ISSUE 60 JULY 2018 เรื่องและภาพโดย : พนาพร ปิยวนิชพงษ์ เรียบเรียง : ดวงพร เพชรสังกฤต
ท่องทั่ว YAMAGUCHI
ไม่ใช่ครัง ้ แรกที่ Checktour Magazine มีโอกาสได้เดินทางไปเทีย ่ ว “จังหวัดยามากุจ”ิ แต่จะให้นบ ั ว่ามากันกีค ่ รัง ้ แล้วก็ยากจะจ�า รูแ้ ค่วา่ มาทีไร ก็ชอบทุกครัง ้ เพราะฉะนัน ้ จะให้เทีย ่ วยามากุจซ ิ า�้ กีค ่ รัง ้ ก็ยง ั รูส ้ ก ึ สนุก ตืน ่ เต้นตืน ่ ตาและไม่เบือ ่ ทีจ ่ ะไปตามรอยตัวเองในสถานทีท ่ ท ี่ ง ั้ คุน ้ ตาและคุน ้ ใจ
แต่สา� หรับคุณผูอ ้ า่ นทีย ่ ง ั ไม่เคยเทีย ่ วยามากุจเิ ลยอาจไม่เห็นภาพว่าจังหวัดนีม ้ อ ี ะไรน่าชม เพราะส่วนใหญ่ใจมุง ่ ไปทีโ่ ตเกียว โอซาก้า ฮอกไกโดกันเสียหมดจนลืมว่าญีป ่ น ุ่ ยังมีอก ี หลายจังหวัดน่าสนใจกระจายอยูท ่ วั่ ทุกภูมภ ิ าค และยามากุจก ิ เ็ ข้าข่ายการ เป็นจังหวัดน่าเทีย ่ วมาก เพียงแต่สด ั ส่วนคนไทยทีเ่ คยเทีย ่ วยามากุจแิ ล้วยังถือว่าน้อยกว่าคนทีไ่ ม่เคยเทีย ่ วอยูม ่ ากโข ทริปนีจ ้ ง ึ เป็นจังหวะดีๆ ให้ได้อพ ั เดทสถานทีค ่ น ุ้ ๆ กันอีกครัง ้ ตามหมายเชิญของการท่องเทีย ่ วแห่งจังหวัดยามากุจิ ชือ ่ นีท ้ า� ให้มน ั่ ใจได้ตง ั้ แต่ ก่อนเดินทางเสียด้วยซ�า้ ว่าจะต้องเทีย ่ วสนุกและประทับใจแน่นอน เราเดินทางถึงยามากุจิโดยเริ่มต้นเดินทางกันสบายๆ ด้วยบริการจากสายการบินไทยที่พาเราบินออกจากสนามบิน สุวรรณภูมไิ ปถึงสนามบินฟูกโุ อกะแล้วค่อยนัง ่ รถบัสต่อกันไปจนเข้าเส้นชัยทีย ่ ามากุจิ หลังจากก้มอ่านโปรแกรมตลอดทริปแล้ว มีความเชือ ่ เป็นส่วนตัวว่านีจ ่ ะเป็นอีกทริปพิเศษทีไ่ ด้เทีย ่ วสถานทีส ่ า� คัญและน่าสนใจในยามากุจก ิ น ั แบบครบถ้วนจริงๆ
KAIKYOKAN AQUARIUM ยามากุจิต้อนรับเราด้วยสีสันแห่งโลกใต้ทะเลที่ “พิพิธภัณฑ์สัตว์น�้าไคเคียวคัง” (Kaikyokan Aquarium) ไม่วา่ จะเป็นเด็กหรือผูใ้ หญ่มาถึงทีน่ แี่ ล้วก็มกั จะอยากอยูก่ นั นานๆ เพราะเป็นเหมือนสวรรค์ของคนรักทะเลและเราเองก็ชอบมาก พิพิธภัณฑ์สัตว์น�้าแห่งนี้ตั้ง อยูใ่ นเมืองชิโมโนเซกิ (Shimonoseki) มีชอื่ เสียงโดดเด่นจากนกเพนกวินและปลาปักเป้าทัง้ ในเรื่องชนิดและจ�านวน ในขั้นต้นเราจะได้ชมบ่อนกเพนกวินที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นและใหญ่ เป็นอันดับต้นๆ ของโลก ชมเพนกวินหลายสายพันธุ์แบบใกล้ชิดมากกว่าที่ได้เคยสัมผัส ทีไ่ หนมาก่อน ชมการแสดงความสามารถของโลมา และชมโครงกระดูกวาฬสีนา�้ เงินขนาด ใหญ่โตมโหฬารที่เมื่อครั้งยังมีชีวิตเจ้าวาฬตัวนี้มีขนาดล�าตัวยาวถึง 26 เมตร ภายในพิพธิ ภัณฑ์ถกู ออกแบบให้เป็นอาคาร 4 ชัน้ ทีแ่ ยกโซนพืน้ ทีเ่ ลีย้ งสัตว์นา�้ ให้หลาก หลายชนิดออกไปพร้อมให้เข้าชมได้ทั่วบริเวณ แต่อย่างที่ว่าไว้คือโซนเพนกวินจะมีขนาด กว้างใหญ่และโดดเด่นกว่าใคร และบ่อเพนกวินที่เล่าว่าใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นนั้นมีความลึก 6 เมตร จุน�้าได้มากถึง 700 ตัน มีการสร้างทางเดินล้อมโซนเพนกวินเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ เดินชมการด�ารงชีวิตของเพนกวินแบบรอบทิศ หากต้องการสัมผัสบรรยากาศโลกใต้ท้อง ทะเลก็ยังมีอุโมงค์ใต้น�้าให้เดินลอดเข้าไปชมท้องทะเลสวยๆ ได้ในอีกมุม
KAWARA SOBA เราได้พบว่าการกินโซบะแบบเดิมๆ ถูกท�าให้เปลี่ยนไปเมื่อมาที่นี่ “Takase South Main Store” ร้านโซบะในชิโมโนเซกิ ร้านนี้มี “คาวาระ โซบะ” (Kawara Soba) ซึ่งเป็นโซบะที่เสิร์ฟ มาบนแผ่นกระเบื้อง ดูแล้วไม่ได้ต่างไปจากกระเบื้องมุงหลังคาเท่าไรนัก แม้จะท�าให้รู้สึกสนุก ตืน่ เต้นกับรูปแบบการเสิรฟ์ อยูบ่ า้ งแต่เส้นโซบะและเครือ่ งเคียงทัง้ หลายก็ดนู า่ กินจนอดใจไม่ไหว เชื่อว่าหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วนอกจากที่ชิโมโนเซกิแห่งนี้ การเสิร์ฟโซบะบนแผ่นกระเบื้องแม้จะดูว่าเป็นลูกเล่นเก๋ๆ ของร้านแต่นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะถือเป็นรูปแบบการกินที่ถูกดัดแปลงมาจากวิถีชีวิตของทหารในช่วงสงครามที่ในระหว่าง การรบเรื่องอาหารการกินก็คงไม่ได้สมบูรณ์แบบนัก เรื่องจะให้มีจานชามรองอาหารเหมือนกิน อยู่ที่บ้านคงไม่ใช่ จึงน�าเอาแผ่นกระเบื้องมุงหลังคานี่แหละมารองอาหารกินกันให้ผ่านไปใน แต่ละมือ้ อย่างเรียบง่าย และกลายมาเป็นรูปแบบทีโ่ ดดเด่นของร้านนี้ มีขอ้ ดีตรงทีก่ ระเบือ้ งช่วย เก็บความร้อนให้กบั โซบะของเราได้นาน ตามด้วยข้าวหน้าปลาไหลทีเ่ สิรฟ์ มาพร้อมกันท�าให้มอื้ นี้อิ่มกันแบบหนักๆ ไปหลายชั่วโมง 65
FUKUTOKU INARI SHRINE
มาไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์กันหน่อย ที่ยามากุจิมีศาลเจ้าแห่งหนึ่งที่ดู เหมือนจะไม่ได้ใหญ่โตจนมีผู้คนมากราบไหว้กันมากมายนัก แต่ก็ ถือว่าได้รบั ความนิยมและมีชอื่ เสียงพอสมควร “ศาลเจ้าฟุคโุ ตคุ อินาริ” (Fukutoku Inari Shrine) จุดเด่นส�าคัญคือการเป็นศาลเจ้าที่ตั้งอยู่บน เนินเขาริมหน้าผาหันหน้าออกสู่ทะเล แนะน�าให้เดินเข้าสู่ตัวศาลเจ้า ผ่านโทริอทิ ไี่ ด้ชอื่ ว่าเป็น “โทริอพิ นั ต้น” ซึง่ แม้จะมีจา� นวนจริงไม่ถงึ พัน ต้นแต่ก็มีมากจนชวนให้ทึ่งในความอลังการ เมื่อเดินลอดโทริอิขึ้นไป จนถึงเนินผาด้านบนเราได้เห็นทั้งตัวอาคารศาลเจ้าที่สวยงามและวิว ทะเลโดยรอบที่มีเกาะอีกหลายแห่งกระจายอยู่ใกล้บ้างไกลบ้างสลับ กันไป TSUNOSHIMA BRIDGE ด้วยระยะทางที่ไม่ไกลจากชายฝั่งเมืองชิโมโนเซกิมากนักเรายังพอมองเห็น “เกาะซึโนะชิมะ” (Tsunoshima Island) พืน้ ทีเ่ งียบสงบแต่บรรยากาศดี มีชายหาดสวย ด้วยทรายขาวและน�า้ ทะเลใส ถือเป็นแหล่งท่องเทีย่ วยอดนิยมของเมือง และจะยิง่ นิยม มากขึน้ เมือ่ เข้าสูช่ ว่ งฤดูรอ้ น ทัง้ ยังเดินทางง่ายเพราะมี “สะพานซึโนะชิมะ” (Tsunoshima Bridge) ความยาวถึง 1,780 เมตรเชื่อมโยงฝั่งเมืองและเกาะไว้ด้วยกัน สะพานซึโนะชิมะสร้างขึน้ เมือ่ ปี 2000 ด้วยเหตุผลพืน้ ฐานคือให้เป็นเส้นทางสัญจร ของรถราโดยไม่มีการเก็บค่าผ่านทาง ส่วนเว้าส่วนโค้งของสะพานก็มองดูสวยงามตัด กับสีนา�้ เงินเข้มของทะเล ถ้าขึน้ ไปยืนอยูบ่ นเกาะก็จะได้พบกับมุมภาพสวยๆ เมือ่ มอง มายังตัวสะพาน สวยงามชัดเจนในทุกฤดูกาลและทั้งกลางวันกลางคืน
MOTONOSUMI INARI SHRINE หลังแยกตัวออกมาจาก “ศาลเจ้าไทโคดานิ” (Taikodani Inari Shrine) ต่อมาในปี 1955 “ศาลเจ้าโมโตโนะสุมิ อินาริ” ก็ถูกสร้างขึ้นริมทะเล ตามมาด้วยความโดดเด่นจากการสร้าง เสาโทริอิสีแดง 123 ต้นเรียงไล่ระดับขึ้นมาจากเชิงเขาจนถึงเนินผาด้านบนเป็นทางเดินยาว ประมาณ 100 เมตร คนที่นี่เชื่อกันว่าหากได้เดินลอดใต้เสาโทริอิตั้งแต่ต้นจดปลายจะโชคดี มีทางเดินเป็นพื้นซีเมนต์เรียบสลับกับบันไดกว้างช่วยให้เดินง่ายและไม่เหนื่อย จนเมื่อเดินขึ้นไปจนสุดปลายทางผ่านโทริอิต้นสุดท้ายแล้วด้านหน้าคืออาคารศาลเจ้า ส่วนด้านหลังเมื่อหันกลับไปมองจะพบกับความสวยงามของทิวทัศน์ทะเลที่มีเส้นทางของ โทริอสิ แี ดงเลือ้ ยคดเคีย้ วจากเนินผามาจนถึงจุดทีเ่ รายืนอยู่ สวยงามจนยากจะอธิบายได้ดว้ ย ตัวหนังสือ พูดได้วา่ นอกเหนือจากการเป็นศาลเจ้าทีช่ าวเมืองให้ความเคารพนับถือแล้วทีน่ ยี่ งั เป็นจุดชมวิวทะเลดีๆ ของยามากุจิไปด้วย ที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือศาลเจ้าแห่งนี้จะตั้งกล่อง ท�าบุญไว้บนคานโทริอสิ งู 6 เมตรทีส่ งู ทีส่ ดุ และโยนเหรียญใส่ยากทีส่ ดุ ในญีป่ นุ่ ชวนให้อธิษฐาน แล้วโยนเหรียญขึ้นไป หากท�าส�าเร็จโยนเหรียญลงกล่องได้ก็เชื่อว่าค�าอธิษฐานจะเป็นผล
66
และเราไม่พลาดจะแวะไปเดินชมวิวสวยๆ กันก่อนเข้าที่พัก ที่ “เนินเขาขั้นบันไดเซ็นโจจิกิ” (Senjojiki) ซึ่งเป็นแนวเนินเขาสูง ราว 333 เมตรที่สามารถเห็นทิวทัศน์ของนากาโตะได้แบบ 360 องศากว้างไกลโดยไม่มีอะไรมาบดบังสายตา
MARA KANNON SHRINE เราเคลือ่ นขบวนไปกันต่อทีเ่ มืองนากาโตะ (Nagato) เพือ่ จะไปชม “ศาลเจ้ามาระ คันนอน” (Mara Kannon Shrine) ศาลเจ้าชือ่ ดังของเมือง ที่แม้มีขนาดไม่ใหญ่ แต่เป็นศาลเจ้าขนาดเล็กที่ร่มรื่นด้วยแนวต้นไม้ สูงใหญ่ ช่วยให้อากาศดี สดชื่น เพียงแค่ย่างขาเข้ามาภายในพื้นที่ของ ศาลเจ้าเราก็รู้สึกใจสงบไปแบบไม่รู้ตัว ศาลเจ้ามาระถือเป็นสถานที่เก่า แก่ประจ�าเมืองที่ชาวนากาโตะผูกพันและแวะเวียนกันเข้ามาสักการะอยู่ สม�่าเสมอ โดยเฉพาะการขอพรด้านสุขภาพและขอให้มีลูกเข้ามาเป็น สมาชิกใหม่ของครอบครัวจะเป็นที่นิยมมาก
OMIJIMA ว่ากันว่าไฮไลท์ประจ�าเมืองนากาโตะต้องเป็นที่นี่ “เกาะโอมิ” (Omijima) เกาะสวย ร�่ารวยหินรูปร่างแปลกตาเยอะแยะกระจาย อยู่ทั่วชายฝั่งรอบเกาะที่สวยงามจากแรงกัดเซาะของน�้าทะเลมาเป็น เวลานาน เกาะโอมิตงั้ อยูใ่ นพืน้ ทีข่ อง “อุทยานแห่งชาติคติ ะนากาโตะ ไคคัง” (Kita Nagato Kaigan Quasi National Park) และกิจกรรม สนุกชวนเพลิดเพลินใจเมื่อมาถึงเกาะโอมิก็คือการล่องเรือชมวิวชม ความสวยงามของเกาะที่อยากให้ทุกคนได้สัมผัสประสบการณ์นี้ซึ่ง รวมแล้วใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง
HAGI MEIRIN GAKUSHA เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของนากาโตะที่ดัดแปลงสถานที่เก่าซึ่งเคย เป็นโรงเรียนประถมมาเป็นพิพธิ ภัณฑ์ และได้ชอื่ ว่า “ฮากิ เมริน กาคุชะ” (Hagi Meirin Gakusha) ตัวอาคารเก่าแก่ที่สร้างเมื่อปี 1935 ยังคงสภาพเดิมไว้ ไม่เปลีย่ น และได้รบั การขึน้ ทะเบียนให้เป็นสมบัตทิ างวัฒนธรรมแห่งชาติไปแล้ว ส่วนการเข้าชมภายในยิ่งน่าสนใจเพราะอาคารไม้ที่นี่สวยคลาสสิกมากแม้จะ เก่าไปบ้างตามกาลเวลา พิพิธภัณฑ์ฮากิ เมริน กาคุชะมีศูนย์บริการข้อมูลให้นักท่องเที่ยวได้รู้จัก ที่มาที่ไปของสถานที่แห่งนี้มากขึ้น บริเวณชั้น 2 จะจัดแสดงประวัติของผู้ก่อตั้ง ข้อมูลการก่อตัง้ โรงเรียน มีการดูแลรักษาห้องเรียนเก่าไว้อย่างดีจนอดนึกถึงช่วง เวลาวัยเด็กของตัวเองไม่ได้ ส่วนช่วงค�า่ จะมีการจัดแสดงแสงสีประดับไฟสวยๆ ให้ได้ชมกันด้วย ให้บรรยากาศทีต่ า่ งกันไปใน 2 ช่วงของวันแต่กน็ า่ ชมด้วยกันทัง้ คู่
67
SHOIN SHRINE แอบเรียกทริปนี้ว่าเป็นทริปแสวงบุญเพราะเราก�าลังจะไปศาลเจ้ากันอีกแล้ว ที่นี่ “ศาลเจ้าโชอิน” (Shoin Shrine) ศาลเจ้าเล็กๆ ที่มีความส�าคัญมากเพราะสร้างขึ้นในปี 1890 เพื่ออุทิศแด่ “โยชิดะ โชอิน” (Yoshida Shoin) ผู้ซึ่งเป็น ทั้งครู นักคิด และหนึ่งในผู้น�าด้านการปฏิรูปญี่ปุ่นช่วงปลายยุคเอโดะ คนที่พากันมาสักการะศาลเจ้าแห่งนี้ก็เพื่อขอพร ด้านการศึกษาเป็นหลักเพราะยกย่องให้โยชิดะ โชอินเป็นเสมือนเทพแห่งการศึกษา ในบริเวณเดียวกันยังเป็นทีต่ งั้ ของอดีต “โรงเรียนมัตสึชติ ะ” (Matsushita Private School) ทีเ่ คยเปิดให้มกี ารเรียน การสอนแบบเฉพาะกลุ่มเมื่อปี 1842 โดยมีลุงของโยชิดะ โชอินเป็นผู้ริเริ่มก่อนจะสืบทอดการสอนมาถึงมือของผู้เป็น หลานในปี 1857 สภาพโรงเรียนแห่งนี้คือมีอาคารหลังเล็กเพียงอาคารเดียว และก็มีแค่ชั้นเดียวที่เปิดให้ผู้ที่สนใจจาก ทุกชนชั้นเข้าเรียนได้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการเรียนการสอนในหลักสูตรการเมืองการปกครองจนสามารถผลิตนักเรียนที่ กลายมาเป็นบุคคลส�าคัญในหน้าประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นอยู่หลายท่าน
UNRIN-JI TEMPLE มาเที่ยวชมวัดกันอีกแล้ว แต่คราวนี้มีสีสันอยู่ตรงที่ “วัดอุนรินจิ” (Unrin-ji Temple) เป็นวัดที่บรรดาทาสแมวทั้ง หลายทั้งในญี่ปุ่นจนถึงทั่วโลกอาจจะอยากกรี๊ดหนักๆ เพราะ ในอีกด้านหนึ่งวัดนี้มีชื่อเรียกว่า “Nekodera” หรือ “Cat Temple” นั่นเพราะทุกซอกทุกมุมภายในวัดจะมีทุกสรรพสิ่งที่ เกีย่ วกับแมว ทัง้ เครือ่ งรางเวอร์ชนั่ แมว เครือ่ งเซรามิก ไม้ขดี ไฟ ซึ่งแน่นอนว่าเกี่ยวกับแมวทุกชิ้น เราสามารถวาดรูปแมวลงบน แผ่นไม้แล้วอธิษฐานขอพร มีมุมถ่ายภาพให้ได้เลือกสวมหัว มาสคอตเป็นแมวกันอย่างสนุกสนาน มีเซียมซีแบบแมวๆ ให้ ได้ลองเขย่ากันซึ่งไม่ธรรมดาเลยเพราะมีค�าท�านายเป็นภาษา ไทยให้ด้วย และที่ชวนให้สบายใจปนความน่ารักก็คือให้เราได้ แตะหรือลูบองค์พระพุทธรูปแมวตามความเชื่อที่ว่าจะขจัดโรค ภัยไข้เจ็บในตัวเองได้
68
TSUWANO โปรแกรมต่อมาเราไปเที่ยวจังหวัดชิมาเนะ (Shimane) โดย เริม่ ต้นกันทีเ่ มืองซึวาโนะ (Tsuwano) เพือ่ ชมวิวสวยของเมืองทีร่ ายล้อม ด้วยทิวเขาสูง มองเห็นอาคารบ้านเรือนเก่าแก่เรียงเป็นระเบียบทัว่ เมือง และมีโอกาสได้ท�าความรู้จักกับเมืองนี้ให้มากขึ้นด้วยการแวะไปที่ “ศูนย์ขอ้ มูลมรดกชาติแห่งซึวาโนะโช” (Tsuwano-Cho Japan Heritage Center) ภายในนอกจากจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับเมืองซึวาโนะทั้งด้าน ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมแล้วยังมีการจัดแสดง “ร้อยวิวแห่ง ซึวาโนะ” (Hyakkeizu) ที่ล้วนแต่เป็นภาพวาดในมุมต่างๆ ในอดีตของ เมืองโดยน�ามาเปรียบเทียบคู่กับภาพวาดและภาพถ่ายของเมืองใน ปัจจุบันให้ได้ฮือฮากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อีกสถานทีท่ จี่ ะท�าให้ได้รจู้ กั อดีตและวิถชี วี ติ ของชาวซึวาโนะก็คอื “ซึวาโนะ โอไกมุระ ฟุรุซาโตะ” (Tsuwano Ohgaimura Furusato) ซึ่ง เป็นพื้นที่จัดแสดงข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของเมืองหลายชนิด เช่น ขั้นตอนการผลิตผลิตภัณฑ์พื้นเมืองอย่าง “กระดาษข้าว” (Rice Paper) ซึ่งเป็นวัสดุดั้งเดิมที่จะน�าไปประดิษฐ์เป็นพัด ตุ๊กตา และอื่นๆ อีกมากมาย แนะน�าว่าอย่าลืมชมของดีอีกอย่างหนึ่ง นั่นคือ “วาซาบิ” ซึวาโนะเป็นแหล่งเพาะปลูกวาซาบิคุณภาพดีที่นอกจากจะใช้เป็นส่วน ประกอบในแต่ละมือ้ อาหารแล้วชาวเมืองนีย้ งั น�าวาซาบิไปเป็นส่วนผสม ของไอศกรีมและผักดองอีกด้วย
TAIKODANI INARI
SHRINE บอกแล้วว่านี่เป็นทริปแสวงบุญ ย�้ากันให้ชัดๆ อีกครั้งที่ “ศาลเจ้าไทโคดานิ อินาริ” (Taikodani Inari Shrine) ศาลเจ้า เก่าแก่ทสี่ ร้างขึน้ ตัง้ แต่ชว่ งกลางศตวรรษที่ 18 ตัง้ อยูท่ างตะวันออก เฉียงเหนือของปราสาทซึวาโนะเพื่อหวังให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย คุ้มครองปกป้องผู้ที่อยู่อาศัยภายในปราสาทได้รอดพ้นจาก สิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย ปัจจุบันศาลเจ้าแห่งนี้เป็นที่เคารพบูชาของ บุคคลทัว่ ไปซึง่ จะมากราบไหว้เพือ่ ขอพรให้เรือกสวนไร่นาพืชผัก ผลไม้ของตัวเองเจริญงอกงาม มีชีวิตรุ่งเรืองและโชคดีตลอดปี ตัวอาคาร ศาลเจ้าไทโคดานิ อินาริ ตัง้ อยูบ่ นเนินเขา การขึน้ ไปยังศาลเจ้าเราต้องเดินขึ้นบันไดที่คร่อมด้วยเสาโทริอิไป เรือ่ ยๆ ราว 15 นาทีกถ็ งึ ทีห่ มาย ได้เห็นก็แน่ชดั ถึงความสวยงาม ของศาลเจ้าที่ถูกสร้างขึ้นอย่างประณีตและดูยิ่งใหญ่ ส่วนวิว สวยๆ ของตัวเมืองซึวาโนะที่มองจากจุดที่ตั้งของศาลเจ้าก็ถือ เป็นของแถมที่สวยงามอีกด้านหนึ่งของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
69
IWAKUNI และนีค่ อื แลนด์มาร์กส�าคัญของอีกเมืองทีเ่ ราได้มาเยือน เมืองอิวาคุนิ (Iwakuni) เป็นเมืองทีม่ ี “สะพานคินไตเคียว” (Kintaikyo Bridge) เป็นจุดสนใจจากความสวยงามแปลกตาด้วยยรูปทรงที่ไม่ค่อยได้พบเห็นที่ไหนบ่อยนัก สะพานคินไตเคียวสร้างขึ้นเมื่อปี 1673 เพื่อใช้ข้ามแม่น�้านิชิกิ (Nishiki River) ที่กว้างใหญ่ เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของสะพานแห่งนี้คือการสร้างด้วยไม้ทั้งหมดให้มี ลักษณะโค้งต่อกันในจุดทีเ่ ป็นเสารับน�า้ หนัก ดูสวยงามไม่ซา�้ ทีไ่ หนๆ ด้วยรูปทรงนีท้ า� ให้คนิ ไตเคียวกลายเป็น 1 ใน 3 ของสะพานทีส่ วยงาม ทีส่ ดุ ในญีป่ นุ่ ว่าตัวสะพานสวยแล้ว หากเข้าสูช่ ว่ งฤดูใบไม้ผลิ ทิวดอกซากุระสองข้างล�าน�า้ นิชกิ จิ ะแข่งกันบานอย่างสวยงามทีไ่ ม่วา่ จะมอง ลงไปจากบนสะพานหรือยืนมองจากริมแม่น�้าก็สวยงามทั้งนั้น และก็จะกลายเป็นจุดชมใบไม้เปลี่ยนสีที่อลังการสุดหัวใจเมื่อเข้าสู่ ช่วงฤดูใบไม้ร่วง ไม่ว่าจะชมทิวทัศน์เหล่านี้ด้วยวิธีใดก็ไม่อยากให้มองข้ามการล่องเรือชมความสวยงามของธรรมชาติในบริเวณนี้ รับรองว่าไม่ผิดหวังและจะจ�าติดใจไม่มีวันลืม
ในย่านใกล้เคียงกันซึง่ เพียงข้ามฟากผ่านสะพานคินไตเคียวมานีเ้ ป็นพืน้ ทีท่ นี่ า่ เดินเทีย่ วในสไตล์เมืองเก่า และเพราะอยากให้ รู้จักอิวาคุนิให้ดียิ่งขึ้นจึงขอแนะน�าให้ใครก็ตามที่มาถึงเมืองนี้ได้เข้าชม “ศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว ฮงเกะ มัตสึกาเนะ” (Iwakuni Visitors Center Honke Matsugane) ซึ่งจะมีข้อมูลเกี่ยวกับเมืองอิวาคุนิตั้งแต่ประวัติความเป็นมาไปจนถึงความเป็นอยู่ ของชาวเมือง มีการบอกเล่าถึงผลิตภัณฑ์ขึ้นชื่อของเมืองและจัดแสดงชุดเกราะโบราณของเหล่านักรบในอดีต มีสาเกและเครื่อง กระเบื้องสวยๆ วางจ�าหน่ายภายใน ลองเข้าชม “พิพธิ ภัณฑ์งขู าว” ทีร่ วบรวมข้อมูลเกีย่ วกับงูขาวจนถึงมีกรงงูขาวทีเ่ ลีย้ งไว้ให้นกั ท่องเทีย่ วได้ชมด้วย มีสสี นั ความ อร่อยเป็นไอศกรีมร้อยกว่ารสชาติให้ได้ชิมกันจากร้านที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ เชิงสะพานคินไตเคียว ซึ่งในบรรดาร้อยกว่ารสชาตินี้มีตั้งแต่ รสชาติธรรมดาทั่วไปจนถึงรสชาติที่จะท�าให้เราต้องอึ้งไปกับความคิดสร้างสรรค์ของผู้ผลิต เช่น รสโชยุ รสราเมง รสพริก รสแกง กะหรี่ รสนัตโตะ รสปลาแห้ง รสยากิโซบะ รสไก่ทอด รสทาโกะยากิ ได้ลองชิมและได้สนุกกับการเลือกรสไอศกรีมไปพร้อมกัน เดินเล่นชมเมืองไปเรือ่ ยๆ ก่อนจะถึงยังแลนด์มาร์กส�าคัญของเมืองอีกแห่งอย่าง “ปราสาทอิวาคุน"ิ (Iwakuni Castle) ปราสาท สีขาวสวยทีต่ งั้ อยูบ่ นเนินเขาชิโรยามะซึง่ สร้างขึน้ ครัง้ แรกเมือ่ ปี 1608 และสร้างขึน้ ใหม่อกี ครัง้ ในปี 1962 หลังจากของเดิมถูกท�าลาย ลง ตัวอาคารสูง 4 ชั้นแบ่งออกเป็นพื้นที่เก็บรักษาอาวุธยุทโธปกรณ์ ชุดเกราะโบราณและข้าวของเครื่องใช้ของผู้ที่เคยอาศัยอยู่ใน ปราสาทแห่งนี้ ชั้นบนสุดเป็นจุดชมวิวได้ทั่วเมือง
70
HOFU TENMANGU SHRINE เรื่องสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อิวาคุนิไม่มีน้อยหน้าใครเพราะมี “ศาลเจ้าโฮฟู เท็นมังกู” (Hofu Tenmangu Shrine) ศาลเจ้าแห่งการเรียนรูท้ เี่ ก่าแก่ทสี่ ดุ ได้รบั ความเคารพนับถือ ตั้งแต่เริ่มสร้างเมื่อปี 904 และยังเป็นที่นิยมในการขอพรด้านการศึกษาเล่าเรียน ภายใน วัด มีพื้นที่ท�ากิจกรรมซึ่งเปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวเข้าร่วมได้ที่ “ห้องชาโฮโชอัน” (Hoshoan) ซึง่ ทุกคนทีเ่ ข้ามายังห้องชาแห่งนีจ้ ะได้ชมพิธชี งชาแบบดัง้ เดิมของญีป่ นุ่ และ ได้ชิมชารสชาติกลมกล่อมที่ให้ความรู้สึกเข้าถึงความเป็นญี่ปุ่นอย่างแท้จริง แต่ที่ถือเป็นอีกไฮไลท์ส�าคัญของศาลเจ้าโฮฟู เท็นมังกุ ก็คือเมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ เปลี่ยนสีที่นี่จะกลายเป็นจุดชมเมเปิ้ลสีส้มแดงที่สวยงามมาก และเมื่อเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิ ศาลเจ้าแห่งนี้จะขึ้นชื่อในเรื่องการเป็นจุดชมดอกบ๊วยสีชมพูอีกเหมือนกัน คือเป็นทั้ง สถานทีศ่ กั ดิส์ ทิ ธิแ์ ละเป็นสถานทีแ่ ห่งการชมธรรมชาติทไี่ ด้รบั ความนิยมมากแห่งหนึง่ ใน เมืองอิวาคุนทิ ี่ในทั้งสองช่วงฤดูนจี้ ะมีผคู้ นหนาตาเป็นพิเศษซึง่ เป็นสีสันการชมดอกไม้ที่ เราจะได้เห็นเป็นประจ�าทุกปี YAMAGUCHI CITY SAIKOTEI
ทีนี้เข้ามาที่เมืองเอกของจังหวัดบ้าง เมืองยามากุจิ (Yamaguchi) เมืองทีม่ ชี อื่ เดียวกันกับจังหวัดและมีสถานที่ ส�าหรับการพบปะกันของชาวเมืองในระดับที่เป็นถึงสถานที่ รับรองประจ�าเมืองซึ่งมีชื่อว่า “ยามากุจิ ซิตี้ ไซโกเท” (Yamaguchi City Saikotei) เป็นอาคารไม้หลังใหญ่ที่อดีต เคยเป็ นร้ า นอาหารของชนชั้นสูงในช่ว งปี 1878-1996 ก่อนจะได้รบั การบูรณะให้เป็นสถานทีร่ บั รองและเปิดให้เข้า ชมได้ตั้งแต่ปี 2004 ภายในโถงใหญ่เราจะได้ชมงานศิลปะ ทั้งภาพวาดและงานเขียนด้วยลายมือกวี หรือจะสนุกกับ กิจกรรมการสวมชุดกิโมโนเพื่อถ่ายภาพเป็นที่ระลึกและ เดินเที่ยวภายในย่านใจกลางเมือง ขอแนะน�า “ร้านกิโมโน ไซโกเท” (Kimono Saikotei) ที่มีบริการเช่าชุดทั้งชายและ หญิง ให้เวลา 2 ชั่วโมงคิดราคาเพียงแค่ 2,800 เยนเท่านั้น
RURIKOJI TEMPLE กลางสวนขนาดใหญ่ของเมืองที่มีชื่อว่า “สวนโคซัน” (Kozan Park) เป็น ที่ตั้งของ “วัดรูริโคจิ” (Rurikoji Temple) วัดสวยภายใต้บรรยากาศดีๆ ซึ่งโดด เด่นด้วยเจดีย์สูง 5 ชั้นที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติโดยสร้างขึ้น อย่างประณีตในปี 1442 สวยงามประหนึ่งงานศิลปะชั้นเยี่ยมจนได้รับการจัด อันดับให้เป็น 1 ใน 3 เจดีย์ที่สวยและยิ่งใหญ่ที่สุดของประเทศ มีโบสถ์ขนาด ใหญ่พร้อมหอระฆัง มีการจัดแสดงพิพธิ ภัณฑ์เกีย่ วกับเจดียท์ นี่ อกจากจะมีขอ้ มูล เกี่ยวกับเจดีย์ไว้ให้เรียนรู้แล้ว ยังมีโมเดลสวยๆ ของเจดีย์ 5 ชั้นมาจัดแสดงร่วม กันมากกว่า 50 แห่งจากทั่วญี่ปุ่น 71
AKIYOSHIDO เราเดินทางมาถึงเมืองมิเนะ (Mine) เพราะรู้ว่าเมืองนี้มี “ถ�้าอะคิโยชิโดะ” (Akiyoshido) ถ�้าหินปูนที่มีชื่อเสียงเป็นอัน ดับต้นๆ ของญีป่ นุ่ และมีอายุกว่า 350 ล้านปี ได้รบั การยอมรับ ให้เป็นอนุสรณ์ทางธรรมชาติ ตลอดความยาวของถ�า้ ประมาณ 8.9 กิโลเมตรนักท่องเที่ยวสามารถเดินเที่ยวได้ประมาณ 1 กิโลเมตรท่ามกลางอากาศเย็นชื้นด้วยอุณหภูมิประมาณ 17 องศาเซสเซียส ภายในมีแนวหินงอกหินย้อยสวยงามพร้อมการ ประดับแสงสีเพิ่มบรรยากาศในการชม มีค่าเข้าชมถ�้าส�าหรับ ใช้เพื่อการบ�ารุงรักษาธรรมชาติแค่เพียง 700 เยนเท่านั้น เหนื อ ส่ ว นของถ�้า ขึ้นมาเป็น “เนินเขาอะคิโยชิไ ด” (Akiyoshidai) หนึ่งในอนุสรณ์ทางธรรมชาติของประเทศอีก แห่งที่มีทุ่งหญ้าปกคลุมเนินเขาไว้ ช่วยสร้างบรรยากาศดีๆ สดชื่นและสวยงามชวนประทับใจมากไม่ว่าจะถ่ายภาพจาก มุมใดก็ตาม มีร้านกาแฟอยู่แถวนี้ให้ได้แวะพักเหนื่อยด้วย เครื่องดื่มเคล้าวิวธรรมชาติและให้บริการสัญญาณ Wifi เพื่อ ให้เราสะดวกต่อการติดต่อสื่อสารและอัพรูปลงโซเชียลมีเดีย ได้รวดเร็วทันใจ HANA NO UMI มาเทีย่ วญีป่ นุ่ ไม่ได้แวะสวนผลไม้กก็ ระไรอยู่ เราเดินทางถึงเมืองซันโย โอโนดะ (Sanyo Onoda) จึงต้องขอแวะมาเก็บสตรอเบอร์รี่สดๆ กันที่ “สวนฮานาโนะ อุมิ” (Hana no Umi) สวนสตรอเบอร์รี่ที่แบ่งโซนเพาะปลูก ไว้หลากหลายสายพันธุ์ซึ่งจะมีระดับความหอมหวานแตกต่างกันไป สวนนี้ ใจดีจัดๆ เพราะช�าระเงินครั้งเดียวแล้วสามารถเดินเก็บสตรอเบอร์รี่กินได้ แบบไม่จา� กัดเวลา ขอเพียงแค่ให้ใช้วธิ เี ดินไม่วง่ิ ไปมาเพราะอาจเกิดอุบตั เิ หตุ ได้ อีกด้านหนึง่ มีฟาร์มแพะให้แวะป้อนอาหารได้ มีแปลงดอกไม้ มีกจิ กรรม เก็บผักจากสวน กิจกรรมท�าพิซซ่า มีร้านขนมปัง แยมและของที่ระลึกอื่นๆ ให้ได้เลือกซื้อกลับไปเป็นของฝากอีกมากมาย ถัดจากสวนฮานาโนะ อุมิ เราไปเลือกซูชิกินกันที่ “ตลาดปลา คาราโตะ” (Karato) ทีน่ เี่ ป็นแหล่งอาหารทะเลสดทีม่ ใี ห้เราเลือกซือ้ กินหลาย รูปแบบแยกโซนขายชัดเจน ทั้งโซนอาหารทะเลแห้ง โซนผักผลไม้ โซน อาหารทะเลสดส�าหรับพ่อบ้านแม่บา้ นซือ้ กลับไปปรุงกันเอง และโซนอาหาร พร้อมกินที่มักมีซูชิเป็นเมนูหลักสารพัดหน้า กุ้ง หอย ปู ปลาจัดมาเต็มแผง แต่ละร้านจะมีอุปกรณ์พร้อมให้ลูกค้าได้เลือกซูชิตามชอบ คีบใส่ถาดแล้ว จ่ายเงิน จากนัน้ ก็ไปหาทีน่ งั่ กินกันซึง่ โต๊ะเก้าอีจ้ ะถูกจัดไว้เป็นส่วนกลาง อิม่ กันเรียบร้อยแล้วเก็บถาดทิ้งเช็ดโต๊ะท�าความสะอาดเพื่อให้คนอื่นๆ ได้แวะ มาใช้พื้นที่ต่อจากเราได้ทันที ตลาดปลาแห่งนี้เปิดขายในวันธรรมดา และวันศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ก็ จะเป็นเวลาของตลาดซูชทิ มี่ นั่ ใจมากว่าทัว่ ทัง้ ยามากุจไิ ม่มตี ลาดปลาทีไ่ หน จะใหญ่และมีอาหารสดมากเท่าที่นี่ 72
KANMON KAIKYO YUME TOWER กินซูชกิ ันแล้วเรามาปิดท้ายทริปด้วยการย้อนกลับมากิน ลมชมวิวก่อนกลับเมืองไทยที่ “อาคารคันมอน ไคเคียว ยูเมะ” (Kanmon Kaikyo Yume Tower) ซึ่งอยู่ที่เมืองชิโมโนเซกิซึ่ง เป็นจุดเริ่มต้นการเที่ยวของเราในทริปนี้ อาคารหลังนี้มีความ สูง 153 เมตร มีจุดชมวิวอยู่ที่ชั้น 30 ซึ่งอยู่ในระดับความสูง 143 เมตร เราขึ้นลิฟต์แวบเดียวก็มาถึงจุดชมวิวที่ใครๆ ก็ให้ ฉายาว่าเป็น “จุดชมวิวหลักล้าน” มีเพียงกระจกใสกั้นแต่ก็ ชัดเจนพอจะท�าให้เห็นความต่างระหว่างสองฝัง่ เมืองทีด่ า้ นหนึง่ เป็นทะเลและอีกด้านหนึ่งเป็นอาคารบ้านเรือน บริเวณชั้น 29 มีคาเฟ่ให้บริการเครื่องดื่มที่เราสามารถ นั่งจิบชากาแฟพลางชมวิวไปด้วยก็ได้ ขยับลงมาชั้น 28 เป็น พืน้ ทีก่ จิ กรรมทีม่ ที งั้ มุมขอพรสิง่ ศักดิส์ ทิ ธิ์ มุมคล้องกุญแจคูร่ กั มีฉากและเครื่องแต่งกายต่างๆ ให้สวมถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเพื่อ ไม่ให้ลืมกันว่าครั้งหนึ่งเราเคยได้มาเยือนอาคารแห่งนี้แล้ว เรียกว่าจัดครบจัดเต็มสมกับที่เป็นทริปรับเชิญจากการ ท่องเทีย่ วแห่งจังหวัดยามากุจิ เพราะทุกไฮไลท์สา� คัญ ทุกสถานที่ ท่องเที่ยวมีชื่อ ทุกอาหารการกินยอดนิยมของเมืองเราได้ สัมผัสครบแบบไม่มีพลาด ท�าให้ได้รู้ว่าเที่ยวยามากุจิจังหวัด เดียวก็ได้สัมผัสครบทุกประสบการณ์ ใครชอบท่องเที่ยวแนว ธรรมชาติ มีเข้าเมืองบ้างนิดหน่อยพอให้ได้สลับบรรยากาศกับ การช้อปปิ้งของใช้เครื่องส�าอางเล็กๆ น้อยๆ อยากกินอาหาร ทะเลสด อาหารพื้นเมือง กราบขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ชิมผลไม้ ตามฤดูกาล ชมโลกใต้ทะเลหรือชมพิพธิ ภัณฑ์ มาเถอะ ทัง้ หมด นี้มีครบแน่นอนที่นี่...ยามากุจิ Special Thanks Yamaguchi Prefecture