EDITOR TALK Pocket Book Online เล่มนี้เป็นผลงานในรายวิชา นศ 222 การออกแบบสิ่งพิมพ์ 2 โดยอาจารย์ผู้สอน อาจารย์ณัฎฐพงษ์ สายพิน โดยมีธีมคือเรื่องราวเกี่ยวกับประเทศเกาหลีใต้ ทั้งการท่องเที่ยว ความสวยความงาม ดนตรี ฯลฯ ซึง่ ในปัจจุบนั วัยรุน่ ในเมืองไทยให้ความสนใจเป็นอย่างมากเนือ่ งด้วยกระแสความแรงของกระแสเกาหลีจากศิลปินทำ�ให้ เกิดความสนใจในเรื่องอื่นๆ ของประเทศเกาหลีใต้ตามมา เป็นแรงบันดาลใจให้อยากรู้เรื่องราวอื่นๆ นอกเหนือจาก ดนตรีหนังสือเล่มนีจ้ ะรวบรวมเรือ่ งราวต่างๆ มากมายจากประเทศเกาหลีใต้มาให้ผทู้ สี่ นใจได้ศกึ ษาถึงแม้จะเป็นเพียงแค่ ไม่กเี่ รือ่ งแต่หวังว่าจะสามารถจุดประกายความคิดให้ผทู้ สี่ นใจได้ไปค้นคว้าหาข้อมูลเพือ่ ศึกษาในเรือ่ งราวทีส่ นใจต่อในอนาคต หวังว่าหนังสือเล่มนี้คงได้ให้ความรู้ความบันเทิง แก่ท่านผู้อ่านไปไม่มากก็น้อย ขอบคุณค่ะ นางสาววรรศิกา ยอดชมถู รหัส 5314101360 สาขานิเทศศาสตร์บูรณาการ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ เชียงใหม่
CONTENTS Beauty สร้างเรียวขาและสะโพกทองคํำ�แบบสาวๆ SNSD ดูแลผิวสวยรับลมหนาว เคล็ดลับแต่งหนาสาวเกาหลี
fastion Bottomless Fashion
travel วัดวาวูจองซา ICE GALLARY
Music K- Pop Fever ฝันเด็กไทยไกลถึงเกาหลี ORANGE CARAMEL Melon Chart
สร้างเรียวขาและสะโพกทองคํำ�แบบสาวๆ SNSD เรื่องโดย : KimNuya สร้าง “ค่าเฉลี่ยทองคำ�” ให้สะโพกและเรียวขา ในแบบฉบับสาวๆ วง Girls’ Generation (SNSD) สาวๆ ทุกคนก็คงอยากจะมีสะโพกและต้นขาทีก่ ระชับได้รปู ชวนมองใช่ไหมล่ะคะ เพือ่ นๆ รูไ้ หมคะ ว่าเราสามารถจะบริหารขาและสะโพกของเราให้สวยเด้งตามแบบสาวๆ ที่มีสะโพกค่าเฉลี่ยทองคำ� อย่างJessica SNSD และเรียวขาสัดส่วนทองคำ�อย่าง Tiffany SNSD ได้ เพียงแต่เราต้องอาศัย การบริหารที่ถูกวิธีแต่สะโพกและขาเป็นส่วนที่ลดยาก ดังนั้นเพื่อนๆ ต้องมีความอดทนและมุ่งมั่น กันหน่อยนะคะ พร้อมแล้วก็ไปลุยกันเลย เรียวขาทองคำ�ทำ�อย่างไร? ก่อนอื่นเรามาทราบ “สัดส่วนทองคำ�” ของเรียวขาที่ผู้เชี่ยวชาญที่รับหน้าที่ดูแล รูปร่าง Tiffany SNSD กันก่อนนะคะ สัดส่วนของเรียวขาทีส่ มส่วนคือ ต้นขา – น่อง – ข้อเท้า = 5 – 3 – 2ฃ เริม่ ต้นจากเอาสายวัดมาวัดบริเวณส่วนทีก่ ว้างทีส่ ดุ ของต้นขา น่อง และข้อเท้า เช่น ถ้าต้นขาของเพือ่ นๆ มีขนาด 50 เซนติเมตร น่องควรมีขนาด 30 เซนติเมตร และข้อเท้าควรมีขนาด 20 เซนติเมตรนั่นเองอาจขาดเกินนิดหน่อยได้นะคะ แต่ว่าถ้าวัดแล้วไม่ได้เท่านี้ อย่าเพิ่งตกใจไปถึงเวลาที่เราจะมาบริหารเพื่อเรียวขาอันสวยปิ๊งกันเลย วิธีบริหารเรียวขาของผู้ดูแลรูปร่างของ Tiffany นั้นง่ายๆ ค่ะ ให้ทำ�ดังนี้ 1. ยืนตรงแล้วกระโดดแยกขา หุบขาสลับกัน 10 ครั้ง ไม่ต้องกว้างมาก 2. กระโดดเตะขาไปข้างหน้า 10 ครั้ง โดยงอเข่า แล้วเตะไปข้างหน้า ปลายเท้างุ้ม ทั้งซ้ายและขวา อ๊ะๆ อย่าเตะแรงนะคะ เดี๋ยวจะ กลายเป็นปวดเข่าไปซะก่อน 3. กระโดดงอเข้า ยกเข่าขึ้นให้สูงระดับเอว 5 ครั้ง ทั้งซ้ายและขวา ใช้ฝ่ามือแตะเข่าไปด้วย 4. กระโดดพับขาไปข้างหลัง 5 ครั้ง ทั้งซ้ายและขวา ใช้ฝ่ามืออ้อมไปแตะปลายเท้าด้วย 5. กระโดดพับเข่ามาข้างหน้า ฝ่ามือแตะปลายเท้า 5 ครั้ง ซ้ายและขวา 6. เหยียดขาตรง เตะไปข้างหน้า ให้สูงที่สุดเท่าที่จะทำ�ได้ ปลายเท้างุ้ม 5 ครั้ง ทั้งซ้ายและขวา 7. กระโดดสูง 1 ครั้ง
** ทำ�แบบนี้ครบแล้ว ก็ให้วนมาทำ�แบบเดิม ทั้งหมด 3 เซต ต่อวัน เราก็จะได้เรียวขาที่กระชับขึ้นแน่นอนจ้า **
สะโพกทองคำ�ทำ�ได้ง่ายนิดเดียว
ความใฝ่ฝันของสาวๆ ทุกคน ตอนนี้คืออยากที่จะดูดีได้เมื่อใส่ยีนส์ ใช่ไหมละคะ เพราะการใส่กางเกงยีนส์นั้น เป็นการแต่งตัวที่ง่ายที่สุด แต่การที่เราจะมีสะโพกที่มีสัดส่วนสวยงามได้นั้น เราต้องมาวัดกันก่อนเลย ด้วยสูตรสะโพก “ค่าเฉลี่ยทองคำ�” 0.7 เริ่มต้นจากวัดเอวกันก่อนนะคะ ใช้สายวัดวัดส่วนที่คอดที่สุดของเอวไว้ จากนั้นวัดส่วนที่ กว้างทีส่ ดุ ของสะโพก เมือ่ เราได้คา่ ของเอวและสะโพกมาแล้ว ให้คา่ เอวมาหารค่าสะโพก เช่นถ้าวันเอวได้ 21 หารกับสะโพก 30 ได้ 0.7 พอดี ซึ่งเป็นค่าเฉลี่ยทองคำ� หากเพื่อนๆ วันแล้วไม่ได้เท่านี้ เรามีวิธีง่ายๆ มาปรับรูปร่างสะโพกของเรา ให้สวยงามแบบ Jessica กันเลย
วิธีบริหารสะโพกและดูแลรูปร่างของ Jessica ให้ทำ�ดังนี้ 1. หาไม้ยาวๆ เช่น ด้ามไม้กวาด กระบองหรือร่มใหญ่ๆ มาพาดหัวไหล่ แล้วยืดแขนออกไปพาดกับไม้ไว้ให้ขนานกับพื้น 2. กางขาให้กว้างเท่าหัวไหล่แล้วเอียงตัวมาข้างๆ ให้ปลายไม้ต่ำ�ที่สุด หน้ามองตรง ทำ�สลับซ้ายขวา 3. กลับมายืนตรง แล้วก้มตัวไปข้างหน้า ท่านี้หลังต้องตรงๆ นะ แล้วบิดตัวต่ำ�ลงซ้ายขวา ให้ปลายไม้ใกล้พื้นที่สุด เข่าตรง 4. ยืนตรง เตะขาไปด้านตรงข้าม สลับกับงอเข่า แล้วเอียงเข่าไปด้านตรงข้าม ทำ�สลับซ้ายขวา จะช่วยลดเอวและทำ�ให้สะโพกกลมกลึงมากขึ้น 5. ยกเข่าขึ้นด้านหน้า แล้วแล้ววาดขาที่งอมาข้างลำ�ตัว จากนั้นเอาขาลง ทำ�สลับซ้ายขวา จะช่วยเพิ่มสะโพกให้มีขนาดใหญ่ขึ้น 6. เหยียดขาตรงไหข้างหน้า วาดขาออกข้างลำ�ตัว วางขาลง จากนั้น ยืดขาออกข้างลำ�ตัว วาดกลับมาข้างหน้าแล้วเอาขาลง ซ้ายและขวา 7. แอ่นสะโพกไปด้านหลัง กางขา ย่อตัวลงสลับกับยกตัวขึ้น 8. ดึงขาเข้ามาชิดกันแล้วแยกขาออกพร้อมกันโดยทำ�ท่าแบบอ้าและหุบขา จากนั้นทำ�ท่าเดิมให้ขากลับมาชิดกัน โดยเป็นการทำ�ขา แยก และหุบ สลับกัน กระโดดตัวตรง ขาตรง เป็นการปิดท้าย ** ให้ทำ�ทั้งหมด 3 ชุดต่อวัน โดนเฉพาะข้อ 4-8 **
ไม่ยากเลยใช่มยั้ คะขอแค่เพือ่ นๆมีความตัง้ ใจทีจ่ ะทำ� แต่ทสี่ ำ�คัญการรับประทานอาหารก็สง่ ผลต่อร่างกายของเราเช่นกันเพราะฉะนัน้ เพือ่ นๆต้องเลือกทานอาหารทีม่ ปี ระโยชน์หลีกเลีย่ งอาหาร ที่มี แป้ง และไขมัน ด้วยนะคะ เพียงเท่านี้เราก็จะมีเรียวขาที่สวยงามและสะโพกที่ได้สัดส่วนแล้วล่ะค่ะ ขอบคุณภาพจากรายการ Star King ที่มา : www.hellomiki.com
เรามาดูวิธีดูแลผิวรับลมหนาวแบบง่ายๆ กันดีกว่าค่ะ ดืม่ น้ำ�มากๆ (น้ำ�เปล่า) เพือ่ ชดเชยน้ำ�ทีส่ ญ ู เสียออกไปจากร่างกาย นอกจากการ ดื่มน้ำ�มากๆแล้วก็ควรพักผ่อนให้เพียงพด้วย เนื่องจากเมื่อร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ จะมีระดับฮอร์โมนจากความเครียด (cortisol) และฮอร์โมนที่กระตุ้นการสร้างเม็ดสี เพิม่ สูงขึน้ การสร้างและการซ่อมแซมคอลลาเจนลดลง สง่ ผลให้ผวิ อ่อนล้า มกี ารอักเสบ และระคายเคืองง่าย นอกจากนี้ผิวยังดูหมองคล้ำ�ไม่สดใสอีกด้วย นอกจากการดื่ ม น้ำ � และพั ก ผ่ อ นให้ เ พี ย งพอแล้ ว ควรรั บ ประทานอาหารที่ มีประโยชน์ดว้ ยโดยรับประทานอาหารให้ครบห้าหมู ่ รบั ประทานผักและผลไม้ นอกจากนี้ อาจเสริมวิตามินซีคอลลาเจนวิตามินอี น้ำ�มันปลา และสารสกัดจากเมล็ดองุ่นด้วยก็ได้ เพื่อเพิ่มการบำ�รุงจากภายใน ถึ ง แม้ ใ นเวาลาอากาศหนาวหลายๆคนอาจมี ค วามสุ ข ในการได้ น อน แช่น้ำ�อุ่น แต่อย่างไรก็ตามควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำ�อุ่นหรือน้ำ�ร้อนจัดเป็นเวลานานๆ เนื่องจากจะไปทำ�ลายน้ำ�มันตามธรรมชาติของผิว ทำ�ให้ผิวแห้งและขาดความชุ่มชื้น เลือกใช้สบู่อ่อนๆ เพื่อลดการระคายเคืองผิวซึ่งจะทำ�ใหผิวแห้ง แพ้ง่าย มาดูกันว่ายังมีวิธีอะไรบ้างในการดูแลผิวของเราให้สวยใสในช่วงหน้าหนาว หรือเวลาเดินทางไปต่างประเทศในช่วงหน้าหนาวนี้ค่ะ อย่าลืมใช้ผลิตภัณฑ์ป้องกัน แสงแดดอยู่เสมอ เพราะถึงแม้อากาศจะไม่ร้อนแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีรังสียูวี โดยเฉพาะเวลาอากาศหนาวหลายๆคนชอบเดินตากแดด หากไม่ได้รับการปกป้องผิว จากแสงแดดที่ดีพอ อาจผิวคล้ำ�ขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เลือกใช้ครีมบำ�รุงที่มีส่วนผสมของมอยซ์เจอไรเซอร์ที่เข้มข้นขึ้นกว่าปกติ โดยเฉพาะในคนที่มีผิวแห้ง อาจต้องใช้มอยซ์เจอไรเซอร์เข้มข้นพิเศษ ส่วนคนผิวมัน ก็ อ ย่ า ชะล่ า ใจเพราะหากได้ รั บ การบำ � รุ ง ไม่ เ พี ย งพอก็ มี โ อกาสผิ ว แห้ ง ลอกได้ เช่นเดียวกัน ลดการใช้ครีมและผลิตภัณฑ์บางชนิด โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์รักษาสิวและ ผลัดเซลล์ผวิ เช่น AHA , BHA และ ยากลุม่ Retinoid ซงึ่ จะทำ�ให้ผวิ แห้งลง โดยอาจ ลดเวลาในการทายา หรือ ทาวันเว้นวันก็เพียงพอ หาเวลาไปนวดหน้าและนวดตัวบ้าง เพื่อช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและระบบ น้ำ�เหลือง พร้อมทั้งรักษาสมดุลการผลิตน้ำ�มันธรรมชาติของผิว ดูแลผิวหน้าผิวกายแล้วก็อย่าลืมดูแลริมฝีปากด้วย บำ�รุงริมฝีปากด้วย ลิปบาล์มสูตรเข้มข้นสำ�หรับฤดูหนาว ถ้าจะให้ดีเลือกสูตรที่ผสมสารกันแดดด้วย เพื่อปกป้องริมฝีปากจากแสงยูวี พบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหากมีปัญหามากเกินเยียวยา เนื่องจากบางคน เมือ่ ผิวมีปญ ั หาแล้วพยายามดูแลตัวเอง แต่ผดิ วิธกี อ็ าจทำ�ให้ปญ ั หาเล็กๆบานปลาย กลายเป็นปัญหาใหญ่ได้ เช่น เคยเจอคนไข้บางคนเป็นผื่นแพ้ แต่คิดว่าตัวเองเป็นสิว ก็พยายามเอายาทาสิวต่างๆมาทา ซึ่งยาทาสิวส่วนใหญ่ทำ�ให้ผิวแห้งลง ก็จะทำ�ให้ ผิวซึ่งแพ้และระคายเคืองอยู่แล้วเป็นหนักขึ้นไปอีก ส่วนคนไข้บางคนเป็นสิวอุดตันก็ ดันคิดว่าตัวเองเป็นผื่นแพ้ก็ดันไปเอายาสเตียรอยด์มาทา ทายังไงสิวก็ไม่หาย แถม ทาติดต่อกันนานๆเจอผลข้างเคียงจากยาอีก เป็นต้น ที่มา : www.hellomiki.com
เคล็ดลับการแต่งหน้าของสาวเกาหลี เรื่องโดย : wonderstar
เวลาที่เราดูซีรี่ย์เกาหลีนอกจากอินไปกับเนื้อเรื่องแบบสุดๆแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่สาวๆหลายคนทำ�ก็คือการพิจารณาใบหน้าของนักแสดงสาวๆในเรื่องไปด้วย ทำ�ไมผิวถึง ได้ขาว เนียน ใส กันแบบนี้ล่ะ เรามาดูกันดีกว่าว่าสาวเกาหลีเขามีเทคนิคในการแต่งหน้ายังไงกันบ้าง BB Cream ย่อมาจาก Blemish Balm Cream เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็ว่าได้ บีบีครีมนั้นเหมาะมากสำ�หรับสาวๆในยุคปัจจุบัน ที่ใช้ชีวิตอย่างเร่งรีบ เพราะเจ้าบีบีครีมคือ การนำ�ไอเดียของการดูแลผิว ปกป้องและปกปิดมารวมไว้ในขั้นตอนเดียว คือ ครีมบำ�รุง ครีม กันแดด เมคอัพเบส และรองพื้น ซึ่งสาวไทยอย่างเราก็นิยมใช้บีบีครีมที่ผลิตจากประเทศเกาหลีกันมากขึ้น แต่เวลาที่จะซื้อก็ต้องเลือกให้ เหมาะกับโทนสีผิวของเราด้วยล่ะ เพราะผิวของสาวเกาหลีค่อนข้างจะสว่างกว่าสีผิวของสาวไทยนั่นเอง Tips : การเลือกบีบีครีมให้เหมาะกับโทนสีผิว โดยส่วนใหญ่จะมีผิวอยู่ 2 โทน คือ โทนสีผิวเหลือง และโทนสีชมพู ทดสอบง่ายๆ โดยการหงายข้อมือขึ้นดู ถ้าเห็นเส้นเลือดตัวเองเป็นสีม่วง แสดงว่าเป็นคนโทนสีผิวชมพู แต่ถ้าเห็นเป็นสีเขียวแสดงว่าเป็นคนโทนผิวเหลือง แต่ถ้าเป็นไปได้ ให้ทดลองที่ผิวหน้า บริเวณข้างแก้ม ที่ปราศจากเครื่องสำ�อาง เลือกสีที่ใกล้เคียงกับระดับสีผิวของใบหน้าด้วยจะดีที่สุด โดย ปกติแล้วบีบีครีมจะใช้เวลาเซทตัวกับผิวและปรับสีผิวประมาณ 1 - 3 นาที แล้วค่อยตัดสินใจว่าบีบีครีมยี่ห้อและโทนสีนั้นเหมาะสมกับผิว เราหรือไม่ แป้งฝุ่น อย่าไปคิดว่าการโบกแป้งหนาๆเข้าไปที่หน้าจะทำ�ให้หน้าเนียนใสแลดูเนียนเด้ง จริงๆ แล้วการลงแค่แป้งฝุ่นจะดีมากกว่า เพราะ แป้งพัฟบางชนิดอาจเกิดการเปลี่ยนสีเมื่อโดนเหงื่อ หรือเมื่อเวลาผ่านไป อาจจะทำ�ให้ใบหน้าดูหมองคล้ำ� และแป้งฝุ่นยังให้สัมผัสที่ดูเป็นธรรมชาติ มากกว่าแป้งพัฟอีกด้วย ซึ่งแป้งฝุ่นก็เช่นกันควรเลือกสีที่เหมาะกับสีผิวหรือสีที่ใกล้เคียงกับสีของใบหน้าที่สุด หรืออาจจะเข้มกว่าเล็กน้อย สีแป้ง ต้องไม่ขาวจนทำ�ให้หน้าลอยออกมา และต้องไม่ดำ�จนทำ�ให้หน้าดูหน้าหมอง สีแป้งที่ใกล้เคียงกับผิวหน้าจะทำ�ให้ดูดีกลมกลืนเป็นธรรมชาติ และให้ ความรู้สึกถึงสุขภาพผิวหน้าที่ดีอีกด้วย อายแชโดว์ เป็นอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้เช่นกัน ดวงตาใสๆของสาวๆเกาหลี ถ้าหากมองใกล้ๆ แล้วล่ะก็จะเห็นเลยล่ะว่าพวกเธอทาอายแชโดว์ไว้ตลอด เลย ซึ่งก็ไม่ได้เป็นสิ่งที่ยุ่งยากอะไร ขอแค่ใช้อายแชโดว์สีเบจสีประกายเล็กน้อย หรือสีชมพูอ่อน ทาไปบนเปลือกตาก่อนเขียนอายไลเนอร์ เท่านี้ ก็สวยงามได้ลุคใสๆแบบธรรมชาติแล้วล่ะ เคล็ดลับในการเลือกอายแชโดว์ก็ควรจะเลือกแบบที่ติดผิวง่าย เรียบเนียน ไม่เกาะกันเป็นกระจุก ให้ ความรู้สึกเนียนนุ่มเวลาที่ทาลงไปบนเปลือกตา และไม่ฟุ้งกระจาย เพราะอายแชโดว์แบบนี้จะไม่เกาะติดอยู่บนเปลือกตานั่นเอง มาสคาร่า อีกสิ่งหนึ่งที่ขาดไม่ได้เลย สาวๆบางคนอาจจะบอกว่าสำ�คัญกว่าอายไลเนอร์ด้วยซ้ำ� เพราะขนตางอนๆ จะช่วยให้ ดวงตาแลดูโตขึ้นและดูอ่อนโยนทุกครั้งที่กระพริบตา เพียงแค่ปัดมาสคาร่าให้เรียงตัวงอนออก รอบดวงตา ซึ่งมาสคาร่าก็มีหลายคุณสมบัติให้สาวๆได้เลือก ไม่ว่าจะเป็นแบบกันน้ำ� ปัดแล้วขนตาดูยาว งอน และดำ�ขึ้น อย่าหวังพึ่งขนตาปลอมมากเกินไปล่ะเพราะมันดูไม่ธรรมชาติ และดูเกินความจำ�เป็น จะสังเกตได้ว่าสาวๆเกาหลีจะไม่ ค่อยติดขนตาปลอมกันเพียงแค่ปัดมาสคาร่าก็สวยได้แล้วล่ะ อายไลเนอร์ ไม่เอ่ยถึงสิ่งนี้คงไม่ได้อย่างแน่นอน แต่สำ�หรับสาวไทยตาคมแล้ว การกรีดอายไลเนอร์ ที่ดูหนาเกินไป อาจจะทำ�ให้ใบหน้าดูดุ จนเกินไปก็ได้ วิธีที่ดาราเกาหลีนิยมใช้กันมากๆ เลยก็คือ การเขียนขอบตาไว้ด้านใน โดยเขียนไปตามแนวขอบตาบน ให้ชิดกับขนตาด้านใน อย่าหนาเกินแนวขนตา แค่นี้ก็ช่วยให้ดูตากลมสวยแล้ว ซึ่งอายไลเนอร์ก็มีหลายแบบให้เลือกตามความถนัด ไม่ว่าจะเป็นแบบดินสอซึ่งเป็นแบบ ที่เขียนง่ายเหมาะกับมือใหม่ หรืออายไลเนอร์แบบเจล เป็นอายไลเนอร์สูตรน้ำ�ที่ต้องเขียนด้วยพู่กันปลายเรียวเล็ก จะให้เส้นที่เรียบและคมกว่า แบบดินสอ และถ้าเป็นแบบกันน้ำ�ก็จะติดทนนานกว่าและไม่เลอะง่าย แต่จะเขียนได้ยากกว่า สำ�หรับมือใหม่ก็ต้องฝึกมือกันบ่อยๆหน่อยล่ะ ลิปกลอสการลงลิปสติกไปเลยนัน้ อาจดูจดั เต็มมากจนเกินไปและถ้าเลือกสีไม่ดกี อ็ าจจะทำ�ให้สาวๆดูมอี ายุมากกว่าเดิมได้ดังนัน้ การทา เพียงลิปกลอสบางๆ ให้ปากดูสุขภาพดี เพียงแค่นี้ก็ช่วยให้สวยและไม่หนักจนเกินไปได้แล้ว จริง ๆ แล้วสาวไทยมีข้อได้เปรียบสาวเกาหลีอยู่หลายอย่างเหมือนกันนะ ทั้งผิวสีที่ดูไม่ซีดเกินไป ทำ�ให้ดูเป็นสาวสุขภาพดี และมีตาสองชั้น ดังนั้นการแต่งหน้าด้วยลุคแบบธรรมชาติที่ดูเหมือนไม่ได้แต่งนั้นก็เพียงพอแล้ว และจะทำ�ให้สาวๆดูดีแบบไม่เกินความจำ�เป็นอีกด้วย
ที่มา : www.hellomiki.com
Bottomless Fashion เรื่องโดย : nuch
แฟชั่นฮิตของสาวเกาหลี ?
“Bottomless Fashion” เป็นแนวแฟชั่น ที่ชื่อฟังดูชวนสงสัยหน่อยใช่มั้ยคะ ที่มาของ คำ�นี้มาจากภาษาเกาหลีซึ่งจะแปลได้ว่า “(เสื้อผ้า) ท่อนล่างหายไป” (bottoms gone missing) เป็นแฟชั่นที่ได้รับนิยมมากในหมู่สาวเกาหลีมานาน 2-3 ปีแล้ว ในประเทศเกาหลี ถ้าคุณเดินไปตามถนนในกรุงโซล ถ้าลองสังเกตดูจะพบว่ามีสาวๆ หลายคน ที่ชอบ แต่งตัวด้วยเสื้อตัวใหญ่ๆ สวมคู่กับกางเกงขาสั้น แบบที่สั้นมากจนดูแล้วเหมือนกับว่า เธอคนนั้น ไม่ได้ใส่กางเกงหรือกระโปรงท่อนล่างเลย แต่ใส่แค่เสื้อตัวบนเพียงตัวเดียวเท่านั้น นี่ล่ะค่ะที่มาของ คำ�เรียก กันว่า “bottomless fashion” ซึ่งไม่ว่าอากาศในช่วงนั้นจะเป็นยังไง ฤดูร้อน ฤดูใบ้ไม้ผลิ หรือกระทั่ง ฤดูหนาวมากๆ สาวเกาหลีเค้าก็นิยมแต่งแบบนี้กันชนิดไม่มีหวั่นว่าขาจะแข็งกันเลยทีเดียว โดยช่อง KBS สถานีโทรทัศน์ใหญ่ในเกาหลี ก็เคยนำ�เสนอข่าวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2012 ทำ�นอง เป็นห่วงว่า bottomless fashion นี้เป็นแฟชั่นที่ได้รับความนิยมมากทั้งหญิงสาววัยรุ่น และวัยทำ�งาน ที่แม้ว่าจะเป็นฤดูหนาวของเกาหลี อุณหภูมิแค่ 3 องศา C เท่านั้น แต่สาวๆ ที่นั่นยังคง ใส่กางเกง/กระโปรงสั้นๆ เปลือยช่วงขาหรือสวมแค่ถุงน่องบางๆ ออกนอกบ้านกันอยู่ดี จนบางครั้งอาจ เป็นแฟชั่นที่ทำ�ร้ายสุขภาพเอาได้ เพราะการให้ขาได้สัมผัสอากาศเย็นจัดนานๆ จะส่งผลต่อระบบการ ไหลเวียนของเลือด และทำ�ให้ภูมิคุ้มกันร่างกายต่ำ� เจ็บป่วยไม่สบายได้ง่ายๆ จุดเริ่มต้นของ Bottomless Fashion อาจเป็นเพราะแฟชั่นยุค 80’s ที่กลับมาฮิตใหม่ทั่วโลก ทำ�ให้คนเริ่มนิยม ใส่เลกกิ้งหรือถุงน่องคู่กับชุดเดรส รวมทั้ง ในช่วงหนึ่งที่กระโปรงสั้นมินิสเกิ๊ตก็กลับมา อินอีกครั้ง ด้วยเช่นกัน แต่ในประเทศเกาหลีเอง คงต้องย้อนกลับไปยุคช่วงปี 1960s กันเลย เมื่อนักร้องเพลงป๊อบ “ยุนบอกฮี” คือสาวเกาหลีคนแรกที่เป็นผู้นำ�แฟชั่นมินิสเกิ๊ตให้กลายเป็นที่นิยมทั่วประเทศ ซึ่งเดิมสมัยก่อนที่นั่นยังเป็นสังคมที่ค่อนข้างอนุรักษ์นิยมอยู่ ทำ�ให้ตั้งแต่นั้นมา สาวเกาหลีก็เริ่มรัก ในแฟชั่นแบบที่ต้องโชว์ช่วงขามากขึ้นเรื่อยๆ จนมาถึงปัจจุบัน และเพราะแฟชั่นนี้ มีจุดเด่นตรงการโชว์ช่วงขาของตัวเองให้เยอะมากที่สุด ทำ�ให้หลายคนอยาก มีขาสวยงามเกลี้ยงเกลา ส่งผลให้ Wax กำ�จัดขนขาเริ่มขายดี ตามไปด้วยหรือคลินกิ ความงามทีเ่ ปิดคอร์สดูแลขาโดยเฉพาะไปเลยก็มีเกิดเป็นเทรนด์ขาเรียวเล็กไร้ไขมันส่วนเกินขึน้ มาชนิดทีพ่ อนึกถึงสาวเกาหลีก็จะนึกภาพสาวๆนุง่ สัน้ มีขาเรียวสวยมากๆ ขึ้นมาเลยใช่มั้ยล่ะคะ เรียกได้ว่านี่เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของการแต่งตัวแบบสาวเกาหลี ที่วัยรุ่นหรือวัยทำ�งาน นิยมใส่เดินถนนไปไหนมาไหนกันเป็นเรื่องปกติ ไม่เว้นแม้แต่ดารานักร้อง คนดังของเกาหลี ที่มักจะแต่งตัวสไตล์ bottomless fashion ออกสื่อหรือใส่ปกติในชีวิตประจำ�วัน ให้ได้เห็นกันบ่อยๆ จริงๆ แฟชั่นแบบนี้ หลายคนคงเคยเห็นสาวไทย แต่งกันอยู่บ้าง แต่ยังไงประเทศไทยกับประเทศเกาหลี ก็ไม่เหมือนกัน ถ้าสาวไทยจะแต่ง bottomless fashion ก็คงต้องดูกาลเทศะ เวลาและสถานที่ให้ดี ด้วยนะคะ เช่นไปวัดไปวา ก็สวมกางเกงหรือกระโปรงให้ยาวหน่อยจะดีกว่า...แต่ถ้าไปเที่ยวกับ แก๊งค์เพื่อนๆ แล้วล่ะก็ สไตล์ใครสไตล์มันเอาให้ชิคสุดๆ เต็มที่ได้เลยจ้า ที่มา : www.hellomiki.com
ไปไหว้พระที่ วัดวาวูจองซา กันดีกว่า
เปลีย่ นสีสวยๆ เป็นสีแดงสด ด้านหน้าของเศียรพระพุทธรูปจะเป็นสระน้ำ� ซงึ่ มีพระองค์ เล็กๆ วางอยู่รอบๆสระ ยาวไปจนถึงกองหินที่เป็นฐานของเศียรพระพุทธรูป บริเวณ รอบๆ วัดก็มีรูปปั้นหินสลักเณรน้อยนั่งพนมมือ และมีเหรียญ วางบนหน้าตัก หรือบน เรื่องโดย : FdubIi ตัวรูปปั้นเหมือนบ้านเราเลย ต่อไปก็จะพบกับรูปปั้นหินสลักดูเหมือนจะเป็นนกฮูกแม่ สวัสดีค่ะทุกคน วันนี้เราจะพาเพื่อนๆไปเข้าวัด!!! หยุดกรี๊ดดารา! แล้วไปเข้าวัด กับลูก มีเจดีย์ทำ�ด้วยก้อนหินดูแปลกตาไปอีกแบบนะ เมื่อเดินเข้าสู่อุโบสถซึ่งอยู่บน วาวูจองซากันดีกว่า แต่เอ๊ะ! มีใครรู้จักวัดวาวูจองซาไหมนะ? แล้วทำ�ไมต้องไปไหว้พระ เนินเขา จะพบกับที่ประดิษฐานพระนอนขนาดใหญ่ที่แกะสลักมาจากไม้ซึ่งนำ�มาจาก ที่วัดนี้กันวันนี้จะสวยขนาดไหนนะ อยากรู้แล้วหล่ะซิ ถ้าอย่างงั้นก็ตามไปดูกันเลย อินเดีย และมีความเก่าแก่ และสักสิทธิ์มากทีเดียว ส่วนบนสุดมีพระพุทธรูปปางสมาธิ สีทององค์ใหญ่ประดิษฐานอยู่ และยังมีให้ทำ�บุญซื้อหลังคาวัด แล้วให้เขียนชื่อไว้ บนหลังคาเหมือนของไทยเราเลยด้วยนะ
วันนี้เราจะมาทำ�ความรู้จักกับ ‘วัดวาวูจองซา’ กัน! ที่เลือกเอาวัดนี้มาให้ ทุกคนได้รู้จักนั้นเป็นเพราะว่า วัดวาวูจองซาเป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของประเทศเกาหลี เลยนะ นอกจากจะศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแล้ว ยังเป็นวัดที่มีเศียรพระพุทธรูปแกะสลักด้วยไม้ ความสูง 8 เมตรประดิษฐานอยู่บนกองหิน และในโบสถ์ก็ยังมีพระพุทธรูปปางไสยาสน์ แกะด้วยไม้สนที่นำ�มาจากประเทศอินโดนีเซียสูง 3 เมตรยาว 12 เมตร ให้ทุกคน ได้ไปสักการะอีกด้วยค่ะ
วัดวาวูจองซา ตั้งอยู่ในเมืองยงอิน จังหวัดคยองกีโด เป็นวัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่กลางภูเขา ทำ�ให้ได้ เห็นวิวธรรมชาติได้ที่ล้อมรอบ อย่างสวยงาม เมื่อเข้าไปยังไม่ทันถึงตัววัดก็จะเห็นเศียร พระพุทธรูปไม้สลักขนาดใหญ่มากสีทองอร่าม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่สำ�คัญของวัดนี้ เศียรพระพุทธรูปนี้มีความสูงถึง 8 เมตร วางตั้งอยู่บนกองหินขนาดใหญ่ ถ้ามองจาก ระยะไกลกองหินนี้จะดูเหมือนลำ�ตัวของพระพุทธรูป แต่ความจริงแล้วมีแค่เศียรพระ เท่านั้นที่ทำ�มาจากไม้ โดยเศียรพระพุทธรูปที่นี่ได้รับการบันทึกลงกินเนสบุ๊คให้เป็นรูป สลักจากไม้ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกด้วยน้า ก็เพราะอย่างนี้นี่เองที่นี่ถึงติดอันดับแหล่ง ท่องเที่ยวในเกาหลีใต้ ธรรมชาติที่วัดวาวูจองซาก็มีความสวยงามไปตามฤดูกาล รอบๆ ตัววัดมีต้นซากุระที่จะออกดอกสีชมพูเต็มต้นในช่วงเดือนเมษายน มีต้นเมเปิ้ลที่ใบจะ
ถ้าทุกคนได้มาเที่ยวเกาหลีแล้วหล่ะก็ อย่าลืมแวะมาวัดไหว้พระสักการะขอพรที่วัดวาวูจองซากันด้วยนะคะ รับรองว่าไม่ผิดหวังแน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความสวยงาม ของธรรมชาติทีนี้ หรือจะเป็นความสวยงามของพระพุทธรูป ที่สำ�คัญคือ วัดวาวูจองซาอยู่ไม่ไกลจากกรุงโซลมากนัก เดินทางสะดวก นอกจากจะเป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ในเกาหลีแล้ว เศียรพระสีทองอร่ามขนาด 8 เมตรที่ตั้งอยู่บนกองหินขนาดใหญ่ยังได้รับการจดบันทึกลงกินเนสบุ๊คอีกด้วยค่ะ ถ้ามีโอกาสได้ไปเกาหลีแล้วก็อยากจะแนะนำ� ให้ไปไหว้พระที่วัดนี้กันเยอะๆ นะคะ เพราะที่นี้ศักดิ์สิทธิ์แถมคนไทยยังไปเยอะอีกด้วยน้า เพื่อเป็นการยืนยันว่าคนไทยไปเยอะจริงๆ ถ้าไปไม่เยอะคงไม่ทำ�ป้ายเป็น ’ภาษาไทย’ ออกมาหรอกเนอะ ฮ่าๆ
ปิดท้ายด้วยรูปของเศียรพระพุทธรูปแกะสลักด้วยไม้ ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก การเดินทาง : การเดินทางไปวัดวาวูจองซานั้นค่อนข้างจะลำ�บากเพราะตัววัดเองตั้งอยู่บนเขา ถ้าเป็นคนท้องถิ่นก็สามารถขับรถไปเองได้ ใช้เวลาในการเดินทางไม่นาน แต่ถ้าไปกับทัวร์ก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร ค่าเข้าชม : ไม่เสียค่าใช้จ่ายใช้การเข้าสักการะพระพุทธรูปนะคะ เห็นแบบนี้แล้วก็ไปเที่ยว ไปไหว้พระกันเยอะๆ นะ ขอบอกว่าวัดวาวูจองซานั้นคนไทยไปเยอะมาก ว้าว! จบไปแล้วกับวัดวาวูจองซา เป็นอย่างไงกันบ้างคะ? เห็นแล้วก็อยากไปไหว้พระบ้างจังเลยเนอะ นอกจากจะมีพระพุทธรูปให้เราได้สักการบูชากันแล้ว ยังมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม และธรรมชาติที่น่าชมกันอีกด้วย ถ้ามีโอกาสได้ไปเกาหลีก็อย่างลืมแวะไปไหว้พระกันด้วยนะ
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ : http://utit.multiply.com/photos/album/80/80# http://www.oceansmile.com/ http://www.koreafanclub.com/index.php?topic=20.0 http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=diary-prizella&month=08-09-2009&group=1&gblog=10 http://www.jidapaenter.com/ ที่มา : www.hellomiki.com
วอร์มร่างกายก่อนรับหน้าหนาวสุดขั้วในเกาหลีกันที่ ICE GALLARY เรื่องโดย : NOELiZ ใกล้จะถึงหน้าหนาวของเกาหลีเข้ามาทุกทีๆ วันนี้เลยอยากจะพาไปวอร์มร่างกายกันแบบเบาๆก่อน ด้วยการพาไปเดินชม ICE GALLERY ชื่อดังในกรุงโซลกันค่ะ
ICE GALLERY ตั้งอยู่ที่ Jongno-gu , Hwa-dong เป็นแกลลอรี่ที่ทำ�มาจากน้ำ�แข็งแกะสลักล้วนๆ ทุกสิ่งอย่างภายในนั้น มีส่วนประกอบที่ทำ�มาจากน้ำ�แข็งทั้งหมด มีการตกแต่งด้วยต้นไม้ ดอกไม้ ของจริง (ที่ไม่ต้องหล่อน้ำ�แข็งก่อน) ประดับด้วยไฟสีต่างๆ สำ�หรับที่นี่ใครที่ไม่ได้ไปในช่วงหน้าหนาว ทางแกลลอรี่ก็จะมีเสื้อกันหนาว (ตัวใหญ่ และหนามาก)ให้บริการค่ะ ภายในนั้นอากาศก็เบาๆ แค่ -8 องศาเซลเซียสเอง ใครใจไม่หนาวพอ อย่าได้ไปเลยเชียว เดี๋ยวได้กลายเป็นน้ำ�แข็งเฝ้าแกลลอรี่ไปซะก่อนนะ ที่นี่มีการแกะสลักน้ำ�แข็งเป็นเรื่องราว ทั้งแกะเป็นสภาพชุมชนตามช่วงอากาศต่างๆ เป็นสถานที่สำ�คัญทั้งในและนอกประเทศเกาหลีใต้ เป็นแหล่งเรียนรู้วิถีชีวิตชาว บ้าน (แต่มองไม่ค่อยจะออกเท่าไหร่เพราะน้ำ�แข็งมันใสไปหมดเลย) วิถีชีวิตประจำ�วัน และยังมีโซนสอนนักท่องเที่ยวแกะสลักน้ำ�แข็งเป็นแก้วดื่มน้ำ�กันอีกด้วย นอกจากนั้น ICE GALLERY นี่ยังมีลูกเล่นด้วยการทำ�สไลด์น้ำ�แข็ง ใครขี้เกียจเดินก็มาใช้บริการเจ้าสไลด์ได้เลยค่ะ มันส์ (เล่นสไลด์กันเพลินเลยทีนี้) มี Igloo หรือบ้านน้ำ�แข็งของชาว เอสกิโมด้วย ของชาวเอสกิโมจะเป็นบ้านน้ำ�แข็งสีขุ่น แต่อันนี้ทำ�มาจากน้ำ�แข็งใสๆ อยู่ในอาร์คติกโซนของ ICE GALLERY เปิดให้บริการทั้งปี จะหนาวหรือไม่หนาว ก็เข้าไปเที่ยวชมกันได้ไม่จำ�กัดค่ะ ค่าเข้าชมอยู่ที่ 7,000 วอน เข้าชมพร้อมกันได้สูงสุด 300 คน *ไม่จำ�กัดเวลาเข้าชม เปิดให้บริการตั้งแต่ 10.00 - 19.00 น. (รับตั๋วเที่ยวสุดท้ายที่เวลา 18.00 น.) การเดินทาง นั่งรถไฟใต้ดินมายังสถาน ี Anguk สายสาม ออกประตูที่ 1 แล้วเดินตามซอยจากทางฝั่งประตูมาเรื่อยๆจนถึงห้องสมุด Jeongdok มองไปยังฝั่งตรงข้ามก็จะเห็น ICE GALLERY ค่ะ ส่วนโปรแกรมการเรียนแกะสลักน้ำ�แข็ง รับเฉพาะเด็กประถมจนถึงผู้สูงอายุ เริ่มต้นเรียนทุกต้นชั่วโมง และใช้เวลา 45 นาทีในการเรียนแต่ละครั้ง หลังจากเที่ยวชม ประติมากรรมน้ำ�แข็งเสร็จแล้ว ใครทีย่ งั หนาวเหน็บอยูเ่ ราจะพามาทานอะไรอุน่ ๆ อร่อยๆ ที่ Café Moon ร้านคาเฟ่เล็กๆทีเ่ พียบพร้อมไปด้วยของอร่อยๆด้วยสไตล์การตกแต่งร้าน สุดแสนคลาสสิค ตัวร้านจะใช้โทรสีร้อนเพื่อสร้างความอบอุ่นให้แก่ลูกค้า ซึ่งก็เหมาะมากๆค่ะสำ�หรับใครที่เข้าชม ICE GALLERY ที่หนาวติดลบกันมาหมาดๆ เมนูก็จะคล้ายๆ ร้าน คาเฟ่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นกาแฟร้อนเย็น ชาเขียว น้ำ�ผลไม้ ชาสมุนไพร และก็จะมีเบเกอรี่เล็กน้อย แต่เมนูที่ขึ้นชื่อที่สุดของร้านเห็นจะเป็นเมนูวาฟเฟิลเซ็ท “Waffle Moon Set” ค่ะ วาฟเฟิลแผ่นใหญ่ มีท็อปปิ้งเป็นผลไม้นานาชนิดแบบเต็มคำ�พร้อมด้วยไอศครีมก้อนโต 2 ลูก ราดหน้ามาด้วยซอสช็อกโกแลต มีน้ำ�ผึ้ง วิปครีม และแยมรสต่างๆแยกเป็นถ้วยมาให้เราดิปเพื่อเพิ่มความอร่อยให้แก่เซ็ทนี้ด้วยค่ะ อยากบอกว่าคุ้มค่า เต็มคำ� มากๆ เลย เราสามารถเลือกได้ว่าจะเอาไอศครีมรสใด ท็อปปิ้ง แยมรสอะไร กินคู่กับชาสมุนไพรร้อนๆ สุดยอดไปเลยล่ะค่ะ(น้ำ�ลายหกกันแล้วล่ะสิ) กาแฟที่ใช้ก็เป็นกาแฟสด คั่วกันเห็นๆหน้าร้าน ทำ�กันให้ดูแล้วก็ยกเสิร์ฟเราทันที และยังมีเมนู “Homemade Waffle” ที่จะมีวาฟเฟิลเปล่ามาให้ พร้อมกับแยมรสต่างๆ น้ำ�ผึ้ง และวิปปิ้งครีม ให้เราทำ�วาฟเฟิลในแบบของตัวเองได้ค่ะ ร้านเปิดตั้งแต่เวลา 13.00-23.00 น. ไม่มีวันหยุด ราคาเครื่องดื่มประเภทชาทั่วไปจะอยู่ที่ประมาณ 6,000-7,000 วอน กาแฟประมาณ 5,000 วอน ชาสมุนไพรประมาณ 5,000-8,000 วอน ค็อกเทลต่างๆประมาณ 7,000-8,000 วอน อ้อ! ร้านนี้เค้า ห้ามสูบบุหรี่นะคะ ส่วนการเดินทางอยู่ในถนนเส้นเดียวกัน กับทางไป ICE GALLERY แต่ร้านนี้จะอยู่ฝั่งตรงข้าม Prime Minister Legation หาได้ไม่ยากค่ะ หัวมุมถนนเลย ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ : http://korea.tlcthai.com/about-korea-ice-gallery/ http://english.visitkorea.or.kr/enu/SI/SI_EN_3_1_1_1.jsp?cid=1024682 http://blog.daum.net/samchungdong/7 http://blog.naver.com/PostView.nhn?blogId=kim_dae_hee&logNo=20126298552&parentCategoryNo=22&viewDate=¤tPage=1&listty pe=0&from=postList http://korea.tlcthai.com/about-korea-ice-gallery/ http://english.visitkorea.or.kr/enu/SI/SI_EN_3_1_1_1.jsp?cid=1089548 http://www.seoulfanclub.com/forum/viewtopic.php?f=26&t=1922 ที่มา : www.hellomiki.com
K- Pop Fever ฝันเด็กไทย
ไกลถึงเกาหลี เพี ย งไม่ น านหลั ง จากเกิ ด ปรากฏการณ์ วั ฒ นธรรมประเทศเกาหลี หลั่งไหลเข้ามาในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ ละครชุด เพลง เกินเลยไปถึงเทรนด์ แฟชั่นการแต่งตัวทรงผม ทำ�ให้มีเด็กไทยจำ�นวนไม่น้อยที่ติดอกติกใจในกระแส วัฒนธรรมเหล่านี้เฉพาะอย่างยิ่งกระแสความคลั่งไคล้เพลงเกาหลี หรือ K-Pop ที่ดู จะมีมากเป็นพิเศษ จะเห็นได้จากตาม สถานที่ต่างๆ เช่น สนามกีฬแห่งชาติ สถานนี ร ถไฟใต้ ดิ น จ ตุ จั ก ร แ ล ะ ตามห้ า งสรรพ สินค้าบางแห่ง ได้ เป็นแหล่งรวมตัว ของวัยรุ่นที่จะคอยมาจับกลุ่มกันเต้นตามแบบศิลปินเกาหลีชื่อดังที่ตนเองชื่นชอบ ไม่ว่า จะเป็นวง Tohoshinki, Super Junior, Big Bang, Shinee, Wonder Girls, Girls Generation, 2NE1, 4 Minute หรือวง 2PM เองที่มี นิชคุณ หรเวชกุล คนไทยหนึ่งเดียวที่เป็นสมาชิกของวงก็ตาม นอกจากนี้ ปัจจุบันยังมีองค์กรเอกชนต่างๆ มากมายที่คอยจัดตั้งเวทีให้วัยรุ่นไทยได้แสดงออกในการประกวดเต้น Cover Dance อันหมายถึงคือการเต้นที่ เป็นการลอกเลียนแบบทั้งการร้อง การเต้น ท่าทาง ทรงผม ของศิลปินนักร้องวงโปรดมาทั้งหมด ราวกับเป็นการแสดงจริงของศิลปินวงนั้นๆ อยู่เป็นจำ�นวนมากด้วย ส่วนสถาบันสอนร้อง เต้น ที่มีอยู่มากมาย ก็ปรับตัวหันมาสอนเต้นแนวเกาหลี กั น ถ้ ว นหน้ า เรี ย กได้ ว่ า ถ้ า สถาบั น ไหนไม่ มี ห ลั ก สู ต รการสอนร้ อ งเต้ น แนว K-Pop ก็อย่าหวังว่าจะมีเด็กเดินเข้าสมัครเรียนด้วย ปรากฏการณ์เหล่านี้บ่งบอกได้ชัดถึง กระแสบริโภคอุตสาหกรรมเพลงไทย หรือ ความเป็นวัฒนธรรมไทยกำ�ลัง “ถูกรุก” ด้วยกระแส K-Pop ที่นับวันจะแรงยิ่งขึ้น เรื่อยๆ แบบแรงไม่ตก จึงเป็นเรื่องที่น่าคิดว่าเหตุใดสภาพสังคมและพฤติกรรมการเลือก ฟังเพลงของวัยรุ่นจึงเป็นเช่นนี้ได้ คิม ฮโยมิน เจ้าของสถาบันสอนร้องเต้น K-Pop Thai Dance Academy เป็นหนึ่งในอีกหลายสถาบันของชาวเกาหลีที่เข้ามาเปิดธุรกิจสอนเต้นแนวเกาหลีใน เมืองไทย ซึ่งนอกจากจะเป็นการตอบสนองกระแส K-Pop ที่มาแรงแล้ว ยังเป็นช่องทาง การทำ�ธุรกิจที่ไปได้สวยมากๆ อีกด้วย “ปัจจุบันเรามีนักเรียนสนใจมาเรียนเต้น K-Pop ตั้งแต่ระดับอายุ 5-30 ปี มากน้อยตามแต่ช่วงเวลา โดยเฉพาะเมื่อช่วงที่ศิลปินดังๆ จากทางเกาหลีออกอัลบั้มใหม่ มาช่วงนั้นจะมีนักเรียนมาเรียนเยอะขึ้นเป็นพิเศษ มีทั้งมาเรียนแบบเดี่ยว และก็รวมกลุ่ม มาเต้นกันเองกับเพื่อนๆ อย่างผู้ปกครองเองสมัยนี้ก็ไม่ได้ดูถูกหรือกีดกันอาชีพศิลปิน นักร้อง Dancer อย่างสมัยก่อนแล้ว อย่างเกาหลีเองเขามีระบบการจัดการที่ดี ตรงที่ พ่อแม่เขาก็จะส่งเสริมลูก หากรู้ว่าลูกเขาอยากจะเป็นอะไร ก็จะส่งเสริมให้ได้ฝึกฝน อย่างหนักตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อให้ไปเป็นระดับมืออาชีพได้ในอนาคต” ครูสอนเต้น ชาวเกาหลีกล่าว ในสถาบันแห่งนี้ยังมีครูสอนที่เป็นคนไทย ชลธิศ อุดร หรือ ครูนก พูดถึงการที่ กระแส K-Pop ที่มาแรงช่วงนี้ว่า การมีอินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางที่ทำ�ให้เพลงเกาหลี เข้าถึงเด็กไทยได้งา่ ยขึน้ ถ้าเพลงไหนดังๆ ก็สามารถดูหรือโหลดได้ทางอินเทอร์เน็ต จึงทำ� ให้กระแส K-Pop ฮอตฮิตในเด็กไทย “ในความเห็นผมมองว่า วงการบันเทิงเกาหลีมีความเป็นตัวของตัวเองสูง ตัวศิลปินไม่จำ�เป็นต้องเน้นว่าสมาชิกทุกคนในวงต้องหน้าตาดี แต่เขาจะขายความเป็น
วงมากกว่า และถ้ามีชื่อเสียงแล้วก็จะมีงานตามมาตลอด ต่างจากบ้านเราที่จะเน้น หน้าตาไว้ก่อน แต่ความสามารถยังไม่ถึงตรงนี้จึงอาจเป็นสาเหตุที่ทำ�ให้เด็กไทยเอง ใฝ่ฝันอยากเป็นศิลปินที่โน่น” ครูนกเล่าอีกว่า ศิลปินเกาหลีกว่าจะออกอัลบั้มได้ต้องเก็บตัวซ้อมกับทาง ค่ายเพลงทุกวันเป็นเวลาถึง 5-6 ปี และแม้จะออกอัลบั้มไปแล้ว พวกเขาก็ยังคง ซ้อมอย่างหนักตลอดเวลา ส่วนศิลปินไทย ถ้าหน้าตาดีกจ็ บั ไปซ้อมเพียงไม่กเี่ ดือนแล้ว ก็ออกอัลบั้ม พอหมดช่วงโปรโมตก็ไม่ค่อยใส่ใจที่จะซ้อมเท่าที่ควร เป็นความฉาบฉวย มากกว่า ตรงนี้จึงทำ�ให้ความลงตัวและคุณภาพของศิลปินไทยมีน้อยลงไปเมื่อเทียบ กับทางเกาหลี “ที่วงการเพลงไทยเราซบเซาลงไปมาก เนื่องจากไทยเองมีศิลปินที่เป็น Idol ของเด็กไทยน้อยลง รวมทั้งศิลปินไทยเราเองบางกลุ่มก็เหมือนตามทางฝั่งเกาหลี มากจนเกินไปจนศิลปินไทยเราที่ออกมาบางคนก็ขาดจุดขายไป แทนที่จะตามกระแส K-Pop อย่างเดียวตรงนี้ไทยเราควรจะค้นหาเอกลักษณ์ความเป็นไทยมานำ�เสนอ ให้เป็น T-Pop มากกว่าเพื่อที่จะได้ขึ้นมาสู้กับ K-Pop บ้าง” ครูนกกล่าว ครูนกยังเล่าด้วยว่า การสอนเต้น K-Pop ของตัวเองจะเริ่มสอนตั้งแต่ ท่าพื้นฐานการยืดกล้ามเนื้อ การแยกประสาทสัมผัสตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นแขน คอ ไหล่ จากนั้นจึงเป็นการเต้นท่าพื้นฐานประกอบเพลง แล้วจึงสอน ท่ายากท่าง่ายไปตามระดับของการเต้น ในความเห็นของ อัจฉรียา อำ�ไพรัตน หรือ ครูส้ม จากสถาบันสอนเต้น Evolution Dance คล้ายๆ กับครูนอกที่เห็นว่า ช่วงนี้กระแสของเกาหลีค่อนข้าง ที่จะแรง เด็กที่มาเรียนเต้น K-Pop กับสถาบันก็จะมีตั้งแต่ 8-20 ปี ส่วนสถาบัน จะสอนร้องเต้นตัง้ แต่ในระดับพืน้ ฐานการเต้น สไตล์การเต้น การฟังการแกะเพลงของ K-Pop ไม่ใช่ไปลองเต้น Cover กันเองแบบผิดๆ “จริงๆ อยากให้เด็กไทยอยู่กับวัฒนธรรมไทย การสอนนักเรียนจึงได้เน้นย้ำ� ไปด้วยถึงการใส่เอกลักษณ์ความเป็นไทย ความเป็นตัวเองลงไปด้วย เพราะแต่ละคน ต่างก็มีเอกลักษณ์ส่วนตัวที่ต่างกัน บางครั้งการใส่ความเป็นตัวของตัวเองลงไปจะ ทำ�ให้ดูดีกว่าไปเลียนแบบเขาทั้งหมด” ครูส้มกล่าว
ทรงวุธ วิเศษศุภลักษณ์ หรือแบ็ค นักศึกษาชั้นปีที่ 4 จาก ม.อัสสัมชัญ สมาชิกจากทีม S-Question ผู้ชนะเลิศในการประกวดเต้น K-Pop Cover Dance ในเวที Korea Dance Fever Contest ที่จัดโดยห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล บอก ว่า จุดเริ่มการรวมตัวของวงมาจากการที่เพื่อนๆ ในกลุ่มชื่นชอบเพลงและศิลปิน เกาหลี โดยเฉพาะวง 2PM จึงได้ใช้เวลาหลังเลิกเรียนและในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ถือวิทยุไปหนึ่งเครื่องพร้อมอุปกรณ์เชื่อมต่อเพลง รวมกลุ่มกันไปซ้อมเต้นกันตาม สนามกีฬาแห่งชาติ หรือไม่ก็สถานนีรถไฟฟ้าใต้ดินที่จตุจักร ซึ่งการได้มารวมกลุ่ม เต้น นอกจากจะได้เพื่อนใหม่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังได้ออกกำ�ลังกาย กล้าแสดงออก ต่าง จากก่อนหน้านี้ที่เป็นคนขี้อาย แต่พอได้แสดงบ่อยครั้งขึ้นก็จะสามารถสู้หน้าผู้ชมได้ ในการซ้อมเต้นก็จะดูและแกะท่าเต้นจากศิลปินวงโปรดกันเอง จากนั้นมาจึง ได้ออกตระเวนไปประกวดตามเวทีต่างๆ กว่า 10 เวที จนล่าสุดถึงมาได้รางวัลในการ ประกวดเต้นที่เวที Korea Dance Fever Contest ด้วยเพลง Don’t Stop Can’t Stop และ Without U ของวง 2PM “ทีผ่ มชอบศิลปินเกาหลี เพราะเพลงของดูมคี วามน่าสนใจกว่า มีทา่ เต้นทีเ่ ป็น
เอกลักษณ์ของตัวเอง ดูแข็งแรงกว่าของไทยเรา อาจเป็นเพราะพวกเขามีการซ้อมที่นานกว่าเรา และถึงแม้เพลงจะฟังไม่ออก แต่ก็ยังทำ�ให้รู้สึกสนุกไปด้วยได้เลย” แบ็คกล่าว ไพลิน จิตรเอื้อใจสุข หรือ พิม, แพรวา ฤทธิ์เกษม หรือ แพรว และ รุจรวี ว่องไพศาล หรือ ซันนี่ 3 สาวน้อยนักเรียนชั้น ป.6 จาก รร.เลิศหล้าถนนเกษตร-นวมินทร์ ที่หอบกระเป๋ามาเรียนเต้น K-Pop หลังเลิกเรียนที่สถาบัน K-Pop Thai Dance Academy บอกว่า ที่เลือกที่จะมาเรียนเต้น K-Pop เนื่องจากอยากจะเต้น ตามศิลปินนักร้องเกาหลีได้ เพราะศิลปินเกาหลีเขาดูเต้นเก่ง ร้องเพลงก็เพราะ และก็ยังหน้าตาดีอีกด้วย โดยเฉพาะกลุ่มศิลปินโปรดอย่างวง Super Junior, Shinee และ Girls Generation นอกจากนี้ การมาเรียนเต้นยังทำ�ให้เกิดความรู้สึกสนุกผ่อนคลายจากการเรียนได้ และยังจะได้รู้อีกด้วยว่าทางคนเกาหลีเขาเต้นกันยังไง และมีทักษะ การเต้นกันยังไงด้วย “ถ้าถามพวกหนูว่าศิลปินเกาหลีกับนักร้องไทยเป็นยังไง พวกหนูว่าทางเกาหลีเขาใส่ความมันส์ ความสนุกมากกว่า และเขายังทำ�ให้พวกคนดูมีส่วนร่วม เวลาทั้งการร้อง การเต้นอย่างเต็มที่ 100% เลยล่ะค่ะ แต่ของไทยเท่าที่หนูดู ทำ�ได้แค่เพียง 10% ของเขาเท่านั้นเอง” ซันนี่กล่าว. ที่มา http://www.thaipost.net/node/24375
ทีม Next School ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ในการประกวด Kpop Cover Dance Festival 2011 ประเทศเกาหลีใต้
ORANGE CARAMEL ยูนิตย่อยเกิร์ลกรุ๊ปที่ประสบความสำ�เร็จที่สุด เรื่องโดย : NOELiZ
ย้อนไป 2 ปีที่แล้ว ในขณะที่วงการเกิร์ลกรุ๊ปกำ�ลังแข่งขันกันอย่างดุเดือดไม่ว่าจะเป็นการคัมแบ็คของเหล่าตัวแม่ทั้งหลาย และการเดบิวต์ใหม่ของเหล่าเด็กน้อย ที่พึ่งเริ่ม และ 1 ในนั้นเราก็ได้เห็นการเดบิวต์ยูนิตย่อยจากวงเกิร์ลกรุ๊ปแนวหน้าอย่าง AFTERSCHOOL ในตอนนั้น AFTERSCHOOL กำ�ลังโปรโมทเพลง BANG! ที่มีความพิเศษในการโชว์ด้วยการนำ� Drum Line เข้ามาโชว์ร่วม เรียกเสียงฮือฮาและ ชื่นชมในความสามารถอันหลากหลายและโดดเด่นของพวกเธอ ณ ขณะนั้นเรารู้ดีกันอยู่แล้วว่า AFTERSCHOOL เป็นวงที่มีดีกรีความเซ็กซี่ทรงพลังเต็มเปี่ยม แต่ หลังจากสิ้นสุดการโปรโมทเพลง BANG! ทางค่าย Pledis ได้ปล่อยโปรเจคต์ใหม่ ที่ขัดกับภาพลักษณ์ของวงในขณะนั้นออกมา และใช้ชื่อว่า ORANGE CARAMEL หรือคาราเมลรสส้ม ที่ทั้งเปรี้ยวอมหวานและน่ารักสดใส โดยการนำ�สมาชิกที่อายุน้อยที่สุดทั้ง 3 คนของวง ออกมาทำ�เป็นโปรเจคต์นี้ ได้แก่ เรนะ นานะ และลิซซี่ และ สลัดคราบสาวเซ็กซี่ในตัวออกไป เป็นสาวน้อยวัยหวานที่มีความน่ารัก ความทะเล้น และความสดใสในตัว ซึ่งเรนะเป็นตัวแทนของความสดใส นานะเป็นตัวแทนของความ น่ารัก และลิซซี่เป็นตัวแทนของความทะเล้นน่าหยิก ทั้งหมดนี้คือตัวตนที่ใกล้เคียงตัวจริงที่สุดของพวกเธอ เพลงเปิดตัวเพลงแรกใช้ชื่อว่า Magic Girl ที่เผยความน่ารัก แบบเต็มพิกัด เพียงแค่เพลงแรก ก็ได้ใจแฟนเพลงโดยเฉพาะแฟนบอยไปไม่ใช่น้อย และเพลงนี้ก็ไปได้ไกลถึงอันดับ 18 ใน Gaon chart อีกทั้งในมินิอัลบั้มแรกยังมีเพลงช้า ที่คัฟเวอร์มาจากนักร้องคนดังระดับโลกอย่าง M2M กับเพลง The day you went away ในเวอร์ชั่นภาษาเกาหลี ที่เพราะไม่แพ้ต้นฉบับ ตอกย้ำ�ความแรงและน่าสนใจ อีกครั้งด้วยการปล่อยมินิอัลบั้ม 2 เพลง A~ing ที่มีธีมหลักเป็นเด็กสาวในนิทาน ไม่ว่าจะเป็นหนูน้อยหมวกแดง สโนไวท์ ซินเดอเรลล่า ที่ดูจะเป็นฉบับประยุกต์ไปค่อนข้างมาก แต่ก็ยังคงความน่ารักแบบสุดขั้วเหมือนเดิม และแรงกว่าเดิมด้วยการไปถึงอันดับที่ 5 ใน Gaon Chart มีเพลงซึ้งๆเศร้าอย่างเพลง Not Yet ที่โชว์เสียงหวานๆ ของทั้ง 3 คนด้วย จากนั้นไม่นานก็ได้มีการเสนอโปรเจคซิงเกิ้ล One Asia โดยการทำ�เพลงที่มีธีมเป็นเมืองหลวงของประเทศต่างๆ ในแถบเอเชีย โดยเปิดตัวด้วยธีม จากกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ในเพลง “Bangok City” ที่เล่าถึงกรุงเทพฯ เมืองที่ไม่เคยหลับใหลและเต็มไปด้วยสีสันในยามค่ำ�คืน ต่อมาด้วยเพลง “Shanghai Romance” เมืองเซี่ยงไฮ้ จากประเทศจีน ที่ดนตรีมีกลิ่นอายของความ เป็นจีนอยูม่ ากรวมทัง้ การโชว์แต่ละครัง้ ทำ�ให้ผชู้ มลุน้ ว่าการขึน้ โชว์ตล่ ะครัง้ พวกเธอจะใส่ชดุ อะไรและมิวสิควีดโี อเพลงนีก้ น็ า่ รัก ทะเล้นไม่แพ้ใคร เป็นเพลงแรกที่ดึงความตลกขบขันในตัวสาวๆออกมาใช้ พิเศษอีกอย่างที่ผู้แต่งเพลงนี้คือ ฮีชอล จากวง Super Junior หลังจากนี้ก็มีเพลงพิเศษ Funny Hunny เป็นเพลงสไตล์ funky retro ยุค 80 มีมิวสิควีดีโอเป็นตัว การ์ตูนน่ารักๆเป็นเพลงสุดท้ายก่อนที่พวกเธอจะไปเดบิวต์ยูนิตย่อยนี้ที่ญี่ปุ่น โดยหนีบเพลง Shanghai Romance ไปแปลงเป็นภาษาญี่ปุ่นเพื่อเปิดตัว และหายจากวงการเพลงเกาหลีไปพักใหญ่ ปี 2012 พวกเธอได้เดบิวต์ที่ญี่ปุ่นอย่าง เต็มตัวด้วยเพลง “My Sweet Devil” ภายใต้การดูแลของค่าย Avex เรียกได้ว่าแทบจะเนยูนิตย่อยกรุ๊ปแรกๆ ที่ เดบิวต์ซงิ เกิล้ ภาษาญีป่ นุ่ เต็มตัว นอกเหนือจากนัน้ จะเป็นการนำ�เพลงไปแปลงให้เป็นเวอร์ชนั่ ภาษาญีป่ นุ่ แทนซะส่วนมาก ก่อนจะกลับมามีผลงานยูนติ ในเกาหลีอกี ครัง้ กับอัลบัม้ เต็มครัง้ แรกของพวกเธอทัง้ 3ทีใ่ ช้ชอื่ ว่า“Lipstick” กับเพลงเปิดตัวชือ่ เดียวกับอัลบัม้ ทีส่ ดใส น่ารัก ทะเล้น ครบรส ถ้าใครได้ชมมิวสิควีดโี อคงต้องยิม้ ตามทัง้ เพลง เพราะทัง้ สามสาวปล่อยพลังรั่วสุดขีด แต่น่ารักสุดโต่ง สลัดคราบสาวเซ็กซี่หลังจากพึ่งคัมแบ็คร่วมกับวง AFTERSCHOOL ในเพลง Flachback ไปหมดสิ้น เรียกได้ว่าพวกเธอน่าจับตามองและประสบความสำ�เร็จอย่างมากในนาม Orange Caramel จนมีแฟนๆบางส่วนเชียร์ให้พวกเธอออกจากวงเดิมแล้วมาสานต่อยูนิตนี้แทน แต่ก็คงจะเป็นไป ได้ยาก เพราะอย่างไรพวกเธอก็คือ 1 ในสมาชิกที่เกิดมากับวง AFTERSCHOOL และพวกเธอก็ทำ�หน้าที่ทั้งสองวง ได้ดีเท่ากัน เพราะฉะนั้นใครที่อยากรู้จักพวกเธอมากขึ้นกว่าเดิมก็อย่าลืมติดตามพวกเธอใน Facebook Fanpage “ORANGE CARAMEL” หรือ Facebook Fanpage “Afterschool” ได้นะคะ และช่วยเป็นกำ�ลังใจ เป็นแรงเชียร์ ให้พวกเธอประสบความสำ�เร็จเรื่อยๆต่อไปด้วย ที่มา : www.hellomiki.com
Top 5 2013.01.01 No.1 I GOT A BOY Artis : Girls’ Generation S.M.Entertainment
No.2 Dancing Queen Artis : Girls’ Generation S.M.Entertainment
No.3 Express 999 Artis : Girls’ Generation S.M.Entertainment
No.4 Return Artis : Lee Seung Gi LOEN Entertainment
No.5 Caffeine Artis : Yang Yoseop Cube Entertainment