Ca322 week05 printed media process planning

Page 1

นศ 322 การออกแบบและผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ [CA 322 Printed Media Design and Production] รวมรวม/เรียบเรียง โดย อาจารย์ณัฏฐพงษ์ สายพิณ (ปีการศึกษาที่ 2/2558)

ส า ข า วิ ช า นิ เ ท ศ ศ า ส ต ร์ บู ร ณ า ก า ร ค ณ ะ ศิ ล ป ศ า ส ต ร์ ม ห า วิ ท ย า ลั ย แ ม่ โ จ้

กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ • • • • • • • • •

ขั้นตอนในการวางแผนการผลิต การประมาณราคาสิ่งพิมพ์ บุคลากรในการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ ธุรกิจการพิมพ์ กระบวนการวางแผนก่อนการผลิต(Prepress) กระบวนการในขั้นตอนการผลิต (Press) กระบวนการในขั้นตอนหลังการพิมพ์(Afterpress) การตรวจสอบไฟล์งาน การเตรียมไฟล์ส่งโรงพิมพ์


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 2 ขั้นตอนในการวางแผนการผลิต ในการวางแผนเพื่อผลิตสื่อสิ่งพิมพ์นั้น จุดประสงค์หลักคือเพื่อให้ทราบความต้องการในการใช้สิ่งพิมพ์นั้นๆ ควบคุม ต้นทุนการผลิต สามารถผลิตเสร็จทันเวลาและมีคุณภาพ นอกจากบุคลากรในองค์กรผลิตสื่อสิ่งพิมพ์แล้ว นักออกแบบทํางาน ร่วมกับลูกค้าเพื่อทําความเข้าใจกับวัตถุประสงค์และเนื้อหาที่ต้องการจะสื่อ นักออกแบบอาจต้องค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ ผู้ดูหรือกลุ่มเป้าหมาย เช่นลักษณะการดําเนินชีวิต มุมมอง ทัศนคติและความชอบ เมื่อสามารถกําหนดแนวคิดของการออกแบบ แล้วกระบวนการร่างแบบจึงเริ่มต้นขึ้น สามารถจัดลําดับขั้นตอนการออกแบบได้ดังนี้ 1. ศึกษากลุ่มเป้าหมาย การที่จะทําให้งานออกแบบได้รับความสนใจ ผู้ออกแบบควรจะสื่อในสิ่งที่ผู้ดูเข้าใจ สนใจ หรือชอบใจ จึงควรมีการศึกษาผู้ดูก่อนเพื่อให้งานออกแบบออกมาได้โดนใจ 2. กําหนดวัตถุประสงค์ของงาน เมื่อทราบว่างานออกแบบน่าจะมีเนื้อหาหรือเรื่องราวในแนวใด มีมโนทัศน์ (Concept) เป็นอย่างไร การกําหนดวัตถุประสงค์ของงานนี้ให้ดูภาพรวมของโครงการทั้งหมดเพื่อการวางแบบจะได้ เป็นไปในทิศทางเดียวกันและสอดคล้องกัน เช่น การทําแผ่นพับโฆษณาสินค้าตัวหนึ่ง ให้ดูว่าสินค้าตัวนั้นมีมโนทัศน์ (Concept) อย่างไร รูปแบบ สีสัน ฯลฯ เป็นอย่างไร ตลอดจนการทําสื่ออื่น ๆ สําหรับสินค้านี้เป็นอย่างไร 3. กําหนดลักษณะของงานให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่กําหนดไว้ ตั้งแต่รูปแบบของสิ่งพิมพ์ เช่น เป็นแผ่นพับ หรือ โบรชัวร์ หรือ โปสเตอร์ หรือมีจํานวนหน้ามากๆ เช่น หนังสือพิมพ์ ฯลฯ วัสดุที่ใช้สําหรับพิมพ์ 4. การดําเนินเนื้อเรื่อง แนวภาพที่จะนํามาประกอบ ลักษณะตัวอักษรที่ปรากฏ สีสัน ตลอดจนงบประมาณที่จะใช้ 5. เรียบเรียงเนื้อหา หัวเรื่องหลัก หัวเรื่องรอง รวบรวมภาพประกอบ (หากมี) หรือหาแนวลักษณะภาพที่ต้องการ มาประกอบในชิ้นงาน ภาพดังกล่าวอาจเป็นภาพถ่าย ภาพกราฟิก 6. เลือกรูปแบบและการวางผัง (Layout) ที่เหมาะสมกับงาน 7. ทําการวางแบบเลย์เอาต์ นําส่วนประกอบต่างๆมาลองวางลงในหน้ากระดาษ เพื่อดูว่ามีมากพอหรือไม่ ต้องการเพิ่มเติม ส่วนใด หรือต้องตัดอะไรออก ดูความเข้ากันของส่วนประกอบทั้งหมดโดยใช้องค์ประกอบศิลปะช่วยในการจัด 8. ตรวจสอบแบบที่จัดทําขึ้นว่าตรงกับวัตถุประสงค์ที่วางไว้หรือไม่ น่าสนใจเพียงใด ยังผลให้โครงการประสบความสําเร็จ เพียงใด ในงานประเภทบรรจุภัณฑ์อาจมีการนําบรรจุภัณฑ์ของคู่แข่งมาเปรียบเทียบดูจุดเด่นจุดด้อย ในบางโครงการ ที่สําคัญและใช้งบประมาณสูงโดยเฉพาะงานที่มีผลทางการตลาด อาจต้องทําการวิจัยทดสอบปฏิกริยาที่มีต่อสิ่งพิมพ์นั้น 9. หนดลักษณะของส่วนประกอบต่างๆของงานที่เหมาะสม เช่น แบบ ขนาดของตัวอักษรที่ใช้ในส่วนต่าง ๆ ของเนื้อหา 10. ทําการถ่ายภาพต่าง ๆ ที่ใช้ประกอบในชิ้นงานหากยังไม่มีมาก่อน ซึ่งอาจต้องอาศัยมืออาชีพพร้อมอุปกรณ์การถ่ายภาพ ในการจัดทําเพื่อให้ภาพที่ออกมาดูดีมีคุณภาพซึ่งจะยังผลให้ชิ้นงานประสบความสําเร็จตามวัตถุประสงค์ หากต้องใช้ ภาพทีเ่ ป็นภาพกราฟิก ก็ให้ทําการสร้างและตกแต่งภาพขึ้นซึ่งปัจจุบันใช้โปรแกรมกราฟิก เช่น Adobe Photoshop, Illustrator ในการจัดทํา ในกรณีภาพถ่ายที่ได้มาหากยังไม่สมบูรณ์ตามที่ต้องการ ก็ใช้โปรแกรมกราฟิกมาตกแต่งเพิ่มเติมได้เช่นกัน 11. การทําต้นฉบับเหมือนพิมพ์ อาร์ตเวิรก์ (artwork) นําแบบร่างที่ลงตัวถูกต้องแล้ว มาทําให้เป็นขนาดเท่าของจริง ทั้งภาพและตัวอักษร ช่องไฟ และงานกราฟิกทุกอย่าง ซึ่งปัจจุบันจะใช้โปรแกรมจัดทําอาร์ตเวิร์กเช่น Adobe Indesign, Illustrator เป็นต้น 12. ทําการตรวจทาน ดูความถูกต้องของภาษา ความเหมาะสมของรูปภาพ และการจัดวาง 13. แก้ไขรายละเอียดและปรับแต่งขั้นสุดท้าย นําส่งโรงพิมพ์เพื่อทําการจัดพิมพ์ ต่อไป อนึ่งเพื่อป้องกันปัญหาในการจัดพิมพ์ ที่อาจเกิดจากการออกแบบ


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 3 ผังแสดงขั้นตอนการจัดเตรียมและการวางแผนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ ระดับบริหารที่เกี่ยวข้องจัดประชุม เพื่อ ต้นฉบับ

จัดเตรียม

จัดการ

วางแผนการผลิต

ผู้เขียน/ผู้เรียบเรียง ผู้เขียน/ผู้เรียบเรียง

นําเข้าปรึกษากับทางโรงพิมพ์ เพือ่ สอบเปรียบเทียบราคา

ผู้เขียน/ผู้เรียบเรียง จัดหางบประมาณ ดําเนินการจัดจ้าง และจัดพิมพ์

กําหนดวันเวลาใช้สื่อ กําหนดระยะเวลาในก ารผลิตสื่อ ตั้งแต่ การจัดเตรียมต้นฉบับไ ปจนถึงการทํางานของ โรงพิมพ์

กําหนดบุคลากร ผู้รวบรวมต้นฉบับ ผู้ออกแบบ ผู้รับผิดชอบ ติดต่อประสานงาน กับโรงพิมพ์

การประมาณราคาสิ่งพิมพ์ หมายถึงการประมาณการใช้จ่ายที่ต้องดําเนินการจัดทําสิ่งพิมพ์ตามที่ต้องการ โดยวิธีการคํานวณจากองค์ประกอบ และปัจจัยต่างๆ ที่ใช้ในกระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ให้ออกมาใกล้เคียงหรือตรงกับความเป็นจริงมากที่สุด (กฤษณ์ พลอยโสภณ : 2542) การประเมินราคา เป็นการติดต่อ การเจรจากับลูกค้า เกี่ยวกับการคํานวณค่าใช้จ่ายในการพิมพ์ มีการเสนอราคา และการต่อรอง เหมือนการซื้อขายสินค้าหรือบริการทั่วไป การประเมินราคามีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของโรงพิมพ์และคุณภาพของสิ่งพิมพ์


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 4 จึงควรคํานวณให้พอเหมาะพอดี ถ้าประเมินราคาตํ่าเกินไป อาจจะไม่คุ้มทุน และถ้าเกินไป การว่าจ้าง อาจจะไม่เกิดหรือเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ยิ่งถ้าลูกค้าทราบภายหลังว่าราคาสูงมากไป อาจจะทําให้เกิดความรู้สึกที่ไม่ดีแก่โรงพิมพ์ได้ ผู้ประเมินราคาต้องมีความรู้ในกระบวนการผลิตสิ่งพิมพ์ วัสดุ และอุปกรณ์ต่างๆเป็นอย่างดี ซึ่งเรียกรวมๆว่าทุน เช่น ราคาวัสดุอุปกรณ์ในปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ (งานพิมพ์บางชิ้นต้องใช้เวลาเป็นเดือน ระหว่างนั้นราคาวัสดุอาจขึ้นทําให้การคํานวณคลาดเคลื่อน ค่าแรงเวลา ค่าสึกหรอของเครื่องจักรกล กําไร แม้ว่าการประเมินราคาสิ่งพิมพ์จะพิจารณาจากต้นฉบับสิ่งพิมพ์ ก็ควรจะประเมินราคาอย่างมีกฏเกณฑ์ อย่าประเมินราคาโดยการเดา หรือเพียงเพื่อให้ได้งาน ผลที่ตามมาจะได้ไม่คุ้มเสีย ข้อคํานึงในการประเมินราคางานพิมพ์ (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.2530 : 351) 1. ราคาที่ประเมินต้องขึ้นอยู่กับสภาพที่เป็นจริง และค่าใช้จ่ายอื่นๆที่สมเหตุสมผล จะทําให้เกิดการผิดพลาดน้อยที่สุด 2. ราคาที่เสนอต่อลูกค้าต้องรวมกําไรที่เหมาะสม ต้องครอบคลุมถึงผลประโยชน์ที่ได้รับจากการลงทุนด้วย จะมากหรือน้อยเพียงใดควรกําหนดเป็นนโยบายของบริษัทซึ่งจะทําให้เป็นแนวทางการปฏิบัติได้อย่างถูกต้อง 3. วิธีการประเมินราคาต้องเชื่อถือได้ มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอน การเปลี่ยนแปลงราคาที่นําเสนอโดยไม่สมเหตุสมผล จะทําให้ลูกค้าเกิดความสงสัย ไม่แน่ใจว่าเป็นราคาที่เหมาะสมหรือไม่จนอาจทําให้เกิดเป็นผลเสียหายและการไม่จ้างงานได้ ตัวอย่างการประเมินราคา ต้องการพิมพ์หนังสือหนา 48 หน้า (6ยก) ขนาด 8 หน้ายกพิเศษ เข้าเล่มไสกาว 1,000 เล่ม • ค่าเรียงพิมพ์ยกละ 500 บาท จํานวน 6 ยก เป็นเงิน 3,000 บาท • ค่าจัดอาร์ตเวิรก์ ยกละ 400 บาท จํานวน 6 ยก เป็นเงิน 2,400 บาท • ค่าทําเพลท แม่พิมพ์กะ 500บาท จํานวน 6 ยก เป็นเงิน 3,000 บาท • ค่าพิมพ์ยกละ 600 บาท จํานวน 6 ยก เป็นเงิน 3,600 บาท • ค่าเข้าเล่มไสกาวเล่มละ 1 บาท เป็นเงิน 1,000 บาท • ค่ากระดาษ (คํานวณเป็นรีม) 20,000 บาท • บวกกําไร 10% (3,000) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 36,000 บาท สรุป ธุรกิจการพิมพ์ในประเทศไทยเป็นทั้งธุรกิจการผลิตและการบริการที่มีรายได้ดีพอสมควร ทําให้มีการพัฒนาระบบการพิมพ์ วัสดุอุปกรณ์ และเครื่องมือต่างๆจนเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ ธุรกิจการพิมพ์มีหลายประเภท เช่น การผลิตหนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ การจัดทําต้นฉบับ (เป็นหน้าที่โดยตรง ของนักออกแบบนิเทศศิลป์) การทําแม่พิมพ์ โรงพิมพ์ซึ้งต้องมีการประเมินราคา โดยควรจะประเมินราคาตามสภาพที่เป็นจริง มีระบบหรือวิธีการประเมินราคาที่เหมาะสม และมีผลกําไรพอที่จะทําให้เจริญเติบโตหรือสามารถดําเนินงานต่อไปได้ บุคลากรในการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ การวางแผนเพื่อการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์จะสําเร็จและมีคุณภาพตามที่ผู้ผลิตต้องการได้นั้น ยังขึ้นกับองค์ประกอบในด้านบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ 2 กลุ่มด้วยกัน (บุญชัย วลีธรชีพสวัสดิ์ : 2542) คือ 1. ผู้บริหาร หรือ ผู้มีอํานาจสั่งการ 2. ผู้ปฏิบัติงาน หรือ ผู้รับคําสั่ง คุณสมบัติของผู้บริหารในการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ 1. มีประสบการณ์ในงานด้านสื่อสิ่งพิมพ์ไม่มากก็น้อย 2. มีการวางแผนการทํางานที่ดี 3. มีวิสัยทัศน์ที่ดีในการเลือกใช้บุคลากรเพื่อรับผิดชอบงาน


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 5 4. รู้จักเหตุและผล มีจุดยืนอยู่กับความเป็นจริง มิใช่การคาดคะเน 5. เป็นผู้พูดหรือผู้สั่งงานที่ดี พร้อมกับเป็นผู้ฟังที่ดี หากมีข้อโต้แย้งหรือสะท้อนจากผู้รับคําสั่ง คุณสมบัติของผูป้ ฏิบัติงานในการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ 1. มีความรู้และประสบการณ์ในงานที่ตัวเองรับผิดชอบดีพอ 2. มีความละเอียด รอบคอบ รู้จักวางขั้นตอนในการทํางานที่ถูกต้อง รับผิดชอบ 3. ซื่อสัตย์ 4. เป็นผู้รับฟังคําสั่งที่ดี มีเหตุผล รู้จักกาลเทศะในการที่จะโต้แย้ง มีมารยาทและวาจาที่สุภาพ ธุรกิจการพิมพ์ ธุรกิจการพิมพ์ เป็นทั้งธุรกิจการผลิต การจัดการและการบริการควบคู่กันไป ในสมัยก่อน การพิมพ์เป็นธุรกิจขนาดเล็ก ดําเนินการโดยเจ้าของคนเดียว คนกลุ่มเดียว เป็นธุรกิจในครอบครัว เจ้าของมักจะดําเนินการทุกขั้นตอนด้วยตนเอง ต่อมาเมื่อวิทยาการและเทคโนโลยีทางการพิมพ์เจริญก้วหน้ามากขึ้น ธุรกิจการพิมพ์ก็ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไป ขยายตัวออกไป การจัดการพิมพ์ในยุคใหม่เป็นเรื่องญแพาะเจาะจง จึงมักพบว่า ผู้ที่รู้วิชาการพิมพ์ แต่ไม่รู้วิชาด้านการจัดการ หรือมีความรู้ทางด้านการจัดการแต่ขาดความรู้ทางด้านกระบวนการพิมพ์(กําธร สถิรกุล 2530 : 2) งานพิมพ์ในปัจจุบันได้รับการพัฒนาก้าวหน้าขึ้นอย่างมาก นับเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ และมีหลายระดับ ตั้งแต่ดําเนินการทุกอย่างตั้งแต่เริ่มต้นจนสําเร็จด้วยตนเอง จนถึงดําเนินการเป็นกลุ่ม เป็นห้างหุ้นส่วน เป็นบริษัท ดําเนินการด้วยเครื่องจักร เครื่องมือต่างๆ เช่น สํานักพิมพ์ โรงพิมพ์ ร้านทําเพลทแม่พิมพ์ เข้าเล่มไสกาว จนปัจจุบันนับได้ว่า สิ่งพิมพ์เป็นส่วนหนึ่งของการดําเนินชีวิตในสังคม สิ่งพิมพ์เป็นสิ่งสําคัญสิ่งหนึ่งที่แทรกอยู่ทุกวงการ ทั้งด้านวิชาการ เป็นเอกสารตํารารวบรวมความรู้ในสาขาต่างๆ การบันเทิง การส่งเสริมธุรกิจการค้า และการเกษตรต่างๆ ซึ่งมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจและสังคม การเมืองการปกครอง จนทําให้ธุรกิจสิ่งพิมพ์ขยายตัวมากขึ้นเพื่อสนองตอบความเปลี่ยนแปลงของสังคม นอกจากนี้ผลประโยชน์ทางอ้อมอันเนื่องมาจากการพิมพ์ เช่น การโฆษณาในสิ่งพิมพ์นบั เป็นรายได้ที่ดี ซึ่งในบางครั้งกลายเป็นรายได้หลักที่หล่อเลี้ยงสิ่งพิมพ์นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หนังสือพิมพ์รายวันบางฉบับมีรายได้เฉลี่ยวันละ 10 ล้านบาท (ยังไม่ได้หักค่าใช้จ่ายอื่นๆ) บทบาทของสิ่งพิมพ์ดังกล่าว ทําให้มีการศึกษาค้นคว้า พัฒนา สิ่งพิมพ์ ระบบและเครือ่ งพิมพ์ อุปกรณ์ รวมทั้งเทคโนโลยีการพิมพ์ต่างๆ ทั้งที่นําเข้าและสร้างขึ้นใช้เองภายในประเทศ ( โรงพิมพ์ขององค์การค้าคุรุสภา สามารถสร้างเครื่องพิมพ์ออฟเซท 4 - 5 สี ขึ้น มีราคาถูกและใช้งานได้ดีมาจนปัจจุบัน ) นอกจากนี้กระบวนการผลิตสิ่งพิมพ์ ยังสามารถแยกเป็นธุรกิจย่อยๆได้อีก เช่น การหล่อตัวเรียง การจัดหน้าทําต้นฉบับสิ่งพิมพ์ การทําตัวเรียงจากเครื่องคอมพิวเตอร์ การทําเพลท ทําแม่พิมพ์ สํานักพิมพ์ การเข้าเล่มสําเร็จ การอาบมัน การอาบยูวี สายส่งและการจัดจําหน่าย เป็นต้น ประเภทต่างๆของธุรกิจการพิมพ์ การผลิตสิ่งพิมพ์ ส่วนใหญ่จะทํารวมกันไป ทั้งนี้เพราะแท่นพิมพ์มีประสิทธิภาพสูง สามารถพิมพ์งานได้หลายๆอย่าง อันเป็นการใช้แท่นพิมพ์ให้ได้ประโยชน์สูงสุด เพื่อการศึกษาธุรกิจการพิมพ์ จะขอกล่าวแยกออกดังนี้ 1. การผลิตหนังสือ เป็นการผลิตหนังสือทั่วไป หนังสือประกอบการเรียนการสอน เกสารตํารา เป็นหลัก และมักจะดําเนินการควบคู่ไปกับการจัดจําหน่าย เช่น บริษัทไทยวัฒนาพานิช ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และองค์การค้าคุรุสภา เป็นต้น


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 6 2. การผลิตวารสาร นิตยสารต่างๆ ปัจจุบันมีวารสาร และนิตยสารออกวางตลาดมากมาย เป็นที่นิยมอ่านของประชาชนทั่วไป จึงทําให้ธุรกิจด้านนี้เกิดขึ้น โดยเฉพาะมีสํานักพิมพ์ มีกองบรรณาธิการ มีการหาข่าว ถ่ายภาพ หาข้อมูล มีนักเขียนประจํา ทําให้มีหลายเรื่องหลายรส มีทั้งที่จําหน่าย เช่น โลกบันเทิง คู่สร้างคู่สม แพรว ฯลฯ และแจกฟรี เช่น นิตยสารเซ้ลทรัล พรีเมี่ย (Central Premiore) และมีเดีย ทีวีไกด์ (Media T.V. Guide) เป็นต้น 3. การผลิตหนังสือพิมพ์ เป็นธุรกิจขนาดใหญ่ เช่น หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ และหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ เป็นต้น ธุรกิจสิ่งพิมพ์ประเภทนี้มีผลตอบแทนที่คุ้มค่า แต่จะต้องมีการจัดการและการบริหารงานที่ดี เพราะมีขั้นตอนการผลิตมาก และส่วนใหญ่จะดําเนินการแบบครบวงจร ตั้งแต่การหาข่าว การหาข้อมูลต่างๆ การจัดทําต้นฉบับ การพิมพ์และการจัดจําหน่าย นอกจากนี้หนังสือพิมพ์หลายฉบับยังสามารถสร้างธุรกิจย่อยในเครือได้อีกด้วย เช่น ธุรกิจการโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์ นิตยสารวิเคราะห์ข่าว สัปดาห์วิจารณ์ และสื่อโฆษณาอื่นๆเป็นต้น 4. การจัดทําต้นฉบับ เป็นธุรกิจที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับนักออกแบบนิเทศศิลป์มากที่สุด สามารถดําเนินการด้วยตนเองโดยทําเป็นธุรกิจส่วนตัว หรือรับงานเป็นครั้งคราวได้ หรือจะเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในสถานประกอบการต่างๆได้ ยิ่งปัจจุบันมีเครือ่ งมือใหม่ๆ ช่วยในการจัดทําต้นฉบับสิ่งพิมพ์ทําให้สะดวกและรวดเร็วขึ้นมาก การรับจัดทําต้นฉบับนี้ ทักษะฝีมือ ความรับผิดชอบ การตรงต่อเวลาของนักออกแบบ เป็นสิ่งที่ทําให้ลูกค้าเชื่อถือ ซึ่งมีผลต่องานชิ้นต่อไปแลพเมื่อลูกค้าเชื่อใจ อาจจะมอบหมายให้ดําเนินการจนครบวงจร โดยให้ติดต่อกับร้านเพลท โดรงพิมพ์ (หลังจากได้จัดทําต้นฉบับเรียบร้อยแล้ว) 5. โรงพิมพ ์ เป็นองค์ประกอบที่สําคัญในการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ทําให้สิ่งพิมพ์ที่ออกแบบไว้มีจํานวนมากขึ้น โรงพิมพ์เป็นสถานประกอบการที่ใช้เครื่องจักร เครื่องมือ และวัสดุต่างๆซึ่งต้องลงทุนสูง คุณภาพของสิ่งพิมพ์ขึ้นอยู่กับการจัดหาโรงพิมพ์ซึ่งนับว่าเป้นเรื่องที่สําคัญมาก ข้อคํานึงบางประการในการตัดสินใจเลือกโรงพิมพ์ 5.1 พิจารณาเรื่องราคา ควรสืบราคาประมาณ 3 แห่ง แล้วเลือกเอาราคาที่เหมาะสม กับงบประมาณที่สุด 5.2 ควรติดต่อกับโรงพิมพ์ ผู้จัดการ ด้วยตนเอง เพื่อรู้จัก คุ้นเคย ซึ่งมีผลต่อความรับผิดชอบในการจัดพิมพ์ 5.3 พิจารณาลักษณะงาน เครื่องหรือแท่นพิมพ์ และความเป็นระเบียบของโรงพิมพ์ เช่น งานพิมพ์ 4 สี ควรพิมพ์กับโรงพิมพ์ที่มีแท่น 4 สี หรืออย่างน้อยแท่นสองสี เพื่อกระดาษจะได้ไม่ชํ้า หรือเกิดการเหลื่อมสีขึ้น 5.4 พิจารณาที่ตั้งและการเดินทาง เพราะการติดต่อกับโรงพิมพ์จะต้องไปหลายครั้ง เพื่อความสะดวกรวดเร็ว (การติดต่อด้วยโทรศัพท์แก้ปัญหาได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น) 5.5 ดูผลงานที่ได้พิมพ์ไปแล้วของโรงพิมพ์ การจัดระบบงาน การแบ่งงาน บรรยากาศของโรงพิมพ์ และความเป็นระเบียบเรียบร้อยของห้องปฏิบัติการพิมพ์ต่างๆ สิ่งเหล่านี้ เป็นส่วนหนึ่งที่ทําให้ลูกค้าคาดการได้ว่า ผลงานที่จะจ้างพิมพ์จะต้องออกมาดีมีคุณภาพ ในกรณีที่เป็นสิ่งพิมพ์ประเภทหนังสือ เอกสารตําราต่างๆ มีแนวทางในการดําเนินการจัดพิมพ์ดังนี้ การจัดพิมพ์เอง เป็นการดําเนินการติดต่อกับโรงพิมพ์และจัดจําหน่ายเอง การจัดพิมพ์ในลักษณะนี้เหมาะกับ ผู้ที่มีเงินทุนเป็นของตัวเอง ทําให้ราคาขายไม่สูงนัก ถ้ามีตลาดที่สามารถจะจําหน่ายได้หมดในระยะเวลาสั้น จะทําให้ได้กําไรสูง ถ้าใช้เวลาในการจําหน่ายหนังสือนานจะทําให้รายได้กระจาย ดังนั้นผู้จัดพิมพ์ต้องมีระบบการจัดเก็บดีจะคุ้มกับทุนที่ลงไป การขายลิขสิทธิ์หนังสือ เป็นการดําเนินการติดต่อกับสํานักพิมพ์ต่างๆ ที่ทําธุรกิจด้านนี้ เช่น โอเดียนสโตร์ รวมสาสน์ แพร่พิทยา ดี.ดี.บุ๊คสโตร์ เป็นต้น การจัดจัดพิมพ์ลักษระนี้จะได้ค่าตอบแทนเป็นก้อนโดยไม่ต้องลงทุนด้วยเงินตนเอง ไม่ต้องจัดจําหน่าย เพียงแต่นําเสนอต้นฉบับต่อสํานักพิมพ์ที่มีนโยบายทางด้านี้ โดยเฉพาะนักเขียนที่มีชื่อเสียง ติดตลาด สํานักพิมพ์อาจจะนําเงินสดมาให้ถึงบ้านก็มี บางครั้งอาจจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซนต์จากราคาหน้าปก และจํานวนพิมพ์ ตามที่ตกลงกัน แต่ที่ใช้กันในปัจจุบันคือ ถ้าเป็นนักเขียนจะได้รับประมาณ 13 15 เปอร์เซนต์ ถ้าเป็นนักเขียนหน้าใหม่จะได้รับประมาณ 10 -12 เปอร์เซนต์ และมีระยะเวลาการจ่ายค่าลิขสิทธิ์ตามที่ตกลงกัน


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 7 6. ธุรกิจการทําแม่พิมพ์ เป็นธุรกิจที่ต้องใช้ผู้ที่ชํานาญการเฉพาะด้านนี้ร่วมมือ ที่นับวันจะพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ แต่ก่อนใช้วิธีแกะไม้ทําแม่พิมพ์ ต่อมามีการหล่อตัวพิมพ์ การทําบล็อก มีการทําแม่พิมพ์พื้นราบ แม่พิมพ์ร่องลึก การทําแม่พิมพ์สอดสีด้วยระบบ Convention Masking Method การถ่ายฟิล์มแยกสีด้วยกล้องโปรเซส ปัจจุบันมีการแยกสีด้วยเครื่องสแกนเนอร์ แทนที่เคยแยกสีด้วยมือหรือฟิลเตอร์ ช่วยสามารถทํางานได้สะดวก รวดเร็ว และเที่ยงตรงขึ้น จนทําให้ได้งานพิมพ์ที่มีคุณภาพ แต่ราคาต้นทุนหรือราคาเครื่องมือการผลิตก็สูงขึ้น ( น่าภูมิใจที่ธุรกิจการทําแม่พิมพ์ในประเทศไทยได้มาตรฐานสากล ดังจะเห็นได้ว่ามีร้านทําแม่พิมพ์หลายแห่งใน กทม.สามารถ รับทําแม่พิมพ์จากต่างประเทศได้) 7. ธุรกิจการทํารูปเล่มสําเร็จ เป็นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการผลิตสิ่งพิมพ์มีหลายประเภท เช่น การเข้าเล่มหนังสือ (เย็บกลาง เข้าสัน เข้าเล่มไสกาว การเย็บกี่) ธุรกิจดังกล่าวจะต้องมีเครื่องมือโดยเฉพาะและต้องใช้พื้นที่พอสมควร จึงทําให้โรงพิมพ์ส่วนใหญ่ไม่ดําเนินการเองแต่จะรับเป็นผู้ประสานงานให้ครบวงจร นอกจากนี้การอาบมัน การปั้มทอง ไดคัท ก็สามารถทําเป็นธุรกิจได้ ซึ่งมีค่าตอบแทนสูง และมีงานทําตลอด 8. ธุรกิจการจัดจําหน่าย ส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งพิมพ์ปรพเภทหนังสือ วารสาร และนิตยสารทั่วไป การจัดจําหน่ายมีตั้งแต่ร้านค้าขนาดเล็ก (ขายปลีก) แพงลอย ไปจนถึงร้านค้าขนาดใหญ่หรือที่จัดเป็นสายส่งก็มี เช่น ศูนย์หนังสือกรุงเทพ ศึกสิตสยาม ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์และเคล็ดไทย เป็นต้น เป็นธุรกิจที่ไม่ต้องลงทุนมากนัก โดยนําหนังสือไปวางตามร้านที่อยู่ในเคลือเดียวกัน แล้วหักเปอร์เซนต์จากราคาขาย เช่น ใช้บริการของสายส่งจะคิด 30 - 70 เปอเซนต์ ร้านค้าปลีกจะคิด 20 - 25 เปอร์เซนต์ จากราคาหน้าปก ปัจจัยสําคัญในการประกอบธุรกิจการพิมพ์คือ ต้นทุนและกําไร ถ้ามีการจัดการที่ดีมีการประเมินต้นทุน ประเมินราคา ค่าแรง อย่างถูกต้อง แม่นยํา ก็สามารถกําหนดกําไรได้ต้นทุนการผลิตในธุรกิจการพิมพ์มี 2 ลักษระคือ ต้นทุนที่เป็นวัสดุสิ่งของ เช่น แท่นพิมพ์ แม่พิมพ์ กระดาษหมึกพิมพ์ และอุปกรณืต่างๆที่สามารถประเมินราคาต่อหน่วยได้ และต้นทุนที่เป็นค่าสึกหรอ ค่าดูแล ค่าควบคุม ค่าบํารุงรักษาซึ่งไม่สามารถตีราคาต่อหน่วยได้ การประเมินราคาควรนําต้นทุนทั้งสองมารวมกันด้วย ในส่วนของลูกค้า การคิดราคาสิ่งพิมพ์ทําได้ทั้งก่อนพิมพ์โดยการประเมินราคากว้างๆ การเสนอราคา ลูกค้าสามารถต่อรองได้ ถ้าเห็นว่าราคาสูงเกินไปไม่เหมาะสมอาจจะไม่ตกลงก็ได้ ส่วนการคิดราคาการโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์ เป็นการคิดค่าใช้จ่ายในการพิมพ์ต่อรองได้น้อยหรือไม่ได้เลย อย่างไรก็ตามการดําเนินธุรกิจการพิมพ์ในปัจจุบัน มีการแข่งขันกันอย่างกว้าขวางมากขึ้นทุกวัน จึงต้องมีการวางแผน เพื่อกําหนดแนวทางในการดําเนินการ ให้ได้มาซึ่งความมั่นคงความก้าวหน้า ข้อคํานึงต่อไปนี้ เป็นพื้นฐานในการดําเนินธุรกิจทั่วไป 1. ความอยู่รอด (Surviva ) หมายถึงการดําเนินธุรกิจหรือการลงทุน ต้องมีผลตอบแทนที่คุ้มค่า เพื่อที่จะดําเนินการต่อไปได้ 2. ควรมีกําไร (Profit ) หมายถึงการจัดการ และระบบการจัดการที่ดี จนทําให้ได้กําไรและนํามาใช้จ่าย หมุนเวียน ทําให้เกิดกําลังใจและแรงจูงใจในการทํางาน 3. การเจริญเติบโต (Growth ) หมายถึง การดําเนินธุรกิจไประยะหนึ่ง แล้วประสบผลสําเร็จ มีผลกําไรหรือค่าตอบแทนที่คุ้มทุน ก็จะส่งผลให้ธุรกิจขยายตัวมากขึ้น สามารถผลิตสินค้าหรือบริการเพิ่มมากขึ้น มีฐานะทางการเงินหรือทรัพย์สินของบริษัทเพิ่มมากขึน้ 4. การรับผิดชอบต่อสังคม (Social Responsibiliy) หมายถึงการกําหนดวัตถุประสงค์หรือแนวคิดของธุรกิจ ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม ให้ความเป็นธรรมต่อลูกค้า และผู้บริโภค มีความรับผิดชอบต่อสินค้าหรือบริการที่ผลิตขึ้น รับผิดชอบต่อสภาพแวดล้อม ไม่ขัดกับกฏหมายศีลธรรม และจารีตประเพณีของสังคม (นันทา วิทวุฒิศักดิ์ 2537 : 180)


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 9 กระบวนการวางแผนก่อนการผลิต (Prepress) การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์สามารถจัดลําดับได้เป็นขั้นตอนหรือ “กระบวนการ” ให้เห็นภาพได้ตั้งแต่เริ่มต้นทํางาน จนสําเร็จให้ชัดเจนยิ่งขึ้นได้ ซึ่งคําว่า “กระบวนการ” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 ให้ความหมายว่า “กรรมวิธี หรือลําดับการกระทําซึ่งดําเนินต่อเนื่องกันไปจนสําเร็จลง ณ ระดับหนึ่ง” มาจากคําภาษาอังกฤษว่า “process” ขั้นตอนหลักๆ ในการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ที่ครอบคลุมทุกกกระบวนการ อาจแบ่งได้เป็น 4 ขั้นตอน ได้แก่ 1. ขั้นตอนการวางแผนออกแบบและกำหนดแนวคิดในการจัดทำ (Pre-prepress) คือ ขั้นตอนการออกแบบและการวางแผน ในการผลิต ซึ่งต้องพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ในการใช้งาน งบประมาณ รูปร่าง ขนาด องค์ประกอบของสื่อสิ่งพิมพ์ วัสดุที่ใช้ในการพิมพ์ รวมทั้งต้นฉบับ 2. ขั้นตอนการเตรียมต้นฉบับเพื่อการพิมพ์ (Prepress) คือ การจัดเตรียมต้นฉบับทั้งหมดเพื่อนำไปถ่ายทอดเป็นแม่พิมพ์ 3. ขั้นตอนการพิมพ์ (Press) คือ การพิมพ์หมึกจากแม่พิมพ์ลงบนกระดาษด้วยเครื่องพิมพ์ 4. ขั้นตอนหลังการพิมพ์ (Afterpress) คือ กระบวนการหลังการพิมพ์เพื่อให้ได้สื่อสิ่งพิมพ์ที่สำเร็จรูปตามที่ออกแบบ หรือกำหนดไว้ ได้แก่ กิจกรรมที่เกี่ยวกับ การตัด/เจียน การพับ การเก็บเล่ม การทำเล่ม การเจียนเล่ม เป็นต้น ในขั้นตอนการวางแผนการออกแบบและกำหนดแนวคิดในการจัดทำ (pre-prepress) นั้น เป็นขั้นตอนแรกของ การจัดทำ สื่อสิ่งพิมพ์ และเป็นกิจกรรมในลักษณะการวางแผนการทำงาน (Planning) และการกำหนดแนวคิด (Concept)ของสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งใช้ความรู้และความเข้าใจในหลักวิชาการวารสารศาสตร์ (Journalism) เป็นสำคัญ ซึ่งแตกต่างจากขั้นตอนต่อๆ มา ที่เน้นทักษะ และเทคนิคที่เกี่ยวข้องกับหลักวิชาเทคโนโลยีทางการพิมพ์ (printing Technology) ในกระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งในที่นี้หมายรวมถึงการผลิตหนังสือพิมพ์ที่ซึ่งเน้นถึงกระบวนการผลิตเป็นสำคัญที่เป็น ขั้นตอนใหญ่ๆ 3 ขั้นตอน คือ กระบวนการวางแผนก่อนการผลิต กระบวนการในขั้นตอนการผลิต และกระบวนการหลังการผลิต โดยจะกล่าวถึงต่อไป การจัดทําหนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์ใดๆ ก็ตาม ก่อนอื่นผู้จัดทําจําเป็นต้องพิจารณาเลือกระบบการพิมพ์ให้ถูกต้อง เหมาะสมกับลักณะงานที่จะพิมพ์ เพราะจะทําให้สะวก ประหยัด และรวดเร็วยิ่งขึ้น การเลือกใช้วัสดุการพิมพ์ เช่น กระดาษปก กระดาษเนื้อใน หรือวิธีการเข้าเล่มก็มีความสําคัญเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังควรมีความรู้เกี่ยวกับการจัดเตรียมต้นฉบับ การจัดทําอาร์ตเวิร์ก และการประเมินราคาสิ่งพิมพ์บ้างพอสมควร เพื่อให้สามารถติดต่อกับโรงพิมพ์ได้อย่างสะดวก และรวดเร็วถูกต้องยิ่งขึ้น การวางแผนการผลิต การออกแบบสิ่งพิมพ์จําเป็นต้องคํานึงถึงขั้นตอนการผลิตทั้งหมด เพื่อให้การปฏิบัติงานในแต่ละขั้นตอนสอดคล้อง และดําเนินไปได้อย่างถูกต้อง มีการสื่อความหมายและความเข้าใจที่ตรงกัน ทําให้การปฏิบัติงานไม่ผิดพลาด หรือ เกิดการผิดพลาดน้อยที่สุด การเตรียมต้นฉบับ ต้นฉบับ (Menuscript) เป็นหัวใจสําคัญของการจัดพิมพ์งานต่างๆ เพราะเป็นสิ่งสําคัญที่จะทําให้หนังสือพิมพ์หรือสิ่งพิมพ์ ออกมาถูกต้อง สวยงาม เรียบร้อยหรือไม่ ต้นฉบับที่เป็นต้นเรื่องที่ผู้เขียนเขียนขึ้น อาจอยู่ในรูปของลายมือหรือพิมพ์เป็นไฟล์ ด้วยโปรแกรมจัดการตัวอักษรก็ได้ ต้นฉบับที่เป็นต้นเรื่องนี้ หากจะส่งโรงพิมพ์เพื่อจัดพิมพ์แล้วควรเป็นต้นฉบับที่ได้ตรวจทาน ความถูกต้องเรียบร้อยแล้ว เพื่อจะได้ไม่มีการแก้ไขอีกเโดยเฉพาะอย่างยิ่งคําศัพท์ที่เป็นคําเฉพาะต่างๆ ที่ไม่ได้ใช้กันโดยทั่วไป ถ้าต้นฉบับเรียบร้อยถูกต้อง งานพิมพ์จะรวดเร็วถูกต้อง และประหยัด (วันชัย ศิริชนะ : 2536, หน้า 4) การแก้ไขเพิ่มเติมตัดทอนข้อความในต้นฉบับภายหลังจากส่งเรียงพิมพ์แล้วเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทําอย่างยิ่ง เพราะจะทําให้ล่าช้า เพิ่มค่าใช้จ่าย และผิดพลาดได้ง่าย ยกเว้น กรณีที่จําเป็นจริงๆ เท่านั้น


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 10 ตารางแสดงข้อดีข้อเสียของการเตรียมต้นฉบับด้วยคอมพิวเตอร์ • • • • • • • •

ข้อดี การทำงานสะดวก รวดเร็ว งานที่ได้มีความประณีต เรียบร้อย สวยงาม การแก้ไขหรือทําซ้ํา สามารถทําได้ง่าย ข้อมูลที่ทําเสร็จแล้วสามารถเก็บไว้ใช้ได้อีก ประหยัดการใช้วัสดุต่างๆ ลงมาก ประหยัดพื้นที่ในการทํางานและพื้นที่เก็บฟิล์ม มีความยืดหยุ่นในการทํางานสูง มีอุปกรณ์เสริม มากมาย ข้อมูลที่จัดทําไว้สามารถนําไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้ อย่างกว้างขวาง

• • • • •

ข้อเสีย ต้องอาศัยเครื่องมีเครื่องจักที่มีราคาแพง ต้องใช้บุคลากรที่มีความสามารถมากขึ้น ข้อมูลมีโอกาสสูญหายหรือเสียหายได้ อาจเกิดปัญหาระบบคอมพิวเตอร์ขัดข้อง การจัดการข้อมูลมีความสลับซับซ้อนมากกว่า ต้องเรียนรู้มากขึ้น

ที่มา : บุญชัย วลีธรชีพสวัสดิ์, เอกสารประกอบการสัมมนาเรื่อง “การจัดเตรียมและการวางแผนเพื่อผลิตสื่อสิ่งพิมพ์”. สํานักส่งเสริมและฝึกอบรมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 24 มีนาคม 2542. สำหรับต้นฉบับที่เป็นภาพถ่ายกราฟ แผนผัง หรืออื่นๆ นั้น ควรจัดหาหรือจัดทำให้พร้อม และตรวจทานให้เรียบร้อย ไม่ควรหวังว่าโรงพิมพ์จะทำให้ได้ทุกอย่าง องค์ประกอบที่เกี่ยวข้องกับต้นฉบับ การสร้างต้นฉบับที่สมบูรณ์และมีคุณภาพจะช่วยทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่าย และรักษาระดับคุณภาพ ได้เป็นอย่างดี (วิชัย พยักฆโส : หน้า 60-62) ซึ่งต้นฉบับโดยทั่วไปจะประกอบด้วย 3 ส่วน คือ เนื้อหา, ปก และภาพ 1. ต้นฉบับส่วนเนื้อหา ควรมีลักษณะดังนี้ 1.1. สมบูรณ์และถูกต้อง หมายถึง มีเนื้อหาครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ต้องเพิ่มเติมและแก้ไขอีก อักขระถูกต้องตาม พจนานุกรมหรือตามหลักภาษาที่ถูกต้อง ทั้งนี้เพื่อช่วยในการคำนวณราคา และความหนาของสิ่งพิมพ์ ได้ถูกต้อง 1.2. ชัดเจน ได้มาตรฐาน หมายถึง ควรกำหนดใช้ตัวพิมพ์ ขนาดกระดาษที่ใช้ ความกว้างของบรรทัด ความยาวของบรรทัดใน 1 หน้า การย่อหน้า การเว้นวรรค ให้เป็นมาตรฐานเดียวกัน เพื่อความสะดวกต่อ การตรวจปรู๊ฟและการเรียงพิมพ์ 1.3. ครบถ้วน หมายถึง เนื้อหาควรจัดให้ครบถ้วนทุกหน้า เพราะถ้าเว้นหน้าไว้ไม่อาจจัดทำอาร์ตเวิร์ก หรือลำดับหน้าต่อไปได้ จะทำให้งานล่าช้าออกไปอีก 2. ต้นฉบับส่วนปก ปกและเนื้อในจะสัมพันธ์กันในเรื่องของขนาดสิ่งพิมพ์นั้นๆ การกำหนดลักษณะภาพ ข้อความ สี และองค์ประกอบต่างๆ ต้องถูกต้องชัดเจน เพราะหากต้องแก้ไขจะทำให้เสียเวลาในการจัดทำเพิ่ม เนื่องจากการตรวจปรู๊ฟปกจะใช้การปรู๊ปสีจริงที่มีการใช้วัสดุต่างๆ ไปมากแล้ว เช่น ฟิล์ม และ เพลท เป็นต้น 3. ต้นฉบับส่วนภาพ ภาพที่จะใช้ในการพิมพ์ แบ่งออกได้เป็น 3.1. ภาพลายเส้น เป็ฯภาพที่มีลักษณะขาวจัด ดำจัด ไม่มีสีอ่อนหรือสีเข้ม เช่นภาพที่เป็นลายเส้นปากกา ภาพกราฟเส้น แผนภูมิ การทำให้ภาพมีความดำมากหรือน้อย ทำได้โดยการเพิ่มเส้นหนัก-เบา หรือให้เส้นมีความถี-่ ห่างกัน จึงอาจเขียนภาพลายเส้นให้ดูเหมือนเป็นภาพจริง มีลักษณะเหมือนกับว่ามีสีเข้ม สีอ่านได้ ภาพทีใ่ ช้พิมพ์ด้วยระบบเลตเตอร์เพรสในระยะต้นๆ ที่ยังไม่มีการค้นพบการทำภาพ โดยการใส่เม็ดสกรีนลงบนภาพก็ทำด้วยวิธีนี้ทั้งสิ้น 3.2. ภาพสี เป็นภาพที่มีสีเหมือนของจริง อาจเป็นภาพที่อัดลงบนกระดาษ หรือภาพสไลด์สีก็ได้ แต่ถ้าจะนำมาใช้เพื่อการพิมพ์สอดสีแล้วควรใช้เป็นภาพที่เป็นภาพสไลด์เพราะจะทำให้ได้ภาพทีม่ ีสีใกล้เคียง กับของจริง แบ่งเป็น 3.2.1. ภาพสีโปร่งใส ได้แก่ สไลด์สีขนาดต่างๆ ขนาดต้นฉบับใดเท่าใดจะทำให้คุณภาพการขยายภาพ เมื่อพิมพ์แล้วดีและสวยงามกว่าภาพขนาดเล็ก แล้วขยายให้มีขนาดโตมากๆ จึงควรมีขนาดขยายไม่เกิน


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 11 3 เท่า 3.2.2. ภาพสีสะท้อนแสง ได้แก่ ภาพถ่ายสี ภาพเขียนด้วยสีน้ำ ดินสอสี สีน้ำมันหรือภาพที่พิมพ์แล้ว ต้นฉบับที่ดี สามารถแยกสีได้คุณภาพสูงใกล้เคียงกับหมึกทางการพิมพ์ไม่ควรใช้สีสะท้อนแสง เพราะหมึกพิมพ์จะยอมให้แสงผ่านทะลุไปสู่กระดาษก่อนแล้วสะท้อนแสงออกมา จึงทำให้พิมพ์แล้ว ไม่เหมือนกับต้นฉบับ และไม่ควรใช้ภาพที่พิมพ์แล้ว เพราะมีจุดเล็กๆ ของสกรีนอยู่ก่อนแล้ว เมื่อนำมาถ่ายทำใหม่ จะเกิดเป็นลายที่เรียกว่า “ลายเสื่อ” (Moire Pattern) ดูแล้วไม่คมชัด และไม่สวยงามเมื่อนำมาพิมพ์ใหม่ 3.3. ภาพขาวดำ หมายถึง ภาพถ่ายที่มีสีขาว-ดำ เหมาะที่จะใช้เป็นต้นฉบับในการพิมพ์ขาว-ดำ มากกว่าพิมพ์สี เพราะจะได้ความคมชัดมากกว่า ภาพที่เหมาะสมจะใช้เป็นภาพต้นฉบับในการพิมพ์ ควรเป็นภาพ ที่มีขนาดประมาณ 5x7 นิ้ว ผิวมัน มีความละเอียด คมชัดและมีความขาวด-ดำ (contrast) พอเหมาะ เพราะภาพที่มีสีดจัดเกินไปจะไม่สามารถให้รายละเอียดของภาพได้ดีพอ งานพิมพ์ถ้าต้องการพิมพ์สีเดียว ไม่ควรใช้ภาพสีมาเป็นต้นฉบับ เพราะการแยกรายละเอียดของสีไม่อาจแยกได้ชัดเจนเหมือนกับ ความขาวและความดำ ทำให้ภาพมืด ดูแล้วไม่ชัดเจนหรือขาดรายละเอียดบางส่วนไป ดังนั้น ถ้าหากเป็น ภาพลายเส้น ควรเขียนด้วยหมึกสีดำ บนกระดาษสีขาว และถ้าเป็นภาพเขียนควรเขียนหรือระบาย ด้วยสีน้ำสีดำ หมีกดำหรือดินสอดำ ระบายความอ่อนแก่ของโทนตามความต้องการ ถ้าเป็นภาพถ่ายควรเป็น ภาพถ่ายขาวดำ ที่มีความต่างค่าความดำกับความขาวค่อนข้างสูง ต้นฉบับภาพสีสะท้อนแสง และภาพขาวดำ ควรเป็นภาพขนาดอย่างน้อยเท่าแบบหรือขนาดโตเป็น 2 เท่าของขนาดภาพที่จะพิมพ์จริง เพราะจะสามารถ ลบรอยขรุขระและความไม่เรียบร้อยของเส้นภาพต่างๆ ลงได้เมื่อถ่ายย่อลงมา ความสำคัญของการเตรียมต้นฉบับ การเตรียมต้นฉบับเพื่อการพิมพ์มีความสำคัญต่อการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ให้ได้คุณภาพเป็นอย่างมาก เพราะมีผลต่อ คุณภาพของสื่อสิ่งพิมพ์ ดังนี้ 1. ภาพพิมพ์สามารถพิมพ์ให้สวยที่สุดได้เพียงแค่เกือบเท่าความสวยของต้นฉบับเท่านั้น 2. ต้นฉบับที่ดีช่วยให้การผลิตงานพิมพ์ปราศจากปัญหา 3. ต้นฉบับที่ไม่สมบูรณ์เพียงเล็กน้อยก็เป็นสาเหตุให้งานพิมพ์ขาดความสมบูรณ์ไปทั้งหมด 4. หากเพิ่มความพิถีพิถันในการปรับปรุงต้นฉบับอีกเพียงเล็กน้อย สิ่งพิมพ์ที่ได้จะมีคุณค่าเพิ่มขึ้นมาก 5. การแก้ไขความผิดพลาดของต้นฉบับที่ปรากฏบนงานพิมพ์ มีความสูญเสียมากกว่าการแก้ไขความผิดพลาด ขณะยังเป็นต้นฉบบมากมายอย่างไม่อาจเทียบกันได้เลย 6. การตรวจความถูกต้องของต้นฉบับเป็นหน้าที่ของคนตรวจปรู๊ฟก็จริง แต่ทุกคนในทุกกระบวนการ ที่เกี่ยวข้องกับงานพิมพ์ควรช่วยเป็นหูเป็นตาด้วย เพราะความผิดพลาดที่เกิดขึ้นคือความสูญเสียของทุกคน 7. ผู้ทำต้นฉบับควรหมั่นฝึกฝนในการพัฒนาทักษะฝีมือ และเพิ่มพูนความรู้ในการทำงาน เพื่อให้การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง

หลักการเตรียมต้นฉบับเนื้อหา การเตรียมต้นฉบับเนื้อหาสำหรับสื่อสิ่งพิมพ์แต่ละประเทภ มีความแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับรูปแบของข้อเขียนนั้นๆ ด้วย เช่น บทความ เรียงความ ตำรา แผ่นพับ โปสเตอร์ หนังสือ หรือหนังสือพิมพ์ ฯลฯ ในการเตรียมต้นฉบับเนื้อหา ผู้เขียนจึงจำเป็น ต้องประยุกต์ใช้หลักเกณฑ์ 3 ประการ (สมพิศ คูศรีพิทักษ์ : 2539, หน้า 438-450) คือ ในการกำหนดแนวทางการเขียน หลักเกณฑ์ในการใช้ภาษา และหลักเกณฑ์ลักษณะการเขียนตามประเภทของสื่อ 1. หลักเกณฑ์ในการกำหนดแนวทางการเขียน เป็นขั้นตอนสำคัญสำหรับการนำเสนอเนื้อหาสาระที่ดี หากกำหนดเป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้เป็นหลักแล้ว จะทำให้สามารถผลิตต้นฉบับงานเขียนได้ อย่างสมบูรณ์


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 12 ตามวัตถุประสงค์ อันได้แก่ 1.1. การจัดระเบียบความคิด อาจจัดแบ่งเป็นหมวดหมู่ เป็นกลุ่ม เพื่อเรียบเรียงระบบระเบียบตามลำดับข่าว เป็นต้น 1.2. การวิเคราะห์เรื่อง ทั้งขอบเขตเนื้อหาสาระ เพื่อกำหนดประเด็นต่างๆ ที่จะนำเสนอให้ชัดเจน และกำหนดวัตถุประสงค์ในการเขียนชิ้นนั้นๆ 1.3. การวางโครงเรื่องที่ดี ควรดำเนินดังนี้ 1.3.1. ศึกษาค้นคว้าข้อมูลเบื้องต้น (จากการอ่น การฟัง ประสบการณ์) และแหล่งข้อมูลให้มากเท่าที่จะทำได้ 1.3.2. จัดระเบียบความรู้และความคิด โดยกำหนดประเด็นหลักก่อนแล้วจึงกำหนดหัวข้อย่อย จากนั้นนำมาเรียงลำดับความสำคัญ 1.3.3. เขียนโครงเรื่องในรูปหัวข้อ(นำประเด็นมาเขียนเป็นคำหรือวลีสั้นๆ) หรือเขียนโครงเรื่อง ในรูปประโยค(สำหรับข้อเขียนที่เป็นทางการ) 2. หลักเกณฑ์ในการใช้ภาษา ต้องพิจารณาจากสิ่งต่างๆ ดังนี้ 2.1. การเลือกระดับภาษา จากการจัดระดับ 3 ระดับ คือ ระดับภาษาปาก(พูด) ระดับกึ่งแบบแผน และระดับแบบแผน ซึ่งใช้แตกต่างกันตามโอกาส ซึ่งต้องพิจารณาจากความเหมาะสมของภาษา จากพื้นฐานความรู้และประสบการณ์ของผู้อ่านประกอบด้วย 2.2. การเลือกใช้คำ ประโยค และการเรียงลำดับความ 2.3. มีความชัดเจน สามารถสื่อความเข้าใจได้จากคำที่รัดกุม กระชับ 2.4. มีความเรียบง่าย สามารถเข้าใจง่ายจากถ้อยคำธรรมดา หลีกเลี่ยงคำฟุ่มเฟือย เช่น ใช้ประโยคว่า “ไม่มีใครเลยที่ไม่เคยทำผิด” อาจเขียนให้เรียบง่าย โดยใช้ว่า “ทุกคนย่อมทำผิดได้” 2.5. มีความประทับใจ สามารถเร้าความรู้สึกของผู้อ่านโดยการเน้นคำ หรือใช้คำที่ขัดแย้งกันในประโยค 2.6. มีโครงสร้างของย่อหน้าที่ดี หมายถึงแต่ละย่อหน้าต้องมีใจความสำคัญเพียงเรื่องเดียว หากมีใจความสำคัญใหม่ ต้องขึ้นย่อหน้าใหม่ เป็นต้น เช่น การเขียนข่าว ในย่อหน้าหนึ่งอาจใช้เพียง 3-4 บรรทัดเท่านั้น เนื่องจากเมื่อนำไปจัดวางหน้าในคอลัมน์แล้วก็จะได้จำนวนบรรทัดประมาณ 7-8 บรรทัด ซึ่งไม่เยิ่นเย้อเกินไป โดยเฉพาะในหนังสือพิมพ์ที่คอลัมนิสต์มักย่อหน้าบ่อยๆ เพราะทำให้น่าอ่านขึ้นนั่นเอง 3. หลักเกณฑ์ลักษณะการเขียนตามประเภทของสื่อ แต่ละประเภทจะมีวิธีการเขียนที่แตกต่างกัน หากเป็นหนังสือพิมพ์ หรือโปสเตอร์ จะจัดเป็นสื่อที่ให้ขา่ วสาร จึงควรเลือกวิธีการเขียนให้ได้ตามเป้าประสงค์ด้วย ตัวอย่างผลกระทบจากการเตรียมต้นฉบับ คือ การเตรียมผลงานที่เกิดจากการเขียนของผู้เขียน ทั้งภายใน กองบรรณาธิการที่มีหน้าที่โดยตรง รวมทั้งผู้เขียนจากภายนอกกองบรรณาธิการ เช่น นักเขียนรับเชิญ หรือคอลัมนิสต์กิตติมศักดิ์ ซึ่งต้นฉบับในที่นี้หมายรวมถึง เนื้อหา รูปภาพประกอบเรื่อง คำบรรยายภาพ แผนภูมิ กราฟิกต่างๆ เป็นต้น

การบรรณาธิกร(Editing) การบรรณาธิกร(Editing) หมายถึง การเตรียม การตรวจแก้ต้นฉบับ การเลือกเฟ้นเรื่อง การเลือกอักษรพิมพ์ การพาดหัว การเขียนชื่อเรื่อง การใช้ภาพ และการวางรูปแบบ เพื่อการนำลงพิมพ์ (ชวรัตน์ เชิดชัย : 2519, หน้า 2) ผู้ที่มีหน้าที่ ในการบรรณาธิกรจะยึดรูปแบบเหล่านี้ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับ เรียกว่า “สไตล์บุ๊ค (Style Book) หรือสไตล์ชีท (Style Sheet)”


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 13 สไตล์บุ๊ค (Style Book) หรือสไตล์ชีท (Style Sheet) การกำหนดรูปแบบเอกลักษณ์ของหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับจะมีรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ในการกำหนด นโยบายการใช้งานนั้น ควรกำหนดแนวทางการใช้ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกันเพื่อความสะดวกในการดำเนินงาน นอกจากรูปแบบตัวอักษร ขนาด สีสัน ทั้งการใช้สำหรับพาดหัว หรือเป็นข้อความ หรือ การวางเลย์เอาท์ ขององค์ประกอบทางกราฟิกต่างๆ แล้ว ยังรวมไปถึงการใช้ภาษาในงานบรรณาธิกร การเว้นวรรคตอน การแบ่งย่อหน้า ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ หากมีการทับศัพท์ภาษาต่างประเทศ ทั้งในกรณีถอดแบบมา หรือเขียนตามเรื่อง บรรณาธิการต้องระบุไว้ให้ชัดเจนในสไตล์บุ๊ค หรือสไตล์ชีทว่าจะเขียนเป็นภาษาไทยแล้ววงเล็บภาษาอังกฤษ หรือเขียนทับศัพท์ภาษาอังกฤษเลย เป็นต้น การตรวจแก้ไขต้นฉบับสื่อสิ่งพิมพ์ (rewrite) การตรวจแก้ไขต้นฉบับสื่อสิ่งพิมพ์ก่อนที่จะส่งไปเรียงพิมพ์เป็นภาระงานที่สำคัญอย่างหนึ่งในขั้นตอน การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ ทั้งนี้เพราะค้นฉบับที่ได้มานั้น อาจจะยังมีข้อผิดพลาดในเรื่องต่างๆ ที่ผู้เขียนละเลยหลงลืม หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น ข้อเท็จจริงที่เสนอมาผิดพลาด เนื้อหาบางตอนอาจมีข้อความที่ละเมิดลิขสิทธิ์ผู้อื่น อันอาจเป็นเหตุให้มีการฟ้องร้องกันได้ หรือเนื้อหาที่ถูกต้องแต่ใช้ภาษาไม่เหมาะสม เช่น ใช้ภาษาปาก ภาษาสแลง ไม่เหมาะสมกับรูปแบบสื่อและกลุ่มผู้อ่าน ใช้คำที่มีความหมายเดียวกันต่างๆ กัน จนทำให้ผู้อ่นเกิดความสับสน หรืออาจเขียนในรูปแบบที่ผิดจากสากลทั่วไป หรือจากผู้ผลิตสิ่งพิมพ์นั้นๆ ดังนัน้ การตรวจแก้ไขต้นฉบับที่สมบูรณ์ก็คือการทำหน้าที่ในการดูแลความถูกต้องเรียบร้อยทั้งหมดตลอดจนตระหนักถึงก ฎหมาย จรรยาบรรณ และหน้าที่ความรับผิดชอบต่อสังคม ผู้ตรวจแก้ไขต้นฉบับ (Rewriter) หรือบรรณาธิการ จึงจำเป็นต้องตรวจแก้ไขทั้งในส่วนของเนื้อหา สาระ สำนวนภาษา และรูปแบบของสื่อสิ่งพิมพ์ การพิสูจน์อักษร (Proof reading) การพิสูจน์อักษรแตกต่างจากการตรวจแก้ไขต้นฉบับ เพราะการตรวจแก้ไขต้นฉบับจะครอบคลุมถึงความสมบูรณ์ ความถูกต้องของข้อเท็จจริงในเนื้อหาของต้นฉบับ และการเรียบเรียงให้เป็นลำดับต่อเนื่อง สามารถสื่อความหมายได้ดี ตลอดจนตรวจแก้การใช้ภาษาที่ถูกต้อง ส่วนการพิสูจน์อักษรมีวัตถุประสงค์เพื่อการตรวจแก้ไขการเขียน เช่น ตัวสะกด การันต์ ให้ถูกต้องตามหลักภาษาเป็นสำคัญ

การตรวจแก้ไขรูปแบบต้นฉบับหนังสือพิมพ์ การที่บรรณาธิการจะสามารถตรวจแก้ไขรูปแบบของต้นฉบับให้ถูกต้องได้นั้น บรรณาธิการจำเป็นต้องรู้จักลักษณะ และโครงสร้างของสื่อสิ่งพิมพ์แต่ละประเภทต่างๆ จึงจะสามารถตัดสินได้ว่าเขียนผิดจากรูปแบบที่กำหนด ซึ่งแต่ละประเภท จะมีความแตกต่างกันออกไป สำหรับหนังสือพิมพ์นั้น จำนวนคอลัมน์ที่ปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับ ทำให้หนังสือพิมพ์มรี ูปแบบที่แตกต่างกันในแต่ละฉบับ หนังสือพิมพ์ที่มีขนาดเดียวกันก็อาจมีจำนวนคอลัมน์ไม่เท่ากัน แต่โดยทั่วไปหนังสือพิมพ์ขนาดเล็กจะมีคอลัมน์ประมาณ 4-7คอลัมน์ หากเป็นหนังสือพิมพ์ขนาดมาตรฐานก็จะมีคอลัมน์ประมาณ 5-10 คอลัมน์ หนังสือพิมพ์ใดมีจำนวนคอลัมน์มาก ขนาดของคอลัมน์ก็ย่อมจะเล็กลง แต่ถ้ามีคอลัมน์น้อย ขนาดของคอลัมน์ก็จะใหญ่ขึ้นน ดังนั้น การจัดคอลัมน์ต่างกันก็จะมีผลกระทบต่อการตกแต่งต้นฉบับด้วย ขนาดคอลัมน์ที่แตกต่างกันนี้ การเตรียมต้นฉบับจะต้องปรับแก้ให้มีความยาวของย่อหน้าพอเหมาะ เช่น คอลัมน์ในหนังสือหรือตำรา อาจมีความยาวย่อหน้าละ 5-6 บรรทัด ขณะที่หนังสือพิมพ์และนิตยสาร อาจมีความยาวย่อหน้าละ 34 บรรทัด นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์แต่ละฉบับจะแบ่งจำนวนคอลัมน์เท่าๆ กันในทุกหน้า แต่บางฉบับก็อาจจะแบ่งจำนวนคอลัมน์ ให้เท่ากันเฉพาะหน้าแรกๆ ส่วนหน้าในจะแบ่งจำนวนคอลัมน์ไม่เท่ากัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับนโยบายหรือแบบฉบับของหนังสือพิมพ์


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 14 แต่ละฉบับ กระบวนการในขั้นตอนการผลิต (Press) กระบวนการในขั้นตอนของการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ แบ่งได้เป็น 3 ขั้นตอนใหญ่ด้วยกัน (จันทนา ทองประยูร : 2537, หน้า 21) ได้แก่ งานก่อนพิมพ์(prepress work) งานพิมพ์(press work) และงานทำสำเร็จ(finishing after press work) ขั้นตอนของการผลิตทั้งหมดข้างต้น จะกระทำภายหลังผ่านกระบวการก่อนการผลิต ได้แก่ การวางแผนการผลิต การเตรียมต้นฉบับ และการบรรณาธิกร หรือการตรวจแก้ต้นฉบับเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว ได้แก่ งานก่อนพิมพ์ ประกอบด้วยขั้นตอนต่างๆ ได้แก่ การเรียงพิมพ์ การพิสูจน์อักษร การทำอาร์ตเวิร์ก การถ่ายฟิล์ม และการเตรียมพิมพ์ งานพิมพ์ ประกอบด้วยการถ่ายทอดภาพและข้อความจากแม่พิมพ์ลงบนวัสดุพิมพ์โดยใช้เครื่องพิมพ์ งานทำสำเร็จ ได้แก่ ขั้นตอนการพับวัสดุพิมพ์ การเข้าเล่ม การทำเล่ม การเข้าปก การตัดเจียน และการแปรสภาพ งานพิมพ์ เช่น การอาบมัน(vanishing) การเคลือบพลาสติก(laminating) การเดินทอง(hot stamping) การพิมพ์นูน(embossing) เป็นต้น ในงานพิมพ์สื่อสิ่งพิมพ์ทุกชนิด แม้จะมีลักษณะ ประเภท รูปแบบ วัตถุประสงค์ วัสดุที่ใช้พิมพ์ และกรรมวิธีในการพิมพ์ ที่แตกต่างกัน แต่สิ่งพิมพ์ทุกชนิดจะต้องผ่านกระบวนการพิมพ์เหมือนๆ กัน กล่าวคือ มีลำดับขั้นตอนของกระบวนการ ผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ มีขั้นตอนเป็นพื้นฐาน ดังนี้ 1. การเรียงพิมพ์ (Computgraphic) 5. การทำแม่พิมพ์ (Printed plate) 2. การจัดวางหน้า หรือ เลย์เอาต์ (Lay out) 6. การตีพิมพ์ (Press) 3. การจัดทำอาร์ตเวิร์ก (Art work) 7. การเข้าเล่ม 4. การพิสูจน์อักษร (Proof reading) 1. การเรียงพิมพ์ (Computgraphic) เทคโนโลยีของการเรียงพิมพ์ การเรียงพิมพ์เพื่อทำต้นแบบที่เป็นอาร์ตเวิร์กของการพิมพ์ออฟเซต ทำได้หลายวิธี เช่น พิมพ์ดีด เรียงพิมพ์โดยตัวโลหะ(เลตเตอร์เพรส) เรียงพิมพ์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ละวิธีก็มีความเหมาะสม คุณภาพ และราคาแตกต่างกันออกไป (วันชัย ศิริชนะ : 2536, หน้า 4) 1) การเรียงพิมพ์ด้วยมือด้วยตัวเรียงโลหะ เป็นเทคนิคการเรียงพมิพ์ที่เก่าแก่ที่สุดของการพิมพ์เลตเตอร์เพรส และยังคงมีใช้มาจนถึงปัจจุบัน ถึงแม้ว่าได้รับความนิยมน้อยลงก็ตาม แต่ด้วยคุณสมบัติเฉพาะหลายอย่างที่ดี ก็ทำให้ยังมีความจำเป็นต้องใช้อยู่ 2) การเรียงพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีด หรือเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เป็นการเรียงพิมพ์ เพื่อนำไปทำต้นฉบับของการพิมพ์ออฟเซต มีคุณภาพพอใช้ได้ ราคาย่อมเยา มีการใช้ในวงการศึกษา เป็นส่วนใหญ่ ในการทางค้ามีใช้บ้างแต่ไม่มากนัก 3) การเรียงพิมพ์ด้วยเครื่องเรียงพิมพ์คอมพิวเตอร์ หรือการเรียงพิมพ์ด้วยแสง เป็นการเรียงพิมพ์ เพื่อการนำไปทำเป็นต้นฉบับเพื่อการพิมพ์ออฟเซตหรือการพิมพ์ระบบอื่นๆ ได้ ข้อดีของการเรียงพิมพ์วิธนี ี้ คือรวดเร็ว มีตัวอักษรให้เลือกมากแบบมากขนาด สามาถทำงานเรียงพิมพ์ได้มากกว่าการเรียงด้วยมือประมาณ 6-7 เท่า ข้อเสียก็คือ ตัวเครื่องและวัสดุที่ใช้ประกอบ เช่น กระดาษไวแสง และน้ำยา มีราคาแพง แนวปฏิบัติของการเรียงพิมพ์ จากการวิจัยความสามารถในการอ่าน พบว่าเวลาอ่านหนังสือสายตาของคนเราจะกวาดผ่านหน้ากระดาษในลักษณะ ของการกระโดดและหยุดเป็นช่วงๆ โดยจะหยุดเพ่งดูบางกลุ่มคำเป็นเวลา ครั้งละประมาณเศษหนึ่งส่วนสี่ของวินาที แล้วก็จะกวาด สายตาต่อและกระโดดข้ามไปยังกลุ่มคำต่อๆ ไป นอกจากนี้ การวิจัยยังพบว่า เมื่ออ่านหนังสือสายตาจะให้ความสำคัญที่ครี่งบน


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 15 ของตัวอักษรแต่ละตัวมากกว่าบริเวณครี่งล่าง หากแบบของตัวอักษรที่เลือกใช้ของส่วนบนของตัวอักษรแต่ละตัวแตกต่างกัน อย่างชัดเจนแล้ว จะยิ่งช่วยทำให้อ่านข้อความได้อย่างรวดเร็วและเข้าใจได้งา่ ยขึ้น สุรพล เวสารัชเวศย์(2523) ให้ตัวอย่าง ของแนวปฏิบัติในการเรียงพิมพ์ไว้ต่อไปนี้ • รูปร่างของตัวอักษร ตัวอักษรประเภทบีบผอม (condensed) หรือประเภทกว้าง (expand) จะอ่านยากกว่า ตัวอักษรที่มีความกว้างปกติ ตัวอักษรที่มีลักษณะรูปทรงเรขาคณิตของตัวอักษรแบบ San Serifs บางรุ่น จะอ่านยาก เพราะแต่ละตัวอักษรมีรูปทรงคล้ายๆ กัน ยากที่จะแยกความแตกต่างออกจากกัน • ช่องไฟระหว่างตัวอักษร มีส่วนสำคัญที่ทำให้อ่านง่ายหรือไม่ ตัวอักษรที่ชิดเกินไปทำให้ไม่น่าอ่าน แต่ถ้าห่าง เกินไปก็จะทำให้อ่านยาก • การใช้ตัวเลข ตัวเลขขอลชุดตัวอักษรแบบดั้งเดิม (old style) จะอ่นง่ายกว่าตัวเลขของชุดตัวอักษรแบบ สมัยใหม่ ผู้อ่านจะรับรู้จำนวนที่เป็นตัวเลขได้ง่ายกว่าจำนวนที่เป็ฯตัวอักษรหรือเลขโรมัน ผู้อ่านส่วนใหญ่ ชอบดูตารางมากกว่าแผนภูมิ แต่บางครั้งแผนภูมิอาจดูเข้าใจได้ง่ายกว่า ในกรณีที่จัดเรียงเป็นตาราง ควรใช้ ตัวเลขที่มีขนาดไม่ต่ำกว่า 8 พอยท์ ด้วยช่องว่างระหว่างแต่ะละคอลัมน์ไม่น้อยกว่า 1 ไพก้า • ตัวประดิษฐ์ (display type) หากมีขนาดที่แตกต่างกันไม่ค่อยมีผลมากต่อความสามารถในการอ่าน การรู้จัก ใช้พื้นที่ขาวจะช่วยให้ข้อความนั้นน่าอ่านมากขึ้น • ปัญหาเกี่ยวกับสี ตัวอักษรที่อ่านง่ายที่สุดคือตัวอักษรสีดำที่พิมพ์บนกระดาษสีขาว การใช้คู่สีที่ผิดจะทำให้ ตัวอักษรอ่านยาก เช่น ตัวอักษรแดงบนพื้นสีดำ หรือตัวอักษรสีขาวบนพื้นสีเหลือง หรือตัวอักษรสีขาว บนพื้นสีฟ้า ส่วนคู่สีที่ช่วยให้อ่านง่าย ได้แก่ ตัวอักษรสีเหลืองบนพื้นสีน้ำเงิน สีแดง หรือสีมาเจนต้า • การย่อหน้า การย่อหน้าที่ต้นบรรทัดประมาณ 2-3 เซนติเมตร จะช่วยให้อ่านง่ายกว่าไม่มีการย่อหน้าเสียเลย หากไม่ประสงค์จะย่อหน้าที่ต้นบรรทัดแล้ว ควรมีการเว้นบรรทัดว่างช่วย • ช่องว่างระหว่างบรรทัด ถ้าเรียงตัวอักษรชิดกันมากจะอ่านยากและดูอึดอัด ควรจัดเรียงให้แต่ละบรรทัด ห่างกันเล็กน้อย โดยเพิ่มอีกประมาณ 20% ของขนาดตัวอักษรจากระยะบรรทัดปกติ (solid) ตัวอักษรที่เป็น ตัวหนาต้องการระยะห่างระหว่างบรรทัดมากกว่าตัวที่บางกว่า โดยทั่วไปแล้วช่องว่างระหว่างบรรทัด ควรมากกว่าช่องว่างระหว่างคำ • การใช้ตัวนำและตัวตาม ตัวตาม(lowercase) อ่านง่ายกว่าตัวนำ(upper case) อย่างมากในส่วนของ เนื้อความในส่วนใหญ่ ยกเว้นในส่วนซึ่งเป็นหัวข้อที่มีข้อความไม่ยาวมากนัก อาจจะไม่ค่อยมีความแตกต่างกัน มากนัก การเริ่มต้นแต่ละประโยคด้วยตัวนำและข้อความไม่ยาวมากนัก จะช่วยให้เนื้อความอ่านง่าย ตัวประดิษฐ์ ซึ่งเรียงเป็นตัวนำทั้งมหดจะอ่านยาก เนื้อความ(body copy) ซึ่งเรียงเป็นตัวนำทั้งหมด ยิ่งอ่านยากไปใหญ่ เพราะผู้อ่านจะต้องอ่านทีละตัวอักษรแทนที่จะอ่านแบบเป็นกลุ่มคำ ทำให้ความเร็ว ในการอ่านช้าลงประมาณ 15% • ความยาวของบรรทัด ขึ้นอยู่กับขนาดและแบบของตัวอักษรที่ใช้บรรทัดที่สั้นเกินไปหรือยาวเกินไป ย่อมทำให้อ่านยากทั้งสิ้น สำหรับตัวอักษรขนาด 9-12 พอยท์ แต่ละบรรทัดควรมีความยาวประมาณ 10-12 คำ ซึ่งอาจจะมีความยาว บรรทัดละ 18-24 ไพก้า ถ้าใช้ตัวอักษรขนาดเล็กลง ความยาวบรรทัดก็ควรจะหดแคบลง ตามส่วน การเรียงพิมพ์แบบ 2 คอลัมน์จะช่วยให้อ่านง่ายกว่าการเรียงแบบคอลัมน์กว้างๆ เพียงคอลัมน์เดียว • ตัวเจาะขาว ตัวอักษรสีขาวบนพื้นดำจะอ่านยากกว่าตัวอักษรสีดำบนพื้นสีขาวประมาณ 15% จากการวิจัย พบว่าผู้อ่านมากกว่า3 ใน 4 ชอบอ่านข้อความที่เป็นตัวอักษรสีดำบนพื้นสีขาวมากกว่า ถ้าจำเป็นต้องใช้ ตัวอักษรเจาะขาว ไม่ควรใช้ตัวเล็กกว่า 12 พอยท์ • การใช้พื้นขาว ยิ่งรู้จักการใช้พื้นขาวมากเท่าไรก็ยิ่งสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้อ่านได้มากเท่านั้น • น้ำหนักที่ต่างกันของตัวอักษร ตัวอักษรที่มีน้ำหนักขนาดปานกลางจะอ่านง่ายกว่าตัวหนาหรือตัวบาง ตัวปกติจะง่ายกว่าตัวเอน ตัวหนา ตัวบีบผอม และตัวกว้าง ถึงแม้ตัวเอนจะดูสวยงามก็ตาม แต่การใช้ตัวหนา เป็นการเน้นข้อความสำคัญจะดีกว่า แต่ถ้าใช้ตัวหนามากเกินไปจะทำให้สายตาล้าได้ง่าย


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 16 หน่วยวัดในการพิมพ์ 1 นิ้ว = 1 ไพก้า =

6 ไพก้า 12 พอยท์

=

72 พอยท์

2) การจัดวางหน้า หรือ เลย์เอาต์ (Lay out) การจัดวางหน้า หรือการออกแบบสื่อสิ่งพิมพ์ ประกอบด้วยขั้นตอนสำคัญ 4 ขั้นตอน คือ การกำหนดรูปแบบและขนาด, การทำแบบร่างหยาบ(rough layout), การทำแบบร่างสมบูรณ์(Comprehensive layout) และการทำแบบจำลองของสื่อสิ่งพิมพ์ สำเร็จ หรือดัมมี(่ Dummy) โดยมีรายละเอียดดังนี้ 2.1) การกำหนดรูปแบบและขนาด เป็นการหารูปแบบเฉพาะตัวของสื่อสิ่งพิมพ์ที่จะออกแบบ เช่น การออกแบบสื่อ สิ่งพิมพ์เป็นหนังสือพิมพ์พร้อมกับขนาด เป็นต้น 2.2) การทำแบบร่างหยาบ(rough layout) เป็นการแปลงรูปแบบความคิดจากข้อแรกสู่รูปแบบที่มองเห็นได้ นิยมทำ เป็นขนาดเล็กกว่าของจริง แต่ได้สัดส่วนทั้งรูปร่างและขนาด การทำแบบร่างหยาบอาจทำหลายชิ้นและหลายแบบ เพื่อให้เจ้าของงานเลือก โดยเลือกทำเฉพาะหน้าสำคัญ เช่น หน้าปก หน้าแรก นอกจากนี้ ควรมีการกำหนดตำแหน่งตัวอักษร และภาพประกอบ ในการกำหนดตำแหน่งตัวอักษรนิยมใช้ตัวอักษรสมมติ(blind text) เช่น ใชัตัว ก หรือ NO แทนข้อความทั้งหมด 2.3) การทำแบบร่างสมบูรณ์(Comprehensive layout) เป็นการทำร่างหยาบให้สมบูรณ์ขึ้น นิยมทำเป็นขนาดเท่ากับ สิ่งพิมพ์ที่จะทำและใช้กระดาษที่จะใช้ในการพิมพ์จริง โดยมีการกำหนด ลักษณะ ขนาด แบบตัวพิมพ์(typeface) หรือแบบ ตัวอักษรและภาพประกอบ โดยใช้สัญลักษณ์แทนขนาดและช่วงบรรทัด หรือช่องว่างระหว่างบรรทัด นอกจากนี้ยังมีการกำหนด รายละเอียดและเทคนิคพิเศษอื่นๆ ในการจัดทำ เช่น การกำหนดสี การกำหนดเปอร์เซ็นต์เม็ดสกรีน และรายละเอียดอื่นๆ 2.4) การทำแบบจำลองของสื่อสิ่งพิมพ์สำเร็จ หรือดัมมี่(Dummy) เป็นการทำรูปแบบจำลองของสิ่งพิมพ์สำเร็จ เพื่อใช้ควบคุมการพับและการจัดหน้า นิยมทำเป็นขนาดย่อส่วน ถ้าสิ่งพิมพ์ที่จะทำมีขนาดใหญ่ จะใช้การพับกระดาษ ให้มีลักษณะเป็นรูปสิ่งพิมพ์ที่จะจัดทำ แล้วเขียนรายละเอียดของแต่ละหน้าลงไป ความละเอียดของดัมมี่ขึ้นอยู่กับความยาก หรือความซับซ้อนในการจัดทำสิ่งพิมพ์ ถ้าเป็นสิ่งพิมพ์ที่ใช้ขั้นตอนง่ายๆ การทำดัมมี่อาจเป็นการทำแบบหยาบ แต่ถ้าเป็น สิ่งพิมพ์ที่ใช้ความซับซ้อนในการจัดทำ การทำดัมมี่ควรเป็นแบบละเอียดเพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานในแต่ละขั้นตอนทราบข้อมูลที่เกี่ยวข้อง และสามารถสื่อความหมายได้ตรงกับที่ผู้ออกแบบต้องการ ข้อมูลที่ควรกำหนดในดัมมี่แบบละเอียด(dummy scale) ได้แก่ ขนาดหนังสือ การลำดับเลขหน้า การลำดับ เนื้อหา ขนาดและแบบตัวพิมพ์หรือตัวอักษร จำนวนสีที่ใช้ จำนวน ขนาด และรูปแบบของคอลัมน์ในแต่ละหน้า การจัดวางตัวอักษร ให้เรียงชิดซ้าย(flush left หรือ left alignment) หรือให้มีการปรับแบบเต็มแนว(Justification) หรือการเรียงชิดซ้ายและชิดขวา ในบรรทัดเดียวกัน นอกจากนี้ ยังควรกำหนดความยาวของบรรทัด ตำแหน่งและขนาดของภาพประกอบ ตารางประกอบ แผนภูมิ การเน้นหัวเรื่อง การกำหนดความยาวบรรทัด ลักษณะการพับ การเก็บเล่ม การเข้าเล่ม และรายละเอียดอื่นที่จำเป็นต่อการจัดท ำสื่อสิ่งพิมพ์ 2.5) การจัดทำต้นแบบสื่อสิ่งพิมพ์ (Mock-up) หมายถึง การจัดทำสื่อสิ่งพิมพ์จำลอง เพื่อทดสอบความเป็นไปได้ และหยั่งรู้ความรู้สึกของผู้อ่านเมื่อพบเห็นงาน ตลอดจนความรู้สึกของลูกค้าผู้เป็นเจ้าของงาน ส่วนใหญ่จะใช้วิธีพิมพ์ออก ทางเครื่องพิมพ์เลเซอร์แล้วประกอบเป็นเล่มต้นแบบขึ้นมาดู ในปัจจุบันการจัดทำสื่อสิ่งพิมพ์บางประเภท ผู้จัดทำนิยมจัดทำ ต้นแบบจำลองของสื่อสิ่งพิมพ์ที่จะจัดทำขึ้นมาพิจารณาความเป็นไปได้ในการจัดพิมพ์ รวมทั้งความเป็นไปได้ในแง่การจำหน่าย และหาผู้สนับสนุนการจัดพิมพ์ เช่น ผู้ลงโฆษณา เป็นต้น ซึ่งเรียกต้นแบบนี้ว่า “Mock up” 3) การจัดทำอาร์ตเวิร์ก (Art Work) กระบวนการจัดทำอาร์ตเวิร์กจะดำเนินการต่อเนื่องมาจากการจัดวางหน้าหรือการวางเลย์เอาต์ เป็นการจัดทำงานศิลป์ โดยจัดวางองค์ประกอบในหน้าสื่อสิ่งพิมพ์ ได้แก่ ข้อความ รูปภาพประกอบ กราฟิกต่างๆ มาจัดวางตามทีไ่ ด้กำหนดไว้ในเลย์เอาต์ ถือเป็นการจัดทำต้นฉบับจริงขึ้น ก่อนที่จะส่งไปทำแม่พิมพ์นั่นเอง ปัจจุบันนี้นิยมใช้คอมพิวเตอร์และโปรแกรมผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ ในการจัดทำ


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 17

4) การพิสูจน์อักษร (Proof Reading) มีวัตถุประสงค์เพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยของชิ้นงานอาร์ตเวิร์กก่อนส่งไปเข้าสู่กระบวนการจัดทำแม่พิมพ์ต่อไป ซึ่งการพิสูจน์อักษรเน้นในด้านความถูกต้องในการใช้ภาษา เช่น การสะกด การันต์ การขึ้นย่อหน้าใหม่ การจัดวางรูปแบบ ภาพประกอบเรื่อง และคำบรรยายใต้ภาพ 5) การทำแม่พิมพ์(Printed Plate) สําหรับการพิมพ์ในปัจจุบันที่ใช้กันส่วนมากคือ การพิมพ์แบบดิจิทัล และการพิมพ์แบบออฟเซต การพิมพ์แบบดิจิทัล1 เทคโนโลยีการพิมพ์ระบบดิจิทัล เป็นวิวัฒนาการการพิมพ์ยุคใหม่ เพราะอาศัยเทคนิคการพิมพ์ที่ไม่จําเป็นต้องใช้แม่พมิ พ์อีกต่อไป ปัจจุบันเครื่องพิมพ์ระบบดิจิทัลกําลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายกับวัสดุสิ่งพิมพ์ กระดาษ ตัวอย่างของเครื่องพิมพ์ระบบดิจิทัล ได้แก่ พรินเตอร์ Ink jet และพรินเตอร์เลเซอร์ เป็นต้น การนําเครื่องพิมพ์แบบดิจิทัลมาใช้ในการพิมพ์สิ่งทอนั้นยังคงมีข้อ จํากัดอยู่มาก และต้องมีการลง ทุนการวิจัย และพัฒนาด้านนี้อีกมาก ในปัจจุบันข้อจํากัดของการพิมพ์ระบบดิจิทัลคือ ความเร็วที่ยังสู้การพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์สกรีนทรงกระบอกไม่ได้ แต่มีข้อได้เปรียบถ้าหากนํามาใช้ในการพิมพ์ปรู๊ฟสี ซึ่งทําให้ลดต้นทุนการผลิตลงได้มากและช่วยทําให้ประหยัดเวลา เพราะไม่มีความจําเป็นต้องเตรียมแม่พิมพ์ แต่ข้อจํากัดอันสําคัญคือความเร็วในการพิมพ์ที่ค่อนข้างช้าโดยเฉลี่ย 2 ตร.ม./นาที ในขณะที่อัตราเร็วของการพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์สกรีนทรง กระบอกเฉลี่ยอยู่ที่ 39 ตร.ม./นาที ทําให้การเจริญเติบโตของตลาดเครื่องพิมพ์ดิจทิ ัลสําหรับการพิมพ์สิ่ง ทอมีอัตราการเจริญ เติบโตที่ค่อนข้างต่ํา ส่วนใหญ่จะเป็นตลาดสําหรับการพิมพ์ปรู๊ฟ พิมพ์ภาพ ศิลปะบนเสื้อผ้า และการพิมพ์ที่ มีจํานวนออเดอร์ต่ําและต้องการความรวดเร็วในการส่งมอบ การพิมพ์ระบบพ่นหมึก หลักการทํางาน ของเครื่องพิมพ์ระบบพ่นหมึกนั้น หัวพิมพ์จะ ทําหน้าที่สร้างละอองหมึกที่มีขนาดเล็กๆ และจะถูกพ่นออกทางปลาย nozzles ที่มีขนาดเล็กๆ ละอองหมึกพิมพ์เหล่านี้จะถูกบังคับให้พุ่งตกลงในตําแหน่งที่ ต้องการบนวัสดุพิมพ์ได้อย่างแม่นยํา ระบบการพิมพ์แบบ พ่นหมึกสามารถแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ 1. ระบบพ่น หมึกแบบต่อเนื่อง (Continuous ink jet) เทคนิคของการพิมพ์แบบ นี้ หมึกพิมพ์จะ ถูกพ่นออกมาตลอดเวลา ละอองหมึกพิมพ์จะ ถูกชาร์จให้มีประจุด้วย Charge electrode หลังจากนั้นหมึกพิมพ์จะถูกบังคับให้เคลื่อนที่ เบี่ยงเบนด้วย Deflection plate ให้ไปตกลงบนกระดาษพิมพ์ในตําแหน่งที่ต้องการ 2. ระบบพ่น หมึกตามสั่ง (Drop on demand) หลักการทํางานของ เครื่องพิมพ์แบบนี้ ละอองหมึกจะถูกพ่นออกมาเมื่อถูกสั่ง โดยที่ละอองหมึกจะถูกพ่นออกมาที ละหยด ทุกหยดจะถูกนําไปใช้หมด ระบบการพิมพ์แบบ นี้ไม่จําเป็นต้องชาร์จประจุหมึกเหมือนกับระบบพ่นหมึกแบบต่อเนื่อง จึงสามารถใช้พิมพ์สีน้ํา (สีรีแอคทีฟ, สีแอซิด)

1

ที่มา : บทความเรื่อง เทคโนโลยีการพิมพ์ระบบดิจิทัล (Digital Printing Technology) โดย ดร.กาวี ศรีกูลกิจ : ภาควิชาวัสดุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 18 สูตรหมึกพิมพ์สําหรับ เครื่องพิมพ์ระบบดิจิทัล หมึกพิมพ์สําหรับ นํามาใช้กับเครื่องพิมพ์ระบบดิจิทัลนั้น จําเป็นต้องให้ความพิถีพิถันในการเตรียมเป็นพิเศษ ทั้งนี้เพราะหมึกพิมพ์ต้องมีสมบัติพิเศษที่แตกต่างจากหมึกพิมพ์สําหรับพิมพ์ซิลค์สกรีนทั่วไป เช่น สมบัติแรงตึงผิวของหมึกพิมพ์ และสมบัติการแห้ง ตัวของหมึกพิมพ์ต้อง เหมาะสม สมบัติแรงตึงผิวของหมึกพิมพ์นั้นจะเป็นตัวควบคุมไม่ให้ละอองหมึกพิมพ์ยุบตัวหรือแตก เสียก่อน ก่อนที่จะพุ่งไปตกลงบนวัสดุพิมพ์ ส่วนสมบัติการแห้ง ตัวของหมึกพิมพ์ก็ ต้องควบคุมให้มีความเหมาะสมด้วย ทั้งนี้เพราะถ้าหมึกพิมพ์แห้งตัวเร็วจนเกินไปก็อาจจะทําให้ปลายของท่อส่งหมึก นั้นเกิดการอุด ตันเกิดขึ้น แต่ถ้าหมึกพิมพ์แห้ง ช้าจนเกินไปก็อาจจะทําให้ลายพิมพ์บนวัสดุพิมพ์นั้นไม่ชัดเจนเนื่องจากการแพร่ ของหมึกพิมพ์ หมึกพิมพ์สําหรับ เครื่อง Ink jet นั้น ส่วนใหญ่จะใช้สีรีแอคทีฟ และสีดิสเพิส การพิมพ์แบบออฟเซต เนื่องจากการพิมพ์ส่วนมากนิยมใช้ระบบการพิมพ์แบบออฟเซต ซึ่งการทำแม่พิมพ์เริ่มต้นตั้งแต่การนำชิ้นงานอาร์ตเวิร์ก มาแยกสี เพื่อให้ได้ฟิลม์ แล้วนำไปถ่ายลงบนแผ่นสังกะสีเคลือบน้ำยาสารเคมี เพื่อให้เกิดรูปรอยตามต้นฉบับ ต่างกับการพิมพ์ ในระบบเลตเตอร์เพรส ซึ่งการทำแม่พิมพ์เป็นเพียงการนำบล็อกโลหะ เช่น ตัวอักษรที่มีการจัดทำไว้เรียบร้อยแล้ว มาเรียงต่อกันตามต้นฉบับ สิ่งพิมพ์ที่เหมาะ กับ offset2 ระบบออฟเซตเป็นระบบการพิมพ์ที่ใช้กันมาก ที่สุดทั่วโลกในปัจจุบันเพราะให้งานพิมพ์ที่สวยงามมีความคล่องตัวในการจัดอาร์ตเวิร์กและไม่ว่าจะออกแบอย่างไรการพิมพ์ก็ไม่ยุ่ งยากมากจนเกินไปประกอบกับ ความก้าวหน้าในการทําฟิล์มและการแยกสีในปัจจุบัน ทําให้ยิ่งพิมพ์จํานวนมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งถูกลง สิ่งพิมพ์ที่จะพิมพ์ด้วยระบบออฟเซตควรมีลักษณะดังต่อไปนี้ 1. มีจํานวนพิมพ์ตั้งแต่ 3,000 ชุด ขึ้นไป 2. มีภาพประกอบหรืองานประเภท กราฟ มาก 3. ต้องการความรวดเร็วในการจัดพิมพ์ 4. ต้องการความประณีต สวยงาม 5. เป็นการพิมพ์ หลายสี หรือภาพ สี่สีที่ต้องการความสวยงามมากๆ 6. มีงานอาร์ตเวิร์กที่มีความยุ่งยากสลับซับซ้อนมาก 7. มีงบประมาณในการจัดพิมพ์เพียงพอ ระบบออฟเซตสามารถให้งานพิมพ์ที่คุณภาพดีได้เพราะ 1. การถ่ายทอดภาพกระทําโดยการถ่ายทอดลงบนผ้ายางแบลงเกตก่อนแล้วจึงถ่ายทอดลงบนกระดาษ ทําให้การถ่ายทอดหมึกเป็นไปอย่างสม่ําเสมอ 2. สามารถใช้สกรีนที่มีความละเอียดมากๆ ถึง 175 -200 เส้น/นิ้วได้ทําให้ภาพที่ออกมามีความละเอียดสวยงาม 3. การพิมพ์ภาพสี่สีทําได้สะดวก เพราะสามารถปรับตําแหน่งของแม่พิมพ์และกระดาษให้ลงในตําแหน่งที่ตรงกันของแต่ละสีได้ง่าย 4.สามารถพิมพ์ลงบนกระดาษได้เกือบทุกชนิด

2

ความรู้สิ่งพิมพ์ที่เหมาะกับ offset ที่มา : ระบบออนไลน์ http://bangkokprint.com


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 19 การนับสีในระบบออฟเซต พิมพ์ 1 สี การพิมพ์สีเดียว เป็นงานพิมพ์ที่เราเห็นกันทั่วไป ส่วนใหญ่เป็นงานขาวดําเช่น หนังสือเล่มทั้งหลาย ตําราเรียน พ็อคเก็ตบุ๊คส์ แต่เป็นหน้าในนะครับ ไม่ใช่ปก แต่จริงแล้วงานสีเดียวจะพิมพ์สีอะไรก็ได้ เช่น แดง เหลือง หรือนํ้าเงิน และในสีที่พิมพ์นั้นก็เลือกความเข้มได้หลายระดับ ทําให้ดูเหมือนว่าพิมพ์หลายสีได้ เช่น พิมพ์สีแดงบนกระดาษขาว ถ้าพิมพ์จางๆก็จะได้สีชมพูเป็นต้น พิมพ์สีนาํ้ ตาลสีเดียว พิมพ์สีนํ้าเงินสีเดียว พิมพ์สีเขียวสีเดียว สีขาวเป็นสี ของกระดาษ พิมพ์นํ้าตาลสีเดียว สีขาวเป็นสีของกระดาษ ตัวอย่างงานพิมพ์ 1 สี เช่น บิล หน้าในของตําราเรียน, พ็อคเก็ตบุ๊คส์ งาน 1 สีไม่จําเป็นต้องเป็นหมึกสีดําเสมอไป อาจเป็นสีอะไรก็ได้ เช่น แดง น้ําเงิน เขียว ฯลฯ การพิมพ์ 1 สี มีค่าใช้จ่ายต่ําสุด ถ้ามีงบจํากัดก็เลือกพิมพ์สีเดียวนี่แหละครับ นิยมใช้พิมพ์ บิล ใบปลิว คู่มือการใช้งาน เนื้อในหนังสือ ฯลฯ พิมพ์ 2-3 สี (พิมพ์หลายสี) การพิมพ์สีเดียวอาจจะดูไม่น่าสนใจนัก ถ้าต้องการความสวยงามหรือเพิ่มความน่าสนใจก็อาจจะต้องพิมพ์หลายสี เช่น พิมพ์ 2 สี หรือ 3 สี เป็นต้น ส่วนใหญ่จะนิยมพิมพ์ 2 สีครับ เช่น ดํากับแดง หรือดํากับนํ้าเงิน หรือคู่สีอะไรก็ได้ ค่าใช้จ่ายก็เพิ่มจากพิมพ์สีเดียวขึ้นมาอีกบางส่วน เพราะโรงพิมพ์จะต้องเพิ่มแม่พิมพ์ตามจํานวนสี และต้องเพิ่มเที่ยวพิมพ์หรือรอบพิมพ์ตามไปด้วย พิมพ์ 2 สี นํ้าตาลกับสี เขียว พิมพ์ 2 สีฟ้ากับสีดําสีขาวเป็นสีของกระดาษ พิมพ์ 3สี ฟ้าดําและส้ม พิมพ์ 4 สี ฟ้า ดํา ส้มและแดง พิมพ์ สี่สี (แบบสอดสี) หมายถึง การพิมพ์งานที่มีมากกว่า 1 สี ซึ่งเรียกกันติดปากว่า “พิมพ์สี่ส”ี่ ภาษาอังกฤษเรียกว่า “full color” ช่างพิมพ์จะต้องทำแม่พิมพ์จำนวน 4 แผ่น เพลทแผ่นหนึ่งสำหรับพิมพ์หมึกสีดำ (black) อีก 3 เพลทสำหรับพิมพ์สี หมึกม่วงแดง(magenta) หมึกพิมพืสีเหลือง(yellow) และหมึกพิมพ์สีฟ้า(cyan) เมื่อพิมพ์หมึกทั้งสี่สีนี้ซ้อนทับกันตามแม่พิมพ์แล้ว หมึกสีก็จะผสมกันทำให้เกิดภาพสีสวยงาม ถ้าต้องการพิมพ์ภาพที่มีสีสันสวยงาม เหมือนกับที่ตาเราเห็นก็ต้องพิมพ์สี่สีแบบสอดสี เรานิยมเรียกกันสั้นๆว่าพิมพ์ 4 สี การพิมพ์แบบนี้ไม่ว่าสิ่งที่เราต้องการพิมพ์มีกรี่ ้อยกี่พันสี โรงพิมพ์ก็จะใช้วิธีพิมพ์สีหลักสี่สี แล้วมันจะผสมกันออกมาได้สารพัดสีตามที่ต้องการ ซึ่งแน่นอนว่าขั้นตอนยากกว่าสองแบบแรก ค่าใช้จ่ายก็สูงกว่า เพราะต้องใช้ แม่พิมพ์ถึง 4 ตัว แล้วก็ต้องพิมพ์สี่รอบ ไม่น่าเชื่อว่า สี่สีนี้ผสมกันออกมา จะให้เป็นสีอะไรก็ได้ เป็นล้านสี พวกปกหนังสือ โปสเตอร์สวย หน้าแฟชั่นในนิตยสารก็ล้วนแต่พิมพ์สี่สีเป็นส่วนใหญ่ การพิมพ์สีทีละสีจนได้สีที่ต้องการนั้น มีการผสมสีอยู่ 2 ระบบคือ ระบบการผสมสีแบบบวก เป็นการผสมสีที่เราพบเห็นอยู่ทั่วไปในธรรมชาติ คือ สีม่วง คราม น้ําเงิน เขียว เหลือง แสด แดง เมื่อมาผสมรวมกันจะได้แสงสีขาว คือ แสงแดด การผลิตภาพสีอีกระบบหนึ่งเรียกว่า ระบบการผสมสีแบบลบ ซึ่งเป็นระบบที่ใช้ในการพิมพ์ ระบบนี้มีแม่สีเป็นหลัก และหักลบกับแสงสีที่ส่องมาบนกระดาษหรือส่องลงมายังฟิล์ม ซึ่งจะได้สีต่างๆ ดังนี้ น้ําเงินเขียว + เหลือง = เขียว น้ําเงินเขียว + ม่วงแดง = น้ําเงิน เหลือง + ม่วงแดง = แดง เหลือง + ม่วงแดง + น้ําเงินเขียว = ดํา


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 20 พิมพ์ สีพิเศษ สําหรับงาน พิมพ์ที่เราต้องการความโดดเด่น พิเศษ แปลกตา เช่น สีบอนซ์เงิน, สีบอนซ์ทอง, สีสะท้อนแสง หรือ สีที่ไม่สามารถใช้หมึก CMYK ทับกันให้ได้สีที่เราต้องการ การนับสีในระบบซิลค์สกรีน การพิมพ์ระบบซิลค์สกรีน เป็นการพิมพ์สีพื้นตาย (มีความเข้มเท่ากันหมด ไม่มีการไล่โทนสีจากอ่อนไปเข้ม) ซึ่งไม่สามารถ นําสี 2 สี มาพิมพ์สีทับกันได้เพื่อให้เป็นอีกสีหนึ่งได้ เพราะฉะนั้นเวลานับสีจะนับเท่าทีตาเราเห็นได้เลยว่าในงานนี้มีกี่สี่ การนับสีในระบบดิจิทัล การพิมพ์ระบบดิจิทัลเป็นการพิมพ์โดยใช้เครื่องพิมพ์ดิจิทัล (คล้ายๆ การพิมพ์งานจากปรินเตอร์ที่เราใช้กันในออฟฟิศ) การนับสี จะเป็นดังนี้คือ จะมีสีดํา เท่านั้นที่นับเป็นพิมพ์ 1 สี ส่วนถ้าพิมพ์สีอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น สีชมพู สีเขียว สีส้ม แม้จะพิมพ์เป็นงาน 1 สีดังกล่าว ก็ถือว่าเป็นงาน 4 สี เนื่องจากเครื่องพิมพ์ดิจิทัลนั้นจะดึงหมึกจากตลับสีแต่ละตลับมาผสมกันออกมา ให้เป็นสีที่เราต้องการ ซึ่งจะมีค่าเท่ากับพิมพ์งาน 4 สีเป็นภาพ การแยกสี (color scanning) หมายถึงการนําข้อมูลจากต้นฉบับภาพสีไปสร้างเป็นภาพสกรีนบนฟิล์ม 4 ชิ้น เพื่อนําไปทําแม่พิมพ์ 4 แผ่น สําหรับในไปพิมพ์ด้วยหมึกสีฟ้า (cyan) ม่วงแดง (magenta) เหลือง (yellow) และดํา (black) ลงบนพื้นสีขาว ให้ภาพแต่ละสีซ้อนทับตรงกันได้เป็นภาพสีเหมือนตามต้นฉบับ การเกิดสีสันในการพิมพ์ภาพสีเกิดจากหมึกสีฟ้า ม่วงแดง และเหลือง ภาพพิมพ์จากหมึกพิมพ์ 3 สี มีความดําไม่พอ ภาพจะไม่สวยงาม ดังนั้น การพิมพ์สีดําลงไปในภาพทําให้ภาพพิมพ์เกิดความเปรียบต่าง(contrast) เพิ่มขึ้น ในกรณีที่ภาพประกอบเป็นภาพถ่าย หรือฟิล์มสไลด์ เพื่อให้ได้ภาพพิมพ์สีที่ใกล้เคียงธรรมชาติ ผู้ออกแบบต้องสั่งการให้ช่างควบคุมการถ่ายเพลทแยกสีจากฟิล์มได้ถูกต้อง ตลอดจนควบคุมปริมาณหรือนําหนักของสีที่จะพิมพ์ในแต่ละเพลท ก็สามารถแยกสีเป็นแผ่นเพลท (printing plate) การพิมพ์ปรู๊ฟ การทําแม่พิมพ์จะต้องมีการปรู๊ฟงานพิมพ์ก่อนทําการพิมพ์จริง เพื่อความสมบูรณ์เรียบร้อยของแม่พิมพ์ ในปัจจุบันวิธีการปรู๊ฟแม่พิมพ์มีหลายวิธี เช่น ปรู๊ฟได้จากแผ่นฟิล์ม ปรู๊ฟจากแท่นปรู๊ฟ และปรู๊ฟด้วยดิจิทัลปรู๊ฟ(digital proof) นอกจากนี้เพื่อให้การปรู๊ฟได้งานพิมพ์ที่มีคุณภาพสูง จึงควรสร้างมาตรฐานการปรู๊ฟด้วยการทํา “ซีเอ็มเอส” (Color Management System : CMS) การปรู๊ฟจะต้องคํานึงถึงว่าภาพที่ได้จากการปรู๊ฟสามารถนําไปพิมพ์ได้จริงบนแท่นพิมพ์ ทั้งนี้ ระบบการปรู๊ฟจะต้องจําลองสถานการณ์จริงให้มากที่สุด ทั้งเฉดสีหมึก กระดาษพิมพ์ เม็ดสกรีน และแรงกดในการพิมพ์ ในขณะเดียวกันต้องมีการควบคุมคุณภาพของกระบวนการเตรียมต้นฉบับอย่างแม่นยํา เพื่อรักษาความต่อเนื่องจากผลการปรู๊ฟ 6) การตีพิมพ์ (Press) การพิมพ์ให้ได้คุณภาพ ผู้จัดทําจะต้องคํานึงถึงปัจจัยต่างๆ หลายประการ ได้แก่ การใช้วัสดุที่มีคุณภาพเหมาะกับงานและพิมพ์ได้ดี การใช้เครื่องพิมพ์ที่มีสภาพดี ควบคุมได้ง่าย ช่างพิมพ์มีทักษะความชํานาญในการพิมพ์ในกรณีการพิมพ์สอดสี(พิมพ์สี่สี) การพิมพ์แต่ละสีจะต้องซ้อนทับตรงกัน มีรอยฉากตรงตามที่กําหนด การพิมพ์มีการปล่อยหมึกเข้มพอดี การถ่ายทอดภาพคมชัด เม็ดสกรีนไม่บวม สีของภาพถูกต้อง ชิ้นงานสะอาดเรียบร้อย หมึกแห้งเร็วดี ไม่มีปัญหาเปรอะเปื้อน อย่างไรก็ตาม การพิมพ์จะมีคุณภาพดีได้ผู้จัดพิมพ์ควรมีความรู้ความเข้าใจระบบการพิมพ์เป็นพื้นฐาน การจัดทําหนังสือพิมพ์หรือสื่อสิ่งพิมพ์ใดๆ ก็ตาม ก่อนอื่นผู้จัดทําจะต้องพิจารณาเลือกระบบการพิมพ์ให้ถูกต้องเหมาะสมกับลักษณะงานทีจ่ ะพิมพ์ เพราะจะทําให้สะดวก ประหยัด


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 21 และรวดเร็วยิ่งขึ้น การเลือกใช้วัสดุการพิมพ์ เช่น กระดาษเนื้อใน กระดาษปก หรือวิธีการพับ การเข้าเล่มก็มีความสําคัญเช่นกัน นอกจากนี้ยังควรมีความรู้เกี่ยวกับการจัดเตรียมต้นฉบับ การจัดทําอาร์ตเวิร์ก และการประเมินราคาสิ่งพิมพ์บ้างพอสมควร เพื่อให้สามารถติดต่อกับโรงพิมพ์ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วถูกต้องยิ่งขึ้น 6.1) การพิมพ์เป็นยก ในการพิมพ์หนังสือ หนังสือพิมพ์ หรือสิ่งพิมพ์อื่นๆ ที่มีจํานวนมากๆ นั้น โดยปกติแล้วจะไม่พิมพ์ทีละหน้า เพราะเสียเวลาและค่าใช้จ่ายสูงและไม่มีความจําเป็นที่จะต้องทําเช่นนั้น แต่จะพิมพ์มากกว่า ครั้งละหนึ่งหน้าเสมอ เช่น 2 หน้า 4 หน้า 8 หน้า และ 16 หน้า เป็นต้นไป จะพิมพ์ด้านละกี่หน้า ก็ขึ้นอยู่กับขนาดของสิ่งพิมพ์และ แท่นพิมพ์นั้นๆ เมื่อพิมพ์ครบทั้งสองหน้าแล้ว จึงนํามาพับให้ได้ขนาดรูปเล่มของสิ่งพิมพ์ที่ต้องการ แต่ละแผ่นทีพ่ ิมพ์ครบทั้งสอง หน้าแล้ว นํามาพับให้ได้ขนาดตามที่ต้องการนี้เรียกว่า “ยก” หรือ “ยกพิมพ์” ภาษาอังกฤษใช้คําว่า “Signature” เช่น ขนาด 8 หน้ายก ก็คือ กระดาษที่เข้าเครื่องพิมพ์ด้านละ 4 หน้า 2 ด้าน เมื่อนํามาพับตั้งฉากกัน 2 ครั้งจะได้จํานวนทั้งหมด 8 หน้า เป็นต้น ดังนั้น ความหมายของคําว่ายกในการพิมพ์ คือ จํานวนของหน้าหนังสือที่จะพิมพ์ลงบนกระดาษแผ่นใหญ่ 1 แผ่น ทั้ง 2 หน้านั่นเอง แท่นพิมพ์ขนาดใหญ่ จึงสามารถพิมพ์จํานวนหน้าต่อยกได้มากขึ้น 6.2) ขนาดของการพิมพ์ ในวงการพิมพ์สามารถจําแนกขนาดหนังสือพิมพ์ที่นิยมกันได้ 2 ขนาด คือ ขนาด 31×43 นิ้ว เรียกอีกอย่างว่าขนาดมาตรฐาน เมื่อนําไปแบ่งครึ่ง เรียกว่า “กระดาษตัด 2” นําไปพิมพ์กับเครื่องพิมพ์ลงตัวพอดี งานพิมพ์ที่ใช้กระดาษแผ่นนี้เรียกว่า “ขนาดธรรมดา” เช่น พิมพ์ยกละ 8 หน้า เรียกว่า “ขนาด 8 หน้ายกธรรมดา” ส่วนกระดาษอีกขนาดคือ ขนาด 24×35 นิ้ว เมื่อนําไปพิมพ์ที่มีจํานวนยกพิมพ์เท่ากัน (สมมติว่าพิมพ์ขนาด 8 หน้ายก) จะได้สื่อสิ่งพิมพ์ที่มีขนาดใหญ่กว่าการพิมพ์ด้วยกระดาษขนาด 31×43 นิ้ว เล็กน้อย เรียกว่า “ขนาด 8 หน้ายกพิเศษ” ขนาดของกระดาษ (Paper Size) กว้าง X ยาว มีหน่วยเป็นมิลลิเมตรและเป็นนิ้วตามมาตรฐานสากล Paper Size : A size x Millimeters x Inches A0841 X 118933.11 X 46.81 A1594 X 84123.39 X 33.11 A2420 X 59416.54 X 23.39 A4210 X 2978.27 X 11.69 A5148 X 2105.83 X 8.27 A6105 X 1484.13 X 5.83 A774 X 1052.91 X 4.13 กระดาษแผ่นใหญ่มาตรฐานสากล ซึ่งใช้อยู่ในประเทศไทยมี 2 ประเภท คือ − ประเภท กว้าง 31 นิ้ว ยาว 43 นิ้ว − ประเภท กว้าง 24 นิ้ว ยาว 35 นิ้ว กระดาษแผ่นใหญ่มาตรฐาน − พับได้ 4 ส่วน เรียกว่า 4 หน้ายก − พับได้ 8 ส่วน เรียกว่า 8 หน้ายก − พับได้ 16 ส่วน เรียกว่า 13 หน้ายก − พับได้ 32 ส่วน เรียกว่า 32 หน้ายก − 4 หน้ายก ปกติจะเป็นหนังสือพิมพ์ − 8 หน้ายก เป็นหนังสือขนาดใหญ่ มี 8 หน้ายกใหญ่และเล็ก − 16 หน้ายก เป็นหนังสือขนาดกลาง มี 16 หน้ายกใหญ่และเล็ก − 32 หน้ายก เป็นหนังสือขนาดเล็ก มี 32 หน้ายกใหญ่และเล็ก


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 22 ขนาดหน้ายกของหนังสือทั่วไป มีดังนี้ − 1 หน้ายก ขนาดที่แพร่หลาย คือ 31 X 43 − 4 หน้ายก ขนาดประมาณ 14.5 X 22.5 หรือขนาดใกล้เคียง − 8 หน้ายก ขนาดประมาณ 7.5 X 10.25 หรือขนาดใกล้เคียง − 16 หน้ายก ขนาดประมาณ 5 X 7.25 หรือขนาดใกล้เคียง − 32 หน้ายก ขนาดประมาณ 3 X 4.5 หรือขนาดใกล้เคียง − ขนาดความหนาของหนังสือตามปริมาณกระดาษ เรียกตามภาษาธุรกิจการพิมพ์ว่า ยก ดังนั้นกระดาษแผ่นใหญ่แผ่นหนึ่ง จะเป็นปริมาณกระดาษ 4 ยก − กระดาษในท้องตลาดทั่วไป จะขายเป็นม้วนหรือเรียกว่า ลูก ปริมาณกระดาษ น้ําหนัก 30 กิโลกรัม เรียกว่า 1 รีม 1 รีม มีกระดาษ 500 แผ่น − 1 รีม ปริมาณกระดาษ 2,000 ยก

ตารางเปรียบเทียบขนาดกระดาษ


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 23

กระบวนการในขั้นตอนหลังการพิมพ์ (Afterpress) งานพิมพ์ที่พิมพ์เสร็จสิ้นแล้ว3 โดยทั่วไปยังไม่สมบูรณ์เป็นชิ้นงานตามที่ต้องการ จึงต้องผ่านกระบวนการต่อไปนี้เสียก่อน การตกแต่งผิวชิ้นงาน (Surface Decoration) งานพิมพ์บางประเภทต้องการการเคลือบผิวเพื่อจุดประสงค์ต่างๆ กัน เช่น ป้องกันการขีดข่วน ป้องกันความชื้น ต้องการความสวยงาม เป็นต้น การตกแต่งผิวมีดังนี้

3

กระบวนการหลังการพิมพ์ (After Press Process) ที่มา : ระบบออนไลน์ http://www.planprinting.co.th


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 24 - การเคลือบผิว (Coating) เช่น การเคลือบวาร์นิช วาร์นิชด้าน วาร์นิชแบบใช้น้ําเป็นตัวทําละลาย (Water based varnish) การเคลือบยูวี ยูวีด้าน การเคลือบพีวีซีเงา พีวีซีด้าน การเคลือบเงาเฉพาะจุด (Spot UV) การเคลือบวาร์นิชจะให้ความเงาน้อยที่สุดในขณะที่การเคลือบพีวีซีเงาจะให้ ความเงามากที่สุด - การรีด/ปั๊มแผ่นฟอยล์ (Hot Stamping) คือ การปั๊มด้วยความร้อนให้แผ่นฟอยล์ไปติดบนชิ้นงานเป็นรูปตามแบบปั๊ม มีทั้งการปั๊มฟอยล์เงิน/ทอง ฟอยล์สีต่างๆ ฟอยล์ลวดลายต่างๆ ฟอยล์ฮาโลแกรม เป็นต้น - การปั๊มนูน/ปั๊มลึก (Embossing/Debossing) คือการปั๊มชิ้นงานให้นูนขึ้นหรือลึกลงจากผิวเป็นรูปร่างตามแบบปั๊ม เช่น การปั๊มนูนตัวอักษร สัญลักษณ์ การขึ้นรูป (Forming) ได้แก่ การตัดเจียน เช่น งานทําฉลาก การขึ้นเส้นสําหรับพับ การปั๊มเป็นรูปทรง การไดคัท เช่น งานทํากล่อง งานเจาะหน้าต่างเป็นรูปต่างๆ การพับ การม้วน เช่น งานทํากระป๋อง การทากาวหรือทําให้ติดกัน เช่น งานทํากล่อง งานทําซอง การหุ้มกระดาษแข็ง เช่น งานทําปกแข็ง งานทําฐานปฏิทิน การทํารูปเล่ม (Book Making) เป็นขั้นตอนสําหรับทํางานประเภทสมุด หนังสือ ปฏิทิน ฯลฯ มีขั้นตอนคือ - การตัดแบ่ง เพื่อแบ่งงานพิมพ์ที่ซ้ํากันในแผ่นเดียวกัน - การพับ เพื่อพับแผ่นพิมพ์เป็นหน้ายก - การเก็บเล่ม เพื่อเก็บรวมแผ่นพิมพ์ที่พับแล้ว/หน้ายกมาเรียงให้ครบเล่มหนังสือ - การเข้าเล่ม เพื่อทําให้หนังสือยึดติดกันเป็นเล่ม มีวิธีต่างๆ คือ การเย็บด้วยลวด เย็บมุงหลังคา การไสสันทากาว - การเย็บกี่ทากาว การเย็บกี่หุ้มปกแข็ง การเจาะรูร้อยห่วง เมื่อผ่านการยึดเล่มติดกัน ก็นําชิ้นงานมาตัดเจียนขอบสามด้านให้เรียบเสมอกันและได้ขนาดที่ต้องการ (ยกเว้นงานที่เย็บกี่หุ้มปกแข็งและงานที่เจาะรูร้อยห่วงจะผ่านการตัดเจียน ก่อนเข้าเล่ม) การบรรจุหีบห่อ (Packing) และจัดส่ง (Delivery) เมื่อได้ชิ้นงานสําเร็จตามที่ต้องการ ทําการตรวจสอบชิ้นงาน แล้วบรรจุหีบห่อพร้อมส่งไปยังจุดหมายปลายทางต่อไป

การตรวจสอบไฟล์งาน มีประโยชน์กับการทํางานในส่วนของโรงพิมพ์ เนื่องจากไฟล์งานทีม่ ีความสมบูรณ์จะช่วยลดความผิดพลาดที่จะเกิดขึ้น เช่น ความคมชัดของรูปภาพรูปแบบฟอนต์ ขนาดงาน รวมถึงปัญหาต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นจากการนําไฟล์งานไปเปิดในเครื่องอื่นหรือการเปิดไฟล์งานด้วย โปรแกรมที่มีเวอร์ชันต่างกันได้ สิ่งต่างๆ ที่ควรทําการตรวจสอบ คือ 1. รูปภาพ ภาพที่ใช้ในงานสิ่งพิมพ์เป็นสีระบบ CMYK โดยไปที่เมนู Image > Image Size….. รูปที่ใช้ควรมีขนาดที่เหมาะสมกับขนาดงาน เพราะการย่อหรือขยายรูปเมื่อนํางานไปพิมพ์แล้วจะทําให้รูปไม่ชัด โดยไฟล์ภาพที่นิยมใช้กับงานพิมพ์คือ TIFF, PSK, PSD, BMP, JPG 2. ฟอนต์ หลังจากตรวจสอบความถูกต้องเสร็จเรียบร้อยแล้ว ควรทําการ Create Outlines โดย ไปที่เมนู Type > Create Outlines เนื่องจากการนําไฟล์งานไปเปิดในเครื่องอื่นถ้าเครื่องเครื่องนั้นไม่มีฟอนต์ ที่ใช้ในงานอยู่ โปรแกรมจะนําฟอนต์อื่นมาแสดงผลแทน 3. สี โหมดสีทใี่ ช้ในไฟล์งานและ Document Color Mode ต้องเป็น CMYK ซึ่งสามารถตรวจสอบ Document Color Mode ได้โดยดูที่มุมซ้ายบนของหน้าต่างงานว่าเป็น CMYK Color (กรเปลี่ยนแปลง Document Color Mode ในภายหลังจะทําให้ค่าสีที่ใช้งานทีการเปลี่ยนแปลง) Brush ถ้ามีการใช้ Brush


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 25 ในการวาดรูปควรทําการแปลงให้เป็นลายเส้น โดยไปที่เมนู Object > Expand AppearanceSymbol การใช้ Symbol ต้องแปลงให้เป็นลายเส้น โดยไปที่ เมนู Object > Expand.. Crop Mark การกําหนดแนวเส้นในการตัดเจียนกระดาษ เพื่อบอกถึงขอบเขตงานที่ใช้จริง หลังจากพิมพ์งานเสร็จ โรงพิมพ์จะนํางานไปตัดโดยตัดตามเส้นตัดที่กําหนดไว้ในไฟล์งาน การสร้าง Crop Area และ Crop Marks - สร้างเส้นตัดได้โดยในขั้นแรกให้สร้างกล่องสี่เหลี่ยมที่มีขนาดเท่ากับขนาด งานของท่าและคลิกเอกกล่อสี่เหลี่ยมไว้ หลังจากนั้นเลือกการสร้างเส้นตัดซึ่งมี 2 แบบ ดังนี้ - แบบ Crop Area : ในเมนู Object > Crop Area > Make เนื่องจาก Crop Area เมื่อสร้างขึ้นแล้วจะไม่สามารถคลิกได้ ถ้าต้องการลบทิ้งให้ไปที่เมน Object > Crop Area > Release การใช้ Crop Area ใช้ได้กับรูปทรงสี่เหลี่ยมเท่านั้น และเส้นตัดที่ได้จะมองเห็นเฉพาะในโปรแกรมเท่านั้นถ้าพิมพ์งานออกมา ดูจะมองไม่เห็นเส้นตัด - แบบ Crop Marks : ไปที่เมนู Filter > Create > Crop Marks การใช้ Crop Marks เส้นตัดที่ได้มาจะสามารถคลิกเลือกได้ และสามารถใช้กับรูปทรงอื่นได้อีกด้วย การเผื่อเนื้อที่ในการตัดเจียนขอบกระดาษ ในกรณีที่ชิ้นงานมีพื้นสีหรือรูปภาพวางอยู่ที่ขอบของเนื้องาน ควรทําการขยายพื้นที่ออกไปจากขอบเขตงานจริงประมาณ 3 มิลลิเมตร เนื่องจากงานที่พิมพ์ เสร็จเมื่อนําไปตัดอาจมีการเหลื่อมซึ่งจะก่อให้เกิดการเหลื่อมขาวขึ้น

การเตรียมไฟล์ส่งโรงพิมพ์ โดยทั่วไปการส่งไฟล์ให้กับโรงพิมพ์มักจะใช้การเขียนลง CD หรือ DVD ไฟล์ที่ต้องรวบรวมประกอบด้วยไฟล์ งาน อาจจะส่งเป็น 2 ไฟล์คือ ไฟล์ที่ได้ Create Outlines แล้ว และไฟล์ที่ยังไม่ได้ Create Outlines เพื่อใช้ในการแก้ไขภายหลังรูปภาพ รวบรวมรูปภาพที่ใช้ในไฟล์งานทั้งหมด ทั้งรูปที่ Link และไม่ Link ท่านสามารถตรวจสอบว่ารูปใดที่ใช้ในไฟล์งานบ้างได้จาก Palette Linkฟอนต์ ควร Save ฟอนต์ทุกตัวที่ได้ใช้ประกอบภายในหน้างานส่งไปยังโรงพิมพ์ด้วย เพื่อรองรับความผิดพลาด หรือการแก้ไขไฟล์งานเล็กๆ น้อยๆ ที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งก่อนการ Create Outline จะสามารถตรวจดูได้ว่าฟอนต์ที่ใช้ในงานมีฟอนต์ใดบ้างที่เมนู Type > Find Font… ฟอนต์ที่ใช้ทั้งหมดจะอยู่ในช่อง Fonts in Document ใบพรินต์งาน (ตัวอย่างชิ้นงาน) เป็นงานที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว ควรทําการพิมพ์ ส่งไปเป็นตัวอย่างเพื่อให้โรงพิมพ์ตรวจสอบความถูกต้องด้วย คําแนะนําสําหรับการเตรียมไฟล์ให้เหมาะสมกับการพิมพ์4 1. นักออกแบบควรจะใช้โปรแกรมออกแบบให้ตรงตามประเภทของงานแต่ต้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสีย คุณภาพของงาน การใช้โปรแกรมผิดประเภท นอกจากจะไม่ได้งานตามที่ควรจะเป็นแล้ว ยังทําให้เกิดความยุ่งยากเมื่อเ ข้าสู่ขั้นตอนการพิมพ์

4

เตรียมไฟล์อย่างไรถึงจะเหมาะกับงานพิมพ์. ที่มา : ระบบออนไลน์ http://www.wacharinprint.com


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 26 Photoshop เหมาะสําหรับงานออกแบบทั่วไป โปสเตอร์ โบรชัวร์ ออกแบบหน้าปกหนังสือ งาน Ads เป็นชิ้น ๆ มีเพียง 12 หน้า งานที่เน้นไปที่การทํางานเกี่ยวกับภาพเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่ายจากกล้องดิจิทัล หรือภาพที่ได้มาจาก Photostock เป็นโปรแกรมตัง้ ต้นสําหรับจัดการกราฟิก เพื่อนําไปใช้กับโปรแกรมอื่น ๆ ไม่เหมาะกับการนํามาออกแบบหนังสือเป็นเล่มโดยตรง ถึงแม้ว่าจะทําได้ก็ตาม Illustrator เหมาะสําหรับงานออกแบบทั่วไป ไม่ว่าจะเป็น โปสเตอร์ โบรชัวร์ หน้าปกหนังสือ กล่องผลิตภัณฑ์ ฯลฯ การทํางานส่วนใหญ่จะทําใน Illustrator เป็นหลัก ทางโรงพิมพ์แนะนําให้ตกแต่งภาพให้เสร็จเรียบร้อยใน Photoshop เสร็จแล้วค่อยนําภาพเข้ามาใช้ (Place) ใน Illustrator อีกทีหนึ่ง InDesign เหมาะสําหรับการออกแบบงานหนังสือ นิตยสาร หรือหนังสือพิมพ์ ที่เป็นลักษณะเล่ม ๆ มีหลาย ๆ หน้า ลักษณะการใช้งานจะเป็นในลักษณะ “จัดหน้าหนังสือ” มากกว่า “ออกแบบกราฟิก” ภาพและกราฟิกที่ใช้มักจะตกแต่งแล้วเสร็จมาจาก Photoshop/Illustrator แล้วค่อยนํามาวางใน InDesign เพื่อจัดรูปเล่มหนังสืออีกต่อหนึ่ง 2. กําหนดขนาดของงานให้เรียบร้อยก่อนลงมือทํา Artwork เพราะเมื่อออกแบบไปแล้ว แล้วมาแก้ไขทีหลัง จะทําให้เสียเวลา สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายไปโดยไม่จําเป็น เช่นกรณีที่ออกแบบมาเป็น A5 แต่ spec จริงเป็น A4 การขยายขนาดจาก 100% เป็น 200% นั้น ทําให้คุณภาพของงานดรอปลงอย่างมาก โดยเฉพาะภาพจําพวก JPEG 3. การกําหนดขนาดงาน “จะต้องบวกพื้นที่การทํางานออกไปเสมอ“ เพื่อเผื่อตัดตก ตัดตก คือการออกแบบงานให้เลยยื่นออกนอกเนื้อที่งาน เพื่อที่จะได้ไม่เกิดขอบขาว เวลาโรงพิมพ์เจียนงานทิ้ง สิ่งนี้จําเป็นมากและนักออกแบบส่วนใหญ่ที่ไม่เคยมีประสบการณ์ทํางานกับโรงพิมพ์มาก่อนจะไม่รู้ งานที่ไม่ได้เผื่อตัดตก บางครั้งจะทําให้มีขอบขาวๆ เกิดขึ้นเวลาพิมพ์งานจริง โรงพิมพ์บางแห่งจะแก้โดยการขยายงานออกไปข้างละ 3mm (หรือประมาณ 1/8 นิ้ว) ทําให้ Artwork ที่ลูกค้าทํามานั้น ใหญ่เกินจริงไปราว ๆ 2% 4. ขั้นตอนการทํางานขั้นถัดไป แยกตามโปรแกรมที่ใช้งาน

ตัวอย่างการตั้งค่าหน้ากระดาษสําหรับการออกแบบโบรชัวร์ด้วย Photoshop


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 27

1. เลือกขนาดงานที่ต้องการเช่น A4 (ส่วนใหญ่งานที่ผลิตในไทย จะใช้ Standard ของ International Paper) 2. ให้เผื่อขนาดตัดตกออกไปทุกด้าน (บน ล่าง ซ้าย ขวา) ด้านละ 3 mm 3. Resolution ที่ใช้ เป็น 300 Pixel/inch ไม่จําเป็นต้องมากไปกว่านี้ และไม่ควรน้อยไปกว่านี้ Resolution ที่มากเกินไปไม่ได้ทําให้ความคมชัดของงานพิมพ์เพิ่มขึ้นแต่อย่างใด 4. สําหรับงานที่ส่งโรงพิมพ์แล้ว จะต้องใช้โหมดสีเป็น CMYK เสมอ เมื่อเริ่มทํางานแล้ว ให้ตั้ง guide ให้กับ workspace ดังนี้

ไกด์งานที่เห็นในภาพ เป็นไกด์งานขนาด A4 ที่เผื่อขอบออกไปด้านละ 3mm อยู่แล้ว ส่วนที่ยื่นออกไปนอกไกด์จะถูกเจียนทิ้งทั้งหมด แต่ไม่มีไม่ได้ ฉะนั้น นักออกแบบควรจะพิจารณาให้ดีว่า จะวาง Layout อย่างไรให้มีตําแหน่งที่เหมาะสม


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 28 4. ทางโรงพิมพ์พบปัญหาเรื่อง Font บ่อยมาก ทําให้ต้องเสียเวลาติดต่อนักออกแบบหลายรอบ ดังนั้นหากมีการใช้ Font พิเศษ ให้นักออกแบบ Rasterize ฟอนต์มาด้วยนะครับ (Click ขวาที่ Text Layer นั้น ๆ แล้วเลือก Rasterize Type) การ Rasterize จะแปลง Text Layer นั้นให้กลายเป็นภาพกราฟิก จึงไม่สามารถแก้ไขข้อความต่อไปได้ การ Rasterize 5. จึงไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ดีที่สุด แต่ในขณะเดียวกัน วิธีนี้เป็นวิธีที่สะดวกที่สุด 6. เมื่อออกแบบเสร็จแล้ว ให้เซฟเป็นไฟล์ PSD, Tiff หรือรูปแบบไฟล์ที่โรงพิมพ์รองรับส่งโรงพิมพ์ได้เลย 7.

วิธีการคล้ายๆ กันกับ Photoshop แต่ Illustrator มี feature ที่เพิ่มขึ้นมาดังนี้


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 29

1. เลือกขนาดงานที่ต้องการออกแบบ 2. ให้ set ขนาดตัดตก ทุกด้าน ด้านละ 3mm (สําหรับ Illustrator ให้ตั้งที่ Bleed ทุกด้าน ๆ ละ 3mm ตามรูปครับ) 3. ส่วนที่ 3 นี้ ไม่ต้องเซ็ตอะไร เพราะเป็นค่าเริ่มต้นสําหรับ Illustrator อยู่แล้ว แต่ให้เช็คเพื่อความแน่ใจว่า ค่าที่ได้ ได้เหมือนดังภาพเป็นอย่างน้อย หน้าตาของ Workspace ที่ได้ก็จะประมาณนี้

เมื่อมองจากภาพขยาย กรอบสีดําด้านในที่เห็นอยู่ก็คือกรอบขนาดไซส์งานจริงที่เราเลือกไว้ ในที่นี้คือขนาด A4 ส่วนเส้นกรอบสีแดงด้านนอกคือ เส้น Bleed หรือ เส้นแสดงของเขตตัดตกนั่นเอง บริเวณที่อยู่เลยขอบสีดําออกมานั้นจะถูกเจียนทิ้งทั้งหมดเวลาผลิตงานพิมพ์


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 30

สําหรับ Adobe InDesign แนะนําเพิ่มเติมใน ส่วนของการ Export ไฟล์เป็น PDF มาด้วย เพราะหลายครั้งพบว่าลูกค้าของโรงพิมพ์สร้าง Package ไม่เป็น ทําให้การส่งไฟล์ PDF ให้กับโรงพิมพ์จะผิดพลาดน้อยลง

1. เริ่มจากการสร้าง Document ใหม่ ให้นักออกแบบเลือกขนาดงานสําเร็จที่ต้องการได้เลย เช่นหากต้องการพิมพ์หนังสือขนาด A4 ก็ให้เลือก Page Size เป็น A4 ได้เลย หน่วยที่แสดงในรูปจะเป็น Pica ซึ่ง 1 Pica จะยาวประมาณ 4.233 mm หรือ 0.166 นิ้ว (1 Pica = 12 Point) แต่ถ้านักออกแบบท่านไหนถนัดหน่วยอื่น ก็สามารถไปเปลี่ยนได้ในภายหลัง ต่อมาคือจํานวน Column ถ้าเป็นหน้าเดี่ยว ๆ ก็ปล่อยไว้เฉย ๆ ไม่ต้องไปเปลี่ยนก็ได้ แต่ในที่นี้ เป็นการออกแบบงานที่มี 2 column เลยต้องตั้งค่าเป็น 2 ส่วน Gutter คือระยะห่างระหว่างคอลัมน์ ลงมาที่ Margin เป็น Guide ภายในหน้าหนังสือ เอาไว้สําหรับวาง text ตัวหนังสือ Margin 3 Pica เป็นค่า standard สําหรับหนังสือทั่ว ๆ ไป ที่นิยมใช้ ต่อมาคือส่วนทีส่ ําคัญที่สุดที่จะกล่าวถึง คือเรื่องของ Bleed (ส่วน Slug คือพื้นที่ที่เลย Bleed ออกไปอีก มีไว้สําหรับคนของโรงพิมพ์ใส่ข้อมูลที่จําเป็นในการพิมพ์ เช่น ไกด์สี ฯลฯ นักออกแบบไม่จําเป็นต้องใช้ในส่วนนี้) Bleed ที่ปกติทางโรงพิมพ์ทั่วไปนิยมใช้กันคือ 3 mm (หรือประมาณ 1/8 นิ้ว) เท่านั้น ไม่จําเป็นต้องน้อยไปกว่านี้


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 31

2. พอสร้าง document ใหม่เสร็จ เราจะเห็น Workspace ของเรามีเส้นอยู่ 3 เส้นหลัก ๆ เส้นตรงกลาง สีดํา : คือเส้นขอบเขตงาน ในที่นี้จะมีขนาด = กระดาษ A4 ตามที่เราเซ็ตไว้ตั้งแต่ต้น ! เส้นนอกสุด สีแดง : คือเส้น Bleed จะบวกจากเส้นสีดําออกไป 3mm ครับ ! เส้นในสุด สีม่วง : คือเส้น Margin ห่างจากเส้นขอบเขตงาน 3 Pica หรือ 36 Point หรือตามทีก ่ ําหนดไว้ ในส่วนของการออกแบบ นักออกแบบจะต้องวางงานให้จรดเส้น Bleed พอดีทุกครั้ง ทุกด้าน กราฟิกที่ยื่นเกินเส้นขอบเขตงาน (สีดํา) ออกไปจะถูกตัดทิ้งทั้งหมด ตัวหนังสือที่ไม่ใช่ graphic แต่เป็น ตัวหนังสือจําพวก text เอาไว้ให้คนอ่าน ควรจะอยู่ภายในเส้น Margin เรียกว่าอยู่ในระยะ Safety Area คือ บางครั้งเวลาเจียนงาน อาจจะมีบ้างที่เหลื่อมไปเหลื่อมมา ถ้าตัวหนังสืออยู่นอก Margin จะทําให้มองดูไม่สมดุล ไม่สวยงาม อาจจะเกินออกไปได้เล็กน้อย แต่ไม่ควรยื่นล้ําออกไปมาก !


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 32

3. พอออกแบบงานเสร็จแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนการ Export เป็น PDF แนะนําให้ผู้ออกแบบเลือก Profile ดังนี้ ! Preset : High Quality Print 5 ! Standard : PDF/X-4 หากเราทํางานโดยไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับใคร หรือเราทํางานกันแบบรู้จุดหมายปลายทางเดียวกัน อันนี้เราก็จะใช้ PDF/X1-a เพราะรูปแบบนี้จะทําการฝังข้อมูลการจัดการสีปลายทางติดแน่นไปกับไฟล์แล้ว ไม่ควรจะเปลี่ยนแปลงเป้าหมายปลายทางหรือโปรไฟล์สีอีก แต่ถ้ามีความรู้เกี่ยวกับการจัดการสีเราก็ควรจะมาใช้เป็น PDF/X-3 ที่ยังสามารถใช้ระบบจัดการสีที่ปลายทางได้เพราะในระหว่างที่เราทําการ Export ไฟล์ไปเป็น PDF กระบวนการจัดการสียังไม่มีการทํางาน Convert โปรไฟล์สี ยกเว้นเราทํางานด้วยเอฟเฟ็ค ที่มี เรื่องของ Transparency มาเกี่ยวข้อง โปรแกรมจะไม่สามารคงโปรไฟล์สีไว้ได้ ต้องมีการ Flatten Transparency ให้เป็น CMYK ตาม Profile ของ Documment ที่กําหนดไว้ ซึ่งทั้ง PDF/X-1a และ PDF/X-3 นั้นอยู่ในมาตรฐานของ PDF 1.3 ที่มีข้อจํากัดเรื่องนี้ ทําให้มีการคิดแก้วิธีการจนได้มาถึงแนวทางที่จะให้ PDF/X-4 PDF/X-4 เป็นทางออกของข้อจํากัดการทํางานที่ต้องการคงไว้ซึ่งการเป็น Transparency โดยที่ยังไม่มีการ Flatten Transparency และที่สําคัญคือการที่จะมาตอบสนองการใช้งานที่ยังคงไว้ซึ่ง Layer นอกจากนี้ยังต้องเตรียมการใช้งานที่เกี่ยวข้องกับคําสั่ง Conditionnal Text ที่ถือว่าเป็นความสามารถหนึ่งที่จะต่อเชื่อมไปถึงระบบการพิมพ์แบบ Variable Data (VDP) จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ PDF/X4 ต้องก้าวเข้ามาอยู่ในมาตรฐานของ PDF 1.6 แต่สามารถเปิดให้ใช้ PDF 1.4 ได้ไหม คําตอบคือได้ แต่จะไม่มีการทํางานในรูปแบบ Optional Layer มันก็เหมือนกับมันไม่สอดคล้องกับเจตนาของการทํางานที่แท้จริง

5

ความรู้ PDF/X-4 ที่มา : ระบบออนไลน์ http://www.indesignthai.com


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 33

เสร็จแล้วให้เลือกที่ Tab “Marks and Bleeds” แล้วทําการ check box ที่ “Crop Marks” และ “Bleed Marks” ขั้นตอนนี้จะเป็นการใส่ Bleed Mark + Crop Mark ลงไปใน PDF ไฟล์ด้วย เวลาโรงพิมพ์ทํางาน จะได้ตัดสินใจได้แม่นยําว่า จุดไหนคือขอบเขตของงานกันแน่ ! Bleed and Slug ให้ทําการ check box ที่ “Use Document Bleed Settings” ด้วยเพื่อเป็นการบอกว่า ให้เราใช้ Bleed ตามที่เราได้เลือกไว้ตั้งแต่ตอนเริ่มเปิดไฟล์งานเลย ไม่จําเป็นต้องไปเซ็ตใหม่ เมื่อเสร็จแล้ว ก็ทําการ export ออกมาเป็น PDF ได้เลย !

4. ถ้านักออกแบบเปิดไฟล์ PDF ที่ถูก export ออกมา ก็จะพบ Trim Mark (Crop Mark) และ Bleed Mark ตามรูปด้านบนนี้ 5. ขั้นตอนสุดท้ายก็คือ ตรวจทานไฟล์งานอีกรอบอย่างละเอียดทั้งหมด ทั้งในเรื่องของการจัดหน้า การวาง layout เรื่องของสี, กราฟิก, รูปภาพ และหากไม่แน่ใจในเรื่องของการพิสูจน์อักษร แนะนําว่า ให้ print งานออกมาตรวจทานอีกรอบก่อน เพราะว่าทางโรงพิมพ์จะยึดเอาไฟล์ PDF ที่ลูกค้า approve แล้วส่งมา เป็นหลักยึดในการทํางาน


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 34 คําศัพท์ทางการพิมพ์6 คําบางคําที่โรงพิมพ์ชอบใช้กัน ซึ่งมีประโยชน์เวลาติดต่อคุยกับโรงพิมพ์ในการสื่อสารได้ เพลท = แม่พิมพ์ : ถ้าเป็นการพิมพ์ออฟเซตแม่พิมพ์จะมีลักษณะเป็นแผ่นโลหะบางๆ เคลือบด้วยสารเคมีบางอย่าง ต้นทุนในการทําแม่พิมพ์เป็นต้นทุนคงที่ เช่น แม่พิมพ์ 4 สี สมมติว่าต้นทุน 10,000 บาท ถ้าคุณพิมพ์ โปสเตอร์ 1 ใบก็ต้องเสียค่าแม่พิมพ์ 10,000 บาท แต่ถ้าพิมพ์ 1,000 ใบค่าแม่พิมพ์เฉลี่ยแล้วเหลือใบละ 10 บาท ถูกลงไปมาก ดังนั้นถ้าคุณพิมพ์ยอดน้อยๆก็ต้องทําใจว่า ต้นทุนต่อหน่วยค่อนข้างจะสูง ใบชุด = จํานวน สําเนาของใบเสร็จแต่ละชุด (รวมต้นฉบับ) : คือเวลาพิมพ์ใบเสร็จ 1 เล่มจะมี 50 ชุด แต่ละชุดจะมีสําเนา ถ้าบอกว่าใบเสร็จ 4 ใบชุด หมายถึง ใบเสร็จแต่ละชุด (แต่ละเลขที่) จะมี สําเนา 3 ใบรวมต้นฉบับเป็น 4 ใบ เจียน = คือ การตัดขอบกระดาษที่เผื่อไว้ในตอนพิมพ์ออก : โดยปกติเวลาพิมพ์งาน โรงพิมพ์จะพิมพ์กระดาษแผ่นใหญ่แล้วค่อยมาตัดแบ่งออกเป็นชิ้นงาน ตามขนาดที่ ต้องการ เช่น โบรชัวร์ขนาด A4 โรงพิมพ์อาจจะพิมพ์ครั้งละ 8 หน้าแล้วค่อยมาตัดแบ่งเป็น A4 ภายหลัง ในการตัดแบ่งจะต้องตัดขอบออก อาจจะตัดหยาบๆ ออกเป็น 8 แผ่นก่อน ตัดมาแล้วขนาดอาจจะยังไม่ถูกต้องดี เช่น ใหญ่กว่าสัก 2-3 มิลลิเมตร ดังนั้นจึงต้องเอาแต่ละแผ่นมาตัดละเอียดอีกครั้งหนึ่ง วิธีการลักษณะนี้เรียกว่า “เจียน” ไดคัท มี 2 ความหมาย : ความหมายแรก = คือการตัดขอบกระดาษแต่ไม่เหมือนกับการเจียน การเจียนจะตัดเป็นเส้นตรง ส่วนไดคัท เป็นการตัดขอบตามรูปทรงต่างๆ จะหยักจะโค้งอย่างไรก็ได้ ค่าใช้จ่ายจะสูงกว่าการเจียน เพราะจะต้องทําบล็อกไดคัทขึ้นมาโดยเฉพาะ ซึ่งจะต้องจ้างช่างทําขึ้นเป็นรูปทรงต่าง ๆ ที่ต้องการ โดยช่างจะใช้ใบมีดมาดัดให้เป็นรูปทรงที่เราต้องการจะตัดกระดาษ เช่น รูปใบไม้, รูปดอกจิก เป็นต้น โดยใบมีดจะถูกติดตั้งบนแบบไม้อัด เมื่อต้องการใช้จะถูกนําไปติดตั้งบนเครื่องปั้มไดคัทอีกทีหนึ่งและจะปั้มออก มาได้ทีละใบ จึงมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการเจียน ความหมายที่สอง = คือการลบฉากหลังของภาพออก เช่น ถ่ายภาพบ้านจัดสรรมาแล้วฉากหลังไม่สวยงาม จึงลบฉากหลังออกเพื่อนําไปวางลงบนฉากหลังอื่นหรือไม่เช่นนั้นก็ปล่อยให้เป็น ฉากหลังขาว พิมพ์กี่สี = การนับจํานวนสี นับจากสีที่พิมพ์ ไม่นับสีของกระดาษ : เช่นกระดาษพื้นมีชมพู พิมพ์สีดํา อย่างนี้เรียกพิมพ์ 1 สี ในงานพิมพ์อาจจะมีสีเทาอ่อน เทาแก่ ก็นับเป็นสีเดียว เพราะเป็นการลดนํ้าหนักสี แต่หมึกที่ใช้เป็นหมึกสีดํา กระดาษเคมี = เป็นกระดาษ สําหรับพิมพ์ใบเสร็จ : เป็นกระดาษที่เขียนด้านบนแล้ว จะติดลงไปถึงแผ่นที่อยู่ด้านล่างด้วย โดยไม่ต้องใช้กระดาษคาร์บอน หรือ จะเรียกว่ากระดาษก็อปปี้ในตัวก็ได้ 6

ความรู้ คําศัพท์ทางการพิมพ์ ที่มา : ระบบออนไลน์ http://www.108graphicdesign.com


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 35 คําศัพท์ด้านการพิมพ์2/0 : วิธีที่โรงพิมพ์เขียนสั้นๆ หมายถึงพิมพ์ด้านหน้า 2 สี ด้านหลังไม่พิมพ์4/1 :วิธีที่โรงพิมพ์เขียนสั้นๆ หมายถึงพิมพ์ด้านหน้า 4 สี ด้านหลังพิมพ์ 1 สี4+UV /4 :วิธีที่โรงพิมพ์เขียนสั้นๆ หมายถึงพิมพ์ด้านหน้า 4 สี อาบ UV ด้านหลังพิมพ์ 4 สี C (Cyan) : สีฟ้าซึ่งเป็นแม่สีหนึ่งในสี่สีในระบบการพิมพ์แบบสอดสี M (Magenta) : สีชมพูซึ่งเป็นแม่สีหนึ่งในสี่สีในระบบการพิมพ์แบบสอดสี Y (Yellow) : สีเหลืองซึ่งเป็นแม่สีหนึ่งในสี่สีในระบบการพิมพ์แบบสอดสี K (Black) : สีดําซึ่งเป็นแม่สีหนึ่งในสี่สีในระบบการพิมพ์แบบสอดสี C10 M20 Y100 K0 : วิธีเขียนสั้นๆ สําหรับบอกค่าเปอร์เซ็นต์ความหนาแน่นของเม็ดสกรีนของแม่สีแต่ละสี ในที่นี้คือ Cyan 10% Magenta 20% Yellow 100% Black 0% CIP 4 : คือ การร่วมมือกันระหว่างผู้ค้ากับผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมการพิมพ์เกี่ยวกับ เรื่องการพิมพ์ การออกแบบ ส่วนงานที่เกี่ยวข้อง และยังครอบคลุมไปถึงเครื่องมือ เครื่องจักร ซอฟต์แวร์ และกระบวนการต่าง ๆ CMYK : ย่อมาจาก Cyan Magenta Yellow และ Black ซึ่งเป็นแม่สีทั้งสี่ของการพิมพ์แบบสอดสี Color Bar : คือ แถบสีบนแผ่นพิมพ์ ซึ่งอยู่นอกพื้นที่ของเนื้องาน ทางโรงพิมพ์ใช้สําหรับตรวจดูปริมาณหมึกที่จ่ายลงบนแผ่นพิมพ์ให้อยู่ในเกณฑ์ และใช้ในการดูคุณภาพของงานพิมพ์ด้านต่างๆ Colorimeter : เครื่องมือสําหรับวัดค่าสีตามที่ตาเห็น Computer-to-Plate (CTP) : เป็นระบบที่สามารถแปลงไฟล์งานออกมาเป็นเพลทแม่พิมพ์ที่มีภาพพร้อมใช้พิมพ์ได้ โดยไม่ต้องทําเป็นฟิล์มก่อนทําเพลท Cure : คือกระบวนการทําให้หมึกพิมพ์หรือน้ํายาเคลือบต่างๆ แห้งสนิทติดกับผิวกระดาษได้ดี ไม่หลุดลอกหรือถลอกง่าย


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 36 Dot : คือเม็ดของสีที่มีการเรียงตัวก่อให้เกิดภาพพิมพ์ DPI (Dots per Inch) : เป็นหน่วยวัดความละเอียดของภาพ เท่ากับจํานวนของเม็ดสีที่เรียงกันในความยาวหนึ่งนิ้ว ค่า DPI ยิ่งสูง ภาพก็จะมีรายละเอียดและความคมชัดสูง Duotone : คือภาพพิมพ์ที่พิมพ์โดยใช้หมึกพิมพ์ 2 สี มีชั้นของความลึกดีกว่าพิมพ์สีเดียว หากมีการเลือกคู่สีที่เหมาะสม ภาพที่ได้จะดูสวยงาม Feeder : ส่วนของเครื่องพิมพ์ที่ทําหน้าที่ปอ้ นกระดาษทีละแผ่นจากตั้งกระดาษเข้าไปยังหน่วยพิมพ์ Hot Stamping : คือกรรมวิธีที่โรงพิมพ์ทําภาพพิมพ์บนกระดาษโดยใช้แม่พิมพ์ที่มีความร้อนรีด แผ่นฟิล์ม/ฟอยล์ให้ติดผิวกระดาษจนเกิดภาพตามแม่พิมพ์แผ่นฟิล์ม/ฟอยล์ Imagesetter : เครื่องสร้างภาพ (ประกอบด้วยเม็ดสกรีนทีเ่ รียงตัวกัน) ลงบนแผ่นฟิล์มแยกตามสีแต่ละสีที่จะนําไปใช้ทําเพลทแม่พิมพ์ Line Screen : การวัดความละเอียดของชิ้นงานพิมพ์เป็นจํานวนเส้นของเม็ดสกรีนต่อหนึ่งหน่วย ความยาว หากค่าดังกล่าวยิ่งสูง ภาพจะมีความคมชัดและมีรายละเอียดยิ่งดีขึ้น Lithography : คือ ระบบการพิมพ์ที่ใช้หลักการว่า น้ํากับน้ํามันจะไม่รวมตัวกันในการพิมพ์ระบบออฟเซ็ต เพลทแม่พิมพ์จะผ่านลูกน้ําเพื่อสร้างเยื่อน้ําบางๆ บนเพลท ผิวของเพลทจะมีส่วนที่เป็นเม็ดสกรีนซึ่งเคลือบด้วยสารที่ไม่รับน้ํา น้ําจึงไม่เกาะติด เมื่อเพลทผ่านลูกหมึก หมึกจะไม่ไปเกาะผิวเพลทส่วนที่เป็นน้ําแต่จะไปเกาะที่เป็นเม็ดสกรีน ทําให้เกิดภาพตามที่ต้องการถ่ายทอดลงบนผ้ายางและกระดาษในที่สุด LPI (Lines per Inch) : ความละเอียดของภาพพิมพ์เป็นจํานวนเส้นสกรีนต่อนิ้ว ค่า LPI ยิ่งสูงภาพยิ่งละเอียด การพิมพ์บนกระดาษปรู๊ฟ โรงพิมพ์ควรใช้ความละเอียดไม่เกิน 125 LPI กระดาษปอนด์ไม่ควรเกิน 150 LPI กระดาษอาร์ตปกติใช้ 175 LPI แต่มีโรงพิมพ์หลายแห่งใช้ความละเอียดสูงกว่านี้ Pantone Matching Systems (PMS) : ระบบการตั้งรหัสมาตรฐานสําหรับสีแต่ละเฉดสีเพื่อความเข้าใจตรงกันของผู้ใช้สี และทําให้สามารถเลือกสีได้ถูกต้องจากรหัสของสีนั้นๆ Resolution : หมายถึงความละเอียดของภาพ มีหน่วยวัดเป็นจํานวนเม็ดสีต่อหนึ่งหน่วยความยาว เช่น DPI คือ dots per inch


กระบวนการผลิตสื่อสิ่งพิมพ์ | 37 RIP (Rastor Image Processor) : เครื่องแปลงภาษาของซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการจัดทําต้นฉบับ เช่น Postcript PDF ให้เป็นภาพที่มีความละเอียดสูงเพื่อนําไปพิมพ์ภาพที่เครื่องพิมพ์ต่อไป Typesetting : คือการจัดเรียงตัวอักษร ลายเส้นต่างๆ ประกอบกันขึ้นเพื่อจัดทําอาร์ตเวิร์กสําหรับหน้าหนังสือ หรือสิ่งพิมพ์อื่นๆ แล้วนําไปใช้ในการพิมพ์ต่อไป _________________________________________________________________________ บรรณานุกรม • จุฑามาศ มโนสิทธิกุล. 2554. สร้างงานสื่อสิ่งพิมพ์แบบฉบับมืออาชีพ. บริษัท เน็ทดีไซน์ พับลิชชิ่ง จํากัด. • จันทนา ทองประยูร. 2537. การออกแบบและจัดหน้าสิ่งพิมพ์. นนทบุรี : โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. • ดรุณี หิรัญรักษ์. 2543. การัดการธุรกิจหนังสือพิมพ์. กรุงเทพฯ : บริษัทเอกพิมพ์ไทย จํากัด. • ปราโมทย์ แสงผลสิทธิ์. 2540. การออกแบบนิเทศศิลป์. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ วี.เจ. พริ้นติ้ง. • สุรสิทธิ์ วิทยารัฐ. 2546. การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์. กรุงเทพฯ : ศูนย์หนังสือสวนสุนันทา. • สดศรี เผ่าอินจันทร์. 2543. การออกแบบหน้าหนังสือพิมพ์. นครราชสีมา : โคราชพริ้นติ้ง. • มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. 2552. การผลิตสื่อสิ่งพิมพ์. สาขาวิชานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช หน่วยที่ 1-7. • อารยะ ศรีกัลยาณบุตร. 2550. การออกแบบสิ่งพิมพ์. กรุงเทพมหานคร : วิสคอมเซ็นเตอร์. • Harrower, Tim. 2002. The Newspaper Designer’s Handbook. Boston ; London : MaGraw-Hill.


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.