ศัพทธรรมะที่เขาใจผิด: คืออุปสรรคเบือ้ งตนของการเขาถึงธรรม
จัดพิมพและเผยแพรโดย ธรรมสถาน สํานักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
"ศัพทธรรมะที่เขาใจผิด : คืออุปสรรคเบื้องตนของการเขาถึงธรรม” เรียบเรียง : เภสัชกรสุรพล ไกรสราวุฒิ พิมพครั้งที่ 1 : กรกฎาคม พ.ศ. 2561 ธรรมสถาน สํานักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย จํานวน 4,000 เลม หลวงพอปฏิ จจะ สัมมั ตตะ10 (พระวิ นัย สิริธโร) จํานวน
ขอมูลทางบรรณานุกรมของสํานักหอสมุดแหงชาติ เภสัชกรสุรพล ไกรสราวุฒ.ิ ศัพทธรรมะทีเ่ ขาใจผิด : คืออุปสรรคเบือ้ งตนของการเขาถึงธรรม. -- กรุงเทพฯ : ธรรมสถาน สํานักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, 2561. 64 หนา. 1. พุทธศาสนา -- ศัพทบญ ั ญัต.ิ I. ชื่อเรือ่ ง. 294.303 ISBN 978-616-407-327-2 บรรณาธิการอํานวยการ : รองศาสตราจารย ดร.สันติ ฉันทวิลาสวงศ, นายกรรชิต จิตระทาน บรรณาธิการ : เภสัชกรสุรพล ไกรสราวุฒิ ออกแบบปก : นายพงศศักดิ์ สุวรรณมณี พิสูจนอกั ษร : นางปาลิดา จิรภาธงชัย ประสานงาน : นายจาตุรนต กิตติสุรินทร นายมาโนช กลิ่นทรัพย, นางนิติพร ใบเตย พิมพที่ : โรงพิมพแหงจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย 254 ถนนพญาไท เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330 โทร.0-2215-1991-2 ลิขสิทธิ์ : ธรรมสถาน สํานักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณ มหาวิทยาลัย โทร. 0-2218-3018 Website : http://www.dharma-centre.chula.ac.th Email : dharma-centre@chula.ac.th จัดทําโดย : ธรรมสถาน สํานักบริหารศิลปวัฒนธรรม จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย
คําปรารภของผูเ รียบเรียงหนังสือ เภสัชกรสุรพล ไกรสราวุฒิ ผูเชี่ยวชาญดานศาสนาและประเพณี (ธรรมสถานจุฬาฯ) ***************************************** แรงจูงใจในการเรียบเรียงหนังสือ “ศัพทธรรมะทีเ่ ขาใจผิด : คือ อุปสรรคเบื้ องตนของการเขาถึงธรรม” นี้ เกิดขึ้ นจากการที่ไดมีโอกาส พบปะและพู ดคุยกับผู ที่สนใจธรรมะหลายทานที่ ธรรมสถานจุ ฬาฯ ซึ่ง ได ใชคําและตั วอย างงาย ๆ ในการอธิ บาย ปรากฏผลทําใหผู ฟงเกิ ด ความเขาใจทีช่ ัดเจนขึ้น และสามารถนําไปใชประโยชนในชีวิตประจําวัน ไดจริงจังยิ่ งขึ้น และไดรับการรองขอใหเขียนเป นหนังสืออธิบายความหมายของศั พท ธรรมะในพระพุ ทธศาสนาตามที่ ได พู ดคุ ยกั นนั้ น เพื่ อ รวบรวมไว ไม ให สูญหาย นอกจากนั้ น ยั งสามารถนํ าไปเผยแพร เป น ประโยชน แก ผู สนใจศึ กษาและปฏิ บั ติ ธรรมในพระพุ ทธศาสนาต อไป ไดอีกดวย หนังสือ “ศัพทธรรมะทีเ่ ขาใจผิด : คืออุปสรรคเบือ้ งตนของการ เขาถึงธรรม” จึงเกิดขึน้ ดวยเหตุผลดังทีก่ ลาว โดยการเรียบเรียงไดอางอิง หลักฐานจากพระพุทธพจนในพระไตรปฎกเปนหลัก เพือ่ ใหมีความหมาย ตรงตอจุดมุงหมายที่พระพุทธเจาตรัสสอน แตไดพยายามตี ความและ ยกตัวอยางประกอบแบบประยุกต โดยเนนการอธิบายและยกตัวอยาง ที่เหมาะแกการเขาใจของคนในปจจุบัน เพื่อใหเกิดประโยชนแกผูอ าน เทาที่ จะสามารถกระทําได อยางไรก็ตาม การอธิบายศัพทธรรมะในหนังสือนี้ เชื่อไดวาจะ ยังมีความผิดพลาดคลาดเคลือ่ นทีเ่ กิดขึ้นได ดังนั้น หากจะมีบณ ั ฑิตหรือ ทานผูรูชวยชี้แนะก็จักเปนพระคุณยิ่ง เพื่อที่จะไดนําไปปรับปรุงแกไขให ถูกตองยิ่งขึ้นในโอกาสตอไป.
1 ตุลาคม 2560
สารบัญ
หนา
คําปรารภของผูเรียบเรียงหนังสือ เภสัชกรสุรพล ไกรสราวุฒิ ผูเชี่ยวชาญดานศาสนาและประเพณี (ธรรมสถานจุฬาฯ) การฟงธรรมเปนกาวแรกของการศึกษาและปฏิบัติธรรม การรูคําและความหมายของศัพทธรรมะ เปนปจจัยสําคัญทําให เขาใจธรรมะไดถูกตอง หลักธรรมบางประการที่ชว ยใหเขาใจธรรมไดถูกตอง หลักตัดสินธรรมวินยั 7 หลักตัดสินธรรมวินยั 8 หลักมหาปเทส 4 ในฝายธรรม หลักมหาปเทส 4 ในฝายวินัย องคคณ ุ ของพระธรรม 6 ประมวลรูปแบบปญหาอันเนื่องมาจากศัพทธรรมะ 1. ใหความหมายผิด จุติ อารมณ เวทนา สัญญา วิญญาณ มานะ อธิษฐาน วาสนา ภาวนา ทิฏฐิ หรือ ทิฐิ กรรม อัตตา อนัตตา 2. ใหความหมายที่ไมชัดเจน หรือเขาใจยาก โยนิโสมนสิการ
1 3 4 4 5 5 6 6 8 8 8 9 9 9 10 10 11 11 11 12 12 12 13 14 14
สารบัญ สัมปชัญญะ สันโดษ ปติ และ สุข ธรรมจักษุ อวิชชา ตัณหา โลภะ โทสะ โมหะ นิพพิทา 3. ใหความหมายไมตรงบริบท เพราะมีหลายความหมาย สังขาร (สังขารขันธ 30 / สังขารในปฏิจจสมุปบาท 31 / สังขารธรรม 32) อุเบกขา (อุเบกขาเวทนา 33 / อุเบกขาพรหมวิหาร 33 / อุเบกขาสัมโพชฌงค 35) สติ (สัมมาสติ 37 / สติปฏฐาน 4 (ในมหาสติปฏฐานสูตร) 38 / สติสัมโพชฌงค 39 / สตินทรีย และสติพละ 39) ทุกข (ทุกขในอริยสัจ 41 / ทุกขในเวทนา 42 / ทุกขในไตรลักษณ 42) 4. ใหความหมายที่คลาดเคลื่อน ไมตรงจุด หรือไมครบถวน โลก / ธรรม และ โลกียะ / โลกุตตระ ปฏิบัติธรรม ศีล สมาธิ ปญญา บทสรุป รายชื่อหนังสือทีไ่ ดจัดพิมพมาแลวของผูเรียบเรียง ทายเลม โดย นายกรรชิต จิตระทาน ผูอํานวยการสํานักบริหารศิลปวัฒนธรรม
หนา 16 18 20 21 23 25 27 28 30 30 32 36 40 43 43 45 48 49 52 56 57 58
ดูกรภิกษุทงั้ หลาย ธรรม 2 อยางนี้ ยอมเปนไปเพือ่ ความฟนเฟอนเลือนหายแหงสัทธรรม 2 อยางเปนไฉน คือ บทพยัญชนะที่ตั้งไวไมดี 1 อรรถที่นํามาไมดี 1 แม เนือ้ ความแหงบทพยัญชนะทีต่ งั้ ไวไมดี ก็ยอ มเปนอันนํามา ไมดี ดูกรภิกษุทงั้ หลาย ธรรม 2 อยางนีแ้ ล ยอมเปนไปเพือ่ ความฟน เฟอนเลือนหายแหงพระสัทธรรม ดูกรภิกษุทงั้ หลาย ธรรม 2 อยางนี้ ยอมเปนไปเพือ่ ความตัง้ มัน่ ไมฟน เฟอน ไมเลือนหายแหงสัทธรรม 2 อยาง เปนไฉน คือ บทพยัญชนะทีต่ ั้งไวดี 1 อรรถทีน่ ํามาดี 1 แมเนือ้ ความแหงบทพยัญชนะทีต่ ั้งไวดแี ลว ก็ยอมเปนอัน นํามาดี ดูกรภิกษุทงั้ หลาย ธรรม 2 อยางนีแ้ ล ยอมเปนไป เพือ่ ความตัง้ มัน่ ไมฟน เฟอน ไมเลือนหายแหงพระสัทธรรม
พระไตรปฎก เลมที่ 20 ขอที่ 266
ศัพทธรรมะที่เขาใจผิด:
คืออุปสรรคเบื้องตนของการเขาถึงธรรม *********************************************** การฟงธรรม เปนกาวแรกของการศึกษาและปฏิบตั ิธรรม ากมีผถู ามวา อะไรคือเบื้องตนหรือกาวแรกจริงๆ ห ของการศึกษาและปฏิบตั ธิ รรมในพระพุทธศาสนา ?
ทานจะตอบคําถามนีอ้ ยางไร ? คําตอบตอคําถามนี้ สามารถพิจารณาไดจากพระดํารัสของ พระพุทธเจ าเมื่อตอนที่สงพระอรหันตสาวกจํา นวน 60 รูป ออกไป ประกาศธรรมเปนครัง้ แรก ตามทีป่ รากฏในพระไตรปฎกเลมที่ 4 ขอที่ 32 วา “ครัง้ นัน้ พระผูม ีพระภาครับสัง่ กะภิกษุทงั้ หลายวา ......ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราพนแลวจากบวงทั้งปวง ทั้งที่เปน ของทิพย ทัง้ ทีเ่ ปนของมนุษย แมพวกเธอก็พนแลวจากบวงทัง้ ปวง ทัง้ ที่ เปนของทิพย ทั้งที่เปนของมนุษย พวกเธอจงเทีย่ วจาริก เพือ่ ประโยชน หมายเหตุ : พระไตรปฎกที่ใชอางอิงในหนังสือนี้ คือ ฉบับหลวง ป 2521
1
และความสุขแกชนหมูมาก เพื่ออนุเคราะหโลก เพื่อประโยชนเกือ้ กูล และความสุขแกทวยเทพและมนุษย พวกเธออยาไดไปรวมทางเดียวกัน สองรูป จงแสดงธรรมงามในเบื้องตน งามในทามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรยพรอมทัง้ อรรถทัง้ พยัญชนะครบบริบรู ณ บริสทุ ธิ์ สัตวทั้งหลายจําพวกทีม่ ีธุลีคือกิเลสในจักษุนอย มีอยู เพราะไมไดฟง ธรรม ยอมเสือ่ ม ผูร ทู วั่ ถึงธรรม จักมี ดูกรภิกษุทงั้ หลาย แมเราก็จกั ไปยัง ตําบลอุรเุ วลาเสนานิคม เพือ่ แสดงธรรม....” พระพุทธดํารัสทีย่ กมาขางตน แสดงถึงน้าํ พระราชหฤทัยและ พระกรุณาทีต่ องการจะโปรดบุคคลทัง้ หลายใหไดรแู ละไดรับประโยชน จากธรรมทีต่ รัสรูเ ปนอยางยิง่ เมือ่ มีสาวกที่รูตามและเขาถึงธรรม ก็ไม ทรงรีรอทีจ่ ะชีช้ วนใหออกไปประกาศธรรม ใหบคุ คลทัง้ หลายไดรู และได อาศัยเปนแนวทางในการดําเนินชีวติ เพื่อประโยชนและความสุขทีจ่ ะ บังเกิดแกชวี ติ ทัง้ หลายตลอดกาลนาน นัยสําคัญของการประกาศธรรม แทจริงคือเพื่อใหบุคคลได ฟงธรรม โดยเฉพาะธรรมทีต่ รัสสอนนัน้ เปนธรรมทีต่ รัสรูด ว ยพระองคเอง เปนธรรมทีไ่ มเคยไดยินไดฟง จากใครมากอน และเปนธรรมทีไ่ มมผี ูใด ลวงรูและเขาถึงมากอนเลย ดังนั้น หากไมไดฟงธรรมกอน ยอมไมรู ไมเขาใจ และไมสามารถปฏิบัตเิ พือ่ เขาถึงเปาหมายตามทีพ่ ระพุทธองค ทรงคนพบไดเลย การฟงธรรมและเขาใจในความหมายของธรรมที่ฟงได ถูกตอง จึงเปนเบือ้ งตนหรือกาวแรกของผูท สี่ นใจศึกษาและปฏิบตั ิ ธรรม เพื่อใหเขาถึงและไดรับประโยชนตรงตอธรรมตามที่ได ตรัสสอนจริง ๆ 2
การรูค ําและความหมายของศัพทธรรมะ เปนปจจัยสําคัญทําให เขาใจธรรมะไดถกู ตอง ดังที่ไดกลาวไปแลววา สาระสําคัญของการฟงธรรม คือ ตองการรูและเขาใจในสิ่งที่ฟงไดถูกตอง และสิ่งที่จะทําใหรแู ละ เขาใจในสิ่งที่ฟงไดถูกตอง คือการรูและเขาใจถึงคําและความหมาย ของศัพทธรรมะทีฟ่ งไดถกู ตอง ตรงตามจุดมุงหมายทีผ่ ูแสดงธรรมนัน้ ประสงค ในพระสูตรที่ ยกมา พระพุทธเจ าไดตรัสแนะนําในสวนของ ผูแ สดงธรรมไวชัดดวยประโยคทีว่ า “จงประกาศพรหมจรรย พรอมทัง้ อรรถทัง้ พยัญชนะครบ บริบรู ณ บริสทุ ธิ”์ กลาวคือใหมคี วามละเอียดออน ในการเลือกเฟน คําศัพท (พยัญชนะ) ที่ใชใหเหมาะสม รวมทัง้ การ อธิบาย ความหมาย (อรรถ) ใหชดั เจนและถูกตอง เพื่อปองกันไมให เกิดความเขาใจผิดหรือเขาใจคลาดเคลื่อน และในสวนของผูฟงเองก็ เชนกัน จะตองศึกษาและเรียนรูท ั้งคําและความหมายของศัพทธรรมะ ใหถกู ตองเชนกัน จึงจะทําใหไดรบั ประโยชนจากการฟงธรรม และบังเกิด ผลตรงตามทีต่ รัสสอนไดอยางแทจริงดวย นอกจากนั้น ดวยความรอบคอบและรัดกุม พระพุทธเจายังได ตรัสแสดงหมวดธรรมอีกบางหมวด เชน หลักตัดสินธรรมวินยั 7 และ 8 หลักมหาปเทส 4 ทัง้ ในฝายธรรมและวินยั และองคคณ ุ ของพระธรรม 6 ใหใชเปนหลักในการเทียบเคียงหรือตรวจสอบความเขาใจ เพือ่ เปนหลัก ประกันความมัน่ ใจในความเขาใจตอศัพทธรรมะทีถ่ ูกตอง ซึ่งหากเปน ความเขาใจที่ถูกตองอยางแทจริง ยอมจะไมมอี ะไรทีข่ ัดแยงหรือลงกัน ไมไดกบั หมวดธรรมเหลานีเ้ ลย ดังนัน้ จึงจําเปนอยางยิง่ ทีจ่ ะตองเรียนรูไ ว ซึง่ จะไดนํามาแสดงในบทถัดไป 3
หนังสือที่เรียบเรียงขึน้ นี้ มีจุดมุงหมายที่จะทําความเขาใจใน พยั ญชนะ และ อรรถ ของศัพทธรรมะที่พระพุทธเจาตรัสสอนให ชัดเจนและถูกตอง โดยจะเลือกศัพทธรรมะทีจ่ ําเปนตองรูแ ละทีเ่ นือ่ งกับ การปฏิบัติทบี่ ุคคลทัว่ ไปมักเขาใจผิดหรือเขาใจคลาดเคลือ่ น หรือเปน คําศัพททเี่ ขาใจยาก ทีเ่ ปนอุปสรรคทําใหเขาไมถงึ ธรรม มาทําความเขาใจ ดวยภาษางาย ๆ ที่ใชกนั ในบริบทของสังคมปจจุบัน เพือ่ ใหเกิดความ เขาใจชัดเจนแลวสามารถนําไปปฏิบัติตอได ไมไดทําในลักษณะของ การแปลเพือ่ รักษารูปศัพททางไวยากรณ ดวยความหวังเปนอยางยิง่ วา จะสามารถชวยบุคคลโดยเฉพาะผูเ ริม่ ตนสนใจในธรรมทีต่ อ งการเรียนรู และฝกฝนการปฏิบตั หิ ลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ใหเขาใจและไดรบั ประโยชนสงู สุดจากคําสอนของพระพุทธเจาเทาทีจ่ ะเปนไปได สมตาม พระพุทธประสงคที่ไดสงพระสาวกไปประกาศธรรมเพื่อความสุขแก ชนหมูม าก และเพือ่ อนุเคราะหโลก หลักธรรมบางประการทีช่ วยใหเขาใจธรรมไดถูกตอง หลักตัดสินธรรมวินัย 7 พระพุทธเจาไดตรัสแสดงหลักสําหรับตรวจสอบธรรมและวินัย แกพระอุบาลีในพระไตรปฎก เลมที่ 23 ขอที่ 80 วา ธรรมและวินัยที่ ตรัสสอน มีลกั ษณะดังตอไปนี้ คือ เปนไปเพือ่ เอกันตนิพพทิ า (ความ หนายอยางสิ้นเชิง) เพือ่ วิราคะ (คลายยึดติด) เพือ่ นิโรธะ (ความดับ ทุกข) เพื่ออุปสมะ (ความสงบระงับ) เพือ่ อภิญญา (ความรูยงิ่ ) เพือ่ สัมโพธะ (ความตรัสรู) และเพือ่ นิพพาน (ความดับสิน้ ไปแหงภพ) ดังนัน้ การอธิบายหรือใหความหมายศัพทธรรมะทีพ่ ระพุทธเจา 4
ตรัสสอน หากไมไดเปนไปตามวัตถุประสงคตามหลักตัดสินธรรมวินยั 7 นีแ้ ลว นั่นยอมแสดงวา ไมตรงตอคําสอนของพระพุทธเจา หลักตัดสินธรรมวินยั 8 พระพุทธเจาไดตรัสแสดงหลักสําหรับตรวจสอบธรรมและวินัย แกพระนางมหาปชาบดีในพระไตรปฎก เลมที่ 7 ขอที่ 523 วา ธรรมและ วินัยที่ตรัสสอน มีลักษณะดังตอไปนี้ คือเปนไปเพื่อคลายกําหนัด เพือ่ ความคลายทุกข เพือ่ ความไมพอกพูนกิเลส เพือ่ ความมักนอย เพือ่ ความสันโดษ เพื่อความสงัด เพื่อการระดมความเพียร และ เพือ่ ความเปนผูเ ลีย้ งงาย ดังนัน้ การอธิบายหรือใหความหมายศัพทธรรมะทีพ่ ระพุทธเจา ตรัสสอน หากไมไดเปนไปตามวัตถุประสงคตามหลักตัดสินธรรมวินยั 8 นัน่ ยอมแสดงวา ไมตรงตอคําสอนของพระพุทธเจา หลักมหาปเทส 4 ในฝายธรรม พระพุทธเจาไดตรัสแสดงหลัก มหาปเทส 4 ในฝา ยธรรม สําหรับตรวจสอบความถูกตองของธรรม ในกรณีทมี่ กี ารอางวาเปนคําสอน ทีไ่ ดฟง มาจากพระพุทธเจาหรือพระเถระจากทีต่ า ง ๆ ไวในพระไตรปฎก เลมที่ 10 ขอที่ 113 โดยสรุปวา อยาเพิง่ รับหรืออยาเพิง่ ปฏิเสธโดยทันที แตใหศกึ ษาขอความและถอยคําทีอ่ า งนัน้ ใหดเี สียกอน แลวนํามาตรวจสอบ เทียบเคียงกับคําสอนของทานในสูตรและวินยั วาสามารถเขากันหรือลงกัน ไดหรือไม หากลงกันไมได ก็ใหละทิง้ เสีย แตหากลงกันได ก็ใหรบั คําสอน นัน้ ไว เพราะคําสอนของพระพุทธเจาแมตรัสไวมากมายและหลากหลาย 5
อยางไรก็ตาม แตทงั้ หมดจะสอดคลองกันเปนอยางดี ไมมีทขี่ ดั กันเองเลย ดังนัน้ การอธิบายหรือใหความหมายศัพทธรรมะทีพ่ ระพุทธเจา ตรัสสอน เมื่อนํามาตรวจสอบและเทียบเคียงกับในสูตรและวินัยแลว หากเขากันหรือลงกันไมไดแลว นั่นยอมแสดงวาไมตรงตอคําสอนของ พระพุทธเจา หลักมหาปเทส 4 ในฝายวินัย พระพุทธเจาไดตรัสแสดงหลัก มหาปเทส 4 ในฝายวินัย สําหรับตรวจสอบความถูกตองของวินยั ในกรณีทไี่ มไดทรงบัญญัตใิ น เรือ่ งนัน้ ๆ ไวโดยตรง ไดทรงแนะใหนําเรือ่ งดังกลาว มาสอบเทียบเคียง กับเรือ่ งทีท่ รงบัญญัตไิ วแลววาควรหรือไมควร หากเขากันไดกบั เรือ่ งทีค่ วร และขัดกับเรือ่ งทีไ่ มควร ก็ใหวนิ จิ ฉัยวาเปนเรือ่ งทีค่ วร แตหากเรือ่ งดังกลาว เขากันไดกับเรือ่ งทีไ่ มควร และขัดกับเรือ่ งทีค่ วร ก็ใหวนิ ิจฉัยวาเปนเรือ่ ง ที่ไมควรดวย ดังที่ตรัสสอนไวในพระไตรปฎก เลมที่ 5 ขอที่ 92 ดังนัน้ การอธิบายหรือใหความหมายศัพทธรรมะทีพ่ ระพุทธเจา ตรัสสอน โดยเฉพาะในประเด็นของวินัย เมือ่ นํามาตรวจสอบและเทียบ เคียง หากอธิบายผิดตอหลักเกณฑทเี่ ขากันไดหรือทีข่ ดั กันตามหลักมหาปเทส 4 ฝายวินยั นีแ้ ลว นัน่ ยอมแสดงวาไมตรงตอคําสอนของพระพุทธเจา องคคุณของพระธรรม 6 พระพุทธเจาไดแสดงองคคุณของพระธรรม หรือ คุณลักษณะ ของ “ธรรม” ทีต่ รัสสอนไววามี 6 ประการ ในพระไตรปฎก เลมที่ 16 ขอที่ 472 ซึ่งเห็นวาเปนอีกเรือ่ งหนึง่ ที่สําคัญทีจ่ ะชวยทําใหเกิดความเขาใจ 6
ในศัพทธรรมะไดถูกตองและตรงตอพระพุทธประสงคยงิ่ ขึ้น จึงขอนํา เสนอใหเปนหลักอีกขอหนึง่ สําหรับการทําความเขาใจศัพทธรรมะในหนังสือ ที่เรียบเรียงนีด้ วย องคคุณของพระธรรม 6 ประการ หรือทีเ่ รียกวา ธรรมคุณ 6 มีเนือ้ หาสาระดังนี้ 1. สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม เปนธรรมที่ตรัสไวดีแลว มี ความหมายวา ตรัสไวเชนไร ก็เปนเชนนัน้ ไมมกี ารเปลีย่ นกลับไป - กลับมา ไมมกี ารขัดแยงกันเอง และไมมใี ครทีจ่ ะกลาวแยงหรือหักลางคําสอนได 2. สนฺทิฏฐโิ ก เปนสิง่ ที่ผศู ึกษาและปฏิบตั ิสามารถประจักษ แจงไดดว ยตนเอง ไมใชสอนใหเพียงเชือ่ ตามอยางเดียว 3. อกาลิโก เปนสิ่งที่ไมขนึ้ กับบุคคลหรือยุคสมัย ไมมกี ารลา สมัย เพราะเปนเรือ่ งความจริงของธรรมชาติทเี่ ปลีย่ นแปลงไปตามกฎ ของธรรมชาติ 4. เอหิปสฺสโิ ก เปนสิง่ ทีท่ าทายใหใคร ๆ สามารถเขามาพิสจู น ได 5. โอปนยิโก เปนสิง่ ทีส่ ามารถนอมนําเขามาสูก ารปฏิบตั หิ รือ ใชประโยชนในชีวติ จริงได 6. ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิฺูหิ เปนสิง่ ที่ถงึ ที่สดุ แลวตองรู เฉพาะตน หรือรูจ ากประสบการณของตนเอง และเมื่อรูแ ลวจะทําให บุคคลนั้ นไม ตองฝากความเชื่ อไว กับใครอี ก แม แต กับพระศาสดา ดังเชนมี คํากลาวถึงพระอรหันตวา เปน อสัทธา คือ เปนบุคคลที่ ไมตอ งเชือ่ ใครอีก (ในเรือ่ งของการปฏิบตั เิ พือ่ ความดับทุกข) ดังนัน้ การอธิบายหรือใหความหมายศัพทธรรมะทีพ่ ระพุทธเจา ตรัสสอน หากมีคณ ุ ลักษณะทีข่ ดั ตอองคคณ ุ หรือคุณลักษณะ 6 ประการ ของธรรมตามทีก่ ลาว ยอมแสดงวาไมตรงตอคําสอนของพระพุทธเจา 7
ประมวลรูปแบบปญหาอันเนือ่ งมาจากศัพทธรรมะ ตอจากนี้ จะไดเขาสูป ระเด็นปญหาในเรือ่ งศัพทธรรมะที่เห็น วาควรนํามาทําความเขาใจใหถกู ตอง ซึง่ จะเปนพืน้ ฐานทีท่ ําใหเขาถึง ธรรมโดยสะดวกและราบรื่ นยิ่ งขึ้ นต อไป ในทัศนะของผู เรี ยบเรี ยง ประมวลไดเปน 4 รูปแบบ คือ 1. ใหความหมายผิด 2. ใหความหมายที่ไมชดั เจนหรือเขาใจยาก จนไมสามารถ นําไปปฏิบัตไิ ด 3. ใหความหมายไมตรงบริบท เพราะมีหลายความหมาย 4. ใหความหมายคลาดเคลือ่ น ไมตรงจุด หรือไมครบถวน จะไดอธิบายโดยละเอียดตอไป 1. ใหความหมายผิด ปญหาเรือ่ งศัพทธรรมะประเด็นแรก คือการเขาใจความหมาย ของคําศัพทผิดไปจากที่พระพุทธเจาตรัสสอน ทําใหเวลาฟงหรืออาน ไมสามารถเขาใจในเนือ้ หา และอาจถึงกับเขาใจผิดชนิดตรงกันขามกับ ความหมายทีแ่ ทจริง หรือผิดไปจากความหมายทีป่ ระสงคกไ็ ด ศัพทธรรมะในกลุม นี้ อาทิคําวา จุติ / อารมณ / เวทนา / สัญญา / วิญญาณ / มานะ / อธิษฐาน / วาสนา / ภาวนา / ทิฏฐิ (ทิฐ)ิ / กรรม / อัตตา / อนัตตา จุติ
มีความหมายวา เคลือ่ น หรือ ตาย ซึง่ ในภาษาบาลีสามารถ 8
ใชไดทวั่ ไป แตในภาษาไทยสวนมากใชกบั เทวดา และมักจะเขาใจผิดวา หมายถึง “เกิด” อารมณ
มีความหมายวา สิง่ ทีถ่ ูกรู หรือสิง่ ทีร่ ับรูผ านชองทางการรับรู ซึง่ มี อยู 6 ชองทาง คือ ตา หู จมูก ลิน้ กาย และใจ ดังนั้น อารมณตาม หลักพระพุทธศาสนา จึงหมายถึง รูป เสียง กลิน่ รส สิง่ ทีส่ มั ผัสทางกาย และสิง่ ทีส่ ัมผัสทางใจ ในขณะที่กําลังรับรูท างตา หู จมูก ลิน้ กาย และ ใจ ....ไมไดหมายถึง “สภาวะความเปนไปของจิตในลักษณะตาง ๆ” เชน อารมณดี อารมณเสีย อารมณเศรา ฯลฯ เวทนา
มีความหมายวา ความรูส กึ ทีเ่ กิดขึน้ จากการรับรู ไมวา จะเปน การรับรูผ านทางชองทางการรับรูใ ดก็ตาม (ตา หู จมูก ลิน้ กาย และใจ) จําแนกเปนความรูส ึกสุข ทุกข และเฉย ๆ ซึง่ ในหลักธรรมยังจําแนกชัด ลงไปอีกวา เวทนาทีเ่ กิดจากการรับรูท างตา หู จมูก ลิ้น จะเกิดขึน้ ได เฉพาะทีเ่ ปนความรูส กึ เฉย ๆ สวนเวทนาทีเ่ กิดจากการรับรูท างกายและ ทางใจ จึงจะเกิดเปนเวทนาไดครบทัง้ 3 แบบ คํา “เวทนา” มักถูกเขาใจ ผิดวาเปน “ความรูส ึกที่สงสาร หรือนาสงสาร หรือ เปนความรูส ึกเจ็บ ปวดทรมาน” เพียงอยางเดียว สัญญา
มีความหมายวา จําได หมายรู เปนอาการรูแ บบหนึ่งของจิต 9
(จิตมีอาการรู 4 แบบดวยกัน คือ รูส กึ (เวทนา) รูจ าํ (สัญญา) รูค ิด(สังขาร) รูแ จงอารมณ(วิญญาณ)) ธรรมชาติของจิตเมือ่ รับรูส งิ่ ใดสิง่ หนึง่ จะจําได วาไดเคยรับรูในสิ่งนัน้ มากอนแลว เชนไดกลิน่ อะไรอยางใดอยางหนึ่ง เมื่อมาไดกลิ่นนั้นอีกครั้ง จะจําไดวาเปนกลิ่นที่ไดเคยสัมผัสมาแลว นอกจากนั้นยังมีการหมายรูล งไปดวยวาเปนกลิน่ อะไร เชน กลิ่นของ ดอกกุหลาบ หรือกลิน่ ของดอกมะลิ ....ไมไดหมายถึง “สัญญาที่เปนขอ ตกลง หรือการรับปาก หรือการใหคํามัน่ ตอกัน” วิญญาณ
มีความหมายวา รูแจงในอารมณ คือรูวาอารมณหรือสิ่งที่ รับรูนั้นเปนอะไร โดยการจะเกิดวิญญาณขึ้นมารับรูนั้นในหลักธรรม แสดงไววา จะตองเกิดขึน้ จากอายตนะภายใน (ตา หู จมูก ลิน้ กาย และ ใจ) ไปกระทบหรือรับรูต อ อายตนะภายนอก (รูป เสียง กลิน่ รส สิง่ ทีส่ มั ผัส ทางกาย (โผฏฐัพพะ) และสิง่ ทีส่ มั ผัสทางใจ (ธรรมารมณ)) แลวจึงทําให เกิดวิญญาณขึ้น คือวิญญาณทางตา วิญญาณทางหู วิญญาณทาง จมูก วิญญาณทางลิ้น วิญญาณทางกาย และวิญญาณทางใจ หรือ ใชคาํ เรียกงาย ๆ วา ไดเห็น ไดยนิ ไดกลิ่น ไดรส ไดรูสัมผัสทางกาย และไดรูสัมผัสทางใจ ....ไมไดหมายถึง “วิญญาณที่สงิ อยูในรางกาย เมือ่ สิน้ ชีวติ ก็จะออกจากราง เพือ่ ไปแสวงหารางใหมหรือเกิดใหม” มานะ
ในทางธรรมจัดเปนกิเลส มีความหมายวา ความถือตัว ความ สําคัญตน โดยมีการเปรียบเทียบกับผูอ นื่ ไมวา จะในแงต่ํากวา สูงกวา หรือเสมอกันก็ตาม ....ไมไดหมายถึง “มีความมุง มัน่ มีความพากเพียร” 10
อธิษฐาน
มีความหมายวา การตั้งใจมั่น หรือความตั้งใจแนวแนที่ จะกระทําการใหสําเร็จบรรลุจุดหมาย....ไมไดหมายถึง “การออน วอน หรือขอใหไดรับความสําเร็จหรือบรรลุจุดมุงหมายจากสิง่ ทีเ่ ชือ่ วา มีความศักดิส์ ทิ ธิแ์ ละสามารถดลบันดาลใหได” วาสนา
มีความหมายวา พฤติกรรมทางกายและวาจาทีไ่ มเหมาะสม ทีส่ งั่ สมมาเปนเวลานาน จนเคยชินติดเปนพืน้ ประจําตัว เฉพาะ พระพุทธเจาเทานั้น ที่สามารถละในเรือ่ งวาสนานีไ้ ด แมสาวกผูปฏิบตั ิ ธรรมจนสําเร็จเปนพระอรหันต ก็ยังไมสามารถละได ในคัมภีรมักจะ ยกตัวอยางกรณีของพระสารีบตุ ร ซึ่งในอดีตชาติเคยเกิดเปนลิงหลาย รอยชาติ ยังติดวาสนาบางอยางที่ไมสามารถละได เวลาจะกาวขาม ทองรอง มักจะกระโดดขาม ....ไมไดหมายถึง “อํานาจบุญเกาหรือกุศล ทีท่ ําใหไดลาภยศ” ภาวนา
มีความหมายวา การเจริญ การทําใหมีขึ้น ดังเชนที่พระพุทธเจาตรัสถึงกิจในอริยสัจ 4 ไววา ทุกข มีกิจคือ กําหนดรู (ปริญญา) สมุทยั มีกิจคือ ใหละ (ปหานะ) นิโรธ มีกจิ คือ ทําใหแจง (สัจฉิกริ ิยา) มรรค มีกจิ คือ ใหเจริญ หรือทําใหมี ใหเกิดขึ้น (ภาวนา) ....ไมไดหมายถึง “การทองบน หรือวาซ้าํ ๆ เพือ่ ใหเกิดความขลัง” 11
ทิฏฐิ หรือ ทิฐิ
มี ความหมายวา ความเห็ น ความเข าใจ มั กมี คํา ขยาย นําหนา เชน สัมมาทิฏฐิ (ความเห็นชอบ) มิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) หากใชลําพังเพียงคําวา “ทิฏฐิ” มักจะมีความหมายเปนความเห็นผิด ....ไมไดหมายถึง “ความดือ้ ดึงถือรัน้ ในความเห็นของตน” กรรม
มีความหมายวา การกระทํา เปนความหมายทีเ่ ปนกลาง ๆ ใชไดกับการกระทําทั้งในทางดี ทางชัว่ หรือเหนือดีเหนือชัว่ มักจะมีคํา ขยายนําหนาหรือตอทาย เพือ่ ใหทราบชัดวาเปนกรรมประเภทใด เชน อกุศลกรรม กุศลกรรม หรือกรรมดํา กรรมขาว กรรมไมดําไมขาว ....ไมได หมายถึง “การกระทําในทางชัว่ ” หรือเขาใจผิดไปใหความหมายวาเปน “ผลของการกระทําความชัว่ ” ซึง่ ในหลักธรรมใชคําวา “วิบากกรรม“ อัตตา
มีความหมายวา ตัวตน ซึง่ ตามหลักคําสอนในพระพุทธศาสนา แสดงไววา เปนสิง่ ทีไ่ มมอี ยูจ ริงในธรรมชาติ เปนเพียงความเห็นผิดหรือ ความยึดมัน่ ผิด ๆ ไปเองของจิต ในภาษาบาลีมคี ําใชวา อัตตานุทิฏฐิ และอัตตวาทุปาทาน ความเห็นผิดในเรือ่ งตัวตนนี้ จําแนกไดเปน 2 แบบ คือ (1)เห็นผิดวามีตัวตนที่เที่ยงแทและยั่งยืน (สัสสตทิฏฐิ) ซึ่งใชคํา แทนสั้นๆ วา อัตตา หรือ มีตัวตน และ (2)เห็ นว ามี ตัวตนแตจะ ขาดสูญเมื่อตาย (อุจเฉททิฏฐิ) ซึ่งใชคําแทนสั้นๆ วา นิรัตตา หรือ ไมมีตวั ตน ....ไมไดหมายถึง “สภาวะของตัวตนใดใด หรือทีเ่ นือ่ งกับ ตัวตนใด ๆ ซึง่ คนสวนใหญเขาใจวาเปนความเยอหยิง่ ถือตัว” 12
อนัตตา
มักจะบัญญัตคิ วามหมายวา ไมใชตัวตน เพื่อใหแตกตางจาก คํา “อัตตา” และ “นิรตั ตา” ที่ใหความหมายวา “มีตวั ตน” และ “ไมมี ตัวตน” เปนการปฏิเสธความเห็นหรือความยึดมัน่ ทีผ่ ิดๆ ของจิต วาเปน ตัวตนหรือที่เนื่องดวยตัวตนเปนสําคัญ เปนศัพทธรรมะที่เขาใจยาก และเห็นไดยากเพราะขัดกับความรูส กึ ซึง่ เปนสัญชาตญาณทีอ่ ยูส ว นลึก ที่สุด มีสอนเฉพาะในพระพุทธศาสนา การรูห รือเห็นอนัตตา กลาวโดย สรุป คือการเห็นวาสิง่ ตางๆลวนเปนไปตามกฎธรรมชาติ ไมสามารถบังคับ ใหเปนไปตามใจตนทีต่ องการได สมดังทีตรั ่ สไวในพระไตรปฎก เลมที30 ่ ขอที่ 505 วา ....“ดูกรภิกษุทงั้ หลาย รูปเปนอนัตตา. ดูกรภิกษุทงั้ หลาย ถารูปนีจ้ กั เปนอัตตาแลวไซร รูปนีก้ ไ็ มพงึ เปนไปเพือ่ อาพาธ (ความเจ็บปวย ความเสือ่ มโทรม) และจะพึงไดใน รูปวา ขอรูปของเราจงเปนอยางนี้ รูปของเราอยาไดเปนอยางนีเ้ ลย ดูกรภิกษุทงั้ หลาย แตเพราะรูปเปนอนัตตา ฉะนัน้ รูปจึง เปนไปเพือ่ อาพาธ และยอมไมไดในรูปวา ขอรูปของเราจงเปนอยางนี้ รูปของเราจงอยาไดเปนอยางนีเ้ ลย” (ตอจากนีไ้ ดแสดงถึง เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ดวยขอความเดียวกัน) ความเขาใจผิดเกี่ยวกับอนัตตาที่สําคัญอีกประการหนึ่ง คือ เขาใจวา อะไร ๆ ลวนไมมีอยู ผูท ี่เขาใจหรือรูใ นอนัตตาอยางถูกตอง จะเห็นวาสิง่ ตาง ๆ ในธรรมชาติมีอยู และมีกฎธรรมชาติควบคุมความ เปนไป ไมขนึ้ กับใคร หรือใคร ๆ ไมสามารถบังคับใหเปนไปตามอําเภอใจ ตนได ดังนั้น ผูรูอนัตตา จะปฏิบัติตอสิ่งตาง ๆ ตามกฎธรรมชาติที่ ควบคุมความเปนไปของสิง่ นั้น ๆ ไมเอาความตองการของตัวตนเปน เครือ่ งนํา หรือไมไดปฏิบัตติ อ สิง่ ตาง ๆ เพือ่ ตอบสนองตัวตนแตอยางใด 13
2. ใหความหมายที่ไมชัดเจน หรือเขาใจยาก ปญหาเรือ่ งศัพทธรรมะในประเด็นที่ 2 คือการใหความหมาย ของศัพทธรรมะทีไ่ มชดั เจน หรือเขาใจยาก จนปฏิบตั ไิ มถกู หรือไมสามารถ ปฏิบัตไิ ด ศัพทธรรมะในกลุม นี้ อาทิคําวา โยนิโสมนสิการ (การกระทําในใจโดยแยบคาย) สัมปชัญญะ (ความรูส กึ ตัวทัว่ พรอม) สันโดษ (ความพอใจในสิง่ ทีม ่ )ี ปติ (ความอิม ่ ใจ) / สุข (ความสบายกายสบายใจ) ธรรมจักษุ (ดวงตาเห็นธรรม) อวิชชา (ความไมร)ู ตัณหา (ความทะยานอยาก) นิพพิทา (ความเบือ ่ หนาย) โยนิโสมนสิการ
มักจะอธิบายหรือใหความหมายวา การกระทําในใจโดย แยบคาย ซึง่ ผูฟ ง สวนใหญจะไมเขาใจวาใหทาํ อยางไร โดยรูปศัพทประกอบดวยคําศัพท 2 คํา คือ โยนิโส (เหตุ ตนเคา แหลงเกิด) + มนสิการ (การทําในใจ การใสใจ การพิจารณา การคิด) โยนิโสมนสิการ จึงเปนการวางทาทีของจิตในการรับรูหรือ เกีย่ วของกับสิง่ ตาง ๆ ใหถกู ตอง กลาวคือ การมีทา ทีรบั รูต อ สิง่ ตาง ๆ ใน ลักษณะเปนการเรียนรูเ พือ่ เขาถึงตนเคาหรือความจริงของสิง่ ทีร่ บั รู เพือ่ จะไดเขาไปทําหนาทีแ่ ละเกีย่ วของไดอยางถูกตอง โดยเฉพาะในแงมมุ ทีท่ ําใหจติ สามารถอยูเ หนืออิทธิพลหรือความรอยรัดเสียดแทงจากสิง่ ทีร่ บั รู ไมใหกอ ความทุกขแกจติ ได 14
เพือ่ ความเขาใจทีช่ ดั เจนยิง่ ขึน้ ขอเสนอใหทาํ ความเขาใจศัพท ธรรมะทีม่ ีความหมายตรงกันขาม คือ อโยนิโสมนสิการ ซึง่ ใหความ หมายวา การกระทําในใจโดยไมแยบคาย คือการมีทา ทีในการรับรู ตอสิ่งตาง ๆ อยางไมถกู ตอง กลาวคือรับรูด วยทาทีทเี่ อาความรูส ึกที่ เกิดจากการรับรูน นั้ เปนตัวนํา โดยหากการรับรูใ ดทีท่ ําใหเกิดความรูส ึก ยินดีหรือพอใจ ก็จะเกิดความอยากได และทําใหแสวงหาเพือ่ ครอบครอง แตหากเกิดเปนความรูส ึกไมพอใจหรือขัดเคืองใจ ก็เกิดเปนความโกรธ ที่ตองการผลักไสหรือทําลาย แตหากเกิดเปนความรูสกึ เฉยๆ ก็ทําให ปลอยปละละเลย ไมสนใจตอสิง่ ทีร่ บั รูน นั้ เทาใด จิตทีร่ บั รูด ว ยอโยนิโสมนสิการจึงขึ้น ๆ ลง ๆ ไปตามความรูสึกที่เกิดขึ้นจากการรับรู หรือ กลาวอีกนัยหนึ่ง จิตถูกครอบงําและเปนไปตามอํานาจของความรูสกึ ทีเ่ กิดขึน้ จากการรับรู ทานพุทธทาสภิกขุไดเคยแสดงอุปมาเปรียบเทียบทีท่ ําใหเขาใจ ในเรื่ องโยนิโสมนสิ การและอโยนิ โสมนสิ การได งายขึ้ นและมากขึ้ น โดยเปรียบเทียบกับการทีบ่ คุ คลเอาไมไปแหยเสือหรือสิงโต เสือหรือสิงโต จะกระโดดไปขย้าํ คนที่แหย แตหากไปแหยสนุ ัข สุนขั จะไลงับปลายไม ไมวา บุคคลจะขยับไมไปทิศทางใด ก็จะไลงบั ปลายไมไปตามทิศทางนัน้ ลักษณะของโยนิโสมนสิการ เหมือนเสือและสิงโตที่ไม มัวแตสนใจในไมทแี่ กวงไปมาซึง่ เปนเสมือนสิ่งทีจ่ ิตรับรู แตจะ เขาไปขย้าํ ถึงบุคคลทีเ่ ปนตนตอ คือตองการเขาถึงความจริงหรือ กฎธรรมชาติทเี่ ปนตนตอของสิ่งทีจ่ ิตรับรูน นั้ ; สวนลักษณะของ อโยนิโสมนสิการ เหมือนสุนัขทีค่ อยไลงบั ปลายไมที่ขยับไปมา คือจิตวิง่ ตามสิง่ ทีร่ ับรู เปนไปตามอิทธิพลของสิง่ ทีร่ ับรู 15
เพื่อความเขาใจในเรื่องโยนิโสมนสิการใหกระจางยิ่งขึ้น ขอ เสนอใหพิจารณาหลักธรรมคืออริยสัจ 4 ซึง่ ไดแสดงวิถีการดําเนินชีวติ เปน 2 เสนทาง คือเสนทางชีวิตทุกข (ทุกข - สมุทัย) และเสนทางชีวติ ทีพ่ นทุกข (นิโรธ - มรรค) โดยเสนทางชีวติ ทุกข เปนเสนทางชีวิตที่เอา ความอยากความตองการของตน (ตัณหา) เปนตัวนํา ซึง่ จะเปนไปตาม ความรูส ึกที่มตี อสิง่ ทีร่ ับรู คือสุข ทุกข หรือเฉย ๆ เปนสําคัญ สวนเสน ทางชีวติ ทีพ่ นทุกข เปนเสนทางชีวติ ทีเ่ อาความถูกตองตามกฎธรรมชาติ หรือสัมมา (คือความถูกตอง) ในองคมรรคแตละหัวขอเปนตัวนํา กลาวโดยสรุป การมีทา ทีในการดําเนินชีวติ โดยเอาตัณหาเปน ตัวนํา ซึ่งนําไปสูช ีวติ ทุกข เปนทาทีของอโยนิโสมนสิการ ; สวนการ ดําเนินชีวิตโดยเอาความถูกตองเปนตัวนํา ซึ่งนําไปสูชีวิตที่พนทุกข เปนทาทีของ โยนิโสมนสิการ สัมปชัญญะ
มักจะอธิบายหรือใหความหมายวา ความรูส ึกตัวทัว่ พรอม สวนใหญจะเขาใจวาเปนการทําความรูส กึ ตัวใหทวั่ ทัง้ ตัวหรือสารพางคกาย ซึง่ เปนความหมายทีย่ งั ไมถกู ตองเสียทีเดียว การจะเขาใจความหมายของสัมปชัญญะไดโดยถองแทนั้ น เห็นวาควรนําพระพุทธพจนที่ตรัสไวหลายแหงในพระไตรปฎกมารวม พิจารณา ก็จะทําใหสามารถปะติดปะตอความหมายตามทีพ่ ระพุทธเจา ตรัสสอนไดถกู ตองอยางแทจริง ในพระไตรปฎก เลมที่ 11 ขอที่ 378 มีพระพุทธพจนตรัสไววา “ธรรม 2 อยางทีม่ อี ปุ การะมากเปนไฉน คือ สติ 1 สัมปชัญญะ 1 ธรรม 2 อยางเหลานีม้ ีอปุ การะมาก ฯ” 16
สติในทีน่ ี้ คือ ความระลึกได นึกได หรือสํานึกอยูไ มเผลอ สัมปชัญญะ คือ ความรูช ัด รูช ัดในสิง่ ทีน่ ึกได ตระหนักเขาใจ ชัดตามความเปนจริง ซึง่ หมายถึงปญญา ในพระไตรปฎก เลมที่ 10 ขอที่ 276 ในมหาสติปฏฐานสูตร วาดวยกายานุปส สนาสติปฏฐาน หมวดสัมปชัญญบรรพ มีพระพุทธพจนตรัสไววา “ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกขอหนึง่ ภิกษุยอ มทําความรูส ึกตัวใน การกาว ในการถอย ในการแล ในการเหลียว ในการคูเ ขา ในการเหยียด ออก ในการทรงผาสังฆาฏิบาตรและจีวร ในการฉัน การดืม่ การเคีย้ ว การลิม้ ในการถายอุจจาระและปสสาวะ ยอมทําความรูส กึ ตัวในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับ การตืน่ การพูด การนิง่ ....” เมือ่ ประมวลความหมายจาก 2 พระสูตรทีย่ กมา จะเห็นไดวา ความหมายของสัมปชั ญญะ มีนั ยสําคัญอยู ที่ 2 ประเด็นใหญ คือ เรือ่ งของปญญาและเรือ่ งของอิรยิ าบถยอย ดังนัน้ การมีสมั ปชัญญะตาม ทีพ่ ระพุทธเจาตรัสสอน จึงมีความหมายวาในขณะนัน้ ๆ จะตอง มีปญ ญาหรือรูจ กั เลือกเฟนปญญาใหเหมาะสมกับสถานการณที่ กําลังเกิดขึน้ นอกจากนั้นยังตองเตรียมทุกสวนของรางกายให พรอมเพือ่ ทีจ่ ะกระทําตอสถานการณทกี่ ําลังเผชิญ ในเรือ่ งนี้ ขอนําคําสอนของทานอาจารยพทุ ธทาสทีบ่ รรยายไวใน หมวดธรรมทีท่ านใหชอื่ วา “ธรรม 4 เกลอ” คือสติ ปญญา สัมปชัญญะ และสมาธิ มาลงไว ณ นีด้ วย ซึง่ เห็นวาจะชวยทําใหเขาใจความหมาย ของสัมปชัญญะไดดียงิ่ ขึน้ ทานอาจารยพุทธทาสไดอธิบายวา “ธรรม 4 เกลอ” คือ สติ ปญญา สัมปชัญญะ และสมาธิ เปนธรรมที่จําเปนตองใชในทุกกรณี 17
โดยอธิบายความหมายของสัมปชัญญะวา เปนปญญาทีเ่ หมาะสมกับ สถานการณ สวนปญญาในธรรม 4 เกลอ หมายถึงคลังปญญาทีบ่ คุ คล มีอยูห รือสะสมอยู เปรียบไดกับตูย าทีจ่ ะตองมียาไวใหครบทุกประเภท แตเวลาจะใชจริง ไมไดใชยาทุกประเภทพรอมกัน บุคคลตองรูจ ักเลือก ใชเฉพาะยาทีต่ รงกับโรคทีเ่ ปนอยูเ ทานัน้ วิธใี ชธรรม 4 เกลอ ประการแรกสุด คือตัง้ สติรับรูต อเหตุการณ ที่กําลังเผชิญใหดี จากนั้นพิจารณาเลือกเฟนหาปญญาที่เหมาะสม และตรงกับเหตุการณทกี่ ําลังเผชิญอยู (สัมปชัญญะ) จากคลังปญญา ที่มีอยู ของบุคคล เพื่ อมาใช ควบคุมและจัดการกับเหตุการณ นั้ น ๆ แลวยังตองอาศัยสมาธิมาเปนพลังรักษาจิตใหมีความแนวแนมั่นคง ก็จะทําใหบุคคลสามารถผานเหตุการณตาง ๆ นั้น ไปไดดวยดีและ ถูกตอง มีคาํ อธิบายทีเ่ ขาใจงาย ๆ แบบประยุกตเกีย่ วกับคํา สัมปชัญญะ ซึ่งสามารถนําไปใชไดเปนอยางดีในชีวิตประจําวัน โดยพิจารณาจาก เรือ่ งราวทีบ่ คุ คลจะตองเกีย่ วของทัง้ หมด ซึง่ มีเรือ่ งของ อะไร ? ใคร ? เมือ่ ไร ? ที่ไหน ? ทําไม ? อยางไร ? โดยสติจะทําหนาที่ระลึกในสวนที่ใหรูวา อะไรเปนอะไร คือ อะไร ? ใคร ? เมือ่ ไร ? ที่ไหน ? สวนสัมปชัญญะจะ ทําหนาทีเ่ ปนปญญารูใ นสวนของทําไม ? และอยางไร ? ทั้งนีร้ วมทัง้ การมีอิ ริยาบถยอยทางกาย ก็เลือกให เหมาะสมกับสถานการณ ใน ขณะนัน้ ดวย สันโดษ
มักจะอธิบายหรือใหความหมายวา ความพอใจในสิ่งที่มี แตมักเขาใจผิดไปวาบุคคลผูสันโดษจะเปนผูไมมีความกระตือรือรน 18
หรือขวนขวายที่จะแสวงหาหรือกระทําอะไรใหมากไปกวาที่มีอยูหรือ เปนอยู หรือเปนบุคคลทีช่ อบอยูต ามลําพัง ไมชอบยุง เกีย่ วกับใคร ความ เขาใจแบบทีว่ า นี้ ไดทําใหรฐั บาลของประเทศไทยในยุคหนึง่ ถึงกับขอให คณะสงฆไมสอนเรื่องสั นโดษ เนื่ องเพราะเกรงว าประชาชนจะไม มี ความกระตือรือรน ตางคนตางอยู ไมรว มกันทํากิจของสวนรวม ซึ่งจะ สงผลเสียทําใหประเทศชาติไมพัฒนา และขัดขวางตอความเจริญ ความหมายของคําวา “สันโดษ” ทีแ่ ทจริง ไมไดสอนใหมี ความพอใจในสิง่ ทีม่ ี แลวหยุดการขวนขวายหรือกระทําสิง่ ตาง ๆ ที่เกี่ยวของกับเรื่องนั้น แตมุงหมายใชรักษาจิตใหเปนปกติสุข ไมใหเกิดความเดือดรอนใจเพราะความโลภหรือความไมรจู กั พอ ของบุคคล หรือเพราะการเปรียบเทียบในสิง่ ทีต่ นมีกับบุคคลอืน่ แลวทําใหเกิดความลําพองใจหรือความเสียใจในทางใดทางหนึง่ จึงมีพระพุทธพจนตรัสสรรเสริญหลักธรรมคือสันโดษวา “เปน ทรัพย(สิง่ ทีท่ ําใหเกิดความปลืม้ ใจ)อยางยิง่ ” กลาวคือทําใหสงิ่ ตาง ๆ ทีม่ นี ํามาแตความสุข และความปลืม้ ใจแกบคุ คล โดยธรรมชาติของบุคคล เมือ่ มีสนั โดษ รูสึ กพอ หรือพอใจในสิง่ ทีมี่ บุคคลยอมมีความสุขหรือเปนปกติสขุ อยูก บั สิง่ นัน้ ในทางตรงกันขาม หาก บุคคลไมมสี นั โดษ ไมรจู กั พอ หรือไมพอใจในสิง่ ทีม่ ี ยอมเกิดความรูส กึ ขัดเคืองใจหรือมีความทุกขสมุ ใจอยูต ลอดเวลา จะเห็นไดวา ความสุขหรือ ความทุกขทเี่ กิดจากสิง่ ทีบ่ คุ คลมีอยู แทจริงแลวไมไดเกิดจากทัง้ ในสวนของ ปริมาณหรือคุณภาพของสิง่ ทีม่ อี ยูน นั้ แตเกิดจากความสันโดษ หรือความ ไมสนั โดษของบุคคลเปนสําคัญ ดังนัน้ บุคคลผูม สี นั โดษจะมีความสุข อยูก ับสิง่ ทีม่ ี ไมทุกขกบั สิง่ ทีไ่ มมีหรือยังไมมี ซึง่ จะทําใหชีวติ มีแต ความเปนปกติสขุ และกาวยางตอไปในทุกขัน้ ตอนเปนไปดวยความสุข 19
นอกจากความหมายของ สันโดษ ดังที่กลาวแลว ซึง่ เนนไปใน เรือ่ งทีเ่ กีย่ วของกับวัตถุสงิ่ ของ ในทางตรงกันขาม หากเปนเรือ่ งของจิตใจ ซึ่งเปนการสงเสริมคุณธรรมความดี พระพุทธเจากลับตรัสสอนไมให สันโดษ โดยไดทรงแนะนําใหสงั่ สมและเพิ่มพูนใหมมี ากขึน้ และลึกซึง้ ยิง่ ขึน้ ตลอดเวลา โดยไมใหสันโดษ จนกวาจะบรรลุจดุ หมายปลายทาง คือความเปนพระอรหันต ซึ่งเปนอเสขบุคคล กลาวคือเปนผูทไี่ มตอง ศึกษาและปฏิบตั อิ ะไรเพิม่ เติมอีกเพือ่ การดับทุกขดบั กิเลส ปติ และ สุข คํา ปติ มักใหความหมายวา ความอิ่มใจ และคํา สุข ที่ ใหความหมายวา ความสบายกายสบายใจ คําทัง้ 2 นี้ มีความหมาย ใกลเคียงกัน และมักจะแยกกันไมคอ ยออก ในหนังสือพุทธธรรม ฉบับปรับขยาย ซึ่งเรียบเรียงโดยพระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) (ปจจุบนั คือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย) ในหนา 826 ไดอธิบายความแตกตางของ “ปต”ิ และ “สุข” ไวอยางชัดเจน วา ปติ หมายถึง ความยินดีในการไดอารมณทตี่ องการ สวน สุข หมายถึง ความยินดีในการเสวยอารมณที่ ตองการ ความแตกตางระหวาง ปติ กับ สุข ทีส่ ําคัญอีกประการหนึง่ คือ ปติจัดอยู ในสังขารขันธ ซึ่งเปนเรื่ องของเจตจํานงที่จะไดสิ่งหรื อ อารมณทตี่ องการ เมือ่ ไดรบั สิง่ หรืออารมณตามที่ตองการ จึงจะเกิดปติ สวน สุขจัดอยูในเวทนาขันธ ซึ่งขึ้นอยูก ับการสัมผัสรับรูก ับสิ่งหรือ 20
อารมณทเี่ ปนทีต่ งั้ ของความสุข จึงจะเกิดสุข โดยทั่ วไปป ติและสุขมักจะเกิดขึ้นตอเนื่องกัน กลาวคือเมื่อ เกิดปตแิ ลว ก็จะเกิดสุขตามมา แตในกรณีของสุข ไมจําเปนทีจ่ ะตอง เกิดปตกิ อ น ธรรมจักษุ
คํา ธรรมจั กษุ มั กให ความหมายว า ดวงตาเห็ นธรรม โดยสาระแลวผูไดดวงตาเห็นธรรมหมายถึงพระอริยบุคคลขั้นตนหรือ พระโสดาบันผูแ รกเขาสูก ระแสที่จะบรรลุถึงพระนิพพาน แตอาจยังมี ความคลุมเครืออยูม ากวาทีเ่ ห็นธรรมนัน้ เห็นอะไร ? หรือเห็นอยางไร ? ในพระไตรปฎก เลมที่ 4 ขอที่ 16 มีพระพุทธพจนตรัสไววา “.....ก็ แลเมื่ อพระผู มี พระภาคตรั สไวยากรณภาษิ ตนี้ อยู ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ไดเกิดขึ้นแกทาน พระโกณฑัญญะวา สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเปนธรรมดา สิ่งนั้น ทัง้ มวล มีความดับเปนธรรมดา.....” ดังนั้น การได ดวงตาเห็นธรรม จึงมีความหมายวา เห็นวา สิ่งใดสิ่ งหนึ่ งมีความเกิ ดขึ้ นเป นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลยอมมี ความดับไปเปนธรรมดา ความเห็นทีว่ านี้เปนสิง่ สําคัญมาก เพราะเปนปจจัยสําคัญที่ ทําใหบคุ คลละความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งทัง้ ปวง ซึ่งการละความยึดมั่น ถือมั่นเปนหลักการใหญของคําสอนในพระพุทธศาสนา กลาวคือมุง เพื่อถอนความยึดมั่นถือมั่นเปนสําคัญ และหากสามารถถอนความ ยึดมั่นถือมั่นไดหมดสิน้ อยางเด็ดขาด ก็จะทําใหบุคคลบรรลุถงึ อุดมคติ ตามที่ พระพุทธเจาตรัสสอนในที่ สุด สมดังพระพุทธพจน ที่ตรัสไวใน 21
พระไตรปฎก เลมที่ 18 ขอที่ 192 วา “ภิกษุผูไมมีอปุ าทาน ยอมปรินิพพาน” ความเห็นที่เกิดขึ้ นที่วา สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้ นเปน ธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลยอมมีความดับไปเปนธรรมดา จึงเปรียบ ไดกับการไดดวงตาเห็นธรรม กลาวคือเห็นแนวทางการดําเนินชีวิตที่ ถูกตองทีม่ ุงตรงสูอ ุดมคติของชีวติ ทีแ่ ทจริง ตรงตามทีพ่ ระพุทธเจาตรัส สอน กลาวคือดวยการละหรือถอนความยึดมัน่ ถือมัน่ เปนสําคัญ ดวงตาเห็นธรรม ยังมีความหมายอีกอยางหนึง่ วา เห็นทาง ซึง่ พิจารณาไดจากพระสูตรแรก คือธรรมจักกัปปวัตตนสูตรทีพ่ ระพุทธเจา ตรัสสอนแกพระปญจวัคคีย โดยไดแสดงทางทีส่ ุดโตง 2 สาย คือการ ประกอบตนใหพวั พันดวยกามสุข (กามสุขลั ลิกานุโยค) และการประกอบ ความเหน็ดเหนือ่ ยแกตน ใหเปนความลําบาก (อัตตกิลมถานุโยค) วาเปน ทางดําเนินชีวติ ทีผ่ ดิ ไมใชของพระอริยเจา ไมประกอบดวยประโยชน เปน ทางดําเนินชีวติ ทีพ่ งึ ละเวน และไดตรัสทางสายกลาง (มัชฌิมาปฏิปทา) ทีป่ ระกอบดวยองค 8 (สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ) วาเปนทาง ดําเนินชีวิตทีเ่ ปนไปเพือ่ ความสงบ เพือ่ ความรูย งิ่ เพือ่ ความตรัสรู เพือ่ นิพพาน ซึง่ ทางสายกลางคืออริยมรรคมีองค 8 นี้ เปนสิง่ ทีพ่ ระพุทธเจา ตรัสรูด ว ยพระองคเอง ไมมีใครรูห รือสอนในเรือ่ งนีม้ ากอนในสมัยนัน้ การไดฟ งและรูถึงทางสายกลาง ทําใหเห็นทางดําเนินชีวิต สายใหมทจี่ ะพาไปสูจ ดุ หมายของชีวติ ทีแ่ ทจริง เรียกบุคคลทีร่ เู ขาใจและ เริ่มดําเนินชีวิตตามแนวทางใหมนี้วาเปนผูเขาสูกระแสหรือโสดาบัน ซึง่ เปนผูแ รกมาถึงกระแสธรรม ยืนชิดประตูอมตะ และจะบรรลุจดุ หมาย 22
ปลายทางคือนิพพานซึ่งเปนภาวะพนทุกขอยางสิ้นเชิงในทีส่ ุด สมดัง พระพุทธพจนที่ตรัสไวในพระไตรปฎก เลมที่ 19 ขอที่ 1432 วา “.....ดูกรสารีบตุ ร ทีเ่ รียกวา โสดาบันๆ ดังนี้ โสดาบันเปนไฉน? สา. ขาแตพระองคผเู จริญ ผูใ ดประกอบดวยอริยมรรคมีองค 8 นี้ ผูน เี้ รียกวาพระโสดาบัน ทานผูน นี้ ั้น มีนามอยางนี้ มีโคตรอยางนี.้ ...” อวิชชา
มักจะอธิบายหรือใหความหมายสัน้ ๆ วา คือ ความไมรู ซึง่ อาจทําใหเกิดความเขาใจที่ไมชัดเจน หรือคิดสงสัยไปวาความไมรูใน เรือ่ งตาง ๆ จัดเปนอวิชชาดวยหรือเปลา ? พระไตรปฎก เลมที่ 16 ขอที่ 17 ไดแสดงความหมายของอวิชชา ตามนัยของพระสูตร ไวดงั นี้ “...ก็ อวิชชาเปนไฉน ความไมรใู นทุกข ความไมรใู นเหตุเกิดแหงทุกข ความไมรใู นความดับทุกข ความไมรใู น ปฏิปทาทีจ่ ะใหถงึ ความดับทุกข นีเ้ รียกวา อวิชชา.....” ดังนัน้ อวิชชา ในพระพุทธศาสนาจึงมีความหมายเฉพาะ วา เปนความไมรใู นทุกข เหตุเกิดทุกข ความดับทุกข และปฏิปทา หรือวิธปี ฏิบตั ทิ จี่ ะนําไปสูค วามดับทุกข หรือความไมรใู นอริยสัจ 4 เทานัน้ ไมใชความไมรใู นเรือ่ งอืน่ ๆ อวิชชาหรือความไมรใู นอริยสัจ 4 เปนสิง่ สําคัญมาก เพราะเปน ตัวนําในการดําเนินชีวติ ของบุคคลใหเปนไปอยางไร เปรียบไดกบั หัวรถจักร ซึ่งเปนหัวขบวนที่ลากจูงขบวนรถตูใหแลนไปตามทิศทางที่หัวรถจักร พาไป ดังนัน้ ชีวติ ของแตละบุคคลจะเปนอยางไร ยอมขึน้ กับอวิชชาของ บุคคลนั้นวาคืออะไร ชีวิตที่ยงั ตองเวียนวายในวัฏสงสารทีไ่ มสามารถ หลุดพนจากกองทุกขได ก็เพราะอวิชชานีเ้ อง และจนกวาบุคคลไดรใู น 23
อริยสัจ 4 และนําวิชชาหรือความรูใ นอริยสัจ 4 เปนตัวนําในการดําเนิน ชีวติ แทน จึงจะสามารถหลุดพนจากกองทุกขได อวิชชาเปนตัวนําในการดําเนินชีวติ อยางไร ? เพือ่ ความเขาใจประเด็นนีใ้ หชดั เจน ขอเสนอใหมองเรือ่ งอวิชชา หรือความไมรใู นอริยสัจ 4 วา เปนความไมรวู า “อะไรคือปญหาทีแ่ ท จริ งของชีวิต พร อมทั้งสาเหตุ และอะไรคื ออุ ดมคติของชีวิต พรอมทั้งวิธีปฏิบัติเพื่ อเขาถึง” ซึ่งในที่นี้หมายรวมถึงความรูที่ไม ถูกตอง หรือความเขาใจผิดในเรือ่ งเหลานีด้ วย แนวทางการดําเนินชีวติ ของบุคคล มีตน เหตุมาจากเรือ่ งนีเ้ ปนสําคัญ คือเห็นวาอะไรทีเ่ ปนปญหา และอะไรทีเ่ ปนอุดมคติทแี่ ทจริงของชีวติ ยกตัวอยาง ในศาสนาบางศาสนาที่เปนเทวนิยม ไดสอนวา ปญหาของชีวติ คือความทุกขหรือการทีต่ องมาเผชิญกับปญหา ความ ลําบาก ความเจ็บปวด ความระหกระเหิน ความไมแนนอน และภัยอันตราย ตาง ๆ โดยไดแสดงถึงสาเหตุของปญหาวามาจากการถูกขับไลใหพน ไปจากแผนดินสวรรค เนือ่ งจากไปทําผิดดวยการกระทําอะไรบางอยาง ทีข่ ดั คําสัง่ ของพระเจา สําหรับเปาหมายหรืออุดมคติของชีวติ คือการได กลับไปอยูบนแผนดินสวรรค ที่ไมมีความทุกข มีแตความสุขอันเปน นิรนั ดร ซึง่ สามารถทําใหเกิดขึน้ ได ดวยการปฏิบตั ติ ามคําสอนของพระเจา ซึ่งไดเมตตาถายทอดผานทางศาสดาลงมา และเมื่อถึงวันพิพากษา ผูที่ปฏิบัติตามคําสอน จะไดรับกลับไปอยูบนแผนดินสวรรคในที่สุด บุคคลผูม ีทศั นะตอชีวติ เชนนี้ ยอมดําเนินชีวติ ไปตามคําสอนของพระศาสดาอยางเครงครัด ดวยความหวังวา จะไดรบั ผลคือเขาถึงอุดมคติ ของชีวติ ตามทีเ่ ชือ่ นี้ ในทีส่ ุด อีกตัวอยาง เชน บุคคลทีด่ ําเนินชีวติ อยูด ว ยการทรมานรางกาย 24
ทัง้ นีเ้ พราะมีความรูค วามเขาใจวา ปญหาชีวติ คือความทุกขทไี่ ดรบั มีสาเหตุ มาจากกรรมเกา การจะบรรลุเปาหมายหรืออุดมคติของชีวติ ก็ดวยการ ชดใชกรรมเกาใหหมดสิน้ ซึ่งหากบุคคลประสงคจะใหหมดสิน้ โดยเร็ว ก็ตอ งเรงการชดใชดว ยการทรมานกายใหมากขึน้ และหนักขึน้ ก็จะสามารถ สิน้ กรรมเกาไดเร็วขึน้ ดังนัน้ จึงไมแปลกใจทีท่ ําไมจึงมีบคุ คลยินดีในการ ทรมานรางกายตน ซึง่ เปนสิง่ ทีไ่ มนา ยินดีเลยสําหรับบุคคลโดยทัว่ ไป หรืออีกตัวอยาง บุคคลทีเ่ ห็นวาปญหาของชีวติ คือความทุกขที่ เกิดจากการขาดแคลนวัตถุสิ่งของที่เปนปจจัยสําคัญในการดํารงชีวติ หรืออํานวยความสะดวกสบายแกชีวติ ซึง่ มีสาเหตุสําคัญมาจากความ ยากจนและอุดมคติของชีวิตคือการมีวัตถุสิ่งของพรั่งพรอม ชีวิตของ บุคคลทีเ่ ห็นเชนทีว่ า นี้ จึงมุง แตการหาเงินเปนสําคัญ กลาวโดยสรุป ตราบใดที่บุคคลยังมีอวิชชา ไมรูในอริยสัจ 4 กลาวคือ ไมรถู งึ ปญหาทีแ่ ทจริงของชีวติ ซึง่ พระพุทธเจาตรัสสอนวา คือ อุปาทานขันธ 5 (ทุกขในอริยสัจ) ซึง่ มีสาเหตุมาจากตัณหาหรือความ ทะยานอยาก (สมุทยั ) และอุดมคติของชีวติ คือ ความดับสิน้ ไปแหงทุกข ซึง่ เขาถึงไดดวยการทําตัณหาใหหมดสิน้ ไป (นิโรธ) ดวยเครือ่ งมือหรือ การปฏิบตั ใิ นอริยมรรค มีองค 8 (มรรค) ยอมไมสามารถดําเนินชีวติ เพือ่ บรรลุอดุ มคติของชีวติ ทีท่ ําใหกองทุกขหมดสิน้ ไปไดเลย ดังที่อธิบาย ทําใหเห็นและเขาใจชัดเจนวา อวิชชาคืออะไร มี ความสําคัญอยางไร และเปนตนตอของกองทุกข ในอริยสัจทั้งหมด อยางไร ? ตัณหา
มักจะอธิบายหรือใหความหมายสัน้ ๆ วา คือ ความทะยาน 25
อยาก พระไตรปฎก เลมที่ 4 ขอที่ 14 ไดแสดงความหมายของตัณหา ไววา “.... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ขอนี้แลเปนทุกขสมุทัยอริยสัจ คือ ตัณหา อันทําใหเกิดอีก ประกอบดวยความกําหนัด ดวยอํานาจความเพลิน มีปกติเพลิดเพลินในอารมณนั้นๆ คือ กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา” แตในพระไตรปฎกเลมดังกลาว รวมถึงในพระสุตตันตปฎก ทัง้ หมด ไมไดอธิบายความหมายของตัณหาทัง้ 3 ไวแตอยางใด สําหรับคําอธิบายตัณหา 3 ทีป่ รากฏมากทีส่ ดุ ในแวดวงชาวพุทธ ไดใหความหมายของกามตัณหาวา คือความอยากในกาม ภวตัณหาคือ ความอยากเปน และวิภวตัณหาคือความอยากไมเปน ในพระไตรปฎกเลมที่ 35 ขอที่ 933 ซึง่ เปนพระอภิธรรมปฎก ไดใหความหมายของตัณหา 3 ไวอกี นัยหนึง่ วา กามตัณหา เปนความทะยานอยากในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสทางกาย หรือในกามคุณ 5 ภวตัณหา เปนความทะยานอยากทีจ่ ะเปนอยางใดอยางหนึง่ ซึง่ ประกอบดวยสัสสตทิฏฐิ คือความเห็นวาเทีย่ ง เห็นวามีตวั ตนคงอยู ตลอดไป วิภวตัณหา เปนความทะยานอยากทีจ่ ะพรากตัวตนจากความ เปนอยางใดอยางหนึ่งซึ่งประกอบดวยอุจเฉททิฏฐิ คือความเห็ นวา ตัวตนมีอยูเ ฉพาะเมือ่ ยังมีชวี ิต แตหากสิน้ ชีวติ เมือ่ ใดตัวตนจะขาดสูญ ไปทันที คําอธิบายทีป่ รากฏในพระอภิธรรมปฎกทีย่ กมา ยังนับวาเขาใจ ไดยาก และยังอาจมีขอถกเถียงไมนอยโดยเฉพาะในประเด็นของภวตัณหาและวิภวตัณหา เพราะโดยขอเท็จจริงสัสสตทิฏฐิและอุจเฉททิฏฐิ เปนความเห็นผิดทีต่ รงขามกัน ในบุคคลคนหนึง่ จึงไมสามารถมีสสั สตทิฐิ 26
และอุจเฉททิฏฐิพรอมกันได คําอธิบายดังกลาวนี้ จึงนําไปสูข อสรุปวา เรือ่ งตัณหา 3 ในชีวติ ของบุคคลคนหนึง่ จะเกิดขึน้ ไดเพียง 2 อยางเทานัน้ คือ กามตัณหา+ภวตัณหา หรือกามตัณหา+วิภวตัณหา ซึ่งมีบุคคล จํานวนไมนอยที่เห็นวาตัณหา 3 ควรจะเกิดขึ้นไดทั้งหมดในชีวิตของ แตละบุคคล มีขอ เสนอของผูเ รียบเรียงเกีย่ วกับการอธิบายกรณีของภวตัณหา และวิภวตัณหาอีกแบบหนึง่ กลาวคือ ทั้งภวตัณหาหรือความอยากที่ จะเปน และวิภวตัณหาหรือความอยากทีจ่ ะไมเปน สามารถเกิดซอนอยู ในสิ่งเดียวกันหรือเรื่องเดียวกันได เชน บุคคลอยากจะเกิดอีก หรือ อยากจะเปนอะไรอยางใดอยางหนึง่ (ภวตัณหา) แตกไ็ มอยากจะแกเจ็บ ตาย หรือพลัดพรากจากภาวะทีอ่ ยากจะเปนนั้น (วิภวตัณหา) ทั้งนี้เพราะ ในตัวชีวิตมีทั้ งความเกิด และความแก เจ็บ ตาย เปนตน ดํารงอยู รวมกัน ไมสามารถแยกขาดออกจากกันได จึงทําใหสามารถมีทงั้ ความ อยากทีจ่ ะเปนคือภวตัณหา และความอยากทีจ่ ะไมเปนคือวิภวตัณหา เกิดขึน้ ควบคูก ันทัง้ 2 อยางได โลภะ โทสะ โมหะ
เปนคําศัพทอีกกลุมหนึ่ง ที่มักเขาใจคอนขางคลุมเครือ โดย เขาใจวาเปนเพียงภาวะของกิเลสทีเ่ กิดขึน้ ในใจ 3 ตัว คือ โลภ โกรธ หลง เท านั้ น อั นที่ จริ งพระพุ ทธเจ าได ตรั สแสดงว าเป นอกุ ศลมู ล ซึ่ งมี ความหมายวาเปนกิเลส 3 กลุม หรือ 3 ตระกูล โดยกิเลสทั้งหลาย เมือ่ นํามาจัดกลุม แลว ยอมจัดลงไดวา เปนกิเลสในกลุม ใดกลุม หนึง่ ใน 3 กลุมนี้ทั้งนั้น และเพื่อความเขาใจกิเลสกลุมนี้ใหชัดเจนยิ่งขึ้น ตองรู วากิเลสทัง้ 3 กลุม ลวนมีตนตอมาจากเวทนาหรือความรูส ึกที่รับรูเ ปน 27
สําคัญ กลาวคือ กิเลสในกลุม โลภะ เกิดมาจากการรับรูเ วทนาทีเ่ ปนสุข ซึ่งลักษณะหรืออาการของกิเลสในกลุม นี้ มีความยินดีพอใจ อยากได อยากครอบครอง หรืออยากดึงเขาหาตัว กิเลสในกลุม โทสะ เกิดมาจากการรับรูเ วทนาทีเ่ ปนทุกข ซึง่ ลักษณะหรืออาการของกิเลสในกลุม นี้ มีความไมยนิ ดี ไมพอใจ ขัด เคืองใจ หรืออยากผลักไสออกจากตัว กิเลสในกลุม โมหะ เกิดมาจากการรับรูเ วทนาทีเ่ ปนเฉย ๆ ซึง่ ลักษณะหรืออาการของกิเลสในกลุม นี้ มีความรูส ึกเฉย ๆ รับรูว น ๆ อยูกับสิง่ ที่รับรู ตัดสินใจไมถูกวาจะดึงเขาหาตัว หรือผลักไสออกจาก ตัวดี กิเลสในกลุม โลภะ เชน ราคะ ตัณหา อภิชฌา (เพงเล็งอยากได) นันทิ (ความเพลิน) อุปาทาน (ความยึดมัน่ ) ความกําหนัด ความติดใจ ความอาลัยอาวรณ ความกระหยิม่ ใจ ความรัก ความผูกพัน กิเลสในกลุม โทสะ เชน โกธะ (ความโกรธ) อิสสา (อิจฉา) มัจฉริยะ (ตระหนี)่ กุกกุจจะ (ความรําคาญใจ) ความกลัว ความเกลียด ความเครียด ความหงุดหงิด ความขัดเคือง ความขุน ใจ ความพยาบาท ความแคน ความคิดปองราย ความเหงา ความหดหู ความเศรา กิเลสในกลุมโมหะ เชน อวิชชา อุทธัจจะ (ความฟุงซาน) อหิริกะ (ความไมละอายชัว่ ) อโนตตัปปะ (ความไมกลัวบาป) วิจกิ ิจฉา (ความลังเลสงสัย) นิพพิทา
มักจะอธิบายหรือใหความหมายสัน้ ๆ วา คือ ความหนาย หรือ 28
ความเบือ่ หนาย ซึง่ อาจทําใหเกิดความเขาใจที่ไมชดั เจน และเขาใจ ความหมายปนเปไปกับความเบื่อหนายที่ใชกัน ที่หมายถึงความรูสึก อิดหนาระอาใจ เหนื่อยหนาย ไมอยากตออารมณหรือสิ่งที่รับรู เชน เบือ่ งาน เบือ่ อาหาร เบือ่ โลก ซึง่ จัดเปนความรูส กึ ในฝายอกุศล การจะเขาใจความหมายของนิพพิทาตามทีพ่ ระพุทธเจาตรัส สอนไดอยางถองแท ขอนําพระพุทธพจนที่ตรัสถึงกระบวนธรรมทีเ่ ปน ขัน้ ตอนการปฏิบตั ไิ ปตามลําดับ ตามทีท่ รงแสดงไวในพระไตรปฎก เลมที่ 24 ขอที่ 208 โดยเริม่ ตนทีศ่ ีลทีเ่ ปนกุศล ศีลที่เปนกุศล เป นปจจัยทําใหเกิด อวิปปฏิสาร (ความไม เดือดรอน) ---> ปราโมทย (ความบันเทิงใจ) ---> ปติ (ความอิ่มใจ) ---> ปสสัทธิ (ความผอนคลายกายใจ) ---> สุข ---> สมาธิ ---> ยถาภูตญาณทัสสนะ (ปญญารูเ ห็นตามความเปนจริง) ---> นิพพิทา (ความ เบือ่ หนาย) ---> วิราคะ (ความคลายกําหนัด) ---> วิมตุ ติญาณทัสสนะ (ญาณรูว า ไดหลุดพน) จะเห็นไดวาการจะเกิดนิพพิทาไดนั้น จะตองมียถาภูตญาณทัสสนะคือปญญารูเห็นตามความเปนจริงเกิดขึน้ กอน ซึง่ ในทีน่ ี้คือรูวา ชีวิตทุกขและชีวิตที่พนทุกข ตลอดจนวิถีการดําเนินชีวิตที่ทําใหเกิด ทุกขและพนทุกข เปนอยางไร และแตกตางกันอยางไร จึงทําใหเกิด นิพพิทา คือความเบือ่ หนายหรือไมยินดีทจี่ ะเวียนวายอยูใ นชีวิต ทุกขอีกตอไป แตกลับจะดําเนินชีวิตที่มงุ ไปสูความพนทุกข คือการ คลายกําหนัด (วิราคะ) หรือละถอนความยึดมัน่ ถือมัน่ ทัง้ ปวง เมือ่ ทําได สําเร็จก็จะเกิดวิมตุ ติญาณทัสสนะ คือญานรูว าไดประสบความสําเร็จ คือบรรลุความหลุดพนแลวในทีส่ ดุ 29
3. ใหความหมายไมตรงบริบท เพราะมีหลายความหมาย ปญหาเรือ่ งศัพทธรรมะในประเด็นที่ 3 คือการใหความหมายที่ ไมตรงกับบริบท ทัง้ นีเ้ พราะศัพทธรรมะคํานัน้ มีหลายความหมาย หาก ใชผดิ ความหมาย ก็ยอ มทําใหเขาใจผิดหรือคลาดเคลือ่ นจากความหมาย ทีป่ ระสงคได ศัพทธรรมะในกลุม นี้ อาทิคําวา สังขาร (สังขารขันธ , สังขารในปฏิ จจสมุปบาท, สังขารธรรม) อุเบกขา (อุเบกขาเวทนา, อุเบกขาพรหมวิหาร, อุเบกขาสัมโพชฌงค) สติ (สติ, สัมมาสติ, สติปฏ ฐาน, สติสมั โพชฌงค, สตินทรีย, สติพละ) ทุกข (ทุกขในอริยสัจ, ทุกขในเวทนา, ทุกขในไตรลักษณ) สังขาร
เปนคําทีม่ ีความหมายกวางขวาง โดยทั่วไปมีความหมายวา การปรุงแตง หรือ สิง่ ปรุงแตง หรือใชหมายถึง รางกาย ก็ได การจะรู ความหมายใหตรงกับวัตถุประสงคจริง ๆ จําเปนตองดูบริบทของคําใน ขอความ หรือดูคําขยายที่อยูขางหนาหรือขางหลัง คําในกลุมนี้ เชน สังขารขันธ, สังขารในปฏิจจสมุปบาท และสังขารธรรม
สังขารขันธ
เปนองคประกอบหนึง่ ของชีวติ ทีจ่ ําแนกเปนขันธ 5 กลาวคือ (1) รูปขันธ เปนองคประกอบในฝายกายหรือฝายรูปธรรม และ (2) เวทนา30
ขันธ คือความรูส ึกสุข ทุกข เฉยๆ (3) สัญญาขันธ คือความจําไดและ หมายรู (4) สังขารขันธ คือความคิดปรุงแตง และ (5) วิญญาณขันธ คือความรูแ จงในอารมณที่รับรู ซึง่ เปนองคประกอบในฝายจิตหรือฝาย นามธรรม ที่วาสังขารขันธนี้ หมายถึงความคิดปรุงแตงนั้น อธิบายให ชัดเจนยิง่ ขึน้ คือความคิดหรือเจตจํานงทีม่ งุ กระทําตอสิง่ ทีร่ บั รู เชน รับรู วาเปนสุขเปนสิง่ ทีน่ า ปรารถนา ก็คดิ อยากจะไดอยากจะเอา แตหากรับรู วาเปนทุกขเปนสิง่ ทีไ่ มนา ปรารถนา ก็คดิ จะทิง้ หรือจะทําลาย เปนตน
สังขารในปฏิจจสมุปบาท
ในกระแสปฏิจจสมุปบาท ไดแสดงวงจรการเกิดขึน้ ของความ ทุกขเปน 11 อาการ 12 องคธรรม ดังตอไปนี้ อวิชชา --> สังขาร --> วิญญาณ --> นามรูป --> สฬายตนะ --> ผัสสะ --> เวทนา --> ตัณหา --> อุปาทาน --> ภพ --> ชาติ--> ชรามรณะ ฯลฯ โดยสังขารในปฏิจจสมุปบาท ในพระไตรปฎก เลมที่ 16 ขอที่ 16 ไดใหอรรถาธิบายไววา “.... ก็สังขารเปนไฉน สังขาร 3 เหลานี้ คือ กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร นี้เรียกวาสังขาร ฯ” ซึ่งในแวดวง พระพุทธศาสนาไดใหคําอธิบายไวคอ นขางหลากหลาย เช น ให ความหมายว า คือ เจตนา ซึ่ งพระพุ ทธเจ าไดตรัส วาคือตัวกรรม ทีแ่ สดงออกมาทางกายบาง วาจาบาง หรือใจบาง หรื อหากนํา เอาเฉพาะคํา กายสั งขาร วจี สั งขาร และจิ ตสังขาร ทีม่ ีแสดงไวในพระสูตรตาง ๆ ในพระไตรปฎก มาพิจารณาก็จะ ไดความหมายวา กายสังขาร คือสภาพที่ปรุงแตงกาย ไดแก ลมหายใจ เขาออก ; วจีสงั ขาร คือสภาพทีป่ รุงแตงวาจา ไดแก วิตกเจตสิก ; จิต31
สังขาร คือสภาพทีป่ รุงแตงจิต ไดแกเวทนาและสัญญา ในความเห็นของผูเ รียบเรียง เห็นวาสามารถใหความหมายอีกนัย หนึง่ วา เปนพฤติทางกาย วาจา และใจ หรือลักษณะการแสดงออก ทางกาย วาจา และใจทีส่ งั่ สมจนเปนอุปนิสยั ของบุคคล กลาวคือ มี การกระทําทางกาย รวมถึงอากัปกิรยิ า คําพูด และความรูส กึ นึกคิดทีเ่ ปน เอกลักษณของแตละบุคคล แตพฤติเหลานี้มสี งิ่ ทีเ่ หมือนกันอยางหนึง่ คือลวนปรุงแตงไปตามอวิชชา และนําไปสูท กุ ขในอริยสัจในทีส่ ดุ
สังขารธรรม
คํา สังขารธรรม หมายถึงสิ่งปรุงแตง หรือสิ่งที่มีปจ จัยปรุง แตง ดังนั้น จึงเปนสิ่งทีด่ ํารงอยูในลักษณะ เกิดขึน้ ตั้งอยู และดับไป หรืออยูใ นภาวะทีก่ ําลังเปลีย่ นแปลง (อนิจจัง) ทนอยูใ นสภาพเดิมไมได (ทุกขั ง) อยู ตลอดเวลา เป นคําที่ มีความหมายกินความกว างขวาง หมายรวมถึงสิง่ ทีเ่ ปนรูปธรรมและนามธรรมไดทงั้ หมด มีคําตรงขามคือ วิสงั ขารธรรม ซึง่ หมายถึงสิง่ ทีป่ ราศจากการปรุงแตง หรือ ไมมีปจ จัย ปรุงแตง จึงมีลกั ษณะทีต่ รงกันขามกับสังขารธรรม กลาวคือมีลักษณะ ทีไ่ มมกี ารเปลีย่ นแปลง (นิจจัง) คงตัวอยูใ นสภาพเดิมตลอดเวลา (สุขงั ) แตทั้งสังขารธรรมและวิสังขารธรรม ลวนไมใชตัวตน (อนัตตา) เพราะ ไมตกอยูใ นอํานาจการบังคับของใคร ๆ อุเบกขา
โดยปกติหากคํา อุบกขา อยูลําพังโดด ๆ ไมสามารถที่จะ ใหความหมายที่ชัดเจนได จําเปนตองดูบริบทที่แวดลอม แตหากจะ ใหมคี วามหมายทีช่ ัดเจนจริงๆ ก็จะตองมีคําขยายซึง่ มักจะอยูต อทาย 32
อุเบกขาเวทนา
ดังทีไ่ ดกลาวไปแลวในการอธิบายคําศัพท “เวทนา” วาจําแนก ไดเปน 3 ประเภท คือ ความรูส กึ ทีเ่ ปนสุข ทุกข และเฉย ๆ อุเบกขาเวทนา ก็คือความรูสึกเฉย ๆ ที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสรับรูอารมณนั่นเอง ซึ่ง พิจารณาไดจากปฏิกยิ าทีเ่ กิดขึน้ กลาวคือ หากเปนสุขเวทนา จะเกิดความยินดีพอใจ หากเปนทุกขเวทนา จะเกิดความไมยนิ ดีไมพอใจ หากเปนอุเบกขาเวทนา จะเกิดความรูส กึ เฉยๆ ไมมีทงั้ ความ ยินดีพอใจ หรือความไมยนิ ดีไมพอใจ
อุเบกขาพรหมวิหาร
อุเบกขาพรหมวิหาร เปนหัวขอธรรมขอหนึง่ ในหมวดธรรม ที่เรียกวาพรหมวิหาร 4 ซึง่ เปนหลักธรรมสําหรับความเปนผูใ หญ หรือ ผูท มี่ ีใจอันประเสริฐ การจะเขาใจวาอุเบกขาพรหมวิหารคืออะไร จําเปน ตองเขาใจหัวขอธรรมแตละขอในพรหมวิหาร 4 เสียกอน ซึง่ จําแนกเปน เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา การจะเลือกใชหัวขอธรรมใดของ พรหมวิหาร 4 นั้น อันทีจ่ ริงขึน้ อยูก ับสถานการณที่กาํ ลังเผชิญอยูเ ปน สําคัญ ในสถานการณปกติหรือสถานการณทวั่ ไป จะใชหรือดํารง ตนอยูด ว ย เมตตา คือความปรารถนาดีเปนหลัก ซึง่ จะทําใหเกิดความรัก ความเปนมิตร และความสามัคคีในหมูค ณะ ในสถานการณทมี่ ีความทุกขความเดือดรอนเกิดขึน้ ก็ใช กรุณา คือความปรารถนาที่จะชวยใหพนทุกข คือลงมือหรือหยิบยื่น ความชวยเหลือตาง ๆ ใหตามความเหมาะสม ซึง่ นอกจากจะชวยปดเปา 33
หรือบรรเทาความเดือดรอนใหแกบุคคลในหมูคณะใหคืนสูความเปน ปกติสุขแลว ยังทําใหเกิดความซาบซึง้ ใจและความผูกพันกันแนนแฟน ยิง่ ขึน้ ในสถานการณ ที่ มีบุ คคลในหมู คณะที่ ได ดีไดรั บรางวัล หรือไดรบั เกียรติหรือความยกยองเปนพิเศษ ก็ใช มุทติ า คือมีใจรวมยินดี ในความสุขความเจริญและเกียรติที่ไดรบั ซึ่งนอกจากจะปองกันไมให เกิดความอิจฉาริษยา หรือการขัดแขงขัดขากันเองแลว ยังทําใหเกิด กําลังใจและแรงบันดาลใจทีจ่ ะทําความดีและสิง่ ทีม่ ีคณ ุ ประโยชนยงิ่ ๆ ขึ้น หา จะตองใช และในสถานการณทตี่ องตัดสินหรือแกปญ อุเบกขา ซึง่ ในทีน่ ี้คือการวางใจทีเ่ ปนกลาง ใหมั่นอยูก ับความถูกตอง และตัดสินกระทําสิง่ ตาง ๆ อันควรใหเปนไปตามความถูกตอง โดยไม เอนเอียงตอหมูค ณะดวยความไมชอบธรรม ทัง้ นีเ้ พือ่ ธํารงความถูกตอง ใหคงเปนหลักในการดํารงอยูของหมูคณะ เพื่อความวัฒนาถาวรอัน ยัง่ ยืนตลอดไป หรือในบางกรณีทตี่ องการใหบุคคลหรือหมูค ณะไดฝกฝนและ ้ อ่ ใหบคุ คลหรือหมูค ณะ หาประสบการณ ก็จาํ เปนตองใช อุเบกขา ทัง้ นีเพื ไดเรียนรูแ ละฝกฝนดวยตนเองอยางแทจริง หรือในกรณีทยี่ งั ไมสามารถหาวิธที เี่ หมาะสมทีจ่ ะนําไปใชหรือ จัดการกับเรื่องราวทีเ่ กิดขึน้ ได ก็จําเปนตองใช อุเบกขา ซึ่งในที่นคี้ ือ คอยดูหรือคอยหาขอมูลใหเพียงพอเสียกอน และในทีส่ ดุ หากไมสามารถ ทําอะไรไดจริง ๆ ก็ใหใช อุเบกขา คือการวางเฉยตอเรือ่ งนัน้ ๆ เพื่อ รักษาจิตไมใหถกู กระทบและทําใหเกิดความเดือดรอนหรือวุน วายใจ 34
อุเบกขาสัมโพชฌงค
สําหรับอุเบกขาสัมโพชฌงค เปนอุเบกขาทีอ่ ยูใ นหมวดธรรม คือโพชฌงค 7 ซึง่ เปนหลักธรรมเพือ่ การตรัสรู การจะเขาใจในอุเบกขาสัมโพชฌงค จําเปนตองรูจ กั กระบวนการทํางานของโพชฌงค ทัง้ 7 กอน หลักธรรมโพชฌงค 7 ทีท่ ําหนาทีต่ อ เนือ่ งกันเปนกระบวนธรรม มี 7 ขอ คือ สติสัมโพชฌงค ธัมมวิจยสัมโพชฌงค วิริยสัมโพชฌงค ปติสัมโพชฌงค ปสสัทธิสัมโพชฌงค สมาธิสัมโพชฌงค อุเบกขาสัมโพชฌงค การทํางานของโพชฌงค 7 ซึง่ มีจดุ มุง หมายคือการตรัสรูห รือ รูแ จงเห็นจริงในสิง่ ทีป่ ระสงคนั้น เริม่ ตนทีส่ ติสัมโพชฌงคกอน กลาวคือ สติจะเสาะหาในสวนทีเ่ ปนผล วาอะไรคือปญหาหรือประเด็นทีต่ องการ คนหาความจริง จากนั้นธัมมวิจยสัมโพชฌงคจะทําหนาที่สืบคนหา สาเหตุหรือทีม่ าทีไ่ ปของปญหา ซึง่ ในระหวางนีจ้ ะตองมีวริ ยิ สัมโพชฌงค มาทําหนาทีร่ กั ษาหรือประคับประคองการทําหนาทีข่ องสติสมั โพชฌงค และธัมมวิจยสัมโพชฌงคใหมคี วามตอเนื่อง ไมใหขาดตอน และหาก ประสบความสําเร็จในการคนหาจนรูแจงเห็นจริงในประเด็นปญหาที่ หยิบยกมาเพื่อพิจารณาเมื่อใด จะมีปติสัมโพชฌงค คือความอิ่มใจ เกิดขึน้ ซึง่ เปนเครือ่ งหมายบอกถึงการประสบความสําเร็จ ตอจากนัน้ ทัง้ กายและจิ ตจะสงบระงั บผอนคลายเปน ปสสั ทธิ สัม โพชฌงค จิตใน ขณะนี้จะมีความแนวแนและตัง้ มัน่ เปนอยางยิง่ เปนสมาธิสัมโพชฌงค และถึงที่สุดคือมีใจวางเฉยเปนอุเบกขาสัมโพชฌงค กลาวคือบุคคลจะ ไมถกู กระทบหรือรบกวนใด ๆ จากปญหานีอ้ กี ตอไป ในกรณีที่โพชฌงคทํางานไมสําเร็จ กลาวคือไมมาถึงปติสัม35
โพชฌงค และหากเวลาไมอาํ นวย ก็อาจจําเปนตองหยุดการเจริญโพชฌงค7 ไวชวั่ คราวกอน โดยอาศัยอุเบกขาสัมโพชฌงค ซึง่ ในทีน่ คี้ ือการวางเฉย ไวชวั่ คราว ทั้งนีเ้ พราะหากไมวางเฉยไวกอน เรื่องราวของปญหาอาจ วนเวียนรบกวนจิตใหกงั วลและวุน วายจนไมเปนอันทําอะไรได สติ
สติ เปนอีกคําหนึง่ ทีมี่ ความหมายกวางขวาง เปนเครือ่ งมือสําคัญ ทีข่ าดไมได และจําเปนตองใชในทุกเรือ่ งทุกขัน้ ตอนในการดํารงอยูข อง ชีวิต เพื่อใหชีวิตดําเนินไปดวยความราบรื่น ปลอดภัย และสามารถ พัฒนาไปจนถึงเป าหมายสู งสุด สมดั งพุทธศาสนสุภาษิตที่ วา สติ สพฺพตฺถ ปตฺถยิ า ซึง่ แปลวา “สติจําปรารถนาในทีท่ งั้ ปวง” หลักธรรมในพระพุทธศาสนามีคําศัพทที่ เกี่ยวของกับ “สติ” อยูห ลายคํา เชน สติ สัมมาสติ สติปฏ ฐาน 4สติสมั โพชฌงค สตินทรีย และสติพละแตละคํามีความหมายกวางแคบและจุดเนนทีแ่ ตกตางกัน การทําความเขาใจใหชดั เจนถึงความหมายตาง ๆ จะชวยทําใหการศึกษา และปฏิบตั ิในเรือ่ งสติ ไดรับประโยชนและทําใหบังเกิดผลทีค่ รอบคลุม ตรงตามวัตถุประสงคทแี่ ทจริงอีกดวย ความหมายของ สติ ตามหลักพระพุทธศาสนาทีใ่ ชมากทีส่ ุด คือความระลึกได มีความหมายวา ความสามารถในการระลึกตออารมณ หรือสิง่ ทีร่ ับรู ไดอยางถูกตอง โดยเฉพาะระลึกไดวา อะไรเปนอะไร ประเด็นทีว่ า ระลึกไดวาอะไรเปนอะไร นี้ เปนความหมาย หลักและสําคัญทีส่ ุดของสติ กลาวคือ สามารถระลึกได วาอารมณที่ ระลึกอยูนนั้ คืออะไร? เปนคุณและประโยชน หรือ เปนโทษและกอให เกิดปญหาความเดือดรอน เพื่อจะไดทําหนาที่และจัดการแกอารมณ 36
นัน้ ๆ ไดอยางถูกตอง สมดังพระพุทธพจนทตี่ รัสไวในพระไตรปฎก เลมที่ 18 ขอที่ 342 โดยเปรียบ สติ เปนเสมือนนายประตูเมืองผูฉลาด เฉียบแหลม มีปญญา คอยหามคนทีต่ นไมรจู ัก อนุญาตใหคนที่ ตนรูจ กั เขาไปในเมืองนัน้ จากอุปมาขางตน ไดชวยทําใหรจู ักสติและบทบาทหนาที่ของ สติดียงิ่ ขึ้น ดวยการนึกถึงบานทีม่ ีและไมมีคนคอยเฝาอยูท ี่ประตูวา จะ ชวยอํานวยใหความปลอดภัยแกบา นตางกันอยางไร การมีสติคอยเฝา อยูท ปี่ ระตูทางเขาทีค่ อยรับรูอ ารมณตา งๆ คือทีต่ า หู จมูก ลิน้ กาย และใจ และทีป่ ระตูทางออก คือกาย วาจา และใจ จะชวยทําใหเกิดความปลอดภัย แกชวี ติ อยางไร
สัมมาสติ
หลักธรรมทางพระพุทธศาสนานอกจากใชคําวา “สติ” แลวยัง มีคาํ วา สัมมาสติ อีกคําหนึง่ คํา สัมมาสติ ที่ใชนี้ ก็เพื่อใหเห็นความแตกตางกับคํา สติ (เฉย ๆ) ชัดเจนยิง่ ขึน้ กลาวคือ สัมมาสติมีความมุง หมายใหเปนสติ ทีจ่ ะนําไปสูค วามดับทุกขดบั กิเลสโดยเฉพาะ เปนสติทไี่ มประกอบ ดวยความรูส ึกยินดีหรือยินราย และไมเนื่องดวยความรูส ึกที่เปนตัวตน สวนสติ (เฉย ๆ) มีความมุง หมายใหไดรับสิง่ ทีด่ ีทเี่ ปนคุณเปนประโยชน แกชวี ติ เปนสําคัญ เปนสติทยี่ งั ประกอบอยูก บั ความรูส กึ ยินดีหรือยินราย และเนื่องอยูกบั ความรูสกึ ทีเ่ ปนตัวตนได สมดังพระพุทธพจนที่ตรัสไว ในพระไตรปฎก เลมที่ 10 ขอที่ 299 วา “สัมมาสติ เปนไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นกาย ในกายอยู (เวทนา, จิต และธรรม) มีความเพียร มีสมั ปชัญญะ มีสติ 37
กําจัดอภิชฌา (ความโลภหรือความยินดี) และโทมนัส (ความทุกขใจ หรือความยินราย) ในโลกเสียได อันนีเ้ รียกวา สัมมาสติ ฯ”
สติปฏฐาน 4 (ในมหาสติปฏ ฐานสูตร)
หลักธรรมในพระพุทธศาสนา มีศัพทธรรมะซึง่ มีนัยใกลเคียง กันมาก แตไมเทากันเสียทีเดียว คือคําวา สัมมาสติ และ สติปฏ ฐาน 4 ซึง่ สอนใหมีสติตามพิจารณากาย เวทนา จิต ธรรม เชนเดียวกัน แตใน กรณีของสติปฏฐาน 4 มีการสอนวิธปี ฏิบัติในกาย เวทนา จิต ธรรม ในแตละฐานที่ละเอียดลงไปดวย เชน พิจารณากาย 6 หมวด, เวทนา 9 ประเภท, จิต 16 ประเภท และธรรม 5 หมวด ความแตกตางทีส่ าํ คัญระหวาง สัมมาสติ และ สติปฏ ฐาน 4 สามารถสรุปเปนประเด็นไดดงั นี้ * สัมมาสติเปนธรรมขอยอยขอหนึ่ง อยูในหมวดธรรมคือ อริยมรรคมีองค 8 ซึง่ จัดเปนโพธิปก ขิยธรรม หรือธรรมทีเ่ ปนฝกฝายแหง การตรัสรูห มวดหนึง่ ; สวน สติปฏฐาน 4 จัดเปนหมวดธรรมหมวดหนึง่ ทีเ่ ปนโพธิปก ขิยธรรมเลยทีเดียว * สัมมาสติ ถูกจัดใหอยูใ น สมาธิขนั ธ ; สวนสติปฏ ฐาน 4 หาก จะจัดควรอยูใ นสมาธิขันธและปญญาขันธ * เนือ่ งจากสัมมาสติ เปนองคประกอบหนึง่ ในอริยมรรค มีองค 8 ซึง่ มีรายละเอียดของการปฏิบตั ิอยูใ นองคมรรคขออืน่ ๆ อยางพรอมมูล แลว ในกรณีสัมมาสติจึงเนนในเรือ่ งคุณภาพของสติก็เพียงพอ โดยไม จําเปนตองแจกแจงการปฏิบตั ิในแตละหัวขอของกาย เวทนา จิต ธรรม โดยละเอียดดังเชนในกรณีของสติปฏฐาน 4 38
* ในกรณีสมั มาสติเพียงอยางเดียว ไมสามารถทําใหบรรลุเปน พระอริยบุคคลในระดับตาง ๆ ได ตองรวมกับองคมรรคขออืน่ ๆ ใหครบ ถวน จึงจะนําไปสูก ารบรรลุธรรมได ; สวนในกรณีของสติปฏฐาน 4 มี การใหหลักประกันหรือพยากรณผลการปฏิบัตไิ วดวยวา หากปฏิบตั ิได ถูกตอง อยางชา 7 ป อยางกลาง 7 เดือน และอยางเร็ว 7 วัน ผูป ฏิบตั ิ จะบรรลุเปนพระอรหันต หรืออยางต่าํ บรรลุเปนพระอนาคามี
สติสัมโพชฌงค
สติสัมโพชฌงค จัดอยูใ นหมวดธรรม คือ “โพชฌงค 7” ซึง่ เปนองคแหงการตรัสรู (โปรดดูรายละเอียดทีไ่ ดอธิบายไวในหนา 35) สติสัมโพชฌงค ที่แตกตางจากสัมมาสติ และสติปฏฐาน 4 คือเปนสติที่ทาํ หนาทีเ่ พือ่ ใหเกิดปญญา หรือความรูแ จง หรือการตรัสรู โดยเฉพาะ การจะทําใหเกิดปญญารูแจงในเรื่องใด สติสัมโพชฌงค จะทําหนาทีก่ อนในการคนหาหรือจับประเด็นของปญหาใหไดเสียกอน จากนันธั ้ มมวิจยั สัมโพชฌงคจะทําหนาทีต่ อเพือสื ่ บคนหาสาเหตุหรือทีมาที ่ ไป ่ ของปญหานัน้ ๆ ตอจากนัน้ โพชฌงคขอ อืน่ ๆ จะทําหนาทีร่ วมกันไป ตามลําดับ จนในทีส่ ดุ จะเกิดปญญารูแ จงเห็นจริงในเรือ่ งทีส่ ติสมั โพชฌงค หยิบยกขึน้ มาพิจารณา
สตินทรีย และ สติพละ
ในเรือ่ ง “สติ” ยังมีคําศัพทอกี 2 คําทีค่ วรทําความเขาใจ คือ สตินทรีย ซึ่งมีความหมายวา สติที่เปนใหญ และ สติพละ ซึ่งมี ความหมายวา สติทเี่ ปนพลัง หลักการในพระพุทธศาสนา ขอธรรมตาง ๆ ที่แสดง หากจะ 39
สามารถนํามาใชงานใหไดผลจริง จะตองบมใหมีความเปนใหญ ให เติบใหญในระดับหนึ่งเสียกอน จึงจะมีพลังมากพอที่จะนําไปใชงาน ในเรือ่ งนีม้ อี ปุ มาเปรียบไดกบั การเลีย้ งแมวเพือ่ จับหนู หากแมวยังตัวเล็ก หรือเปนลูกแมวอยูก ไ็ มสามารถจับหนูได จําเปนตองเลีย้ งใหตวั ใหญขนึ้ กอน จึงจะมีความสามารถทีจ่ ะจับหนูได ในกรณีของสติหรือขอธรรม อืน่ ๆ ก็เชนกัน พระพุทธเจาทรงสอนใหมี ภาวิตา พหุลกี ตา คือทําให มาก ๆ ฝกฝนอบรมใหมาก ๆ ทําใหตอเนือ่ ง จึงจะทําใหสติหรือขอธรรม นัน้ ๆ แกกลา เติบใหญ เปน อินทรีย คือมีความเปนใหญในการทําหนาที่ จึงจะเปน พละ คือมีพลังทีจ่ ะไปกระทําตอสิง่ ตาง ๆ ใหบรรลุผลและประสบ ความสําเร็จไดในทีส่ ดุ ทุกข
หลักธรรมในพระพุทธศาสนา แสดงเรื่องทุกข วามี 3 ประเภท ใหญ ๆ คือ ทุกขในอริยสัจ, ทุกขในเวทนา และทุกขในไตรลักษณ ซึ่งทุกขทั้ง 3 ประเภทนี้มีความสัมพันธกันอยางใกลชิด และนับเปน เรือ่ งใหญทสี่ ุดในพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว ความสําคัญยิง่ ของทุกขในอริยสัจ พิจารณาไดจากทีพ่ ระพุทธเจาตรัสไวในพระไตรปฎก เลมที่ 24 ขอ 76 วา การบังเกิดของพระพุทธเจา ตลอดจนถึงพระธรรมวินัยทีต่ รัสสอน ที่มีความหมาย มีความจําเปน และมีความรุง เรืองในโลก ก็เพราะมีทกุ ขในอริยสัจปรากฏอยูใ นธรรมชาติ การบังเกิดของพระพุทธเจารวมทัง้ พระธรรมวินัยที่ตรัสสอน อันที่จริง ก็เพือ่ นําบุคคลไปสูค วามหลุดพนจากทุกขในอริยสัจนีเ้ อง สําหรับ ความสําคัญของทุกขในเวทนา พิจารณาไดจาก พระไตรปฎก เลมที่ 20 ขอที่ 501ที่ตรัสไววา 40
“เราบัญญัตวิ า นีท้ ุกข นี้เหตุใหเกิดทุกข นีค้ วามดับทุกข นีข้ อ ปฏิบัตใิ หถงึ ความดับทุกข แกบุคคลผูเ สวยเวทนาอยู” หมายความวาหากไมมี เวทนา ปรากฏในธรรมชาติของชีวติ กลาวคือบุคคลไมวา จะทํา พูด คิด หรือถูกกระทําใด ๆ ก็ตามแลว ไมมี สิง่ ทีเ่ รียกวาทุกขในเวทนา หรือความรูส ึกที่เปนทุกข ทั้งที่เปนทุกขทาง กายหรือทางใจใด ๆ เกิดขึ้ น เรื่องอริยสัจที่ พระพุทธเจาตรัสรูก็ไมมี ความหมายเชนกัน แตเนื่องจากทุก ๆ การกระทํา คําพูด การนึกคิด ลวนมีผลเปนเวทนาหรือความรูส กึ เกิดขึน้ ตามมา พระธรรมทีพ่ ระพุทธเจา ตรัสสอน จึงมุง ทีจ่ ะทําใหไมเกิดผล เปนความทุกขในเวทนา โดยเฉพาะ ทีเ่ ปนทุกขเวทนาทางใจ สุดทายคือ ความสําคัญของทุกขในไตรลักษณ ซึง่ เปนกฎ ธรรมชาติขอ 1 ใน 3 ของไตรลักษณทคี่ วบคุมความเปนไปของสิง่ ตาง ๆ ทีม่ ปี จ จัยปรุงแตงกลาวคือ อนิจจัง (ความเปลีย่ นแปลง) ทุกขัง (ทนอยู ในสภาพเดิมไมได) และอนัตตา (ไมใชตวั ตน ไมอยูใ นอํานาจการบังคับ ของใคร ๆ) เปนกฎธรรมชาติทตี่ อ งเรียนรูแ ละเขาถึง เพือ่ ใชเปนเครือ่ งมือ สําหรับการดับทุกขในอริยสัจโดยเฉพาะ เพื่อความเขาใจความทุกขในประเภทตางๆ ใหชัดเจนยิ่งขึ้น จึงขอนํามาอธิบายโดยสรุปอีกครัง้ หนึง่ ดังนี้
ทุกขในอริยสัจ
เปนทุกขทเี่ กิดขึน้ จากอุปาทานหรือความยึดมัน่ ถือมัน่ ในขันธ 5 โดยสรุป คือยึดมัน่ ตองการใหไมเปลีย่ นแปลง (นิจจัง) ใหคงอยูใ นสภาพ เดิม (สุขงั ) และอยูใ นอํานาจการบังคับของตน (อัตตา) ทุกขในอริยสัจ จึงเปนทุกขทเี่ กิดจากความขัดแยงของความยึดมัน่ ถือมัน่ กับความเปน 41
จริงของธรรมชาติที่วาสิ่งตาง ๆ ที่มีปจ จัยปรุงแตงดํารงอยูในสภาพที่ เปลีย่ นแปลง (อนิจจัง) ทนอยูใ นสภาพเดิมไมได (ทุกขัง) และไมอยู ในอํานาจการบังคับของตน (อนัตตา) จึงเปนทุกขทางใจทีส่ ามารถดับ ใหหมดสิน้ ได ดวยการดับอุปาทานใหหมดสิน้
ทุกขในเวทนา
เปนทุกขทเี่ กิดขึน้ จากการกระทบกันของอายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิน้ กายประสาท และใจ กับอายตนะภายนอก คือ รูป เสียง กลิน่ รส สิ่ง สัมผัสทางกาย และสิ่ งที่ รูทางใจ หรือกลาวไดว าเปนรสชาติ ที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสรับรูตอสิ่งตาง ๆ ในกรณีของทุกขเวทนานั้ น บุคคลสามารถดับได อยางเด็ดขาดเฉพาะทุกขเวทนาทางใจเทานั้ น ไมสามารถดับทุกขเวทนาทางกายใหเด็ดขาดไดเลย
ทุกขในไตรลักษณ
เปนสามัญลักษณะประการหนึ่งในสามของสิ่งที่เปนสังขารธรรมหรือสิง่ ทีม่ ีปจ จัยปรุงแตง เรียกอีกชือ่ หนึง่ วา ทุกขัง หมายถึงสภาพ ที่ทนอยูใ นสภาพเดิมไมได เปนทุกขทบี่ ุคคลตองรูจกั และเขาถึง เพื่อใช เปนเครือ่ งมือนําไปดับทุกขในอริยสัจโดยเฉพาะ ความสัมพันธของทุกขทงั้ 3 ประเภท คือ เพราะไมรคู วามจริง วาสิง่ ตาง ๆ ลวนตกอยูภ ายใตกฎไตรลักษณ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงไปหลงและยึดมัน่ ในเวทนาทีเ่ กิดขึ้นจากการสัมผัสรับรูตอสิง่ ตาง ๆ โดยอยากใหเวทนาทั้งหลายเปนไปดังใจ คือตองการใหเปน นิจจัง สุขงั อัตตา จึงทําใหเกิดทุกขในอริยสัจขึน้ 42
4. ใหความหมายทีค่ ลาดเคลือ่ น ไมตรงจุด หรือไมครบถวน ปญหาเรือ่ งศัพทธรรมะในประเด็นสุดทาย คือการใหความหมาย ที่คลาดเคลือ่ น ไมตรงจุด หรือไมครบถวน จึงทําใหไมไดรับประโยชน อยางเต็มเม็ดเต็มหนวย หรือไมทาํ ใหบังเกิดผลลัพธอยางทีค่ วรจะเปน ศัพทธรรมะในกลุม นี้ เชน โลก / ธรรม และ โลกียะ / โลกุตตระ ปฏิบต ั ิธรรม ศีล สมาธิ ปญญา โลก / ธรรม และ โลกียะ / โลกุตตระ
ประเด็น โลก / ธรรม เปนปญหาความเขาใจทีค่ ลาดเคลือ่ น อยางกวางขวางประเด็นหนึง่ ไมเฉพาะกับบุคคลทัว่ ไปเทานั้น แมแต ในแวดวงพุทธบริษทั เอง ก็ยงั มีความเขาใจทีค่ ลาดเคลือ่ นไมนอ ย ประเด็นความเขาใจคลาดเคลือ่ นทีส่ าํ คัญ คือ การแยกโลก และธรรมออกจากกันโดยเด็ดขาด โดยมองวาโลกเปนอยางหนึ่ง และธรรมเปนอีกอยางหนึง่ ทีแ่ ตกตางจากกัน และไมเกีย่ วของกัน ความเขาใจดังวานี้ จึงเปนสาเหตุสําคัญทําใหบุคคลผูท ี่ชอบ ทางโลก ก็จะยังไมสนใจหรือมาศึกษาและปฏิบัติในเรือ่ งที่เห็นวาเปน ธรรม และยังอาจรูส กึ เลยเถิดไปวาหากมาสนใจในทางธรรมมากเกินไป จะทําใหขาดความกระตือรือรนในการทํามาหากิน ทําใหตามเลหเ หลีย่ ม ของบุคคลทีอ่ ยูใ นทางโลกไมทัน และทําใหถกู เอาเปรียบไดงาย เปนตน 43
สวนบุคคลผูท ี่ชอบในทางธรรม ก็อาจปลีกตัวไมสนใจกับงาน หรือเรือ่ งราวทีเ่ ห็นวาเปนทางโลก หรือหากไมสามารถปลีกตัวไปไดเพราะ มีงานรัดตัว ก็จะรูส กึ โหยหา หรือพร่ําบนวาไมมเี วลาทีจ่ ะปฏิบตั ธิ รรม คําสอนในพระพุทธศาสนาไมไดแยกโลกและธรรมในลักษณะ ที่วา แตมองวาทุกสิง่ ทุกอยางเปนเรือ่ งของธรรมไปหมด หากจะนําโลก มาเกีย่ วของ ก็สามารถจําแนกธรรมของพระพุทธเจาเปน ธรรมทีเ่ ปน ไปตามวิสยั โลก (โลกียะ) สําหรับผูท ตี่ อ งการไดรบั สิง่ ดี ๆ ทีน่ า ปรารถนา ทีน่ า พอใจ ซึง่ ประมวลแลว คือ โลกธรรมฝายเจริญ (ลาภ ยศ สุข สรรเสริญ) ธรรมในระดับนี้ อาทิ อบายมุข 6 ฆราวาสธรรม 4 สังคหวัตถุ 4 พรหมวิหาร 4 อิทธิบาท 4 และทิศ 6 จิตของบุคคลทีอ่ ยูใ นธรรมระดับนี้ จึงขึน้ ๆ ลง ๆ ไปตามโลกธรรมทีไ่ ดรับ และอีกระดับคือ ธรรมทีเ่ หนือ วิสั ยโลก (โลกุตตระ) สําหรับผูที่ไมไดตองการสิ่งใดสิ่งหนึ่ งที่เปน โลกธรรม แตตองการรูเ ทาทันความจริงของสิง่ ทีร่ ับรู เพือ่ ใหจิตสามารถ อยูเหนืออิทธิพลของสิ่งทีร่ ับรูน ั้น ไมใหรอยรัดเสียดแทง หรือทําใหจติ เกิดปญหาหรือทุกขอยางใดอยางหนึ่ง ซึ่งในพระพุทธศาสนาเรียกวา “วิมตุ ติ” ธรรมะในระดับนี้ เชน อริยสัจ 4 สติปฏฐาน 4 ดังนั้น ไมวาบุคคลจะมีความตองการในเรื่องที่เปนวิสัยโลก หรือเหนือวิสัยโลก ก็ยอมจะตองรูและปฏิบัติธรรมใหตรงกับเรื่องและ ระดับทีต่ อ งการ ก็จะทําใหไดรบั ผลอยางทีบ่ ุคคลตองการ เรือ่ ง โลกียะและโลกุตตระอาจสามารถอธิบายแบบประยุกต ใหเขาใจงายยิง่ ขึน้ โดยพิจารณาจากทาทีของจิตทีร่ บั รูต อ สิง่ ตาง ๆ เปน สําคัญ กลาวคือ หากรับรูแ ลว จิตอยูใ ตอทิ ธิพลครอบงําของสิง่ ที่รับรู จัดเปนทาทีแบบโลกียะ แตหากรับรูแลว จิตอยูเ หนืออิทธิพลครอบงํา ของสิง่ ทีร่ บั รู จัดเปนทาทีแบบโลกุตตระ 44
นอกจากนัน้ เรือ่ งของโลกียะและโลกุตตระอันทีจ่ ริงยังอยูใ นเรือ่ ง เดียวกันหรือทีเ่ ดียวกันอีกดวย ขึน้ อยูก บั ทาทีของจิตทีม่ ตี อ เรือ่ งนัน้ วาเปน อยางไร ยกตัวอยางการกินอาหาร หากกินดวยทาทีทตี่ อ งการความเอร็ดอรอย หรือความสนุกสนานจากอาหาร จัดเปนการกินแบบโลกียะ จิตจะ ขึน้ ๆ ลง ๆ ไปตามรสชาติและความสนุกสนานทีเ่ กิดขึน้ จากการกิน แตหากจิตมีทา ทีในการกินดวยความเขาใจถึงความจริงหรือคุณคา ความหมายที่แทจริงของอาหารนัน้ วาเปนสิง่ หลอเลีย้ งและค้ําจุนชีวติ ฝายกายใหแข็งแรงและสามารถทําหนาทีไ่ ดเปนปกติ จัดเปนการกินแบบ โลกุตตระ จิตจะอยูเ หนืออิทธิพลของการกินอาหารนัน้ จิตจะไมขนึ้ ๆ ลง ๆ ไปตามอาหาร หรือถูกบีบคัน้ ดวยเรือ่ งของอาหารในทางใดทางหนึง่ เพราะ เขาใจถูกตองวาอาหารทุกชนิดทุกประเภทลวนมีคณ ุ คาและความหมาย เปนอยางเดียวกันหมด กลาวคือ เปนสิง่ ทีก่ นิ เพือ่ หลอเลีย้ งค้าํ จุนชีวติ ฝายกาย ใหดํารงอยูไ ด ใหเปนปกติ แข็งแรง ไมเจ็บปวย หรือพิกลพิการ ซึง่ อาหาร ทุกชนิดโดยเนือ้ แทแลว มีคณ ุ คาและความหมายเชนนีท้ งั้ นัน้ ประเด็นของทาทีของจิตแบบโลกียะ และแบบโลกุตตระ อันที่ จริงอยูใ นคําสอนเรือ่ งอริยสัจ 4 นัน่ เองกลาวคือ จิตทีเ่ กีย่ วของกับสิง่ ตาง ๆ โดยมีตณ ั หาหรือความทะยานอยากเปนตัวนํา หรือเพื่อตอบสนองตอ ความอยาก เปนทาทีแบบโลกียะ ทําใหชีวิตเวียนวายอยูในกองทุกข แตหากนํามรรคมีองค 8 หรือความถูกตองเปนตัวนํา เปนทาทีแบบ โลกุตตระ จะนําชีวติ ไปสูน โิ รธคือความพนจากความทุกขไปตามลําดับ ปฏิบตั ิธรรม
คํา ปฏิบัติธรรม เปนคําอีกคําหนึ่งที่มักเขาใจคลาดเคลือ่ น และถูกใหความหมายจําเพาะเกินไป จนทําใหไมไดรับประโยชนหรือ 45
ไดรับประโยชนจากการปฏิบตั ิธรรมนอยเกินไป เชน เขาใจวาการอาน หนังสือหรือการฟงธรรม เปนเรื่องของปริยัติ ยังไมไดปฏิบัต,ิ การพูด หรือสนทนากัน ไมใชการปฏิบติ, การทํางานอยูที่บานหรือที่ทํางาน ยังไมไดปฏิบัติ นอกจากนัน้ ยังมักเขาใจผิดไปวาการปฏิบัตธิ รรม คือการ เดินจงกรม เจริญสติ สมาธิ และวิปสสนา เทานั้น จึงทําใหไดยินเสียง บนจากผูท มี่ ีความเขาใจเชนนีว้ า ไมมีเวลาทีจ่ ะปฏิบัตธิ รรม หรือไมคอ ย มีโอกาสจะปฏิบตั ธิ รรมเทาใด ในทีน่ ี้ขอเสนอใหพจิ ารณามรรคมีองค 8 ซึง่ เปนขอปฏิบตั ิเพื่อ ความดับทุกขในอริยสัจ 4 ทีพ่ ระพุทธเจาตรัสสอน จะทําใหเห็นความหมาย ของการปฏิบตั ธิ รรมชัดเจนขึน้ วามีการปฏิบตั ใิ น 8 เรือ่ งหรือ 8 ดานดวยกัน ซึ่งอันทีจ่ ริงครอบคลุมการกระทําในทุก ๆ ดานของชีวิตทีจ่ ะตองไดรบั การปรับปรุงและปฏิบตั ใิ หถกู ตอง กลาวคือ 1. ปฏิบตั ใิ นเรือ่ งความเห็น ซึง่ เกิดจากการฟง - อาน - สังเกต เปนสําคั ญเพื่ อเสริมสรางใหมี ความเห็น ที่ถู กตอง ในเรื่องอริยสัจ 4 (สัมมาทิฏฐิ) 2. ปฏิบัติในเรื่องความคิดความตองการ เพื่อเสริมสราง ใหมีความคิดความตองการทีถ่ ูกตอง (สัมมาสังกัปปะ) คือ คิดที่จะ ออกจากความหลงใหลในกาม ในพยาบาท หรือทีเ่ ขาใจไดงา ย ๆ คือ ไมหลงรัก และหลงชัง ในสิง่ ใด ๆ ตลอดจนไมมคี วามคิดทีจ่ ะเบียดเบียน ทําใหเกิดความเดือดรอนทัง้ แกตนเองและผูอ นื่ 3. ปฏิบตั ใิ นเรือ่ งการพูด เพือ่ เสริมสรางใหมกี ารพูดทีถ่ กู ตอง (สัมมาวาจา) คือ ไมพูดเท็จ ไมพูดคําหยาบ (คือคําพูดทีต่ องการทําให ผูฟ งเกิดความรูส ึกเจ็บปวด) ไมพดู สอเสียด (คือพูดยุแหยใหแตกความ สามัคคี) และไมพดู เพอเจอ (คือคําพูดทีเ่ หลวไหล ไมรกู าละเทศะ) 46
4. ปฏิบัติในเรือ่ งการกระทําทางกาย เพื่อเสริมสรางใหมี การกระทําทางกายทีถ่ กู ตอง (สัมมากัมมันตะ) คือ เวนจากการใชกาย ไปทําประทุษรายในเรื่องของชีวิต ในเรือ่ งของทรัพยสิน และในเรื่องที่ เปนของรักของหวงของผูอ นื่ 5. ปฏิบตั ใิ นเรือ่ งการเลีย้ งชีพ เพือ่ เสริมสรางใหมกี ารเลีย้ งชีพ ทีถ่ กู ตอง (สัมมาอาชีวะ) คือการเลีย้ งชีพทีเ่ วนจากการหลอกลวงตาง ๆ ตลอดจนประกอบอาชีพที่ไมเปนโทษ 5 อยาง ตามทีพ่ ระพุทธเจาตรัส หามไว คือ คาอาวุธ คามนุษย คาสัตวสาํ หรับฆาเปนอาหาร คาของมึนเมา คายาพิษ 6. ปฏิบตั ิในเรือ่ งความเพียร เพือ่ เสริมสรางใหมีความเพียร ที่ถูกตอง (สัมมาวายามะ) คือ เพียรระวังไมใหเกิดบาปอกุศลทีย่ ังไม เกิด มิใหเกิดขึน้ เพียรละบาปอกุศลทีเ่ กิดขึน้ แลว เพียรเจริญกุศลธรรม ที่ยังไมเกิด ใหเกิดมีขนึ้ และเพียรรักษากุศลธรรมทีเ่ กิดขึน้ แลว ใหเจริญ ยิง่ ขึน้ จนไพบูลย 7. ปฏิบตั ิในเรือ่ งการระลึกตอสิง่ ตาง ๆ เพือ่ เสริมสรางให มีการระลึกทีถ่ กู ตอง (สัมมาสติ) คือ ระลึกในกาย เวทนา จิต ธรรม หรือ ระลึกตอสิ่งตาง ๆ อยางถูกตอง ดวยจิตที่ปราศจากความยินดีหรือ ยินราย ใหเปนเพียงเครือ่ งระลึก โดยไมยดึ มัน่ ถือมัน่ 8. ปฏิบัติในเรื่องความตั้งมั่นของจิต เพื่อเสริมสรางใหมี คุณภาพของจิตที่ถูกตอง (สัมมาสมาธ)ิ คือฝกจิตจนบรรลุสมาธิใน ระดับรูปฌานที่ 1 ถึง 4 นอกจากนั้นยังจะตองปฏิบัติใหไดคุณภาพที่บริบูรณไปตาม ลําดับ และใหครบถวนทัง้ 8 ขอ อยางทีเ่ รียกวา “มรรคสมังคี” จึงจะทําให บังเกิดผลและบรรลุผลเขาถึงจุดหมายคือความพนทุกขไดในทีส่ ดุ 47
ศีล
ศีล เปนศัพทธรรมะอีกคําหนึง่ ทีย่ งั มีความเขาใจคลาดเคลือ่ น โดยเฉพาะในประเด็นวิธีปฏิบัติเพื่ อใหเกิดศีล ทั้งนี้ เนื่ องจากการให ความหมายของศีลทีว่ า เปน ขอหาม หรือ ของดเวน การกระทําทางกาย และวาจา ในขัน้ พืน้ ฐานมี 5 ประการ ตามทีท่ ราบกันดีอยูแ ลวในศีล 5 การที่ศีลมีความหมายวาเปน “ขอหาม” หรือ “ของดเวน” จึง ทําใหผคู นสวนใหญปฏิบัตศิ ีล ดวยการนําเอาขอหามหรือของดเวนนัน้ มาตัง้ ไวในใจ แลวคอยระมัดระวังควบคุมตนไมใหมีการกระทําทางกาย และวาจา ลวงละเมิดตอขอหามหรือของดเวนเหลานัน้ โดยมีเบือ้ งหลัง ของการปฏิบตั เิ นือ่ งมาจากความกลัวในบทลงโทษทีบ่ ญ ั ญัตไิ วเปนสําคัญ ซึ่งวิธีปฏิบัติศีลตามที่กลาวนี้ ก็นับเปนวิธีปฏิบัติที่ถูกตองเหมือนกัน ในแงทปี่ อ งกันไมใหเกิดการกระทบกระทัง่ หรือไมกอ ใหเกิดความเดือดรอน ในการอยูรว มกันของสังคม แตจะไมใหผลที่นําไปสูความดับทุกขดับ กิเลส เพราะไมไดปฏิบัติใหถกู ตองตามนัยของศีลที่เปนองคประกอบ ในมรรคมีองค 8 ศีลทีเ่ ปนองคประกอบในมรรคมีองค 8 เปนศีลทีม่ สี มั มาทิฏฐิเปน สมุฏฐาน ดังนัน้ การจะปฏิบตั ศิ ลี ตามนัยนี้ จึงตองแสวงหาสัมมาทิฏฐิหรือ ความรูในคุณคาความหมายทีถ่ ูกตองของเรือ่ งนัน้ ๆ หรือสิ่งนั้นๆ กอน แลวจึงใชกายและวาจาเขาไปทําหนาทีห่ รือเกีย่ วของใหถกู ตองตามสัมมาทิฏฐินนั้ ๆ ก็จะไมกอ ใหเกิดการกระทําทีเ่ ปนขอหามหรือของดเวนนัน้ เอง โดยทีไ่ มตองคอยระมัดระวังหรือคอยควบคุมตนเองแตประการใด และ ไมไดปฏิบัตเิ นือ่ งมาจากกลัวการถูกลงโทษ แตปฏิบตั ิเนื่องจากเห็นวา เปนสิง่ ถูกตองและดีงามทีพ่ ึงกระทํา จากวิธีปฏิบัตศิ ีลใน 2 แบบทีก่ ลาวขางตน จึงอาจจําแนกศีล 48
ไดเปน 2 แบบตามวิธีปฏิบัติที่แตกตางกัน คือ ศีลที่เปนธรรม ซึ่ง เกิดจากการปฏิบัติโดยมีสัมมาทิฏฐิ เปนตัวนํา และ ศีลที่เ ปนวินั ย ซึง่ เกิดจากการนําเอาขอหามหรือของดเวนมาตัง้ ไวในใจ แลวคอยระมัด ระวังควบคุมการกระทํา ไมใหเกิดการลวงละเมิด โดยมีความเกรงกลัว ตอบทลงโทษเปนเบือ้ งหลังสําคัญ เพือ่ ความเขาใจทีช่ ดั เจนยิง่ ขึน้ ขอใหดตู วั อยางในเรือ่ งกฎหมาย ซึง่ มีเนือ้ หาสวนใหญเปนขอหามหรือขอบังคับทีม่ ีบทลงโทษ เพือ่ ไมให บุคคลกระทําสิง่ ทีก่ อ ใหเกิดการกระทบกระทัง่ แลวสรางความเดือดรอน ใหเกิดขึน้ แกสังคม แตจะเห็นไดวา ในบุคคลทีม่ ีจิตสํานึกดี แมไมรูใน ขอกฎหมาย ก็จะไมทําผิดกฎหมาย และไมกลัววาจะทําผิดกฎหมาย นัน่ เปนเพราะผูท มี่ ีจติ สํานึกดีหรือมีสัมมาทิฏฐิ โดยธรรมชาติแลวจะไม กระทําสิง่ ใดทีเ่ ปนการกระทบกระทัง่ ใหเกิดความเดือดรอนขึน้ แกใครเอง (ศีลทีเ่ ปนธรรม) แตอยางไรก็ตามเนือ่ งจากบุคคลในสังคม ไมใชวา ทุกคน จะเปนคนทีม่ ีสมั มาทิฏฐิหรือจิตสํานึกดี ดังนัน้ จึงตองมีกฎหมายที่เปน ขอหามหรือขอบังคับ และมีบทลงโทษ เขียนไวใหเห็นชัดเจน เพื่อปอง ปรามบุคคลประเภทนีโ้ ดยเฉพาะ ใหมีความกลัว แลวไมกลากระทําใน สิง่ ทีเ่ ปนการลวงละเมิดและกอความเดือดรอนแกสงั คม(ศีลทีเ่ ปนวินยั ) กลาวในแงของศีล ศีลทีเ่ ปนธรรมเทานัน้ จึงจัดเปนองคประกอบ ในอริยมรรค มีองค 8 ทีจ่ ะนําไปสูค วามดับทุกขดบั กิเลสได สมาธิ
คํา สมาธิ โดยทัว่ ไปใหความหมายวา ความตัง้ ใจมั่น ซึง่ เล็ง เอาเรื่องความแนวแนของจิ ตในการรับรูตอสิ่ งตาง ๆ หรือที่เรียกวา เอกัคคตา (จิตทีต่ งั้ มัน่ ในอารมณเดียว) เปนสําคัญ 49
คํา สมาธิ ในอีกความหมายหนึง่ หมายถึง คุณภาพของจิต ทีเ่ หมาะสม ทัง้ นีโ้ ดยพิจารณาจากคําในชุดไตรสิกขาซึง่ จําแนกเปน ศีล สมาธิ ป ญญา หรื อ อธิ ศี ลสิ กขา อธิ จิ ตตสิ กขา อธิ ป ญญาสิ กขา ซึ่ งจะเห็นไดว าในกรณี ของสมาธิเป นอั นเดียวกันกั บอธิจิ ตตสิ กขา ทําใหเห็นชัดวาเรือ่ งของสมาธิจริง ๆ แลวมีวตั ถุประสงคในการปฏิบตั เิ พือ่ ปรับปรุงคุณภาพของจิตใหมคี ุณภาพทีเ่ หมาะสม กลาวคือ เปนจิตที่ ผองใส (ปริสทุ ฺโธ) ตัง้ มั่น (สมาหิโต) ควรแกการงาน (กมฺมนีโย) ไมมี นิวรณ (กามฉันท พยาบาท ถีนะมิทธะ อุทธัจจะกุกกุจจะ วิจิกิจฉา) รบกวน ซึ่งมีพระพุทธพจนตรัสไวในพระไตรปฎก เลมที่ 20 ขอที่ 529 วา การปฏิบัติเพือ่ เขาถึงภาวะของรูปฌานที่ 1 - 4 เปนอธิจติ ตสิกขา และเรียกจิตทีอ่ ยูใ นภาวะของรูปฌานที่ 1 - 4 นี้วา “อธิจิต” ซึง่ เปนจิต ที่มีคุณภาพเหมาะสมและควรแกการงานทุกอยาง เปนจิตทีพ่ รอมจะ นําไปกระทําหรือพิสจู นความจริงของธรรมชาติไดในทุกระดับ สําหรับการปฏิบตั สิ มาธิ มีหลักอยูท กี่ ารใหจติ มีสติรบั รูแ นวแน อยูกับสิ่งใดสิง่ หนึ่งหรือเรื่องใดเรือ่ งหนึ่งที่เหมาะสม ไมไดจํากัดวาจะ ตองอยูใ นทานั่ง อยางทีม่ ักกลาวติดปากวานัง่ สมาธิ ไมไดจํากัดวาจะ ตองหลับตาหรือลืมตา ไมไดจาํ กัดวาจะตองอยูใ นสถานทีใ่ ด ซึ่งหากรู หลักเชนนีแ้ ลว บุคคลก็สามารถปฏิบตั สิ มาธิไดในทุกทีท่ กุ สถาน ขอเพียง แตใหรจู กั วางใจเลือกรับรูแ ละแนวแนในสิง่ หรือเรือ่ งทีร่ บั รูเ ปนสําคัญ คําสอนในพระพุทธศาสนาไดแนะนําสิง่ ทีร่ บั รูแ ลวทําใหจติ เปน สมาธิ ไวในเรือ่ ง กรรมฐาน 40 ซึง่ จําแนกเปน กสิณ 10, อนุสสติ 10, อสุภะ 10, อัปปมัญญา 4, อาหาเรปฏิกลู สัญญา 1, ธาตุ4 1, และอรูป 4 อารมณเหลานีเ้ ปนตัวอยางของสิง่ หรือเรือ่ งทีส่ ามารถใชเปนสิง่ ทีใ่ หจติ รับรู แลวเกิดสมาธิ เพือ่ ใหบุคคลสามารถนําไปเลือกปฏิบตั ิใหเหมาะสมกับ 50
อัธยาศัยของตน มีอปุ มาทีท่ ําใหเขาใจวิธีปฏิบัตสิ มาธิดียงิ่ ขึน้ โดยเปรียบไดกับ การนําเชือกมาผูกวัวไวกับเสาหลัก ในตอนตนวัวอาจจะเดินไปมาดวย ความหงุดหงิดและกระชากไปมา แตในทีส่ ุดก็จะหมอบนิ่งและสงบอยู กับเสาหลักนั้นเอง ในกรณีนเี้ ปรียบเชือกคือสติ , วัวคือจิต, เสาหลักคือ กรรมฐานทีก่ ําหนด และวัวทีห่ มอบนิง่ สงบอยู คือภาวะจิตทีเ่ ปนสมาธิ สําหรับประโยชนของสมาธิ นอกจากเปนการปรับปรุงจิตใหตงั้ มัน่ และมีคณ ุ ภาพที่เหมาะสมซึง่ เปนดานหลักแลว อันที่จริงยังมีประโยชน ในดานอืน่ ๆ อีกมีมากมาย ซึง่ จะขอนํามาอธิบายไว ณ ทีน่ ี้ เพือช ่ วยทําให รูจ กั และไดรบั ประโยชนจากสมาธิเต็มเม็ดเต็มหนวยยิง่ ขึน้ นอกจากนัน้ ยังจะชวยชักจูงใหเกิดความสนใจและความตั้งใจที่จะปฏิบัติสมาธิให มากขึน้ และจริงจังขึน้ ดวย ดังนี้ 1. ทําใหสามารถควบคุมจิตใหอยูใ นอํานาจของสติ โดย พิจารณาจากการทีส่ ามารถรักษาจิตใหมสี ติรบั รูอ ยูแ ตในอารมณกรรมฐาน หรือในสิง่ ทีก่ ําหนดไวเพียงอยางเดียวได 2. ทําใหจติ มีพลังเพิม่ ขึน้ โดยพิจารณาจากในขณะปฏิบตั ิ สมาธิ จิตจะเลือกรับรูอ ยูในสิง่ เดียวหรือเรื่องเดียว ซึ่งทําใหจิตไมเสีย พลังหรือกระจายพลังไปรับรูใ นสิง่ อืน่ หรือในชองทางการรับรูอ นื่ จึงทําให เกิดการรวมพลังของจิตใหมีมากขึน้ และเขมขนขึน้ 3. ทําใหไดความสุข ทีเ่ รียกวา นิรามิสสุข ซึง่ เปนความสุข ทีไ่ มองิ กับ รูป เสียง กลิน่ รส และสิง่ ตองกายใด ๆ อยางทีเ่ รียกวากามคุณ จึงเปนความสุขทีเ่ ปนเอกเทศของจิตเอง ไมตอ งพึง่ พิงความสุขทีม่ าจาก สิง่ ตาง ๆ ภายนอก ทําใหจิตไมตกอยูใตอทิ ธิพล ไมหวัน่ ไหว หรือขึ้น ๆ ลง ๆ ไปตามรูป เสียง เปนตน 51
4. ทําใหไดบา นทางจิต ภาวะของสมาธิเปรียบไดกับบาน ทางจิต ผูท ที่ ําสมาธิจนไดผล เปรียบเสมือนไดสรางบานทางจิต ใหจติ มี บานอยูอ าศัย เมือ่ จิตตัง้ มัน่ อยูใ นอารมณของสมาธิ หรืออยูใ นบานทางจิต อารมณอนื่ ใดยอมไมสามารถเกิดขึน้ รบกวนจิตใหขนุ มัวเศราหมอง หรือ ทําอันตรายใด ๆ ตอจิตได ดังเชนชีวติ ในฝายกายก็ตอ งการบานทางกาย ทีจ่ ะอาศัยคุม ครองกายใหปลอดภัย เวลามีภัยหรืออันตรายทีจ่ ะเกิดขึน้ กับกาย ขอเพียงสามารถหลบเขามาอยูใ นบานทางกายไดเทานัน้ ก็ทําให กายมีความปลอดภัย ในเรือ่ งบานทางจิต ก็มนี ยั เชนเดียวกัน ปญญา
ปญญา เปนคําทีม่ ีความหมายกวางขวางมาก โดยทั่วไปหาก อธิบายตามรากศัพทในภาษาบาลี ไดความวา คือ ความรูท ั่ว ซึ่งใน พจนานุกรมพุทธศาสน ของพระพรหมคุ ณาภรณ (ป. อ. ปยุ ตฺโต) (ปจจุบันคือสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย) ไดให ความหมายไววาคือ “ความรูทั่ว ปรีชาหยั่ง รูเหตุผล ความรู เขาใจชั ดเจน ความรู เขาใจ หยัง่ แยกไดในเหตุผล ดีชวั่ คุณโทษ ประโยชน-มิใชประโยชน เปนตน และรูทจี่ ะจัดแจง จัดสรร จัดการ ความรอบรูใ นกองสังขาร มองเห็น ตามความเปนจริง” แต ปญญาที่ตองการอย างแทจริ งตามหลักพระพุทธศาสนา คือป ญญาที่ สามารถถอนความยึ ดมั่ นถื อมั่ นใหห มด สิน้ ไป ดังพระพุทธพจนทไี่ ดตรัสไวในพระไตรปฎก เลมที่ 12 ขอที่ 434 วา “...... ภิกษุในธรรมวินยั นีไ้ ดสดับวา ธรรมทัง้ ปวงไมควรยึดมัน่ ถาขอนี้ ภิกษุไดสดับแลวอยางนี้ ภิกษุนนั้ ยอมรูย งิ่ ซึง่ ธรรมทัง้ ปวง...เมือ่ พิจารณาเห็นดังนั้น ยอมไมยึดมั่นสิ่งอะไร ๆ ในโลก เมือ่ ไมยึดมั่น ยอม 52
ไมสะดุงหวาดหวั่น เมื่อไมสะดุงหวาดหวั่น ยอมดับกิเลสใหสงบได เฉพาะตัว และทราบชัดวา ชาติสนิ้ แลว พรหมจรรยอยูจ บแลว กิจที่ ควรทําทําเสร็จแลว กิจอืน่ เพือ่ ความเปนอยางนี้ มิไดม”ี หรืออาจขยายความใหกวางออกไปไดวา ปญญาทีพ่ ระพุทธเจา มุงหมายตรัสสอนจริง ๆ คือ ปญญาทีส่ ามารถดับทุกขดบั กิเลสทัง้ ปวง โดยเฉพาะดับทีส่ าเหตุของทุกข คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน หรือสังโยชน (เครือ่ งรอยรัดใหจมอยูใ นกองทุกข มี 10 ประการดวยกัน คือ สักกายทิฏฐิ วิจกิ จิ ฉา สีลพั พตปรามาส กามราคะ ปฏิฆะ รูปราคะ อรูปราคะ มานะ อุทธัจจะ และอวิชชา) ใหหมดสิ้นไปเปนสําคัญ ไมไดมุงปญญาที่จะ รอบรูใ นเรือ่ งอืน่ ๆ เลย ดังนัน้ การศึกษาและปฏิบัติในเรือ่ งปญญาตามหลักพระพุทธศาสนา เพือ่ ใหตรงตอทีพ่ ระพุทธเจาตรัสสอนอยางแทจริง จึงควรนําไป เชือ่ มกับเรือ่ ง อวิชชา ตัณหา อุปาทาน หรือสังโยชน และเรียนรูว า ปญญา อะไร ทีส่ ามารถละ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน หรือสังโยชนอะไร ก็จะทําให การศึกษาและปฏิ บัติในเรื่ องป ญญาไม สะเปะสะปะ มีเ ปาหมายที่ ชัดเจน และบรรลุประโยชนทปี่ ระสงคอยางแทจริงดวย ในหนังสือนีจ้ ะ ขออธิบายเรื่องปญญาในบริบทที่จะนําไปใชละสังโยชน เพื่อใหเห็น เรือ่ งราวของปญญาทีจ่ ะตองศึกษาและปฏิบตั อิ ยางครบถวนตอไป ปญญาลําดับแรกทีส่ ดุ ทีจ่ ะตองทําใหเกิดขึน้ กอน คือปญญา ที่ทาํ ใหสังโยชน 3 เบือ้ งตน คือสักกายทิฏฐิ (ความเห็นวาเปนตัวตน) วิจิ กิจฉา (ความลังเลสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ หรือ ความลังเลสงสัยในการดําเนินชีวิต) และสีลัพพตปรามาส (ความ งมงายในศีลและพรต) หมดสิ้นไป ทําใหเขาถึงความเปนอริยบุคคล ระดับพระโสดาบัน 53
ปญญาในลําดับแรกนี้ กลา วโดยสรุป คือป ญญารูเขาใจใน อริยสัจ 4 หรือสัมมาทิฏฐิในอริยมรรค มีองค 8 ที่พระพุทธเจาตรัสสอน นั่นเอง สมดังพระพุทธพจนทตี่ รัสไวในพระไตรปฎก เลมที่ 16 ขอที่ 90 วา “พระโสดาบันเปนผูม ีสมั มาทิฏฐิสมบูรณ” ปญญารูเขาใจในสัมมาทิฏฐิหรือมีความเห็นถูกตองใน อริยสัจ 4 ทําใหสังโยชน 3 หมดสิ้นไปไดอยางไร ? บุคคลเมือ่ ไดเรียนรูจ นเกิดความรูค วามเขาใจในอริยสัจ 4 ได ถูกตอง จะทําใหเห็นเสนทางการดําเนินชีวติ ทัง้ หมดทัง้ สิน้ วามี 2 เสนทาง คือ (1) เสนทางชีวิตทุกข (ทุกข - สมุทัย) ที่เอาความตองการของตน (ตัณหา) เปนตัวนํา และ (2) เสนทางชีวติ ที่พน ทุกข (นิโรธ - มรรค) ที่เอาความถูกตอง (มรรคมีองค 8 ทุกองคขนึ้ ตนดวยสัมมา ซึง่ แปลวา ความถูกตอง) เปนตัวนํา บุคคลเมื่อเห็นเสนทางการดําเนินชีวิตเชนนี้แลว ยอมละการ ดําเนินชีวติ ในเสนทางชีวติ ทุกข แลวมาดําเนินชีวิตตามเสนทางชีวิตที่ นําไปสูค วามพนทุกข การละการดําเนินชีวิตในเสนทางชีวิตทุกข ซึ่งมีรากฐานอยูที่ ตัวตนและความทะยานอยากเพื่อตอบสนองตัวตนนี้ แทจริงแลวคือ การละสักกายทิฏฐิ นั่นเอง นอกจากนั้นยังทําใหละวิจกิ ิจฉา ไปดวย เพราะเห็นชัดแลวซึ่งเสนทางการดําเนินชีวิตที่ถูกตองวาเปนอยางไร และทําให ละสีลั พพตปรามาส ไปดวย กลาวคือ ไมตองไปพึ่ งสิ่ ง ศักดิ์สิทธิ์หรือวิธีการอื่นใด ตลอดจนไมงมงายกับการกระทําสิ่งใด ๆ ในการดําเนินชีวิ ตอีกตอไป เพราะรู เห็นชัดเจนแล วถึงขอปฏิ บัติ คือ อริยมรรค มีองค 8 เทานั้น วาเปนขอปฏิบัตทิ ี่จะนําไปสูค วามพนทุกข ไดอยางแทจริง 54
และหากสามารถทําสังโยชนเบือ้ งตนทัง้ 3 นี้ใหหมดสิน้ ไปได โดยเด็ดขาด จะทําใหบคุ คลหลุดพนจากกองทุกขและกองกิเลสที่เกิด จากเรื่องของความเห็นผิดไดทั้งหมด บรรลุเปนพระอริยบุคคลระดับ พระโสดาบัน ซึง่ เปนพระอริยบุคคลขัน้ ตน และหากสามารถทํา ราคะ โทสะ โมหะ ใหเบาบางลงไปไดอกี จะทําใหบรรลุเปนพระสกทาคามี ปญญาในลําดับถัดไป คือปญญาทีม่ งุ ทําใหสงั โยชนในระดับ กลาง คือ กามราคะ (ความติดใจในกามคุณ) และปฏิฆะ (ความขัด เคืองใจ) หมดสิน้ ไป ทําใหเขาถึงความเปนอริยบุคคลระดับพระอนาคามี ปญญาในระดับนี้ ปฏิบัตใิ หเกิดขึน้ ไดดว ยการตามรูต ามเห็น จนเกิดปญญาประจักษชัดถึงตนเหตุทที่ ําใหเกิดกามราคะและปฏิฆะ ซึง่ ในพระไตรปฎก เลมที่ 22 ขอที่ 334 ตรัสแสดงไววา เกิดจากความ ดําริหรือการจินตนาการของจิตทีใ่ สลงไปใน รูป เสียง กลิน่ รส และสัมผัสทางกาย นั้นเอง จนเกิดความหมายทีเ่ ปนกามขึน้ โดยเมือ่ ดําริหรือจินตนาการไปในสุภนิมิต (เครื่องหมายวาสวยงาม) จะเกิด ความยินดีพอใจ และเกิดเปนกามราคะขึน้ แตหากดําริหรือจินตนาการ ไปในปฏิ ฆนิ มิต (เครื่ องหมายวาขั ดเคืองใจ) จะเกิดความยินราย ไมพอใจ และเกิดเปนปฏิฆะขึน้ เมือ่ สามารถดับความดําริหรือจินตนาการ ที่เปนสาเหตุทําใหเกิดกามราคะและปฏิฆะได ก็ทําใหกามราคะและ ปฏิฆะหมดสิ้นไปโดยเด็ดขาด ทําใหบุคคลบรรลุความเปนอริยบุคคล ระดับพระอนาคามี ปญญาในระดับสุดท าย คือปญญาที่มุงทําใหสังโยชนใน ระดับสูง คือ รูปราคะ(ความยินดีในอารมณแหงรูปฌาน) อรูปราคะ (ความยินดีในอารมณแหงอรูปฌาน) มานะ(ความถือตน) อุทธัจจะ (ความฟุง ซาน) และอวิชชา (ความไมรใู นอริยสัจ) ใหสนิ้ ไปอยางเด็ดขาด 55
โดยสังโยชนในระดับสุดทายทัง้ 5 ประการนีเ้ กี่ยวเนื่องกับความยินดี พอใจ และยึดติดถือมัน่ ในเรือ่ งของรูปฌานและอรูปฌานเปนสําคัญ ปญญาในระดับนีเ้ กิดขึน้ ไดดว ยการตามรูต ามเห็นจนเกิดปญญา ประจักษแจงในความไมเทีย่ ง(อนิจจัง) ความทนอยูใ นสภาพเดิมไมได (ทุกขัง) และความไมใชตัวตนหรือไมเปนไปตามอํานาจการบังคับของ ตัวตน (อนัตตา) ของฌานสุข จึงทําใหถอนความยึดติดถือมัน่ ในภาวะของ รูปฌานและอรูปฌาน และละสังโยชนเบือ้ งสูงทัง้ 5 นีไ้ ดทงั้ หมด หลุดพน จากกองทุกขทั้งหมดทั้งสิน้ ไดอยางเด็ดขาด บรรลุเปนพระอริยบุคคล ระดับพระอรหันต เขาถึงจุดหมายสูงสุดทีพ่ ระพุทธเจาตรัสสอน บทสรุป ผูเ รียบเรียงเชือ่ มัน่ วา ทานผูอ า นหนังสือมาจนถึงหนาสุดทายนี้ จะประจักษดว ยตนเองวาการเขาใจคําและความหมายของศัพทธรรมะ มีความสําคัญตอการศึกษาและปฏิบตั ธิ รรม ตลอดจนการเขาถึงและไดรบั ประโยชนจากธรรมเพียงใด จึงมีความหวังเปนอยางยิง่ วาหนังสือนีจ้ ะมี ส วนช วยหรื อเกื้ อกู ลแก ผู สนใจและใฝ ที่ จะศึ กษาและปฏิ บั ติ ธรรม ใหไดรับประโยชนจากธรรมที่พระพุทธเจาตรัสสอนอยางเต็มที่ และ เนื่องจากขณะที่เรียบเรียงหนังสือนีอ้ ยูในชวงพระราชพิธีออกพระเมรุ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิ ตร จึ งขอร วมน อมอุ ทิ ศถวายบุ ญกุ ศลใด ๆ อั นจะพึ งเกิ ดขึ้ นจากการ เรียบเรียงหนังสือ ขอนอมถวายเปนพระราชสักการะและถวายเปน พระราชกุศล ดวยความสํานึกในพระมหากรุณาธิคณ ุ อันหาทีส่ ดุ มิได.
56
รายชือ่ หนังสือทีไ่ ดจดั พิมพมาแลวของผูเ รียบเรียง พ.ศ. 2548 “ความหมายคุณธรรม จริยธรรม จรรยาบรรณ และการพัฒนาชีวิต ทีส่ มบูรณแบบ”
พ.ศ. 2554 “สติปฏฐาน 4 ฉบับวิเคราะห-สังเคราะห”
พ.ศ. 2549 “ความพอเพียง คือทางรอด ของมนุษยและสังคม”
พ.ศ. 2555 “อริยสัจสําหรับทุกคน”
พ.ศ. 2550 “หลักธรรมพืน้ ฐาน ที่ชาวพุทธพึงรู”
พ.ศ. 2556 “ความสุขทุกมิติ ตามหลักพระพุทธศาสนา”
พ.ศ. 2551 “คูมอื บัณฑิต ของแผนดิน”
พ.ศ. 2557 “ชีวติ ติดปญญา”
พ.ศ. 2552 “คูม ือปญญา ในพระพุทธศาสนา”
พ.ศ. 2558 - 2559 “ปฏิบัตธิ รรม (ทําไม? - อยางไร?)”
พ.ศ. 2553 “ปฏิจจสมุปบาท ฉบับวิเคราะห-สังเคราะห”
พ.ศ. 2560 “ไตรสิกขา : ระบบการศึกษา ของพระพุทธเจา”
57
ทายเลม หนังสือเลมนี้ เปนคูม ือตัง้ ตนของการเขาถึงธรรมะ สําหรับพุทธศาสนิกชนและผูส นใจใฝรใู นพระพุทธศาสนา หวังวาเมือ่ ไดพจิ ารณาจนถึงทายเลมนีแ้ ลว คงจะมีความเขาใจคําศัพทและภาษาทีใ่ ช ในหลักธรรมของพระพุทธองคไดกระจางและชัดเจนยิง่ ขึน้ นําไปสูค วามเปนผูม ีปญ ญา รูแ จง ตอไป นายกรรชิต จิตระทาน ผูอ ํานวยการสํานักบริหารศิลปวัฒนธรรม
58