เรื่องเล่า สยองขวัญ!! จากประสบการณ์จริง The story of the ghost. You must read.
Ghost stories.
คำ�นำ� ในวันๆหนึ่ง คุณเคยถามตัวเองหรือไม่ว่าสิ่งต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของคุณนั้น สิ่งใดคือความจริง สิ่งใด คือความหบอกลวง เหตุการณ์นี้อาจเกิดขึ้นกับใครบางคน ซึ่งใคร หลายๆคน อาจจะไม่รับรู้และอาจจะไม่รู้จักผู้ที่พบเจอ กับมันด้วยซ้ำ�ไป วิญญาณ ผี ฯลฯ ทุกๆสิ่งนั้นมีจริง อยู่ที่ ว่าคุณเชื่อว่าคุณมองเห็นพวกเขาหรือไม่ หรือพวกคุณ คิดไป ในหนังสือเล่มนี้คือเป็นประสบการณ์จริงของบุคคล แต่ละคนที่พวกเขาได้เล่าเรื่องราวมาจากประสบการณ์ จริงของพวกเขาเอง และนอกจากนี้ผู้อ่านยังได้เห็นถึง ประสบการณ์จริงของแต่ละคนที่พบพวกเขาได้เล่าเรื่อง ราวออกมาเป็นคำ�พูดของเขาเอง โดยการนำ�เอาเรื่อง ราวต่างๆมาเรียบเรียงในหนังสือเล่มนี้
สารบัญ ผีหน้าวัด 1-3 คืนเขย่าขวัญ 4-7 สะพานนรก 8-11 บ้านมรณะ 12-15 คืนเปลี่ยว 16-19 บรรณานุกรม 20
1
ผีหน้าวัด
2 “หลานหมวย” เล่าเรื่องขนหัวลุกจากวัดอินทาราม หนูเป็นเด็กวัดกลางค่ะ หรือวัดอินทาราม ที่มีรูพระเจ้าตากสินทรง ม้าอยู่เหนือประตู ก่อนถึงวัดกลางจะเป็นวัดเวฬุฬาชิน ถ้าเลยบ้านหนูไปคือ วัดจันทราราม หนูถึงได้ยินพวกผู้ใหญ่ท่านเรียกว่าวัดกลางไงคะ เรื่องนี้ แปลกอย่างค่ะ เพราะพวกญาติๆหนูแถวภาษีเจริญเขาบอกไม่ใช่หรอกพวก เขาเรียกวัดอินทารามว่าวัดใต้หนูก็งงๆไม่รู้จะถามใครดี? เมื่อก่อนนี้วัดอินทารามผีดุมากที่สุดเลยค่ะ! หนูได้ยินเขาเล่ามา หลายคนแล้วไม่ว่าใครๆพอ เอ่ยถึงก็ทำ�ท่าขนลุกขนพองกันทั้งนั้นแหละค่ะ เพราะมีประวัติว่าเขาเอาคนที่วางเพลิงเผาตลาดพลูมายิงเป้าที่หน้าวัดน่ะ ซีคะ มีตั้ง2คนแน่ะเป็น พี่น้องหรือแซ่เดียวกันเสียด้วย โอ้โฮ! พวกชาวบ้านอุ้มลูกจูงหลานแห่มาดูกันชนิดมืดฟ้ามัวดินเลยละค่ะ ตำ�รวจทหารก็มากันเต็มคอยกั้นไม่ให้คนล้ำ�เข้าไปในเขตประหาร ทำ�ไม ทางการไม่ยิงเป้าในคุกบางขวางน่ะหรือคะ? เขาบอกว่าต้องยิงเป้าให้คน เห็นในที่สาธารณะพวกโจรผู้ร้ายปล้น ฆ่าข่มขืนค้ายาเสพติดและวางเพลิง จะได้เกรงกลัว ไม่กล้าก่อกรรมทำ�เข็ญให้พลเมืองดีต้องเดือดร้อนอีกต่อไป อาจจะได้ผลนะคะ เพราะโจรผู้ร้ายยุคนั้นหัวหดไปตามๆ กัน! ใครอยากใส่ทองเดินฉุยฉายก็ไม่ต้องกลัวโดนจี้ สาวๆเดินตาม ตรอกซอยกลางค่ำ�กลางคืนก็ไม่ต้องเหลียวซ้ายแลขวา หรือระแวงว่าจะมี คนโรคจิตมาข่มขืนฆ่า เรือ่ งไฟไหม้รบั ตรุษจีนก็เงียบหายไปหมดไม่เหมือน สมัยนี้นะคะ โจรผู้ร้ายชุกชุมยิ่งกว่าแมลงวันหน้ามะม่วงเสียอีกไม่หวั่นกลัว กฎหมายบ้านเมืองซะเลย! ไหนว่ายาบ้าลดลงหนูเห็นข่าวจับยาบ้าเป็นพัน เป็นหมื่นเม็ดทุกวัน ทีละแสนเม็ดก็มีทำ�ท่าว่าจะปราบเท่าไหร่ก็ไม่หมด คง พอๆกับบ่อนและหวยใต้ดินนั่นแหละนะคะ
3 อุ๊ย! ขอโทษค่ะ หนูกำ�ลังจะเล่าเรื่องสยองขวัญแท้ๆ แต่กลับนอก เรื่องไปซะ ขอเล่าต่อตอนนักโทษประหารโดนยิงเป้า มีชาวบ้านแห่มาดูกัน เป็นร้อยเลยค่ะ ญาติมารับศพไปแล้ว แต่เศษเลือดเศษเนื้อยังกระจายเต็ม กำ�แพงวัด มีรูกระสุนปืนด้วย พระเณรกับเด็กวัดต้องออกมาช่วยกันเช็ด ล้าง ทำ�ความสะอาดจนเหงื่อตกไปตามๆ กัน วิญญาณสองดวงก็สิงสู่อยู่ที่นั่น! แหม! ในวัดเองก็มีผีเยอะอยู่แล้ว ทั้งถนนด้านหน้ากับคลองด้านหลัง มีคนโดนผี หลอกตอนเดินเข้าวัดแล้ว ก็เลี้ยวขวาไปทางโบสถ์วิหารที่มีรูปปั้นพระเจ้า ตากสิน เสียงร้องเอะอะโวยวายตามด้วยเสียงวิ่งคึ่กๆออกมาถึงถึงหน้าวัด แน่ะค่ะ ทีนี้ยังมีวิญญาณผีตายโหงมาประจำ�การอยู่หน้าวัดซะอีกด้วย! ที่เคราะห์ร้ายมากก็คือลุงจัด คนแถวบ้านหนูขับรถกลับบ้านตอน กลางคืนน่ะซีคะ สมัยนั้นยังเปล่าเปลี่ยวและน่าวังเวงใจอยู่มากๆลุงจัดเห็น ใครยืนขวางถนนตรงหน้าวัดก็บีบแตรให้รู้ อ้าว? กลายเป็นร่างสองร่าง เดินทื่อเข้ามาหายื่นแขนมาข้างหน้า ถ้ากระโดด ตุ๊บๆ ด้วยก็จะเหมือนผีใน หนังจีนเลยค่ะ แสงไฟหน้ารถส่องให้เห็นภาพนั้นเต็มตา! สุดสยองเกินร้อย! นักโทษประหารคู่นั้นเองค่ะที่มาปรากฏกาย เลือดแดง ฉานเต็มอก ลุงจัดจำ�ได้แม่นยำ�เพราะแกก็ไปยืนดูตอนเขายิงเป้าเหมือน กัน ลุงจัดเล่าว่าแกคนลุกซ่าไปทั้งตัว หลับตาปี๋เพราะความหวาดกลัวสุดขีด แทบจะช็อกตายคาที่ จำ�ได้แต่ว่ากระทืบคันเร่งไม่รู้ตัวสองหูอื้ออึงแต่ ได้ยินเสียงร้องโอ๊ย... รู้สึกเหมือนรถวิ่งทะลุก้อนน้ำ�แข็ง หนาวยะ เยือก เย็นเฉียบจนสะท้านไปทั้งตัว ต่อมามีคนเห็นผีหน้าวัดกันบ่อยๆจน แทบจะชาชินกันไปหมด ก็เห็นบ่อยนี่คะ หลอกได้หลอกไป ไม่กลัวซะอย่าง! ปรากฏว่าวิญญาณผีตายโหงค่อยๆ หายไปในที่สุดค่ะ!
4
คืนเขย่าขวัญ
5 “กุลธิดา” เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากทางเปลี่ยวหลังวัดมะกอก ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่าผีมีจริงรอบๆตัวเรามีิวิญญาณเร่ร่อน หรือสัมภเว สีเต็มไปหมด เหมือนคลื่นไฟฟ้าต่างๆ ที่มีทั้งคลื่นวิทยุและทีวี มีแต่เสียงบ้าง มีทั้งภาพและเสียงบ้างแต่เราก็ไม่เห็นและไม่ได้ยิน ถ้าเราไม่มีเครื่องรับ ถึงจะเชื่อเรื่องผีและกลัวผี แต่ก็มั่นใจว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ภูตผีกลัวเกรงเช่น เดียวกัน! พระพุทธคุณและบารมีของสิ่งที่เราเคารพนับถือไงล่ะคะ ที่จะช่วยคุ้มครองเราได้...ขอเพียงมีสติกำ�กับใจไว้ตลอด เชื่อว่าเรา จะสามารถผ่านสิ่งเลวร้ายต่างๆ มาได้อย่างแน่นอนค่ะ ดิฉันเคยประสบกับเหตุการณ์ที่น่ากลัวที่สุดเมื่อราว6-7 ปีก่อนมา นี้เอง ราวกลางเดือนธันวาคมปีนั้นที่ซอยอารีย์ สัมพันธ์ 1 ถนนพหลโยธิน (ซอยราชครู) กรุงเทพฯ เวลาประมาณ 17.00 น. ดิฉันมีธุระเกี่ยวกับการงาน ที่ก้นซอยโดยใช้รถแท็กซี่ กว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็ปาเข้าไปเกือบสองทุ่ม เห็นจะได้ ฤดูหนาวมืดค่ำ�เร็วมาก ตอนแรกว่าจะเดินออกไปหารถทางเดิม ก็คิดว่าไกลไป มีทางลัดหลังวัดอภัยทายาราม หรือวัดมะกอก ไปออกถนน หน้าวัดได้ใกล้ๆ กับโรงพยาบาลพระมงกุฎพอดี เพื่อขึ้นรถสาย 14 กลับบ้าน นอกจากค่ำ�เร็วแล้วยังหนาวยะเยือกจับใจอีกต่างหาก...กว่าจะรู้ว่าคิดผิดก็ สายไปแล้วค่ะ มีทางเดินแคบๆ สองข้างทางมีแต่ป่าละเมาะรกร้างต้นไม้ เล็ ก ๆแต่ สู ง ท่ ว มหั ว ยื น ทะมึ น พอลมพั ด ที ก็ ส ะบั ด ใบเสี ย งซู่ ซ่ า น่ า ใจหาย ทำ�ให้รู้สึกเยือกเย็นวังเวงใจอย่างบอกไม่ถูก..ต้องเหลียวซ้ายและขวาเกือบ ตลอดเวลาไม่ เห็นใครเดินผ่านไปมาเลย บ้านช่องอยู่ห่างกัน เห็นแต่แสง ไฟลิบๆ ดูเปล่าเปลี่ยวน่ากลัวจนไม่น่าเดินผ่านตอนค่ำ�คืนเด็ดขาดไม่ว่าผู้ หญิงหรือผู้ชาย ยิ่งเดินก็ยิ่งนึกถึงอันตรายสารพัดชนิดที่อาจจะดักรอเรา อยู่!
6 ไหนจะพวกขี้ยาที่หลบๆ ซ่อนๆ มาเสพยานรกกันอีกล่ะ ตามซอกมุมลับตา คนแบบนีไ้ ด้ขา่ วว่ามีชกุ ชุมเกลือ่ นกรุงไหน จะพวกเด็กจรจัดกับวัยรุน่ ทีด่ อด มามั่วสุมดมกาวอีกต่างหากคน พวกนี้เมายาแล้วไม่มีสติยั้งคิดหรอกค่ะ พร้อมที่จะฉกชิงวิ่งราว ทำ�ร้ายเหยื่อจนบาดเจ็บสาหัส หรือข่มขืนแล้วฆ่า ปิดปากได้ทุกเมื่อ! ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ยิ่งสร้างภาพให้ตัวเองอกสั่นขวัญแขวน ขึ้นไปทุกที...เมื่อไหร่จะเข้าเขตวัดมะกอกเสียทีหนอ... แหงนมองทางรถไฟฟ้าเหนือหัว พร้อมๆกับได้ยินเสียง พูดคุพึมพำ� ดังแว่วมาเข้าหู! แสงไฟวอมแวมจากซุ้มไม้ด้านขวาทำ�ให้ปากคอแห้งผากไปหมด แข็งใจเดินเรื่อยๆ เหมือนไม่หวั่นหวาดอะไร จนมองเห็นวัยรุ่นชายหญิง กลุ่มหนึ่งกำ�ลังนั่งล้อมวงกันอยู่มีเทียนไขกับกระป๋อง และถุงพลาสติก... หน้าตาดูเบ๋อๆยังไงชอบกล ทำ�ให้นึกได้ว่าเด็กพวกนี้ดมกาวกันจนเกิด อาการ “เหวอ” ขึ้นมาแล้วนัยน์ตาขาวๆ หันมาจ้องมองดิฉันเป็นตา เดียวกันแข็งใจยิ้มให้พลางถามเสียงปกติว่า...ทางนี้ไปวัดมะกอกใช่ไหม จ๊ะ? ไม่มีเสียงตอบ แต่เด็กหญิงคนหนึ่งพยักหน้าเงียบๆ ดิฉันพึมพำ�ขอบใจ แล้วรีบก้าวยาวๆ ผ่านไปโดยเร็ว...รอบๆ กายสลัวรางยังมีแต่ความเปล่า เปลี่ยวน่ากลัว บีบคั้นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก คลองเล็กๆ ดูดำ�มะเมื่อมทอด ยาวไปข้างหน้า มองเห็นแล้วใจหายวูบ แข้งขาอ่อนยวบหมดกำ�ลังจนแทบ จะล้มแผละลงไปบนพื้นดินทันที ที่นั่นคือด้านหลังโรงพยาบาลพระมงกุฎนั่นเอง! ใครๆ ก็ทราบดีว่าห้องดับจิต หรือห้องเก็บศพน่ะอยู่ด้านหลังโรงพยาบาล ดิฉันสูดลมหายใจยาว กำ�ลังจะละสายตามามองทางเบื้องหน้า เพราะรู้ว่า ใกล้จะถึงท้ายวัดมะกอกแล้ว...
7 แม้จะรู้ข่าวว่าที่นั่นมีศพเด็กชายไม่น่าไม่เปื่อย แต่ก็ไม่น่ากลัวหรอกค่ะ มีแต่คนไปขอหวยกันเป็นประจำ�ทันใดนั้น ร่างดำ�ๆ ก็โผล่พรวดขึ้น ที่ริมคลองด้านหลังโรงพยาบาลโดยไม่นึกไม่ฝัน! คราวนี้ไม่ใช่ขาอ่อนยวบอย่างเดียว แต่ยังสั่นระริกแทบจะทรงตัวไม่ อยู่...หัวใจก็คล้ายจะหยุดเต้นไปชั่วขณะ ม่านตาพร่าพรายไปหมด อยาก จะเบือนหน้าหนีแต่กลับจ้องมองราวถูกสะกดร่างดำ�ทะมึนดูโดดเด่นยิ่งขึ้น ยืนนิ่ง แน่ใจว่ากำ�ลังจ้องมองมาที่ดิฉันเขม็ง...แข็งใจตั้งสตินึกถึงพระพุทธ คุณและพ่อแม่เป็นที่พึ่ง ตั้งจิตแผ่ส่วนกุศลไปให้เขาผู้นั้น... ภาพที่ปรากฏเด่นชัดค่อยๆ เลือนรางจางหายไป...ดิฉันเดินต่อจน เข้าเขตวัด กลับถึงบ้านโดยปลอดภัย...แต่สาบานว่าจะไม่ยอมเดินผ่านที่ นั้นในตอนกลางคืนอีกแล้วค่ะ!
บรือออ... บรืออ อ
8
สะพานนรก
9 “แสงหล้า”เล่าเรื่องขนหัวลุกจากสถานีรถไฟโดนระเบิด ดิฉันเป็นคนบ้านดารา อ.พิชัย จ.อุตรดิตถ์ ชาวบ้านยังเชื่อในเรื่อง ไสยศาสตร์กันอยู่ค่ะ ในงานวัดบางแห่ง เช่นวัด พระธาตุ, วัดหน้าพระธาตุ มีหมอโบราณเคี่ยวน้ำ�มันมะพร้าวแจกชาวบ้าน ใช้นวดเพื่อรักษา โรคต่างๆเพราะสมัยก่อนมีโรคอหิวาต์ ไข้ทรพิษและ มาลาเรียเกิดขึ้นบ่อยๆเรื่องน่าขน ลุกที่ฟังผู้ใหญ่เล่า เกิดขึ้นสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พ่อแม่ดิฉันยังเด็กอยู่ เลย อำ�เภอพิชัยถือว่าเป็นจุดยุทธศาสตร์แห่งหนึ่ง ทหารญี่ปุ่นได้มาตั้ง ค่ายอยู่ที่นั่น(ปัจจุบันคือสำ�นักงานสาธารณสุข)และได้เกณฑ์เชลยซึ่งมีทั้ง ฝรั่งและแขกมา สร้างสะพานเบี่ยงที่บ้านดาราเพื่อใช้เป็นเส้นทางเดินทัพ เข้าพม่าและอินเดียต่อไป เด็กๆมักชอบไปดูค่ายทหาร เพราะมีการแจก ขนมและยารักษาโรคให้บ่อยๆ พอตกเย็นทหารเตี้ยก็ยกโขยงไปอาบน้ำ�ที่ สถานีรถไฟพิชัย โดยใช้น้ำ�ในถังสำ�หรับใส่หัวรถจักรนั่นแหละค่ะ ฝ่ายสัมพันธมิตรได้บินมาทิ้งระเบิดบ่อยครั้ง ทั้งทางรถไฟและสะพานเบี่ยง บ้านดาราส่วนค่ายทหารญี่ปุ่นกลับไม่โดนระเบิด แต่ไปโดนหลุมหลบภัย ของชาว บ้านดื้อๆ แม่เล่าว่าต้องช่วยกันสร้างหลุมหลบภัย (ชาวบ้าน เรียกอุโมงค์) ที่ตำ�บลไร่อ้อย โดยขุดหลุมใหญ่รอบต้นกระเชา...ครั้งหนึ่ง พอเสียงสัญญาณเตือนภัย หรือ “หวอ” ดังขึ้น ชาวบ้านก็รีบดับไฟปิดประตู หน้าต่าง อุ้มลูกจูงหลานพากันวิ่งมาที่หลุมหลบภัยชนิดหัวซุกหัวซุนลูก ระเบิดตกลงใส่หลุมหลบภัยพอดี ทำ�ให้มีคนบาดเจ็บล้มตายหลายสิบคน เลยค่ะ! ที่บ้านดารานั้น พอเครื่องบินทิ้งระเบิดเสียงกระหึ่มมาชาวบ้าน หลายๆ คนกลับคิดว่าเป็นเสียงฟ้าร้องเสียนี่! คนที่รู้ แต่เกิดปวดท้องหนัก
10 ท้องเบาด่วนจี๋กลั้นไม่อยู่ ขอไปทำ�ธุระเสียก่อนก็มี ระเบิดหรือการทิ้งบอมบ์รุนแรงที่สุดเกิดขึ้นที่สะพานเบี่ยงบ้าน ดารานั่นเอง! จะเรียกว่าเคราะห์กรรมก็ได้ หรือความบังเอิญก็คงไม่ผิดนัก เพราะฝ่าย สัมพันธมิตรส่งเครื่องบินมาทิ้งระเบิดที่สะพานดังกล่าว เพื่อทำ�ลายเส้น ทางสายยุทธศาสตร์ของญี่ปุ่น...ขณะที่รถไฟจากอุตรดิตถ์ไปพิษณุโลก แล่นมาจอดพอดี ระเบิดมหาภัยลูกนั้นไม่ระเบิดหรอกค่ะ! ทำ�ไมถึงเรียกว่าเคราะห์กรรม? สาเหตุเพราะชาวบ้านวิ่งมาดูลูก ระเบิดด้วยความตื่นเต้นสนใจ เนื่องจากเกิดมายังไม่เคยพบเห็นมาก่อน ส่ง เสียงกันเซ็งแซ่ต่างๆ นานา บรรดาผู้โดยสารรถไฟเกิดสนใจก็ตามแห่ลง มาดูด้วย ทันใดนั้นเอง ระเบิดมหาประลัยลูกนั้นก็ระเบิดตูมตามเสียงสนั่นหวั่นไหว ฉีกร่าง ผู้คนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เลือดสาดกระจายน่าสยดสยอง เสียงหวีดร้อง โหยหวนดังระงมเหมือนสถานีบ้านดารากลายเป็นนรกอเวจีก็ปานกัน!! ทั้งตายคาที่ ทั้งแขนขาขาดกระเด็น หน้าตาเละเทะจนจำ�ศพไม่ได้ ทั้งบาด เจ็บสาหัสนอนจมกองเลือด ทั้งวิ่งเตลิดเลือดโซมกายอย่างคนสติแตกมี หลายสิบคน บ้างก็ว่าเกือบร้อยคนค่ะ สะพานที่ใกล้จะเสร็จก็พังยับเยินจน ต้องเร่งสร้างกันใหม่ กว่าสะพานเบี่ยงบ้านดาราจะเสร็จ ญี่ปุ่นก็ยอมแพ้สง ครามเมื่อปี 2488 ชาวบ้ า นอำ � เภอพิ ชั ย ได้ ใ ช้ ส อยสะพานเบี่ ย งของญี่ ปุ่ น ต่ อ มาอี ก หลายปี กระทั่งทางการได้สร้างสะพานถาวรขึ้น สะพานเบี่ยงบ้านดาราจึง ถูกรื้อถอนออกไปคงเหลือแต่ตอม่อ หรือหูช้างใต้สะพานเท่านั้น
11 เมื่อสงครามสงบไปหลายปี เหตุการณ์สยดสยองน่าขนหัวลุกก็ อุบัติขึ้นบ่อยครั้งจนเป็นที่ร่ำ�ลือกันสืบมา นั่นคือ ตอนกลางคืนจะมีเสียงรถไฟแล่นคึ่กๆ มาที่สะพานเบี่ยง บ้านดารา บางครั้งยังเปิดหวูดแหลมยาว...คนที่เคยวิ่งไปดู แต่ไม่เห็นรถไฟ สักขบวนเดียว ยืนยันว่าได้ยินเสียงหวูดดังกรีดแหลมบาดใจเหมือนเสียง เปรตขอส่วนบุญ ดังก้องไปในท้องฟ้าเยือกเย็นจับใจ! คนที่นั่งรถไฟผ่านตอนกลางคืนก็จะเห็นร่างดำ�ๆ หลายสิบสิงสู่อยู่ ที่ราวสะพานทั้งสองด้าน ทั้งห้อยโหนโจนทะยานก็มี กวัดแกว่งท่อนบนอาบ เลือดก็มี...แต่ที่ชวนให้ขวัญหนีดีฝ่อยิ่งกว่านั้นก็คือเป็นร่างของผีหัวขาด ชัดๆ ทุกๆ ร่างล้วนแต่โชกเลือด หัวขาด แขนขาขาด เนื้อตัวเหวอะหวะน่า สยดสยอง ตับไตไส้พุงห้อยร่องแร่ง...บางคนถึงกับเสียสติร้องกรี๊ดๆ ลั่น โบกี้เลยค่ะ ดิฉันเองก็เคยเห็นภาพขนหัวลุกมาแล้ว แต่สงบจิตแผ่ส่วนกุศลไป ให้พวกเขา...วิญญาณที่น่าสงสารเหล่านั้นขอให้ไปสู่สุคติเถิด มีโอกาสก็ ทำ�บุญอุทิศส่วนกุศลไปให้อยู่เป็นประจำ� ต่อมาเรื่องผีสิงที่สะพานเบี่ยงบ้านดาราก็ค่อยๆ เลือนหายไป เชื่อ ว่าดวงวิญญาณเจ็บปวดและทนทุกข์ทรมานเหล่านั้นคงจะไปผุดไปเกิดกัน หมดสิ้นแล้วนะคะ!
12
บ้านมรณะ
13 “ใบปอ” เล่าเรื่องขนหัวลุกจากบ้านร้างผีสิง ฉันไม่เชื่อว่าผีจะหลอกคนให้ถึงตายได้ แต่เรื่องราวต่อไปนี้มันน่า คิดมากเชียวล่ะค่ะ เรื่องเกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อนกับพี่ชายเพื่อนสนิทของฉันเอง ตอน นั้นพี่จี๊ดของจุ๋งอายุสิบเจ็ดปีเท่านั้น เราเรียนจบ ม.6 หมาดๆ ยังสอบเข้า มหาวิทยาลัยไม่ได้ก็เลยขออยู่ว่างๆ สักปี ปีหน้าค่อยลองสอบใหม่! การอยู่เฉยๆไม่ได้เรียน ไม่ได้ทำ�งานอะไรทำ�ให้พี่จี๊ดสนุกกับชีวิตวัยรุ่น อย่างเต็มที่เขามีเพื่อนเยอะค่ะ ทั้งเพื่อนที่โรงเรียนกับเพื่อนวัยรุ่นในซอย เดียวกันพวกนี้ชอบทำ�อะไรแผลงๆ ริอาจสูบบุหรี่ กินเหล้า กินเบียร์ สนุก สนานจนกลับบ้านตีสามตีสี่เป็นประจำ� ที่แผลงที่สุดก็คือชอบพากันไปลอง ของตามสถานที่ต่างๆ ที่เขาลือกันว่าผีดุ!! คืนหนึ่งในเดือนตุลาคม พี่จี๊ดนั่งกินเหล้ากับเพื่อนๆ ตั้งแต่เย็นที่ บ้านตัวเอง จุ๋งได้ยินเขาคุยเรื่องผี แล้วก็ท้าทายกันว่าจะไปลองของที่บ้าน หลังหนึ่งแถวพุทธมณฑล ซึ่งไม่ไกลจากบ้านเรา มันเป็นบ้านร้าง! เพื่อน ของพี่จี๊ดเล่า ร้างเพราะเจ้าของบ้านไปรถคว่ำ�ตายยกครอบครัว แค่นี้ก็น่า กลัวแล้วแต่ที่สยองไปกว่านี้คือมีผู้หญิงเข้าไปผูกคอตายในบ้านที่ผุพังทรุด โทรม...และตั้งแต่นั้นมาก็ลือกันว่าผีดุมากๆ นั่นคือ ผีผู้หญิงที่ตายจะปรากฏให้ผู้คนที่ผ่านไปมาเห็นคนยืนตรง หน้าต่างชั้นสองนั่นเอง! เล่ากันว่าเธอผมยาวมาก แต่งชุดกางเกงขาสั้นและเสื้อสีขาวยืนคอ พับแบบคนคอหัก มีเลือดไหลออกจากตา จมูกและปาก บางทีเธอก็ยืนบน เพดาน ห้อยหัวลงมา ให้ผมยาวกวัดแกว่งลงถึงพื้น ว่ากันว่าผีตนนี้เต็มไป ด้วยความอาฆาตแค้น เพราะถูกคนรักทิ้งไปเมื่อเธอบอกว่าเธอท้อง...
14 คิดดูแล้วกันว่าเธอจะเกลียดชังผู้ชายขนาดไหน? ถึงแม้ผีจะดุนักหนาจนเป็นที่เลื่องลือ แต่ก็ยังมีคนเข้าไปในบ้านหลังนี้ อย่างไม่กลัวเกรง ส่วนมากจะเป็นพวกเร่ร่อนแถวนั้น หรือไม่ก็พวกลักเล็ก ขโมยน้อย โดยคิดจะไปรื้อค้นข้าวของมีค่าในบ้าน แน่ล่ะค่ะ ทุกคนล้วนแต่เจอดีจนเผ่นกระเจิงไปตามๆ กัน! เรื่องที่เล่านั้นน่ากลัวนัก ผีผู้หญิงตายทั้งกลมตนนี้มักจะปรากฏตัวอยู่ใน ห้องที่เธอตาย ตอนแรกก็ดูเหมือนคนธรรมดา แต่อีกไม่กี่นาทีต่อมาเธอก็ จัดการแขวนคอให้ดูซะงั้น! คนเคราะห์ร้ายที่โดนหลอกหลอนสาหัส ล้วนแต่บอกกล่าวตรง กันว่า...คอของเธอหักดัง กร๊อบ! แล้วร่างของเธอก็ค่อยๆ เน่าเฟะ ส่งกลิ่น เหม็นเน่าคละคลุ้ง บางรายเห็นเด็กอ่อนๆ ในท้องหลุดผลัวะออกมา แล้ว สำ�แดงเดชลุกขึ้นยืนจังก้า แลบลิ้นปลิ้นตาหลอกหลอนทันใด! คืนนั้นมีการท้าทายว่าถ้าใครเก่งจริงก็ให้ค้างคืนในบ้านร้างผีสิง หลังนั้น แล้วรุ่งเช้าเพื่อนฝูงจะมารับ คนที่รับคำ�ท้าคือพี่จี๊ด เขาอยู่ในบ้าน คนเดียวท่ามกลางความมืดมิดบรรยากาศเยือกเย็นและเปล่าเปลี่ยวน่าวัง เวงใจมีแต่เสียงหมาเห่าหอนโหยหวน เสียงลมพัดตามยอดไม้ดังซู่เกรียว กราว ฟังเหมือนเสียงใครกลุ่มใหญ่กำ�ลังหัวเราะเย้ยหยันอย่างสาสมใจ รุ่งเช้า เพื่อนฝูงก็ยกโขยงไปรับตามสัญญา! น่าแปลกประหลาดที่ไร้เสียงขานตอบ ไม่ว่าจะร้องตะโกนเรียกแค่ ไหนก็ไม่มีเสียงตอบตามเดิม จนกระทั่งพวกเพื่อนๆ ต้องเดินเข้าบ้านที่มี ฝุ่นจับเขรอะ เสียงลมพัดประตูหน้าต่างดังเอี๊ยดอ๊าดเขย่าขวัญแทบตลอด เวลา
15
ทุกคนต่างเหลียวซ้ายแลขวาด้วยความหวาดระแวงไปตามๆ กัน!
จนกระทั่งขึ้นไปถึงชั้นสอง... ภาพที่เห็นทำ�ให้เพื่อนฝูงหยุดชะงัก...นั่นคือพี่จี๊ดนั่งพิงฝาขาแผ่ กาง นัยน์ตาแข็งค้างเบิกโพลง ฉายแววหวาดกลัวน่าขนหัวลุก ท่าทาง เหม่อลอยไม่ได้สติ และมีไข้ขึ้นสูงปรี๊ดจนต้องรีบนำ�ส่งโรงพยาบาล พี่จี๊ดมี ชีวิตอยู่ต่อมาได้เพียงสองวัน เขาเพ้อว่าจะไปอยู่กับผู้หญิงในบ้านหลังนั้น แพทย์ลงความเห็นถึงการตายของพี่จี๊ดว่าไวรัสขึ้นสมอง แต่พวก เราเชื่อว่าเขาถูกผีหลอกจนตาย และที่ร้ายสุดๆ คือผีตนนั้นเอาเขาไปอยู่ ด้วยได้สำ�เร็จ...เสร็จผีมันเลยล่ะค่ะ!!
16
คืนเปลี่ยว
17 “แอ้ม” เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณเจ้าที่ บ้านดิฉันอยู่ในซอยเสนาฯ ถึงวังหินแล้วเลี้ยวขวาไปถึงก่อนแยก เสือใหญ่ พ่อแม่อยู่ที่นั่นมา 20 กว่าปีแล้ว เมื่อเด็กๆ เคยพาดิฉันกับพี่ชาย ไปเที่ยวแดนเนรมิตบ่อยๆ เพราะอยู่ใกล้บ้านมาก เด็กๆ มักชอบถ้ำ�ผีสิงกัน ค่ะ ไม่เคยนึกเลยว่าจะมาเจอของจริงตอนโต! เมื่อเดือนก่อน พวกเพื่อนๆ ร่วมงานในมหาวิทยาลัยเอกชนชวนไปเที่ยวพัทยาเพราะมีวันหยุดยาว พอดีพ่อแม่ก็ชวนไปเที่ยวภาคเหนือกับเพื่อนๆ แต่ดิฉันปฏิเสธหมด อยาก พักผ่อนร่างกายและจิตใจอยู่กับบ้านมากกว่า คืนแรกนั่นเอง ขณะนอนดูทีวีบนโซฟาสบายๆ ก็นึกอะไรบางอย่าง ขึ้นมาได้ ดิฉันอยู่บ้านนี้มาแต่เกิดก็จริง แต่ยังไม่เคยนอนคนเดียวในบ้าน สักคืน! คืนนี้เป็นคืนแรกในชีวิต!! จู่ๆ ไฟฟ้าก็ดับวูบลง มืดสนิท ดิฉันร้องอุทานอย่างลืมตัว นึกถึงฝน ฟ้าที่ดังคะนองมาแต่ตอนเย็น แต่ไม่ทันเฉลียวใจ พยายามนึกถึงเทียนไข กับไม้ขีดที่คุณแม่เตรียมไว้ ว่ามันอยู่ที่ลิ้นชักตู้เก็บของ หรือจะอยู่ข้าง เครื่องเล่นดีวีดี ใต้โต๊ะวางทีวี ทันใดนั้น แสงไฟก็สว่างพรึ่บขึ้นตามเดิม! ดิฉันถอนใจอย่างโล่งอก ตอนนั้นไม่กลัวอะไรเลยค่ะ ก็อยู่มานานเต็มที บ้านเรือนล้วนติดๆ กันทั้ง นั้น ประตูรั้วก็แข็งแรง ประตูบ้านแน่นหนา หน้าต่างมีเหล็กดัดทุกบาน หัว ขโมยอย่าหวังจะไขด้านนอกเข้าบ้านเราได้สะดวกๆ ถ้าเกิดไฟไหม้ แต่คุณ สติดีๆ ก็สามารถเปิดออกไปได้ เสียงหน้าต่างกระแทกปังๆ เล่นเอาสะดุ้ง เฮือก ครั้นหันมองก็เห็นเปิดกว้างเป็นปกติ แต่มีเสียงเดิมดังขึ้นอีก...คราว นี้แน่ใจแล้วว่าเสียงน่ากลัวนั้นดังมาจากชั้นบนของบ้านที่ไม่มีใครอยู่!
18 เอ๊ะ! ชักยังไง? เงยหน้าขึ้นมอง...แสงสว่างก็ยังมี แต่คราวนี้ทีวีดัง ลั่นจนเผ่นพรวดขึ้นนั่ง มองหารีโมตก็วางอยู่ใกล้ๆ เราอาจโดนปุ่มวอลุ่ม โดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ กำ�ลังจะเอนลงนอนให้สบายๆ ดูหนังจากเคเบิล... อ้าว? เสียงทีวีกลับเบาวูบลงเฉยๆ แทบไม่ได้ยิน...แต่กลับทำ�ให้เสียงอย่าง อื่นดังยิ่งขึ้นจนใจหายวาบ นั่นคือเสียงประตูปิดเปิด ไม่ถึงกับรุนแรงนัก แต่ ก็ดังมาเข้าหูชัดเจน เสียงคนเดิน...เอาละซี!! นอกจากเสียงลมครวญครางอยู่ภายนอกแล้ว สรรพสิ่งเงียบกริบจนน่า ใจหาย รถราก็แทบจะไม่ดังแว่วมาเลย แต่เสียงคนเดินจนกระดานลั่น เอี๊ยดอ๊าดดังอยู่ข้างบนแน่ๆ จนต้องแหงนหน้ามองตามไป...ทางโน้นที ทางนี้ที นั่นที่ห้องพ่อแม่ นั่นห้องเราเอง! ตอนนี้ออกมาหน้าห้องแล้ว กระดานลั่นเอี๊ยดๆ ตรงมาทางบันได ราวกับจะลงมาหาเรา... หัวใจเต้นโค รมๆ ราวกับมีกลองรัว อ้าปากค้าง ตาเบิกโพลงจ้องมองที่บันได...แต่ก็ไม่มี เสียงบันไดลั่น นอกจากเสียงถอนใจยืดยาว...หรือว่าจะเป็นลมพัดเข้ามา แต่เราอุปาทาน หวาดกลัวไปเองเพราะเป็นคืนแรกที่นอนอยู่บ้านเพียงคน เดียวนี่แหละค่ะ แล้วบ้านนี้มีอะไรล่ะ? ตั้งแต่ปลูกมายังไม่มีใครตายซักคนนี่นา! หรือว่า...ดิฉันขนลุกเกรียวทั้ง ตัวเมื่อนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้...ชาวบ้านลือกันว่าบริเวณนี้เคยเป็น ป่าช้าเก่า...ป่าช้าแขกที่ผีดุมาก มีอาถรรพณ์น่าขนหัวลุกหลายๆ อย่าง เช่น คนโดนผีหลอกจนจับไข้หัวโกร๋นมาแล้ว บางคนล้มเจ็บปางตายก็มี
19 ต่อมาบ้านเรือนหนาแน่นขึ้น ร้านค้าและรถเข็นแผงลอยผุดสะพรั่งเรื่อง ผีจงึ ค่อยซาไปแต่นา่ สังเกตว่าร้านขายอาหารขนาดใหญ่จะขาดทุนย่อยยับ เชื่อกันว่าปลูกทับกลางป่าช้าพอดี อย่างที่เราถือกันว่าห้ามปลูกเรือน คร่อมตอนั่นละค่ะ ราวสิบปีก่อนที่ร้านสุกี้ใหญ่โตมาตั้งที่นั่น ไม่นานก็ต้องปิดเพราะ ขาดลูกค้าเจ้าของเดิมให้เช่าทำ�ร้านเนื้อย่างเกาหลี รายนี้อยู่ได้ปีเศษก็ ยอมแพ้ ต้องเลิกกิจการไปจนได้ ทำ�ไมที่บ้านดิฉันไม่เคยพบเหตุการณ์ สยองขวัญต่างๆมาก่อนเลยก็สุดรู้ค่ะ ตอนที่นั่งอกสั่นขวัญแขวนอยู่คน เดียว ดิฉันแทบร้องไห้ นึกเจ็บใจตัวเองที่ไม่ไปเที่ยวกับเพื่อนๆ หรือพ่อแม่ จะได้ไม่ต้องมานั่งขวัญหนีดีฝ่อคนเดียวแบบนี้ ในที่สุดตัดสินใจสวดมนต์ไหว้พระ ไม่กล้าขึ้นไปนอนชั้นบน โดย อาศัยหลบภัยอยู่ที่โซฟาหน้าทีวีนี่แหละ มีอะไรจวนตัวจะได้เผ่นออกจาก บ้านทันทีเลย รุ่งเช้าแข็งใจขึ้นไปสำ�รวจชั้นบนก็พบว่าทุกอย่างปกติ ไม่มีร่องรอย ว่าจะมีโจรผู้ร้ายขึ้นบ้าน...แต่ดิฉันเก็บเสื้อผ้าใส่กุญแจบ้านและรั้ว รีบบึ่ง ไปอาศัยบ้านเพื่อนนอนก่อนพ่อแม่จะกลับบ้าน...ไม่อยากหัวใจวายตาย ค่ะ!
20
บรรณานุกรม http://www.creditonhand.com/ghostmix.asp
Ghost stories.