5 ผลการดำเนินงาน

Page 1

ส่ วนที 5 ผลการดําเนินงาน 5.1.

การอบรมเรืองการอนุรักษ์ แหล่ งโบราณสถานศิลปกรรมท้ องถิน และภาพจิตรกรรมฝาผนัง (ฮูปแต้ม)

ความเป็ นมา ตํ าบลดงบังแห่งนี มีแหล่งโบราณสถานศิลปกรรมซึ งขึ นทะเบียนโดยกรมศิลปากรแล้ ว ตั งแต่ ปี 2547 จํ านวน 2 หลั งด้วยกัน คือวั ดโพธารามและวั ดป่ าเรไร ชาวบ้านส่วนใหญ่ไม่มคี วามรู้ ด้านการอนุรักษ์โบราณสถานศิลปกรรมประเภทนี และก็ไม่ทราบว่าเมือขึ นทะเบียนแล้ วหน่วยงาน ใดเป็ นผู้ รับผิดชอบโดยตรงและภายใต้กฎระเบียบใดทีอนุญาตให้ชุมชนได้มีโอกาสเข้ามามีส่วน ร่ วมในการอนุรักษ์แหล่งโบราณสถานศิลปกรรมของท้องถิ นได้บ้าง ความไม่รู้และความเข้าใจ คลาดเคลือนนี จึงทํ าให้ชุมชนเกิดความไม่แน่ใจ แล้ วลงความเห็นร่วมกั นว่าควรจั ดให้มีการอบรม การให้ความรู้เรื องแนวทางการอนุรักษ์โบราณสถาน และภาพจิตรกรรมฝาผนังของท้องถิ นไว้ รวมทั งเรื องกฎระเบียบทีเกียวข้องกับการอนุรักษ์โบราณสถานอืนๆ ให้แก่ชุมชนได้เข้าใจ เพือ ประโยชน์ต่อการรักษาให้ย ั งยืนต่อไป และกระตุ ้ นให้เกิดจิตสํานึกในคุณค่าของการอนุรักษ์แหล่ง โบราณสถานท้องถิ นให้ยืนนานสืบไปชั วลูกชั วหลาน การดําเนินการ

รู ปที 1 รศ. ธีรชัย บุญมา ธรรมหัวหน้าโครงการชี แจง และแนะนําวิทยากร


98

รูปที 2 ส่วนหนึ งของ ผู้ เข้ารับการอบรม

รู ปที 3 คุณทศพร ศรี สมาน หัวหน้าพิพิธภัณฑ สถานแห่งชาติร้อยเอ็ด วิทยากรนําชุมชนสํารวจ บริ เวณโบสถ์ว ั ดโพธาราม เพือตรวจสอบร่ องรอยความ เสือมโทรม

รู ปที 4 คราบสกปรกทีเกิดจาก มูลของนกพิราบและจิ งจก (บริ เวณลูกศรชี) ตามเสา ขือไม้ และบริ เวณโดยรอบ ชาวบ้าน สามารถทํ าเองได้ ส่วนผนังที มีฮูปแต้ม เป็ นบริ เวณที ชาวบ้านไม่สามารถทํ าความ สะอาดได้ ต้องขอให้กรม ศิลปากรมาดํ าเนินการ


99 รู ปที 5 แสดงสภาพภูมิทัศน์ โดยรอบซึ งมีต ้นไม้ ใหญ่ ควร ตัดแต่งให้เป็ นทรงพุ่มขนาด เล็ก ซึ งจะไม่ไปเป็ นปัญหาต่อ ตัวโครงสร้างของโบสถ์ใน อนาคต

รู ปที 6 บริ เวณทีมีการแตกร้าว การทรุ ดตัว และมีแมลงเข้าทํ า รัง ลั กษณะเช่นนี ชุมชน สามารถแจ้งไปทีกรมศิลปากร เพือให้มาซ่อมแซมเร่ งด่วน โดยใช้งบพิเศษของกรม ศิลปากรได้

รู ปที 7 หากพบรอยหลั งคา รั ว หรื อไม้ ผุเล็กน้อย หาก ไม่ส่งผลกระทบต่อฮูปแต้ม ชุมชนสามารถซ่อมแซม หลั งคาเองได้ โดยไม่ต ้อง แจ้งกรมศิลปากร


100 ภาพที 8 บริ เวณรอบสิม ชุมชน สามารถดูแลรักษาได้เองโดยไม่ ต้องขออนุญาตกรมศิลปากร ได้แก่ การดูแลทํ าความสะอาด การจัด สวนไม้ พุ่ม การตัดแต่งต้ นไม้ ใหญ่ ให้อยู่ในสภาพทีไม่ไปกระทบต่อ ตัวโครงสร้างหรื อฮูปแต้ม

ผลการดําเนินงาน โดยการระดมความคิด โดยแบ่งผูฝ้ ึ กอบรมเป็ น 2 กลุ่ม ได้แก่ คือกลุ่มวั ดโพธาราม และวั ดป่ าเรไร 1. กลุ ่ม วัดโพธราม กลุ ่ม วัดโพธาราม เสนอเรื องปัญหาทีเกิดกับ สิมและฮูปแต้ม พร้อมแนวทางแก้ไข นายกัณหา โพธิ พยั คฆ์ ประธานกลุ่ม นายนิคม เกษไธสง รองประธาน นางสุภาพร พุธไธสง เลขาฯ 1.1 ปัญหาทีพบ 1. ขี นกพิราบสร้างความสกปรกให้แก่สิม 2. กํ าแพงรอบนอกชํ ารุ ด 3. หลั งคาสิมรั ว นํ ารั วเวลาฝนตก 4. ฐานเสาสิมบริ เวณระเบียงแตกร้าว 5. ฮูปแต้มเลอะเลือนไม่ชัดเจน 6. พื นสิมและผนังแตกร้าวรอบนอก 7. เกิดตะไคร่ น ํ า หญ้า วั ชพืช บริ เวณรอบสิม 8. สายไฟชํ ารุ ดไม่เป็ นระเบียบ 9. ชาวบ้านยั งไม่เข้าใจเรื องราวในฮูปแต้ม 10. ธาตุบรรจุอ ั ฐิ บดบังทัศนียภาพของอุโบสถ 1.2 ปัญหาทีชาวบ้ านแก้ไขได้ เองโดยไม่ต้องขออนุญาตกรมศิลปากร ได้ แก่ 1. ขี นกพิราบสร้างความสกปรกให้แก่สิม 2. กํ าแพงรอบนอกชํ ารุ ด


101 3. ฐานเสาสิมบริ เวณระเบียงแตกร้าว 4. เกิดตะไคร่ น ํ า หญ้า วั ชพืช บริ เวณรอบสิม 5. สายไฟชํ ารุ ดไม่เป็ นระเบียบ 6. ธาตุบรรจุอ ั ฐิ บดบังทัศนียภาพของอุโบสถ์ 1.3 สรุ ปวิธีแก้ไขปัญหาและแนวทางการพัฒนา 1. ใช้ตาข่ายดักนก ทํ าความสะอาดโครงสร้าง เช่น เสา ขือ บริ เวณโดยรอบทีมี มีฮูปแต้ม 2. กํ าแพงชํ ารุ ด ต้องสร้างใหม่ 3. หลั งคารั ว ซ่อมเฉพาะส่วนทีชํ ารุ ด 4. ซ่อมเสริ มระเบียง 5. ฮูปแต้มเลอะเลือนไม่ชัดเจน ไม่สามารถกระทํ าการใดๆ ได้ 6. พื นสิมและผนังแตกร้าวรอบนอก สามารถทุบแล้ วซ่อมแซมใหม่ 7. เกิดตะไคร่ น ํ า หญ้า วั ชพืช บริ เวณโดยรอบสิมทํ าความสะอาด และกํ าจัด วั ชพืช ได้ 8. สายไฟชํ ารุ ดไม่เป็ นระเบียบ จั ดหาช่างเดินสายไฟใหม่ 9. ชาวบ้านยั งไม่เข้าใจเรื องราวในฮูปแต้มควรเชิญผู้ รู้มาให้ความรู้ 10. ธาตุบรรจุอ ั ฐิ บดบังทัศนียภาพของอุโบสถ์ ขอความร่ วมมือในการ เคลือนย้ ายออกจากบริ เวณและห้ามสร้างเพิ มเติมอีก

รู ปที 9 การระดมความ คิดเห็นร่ วมกันของกลุ่ม วั ดโพธาราม


102

รู ปที 10 ตัวแทนกลุ่มวั ด โพธารามได้น ําเสนอ ปัญหาและแนว ทางแก้ไข

2. กลุ ่มวัดป่ าเรไร กลุ ่ม วัดป่ าเรไรได้เสนอปัญหาทีเกิดกับสิมและฮูปแต้ม พร้อมแนวทางแก้ไข โดยมี นายคํ าใหล ศรี วิเศษ ประธานกลุ่ม นายผั ด คุ ้มไพฑูรย์ รองประธาน นายเสถียร พุธไธสง เลขา วัดป่ าเรไร (หมายถึงเสียงร้องของตัวจั กจั น) 2.1 ปัญหาทีเกียวกับตัวสิมและฮูปแต้ม 1. บริ เวณพื นทีทีตั ง สิม เป็ นดินเกลือ 2. หลั งคารั ว นํ ารั วลงพื นสิม 3. ระเบียงสิมผุพ ั ง ปูนหมดสภาพ เสาเอียง 4. ฐานเสาสิมบริ เวณระเบียงแตกร้าว ปลวกทํ าลายเสาไม้ 5. ฮูปแต้มเลอะเลือนไม่ชัดเจน มีฝุ ่ นจับ 6. นกทํ ารังในสิม ขี นกทํ าความสกปรกแก่สิม 2.2 แนวทางการอนุรักษ์ 1. สร้างเครื อข่ายให้ความรู้ แก่ชุมชน ให้ทราบถึง กฎหมายทีเกียวข้อง 2. สร้างจิตสํานึกและปลูกฝังให้เยาวชนรู้ถึงคุณค่าของฮูปแต้ม 3. แกะภาพฮูปแต้ม สร้างหนังตะลุง เพือส่งเสริ มการอนุรักษ์ฮูปแต้ม โดยมี ลุง สําลี และ ลุงผั ดเป็ นแกนนําในการจั ดทํ า 4. กลุ่มแม่บ้าน กลุ่มปักผ้ า สร้างงานปักผ้ า โดยใช้ฮูปแต้ มเป็ นแม่แบบโดยมี โดยมี คุณวรรณภา คุณทองสา คุณสุก ัญญา เป็ นแกนนําในการจั ดทํ า


103 5. พระสงฆ์ เป็ นแกนนําในการถ่ายทอดความรู้ ด้านการอ่านอั กษรธรรม โดย คุณเสถียร พุธไธสง เป็ นผู้ ประสานงาน 3.3 เรืองทีปรากฏในฮูปแต้มทีชาวบ้ านโดยทัวไปรับทราบ 1. การดํ าเนินชีวิตของชาวบ้าน เช่น การ ล่าสัตว์ การทํ านา สัตว์ทีพบได้แก่ นก กวาง หมูป่า ปลา 2. ภาพพุทธประวั ติ เรื องราวทีเกียวกับนรก สวรรค์ 3. ภาพรามเกียรติ พระลั ก พระลาม 4. ภาพพระเวสสันดรชาดก 5. ภาพการค้าขายของชุมชน

รู ปที 11 การระดมความ คิดเห็นของกลุ่มวั ดป่ า เรไร เพือค้นหาสาเหตุ และแนวทางการแก้ไข ทีเกียวข้องกับสิมและ ภาพจิตรกรรมฝาผนัง

รู ปที 12 ตัวแทนกลุ่มวั ดป่ า เรไร ได้น ําเสนอปัญหา และแนวทางการอนุรักษ์


104 สรุ ปผลจากการเข้ าอบรม การอนุรักษ์ แหล่งโบราณสถานศิลปกรรม และภาพจิตรกรรมฝา ผนัง (ฮูปแต้ม) เมือวันที 28 เมษายน 2551 ณ วัดโพธาราม บ้ านดงบัง ตําบลดงบัง อําเภอนาดูน จังหวัดมหาสารคาม กลุ ่มวัดป่ าเรไร ปัญหาทีพบทีสิมวัดป่ าเรไร แนวทางแก้ไข 1. หลั งคารั วเล็กน้อย 1. ข้อที 1,2,3,4 ชุมชนสามารถปรับปรุ ง ทํ าความ 2. ระเบียงสิมผุพ ั ง ปูนหมดสภาพ เสาเอียง สะอาดและซ่อมแซมได้ 3.นกทํ ารัง และมีขี นกบริ เวณคาน เสา 2. ข้อที 5,6 ชุมชนต้องแจ้งและปรึ กษาสํานัก 4. ปลวกกั ดกินเสาไม้ ศิลปากรที 9 ขอนแก่น 5.พื นทีตั งของสิม เป็ นดินเกลือ 3. ข้อที 7 เรี ยนถามหลวงพ่อลุน เจ้าอาวาสวั ดป่ า 6. ฮูปแต้มเลอะเลือนด้วยฝุ ่ นและขี นก เรไร และผู้ รู้อืนๆ 7.ชาวบ้านอ่านตั วหนังสือบนฝาผนังไม่ได้ กลุ ่มวัดโพธาราม ปัญหาทีพบทีสิมวัดโพธาราม 1. ตะไคร่ น ํ า หญ้า วั ชพืช บริ เวณรอบๆ สิม 2. กํ าแพงรอบนอกชํ ารุ ด 3. สายไฟชํ ารุ ด หลั งคารั วเล็กน้อย 4. ขี นก คราบสกปรกบริ เวณคาน และเสา 5. ธาตุบรรจุอ ั ฐิ บดบังทัศนียภาพของสิม 6. ขี นก และคราบสกปรกทีทํ าให้ฮูปแต้มเลอะ เลือน 7. พื นสิม และผนังแตกร้าว 8. หลั งคารั ว อยากเปลียนหลั งคาใหม่ 9. ชาวบ้านไม่เข้าใจเรื องราวในฮูปแต้ม

แนวทางแก้ไข ข้อที 1, 2, 3, 4 ชุมชนสามารถทํ าความสะอาด ได้เลย ข้อที 5 ไม่ควรสร้างเพิ ม ส่วนทีมีอยู่เดิมให้ ชุมชนพิจารณาร่ วมกันว่าจะทํ าอย่างไร ข้อที 6,7,8 ชุมชนต้องแจ้งไปยั งสํานักศิลปากรที 9 ขอนแก่น เพือขอคํ าปรึ กษา ถ้ าเป็ นเรื องใหญ่ และเร่ งด่วนกรมศิลปากรจะมีงบประมาณให้ ข้อที 9 เชิญวิทยากรมาให้ความรู้แก่ชุมชน

ข้ อสรุ ปนี ทางโครงการฯ ได้จ ัดทํ าแผ่นป้ ายหินแกรนิตขนาด40 x 80 ซม. จํ านวน 2 แผ่น มอบ ให้ก ับชุมชนร่ วมกันพิจารณาติดตั งอย่างถาวร ไว้ ทีวั ดทั งสองแห่ง


105

5.2 การจ่ายผญาและการขับร้ องสรภัญญะ ความเป็ นมา สิม เป็ นคํ าอีสาน แปลว่าโบสถ์ ถือว่าเป็ นแหล่งโบราณสถานศิลปกรรมและมีภาพ จิตรกรรมฝาผนัง (ฮูปแต้ม) โดยฝี มือช่างโบราณปรากฏอยู่สิมวั ดโพธารามและวั ดป่ าเรไร อั นเป็ น มรดกตกทอดทีควรค่าต่อการอนุรักษ์ ดูแล รักษาโดยชุมชนเอง หากปล่อยปละละเลยไม่ดูแล จะทํ า ให้เกิดการขาดช่วง การต่อเชือมของคนในอดีตสู่คนปัจจุบั นไปได้ ความเป็ นมาทางประวั ติศาสตร์ รวมถึงการเรี ยนรู้ประวั ติความเป็ นมาของหมู่บ้านและประวั ติของวั ดทั งสองแห่งนี เป็ นสิ งทีได้สั งสม มาแล้ วจากคนในอดีตทีได้บั นทึกไว้ ทีฝาผนังสิมทั งสองแห่งแล้ ว ขาดแต่เพียงการสืบทอดจากรุ่ น หนึ งสู่คนรุน่ ต่อไปเท่านั นเอง หากไม่มีการสานต่อก็จะส่งผลให้คนรุ่ นใหม่ขาดความภูมิใจใน รากเหง้าของตน กิจกรรมนี การจ่ายผญาและขับร้องสรภัญญะ(การจ่าย หมายถึงการขับกลอนโต้ตอบ ระหว่างชาย หญิง) เป็ นกิจกรรมทีใช้ความสามารถทางศิลปะพื นบ้านด้านการขับร้อง ได้บอกเล่า เรื องราวต่างๆ ในอดีต ไม่ว่าจะเป็ นประวั ติของหมู่บ้าน การก่อตั งบ้านหนองพอก บ้านดงบัง ประวั ติการสร้างวั ด โบสถ์(สิม) รวมถึงภาพจิตรกรรมฝาผนัง (ฮูปแต้ม) ได้ถูกนํามาถ่ายทอดให้ คนในชุมชนได้รับรู้ ผ่านการจ่ายผญาและการขับร้องสรภั ญญะ(การจ่าย หมายถึง การขับร้องกลอน โต้ตอบระหว่างชาย-หญิง) เป็ นสือกลางเพือบอกเล่าเรื องราวต่างๆของชุมชนในอดีต แล้ วสามารถ บันทึกไว้ เป็ นหลั กฐานทางประวั ติศาสตร์ของชุมชนสืบไป รู ปที 1 การประชุมกลุ่ม จ่ายผญา และขับร้อง สรภัญญะ


รู ปที 2 การฝึ กจ่ายผญาใน เรื องราวเกียวกับประวั ติ หมู่บ้าน วั ด และภาพ จิตรกรรมฝาผนัง

รู ปที 3 การประกอบ พิธีกรรมทางศาสนาและ ความเชือของชาวบ้าน ก่อนการแสดงกลอนสด

รู ปที 4 การทํ าเครื อง บายศรี สู่ขวั ญ ซึ งเป็ น ประเพณี ของชาวบ้านเมือ มีเทศกาลงานบุญทีสําคัญ

106


107 รู ปที 5 หลวงพ่อลุน เจ้า อาวาสวั ดป่ าเรไร ได้เทศนา ธรรม และเล่าประวั ติว ั ด โบสถ์ และฮูปแต้มแก่ ชาวบ้าน

รู ปที 6 ผู้ ใหญ่บ้านหนอง พอก ได้กล่าวเปิ ดงานและ ชี แจงกํ าหนดการจัด กิจกรรม พร้อมทั งแนะนํา คณะจ่ายผญา และขับร้อง สรภัญญะ

รู ปที 7 นักขับร้องกลอน สรภัญญะของหมู่บ้าน ทีได้ เตรี ยมบทกลอนบอกเล่า เรื องราวของหมู่บ้าน วั ด และสิมให้ชาวบ้านได้รับรู้ ทั วกัน โดยการถ่ายทอดสด ผ่านหอกระจายเสียงและ วิทยุกระจายเสียงแห่ง ประเทศไทย จ.มหาสารคาม


108 รู ปที 8 คณะจ่ายผญา ทีมี ความรู้ความสามารถใน การแต่งกลอน ได้จ่าย ผญากลอนสด ผ่านทาง วิทยุกระจายเสียงแห่ง ประเทศไทย จ. มหาสารคามและหอ กระจายเสียงในหมู่บ้าน

บทกลอนผญาและสรภัญญะ ฮูปแต้ม : สิ มวัดโพธาราม และวัดป่ าเรไร บั นสิเว้ าเรื องประวั ติพื นบ้าน จับตํ าราขึ นมาเห็น ลาวเวียงจันทน์แต่คราวกี อหิวาห์ต่างๆ ยาบ่มีสิแก้ ข่วมฝั งของหนีบ้าน คนทีตายก็ขุดฝัง เก็บเอาของพอกินได้ ส.สําลี เขียนกลอน แต่ก่อน ย่างด้วยเท้า กลางคืนมาเซานอน จูงงัวมา ผูกเอาไว้ ดังไฟขึ นดูดเอ้ า กายดงลานลงมาโซ่ง กาลสิน หาแฟน ขนานนามเอิ นไว้ กํ าหนึ งเป็ นดงหนา

ตั งแต่ก่อนเดิมดา ได้อ่านทวน ขบวนเรื อง หนีตายโรคหมากห่าง ตายถิ มดอกเกลือนนอง แตกตืนโกลาหล หมู่ทียั งก็เดินเท้า แพรวาหรื อผ้ าผ่อน บทผญา กาพย์ สร้อย ฟังแล้ ว คึดเบิ งเอา พีน้องเอ้ ย... แนวเบาแหน่ คืองัวเกวียน แก่ล ้ อเกวียนเป็ นวงล้ อม ซุมนุมกันนั นเป็ นหมู่ ยามมื อเซ้าออกย่างทาง ภูเขาวง กํ าขอนแก่น ถอยมาทาง นอทิศใต้ บ่อนคลองนํ านั นล่วงไหล… ว่าเขือนลํ าปาว ซือว่าดงผู้ สาวฮ้าง


109 ต้นทองหลางหนาแน่น บ้านโคกสีเด้อหมู่ บ้านโนนเก่าน้อยกว่านั น มีลาวสี แกวสา จับตํ านานขึ นเว้ า หลวงปู ่ แป้ น ทุ่งสว่างนั นละน้า วั ดโพทองโพธาราม พากันมาขนย้ าย วั ดโพทองเด้อพ่อ จารย์ ซาลาย นั นละเจ้า นําผลงานเสนอแนะ เฮาควรเขียนประวั ติไว้ เฮาควรเว้ าหลวงพ่อ ช่างคํ าสิงห์ จารย์ ซาลาย จักสีเขียว สีเหลือง แต้มลงไปบนพื น ไผมาเห็นกะซ่าย้ อง เวสสันดรทานซ้าง พ่อไล่หนีจากบ้าน แต้มฮูปนางมั ทที แต้มฮูปคนในเมือง จารย์ซาลายเขียนแต้ม แต้มฮูปต้นดอกไม้ แต้มฮูปซ้าง ฮูปม้ า มีกระทิง งัวบา แต้มฮูปคลองลํ านํ า ฝูงหมู่สัตว์ ใหญ่น้อย แต้มฮูปซ้าง ฮูปม้ า

ถางจนแปนปลูกเฮือนอยู่ อยู่บ่ดน ก็ย ้ ายลงมาใต้ดอกแบ่งกัน ตั งแต่ก่อนเดิมที ได้ก่อแปงเมืองบ้าน คอยฟังเอาบางทีแม่น พาลูกหลานก่อตั งอารามกว้ างวั ดวา เป็ นวั ดเก่าซือเสียงหอง ตั งเมือตอนปู ่ ตายแล้ ว จารย์ ซาลายได้สานต่อ ดงบังเด้อเป็ นทีตั ง เดียวนี ไปเบิ งเอา… ตัวเด่นในวงการ ต่อจารย์ สิงห์ผู้ เป็ นเพือน ฝาผนังซิดีบ่ จารย์ ซาสีเพิ นบ่ห้าม ตามแท้ดอกแต่ใจ.... พากันถากเปลือกไม้ มาต้ มกลั นจนมั นเหนียว พ่องแดงจนพอใช้ ฝาผนังเป็ นจุดเด่น มองแล้ วใคร่ สะออน นาเคนทร์ โตประเสริ ฐ ไปเซาซ่นอยู่ป่าไพร หาเก็บผลหมากไม้ ไปพ้ อหมู่เสือเหลือง… สวนสนแม่นเดินย้ าย งัวควายเป็ ดไก่ ราหูท้าวคาบพระจันทร์ ทั งหมู่เสือสิง ไก่กา แหลวฮุ ้ง ไหลลงไปตามห่อม ลงเล่นว่าดืมกิน คนชนไก่กะมีเหมิด


110 แต้มฮูปคนไถนา แต้มฮูปพราหมณ์มะโนเฒ่า เลาะเลียบต้าย มีมหิงสาสัตว์ เขาหากมาซมเล่น แต้มฮูปพรานออกล่าเนื อ ช่างคํ าสิงห์ลาวนั นแต้ม ตอนทีนําเอาอา ไปพ้ อกันดารฮ้าย มั นนั นอ้ าปากขึ น ตาแดงเข้มพอปานแสงทองนาค หูยาวเยิ น สินไซ ศรเสียบจํ า ท้าวก็เข้าเขตก้วง ดูสวยงาม ภูบาลท้าว ควากอดอุ ้ ม อยากเอาไปปลูกไว้ บ้าน ครันแม่มารดาเห็น สินไซ ท้าว จนตาเว็นคํ าค้อย นกขอดเขียว เว้ าให้ฟังจนจบแจ้ง เป็ นตํ านานมาดน วั ดป่ าเรไร ซ่างสิงห์แต้ม เซิญอ่านดู เบิ งกะได้ นกขอดเขียว เป็ นผู้ ค ัดเลือกเฟ้ น ประพั นธ์กลอนบทผญา คนไปดูไปไหว้ เป็ นวั ตถุโบราณ ขอเซิญซวนเด้อ น้องอ้ าย ทางไปมา แสนสําบาย หนทางหลวง ลาดยางแหน่น

ผองผู้ สาวตํ าข้าว พายถงเดินเทียว ตามตาดตีนผา หมู กระทิง ควายฮ่า ตามเนย เกยด่วน ธนูน้าวแม่นโก่งยิง ฮูปเรื อง สินไซ พลั ดพลอยเมืองบ้าน โขโนยั กษ์ใหญ่ พอปานฟ้ าผ่า ผ้ าเหลือง ปากคาบแก้วฟันแขว่ท่อภู สามวากะยั งย่อม ตํ าเข้าระหว่างทรวง ไปพ้ อด่านดอกนารี ดั งคนดอกซาวบ้าน ดีใจซมซืน ซมเล่นให้ส่วงใจ เมืองเปงจาน เบิ งเด้ สิซืนซมหัวห่าว มั วซมดงดอก บังไม้ ล ั บแสง มีหลายเรื องแต่ทวนเห็น ยากหมู่คนสิมีไว้ โชว์ผลงานไว้ ข ้างกู่ ตัวไทยน้อย ตั วธรรม อย่างชัดเจน มาเผยแพร่ เป็ นคํ าสอน ว่าให้ฟังดอกพอฮู้ อยู่ว ั ดป่ าเรไร บ้านหนองพอก พุ ้ นละท่าน ฝาผนังฮูปแต้ม คนไหลเข้าบ่ขาดสาย ให้ไปเบิ งด้วยสายตา ตั งอยู่ติดถนนก้วง ซือถนนนิวซีแลนด์


111 ฮูปแต้มฝาผนังมั นเป็ นของโบราณ ซ่อยกันฮักสาไว้ ไปเท่านานแสนนาน ซ่อยกันสาน ซ่อยกันสร้าง ฮูปแต้มฝาผนังให้จรรโลง

รถโดยสารนั นวิ งผ่าน... ควรทีอนุรักษ์ไว้ ให้เคียงคู่ดอกคู่ไทย คอยท่าลูกหลนหลาน คู่บารมีบ้าน ดูแลเอาให้สูงส่ง อยู่คู่เมืองคู่บ้าน ดงบังข่อยให้ฮุ่งเฮือง พีน้องเอ๋ ย พีน้องเอ้ ย....

ส. สํ าลี ปะโมทัย ในนาม “ นกขอดเขียว” นายบุญลี พลคํามาก ผู ้ ประพันธ์ ประกอบการเชิดหนังตะลุง

………………………………..

ผญา ถามตอบ ประวัติบ้านหนองพอก (พ่อซาย) สุขสําบายทุกท่าน บ้านหนองพอกเด้อแม่ (แม่ยิง) คั นเจ้าเว้ าจั งซั น เห็นสมควรสิขอถาม ลูกหลานเฮายั งน้อย แต่ละคนอยากฮู้เรื อง (พ่อซาย) น้องเอ้ ย ตั งแต่กกแต่เค้า หนีจากเวียงจันทน์มา จั งได้พาพีน้อง ได้มาหยุดอยู่สร้าง (แม่ยิง) คั นเพิ นมาเถิงแล้ ว บ้านหนองพอกแท้ๆ (พ่อซาย) น้องเอ้ ย คั นเจ้าถามจั งซั น ยั งเป็ นดงหนาทึบ สกุนาน้อย แมงอี หมู่กระฮอกน้อย มีล ํ าห้วยกั น มีป่าไม้ ซั วสิเห็นตาเว็น

ฟังผญาโบราณประวั ติบ้านแต่เก่าแก่ คั นหมู่เจ้าอยากฮูถามแล้ ้ วเว้ าสู่ฟัง สมส่วนบุญสวน เรื องราวประวั ติบ้าน เกิดภายหลั งบ่อฮู้เรื อง ประวั ติบ้านแต่เก่าหลั ง ซั นดอก เฒ่าเก่าชือหลวงสี ย้ อนข้าศึกนําป้ อง หลายครอบครัวมาเป็ นหมู่ แปงบ้านสืบมา นี แหล่ว แนวใด๋ ได้เฮ็ดแน่ ได้แปงสร้างแต่เก่าหลั ง หรื อใด๋ นอ เถิ งอดีตคราวหลั ง หมู่ชะนีแขวนห่อย จักกระจั น โตนเต้นไล่ก ัน ในดงเป็ นเขต หน่าแน่นมืดมุง ออกมากะสวยแล้ ว


112 เพิ นกะพากันสร้าง พ่อหลวงสีบอกหมู่ หาเอาไม้ ไผ่บ้าน เก็บเอาใบมามุง จั งได้น ํามาเอิ น บ้านกระฮอกแต่พุ ้ น (แม่ยิง) อ้ ายเอย ไผเป็ นผู้ มาสร้าง ความเป็ นมาตั งแต่กี (พ่อซาย) หล่าเอย อ้ ายสิไขป่ องท้าง ประวั ติว ั ดป่ าเรไร บุญเฮาหลายเพิ นพาสร้าง หลวงปู ่ จันทร์ดา ถามมาเลยน้องหล่า บ้านกระฮอกของเฮา หลวงปูจ ันทร์ดาสร้างวั ดแล้ ว มีลูกศิษย์ ทุกด้าน ขยายการเฮียนฮู้ สอนได้เหมิดทุกด้าน สอนสนธิมูลอีกซํ า ภาษาลาวโตธรรม ซือเสียงดังพอได้ ถามอีกบ่น้องหล่า (แม่ยิง) อ้ ายเอย คั นเจ้าเว้ าจั งซั น คือใส่เบ็ดหาปลา หมายสิมาถามเจ้า ปู ่ จันทร์ดาสร้างวั ดแล้ ว (พ่อซาย) หล่าเอย อ้ ายฟังความถามเจ้า คือกับบ่วงกีบกี ฟังเอาเด้อน้องหล่า เป็ นศูนย์ รวมจิตใจ เฮาผดุงเอาไว้ เฮาประมาทบ่ ได้

ถางดงเฮ็ดเฮือนอยู่ ถางหม่องนั นฟันหม่องนี พอได้พ ั กเซา มาจักตอกสานกั น ฝาแขบตองสมั ยนั น พ่อหลวงสีต ั งซือ เฮาได้เอิ นต่อมา น้องเอย อารามวั ดป่ า ขอให้ชี ป่ องทาง แหน่อ ้ าย เปิ ดป่ องประตูไข ตั งแต่คาวหลั งพุ ้ น อารามวั ดป่ า เป็ นต้นเค้าพาสร้างวั ดวา เรื องวั ดป่ าเรไร เว้ าสู้ฟังให้ขาวแจ้ง มีการสอนหนังสือผูก ตั วหล่า มาเฮียนได้บ่ขาดสาย บาลีตรี โทเอก บ่มีย ้ านฝ่ ายธรรม เทิงแผนกภาษาขอม เพิ นสอนให้เหมิดเกลี ยง อยู่ว ั ดป่ าเรไรบ้านกระฮอกคนได้ซ่า เชิญเจ้าเว้ ามา ซั นแหล่ว น้องแห่งหมั นคือเก็บเห็ด อย่าสะคาเด้ออ้ าย หนักหรื อเบาให้อ ้ ายตอบ ความสําคัญนั นอยู่ใส อ้ ายเอย สังมาคือหนักหน่วง แท้ นอ หลายร้อยหมืนกิโล แท้หล่า น้องถามว่าความสําคัญ พีน้องไทยเฮารุ่ ง ศาสนาประจํ าชาติ คํ าสอนท่านพุทธองค์


113 หล่าเอย บ่มีว ั ดบ่มีวา พวกพ่อแม่ผู้ เฒ่า ฟังเสียงมุ่ยๆฆ้ อง ฮอดวั นศีลวั นพระ (แม่ยิง) อ้ ายเอย เรื องประวั ติบ้าน น้องได้สนใจถาม น้องยั งแค้ว โบสถ์หรื อสิมว่านั น (พ่อซาย) หล่าเอ้ ย หลวงปูจ ันทร์เป็ นต้นเค้า เอิ นญาติโยมมาประชุม ไผกะเห็นดีด ้ วย บ่าวสาวหลั งย้ วยๆ ศาสนาสิอยู่ได้ ถือว่าบุญเฮาหลาย ปู ่ จันทร์พาสร้าง พีน้องไกลพีน้องใกล้ (แม่ยิง) อ้ ายเอย ปู ่ จันทร์พามาสร้าง พ.ศ.ใด๋ จ ั งแล้ ว (พ่อซาย) หล่าเอ้ ย พ.ศ.เพิ นบอกไว้ หลายปี เดือน แป้ นผุฮ ้าง ปัจจุบันหลวงปู ่ คํ าภา (แม่ยิง) อ้ ายเอ้ ย สร้างโบสถ์สิมกะแล้ ว ฮูปแต้มนั น (พ่อซาย) หลวงปู ่ โอ้ โอนอเพิ นคึดฮํ า อยากให้มีฮูปแต้ม เสียงซ่าลือ เทิงสลาดฮูปแต้ม แต้มลวดลายว่านั น เขียนโตธรรมไปนํา (แม่ยิง) โอนออ้ ายเอ้ ย ฝาผนังสิมนั น ทางข้างในข้างนอก

คือจั งเดียรัจฉานเชือหมู่กวางอยู่ในเหล่า เพิ นสอนไว้ ฮีตคลอง สังโฆป่ าวทํ าความดี บาปบุญได้หวลฮู้ ตั วหล่า หรื อวั ดป่ าเรไร เข้าใจมาเหมิดแล้ ว คาใจอยู่เรื องหนึ ง เพิ นพาสร้างแน่บ่นอ อ้ ายเอย ประธานใหญ่ทางสงฆ์ สร้างเสริ มสมั ยนั น ตามโครงการของหลวงปู ่ อยากเสริ มสร้างวัดวา พวกเฮาซ่วยอุดหนุน หล่าเอ้ ย ได้สร้างสิมสมั ยนั น สิมมาหลั งบักใหญ่ เห็นแล้ วชืนใจ ตั วหล่า จักปี แต่สร้างก่อ ขอให้อ ้ ายว่ามา แด่ถ ้ อน 2224ได้ลงมือ จั งค่อยได้มุงแผ่นแป้ น แล้ วจั งแม่นมุงดินขอ ได้เอาสังกะสีแดงมาแอ้ ม แนวใด๋ นอแต้มตืม มาได้บ่อนจั งได๋ นอนมือก่ายหน้าผากคิดแล้ วอยู่บ่เป็ น เลยพาซ่างมีฝีมือ ช่างสิงห์ผู้ วงวาด ผสมสีได้ใส่ก ัน แต่ละเรื องมีความหมาย ให้ลูกหลานเกิดมาลุนได้เฮียนฮู้ มีฮูปหยั งแหน่ เพิ นเขียนแต้มรู ปหยั ง


114 (พ่อซาย) หล่าสาวนางเอ้ ย ซ่างสิงห์แต้ม ตั งแต่ตอนประสูติ กล่าววาจา ว่า อั คโคหะมั สมิง เสฏโฐเม ว่าชาตินี เป็ นทีสุด สิบ่อเกิด อั นนี แม่นคาถา ต่อจากนั น บรรพชาอุปสมบท จนว่าตรัสรู้ใด้ กลายเป็ นศาสดา พุทธองค์บอกไว้ อริ ยสัจ 4คือกัน แก้ปัญหาตามนี เขียนจนฮอด ตอนละล่วงสังขาร (แม่ยิง) อ้ ายเอย ด้านนอกทางเหนือนั น ขอให้ไขวาจา (พ่อซาย) ทางด้านนอก อ้ ายสิบอกให้เจ้า เป็ นฮูปแต้ม ตามหานางสีดา เขียนจดฮอด สู่ปริ นิพพาน ส่วนตาเว็นตกใต้ ยกมาเป็ นตอนๆ นอกจากนั น เพิ นได้เสด็จไป มีต ้นไม้ ต้นงิ วผาเขากะเอิ น เขาโอบขึ น ทั งหอกแหลมแทงก้น

เรื องพุทธประวั ติ ออกจากครรภ์มารดา เกินคนทังค้าย โลกัสสมิง เชฎโฐ ชาติปุนับพะโจ เป็ นผู้ ยอดประเสริ ฐ ชาติหน้าบ่มี พระเจ้าเหยียบโลกเฮาเอิ นต่อมา เขียนฮูปตั ดเกศา ทรมานกายซํ า สําเร็ จโพธิญาณ สั งสอนไทยบ้าน แปดหมืนสีพั น เป็ นทางฮู้ฮ่อม วิทยาศาสตร์แท้ๆของพื นพุทธองค์ สู่ปริ นิพาน กลั บไปสวรรค์พุ ้ น หล่าเอ้ย ฮูปแต้มเป็ นเรื องใด๋ บอกมาพอให้ฮู้แหน่อ ้ าย จากทิศเหนือเถิงตาเว็นออก จํ าไว้ อย่าสะหลง พระลั กษณ์-พระลาม ทศกัณฑ์ล ั กไปลี ตอนละล่องสังขาร กลั บไปสวรรค์พุ ้ น หล่าเอ้ ย เป็ นเรื องเวสสันดร พอให้คนเห็นฮู้ ยั งมีเรื องพระมาลั ย เบิ งนรกเป็ นตาย้ าน สิมพลีงิ วง่า มีหนามสั นพ่องยาว เลือดไหลย้ อยย่าง เป็ นหน่าหลูโตน


115 เทิงมีหม้ อ แฮ้งสบเหล็กสบทอง ไผผู้ ท ํ ากรรมฮ้าย ยามเมือลดชั วเมี ยน สัตว์นารกฝูงนั น อย่าให้พีน้องเฮา ไผผู้ ผิดผั วเจ้า เป็ นบาปแท้ (แม่ยิง) อ้ ายเอ้ ย เว้ าเถิงเรื องประวั ติบ้าน บ้านกะฮอกแท้ๆ (ผู้ ซาย) หลายปี ลํ า ตกเข้าเขต เขากะดังไฟฝิ ง พากันไปเกียวข้าว เลยเล่าไฟไหม้ บ้าน เหมิดเอียงเสียง นํ าตาไหลหยาดย้ อย ส่วนว่าโบสถ์หลั งนี เพิ นผู้ อยู่หนองฮี เอาสังกะสีมามุงไว้ แล้ วนิมนต์พระคุณเจ้า บูรณะสืบสร้าง คันผู้ ใด๋ อยากฮู้ ให้ถามหลวงปูลุน จารย์ ค ํ าไหลเป็ นคนแต้ม หากแม่นผิดพลาดพลั ง ย้ อนเวลามีหน่อย กล่าวเหมิดท้องเรื อง

ต้มกระทะทองแดง ตอกกะหมองกะปานนั น ปาปังเป็ นบาป กรรมฮ้ายจ่องเวร ฝากบอกมาเมืองคน ก่อกรรมทํ าชั ว เมียเขาเกินล่วง บ่หนีพ ้ นแน่นอน ของเฮาอีกแหน่ เดียวนี อยู่ไส หลายเดือนข้ามล่วง เหมั นต์นั นแม่นลืม ผั ดเล่าลือดับเมี ยน ในนาสิหักขอบ ควั นกุ้มลุกลาม ได้ยินเสียงฮ้องฮํ า โศกาซํ าอ่าวคะนึง มีหลวงพ่อคํ าภา อํ าเภอลํ าสนธิพุ ้ น แทนดินขอทีผุกร่ อน หลวงปูลุนมาสืบต่อ สิมน้อยฮูปงาม หนังสือตัวธรรม ผู้ เพิ นเฮียนสืบสานไว้ นามปากกาเขียนขีด อภัยให้แหน่เด้อ จารนัยบ่เหมิดเรื อง อภัยไว้ แด่ซู่คน นายคําไหล ประพันธ์ มหาวิรัตน์ โกกระบูรณ์ ขัดเกลาสํ านวน สิ งหาคม 2551

................................................


116

5.3. การทอผ้าไหมลายฮูปแต้ม ความเป็ นมา กิจกรรมการทอผ้ าไหมลายฮูปแต้ม เป็ นอีกกิจกรรมหนึ งซึ งเกิดจากความต้องการของกลุ่ม ทอผ้ าไหมทีต้องการปรับเปลียนลวดลายบนผืนผ้ าไหม ให้มีล ั กษณะโดดเด่นเป็ นเอกลั กษณ์ของ ชุมชน แนวความคิดนี เกิดจากมีการประชุมกลุม่ ย่อยของหมู่บ้าน แล้ วได้น ําเสนอกิจกรรมนี ต่อที ประชุมใหญ่ว่า หากจะทอผ้ าไหมลายฮูปแต้มให้เป็ นจริ งขึ นมา สามารถทํ าได้ด ังนี ในขั นตอนแรกที ต้องเตรี ยมคือ ผู้ ทีมีความสามารถในการแกะลวดลายฮูปแต้ มจากฝาผนังสิม และวิทยากรทีมีความรู้ ด้านการทอผ้ าไหม มาให้การอบรมปฏิบัตการ ิ จึงจะทํ าให้กิจกรรมนี สําเร็ จลงได้ โดยต้องเป็ นผู้ มี ความรู้ด ้านคํ านวณ”ลํ า” (ลํ า หมายถึง จํ านวนทีจะมั ดเป็ นลาย ซึ งต้องคํ านวณจากหน้ากว้ างของฟื ม เพือกํ าหนดจํ านวนลํ าทีจะมั ดลายต่อไป)ทางโครงการฯ ได้เชิญวิทยากรจากอํ าเภอกุดรังมาให้การ อบรมตั งแต่การแกะลายมั ดหมี การมัดหมี การย้ อม และการทอจนสําเร็ จเป็ นผืนผ้ าลายฮูปแต้ม การดําเนินการ 1. การประชุ มกลุ ่ม เพือชี แจงโครงการและกิจกรรมทีจะดํ าเนินการร่ วมกัน ข้อตกลง และ แนวทางการดํ าเนินงาน รู ปที 1 การใช้กระบวนการมีส่วนร่ วม เพือหาแนวทางการทํ างานร่ วมกัน

2. การคัดเลือกภาพ โดยทีประชุมได้ลงความเห็นว่าการคั ดเลือกภาพทีจะนํามาเป็น ต้นแบบการคัดลอกลายต้องเกิดจากการสํารวจฮูปแต้มร่ วมกัน อภิปรายร่ วมกันด้ วยเหตุผลความ เป็ นไปได้ คือจะต้องเป็ นภาพทีบรรยายถึงความสําคั ญในประวั ติศาสตร์ชุมชนในอดีต และสะท้อน ภาพความรุ่ งเรื อง วิถีชีวิตความเป็ นอยู่ ความดีงามของชุมชน ทางกลุ่มทอผ้ าจึงได้ ค ัดฮูปแต้มได้ จํ านวน 3 รู ปซึ งเป็ นลายดั งเดิมคือ ลายคนไถนา ลายผู้ หญิงหาบตะกร้า ลายนกยูง และลายประยุกต์ อีก 2 ลาย คือ ลายกระถางต้นไม้ และลายนกกับต้นยางใหญ่


117 รู ปที 2 กลุ่มทอผ้ าไหม สํารวจภาพ จิตรกรรมฝาผนังทีโบสถ์ว ั ด โพธาราม เพือคัดเลือกภาพสําหรับ ใช้ในการทอผ้ าไหมต่อไป

รู ปที 3 ภาพทีผ่านการคั ดเลือกจากกลุ่ม ทอผ้ าไหม

3. คุณไพโรจน์ รุ มชะเนาช์ เป็ นผู้ ทีมีความสามารถในการแกะลวดลายฮูปแต้มของหมู่บ้าน ได้ท ํ าการลอกลายทีคัดเลือกแล้ ววาดบนกระดาษเพือนําไปคํ านวณ“ลํ า” (หมายถึง จํ านวนแถวที ต้องพั นเส้นไหม) รู ปที 4 คุณไพโรจน์ รุ มชะเนาช์ กํ าลั งคัดลอกลายฮูปแต้มทีผ่าน การคั ดเลือกจากกลุ่มทอผ้ าไหม แล้ ว


118 4. การคั ดลอกลายฮูปแต้ม 3 ลาย ดังนี

รู ปที 5 ลายคนทํานา จํานวน 70 ลํา

รู ปที 6 ลายคนหาบตะกร้ า จํานวน 64 ลํา

รู ปที 7 ลายนกยูง จํานวน 70 ลํา


119 5. การแกะลายประยุกต์อีก 2 ลาย

รู ปที 8 ลายนกกับต้นยาง ใหญ่จ ํ านวน 33 ลํ า

รู ปที 9 ลายกระถางต้นไม้ จํ านวน 38 ลํ า

6. ขั นตอนการทอผ้ าไหมมั ดหมีลายฮูปแต้ม โดยได้ วิทยากรผู้ เชียวชาญด้านการทอผ้ าไหม จากอํ าเภอกุดรัง

รู ปที 10 คุณสมจิตร บุรีนอก วิทยากรด้านการทอผ้ าไหม จากอํ าเภอกุดรัง


120 การเตรียมการ โดยเริ มจากการนําไหมไปฟอกให้มีความสวยงามและอ่อนนุ่มเพือทีจะ เตรี ยมการมั ดหมีต่อไป 6.1 การวั ดหน้าฟื ม(อุปกรณ์ทอผ้ าชนิดหนึ ง)และคํ านวณลํ า(จํ านวนแถวทีต้องพั นเส้น ไหม) เพือทํ าการกวั กไหม (การพั นเส้นไหม) โดยใช้ไม้ บรรทัดวั ดขนาดความกว้ างของหน้าผ้ าเพือ คํ านวณลํ า

รู ปที 11 การวั ดหน้าฟื ม เพือให้ได้ความกว้ างของผืนผ้ า ไหม

ฟื ม ฟื มหรื อฟันหวี เป็ นเครื องมือทีสําคัญในการทอผ้ าซึ งการทอผ้ าต้องอาศั ยฟื มเป็ นหลั ก เพราะเป็ นตัวจั ดผ้ าในขณะทีกํ าลั งทอลั กษณะของฟื มประกอบด้วยส่วนสําคัญ 2 ส่วน ดังต่อไปนี ส่วนที 1 คือส่วนทีเป็ นไม้ มีล ั กษณะเป็ นรู ปสีเหลียมผืนผ้ าทํ าด้วยไม้ ซีเล็ก ๆ ยาว ประมาณ 9-10 เซนติเมตรเรี ยกว่า ฟันฟื ม มีขนาดใหญ่กว่าเข็มเล็กน้อยและมีจ ํ านวนหลายพั นซีมา เรี ยงกันมีช่องว่างให้เท่ากับ เส้นด้าย 2 เส้นสอดผ่านได้ และฟื มแต่ละชุดต้องมี 2 ตับ คือ ตับหน้า และตับหลั งใช้ดึงผ้ าสลั บกัน ส่วนที 2 คือส่วนทีเป็ นเชือกอยู่ติดกับส่วนแรกด้านบนมีขนาดเท่ากันส่วนทีเป็ นไม้ ติดต่อกับเชือกนั นใช้สําหรับร้อยด้ายหรื อเส้นไหมขึ นผ้ าเพือยึดด้ายให้สลั บขึ นลงกัทันบกับฟื มตับ แรกและตับหลั ง ลํา หมายถึง จํ านวนทีจะมั ดเป็ นลาย ซึ งต้องคํ านวณจากหน้ากว้ างของฟื ม เพือกํ าหนด จํ านวนทีจะมั ดลายต่อไป


121 รู ปที 12 อุปกรณ์ การทอผ้า 1.กี/หูก 2.ฟื ม 3.ตะกอ/เขา 4.กระสวย 5.ไม้ ไขว้ 6. ไม้ ค ํ /าไม้ ก ํ าพั น 7.ไม้ หาบหูก 8.ไม้ ดาบ 9.ไม้ แป้ นกี 10.เชือกเขา 11.แกนม้ วนผ้ า 12.แกนม้ วนด้ ายยืน

รู ปที 13 การคํ านวณลํ าเพือ พั นไหมเข้ากับโฮงค้ นไหม

6.2 การกวั กไหม โดยนําเส้นไหมไปผู กติดโฮงค้ นไหม แล้ วผลั กโฮงขึ นบน เพือให้เส้นไหมแยกกั น ออกเป็ นลํ า ตามจํ านวนลํ าของแต่ละลายทีกํ หา นดไว้

รู ปที 14 โฮงค้ นไหม โดยจะพั น เส้นไหมตามจํ านวนลํ าของ แต่ละลาย


122 การกวั กไหม โดยนําเส้นไหมทีฟอกแล้ วไปใส่กง (อุปกรณ์ทอผ้ าชนิดหนึ ง) จับปลายเส้น ไหมไปผูกติดกับกี (อุปกรณ์ทอผ้ าชนิดหนึ ง) แล้ วกวั กไปเรื อยๆ จนไหมหมด ไหมก็จะมีความยาว เป็ นเส้นเดียวรวมกันอยู่กี ไหมเสร็ จแล้ วก็น ําไหมในกี ไปทํ าการค ้ นไหมเพือทีจะได้ม ั ดเอาลายต่อไป

รู ปที 15 กง ใช้สําหรับ ใส่ใจไหม

รู ปที 16 กี สําหรับ พั นเส้นไหมเพือโยง เส้นไหมไปทีโฮง ค้นไหม

6.3 เมือกวั กไหมเสร็ จแล้ ว นําเชือกฟางมามั ดเป็ นลํ าตามจํ านวนลํ าทีค้ นไหม การค้ นไหม โดยนําปลายเส้นไหมทีอยู่ก ับกี ไปผู กติดกับโฮงค้นไหมแล้ วผลั กโฮง หมุนขึ น บนทํ าเป็ นร้อยๆครั งเพือให้เส้นแยกกันออกเป็ นลํ าทิ งเส้นไหมให้แยกออกในระยะห่างเท่าๆ กัน ทํ าไปเรื อยๆจนครบจํ านวนลํ าทีกํ าหนดทีปลายสุดของโฮงค้นไหมพอสุดปลายโฮงค้นไหมก็ท ํ า เช่นนี แต่ย ้ อนกลั บ จนไหมหมดจากกี จากนั นก็จะเข้าสู่ข ั นตอนเตรี ยมการมั ดหมีต่อไป


123 7. ขั นตอนการมั ดหมี 7.1 นําเชือกฟางมาฉีกเป็ นเส้นเล็กๆ ยาวประมาณ 1 ฟุต หรื อให้ยาวพอดีตามความถนัดของ แต่ละคน นําไปมั ดเส้นไหมทีค้นแยกลํ าไว้กับโฮงค้ นไหมแล้ ว

รู ปที 17 การมั ดเป็ นลํ าด้วย เชือกฟาง

7.2 เมือนําเชือกฟางไปมั ดกับเส้นไหมทีค้ นแยกลํ าไว้ แล้ทว ีโฮงไหม จากนั นมั ดตามลาย ต้นแบบ ส่วนทีถูกเชือกฟางมั ดไว้ จะเป็ นส่วนทีไม่ถูกย้ อมในภายหลั งนั นเอง ขั นตอนนี เรี ยกว่า การ มั ดหมี และเป็ นส่วนทีจะกํ าหนดให้การย้ อมสีให้ตรงกับสีต ้นแบบทีกํ าหนด เช่นลายนกกับต้ นยาง ใหญ่ จะใช้ 5 สี คือสีน ํ าตาล สีฟ้า สีน ํ าเงิน สีขาว และ สีแดงเลือดหมู ก็ต ้องย้ อ5มครั ง ซึ งการย้ อม สีแต่ละครั งจะต้องตัดเอาเชือกฟางตามทีมั ดลายให้ถูกต้อง เมือย้ อมสีตามทีกํ าหนดแล้ ว จึงตัดเชือก ฟางไปทีจะส่วนทีต้องการย้ อมสีในแต่ละครั งซึ งวิธีการนี เรี ยกว่า การโอบสี

รู ปที 18 การมั ดหมีตาม ลายต้นแบบเข้ากับโฮง ไหม ซึ งเป็ นลายผู้ หญิง หาบตะกร้า


124

รู ปที 19 การมั ดหมี ตามลายต้นแบบ ซึ ง เป็ นลายผู้ หญิงหาบ ตะกร้า

รู ปที 20 การมั ดหมีตามลาย ต้นแบบ ซึ งเป็ นลายนกยูงกับ ต้นยาง

รู ปที 21 การมั ดหมีตามลาย ต้นแบบ ซึ งเป็ นลายนกกับ ต้นยางใหญ่


125 7.3 จากนั นเอาไหมทีมั ดหมีเป็ นลวดลายแล้ วออกจากโฮงไหม ไหมทีมั ดลายแล้ วนี เรี ยกว่า ปอยไหม เพือทีจะนําไปย้ อมสีต่อไป 8. ขั นตอนการย้ อมไหม 8.1 วิธีการย้ อมไหมนั นทํ าโดยการนําสีละลายลงไปในนํ าเดือด จากนั นก็น ําเส้นไหมลงไป ต้ม ใช้เวลาประมาณ 1 ชั วโมงถึง 1 ชั วโมงครึ งเพือให้สีติดทนนาน 8.2 นําไหมทีย้ อมแล้ วขึ นมาล้ างกับนํเย็า นสะอาด ก่อนจะนําไปตากแดดหรื อผึ งให้แห้ง ต้องสลั ดเส้นไหมเพือไม่ให้เส้นไหมพั นกันแล้วปิ ดท้ายด้วยการตากให้แห้งสนิท

รู ปที 22 การย้ อมไหมโดย นําไปต้มในนํ าเดือด

รู ปที 23 เมือต้มเสร็ จ นํามา ล้ างนํ าเย็นให้สะอาด


126

รูปที 24 จากนั นนํา ปอยไหมทีย้ อมแล้ ว ไปผึ งแดดตากให้แห้ง

8. 3 เมือปอยไหมทีแห้งสนิทแล้ ว นํามาใส่ ในโฮงไหมอีกครั ง เพือตรวจสอบเส้นไหมทีย้ อม สีแล้ ว หากพบจุดบกพร่ องหรื อมีบางจุดย้ อมไม่ติดบริ เวณใด ก็ท ํ าการแต้มสีด ้วยพู่ก ั นหรื อย้ อมซํ าก็ ได้ ก่อนทีจะนํามากรอใส่หลอดด้ายต่อไป

รู ปที 25 การตั ดเชือกฟาง บางส่วนออก เพือเตรี ยมการ ย้ อมสีอืนๆ ตามลายต้นแบบ

รู ปที 26 ลายผู้ หญิงหาบตะกร้า ซึ ง มั ดย้ อม3 ครั งแล้ ว


127 การแก้ไหมทีมั ดลาย โดยการตรึ งไหมทั งสองข้างไว้ ก ับฮโงไหม ใช้มือข้างใดข้างหนึ งตาม ความถนัดดึงเชือกฟางขึ นแล้ วใช้มีดตัดฟางเสร็ จแล้ วก็น ําไหมทีตัดฟางออกแล้ วมาตกแต่งสี เพิ มเติม ก่อนทีจะนําไปกรอใส่หลอด แล้ วนําไปทอเป็นผืนต่อไป

รู ปที 28

รู ปที 27-28 การแต้มสี ในส่วนทีสีย ้ อมลงไป ไม่ถึงเนื อเส้นไหม

รู ปที 27

8.4 การกรอด้าย โดยนําเส้นไหมหลากสีทีแห้งสนิทแล้ วนํ ามากรอใส่หลอดด้ายเพือ นําไปใช้ทอเป็ นผืนด้วยเเรงงานคนต่อไป

2

3

1

รู ปที 29 การกรอเส้นไหมใส่ หลอดด้าย 1. ไน/หลา 2. กง 3. ตีนกง


128 วิธีการกรอไหมใส่หลอด โดยการนําไหมใส่กงจับเส้นไหมทีปลายของเส้นไหมพั นกับ หลอดแล้ วนําไปเสียบกับเหล็กปลายแหลมของหลา(อุปกรณ์ทอผ้ าชนิดหนึ ง) ปั นเส้นไหมเข้าใน หลอดจนพอดี นําออกมาจากหลาร้อยใส่เชือกฟางไว้ ทํ าจนไหมหมดจากกงก็จะได้หลอดไหม หลายๆหลอดร้อยเรี ยงกัน เตรี ยมนําไปทอเป็ นผืนผ้ าต่อไป

รู ปที 30 เส้นไหมทีกรอเก็บ เป็ นหลอดไว้

รู ปที 31 ไหมทีกรอแล้ ว นํามาใส่กระสวยเพือ นําไปใช้ทอต่อไป

9. ขั นตอนการสืบหูก 9.1 การเรี ยงไหมเครื อหรื อไหมสีพื น โดยใช้อุปกรณ์สืบไหมซึ งมีเส้นด้ายอยู่จ ํ านวนหนึ ง แล้ ว โดยนําไหมเครื อ(หมายถึงไหมยืนหรื อไหมสีพื น) นําไปขึงไว้ ด ้านบนให้เส้นไหมทอดลงมาสู่ ด้านล่าง เพือจะทํ าการมั ดทีละเส้นร่ วมกับอุปกรณ์สืบไหม ทั งนีใช้ไม้กระดูกงู (อุปกรณ์ทอผ้ าชนิด


129 หนึ งมีล ั กษณะเป็ นไม้ แบนๆ) สอดคั นไว้ 2 อั น คือด้านบนและด้านล่าง ทีใช้สอดไม้ไขว้ระหว่าง เส้นด้ายแต่ละเส้นเพือไม่ให้พ ั นติดกัน 9.2 ผูกเส้นด้ายแต่ละเส้นเข้ากับด้ายยืนแล้ วมั ดให้แน่นไปจนหมดเส้นไหมไปทีละเส้น โดย การผูกติดกับกกหูก( กกหูก คือ ปมผ้ าไหมเดิมทีทอติดไว้ ก ั บฟื มโดยไม่ต ัดออกเพือทีจะต่อเครื อหูก ไว้สําหรับทอในครั งต่อไป) เมือค้นเสร็ จแล้ วก็น ํามาสืบ(การสืบหมายถึงการนําไหมทางเครื อทีค้นไว้ มาผูกกับไหมทีติด อยู่ก ับฟื ม) เพือจะนําสู่กระบวนการทอต่อไป

รู ปที 32 การสืบไหมเครื อ (ไหมยืน) ซึ งเป็ นไหมเครื อดํ า (หรื อพื นดํ า)โดยต้องมั ดทีละ เส้นไปจนหมด

รู ปที 33 การสืบไหมมั ดหมี (ไหมเครื อครี ม หรื อพื นสีครี ม)


130 10. ขั นตอนเตรี ยมการทอไหม 10.1 นําไหมเครื อ (ไหมเส้นยืน /ไหมสีพื น) ทีย้ อมเสร็ จแล้ วมาต่อเข้ากับฟื ม 10.2 การดึงไหมเครื อหรื อไหมเส้นยืน (ส่วนใหญ่จะย้ อมเป็ นพื นสีด ํ า หรื อสีพื นเดียวกันกับ ไหมมั ดหมีก็ได้ ) แล้ วดึงให้ตึงเข้ากับกีทอผ้ า

รู ปที 34 การต่อเส้นไหมเข้ากับ ฟื ม ต้องทํ าทั งไหมเครื อ (ไหมสี พื น)

รู ปที 35 การเตรี ยมเส้น ไหมทางยืนเพือเตรี ยมการ ทอ

วิธีการทอไหม โดยการนําเส้นไหมพุ่ง (หรื อไหมมั ดหมี) นํ ามากรอใส่หลอด แล้ วใส่ กระสวยเพือใช้ทอเป็ นลวดลายทีมั ดหมี การทอจะใช้เท้าเหยียบหูกสลั บกันเพือให้เส้นไหมทางยืน และไหมพุ่งทอขัดกัน เส้นไหมพุ่ง หมายถึง เส้นด้ายทีใช้สําหรับพุ่งไปมา สลั บกับเส้นยืน เพือให้ข ัดกันเป็ นผืนผ้ า ด้ายเส้นพุ่งนี มั กพั นหรื อม้ วนอยู่ในหลอด บรรจุใกนระสวย เพือความสะดวกในการสอดหรื อพุ่งด้าย ซึ งต้องใช้แรงพุ่งให้ผ่านไปสุดของแต่ละด้าน


131

รู ปที 36 การดึงเส้นไหมยืน

รู ปที 37 การดึงเส้นไหมทาง ยืนให้ตงึ และสางไหมไม่ให้ พั นกัน

รู ปที 38 บรรยากาศ การอบรมปฏิบัติการ ทอผ้ าไหม


132

รู ปที 39 การทอผ้ าไหม ลายฮูปแต้ม

ด้ายเส้นพุ่งนีมีความสําคัญในการทอผ้ าเป็ นอย่างมาก โดยเฉพาะการทอผ้ าไหมมั ดหมีทีมี รายละเอียดของลวดลายต่าง ๆ มาก เนืองจากเส้นพุ่งจะเป็ นตัวกํ าหนดลั กษณะลวดลาย ความ สวยงาม ความแน่น และความประณี ตของเนื อผ้ า หากการจัดเส้นพุ่งไม่ถูกต้อง ลวดลายของผ้ า มั ดหมีอาจจะไม่ปรากฏเป็ นลายเลยก็ได้ หรื อไม่เป็ นไปตามลวดลายทีมั ดหมีไว้

รู ปที 40 ผ้ าไหมมั ดหมี ลายผู้ หญิงหาบตะกร้า

รู ปที 41 ผ้ าไหมมั ดหมี ลายกระถางต้นไม้


133 11. ผลงาน

รู ปที 42 ลายนกยูง

12. การประเมิ รู ปที น44ผลลายนกกับต้นยางใหญ่

รู ปที 43 ลายผู้ หญิงหาบตะกร้า

รู ปที 45 ลายคนไถนา

รู ปที 46 การประเมินผล ร่ วมกับกลุ่มทอผ้ า


134

รู ปที 47 อ.สรัญญา ภักดี สุวรรณ อบรมเพิ มเติม เกียวกับเทคนิคการ ออกแบบ การใช้สี และ ความต้องการของตลาด ผ้ า แก่กลุ่มทอผ้ าไหม

รู ปที 48 ผลงานทั งหมด

13. สรุ ปปัญหาและข้อเสนอแนะ 13.1 เรื องของการผสมสี กลุ่มทอผ้ าไหมยั งไม่เคยผสมสี แบบดั งเดิมมาก่อน โดยเฉพาะ กลุ่มสีจากฮูปแต้ม ซึ งมีเพียง 4 สีหลั กเท่านั น คือกลุ่มสี เหลืองอ่อน กลุ่มสี ฟ้าอมนํ าเงิน ลกุ่มสี เขียว และกลุ่มสีน ํ าตาล โดยต้องฝึ กเทคนิคการผสมสีให้ตรงกับสีจากภาพบนฝาผนังโบสถ์ให้ได้ นับว่า เป็ นเรื องที ยาก และเป็ นประสบการณ์ ครั งแรกของกลุ่มทอผ้ าไหม รวมทั งวิทยากรด้ว ยเช่ น กัน อย่างไรก็ตาม ก็ถือว่าเป็ นการวิจ ัยปฏิบัติการนําร่ อง เพือค้นหาความเป็ นไปได้ในการทอผ้ าไหมลาย ฮูปแต้มร่ วมกัน 13.2 เรื องลวดลายใหม่ๆ ถือว่าเป็ นการบุกเบิกลายผ้ าไหมขึ นมาใหม่ โดยใช้ภูมิปัญญาด้าน การทอผ้ าของกลุ่มขึ นเอง เพราะทางกลุ่มยั งไม่เคยคิดประดิษฐ์หรื อประยุกต์ลวดลายอั นเกิดจาก ฮูปแต้มขึ นมาก่อนเลย การอบรมครั งนี จึงถือว่าเป็ นครังแรกทีได้ท ําการทดลองประดิษฐ์ลวดลาย ใหม่ๆร่ วมกัน


135 13.3 เรื องของการตลาด เนื องจากทางกลุ่มทอผ้ าไหมกลุ่มนี มีฝีมือดีเยียมอยู่แล้ว แต่ติด ปัญหาตรงการทํ าการตลาดซึ งเป็ นปั ญหาสําคัญของกลุ่ม กล่าวคือต่างคนต่างทอขายกันเอง ยั งไม่ สามารถรวมกลุ่มกันขาย หรื อต่อรองราคาในตลาดได้ ดังนั นการกระตุ ้นให้เกิดผลงานผลิตใหม่ๆ เกิดขึ นจึงเป็ นการเปิ ดตลาดให้ขยายกว้ างออกไป โดยทางกลุ่มก็จะพยายามจัดตั งกลุ่มทอผ้ าไหมขึ น อย่างเป็ นรู ปธรรมต่อไปในอนาคต 13.4 จุดอ่อนของกลุ่มทอผ้ า คือ การรับจ้างมั ดหมี ทั งๆทีส่ วนใหญ่มีฝีมือในการทออย่างดี เยียม ต่อไปต้องทํ าให้เป็ นผลงานของตัวเอง แล้ วจัดตั งเป็ นกลุ่มขึ นในอนาคตได้ ถ้ าหากจะรับจ้างทํา อย่างเดียวนั น กลุ่มเองก็จะไม่มีผลงานเป็ นของตัวเอง เกิดข้อเสียเปรี ยบในการทํ าตลาด 13.5 เรื องการประยุกต์ ไม่ว่าจะเป็ นเรื องการไล่ระดับสี หรื อการทอผสมผสานระหว่าง ไหมกับฝ้ ายก็สามารถทํ าได้ เช่น ใช้ไหมเป็ นเส้นยืนแล้ วเอาฝ้ ายเป็ นเส้นทอ ทํ าการทดลองไป หลายๆ แบบ ก็จะสามารถเรี ยนรู้การประยุกต์ลวดลายต่างๆ ออกมา ทั งนี อาจจะคัดเลือกลาย บางส่วนของฮูปแต้มมาใช้ได้โดยทีไม่ต ้องคั ดลอกลายมาทั งหมด ถ้ าหากต้องการเพิ มมูลค่าของผ้ า ไหมให้มรี าคาสูงกว่าทีอืนๆ ก็ต ้องมีการประยุกต์และพั ฒนาทั งเรื องลาย และสี ไปด้วย แล้ วก็ศึกษา กลุ่มเป้ าหมายว่าใครคือผู้ บริ โภค 13.6 การทดสอบความต้องการของตลาด ในครั งแรกอาจจะทอไปขายทีงานฉลองพระธาตุ นาดูนก็ได้ เมือได้รับคํ าติชมจากลูกค้า ก็น ํามาใช้เป็ นแนวทางการพันฒาสินค้าให้มีประสิทธิภาพ มากยิ งขึ นต่อไป โดยทั งนี ให้จดบันทึกข้อเสนอแนะไว้ ทุกครั ง แล้ วแนวทางหนึ งทีจะให้เกิดความ ยั งยืน คือต้องหาลวดลายทีเป็ นเอกลั กษณ์ของตัวเองให้พบ แล้ วพั ฒนาฝี มือไปเรื อยๆ ซึ งลายจาก ฮูปแต้มทีอยู่ในสิม ถือได้เลยว่าเป็ นลายเอกลั กษณ์ซงไม่ ึ มีทีไหน แล้ วไม่มีใครเลียนแบบได้ ถือว่าที บ้านดงบังแห่งนี เป็ นหมู่บ้านเดียวทีสามารถทอผ้ าไหมลายฮูปแต้มได้เป็ นแห่งเดียวในโลก 13.7 การอบรมปฏิบัติการเป็ นเพียงเน้นวิธีการสอนเท่านั น ผลงานทีออกมาอาจจะสวย หรื อไม่สวยอย่างทีเห็นก็ถือว่าเป็ นเรื องปกติ เพราะกลุ่มทอผ้ าไหมได้บุกเบิกและได้ทดลองการทอ ผ้ าไหมแบบใหม่ๆ ซึ งเป็ นการนําเอาเอกลั กษณ์เด่นจากฮูปแต้ม ซึ งบรรพบุรุษได้เก็บไว้ ให้ลูกหลาน สืบมาทุกวั นนี ให้ใช้เป็ นมรดกได้ท ํ ามาหากินต่อไป แล้ วก็ย ั งถือว่าเป็ นผลงานทีแสดงถึงเอกลั กษณ์ ของหมู่บ้านด้วย 13.8 เรื องลายผ้ าและสี นั น ในภาพรวมพบว่า ลวดลายผ้ าทีทอเสร็ จแล้ ว บางชิ นมองแล้ ว สวยงาม เพราะเป็ นลายทีมีจุดเด่นเพียงตํ าแหน่งเดียว ดังนั นการคิดทีจะทอด้วยลวดลายอะไรต่อไป ต้องคิดต่อไปอีกว่า จะให้เป็ นผลิตภัณฑ์อะไร ถ้ าสมมุติว่าจะใช้ก ับหมอนหนุน ภาพก็จะต้องเป็ น ลายทีใหญ่ขึ นไปอีก เพราะมองใกล้ แล้ วเห็นชัดดี แต่ถ ้ าหากนํามาตั ดเป็ นเสื อผ้ า อาจจะเป็ นลายที ไม่โดดเด่นนัก เพราะผ้ าไหมจะมีความมั นวาว ซึ งเป็ นลั กษณะเด่นในตั วผ้ าอยู่แล้ ว อีกทั งยั งมีราคา แพงด้วย ทีสําคัญคือมีอายุการใช้งานนาน สวมใส่ตามโอกาสสําคัญๆเท่านั นเอง ฉะนั นลวดลาย


136 ต่างๆต้องไม่โดดเด่นเกินไป เพราะว่าหากเป็ นลายโดดเด่นมากๆ คนทีเห็นจะจํ าได้ แล้ วก็ท ํ าให้ เบือทีจะสวมใส่ ข้ อเสนอแนะของลายต่างๆ ผ้าไหมลายนกยุง (เครือดํา หรือพื นดํา) ลายนกยูงเป็ นลายทีเหมาะสมสําหรับตัดเสื อผ้ าได้ ใส่ ได้นาน ดูแล้วไม่เบือง่าย แต่อาจจะ ต้องลดลายเชิงผ้ าลงให้มีขนาดเล็กกว่านี หรื อเชิงผ้ าอาจจะเป็ นลายอืนก็ได้ เพราะจะไปข่มลายหลั ก คือนกยูงให้ลดความโดดเด่นลง มีหลั กการง่ายๆ คือพยายามอย่าให้ลายเชิงเด่นกว่าลายหลั ก ผ้าไหมลายกระถางต้นไม้ ลายกระถางควรจะเป็ นกระถางใบใหญ่อ ั นเดียวอยู่ระหว่างใบเล็ก2 ใบ เพราะเกิดความ เข้าใจคลาดเคลือนตรงกระบวนการมั ดหมี สิ งทีสังเกตได้ คือกระถางใหญ่คู่ก ันนั นดูแล้ วไม่สวย เพราะหาจุดเด่นไม่ได้ ส่วนขีดด้านล่าง 2 ขีด พบว่าเป็ นสีทีโดดเด่นเกินไปมีความเข้มมากไปจึงไป คุมลายกระถางให้ลดความโดดเด่นลง แต่อย่างไรก็ตามจังหวะของแถบสีขีดนั นเป็ นเส้นทีมีความ สวยงาม ลายผู ้หญิงหาบตะกร้ า ลายผู้ หญิงหาบตะกร้านี ถือว่าเป็ นลายทีดูแล้ วสวยงาม แม้ ว่าคนจะดูผอมไปหน่อยก็ตาม ความผิดพลาดเล็กๆ น้อยไม่ว่าจะเป็ นสี หรื อข้อจํ ากัดของลาย ถือว่าเป็ นจุดเริ มต้นทีดี เพราะเป็ นการ คิดริ เริ มทีทํ าอะไรทีเป็ นของตัวเอง ทีสําคัญคือต้องเก็บสูตรการผสมสีให้ได้ตามสีแบบดั งเดิมไว้ เพราะเรื องเทคนิควิธีต ้องมีการเรี ยนรู้และประยุกต์เป็ น ลวดลายกับสีบางทีต ้องออกแบบให้ไป ด้วยกั น มีจ ังหวะของลวดลายทีพอดี แล้ วความงามก็จะเกิดขึ นได้ ท้ายทีสุดลายนี ไม่เด่นชัด เพราะ มีความกลมกลืนไปกับสีพื น ถ้ าหากเพิ มสีน ํ าตาลเข้มขึ นอีกนิดในส่วนทีเป็ นลายทั งหมด จะทํ าให้ ภาพโดดเด่นขึ นมา กลุ่มสีน ํ าตาลเป็ นกลุ่มสีทีเหมาะกับลายนี ตรงผมจะย้ อมสีน ํ าตาลเข้มแทนสีเทา ได้ โดยทั วไปการใช้สีของผ้ าลายนี เป็ นสีทีดูแล้ วสบายตา แม้ ว่าลายจะดูกลมกลืนกั นไปกัผืบนผ้ าก็ ตาม ส่วนสีต ้นไม้ เป็ นสีเขียวอมฟ้ า อาจจะเพิ มให้เป็ นสีน ํ าเงินคราม เพิ มกลุ่มสีน ํ าตาล ลงไปจะทํ า ให้ต ้นไม้ ดูเด่นขึ นมาได้ ลายคนไถนา ลายนี เป็ นลายทีดูแล้ วมีรายละเอียดมาก จนบางทีให้ความรู้สึกสงสัยว่าเป็ นลายอะไร ต้อง พิจารณาดูใกล้ ๆ จึงจะรู้ แต่นีก็คือเสน่ห์ของลายนี เช่นกัน ในภาพรวมเรื องการใช้สี ก็ย ั งคงเป็ น ปัญหาเหมือนกันกับลายอืนๆ คือสีค่อนข้างกลมกลืนกับผืนผ้ า จึงทํ าให้ลายไม่โดดเด่น สิ งทีเห็นได้ ชัดคือ ลายต้นไม้ และควาย จะเห็นลั กษณะท่าทางทีชัดเจน จังหวะของภาพจัดระเบียบได้ดี


137

5.4. การอบรมมัคคุเทศก์ รักษ์ แหล่ งโบราณสถานศิลปกรรมท้ องถิน ความเป็ นมา ปัจจุบันกระแสการตืนตั วเรืองท้องถิ นมาแรง โดยเฉพาะอย่างยิ งถ้ าหากชุมชนใดมีแหล่ง ศิลปกรรมทีมีคุณค่าอยู่ด ้ วยแล้ ว ก็ยิ งเพิ มศั กยภาพแก่ชุมชนทีพร้อมจะพั ฒนาในทิศทางต่างๆ ได้มาก ขึ นตามไปด้วย นับได้ว่ามีของดีอยูคู่ ชุมชนนั นเอง ดังทีตํ าบลดงบัง อํ าเภอนาดูน จังหวั ด มหาสารคามนั น มีแหล่งศิลปกรรมท้องถิ นทีเป็ นวั ดสําคัญอยู2่ แห่งด้วยกัน คือ วั ดโพธาราม และ วั ดป่ าเรไร ซึ งมีอุโบสถ(ชาวอีสานเรี ยกว่า สิม) มีภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณหรื อฮูปแต้ม มีอายุ มากกว่าร้อยปี เขียนโดยช่างฝี มือท้องถิ น ทียั งเหลืออยู่ กิจกรรมการอบรมมั คคุเทศก์ท้องถิ นให้แก่เด็ก เยาวชน และประชาชนของตํ าบลดงบัง นี เป็ นกิจกรรมทีกระตุ ้นให้เยาวชนและชุมชนเกิดสํานึกรักท้องถิ นผ่านแหล่งโบราณสถาน ศิลปกรรมดังกล่าว อีกทั งเพือสามารถนําความรู้เกียวกับท้ องถิ นมาผสมผสานกับแนวคิดการ ท่องเทียว และการเป็ นมั คคุเทศก์ อั นได้แก่ความรู้ทางประวั ติศาสตร์ชุมชน ประวั ติสิม วั ด วิถีชีวิต สภาพเศรษฐกิจสังคมทั งในอดีตและปัจจุบั น เป็ นต้ น การอบรมมั คคุเทศก์ท้องถิ นนี เป็ นกิจกรรมทีชุมชนสามรรถลงมือปฏิบัตไิ ด้จริ ง โดยเฉพาะ ในฐานะเป็ นเจ้าของบ้านเพือให้บริ การข้อมูลท้องถิ นแก่นักท่องเทียวได้ โดย การกระตุ ้ นให้ชุมชน ให้มีความรู้ในเรื องราวของท้องถิ นของตนควบคู่ไปกับการเป็ นมั คคุเทศก์ท้องถิ นทีดีไปด้วยกั นนั น ก็ยิ งเป็ นการตอกยํ าศั กยภาพและคุณค่าความเป็ นท้องถิ นนิยมให้มากขึ นไปอีกไปด้วย ยเฉพาะ โด ในยุคปัจจุบั นนี ท้องถิ นได้รับผลกระทบทางลบจากภายนอกมากมายโดยเฉพาะกระแสบริ โภคนิยม เป็ นสิ งทีกระตุ ้นปลุกเร้าให้ชุมชนหลงลืมและมองไม่เห็นคุณค่าของท้องถิ น และก่อนทีจะเหตุการณ์ ดังกล่าวจะขยายตัวไปมากกว่านี การจั ดกิจกรรมการอบรมการเป็ นมั คคุเทศก์ท้องถินจึงเป็ น แนวทางหนึ งทีเปิ ดโอกาสให้ชุมชนได้หันมามองศั กยภาพของตนเอง ด้วยการการเพิ มทักษะการพูด การฟัง การบรรยาย ในเนื อหาสาระของท้องถิ นในแง่มุมต่างๆ เพือตอกยํ าให้เกิดความภาคภูมิใจ แก่ตนเองและสามารถถ่ายทอดความรู้ไปยั งบุคคลอืนให้รับรู้และเข้าใจได้ อั นเป็ นพื นฐานการเป็ น มั คคุเทศก์ท้องถิ นทีดีในอนาคตต่อไป และยั งเป็ นแนวทางให้เยาวชนได้รู้จ ั กวิชาชีพการท่องเทียว อีกด้วย ดังนั น การอบรมมั คคุเทศก์จึงเป็ นแนวทางหนึ งทีจะเสริ มสร้างความเข้มแข็งให้ก ับชุมชน และเป็ นการดึงเยาวชนและชุมชน ได้หันหน้ามาสู่ความภาคภูมิใจในคุณค่าของรากเหง้าความดีงาม ของท้องถิ นได้เพือการพั ฒนาทียั งยืนต่อไป


138 การดําเนินการ

รู ปที 1 ประชุมและชี แจง กิจกรรมร่ วมกับโรงเรี ยน ดงบังพิสัยนวการนุสรณ์

รู ปที 2 นักเรี ยนโรงเรี ยน ดงบังพิสัยนวการนุสรณ์ และชาวบ้าน เข้ารับการ อบรม

รู ปที 3 ผู้ เข้าอบรม


139 พระราชบัญญัติ ธุรกิจนําเทียวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551 มีผลบังคับใช้ เมือ 7 เมษายน 2551 “มัคคุเทศก์” หมายความว่า ผู้ ให้บริ การเป็ นปกติธุระในการนํานักท่องเทียวไปยั งสถานที ต่าง ๆ โดยให้บริ การเกียวกับคํ าแนะนําและความรู้ด ้านต่าง ๆ แก่นักท่องเทียว o มาตรา ๔๙ ผู้ ใดประสงค์จะเป็ นมั คคุเทศก์ให้ยืนคํ าขอรับใบอนุญาตเป็ นมั คคุเทศก์จากนาย ทะเบียน การขอรับใบอนุญาต การออกใบอนุญาต การต่ออายุใบอนุญาต และการออกใบ แทน ใบอนุญาต ให้เป็ นไปตามหลั กเกณฑ์และวิธีการทีกํ าหนดในกฎกระทรวง ความในมาตรานี มิให้ใช้บังคับแก่เจ้าหน้าทีหรื อพนักงานของส่วนราชการหรื อหน่วยงาน ของรัฐทีปฏิบัติหน้าทีเป็ นครั งคราวทํ านองเดียวกับมั คคุเทศก์หรื อนักเรี ยนนักศึกษาซึ งมี หนังสือรับรองจากสถานศึกษา 1. บทบาทหน้ าทีและความรับผิดชอบของมัคคุเทศก์ มั คคุเทศก์เป็ นคํ าสมาสของคํ าว่า มคคุ(ทาง) กับ อุทเทศก (ผู้ ชี นํ)า แปลตามศั พท์ว่า ผู้ น ํา ทาง หมายถึงผู้ ท ํ าหน้าทีนําชมสถานทีต่าง ๆ ส่วนTour Leader ใช้ก ับผู้ ทีคอยอํ านวยความสะดวก แก่นักท่องเทียวในด้านการนําเทียว การพั กแรมและการเดินทาง ปัจจุบันคํ าทั งสองใช้แทนกันได้ เนืองจากมั คคุเทศก์ในปัจจุบันทํ าหน้าทีเป็ นผู้ ทีนําเทียวและอํ านวยความสะดวกแก่นักท่องเทียวใน ด้านการพั กแรม อาหาร และการเดินทาง โดยทั วไปประกอบด้วย 1.1 อํ านวยความสะดวกในการเดินทางให้แก่นักท่องเทียวทีอยู่ในความดูแล 1.2 อธิบายนําชมสถานทีท่องเทียวต่างๆ ให้ความรู้ด ้านประวั ติศาสตร์ วั ฒนธรรม ประเพณี ของท้องถิ นสอดแทรกไว้ ด ้ วย 1.3 ดูแลความปลอดภัยและสวั สดิภาพของนักท่องเทียวระหว่างการเดินทาง ส่ วน มัคคุเทศก์ท้องถิน หรืออาสาสมัครนําเทียว คือ บุคคลหรื อเยาวชนในท้องถิ นทีได้รับ ฝึ กอบรมการเป็ นเจ้าบ้านทีดีเพือทํ างานส่งเสริ มการท่องเทียวในท่องถิ น ซึ งจะเป็ นผู้ ให้ข ้อมูลหรื อ ต้อนรับนักท่องเทียว ถือเป็ นตัวแทนของท้องถิ น 2. การต้อนรับนักท่องเทียว -คือการบริ การนักท่องเทียวให้เกิดความพึงพอใจ และอยากทีจะเดินทางกลั บมาเทียวอีก -คือการเป็ นเจ้าบ้านทีดี - เป็ นด่านแรกของการทํ าการตลาด สินค้าจะเป็ นทีประทับใจหรื อไม่ การต้อนรับทีดี เท่ากับสําเร็ จไปแล้ วกว่าครึ ง


140 3.1 หลั กในการให้การต้อนรับมีด ังนี o การสร้างความเป็ นมิตร o การให้ความสะดวกสบาย o การให้ข ้อมูลข่าวสาร o การบริ การตามคํ าร้องขอ o ให้ความช่วยเหลือตามควร 3.2 การเป็ นเจ้าบ้านทีดี ซึ งประกอบด้วย o บุคลิกภาพ (Personality) o ความรู้ (Knowledge) o ทักษะ (Skills) o ทัศนคติ (Attitude) 3.3 ความสามารถในการเป็ นมั คคุเทศก์ มีดังนี o ความสามารถด้านภาษา o ความสามารถด้านวิชาการ o ความสามารถด้านการนําเทียว o ความสามารถด้านการแก้ปัญหา

รู ปที 4 คุณบุหลั น บุญผั น วิทยากรจากการท่องเทียว แห่งประเทศไทย สํานักงานขอนแก่น

3. ประโยชน์ ของมัคคุเทศก์ 1) ทํ าให้นักท่องเทียว ท่องเทียวได้ทั วถึงมากกว่า ไม่ละเลยสิ งทีสําคัญ ๆ 2) เข้าใจเรื องราว ความเป็ นมา ประวั ติศาสตร์ได้ถูกต้องมากกว่า 3) คํ านวณระยะเวลาทีจะใช้ในการท่องเทียวได้แน่นอน 4) ได้รับความสะดวกสบายและท่องเทียวด้วยความปลอดภัยมากกว่า


141 5) ได้รับความรู้ ความสนุกสนานและความเพลิดเพลินในการท่องเทียวมากกว่า 6) ประหยั ดงบประมาณในการท่องเทียวได้มากกว่า 7) ไม่ต ้องผจญภัยกับปัญหาต่าง ๆ เช่นการสือสารทํ าความเข้าใจ

รู ปที 5 คุณ พงษ์พ ั นธุ์ จั นทร์สุกรี วิทยากรจากสมาคมมั คคุเทศก์ อาชีพ ให้ความรู้เกียวกับการเป็ น ไกด์ท้องถินแก่ผู้ เข้าอบรม

4. ความรับผิดชอบของมัคคุเทศก์ต่อนักท่ องเทียว 1) นํ าเข้ าสู่ แหล่งท่องเทียวตามวัน เวลา และเส้นทางทีกํ าหนดไว้ ในรายการ 2) อธิบายให้ทราบถึงภูมิประเทศ ชุมชน หรื อบ้ านเมืองทีเดินทางผ่านไป 3) เมือก่อนเข้ าถึงแหล่งท่องเทียวเล็กน้อย มั คคุเทศก์เป็ นผู ้ แจ้ งให้แขกทราบเพือการเตรี ยมตั ว อธิบายถึงกฎระเบียบต่างๆ ทีพึงปฏิบัติและสิ งทีควรละเว้ น 4) เมือเข้ าถึงภายในบริ เวณแล้ ว มั คคุเทศก์ จะเป็ นผู ้ อธิบายเรื องราว ประวั ติสถานทีแนะนํ าทั วร์ พิเศษนอกรายการทีมีคุณค่าน่ารู้น่าชมของท้องถิ นหากเวลาอํ านวย 5) หากโอกาสอํ านวย มั คคุเทศก์ควรเป็ นผู ้ ประสานสัมพั นธ์ให้นักท่องเทียวและผู ้ คนใน ท้องถิน 6) มั คคุเทศก์เป็ นผู ้ คอยดูแลให้นักท่องเทียวของตนระมั ดระวั งระบบนิ เวศการท่องเทียว 7) มั คคุเทศก์เป็ นผู ้ บอกให้แขกรู ้ต ั วเสมอตามจั งหวะเวลาทีเหมาะควร 8) มั คคุเทศก์ ย่อมเป็ นผู ้ ส ํ าเหนี ยกถึงอุปสรรคปั ญหาทั งอั นตรายทีอาจเกิดขึ นได้ ในขณะ เดินทางหรื ออยู่ในทีพั ก 9) ก่อนออกทํ าทัวร์ ในวั นต่อไป มั คคุเทศก์ควรอธิบายให้แขกรู ้ว่าพรุ่ งนี เราจะไปไหน 10) ในบางคราวควรปล่อยให้เป็ นอิสระ เพือให้ท ํ าอะไรได้ เองบ้ างตามสมควร 11) มั คคุเทศก์เป็ นทีพึ งพาสํ าหรับทุกคนในคณะโดยเท่าเทียมกั น 12) การเดินทางท่องเทียวร่ วมกั นเป็ นหมู่คณะต้ องสร้างความคุ ้ นเคย 13) มั คคุเทศก์เป็นผู ้ น ํ าให้เกิดนั นทนาการของหมู่คณะ


142 5. จรรยาบรรณมัคคุเทศก์ 5.1 ความหมาย “จรรยาบรรณ” หมายถึง หลั กความประพฤติอ ั นเหมาะสม แสดงถึงคุณธรรม และ จริ ยธรรมในการประกอบอาชีพ ทีกลุ่มบุคคลแต่ละสาขาวิชาชีพประมวลขึ นไว้ เป็ นหลั กปฏิบัติ เพือให้สมาชิกในสาขาวิชาชีพนันๆยึดถือปฏิบัติ เพือรักษาชือเสียงและส่งเสริ ม เกียรติคุณของสาขา วิชาชีพของตน “จรรยาบรรณ” ประมวลความประพฤติทีผู้ ประกอบการงานแต่ละอย่างกํ าหนดขึ นเพือ รักษาและส่งเสริ มเกียรติคุณ ชือเสียง และฐานะของสมาชิก อาจเขียนเป็ นลายลั กษณ์อ ั กษรหรื อไม่ ก็ได้ 5.2 หลั กจรรยาบรรณ 1) เทิดทูนชาติ ศาสนา พระมหากษั ตริ ย ์ ด้ วยความบริ สุทธิ ใจ 2) เลือมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตย 3) ยึดมั นในศาสนาทีตนนับถือไม่ลบหลู่ดูหมิ นศาสนาอืน 4) มีความรับผิดชอบและตั งใจปฏิบ ั ติหน้าทีของตนตามทีได้ รับมอบหมาย ด้ วยความเสี ยสละ และอุทิศเวลาของตน โดยคํ านึงถึงผลประโยชน์ของนักท่องเทียวเป็ นสําคัญ จะละทิ งหรื อ ทอดทิ งหน้าทีการงานมิได้ 5) รักษาชือเสี ยงของตน โดยการปฏิบ ั ติหน้าทีด้ วยความซือสัตย์ สุจริ ต และไม่แสวงหา ประโยชน์โดยมิชอบ หรื อปฏิบัติตนอั นเป็ นการฝ่ าฝื นต่อศีลธรรมอั นดี หรื อเป็ นการเสือม เสียต่อศั กดิ ศรีและเกียรติคุณของวิชาชีพมั คคุเทศก์ 6) พึงมีท ั ศนคติทีดี พั ฒนาตนเองให้มีคุณภาพ คุณวุฒิ คุณธรรม และทั กษะในการปฏิบ ั ติงาน ในวิชาชีพมั คคุเทศก์ 7) พึงเป็ นแบบอย่างในการอนุ รักษ์ทรัพยากรการท่องเทียวให้ ย ั งยืนทั งทางธรรมชาติ สิ งแวดล้ อม และศิลปวั ฒนธรรม 8) ถือปฏิบ ั ติตามคํ าสั ง กฎระเบียบแบบแผน ขนบธรรมเนี ยมประเพณี อ ั นดีงามของสถานที ท่องเทียวทุกแห่ง ตลอดจนการปฏิบัติตนตามกฎหมาย และระเบียบของทางราชการ 9) ประพฤติตนด้ วยความสุ ภาพ รู ้รักสามั คคีต่อผู ้ ร่วมวิชาชีพอุตสาหกรรมการท่องเทียว 6. การท่ องเทียวเชิงวัฒนธรรม การท่องเทียวเชิงวั ฒนธรรม คือ การท่องเทียวเพือชมสิ งทีแสดงความเป็ นวัฒนธรรม เช่น ปราสาท พระราชวั ง วั ด โบราณสถาน โบราณวั ตถุ ประเพณี วิถีการดํ าเนินชีวิต ศิลปะทุก แขนง และสิ งต่างๆ ทีแสดงถึงความเจริ ญรุ่ งเรื องทีมีการพั ฒนาให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้ อม


143 การดํ าเนินชีวิตของบุคคลในแต่ละยุคสมั ย ผู้ ท่องเทียวจะได้รับทราบประวั ติความเป็ นมา ความ เชือ มุมมองความคิด ความศรัทธา ความนิยมของบุคคลในอดีตทีถ่ายทอดมาถึงคนรุ่ นปัจจุบัน ผ่านสิ งเหล่านี (รู ปที 6)

ด้ านพื นที ทรัพยากรทีเกียวเนือง กับวัฒนธรรมและ ภูมิปัญญาท้ องถิน

ด้ านองค์ กร ท้ องถินและพหุภาคี จัดการท่ องเทียวใน พื นที

รู ปแบบการ ท่ องเทียวเชิง วัฒนธรรม

ด้ านการจัดการ มีมรดกทาง วัฒนธรรมทียังยืน

ด้านกิ จกรรม รู ปแบบและกิ จกรรม เป็ นวั ฒนธรรมและ สิ งแวดล้อมศึกษา

รู ปที 6 รู ปแบบการท่องเทียวเชิงวัฒนธรรม 7. รูปแบบการท่ องเทียวเชิงวัฒนธรรม 1) นักท่องเทียวเชิงวัฒนธรรมและประเพณี กลุ่มบุคคลทีมีความสนใจอยากดู อยากเห็นงานประเพณี พิธีกรรม ความเชือ ความศรัทธา ในวั ฒนธรรมต่าง ๆ ชืนชมต่อศิลปหัตถกรรมและสุนทรี ยภาพในท้องถิ น มีความรับผิดชอบและ จิตสํานึกต่อการรักษามรดกทางวัฒนธรรมและสิ งแวดล้ อม


144 2) การท่ องเทียวชมงานวัฒนธรรมและประเพณี การเดินทางท่องเทียวเพือชมงานประเพณี ต่างๆชาวบ้านในท้องถิ นนั นๆ จัดขึ น ได้ รับความ เพลิดเพลินตืนตาตืนใจในสุนทรี ยภาพ เพือศึกษาความเชือ การยอมรับนับถือ การเคารพ พิธีกรรม ต่างๆและได้รับความรู้ มีความเข้าใจต่อสภาพสังคมและวั ฒนธรรมท้องถิ น มีประสบการณ์ใหม่ๆ เพิ มขึ นบนพื นฐานของการจัดการอย่างมีความรับผิดชอบและมีจิตสํานึกต่อการรักษาสภาพแวดล้ อม และมรดกทางวั ฒนธรรมโดยประชาคมในท้องถิ นมีส่วนร่ วมต่อการจัดการท่องเทียวทียั งยืน 8. เกณฑ์กําหนดแหล่งท่ องเทียว เพือการจัดการทียังยืน 1) เป็ นแหล่งทีมีเอกลั กษณ์และอั ตลั กษณ์ท ้ องถิ นดั งเดิม มีความสะอาด ร่ มรื น 2) มีการความพร้อมในการจั ดการสิ งอํ านวยความสะดวก(จอดรถ) และบุคลากรพร้อมบริ การ 3) มีอ ํ านวยความสะดวกเบื องต้ น(Tourist Center)ภายในมีเคาน์เตอร์ บริ การข่าวสาร มุมนิทรรศการ ห้องสุขาสะอาด มุมจํ าหน่าย อาหารและเครื องดืม มุมจํ าหน่ายของทีระลึก รวมทั งมีระบบบริ การคนพิการด้วย 4) มีการจั ดทํ าเส้นทางศึกษาแหล่งท่องเทียว(วั ฒนธรรมและธรรมชาติ) อย่างน้อย 1 เส้นทาง 5) มีป้ายสื อความหมายบนเส้นทางศึกษาเป็ นระยะๆ 6) มีแผนทีและคูม ่ ือนําเทียวประกอบป้ ายสือความหมาย 7) มีการกํ าหนดขีดความสามารถในการรองรับของพื นที 8) มีม ั คคุเทศก์ หรื อวิทยากร หรื อนักสื อความหมายท้ องถิ น 9) มีการบริ หารจั ดการพื นทีร่ วมกั บประชาชนในท้ องถิ นและพหุ ภาคี 10) มีนโยบายและแผนงานต่อการพั ฒนาและส่ งเสริ มการท่องเทียว 11) มีแผนพั ฒนาบุคลากรและการบริ การสู่ ระดั บมาตรฐานสากล 12) หากมีทีพั กแรมจะต้ องเป็ นทีพั กแรมทีรักษาสภาพแวดล้ อมและวั ฒนธรรมท้ องถิ น 13) มีแผนงานการประเมินผลการปฏิบ ั ติงาน การบริ การ และเก็บสถิติ 9. ข้ อมูลทีสําคัญสําหรับการเป็ นมัคคุเทศก์ท้องถิน 1) การบรรยายเอกลักษณ์ของสิมภาคอีสาน ลั กษณะตัวอาคารของภาคอีสานทีสําคัญ มีล ั กษณะทีนักวิชาการ เรี ยกว่า แอวขั นเป็ นเอวที คอดมากๆ หมายถึง ส่วนทีเป็ นฐาน นอกจากตั วแอวขันแล้ ว สิ งทีจะแสดงถึงความเป็ นสิมอีสาน คือ มีพญานาค ซึ งพญานาคทีพบในโบสถ์อีสานจะมีล ั กษณะทีแตกต่างจากโบสถ์ของภาคกลางคือ มี ลั กษณะของศิลปะพื นบ้านอยู่มาก เมือดูแล้ วจึงไม่น่ากลั ว มีความเรี ยบง่าย ไม่ประดับตกแต่งตั วรู ป


145 มากมายนัก แล้ วก็สร้างง่ายๆ โดยใช้ ปั นปูนให้นูนขึ นมาแล้ วทาสีลงไปเลย สําหรับพญานาคภาค กลางนั นจะมีล ั กษณะใหญ่โต มีเครื องประดับตกแต่งมากกว่า

รู ปที 7 คุณกิตติพงษ์ สนเล็ก จาก สํานักศิลปากรที 9 บรรยายการให้ ข้อมูลทางประวั ติศาสตร์ แหล่ง โบราณสถานทีจํ าเป็ น สําหรับการ เป็ นมั คคุเทศก์ท้องถิ น แก่ผู้ เข้รัาบ การอบรม

รู ปที 8 วิทยากรพาลง ภาคสนาม บรรยาย การให้ ความรู้เกียวกับแหล่ง โบราณสถานและภาพ จิตรกรรมฝาผนังวั ดโพธาราม แก่ผู้ เข้าอบรม

รู ปที 9 รู ปพญานาคอีสานของ สิมวั ดโพธาราม


146 2) ภาพวิถีชีวิตของชุ มชน การวาดรู ปจิตรกรรมฝาผนังหรื อฮูปแต้ม จะสะท้อนลั กษณะของชุมชนอีสาน ซึ งเป็ นชุมชน ขนาดเล็ก มีวิถีชีวิตความเป็ นอยู่อย่างเรี ยบง่าย อยู่ในท้องไร่ ท้องนาเป็ นส่วนใหญ่ ถือว่าเป็ นสังคม เกษตรกรรม ดังฝาผนังสิมวั ดโพธาราม ซึ งวาดโดยช่างพื นบ้านการวาดของช่างไทยในสมั ยก่อน นั นจะเรี ยกว่า งานรู ปแบบจิตรกรรมไทยประเพณี มีล ั กษณะเด่นคือจะเป็ นภาพ3 มิติ จะมีแค่ 2 มิติ เท่านั น โดยประวั ติแล้ ว กล่าวว่าเมือก่อนนี บ้านดงบังขึ นอยู่ก ับอํ าเภอพยั คภูมิพิสัย ซึ งขึ นกัองบเมื สุวรรณภูมิอีกทีหนึ ง มีช่างทีเขียนภาพฮูปแต้ม ชือว่า ช่างสิงห์ เป็ นคนเดียวกับทีเขียนฮูปแต้มทีวั ดป่ า เรไรด้วยเช่นกัน วั ดทั ง2 แห่งนี จึงมีภาพจิตรกรรมฝาผนังในลั กษณะทีคล้ ายคลึงกันมาก กล่าวคือ มี ฮูปแต้มทีเขียนเป็ นเรื องราวเกียวกับพุทธประวั ติ พระเวสสันดรชาดก นิทานพื นบ้าน เช่น สินไซ พระมาลั ย ส่วนฮูปแต้มทีวั ดป่ าเรไร จะมีเรื องรามเกียรติ และรู ปพระลั กพระลาม ซึ งแตกต่างจากสิม วั ดโพธาราม

รู ปที 10 รู ปวิถีชีวิตชุมชน อีสาน ซึ งปรากฏอยู่ทีฝาผนัง โบสถ์

รู ปที 11 รู ปพระลั ก พระลาม ของโบสถ์ว ั ดป่ า เรไร


147 3) การแต่งกาย การแต่งกายในสมั ยนั น จะเห็นภาพตํ ารวจถือปื นแล้ วสวมรองเท้าบู๊ตทีสําคัญคือมีเสื อใส่ก ัน แล้ ว แต่สมั ยก่อนนั นผู้ ชายมั กจะไ ม่ใส่เสื อ ส่วนรู ปผู้ หญิงสมั ยนั นถ้ าหากยั งไม่แต่งงานก็จะมีเพียงผ้ า คาดอกปิ ดนมไว้ เท่านั น ส่วนผู้ หญิงทีแต่งงานแล้ วก็จะเปิ ดอกไม่ใส่ผ ้ าใดๆ แต่เมือมีการรับเอา วั ฒนธรรมทีมาจากตะวั นตกเข้ามา โดยขุนนางทีส่งมาปกครองหัวเมืองต่างๆในภาคอีสาน นั นมา จากกรุ งเทพฯ ซึ งคนกรุ งเทพฯในสมั ยนั นได้มีโอกาสเข้าโรงเรี ยนแล้ ว โดยเฉพาะลูกขุนนาง ทั งหลาย ก็ไปเรี ยนหนังสือ พอฝรั งทีมาสอนหนังสือเห็นคนไทยไม่สวมเสื อผ้ า ก็เลยพยายามให้สวม ใส่เสื อผ้ า ถือว่าเป็ นเรื องดี และมีมารยาท ทีไม่เปลือยเนื อหนังมั งสาในทีสาธารณะ จึงกลายมาเป็ น การรับเอาวั ฒนธรรมการแต่งกายจากตะวั นตก แล้ วเข้ามาสู่ชุมชนผ่านขุนนางทีมารับราชการตาม หัวเมืองต่างๆ ของภาคอีสาน รวมไปถึงคนทีอยู่ในท้องถิ นด้วย บ้างก็เห็นได้จากการวาดภาพตาม ผนังโบสถ์ของวั ดต่างๆในอีสาน ทียั งหลงเหลืออยู่

รู ปที 12 รู ปผู้ ชายชาวบ้านทั วไป ทีไม่ได้สวมเสื อ สวมใส่เพียง ผ้ านุ่งเท่านั น

รู ปที 13 รู ปข้าราชการตํ ารวจ ทหารทีสวมเครื องแบบ


148 9.4 ลักษณะการวาดภาพของช่ าง 1) ความสําคัญของบุคคลในภาพ ถ้ าหากเป็ นภาพทีมีขนาดใหญ่ นั นหมายถึง ช่างวาดได้ให้ความสําคัญกับบุคคลภาพนั น ๆ ลั กษณะการวาดภาพจะวาดเต็มผนังและมีหลายเรื องหลายตอนอยู่ในผนังเดียวกัน ใช้การแบ่งรู ป ออกเป็ นตอนๆ โดยใช้เส้นบางๆ หรื อใช้ต ัวอาคาร หรื อใช้ต ้นไม้ หรื อใช้ก้อนหิน คั นระหว่างตอน ต่างๆ เช่น การแบ่งรู ป โดยการใช้ตอนบนตอนล่างของผนัง ตอนล่างมุมขวาจะเป็ นภาพบรรยาย สภาพบ้านเรื อนตอนทีชูชกไปรับนางอมิตตดา ตรงกลางๆก็จะเป็ นตอนทีชูชกออกเดินป่ า ตอน บนสุดเป็ นเรื องพระเวสสันดร ตอนพระกั ณหาพระชาลีออกเดินป่ า เพราะการแบ่งภาพของช่างไทย ประเพณี ใช้ต ้นไม้ ก้อนหินและเส้นเล็กๆเป็ นเส้นแบ่ง ดังรู ปที 14

รู ปที 14 การจัดแบ่งตอนของเรื องโดยใช้เส้นบางๆ คั น ด้านล่างมุมขวาเป็ นบ้านเรื อนตอนชูชกไป รับนางอมิตตดา ตอนกลางภาพเป็ นตอนชูชกออกเดินป่ า ด้ านบนสุดเป็ นพระเวสสันดร ดังนั นเมือดูภาพต้องดูทั งผนังว่าเรื องไหนอยู่ทีมุมใดของผนัง อย่างรู ปที14 นั น ผู้ วาดได้ วาดเรื องราวในเหตุการณ์ 6 ตอนซึ งอยู่บนผนังด้านเดียวกัน โดยจะต้องแบ่งเป็ นเรื องเกียวกับตอนใด ตอนหนึ งด้วยเส้นดังกล่าวข้างต้น ส่วนทีอยู่ด ้านซ้ายมือด้านบน เป็ นเรื องของพระมาลั ยไปโปรด สัตว์ในสวรรค์และในนรกแบ่งส่วนบนเป็ นสวรรค์ ส่วนล่างเป็ นนรก โดยดูจากการจั ดองค์ประกอบ ภาพให้ภาพบนเป็ นกลุ่มหนึ ง ด้านล่างเป็ นกลุ่มหนึ ง ถ้ าเป็ นเรื องราวตรงกลางก็จะเป็ นอีกกลุ่มหนึ ง ภาพจิตรกรรมไทยมีความแตกต่างจากภาพจิตรกรรมตะวั นตก ซึ งมีการเขียนเป็ นช่องๆเป็ น ทีสังเกตได้โดยง่าย เพราะฉะนั นฮูปแต้มจึงมี2 มิติ คือมีด ้านกว้ างกับด้านยาวเท่านั น ภาพทีเขียน


149 ส่วนใหญ่จะหันข้าง ให้ความสําคัญกับขนาด ภาพบุคคลทีมีขนาดใหญ่ หมายความว่า มีความสําคัญ มาก กว่าภาพบุคคลทีมีขนาดเล็กลงมา 2) ภาพในสิม การเขียนภาพด้านในของสิม จะเขียนตั งแต่ขอบบนของผนังไล่ลงมาจนถึงขอบบนของ หน้าต่าง โดยทีช่างเขียนไม่เขียนลงมาถึงด้านล่าง เพราะเวลามีคนมาใช้สถานทีจะทํ าให้รูปภาพเกิด การชํ ารุ ดเสียหายได้ง่าย สีทีใช้ในการวาดภาพจะเป็ นสีฝุ ่ น เวลาใช้ต ้องนํามาผสมนํ ากับกาวหนังสัตว์ ซึ งเคียวจนกว่า จะได้ยางเหนียวๆ จะทํ า ให้ได้ไขมั นทีเหมาะสม มีความเหนียวและมีคุณสมบัติยึดติดทนนานก่อนที จะผสมกับสีฝุ ่ น ช่วงทียั งเปี ยกอยู่ม ั นจึงนําไปแต้มฮูป สีฝุ ่ นกับยางเหนียวจะผสมผส านกันดีและจะ ซึมเข้าไปในเนื อปูนได้โดยง่าย 9.5 ภาพทีสําคัญของสิมวัดโพธาราม 1) ภาพราหูอมจันทร์ มีเรื องราวเล่าว่า ยั กษ์ตนหนึ งทีมีความเป็ นอมตะคือฆ่าอย่างไรก็ไม่ ตาย โดยตามตํ านานได้กล่าวว่า สมั ยหนึ งได้มีเทวดาอยากเป็ นอมตะ เทวดาองค์นี ได้ไปชั กชวนพวก ยั กษ์ให้มาช่วยกวนนํ าอมฤต เพราะนํ าอมฤตนั นหากใครกินเข้าไปจะเป็ นอมตะ วิธีการกวนนํ าอมฤต ต้องเอาพญานาคมาเป็ นเชือก เอาเขาพระสุเมรุ เป็ นแกนกลาง (เหมือนการปั นถั งไอศกรี ม) แล้ วหมุน ไปหมุนมา เทวดาองค์นี มีความฉลาดก็เลยให้พวกยั กษ์ไปจั บด้านหัวพญานาค ส่วนเทวดาก็จ ับส่วน หางของพญานาคตนนี ไว้ เมือพญานาคจึงถูกดึงไป ดึงมาหลายรอบ จนต้องคายพิษออกมาเรื อยๆ ส่วนยั กษ์ทีอยู่ด ้านหัวพญานาคก็โดนพิษพญานาคปวดแสบปวดร้อนไปตามๆ กัน ส่วนเทวดาก็ไม่ เป็ นไร เพราะดึงส่วนหางของพญานาค หลั งจากนั นพอได้ น ํ าอมฤตแล้ ว พวกยั กษ์ส่วนมากก็หมด แรงไปก่อนแล้ วเนืองจากพิษทีได้รับขณะกวนนํ าอมฤตนั นเอง แต่บางตนยั งมีแรงอยู่ จึงเกิดการแย่ง นํ าอมฤตกันระหว่างเทวดากับยั กษ์ เทวดาแย่งนํ าอมฤตมาจนหมด แต่มีย ั กษ์ตนหนึ งฉลาด จึงได้ แปลงกายเป็ นเทวดามาร่ วมกินนํ าอมฤตด้วย มีเทวดาองค์หนึ งรู้ทัน เทวดาองค์นั นจึงไปบอกพระ นารายณ์ แล้ วพระนารายณ์ก็เลยขว้ างจั กรไปตั ดยั กษ์ตนนั นขาดออกเป็ น2 ท่อน แต่ย ั กษ์ตนนั นได้ กินนํ าอมฤตไปแล้ วครึ งหนึ ง ตรงส่วนหัวก็เลยเป็ นอมตะ จึงทํ าให้ย ั กษ์ตนนั นไม่ตาย ยั กษ์ตนนั นมี ความเจ็บแค้ นเทวดาองค์ทีไปบอกพระนารายณ์เป็ นอย่างมากทีทํ าให้ต ้องเป็ นเช่นนี เทวดาองค์นั นก็ คือ พระจันทร์ นั นเอง พอยั กษ์ตนนั นเห็นพระจันทร์ก็จะจั บพระจันทร์กินตลอดเวลา แต่ความที ราหูเหลือชีวิตอยู่เพียงครึ งเดียว พอกินพระจันทร์เข้าไปได้ พระจันทร์ก็หลุดออกมาได้เหมือนเดิม ทุกครั ง จึงเป็ นทีมาของจั นทรุ ปราคาด้วยเหตุฉะนั นแล


150

รู ปที 15 รู ปราหูอมจันทร์

2. เรืองพระมาลัย ภาพด้านล่างจะเป็ นสภาพของบ้านเมืองของพระมาลั ยไปเทศนาซึ งก็คือ สภาพบ้านดงบังในสมั ยก่อนนั นเอง เพราะว่าคนทีเขียนไม่ได้อยู่ในเมืองในนิทาน จะเขียนภาพ ออกมาโดยเห็นบ้านเมืองทีอยู่รอบๆ นั นคือชุมชนบ้านดงบั งในอดีต

รู ปที 16 ด้านบนเป็ นเรื องราว ของพระมาลั ย ด้านล่างเป็ น สภาพบ้านเรื อนของบ้านดงบัง ในอดีต ส่วนด้านล่างจะเป็ นตลาดขายผ้ าขายเสื อ(เสื อแบบนี เรี ยกว่าเสื อคอจีน) สันนิษฐานว่าเป็ น ตลาดอํ าเภอพยั คฆภูมิพิสัยในปัจจุบั น (จะเห็นว่ามีบ้านแตกต่างกัน 2 แบบด้วยกั น) และมีรูปผู้ ชาย ถั กผมเปี ยนั นเป็ นคนเชื อสายจีน ส่วนผูช้ ายทีไม่มีผมเปี ยเป็ นคนไทย

รู ปที 17 ตลาดค้าขาย รู ป ผู้ หญิงหาบตะกร้า นุ่ง โจงกระเบน (ซึ งได้รับ อิทธิพลจากวั ฒนธรรม เขมร)


151

รู ปที 18 คนจีนถั ก ผมเปี ย

รู ปที 19 คนไทย

3. เรืองมหาชาติ คํ าว่า มหาชาติ แปลว่ายิ งใหญ่ เป็ นชาติทีพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็ น พระเวสสันดรซึ งเป็ นพระชาติสุดท้ายก่อนทีจะประสูติเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ในพระชาติทีเป็นพระ เวสสันดร พระโพธิสัตว์ได้บํ าเพ็ญทศบารมีครบทั ง10 ประการ โดยเฉพาะอย่างยิ งทานบารมีซึ งได้ บริ จาคบุตรทาน คือได้ บริ จาคพระชาลี พระกัณหา และพระนางมั ทรี มหาชาตินี เรี ยกอีกอย่างหนึ งว่า มหาเวสสันดรชาดก มีทั งหมด13 กัณฑ์ ทีโดดเด่นในภาพ เช่น 3.1 กัณฑ์ชูชก มีเรื องเล่าว่า มีพราหมณ์ชูชกซึ งมีอาชีพเป็ นขอทาน วั นหนึ งเขาได้ นําเงินทีได้จากการขอทานไปฝากไว้ ก ับเพือน แล้ วออกเดินทางต่อไป เพือนเห็นว่าชูชกหายไปนาน ก็ได้น ําเงินนั นไปใช้จ่ายจนหมด พอชูชกกลั บมาทวงเงินคืน เพือนก็ไม่มีเงินคืนให้ เพือนจึงยกนาง อมิตตดาผู้ เป็ นบุตรสาวให้เป็ นภรรยาของชูชก ส่วนนางอมิตตดาเมือไปอยู่ก ับชูชกก็ต ั งใจปรนนิบติั


152 ชูชกเป็ นอย่างดี พราหมณ์คนหนึ งในหมู่บ้านได้สังเกตและได้เปรี ยบเทียบกับภรรยาของตนเอง ว่า ปรนนิบัติสามีไม่ดีเหมือนนางอมิตตดาจึงตํ าหนิและทํ าร้ายภรรยาตนเอง พวกภรรยาพราหมณ์ ทั งหลายแค้นใจจึงไปด่าว่านางอมิตตดาทีบ้านชูชก นางอมิตตดาเสียใจจึงขอร้องให้ชูชกเดินทางไป ทูลขอพระชาลีและพระกัณหาจากพระเวสสันดรมาเป็ นทาสให้นางได้ใช้สอย เมือชูชกได้ฟังดังนั น จึงออกเดินทางไปตามคํ าขอร้องของนางอมิตดา จนไปถึงเขตป่ าทีพรานเจตบุตรดูแลเฝ้ าป่ าให้พระ เวสสันดรได้บ ํ าเพ็ญเพียร มิให้ใครรบกวน แต่แล้ วชูชกก็อ ้ างว่าตนเองเป็ นทูตได้ น ําพระราชสาส์น ของพระเจ้ากรุ งสัญชัย เพือทูลเชิญพระเวสสันดรกลั บคืนนคร แล้ วพรานเจตบุตรก็หลงเชือปล่อยให้ ชูชกเข้าไปในป่ าพบพระเวสสันดร 3.2 กัณฑ์กุมาร เมือชูชกเดินทางมาถึงสระใกล้ ก ับอาศรมของพระเวสสันดรตอน พลบคํ า แต่ก็ย ั งไม่ไปพบพระเวสสันดรทั นที ได้รอจนกระทั งรุ่ งเช้า เพือรอให้พระนางมั ทรี เข้าป่ า เพือหาผลไม้ จากนั นชูชกจึงเข้าไปทูลขอสองกุมารจากพระเวสสันดร พระเวสสันดรก็พระราชทาน สองกุมารให้แก่ชูชก พร้อมทั งกํ าหนดค่าตัวสองกุมารไว้ ให้ชูชกรู้ด ้วย ซึ งคนทีสามารถไถ่ต ัวสอง กุมารได้มีเพียงพระเจ้ากรุ งสัญชัยเท่านั น เมือชูชกได้สองกุมารแล้ ว พร้อมจะออกเดินกลั บบ้าน แต่ กลั บเฆียนตีสองกุมารเสียก่อน ทํ าให้พระเวสสันดรทรงกริ ว แต่เพราะว่าได้ให้ทานสองกุมารแก่ชู ชกไปแล้ ว พระองค์ก็ต ัดอาลั ยได้ แล้ วทรงปล่อยให้ชูชกพาสองกุมารจากไป

รู ปที 20 คุณบุญลี พลคํ ามาก วิทยากรท้องถิ น ได้บรรยาย เรื องราวพระเวสสันดรชาดกแก่ ผู้ เข้าอบรม

รู ปที 21 ผู้ เข้าอบรม ฟัง บรรยายการให้ความรู้จาก วิทยากรเพือนําไปใช้ในการ เป็ นมั คคุเทศก์ท้องถิ นต่อไป


153 3.3 กัณฑ์มัทรี เมือพระนางมั ทรี กลั บจากหาผลไม้ จากป่ ามาถึงอาศรมของพระเวสสันดร พระนางมั ทรี ไม่เห็นสองกุมารจึงออกตามหาแต่หาอย่างไรก็ไม่พบ พระนางจึงครํ าครวญด้ วยความ ทุกข์โศกจนสลบไป เมือฟื นขึ นมา พระเวสสันดรก็ตรัสว่าได้พระราชทานสองกุมารแก่ชูชกไปแล้ ว แม้ ว่าพระนางจะเสียพระทัยปานใด พระนางมั ทรี ก็ได้ร่วมอนุโมทนาไปพร้อมกับพระเวสสันดรใน การให้ปิยบุตรทานนั นด้ วย 10. การฝึ กปฏิบัติการเป็ นมัคคุเทศก์ท้องถิน

รู ปที 22 ทีมมั คคุเทศก์ จาก สมาคมมั คคุเทศก์อาชีพ มาช่วย ฝึ กปฏิบัติการเป็ นมั คคุเทศก์ ท้องถิ นให้ก ับเยาวชน

รู ปที 23 การฝึ กเป็ น มั คคุเทศก์ท้องถิ น


154

รู ปที 24 แยกกลุ่มฝึ ก การเป็ นมั คคุเทศก์ ท้องถิ น

รู ปที 25 แบ่งกลุ่มฝึ ก ปฏิบัติการเป็ นมั คคุเทศก์ ท้องถิ นภายในสิม โดยทีม วิทยากรจากสมาคม มั คคุเทศก์อาชีพ

รู ปที 26 เยาวชนคนเก่ง ฝึ กการเป็ นมั คคุเทศก์ ท้องถิ น


155

รู ปที 27 ผู้ เข้าอบรมรับใบ ประกาศผ่านการอบรม มั คคุเทศก์ท้องถิ นจาก นายทรงรัตน์ ธนมาลาพงศ์ ผู้ อ ํ านวยการโรงเรี ยนดง บังพิสัยนวการนุสรณ์

รู ปที 28 ผู้ เข้าอบรมถ่ายรู ป ร่ วมกั น


156

5.5 กิจกรรมค่ายศิลปะรักษ์ ฮูปแต้ม ความเป็ นมา วั ดโพธารามและวั ดป่ าเรไร มีภาพจิตรกรรมฝาผนังอีสานหรื อทีเรี ยกว่า ฮูปแต้ม โดยฝี มือ ช่างท้องถิ น ทีมีความงามและยั งคงคุณค่าอยู่จนถึงปัจจุบั นนี มีเนื อหาเรื องราวเกียวกับพุทธประวั ติ เวสสันดรชาดก สินไซ วิถีชีวิตการทํ ามาหากิน ความเป็ นอยู่ เป็ นต้น ซึ งเป็ นการเล่าเรื องด้วยภาพ และอั กษรธรรม แสดงถึงความเป็ นเอกลั กษณ์ของท้องถิ นไว้ เป็ นอย่างดี ด้ วยงานสร้างสรรค์ใน รู ปแบบงานจิตรกรรมฮูปแต้ม ซึ งทิ งไว้ ให้คนรุ่ นใหม่ได้ศึกษาหาความรู้ เห็นคุณค่า และความงาม อั นเป็ นผลงานทางประวั ติศาสตร์ของท้องถิ นไว้ นั นเอง ปัจจุบันภาพจิตรกรรมฝาผนังทั งสองแห่ง ทั งวั ดโพธารามและวั ดป่ าเรไรนั น ได้เสือมโทรม ไปตามกาลเวลา และนับวั นก็จะลบเลือนไป ด้วยสาเหตุมาจาก ขี นก แสงแดด ฝุ ่ นละออง ความชื น และเชื อราทีไปทํ าลายภาพเป็ นจํ านวนมาก หากจะบูรณซ่อมแซมก็ต ้องเป็ นผู้ เชียวชาญจากกรม ศิลปากรเท่านั น ชาวบ้านไม่สามารถกระทํ าเองโดยพลการ และก่อนทีความเสือมโทรมดังกล่าวจะ รุ นแรงไปมากกว่านี จึงได้ จ ัดกิจกรรมทีจะช่วยเสริ มสร้างความตระหนักในคุณค่างานฮูปแต้มขึ น โดยเน้นไปทีกลุ่มเด็กและเยาวชนในท้องถิ น ได้มาทํ ากิจกรรมเพือสร้างจิตสํานึกในคุณค่างาน จิตรกรรมฮูปแต้มขึ น ซึ งเป็ นกิจกรรมทีกระตุ ้นให้เกิดความรัก ดูแลฮูปแต้ม และเพือเป็ นการ ส่งเสริ มให้เกิดความรู้ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสําคัญและคุณค่าของศิลปกรรมพื นบ้านใน ท้องถิ นของตน จนกระทั งสามารถสืบทอดงานศิลปกรรมของท้องถิ นสืบไป การดําเนินการ

รู ปที 1 หลวงปู ่ลุน เจ้าอาวาสวั ดป่ าเรไร บ้านหนองพอกให้ โอวาทแก่ผู้ เข้าอบรม


157

รู ปที 2 หลวงปู ่ ลุน ให้การ อบรมความรู้เกียวกับประวั ติ วั ด ฮูปแต้ม แก่เยาวชนค่าย ศิลปะรักษ์ฮูปแต้ม

รู ปที 3 อ.อํ าพร แสงไชยา และ อ. ศรี พ ั ฒน์ เทศาริ นทร์ ชี แจ้ง ขั นตอนกิจกรรม

รู ปที 4 วิทยากรอบรมการ เลือกรู ปทีจะวาดจากภาพ จิตรกรรมฝาผนัง


158

รู ปที5 ความตั งใจในการวาดรู ปของเด็กๆ

รู ปที 6 เด็กๆ เลือกทํ าเลเพือหาทีนั งวาดรู ป

รู ปที 7 รู ปนกเงือกจาก ฝาผนังโบสถ์

รู ปที 8 รู ปนกเงือกที คัดลอกลงบนกระดาษ


159

รู ปที 9 รู ปชูชก หาสองกุมาร จากภาพฝาผนัง

รู ปที 10 รู ปวาดระบายสีตอน ชูชกหาสองกุมาร ลงบน กระดาษ

รู ปที 11 บรรยากาศการทํ า กิจกรรมค่ายศิลปะรักษ์ฮูปแต้ม บริ เวณรอบโบสถ์ว ั ดป่ าเรไร


160

รู ปที 12 ภาพจากฝาผนัง

รู ปที 13 รู ปคน 5 คนกํ าลั ง ออกเดินทาง

รู ปที 14 หญิงสาว 5 นาง


161

รู ปที 15 สเก็ตรู ปช้าง 7 เศียร

รู ปที 16 การลงสีรูป ช้าง 7 เศียรบน กระดาษ

รู ปที 17 การลงสีบน กระเป๋ าผ้ าฝ้ าย


162

รู ปที 18 การลง ลายเส้นรู ปม้ าบน กระเป๋ าผ้ าฝ้ าย

รู ปที 19 รู ปโขลง ช้างจากฝาผนัง

รู ปที 20 วาดรู ปโขลง ช้างลงบนกระเป๋ าผ้ า ฝ้ าย


163

รู ปที 21 ภาพวิถีชีวิต ชาวบ้าน

รู ปที 22 ผลงานจากภาพ จิตรกรรมฝาผนังบน กระเป๋ าผ้ าฝ้ าย

รู ปที 23 รู ปวาดเทวดา ลงสีบนกระเป๋ าผ้ าฝ้ าย


164

รู ปที 24 รู ปนกเงือกที วาดลงบนกระเป๋ า

รู ปที 25 ประเมินผลงาน

รู ปที 26 นายทรงรัตน์ ธนมาลาพงศ์ ผู้ อ ํ านวยการ โรงเรี ยนดงบังพิสัยนวการ นุสรณ์ มอบใบประกาศ ให้ก ับผู้ เข้ารับการอบรมค่าย ศิลปะรักษ์ฮูปแต้ม


165

รู ปที 27 ผู้ เข้ารับการ อบรมทั งหมดถ่ายรู ป ร่ วมกั นทีวั ดป่ าเรไร

สรุ ปผลการดําเนินการ กิจกรรมค่ายศิลปะรักษ์ ฮูปแต้ม ได้กําหนดให้ ผู ้เข้ าค่ายวาดภาพ 2 แบบ คือ 1. การวาดเส้น (Drawing) เป็ นการวาดภาพโดยใช้ปากกา หรื อดินสอ วาดลงไปบน กระดาษ เพียงการวาดเค้าโครงเส้นเท่านั น เมือวาดเป็ นโครงร่ างไว้ แล้ ว ก็ลงสีจะเป็ นเส้นเล็ก หรื อ เส้นใหญ่ ก็ได้ โดยมากมั กจะใช้สีเดียว แต่การวาดเส้นไม่ได้จ ํ ากั ดทีจะต้องมีสีเดียว อาจหลายสีก็ได้ ดังนั นการวาดเส้น จึงเป็ นพื นฐานของงานศิลปะแทบทุกชนิด ผู้ ฝึกฝนงานศิลปะต้องมีการฝึ กการ วาดเส้นให้ช ํ านาญเสียก่อนทีจะไปทํ างานศิลปะด้านอืน ๆ ต่อไป 2. การระบายสี (Painting) เป็ นการวาดภาพโดยการใช้พู่ก ันหรื อแปรง หรื อวั สดุอย่างอืน มา จุ่มสีแล้ วระบายให้เกิดเป็ นภาพ ทั กษะการระบายสีต ้องใช้ความรู้เรื องการควบคุมสีและเครื องมือ มากกว่าการวาด เส้น จึงจะทํ าให้ผลงานการระบายสีมีความสวยงาม เหมือนจริ ง และสมบูรณ์แบบ มากกว่าการวาดเส้น ภาพจากจิตรกรรม การจํ าแนกภาพจิตรกรรม โดยจํ าแนกได้ด ังนี 1. ภาพคนทั วไป แบ่งได้2 ประเภท คือ 1.1 ภาพคนทีแสดงกิริยาท่าทางต่าง ๆ ของมนุษย์ โดยไม่เน้นความ เหมือนของใบหน้า 1.2 ภาพคนเหมือน เป็ นภาพทีแสดงความเหมือนของใบหน้าของคนใดคนหนึง 2. ภาพสัตว์ แสดงอากัปกิริยาท่าทาง ไม่ว่าจะเป็ นการเดิน วิ ง นอน หากิน เป็ นต้น 3. ภาพประกอบเรื อง เป็ นภาพทีเขียนขึ นเพือบอกเล่าเรื องราว หรื อถ่ายทอดเหตุการณ์ บางอย่างให้ผชู้ มได้รับรู้ อาจเป็ นทั งภาพประกอบเรื องในหนังสือ พระคัมภีร์ ภาพเขียนบนฝาผนัง วั ด หรื ออาคารสถาปัตยกรรมต่างๆ รวมถึงภาพโฆษณาด้วย โดยส่วนใหญ่แล้ วการวาดภาพ


166 จิตรกรรมฝาผนังนั นมั กจะวาดเป็ นตอน ซึ งแต่ละตอนจะคั นด้วยภาพภูเขา แม่น ํ า กลุ่มต้ นไม้ เส้น แบ่ง เป็ นต้น 4. ภาพองค์ประกอบ เป็ นภาพทีแสดงความสัมพั นธ์ขององค์ประกอบทางศิลปะ และ ลั กษณะในการจัดองค์ประกอบ เพือให้เกิดความรู้สึกต่าง ๆ ตามความต้องการของผูวาดโดยอาจจะ ้ ไม่เน้นการแสดงเนื อหาเรื องราวของภาพ หรื อแสดงเรื องราวทีมาจากความประทับใจ และไม่ยึดติด กับความเป็นจริ ง ส่วนใหญ่จะปรากฏในงานจิตรกรรมสมั ยใหม่ 5. ภาพลวดลายตกแต่ง เป็ นภาพวาดลวดลายประกอบเพือตกแต่งสิ งต่าง ๆ ให้ เกิดความ สวยงามมากขึ น เช่น การวาดลวดลายประดับอาคาร สิ งของเครื องใช้ ลายสักบนเรื อนร่ าง เป็ นต้น ภาพจิตรกรรมฝาผนัง ความเป็ นมา ในสมั ยก่อนนั นคนโบราณเริ มวาดภาพโดยใช้ไม้ หรื อนิ วมือขีดเขียนหรื อวาดเส้น (drawing) เค้าโครงของสิ งต่างๆ บนพื นดิน หรื อฝาผนังวั ด บ้าน อาคาร เป็ นต้ น ต่อมาจากยุค โบราณถึงศตวรรษที 18 จึงเรี ยนรู้วิธีใช้ถ่านและสีย ้ อมทีได้จากธรรมชาติและได้วาดลายเส้นลงบน พื นผิวของวั สดุทีหลากหลายขึ นเพือถ่ายทอดความคิดของตน ใช้ว ั ตถุปลายแหลมจํ าพวกตะกั ว สังกะสี ทองแดง และโลหะอืน ๆ เป็ นอุปกรณ์การขีดเขียน และมาในยุคปัจจุบันคนวาด เริ มรู้จ ั ก การใช้ชอล์ก ดินสอถ่าน ดินสอดํ า ดินสอเทียน ปากกาและหมึก และใช้กระดาษเป็ นวั สดุรองรับ ปลายเส้นทีได้รับความนิยมทีสุด การวาดเส้นแบบสร้างสรรค์ เป็ นพื นฐานแรกก่อนการเตรี ยมการวาดภาพระบายสีหรื อการ ปั น จิตรกรอาจจะวาดเส้นโครงร่ างจากของจริ งทีต้องการวาดไว้ ดูก่อนจะลงสี แต่ภาพวาดเส้นส่วน ใหญ่ถือได้ว่าเป็ นงานศิลปะทีสมบูรณ์ในตัว ดังนั นการวาดเส้นจึงมีประโยชน์สําหรับงานด้านศิลปะ แขนงอืน ๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็ นด้านสถาปัตยกรรม วิศวกรรม มั ณฑนศิลป์ เป็ นต้น ทีจํ าเป็ นต้องวาด เส้นแสดงรายละเอียดเพิ มเติมในแบบแปลนเพือให้สามารถก่อสร้างอาคารได้อย่างสมบูรณ์แบบ การดําเนินกิจกรรม เมือวิทยากรได้บรรยายข้อมูลเกียวกับพื นฐานการการวาดภาพแล้ ว จึงได้มอบหมายให้ผู้ เข้า ค่ายได้วาดภาพลายเส้นเป็ นอั นดับแรก โดยให้ผู้ เข้าค่ายได้ ท ํ าการคั ดเลือกภาพจากจิตรกรรมฝาผนัง ทีตนเองอยากจะวาดลงบนกระดาษเสียก่อน จากนั นก็ให้ลงลายเส้นด้วยสีอะคริ ลิค ตกแต่งให้เป็ น ลวดลายทีสวยงาม สิ งทีต้องควบคุมคือโทนสีและชนิดของสี โดยต้องให้อยู่ในกลุ่ม4 สี ได้แก่ กลุ่ม สีเขียว สีน ํ าเงิน สีเหลืองอ่อน และสีน ํ าตาล เพือให้คงลั กษณะเฉพาะความเป็ นเอกลั กษณ์ของภาพ จิตรกรรมฝาผนังไว้ และขั นตอนสุดท้ายเป็ นการลงลายเส้นหรื อระบายสีบนวั สดุทีเป็ นผ้ าฝ้ าย เพือ สร้างสรรค์งานศิลปะบนวั สดุทีแตกต่างออกไป จนกระทั งได้กระเป๋ าผ้ าฝ้ ายลายฮูปแต้มขึ นมาเป็ น ผลงานสร้างสรรค์ของตนเอง


167

5.6 การทําหนังปะโมทัยหรือหนังตะลุงอีสาน ความเป็ นมา ทีตํ าบลดงบัง นอกจากภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณทีมีคุณค่าของบ้านดงบังและบ้าน หนองพอกทีส่วนใหญ่เป็ นเรื องเกียวกับ พระเวสสันดร สินไซ รามเกียรติ เป็ นต้ น แล้ วยั งมีารสื ก บ ทอดเรื องราวผ่านศิลปะพื นบ้านทียั งหลงเหลืออยู่อีกอย่างหนึ งคือ การแสดงหนังตะลุงอีสานหรื อที เรี ยกว่าหนังปะโมทัย ทีตํ าบลดงบังนี ก็เหลือเพียงคณะเดียวคือ วงส.สําลี ปะโมทัย เป็ นวงหนัง ตะลุงพื นบ้านอีสานทีเก่าแก่ ทียั งคงสืบทอดการแสดงรับจ้างทั วไป เรืองราวทีนํามาแสดงหนังปะ โมทัย ส่วนใหญ่เป็ นเรื องจากวรรณคดีอีสานซึ งคุ ้ นเคยกันแล้ ว และเป็ นเรื องเล่าหลายเรื องได้จาก ภาพจิตรกรรมฝาผนังแห่งนี ด้วยเช่นกั น อย่างเช่นเรื อง สินไซ พระเวสสันดร รวมถึงเรื องรามเกียรติ เป็ นต้น ปัญหาการแสดงหนังปะโมทัยทุกวั นนี พบว่มา ีการว่าจ้างน้อยลง การสืบทอดการทํ าตั ว หนังปะโมทัย บทพากย์ รวมทั งด้านศิลปการแสดง และการเชิดหนัง เป็ นต้น ล้ วนเป็ นปัญหาทีวง ปะโมทัยกํ าลั งเผชิญหน้าอยู่เป็ นอย่างมาก ถ้ าหากไม่มีการสืบทอดศิลปะพื นบ้านนี ไว้ ภูมิปัญญาด้าน นี ก็อาจจะสูญหายไปจากวิถีชุมชนได้ ซึ งเป็ นรเ ื องทีน่าเสียดายเป็ นอย่างยิ ง กิจกรรมการทํ าตัวหนังปะโมทัย จึงเป็ นกิจกรรมหนึ งทีสามารถช่วยสืบสานและการ ถ่ายทอดองค์ความรู้ ภูมิปัญญาด้านศิลปะการแสดงการทํ าตัวหนังตะลุงอีสานหรื อปะโมทัย ที เชือมโยงจากภาพจิตรกรรมฝาผนังไปสู่การทํ าตั วหนังให้โลดแล่นนอกสิม โดยการถ่ายทอดภูมิ ปัญญานี สู่คนอีกรุ่ นหนึ งเพือไม่ให้สูญหายไปจากชุมชน ประกอบกับสามารถสร้างความภาคภูมิใจ ให้ก ับชุมชนว่ายั งมีศิลปะพื นบ้านชิ นนี อยู่คู่ชุมชนสืบไป แล้ วท้ายทีสุดก็จะกลาย เป็ นต้ นทุนทาง สังคมต่อไปนั นเอง การดําเนินงาน

รู ปที 1 ประชุมและชี แจง กิจกรรมการทํ าหนังตะลุง ร่ วมกับโรงเรี ยนชุมชน บ้านดงบัง


168 รู ปที 2 วิทยากรด้านศิลปะ พื นบ้านหนังปะโมทัย (จากซ้ายไปขวา) ได้แก่ 1. นายบุญลี พลคํ ามาก 2. นายวั นทา จุมพล 3. นายสมบัติ ยอดประทุม

รู ปที 3 การประชุม วางแผนร่ วมกับวิทยากร

รู ปที 4 ปรึ กษาหารื อกับ กลุ่มหนังตะลุงอีสาน


169

รู ปที 5 เด็กๆ หัดเชิดหนัง ปะโมทัย

รู ปที 6 วิทยากรให้ความรู้ เรื องหนังปะโมทัย

รู ปที 7 วิทยากรพาเด็กๆ ชมฮูปแต้ม และบอก วิธีการเลือกรู ป เพือทีจะ ทํ าการลอกลายต่อไป


170

รู ปที 8 สอนการคั ดลอก ลายจากฮูปแต้ม (เด็กกํ าลั ง ลอกลายราหูอมจันทร์)

รู ปที 9 เมือคัดลอกเสร็ จ ก็ต ัดเป็ นรู ปเพือ นําไปทาบตัดกับแผ่นหนังต่อไป

รู ปที 10 นายวั นทา จุมพล ได้สอนวิธีการตั ดแผ่นหนัง โดยนํารู ปทีคัดลอกเสร็ จแล้ ว มาทาบบนตัวหนัง แล้ วตัด ตามแบบ


171

รู ปที 11 วิธีการตอกแผ่น หนัง โดยใช้สิ วและค้อน ตอกบนตั วหนัง และ ตอกลายละเอียดบนตัว หนัง

รู ปที 12 รู ปอมนุษย์จากฝาผนัง

รู ปที 13 แผ่นหนังทีตัดเป็ นรู ปแล้ ว

รู ปที 14 รู ปอมนุษย์ ทีได้น ํามามั ดกับไม้


172

รู ปที 15 บรรยากาศการ ฝึ กอบรมปฏิบัตกิ าร

รู ปที 16 คุณบุญลี พลคํ ามาก อธิบายวิธีการจัดวางตัวหนัง เพือเชิด ด้านหลั งฉาก

รู ปที 17 สอนบทพากย์ หนัง ปะโมทัยตามตัวหนังทีตัด


173

รู ปที 18 นายสมบัติ ยอดประทุม สอนวิธีการจัดวางท่าทางสําหรับ การเชิดหนัง

รู ปที 19 นายบุญลี พลคํ ามาก ได้สอนการจั ดวางตั วหนัง ฝึ กแสดงให้ผู้ เข้าอบรม ด้านหน้าดู

รูปที 20 เด็กๆ ฝึ กการเชิด หนัง


174

รู ปที 21 สาธิตการเชิดหนัง

รู ปที 22 แคนเป็ นเครื อง ดนตรี ใช้ประกอบการ แสดงหนังปะโมทัย พื นบ้าน

รู ปที 23 การแสดงสดที โรงเรี ยนชุมชนบ้านดงบัง


175

รู ปที 24 แสดงการเชิด หนังหลั งฉาก

รู ปที 25 แสดงหนัง ปะโมทัยทีโรงเรี ยนชุมชน บ้านดงบัง

รู ปที 26 มอบใบ ประกาศจากรศ.ธีรชัย บุญมาธรรม หัวหน้า โครงการฯ ในกิจกรรม อบรมปฏิบัติการทํ าหนัง ปะโมทัย


176

รู ปที 27 ผู้ เข้ารับการอบรม ปฏิบัติการการทํ าหนัง ปะโมทัย ถ่ายรู ปร่ วมกัน

สรุ ปผลการดําเนินการ 1. องค์ประกอบของการแสดงหนังปะโมทัย ได้แก่ 1. ผู้ เชิด 2. ตัวหนัง 3. โรงและจอหนัง 4. บทพากย์ บทเจรจา 5. ดนตรี ประกอบ 6. แสงทีใช้ในการแสดง 2. หน้ าที 1. คนเชิดหนัง มีประมาณ 2-3 คน เชิดและพากย์ หนังไปพร้อมกัน 2. คนพากย์ และเจรจา บทบาทของตัวประกอบ 3. นักดนตรี มีประมาณ 3-4 คน ตามจํ านวนชิ นของเครื องดนตรี 3. ขันตอนการไหว้ครู ก่อนการแสดงทุกครั งทุกคณะต้องไหว้ ครูภายในโรงแสดงหนังเสียก่อน โดยมี เทียน 5 คู่ ดอกไม้ 5 คู่ ธูป 3 ดอก จัดวางบนพานพร้อมด้วยตัวหนังตัวเอก ได้แก่ท้าวกุศราช นางจันทา และปลั ดตื อ แล้ วสวดมนต์บูชาพระรัตนตรัย จากนั นสวดคาถาบทชุมนุม เพือขอเทวดา พระแม่ ธรณี ตลอดจนเทพารักษ์ ให้ช่วยคุ ้มครองและขออโหสิกรรมล่วงหน้าหากเกิดความผิดพลาดหรื อมี การกระทํ าอั นใดไม่เหมาะสมเกิดขึ น


177 4. การโหมโรง เมือเสร็ จพิธีไหว้ ครูแล้ ว ทุกคนในคณะจะแยกย้ ายไปประจํ าตํ าแหน่งนักดนตรี เริ ม บรรเลงเพลงโหมโรง บางคณะใช้เพลงหมอลํ าเพลงเดียวเล่นวนไปวนมา เมือผู้ เชิดพร้อมแล้ วก็ บรรเลงเพลงเชิด 5. การประกาศบอกเรือง เมือบรรเลงเพลงโหมโรงจบลง ผู้ ประกาศ หรื อโฆษกประจํ าคณะจะกล่าวสวั สดีแก่ผู้ ชม สําหรับคณะ ส. สําลีปะโมทัยจะใช้ ปลั ดตื อเป็ นโฆษกบอกเรื องและตอนทีจะแสดงของคืนนั นซึ งร ประกาศจะใช้ภาษาพูดธรรมดา เป็ นภาษาไทยกลาง หรื อเป็ นภาษาถิ นอีสานก็ได้ 6. การออกรู ป คณะส.สําลีปะโมทัยจะออกรู ปฤาษี (การเชิด) โดยเชิดฤาษีไปตามจังหวะเพลง แล้ วปัก หนังปะโมทัยลงทีหยวกกล้ วยกลางจอด้านหลั งฉาก พร้อมด้วยตั วหนังรู ปขันดอกไม้แล้ วร้องบท พากย์ พระฤาษีเป็ นกลอนลํ าทางยาว (ซึ งเป็ นกลอนไหว้ ครูบาอาจารย์ สิงศั กดิ สิทธิทั งหลายและขอ อั ญเชิญคุณพระพุทธ พระธรรมพระสงฆ์) ให้มาช่วยให้การแสดงดํ าเนินไปได้ ด ้วยดีรวมทั งเป็ นการ คารวะผู้ ชม ตลอดจนขออภัยผู้ ชมหากเกิดการผิดพลาดระหว่างการแสดงหลั งจากพระฤาษีเข้าไป แล้ ว ก็จะออกรู ปปลั ดตื อตัวปลั ดตื อจะวิ งออกมาพร้อมด้ วยเสียงหัวเราะและเสียงกระพรวนดัง กังวาน เมือปลั ดตื อเข้าไปแล้ วจากนั นมั กเชิดรู ปหนังบั กสีและจารย์ ป๋องหัวโตออกมาเต้นโชว์ การ แสดงเหล่านี ไม่เกียวกับเนื อเรื องเป็ นเพียงการแสดงแทรกให้ผู้ ชมตลกขบขันเท่านั น 7. การเชิด หนังปะโมทัยนั นผู้ เชิดจะยืนเชิดเมือผู้ เชิดจับตัวหนังตัวใดผู้ เชิดก็จะพากย์และเจรจาตาม ตัวหนังนั นไปด้วย 8. การดําเนินเรือง หลั งจากการแสดงเบิกโรง คือ การออกรู ปเต้ นโชว์ หรื อ การชกมวยจบไปแล้ ว ก็จะเป็ นการ เดินเรื องไปจนจบการแสดง 9. การจบ เมือจะจบการแสดงนั นคณะ ส.สําลีปะโมทัยจะมีขนบธรรมเนียมสําคัญ คือจะใช้ต ั วหนัง ปลั ดตื อออกมาบอกจบการแสดง ต่อจากนั นนางสุมณฑาจะเป็ นผู้ ล ํ าเพืออํ าลาท่านผู้ ชม 10 . คุณสมบัติของผู ้แสดงหนังปะโมทัย 1. ต้องเป็ นคนทีมีเสียงดี กล่าวคือ เสียงดังฟังชัด เพราะต้องพากย์และเจรจาอยู่ตลอดเวลา และต้องสามารถทําเสี ยงได้หลายเสี ยงเพือให้เข้ากับลัก ษณะของตัว ละคร รวมทั งบางครั งต้อง สามารถลํ าในแบบต่าง ๆ และสามารถร้องเพลงได้อีกด้วย 2. ต้องมีศิลปะในการเชิด สามารถสวมวิญญาณให้ก ับรู ปหนังทีตนเชิดได้ทุกตัว และ สามารถสับเปลียนเล่นเป็ นตัวอืน ๆ ได้โดยฉับพลั น


178 3. ต้องเป็ นผู้ มีปฏิภาณไหวพริ บดี เพราะบางทีต ้องคิดแต่งกลอนสด หรื อดัดแปลงเรื องให้ เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน 4. ต้องเป็ นผู้ มีอารมณ์ข ันมีมุขตลกทีดี เพราะผูท้ ีมาดูส่วนมากจะมาดูและขํ าบทตลก 5. ต้องเป็ นผู้ มีความรอบรู้ ทั งในคดีโลกและคดีธรรม 6. ต้องเป็ นผู้ ทีมีความสามารถในการจดจํ าถ้ ามีความจํ าดีจดจํ าเรื องราวข้อคิด บทกลอน ต่าง ๆ มาใช้ในการแสดงได้มาก จะทํ าให้ผู้ ชมติดใจได้มากเช่นกัน 11. บทกลอนสําหรับเชิดหนังปะโมทัย บทถวายครู เอ่ย....เออ...เอ้ อ เออ เอิง เอย จะได้เอาสุนทรแต่โบราณท่านมีมา จะได้เอาสุนทรแต่โบราณมากล่าวว่า จะไหว้ ตางธูปเทียนและมาลา อั นเรื องรู้ผู้ ครอบพิชัย กับทั งศรธนูสิทธิ เป็ นตํ าหรับขับร้องสืบมา ข้าขอวั นนุก ํ ารับคุณด้วยใจสโมสร ขอจง อโหสิสถาพรทุกประการ จัดเอากลอนสําคัญนั นมาว่าไว้ ทีมีไว้ ตามตํ าหรับอั กษรแต่โบราณ โปรดอภัยหลานน้อยเถิดคุณนายเจ้าขา

ผมจะขอคํ านับจับเป็ นกลอน ผมจะขอคํ านับจับเป็ นตอน บัดนี จะยกมือสิบนิ วขึ นเหนือศีเ ยร ไหว้ ไปอีกถึงไทเทเวศผู้ เป็ นใหญ่ สถิตในช่อชันแห่งคะมา อั นสถิตอยู่ในแหล่งหล้ า ปรากฏเกียรติในพื นแผ่นดินดอน อั นดีดสีตีเป่ าขับร้องทํ านองกลอน บัดนี ผมจะได้เล่นรัดจั ดสรร จะเสนอในเรื องสินไซ ถ้ ามั นพลั งไปนิดถ้ ามั นผิดไปหน่อย จะได้จ ับรู ปเล่นพอได้เป็ นขวั ญตา คอยถ่าฟังเถิดหนาจะอย่างไร.....

บทนางมัทที (พูด) หาเก็บผลหมากไม้ แต้มฮูปคนในเมือง บรรยายกลอนมาเพียงนี เว้ าผญามายาว สิลาท่านแม่นอ่วยเมือก่อนเด้อ บทของช้ าง (พูด) ข้านีชือว่ากุนสะโลช้าง หากินกอไผ่ป้องดังก้องสนั นดง

บัดนี แต้มฮูปนางมัทที ไปพ้อหมูเ่ สือเหลือง สวนสนแม่นเดินย้าย ขอลาทีบันสิต่าว แฟนสิแหนงหน่ายหน้า พีน้องเอยพีน้องเอย..... ไพศาลตัวใหญ่ พงพั นเชื อเหลือหลายล้ านโกฐ


179 สามโยชน์ได้ตะการกว้ างช่วงคณา ตานั นเล็กหน่วยน้อยบ่สมเนือฮ่างคิง บทพระฤาษี (พูด) บวชเป็ นพระสละเป็ นสงฆ์

ในสมองของข้าเป็ นใยยุ ้ งบักบวบ ยามเมือลีลาย้ ายคือคนยามย้ าง ปากกับมือรู้จ ักจับจ่องน้าวอมนํ าเป่ าเป็ … น .. ทั งสีกงสีกาอาตมายั งไม่เคยเหลียวแล ฉันบวชมานานจนหัวล้ านแท่แล่.....

บทเสภา บัดเอยบัดนั นมาจะกล่าวบทไป ผู้ ทีมีฤทธีเก่งกล้ า พร้อมว่าแล้วเท่านั นมิทันช้า ราหูอมจันทร์ (พูด) ยินเสียงฟ้ าฮํ าฮ้องกํ ฝา่ ายอาคเนย์ ตกมายามราตรี ค่อนแสงอารุ นจวนสิฮุง โบราณเพินกล่าวไว้มื อสามคํ าพอกินงาย เพินว่าพรหมทั งห้าได้ลงมาผืนแผ่น เว้ าให้ฟังคักแล้ วฮีตเก่าโบราณ เสียดายเวลาหน่อย การแสดงขอจบลงไว้ แค่นี บทเต้ย โอ้ กะละแม่นสาวเอ้ย ฝนตกโห่งกะละแม่นใบบัว งัวกะเล่ากะละแล่นหนี หมีกะเล่ากะละแม่นเหล่าจาก นาคกะเล่ากะละแม่นลาเลย หนังตะลุงกะละแม่นสูงตํ า บ่มีฮ ้อนให้ผู้ ใด๋

ถึงหนุมานชาญสมร อยู่ในโลกวโลกา จะถีบทะยานผ่านฟ้ าด้ วยเร็วไว….. ราหูแขแข่งไขเปิ ดแปวผั กตูน ํ า เสียงฟ้ าฮ้องตึงๆทางกํ าทิศอีสาน หามูลฝอยไปยายไฮ่นาตากล้ า มนุษย์ เฮายากแค้ นเพินเห็นฮู้สู่แนว เป็ นจังได๋ ฟังนิทานสินไซ ม่วนบ่เด้ ลุงป้ า จนใจผู้ สิแบ่ง ทีหน้าคอยรับฟังพีน้องเอ๋ ย เอ๋ ย..... เจ้ากะละแม่นโต่งหล่ง คันแม่นงัวกะละแม่นกินแล้ ว คันแม่นหมีกะละแม่นกินแล้ ว คันแม่นนาคกะละแม่นกินแล้ ว ไผบ่เคยกะละแม่นมาเล่น ฮอดยามคํ ามีแต่เต้ยกะละแม่นล้ อนจ้อนๆ นั นละน่านวนน่าซู่ล ํ บา าก กะใจเอ๋ ย…..

บทเต้ย โอ้ กะละแม่นสาวเอ้ย บายมานั นกะละแม่นบักนุ่น โตนต้ามกะละแม่นตม หางตาเจ้าผู้ สักไท้ไน้

เห็นขาวๆกะละว่าแม่นฝ้ าย เห็นจุ่นพุน๋ กะละว่าแม่นนํ า นั นละนานวนนา เมือเป็ นไภ้พีหมอลํ าบ่


180 โอ๋ ยหรื อบ่พอกะใจเจ้า….. บทนางสุ มนทา พอแต่มาถึงห้องสวนหลวงกว้ างใหญ่ นั นแม่นพัวดอกอ้มแจมหมู่ทองหลาง ดอกสดสีสวยส้มสดใสปอดส่ง มองเห็นแล้ วปวดจ้าวๆ จดจ่อจุมจี ภุมริ นตัวน้อยมั นคอยดมชมกลิ น มั นเทียวได้แม่นเทียวตอม บทนางลุน (พูด) ลุนจึงก้มกราบเท้าเจ้าพีผั วแพง เดียวนี ราคีกวแก้ ั มหัวผัวเพิ ง ว่าแล้ วได้อุ ้ มอ่อนสามลา ของขวั ญข้าแพรวาผืนแผ่น บทท้ าวทั งหก (พูด) สวั สดีครับผมท้าวทังหก มื อนี ได้ยินข่าวพ่อพระยากุสราช เป็ นโอกาสดีผมสิเอิ นน้องห้าน้องนิน

มาถึงสวนดอกไม้ อินางไท้สิเหล่าชม ดอกนางคานแจมกกก่ายกันกลมเกี ย ต้นคันของขอบข้างภูค ้างผ่องขาว สักกุนีแนวนกเซินบินซมกัว มั นบ่กินดอกไม้ หอมในๆ เอ้ย เอ้ ย ละนา….. เคยเพียรผั นกอดพั นพระนางเกี ยว บุญเลิงๆพีบ่เลี ยงพวกไทบ้านเพินหน่ ายซัง ลงเฮียนหลวงห่วงเฮ ฮน ฮ้อง เอาไปหลายกะบ่ได้มือสิหวกะบ่ ิ มี….. เป็ นลูกแม่นางทั งหกลูกพ่อพระยากุสราช ไล่แม่นางลุนนางจั นทราสิ นไซสังข์ทองสี โหหนี

ไปขอพ่อเป็ นพระยาแทนลาวเบิ งก่อนนา น้องห้าน้องนินมาหาอ้ ายแน่…..

บทนางจันทา (พูด) (พูด)พระเจ้าพีมีเรื องหยั งให้ลองเว้ า น้องสิคอยจํ าเอาคํ าพีเจ้าสอนสั ง แม่นมีเรื องอีหยั งน้องขึ นมาฟ้ าวๆ คือสีหน้าบ่ ซืนบาน พระเจ้าพีลูกเป็ นหอยเป็ นช้างมั นเป็ นมาแต่ผั ดเกิด ส่างมาเปิ ดจ้อๆให้ไทบ้านเพินซาลือแท้ เจ้าพี….. (ลํา) โอ้ ยหนอพีเอ่ยเห็นว่าเป็ น พระยาส่างคุมคนคองโลก สั งบ่อคิดถีถ้ วนกระบวนเรี ยงเรี ยงราว คาวเมือนางคานน้อยอธิษฐานขอลูก มีเทียนทองและดอกไม้ นางวางไว้ แผ่นหิน คราวเมืออินทนินท้าวพระพายกายลงมาเกิด พีสั งบ่ เลี ยงไว้สังจํ าให้ห่างนคร….. บทจารย์ป่อง (พูด) (พูด)สวั สดีครับผมจารย์ ป่อง จากทางอาจารย์ เพินเป็ นผู้ พาเฮ็ด

มื อนี ได้เข้าอบรมการเฮ็ดหนังตะลุง ทางราชภัฏสารคาม มื อนีสิเอิ นปลั ด


181 ปลั ดมึงฮู้บ่ว่าพระยากุสราชไล่ นางลุน นางจันทา สินไซ สังทองสีโหหนีจากบ้านแล้ ว บ่ ว่าจังใด๋ เดียวนีท้าวทั งหกดีใจหลาย กํ าลั งชวนกันสิไปขอพ่อนั งเมือง บทปลัดตื อ (พูด) แม่นหยั งจารย์ ป่อง ท้าวทั งหกสิไปขอนั งเมืองว่าติ พระฤาษี (พูด) นะโมตัสสะ พะคะวะโต

มาซ่างว่าแท้จารย์ ป่อง ไปๆไปจอบเบิ ง….. อื อกูสิพามึงไปจอบเบิ งปะ (เต้ย)..... อะระหะโต

แอ้ ม ! บัดนี สมเด็จท้าวเอ๋ ยนะว่าโกศรี ผมจะยกมือ สีบนิ วขึ นเหนือศเ ียร ไหว้ ไปอีกถึงคุณพระพุทธองค์ทีได้เรี ยนรํ า ไหว้ ไปถึงคุณพระมาลั ยชัยเสน ขอจงลงมานั งกระบาลลูกยา เมือลูกว่ากระไรขออย่าได้ผิด ขอให้รักลูกไปช่องปลอด บัดนี สมเด็จท้าวเอ๋ ยนะวะโกศรี ว่าพลางย่างกลั บหลั งหัน

สัมมาสัมพุทธัสสะ แอ้ ม ! แอ้ ม! (ว่า 3 จบ) ถวายอั ญชุลแี ม่จอมไตร จะไหว้ ตางธูปเทียนและมาลา ไหว้ ไปอีกถึงคุณพระธรรมองค์ทรํี าเรี ยนมา ทีอยู่ในบริ เวณระหว่างวงศ์ ทั งห้าพระองค์ คิดได้เหมือนดั งตาทิพย์ของพระองค์ ไปจนตลอดก่อนลงแม่นี เอ๋ ย ถวายอั ญชุลแี ม่จอมไตร เข้าไปยั งศาลาแม่นีเอ่ย…..

เต้ยหนังตะลุง เจ้ากะละแม่นต่างหล่าง ไผบ่เคยกะละแม่นมาเล่น แงกทางขวานั นถืกแต่ไม้ ถองหมอแคนเทิงผูเ้ ล่น มั นสิต ้องหน่วยกระตอง ทั งหมอซออ้ อนอ่อ พาดิ นเข้าใส่ก ัน คนเคยๆกะไคแหน่ เขาสิเหยียบกะละแม่นหลั งตีน โคมกลองหนังก้นขีทัง

โอ่ๆ โอ้ กะละแม่นสาวเอ้ย เจ้าผู้ ช้างนี กะละแม่นงาเงย หนังตะลุงยุ่งบักใหญ่ แงกทางซ้ายเหยียบแต่กลอง แกงแขนแฮงกะบ่อได้ ทั งมือกลองทั งนักร้อง เหมิดสู่แนวมั นกะแข่นจ้อก้อ ฉันผู้ เป็ นกะละแม่นคนเต้ย ไผผู้ เซ่อกะละแม่นตํ าซ้า บางคนวินจนเซล้ ม คอบมั นอั งกะละแม่นพองจ้อ


182 จอสั นแม่นบ่อนได๋ มั นสิท้อนกะละแม่นแสงเงา อยูบ่ ่อนไฟกะละแม่นมั นแจ้ง ทั งไมค์ย ้ อยย่ามหย่าง ระวั งไว้ แม่นหมู่เฮา โอ้ กะละว่าสาวเอ๋ ย .... จังว่าต้อนกะละแม่นตีแต้ น คันกินหัวมั นแล้ ว ให้เจ้าคิดกะละแม่นสิเริ ม เจ้าผู้ ดวงกะละแม่นดอกไม้ อ้ ายมั นแนวกะละแม่นขีข่า เจ้าผู้ ตากะละแม่นหวานฉํ า พระอวนอ้ ายกะละแม่นส่ง อย่าลืมอ้ ายแม่นผู้ ล ํ า

บ่อนแสงไฟกะละแม่นมั นแจ้ง เขาเลยไปกะละแม่นชุมกั น แสงกับเสียงเรี ยงกันไว้ อยูห่ ว่างกลางมั นละยากกะละแมนยุ่งยั งๆ นั นละนานวนน่า หนาเลาคีงกลมเอ๋ ย…. เจ้าผู้ ติงกะละแม่นมั นแกว ยาลืมแนวหัวมันเพิ ม เอาไว้ กะละแม่นใส่ใจ หอมหลายจนคนซ่า บ่อสมเจ้ายศพระยา ให้อ ้ ายขอกะละแม่นเมือนํา เจ้าผู้ คิ วกะละแม่นคาดได้ นั นละน่านวนน่าหนา…..


183

5.7 สรุปภาพรวมของกิจกรรมต่ างๆและข้ อเสนอแนะ สรุปผลการดําเนินการ การดํ าเนินโครงการการอนุรักษ์ภาพจิตรกรรมฝาผนัง (ฮูปแต้ม)ในจังหวั ดมหาสารคามมี วั ตถุประสงค์เพืออนุรักษ์แหล่งโบราณสถานศิลปกรรมท้องถิ น เพือสร้างความตระหนักให้เห็น คุณค่างานจิตรกรรม( ฮูปแต้ม) และแหล่งศิลปกรรมของท้ องถิ นและเพือสร้างเครื อข่ายการอนุรักษ์ แหล่งศิลปกรรมท้องถิ น โดยใช้พื นทีดํ าเนินการทีตํ าบลดงบัง อํ าเภอนาดูน จังหวั ดมหาสารคาม เป็ นพื นทีทีมีแหล่งโบราณสถานซึ งขึ นทะเบียนจากกรมศิลปากรไว้ แล้ ว2 แห่งคือ วั ดโพธารามและ วั ดป่ าเรไร กลุ่มเป้ าหมายเป็ นชาวบ้านตํ าบลดงบัง ประกอบด้วย8 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มผู้ น ํา กลุ่มทอผ้ า ไหม กลุ่มเด็กและเยาวชน กลุ่มผญา-สรภัญญะ กลุ่มปะโมทัย กลุ่มโรงเรี ยน กลุ่มพระสงฆ์ และกลุ่ม ราชการ โดยใช้กระบวนการดํ าเนินงานแบบมีส่วนร่ วมผ่านกิจกรรมต่างๆทีชาวบ้านทํ าเพือสร้าง เครื อข่ายการทํ างานและสร้างกระบวนการเรี ยนรู้ร่วมกันเชิงบูรณาการต่อไป การดํ าเนินงานทีผ่านมา มีหลั กการทํ างานสําคัญดังต่อไปนี 1. การกําหนดทิศทางการทํางานร่ วมกัน ก่อนการดํ าเนินโครงการนั น มีเป้ าหมายปลายทาง ทีการค้ นหาแนวทางอนุรักษ์แหล่งโบราณสถานและภาพจิตรกรรมฝาผนังให้ยืนนานได้อย่างไร เพือกํ าหนดทิศทางการทํ างานร่ วมกับชุมชน โดยชี ให้เห็นความสําคัญของการอนุรักษ์แหล่ง โบราณสถานท้องถิ น เป็ นหน้าทีของชุมชนทีจะต้องช่วยกั นดูแลรักษา ทํ านุบ ํ ารุ งแหล่งโบราณสถาน ดังกล่าว ด้วยการสร้างความตระหนักในคุณค่า ความภาคภูมิใจให้ก ับชุมชน การกระตุ ้นให้เกิดการ สืบสานแนวทางอนุรักษ์แหล่งโบราณสถานนี ให้ก ับคนรุ่ นต่อไป ดังนั นทิศทางการดํ าเนินงานจึงมุ่งเน้นไปที2 หมู่บ้านซึ งเป็ นทีตั งของวั ดสองแห่งทีมีภาพ จิตรกรรมฝาผนัง (ฮูปแต้ม) คือวั ดโพธาราม บ้านดงบัง และวั ดป่ าเรไร บ้านหนองพอก 2. การทํางานโดยใช้ กระบวนมีส่วนร่ วม เป็ นการทํ างานร่ วมกับชุมชนเพือค้ นหาความ ต้องการของชุมชนอย่างแท้ จริ ง ผ่านการประชุม การอภิปราย ซักถาม ถกปัญหา การค้นหาความ เป็ นไปได้ของโครงการย่อยเพือจะดํ าเนินการต่อไป หลั งจากได้ประชุมปรึ กษาหารื อร่ วมกับ ชาวบ้านแล้ ว พบว่าเรื องทีชาวบ้านต้องการอั นดับแรก คือ ความรู้เกียวกับการอนุรักษ์แหล่ง ศิลปกรรมและภาพจิตรกรรมฝาผนัง ว่าชุมชนจะดูแลรักษา ทํ านุบ ํ ารุ ง แหล่งโบราณสถานนี เรื อง ใดบ้าง พร้อมทั งเป็ นการจุดประกายให้ชุมชนได้คิดทีจะนําเสนอโครงการย่อยอืนๆ ตามมา เมือ


184 กระบวนการเรี ยนรู้ของแต่ละกลุ่มเกิดขึ นแล้ ว จึงสามารถทํ างานและสร้างความเข้าใจระหว่างกั น ต่อไปได้ 3. การกระตุ ้นให้เห็นคุณค่าของท้ องถิน เป็ นการส่งเสริ มให้ชุมชนเห็นความสําคัญเรื อง คุณค่า ความเชือ และศรัทธา ของท้องถิ น โดยทีทุกคนเป็นส่วนหนึ งของการอนุรักษ์แหล่ง โบราณสถานทั งสิ น มีประเด็นดังต่อไปนี 3.1 การกระตุ ้นให้ชุมชนแสวงหาคุณค่าในตัวตน กล่าวคือ ต้องบอกให้ได้ว่าท้องถิ นของ ตนนั นมีอะไรดี คุณค่าของท้องถิ นนั นอยู่ทีไหนมีภูมิปัญญาเรื องอะไรบ้างทียั งคงสืบทอดและอยู่คู่ กับชุมชนมาจนถึงบัดนี แล้ วจะมีวิธีการช่วยกันดูแลรักษาไว้ อย่างไร เป็ นต้น คํ าถามเหล่านี จะ ย้ อนกลั บไปทีชุมชนให้ค ้นหาคํ าตอบถึงคุณค่าความดีงามของท้องถิ น เพือทีจะนํามาใช้เป็ นส่วน หนึ งของการทํ างานต่อไป 3.2 การตีความถึงคุณค่าของท้องถิ น ระบบความคิด ความเชือในการดํ าเนินชีวติ กับ สภาพแวดล้ อมจากอดีตถึงปัจจุบันนั นมีความเหมือนหรื อแตกต่างกันอย่างไร เป็ นคํ าถามสําคัญทีจะ นําไปสู่การค้ นหาสิ งทีจะเชือมโยงระหว่างคุณค่าของภาพจิตรกรรมฝาผนังกับวิถีชุมชนได้ เพราะ ภาพจิตรกรรมฝาผนังเหล่านี ได้สะท้อนเรื องราวความเป็ นมาของชุมชนในอดีต เช่น เรื องราวของ ผูค้ นในสมั ยนั น สภาพธรรมชาติและความอุดมสมบูรณ์ การทํ ามาหากิน ประเพณี รวมถึงศาสนา ความเชือ บาปบุญคุณโทษ ทั งทีเป็ นสิ งมองเห็นและมองไม่เห็น ซึ งชุมชนนี ก็ย ั งคงสืบสานระบบ คุณค่าดังกล่าวอยู่ในวิถีการดํ าเนินชีวิตมาจนถึงทุกวั นนีสิ งนี คือจุดเด่นของชุมชน จุดเด่นดังกล่าวได้แฝงอยู่ในวิถกี ารดํ าเนินชีวิตของชุมชนแห่งนี มานานแล้ ว โดยต้อง ศึกษาให้ลึกลงไปให้มากพอทีจะชี ให้เห็นความสัมพั นธ์กับวิถีชีวิต การใช้วิธีการค้นหาคุณค่าของ ท้องถิ นผ่านกระบวนการสร้างความสัมพั นธ์ระหว่างกลุ่มต่างๆร่ วมกันแล้ วนํามาวิเคราะห์เพือ สะท้อนให้เห็นถึงศั กยภาพของท้องถิ นทีสามารถนําไปสู่การพั ฒนาการเรี ยนรูร่้ วมกันต่อไป สิ ง หนึ งทีเห็นได้ชัดเจนคือ ชุมชนนี ยั งมีภูมิปัญญาท้องถิ นในด้ านต่างๆ หลายคน ซึ งพร้อมจะให้ความรู้ แก่ชุมชนได้เป็ นอย่างดี ได้แก่ ภูมิปัญญาด้านการจ่ายผญาและขับร้องสรภัญญะ การทํหนั า งปะ โมทัย การจักสาน การทอผ้ า และหลวงปู ่ ทีสามารถอ่านอั กษรธรรมได้ เป็ นต้ น หากชุมชนร่ วมกัน ยกย่องเชิดชูบุคคลเหล่านี ให้เป็ นทียอมรับในภูมิปัญญาดังกล่าว ก็ยิ งจะเป็ นการเสริ มสร้างศั กยภาพ ของชุมชนให้แข็งแกร่ งแล้ วนําไปสู่การพั ฒนาทียั งยืนในด้านอืนต่อไป 4. การกําหนดแนวทางการทํางาน ตามภารกิจหลั กของโครงการเน้นกระบวนการทํ างาน แบบมีส่วนร่ วมกับชุมชน โดยการสร้างกระบวนการเรี ยนรู้และทํ าความเข้าใจไปในทิศทางเดียวกั น และสอดคล้ องกับการดํ าเนินชีวิตในปัจจุบัน โดยไม่ให้เกิดความขั ดแย้ งกั นเอง ประกอบกับการ กระตุ ้ นให้เกิดการเรี ยนรูเท่้ าทันการเปลียนแปลงของโลกอั นเนืองมาจากสิ งเร้าจากภายนอกทีอาจจะ


185 ส่งผลกระทบทางลบต่อชุมชนได้ โดยการแสวงหารู ปแบบทีเหมาะสมเพือการจัดการท้องถิ นด้วย ตนเอง แบ่งเป็ น 3 ประเด็นด้ วยกัน 1. การจัดตั งกลุ่ม เพือศึกษาศั กยภาพของแต่ละกลุ่ม 2. การพั ฒนาต่อเนือง โดยใช้กิจกรรมย่อยเป็ นสือกลางการทํ างานร่ วมกันเพือ สร้างกระบวนการเรี ยนรู้และถ่ายทอดความรู้ระหว่างสมาชิก ด้วยการลงมือปฏิบัติร่วมกัน 3. การไปทัศนศึกษา เป็ นการเปิ ดโลกทัศน์ให้ก ับชุมชนเพือให้มีโอกาสแลกเปลียน เรี ยนรู้ร่วมกัน 5. การพัฒนาศักยภาพของผู ้ชว่ ยวิจัย ในช่วงเริ มต้นการดํ าเนินการ ถือว่าเป็ นช่วงทีต้อง เตรี ยมทํ าความเข้าใจกับชุมชนอย่างหนักในหลายประการด้วยกั น ปัญหาหนึ งทีพบในระหว่างการ ทํ างานคือ การขาดความมั นใจของชาวบ้าน เนืองด้วยประสบการณ์ของชาวบ้านพบว่าโครงการ ต่างๆทีเคยผ่านเข้ามาในหมู่บ้านนั น มักจะมาเอาข้อมูลจากหมู่บ้าน มากกว่าทีจะให้อะไรกลั บคืนสู่ ชาวบ้าน ดังนั นในช่วงแรกชาวบ้านจึงเกิดความไม่เชือใจในโครงการนี ด้วยเช่นกัน การแก้ปัญหา คือการค้ นหาผู้ ช่วยวิจ ัยในพื นทีเพือทํ าหน้าทีประสานงาน และทํ าความเข้าใจร่ วมกับชุมชน ผ่านการ ประชุมชี แจงตามโอกาสต่างๆ และดึงคนทีมีความสนใจเป็ นทุนเดิมอยู่แล้ ว เป็ นเป้ าหมายเพือ ส่งเสริ มศั กยภาพต่อไป จากนั นจึงค่อยขยายเครื อข่ายและค้ นหาสมาชิกภายในแต่ละกลุ่ม นอกจากนี ปัญหาความขั ดแย้ งภายในก็เป็ นประเด็นสําคัญ แต่สามารถแก้ไขได้โดยการไม่ ดึงปัญหาขัดแย้ งส่วนตัวเข้ามาสู่เวทีเสวนาในแต่ละครั ง แต่จะใช้ประเด็นการอนุรักษ์แหล่ง โบราณสถานฯ ทีส่งผลกระทบต่อคนทั งชุมชนเป็ นหลั กมาถกปัญหาและอภิปรายร่ วมกัน ดังนั น ผู้ ช่วยวิจ ัยจึงถือว่าเป็ นผู้ ทมี​ี ความสําคัญเป็ นอย่างยิ งสําหรับการดํ าเนินงานในพื นที เพราะ กระบวนการทํ างานแบบมีส่วนร่ วมภายใต้โครงการนี จึงไม่ใช่เพียงแค่การจัดกิจกรรมให้เกิดขึ น เท่านั น แต่ต้องใช้ความรู้ ความสามารถ สติ ปัญญา ไหวพริ บในการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า การ เข้าถึงชุมชนของผู้ ช่วยวิจ ัยร่ วมด้วย เพือให้สอดคล้ องกับวิธีการดํ าเนินการภายใต้กระบวนการมี ส่วนร่ วมของทุกภาคส่วนในพื นที ผ่านกระบวนการดํ าเนินกิจกรรมทีเรี ยกว่า เรี ยนรู้ด ้ วยการปฏิบัติ จริ ง (Learning by Doing) ฉะนั นความรู้ ความสามารถของผู้ ช่วยวิจ ัย ทีจะเข้าไปจั ดกระบวนการ และสามารถควบคุมการดํ าเนินกิจกรรมต่างๆ จึงเป็ นสิ งสําคัญและการมีผู้ ช่วยวิจ ั ยซึ งเป็ นคนใน หมู่บ้านนั น ยั งได้ประโยชน์ในการประสานความสัมพั นธ์ก ับชุมชนและสร้างบุคลากรในชุมชนให้ มีความมั นใจ เข้าใจ และสืบทอดเจตนารมณ์ทีดีต่อไปได้อีกด้วย 6. การดึงทรัพยากรบุคคลมาใช้ ประโยชน์ เพือการพัฒนาท้องถิน การให้ความสําคัญกับ คุณค่าความรู้ความสามารถของคนในท้องถิ นถือเป็ นเรื องสําคัญทีจะทํ าให้เกิดการพั ฒนาและการ ส่งผ่านความรู้ภูมิปัญญาของคนรุ่ นหนึ งไปสู่คนอีกรุ่ นหนึ งได้โดยไม่ยากนัก ฉะนั นทรัพยากรที


186 นํามาสร้างกระบวนการเรี ยนรู้หลั ก คือ ความรู้ ความสามารถ ภูมิปัญญาท้องถิ นทีมีอยู่ในชุมชน นั นเอง รวมทั งปัจจัยอืนๆ ทีเกียวข้องไม่ว่าจะเป็ นงานบุญ งานประเพณี หรื องานสําคั ญตามเทศกาล ต่างๆ เป็ นต้น การจัดกระบวนการเรี ยนรู้ จึงเป็ นการเปิ ดเวทีการเรี ยนรู้ร่วมกันให้ก ับชาวบ้านเปิ ด โอกาสให้ผู้ ทีเกียวข้องได้หันหน้ามาปรึ กษาหารื อกันภายในกลุ่มเพือสร้างกระบวนการขับเคลือน การพั ฒนาของชุมชนไปพร้อมกัน มีการประสานผลประโยชน์ร่วมกัน มองปัญหาร่ วมกัน และมี การวางแผนจัดการร่ วมกัน การนําประเด็นการอนุรักษ์แหล่งโบราณสถานฯเข้าสู่เวทีชุมชนนั น ทํ า ให้ชุมชนได้หันมาให้ความสําคัญในประเด็นร่ วม ทํ าให้การดํ าเนินกิจกรรมเป็ นไปในเชิงบูรณาการ เพือพั ฒนาชุมชนนั นเอง นอกจากนีการดํ าเนินกิจกรรย่อยต่างๆ ทีเกิดจากความต้องการของแต่ละกลุ่ม ภายใต้ เงือนไขทีสามารถปฏิบัติได้จริ ง และต้องเป็ นผู้ ทีสนใจจะมาพั ฒนาท้องถิ นเข้ามาทํ างานร่ วมกั นอย่าง จริ งจัง โดยไม่ได้เกิดจากการจัดตั งแต่อย่างใด ผลการดํ าเนินงานจึงเห็นเป็ นรู ปธรรมคือ เกิดผู้ ท ํ างาน พั ฒนาท้องถิ นอย่างแท้จริ ง และทํ างานด้ วยความตั งใจจริ ง มีการขยายเครื อข่ายภายในท้องถิ นมาก ขึ น ทํ างานร่ วมกั นมากขึ น มีการเปรี ยบเทียบการทํ างานระหว่างกลุ่มด้วยกันเอง จึงทํ าให้ภาพรวม ทั งตํ าบลดงบังมีการเคลือนไหวพั ฒนาไปในทิศทางทีกํ าหนดในช่วระยะเวลาการดํ ง าเนินโครงการที ผ่านมา ตัวอย่าง กลุ่มโรงเรี ยน ภายหลั งจากผ่านกิจกรรมการอบรมมั คคุเทศก์ท้องถิ น เสร็ จสิ นไป แล้ ว ข้อมูลหมู่บ้านส่วนหนึ งได้รับการนําไปพั ฒนาและสร้างหลั กสูตรท้องถิ น และกํ าหนดการทํ า ค่ายศิลปะ 2 รุ่ นในปี การศึกษา 2/ 2551 ส่วนกลุ่มราชการ (อบต. ดงบัง ) ได้ต ั งงบประมาณปี 2552 ด้านการอนุรักษ์แหล่งโบราณสถานศิลปกรรมท้องถิ นอย่างเป็ นรู ปธรรม เป็ นต้น 7. การกระตุ ้นการแลกเปลียนเรียนรูร้ ่ วมกัน เป้ าหมายหลั กของโครงการคือการกระตุ ้ นด้วย กิจกรรมทีจะช่วยในการเสริ มสร้างการแลกเปลียนเรี ยนรู้ร่วมกันระหว่างกลุ่มผู้ ใหญ่ และเด็ก/ เยาวชน เพือส่งผ่านความรู้ของคนรุ่ นหนึ งสู่คนรุ่ นหนึ งได้ อย่างไม่ขาดตอน เช่นการอบรม มั คคุเทศก์ท้องถิ น นั น ได้ กลุ่มภูมิปัญญาในท้องถิ นเช่น นายบุญลี พลคํ ามาก (ภูมิปัญญาด้านปะ โมทัย หรื อหนังตะลุงอีสาน) นายเสถียร พุธไธสง เป็ นต้น มาช่วยในการอธิบายเรื องราวจากภาพ จิตรกรรมฝาผนังให้เด็กและเยาวชนได้เข้าใจ ส่วนค่ายศิลปะรักษ์ฮูปแต้ม ได้หลวงปู ่ ลุน เจ้าอาวาส วั ดป่ าเรไร ได้มาอบรมให้ความรู้และเล่าเรื องราวความเป็ นมาของการสร้างวั ด สิม และหมู่บ้าน ให้แก่ชาวค่าย กลุ่มผญา-สรภัญญะ ได้ภูมิปัญญาท้องถิ นมาช่วยกันขับร้องและถ่ายทอดผ่าน วิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย จังหวั ดมหาสารคาม และแก้ไขบทกลอนให้มีความสละสลวย ยิ งขึ นไปอีก เป็ นต้น นอกจากนี ทางโครงการยั งได้ จ ัดทัศนศึกษานอกสถานที คือ วั ดสนวนวารี พ ั ฒนาราม และ วั ดสระบัวแก้ว ทีจังหวั ดขอนแก่น ให้สําหรับกลุ่มผู้ น ํา เพืการกระตุ อ ้นให้เกิดการเรี ยนรู้ และนํา ความรู้ทีได้มาใช้ในเพือการพั ฒนาท้องถิ นต่อไป ผลลั พธ์จากการจัดกิจกรรมต่างๆ คือ แต่ละกลุ่ม


187 ได้มีการพั ฒนาต่อยอดกิจกรรมออกไป และขับเคลือนไปข้างหน้าพร้อมกั นในทุกกลุ่ม ท้ายทีสุดจะ นําไปสู่กระบวนพั ฒนาทียั งยืนและเป็ นทุนทางสังคมสืบไป 8. การประเมินผล จากการประเมินผลการดํ าเนินงานในภาพรวม จะเห็นได้ว่าชุมชนเกิด การเปลียนแปลงและพั ฒนาไปในทางทีดีขึ น สิ งทีเห็นชัด คือกลุ่มผู้ ใหญ่และภูมิปัญญาชาวบ้านซึ ง เป็ นกลไกสําคัญทีจะขับเคลือนชุมชน ได้ท ํ าหน้าทีประสานระหว่างกลุ่มเด็กเยาวชนกับกลุ่ม พระสงฆ์ได้ จากกระบวนการดํ าเนินงานทีผ่านมา เป็ นการกระตุ ้ นการเรี ยนรู้ของกลุ่มผู้ ใหญ่ในชุมชนให้ เป็ นกลไกขับเคลือนการทํ างานชุมชน พบว่าต้นทุนทางสังคมทีเห็นได้ชัดคือ วั ด สิม ฮูปแต้มทํ าให้ ชาวบ้านรู้ว่าชุมชนตนเองมีต ้ นทุนเหล่านี อยู่ แล้ วยั งสามารถนําต ้นทุนนีมาพัฒนาและสร้างพลั งแห่ง การเรี ยนรู้เพือการพั ฒนาทียั งยืนและยกระดับกระบวนการถ่ายทอดคุณค่าและต้ นทุนเหล่านีส่งต่อ คนรุ่ นต่อไปได้แน่นอน

ข้ อเสนอแนะ 1. คนเป็ นทรัพยากรทีสําคัญของการพัฒนา โครงการการอนุรักษ์ภาพจิตรกรรมฝาผนัง (ฮูปแต้ม) ในจังหวั ดมหาสารคามนี เป็ นโครงการทีเน้นการพั ฒนาคนเพือกระตุ ้ นห้ใ เกิดการดูแล รักษาแหล่งโบราณสถานศิลปกรรมของท้องถิ นไว้ โดยโครงการไม่ได้ไปแตะต้องตั วโครงสร้างทาง สถาปัตยกรรมแต่อย่างใด แต่ใช้กระบวนการมีส่วนร่ วมทางสังคมเพือพั ฒนาชุมชนให้เกิดสํานึกใน การอนุรักษ์แหล่งโบราณสถานดังกล่าว ดังนั นโครงการใดๆก็ตามทีเกียวข้องกับคน งเป็ จึ นเรื องที ต้องใช้ความอดทนในการทํ างาน และต้องใช้ระยะเวลาทํ าความเข้าใจร่ วมกั นเป็ นอั นดับแรก เสียก่อน แม้ จะต้องใช้เวลานานก็ตาม จากนั นจึงจะสามารถวางแผนดํ าเนินงานในขั นตอนอืนๆ ต่อไป 2. แหล่งทุน เนืองด้ วยการเสนอโครงการและการดํ าเนินงานเป็ นไปตามสัญญาของแหล่ง ทุน ทํ าให้โครงการแบบนีเมือดํ าเนินงานเสร็ จตามระยะเวลาทีกํ าหนดแล้ ว ราวกับว่าจะเสร็ จสิ นเมือ โครงการได้ถอนตั วออกจากพื นที ทั งๆทีมีโอกาสจะเกิดการพั ฒนาต่อไปในอนาคตได้ แต่กลั บ ไม่ได้รับการสานต่อ อย่างไรก็ตามการดํ าเนินงานโครงการก็ต ้องมีการวางแผนรองรับไว้ เพือไม่ให้ โครงการทีดีเช่นนี หายไปพร้อมกับหมดสัญญา โดยโครงการได้ประสานงานร่ วมกับการปกครอง ส่วนท้องถิ นตํ าบลดงบัง และฝากให้ทางโรงเรี ยนได้ช่วยสานต่อโครงการเท่าทีจะทํ าได้ รวมทั ง ผู้ ช่วยวิจ ัยในพื นที ก็สามารถสานต่องานต่างๆ ได้ ทั งนี มีข ้ อสังเกตว่การประสานงานไว้ า ในลั กษณะ เช่นนี ในส่วนของโครงการอืนๆในลั กษณะเดียวกั นก็สามารถทํ าได้ แต่เป็ นทีน่าเสียดายทีการสร้าง กระบวนการจัดการเรี ยนรูแ้ ละการพั ฒนาองค์ความรู้ในการอนุรักษ์ฯไม่ใช่เรื องทีทุกคนจะต่อยอด ได้อย่างทันทีทันใด ฉะนั นหากจะต้องการมีการพั ฒนาอย่างต่อเนือง แหล่งทุนหรื อหน่วยงานที


188 เกียวข้องควรเอาใจใส่ต่อกระบวนการทํ างานเชิงการพั ฒนาอย่างจริ งจัง และทํ างานร่ วมกันแบบเป็ น หุ ้นส่วนต่อกั นเพือให้เกิดการสนับสนุนการทํ างานอย่างต่อเนือง และสร้างกํ าลั งใจในการทํ างาน ร่ วมกั นเพือสร้างสรรค์สิ งทีให้เกิดขึ นตามเจตนารมณ์ทีวางไว้ 3. การดําเนินงานต่อไปในอนาคต เนืองด้วยระยะเวลาการดํ าเนินงานโครงการเพียง 12 เดือน อาจจะถือว่าเป็ นการเริ มต้นการดํ าเนินงานโครงการเท่านั น หากแหล่งทุนเห็นว่าการ ดํ าเนินงานนี ควรมีความต่อเนืองทีจะส่งเสริ มพั ฒนาท้องถิ นต่อไปก็ควรทีจะได้รับการสนับสนุน เพราะการทํ างานร่ วมกับชุมชนต้องอาศั ยการทํ างานต่อเนือง มีการปรับเปลียนแผนไปบ้างตาม ความเหมาะสม แต่เป้ าหมายหลั กก็ไม่เปลียนแปลง แล้ วเมือลงมือปฏิบัติในพื นทีจริ งพบว่ามี รายละเอียดต่างๆมากมาย ทีเป็ นเงือนไขสําคัญ คือ ความเป็ นพลวั ตรของคน จึงทํ าให้การทํงานไม่ า สามารถทํ างานเสร็จตามระยะเวลาตามทีกํ าหนด จึงต้องขยายเวลาออกไปอีก3 เดือน เพราะทีมวิจ ัย จะให้ความสําคัญกับสิ งทีเกิดขึ นจากการทํ างานทีผ่านมาโดยการกระตุ ้ นให้ชุมชนได้มีการ ขับเคลือนชุมชน เพือให้หันมาให้ความสําคัญของแหล่งโบราณสถานของท้องถิ นเสียก่อน ซึ ง ระยะเวลาทีขยายออกไปนั นถือเป็ นต้นทุนการทํ างานของทีมวิจ ัย ฉะนั นการวางแผนการทํ างานในขันต่อไป คือการพั ฒนาศั กยภาพของผู้ ใหญ่และเด็กให้มาก ขึ นไปพร้อมๆกั น หลั งจากประเมินผลแล้ วพบว่า เกิดการเปลียนแปลงในชุมชนขึ นมาบ้างแล้ ว ฉะนั นหากมีโอกาสพั ฒนาในพื นทีนี ต่อเนืองไปอีกสักระยะหนึ งจะทํ าให้ชุมชนหันมาช่วยกัน พั ฒนาท้องถิ นอย่างมีศรัทธา และมีจิตสํานึกรักท้องถิ นมากขึ น อั นมีว ั ด สิม ฮูปแต้ม เป็ นศูนย์ รวม ของต้นทุนทางสังคมสืบไป


189

บรรณานุกรม คํ าใหล แสนวิเศษ. อายุ 64 ปี บ้านเลขที 4 หมู่ที 7 บ้านหนองพอก ตํ าบลดงบัง อํ าเภอนาดูน จังหวั ดมหาสารคาม. สัมภาษณ์, 27 มีนาคม 2551. คํ าริ นทร์ มีบุญมาก. อายุ 63 ปี บ้านเลขที 20 หมู่ที 7 บ้านหนองพอก ตํ าบลดงบัง อํ าเภอนาดูน จังหวั ดมหาสารคาม. สัมภาษณ์, 28 มีนาคม 2551. ต่วน เสนาโนฤทธิ. อายุ 78 ปี บ้านเลขที 121 หมู่ 5 บ้านดงบัง ตํ าบลดงบัง อํ าเภอนาดูน จังหวั ดมหาสารคาม. สัมภาษณ์, 27 มีนาคม 2551. ทองสี กํ ามะชัยคํ า.อายุ 70 ปี บ้านเลขที 11 หมู่ที 7 บ้านหนองพอก ตํ าบลดงบัง อํ าเภอนาดูน จังหวั ดมหาสารคาม. สัมภาษณ์, 27 มีนาคม 2551. ทองสุก ทองยศ. อายุ 79 ปี บ้านเลขที 202 หมู่ที 8 บ้านดงบัง ตํ าบลดงบัง อํ าเภอนาดูน จังหวั ดมหาสารคาม. สัมภาษณ์, 26 มีนาคม 2551. พุทธา แสงสี. อายุ 69 ปี บ้านเลขที 20 หมู่ที 7 บ้านหนองพอก ตํ าบลดงบัง อํ าเภอนาดูน จังหวั ดมหาสารคาม. สัมภาษณ์, 30 มีนาคม 2551. แม้ ม บุญถม. อายุ 84 ปี บ้านเลขที 58 หมู่ที 5 บ้านดงบัง ตํ าบลดงบัง อํ าเภอนาดูน จังหวั ด มหาสารคาม. สัมภาษณ์, 27 มีนาคม 2551. ลั ว ปิ นะกะเส. อายุ 61 ปี บ้านเลขที 16 บ้านหนองพอก หมู่ 7 ตํ าบลดงบัง อํ าเภอนาดูน จังหวั ดมหาสารคาม. สัมภาษณ์, 30 มีนาคม 2551. ลุน ธฺมฺมธโล. เจ้าอาวาสวั ดป่ าเรไร. อายุ 71ปี บ้านหนองพอก ตํ าบลดงบัง อํ าเภอนาดูน จังหวั ดมหาสารคาม. สัมภาษณ์, 31 มีนาคม 2551. ศิลปากร, กรม. ทะเบียนโบราณสถานทัวราชอาณาจักร. เล่ม 3 พ.ศ. 2534 – 2539. กรุ งเทพฯ : โรง พิมพ์มหาวิทยาลั ยธรรมศาสตร์, 2540. ศิลปากร,กรม. รายงานสํารวจจิตรกรรมฝาผนังวัดป่ าเรไร จังหวัดมหาสารคาม, เอกสารอั ดสําเนา, 2528. ศาสนา, กรม. กระทรวงศึกษาธิการ. ประวัติวัดทัวราชอาณาจักร เล่ม 12. กรุ งเทพมหานคร : กรม ศาสนา, 2536. หน้า 745-746. สวั สดิ ถาวโร. เจ้าอาวาสวั ดโพธาราม. บ้านดงบัง ตํ าบลดงบัง อํ าเภอนาดูน จังหวั ดมหาสารคาม . สัมภาษณ์, 29 มีนาคม พ.ศ.2551. โสม ประภาโส. เจ้าอาวาสสํานักสงฆ์บ้านเก่าน้อย. อายุ 81 ปี ตํ าบลดงบัง อํ าเภอนาดูน จังหวั ดมหาสารคาม. สัมภาษณ์, 29 มีนาคม 2551. เอกสารแผนยุทธศาสตร์ ระดับหมู ่บ้าน. องค์การบริ หารส่วนตํ าบลดังบัง. เอกสารอั ดสําเนา, 2551.


190

ผู้ดําเนินโครงการ 1. สํานักศิลปะและวั ฒนธรรม มหาวิทยาลั ยราชภัฏมหาสารคาม 1. รศ. ธีรชัย บุญมาธรรม หัวหน้าโครงการ 2. อ.พิษณุ เข็มพิลา ผู้ อ ํ านวยการสํานักศิลปะและวั ฒนธรรม กรรมการ 3. ผศ.กฤษฎา ศรี ธรรมา รองผู้ อ ํ านวยการสํานักศิลปะและวั ฒนธรรม กรรมการ 4. อ.อนุชิต โรจนชีวินสุภร รองผู้ อ ํ านวยการสํานักศิลปะและวั ฒนธรรม กรรมการ 5. อ. นุชจรี ท้าวไทยชนะ รองผู้ อ ํ านวยการสํานักศิลปะและวั ฒนธรรม กรรมการ และเลขานุการ 6.นางรัชนีพร เทียบเพชร ผู้ ช่วยเลขานุการ 7. นางสาวระพีพรรณ แพงวิเศษ ผู้ ช่วยเลขานุการ 2. ผู้ ช่วยภาคสนาม 1. นายพลวิทย์ โยทัยเทียง บ้านดงบัง อํ าเภอนาดูน 2. นางสาว ธิดารัตน์ ปฏิเวชวั ฒนางกูร บ้านดงบัง อํ าเภอนาดูน 3. กองทุนด้านการอนุรักษ์ว ั ฒนธรรม สถานทูตสหรัฐอเมริ กา ประจํ าประเทศไทย 4. องค์การบริ หารส่วนตํ าบลดงบัง 1. นายสังคม วงษ์นอก นายกองค์การบริ หารส่วนตํ าบล 2. นางประภาวริ นทร์ หัตถสินธุ์ นักวิชาการ 5.โรงเรี ยนดงบังพิสัยนวการนุสรณ์ 1. นายทรงรัตน์ ธนมาลาพงศ์ ผู้ อ ํ านวยการ 2. นางลั ดดาวั ลย์ สีทิศ รองผู้ อ ํ านวยการ ฝ่ ายวิชาการ 3. นางระวิวรรณ ยอดญาติไทย 6. โรงเรี ยนชุมชนบ้านดงบัง 1. นายจาตุรนต์ ปะกิน ําหัง ผู้ อ ํ านวยการ

...................................


191 ประมวลภาพพิธปี ิ ดโครงการฯ

มิสเตอร์ จอห์น ปอล ชูทติ (Mr. John Paul Schutte) ผู ้ ช่วยทูตฝ่ ายวั ตนธรรม สถานเอกอั ครราชทูต สหรัฐอเมริ กา กล่าวความเป็ นมาของโครงการฯ

รําฮูปแต้ ม เปิ ดงาน

คณะดูงาน ชมการแสดงบนเวที

สาธิตการแสดงหนังปะโมทั ย

สาธิตการขั บร้องสรภั ญญะ

ผูเ้ ข้ าร่ วมประชุมปิ ดโครงการฯ ณ หอประชุมโรงเรี ยนดงบั งพิสัยนวการนุสรณ์


192

คณะดูงานจากสถานเอกอั ครราชทูตสหรัฐอเมริ กาถ่ายรู ปร่ วมกั น มิสเตอร์ จอห์น ปอล ชูทติ มอบภาพทีระลึกให้อบต. ดงบั ง

มิสเตอร์ จอห์น ปอล ชูทติ มอบภาพทีระลึกให้ก ั บโรงเรี ยนดงบั งพิสัยนวการ นุสรณ์

ผลงานผ้ าไหมลายฮูปแต้ ม

อาจารย์ นุชจรี ท้ าวไทยชนะ อธิบายการมั ดหมีลายฮูปแต้ ม แก่มิสเตอร์ จอห์น ปอล ซูทติ

เยียมชมกลุ่มทอผ้ าไหมลายฮูปแต้ ม

มิส แครอล สตีเฟนส์ (Mrs. Carol W. Stephens) Public Diplomacy Assistant ลองทอผ้ าไหม

กลุ่มทอผ้ าไหม มอบผ้ าไหมลายฮูปแต้ มแก่ มิสเตอร์ จอห์น ปอล ชูทติ เป็ นทีระลึก


193

กลุ่มทอผ้ าไหม มอบผ้ าไหมลายฮูปแต้ มแก่มิส แครอล สตีเฟนส์ เป็ นทีระลึก

กลุ่มทอผ้ าไหม มอบผ้ าไหมลายฮูปแต้ มแก่คุณกั ญชลี จิตต์แจ้ง ฝ่ ายสื อมวลชนและวั ฒนธรรม เป็ นทีระลึก

ถ่ายรู ปร่ วมกั นกั บกลุ่มทอผ้ าไหม บ้ านดงบั ง

เยียมชมสิ มวั ดโพธาราม บ้ านดงบั ง

ยุวมั คคุเทศก์น ํ าชมและบรรยายภาพจิตรกรรมฝาผนัง ทีวั ดโพธาราม

เยียมชมสิ มวั ดป่ าเรไร บ้ านหนองพอก


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.