ�ำเป็นที่เราจะจ�ำกัดความว่าเรา ท�ำอะไรอยู่ คือเนื้อสารดีกว่า ภาชนะมัน ก็จ�ำเป็น แต่ผมคิดว่าสารข้างในเราต่าง หากทีม่ นั มีความจ�ำเป็น และสารทีเ่ ราเอา ออกเนี่ย มันจะสร้างภาชนะของมันเอง คื อ อยากให้ เ น้ น ที่ ตั ว เนื้ อ สารมากกว่ า รูปแบบ คือถ้าเราคิดตั้งแต่แรกแล้วเนี่ย มันจะท�ำให้เราอึดอัด บางทีมนั อาจจะไหล

304

ไปอย่างดีก็ได้ ถ้าเราไม่รู้ว่าภาชนะเป็น กลม เป็นแบน หรือว่าเป็นสระขนาดใหญ่ ก็ได้ แต่ถ้าเราก�ำหนดขนาดของมันไป เนี่ย เราก็อาจจะได้น�้ำแค่ขวดเดียว ถ้าให้ ภาชนะมันลื่นไหลไปได้เนี่ย มันจะขยาย จะหดแคบไปก็แล้วแต่ คิดว่าน่าจะดีกว่า


305


ประวัติศาสตร์วรรณกรรมสมัยใหม่

วาด รวี ฆนาธร ขาวสนิท เรียบเรียง

306


จุดเริ่มต้นของค�ำว่า วรรณกรรมสมัย ใหม่ คือ “ I ” หมายถึง ฉัน หมายถึง ตัวตนของมนุษย์ ซึ่งถือเป็น จุดเริ่ม ต้นของวรรณกรรมสมัยใหม่ หนังสือ เล่มแรกที่เริ่มเขียนเป็นอัตชีวประวัติ ที่ ใช้ฉันเป็นศูนย์กลางของการเล่าเรื่อง คือ The Confession (ค�ำสารภาพ) ของ Jean-Jacques Rousseau ก่อนหน้านี้ไม่มีหนังสือที่มีการน�ำ เอาคนหรือตัวตนของมนุษย์เป็น ศูนย์กลางของการเล่าเรื่อง

307


ประวัติศาสตร์วรรณกรรมสมัยใหม่

วาด รวี

ฆนาธร ขาวสนิท เรียบเรียง

ำว่ า วรรณกรรมสมั ย ใหม่ ถ้ า จะศึ ก ษาวรรณกรรมสมั ย ใหม่ ก่ อ นอื่ น เราต้ อ งเข้ า ใจในค� ำ ว่ า วรรณกรรมสมัยใหม่เสียก่อนว่า ท�ำไม เพราะอะไร ถึงเรียกว่าวรรณกรรมสมัยใหม่ จุ ด เริ่ ม ต้ น ของค� ำ ว่ า วรรณกรรม สมัยใหม่ คือ “I” หมายถึง ฉัน หมายถึง ตัวตนของมนุษย์ ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้น ของวรรณกรรมสมั ย ใหม่ หนั ง สื อ เล่ ม แรกที่เริ่มเขียนเป็นอัตชีวประวัติ ที่ใช้ ฉั น เป็ น ศู น ย์ ก ลางของการเล่ า เรื่ อ งคื อ “The Confessions (ค�ำสารภาพ) ของ Jean-Jacques Rousseau” ก่อนหน้านี้ ไม่มีหนังสือที่มีการน�ำเอาคนหรือตัวตน ของมนุษย์เป็นศูนย์กลางของการเล่าเรือ่ ง มีอัตชีวประวัติเล่มอื่นอีกเหมือนกันถือ

308

เป็นเล่มแรกในช่วงต้นศตวรรษแต่ไม่มี ตัวตนของมนุษย์เป็นศูนย์กลางของเรื่อง เล่าแต่เป็นประสบการณ์ทางศาสนา ทาง วิ ญ ญาณที่ ไ ด้ สั ม พั น ธ์ กั บ พระเจ้ า ซึ่ ง ถื อ เป็ น ความแตกต่ า งโดยไม่ มี ม นุ ษ ย์ เป็นศูนย์กลาง แต่มีศาสนาและพระเจ้า เป็นศูนย์กลางของเรื่อง จุดนับหนึ่งของ วรรณกรรมสมัยใหม่ คือ เริม่ จากเรือ่ งราว การแต่ง การเขียนเรือ่ งราวทีม่ มี นุษย์เป็น ศูนย์กลางของการเล่าเรื่องราวเหล่านั้น จุดเริม่ ต้นอีกสิง่ หนึง่ คือ Cosmos หรือ ‘จักรวาล’ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในการแบ่ง แยกว่า สิง่ ใดเป็นวรรณกรรมสมัยใหม่ สิง่ ใดเป็นวรรณกรรมสมัยเก่า คนโบราณจะ มีจกั รวาลทีห่ ลากหลาย มีความเชือ่ หลาก หลาย มี ค วามเปลี่ ย นแปลงไม่ ห ยุ ด นิ่ ง


ซึ่ ง มี ศู น ย์ ก ลางที่ แ ตกต่ า งกั น ออกไป การเขียนวรรณกรรมผ่านเรื่องสั้น ซึ่งมี วรรณกรรมจึงได้รับอิทธิพลจากจักรวาล การแปลที่ได้รับอิทธิพลตะวันตกในรูป ซึ่งจะมีความแตกต่างกันออกไปของใคร ของวรรณกรรมสมัยใหม่ในช่วงรัชกาล ของมัน แต่ละจักรวาลก็จะมีศูนย์กลางที่ ที่ 3 – 4 เด่ น ชั ด มากในช่ ว งรั ช กาลที่ แตกต่าง อาจจะมีลกั ษณะร่วมบางอย่าง มี 4 และ 5 ก่อนที่จะมีเรื่องสั้นหรืองาน หลากหลายศูนย์กลางความเชือ่ ในรูปแบบ วรรณกรรมจริงๆ ที่เป็นสมัยใหม่ซึ่งเป็น พระเจ้าที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งถือเป็น ของคนไทยที่เขียนออกมาใน ดรุโณวาท ลั ก ษณะของวรรณกรรม ซึ่งได้อิทธิพลสั่งสมมาช่วง สมัยก่อน แต่หลังจากเกิด เวลาหนึง่ สัง่ สมจากอิทธิพล วิ ท ยาศาสตร์ ท� ำ ให้ เ กิ ด ทางการเมือง ทางวัฒนธรรม จักรวาลแบบเดียวกันเป็น ความเป็นสมัยใหม่ที่เข้ามา จั ก รวาลที่ ส ร้ า งขึ้ น จาก ท�ำให้จักรวาลของคนไทย วิทยาศาสตร์ วรรณกรรม ค่อยๆเปลี่ยนเป็นจักรวาล สมั ย ใหม่ จึ ง มี ศู น ย์ ก ลาง สมัยใหม่ แบบเดี ย วกั น หมด คื อ มี จุดเริ่มต้นอีกอย่างที่จะ มนุ ษ ย์ มี ตั ว ตนของมนุ ษ ย์ น�ำมาศึกษาวรรณกรรม คือ เป็นศูนย์กลางของเรื่องราว movement หมายถึงความ วรรณกรรมสมัยใหม่จึงเริ่ม The Confessions (ค�ำสารภาพ) เคลื่ อ นไหวทางความคิ ด ขึ้นเมื่อมีการเขียนโดยเอา ของ Jean-Jacques Rousseau สิ่งที่เรียกว่าประวัติศาสตร์ เรื่องราวของมนุษย์เป็นศูนย์กลาง วรรณกรรมโดยเนื้อหาหรือเนื้อแท้ คือ จากหลั ก ฐานที่ ป รากฏ นิ ต ยสาร การศึกษาประวัติศาสตร์การเคลื่อนไหว เล่ ม แรกของไทยที่ ถื อ เอามนุ ษ ย์ เ ป็ น ทางความคิดวรรณกรรมทีเ่ ป็นวรรณกรรม ศู น ย์ ก ลางของเรื่ อ งราวคื อ ดรุ โ ณวาท ซีเรียสทุกชิน้ เป็นส่วนหนึง่ ของบทสนทนา ในราวปี พ.ศ.2417 ถื อ เป็ น ช่ ว งของ ทางความคิดร่วมสมัยเสมอ การศึกษา วรรณกรรมสมัยใหม่ของไทย การเริม่ เป็น วรรณกรรมในมิตขิ องการเคลือ่ นไหวทาง วรรณกรรมสมัยใหม่ของไทย คือ การเริม่ มี ความคิด จะต้องมองวรรณกรรมชิน้ นัน้ ใน

309


ลักษณะที่มีความสัมพันธ์กับวรรณกรรม ชิ้ น อื่ น ๆ กั บ เหตุ ก ารณ์ ร ่ ว มสมั ย ของ วรรณกรรมชิ้นนั้นด้วย ไม่สามารถมอง วรรณกรรมชิ้นนั้นโดดๆ อาจจะมองได้ แต่ไม่สามารถท�ำความเข้าใจพลวัตทาง ความคิดหรือความเคลื่อนไหวทางความ คิ ด ของวรรณกรรมชิ้ น นั้ น โดดๆได้ จะ ต้องมองบริบทว่าก�ำลังตอบโต้อยูก่ บั สิง่ ใด เป็นผลพวงจากอะไร และก�ำลังเสนออะไร จากสังคมสมัยนั้น วรรณกรรมทุกชิ้นที่ เป็ น วรรณกรรมซี เ รี ย สจะพยายามพู ด อะไรกับคนร่วมสมัยเสมอ ในประวัติศาสตร์วรรณกรรมไทยที่ เริม่ ตัง้ แต่ปี พ.ศ. 2417 มีความเคลือ่ นไหว ทางความคิ ด ที่ พ อจะเรี ย กได้ ว ่ า เป็ น movement คือ วรรณกรรมเพื่อชีวิต เริ่ม ที่ประมาณ พ.ศ. 2490 ในช่วงเริ่มต้น แวดวงวรรณกรรมได้มกี ารถกเถียงกันใน เรือ่ งทีว่ า่ ศิลปะเพือ่ อะไร คุณจะเขียนเพือ่ ศิลปะบริสุทธิ์ หรือควรจะเขียนเพื่ออะไร ซึ่งเป็นอิทธิพลจากต่างประเทศ เพราะ ก่อนหน้านีใ้ นวงวรรณกรรมสากลก็มกี าร ถกเถียงกันในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน ความคิดในเรือ่ งของวรรณกรรมเพือ่ ชีวิตได้รับอิทธิพลจากแนวความคิดแบบ Marxism หรืออาจจะจากวรรณกรรมของ

310

ต่างประเทศที่เรียกว่า social-realism เป็นวรรณกรรมของรัสเซีย วรรณกรรม เพื่อชีวิต รูปร่างความคิดจะเด่นชัดใน ปลาย พ.ศ.2490 แต่ตอ้ งหยุดลงทันทีเมือ่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ครองอ�ำนาจ จะมี การจับนักเขียนจ�ำนวนมากขังคุก มีการ ปราบปรามทางความคิด จากการปราบ ปรามทางความคิดท�ำให้มนี กั เขียนลีภ้ ยั ไป ต่างประเทศ เช่น ศรีบรู พา เป็นต้น เพราะ ฉะนั้นจึงท�ำให้การเคลื่อนไหวทางความ คิดหยุดลง และเงียบหายไปเป็นเวลา 6 – 7 ปี จนกระทัง่ ช่วงเวลา 4 – 5 ปีกอ่ น 14 ตุลาคม 2516 เกิดจากการที่คนรุ่นหลังกลับไป เอางานวรรณกรรมทีถ่ กู เขียนในช่วง 2490 มาพิมพ์ใหม่ จากยุคสมัยก่อนและหลัง 14 ตุลา ที่เป็นการเคลื่อนไหวทางความ คิดที่น�ำไปสู่การสถาปนาให้วรรณกรรม เพือ่ ชีวติ เป็นสกุลงานวรรณกรรมประเภท หนึ่งขึ้นมา สกุลงานวรรณกรรมประเภท หนึง่ ๆ ลักษณะการเกิด คือ เกิดจากการโต้ แย้งอะไรบางอย่าง เช่น สังคม งานสกุลเก่า แล้ ว ก็ น� ำ เสนอกรอบใหม่ เพื่ อ น� ำ ไปสู ่ การสร้างสรรค์งานวรรณกรรม หรือพวก Realism ก็มาจากการเคลื่อนไหวทาง ความคิ ด ที่ ไ ม่ ย อมรั บ Romanticism เป็ น ต้ น ซึ่ ง Romanticism เป็ น การ


เคลื่อนไหวทางความคิดอย่างแรกของ เท่านัน้ ไม่ได้เกิดขึน้ มาเอง แต่วรรณกรรม สากล เมือ่ มีการโต้แย้งทางความคิดก็เกิด สมัยใหม่ไม่ได้เสนอกรอบของตัวเองที่ เป็นการสถาปนางานสกุลใหม่ขนึ้ มา ซึง่ ก็ ชัดเจนพอทีจ่ ะเอาไปสร้างสรรค์งานว่าข้อ ถือเป็นการพัฒนาการของความคิดของ เสนอใหม่คอื อะไร เพราะฉะนัน้ หลังจากที่ รูปแบบหรือกรอบของงานวรรณกรรม เกิ ด ค� ำ ว่ า วรรณกรรมสร้ า งสรรค์ แ ล้ ว ซึง่ สะท้อนออกมาในรูปแบบของสกุลงาน วรรณกรรมเพื่อชีวิตก็ยังมีอยู่ ซึ่งอยู่ใน หนึ่งไปสู่สกุลงานหนึ่ง ลักษณะที่ปนเปกัน บางครั้งใช้แทนกัน วรรณกรรมสร้ า งสรรค์ เป็ น ค� ำ ที่ บางครั้ ง เรี ย กรวมๆกั น ไป ไม่ มี ก รอบ เ พิ่ ง เ กิ ด ขึ้ น ที่ชัดเจนเหมือน เ มื่ อ ป ร ะ ม า ณ Romanticism พ.ศ.2520 เป็น ไปเป็น Realism ว ร ร ณ ก ร ร ม ที่ ซึ่งถือว่าเป็นปม เสนอแนวความ ประวั ติ ศ าสตร์ คิ ด โต้ แ ย้ ง กั บ ว ร ร ณ ก ร ร ม ที่ วรรณกรรมเพื่อ ยั ง ไม่ ค ลี่ ค ลาย ชี วิ ต ลั ก ษณะ จนถึงบัดนี้ ของวรรณกรรม ป ร ะ เ ด็ น ดรุโณวาท นิตยสารฉบับแรกของไทย เพื่ อ ชี วิ ต เชื่ อ ว่ า สุดท้าย การศึกษา ที่ถือเอามนุษย์เป็นศูนย์กลาง ประวั ติ ศ าสตร์ ข องมนุ ษ ย์ ป ร ะ วั ติ ศ า ส ต ร ์ ห รื อ เป็นประวัตศิ าสตร์ทมี่ กี ารกดขีท่ างชนชัน้ ปรากฏการณ์ในอดีต แต่ประวัติศาสตร์ และวรรณกรรมเพื่อชีวิตก็เสนอเพื่อมุ่ง ก็ไม่ใช่สิ่งเดียวกันกับปรากฏการณ์จริง เน้นไปในเรื่องการเปิดโปงทางการกดขี่ ในอดีต หรือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ในอดีต การขู ด รี ด ทางชนชั้ น แต่ ว รรณกรรม ประวัติศาสตร์เป็นการตีความอดีตจาก สร้ า งสรรค์ เ ป็ น ความคิ ด ที่ เ กิ ด ขึ้ น จาก ปัจจุบัน จากเวลาร่วมสมัยจากการเขียน ความคิ ด โดยการโต้ แ ย้ ง เพื่ อ ชี วิ ต ว่ า ประวั ติ ศ าสตร์ นั้ น ๆ ถ้ า มองหนั ง สื อ วรรณกรรมไม่จำ� เป็นต้องมีแต่เรือ่ งชนชัน้ ประวัตศิ าสตร์เป็นงานเขียนประเภทหนึง่

311


การอ่านประวัติศาสตร์ก็คือ งานที่เขียน ถึงอดีต งานที่ตีความอดีตจากเวลาของ ผู้เขียน เพราะฉะนั้นจะมีระยะห่างเสมอ หมายความว่า ให้ตระหนักเสมอว่า สิ่งที่ ก�ำลังฟัง ก�ำลังอ่านมีปัจจุบันเข้ามาเกี่ยว ไม่ใช่เหตุการณ์ในอดีตล้วนๆ บางครั้ง เกี่ยวข้องในลักษณะที่ซับซ้อน เพราะมี อิทธิพลของเวลาเข้ามาเกี่ยวข้อง จะมี มิติของเวลาในปัจจุบันเป็นการตีความ รั บ รู ้ แ นวคิ ด จากปั จ จุ บั น ตี ค วามด้ ว ย แนวคิดของคนในปัจจุบัน ณ ขณะนี้ ซึ่ง ขณะเดียวกันผู้เขียนเองก็อาจจะไม่ได้ อยู่ร่วมสมัยกับเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้น แต่ได้รับอิทธิพลจากเวลาเช่นเดียวกัน จึงเป็นความซับซ้อนของการเข้าถึงของ เหตุการณ์จริงในอดีต เพราะฉะนั้นเวลา ที่อ่านประวัติศาสตร์ต้องตระหนักถึงสิ่ง เหล่านี้ด้วย

312



ประวัติศาสตร์ส่วนตัวว่าด้วยตั๋วผ่านสู่การท�ำงานเขียน (หรือ วิชางานเขียนสร้างสรรค์ของผม)

ปราบดา หยุ่น

314


ความทรงจ�ำยังฉายซ�้ำให้ผมเห็น เสมอว่าประสบการณ์ในวิชาเขียนงาน สร้างสรรค์เป็นสิ่งแปลกใหม่ที่สร้าง ความประหลาดใจให้ผมอย่างไม่ทัน ตั้งตัว ก่อนหน้านั้นผมคุ้นชินกับการ ท�ำงานเขียนเพียงล�ำพัง คิดเอง เขียนเอง อ่านทวนเอง ตัดสินใจแก้ไข ปัญหาในรายละเอียดต่างๆของเรื่อง ตั้งแต่ต้นจนจบด้วยตัวเอง เป็นพระเจ้าผู้สร้างโลกอย่างโดดเดี่ยว

315


ประวัติศาสตร์ส่วนตัวว่าด้วยตั๋วผ่านสู่การท�ำงานเขียน (หรือ วิชางานเขียนสร้างสรรค์ของผม)

ปราบดา หยุ่น

วามรู ้ สึ ก พิ ก ลพิ ก ารทางภาษา สามารถบั่นทอนความมั่นใจของ คนทีค่ ดิ ว่าตนพอจะ “มีด”ี ในด้าน การอ่านการเขียนอย่างสาหัส ตลอดเวลา การเป็นนักเรียนไทยถึงระดับมัธยมศึกษา ปี ที่ ส าม ภาษาไทยและภาษาอั ง กฤษ เป็นเพียงสองวิชาที่ผมกล้ายืนยันว่าเอา ตัวรอดได้โดยไม่ต้องลอกข้อสอบเพื่อน หรือพึ่งพาปาฏิหาริย์ใดๆ ทว่าเมื่อเดิน ทางไปศึกษาต่อในสหรัฐอเมริกา ประเทศ ที่ยังมีบางคนคิดว่าไทยแลนด์คือไต้หวัน ความทระนงนั้ น ก็ พั ง ทลายลงอย่ า ง รวดเร็วและโดยสิ้นเชิง ทักษะภาษาไทย จ�ำต้องถูกเก็บใส่ตู้นิรภัยอย่างไร้กุญแจ ส� ำ รอง ความรู ้ ภ าษาอั ง กฤษที่ คิ ด ว่ า ฟุดฟิดฟอไฟคล่องแคล่วว่องไวกว่ามิตร

316

สหาย ยังคงฟุดฟิดฟอไฟเช่นเคยก็จริง แต่ ฝ รั่ ง ฟั ง แล้ ว ขมวดหู — “ฟุ ด ฟิ ด ฟอ ฟายแพลวาอาราย” ครั้ นจะภาวนาให้ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเหลือ ก็คงต้องเปลี่ยน ศาสนาและภาวนาเป็นภาษาอังกฤษอยูด่ ี หลายปี แ รกในอเมริ ก า ผมจึ ง มี สถานะเป็ น วั ย รุ ่ น ที่ มี ทั ก ษะทางภาษา ระดับต�ำ่ กว่าเด็กอนุบาล เมือ่ เวลาผ่านไป ราวครึ่งทศวรรษ แม้จะสื่อสารได้มากขึ้น กล้าแสดงความเห็น และสั่งสมคลังค�ำ จนพอจะดู ห นั ง ดู ล ะครอย่ า งครึ ก ครื้ น รื่นอารมณ์ ความมั่นใจที่คิดว่าตน “มีดี” ทางการใช้ภาษาก็ไม่เคยหวนคืนมาอีก เลย นอกจากภาษาอั ง กฤษยั ง อ่ อ นหั ด ทั ก ษะภาษาไทยก็ ถ ดถอยร่ อ ยหรอลง


อย่างสม�่ำเสมอ ความฝักใฝ่ในการอ่าน และการเขียนทีม่ มี าตัง้ แต่เด็กยังคงด�ำผุด ด�ำว่ายอยูใ่ นความนึกคิด ทว่าไม่หาญกล้า ที่จะมุ่งหน้าไปไหน ทุกครั้งที่เปิดหนังสือ ภาษาอังกฤษอ่าน ไม่วา่ จะเป็นต�ำราเรียน วรรณกรรม กระทัง่ การ์ตนู ความอ่อนหัด ท� ำ ให้ ผ มวิ ต กเสมอว่ า มี ห ลายอย่ า งใน ตัวบททีผ่ มไม่เดียงสา ตีไม่แตก หรือเข้าใจ คลาดเคลื่อน โดยเฉพาะสิ่งที่ผู้เติบโตขึ้น ในวัฒนธรรมอเมริกันเท่านั้นจึงจะเข้าใจ อย่างถ่องแท้ บ่อยครั้งที่ความง่อยเปลี้ย เสี ย ภาษาท� ำ ให้ ผ มท้ อ แท้ สิ้ น หวั ง เหน็ดเหนือ่ ยกับการพยายามไล่ตามให้ทนั ผู้คนที่ออกวิ่งไปตั้งแต่พวกเขาถือก�ำเนิด หลายครั้งผมรู้สึกอยากหยุดนิ่งแล้ววิ่ง ย้อนกลับไปยังสนามของภาษาไทยที่ผม จากมา ทว่าความเป็นจริงคือระยะทางที่ จะย้อนกลับก็ห่างไกลไม่น้อยกว่าระยะ ทางข้างหน้าเสียแล้ว การตัดสินใจเลือกวิชาเรียน “เขียน งานสร้างสรรค์” หรือ Creative Writing ทัง้ สมัยก่อนจบมัธยมปลาย (ไฮ สคูล) และ สมัยมหาวิทยาลัยปีหนึ่ง จึงเป็นปฏิบัติ การ “หนามยอก เอาหนามบ่ง” และ “ดับ เครื่องชน” ที่ต้องใช้ความกล้าบ้าบิ่นทาง จิ ต ใจส� ำ หรั บ ผมอย่ า งที่ ค นอื่ น ไม่ อ าจ

ล่วงรู้ได้ ตอนนั้นผมคิดว่า ไหนๆจะวิ่งต่อ ไปข้างหน้า ก็ต้องทุ่มให้สุดตัว ต้องยอม ลงลุยสนามทัง้ ยังไร้เดียงสา ยอมเสียหน้า หากแสดงความเปิ ่ น เซ่ อ ซุ ่ ม ซ่ า มให้ ผู้คนเห็น ผมเข้าเรียนด้วยความประหม่า ความมั่ น ใจเท่ า กั บ ศู น ย์ ไม่ มี พื้ น ฐาน หนักแน่นเท่าเพื่อนร่วมชั้น ไม่เคยอ่าน งานเขียนเด่นดังเลอค่าทีข่ นึ้ ชือ่ ว่านักอ่าน และนักอยากเขียนทีด่ คี วรมีประสบการณ์ ผ่านมาอย่างโชกโชน ที่เคยผ่านมาบ้าง อย่างแช่มช้อยก็ผ่านอย่างชุ่ยๆ กระท่อน กระแท่น หมาๆแมวๆ (น่าจะใกล้กว่า “งูๆ ปลาๆ” ขึน้ มาเล็กน้อย) ไม่แตกฉานเพียง พอจะกล่ า วอ้ า งว่ า เข้ า ถึ ง ความงดงาม ลึกซึง้ ตามทีผ่ คู้ นสรรเสริญ อาจารย์หยิบยก ชื่อ นั กเขี ยนหรื อ ชื่ อ หนั ง สื อ อะไรขึ้ นมา ผมก็ไม่รู้จัก พยักหน้าท�ำว่าเข้าใจให้เท่ๆ ไว้ก่อน แต่ในใจได้แต่ภาวนาว่าขออย่า ถู ก เรี ย กให้ แ สดงความเห็ น หรื อ พู ด ถึ ง วรรณกรรมเหล่านั้นเลย ไม่เพียงพื้นฐานการอ่านจะอ่อนแอ ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีทางวรรณกรรม ของผมยิง่ ไร้ทเี่ ปรียบ เพราะไม่มอี ยูแ่ ม้แต่ น้อย รูแ้ ต่วา่ หนังสือเล่มไหนอ่านแล้วรูส้ กึ สนุก ตื่นเต้น วางไม่ลง หรือลึกลับ ชวน ให้คดิ ต่อจนไม่หลับนอน เล่มไหนอ่านแล้ว

317


รูส้ กึ ว่าน่าเบือ่ ซ�ำ้ ซาก เดาทางได้ ไม่ราบรืน่ หรือชวนสะอิดสะเอียนในความน�้ำเน่า แต่ไม่ประสีประสาว่าเรื่องแบบนี้เรียกว่า อะไร เป็นเรื่อง “สกุล” ไหน ก�ำเนิดขึ้น มาในศตวรรษใด มีคุณสมบัติอย่างไรจึง ท�ำให้มันถูกจัดกลุ่มเช่นนั้น เชื่อมโยงกับ สังคมและประวัติศาสตร์หรือไม่ ผมเป็น แค่คนหนุ่มที่ลุ่มหลงในโลกจินตนาการ และริอ่านจะสร้างโลกจินตนาการขึ้นเอง บ้างสักสองสามใบในชีวิตนี้ ไม่มีความ สนใจในทฤษฎี การจัดสกุล หรือชื่อเรียก ทางวิชาการของงานเขียน แม้กระทั่งค�ำ ว่า “วรรณกรรมร่วมสมัย” (contemporary literature) ผมก็ไม่รู้จัก รู้แต่ว่านักเขียน คนไหนตายไปแล้ว คนไหนยังมีชีวิตอยู่ หนังสือเล่มไหนเป็น “คลาสสิก” เล่มไหน เพิ่ ง วางแผงสดๆร้ อ นๆ สิ่ ง เดี ย วที่ ผ ม ต้องการจากวิชาเขียนงานสร้างสรรค์ คือ โอกาสทีจ่ ะถูกบังคับให้ตอ้ งฝึกเขียนเรือ่ ง แต่งเป็นภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง เพื่อ ข้ามพ้นความพิกลพิการทางภาษา เพื่อ ผลักดันให้เกิดความรู้สึกมั่นใจเช่นที่ผม เคยเชื่อในทักษะการเขียนเรื่องแต่งเป็น ภาษาไทยของตนเอง ดังเช่นทีบ่ อกไว้ในย่อหน้าแรก ตัง้ แต่ วัยเด็ก ผมมีความเชื่อมั่นในตัวเองอยู่

318

เพียงเรื่องเดียว นั่นคือการอ่านการเขียน และในความฟุ้งซ่านสับสนปนซึมเศร้า ของวัยหนุม่ ผมเกิดมีความต้องการอย่าง ทุรนทุรายที่จะได้ความเชื่อมั่นในตัวเอง นั้นกลับคืนมา สรุปไม่ได้แน่ชัดว่าผลลัพธ์เป็นเช่น ที่ผมคาดหวังหรือไม่ แต่ความทรงจ�ำยัง ฉายซ�้ำให้ผมเห็นเสมอว่าประสบการณ์ ในวิชาเขียนงานสร้างสรรค์เป็นสิ่งแปลก ใหม่ที่สร้างความประหลาดใจให้ผมอย่าง ไม่ทนั ตัง้ ตัว ก่อนหน้านัน้ ผมคุน้ ชินกับการ ท�ำงานเขียนเพียงล�ำพัง คิดเอง เขียนเอง อ่านทวนเอง ตัดสินใจแก้ไขปัญหาในราย ละเอียดต่างๆของเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบ ด้วยตัวเอง เป็นพระเจ้าผู้สร้างโลกอย่าง โดดเดี่ ย ว และเข้ า ใจว่ า นั่ น คื อ วิ ถี ข อง นักประพันธ์ที่ไม่มีวันจะเท่หากยอมรับ ความเห็ น หรื อ ข้ อ ชี้ แ นะจากคนอื่ น ใน ระหว่างสร้างงาน นักเขียนคือศิลปินเดีย่ ว คือวีรชนผู้ปั้นน�้ำเป็นตัวได้อย่างอัศจรรย์ เพียงฝันด้วยตัวอักษร ไม่เหมาะไม่ควร ทีจ่ ะเปิดเผยหรือแบ่งปันขัน้ ตอนอันวิเศษ ล�้ ำ เลิ ศ นั้ น กั บ ใคร เพราะในท้ า ยที่ สุ ด เมื่อผลงานถูกส่งถึงสายตา “ผู้อ่าน” แล้ว เป็นที่ชื่นชอบเชิดชู ค�ำแซ่ซ้องสรรเสริญ ทั้งหมดจักต้องตกอยู่กับผู้เขียนแต่เพียง


ผู้เดียวเท่านั้น บรรยากาศทีเ่ กิดขึน้ ในวิชาเขียนงาน สร้ า งสรรค์ มี สี สั น และหลากหลายจน ท�ำให้ผมอึ้งทึ่งเสียวหลายครั้งหลายหน (แต่ พ ยายามเก๊ ก หน้ า นิ่ ง ไม่ ทิ้ ง ความ “คู ล ” ตามประสานั ก เขี ย นขรึ ม เป็ น อั น ขาด) เพื่อนร่วมชั้นบางคนจริงจังกับการ ท�ำงานจนเครียดไข้ขึ้น บางคนอ่อนไหว ถึงกับร้องห่มร้องไห้เมือ่ ถูกวิจารณ์ชำ� แหละ รุนแรงโดยนักเรียนด้วยกัน บางคนเปิดโปง ตัวเองจนเปล่าเปลือย ฉายแฉความนึกคิด และชีวิตส่วนตัวอย่างหมดเปลือก ท�ำเอา คนฟังต่างต้องเขินอายแทน บางคนหัวรัน้ ตะบี้ตะบันกล่าวหาว่าไม่มีใครเข้าใจสิ่งที่ เขาหรือเธอต้องการสื่อ ไม่ใช่เพราะเขียน ไม่ดี แต่เพราะคนอ่านไม่มรี สนิยม ไม่มคี ม คิดลึกซึง้ เพียงพอ บางคนเข้าข่ายมีความ รู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด อ้างอิงทฤษฎี ทั้งหลายได้อย่างคล่องปาก ลากเอาชื่อ นักเขียน นักวิชาการที่ไม่มีใครล�้ำพอจะ รูจ้ กั มาโยนข่มจนคนอืน่ ต้องนิง่ เงียบ ทว่า กลับหลงติดอยู่ในเขาวงกตแห่งปัญญา ไม่สามารถสร้างสรรค์งานของตนขึ้นได้ เองโดยไม่ ห ยิ บ ยืมหน้า กากและฝีป าก ผู้อื่นมาใช้ ผมรู ้ สึ ก เหมื อ นได้ เ ข้ า ไปนั่ ง อยู ่ ใ น

คลิ นิ ก ของจิ ต แพทย์ มากกว่ า อยู ่ ใ น ห้องเรียนวิชาเขียนหนังสือ การมีพื้นเพ มาจากสังคมทีก่ ารแสดงออก การวิพากษ์ วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา และการเปิด เผยตั ว ตนภายในให้ ค นแปลกหน้ า รั บ รู้ ถือเป็นความไร้มารยาท ก้าวร้าว และ ผิดเพี้ยน ประสบการณ์เรียนเขียนงาน สร้ า งสรรค์ ส� ำ หรั บ ผม จึ ง เป็ น การถู ก กระแทกแสกหน้าทางวัฒนธรรมอย่าง รุนแรงจนงุนงง แต่ในขณะเดียวกันมัน ก็ ก ระตุ ้ น ให้ ก ระแสไฟในสมองของผม พลุ ่ ง พล่ า น อยากเร่ ง ความช� ำ นาญให้ สามารถผลิ ต งานมาร่ ว มสนามรบแห่ ง จินตนารมณ์ได้ทันท่วงที ไม่วา่ จะได้ความมัน่ ใจในการใช้ภาษา คืนมาหรือไม่ ผมก็ผ่านปฏิบัติการหนาม ยอกเอาหนามบ่งนั้นอย่างราบรื่น เขียน เรื่องสั้นเป็นภาษาอังกฤษส�ำเร็จเสร็จสิ้น เป็นครั้งแรก ไม่ถูกเพื่อนร่วมชั้นรุมทึ้ง แถมยังได้รับค�ำชมเล็กๆแต่มีค่าจากครู ผู้สอนว่า “ถ้าเธออยากเป็นนักเขียนก็น่า จะเป็นได้” แม้ยังไม่หาญกล้าบ้าบิ่นพอ จะคิดหวังเป็น “นักเขียน” แต่ค�ำของครูก็ เหมือนมีคนมอบ “ตั๋วผ่าน” ส�ำหรับด่าน แรกให้เก็บไว้กับตัว เผื่อว่าจะอยากใช้ ขึ้นมาสักวันหนึ่ง

319


ทว่าสิ่งส�ำคัญกว่านั้นคือประโยชน์ที่ อย่างไม่คาดฝัน ได้จากการ “แบ่งปัน” และ “ร่วมงาน” กับ ผมได้ใช้ “ตั๋วผ่าน” ที่ครูมอบให้ไป นักอยากเขียนคนอื่นๆ การได้สัมผัสถึง นานแล้ว ความมุง่ มัน่ ความหวัน่ ไหว และความทุม่ เท ทว่าบางวัน ผมก็ยังอยากได้มันกลับ ทีแ่ ต่ละคนมีให้กบั การสร้างสรรค์งานเขียน คืนมา บางคนจริ ง จั ง กว่ า เรามากมายจนอด ละอายใจในความเหลาะแหละของตัวเอง ไม่ ไ ด้ รวมถึ ง การได้ ดู ด ดึ ง ความรู ้ จ าก ผูน้ ยิ มอดรู้ ความรูก้ ค็ อื ความรู้ ไม่วา่ กิรยิ า ท่ า ทางของเขาหรื อ เธอผู ้ ค ายความรู ้ ออกมาจะน่าร�ำคาญเพียงไรก็ตาม จริงอยูท่ กี่ ารลงมือเขียนหนังสือยังคง ต้องเป็นกิจกรรมที่โดดเดี่ยว เงียบเชียบ เปรียบประหนึ่งการถลาเข้าหาอุโมงค์มืด โดยมีเพียงความหวังติดตัวว่าเส้นทางที่ เลือกเดินจะน�ำพาไปหาแสงสว่างในที่สุด แต่การได้ยินเสียงก้องสะท้อนของผู้คน มากมายที่ ก� ำ ลั ง ดุ ่ ม เดิ น คล� ำ ทางอยู ่ ใ น อุโมงค์มืดของพวกเขาเอง ติดกับอุโมงค์ ของเราทั้งทางซ้ายและขวา ย่อมช่วยให้ การเดินทางทีโ่ ดดเดีย่ วนัน้ ไม่เปลีย่ วเหงา จนเกินไปนัก ใครจะรู้ การส่งเสียงสื่อสารถึงกัน ผ่านก�ำแพงหนา แม้ฟงั ได้ไม่ชดั ถ้อยชัดค�ำ หน�ำซ�ำ้ อาจผิดเพีย้ นจากสิง่ ทีเ่ ปล่งจากปาก ก็อาจถูกใช้เป็นสัญญาณไปสู่ทางออกได้

320



เรื่องสั้นเรื่องแรก

กิตติพล สรัคคานนท์

322


คงไม่ผิดนักหากจะกล่าวว่า ‘เรื่องสั้น สมัยใหม่’ ก�ำเนิดขึ้นในฐานะของ การเขียน ‘แนวใหม่’ ที่จะมองว่า เป็นการสร้างความแตกต่างทาง อรรถรส หรือการฉีกออกมาจาก นวนิยายสั้น หรือนวนิยายธรรมดา มาสู่การอ่านเอาพลอต การเสพรับ เรื่องราว เหตุการณ์สั้นๆ และการน�ำ เสนอตอนจบชนิดคาดไม่ถึง

323


เรื่องสั้นเรื่องแรก กิตติพล สรัคคานนท์

ลับไปเปิดแฟ้มต้นฉบับเก่าๆ ของ ตัวเองแล้วต้องสะดุดใจ เมือ่ พบว่า ข้อเขียนในยุคแรกสุดแทบไม่มี งานประเภท ‘เรื่องแต่ง’ หรือ ‘เรื่องสั้น’ อยูเ่ ลย ทัง้ หมดเกือบจะเป็นเพียง ‘ภาพร่าง ความคิด’ หรือเป็น ‘บทความ’ ประเภทที่ อ่านรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ครั้นเมื่อพินิจพิเคราะห์ข้อเขียน ยุคแรกโดยละเอียด ก็เห็นได้วา่ มีรอ่ งรอย ของความพยายามในการ ‘แต่ ง เรื่ อ ง’ ปรากฏรางๆ ใน ‘เรือ่ งย่อ’ ของบทวิจารณ์ ภาพยนตร์ที่บางชิ้นก็อุตส่าห์อุทิศพื้นที่ หนึง่ หน้ากระดาษในการบอกเล่าเรือ่ งราว และเหตุการณ์ต่างๆ พร้อมทั้งพรรณนา รูปพรรณสัณฐาน การแสดงสีหน้าท่าทาง ของตัวละคร ตลอดจนความรู้สึกนึกคิด

324

จนบางเรือ่ งย่อเกือบจะกลายเป็น ‘เรือ่ งสัน้ ’ ได้เลยด้วยซ�้ำหากไม่นับว่ามันเป็นการ เล่าเรื่องของคนอื่นอีกทอดหนึ่ง เมือ่ ละสายตาจากแฟ้มต้นฉบับเก่าๆ ไปสู่แฟ้มต้นฉบับยุคต่อๆ มาจึงเริ่มเห็น เค้าของ ‘เรือ่ งแต่ง’ หรือ ‘เรือ่ งสัน้ ’ สลับคัน่ อยู่ระหว่างงานเขียนประเภทบทความ หากส่วนใหญ่มักจะด�ำรงคงอยู่ในสภาพ ‘เสีย้ วส่วน’ ทีย่ งั ไม่ได้รบั การประกอบรวม กันเป็น ‘เรื่อง’ เรื่องสั้นแรกสุดที่ค่อนข้างเสร็จสิ้น สมบูรณ์ครบถ้วนดีปรากฏในแฟ้มสีด�ำ ต้นฉบับเขียนด้วยลายมือบรรจงแกมหวัด ความยาวประมาณ 7 หน้ากระดาษ เป็น เรื่ อ งราวของชายหนุ ่ ม ที่ ตื่ น ขึ้ น มาแล้ ว พบว่าดวงตาเกิดความผิดปกติบางอย่าง


เมื่อภาพเบื้องหน้าที่ควรสะท้อนสู่ดวงตา ของชายหนุ่มกลับแสดงภาพจากดวงตา ของหญิงสาวคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จัก เขา ตื่นตะลึงอยู่ครู่ใหญ่ๆ และในความสับสน ฉงนฉงายเขาพยายามขบคิดหาค�ำอธิบาย ว่าเหตุการณ์เหนือธรรมชาตินี้เกิดขึ้นได้ อย่างไร ความคิดทั้งสมเหตุผลและไม่สม เหตุผลหลากไหลออกมากว่า 2 ย่อหน้า ยาวๆ ว่าแต่เขารูว้ า่ เป็นดวงตาของหญิงสาว ได้อย่างไร เขารูไ้ ด้เพราะในย่อหน้าต่อมา เธอได้เดินไปหยุดอยู่หน้ากระจกเงาใน ห้องนอน นานพอให้เขาได้พนิ จิ พิเคราะห์ รูปร่างอันสะโอดสะองและดวงหน้าอัน จิ้มลิ้มพริ้มเพราของเธอ (องค์ประกอบ 2 อย่างหลังนี่เติมเข้าไปใหม่ ของเดิมไม่ได้ บรรยายรูปร่างหน้าตาเอาไว้ คงเป็นแต่ เพียงเสือ้ ผ้า ทรงผม และท่วงท่าอิรยิ าบถ เท่านัน้ ) แน่นอนว่าความผิดปกติดงั กล่าว มิได้เกิดแก่หญิงสาว เพราะเธอยังคงใช้ ชีวิตอยู่ในห้องที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย และสวยงามนั้นอย่างเป็นสุขดี ขณะที่การตื่นขึ้นมามองเห็นภาพใน ดวงตา ‘คนอื่น’ ของชายหนุ่มเปรียบได้ กับ ‘อาการตาบอดชัว่ ขณะ’ เพราะแม้เขา จะมองเห็น แต่กเ็ ห็นในสิง่ ทีไ่ ม่ได้สมั พันธ์

กับเบือ้ งหน้า กล่าวสัน้ ๆ ได้วา่ ณ ขณะนัน้ เขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วตัวเองก�ำลังดุ่มเดิน ไปทางใด หากก็โชคดีตรงทีเ่ ขาอยูใ่ นห้อง ของตัวเอง และภาพในสายตาหญิงสาวก็ เป็นภาพ ณ ขณะปัจจุบัน ไม่ใช่อดีตกาล ความฝัน ความทรงจ�ำ หรือจินตนาการ ลึกล�้ำของเธอ ตั ว ละครชายหนุ ่ ม นึ ก ทบทวนเหตุ ในคืนก่อนราวหนึ่งถึงสองหน้ากระดาษ มีภาพของผูห้ ญิงประหลาดทีม่ าพร้อมกับ จุมพิตสีชอ็ กโกแลตและวงดนตรีทบี่ รรเลง บทเพลงเกี่ยวกับพระจันทร์ปรากฏขึ้น ในความทรงจ�ำ หากสิ้นสุดการร�ำลึกก็ ยังไม่พบค�ำอธิบายหรือเหตุผลเบื้องลึก เบื้ อ งหลั ง ภาวะประหลาดนี้ ชายหนุ ่ ม ตั ด สิ น ใจออกไปหาหญิ ง สาวโดยการ ปะติดปะต่อภาพทีต่ าเธอเห็น และเรือ่ งราว ก็จบลงด้วยการมาพบเจอกันของทั้งสอง และที่นั่นเองดวงตาของเขาได้เริ่มมอง เห็นทุกอย่างเป็นปกติอีกครั้ง เข้าใจว่าเรือ่ งสัน้ เรือ่ งนีไ้ ม่เคยตีพมิ พ์ ที่ใดมาก่อน และนอกจากตัวผู้เขียนแล้ว ก็มีคนหนึ่งหรือสองคนที่ได้อ่านผลงาน ดังกล่าว จ�ำไม่ได้ละเอียดว่าปฏิกริ ยิ าของ ผู้อ่านแต่ละคนในตอนนั้นเป็นอย่างไร หากที่แน่ๆ ก็คือ อุทิศ เหมะมูล หนึ่งใน

325


ผู้อ่านกลับไม่พูดอะไรหลังส่งต้นฉบับคืน เป็นไปได้ทอี่ ทุ ศิ อาจอยากบอกว่า ‘มันเลว ร้ายมาก’ แต่ก็สุภาพเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ย หรือเป็นไปได้ว่าเขาอาจรู้สึกสับสนงุนงง กับโครงเรื่องอันพิลึกพิกล แต่นึกเอาว่า ‘ไม่พดู จะดีกว่า’ ผลตอบรับอันเคลือบคลุม ส่งผลให้เรื่องสั้นแรกถูกตีตรวนคุมขังไว้ ในแฟ้มด�ำนับจากนั้นเป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม เรือ่ งสัน้ เรือ่ งแรกคงไม่ แปลกเกินไปกว่าทีม่ นั เป็น โดยเฉพาะเมือ่ เปรียบกับเรือ่ งสัน้ สมัยใหม่เรือ่ งแรกๆ ใน ประวัติศาสตร์วรรณกรรมไทยที่เกิดมา พร้อมกับ ‘ความเข้าใจผิด’ หรือ ‘ความจงใจ ที่จะเข้าใจผิด’ ของชนชั้นน�ำไทยในเรื่อง สถานะและบทบาทของมัน

เรื่องสั้นไทยสมัยใหม่ เรื่องแรก ไม่ ว ่ า เราจะยกให้ เ รื่ อ ง สนุ ก นิ์ นึ ก (2429) ของกรมหลวงพิชิต เป็นเรื่องสั้น ไทยสมัยใหม่เรือ่ งแรกหรือไม่ สิง่ ที่ ‘แปลก’ ไม่เปลีย่ นแปรไปจากนีก้ ค็ อื ‘ผลกระทบ’ ที่ มีตอ่ ‘ผูอ้ า่ น’ ณ เวลานัน้ คือ ผลงานดังกล่าว ถูกโจษขานถึงการสร้างภาวะสับสนงุนงง ว่าที่แท้แล้ว มันเป็น ‘ความจริง’ หรือ

326

‘ความแต่ง’ กันแน่ ตามที่กล่าวอ้างกันมา สนุกนิ์นึก ได้ ก่อให้เกิดความขุ่นเคืองเบื้องพระยุคล บาทพระบาทสมเด็ จ พระจุ ล จอมเกล้ า เจ้าอยูห่ วั รัชกาลที่ 5 เพราะตัวเนือ้ หา (ทีด่ ู คล้ายเป็นเหตุการณ์จริงนัน้ ) มีการกระทบ เสี ย ดสี บุ ค คลวงในและสถาบั น ศาสนา จนแม้ พ ระองค์ เ องที่ เ คยอ่ า น ‘หนั ง สื อ โนเวลฝรั่ ง ’ มาก่ อ นแล้ ว ยั ง ทรงแคลง พระทัยว่า เรือ่ งราวทัง้ หมดคือการบอกเล่า ‘ความจริง’ เพื่อประสงค์บางอย่างผ่าน ‘ความแต่ง’ โดยเฉพาะ สนุกนิ์นึก ที่ตีพิมพ์ใน วชิรญาณวิเศษ ได้ท�ำให้กรมพระปวเรศ วริยาลงกรณ์ พระสังฆราชแห่งวัดบวร นิ เ วศน์ ใ นขณะนั้ น เสี ย พระทั ย เพราะ ผู้ประพันธ์เลือกเอาวัดบวรนิเวศน์เป็น ฉากหลั ง ทั้ ง ยั ง ก� ำ หนดให้ ตั ว ละคร พระสงฆ์ล้อมวงเสวนากันเรื่องทางโลก พร้อมสอดแทรกข้อวิจารณ์วงการศาสนา เข้าไปอย่างแสบร้อนว่า “ผ้ากาสาวพัตร เป็นที่พึ่งของคนยาก ถึงไม่ท�ำให้ดีก็ไม่ ท�ำให้ฉบิ หาย ไม่ดนิ้ ไม่ขวนขวายแล้วไม่มี ความทุกข์ เป็นที่พักที่ตั้งตัวของผู้แรกจะ ตั้งตัวดังนี้” แม้ ตั ว ผู ้ ป ระพั น ธ์ เ องจะยื น ยั น ว่ า


ทัง้ หมดเป็นเพียงเหตุการณ์สมมติ หรือเป็น การ ‘นึกสนุก’ ขึ้นมา แต่การระบุสถานที่ เวลา หรือบทบรรยายสภาพแวดล้อมที่ ตรงกับความจริงก็ท�ำให้เรื่อง สนุกนิ์นึก ไม่สนุกสักนิดในสายตาของผูเ้ ป็นกษัตริย์ ซึ่ ง หลั ง จากเป็ น ประเด็ น อื้ อ ฉาวก็ ไ ด้ มี พระราชหัตถเลขาถึงกรมพระปวเรศวริยา ลงกรณ์ว่า “หม่อมฉันทราบอยูว่ า่ กรมหลวงพิชติ ท�ำหนังสือนี้ปรารถนาจะท�ำอย่างหนังสือ โนเวลฝรั่งที่แต่งกันนับพันนับหมื่นเรื่อง เป็ น เรื่ อ งคิ ด ผู ก พั น อ่ า นเล่ น พอสนุ ก แต่ เ มื่ อ ว่ า ความจริ ง ผู ้ ที่ จ ะแต่ ง หนั ง สื อ เช่นนัน้ มักจะต้องมีทหี่ มายเทียบกับคนใน ปั จ จุ บั น บ้ า ง แต่ ไ ม่ ไ ด้ ท� ำ ตามความที่ ประพฤติจริงๆ ทุกอย่าง เป็นแต่เก็บเค้าบ้าง ยักเยือ้ งเสียบ้าง จึงจะชวนให้คดิ ในการที่ กรมหลวงพิ ชิ ต แต่ ง หนั ง สื อ ฉบั บ นี้ ที่ ออกชือ่ วัดบวรนิเวศน์นนั้ หม่อมฉันเชือ่ ว่า ไม่ประสงค์จะกล่าวด้วยความจริงทีเ่ ป็นอยู่ ในบัดนี้ ถ้าการที่เป็นล่วงเกินแล้ว แต่ถึง หม่ อ มฉั น จะไม่ ไ ด้ นึ ก สงสั ย ยิ น ร้ า ยวั ด บวรนิเวศน์ประการใดเพราะได้อา่ นหนังสือ ฉบับนี้ก็จริง แต่คนทั้งปวงเป็นอันมากที่ ไม่ได้เคยอ่านโนเวลฝรั่ง คงจะหมายว่า หนั ง สื อ พิ ม พ์ แ ล้ ว คงจะกล่ า วถึ ง การที่

ผู้แต่งนั้นทราบมาตามความจริง แต่ง เฉพาะหาความให้ ค นยิ น ร้ า ยตามค� ำ ตัวพูด ไม่เข้าใจได้ว่าผู้แต่งรู้ตัวแลตั้งใจ ให้คนอื่นทราบว่า หนังสือที่ตัวแต่งนั้นไม่ แต่งส�ำหรับให้คนอืน่ เชือ่ ว่าเป็นความจริง เป็นแต่จะให้อ่านสนุกเท่านั้นดังนี้ได้” แปลความอีกชัน้ หนึง่ ได้วา่ รัชกาลที่ 5 ทรงเห็นว่า สนุกนิ์นึก นั้นแม้จะเป็นมีพื้น เป็นเรื่องแต่ง แต่ก็แหกขนบฝรั่งและเล่า ตามที่มนุษย์ ‘ประพฤติจริงๆ’ หรือไม่ ‘ยักเยือ้ ง’ มากพอจึงไม่ชวนให้คดิ แต่ชวนให้ เชือ่ ว่าเป็น ‘เรือ่ งจริง’ ส�ำหรับคนไทยทีไ่ ม่ รูจ้ กั โนเวลฝรัง่ ซึง่ แน่นอนว่า ข้อวิจารณ์นี้ ไม่อาจนับได้ว่าเป็น ‘ความจริง’ อีกแล้ว ส� ำ หรั บ การเขี ย นเรื่ อ งสั้ น หรื อ งาน ประพันธ์สมัยปัจจุบนั (ทีค่ วามสมจริงเป็น คุณค่าและกลวิธีการน�ำเสนอที่กระท�ำได้ ไม่ใช่ในทางตรงข้าม) แต่เมือ่ พิจารณาผ่าน บริ บ ทความคิ ด ของยุ ค นั้ น ก็ จ ะเห็ น หรื อ เข้ า ใจได้ ทั น ที ว ่ า ปั ญ หาที่ เ กิ ด แก่ สนุกนิน์ กึ ไม่ได้มาจากการที่ ‘ผูอ้ า่ น’ สับสน ระหว่าง ‘ความแต่ง’ กับ ‘ความจริง’ แต่ อย่างเดียว เพราะเงื้อมเงาปัญหาได้แผ่ ขยายปกคลุมเหนือตัวเรื่องเล่าดังกล่าว คือ ความไม่สามารถใช้ปญ ั ญาและเหตุผล วิพากษ์วจิ ารณ์ หรือใช้วธิ ที างวรรณกรรม

327


แสดงความคิดเห็นทางการเมือง ศาสนา หรื อ ใดๆ ภายใต้ ร ะบอบการเมื อ งการ ปกครองที่เป็นอยู่ (หากไม่ใช่คนในบังคับ ต่างชาติ หรือถือสัญชาติอื่นการจะเขียน อะไรเกี่ยวแก่บุคคลวงในหรือชนชั้นสูงก็ มักจะต้องระแวดระวังตัวอย่างมาก) ความไม่ พ อพระทั ย ของกรมพระ ปวเรศวริยาลงกรณ์ หรือรัชกาลที่ 5 ก็ดี ล้วน เป็นผลมาจากเรือ่ งสัน้ สนุกนิน์ กึ ท�ำหน้าที่ เกินเรื่องอ่านเล่นธรรมดา จนเข้าข่าย งานเสียดสีวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งแน่นอนว่า เป็น ‘ภัยใหม่’ จากตะวันตกทีเ่ ข้ามาท้าทาย ทดสอบอ�ำนาจ/ความรู้ของชนชั้นน�ำเดิม เรื่ อ งสั้ น อื้ อ ฉาวลงเอยด้ ว ยการที่ กรมหลวงพิชติ หยุดเขียน สนุกนิน์ กึ ต่อ ซึง่ ก็ ท� ำ ให้ ผ ลงานที่ ยั ง ขาดความสมบู ร ณ์ (จนระบุ บ อกไม่ ไ ด้ ว ่ า เป็ น เรื่ อ งสั้ น หรื อ นวนิยาย) กลาย ‘เส้นแบ่ง’ หรือ ‘รอยเลือ่ น’ ระหว่ า งเรื่ อ งสั้ น จากโลกสมั ย ใหม่ กั บ นิทานจากโลกใบเก่า

328

ประวัติศาสตร์สั้น ของเรื่องสั้น ส�ำหรับโลกตะวันตกแล้ว ‘เรื่องสั้น สมัยใหม่’ ถือว่ามีต้นก�ำเนิดขึ้นอย่างเป็น ทางการในช่วงรอยต่อระหว่างศตวรรษที่ 18-19 โดยส่วนหนึ่งได้รับอิทธิพลมาจาก งานจ�ำพวกนิทาน เรือ่ งเล่าสัน้ ๆ เช่น Decameron ของบอกกัจโจ (Boccaccio) หรือ Canterbury Tales ของโจฟฟรีย์ โชเซอร์ (Geoffrey Chaucer) ซึ่งแพร่หลายมาแต่ ศตวรรษที่ 14 การเขียน ‘เรือ่ งสัน้ ’ ในฐานะเรือ่ งแต่ง ร้อยแก้วที่สั้นกว่านวนิยายสั้น (Novella) เริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้นในช่วงกลาง ของศตวรรษที่ 19 โดยเฉพาะตามหน้า นิตยสารและสิ่งพิมพ์ต่างๆ ทั้งฟากฝั่ง ยุโรปและอเมริกา เรื่องสั้นสมัยใหม่ใน ช่วงต้นมักถูกเขียนขึ้นแนวขนบเรื่องเล่า แบบโกธิค (Gothic) อย่างเช่นในอังกฤษ The Poisoner of Montremos (1791) ของ ริชาร์ด คัมเบอร์แลนด์ (Richard Cumberland) ก็มีลักษณะเป็นเรื่องเล่าแนว เขย่าขวัญ ไฮน์ริค ฟอน ไคลสท์ (Heinrich von Kleist) และฮอฟมันน์ (E. T. A. Hoffmann)


ถือเป็นสองนักเขียนจากเยอรมันที่มีการ จัดพิมพ์งานรวมเรื่องสั้นเป็นเล่มออกมา เป็นครั้งแรกๆ ในประวัติศาสตร์หนังสือ คงไม่ผดิ นักหากจะกล่าวว่า ‘เรือ่ งสัน้ สมัยใหม่’ ก�ำเนิดขึน้ ในฐานะของการเขียน ‘แนวใหม่’ ทีจ่ ะมองว่าเป็นการสร้างความ แตกต่างทางอรรถรส หรือการฉีกออกมา จากนวนิยายสั้น หรือนวนิยายธรรมดา สู่การอ่านเอาพลอต การเสพรับเรื่องราว เหตุการณ์สั้นๆ และการน�ำเสนอตอนจบ ชนิดคาดไม่ถึง เช่นกรณีเรื่องสั้นสืบสวน สอบสวนของเอ็ดการ์ อัลแลน โพ (Edgar Allan Poe) ในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ปฏิเสธไม่ได้ว่าความแปลกใหม่ของ ‘เรื่องสั้น’ ย่อมสร้างความคลางแคลงใจ หรืออคติแก่นักเขียนนวนิยายในเวลานั้น ว่า เป็นงานเชิงพาณิชย์ เช่น เฮอร์แมน เมลวิ ล ล์ (Herman Melville) ผู ้ เ ขี ย น Moby-Dick ก็ยอมรับว่าเรื่องสั้นของเขา เป็นงานเขียนรับจ๊อบระหว่างการประพันธ์ นวนิยาย ส�ำหรับเมลวิลล์หรืออีกหลายคน แล้วการประดิษฐ์เรื่องสั้นเรื่องหนึ่งขึ้นมา ไม่ต้องอาศัยความประณีตพิถีพิถันมาก เท่ากับนวนิยาย ดังนัน้ ถ้าจะเปรียบคุณค่า ระหว่างงานสองประเภทย่อมจะเทียบกัน มิได้ (งานเช่น Bartleby, the Scrivener

หรือ Benito Cereno ของเมลวิลล์ที่ได้ รับการยกย่องว่าเยี่ยมยอดส่วนใหญ่ก็ เข้าข่ายนวนิยายสั้นมากกว่าเรื่องสั้น) การก�ำเนิด ‘เรื่องสั้นสมัยใหม่’ ใน โลกตะวันตกจึงไม่สร้างความขัดแย้งหรือ สับสนเรื่องว่ามันเป็น ‘ความแต่ง’ หรือ ‘ความจริง’ มากเท่ากับคุณค่าทีบ่ รรจุอยูใ่ น งานเขียนประเภทนี้ ซึง่ แน่นอนว่านักเขียน ชาวรัสเซียอย่างนิโคไล โกกอล (Nikolai Gogol) อันตอน เชคอฟ (Anton Chekhov) หรือกระทัง่ นักเขียนอเมริกนั ผูล้ อื นามอย่าง เออร์เนส เฮมิงเวย์ (Ernest Hemingway) ก็ได้พิสูจน์ให้เราเห็นว่า เรื่องสั้นสามารถ เล่ า และแสดงศิ ล ปะที่ ยิ่ ง ใหญ่ ไ ด้ ไ ม่ แ พ้ นวนิยาย หรือนวนิยายสั้น เมือ่ ย้อนกลับมาพิจารณาปีทเี่ รือ่ งสัน้ สนุกนิ์นึก ตีพิมพ์ออกมา (พ.ศ. 2429) โลกตะวันตกตอนนั้นได้ย่างเข้าสู่ปลาย ศตวรรษที่ 19 ซึ่ง ‘เรื่องสั้น’ ที่ก�ำลังทรง อิทธิพลมีตงั้ แต่งานของกีย์ เดอ โมปัสซ็อง (Guy de Maupassant) จากฝรัง่ เศสไปจน ถึงเรือ่ งสัน้ หักมุมของโอ. เฮนรี (O. Henry) จากสหรัฐอเมริกา ซึง่ แน่นอนว่าปัญหาเรือ่ ง ‘ความแต่ง’ หรือ ‘ความจริง’ ได้ข้ามเลย ไปสู่การถกเถียงกันเรื่องของคุณค่าและ การแสดง ‘ความเป็นจริง’ ว่าควรจะผ่าน

329


การสร้างโลกภายนอกตัวละคร หรือควร ของ สนุกนิ์นึก มาใช้ ณ ที่นี้ว่า ‘เรื่องคง จะย้อนศรกลับไปซึมแทรกสูก่ ระแสส�ำนึก มีต่อไป’ ภายในเช่น กรณีของเจมส์ จอยซ์ (James Joyce) เวอร์จิเนีย วูล์ฟ (Virginia Wolf) หรือมาร์แซ็ล พรุสต์ (Marcel Proust) เป็นที่น่าเสียดายว่า พัฒนาการของ เรื่องสั้น และความเปลี่ยนแปลงในห้วง ส�ำคัญของโลกตะวันตกไม่ได้ถกู ชนชัน้ น�ำ ทางปัญญาของไทยน�ำมาถ่ายทอด หรือ บอกเล่าผ่านโลกตัวอักษรเลย ทั้งที่การไล่ ตามแฟชัน่ วรรณกรรมประโลมโลกย์ หรือ งานประเภทสืบสวนสอบสวนแทบจะไม่ หนีห่างกันไกลเท่าใดนัก เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะสรุปอย่างที่ นักสังคมวิทยาท่านหนึ่งได้วิเคราะห์ไว้ เมื่ อนานมาแล้ วว่า ชนชั้น น�ำไทยชอบ ไต่ตามกระแสก็จริงอยู่ แต่ถ้าเป็นกระแส ทางความคิดทีล่ กึ ล�ำ้ เกินกว่าจะน�ำมา ‘เล่น’ หรือ ‘สะสม’ แล้ว กระแสนั้นก็จะไม่อยู่ใน ความสนใจ ดังนั้นจุดก�ำเนิดของเรื่องสั้น และนวนิยายไทยจึงเป็นไปในทางการผลิต เพื่อ ‘อ่านเล่น’ บันเทิงอารมณ์มากกว่า ประเทืองความคิดความรู้ ความขาดพร่องนี้ ยังคงร่องรอยมาถึงปัจจุบัน ส่วนจะถาม ว่าประวัติศาสตร์เรื่องสั้นร่วมสมัยจะเป็น อย่างไรต่อไปนัน้ คงต้องขอยืมค�ำทิง้ ท้าย

330


331


พุทธิพงศ์ อึงคนึงเวช

กานน นุชดอนไผ่

ลอดออกมาสัมผัสผิวโลกวันที่ 10 มิถุนายน 2536 ในขณะที่ประเทศไทยผ่านประสบการณ์ การบุกเบิกด้านต่างๆมาพอสมควรแล้ว และ ก�ำลังจะถูกถาโถมด้วยยุคแห่งนวัตกรรม หลัง จากเกิ ด ออกมาจึ ง มั ก จะถู ก ตราหน้ า ว่ า เป็ น ‘คนรุ่นใหม่สมองกลวง’ แต่ไม่เคยเถียงเพราะ อาจเป็นความจริง ก�ำลังศึกษาอยู่คณะที่เกี่ยว กับภาษาและมนุษยศาสตร์ทมี่ หาวิทยาลัยแห่ง หนึง่ ในกรุงเทพฯ อยูใ่ นระหว่างการเคีย่ วกร�ำตัว เองอย่างต่อเนือ่ งบนเส้นทางตัวอักษร ใฝ่ฝนั จะ เป็นศิลปินแห่งชาติ(นี้) หากพอจะมีความเป็น ไปได้อยู่บ้าง นอกจากนี้แล้วยังอยากเป็นอย่าง อืน่ อีกมาก ตัง้ แต่ผเู้ ชีย่ วชาญด้านการสะบัดโรตี ไปจนถึงเจ้าของบุ๊คโมบี้ ส�ำนักพิมพ์ไต้ฝุ่น และ ส�ำนักพิมพ์พันหนึ่งราตรี

เกิดวันที่ 25 เดือนพฤษภาคม 2530 จบการ ศึกษาจากวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัย มหิดล สาขาดนตรีปฏิบัติ เอกกีต้าร์คลาสสิค ปัจจุบันเรียนมหาวิทยาลัยรังสิต เอกทฤษฏี ดนตรี แ ละเป็ น ครู ส อนกี ต ้ า ร์ เติ บ โตมาใน ครอบครัวไทยแท้ (เสี้ยวจีน) ที่มีเสียงเพลง คลาสสิคของพ่อคลอเคลียอยู่ไม่ห่างหูและข้าว เหนียวสังขยาของย่าอยูไ่ ม่หา่ งพุง หลังจากพบ กับผลงาน ฝนตกตลอดเวลา ของปราบดา หยุน่ ก็ทำ� ให้เปลีย่ นความคิดเกีย่ วกับวรรณกรรมไทย ไป (จ๊าบจริงๆ) และช่วยกระตุ้นให้อยากลอง เขียนและเริ่มต้นการเขียนงานอย่างจริงจังใน เวิร์คช็อปครั้งนี้


ตติยาภรณ์ เกสรทอง

นิภาภรณ์ แสงสว่าง

“การค้นหาตัวตนของฉันได้สนิ้ สุดลงแล้ว” ก่อน จะมาเข้าร่วมโครงการนี้ มุกก็เหมือนกับคนอืน่ ๆ ที่อยู่ในวัยเบญจเพสที่ใช้ชีวิตอยู่ในวังวนของ การค้นหา ในความกระหาย ความสงสัย และ ความฝัน สงสัยว่าเราเป็นใคร ชอบท�ำอะไร อยาก เดินไปทางไหน สมัยยังเป็นเด็กนักเรียนประถม จวบจนชั้ น มั ธ ยม สิ่ ง หนึ่ ง ที่ จ� ำ ได้ ดี เ กี่ ย วกั บ ตั ว เองคื อ ความรั ก ในการออกความคิ ด เห็ น และการแสดงออก ในตอนนั้นความคิดที่อยาก เป็นนักเขียนไม่มีอยู่แม้แต่น้อย เพราะความ เขลาในวัยเยาว์ท�ำให้คิดว่าการเขียนไม่ส�ำคัญ เพราะความคิดของเราพูดออกมาได้ แต่เมื่อ พ้นรั้วโรงเรียนออกมาก็พบว่าการเขียนนั้นคือ อิสรภาพทีแ่ ท้จริงอย่างเดียวทีห่ ลงเหลืออยู่ แม้ จะไม่เต็มร้อย แต่ก็ดีกว่าไม่มีเลย และการค้น พบนั้นก็คือจุดเริ่มต้นของการค้นหาที่เกิดขึ้น เมื่อไม่นานมานี้

บ้านเกิดอยูจ่ งั หวัดสุพรรณบุรี ผูกพันกับสายน�ำ้ ชอบนั่งดูทุ่งนา เวลาว่างวิ่งตามผีเสื้อ ชีวิตใน วัยเด็กสุขส�ำราญ โตขึ้นมาชอบท�ำงานสบาย คิดและเขียนเลี้ยงชีพ ..เดินทางบนเส้นทางกึ่ง ฝันกึ่งจริง..รักชีวิตทุกวันนี้พอๆ กับเมื่อตอน อายุ 9 ขวบ ..


พาขวัญ ปัญญาโตนะ

ธมลวรรณ บรรจงเกลี้ยง

เกิดวันฉัตรมงคล ปี 2535 อายุเพิ่งน�ำหน้า ด้วยเลขสองได้ไม่นานนัก ปัจจุบันเรียนอยู่ที่ มหาวิทยาลัยมหิดล คณะศิลปศาสตร์ หลงรัก การอ่านหนังสือมาตั้งแต่เด็กและหลงรักเสน่ห์ ของการเขียนเมื่อเติบโต ถูกสอนมาให้ใช้ชีวิต ให้คุ้มค่าและสนุกที่สุดจึงเพิ่มการเดินทางมา เป็นอันดับสองของสิง่ ทีร่ กั ความฝันของชีวติ คือ การมีหนังสือของตัวเองสักหลายๆเล่ม และเดิน ทางรอบโลกสักครัง้ การเข้าร่วมเวิรค์ ช็อปครัง้ นี้ เป็นประสบการณ์ที่เป็นก้าวส�ำคัญอีกครั้งหนึ่ง ของชีวิต ขอขอบคุณทุกๆคนที่มาช่วยเติมเต็ม กันในครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นประสบการณ์ ความ ช่วยเหลือ ความละเอียดอ่อน ความหวัง ก�ำลัง ใจและ... ความรัก (ส�ำหรับผู้อ่านที่รัก) มีคน เคยกล่ า วไว้ ว ่ า ระหว่ า งที่ คุ ณ อ่ า นคุ ณ จะพบ ตัวตนที่อยู่ระหว่างบรรทัด และความรักที่อยู่ ระหว่างถ้อยค�ำ ลมหายใจของคนเขียนจะสัมผัส ได้ในตัวอักษรของเรือ่ งราว...เช่นนัน้ แล้ว เราคง กล่าวค�ำว่า ‘ยินดีทไี่ ด้รจู้ กั ’ ต่อกันไปแล้วกระมัง

เกิดวันที่ 13 มิถุนายน 2537 ภูมิล�ำเนาเดิม อยู่ที่อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ปัจจุบันอาศัยอยู่ใน อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ก�ำลังศึกษาอยู่ในระดับ มัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสารสาสน์วิเทศ บางบอน ขีดเขียนงานช่วงแรกๆในมัธยมต้น และยังคงขีดเขียนงานต่อไปเรือ่ ยๆพ่วงกับการ สะสมหนังสือ (แม้บางครัง้ จะคิดอะไรไม่ออกเลย ก็ตาม) หลงใหลในเรื่องของกาลเวลาเป็นอย่าง มากโดยเฉพาะอดีต พยายามอยู่กับปัจจุบัน และฝันเฟื่องถึงเรื่องราวในอนาคต


ธนาคาร จันทิมา

อริสา แสงเป่า

เจ้าของเรือ่ ง เชิงอรรถ มีชอื่ สัน้ ว่า แบงก์ บันดาล ใจจากชื่อจริง ธนาคาร นามสกุล จันทิมา (ส่วน ตัวชอบเขียนชื่อว่าทะนาคานมากกว่าแต่ยัง เกรงใจแม่อยู)่ ขณะนีอ้ ายุเข้าปีที่ 25 แล้ว เริม่ นับ จากวันที่ 23 เมษายน 2530 (วันที่ 113 ของปี) wikipedia ว่าเกิดวันเดียวกับวิลเลียม เช็คสเปียร์ กวีชอื่ คุน้ และนายแพทย์มโิ นรุ ชิโนตะ ชาวญีป่ นุ่ ผู้คิดค้นเครื่องดื่มยาคูลท์ เลยนึกฝันไปเองว่า คงจะเอาดีทางขีดเขียนจินตนาการได้หรอกน่า หลายปีมานี้จึงเอาแต่ดูดดื่มศิลปะ หนังสือและ ภาพยนตร์เป็นอาหารหมู่ที่ 6 เสมอมา

ชื่ อ อริ ส าได้ ม าจากการสมาธิ ช นสนธิ เ ชื่ อ ม ระหว่างชื่อคุณพ่อคุณแม่ ออกมามีความหมาย เก๋ไก๋วา่ ผูเ้ ป็นใหญ่เหนือศัตรู ปัจจุบนั ก�ำลังเกาะ เลขสิบเก้าไว้ทงั้ น�ำ้ ตาเพราะใกล้จะเหยียบอย่าง ยี่ สิ บ เมื่ อ วั น ที่ 1 7 กั น ยายน มาเยื อ น ศึ ก ษา อยู ่ ค ณะศิ ล ปศาสตร์ สาขาวิ ช าภาษาไทย มหาวิทยาลัยมหิดล มีใจรักงานเขียนตั้งแต่ตัว กะเปี๊ยก แม้ฝีมือจะไม่มาก แต่หัวใจที่รักใน คุณค่าตัวหนังสือก็มีล้นกะละมังนะเออ :)


จิดาภา บางนาชาด

วรฐิติ มโนสร้อย

จิดาภา บางนาชาด เกิด 7 สิงหา 2535 เป็นคน กรุงเทพฯ เพราะเกิดทีก่ รุงเทพฯและส่วนใหญ่โต ในกรุงเทพฯ เรียนหนังสือทีก่ รุงเทพฯจนจบชัน้ มัธยมปลาย เข้าศึกษาทีม่ หาวิทยาลัยชือ่ ดังย่าน ศาลายา เรียนได้ไม่ถงึ หนึง่ ปี เปลีย่ นใจอยากไป เป็นสาวเหนือ หนึง่ วันก่อนเดินทางมีเหตุการณ์ ที่ท�ำให้ไม่สามารถไปเป็นสาวเหนือได้ จึงยังคง ต้องเป็นสาวกรุงเทพฯต่อไป ปัจจุบนั ก�ำลังศึกษา อยู่ชั้นปี 1 คณะมนุษยศาสตร์ ภาควิชาปรัชญา มหาวิทยาลัยรามค�ำแหง พยายามสร้างงานเขียน ของตนเอง และร่วมสร้างสรรค์งานภาพยนตร์ กั บ เพื่ อ นร่ ว มที ม อยู ่ เ ป็ น นิ จ (หรื อ นิ ต ย์ ? ) หนูอยากได้รางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรม

เกิดทีจ่ งั หวัดเชียงใหม่ จบการศึกษาขัน้ ประถม และมัธยมจากโรงเรียนมงฟอร์ต และปริญญาตรี จากคณะวิศวกรรมศาสตร์สาขาคอมพิวเตอร์ จุ ฬ าลงกรณ์ ม หาวิ ท ยาลั ย เล่ น ดนตรี แ ละ วาดภาพเป็นงานอดิเรก หลงรักการอ่าน เชือ่ มัน่ ในพลั ง ของการเล่ า เรื่ อ งเริ่ ม ลองเขี ย นงาน หลากหลายประเภทขณะก�ำลังศึกษาอยู่ชั้นปี ที่สาม ในปี 2010 ได้รับรางวัลชนะเลิศ Young Thai Artist Award สาขาวรรณกรรมจากเรื่อง Good Morning Sunshine และรางวัล Special Mention ในการประกวด Thailand Script Project จากบทภาพยนตร์เรื่อง I Love You For Sentimental Reasons


นรวีร์ สังข์เผือก

สิรี จิตตรีกวีผล

เกิดและเติบโตในเมืองนนท์ตั้งแต่ พ.ศ. 2531 สนใจเทคโนโลยี เ ลยเลื อ กเรี ย นวิ ศ วกรรม คอมพิ ว เตอร์ ที่ ม หาวิ ท ยาลั ย เกษตรศาสตร์ ปัจจุบันท�ำงานเป็นวิศวกร และฝันว่าอยากจะ มีหนังสือที่มีชื่อของตัวเองเป็นผู้แต่งสักเล่ม สองเล่มคงจะดีไม่น้อย ซึ่งน่าจะเป็นปฏิกิริยา ต่อเนือ่ งจากการเผาผลาญเวลาว่างส่วนใหญ่ใน วัยเด็กไปกับการอ่านหนังสือ บวกกับชอบเล่น เกมภาษา งานอดิเรกคือการกดปุม่ เพือ่ ฟังเสียง ฉึบฉับของม่านชัตเตอร์

เกิด 7 กุมภาพันธ์ 2532 ตั้งแต่เล็กจนโตเติบโต ที่เมืองไทย พยายามเรียนจนจบมหาวิทยาลัย ศรี น คริ น ทรวิ โ รฒ แล้ ว ยั ง คงพยายามเรี ย น ต่อไปที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นคนน่ารัก น่าร�ำคาญ น่าหมัน่ ไส้ ขีเ้ บือ่ ขวางโลก ขยันนอนดึก ขี้เกียจตื่นเช้า ไม่หมิ่นเงินน้อย แต่กลัวไม่มีเงิน ดีมาดีไป ร้ายมาร้ายไป รักใครรักจริง ทิ้งจริง เจ็บจริง ไม่มีอะไรที่ท�ำไม่ได้ มีแต่ไม่ได้ท�ำ


มัธวรรณศ์ สุจริตธนารักษ์

ณวรา หิรัญกาญจน์

ประวัติชีวิตเรายังมีความยาวอยู่แค่ขนาดของ เรื่องสั้น เราเกิดแถวตะเข็บป่าริมทะเลใต้ เป็น ลูกที่ไม่มีพี่น้องมาจนถึงปัจจุบัน แม่เลี้ยงให้โต มาด้วยการอ่านหนังสือ อาจจะด้วยสาเหตุพวก นี้ท�ำให้ชอบคิดสถานการณ์สมมติไว้เล่นคน เดียวอยูเ่ สมอๆ และจะว่าไปแล้วก็เป็นคนโชคดี ทีม่ พี อ่ แม่เข้าอกเข้าใจ จนหลายครัง้ เหมือนรูท้ นั ไปหมดทุกเรื่อง พอโตขึ้นมาหน่อยก็หลงใหล ผู้คน/เรื่องราว/สถานการณ์ที่แปลกประหลาด เพราะมันช่วยเติมรายละเอียดสีสนั้ และยืดชีวติ สั้นๆให้ยาวขึ้น ตอนนี้มีชีวิตที่สุขบ้างเศร้าบ้าง กับเพื่อนๆในเมืองใหญ่ เหมือนที่โลกหมุนไป ด้วยกลางวันและกลางคืน เราไม่เกี่ยงว่าชีวิต ตัวเองจะเป็นเรื่องที่จะมีความยาวเท่าไหร่ แต่ ขอให้เต็มไปด้วยรายละเอียดแปลกประหลาด น่าจดจ�ำก็พอแล้ว.

ใช้เวลาว่างส่วนใหญ่หมดไปกับการ์ตนู หนังสือ ภาพยนตร์ ขนม และจักรเย็บผ้า ชอบออกไป เดินเล่น หลงใหลบรรยากาศช่วงเย็น จนถึง กลางคื น นอนน้ อ ย พู ด น้ อ ย ขี้ อ าย แต่ ถ ้ า บรรยากาศเป็นใจและงานพาไป ก็อาจคุยกับ คนแปลกหน้าได้อย่างไม่ขัดเขิน


อาริยา เทพรังสิมันต์กุล

ฆนาธร ขาวสนิท

เกิด 8 เมษายน 2536 ก�ำลังศึกษาอยู่คณะ ศิลปกรรมศาสตร์ สาขาการละคอน มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ รักการท�ำละครเป็นชีวิตจิตใจ แต่ ก็แอบมีใจให้กับงานวรรณกรรม รักการอ่าน หนังสือมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ก็อ่านจบเล่มแค่ไม่กี่ เรือ่ ง ยังไม่เคยเขียนงานวรรณกรรมอย่างจริงจัง มาก่อนสักชิ้น จนกระทั่งได้เจอกับโครงการ ‘Bangkok Creative Writing Workshop’ จึง เริม่ หลงใหลการเขียนและการอ่านเรือ่ งสัน้ อย่าง ถอนตัวไม่ขึ้น สนใจและชื่นชอบผลงานของ Virginia Woolf และ Beatrix Potter เป็นพิเศษ หรืองานเขียนใดๆก็ตามที่เกี่ยวข้องกับสัตว์

ชื่อ: นายฆนาธร ขาวสนิท เบอร์โทร: 0873840596 อีเมล: k.kanatorn@gmail.com อายุ: 23 ปี วัน/เดือน/ปีเกิด: 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531 ภูมิล�ำเนา: จังหวัดนครศรีธรรมราช การศึ ก ษา: ศิ ล ปกรรมศาสตรบั ณ ฑิ ต มหาวิทยาลัยศรีนครรินทรวิโรฒ (ประสานมิตร) ปัจจุบนั : เป็นนักเขียน และนักวาดภาพประกอบ อิสระ


เจษฎ์ เลิศเจียมรัตน์

เกศกนก อ่างเหล็ก

เป็นชายหน้าตาธรรมดานิสัยธรรมดาคนหนึ่ง มีจุดเด่นในความเลื่อนลอยของร่างไร้วิญญาณ ร�่ ำ เรี ย นสายวิ ท ย์ ม า ปั จ จุ บั น ก็ ท� ำ งานที่ เ ห็ น ตัวเลขมากกว่าตัวอักษร ดันอุตริวาดฝันอยาก จะเขียนหนังสือให้ได้ดิบได้ดี แต่การเป็นหนึ่ง ในผู้แต่งรวมเรื่องสั้นเล่มนี้ก็ตายตาหลับแล้ว

เกิดวันที่ 5 ธันวาคม พศ.2536 โตมาในครอบ ครัวใหญ่ๆ ครอบครัวหนึ่งที่จังหวัดราชบุรี จบ การศึกษาชั้นมัธยมต้นและปลายจากโรงเรียน เบญจมราชูทศิ สายศิลป์-ภาษาจีน เป็นคนชอบ อ่านหนังสือทุกชนิด โดยเฉพาะวรรณกรรมและ นวนิยาย เริม่ ขีดเขียนมาเรือ่ ยๆ ตัง้ แต่อยูม่ ธั ยม ต้นแม้ผลงานจะยังไม่ดีในตอนนั้น แต่ก็ยังมี ความมุ่งมั่นอย่างมากที่จะเป็นนักเขียนและนัก แปลทีด่ ี ปัจจุบนั ก�ำลังศึกษาต่อในระดับปริญญา ตรี คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เพือ่ สานต่อความมุง่ มัน่ ในการทีจ่ ะเป็นนักเขียน และนักแปลต่อไป


พุทธพงษ์ เจียมรัตตัญญู

ณัฐนิช เศรษฐสกล

เกิดและเติบโตที่ จังหวัดประจวบคีรขี นั ธ์ ตัง้ แต่ ปี พ .ศ. 2529 เรี ย นจนจบปริ ญ ญาตรี ที่ มหาวิทยาลัยศิลปากร (ทับแก้ว) เพิ่งเริ่มสนใจ โลกวรรณกรรมในช่วงสุดท้ายของการเรียน หลังเรียนจบ จึงคิดอยากหางานท�ำในวงการ หนังสือ แต่กลับเคยได้เป็นเพียงแค่พนักงาน พิ สู จ น์ อั ก ษรวารสารเชิ ง วิ ช าการฉบั บ หนึ่ ง ปัจจุบัน ท�ำงานอยู่ที่ หอภาพยนตร์ (องค์การ มหาชน) ยังคงสนใจโลกวรรณกรรมอยู่เสมอ และพยายามคิดๆ เขียนๆ อะไรให้ได้เป็นชิน้ เป็น อันออกมา

เกิด 27 มีนาคม 2536 ปัจจุบนั รับจ้างเรียน เสพ สมอารมณ์หมายกับต�ำรา แถวคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (รังสิต) ตอนนี้ขึ้น ปี ส องแล้ วไม่ มี ค วามสามารถพิ เศษ โง่ นิด ๆ เพี้ ย นหน่ อ ยๆ การเขี ย นไม่ ใ ช่ ง านอดิ เ รก แต่เป็นยาอายุวัฒนะส�ำหรับชีวิต


หนังสือรวมเรื่องสั้นและบทความโดยนักเขียนและวิทยากรผู้เข้าร่วมการอบรม ค่ายเขียนงานสร้างสรรค์กรุงเทพมหานคร ครั้งที่ 1 เสาร์ที่ 28 เมษายน - เสาร์ที่ 9 มิถุนายน 2555

วิทยากรรับเชิญ ธเนศ วงศ์ยานนาวา วินทร์ เลียววาริณ วาด รวี วรพจน์ พันธุ์พงศ์ อุทิศ เหมะมูล ซะการีย์ยา อมตยา วิทยากรหลักของค่าย กิตติพล สรัคคานนท์ และ ปราบดา หยุ่น ออกแบบ Bookmoby Design บันทึกการอบรมและถ่ายภาพ สิทธิเดช หนูห่วง ฝ่ายประชาสัมพันธ์ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร

หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร 939 ถนนพระราม 1 แขวงวังใหม่ เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 โทรศัพท์ 02 214 6630-8 โทรสาร 02 214 6639 www.bacc.or.th เวลาท�ำการ : อังคาร–อาทิตย์ (หยุดวันจันทร์) 10.00-21.00 น.


พิมพ์ครั้งแรก มิถุนายน 2555 สงวนลิขสิทธิ์ มูลนิธิหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร และ บุ๊คโมบี้

Bookmoby Co., Ltd. 59/1 ซอยพร้อมพงศ์ (สุขุมวิท 39) ถนนสุขุมวิท คลองตันเหนือ วัฒนา 10110 โทรศัพท์ / โทรสาร 02 261 7884 www.bookmoby.com contact@bookmoby.com l facebook.com/bookmoby



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.