จุฬาวาฑิต ครั้งที่ ๒๒๒ “เย็นย่ำลำนำเครื่องสายผสม" โดยความควบคุมของ นายแพทย์ ตรีรัตน์ ยังรอด วันศุกร์ที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๕ หอแสดงดนตรี อาคารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รายการแสดง เพลง สร้อยประดับทรวง เถา (เครื่องสายผสมหีบเพลง วงบางขนาย @ พระโขนง) เพลง จินตะหราวาตี เถา (เครื่องสายผสมขิม วงวิจิตรวาทิน) เพลง ชมดงเหนือ เถา (เครื่องสายผสมกู่เจิง วงบรรสานสาย) เพลง ขอมสุวรรณ เถา (เครื่องสายผสมเปียโน วงตลาดน้ำตลิ่งชัน) เพลง วายุบุตรยาตรา เถา (เครื่องสายผสมเปียโน-ออร์แกน วงมิตรบรรเลง) เพลง แขกเล่นกล เถา (เครื่องสายผสมฮาร์ป วงสโมสรสมานมิตร)
เพลง สร้อยประดับทรวง เถา เพลง สร้อยประดับทรวง เถา เป็นเพลงที่ครูสำราญ ภมรสูต ได้แต่งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๘ โดยมีครูละเมียด ทับสุข เป็นผู้ ช่วยประดิษฐ์ทางร้อง ครูสำราญ ภมรสูต เป็นชาวกรุงเทพมหานคร เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๓ เรียนหนังสือที่โรงเรียนประถมวัดสุทัศน์เทพวราราม ชั้นมัธยมที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ต่อจากนั้นได้เข้า เรียนต่อในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในแผนกวิชา รัฐประศาสนศาสตร์ เริ่มเรียนซอด้วงกับเพื่อน เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๘ แล้วเรียนออร์แกนจาก พันโทพระอภัยพลรบ ที่วัง เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานารถ จนสามารถสามารถบรรเลงออร์แกนได้ เป็นอย่างดี เริ่มหัดเรียนขิมด้วยตนเอง จนสามารถตีขิมได้คล่อง เครื่องดนตรีที่บรรเลงได้คือ ออร์แกน ขิม และซอทุกประเภท เมื่ออายุมากขึ้น ได้เป็นครูสอนตามโรงเรียนหลายแห่ง รวมทั้งคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ด้วย ในด้านการแต่งเพลง ได้แต่งเพลงโหมโรงมหาชยาภิรมย์ อันเป็นเพลงโหมโรงประจำวงดนตรี ไทยของมหาวิทยาลัยมหิดล เพลงเถาที่แต่งขึ้น เช่น เพลงแขกบันเทิง เถา, นาคบริพัตร เถา, ทะแยตัด เถา, พระลอครวญ เถา, นกแก้วเขมร เถา, สร้อยประดับทรวง เถา, ดาวดวงเด่น เถา และแขกมอญสามเสนใน เถา ครูสำราญ ภมรสูต มีศิษย์ที่ใกล้ชิด ได้แก่ ครูละเมียด ทับสุข, ครูศิริ นักดนตรี, น.พ.สุพจน์ อ่าง แก้ว, น.พ.เอื้อพงษ์ จตุรธำรง, อ.ผุสนี ทัดพินิจ เป็นต้น ครูสำราญ ภมรสูต ถึงแก่กรรมด้วยโรค ชรา ที่โรงพยาบาลศิริราช เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๖ อายุได้ ๗๓ ปี
เนื้อร้อง เพลงสร้อยประดับทรวง เถา ลมหวนอวลกลิ่นดอกปาหนัน เล็บนางเบ่งบานตระการตา การะเกดสีเหลืองเรืองเรื่อ เห็นชายผ้าสีดาบนท่าไม้ ดูดอกสร้อยฟ้าระย้าย้อย ชมพลางถวิลหาอาวรณ์
คล้ายกันกับกลิ่นจินตะหรา เหมือนนขาโฉมงามทรามวัย เหมือนผิวเนื้อนวลน้องผ่องใส เหมือนละม้ายชายสไบงามงอน เหมือนสายสร้อยประดับทรวงดวงสมร พระเร่งรัดอัสดรรีบมา
ประดิษฐ์ทางร้องโดย ครูละเมียด ทับสุข พ.ศ. ๒๕๐๘
ประวัติวงบางขนาย@พระโขนง วงบางขนาย@พระโขนง เป็นวงเครื่องสายผสมที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อกลางปีพ.ศ. ๒๕๕๘ สมาชิกในวงล้วนเป็นนักดนตรีไทยสมัครเล่นจากหลากหลายสาขาอาชีพ มีทั้งเป็นแพทย์ ครู อาจารย์มหาวิทยาลัย ข้าราชการ พนักงานบริษัท เดิมตั้งใจว่าจะรวมตัวกันเฉพาะกิจเพื่อไปร่วม ร้องบรรเลงถวายมือในงานไหว้ครูมูลนิธิหลวงประดิษฐ์ไพเราะ ประจำปี ๒๕๕๘ เท่านั้น แต่หลัง จากการร้องบรรเลงในงานไหว้ครูครั้งนั้นแล้ว ก็ยังคงมีงานร้องบรรเลงอื่นๆอีกเรื่อยมา ยังไม่ได้ เลิกวงมาจนถึงปัจจุบัน รายชื่อนักดนตรี ขับร้อง, โหม่งกระทะ : หีบเพลงชัก : ซอด้วง : ซออู้ : ขลุ่ยเพียงออ : ขิม : อูคูเลเล่ : ไวโอลิน : ฉิ่ง : กลองแขก :
ฉัตรหทัย นักฟ้อน ตรีรัตน์ยังรอต ธันย์นริมนท์ อังกูรวชินน วียาพรปรางค์เมือง นพดล คชศิลา เชษฐ์ ติงสัญชลี เยาวภา ทองย้อย ธีรุตม์ รักษ์บำรุง วิกรานต์ โกมลบุตร ฐนัตถ์ สุวรรณานนท์, มนวัฒน์ เงินฉ่ำ
เพลง จินตะหราวาตี เถา เพลง จินตะหราวาตี เถา เป็นเพลงที่ครูสุวิทย์ บวรวัฒนา ได้แต่งขึ้นมาจากเพลงจุ๊บแจง ๒ ชั้น เมื่อปี ๒๕๑๙ โดยมีครูเจริญใจ สุนทรวาทิน เป็นผู้ประดิษฐ์ทางร้อง ครูสุวิทย์ บวรวัฒนา เกิดที่จังหวัดราชบุรี เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๕๓ เริ่มเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนวัดโสมนัส แล้วไปเรียนต่อชั้น มัธยมที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และโรงเรียนอัสสัมชัญ ตามลำดับ จากนั้นได้เดินทางไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศส เมื่อศึกษาจบกลับมาแล้วได้เข้ารับราชการในกระทรวงการ ต่างประเทศ ประจำกองการค้า จนได้ตำแหน่งอธิบดี กรม ยุโรปและอเมริกา ต่อมาทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็น เอกอัครราชทูตผู้มีอำนาจเต็มประจำประเทศสเปน, สหภาพ พม่า, ไนจีเรีย, ไลบีเรีย และไอเวอรี่โคสต์ จนครบเกษียณอายุ ราชการเมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๓ ด้านดนตรีไทย เริ่มเรียนซอด้วงกับครูผิว ซึ่งเป็นครูสอนดนตรีไทยอยู่ที่สามัคยาจารย์สมาคม ภายในรร.สวนกุหลาบวิทยาลัย หัดตีขิมกับครูจีนชื่อ นายเปงกี่ ซึ่งเป็นลูกจ้างของบิดา เมื่อตีเป็น เพลงได้ จึงไปฝากตัวเป็นศิษย์กับครูพร้อม ซึ่งเป็นหลานพระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์) และได้รับครอบครูดนตรีไทยจากพระยาประสานฯ ได้มีโอกาสรู้จักกับครูพุฒ นันท พล ศิษย์ครูพร้อมรุ่นพี่ซึ่งต่อมาเป็นผู้ถ่ายทอดเพลงเดี่ยวขิมให้ เมื่อจบการศึกษาจากประเทศฝรั่งเศสแล้วจึงได้ฝึกหัดดีดออร์แกนกับครูเจือ เสนีย์วงศ์ หัวหน้า วงดนตรีคณะเตชนะเสนีย์ จนมีความชำนาญ เมื่อครูเจือ ถึงแก่กรรมลง ครูสุวิทย์ ได้รับมอบ หมายให้เป็นผู้ควบคุมวงเตชนะเสนีย์ สืบต่อมา จนถึงช่วงเวลาที่ครูสุวิทย์ต้องไปรับราชการอยู่ ต่างประเทศ ผู้ควบคุมวงดนตรีต่อมาได้เปลี่ยนชื่อจากคณะเตชนะเสนีย์ เป็น คณะวัชรบรรเลง และใช้ชื่อนี้มาจนทุกวันนี้ ครูสุวิทย์ ได้มีโอกาสฝึกหัดซออู้ กับหลวงไพเราะเสียงซอ (อุ่น ดูรยชีวิน) และเรียนซอสามสายกับ ครูเทวาประสิทธิ์ พาทยโกศล อีกด้วย ผลงานทางด้านการประพันธ์เพลงไทย มีอยู่หลายเพลง คือ เพลงยโสธร เถา, องเชียงสือ เถา, สาวสวยรวยเถา, พญาสี่เสา เถา, สาวสุดสวย เถา, มะลิซ้อน เถา, จินตะหราวาตี เถา, น้ำลอดใต้ ทราย เถา และแขกพราหมณ์ทางเปลี่ยน
ครูสุวิทย์ใช้ชีวิตหลังเกษียณอยู่กับการเล่นและสอนดนตรีไทยร่วม ๓๐ ปี จนถึงแก่อนิจกรรม ด้วยโรคหลอดลมอุดกั้นเรื้อรัง ณ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ กรุงเทพมหานคร สิริรวมอายุได้ ๘๙ ปี ๒ เดือน ๒๔ วัน
เนื้อร้อง เพลงจินตะหราวาตรี เถา แล้วตอบถ้อยน้อยหรือพระทรงฤทธิ์ กล่าวแกล้งแสร้งเสด้วยเล่ห์ลม พระจะไปดาหาปราบข้าศึก ด้วยสงครามในจิตยังติดพัน ไหนพระผ่านฟ้าสัญญาน้อง ไม่นิราศเริดร้างห่างไกล
ช่างประดิษฐ์คิดความพองามสม คดคมแยบคายเป็นหลายชั้น หรือรำลึกถึงคู่ตุนาหงัน มาบิดผันพจนาด้วยอาลัย จะปกป้องครองความพิสมัย จนบรรลัยมอดม้วยไปด้วยกัน
ประพันธ์ทางขับร้องโดย อาจารย์เจริญใจ สุนทรวาทิน
ประวัติวงวิจิตรวาทิน วงวิจิตรวาทิน เป็นกลุ่มบุคคลในสาขาอาชีพต่าง ๆ ที่ชื่นชอบดนตรีไทย ต้องการสืบสานมรดก ทางศิลปะด้านดนตรีไทย ก่อตั้งวงโดยคุณจักริน หมอนทอง ตั้งแต่ปีพ.ศ. ๒๕๕๙ ชื่อวง วิจิตร วาทินนั้น “วิจิตร” มาจากนามสกุลของ อ.มารุธวิจิตรโชติ ซึ่งเป็นอาจารย์ผู้ควบคุมดูแลประจำวง ส่วนคำว่า “วาทิน” หมายถึง ดนตรี หรือ (น.) คนเล่นดนตรี รายชื่อนักดนตรี ขับร้อง: ตะวัน โตเอี่ยม ขิม: สหภาพ ชวนวิจิตร ซอด้วง: สุธี สนิมครัว, ชวลิต ลีนาบัว ซออู้: จักริน หมอนทอง, ธเนศ มลิชู จะเข้: พงษ์ศิริ ยอดเพชร, จิตต์เดช โอภาสสุริยะ ขลุ่ย: โกเมศ เชาวนญาณ ฉิ่ง: มารุธ วิจิตรโชติ โทน-รำมะนา: ฐิติพงษ์ ราชวงศ์ กรับพวง: มานะ ศรีสงคราม
เพลง ชมดงเหนือ เถา เพลง ชมดงเหนือ เถา ครูจันทร์ โตวิสุทธิ์แต่งทั้งทำนองและทาง ร้องขึ้นจากเพลง ลาวชมดง ๒ ชั้น เมื่อ พ.ศ. ๒๕๑๐ ครูจันทร์ โตวิสุทธิ์ เป็นชาวกรุงเทพมหานคร เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๔ เริ่มเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนวัดสุทัศน์เทพวราราม ชั้นมัธยมที่ โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย เมื่อเรียนจบแล้วจึงเข้ารับราชการ ในฝ่ายการบัญชี กรมรถไฟจนเกษียณอายุ ครูจันทร์ได้ฝากตัว เป็นศิษย์ของครูจี๊ด มาลัยแมนนักร้องในวงพระองค์เจ้าเพ็ญ พัฒนพงษ์ กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม โดยเรียนขลุ่ยและเรียนขับ ร้อง
ต่อมาได้เรียนซอด้วง ซออู้และโทนรำมะนา จากครูโปรย แล้วไปเรียนหน้าทับกลองต่าง ๆ กับครู ทิณ ทวีศรี ท้ายที่สุดได้เป็นศิษย์ของหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ต่อทั้งทางเครื่อง และทางร้อง ครูจันทร์ โตวิสุทธิ์ ชำนาญการขับร้อง และบรรเลงเครื่องสาย สามารถสีซอด้วง ซออู้ ไวโอลิน เป่าขลุ่ย ตีขิม และตีโทน-รำมะนาได้ดี ครูจันทร์ โตวิสุทธิ์ เคยเป็นหัวหน้าวงเครื่องสายของกรมรถไฟ หลังเกษียณอายุราชการแล้ว เคยสอนดนตรีไทยอยู่ที่วิทยาลัยครูสงขลา, มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์, โรงเรียนดรุณศึกษา (หาดใหญ่), โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย และโรงเรียนบูรณะศึกษา ผลงานทางด้านการแต่งเพลง เช่น โหมโรงเริงรามัญ, โหมโรงศรีนพวงศ์, โหมโรงสวนกุหลาบ รำลึก, ลงสรงลาว เถา, ผกากาญจน์ เถา, ขอมระทม เถา, ชมดงเหนือ เถา, สุดาภิรมย์ เถา,เขมร สุดใจ เถา, ฝรั่งกลาย เถา, ทักษิณราชนิเวศน์ เถา ฯลฯ และชนะการประกวดแต่งเพลงไทย รางวัลพิณทองจากธนาคารกสิกรไทย เมื่อ ปี พ.ศ ๒๕๒๔ ด้วยเพลง สุดสายใจ เถา ครูจันทร์ โตวิสุทธิ์เคยร่วมวงอัดแผ่นเสียงกับบริษัทพาโลโฟนที่ห้างยอนแซมสัน ผ่านฟ้า ครั้งนั้น มีนางเล็ก ศุขโสต เป็นคนร้อง ต่อมาได้ตั้งวงเครื่องสายร่วมกับนายแพทย์ประสพ วรมิศร์, นาย แพทย์พึ่ง พินธุโยธิน, นายเพื่อน ชุ่มกมลชื่อว่า “วงดุริยบรรเลง” ออกอากาศมาตั้งแต่ครั้งสถานี วิทยุวังพญาไท ท่านเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งวงดนตรีของสโมสรรถไฟ และเป็นหัวหน้าวงดนตรีคณะ ศศิธร นำวงบรรเลงออกอากาศตามสถานีวิทยุต่าง ๆ อยู่เป็นประจำ จนถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๓ สิริรวมอายุได้ ๘๙ ปี
เนื้อร้อง เพลงชมดงเหนือ เถา การะเกดเหมือนเกดแก้วเกศา นางแย้มเหมือนแก้มแม่แย้มเย้า คณานกแมกไม้เรียงรัน เห็นโนรีสาลิกาใคร่ว่าวอน ถึงสระบัวยั่วยอพระลอรัก (สร้อย) คู่อ่อนท้าวเขื่ออะคร้าวงามเอย ผองภมรว่อนเฝ้าเคล้าเรณู (สร้อย) คู่อ่อนช้อยพระลอละห้อยหาเอย คะนึงนางพลางเสด็จลีลา สุคนธรสหอมหวนลำดวนดง
มะลุลีเหมือนบุปผาแม่เกี้ยวเกล้า ใบโบกเหมือนเจ้าจะกวักกร ร้องเรื่อยรับขวัญเหมือนเสียงสมร ฝากอักษรถวายน้องสองพธู ใคร่เก็บฝักหักดอกออกอดสู เพื่อนแพงของเผือพี่ปองสมเอย เหมือนเย้ยภูธรระเหอยู่เอ้องค์ เพื่อนแพงของเผือพี่ปองรักเอย แอบร่มพฤกษาสูงระหง เหมือนจะส่งกลิ่นถวายพระราชา
ทำนองและทางร้อง โดย ครูจันทร์ โตวิสุทธิ์ พ.ศ. ๒๕๑๐
ประวัติวงบรรสานสาย วงบรรสานสายเกิดจากความตั้งใจในการผสมผสานเสียงของเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสายให้ บรรเลงร่วมกันได้อย่างสนิทสนมกลมกลืน ทั้งเครื่องสายไทยหรือเครื่องสายผสมในรูปแบบต่าง ๆ โดยเริ่มต้นเมื่อประมาณต้นปี พ.ศ. ๒๕๖๔ เป็นการทดลองผสมผสาน ซอด้วง และกู่เจิ้ง ที่เห็น ว่ามีกระแสเสียงไปในทางเดียวกันและบรรเลงด้วยกันได้ ชื่อวง “บรรสานสาย” ได้ยกมาจาก บทกลอนในเพลงยาวตำรามโหรี ที่ว่า “ข้าไหว้ครูซอขอคำนับ ขับบรรสานสายสุหร่ายเรื่อง มโหรี แรกเริ่มเฉลิมเมือง บอกเบื้องฉบับบุราณนาน” บรรสานสายอาจจะแปลได้ว่า การบรรเลง ประสานของเครื่องสายซึ่งสื่อถึงความตั้งใจของวงในการผสมผสานเสียงจากเครื่องดนตรี เครื่องสายได้อย่างชัดเจน ในการบรรเลงครั้งนี้ วงบรรสานสาย ตั้งใจนำเสนอเพลงชมดงเหนือ เถา ด้วยวงเครื่องสายผสม กู่เจิ้งและเชลโล่ เป็นการบรรเลงผสมผสานกันเพื่อให้เกิดมิติของเสียงมากขึ้น โดยได้เสียง ประสาน(คอร์ด)จากกู่เจิ้ง มีเสียงทุ้มต่ำจากเชลโล่ เสียงทุ้มระดับกลางจากซออู้ และเสียงแหลม สูงจากซอด้วง โดยมีขลุ่ยเพียงออเป็นตัวประสานยึดโยงเสียงในระดับต่างๆเข้าไว้ด้วยกัน เพื่อให้ สื่อความรู้สึก หวาน ฉ่ำเย็นใจแก่ผู้ฟัง
รายชื่อนักดนตรี ขับร้อง: อนุสรา ดีชัยชนะ ซอด้วง: จาตุรงค์ จันทภาโส ซออู้: สมปราชญ์ ทองหล่อ ขลุ่ย: วัชรพงษ์ กาญจนวรุตม์ กู่เจิ้ง: ธนรัฐ อยู่สุขเจริญ เชลโล่: ธีรพงศ์ บำเพ็ญทาน ฉิ่ง: สายชล กายจริต โทน-รำมะนา: อุดม ชุ่มพุดซา ควบคุมการฝึกซ้อม: อ.เสนีย์ เกษมวัฒนากุล
เพลง ขอมสุวรรณ เถา เพลง ขอมสุวรรณ เถา ครูประกอบ สุกัณหะเกตุ ได้แต่งขึ้นจาก เพลงขอมสุวรรณ ๒ ชั้น ของครูมนตรี ตราโมท ทางขับร้องใน ครั้งนี้เป็นทางของ ศ.ดร.คณพล จันทร์หอม ครูประกอบ สุกัณหะเกตุ เป็นชาวกรุงเทพมหานคร เกิดเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๙ เริ่มเรียนหนังสือกับญาติที่อยู่ในบริเวณวังหน้าต่อมาได้ ย้ายไปเรียนที่โรงเรียนราชบุรีวิทยาลัย จนจบชั้น ม. ๘ จากนั้น ย้ายมาเรียนที่โรงเรียนนาฎดุริยางค์ (ปัจจุบันคือ วิทยาลัยนาฎ ศิลป สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์กระทรวงวัฒนธรรม) จนจบ ประกาศนียบัตร
เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วได้เข้าทำงานอยู่ในแผนกดุริยางค์ไทย กองการสังคีต กรมศิลปากร ใน ตำแหน่งศิลปินตรี ต่อมาได้ย้ายไปอยู่กองวิทยาการ กรมโรงงานโลหะกรรม แล้วย้ายมาอยู่กรม ทรัพยากรธรณีสุดท้ายที่ท่านทำงานอยู่ คือ กรมการค้าภายใน ในตำแหน่งพนักงานกองควบคุม การค้า
ด้านดนตรีไทย เริ่มเรียนเมื่ออายุ ๑๑ ปี ครูคนแรกคือ พ.ท.สราวุธ เสนีย์วงศ์โดยหัดเป่าขลุ่ย และ ตีโทน-รำมะนา ครูคนที่ ๒ คือ หลวงประดิษฐ์ไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง) เมื่อครั้งที่เข้าเรียนในโรง เรียนนาฎดุริยางค์แล้วได้ทำหน้าที่เป็นคนสีซอด้วง ประจำวงศรทองด้วย ครูคนที่ ๓ คือครูสอน วงฆ้อง เป็นผู้จับมือให้ตีฆ้องวงใหญ่ เครื่องดนตรีที่ถนัด ได้แก่ ซอด้วง ออร์แกน ไวโอลิน และซอ อู้ ครูประกอบ สุกัณหะเกตุ สอนดนตรีให้แก่สถาบันต่าง ๆ เช่น คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย, โรงเรียนดรุโณทยาน, โรงเรียนวัดสังเวช, โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย ท่านได้แต่ง เพลงไว้หลายเพลง อาทิ โหมโรงจันทร์แจ่มวนา, โหมโรงสุริยาเรืองศรี, โหมโรงเอื้องเหนือ, เมาะ ลำเลิง เถา เป็นต้น มีงานบันทึกแผ่นเสียงเพลงสองชั้นร่วมกับวงดนตรีคณะเตชนะเสนีย์ ในความควบคุมของครู เจือ เสนีย์วงศ์ ที่ห้องบันทึกเสียงบริษัทกมลสุโกศลจำกัด และบันทึกเสียงกับคณะสิทธิ ถาวร ของครูประสิทธิ์ ถาวร และนำวงออกบรรเลงในรายการวิทยุและโทรทัศน์ต่าง ๆ หลายรายการ เช่น รายการก่อนนิทรา ทางสถานีวิทยุ ททท., รายการดนตรีไทย สถานีวิทยุศึกษา เป็นต้น รางวัลทางดนตรีไทยที่เคยได้รับ คือ ได้รับพระราชทานเข็มที่ระลึกสำหรับนักดนตรีไทย จาก พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ฯ ครูประกอบ สุกัณหะเกตุ ถึงแก่กรรมเมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๑ สิริอายุรวมได้ ๗๒ ปี
เนื้อร้อง เพลงขอมสุวรรณ เถา ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาท ข้าพระบาทขอกราบทูลการณ์ ได้ยินข่าวลือระบือมาว่า ผู้ครอบครองละโว้นั้นไซร้ ชาวไทยรักใคร่พระร่วงนัก จนเขาว่า วาจาก็สิทธี ชาวไทยเข้าไปสู่ละโว้ ว่าพระร่วงมีบุญเรืองรอง
บงกชมาศปกเกล้าเกษมสานต์ ผิดพลั้งขอประทานซึ่งอภัย พระร่วงพ่อเมืองผู้ใหญ่ ชาวไทยนิยมบารมี ชวนชักเชื่อถืออย่างเต็มที่ พอวจีเธอลั่นพลันสมปอง มากอักโข เล่าลือระบือก้อง และคิดปองจะกู้คณาไทย ทำนองและทางร้อง โดย ศ.ดร.คณพล จันทร์หอม
ประวัติวงตลาดน้ำตลิ่งชัน วงตลาดน้ำตลิ่งชัน ก่อตั้งเมื่อราว เดือน กรกฏาคม พ.ศ. ๒๕๕๓ โดย คุณศิริ รวยดี และสมาชิก อื่นอีก ๓-๔ ท่าน รวมกันเล่นดนตรีเป็นวงที่ศาลาริมน้ำตลาดน้ำตลิ่งชัน ด้วยความที่เป็นแหล่ง ท่องเที่ยว จึงทำให้มีนักดนตรีและผู้ที่สนใจเข้ามาร่วมบรรเลงมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงแรก สมาชิก ส่วนใหญ่มาจากชมรมผู้สูงอายุในท้องที่ต่าง ๆ เช่น ชมรมผู้สูงอายุดินแดง ชมรมผู้สูงอายุ รพ.เจริญกรุงประชารักษ์ และชมรมผู้สูงอายุจากต่างจังหวัดอีกหลายแห่ง ปัจจุบันมีทั้งกลุ่มวัย ประถม มัธยม และมหาวิทยาลัย รวมทั้งคนวัยทำงานในอาชีพต่างๆเข้ามาร่วมบรรเลง หลังจาก คุณศิริ รวยดี เสียชีวิตลง เครื่องดนตรีที่ใช้บรรเลงในวงเป็นหลักก็ได้คุณสุนทร อ่อนจันทร์ เป็น ผู้สนับสนุน จนเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๖๒ คุณสุนทร ได้เสียชีวิตลง กิจกรรมของวงดนตรีไทยตลาดน้ำ ตลิ่งชัน ก็ยังคงดำเนินต่อไป โดยสมาชิกในวงเป็นผู้นำเครื่องดนตรีมาด้วยตนเอง รูปแบบของ วงที่บรรเลง ปกติเป็นวงเครื่องสายไทย วงมโหรี และเครื่องสายผสม ผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วม บรรเลงได้ ในวันเสาร์ละอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ ช่วงเวลา ๑๐.๐๐ - ๑๘.๐๐ น. รายชื่อนักดนตรี ขับร้อง: ซอด้วง: ซออู้: จะเข้: ขลุ่ย: ขิมสาย: ขิมแผ่น: แอคคอเดียน: เปียโน: หุ่ย๗เสียง: ฉิ่ง: กรับ: โทน-รำมะนา:
มณรดา ศิลปบรรเลง ธนะพัฒน์ ฐานิตสรณ์ ปาณิสรา บุญโยประการ สิทธิพร สุวรรณรัตน์ อิทธิกร จันทน์พฤกษ์ กรัณย์ กฤษณะโยธิน ชินกฤต ชูทรัพย์ ไชยฤทธิ์ อินทร์น้อม นพรัตน์ สีม่วง จิรายุส อยู่เย็น ธีรชัย ยิ้มทับทิม ธีรภัทร อิ่มใจ, ทรรศนริศพันธ์ อิ่มเขียว ทิวากร ล้อมเวียง
เพลง วายุบุตรยาตรา เถา เพลง วายุบุตรยาตรา เถา ครูชิต แฉ่งฉวี ได้แต่งทำนองดนตรี จนครบเถาขึ้นจากเพลงกระบี่ลีลา ๒ ชั้น เมื่อ พ.ศ.๒๔๙๓ โดยมี ภรรยาคือ ครูเบ็ญจรงค์ธนะโกเศศ เป็นผู้ทำทางร้อง ได้นำมา บันทึกเสียงร่วมกับวงเสริมมิตรบรรเลงเป็นครั้งแรก เรือเอกชิต แฉ่งฉวี ร.น. เป็นชาวกรุงเทพมหานคร เกิดเมื่อ พ .ศ. ๒๔๖๐ เมื่อเป็นเด็กได้เรียนหนังสือที่วัดใกล้บ้าน ต่อมาได้เรียนต่อที่โรงเรียนเพาะช่าง ได้เข้ารับราชการ อยู่ที่กรมอุทกศาสตร์ ต่อมาเมื่อได้เป็นนายเรือตรีแห่งราชนาวี ได้ย้ายไปรับราชการที่กรมเจ้าท่า สมรสกับนางสาวเติม ธนโกเศศ หรือ ครูเบ็ญจรงค์ แฉ่งฉวี ในปัจจุบัน ในปั้นปลายของชีวิต ราชการ ได้รับพระราชทานยศเป็นเรือเอก ครูชิต แฉ่งฉวี ได้เริ่มหัดดนตรีไทย มาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ครูคนแรกคือ บิดาของท่านที่ชื่อ ช่วง จนสามารถเล่นซออู้และซอด้วงได้ดี ต่อมาเมื่อได้เข้าเรียนในโรงเรียนเพาะช่างได้หัดดนตรีกับ ครู เจือ เสนีย์วงศ์ จนสามารถเดี่ยวซออู้ ขิม และออร์แกน ได้ดี อีกทั้งสามารถควบคุมวงดนตรีและ แต่งเพลงได้ด้วยเพลงที่ครูชิต แฉ่งฉวี แต่งทั้งคำร้องทำนองขึ้นใหม่ร่วมกับภรรยา ได้แก่ เพลง ลาวสมเด็จ เถา, วายุบุตรยาตรา เถา, ลาวเล่นน้ำ เถา และ เขมรทุบมะพร้าว เถา ครูชิต และ ครูเติม แฉ่งฉวี เคยร่วมบรรเลงดนตรีกับวงของคุณประสพสาย พึ่งบุญ ณ อยุธยา, วงเตชนะเสนีย์, วงวัชรบรรเลง และวงเสริมมิตรบรรเลง ซึ่งต่อมาท่านรับหน้าที่เป็นหัวหน้าวง ด้วย ศิษย์ดนตรีไทยของครูชิต แฉ่งฉวี ได้แก่ คุณบังอร บำรุงพงษ์, คุณธนิต ฤทธิ์เจริญ, คุณ ประสิทธิ์ คุ้มทรัพย์ และคุณติ๊ก หงส์เวส เป็นต้น ครูชิต แฉ่งฉวี ถึงแก่กรรมด้วยโรคปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๒ สิริอายุรวม ๖๒ ปี
เนื้อร้อง เพลงวายุบุตรยาตรา เถา วายุบุตรฤทธิแรงกำแหงหาญ ให้รีบไปสังหารผลาญชีวี ขุนกระบี่เตรียมพหลพลวานร พอได้ฤกษ์เคลื่อนพหลพลไกร วายุบุตรยาตราออกล่าพล ตั้งใจไปเข่นฆ่าพญามาร
ฟังรับสั่งพระอวตารชาญชัยศรี พวกยักษีที่ก่อกรรมอยู่ร่ำไป ไปราญรอนปรปักษ์ให้ตักษัย มุ่งตรงไปโดยฉับพลันให้ทันการ เหล่าพหลพลกระบี่ท่วงทีหาญ ตามรับสั่งพระภูบาลผ่านไผท
ประดิษฐ์ทางขับร้องโดย ครูเบ็ญจรงค์ ธนะโกเศศ พ.ศ. ๒๔๙๓
ประวัติวงมิตรบรรเลง ครูเบ็ญจรงค์ ธนโกเศศ เป็นผู้ก่อตั้งขึ้นเมื่อกว่า ๕๐ ปีมาแล้ว สมาชิกในวงคือมิตรสหายและลูก ศิษย์ของท่าน โดยมีการขับร้องบรรเลงออกอากาศทาง สถานีวิทยุแห่งประเทศไทย และ สถานี วิทยุศึกษา กันเป็นประจำ ราวปีพ.ศ.๒๕๕๐ อ.วันชัยพุทธคุณรักษา และ ผศ.สิทธิศักดิ์จรรยาวุฒิ ได้เรียนปรึกษาครูเบ็ญจรงค์ เพื่อตั้งชื่อวงที่ได้บรรเลงกันอยู่เป็นประจำ ครูเบ็ญจรงค์เห็นว่าควร ใช้ชื่อ”วงมิตรบรรเลง” เนื่องจากเป็นวงที่มีมิตรสหายและลูกศิษย์ที่รักในดนตรีมาบรรเลงร่วม กัน และได้ใช้ชื่อ”วงมิตรบรรเลง”ตลอดมา จนถึงปัจจุบัน มี ผศ.สิทธิศักดิ์จรรยาวุฒิ เป็นผู้ ฝึกสอนและควบคุมวง รายชื่อนักดนตรี ขับร้อง: จุฑาภัทร บุญศรี ซอด้วง: สริฐา ธนุรเวท, ธัชรัฎฐ์ จันทร์ศรีชาญ เบญจภูมิ ท่าฉลาด, ภัทร โสนเส้ง ซออู้: วีระพันธ์ อ่อนเอื้อน, วรปรัชญ์ ทองหล่อ, บุญธนา จำพรต ฐิรฏิกร เทวธรางค์กูล, ธิติภัทร นิทธยุ, อธิพัชร์ พงศ์ศิริโภคิน ฐิติ ธีระพงษ์วัฒนา จะเข้: สิทธิศักดิ์ จรรยาวุฒิ, สุกิจ วรธำรง, วัฒนาวดี พรหมเวช อานนท์ หิรัญ, ณัฐวุฒิ อุ่นอกแดง, ชนะชัย อนันตบุตร ขลุ่ย: สุกฤตยา เตชะสุนทโรวาท, นพดล คชศิลา, พูลศักดิ์ ศิริรัตน์วรากุล ขิม: เชษฐ์ ติงสัญชลี, กรัณย์ กฤษณะโยธิน, สัมพันธ์ ปุ้ยพันธวงศ์ เปียโน: ธนภัทร เพชรสัมฤทธิ์
เพลง แขกเล่นกล เถา เพลงแขกเล่นกล เถา ครูประเวช กุมุท แต่งทำนองทั้งทางร้องและ ทางเครื่องขึ้นใหม่ทั้งเถา ได้รับรางวัลรองชนะเลิศในการประกวดแต่ง เพลงไทย รายการพิณทอง จัดโดยธนาคารกสิกรไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๔ ครูประเวช กุมุท เกิดเมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๖๖ ที่ ต.คานหาม อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา บิดาชื่อนายวง มารดาชื่อ นางชุ่ม กุมุท อาชีพทำนา อาชีพรองคือเล่นดนตรีไทยและศิลปะการ แสดงพื้นบ้าน บิดากับญาติพี่น้อง และเพื่อนบ้านรวมวงกันเล่นดนตรี ไทย ตั้งแต่จำความได้ก็ได้ยินเพลงไทยและได้เห็นวงเครื่องสายไทย แล้ว ครูประเวช กุมุท มีนิสัยรักดนตรีมาตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่ออายุได้ประมาณ ๓-๔ ขวบ บิดาซื้อกลองจีนอย่างที่คนจีนย้อมผ้าใช้ ให้ ก็เคาะตีทั้งวัน ต่อมา พออายุได้ ๖ ขวบ บิดาก็เริ่มหัดให้ตีขิม ตีกลองแขก และหัดขับร้องเพลง หากมีโอกาสก็จะ ติดตามบิดาไปร่วมงานดนตรีต่าง ๆ ทำหน้าที่ตีฉิ่งบ้าง ตีกลองบ้าง สนุกสนานครื้นเครง บิดาได้ สอนให้ครูประเวชขับร้องเพลง ๒ ชั้นง่าย ๆ เพลงแรกที่ขับร้องได้คือเพลง เชื้อ ๒ ชั้น ซึ่งได้รับ ความชื่นชอบในหมู่ญาติมิตรและเพื่อนบ้าน นอกจากยังมีเพลงจระเข้หางยาว เพลงเขมรพระ ปทุม เพลงจีนขิมเล็ก นับได้ว่าครูดนตรีคนแรกของท่านก็คือบิดาของท่านเอง ครูประเวช กุมุท เข้าศึกษาในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนวัดคานหาม จ.พระนครศรีอยุธยา และเข้ามาเรียนต่อที่ โรงเรียนดำเนินศึกษา ถ.ราชดำเนิน กรุงเทพฯ จนจบชั้นมัธยม ๑ จึงย้ายไปศึกษาที่โรงเรียนนาฏ ดุริยางคศาสตร์ (วิทยาลัยนาฏศิลป กรมศิลปากร ในปัจจุบัน) จนจบการศึกษาชั้นสูงสุด จากนั้น ครูประเวชได้เข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนเตรียมธรรมศาสตร์และการเมือง รุ่นที่ ๔ พ.ศ. ๒๔๘๔ ครูประเวช กุมุท ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถในการเรียนดนตรีได้อย่างว่องไว มีความจำและ ฝีมือดีมากมาตั้งแต่ยังเรียนชั้นประถมศึกษา มีความสามารถในการขับร้องทั้งเพลงไทยและ เพลงพื้นบ้าน โดยช่วยงานดนตรีอาชีพของครอบครัวมาโดยตลอด เมื่อเข้าเรียนที่โรงเรียนนาฏ ดุริยางคศาสตร์ กรมศิลปากร แล้ว ความสามารถก็เด่นชัดเกินเพื่อนฝูงในรุ่นเดียวกัน สมัยเริ่ม เรียนสีซอด้วงครั้งแรกกับครูมี พูลเจริญ ครูประเวชมีความสนใจเป็นพิเศษ สามารถต่อเพลง ๔ จังหวะได้ถึง ๓ เพลงในเวลา ๑ ชั่วโมง ครูให้ทวนก็ไม่ขาดตกบกพร่อง อีกทั้งยังขอต่อเพลง ตั้งแต่หลักสูตรมัธยม ๑ จนถึงมัธยม ๘ ซึ่งมีความยากง่ายตามลำดับความสูงต่ำของชั้นได้จน หมดทุกชั้น ทุกเพลงได้อย่างแม่นยำและรวดเร็ว จนได้ออกแสดงฝีมือหลายครั้งตั้งแต่ยังเป็น นักเรียน
ครูประเวชเริ่มเรียนเครื่องสาย เรียนหน้าทับกลองจังหวะต่าง ๆ เมื่ออายุได้ ๑๒ ปี สามารถสีซอ ด้วง ซออู้ และตีขิมได้ไพเราะ มีความจำเป็นเลิศ เมื่อเข้ามาเรียนที่โรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ กรมศิลปากร อายุได้ ๑๔ ปี ก็ได้รับการขัดเกลาให้ดียิ่งขึ้น โดยมีครูมี พูลเจริญ และครูโสภณ ซื่อ ต่อชาติ เป็นผู้สอนต่อมาเมื่อายุได้ ๑๗ ปี ก็ได้เรียนชั้นสูงขึ้นอีกจากครูปลั่ง วรรณเขจร ซึ่งเป็น ครูเครื่องสายชั้นยอดของกรมมหรสพมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๖ เรียนจะเข้กับครูละเมียด จิตตเส วี (นางสนิทบรรเลงการ) ยอดนักจะเข้ของกรมศิลปากร ได้เรียนซอสามสายกับครูอนันต์ ดูรยะ ชีวิน บุตรชายของคุณครูหลวงไพเราะเสียงซอ (อุ่น ดูรยะชีวิน) จนเมื่ออายุได้ ๑๙ ปี คุณครู หลวงไพเราะเสียงซอ (อุ่น ดูรยะชีวิน) จึงได้ยอมสอนให้ตัวต่อตัว จนได้เพลงเดี่ยวซอนานาชนิด ได้เรียนเทคนิคการสีซอทุกรูปแบบจากท่าน อันเป็นที่สุดของวงการเครื่องสายไทย นอกจาก ความรู้ด้านเครื่องสายไทยแล้ว ครูประเวชยังได้เรียนปี่พาทย์จนสามารถบรรเลงได้รอบวง จน แม้แต่เครื่องเป่าก็ปฏิบัติได้ดีเยี่ยม นอกจากนั้นครูประเวชยังมีกระแสเสียงที่ไพเราะ เป็นนักร้อง ขับเสภา อ่านทำนองเสนาะได้อย่างยอดเยี่ยม โดยได้รับการถ่ายทอดความรู้จากครูเหนี่ยว ดุริย พันธุ์ และครูแช่มช้อย ดุริยพันธุ์ ซึ่งทั้ง ๒ ท่านเป็นศิษย์ของพระยาเสนาะดุริยางค์ (แช่ม สุนทร วาทิน) และเป็นนักร้องต้นแบบคนสำคัญของกรมศิลปากร ครั้นเมื่อครูเหนี่ยว ดุริยพันธุ์ ถึงแก่ กรรมในปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ครูประเวชก็เข้าแทนที่เป็นนักร้องของกรมศิลปากรได้ทันที ในสมัยที่นาย ธนิต อยู่โพธิ์ เป็นอธิบดีกรมศิลปากร ครูประเวชได้ทำหน้าที่เป็นนักร้อง บันทึกแผ่นเสียง กรม ศิลปากรมากมายหลายเพลง เป็นแผ่นเสียงอมตะมาจนทุกวันนี้ นอกจากจะร้องเพลงได้ดีทุกรูป แบบแล้ว ยังสามารถแต่งบทละครได้งดงาม ถูกต้องตามหลักวิชานาฏศิลป์และดุริยางคศิลป์อีก ด้วย และยังสามารถปรับแนวทางการบรรเลงของวงดนตรีได้อย่างยอดเยี่ยมอีกด้วย ลูกศิษย์ คนสำคัญที่ได้ถ่ายทอดทางขับร้องในกรมศิลปากร คือนายสมชาย ทับพร ปัจจุบันเป็นศิลปินผู้ เชี่ยวชาญทางด้านคีตศิลป์ ครูประเวชได้เริ่มถ่ายทอดวิชาการแก่รุ่นน้องมาตั้งแต่อายุได้ ๒๐ ปี ถนัดการสอนดนตรีทุก ประเภท และที่คล่องมากที่สุดคือ เครื่องสายไทย เครื่องสายผสม และมโหรี สอนได้ทั้งภาคทฤษฎี และปฏิบัติ ตลอดจนทำหน้าที่ผู้ประกาศทางวิทยุกระจายเสียงและบรรยายประวัติการดนตรีไทย ทางสถานีวิทยุเป็นประจำ เมื่อรับราชการกรมศิลปากร สามารถแต่งบทละครสำหรับการแสดง ละครที่โรงละครแห่งชาติ และได้สร้างผลงานไว้หลายเรื่อง หลายตอน ทำบทโทรทัศน์ ตลอดจน แต่ง โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ได้เป็นอย่างดี ผลงานด้านการดนตรีที่โดดเด่น นอกจากการแสดงฝีมือเป็นที่ประจักษ์แก่สาธารณะแล้ว ยังได้ ประพันธ์เพลงเอาไว้จำนวนหนึ่ง งานที่เคยได้รับรางวัลจากการประกวดแต่งเพลงไทยพิณทอง คือเพลงแขกเล่นกลเถา
เนื้อร้อง เพลงแขกเล่นกล เถา สามชั้น ท่อน ๑ ท่อน ๒ สองชั้น ท่อน ๑ ท่อน ๒ ชั้นเดียว ท่อน ๑ ท่อน ๒
จะกล่าวถึงพลายชุมพลเจ้าคนกล้า ปลอมเป็นแขกแปลกเผ่าเครารุงรัง พวกบ่าวไพร่ให้แต่งจำแลงเพศ แบกสุราอาหารทั้งหวานคาว ฮัดฉายาเฮนเจ้าเถรขวาด พอมอมเหล้าเมาหลับจะจับมัน
วิทยาไสยเวทวิเศษขลัง ด้วยมุ่งหวังจับเถรกับเณรลาว เป็นแขกเทศโพกเกศาด้วยผ้าขาว เสียงเกรียวกราวเจรจาภาษากัน จะเปรื่องปราดเกรียงไกรไฉนนั่น ทั้งเถรเณรหรือจะผันไปพ้นมือ
ประพันธ์ทางร้องโดย ครูประเวช กุมุท พ.ศ. ๒๕๒๔
ประวัติวงสโมสรสมานมิตร วงดนตรีไทย สโมสรสมานมิตร เป็นวงดนตรีที่รวบรวมมิตรสหายทางดนตรีจากหลากหลาย สถาบัน หลากหลายรุ่น ที่ก่อร่างสร้างมิตรภาพต่อเนื่องยาวนานมาหลายปี โดยมีเสียงดนตรีที่ พวกเรารักเป็นตัวเชื่อมประสานสมานให้มิตรมารวมบรรเลงอยู่ด้วยกัน โดยมีลูกศิษย์ของครูประ เวช กุมุท เป็นแกนนำ ในครั้งนี้ก็ได้มารวมตัวกันเพื่อสร้างสรรค์มิติเสียงใหม่ ๆ และร่วมบรรเลง บูชาครูในเพลงแขกเล่นกลเถา ผลงานการประพันธ์ทางร้องและทำนองของครูประเวช กุมุท ศิลปินแห่งชาติ สาขาศิลปะการแสดง(ดนตรีไทย) พ.ศ. ๒๕๓๒ เพื่อเข้าร่วมประกวดในการ ประกวดการแต่งเพลงไทย รางวัลพิณทอง ของธนาคารกสิกรไทย พ.ศ.๒๕๒๔ และยังเป็น โอกาสพิเศษ ร่วมเฉลิมฉลองในวาระที่ครูประเวช กุมุท ได้แต่งเพลงนี้ครบรอบ ๔๐ ปีในปี พ.ศ. ๒๕๖๕ และวาระ ๙๙ ปีชาตกาลครูประเวช กุมุท ในปีนี้อีกด้วย ลักษณะของวงที่จะบรรเลงในวันนี้ เป็นวงเครื่องสายผสมฮาร์พและทับบล้า เพื่อมุ่งหวังให้เกิดเสียงหรือมิติใหม่ ๆ ในวงการเครื่อง สายไทย
รายชื่อนักดนตรีวงสโมสรสมานมิตร ขับร้อง: ประพจน์ แอตาล ซอสามสาย: กานต์ สุวรรณกิติ ฮาร์พ: ปัณกฤต ถิรสุทธิ์ภาธร ซอด้วง: วีรศิลป์ ห่วงประเสริฐ ซออู้: สหภาพ ชวนจิตร ขิม: ณพงศกร ก้องจตุศักดิ์ ขลุ่ยเพียงออ : วรวรรณ วรฉัตร ขลุ่ยหลิบ : เกียรติศักดิ์ โพศิริ ฉิ่ง: ภัทราพร กิขุนทด โทน-รำมะนา มณต์มนัส ลือชัย ทับบล้า: พาสุข แววศรี กรับ: ธนภัทร บุญศรีวงษ์ โหม่ง: มนวัฒน์ เงินฉ่ำ รายนามนักแสดง จากวิทยาลับนาฏศิลป นครราชสีมา ลักษิกา รักตะขบ ขวัญฤทัย นาโม ศศิธร นิลบรรพต อริสรา ไขเขว้า ฟารีดา เยาว์สูงเนิน เขมิกา ประเสริฐศิรภัส ธเนศ แจ้งไพร ควบคุมการฝึกซ้อมโดย อาจารย์ ดร.นนทลี รัตนพันธุ์ และ อาจารย์เกียรติศักดิ์ โพศิริ
สำนักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย CU Art Culture @cuartculture CU Art Culture cu.art.culture 099-328-1616 cuartculture@chula.ac.th www.cuartculture.chula.ac.th