ส่ วนที 2 ข้ อมูลทัวไปของตําบลดงบัง ตํ าบลดงบัง เดิมเป็ นหมูบ่ ้านดงบัง หมู่ที 9 ขึ นอยู่ก ับตํ าบลภารแอ่น(พานแอ่น) อํ าเภอ พยั คฆภูมิพิสัยจังหวั ดมหาสารคาม เดิมตํ าบลภารแอ่น มีหมู่บ้านในการปกครอง 20 หมู่บ้าน มี กํ านันประจํ าตํ าบลอยู่ทีบ้านนาสีนวลราวพ.ศ. 2520 บ้านดงบังได้แยกออกเป็ นสองส่วน คือส่วนที ขึ นอยู่ก ับบ้านดงบัง อํ าเภอนาดูน จังหวั ดมหาสารคามในปัจจุบันอยู่ภายใต้ การปกครองของ องค์การบริ หารส่วนตํ าบลดงบังประกอบด้ วย9 หมู่บ้าน และอีกส่วนหนึ งได้แยกไปขึ นอยูก่ ับตํ าบล พระธาตุ อํ าเภอนาดูน 2.1 สภาพทัวไปของตําบล ตํ าบลดงบังตั งอยูห่่ างจากอํ าเภอนาดูน ประมาณ 10 กิโลเมตร ห่างจากจังหวั ด มหาสารคาม 65 กิโลเมตร มีเนื อที 23 ตาราง กิโลเมตร หรื อ ประมาณ 14,375 ไร่
ถนนไทย – นิวซีแลนด์ เส้ นทางอําเภอวาปี ปทุม - อําเภอพยัคฆภูมิพิสัย
ถนนทางเข้ าหมู ่ บ้านบ้ านดงบัง – หัวดง
ลักษณะภูมิประเทศ ลั กษณะภูมิประเทศทั วไปของตํ าบลดง บังเป็ นทีราบลูกคลืนสลั บกัน ไม่มีภูเขา ไม่มี แม่น ํ าไหลผ่าน มีป่าไม้ เบญจพรรณเหลือบ้าง เล็กน้อยด้านทางทิศตะวั นออก ลั กษณะดิน ส่วนใหญ่เป็ นดินปนทราย ในฤดูแล้ งเก็บนํ าไม่ อยู่ บางแห่งจะมีดินเกลือปะปน ซึ งมีมากทางทิศ ตะวั นออกและทิศใต้ของหมู่บ้าน
4
ป่ าไม้ เบญจพรรณ ทียังคงสภาพความ อุดมสมบูรณ์ ทียังหลงเหลืออยู ่
เห็ดโคนป่ า อาหารป่ าทีหายาก มีให้ รับประทานได้ ปีละครั งในช่ วงฤดูฝน เป็ นสิ นค้าทําเงินของชาวบ้ าน
เห็ดโคนยักษ์
ลักษณะภูมิอากาศ ลั กษณะภูมิอากาศโดยทั วไปได้รับ อิทธิพลมาจากลมมรสุม ฤดูฝนมีน ํ าเฉลียต่อปี น้อย ฤดู หนาวอากาศหนาวเย็น ฤดูร้อนอากาศร้อนจั ด 2.2 อาณาเขต ทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวั นออก ทิศตะวั นตก
ติดต่อกับ ตํ าบลพระธาตุ อํ าเภอนาดูน จังหวั ดมหาสารคาม ติดต่อกับ ตํ าบลนาสีนวล อํ าเภอนาดูน จังหวั ดมหาสารคาม ติดต่อกับ ตํ าบลดอกลํ า อํ าเภอประทุมรัต์ จังหวั ดร้อยเอ็ด ติดต่อกับ ตํ าบลหัวดง อํ าเภอนาดูน จังหวั ดมหาสารคาม
5 2.3 การปกครอง ตํ าบลดงบัง แบ่งการปกครองออกเป็ น 9 หมู่บ้าน ภายใต้การบริ หารจั ดการขององค์การ บริ หารส่วนตํ าบลดงบัง อํ าเภอนาดูน จังหวั ดมหาสารคาม มีด ังนี 1. บ้านโนนเขวา หมู่ที 6 2. บ้านเก่าน้อย หมู่ที4 3. บ้านวั งดู่ หมู่ท3ี 4. บ้านหนองปลิง หมู่ที 1 5. บ้านดงบัง หมู่ที5 6. บ้านดงบัง หมู่ที 8 7. บ้านหนองพอก หมู่ที 7 8. บ้านยางสะอาด หมู่ที 2 ทีทําการองค์การบริหารส่ วนตําบลดงบัง 9. บ้านโนนเขวา หมู่ที 9 ระบบสาธารณูปโภค มีไฟฟ้ าใช้ครบทุกหมู่บ้าน มีโทรศั พท์สาธารณะ13 แห่ง สถานทีราชการสําคัญของตําบล 1. โรงเรี ยนมั ธยม 1 แห่ง โรงเรี ยนดงบังพิสัยนวการนุสรณ์ 2. โรงเรี ยนประถม 1 แห่ง โรงเรี ยนชุมชนบ้านดงบัง 3. ศูนย์ การเรี ยนรู้ชุมชน 1 แห่ง 4. ศูนย์ พ ั ฒนาเด็กก่อนเกณฑ์ 1 แห่ง 5. วั ด 4 แห่ง และ สํานักสงฆ์ 1 แห่ง 6. สถานีอนามั ย 1 แห่ง 7. องค์การบริ หารส่วนตํ าบล 1 แห่ง 2.4 ประชากร จํ านวนประชากรทั งสิ น2,360 คน เป็ นชาย 1,215 คน เป็ นหญิง 1,145 คน จํ านวนหลั งคาเรื อน 698 หลั งคาเรื อน (สํารวจเมือปี 2551)
6 แผนภูมิแสดงจํ านวนประชากรตํ าบลดงบัง 250 200 150
ชาย
100
หญิ ง 50 0
หมู่ 1
หมู่ 2
หมู่ 3
หมู่ 4
หมู่ 5
หมู่ 6
หมู่ 7
หมู่ 8
หมู่ 9
ชาย
101
191
42
121
214
134
76
146
190
หญิ ง
119
182
36
122
204
64
78
148
192
ทีมา : ข้ อมูล จปฐ. พ.ศ. 2551 องค์การบริหารส่ วนตําบลดงบัง
2.5 เศรษฐกิจและสังคม ชาวตํ าบลดงบังยั งมีทักษะฝี มือเชิงช่างกระจายอยู่ตามหมู่บ้านต่างๆ เช่นช่างไม้ ช่างปูน จักสานจากไม้ ไผ่ สานแห ช่างตัดผม ตํ าบลดงบังมีเงินกองทุนในการบริ การครบทั ง 9 หมูบ่ ้าน ทั งทีได้รบจั ั ดสรรจากรัฐบาลและการรวมกลุ่มทํ ากิจกรรม ได้แก่ เงินกองทุนหมู่บ้าน โครงการ กข.คจ. ธนาคารข้าว กองทุนปุ ๋ ย กองทุนโค-กระบือ กลุม่ อาชีพทอพรมเช็ดเท้า กลุ่มอาชีพถักสร้อย เจียระไนพลอย นอกจากนั นตํ าบลดงบังมีร้านค้าชุมชนครบทั ง9 หมู่บ้านซึ งเป็ นส่วนหนึ งในการ สร้างความเข้มแข็งของชุมชนจากระดับฐานราก ด้ านการอาชีพ เนืองจากตํ าบลดงบังไม่มีชลประทานหรื อแหล่งนํ าขนาดใหญ่ในการเพาะปลูก ประชาชน ส่วนมากประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็ นหลั กได้แก่ การทํ านาโดยอาศั ยนํ าฝน การเลี ยงสัตว์ การ ปลูกหม่อนเลี ยงไหม เป็ นต้น นอกจากนั นมีการประกอบอาชีพค้าขาย ทํ าอุตสาหกรรมภายใน ครัวเรื อน ได้แก่ การเจียระไนพลอย การทอผ้ า เป็ นต้ น ประชาชนในหลายหมู่บ้านได้มีการรวมกลุ่มอาชีพ ได้แก่ กลุ่มจักสาน กลุ่มทอผ้ าไหม กลุ่มเย็บผ้ า กลุ่มทอพรมเช็ดเท้า กลุ่มเพาะเห็ด กลุ่มเลี ยงโคเนือ เป็ นต้น การร่ วมกลุ่มดังกล่าวก็เพือ สร้างอาชีพและรายได้แก่ครอบครัว ส่วนใหญ่เกิดจากกลุ่มบุคคลทีมีความสนใจร่ วมกันหรื อ ประกอบอาชีพเดียวกัน เช่น กลุ่มเย็บผ้ า กลุ่มทอผ้ าไหมมั ดหมี กลุ่มเลี ยงโคเนืเป็อ นต้น กลุ่มเหล่านี ยั งขาดการส่งเสริ มอย่างจริ งจังจากหน่วยงานภาครัฐ
7 1. กลุ ่มทอพรมเช็ดเท้ า
การทอพรมเช็ดเท้ า เป็ นผลิตภัณฑ์ สร้ างรายได้ ให้ กับชาวบ้ านหนองพอก
2. กลุ ่มเจียระไนพลอย
งานเจียระไนพลอย และ ถักสร้ อย อาชีพเสริมยามว่ างจากการทํานา
3. กลุ ่มทอผ้าไหม
ผ้ าไหมมัดหมีของกลุ ่ ม ทอผ้ าไหมบ้ านดงบัง
8 กลุ่มทอผ้ ามั ดหมีชาวบ้านดงบัง หมู่ท5ี ได้รวมกลุ่มกันอย่างไม่เป็ นทางการทีประกอบอาชีพ ทอผ้ามั ดหมี ไว้ ใช้เองและขาย ปัจจุบันกํ าลั งได้รับการสนับสนุนความรู้และเทคนิคในการสร้างลวดลายประยุกต์ และมั ด ลายฮูปแต้ม จากสํานักศิลปะและวั ฒนธรรม มหาวิทยาลั ยราชภัฏมหาสารคามซึ งอยู่ในระยะเริ มต้น ของการส่งเสริ มการพั ฒนาให้เกิดเป็ นงานเอกลั กษณ์ของชุมชนตํ าบลดงบังต่อไป
ผ้ าไหมมัดหมีของ กลุ ่ มทอผ้ า ซึงพัฒนา ลวดลายขึนมาจาก ภาพจิตรกรรมฝาผนัง (ฮูปแต้ ม) วัดโพธาราม บ้ านดงบัง
กลุ ่ มทอผ้าไหมมัดหมี บ้ านดงบัง กําลังมัดลายฮูปแต้ ม ได้ รับการส่ งเสริม จาก สํ านักศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏมหาสารคาม
9 4. กลุ ่มจักสาน
ก่ องข้ าว
กระติบข้ าวเหนียว
งานจักสาน”กระติบ”ข้ าวเหนี ยว ทีสวยงาม
5. กลุ ่มเพาะเห็ด
กลุ ่ มเพาะเห็ด บ้ านหนองพอก อาชีพเสริ ม จากการทํานา ตามแนวทาง เศรษฐกิจพอเพียง
10 ตลาดนัดวันเสาร์ กิจกรรมการค้าทีน่าสนใจและสร้างรายได้แก่ชุมชนมายาวนานของตํ าบลดงบังคือ กิจกรรมตลาดนัดเกิดจากการรวมตั วของพ่อค้าแม่ค ้าร่ วมมือกันจัดตลาดนัดขึ นทุกวั นเสาร์ ส่งผลให้ ชาวตํ าบลดงบังและชุมชนใกล้ เคียงสามารถนําผลผลิตทางการเกษตร เช่น ผั ก ไก่พื นเมือง ปลา ตลอดจนอาหารพื นบ้านนาๆชนิดมาวางขายในตลาดแห่งนี นอกจากสินค้าในท้องถิ นแล้ ว พ่อค้า แม่ค ้าจากท้องถิ นอืนยั งนําสินค้าอุปโภ คและบริ โภค มาจัดจํ าหน่ายด้วยทํ าให้เกิดการหมุนเวียนของเงินหลายหมืนบาทต่อสัปดาห์
ตลาดนัดวันเสาร์
ตลาดนัดโค-กระบือ ในวั นอาทิตย์ ทีตํ าบลดงบัง มีตลาดนัดทีทํ าการซื อขายแลกเปลียนโค-กระบือ ซึ งเป็ น ตลาดนัดโค-กระบือตลาดขนาดเล็ก มีการซื อขาย แลกเปลียนโค กระบือ ประมาณครั งละ10 – 20 ตัว มีเงินหมุนเวียนในตลาดนัดประมาณ 50,000 ถึง 100,000 บาท ต่อสัปดาห์
ตลาดนัด โค-กระบือ
11 แผนภูมิแสดงรายได้เฉลี ย / ครัวเรือน / ปี 80,000 60,000 40,000
บาท
20,000 0
หมู่ 1
หมู่ 2
หมู่ 3
หมู่ 4
หมู่ 5
หมู่ 6
หมู่ 7
หมู่ 8
หมู่ 9
บาท 25,000
74,948
37,514
38,730
72,000
26,000
16,000
48,414
24,000
ทีมา : ข้ อมูล จปฐ. พ.ศ. 2551 องค์การบริหารส่ วนตําบลดงบัง
ผืนนาคือหัวใจของคนดงบัง ควายยังมีให้ เห็นอยู ่บ้าง
12 2.6 ด้ านศิลปวัฒนธรรม ชาวตํ าบลดงบัง ยั งยึดถือขนบธรรมเนียมประเพณี และถือปฏิบัติตามงานบุญ ฮีตสิบสอง คองสิบสี มาโดยตลอด และมีกิจกรรมต่อเนืองเป็ นประจํ าได้แก่ ประเพณี การรดนํ าขอพรผู้ สูงอายุใน วั นสงกรานต์ เป็ นวั นทีลูกหลานซึ งไปทํ างานต่างจังหวั ดจะกลั บบ้านเกิด โดยทั วไปชาวตํ าบลดงบังมีนิสัยเอื อเฟื อเผือแผ่ชอบช่วยเหลือซึ งกันและกันฉันทพ์ ีน้อง รัก ความสงบ ชอบทํ าบุญ ทํ ากุศล ยึดมั นในขนบธรรมเนียมประเพณี ด ั งเดิม ทํ าบุญตามประเพณี มี ความเลือมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา และรักศิลปวั ฒนธรรม การละเล่นพื นบ้าน อั นได้แก่ หมอลํ า หมอลํ ากลอน หมอลํ าเพลิน หมอลํ าซิ ง หนังตะลุง(หนังปะโมทัย) เหมือนยกับชาวอีสาน ทั วไป
ชาวตําบลดงบังความเลือมใสศรั ทธาใน พระพุทธศาสนา ร่ วมกันทําบุญในวันสํ าคัญทาง ศาสนา
การประกวดและแข่ งขันการจ่ ายผญาและการแข่ งขันขับ ร้ องสรภัญญะ ซึงจัดขึนทุกปี เพืออนุ รักษ์ ศิลปะพืนบ้ าน โดยการสนับสนุนององค์การบริหารส่ วนตําบลดงบัง
ประเพณีการขนทรายเข้ าวัด หรือตบปะทาย ประเพณีสําคัญในวันวิสาขบูชา
13 หนังปะโมทัย หรือหนังตะลุงอีสาน
...เสียงแคน แห่ งดินแดนอีสานได้ บรรเลงรั บบทพากย์เอื อนเอ่ ยเป็ นทํานองทีคุ ้ นเคยดึงดูด ให้ ผู ้รอชมการแสดงจดจ้ องไปทีจอผ้าขาว ซึงสว่ างนวลด้วยแสงไฟฟ้ า สาดส่ องจากด้ านหลังฉาก เห็นลวดลายและรู ปร่ างของตัวหนังรู ปบักป่ อง ปลัดตื อ ถูกเชิดด้ วยสองแขนของชายสูงวัยยกทาบ หนังชิดติดหน้ าจอ กระโดดโลดเต้ นอยู ่เบื องหน้ าผู ้ชมหลากวัยทังหญิงชายทีรอชมการแสดงในคํา คืนแห่ งความสุข... บทบรรยายข้างต้ นจะว่าไปแล้ วอาจเป็ นได้ทั งบทบันทึกประวั ติศาสตร์หน้าหนึงของ มหรสพสําคัญของคนอีสานหรื ออาจจะเป็ นเพียงบทบรรยายในจินตนาการ กล่าวถึงวั นเวลาอั น รุ่ งโรจน์ทีได้ผ่านไปแล้ วของศิลปการแสดงแขนงนี ทีเรี ยกว่า “ปะโมทัย หรือหนังตะลุงอีสาน”
ครูบุญลี หรือ นายบุญลี พลคํามาก อายุ 58 ปี หัวหน้ าคณะปะโมทัย ส. สํ าลี ผู ้ สืบสานตํานาน หนังตะลุงอีสาน ของชาวตําบลดงบัง
ครูภูมิปัญญาด้ านศิ ลปะพืนบ้ านด้ าน การแสดงหนัง ปะโมทัย
14
ตัวหนังปะโมทัย ได้ มาจาก ภาพจิตรกรรมฝาผนัง
สอนการเชิดหนังปะโมทัย แก่ เยาวชน
เป็ นวิทยากรสอนศิลปะพืนบ้ าน ปะโมทัย ตามโรงเรี ยน
สอนการทําหนังตะลุงให้ กับ โรงเรียนชุ มชนบ้ านดงบัง
15 2.7. แหล่งท่ องเทียวของตําบลดงบัง 1) วัดโพธาราม (วัดบ้ านดงบัง) สิมวั ดโพธาราม ได้ขึ นทะเบียนเป็ นแหล่งโบราณสถานศิลปกรรมท้องถิ น จากกรมศิลปากร เมือพ.ศ. 2547 และมีภาพจิตรกรรมฝาผนังหรื อฮูปแต้ม โดยฝี มือช่างพื นเมือง
สิ มวัดโพธาราม
บริเวณรอบวัดโพธาราม
ศาลาการเปรี ยญ(หอแจก)ศิ ลปะญวน อยู ่ ติดกับสิ มวัดโพธาราม
บันไดทางขึนสิ ม ทางทิศตะวันออก
พระพุทธชินราชจําลอง ขนาบด้ วยพระพุทธรูป พืนเมือง ประดิษฐานอยูภ่ ายในสิ มวัดโพธาราม
ประวัตคิ วามเป็ นมา ราว พ.ศ. 2300 มีคนกลุ่มหนึ งอพยพมาจากล้ านช้างเวียงจั นทน์ เพือแสวงหาทีดินอั นอุดม สมบรู ณ์ ได้ถางป่ าอั นหนาทึบทํ าไร่ มาเรื อยๆ จนมาถึงบ้านโนนเก่าน้อย หลายปี ต่อมาชาวบ้าน ร่ วมแรงร่ วมใจกันสร้างวั ดขึ น ตั งชือว่“วั า ดทุ่ง” มีหลวงพ่อแป้ นเป็ นเจ้าอาวาส หลั งจากหลวงพ่อ แป้ น ได้มรณภาพแล้ ววั ดก็ถูกปล่อยร้าง ต่อมาวั ดทุ่งจึงยุบรวมเข้ากับวั ดโพธิ ทอง
16 เวลาผ่านไปบ้านโนนเก่าน้อยมีประชากรเพิ มขึ นเรื อยๆ ทํ าให้ททํี ากินน้อยลง เป็ นเหตุ ให้ชาวบ้านแยกเป็ น 2 กลุ่มออกจากบ้านโนนเก่าน้อยไปหาทีอยู่ใหม่ กลุ่มแรกได้มาบุกเบิกทํ าไร่ ห่างจากบ้านโนนเก่าน้อยประมาณ 20 เส้น แล้ วได้ต ั งหมู่บ้ านขึ นใหม่ เรี ยกว่า “บ้านกะฮอก” เพราะมีกระรอกมาก ปัจจุบันเปลียนเป็ น “บ้านหนองพอก” ต่อมาชาวบ้านร่ วมแรงร่ วมใจกั น สร้างวั ดขึ นใหม่ชือว่า “วั ดท่าใหญ่” มีพระซานนท์(ไม่ทราบนามและฉายา)เป็ นเจ้าอาวาส ส่วนชาวบ้านกลุม่ ที 2 ได้เข้าไปบุกเบิกพื นทีป่ าหนาทึบแล้ วสร้างบ้านเรื อนขึ นกลางป่ าแห่งนั น คนข้างนอกจะมองไม่เห็นหมู่บ้าน แต่เมือเข้าไปถึงกลางป่ าจึงพบหมู่บ้านแล้ วจึงรู้ว่ามีบ้านเรื อนอยู่ กลางป่ า จึงเรี ยกหมู่บ้านนี ว่า “บ้านดงบัง” ตามลั กษณะของภูมิประเทศทีมีป่าล้ อมรอบหมู่บ้าน
งานบุญเลียงบ้ านเป็ นความเชือท้ องถินชาวบ้ าน จะทําบุญเลียงบ้ านทุกปี ในช่ วงเดือนพฤษภาคม ก่ อนถึงฤดูกาลเพาะปลูก
ชาวบ้านบ้านดงบังได้ต ั งหลั กบ้า(นหรื อเสาหลั กบ้าน) มีล ั กษณะเป็ นศาลเพียงตา มีไม้ แกะสลั กเป็ นรู ป ปื น มีด หอกและดาบโดยมีพราหมณ์ประจํ าหมู่บ้านเป็ นผูประกอบพิ ้ ธีกรรม นํา ชาวบ้านแห่รอบศาล 3 รอบ แล้ วนําอาวุธเหล่านั นเก็บไว้ บนศาล หลั งจากเสร็ จพิธีแห่ พราหมณ์จะ เป็ นผู้ น ํากล่าวคํ าบวงสรวงและสาปแช่งคนพาลหรื อสิ งชั วร้ายทั งหลายทีจะมาทํ าอั นตรายชาวบ้าน ให้ตายด้วยคมหอกคมดาบหรื อปื น ตามความเชือของคนสมั ยนั น ชาวบ้านจะทํ าพิธบี วงสรวงศาลปู ่ ตา (ศาลหลั กบ้าน) ประจํ าทุกปี ต่อมาในปี พ.ศ.2443 ชาวบ้านได้ร่วมกั นสร้างวั ดขึ นให้ชือวั ดว่า“วั ดโพธิ ทอง” ต่อมา เปลียนชือเป็ น “วั ดโพธาราม” ในปี พ.ศ.2485 วั ดประจํ าบ้ านดงบังมาจนถึงปัจจุบัน
ปู ่เจ้ าหลวงอุดม ศาลปู ่ ตา บ้ านดงบัง
จุดบั งไฟทํานายปริ มาณฝน
17
พระพุทธรูปคูบ่ ้ านคู่ เมืองอายุนับร้ อยปี เป็ นงานศิลปะปูนปั น อยู ่ทวัี ดโพธาราม
2) วัดป่ าเรไร (วัดบ้ านหนองพอก) บ้านหนองพอก แต่เดิมเป็ นชุมชนอยู่แล้ วชือว่าบ้านกระฮอก (กระรอก) มีครัวเรื อนอาศั ย อยู่ประมาณ 20 หลั งคาเรื อน เหตุทีตั งชือนี เพราะสมั ยก่อนบ้านนี มีกระรอกอาศั ยอยู่จ ํ านวนมาก ชาวบ้านได้ริเริ มก่อตังวั ดแห่งนีขึ นซึ งอยู่ระหว่าง 2 หมู่บ้านคือ บ้านดงบัง กับบ้านกระฮอก ต่อมา เกิดไฟไหม้บ้านกระฮอกเกือบหมด ชาวบ้านส่วนหนึ งได้อพยพไปอยูบริ ่ เวณทุ่งกุลาร้องไห้ ได้แก่ บ้านดอนติ ว นาค่าย ดงเย็น หนองแคน เป็ นต้น ส่วนชาวบ้านอีกกลุ่ม ภายใต้การนําของพ่อสีดา รุ มชะเนาว์ พ่อใหญ่จ่า แม่น้อย พร้อม ด้วยชาวบ้านบางส่วนได้พากั นอพยพมาตั งหมูบ่ ้านขึ นใหม่ เมือปี พ.ศ. 2324 ให้ชือว่า “บ้าน หนองพอก” ซึ งอยู่ติดกับบ้านกระฮอกเดิมผู้ ใหญ่บ้าน(กวนบ้าน) หนองพอกคนแรก ชือนายอ่อน โพธิ พยั คฆ์
หนองนําใหญ่ ในหมู ่ บ้าน อยู ่ทางทิศเหนือของวัดป่ าเรไร
18
สภาพทัวไปของหมู ่ บ้าน
บริ เวณบ้านหนองพอก มีหนองนํ าใหญ่อยู่กลางหมูบ่ ้าน เพือใช้น ํ าอุปโภคและบริ โภค ชาวบ้านเรี ยกแหล่งนั นว่าห้ วยท่ าขอนต่อ และ ห้ วยท่ าชัน เมือชาวบ้านเข้าป่ าเพือหาของป่ าและล่า สัตว์ มั กจะไปรวมกันทีหนองนํ แา ห่งนี คนอีสานในสมั ยนั นเรี ยกการมารวมกันหรื อนัดพบชุมนุม กัน เป็ นภาษาพูดว่า “พอกกั น” หรื อ “รวมกัน” แล้ วได้ตั งชือ“บ้านหนองพอก” ส่วนความเชือ อีกกระแสหนึ ง กล่าวว่าหนองนํ าแห่งนีอยู่ใกล้ หมู่บ้านและมีต ้นพอกใหญ่เกิดอยู่บริ เวณหนองนํ า แห่งนี จึงเป็ นทีมาของชือหมู่บ้านหนองพอก (พอก เป็ นชือต้นไม้ยืนต้ นขนาดใหญ่) นั นเอง เมือชาวบ้านมาอยู่รวมกั นจึงร่ วมใจกั นสร้างวั ดขึ น คือ”วั ดป่ าเรไร” วั ดเก่าแก่อยู่คู่บ้านหนอง พอกมาช้านานมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับวั ดโพธาราม ในปี 2547 วั ดแห่งนีได้ขึ นทะเบียนเป็ น แหล่งอนุรักษ์โบราณสถานศิลปกรรมท้องถิ นจากกรมศิลปากร จุดเด่นคือมีภาพจิตรกรรมฝาผนัง ปรากฏอยู่ทั งภายในและภายนอกสิม โดยช่างฝี มือพื นบ้านกลุ่มเดียวกันกับช่างวาดทีวั ดโพธาราม
บริเวณด้ านหน้ าสิ มวัดป่ าเรไร
19
ภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดป่ าเรไร บ้ านหนองพอก
2.8 สถานทีท่องเทียวด้ านศิลปวัฒนธรรมในพื นทีใกล้เคียง 1) กู ่สันตรัตน์ กู่สันตรัตน์ อยู่ห่างจากวั ดโพธารามและวั ดป่ าเรไร ไปทางทิศเหนือประมาณ 7 กิโลเมตร กู่สันตรัตน์เป็ นอาคารศิลาแลงทีสร้างขึ นในสมั ยพระเจ้าชัยวรมั นที7 เป็ นศิลปะขอมสมั ยบายน มี อายุระหว่าง พ.ศ. 1700-1750 ตัวอาคารสร้างด้ วยศิลาแลงเป็ นแท่งสีเหลียมคล้ ายกูห่ รื อปรางค์กู่ทีมี อยู่ทั วไปในอีสานตอนล่างและมีทบั หลั งประตูมุขหน้าจํ าหลั กลายงดงาม ตั งอยู่ทีตํ าบลกูสั่ นตรัตน์ อํ าเภอนาดูน การเดินทางจากอํ าเภอเมืองมหาสารคามใช้เส้นทางหมายเลข2040 ผ่านอํ าเภอวาปี ปทุม เลี ยวขวาเข้าเส้นทางหมายเลข2045 (เข้าอํ าเภอนาดูน) ประมาณ 1 กิโลเมตรจะพบกู่สันตรัตน์อยู่ทาง ขวามือ
กู ่ สันตรั ตน์
2) พระธาตุนาดูน พระธาตุนาดูน อยู่ห่างจากวั ดโพธารามและวั ดป่าเรไรไปทางทิศเหนือประมาณ 10 กิโลเมตร พระธาตุนาดูนพุทธมณฑลแห่งอีสาน ตั งอยู่ทีบ้านนาดูน อํ าเภอนาดูน มีการขุดพบ พระพิมพ์ต่างๆ เป็ นหลั กฐานทางประวั ติศาสตร์และโบราณคดีทีแสดงถึงความเจริ ญรุ่ งเรื องในอดีต เพราะบริ เวณนี ได้เคยเป็ นทีตั งของนครจํ าปาศรี มาก่อน โบราณวั ตถุทีค้ นพบได้ น ําไปแสดงไว้ ที
20 พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติจ ังหวั ดขอนแก่นและทีสําคัญยิ งคือ การขุดพบสถูปบรรจุพระบรม สารี ริกธาตุบรรจุในตลั บทองคํ า เงินและสําริ ด ซึ งสันนิษฐานว่ามีอายุอยู่ในราวพุทธศตวรรษที 1315 ตรงกับสมั ยทวารวดี รัฐบาลได้อนุม ั ติให้ด ํ าเนินการก่อสร้างพระธาตุนาดูนขึ นเมือพ.ศ. 2528 ใน เนื อที 902 ไร่ บริ เวณใกล้ เคียงพระธาตุนาดูน มีพิพิธภัณฑ์ทางศาสนาและวั ฒนธรรม สวนรุ กขชาติ สวนสมุนไพร ตกแต่งให้เป็ นสถานทีสําคัญทางพุทธศาสนาและเป็ นสถานทีท่องเทียว
พระธาตุนาดูน
2.9. ข้ อมูลการเดินทาง 1)โดยรถยนต์ การเดินทางจากอํ าเภอเมืองมหาสารคามใช้เส้นทางหมายเลข2040 ไปทางอํ าเภอ วาปี ปทุม-พยั คฆภูมิพิสัย แล้ วเลี ยวขวาเข้าเส้นทาง2045 ถึงอํ าเภอนาดูน ทางลาดยางตลอด ห่างจาก ตัวเมืองประมาณ 65 กิโลเมตร 2)โดยรถประจําทาง บริ ษ ัทขนส่ง จํ ากั ด มีรถโดยสารประจํ าทางทั งรถธรรมดาและรถปรับอากาศบริ การวั นละ หลายเทียว รายละเอียดสอบถามได้ที สถานีเดินรถสายตะวั นออกเฉียงเหนือ หมอชิต 2 โทร. 0- 2936 -2852-66 สําหรับบริ ษ ัทเดินรถเอกชนทีวิ งบริ การไปจังหวั ดมหาสารคามสาย กรุ งเทพ-มหาสารคาม ได้แก่ บริ ษ ัทรุ่ งประเสริ ฐทัวร์ บริ ษ ั ทเชิดชัยทัวร์ สหสัมพั นธ์ทัวร์ หรื อสาย กรุ งเทพ-ร้อยเอ็ด , กรุ งเทพ-สกลนคร, กรุ งเทพ-นครพนม, กรุ งเทพ-อุบลราชธานี เป็ นต้น (www.transport.co.th) 3)โดยรถไฟ สําหรับผู้ ทีเดินทางโดยรถไฟ หรื อเครื องบินจะต้ องลงทีจังหวั ดขอนแก่น แล้ วต่อรถยนต์ มาจังหวั ดมหาสารคามอีกประมาณ75 กิโลเมตร
21 4)ระยะทางระหว่างอําเภอเมือง-อําเภอต่างๆ อํ าเภอเมือง-อํ าเภอกันทรวิชัย 16 กิโลเมตร อํ าเภอเมือง-อํ าเภอโกสุมพิสัย 28 กิโลเมตร อํ าเภอเมือง-อํ าเภอวาปี ปทุม 40 กิโลเมตร อํ าเภอเมือง-อํ าเภอบรบือ 26 กิโลเมตร อํ าเภอเมือง-อํ าเภอพยั คฆภูมิพิสัย84 กิโลเมตร อํ าเภอเมือง-อํ าเภอนาเชือก 56 กิโลเมตร อํ าเภอเมือง-อํ าเภอเชียงยืน 44 กิโลเมตร อํ าเภอเมือง-อํ าเภอนาดูน 65 กิโลเมตร อํ าเภอเมือง-อํ าเภอแกดํ า 28 กิโลเมตร อํ าเภอเมือง-อํ าเภอยางสีสุราช 70 กิโลเมตร 5) หน่ วยทีสามารถให้ ข้อมูลเพิมเติม ติดต่อได้ที โรงเรี ยนดงบังพิสัยนวการนุสรณ์ องค์การบริ หารส่วนตํ าบลดงบัง ทีว่าการอํ าเภอนาดูน
โทร. 0-4377 - 9280 โทร. 0-4399 -3026 โทร. 0-4379-7110
22
ทีมา: การท่องเทียวแห่ งประเทศไทย
พื นทีโครงการ
ทีมา : กระทรวงมหาดไทย
แผนทีจังหวัดมหาสารคาม และแผนทีอําเภอนาดูน