เม็ดเลือดแดง ในเชิงวิทยาศาสตร์ เม็ดเลือดแดง คือตัวนำ�ออกซิเจนไปหล่อเลี้ยงร่างกาย
เป็นสิ่งจำ�เป็น หากขาดซึ่งเม็ดเลือดแดงแล้วไซร้ มนุษย์ย่อมไม่สามารถดำ�รงชีพอยู่ได้ ในการศึกษารัฐศาสตร์ ข้อมูล ข่าวสารและสังคม เป็นสิ่งสำ�คัญยิ่ง หากขาดซึ่งสรรพสิ่งเหล่านี้ การศึกษารัฐศาสตร์ย่อมเป็นไปได้ยาก ในที่นี้ ข้อมูลข่าวสารจึงประดุจดั่ง “เม็ดเลือดแดง” ที่หล่อเลี้ยงนักศึกษารัฐศาสตร์ให้รอบรู้มากยิ่งขึ้น
วารสารเม็ดเลือดแดง จึงถือกำ�เนิดขึ้น ด้วยประการฉะนี้ แล ๛
“รอไปก่อนนะ” ใครหลาย คนคงรู้สึกเบื่อคำ�พูดทำ�นองนี้ เพราะมัน หมายความว่า สิ่งที่กำ�ลังคาดหวัง มันไม่ เป็นไปตามเงื่อนไขอย่างที่เราอยากให้เป็น และยิ่งเราคาดหวังกับอะไรไว้มากเท่าไหร่ คำ�ว่า “รอไปก่อน” ก็ยิ่งมีพลังในการสร้างความรู้สึกเซ็ง ผิดหวัง มากขึ้นเท่านั้น เหมือนอย่างเช่นเวลาที่คุณบอกรักใครสักคน แต่เขาคนนั้นกลับบอกกลับมาเพียงว่า “รอ ไปก่อน” จนกว่าเขาจะพร้อมกว่านี้ แน่นอนท้ายที่สุดคุณก็ทำ�อะไรไม่ได้นอกจาก รอ รอ รอ แล้วก็รอ ว่าแต่จะต้องรอไปจนถึงเมื่อไหร่เนี่ย!!! แต่ถึงแม้เราจะเซ็งกับคำ�ว่า “รอไปก่อน” มากเพียงใด แต่ในชีวิตของเราก็คง หลีกเลี่ยงมันไม่ได้อยู่ดี ถึงแม้ 1 วันจะมี 24 ชั่วโมง แต่ 24 ชั่วโมงในความรู้สึก ของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน บางคน 1 วันอาจจะสั้น บางคนอาจจะยาว เมื่อเวลาแต่ละ คนเดินไม่เท่ากัน ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่เราจะต้องหยุดรอให้เวลาของคนอื่นเดินตามเราทัน ก่อน เม็ดเลือดแดงฉบับนี้หลังจากที่รอกันมาเกือบ 3 เดือนจากฉบับที่แล้ว ก็ได้ฤกษ์ เปิดโฉม ในฉบับนี้รวบรวมหลากหลายเรื่องราวการรอคอย ที่บางครั้งน่าตั้งคำ�ถามเป็น อย่างยิ่งว่าทำ�ไมต้องรอด้วย ฉบับนี้ยังเป็นฉบับแรกที่น้องๆรุ่น 62 ได้มีโอกาสเข้ามา ร่วมงานด้วย หวังว่าทุกคนจะยังสนุนต่อไปเรื่อยๆนะครับ แล้วพบกันใหม่ฉบับหน้า ครับ ^_^
กองบรรณาธิการ
สารบัญ
ฉบับที่ 15 รอไปก่อน (มิถุนายน-สิงหาคม 2552)
Young Blood: BTR ความหวังที่ต้อง รอไปก่อนนะ.............................................................................3 นอกห้องเรียน: เพาะรัก....................................................6 วิเคราะห์สถานการณ์บ้านเมือง......................................9 เติมหัวใจไปรอบโลก: รอไปก่อนรัฐประหาร ครั้งสุดท้าย...............................................................................11 Young Blood: รอเพื่อ...................................................16 ล้อการเมือง...........................................................................21 “รัก” คำ�สั้นๆ ของผม.......................................................22 เจาะเลือด: เรื่องอะไรในชีวิตคุณที่รอไปก่อน ไม่ได้อีกแล้ว เพราะอะไร?...............................................27 การประกันคุณภาพการศึกษา (7).........................30 กวีกระวาท: งานแต่งงานประจานตน.....................32 ผู้สร้าง.......................................................................................33 จิบชา.........................................................................................34 มองสังคมผ่านแผ่นฟิล์ม: Detroit Metal City ความฝันที่ต้องรอไปก่อน.................................................35 Young Blood: การปล่อยตัวอองซาน ซูจี กับประชาธิปไตยพม่าที่ต้องรอไปก่อน......................38 สิงห์ลงพุง...............................................................................42 หัวใจติดปีก............................................................................44 สิงห์หนังสือ: รอ(อ่านหนังสือ)ไปก่อน.....................48 จิบชา เฉลย...........................................................................52 Special Thanks 2
อำ�นวยการผลิต คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จัดทำ�โดย กลุ่มข้อมูลข่าวสารและวารสาร คณะรัฐศาสตร์ บรรณาธิการบริหาร ปริญญา เกิดนิคม (เบียร์) เวทิตา นิลหลวง (เว) คอลัมนิสต์ อลิษา จิตรภูษา (กวาง) อัจฉราภรณ์ วงศ์สุบรรณ (อัจ) สมปราชญ์ จิระนภารัตน์ (นิว) เอกวีร์ มีสุข (เอก) อเนกพล คงเกลี้ยง (เจมส์) มารุต ศูนย์ตรง (บาส) ออกแบบปก ภัทรพงษ์ เชาว์ไว (มิว)
ศุภกิจ แดงขาว (ต้อม)
ปัณฑ์ขนิต สุฤทธิ์ (เดือน) ปวิณ์สุดา เข็มสำ�ฤทธิ์ (นุก) อนุพงษ์ ปลิวทอง (แม็ค) สิริพงษ์ นฤดีสมบัติ (ป๊อก) เทียนธวัช ศรีใจงาม (เทียน) วริษา อินทรัตน์ (พัศร์) และที่มิได้ออกนามมา ณ ที่นี้
ศิลปกรรม ณัฐพล สอนจรูญ (บูม) - Daylight ติดต่อ โทรศัพท์ 085-1306318 เบียร์ อีเมลล์ jc_singhadang@hotmail.com เว็บไซต์ http://medleuddang.hi5.com พิมพ์ที่: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จำ�นวน 500 เล่ม
BRT : ความหวังที่ต้อง...
รอไปก่อนนะ Shintaro Yamakura
ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไร ปัญหาการจราจรและ การขนส่งสาธารณะก็ยังคงเป็นปัญหาใหญ่ของคนกรุงเทพฯ และสิ่ ง ที่ ทุ ก คนกำ � ลั ง รอคอยคื อ ระบบขนส่ ง ที่ มี คุ ณ ภาพ รวดเร็ว และสะดวกสบาย ที่สำ�คัญคือสามารถกำ�หนดเวลา ที่แน่นอนได้ แต่ปัจจุบันเรายังคงต้องรอรถเมล์ที่มาบ้างไม่มาบ้าง รถไฟฟ้าที่มีผู้โดยสาร มากจนไม่เพียงพอต่อความต้องการ คนฝั่งธนบุรียังเพิ่งได้เห็นรถไฟฟ้าข้ามแม่น้ำ�ไปถึง แล้วคนกรุงเทพฯ ในอีกหลายพื้นที่ยังต้องรอต่อไปถึงเมื่อไหร่กัน แน่นอนว่าเราทุกคนล้วนรอคอยอย่างมีความหวัง ภาครัฐเองก็ไม่ได้ต้องการ ให้เราคอยนาน แต่ด้วยปัญหาหลายอย่างที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา เช่น ปัญหา การเมืองภายในประเทศ ความล่าช้าของระบบราชการ และปัญหาความไม่ชอบมาพา กลอย่างการทุจริตคอรัปชั่น ทำ�ให้โครงการที่จะสร้างประโยชน์ต่อพี่น้องคนกรุงเทพฯ ต้องกลายเป็นความฝันต่อไปอีก แต่ในวันนี้ ภาครัฐโดยกรุงเทพมหานครได้เตรียมเปิดตัวโครงการรถโดยสาร ประจำ�ทางด่วนพิเศษที่เรียกว่า รถ BRT โดยจะเปิดให้บริการสายแรกคือ สุรวงศ์ราชพฤกษ์ โดยเส้นทางนี้ใช้งบประมาณกว่า 1,400 ล้านบาท รถ BRT (Bus Rapid Transit) คือรถโดยสารประจำ�ทางที่มีลักษณะพิเศษกว่า รถโดยสารทั่วไป ที่จะนำ�มาเสริมกับระบบขนส่งมวลชนที่มีอยู่เดิม คือ รถไฟฟ้า BTS และรถไฟฟ้าใต้ดิน ให้ระบบขนส่งมวลชนสาธารณะเกิดความคล่องตัวมากขึ้น โดยรถ BRT จะได้สิทธิพิเศษในเรื่องของช่องทางการเดินรถที่จะมีการกั้นช่องจราจรให้กับรถ ชนิดนี้โดยเฉพาะ นอกจากนี้รถ BRT ยังให้บริการด้วยระบบขนส่งอัจฉริยะ ที่สามารถ กำ�หนดเวลาเดินรถได้อย่างแม่นยำ� ทำ�ให้สะดวกแก่การให้บริการและยังไม่รบกวนการ จราจรของรถอื่น ๆ บนท้องถนนอีกด้วย
3
สำ�หรับรถที่จะนำ�มาให้บริการนั้นเป็นรถที่ใช้ก๊าซ NGV เครื่องยนต์มาตรฐาน EURO III มีระบบดิสก์เบรกหน้า-หลัง รูปทรงตัวถังโค้งมนตามหลักอากาศกลศาสตร์ โดยออกแบบให้เหมือนรถไฟฟ้า มีระบบกล้องส่องถอยหลัง นอกจากนี้ยังอำ�นวยความ สะดวกให้แก่ผู้พิการด้วยการยกระดับพื้นรถเพื่อให้สามารถเดินเข้าสู่ตัวรถได้เหมือน รถไฟฟ้า โดยออกแบบให้เข็นรถเข็นคนพิการเข้าสู่ตัวรถได้เลย และสามารถล็อครถเข็น ไว้กับตัวรถได้อีกด้วย สำ�หรับการให้บริการนั้น จะใช้ตั๋วโดยสารระบบไร้สัมผัสเหมือนรถไฟฟ้า BTS และรถไฟฟ้าใต้ดินโดยมีแบบตั๋วเที่ยวเดียวและตั๋วรายเดือน โดยในช่วงแรกทาง กรุงเทพมหานครจะจัดทำ�ตั๋วโดยสารแบบไปหรือกลับเที่ยวเดียว แต่ใช้ตั๋วรายเดือนร่วม กับรถไฟฟ้า BTS และรถไฟฟ้าใต้ดิน โดยกรุงเทพมหานครมีการวางแผนให้สามารถใช้ ตั๋วร่วมกันได้ทั้งหมด เพราะจะทำ�ให้ระบบขนส่งมวลชนเชื่อมถึงกันได้ง่ายขึ้นซึ่งจะส่งผล ดีโดยทำ�ให้การเดินทางครอบคลุมทั่วกรุงเทพฯ สำ�หรับราคาค่าโดยสารรถ BRT อยู่ที่ ประมาณ 12-18 บาทต่อเที่ยว แล้วแต่ระยะทางระหว่างสถานี ซึ่งเป็นราคาที่ไม่แพง มากนักเมื่อเทียบกับ รถเมล์ 4,000 คัน แต่โครงการก็เป็นอันต้องหยุดชะงักลงชั่วคราวเมื่อมีการกล่าวหาว่าโครงการ นี้ส่อทุจริตเมื่อ คุณหญิง ณฐนนท์ ทวีสิน อดีตปลัดกรุงเทพมหานครได้เข้าพบ พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รักษาการอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อยื่นเรื่องว่ามีการกระทำ� ผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 (พ.ร.บ. ฮั้วประมูล) เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2551 ในกระบวนการจัดหารถมา วิ่งบริการ ซึ่งส่งผลให้ผู้บริหาร กทม. ต้องสั่งให้หยุดการผลิตรถชั่วคราว เราเลยต้องรอ ต่อไปอีก... แต่แล้วความหวังก็เกิดขึ้น เมื่อสามารถพิสูจน์ได้ ว่าการประมูลไม่ได้มีการฮั้วเกิดขึ้น โดยเรื่อง ที่ฮั้วเป็นเรื่องของบริษัท ไม่ได้เกี่ยวข้อง กับ กทม. แม้แต่น้อย ทำ�ให้มีการเปิด ประมูลใหม่อีกครั้ง โดยเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2552 บริษัทไทยทราน สมิชชั่น อินดัสทรี จำ�กัด ชนะการ ประมูลด้วยราคารถทั้งหมด 397 ล้าน 5 แสนบาท โครงการนี้จึงเดินต่อไปได้
4
และเนื่องจากเหตุการณ์ กล่ า วหาเรื่ อ งทุ จ ริ ต คอรั ป ชั่ น ทำ�ให้โครงการที่จะมีกำ�หนดเปิด ในปลายปี พ.ศ.2552 ต้องเลื่อน ออกไปโดยไม่ ส ามารถกำ � หนด เวลาได้ โดยคาดว่าน่าจะเปิด เดินรถช่วงเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553 แต่ ผ ลกระทบที่ จ ะเกิ ด ขึ้ น ใ น อ น า ค ต ห ลั ง จ า ก ที่ มี ร ถ บัส BRT สายนี้คือช่องทางการ จราจรจะเล็กลง ถ้าจะไม่ให้รถติด ต้องห้ามรถจอดข้างทาง ทำ�ให้ ฉุกคิดได้ว่ารถบัส BRT เหมาะ กับกรุงเทพมหานครจริงหรือ ? เพราะว่าระบบ BRT ในประเทศ อื่น ๆ ส่วนใหญ่จะสร้างบนถนน ที่มีช่องการจราจรฝั่งละ 3 ช่อง เมื่อสร้างระบบแล้วจะเหลือ 2 ช่องการจราจร ซึ่งถนนแบบนี้ใน กรุงเทพมีไม่กี่สาย แต่ในท้ายที่สุดโครงการ นี้ก็ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง ทั้ง ๆ ที่เรายังต้องรอไปก่อนเพราะว่าเปิดเดินรถครั้งแรก คาดการณ์ว่าประมาณเดือนพฤษภาคม 2553 เรายังต้องรออีกว่าเส้นทางอื่น ๆ อีก 4 เส้นทางจะดำ�เนินการสร้างเมื่อไหร่ นอกจากนี้จะมีเส้นทางที่จะมาถึงมหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิตหรือไม่ สุดท้ายความหวังของเราคงจะต้อง...
รอไปก่อนนะ ...อีกตามเคย
5
เพาะรัก
พีรชา ภาวัชร์
“ในสังคมแห่งการแสวงหา ดิ้นรนและแข่งขันสูง คนกลุ่มหนึ่งมีโอกาสได้เรียนสูงๆ มีงานที่ดีเพื่อสร้างฐานะให้ กับตนเอง คนกลุ่มหนึ่งได้อุทิศชีวิตทำ�งานเพื่อสังคมและคนบนโลกนี้ แต่กลับกัน อีกด้านหนึ่งของสังคมยังมี คนอีกกลุ่มหนึ่งยังขาดโอกาสทางสังคม ยังรอคอยความหวังและความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมสังคมเดียวกัน” เมื่ออ่านข้อความข้างต้นแล้วผมเชื่อ ว่าหลายคนคงรู้สึกเหมือนๆกับผม ยิ่งใน ฐานะนักศึกษาด้วยแล้วยิ่งทำ�ให้มองเห็นภาพ ที่ข้อความนี้ได้ฉายสะท้อนภาพของสังคมไทย หรือสังคมอื่นๆ ได้อย่างชัดเจน ประเทศ ที่ ไ ด้ ชื่ อ ว่ า เป็ น ประเทศที่ จ ะพั ฒ นาอย่ า ง ประเทศไทย แม้บางส่วนกำ�ลังพัฒนาไปสู่ ความเป็นศิวิไลซ์ แต่บางส่วนของประเทศดู ราวกับว่ามีอะไรมาปกคลุมไม่ให้ความเจริญ ดังกล่าวนี้สามารถกร่ำ�กรายเข้าไปได้ ผู้คน ขาดแคลนทั้งปัจจัยในการดำ�รงชีพและโอกาส อีกมาก ไม่เหมือนกับพื้นที่กำ�ลังพัฒนาที่ ดู เ หมื อ นว่ า จะมี ใ ห้ ไ ขว่ ข ว้ า กั น อยู่ ด าษดื่ น ... ผมว่านี่คงเป็นเหตุผลหลักที่ทำ�ให้นักศึกษาผู้มองว่าตัวเองนั้นเป็นคนที่มีโอกาสที่ดี คิด ที่จะลุกขึ้นมาทำ�กิจกรรมเพื่อสังคมกันอย่างมากมาย จุดเริ่มต้นของเจ้าของข้อความที่ผมคัดลอกมาข้างต้นก็เช่นเดียวกัน ที่เกิดจาก นักศึกษาผู้มีอุดมการณ์กลุ่มหนึ่งได้มีโอกาสเข้าร่วมกับกิจกรรมในรูปแบบของการออก ค่าย แต่ด้วยมุมมองที่แตกต่าง หลังจากการทำ�ค่ายนี้จึงได้รวมตัวจัดตั้งกลุ่มกิจกรรม เพื่อสังคมภายใต้ชื่อ “กลุ่มอิสระเพาะรัก ศูนย์ประสานงานนักศึกษาเพื่อสังคม” “จุดเริ่มของเพาะรักเกิดขึ้นได้อย่างไรครับ” ผมถามพี่แพร...หนึ่งในผู้ประสานงานกลุ่ม
6
“เพาะรักเกิดจากที่รุ่นพี่กลุ่มหนึ่งได้มีโอกาสไปทำ�กิจกรรมในรูปแบบของ ค่าย แล้วมองเห็นข้อเสียบางอย่าง โดยเห็นว่าแม้เราจะมีความตั้งใจที่ดีที่ไปสร้าง อะไรให้กับชุมชน แต่การไปอยู่หรือการไปสร้างอะไรบางอย่างก็เป็นการสร้างภาระ ให้กับชุมชนด้วย จึงได้รวมตัวกันเพื่อจัดตั้งกลุ่มเพาะรักนี้ขึ้นมาเพื่อทำ�กิจกรรมเพื่อ สังคมโดยให้เกิดผลกระทบในเชิงลบให้น้อยที่สุด คือ เราจะไม่ทำ�ในสิ่งที่เราอยาก ทำ� แต่จะทำ�ในสิ่งที่เขา (สังคม) ต้องการ ให้ทำ�” เธอเล่าให้ผมฟังด้วยน้ำ�เสียง มุ่งมั่น เมื่อฟังแล้วโดยส่วนตัวผมคิดว่าเป็นแนวคิดที่น่าสนใจ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ กับคำ�ที่พี่แพรบอกว่า ทำ�ในสิ่งที่เขา(สังคม) อยากให้ทำ� นั้นเป็นอย่างไร ซึ่งเธอก็ได้ เล่าให้ผมฟังว่า รูปแบบในการทำ�กิจกรรมของเพาะรัก คือทางกลุ่มจะประสาน งานไปยังองค์กร มูลนิธิ หรือหน่วยงานที่ต้องการอาสาสมัครให้ไปช่วยงาน จาก นั้นก็ประกาศรับอาสาสมัครที่มหาวิทยาลัยเพื่อไปร่วมทำ�กิจกรรม “กิจกรรมที่เพาะรักทำ�เป็นประจำ�มีอะไรบ้างครับ” “ก็อย่างเช่น ดนตรีบำ�บัดที่โรงพยาบาลเด็ก โดยทางโรงพยาบาลได้ ติดต่อให้เราไปทำ�กิจกรรมระหว่างที่เด็กๆและผู้ปกครองรอพบคุณหมอ เพราะใน ช่วงนี้จะเกิดความเครียดสูง โดยกิจกรรมที่ทำ�ก็จะมีเล่นดนตรี เล่นเกม แสดง ตุ๊กตาหุ่นมือ หรือพาน้องๆวาดภาพระบายสี อย่างน้อยก็ช่วยให้ลืมความเครียดไป ช่วงหนึ่ง อีกที่ก็ไปที่มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก คือไปเล่นกับเด็กที่ชุมชนริมทางรถไฟ ที่หัวลำ�โพง ไปสอนเขาเล่นดนตรี สอนหนังสือ พาเล่นเกม หรืออ่านหนังสือให้ ฟัง อย่างที่รู้กันว่าเด็กๆที่นี่ส่วนใหญ่ขาดความอบอุ่นเพราะครอบครัวมีปัญหา
7
นอกจากนี้เพาะรักยังได้ทำ�กิจกรรมอื่นๆ อีก เช่น ไปเก็บขยะที่ชุมชน คลองเตย ไปทำ�กิจกรรมที่มูลนิธิสอนคน ตาบอด เป็นต้น และเมื่อถามถึงความ รู้สึกและสิ่งที่ได้รับจากการไปทำ�กิจกรรมของเพาะรักพี่แพรก็บอกว่า “ในฐานะของ คนประสานงานนั้นก็มีบ้างที่รู้สึกเหนื่อย แต่เมื่อเวลาทำ�กิจกรรมที่เป็นการได้ช่วย เหลือผู้คนหรือสังคมทำ�ให้รู้สึกดี บางครั้งที่ตัวเองมีปัญหาแต่ไปเจอคนที่เขามีปัญหา ที่มากกว่าเรา ทำ�ให้เราได้กลับมาคิดทบทวนปัญหาของตัวเองว่ามันก็เป็นเพียง ปัญหาเล็กๆ และพี่รู้สึกว่า...ชีวิตได้เติมเต็ม” “ความแตกต่างของเพาะรักอยู่ที่ความเป็นอิสระ ไม่ได้มีกรอบว่าเราจะ ต้องทำ�กิจกรรมรูปแบบไหน ต้องทำ�กับคนกลุ่มไหน อยากให้กลุ่มเพาะรักเป็นอีก ตัวเลือกหนึ่งสำ�หรับคนที่อยากจะทำ�กิจกรรมเพื่อสังคม” เธอกล่าวทิ้งท้ายเมื่อจบบท สนทนาของเรา ที่ผมนำ�เสนอกลุ่มกิจกรรมเพาะรักที่มีรูปแบบหรือแนวคิดต่างไปจากกลุ่ม กิจกรรมของนักศึกษาทั่วไปนี้ ผมไม่ได้ต้องการจะบอกว่าการทำ�กิจกรรมในรูปแบบ อื่นนั้นไม่ดี เพราะอย่างน้อยการคิดและลงมือทำ�เพื่อสังคมโดยไม่รีรอนั้นก็เป็นสิ่ง ที่ดี... หากแต่เราต้องลองคิดพิจารณาให้ถ้วนถี่ก่อนหรือไม่ ว่าสิ่งที่เราจะทำ�นั้นมี ประโยชน์กับคนที่เราต้องการจะทำ�เพื่อเขาจริง ติดต่อ “กลุ่มอิสระเพาะรัก ศูนย์ประสานงานนักศึกษาเพื่อสังคม” แพร : 081-3060203 แนน : 089-6308891 www.porhrak.multiply.com
8
เบื้องหลัง...เด็กโอลิมปิก “...เด็กไทยสร้างชื่ออีก ซิว 1 ทอง 5 เงิน คณิตศาสตร์โอลิมปิก...” ทุ ก ๆปี เ รามั ก จะได้ ยิ น ข่ า วประเภทนี้ ดูเผินๆ ก็เหมือนจะเป็นข่าวที่น่ายินดี ที่คนไทย สร้างชื่อให้ประเทศ ทำ�ให้รู้สึกภูมิใจที่ประเทศนี้มีคนเก่งๆแบบนี้อยู่ แต่ควบคู่กับข่าวนี้ กลับมีอีกข่าว 1 ควบคู่มา ซึ่งสร้างความสงสัยในระบบการศึกษาไทยเป็นอย่างยิ่ง
“วิจัยเด็กไทยอ่อนคณิต-วิทย์ เทียบกับ 59 ชาติ เรียนหนักที่สุดแต่ต่ำ�กว่ามาตรฐาน” นี่ยังไม่กล่าวถึงสถิติผลคะแนน O-Net ซึ่งปรากฏว่านักเรียนไทยทำ�คะแนนได้ ต่ำ�กว่าครึ่งในเกือบทุกวิชา โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะในขณะ ที่เป็นวิชาที่มีผู้ทำ�คะแนนเต็มร้อยได้มากที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นวิชาที่มีค่าเฉลี่ย ต่ำ�สุดเช่นเดียวกัน ข่าวเล็กๆ 2 ข่าวนี้ แม้หลายคนอาจจะมองว่าไม่สำ�คัญ กลับซ่อน อะไรหลายอย่างเกี่ยวกับการเมือง การศึกษา และสังคมไทยได้เป็นอย่างดี ข่าวสองชิ้นข้างตนแสดงให้เห็นถึงการกระจุกตัวของการศึกษา ที่เฉพาะคน บางกลุ่มเท่านั้นที่จะได้รับโอกาสในการศึกษาดีกว่าคนทั่วไป และระยะห่างของคนทั้ง สองกลุ่มนั้นนับวันก็ยิ่งห่างขึ้นทุกที เรามีเด็กโอลิมปิกเพิ่มขึ้นทุกปี แต่ก็คะแนนเฉลี่ยทั้ง ประเทศของเราก็ต่ำ�ลงทุกปีเช่นกัน ปัญหาเกี่ยวกับการศึกษาของไทยนี้มานานแล้ว แต่ แล้วทำ�ไมจึงไม่ได้รับการแก้ไขสักที อันที่จริง ทุกๆรัฐบาลต่างก็กล่าวถึงความพยายาม ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับการศึกษา แต่การศึกษาเป็นระบบที่กินระยะเวลานาน เฉพาะ ภาคบังคับก็ 12 ปี การจะปรับเปลี่ยนอะไร จึงเห็นผลค่อนข้างช้า เมื่อเทียบกับอายุรัฐ บาลหนึ่งๆ ซึ่งมีแค่ 4 ปี (แต่ในความจริงแล้วน้อยกว่านั้น) แต่ละรัฐบาลจึงมุ่งเน้นที่การ พัฒนาตัวเลขทางการศึกษามากกว่าพัฒนาที่ตัวคุณภาพ เพราะมันเห็นผลเร็ว
9
สามารถนำ�ไปใช้เป็นเครื่องมือในการหาเสียงในสมัยหน้าได้ เราจึงเห็นตัวเลขโรงเรียนที่ เพิ่มขึ้น ตัวเลขคนเข้าเรียนที่เพิ่มขึ้น ตัวเลขเงินอุดหนุนที่เพิ่มขึ้น โดยที่คุณภาพไม่เคย เพิ่มขึ้นเลย อย่างที่เคยได้ยินข่าวมา ทุกๆปีเรามักจะทราบ ว่าเด็กไทยได้รางวัลโอลิมปิกกันทุกปี ไม่ว่าจะฟิสิกส์ เคมี คณิตศาสตร์ ฯลฯ และนั่นมันก็ทำ�ให้เกิดคำ�ถามเล็กๆ ว่าใน เมื่อเรามีเด็กเก่งขนาดนี้ แล้วทำ�ไม่ประเทศไทยถึงไม่พัฒนา สักที เราน่าจะสามารถดึงศักยภาพของพวกเขามาทำ�ให้ ประเทศไทยก้าวหน้าได้กว่านี้ แต่เหตุที่ทำ�ไม่ได้ก็เพราะตัว ระบบสังคมและค่านิยมของไทยเอง เด็กเก่งเหล่านี้อันที่จริงก็ น่าสงสารทีเดียว เพราะสำ�หรับประเทศไทยที่นิยามตัวเองว่า เป็นประเทศกำ�ลังพัฒนานั้น เราชื่นชอบที่จะดัดแปลงและรับ เทคโนโลยีจากต่างชาติมาใช้ มากกว่าที่จะคิดค้นเทคโนโลยี ขึ้นมาเอง ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ศาสตร์ประยุกต์อย่าง วิศวะ สถาปัตย์ แพทย์ จึงได้รับความนิยมกว่าศาสตร์บริสุทธิ์ อย่างวิทยาศาสตร์ เมื่อถึงคราวเลือกคณะในมหาวิทยาลัย ค่านิยมเหล่านี้รวมถึงผู้ปกครองก็จะทำ�ให้เด็กโอลิมปิกหลาย คนเลือกวิศวะ แพทย์มากกว่าวิทยาศาสตร์ ซึ่งพวกเขาเห็น ว่าอนาคตอาจเป็นได้แค่ครูเท่านั้น ทำ�ให้ประเทศสูญเสียนัก วิทยาศาสตร์เก่งๆไปมากมาย ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิต แม้ ไม่สามารถนำ�ไปใช้ประกอบอาชีพได้โดยตรง แต่ก็สามารถนำ� มาสร้างให้เกิดเทคโนโลยีใหม่ได้ ประเทศไทยคงไม่สามารถ พัฒนาไปได้ไกลกว่านี้แน่ ถ้ายังแค่รับเอาเทคโนโลยีจากต่างชาติมาใช้โดยไม่เคยคิด ประดิษฐ์อะไรขึ้นมาเอง ยิ่งมาเจอระบบราชการและนโยบายที่ปิดกั้นไม่ให้เด็กเหล่านี้ สามารถแสดงความรู้ความสามารถของตนมาได้อย่างเต็มที่ น่าแปลกที่หลายๆอย่าง เราผลิตได้และดีกว่าต่างประเทศแต่รัฐบาลกลับสนุนให้ใช้ของต่างประเทศซะงั้น ถ้าให้ เลือกระหว่างเงินเดือนราชการอันแสนน้อยนิดแถมยังถูกขัดแข้งขัดขาอีกกับทำ�งานใน บริษัทต่างประเทศที่เงินเดือนสูง เป็นเราก็คงเลือกอย่างหลังเป็นแน่แท้ ก็แบบนี้แหละ... ประเทศไทย
10
สุดท้ายข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งที่เคยมีคนตั้งข้อสงสัยกับเด็กโอลิมปิกรวมถึง เด็กเก่งอื่นๆ ก็คือเรามักสังเกตเห็นว่าพวกเขาส่วนใหญ่มักจะหมวยและตี๋ ตรงนี้ไม่มี อะไรมาก เพราะถ้าลองสังเกตมหาเศรษฐีส่วนใหญ่ในประเทศไทยก็ล้วนมีเชื้อสายจีน ที่เข้า มาในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองทั้งสิ้น อันนี้ไม่เกี่ยวกับความโง่ความฉลาด แต่เป็นเพราะในช่วงนั้นประเทศไทยมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจค่อนข้างมาก แล้วคน ที่ได้รับผลประโยชน์โดยตรงก็คือกลุ่มคนจีนที่ยึดอาชีพค้าขายเป็นหลัก ทำ�ให้สร้างตัว ได้อย่างรวดเร็ว และเมื่อมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ สังคมไทยเป็นสังคมชนชั้น ที่ไพร่ต้องขึ้นอยู่กับมูลนาย ต้องเข้าเดือนออกเดือน ในขณะที่ชาวต่างชาติไม่เฉพาะคน จีนเท่านั้นไม่ต้องรับภาระนี้ ทำ�ให้ในอดีตเป็นต้นมาชาวต่างชาติมักมีฐานะทางเศรษฐกิจ ดีกว่า และด้วยความที่คนไทยอยู่ในระบบไพร่มาเป็นเวลานาน เมื่อเปลี่ยนระบอบการ ปกครองหลายคนก็เคว้งและทำ�ตัวไม่ถูก อีกทั้งคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่นิยมทำ�อาชีพ ค้าขายเลยทำ�ให้ปัจจุบันกลุ่มชนชั้นกลางส่วนใหญ่ที่มีฐานะทางเศรษฐกิจดีมักเป็น กลุ่ม คนเชื้อสายจีน และพวกเขาก็มีเงินที่จะอุดหนุนการศึกษาของบุตรหลานของเขาได้ มากกว่ากลุ่มคน อื่นๆ แต่อย่างไรก็ตามปัจจุบันรัฐไทยก็ได้แก้ปัญหานี้โดยการสร้างคติ ความเป็นไทย ให้กับกลุ่มคนเชื้อสายต่างชาติเหล่านี้ไว้แล้ว แน่นอนผมได้มีปัญหาอะไร กับเรื่อง เพราะสเป็คของผมก็ยังชอบแบบหมวยๆเหมือนเดิม 555 Dk_toM
(Development Theory)ในแบบรัฐศาสตร์ สมัยใหม่ที่มองว่ากระบวนการทำ�ให้เป็น “รอไปก่อน” รัฐประหาร ประชาธิปไตย (Democratization) ซึ่ง ได้ แ ก่ ก ารเลื อ กตั้ ง และการมี ส่ ว นร่ ว ม ครั้งสุดท้าย ท า ง ก า ร เ มื อ ง นั้ น เ ป็ น อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ ที่ สำ � คั ญ ข อ ง ก า ร นิ ย า ม ข อ ง คำ � ว่ า พัฒนาทางการเมือง (Political รัฐประหาร(Coup d’etat) นั้น development) และแน่นอน มีมากมายในทางรัฐศาสตร์ ซึ่ง ว่ า การรั ฐ ประหารย่ อ มเป็ น อย่ า งน้ อ ยที่ สุ ด อาจจะมี ค วาม อุปสรรคที่สำ�คัญประการหนึ่ง หมายในแง่ลบ หากถูกอธิบายโดยทฤษฎี ที่ขัดขวางไม่ให้เกิดการพัฒนาดังกล่าว การพัฒนา
11
ซึ่ ง อ ง ค์ ก ร ร ะ ดั บ โ ล ก อ ย่ า ง องค์ ก ารสหประชาชาติ แ ละประเทศ ม ห า อำ � น า จ อ ย่ า ง ส ห รั ฐ อ เ ม ริ ก า ไ ด้ พากั น ให้ นิ ย ามของคำ � ว่ า ประชาธิ ป ไตย และรั ฐ ประหารในลั ก ษณะและแง่ มุ ม ดั ง กล่าวและพยายามแสดงบทบาทที่จะเป็น ผู้ ส ร้ า งและพั ฒ นาประชาธิ ป ไตยให้ แ ก่ ประเทศโลกที่สามซึ่งส่วนใหญ่ถูกมองว่า ยังเป็นประเทศที่ด้อยพัฒนา (underdevelopment) ทั้งในทางเศรษฐกิจ และการเมือง แ ล ะ ไ ม่ ว่ า จ ะ ด้ ว ย ส า เ ห ตุ ใ ด ก็ ต า ม ค ว า ม ต้ อ ง ก า ร ใ น ก า ร พั ฒ น า ท า ง ก า ร เ มื อ ง ตามแบบของ ส ห ป ร ะ ช า ช า ติ
พัฒนา และทุกๆครั้งที่เกิดการรัฐประหาร บรรดานักวิชาการหรือประเทศที่พัฒนา แล้ ว ก็ ไ ด้ แ ต่ เ ฝ้ า มองและคาดการณ์ ว่ า จะ เป็นการรัฐประหารครั้งสุดท้าย แต่ ก ารรั ฐ ประหารครั้ ง สุ ด ท้ า ย ก็ ไ ม่ ไ ด้ ห มายความว่ า จะเป็ น ท้ า ยที่ สุ ด เพราะล่าสุดนี้สิ่งที่เกิดขึ้นในสาธารณรัฐ ฮอนดู รั ส นั้ น ก็ อ าจเรี ย กได้ ว่ า เป็ น การ รัฐประหารที่เกิดกับประเทศยากจนหรือ ที่ เ รี ย กกั น ว่ า ด้ อ ยพั ฒ นาประเทศหนึ่ ง ใน ภูมิภาคอเมริกากลาง แต่หากพิจารณา ในทางการเมืองแล้ว นับแต่สิ้นสุดยุค กองทั พ ครองอำ � นาจเมื่ อ ต้ น ทศวรรษ 1980 การเมืองของฮอนดูรัสจัดว่ามี เสถียรภาพดีในระดับหนึ่ง และแม้ว่าการ รัฐประหารครั้งนี้จะนับเป็นครั้งแรกของ ทวีปอเมริกาใต้นับแต่ยุคสงครามเย็นสิ้น สุด แต่สิ่งหนึ่งที่สามารถทำ�นายได้คือ มัน คงไม่ใช่การรัฐประหารครั้งสุดท้ายอย่าง แน่นอน...
ทำ�ไมประเทศที่มีการเมืองที่เข้ม หรือสหรัฐอเมริกาเองก็ตามดูเหมือนจะยัง แข็งได้วกกลับมาที่วงจรนี้ได้? ไม่เป็นผลเท่าใดนัก เพราะเพียงแค่ระยะ เวลาเกือบหนึ่งทศวรรษ (2000-2009) ได้เกิดการรัฐประหารและความพยายาม ในการก่ อ การรั ฐ ประหารขึ้ น ในภู มิ ภ าค ต่างๆทั่วโลกรวมแล้วไม่ต่ำ�กว่า 30 ครั้ง* ซึ่ ง แน่ น อนว่ า ส่ ว นใหญ่ เ กิ ด ในประเทศ โลกที่สามซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของการ
12
ปี พ.ศ. 2549 นายมานูเอล เซเลยา (Manuel Zelaya) ซึ่งเป็นนักธุรกิจ ป่าไม้ได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีใน นามพรรคเสรีนิยม เขามีแนวคิดทางการ เมืองและดำ�เนินนโยบายแบบขวา-กลาง (centrist right) ซึ่งแตกต่างจากผู้นำ�อื่นๆ
ในภูมิภาคอเมริกากลางและอเมริกาใต้ แต่ หลังจากได้อำ�นาจแล้ว เขาทำ�ให้ประเทศ นี้โน้มเอียงไปทางสังคมนิยมอย่างชัดเจน โดยผูกมิตรกับบรรดาผู้นำ�ที่มีชื่อเสียงใน ด้ า นนี้ ไ ม่ ว่ า จะเป็ น ประธานาธิ บ ดี ฮิ ว โก ชาเวซ แห่ง เวเนซุเอล่า ประธานาธิบดี อีโว่ โมราเลส แห่งโบลิเวีย ไปจนถึงฟิเดล คาสโตร แห่งคิวบา ทำ�ให้ความนิยมใน หมู่ ช นชั้ น กลางและข้ า ราชการระดั บ สู ง ของฮอนดูรัสที่มีต่อเขาลดลงอย่างรวดเร็ว หากแต่ความนิยมในกลุ่มประชาชนชั้นล่าง ของสังคมกลับสูงขึ้น เมื่อจวนถึงกำ�หนดครบวาระการ ดำ�รงตำ�แหน่ง ประธานาธิบดีมานูเอล เซเลยา พยายามจัดให้มีประชามติแก้ไข รั ฐ ธรรมนู ญ ให้ ป ระธานาธิ บ ดี ส ามารถ ดำ�รงตำ�แหน่งได้สองวาระ จากเดิมที่ รัฐธรรมนูญให้แค่วาระเดียว ซึ่งประชาชน ส่ ว น ใ ห ญ่ ใ น ป ร ะ เ ท ศ มี แ น ว โ น้ ม ว่ า เห็นด้วย แต่เขาถูกศาลฎีกาตัดสินว่า ละเมิดรัฐธรรมนูญและให้พ้นจากตำ�แหน่ง อย่างไรก็ตามเขาไม่ยอมลาออก อีกทั้ง ยังปลดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ที่ อ อกมาแสดงตั ว ชั ด เจนว่ า ไม่ ส นั บ สนุ น เขาอีกต่อไป การกระทำ�เหล่านี้สร้าง ความไม่ พ อใจให้ เ กิ ด ขึ้ น ในหมู่ ตุ ล าการ สภาคองเกรสและกองทัพเป็นอย่างยิ่ง
Manuel Zelaya
สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุดก็จบลง ด้วยรัฐประหารรัฐบาลของ ประธานาธิบดีเซลายาในวันที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2552 ชวนให้นึกถึง วันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2549 ในประเทศไทย อดีตนายกรัฐมนตรีพันตำ�รวจโท ดร.ทักษิณ ชินวัตรถูกรัฐประหาร ซึ่งสิ่งที่ เหมือนกันกับการรัฐประหารในฮอนดูรัส คือผู้นำ�ทั้งสองคนมาจากการเลือกตั้งและ ต่างดำ�เนินนโยบายที่ประชาชนชื่นชอบ หากแต่ ขั ด ผลประโยชน์ กั บ คนบางกลุ่ ม และเมื่ อ ถู ก รั ฐ ประหารก็ ถู ก ประกาศจั บ 13
หลายข้อหาเช่นกัน แต่สิ่งที่แตกต่างกัน คือ ภายหลังการรัฐประหาร ประชาชนที่ สนับสนุน เซเลยานับพันคนได้ก่อ เหตุจลาจล ทั้งยังตั้งเครื่อง กีดขวางและพังป้ายโฆษณา พร้ อ มกั บ ปิ ด ถนนที่ มุ่ ง สู่ ทำ � เนี ย บประธานาธิ บ ดี ทำ � ให้ น ายโรเบร์ โต มิเชเล็ตติ (Roberto Micheletti) ประธาน สภาผู้ แ ทน Roberto Micheletti ร า ษ ฎ ร ที่ รักษาการประธานาธิบดี ประกาศเคอร์ฟิว ทั่วประเทศนาน 2 สัปดาห์ หากแต่ใน ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย เ มื่ อ เ กิ ด รั ฐ ป ร ะ ห า ร 19 กันยายน 2549 ไม่มีความรุนแรง ใดๆ ประชาชนดูคล้ายกับยอมรับและ บางส่ ว นก็ อ อกไปถ่ า ยรู ป กั บ ทหารและ รถถังด้วยซ้ำ� ประเทศไทยจึงรอดพ้นจาก การถู ก ประณามและกดดั น อย่ า งรุ น แรง เหมือนที่ฮอนดูรัสกำ�ลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ ข้อแตกต่างที่สำ�คัญอีกประการ คืออดีตนายกรัฐมนตรีในประเทศไทยไม่ สามารถดึงอำ�นาจกลับมาสู่ตนได้ทันที แม้ มีความพยายามที่จะประกาศสถานการณ์ ฉุกเฉินก็ตาม ส่วนประธานาธิบดีเซเลย านั้ น ได้ มี ค วามพยายามที่ จ ะคื น สู่ อำ � นาจ
14
อย่ า งชั ด เจนโดยไม่ มี ท่ า ที รี ร อไม่ ว่ า จะ เป็นการตั้งรัฐบาลพลัดถิ่น การเดิน ทางไปกรุ ง วอชิ ง ตั น ดี ซี เ พื่ อ หารื อ ร่ ว ม กับเจ้าหน้าที่รัฐบาลสหรัฐฯ และองค์กร รัฐอเมริกัน (OAS) ทำ�ให้เขาได้รับการ สนับสนุนทั้งจากผู้นำ�ในภูมิภาคเดียวกัน และภูมิภาคอื่นๆ นอกจากนี้องค์การสหประชาชาติ โดยมติของที่ประชุมสมัชชาใหญ่ (UNGA) องค์การรัฐอเมริกัน (OAS) และสหภาพ ยุโรป (EU) ประกาศว่านายมานูเอล เซเลยา คือประธานาธิบดีของสาธารณรัฐ ฮอนดู รั ส และจะต้ อ งกลั บ คื น สู่ ตำ � แหน่ ง ทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข ซึ่งถือเป็นการแสดง ตนชัดเจนว่าไม่รองรับรัฐบาลใหม่ของนาย โรเบร์โต มิเชเล็ตติ
การรัฐประหารในฮอนดูรัส ครั้งนี้เรียกได้ว่าถูกประณาม ไปทั่วโลก ในขณะที่รัฐประหาร ในไทยไร้ซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ที่รุนแรงจากต่างชาติ อย่ า งไรก็ ต ามได้ มี ก ารเจรจา ทั้ ง สองฝ่ า ยเพื่ อ คลี่ ค ลายสถานการณ์ ทางการเมื อ งที่ ป ระเทศคอสตาริ ก าโดย มีประธานาธิบดีออสการ์ อาเรียส ของ คอสตาริกา เจ้าของรางวัลโนเบลสาขา
สันติภาพเป็นคนกลาง การเจรจาจบลง โดยทั้งสองฝ่ายไม่สามารถบรรลุข้อตกลง ใดๆได้ แต่นายเซเลยาเสนอให้มีการเจรจา ครั้งต่อไปในฮอนดูรัส เพื่อเป็นการหาทาง กลับเข้าประเทศหลังจากที่เครื่องบินของ เขาและผู้นำ�จากละตินอเมริกาถูกกองทัพ ขัดขวางไม่ให้ร่อนลงจอดในประเทศ ขณะ ที่ประชาชนจำ�นวนมากชุมนุมเผชิญหน้า
รั ฐ อเมริ กั น ที่ ล งมติ ขั บ ไล่ ส าธารณรั ฐ ฮอนดูรัสออกจากสมาชิกภาพ ธนาคาร เพื่ อ การพั ฒ นาระหว่ า งทวี ป อเมริ ก า (Inter-American Development Bank หรือ IDB) และกองทุนธนาคารโลก (World Bank) ที่ระงับความช่วยเหลือทางการเงิน แก่ฮอนดูรัส นอกจากนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ยังได้ยกเลิกการให้ความร่วมมือทางการ ทหารแก่ฮอนดูรัส ในการปราบปรามยา เสพติด และประเทศต่างๆในสหภาพยุโรป ที่ได้เรียกตัวเอกอัครราชฑูตกลับประเทศ ประเทศกำ � ลั ง อยู่ ใ นขั้ น วิ ก ฤติ แต่ทั้งสองฝ่ายยังไม่มีใครมีทีท่าว่าจะถอย นายมานูเอล เซเลยา ยังคงยืนยันว่าตน เป็นประธานาธิบดีที่อยู่ในตำ�แหน่ง ทั้ง ยังได้รับการยอมรับจากทั่วโลก และยัง คงเหลือเวลาดำ�รงตำ�แหน่งอีก 6 เดือน ในขณะที่นายโรเบร์โต มิเชเล็ตติประกาศ ยืนยันว่าจะดำ�รงตำ�แหน่งจนกว่าประเทศ จะสงบและจะจัดการเลือกตั้งขึ้นใหม่
กับทหารและตำ�รวจ รอให้การต้อนรับ แต่ในทางตรงกันข้ามก็มีผู้ชุมนุมคัดค้าน การกลับมาปักหลักอยู่ใกล้ๆ และสนับสนุน นายมิเชลเลตติ สถานการณ์ไม่มีวี่แววว่า จะคลี่คลาย ส า ธ า ร ณ รั ฐ ฮ อ น ดู รั ส ห ลั ง ประกาศชัดเจนอย่างนี้ แล้วนี่ทั้ง จากมีการรัฐประหาร ถูกกดดัน สองฝ่ายรออะไรกันอยู่ ? อ ย่ า ง ห นั ก ไ ม่ ว่ า จ ะ เ ป็ น ก า ร วิ พ า ก ษ์ วิ จ ารณ์ จ ากผู้ นำ � ระดั บ โลกไม่ ว่ า จะเป็ น *http://en.wikipedia.org/wiki/List_of_ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัก โอบามา coups_d%27%C3%A9tat_and_coup_ หรื อ ประธานาธิ บ ดี ป ระเทศเวเนซู เ อลา attempts ฮูโก ชาเวซ รวมไปถึงองค์กรต่างๆ ทำ � การคว่ำ � บาตรไม่ ว่ า จะเป็ น องค์ ก าร
15
รอเพื่อ
สวั ส ดี ค รั บ สิ ง ห์ แ ดงพบกั น อี ก ครั้ ง กั บ บทความนั ก ศึ ก ษา วารสารเม็ดเลือดแดงนะครับ ก่อนอื่นผมขอถามเพื่อนๆ สักข้อนะครับ “ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของเพื่อนๆ เคยรออะไรมาบ้าง” เช่น รอรถNGV (9.30 น. แล้วมาซะทีสิฟะ), รอTU Dome สร้างเสร็จ, รอแฟน (TU time 30 นาที) ฯลฯ เพื่อนๆรู้สึกแบบไหนกันครับ คนรออาจรู้สึกเบื่อเซ็ง , บางคน อาจรู้สึกโกรธหรือน้อยใจว่าทำ�ไมคนตรงต่อเวลาต้องเป็นคนรอตลอด , บางคนอาจรู้สึก เฉยๆ ว่าในชีวิตประจำ�วันเราเองก็ต้องรออะไรๆ มากมาย กับเรื่องเล็กแค่นี้ทำ�ไมจะรอ ไม่ได้ ส่วนคนที่ให้รอเองก็อาจมีความรู้สึกได้หลายแบบ หลายคนรู้สึกผิดที่ให้เพื่อนต้อง รอ หลายคนรู้สึกกังวลใจว่าเพื่อนอาจเป็นห่วงหรือกระวนกระวายใจว่าตนเป็นอะไรไป ทำ�ไมยังไม่มา แต่ก็มีอีกหลายคนรู้สึกเฉยๆเหมือนว่าเราก็รอกันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว รอนิดรอหน่อยไม่เห็นเป็นอะไรเลย ทัศนคติของแต่ละคนต่อการรอคอยจึงย่อมแตก ต่างกันไป แต่ผมขอเอาเสียงส่วนใหญ่อนุมานเอาว่า คนส่วนใหญ่มีความรู้สึกในทางลบ กับการที่ต้องรอคอย โดยเฉพาะการรอคอยที่ไม่สมควรแก่เหตุ จากที่กล่าวมาข้างต้นการรอจึงดูเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ น่ารำ�คาญใจ ไม่น่าพิสมัย เสียนี่กะไร แล้วเพื่อนๆเคยคิดบ้างไหมว่าทำ�ไมการใช้ชีวิตของเพื่อนๆ และแม้แต่ตัว ผมเองก็ยังคงรั้งรออะไรบางอย่าง ที่ไม่ใช่การรอโดยสภาพบังคับทางธรรมชาติ เช่น รอมาม่าสุก หรือรอตามกฎหมาย เช่น รออายุ 20 ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจำ�ต้องรออย่างหลีก เลี่ยงไม่ได้ แต่ที่จะกล่าวถึงต่อไปเป็นการรอที่ตัวเราเป็นผู้เลือกที่จะรอด้วยตัวเองด้วย เหตุผลบางประการ โดยพอจะแยกย่อยเป็น 3 ประเด็นหลักๆ คือ รออะไรอยู่ รอเพื่อ อะไร รอไปถึงเมื่อไหร่
16
ประเด็นแรก “รออะไร” เท่าที่ผมสังเกตจากการใช้ชีวิตของเราท่านหลายๆ คน (ผมใช้คำ�ว่า “หลายๆ” เพราะบางคนอาจไม่เป็นไปตามที่กล่าวต่อไปนี้) จะมีการ หยุดยั้งการกระทำ�เมื่อจะริเริ่มลงมือทำ�อะไรบางอย่าง ที่มีความแปลกใหม่จากที่ทำ�อยู่ในปัจจุบัน เช่น เริ่ม เปลี่ยนแปลงการดำ�เนินชีวิต เริ่มรับผิดชอบต่อชีวิต เริ่มรับผิดชอบต่อสังคม ฯลฯ ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ ง่ายๆ เหมือนกวางที่เวลาได้ยินเสียงนักล่าจะหยุดยืน อยู่กับที่โดยไม่มีสาเหตุ ทั้งๆที่มันทั้งเห็น ได้ยิน และ ได้กลิ่นนักล่าตัวนั้นแล้ว สักชั่วเสี้ยววินาทีถัดมามันจึง เริ่มวิ่งหนี เพื่อนๆเคยสังเกตมั้ยครับว่ามักจะมี 1 ตัว ในฝูงที่ช้าที่สุดถูกสังหารเป็นเหยื่อของนักล่า (T-T) แต่ในทางกลับกันถ้าเจ้ากวางตัวที่วิ่งช้าที่สุดชิงออกตัว ก่อนโดยไม่หยุดรอเหมือนกวางอื่นๆ เข้าใจตรงกัน นะครับว่าเจ้ากวางตัวนั้นไม่ได้วิ่งพรวดพราดออกไป โดยไม่ดูตาม้าตาเรือ แต่มันชิงออกตัวก่อนโดยไม่รอ อย่างไร้เหตุผลตามกวางตัวอื่นๆ ผลสุดท้ายเจ้ากวาง ตัวนั้นอาจไม่ตกเป็นเหยื่อของสัตว์นักล่า (ความซวย ตกอยู่กับตัวอื่น-..-) เมื่อย้อนกลับมามองในมุมของ เรา กระแสธารแห่งยุคโลกาภิวัตน์นั้นทำ�งานอย่าง ไม่มีวันหยุด การไหลบ่าถาโถมของปัญหาสังคม เศรษฐกิจ การเมืองในปัจจุบันเป็นดังนักล่าที่คอยไล่ล่ามนุษย์ในกระแสธารแห่งโลก ใคร ล้าหลังกว่าก็ตกเป็นเหยื่อไป เหมือนกับการไล่ล่าตลอดชีวิตเพียงแต่ว่าเป็นการไล่ล่า ที่มองไม่เห็น แต่สำ�เหนียกรู้สัมผัสได้ ผลคือ การลบล้างผู้ล้าหลัง จนไม่อาจมีที่ยืนใน สังคม เพื่อนๆไม่อาจจะรู้ได้เลยว่าตนเป็นคนที่ช้าที่สุดหรือไม่ เมื่อไหร่จะตกเป็น เหยื่อของนักล่าในป่าคอนกรีต ฉะนั้นการเลือกที่จะทำ�เหมือนเจ้ากวางที่ไม่รั้งรออย่าง ไร้สาเหตุเหมือนกวางตัวอื่นๆ โดยชิงออกวิ่งไปก่อนอาจทำ�ให้เราลดโอกาสที่จะตกเป็น เหยื่อเสียเองได้อย่างมาก
17
“รอเพื่ออะไร” บางคนบอกว่า รอเพราะยังไม่อยากทำ� บ้างก็ว่ายังไม่พร้อม บางคนก็บอกว่าโอกาสยังไม่อำ�นวย เหล่านี้เป็นตัวอย่างของการรั้งรอที่ไม่สมเหตุผล ที่เป็นตัวดึงให้เพื่อนๆเป็นผู้รั้งท้ายในสังคม สาเหตุที่ผมกล้ากล่าวเช่นนี้เนื่องจากผม เห็นว่า การรั้งรอด้วยเหตุดังกล่าวไม่มีความจำ�เป็นในการริเริ่มดำ�เนินชีวิตก้าวต่อไป เลย อย่างข้อแรกที่ว่ายังไม่อยากทำ� ในบาง ครั้งเราจำ�เป็นต้องฝืนใจทำ�โดยไม่ขึ้นกับความอยาก เพราะหากมัวแต่รอให้เกิด อารมณ์อยากทำ�แล้วอาจ ส่งผลเสียต่อตนเองและผู้อื่น หรือในบางกรณี การ ชิงจังหวะทำ�ซะก่อนที่คนอื่นเอาแต่รอให้อยากทำ� จะ ช่วยให้เราลดระยะห่างกับคนข้างหน้าและทิ้งห่างกับ คนข้างหลัง ลดโอกาสการตกเป็นผู้รั้งท้ายลงมาก ทีเดียว ส่วนข้ออ้างที่สองที่ว่ายังไม่พร้อม พวกนี้ มีอยู่ 2 แบบหลักๆ ทั้งแบบที่ไม่พร้อมทางกายภาพ เช่น อุปกรณ์ไม่พร้อม ความรู้ไม่พร้อม ฯลฯ ซึ่ง สามารถชดเชยได้ด้วยความเพียร และแบบที่ไม่ พร้อมทางใจ เช่น ไม่กล้า วิตกกังวล ฯลฯ ซึ่งเป็น ปัญหามากกว่าความไม่พร้อมทางกายภาพ เนื่องมา จากเส้นแบ่งความพร้อมกับไม่พร้อมค่อนข้างพร่า เลือน คือแบ่งได้ไม่เด็ดขาดแล้วแต่คน ว่าการเตรียมตัวขนาดไหนเรียกว่าพร้อม ขนาด ไหนเรียกว่าไม่พร้อม ซึ่งสามารถสร้างความพร้อมได้ด้วยการเตรียมใจตามแต่เทคนิคที่ แต่ละคนจะสามารถสร้างความพร้อมได้อย่างดีที่สุด จากที่กล่าวข้างต้นความพร้อมจึงเป็นสิ่งสำ�คัญที่เราจะขาดไม่ได้ ในการจะดำ�เนินกิจกรรมต่างๆในชีวิตซึ่งมันไม่ได้กลั่นตัวขึ้นมาเองเมื่อเวลาผ่านไปแต่ เราต้องสร้างมันขึ้นมาเอง หากเราออกวิ่งไปโดยไม่มีความพร้อมก็เหมือนเราต้องคอย เหลียวกลับมามองข้างหลังตลอด ทำ�ให้เราวิ่งไม่ได้ประสิทธิภาพเต็มที่ และยิ่งหากเรา มัวแต่อ้างว่ายังไม่พร้อมโดยไม่คิดจะเตรียมความพร้อม ก็เหมือนกับเราเอาเชือกผูกคอ ตัวเองแล้วนั่งรอให้นักล่ามาคาบเราไปเป็นเหยื่อนั่นเอง บางคนที่ชอบอ้างว่ารอโอกาส มาถึงก่อนแล้วค่อยทำ�พวกนี้มักจะเป็นพวกที่คอยบุญพาวาสนาส่ง มองว่าโอกาสเป็น เหมือน โปเกมอน ในตำ�นานที่สามารถเจอะเจอได้ตามริมทาง ได้มาโดยไม่ต้องลงทุน
18
ลงแรง แต่เท่าที่ผมได้สังเกตเห็นจากสภาพสังคมและการดำ�เนินชีวิตของมนุษย์ โอกาส หาใช่สิ่งบังเอิญหากแต่เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยการสร้างสมมาจากการกระทำ�ก่อนหน้านั้น นานวันจนเกิดเป็นโอกาสในปัจจุบัน เช่นหากเราไม่เอาใจใส่ในการเรียนคณิตศาสตร์ พื้นฐานในช่วง ม.ต้น เราก็ไม่มีโอกาสที่จะเก่งตรีโกณมิติ ในชีวิต ม.ปลายได้เลย แต่ ใช่ว่าโอกาสจะเป็นเรื่องที่คาดเดาได้ง่ายเป็นเส้นตรงแบบนี้ทั้งหมด ในบางครั้งโอกาสก็ ต้องอาศัยดวงประกอบด้วย เช่น ถึงเพื่อนๆ จะเทพเลข ม.ต้นมากมายแต่ตอน ม.ปลาย กลับเจออาจารย์สอนตรีโกณที่สอนไม่รู้เรื่อง เพื่อนๆก็อาจกลายเป็นคนไม่เก่งตรีโกณ หรือเพื่อนๆ ไม่ได้ตั้งใจเรียนเลข ม.ต้น แต่สักวันหนึ่งถูก ดร.โรคจิตจับตัวไปทดลอง เป็นมนุษย์สุดอัจฉริยะ เพื่อนๆ ก็อาจกลายเป็นคนเก่งตรีโกณได้เหมือนกัน แต่ สิ่ ง เหล่ า นี้ เ ป็ น เรื่ อ งที่ ค าดเดาได้ ย ากจน ทำ�ให้คาดหวังผลได้ยากตามไปด้วย เพราะฉะนั้นการ สร้างโอกาสด้วยตนเองจึงเป็นตัวแปรสำ�คัญต่อโอกาส ในชีวิตที่จะมาถึงในวันข้างหน้า (ไม่ต้องรอ ดร.โรคจิต) ประเด็นสุดท้าย “รอจนถึงเมื่อไหร่” ซึ่ง หลายคนมักอ้างขึ้นมาว่าต้องรอจนกว่าจะถึงเวลาหนึ่ง หรือสถานภาพหนึ่งจึงจะสมควรลงมือทำ�เพื่อเป็นการ ยืดเวลาที่จะต้องเผชิญกับปัญหา หรือความแปลกใหม่ ในชีวิตออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ บางคนชอบ อ้างว่ารอจนกว่าจะอยากทำ� กรณีนี้อย่างที่กล่าวมา แล้วข้างต้น การที่เราชิงจังหวะทำ�ก่อนคนอื่นๆจะทำ� อาจทำ�ให้เราที่อยู่ในตำ�แหน่งรั้งท้ายขึ้นมาอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ หรือก้าวล้ำ�นำ�หน้าคน อื่นๆในสังคม ลดโอกาสตกเป็นเหยื่อนักล่ายุคโลกาภิวัตน์ลงไปได้ บางคนอ้างว่ารอ จนกว่าจะโต รอเป็นผู้ใหญ่ก่อน รอทำ�งานก่อน ฯลฯ ตามธรรมชาติแล้ว มนุษย์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีความพร้อมตามธรรมชาติช้ากว่าสัตว์อื่นๆเป็นอย่างมาก กว่าที่มนุษย์จะ สามารถช่วยเหลือตนเองในเบื้องตนได้นั้นต้องอาศัยเวลาไม่ต่ำ�กว่า 1 ปี ผิดกับสัตว์อื่นที่ สามารถลุกขึ้นวิ่งปร๋อหลังคลอดไม่กี่นาที นี่เรายังมาดึงตัวเองให้ช้าลงไปด้วยความอ่อนแอของจิตใจตนเองอีกเราไม่ ยิ่งช้ากว่าเจ้าตูบเจ้าทุยพวกนี้อีกหรือ การจะเริ่มทำ�อะไรให้เป็นประโยชน์แก่ตัวเองและ ผู้อื่นนั้นไม่จำ�เป็นต้องรอ อายุ 20 ไม่จำ�เป็นต้องรอจดทะเบียน ไม่จำ�เป็นต้องรอสูงเกิน
19
150 cm เราก็สามารถเริ่มทำ�ได้นับแต่บัดนี้ จากที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าการรอเป็นสิ่งที่พวกเราส่วนใหญ่เห็นพ้อง ต้องกันว่าให้ความรู้สึกในทางลบ ทั้งกับผู้รอและผู้ให้รอ แต่ชีวิตของพวกเราเองกลับ เต็มไปด้วยการรอที่เราเป็นทั้งผู้ให้รอและผู้รอ จะยิ่งรู้สึกแย่แค่ไหนเพราะเพียงแต่เป็นผู้ รอหรือผู้ให้รอแต่ฝ่ายเดียวก็รู้สึกแย่เต็มทนแล้ว ทั้งๆที่เราสามารถเลือกที่จะไม่รอก็ได้ แล้วเราจะรออยู่เพื่ออะไร ? เส้ น ทางการวิ่ ง ไล่ จั บ ไม่ เ ลิ ก รานี้ ท อดอยู่ เ บื้ อ งหน้ า นี้ แ ล้ ว พร้ อ มให้ เ พื่ อ นๆได้ วิ่ ง ฉิ ว ออกไปทุ ก ขณะจิ ต ขึ้ น อยู่ กั บ ว่ า เพื่อนๆพร้อมจะออกสตาร์ทแล้วหรือยัง อย่ามัวแต่ให้ ความสุ ข สบายในปั จ จุ บั น หลอกล่ อ ฉุ ด รั้ ง ไม่ ใ ห้ เ ราก้ า ว ต่อไป แต่จงยืนหยัดขึ้นสลัดสัญชาติญาณแห่งการรอทิ้ง แล้วออกวิ่งไปสู่กระแสธารของโลกอย่างเตรียมพร้อม มีสติและ ที่สำ�คัญ อย่าให้ความอ่อนแอในใจมาฉุดรั้งเราได้ สุดท้ายนี้มีสิ่งที่ผมอยากฝากให้เพื่อนๆได้นำ�ไปคิดว่าจะดีกว่ามั้ยถ้า เราจะเริ่ม ในวันของเรา วันของเราที่ไม่ได้ได้มาโดยง่ายดายโดยการรอโอกาส โดยการรอบุญ วาสนา แต่เป็นวันที่ได้มาโดยหยาดเหงื่อแรงงานของเราเอง โดยมือของเราเอง โดย การสร้างสรรค์ของเราเอง ไม่มีวันของเราหากเราไม่สร้างวันของเราขึ้นมาเอง-------------- สวัสดีครับ BYE BYE END By sayong#60
20
21
“รัก” คำ�สั้นๆ ของผม กัปปะ หากผมได้พบกับความรักแล้ว มันจะรู้สึกเช่นไรนะ ในช่วงชีวิตกว่า 20 ปีของ ผม ยังไม่เคยที่จะได้รับความรักแบบแฟนจากใครบ้างเลย ผมจินตนาการภาพตัวเอง ไม่ออกเลยว่า หากได้มีแฟนแล้วจะเป็นเช่นไร หลายครั้งที่ผมรู้สึกเหมือนกับเป็นผู้แพ้ เพราะในละครแต่ละเรื่องหากจะให้สมบูรณ์ย่อมต้องมีพระเอกคู่กับนางเอก ฉากสุดท้าย ทั้ง 2 ก็ได้ใช้ชีวิตอยู่คู่กัน พวกเขาคงเป็นเหมือนกับผู้ชนะ ขนาดโนบิตะยังมีชิซูกะเป็น นางเอกเลย การที่เราไม่มีความรักคงทำ�ให้ชีวิตนี้หมดความหมายไปมากทีเดียว แล้ววัน ไหนนะที่ผมถึงจะได้เป็นผู้ชนะเหมือนคนอื่นบ้าง แม้ว่าผมจะไม่เคยได้รับความรักจากใคร แต่ผมก็ยังมีคนที่ผมจะมอบความรัก ไปให้ ตลอดมาผมพยายามเฝ้าส่งความคิดถึงไปถึงพวกเธอเหล่านั้น แต่มันก็ไร้ความ หมายเพราะในที่สุดแล้วผมก็ไม่เคยที่จะสมหวังเสียที ตอนนี้ผมก็ยังมีคนที่ผมพยายาม ส่งความรู้สึกดีดีนี้ไปให้ เธอคนนี้ผมรู้จักมานานพอดูแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเราเป็นเพื่อนที่ สนิทกันมาก และคงเป็นความผิดของผมเองที่ปล่อยให้ความสนิทล้ำ�เส้นของคำ�ว่าเพื่อน ทั้งๆ ที่เธอมอบความไว้เนื้อเชื่อใจให้กับผม แต่ผมกลับทำ�ลายความรู้สึกดีดีที่เธอมีให้ ผม ไม่สามารถบอกได้ว่าทำ�ไมผมถึงชอบเธอ แต่ทุกครั้งที่ผมได้เห็นหน้าเธอ และได้รับรอย ยิ้มที่จริงใจจากเธอ ในหัวใจผมนั้นก็หวั่นไหวทุกที มันมีทั้งความรู้สึกดีใจและรู้สึกผิดอยู่ ทุกเวลาที่เธอยิ้มมา เพราะรอยยิ้มที่เธอมีให้ผมนั้นเป็นรอยยิ้มที่เธอมอบให้เพื่อนคนหนึ่ง ผมอยากพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดีกว่าเดิม แต่ส่วนลึกๆในใจมันก็ไม่อยากให้เกิดการ เปลี่ยนแปลง ผมอยากจะถอนหายใจให้เยอะๆ เพราะผมเคยได้ยินมาว่าการถอนหายใจใน แต่ละครั้งจะทำ�ให้ชีวิตคนเราสั้นลงไปครึ่งปี ผมอยากที่จะให้อายุขัยของผมหมดๆไป สิ่ง ที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้มันจะได้จบลงไปเสียที นั้นอาจจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่เพื่อนคนนี้จะทำ� เพื่อเธอก็เป็นได้
แต่ยังไงก็ตามเวลาที่ผมเจอเธอผมพยายามที่จะทำ�ตัวให้เป็นปกติไม่ให้ผิดสังเกตใดใด และวันนี้ผมก็กำ�ลังจะไปงานรับน้องของโต๊ะเพื่อน และที่สำ�คัญเธอก็ไปด้วยเช่นเดียวกัน โดยเช้า นี้กลุ่มที่จัดงานนัดพวกเรามาตั้งแต่ 7 โมงเช้า ซึ่งตามปกติชีวิตเด็กหอแบบผม
22
8 โมงยังไม่ตื่นเลย ซึ่งนั้นทำ�ให้ผมมาสาย เพื่อนผมที่เป็นเจ้างานแอบบ่นอย่างหนัก(ด่า เลยดีกว่าไหม?) เมื่อผมขึ้นไปบนรถที่นั่งต่างๆก็เต็มไปหมดแล้วและไม่เหลือที่นั่งอีกแต่ เธอก็เรียกให้ผมไปนั่งเบียดกับเธอ “มาสายมากเลยนะ กอล์ฟ นึกว่าจะไม่ไปซะแล้ว อุตส่าห์แอบดีใจ” “แหม ก็นาฬิกาปลุกมันไม่ดังน่ะ ตอนที่ไอ้โอมโทรไปตามคือเพิ่งตื่นเลยนะ” “ให้มันได้งี้สิ ใครได้กอล์ฟเป็นแฟนไปคงซวยน่าดู” “ก็ไม่แน่หรอกแอน เรื่องแบบนี้มันต้องลองดูด้วยตัวเอง ถ้าไม่เชื่อก็ต้องลอง มาเป็นแฟนของเราดูแล้วล่ะ” “เอาไว้ชาติหน้าก่อนเหอะ อย่างกอล์ฟอ่ะ เป็นได้แค่เพื่อนแหละดีที่สุดแล้ว” “จ้าๆ อย่าคิดจริงจังเลย เราล้อเล่นน้า” ถึงปากจะบอกไปว่าล้อเล่น แต่ในใจผมกลับคิดจริงจัง ผมชอบที่จะแซวเธอเล่น แบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร แต่เมื่อผมเริ่มรู้ตัวว่าชอบเธอ ผมก็แอบหวังจะบอกความจริงไป เสียที แต่ผมก็ยังไม่กล้าพอ --- 3 ชั่วโมงในการเดินทาง ในที่สุดเราก็มาถึงรีสอร์ทที่จัดงาน -- หลังจากที่เรามาถึงพี่ๆที่เตรียมสถานที่อยู่ก็เรียกน้องๆให้ลงไปทำ�กิจกรรม ส่วนพวกเราที่เหลือก็มีเวลาว่างกว่า 3 ชั่วโมงจนกว่าจะถึงเวลาให้พวกเราได้ทำ�กิจกรรม ร่วมกับน้องๆ ตอนนี้ก็ให้ทุกคนแยกย้ายกันไปพักผ่อน แต่บางคนก็มีเพื่อนกลุ่มจัดงาน มาขอแรงให้ไปช่วยงานเตรียมสถานที่เพื่อทำ�กิจกรรมให้น้องๆในตอนเย็น แต่ผมขี้เกียจ ที่จะทำ�เลยแอบอู้ หลังจากที่ผมเอาของไปไว้ที่ห้องพักแล้วก็เดินเล่นไปมาในรีสอร์ท ซึ่ง กลุ่มที่จัดงานเหมารีสอร์ตไว้ทั้งหมดแล้ว ดังนั้นพวกเราจะเดินไปมาที่ไหนก็ได้ตาม สบายใจ สำ�หรับรีสอร์ทที่นี่หากมองออกไปด้านหน้าจะเห็นชายหาดที่น้ำ�ใสสวยงาม น่าลงไปเล่น และวันนี้ก็บรรยากาศดี แดดไม่ค่อยมี มีลมพัดเย็นๆมาตลอด หลังจากที่ ผมเดินเล่นไปสักพักก็เห็นกลุ่มแอนนั่งอยู่ โดยที่เธอเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่ทะมัดทะแมง ออกแนวห้าวแต่ก็ยังคงความน่ารักอยู่ดี ผมจึงเดินเข้าไปหาเธอ “ว่าไงสาวๆ ไม่ไปเดินเล่นไหนเหรอ” “ก็ว่าจะไปเดินเล่นแถวนี้แหละ เออนิ กอล์ฟ นายเอากล้องมาใช่เปล่าอ่ะ ไปถ่ายรูปให้พวกเราหน่อยดิ วิวดีแบบนี้ รูปต้องออกมาสวยแน่เลย”
23
“ไม่หรอก วิวอาจสวยแต่ถ้านางแบบไม่สวยมันก็ทำ�ให้ภาพออกมาไม่ดีหรอก นะ” “ย่ะ ใช่สิฉันมันไม่สวย ถึงได้ยังไม่มีแฟนแบบนี้ไง ไม่ต้องบอกก็รู้ดีอยู่แล้วนะ” “โอ๋ๆ อย่าเพิ่งงอนดิ ไปเถอะเดี๋ยวเราไปถ่ายภาพให้” ช่วงเวลาที่ผมได้อยู่กับเธอ แม้ว่าจะไม่ได้อยู่กันลำ�พังเพราะมีเพื่อนๆตามมากัน ด้วย แต่มันก็ทำ�ให้ผมรู้สึกดีที่อย่างน้อยผมก็ยังได้อยู่ใกล้ๆเธอ หลายภาพที่ผมฝากกล้อง ให้เพื่อนเป็นคนถ่ายรูปให้ เพื่อที่ว่าผมจะได้ถ่ายรูปคู่กับเธอ ผมอยากให้ช่วงเวลาดีดีแบบ นี้อยู่กับผมไปอีกนานๆ แต่เวลาที่เรารู้สึกดีๆนั้น มันมักจะผ่านไปเร็วเสมอ ไม่นานนัก โอมได้มาตามพวกเราให้ไปเตรียมตัวได้แล้ว เพราะถึงเวลาที่น้องๆจะมาทำ�กิจกรรมฐาน แล้ว พวกเราก็เตรียมอุปกรณ์ไปเล่นกับน้องๆ ซึ่งฐานต่างๆก็ออกจะทะลึ่งไปบ้างแต่รับ ประกันได้ในเรื่องความปลอดภัยเพราะในทุกๆ ฐานจะมีพี่ลองเล่นมาก่อนแล้ว ระหว่าง การเล่นกิจกรรมฐาน เช่น ฐานใช้ผักผูกตัวแล้วตีมะนาวให้ลงหลุม หรือฐานที่ให้น้อง ขุดทรายแล้วมุดข้ามเส้น จากนั้นก็จะรวมน้องๆทุกคนมาปิดตา แล้วพาไปเล่นกิจกรรม เลอะๆ มีให้น้องกินอาหารแปลกๆ พี่ๆ ก็แกล้งน้อง จากนั้นก็ถ่ายรูปรวมแล้วหลังจาก นั้นก็ให้น้องแกล้งคืนพี่ๆ ภายหลังจากทำ�อะไรอื่นๆ เสร็จแล้วก็ปล่อยน้องๆให้ไปอาบน้ำ� พักผ่อนรอเวลากินข้าวเย็น กินอาหารทะเลเผากัน แล้วก็ให้น้องแสดงละครที่เตรียมมา ระหว่างที่ให้น้องอาบน้ำ�แล้วพักผ่อนกันอยู่นี้ ผมก็ได้เดินเลียบชายหาดตาม ลำ�พัง คิดเรื่อยเปื่อยไปถึงหนทางที่ผมและแอนจะได้เป็นแฟนกัน ระหว่างที่ผมเดินอยู่คน เดียวนั้น ผมก็หันไปเห็นว่าแอนนั่งอยู่บนโขดหินเพียงลำ�พัง ภาพที่ผมเห็น มันเป็นภาพที่ สวยงามที่สุดที่ในชีวิตของผม ภาพของเธอที่นั่งมองไปยังทะเลโดยมีแสงของพระอาทิตย์ ที่กำ�ลังลับขอบฟ้าเป็นฉากหลัง ภาพนั้นทำ�ให้ผมหลงรักเธอมากขึ้นไปอีก “เฮ้ย ไอ้กอล์ฟ” เสียงกระซิบที่ข้างหูของผม “เฮ้ย ไอ้โอม มาเงียบๆทำ�ไมวะ” “ตอนนี้โอกาสดีเลยนะเว้ย เมิงเข้าไปบอกรักคนที่เมิงชอบเลยสิ” “ใครวะ” “ยังมีหน้ามาถามอีก เค้ารู้กันแทบจะทั้งคณะแล้ว ว่าเมิงชอบแอน” “เฮ้ยจริงดิ” “ตอนนี้บรรยากาศโคตรจะเป็นใจ เข้าไปบอกรักแล้วขอเธอเป็นแฟนเลยดิวะ” “จะบ้าหรอเมิง”
24
“ถ้าพลาดโอกาสนี้ไป รอจนตายเลยนะเมิง บรรยากาศออกจะเป็นใจขนาดนี้” “จะดีหรอเมิง” แม้ว่าผมจะไม่เชื่อมั่นสักเท่าไร แต่ผมก็เดินออกไปตามที่โอมยุ ผมรู้ตัวว่าผม สามารถที่จะบอกรักเธอได้ แต่ผมไม่มั่นใจว่าหลังจากที่ผมได้บอกออกไปแล้ว ความรู้สึก ที่เธอมีให้ผมจะเป็นอย่างไรต่อไป เราจะเข้าหน้ากันได้หรือเปล่า หลายครั้งที่ผมชอบใคร แม้ว่าก่อนหน้านั้นเราจะเป็นเพื่อนและมีความรู้สึกดีดีให้กัน แต่เมื่อเธอรู้ว่าผมชอบเธอใน แบบที่มากกว่าเพื่อน หลายครั้งที่พวกเธอก็หนีหน้าผมไปเลย ตอนนี้ผมไม่อยากที่จะเสีย เธอไปเหมือนคนอื่นๆ “อ้าวกอล์ฟ มาทำ�ไรตรงนี้อ่ะ” “แอน คือว่า .. ว่า ..” “อะไรหรอกอล์ฟ” “เอ่อ คือ ... เราอยากจะบอกว่า ... เรา ... เราคิดว่านั่งตรงนี้นานๆระวังเป็น หวัดนะ ลมมันแรง แล้วก็ตอนนี้เราว่าห้องน้ำ�น่าจะว่างแล้ว เข้าไปอาบได้เลยนะ” “อือ เดี๋ยวเราตามไปนะ” ผมเดินลงมาจากโขดหิน แล้วไอ้โอมก็มาลากผมไปข้างๆ “ไอ้ห่าน เมิงทำ�ไรของเมิงวะ โอกาสดีดีแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆอีกแล้วนะเว้ย” “กูรู้ว่าโอกาสแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ แต่กูรู้สึกว่ากูยังไม่พร้อม กูไม่แน่ใจตัวเองว่า จะทำ�ให้เธอมีความสุขได้จริงๆหรือเปล่า ต่อจากนี้ไปกูจะพยายามตัดสินใจให้ดีก่อน กูว่า ตอนนี้กูอยากที่จะรอไปก่อน รอเวลา รอจนกว่าที่กูจะมั่นใจว่าทำ�ได้อย่างที่คิดจริงๆ” “ก็ตามใจเมิง แต่ระวังจะมีหมามาคาบไปแดกก่อนล่ะกัน” “ก็ถือว่าเค้าได้ไปดี มีความสุขแล้ว กูก็ยินดีเสียสละว่ะ” “จ้าๆ ไอ้พ่อพระ” ใช่แล้วครับ ผมยังคิดว่าผมในตอนนี้ยังไม่แน่ใจในตัวเอง ผมไม่สามารถที่จะ ตอบตัวเองได้ว่าความรู้สึกดีดีที่ผมมีให้กับแอนนั้น เป็นความรักหรือเป็นเพียงความหลง ผมรู้สึกว่าผมยังทำ�สิ่งดีดีให้เธอไม่ได้มากอย่างที่ตั้งใจ ผมอยากให้เธอรู้สึกแบบที่ผมนั้น รู้สึกกับเธอก่อน สำ�หรับผมแล้วผมเชื่อว่าหากเรามีความรู้สึกดีที่เพียงพอ ย่อมที่จะส่งไป ให้เธอสัมผัสได้ ผมคิดว่าการที่แต่ก่อนผมผิดหวังในความรักมาตลอดนั้น คงเป็นเพราะ ว่าผมยังถ่ายทอดความรู้สึกไปได้ไม่เพียงพอ และที่สำ�คัญผมยังไม่มีความกล้าพอที่จะ บอกเธอออกไป ผมกลัวว่าเธออาจจะไม่คุยกับผมอีกเลยก็เป็นได้ แต่ในโอกาสหน้า
25
ที่ผมจะบอกเธอ วันนั้นจะเป็นวันที่ผมมั่นใจว่าเธอเองก็จะรักผมเช่นเดียวกัน ไม่ว่าวันนั้น จะนานแค่ไหนก็ตาม ผมก็จะรอไปก่อน --- ทางด้านของแอน -- “ว่าไงแอน เมื่อกี้แอบเห็นนะ กอล์ฟเข้าไปบอกรักหรอ” “บ้าหรอ กอล์ฟแค่มาบอกให้ดูแลสุขภาพแล้วก็ห้องน้ำ�ว่างแล้วเอง” “แค่นั้นจริงหรอ แอนเองก็ดูออกนิว่า กอล์ฟชอบเธอ” “ก็ใช่ แต่ฉันก็เคยบอกไปแล้วนะ ว่ากอล์ฟนะเป็นได้แค่เพื่อน กอล์ฟก็ไม่ได้แย่ อะไรหรอก เพียงแค่เขาไม่ใช่สำ�หรับฉัน แต่ก็ดีแล้วนะที่กอล์ฟไม่ได้บอกอะไรฉัน เพราะ ฉันไม่อยากทำ�ร้ายจิตใจของเขาเลย” “แม้ว่าเขาจะทำ�ดีให้เธอเท่าไรก็ตามหรอ” “ก็คงใช่ ฉันคิดว่าความรักมันไม่ได้มาจากการทุ่มเทเพียงอย่างเดียวนะ มัน ต้องมีอย่างอื่นมาประกอบด้วย ฉันก็ยอมรับนะว่ากอล์ฟเค้าเป็นคนดี แล้วเค้าก็ดีกับฉัน มากจริงๆ เพียงแต่ฉันยังลืมอดีตไม่ได้” “ฉันว่าแกลองมองผู้ชายแท้ๆ ดูบ้างสิ เลิกนิสัยเป็นดี้ได้แล้วมั้ง”
26
เปรู เพราะ มันรอไม่ได้จริงๆ แตง 58 เมษา การระหว่างประเทศ
สิ่งที่รอไปก่อนไม่ได้คือ “ขี้” (คำ�กิริยาที่แปลว่าการปลดปล่อย อุจาระออกจากทวารหนัก) เนื่องจาก ประการแรก เหตุผลทางการแพทย์ การ กลั้นขี้ นั้นเสี่ยงต่อการเกิดริดสีดวงทวาร หนักหรือมะเร็งลำ�ไส้ใหญ่ ประการที่สอง เป็นเหตุผลทางปรัชญา การอดขี้ถือเป็นการ อดกลั้นอย่างหนึ่ง ซึ่งการอดกลั้น อดทน ถือ เป็นบำ�เพ็ญตบะอย่างหนึ่ง ไม่ต่างจากการบำ�เพ็ญ ทุกกิริยาของพระพุทธเจ้า อันเป็นการแสดงคุณธรรม อย่างหนึ่งของผู้ปกครอง ดังนั้น สำ�หรับไพร่หรือชนชั้นล่างอย่างผม แล้วก็ไม่มีความจำ�เป็นต้องแสดงความเหนือกว่าหรือคุณธรรมอย่าง ว่านั้น
อ๊อป 58 ภราดร การเมืองการปกครอง
27
งาน เพราะ อยากสร้างความมั่นคงในชีวิตไว้เพื่อใครสักคน
อู๋ 59 แสงจันทร์ การเมืองการปกครอง
อ่านหนังสือ เพราะ จะสอบแล้ว น้ำ�ตาล 59 ขาวควัน – จำ�ปีเหนือ ปกครอง
ทำ�บุญ เพราะ ชีวิตคนมันสั้นอีกไม่กี่ปีก็ตาย เดี๋ยว จะไม่มีโอกาสได้ทำ� แม็ค 59 สามปาล์ม การระหว่างประเทศ (ชุมนุมพุทธศาสน์และประเพณี)
ความรัก เพราะ เป็นเพื่อนกันไปแล้ว (เก๋ๆ)
28
กาซ่า 59 appeal-สายรุ้ง การระหว่างประเทศ
ความเสมอภาคของมนุษย์อย่างเปี่ยมล้น ที่ล้วนรอคอยและถวิลหามาแต่ละยุคสมัย เมื่อชนชั้น ชนชาติ และการแบ่งแยกหมดสิ้นไป มนุษย์ย่อมล้วนดำ�รงทางสังคม และมอบความชุ่มชื้นทางจิตใจแก่กันได้โดยปราศจากเงื่อนไขของชนชั้น
กี๋ 59 เลี้ยวซ้าย (ผ่านตลอด*) การระหว่างประเทศ *ต่อเติมให้โดยบูมชรองดอร์ฟ -พี่กี๋ ขำ�ๆ น่ะ อย่าคิดมาก
ความรัก เพราะ ยิ่งอายุมากยิ่งหมดคุณค่าไปทุกที
โอ๋ 59 เจ้าจำ�ปี การเมืองการปกครอง
ก็ต้นฉบับเม็ดเลือดแดงไงครับ ชื่อธีมว่า “รอไปก่อน” แต่เรารอไม่ ได้ครับ เดี๋ยวเพื่อนๆ ไม่มีอ่านกัน....ฮ่าฮ่าฮ่า จะปิดไม่ทันแล้ววววว
บูมสกี้ 59 เม็ดเลือดแดง-ศิลปกรรม สิงห์โต๊ะเล็ก การระหว่างประเทศ
29
การประกันคุณภาพทางการศึกษา (7) การประกันคุณภาพการศึกษาจะสำ�เร็จลงมิได้ ถ้าไม่มีหน่วยงานที่ดูแลเรื่อง นี้ วันนี้เราพามาทำ�ความรู้จักกับสำ�นักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการ ศึกษา (สมศ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. ๒๕๔๐ มาตรา ๘๑ กำ�หนดให้มี กฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาแห่งชาติ จึงได้มีการยกร่างพระราชบัญญัติการศึกษาแห่ง ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๒๐ สิงหาคม ๒๕๔๒ เป็นต้นมา ใน หมวด ๖ ว่าด้วยมาตรฐานและการประกันคุณภาพการศึกษา มาตรา ๔๙ ได้กำ�หนด ให้มีสำ�นักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา เรียกโดยย่อว่า “สมศ.” มีฐานะเป็นองค์การมหาชน ซึ่งประกาศใน ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๑๑๗ ตอนที่ ๙๙ก เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ และมีผล บังคับใช้ตั้งแต่วันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๓ โดยให้ มีวั ตถุป ระสงค์ เพื่อพัฒนาเกณฑ์และวิธี การประเมินคุณภาพภายนอก และทำ�การ ประเมินผลการจัดการศึกษาเพื่อให้มีการตรวจ สอบคุณภาพของสถานศึกษา โดยคำ�นึงถึง ความมุ่งหมาย หลักการ และแนวทางการ จัดการศึกษาในแต่ละระดับตามที่กำ�หนดไว้ในกฏหมายว่าด้วยการศึกษา แห่งชาติ โดย ให้มีการประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษาทุกแห่งอย่างน้อยหนึ่งครั้งใน ทุกห้าปี นับตั้งแต่การประเมินครั้งสุดท้าย และเสนอผลการประเมินต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและ สาธารณชน นอกจากนี้ ได้กำ�หนดไว้ในบทเฉพาะกาลว่าจะต้องจัดให้มีการประเมินคุณภาพ ภายนอกของสถาน ศึกษาทุกแห่ง ภายในหกปีนับตั้งแต่วันที่พระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๒ ใช้บังคับ
30
คณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการบริหารสำ�นักงานรับรองมาตรฐานและ ประเมิน คุณภาพการศึกษา เมื่อวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๔๓ ตามพระราชกฤษฎีกาจัด ตั้งสำ�นักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๓ จำ�นวน ๑๑ ท่าน โดยให้มีกรรมการโดยตำ�แหน่ง จำ�นวน ๓ ท่าน ได้แก่ปลัดกระทรวงการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ประธานกรรมการพัฒนาระบบการประเมินคุณภาพการศึกษา ขั้นพื้นฐาน และประธานกรรมการพัฒนาระบบการประเมินคุณภาพการศึกษาระดับ อุดมศึกษา และให้มีผู้ทรงคุณวุฒิที่ไม่ใช่ข้าราชการจำ�นวนไม่น้อยกว่า ๔ ท่าน จากการ สรรหาผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ทางด้านการบริหาร มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ หรือวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และให้ผู้อำ�นวยการเป็นกรรมการและ เลขานุการโดยตำ�แหน่ง
ทำ�ไมต้องมีสำ�นักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา ในการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพนั้น จำ�เป็นต้องใช้หลักการบริหารจัดการ เช่น เดียวกับการบริหารหรือดำ�เนินกิจการต่างๆ ที่ต้องมีการดำ�เนินงานให้เป็นระบบครบ วงจรโดยมีขั้นตอนที่สำ�คัญประการหนึ่ง คือ การประเมินผลเพื่อให้ได้ข้อมูลย้อนกลับ อันจะสะท้อนให้เห็นถึงผลการดำ�เนินงานที่ผ่านมาว่าบรรลุเป้าหมายที่กำ�หนดไว้ เพียง ใด รวมทั้งมีจุดอ่อนหรือปัญหาในเรื่องใดบ้างที่ต้องปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้การวางแผน และการดำ�เนินงานระยะต่อไปบรรลุเป้าหมายอย่างมีคุณภาพและ ประสิทธิภาพ ด้วยเหตุนี้ จึงจำ�เป็นที่จะต้องให้ความสำ�คัญกับการประเมินผล โดยเฉพาะการประเมิน คุณภาพภายนอกจากหน่วยงานที่เป็นกลาง เพราะจะทำ�ให้เกิดกลไกในการตรวจสอบ อย่างจริงจัง รวมทั้งกระตุ้นให้หน่วยงานที่จัดการศึกษาตั้งแต่ระดับชาติถึงหน่วยงานที่ เล็กที่สุด คือสถานศึกษาและภายในห้องเรียนต้องมีการประเมินตนเองเพื่อพัฒนาการ จัดการ ศึกษาให้มีคุณภาพอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา To be continue
31
งานแต่งงาน ประจานตน งานแต่งงานผลาญทรัพย์อัปยศ เงินสิ้นหมดทองหายมลายสูญ เกียรติก่อเกิดพร้อมหนี้สินที่พอกพูน ทวีคูณความสิ้นเปลืองให้เลื่องลือ ขันหมากแห่แหล่ร้องทำ�นองรัก แจ้งประจักษ์หลักประกันอันเชื่อถือ ทรัพย์สินสอดแสดงไว้ให้ระบือ ทองเต็มมือเงินเต็มพานตระกาลตา ร้อยโต๊ะจีนจัดไว้เอาใจแขก ร่วมกินแหลกแดกไม่หยุดสุดหรรษา กินทิ้งขว้างทั้งไก่เห็ดเป็ดหมูปลา เหล้านั้นหนาเหน็บกลับบ้านสราญรมย์ ณ งานหนึ่งซึ่งใช้เงินจนเพลินหมด กำ�ซาบซดทรัพย์สินอย่างสุขสม บนผืนหล้ายังขาดไร้ความอุดม แก่ฝูงชนให้ชื่นชมถ้วนทั่วกัน เมื่อเสร็จงานสร้างสิ่งใดเอาไว้หรือ หวังสร้างชื่อฤาเกียรติให้เฉิดฉันท์ ทรัพย์ละลายหายไปเพียงข้ามวัน ควรหรือนั่น จะจัดงาน ประจานตน 32
สำ � ห รั บ ฉ บั บ นี้ ต้ อ น รั บ การเปลี่ยนชื่อคอลัมน์จากไส้ติ่งเป็น กวีกระวาท ด้วยกลอนเบาๆ สไตล์ เสี ย ดสี สั ง คมที่ ผู้ เ ขี ย นได้ ไ ปประสบ พบเจอมาจากต่างจังหวัด(บ้านเกิด ผู้เขียนเอง) หวังว่าอ่านแล้วคงได้ เห็ น เงาอั น พร่ า มั ว ที่ ซุ ก ซ่ อ นอยู่ ใ น งานแต่งงานกันนะครับ และฉบั บ นี้ พิ เ ศษสุ ด ขอ แนะนำ � บทประพั น ธ์ จ ากเพื่ อ นใหม่ ของเราฝากไว้ ใ นอ้ อ มอกอ้ อ มใจผู้ อ่านด้วยนะครับ จะเป็นบทประพันธ์ ในรูปแบบที่แตกต่างจากผู้เขียนเดิม อยู่บ้าง อย่างไรก็ช่วยกันติชม แนะนำ�กันมานะครับ สำ�หรับฉบับนี้ สวัสดีลาก่อนครับ พระยาลับแล ประพันธ์
ผู้สร้าง “หากไม่มีเงามืดนั้นที่พรั่นพรึง เธอนึกถึงสิ่งไรในฟ้ากว้าง หากไร้โซ่ตรวนนี้ที่ชิงชัง เธอมุ่งหวังจะโบยบินสู่ถิ่นใด เมื่อมีเหตุผล ต้นเเละปลาย เป็นสายธาร ทุกกาลคงเป็นเช่นวันใหม่ ฤดูร้อนลมพัดระบัดใบ ทุกมวลไม้เขียวสะพรั่งกระจ่างตา คือความรักความหวังการสร้างทำ� จะคอย ย้ำ�สิ่งหมายมาดปรารถนา รากที่หยั่งลึกลงตรงผืนหล้า ใช้เวลาจำ�เริญกี่เนิ่นนาน หญ้าปลายไร่ไม้ปลายนาที่ร้างรก เขาทึ้งถกแผ้วถางเพื่อล้างผลาญ ด้วยคันไถเทียมควายใช้เเรงงาน หรือพ่นสารเคมีชีวาวาย เเต่ไม้ถิ่นรู้เเดดฝนทนร้อนหนาว เพียงเมฆขาวหยาดหยดฝนสักหนใหม่ รากเเผ่สร้านผืนดินหาสิ้นไร้ เห็นร่มไม้ รู้ค่ามีพิสูจน์ดิน” วษินทร์
33
พบกันเป็นฉบับแรกนะครับ สำ�หรับ “จิบชา” สนุกสนาน ไปกับปริศาอักษรไขว้ง่ายๆ กันดีกว่านะครับ หลังจากได้อ่าน บทความเครียดๆ กันมามากแล้ว คราวนี้ก็ไปต้มชามาจิบเล่นกัน ดีกว่า จิบไปเล่นเกมไป โอ้วยอดเยี่ยมกระเทียมดองเป็นบ้าเลย ถ้าชาหมดแก้วแล้วแต่ยังตึ๊บ อยู่ล่ะก็ เฉลยท้ายเล่มมีบอกนะเอ้อ...
34
โห่ะๆ คราวนี้มาไม่ยากๆ คราวหน้าไม่แน่ แล้วมาจิบชากันต่อฉบับหน้านะครับ บูมสกี้
Detroit Metal City ความฝันที่ต้องรอไปก่อน โซจิ เนกิชิ เด็กหนุ่มบ้านนอกจาก เมืองโออิตะ ประเทศญี่ปุ่น ใฝ่ฝันที่จะเรียน ดนตรีและเป็นศิลปินเพลงป๊อปที่โด่งดังจึงได้ ตัดสินใจเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยโตเกียว ความฝันของเขาใกล้จะเป็นจริงแล้ว เขามี ห้องพักที่ตกแต่งอย่างหรู ได้ร้องเพลงอย่าง ที่ใจรัก ใส่เสื้อผ้าของดีไซเนอร์ชื่อดัง มีชีวิต อย่างคนเมืองจริงๆ ทั้งหมดนี้ คือ ความฝัน ของเนกิชิ แต่... “Go to DMC. Go to DMC!” เสียงตะโกนจากแฟนเพลงที่บ้าคลั่งร้องเรียก วงดนตรีที่ตนชื่นชอบ Detroit Metal City วงดนตรีเดธร๊อคที่มีนักร้องนำ�คือ ท่านเครา เซอร์ผู้มาจากนรก เลวทรามมากขนาดฆ่าพ่อแม่ของตัวเองตั้งแต่ยังเด็กสามารถข่มขื่น ผู้หญิง 11 คนได้ในเวลา 1 นาที เรียกได้ว่าสิ่งชั่วร้ายทั้งหมดในโลกนี้ท่านเคราเซอร์ ทำ�มาหมดแล้ว สาวกของ DMC จึงชื่นชมกันมาก แต่ไม่มีใครรู้หรอกว่าตัวจริงของท่าน เคราเซอร์ก็คือเนกิชิ ผู้มีบุคลิกตรงกันข้าม ทั้งใสซื่อและอ่อนหวาน แถมยังไม่เคยผ่าน มือหญิงมาก่อน… Detroit Metal City เป็นภาพยนตร์จากแดนปลาดิบอีกเรื่องที่สร้างจาก หนังสือการ์ตูน แม้ว่าจะไม่ใช่การ์ตูนแนวที่มีสาระหนักๆ หรือได้รับรางวัลจากสถาบัน ใด แต่สิ่งหนึ่งที่การ์ตูนและหนังเรื่องนี้มีแน่นอนคือความตลกขบขันในบุคลิกที่แตกต่าง ระหว่างเนกิชิและท่านเคราเซอร์ แม้มุขคนสองบุคลิกจะไม่ใช่มุขใหม่แต่ก็สร้างเสียง หัวเราะได้ทุกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ต้องยกความดีให้กับเคนอิชิ มัตซึยาม่า ที่รับบทหลัก ในเรื่องและเรียกได้ว่าเป็นการพลิกบทบาทของเขาเลยทีเดียว จากบทของแอลในเรื่อง
35
Death Note ที่ต้องเคร่งขรึมและใช้ความคิดตลอดเวลา กลายมาเป็นหนุ่มบ้านนอก ซื่อๆ ไร้เดียงสา ควบคู่กับบุคลิกประหลาดของท่านเคราเซอร์ ซึ่งเคนอิชิก็สามารถทำ� ออกมาได้ดี และเรียกเสียงฮาจากผู้ชมได้ไม่ยาก โครงเรื่องของหนังเรื่องนี้ไม่ได้สลับซับซ้อนมาก เป็ น การเล่ น กั บ บุ ค ลิ ก สองแบบที่ ต่ า งกั น สุ ด ขั้ ว และไม่ น่ า เชื่ อ ว่ า จะเป็ น คนๆ เดียวกันได้ นอกจากนี้แล้วหนังยัง เน้นให้เห็นถึงความใฝ่ฝันที่แต่ละคนมี อยู่และการการไปให้ถึงฝันนั้น เนกิชิ เป็ น เด็ ก บ้ า นนอกที่ ใ ฝ่ ฝั น จะเอาดี ด้ า น ดนตรี เพื่อทำ�ตามความฝันของ ตัวเองจึงเข้ามาเรียนในตัวเมือง เนกิชิเป็น ตั ว แทนของคนที่ มี ฝั น และไม่ ห ยุ ด อยู่ กั บ ที่ ห รื อ ร อ ใ ห้ โอกาสวิ่งเข้ามาหา เขาวิ่งเข้าไปหาโอกาสนั้น แม้แต่การได้มาเป็นท่านเครา เซอร์ก็เป็นโอกาสที่เขาไขว่คว้ามาได้ด้วยตัวเอง เรื่องราวของ เนกิชิสะท้อนให้เห็นว่าทุก คนมีความฝัน ฉะนั้นอย่าละทิ้งความฝันจนกว่าจะประสบความสำ�เร็จ แต่ความฝันที่แท้จริงของเนกิชิคือการเป็นนักร้องเพลงป๊อป ซึ่งเขายังไม่ สามารถทำ�ได้และต้องรอไปก่อน แต่ใครจะยืนยันได้ว่าหากรอไปนานๆแล้ว เนกิชิจะไม่ ถูกความเป็นท่านเคราเซอร์ครอบงำ�จนกลายเป็นเคราเซอร์ทั้งตัวและหัวใจ
36
อย่างในเรื่องภาพของท่านเคราเซอร์ คือ คนเลวทรามคนหนึ่งที่ทำ�ชั่วมาแล้วมากมาย ซึ่งทั้งที่จริงแล้วท่านเคราเซอร์เป็นเพียงภาพมายาที่ถูกสร้างขึ้น ไม่ได้มีตัวตนจริงๆ หาก วัยรุ่นเหล่านั้นรู้ว่าที่จริงแล้วท่านเคราเซอร์ก็คือหนุ่มบ๊องๆคนหนึ่ง พวกเขาจะยังชื่น ชอบอยู่อีกหรือไม่ นอกจากนี้ Detroit Metal City ยังเป็นการผสมผสานของสองสิ่งที่ไม่น่ารวม กันได้ คือ ความฮาและความรุนแรงของดนตรีเดธร๊อค ในสายตาของคนทั่วไปแล้วเด ธร๊อค คือดนตรีที่มีความรุนแรงทั้งในด้านของเนื้อหาที่กล่าวถึงความตาย อีกทั้งยั่วยุ ทางอารมณ์และความรุนแรงของจังหวะดนตรี เสียงร้อง รวมไปถึงลีลาการแสดงสด ซึ่งหลายคนมองว่าเป็นแนวดนตรีที่เข้าใจยากหรือบางคนมองว่าเป็นดนตรีขยะด้วยซ้ำ � แต่สำ�หรับ DMC แล้ว ทำ�ให้ความรุนแรงเหล่านี้ลดลงไปมาก และทำ�ให้คนที่ไม่เคยฟัง ดนตรีแนวนี้มาก่อนทำ�ใจยอมรับได้ Detroit Metal City ร๊อคนรกโยกลืมติ๋ม เป็นหนังที่ดูได้สบาย (แต่อาจไม่ สบายหูบางช่วง) และรับประกันความฮา ที่สำ�คัญคืออยากให้มาพิสูจน์ฝีมือการแสดง ของเคนอิชิ มัตสึยาม่า ที่แสดงได้เนียนและ ตีบทแตกมาก
อย่ารอไปก่อนที่จะหาหนังเรื่องนี้มาดู เพราะอาจต้องเสียใจที่พลาดของดีไป
Le Chat
37
การปล่อยตัวออง ซาน ซูจี กับประชาธิปไตยพม่าที่ต้องรอไปก่อน ท ห า ร พ ม่ า ป ฏิ เ ส ธ คำ � อุ ท ธ ร ณ์ ข อ ปล่ อ ยตั ว นางซู จี ซึ่ ง มี กำ � หนดเมื่ อ วั น ที่ 27 พฤษภาคม ซึ่งถ้าหากคำ�พิพากษา ระบุว่านางมีความผิดจริงก็จะทำ �ให้ต้อง ข่าวคราวที่โลกได้รับรู้จากพม่า ถูกคุมขังต่อไปอีกถึง 5 ปี และนั่นยังกิน เพื่อนบ้านสมาชิก ASEAN ของเราเมื่อ ความถึงโอกาสที่ความเป็นประชาธิปไตย เช้าวันที่ 7 พ.ค. 2009 ที่ผ่านมาคือ ในพม่าจะเป็นไปได้ยาก ทางการพม่าได้เพิ่มกำ�ลังเจ้าหน้าที่ตำ�รวจ บริเวณบ้านพักของ ออง ซาน ซูจี ที่ตั้ง แล้วเรื่องราวเป็นมาอย่างไร...... อยู่ใกล้ทะเลสาปอินยา, ร่างกุ้ง หลังจาก ที่จับกุมตัวนาย John William Yeattaw ก่ อ น ยุ ค ก า ร แ ผ่ อิ ท ธิ พ ล ชาวอเมริ กั น ที่ ลั ก ลอบเข้ า ไปถึ ง บริ เ วณ ลั ท ธิ จั ก รวรรดิ นิ ย มตะวั น ตกเข้ า มา ดังกล่าวซึ่งตามปกติจะมีการรักษาความ ในเอเชีย พม่าปกครองโดยระบอบ ปลอดภัยอย่างเข้มงวด ทำ�ให้เกิดคดีซึ่ง สมบู ร ณาญาสิ ท ธิ ร าชย์ เ ช่ น เดี ย วกั บ รั ฐ ทางการพม่าทำ�การสอบสวนโดย หลายๆรัฐในเอเชียอาคเนย์ จนกระทั่ง เร่ ง รั ด ด้ ว ยข้ อ หา อั ง กฤษรวมพม่ า เข้ า เป็ น ส่ ว นหนึ่ ง ของ ล ะ เ มิ ด คำ � สั่ ง อาณานิคมเมื่อวันที่ 1 ม.ค. 1886 กั ก กั น โดยให้ มี ฐ านะเป็ น เพี ย งมณฑลหนึ่ ง ของ รั ฐ บาล อินเดีย และจัดการเปลี่ยนแปลงลักษณะ โครงสร้างทางสังคมและการเมืองดังที่พอ สรุปได้ดังนี้ 1.)ยกเลิ ก ระบอบกษั ต ริ ย์ แ ละแทนที่ ด้ ว ยรั ฐ บาลพลเรื อ นภายใต้ รู ป แบบ ประชาธิปไตย มีสภาสองสภาคือ สภาผู้ แทนราษฎรและวุฒิสภา
38
2.)ฝ่ า ยศาสนา(พุ ท ธ)ถู ก แยกออกจาก การเมือง 3.)ย้ า ยฐานอำ � นาจการเมื อ งจากมั ณ ฑะ เลย์ไปร่างกุ้ง 4.)พม่าถูกแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วนที่เป็น พม่าแท้ และชนกลุ่มน้อยบริเวณชายแดน ที่ปกครองตัวเอง (พอจะได้ภาพของการ แบ่งแยกและปกครอง) 5.)เปิ ด โอกาสให้ พ ลเมื อ งมี ส่ ว นร่ ว ม ทางการเมืองมากขึ้น แต่ก็จำ�กัดวงอยู่ใน กลุ่มข้าราชการที่ทางการอังกฤษแต่งตั้ง และผู้ที่ได้รับการศึกษาแบบตะวันตก อย่างไรก็ตาม ด้วยการศึกษา แบบใหม่ก็ท�ำ ให้ประชาชนพม่าตระหนักถึง ความจำ�เป็นในการเรียกร้องเอกราชมาก ขึ้น ผู้ที่มีบทบาททางด้านนี้กลุ่มแรกๆส่วน มากเป็นนักศึกษาที่พัฒนาการเคลื่อนไหว ทางการเมืองภายใต้กรอบกฎหมาย ในปี 1906 เกิดสมาคมชาตินิยม Young Men Buddhist Association เน้นประเด็น ศาสนาและวัฒนธรรม ก่อนจะคลี่คลาย มาเป็น General Council of Burmese Association (GCBA) ซึ่งกลายมาเป็น แกนกลางของขบวนการเรียกร้องเอกราช พม่า ขณะเดียวกันในภาคชนบทก็มีกลุ่ม ชาวบ้านที่เคลื่อนไหวเรียกร้องให้พม่ากลับ สู่ค่านิยมดั้งเดิมและสถาบันที่มีมาก่อนยุค อาณานิคม เช่น กบฎซายาซาน 1930 1932
สงครามโลกครั้งที่สอง ญี่ปุ่นถือ โอกาสขณะที่เกิดสงครามในยุโรปเข้ายึด อาณานิคมของชาติตะวันตกในเอเชียรวม ถึงพม่า สมาคมสามสิบสหายจาก GCBA เข้ า รั บ การฝึ ก กั บ ญี่ ปุ่ น เพื่ อ กลั บ มาต่ อ สู้ กับเจ้าอาณานิคม แต่ก่อนที่ฝ่ายอักษะ จะปราชัย กองทัพบกของพม่าซึ่งกำ�เนิด ขึ้นจากการเข้าร่วมฝึกอาวุธกับญี่ปุ่นนี้ ก็ กลั บ หั น เข้ า ช่ ว ยอั ง กฤษขั บ ไล่ ญี่ ปุ่ น จน สำ�เร็จ ทำ�ให้เป็นข้อต่อรองหนึ่งที่อังกฤษ ต้องยอมปลดปล่อยพม่าในเดือนมกราคม 1948
ภายใต้ห้วงเวลาเหล่านี้ นับแต่การก่อตั้ง ทัพบกพม่าโดยการสนับสนุนและฝึกฝน
39
อย่างหนักของญี่ปุ่น องค์กรดังกล่าวได้ พัฒนาการจัดตั้งที่เข้มแข็งและมีบทบาท สำ�คัญในการกู้ชาติ ผู้นำ�กองทัพคือ นายพลเนวิ น ก็ ก้ า วขึ้ น สู่ ก ารเป็ น ผู้ นำ � ทางการเมืองที่โดดเด่นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะ หลังความตายของ ออง ซาน–บิดาแห่ง เอกราชพม่า ก็ยังไม่มีผู้นำ�ทางการเมือง คนใดที่ ส ามารถสั่ ง สมบารมีไ ด้ เที ย บเท่ า ปี 1948 – 1962 พม่าใช้ระบบ รัฐสภาภายใต้รัฐธรรมนูญปี 1947 ซึ่ง กำ�หนดให้มีสภาชนชาติควบคู่ไปกับสภาผู้ แทนฯ แต่นั่นยังไม่ใช่การบรรลุอุดมการณ์ อันสูงสุด ด้วยยังปรากฏว่าระบบเศรษฐกิจ ยังอยู่ในมือชาวต่างชาติ โดยเฉพาะ นายทุนเงินกู้ชาวอินเดีย ขณะที่ชนบทยัง เป็นสังคมเกษตร การแข่งขันทางการค้า ก็ตั้งอยู่บนความไม่เท่าเทียมทางสังคมซึ่ง ตกทอดมาตั้ ง แต่ ส มั ย ก่ อ นได้ รั บ เอกราช ฝ่ายสังคมนิยมและชนเผ่าจึงแยกตัวจาก ฝ่ายรัฐบาล เกิดสงครามกลางเมืองและ วิกฤติเศรษฐกิจ ต้องพึ่งพาต่างชาติ ใน ที่สุดก็เกิดการปฏิวัติโดยนายพลเนวิน เมื่อ วันที่ 2 มีนาคม 1962 พม่าเปลี่ยนแปลงการปกครอง เป็นระบอบสังคมนิยมวิถีพม่า (Burmese Way to Socialist) มีการยกเลิกทุกสภา ที่มีอยู่ ยุบพรรคการเมือง โอนกิจการ ต่างๆมาเป็นของรัฐซึ่งปกครองโดยรัฐบาล ทหาร โดยมีเป้าหมายที่จะกวาดล้าง
40
อิทธิพลต่างชาติที่ยังตกค้างให้สิ้นไป แต่ ก็ล้มเหลวในการจัดการปัญหาเศรษฐกิจ (ทั้งที่พม่ามีทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ และได้ชื่อว่าเป็นดั่งอู่ข้าวแห่งเอเชีย) จน กระทั่ ง ต้ อ งขอสถานภาพประเทศด้ อ ย พัฒนาจากสหประชาชาติในปี 1987 เกิด ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ� ต้องยกเลิกธนบัตร ฉบั บ เล็ ก ซึ่ ง ประชาชนถื อ อยู่ ม ากที่ สุ ด กระทบถึงการครองชีพชาวบ้านตลอดจน นั ก ศึ ก ษาซึ่ ง ในที่ สุ ด ก็ เ ป็ น กลุ่ ม ที่ อ อกนำ � การประท้วงรัฐบาล นำ�ไปสู่เหตุการณ์ นองเลื อ ดที่ รั ฐ บาลทหารใช้ กำ � ลั ง อาวุ ธ ล้อมปราบผู้ชุมนุม 8-8-88 หลั ง เหตุ ก ารณ์ ค วามรุ น แรง รัฐบาลสถาปนาคณะผู้บริหารประเทศชุด ใหม่คือ The State Law and Order Restoration Council : SLORC ที่ก็ไม่ พ้นกลุ่มอำ�นาจของชุดเก่าเท่าไรนัก ต่อ มาในเดือนพฤษภาคม 1990 มีการเลือก ตั้งทั่วไปในพม่า ผลปรากฎว่าพรรคฝ่าย ตรงข้ามคือ National League for Democracy (NLD) ซึ่งนำ�โดยนางออง ซาน ซูจี (บุตรีของผู้นำ�การเรียกร้องเอกราช ที่กล่าวถึงไว้ข้างต้น) ได้รับคะแนนเสียง อย่างท่วมท้นเหนือการคาดหมาย แต่ รัฐบาลพม่ากลับไม่ยอมรับผลการเลือกตั้ง และไม่ยอมลงจากอำ�นาจ โดยอ้างว่าพม่า ยังไม่พร้อมที่จะมีรัฐบาลพลเรือน จึงได้กัก บริเวณนางซูจีในข้อหาสร้างความไม่สงบ
นับแต่นั้น แม้จะทำ�การยกเลิกในปี 1995 เพื่อเข้าถึงแหล่งทรัพยากรดังที่ปรากฏใน แต่ก็เป็นเพียงการชั่วคราวเท่านั้น หลายกรณี สิ่งนี้เข้าทางรัฐบาลทหารพม่า ที่ พ ยายามสร้ า งภาพว่ า ระบอบดั ง กล่ า ว เป็นสิ่งแปลกปลอมที่เจ้าอาณานิคมเคยนำ� มาบังคับใช้กับพม่า ด้านอองซานซูจี แม้ในวัยเยาว์ จะจากบ้ า นเกิ ด เมื อ งนอนไปหลายสิ บ ปี แต่ในวัย43 ซึ่งบังเอิญเธอกลับมายังพม่า ในปี1988 เศรษฐกิจแบบสังคมนิยมของ พม่ากำ�ลังเข้าสู่ทางตัน ในคลื่นประท้วง ต่อต้านเผด็จการ เธอได้ขึ้นปราศรัยต่อ หน้าผู้ชุมนุมครั้งแรกและกลายเป็นเสมือน ผู้ นำ � ใหม่ ข องมหาชนที่ อ อกเคลื่ อ นไหว ทางการเมือง ด้วยภาพของเธอที่เป็น ประหนึ่งตัวแทนของพ่อ - นายพลออง ซานผู้ เ คยลุ ก ขึ้ น สู้ กั บ อำ � นาจอั น กดขี่ ข อง โลกตะวั น ตกมั ก ใช้ ป ระเด็ น เจ้าอาณานิคมมาก่อน เธอได้พิสูจน์ให้เห็น การกักขังนางซูจี และการละเมิดสิทธิ แล้วถึงการยืนหยัดเพื่อสังคมที่ดีกว่าด้วย มนุษยชนและความเป็นเผด็จการมาโจมตี สันติวิธี เธอยังเป็นตัวแสดงและสัญลักษณ์ พม่า นอกจากนี้ยังพยายามใช้มาตรการ แห่งความหวัง ที่รัฐบาลทหารพม่าเอง กดดันต่างๆ แต่ก็ไม่เป็นผล เพราะรัฐบาล ก็ ไ ม่ ก ล้ า จะใช้ อำ � นาจปื น ข่ ม เหงทำ � ลาย ทหารพม่ า อยู่ ไ ด้ ด้ ว ยการขายสั ม ปทาน ประชาคมโลกต่างยกย่องเชิดชูให้เป็นต้น ทรัพยากรอย่างป่าไม้ แร่ธาตุ รวมถึง แบบ(อาจรวมถึงอดีตผู้นำ�ไทยบางคนที่ก็ พลังงานแก่ประเทศในเอเชีย อย่างจีน พยายามมาแล้ว) ญี่ปุ่น หรือแม้กระทั่งไทยเอง มองวาท นี่ คื อ บทบาทของคนคนหนึ่ ง กรรมว่าด้วยประชาธิปไตยอีกด้านหนึ่งก็ แต่ ด้ ว ยรากฐานอำ � นาจทหารที่ ยั ง คง อาจเปรียบเหมือนเครื่องมือของประเทศ อยู่นับแต่สงครามโลกครั้งที่สอง ความ มหาอำ�นาจที่แสวงหาความชอบธรรมใน เปลี่ ย นแปลงคงไม่ ไ ด้ ม าจากคนคนเดี ย ว การเข้าไปแทรกแซงกิจการประเทศอื่นๆ หรือเวลาอันสั้น ณ ที่แห่งนี้ ที่ที่เราอยู่
41
เหมือนไม่ไกลห่างแต่ห่างไกล ข้อมูล ข่ า วสารหลากแง่ มุ ม แย่ ง ชิ ง พื้ น ที่ ข อง การรับรู้ในสังคม คนที่รู้ดีคือผู้สัมผัสผล กระทบของสถานการณ์ ความไม่สงบสุข ของประเทศเพื่อนบ้านมีความหมายอย่าง ยิ่ง อย่างน้อยที่สุดที่อาจเห็นเป็นรูปธรรม คือการหลั่งไหลเข้ามาของผู้อพยพ ปัญหา ทุกอย่างต้องการการรับรู้ เข้าใจและ เอาใจใส่อย่างจริงจัง ไม่ใช่เพียงกลุ่มคน ไม่มากไม่มายในเวทีการเมืองที่ให้ความ สำ�คัญกับผลประโยชน์เป็นหลัก หรือหาก ภาคพื้นดินจะรู้ค่าความเป็นผู้สร้างของตน ก็ไม่นานเกินรอ ใช่หรือไม่ นภนต์ สุรพัศร
แหล่งข้อมูล อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์, พรพิมล ตรีโชติ , เอเชียตะวันออกเฉียงใต้: กระบวนการ เป็นประชาธิปไตยและการเมืองใหม่, กทม.: สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย. 2542 ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. พม่า: ประวัติศาสตร์และการเมือง. กทม.: มูลนิธิโครงการตำ�ราเเละสังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์. 2544 http://www.salweennews.org/
สวัสดีค่ะ หลังจากห่างหายจาก กันไปนาน กลับมาพบกับเม็ดเลือดแดง ฉบับนี้ แฟนๆ สิงห์ลงพุงทั้งหลายคง ไม่ต้องรออีกต่อไป... เพราะฉบับนี้ สิงห์ลงพุงจะพาทุกคนมาพบกับร้านอร่อย ที่อยากแนะนำ�ให้ไปลอง ชิมกัน โดยร้านที่จะชวนชิมกันวันนี้ คือ ร้านใบโมก ร้านนี้ตั้งอยู่ใต้ หออินเตอร์ปาร์ค(ติดกับร้านอัดรูป) หลายคนอาจจะไม่คุ้นหูกับชื่อนี้มาก นัก เพราะร้านนี้เพิ่งเปิดทำ�การมาได้แค่ประมาณปีกว่า แต่ถึงแม้ว่ายังเป็น ร้านน้องใหม่อยู่สำ�หรับเวทีการประลองกลยุทธ์ด้านอาหาร แต่สิงห์ลงพุง ขอรับรองค่ะว่าฝีมือไม่แพ้ร้านใดในย่านนั้นอย่างแน่นอน (เพราะว่าไปชิมฝีมือ มาแล้ว)
42
หากหลายคนเบื่อกับการแย่งชิงเรื่องปากท้องกับคนอื่นๆที่โรงอาหารของ มหา’ลัย ร้านใบโมกก็ถือว่าเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่จะไม่ทำ�ให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน เพราะว่าภาพบรรยากาศโดยรวมของร้าน ที่เน้นตกแต่งด้วยโทนสีเขียวและสีขาวทำ�ให้ ดูสะอาด ร่มรื่น เหมาะสำ�หรับเป็นช่วงเวลาของการพักผ่อนจากความเคร่งเครียดใน ห้องบรรยาย และร้านก็เป็นร้านเล็ก ภายในร้าน นั้นมีโต๊ะประมาณ 5 ตัวและมีเครื่องปรับอากาศ คอยบริการความเย็นฉ่ำ�ให้แก่ลูกค้า หรือหากใคร อยากเปลี่ยนบรรยากาศรับลมธรรมชาติข้างนอก ร้านมีโต๊ะอีกประมาณ 3 ตัว ซึ่งภาพรวมของร้านดูสบายๆไม่วุ่นวายมากนัก เพื่อสร้าง ความเพลิดเพลินระหว่างการรอให้แก่ลูกค้า ทางร้านก็จัดเตรียมนิตยสารไว้หลากหลาย ประเภท และเกมส์โดมิโนให้เล่นเพื่อฆ่าเวลา เราก็แนะนำ�และสาธยายเรื่องอื่นมามากพอแล้ว และก็มาถึงประเด็นที่สำ�คัญ ที่สุด คือ เรื่องเมนูอาหารและรสชาติ ร้านใบโมกนั้น เป็นร้านอาหารตามสั่งมีทั้งที่เป็น ประเภทกับข้าวและเป็นอาหารจานเดียว รายการอาหารก็ถือว่ามีความหลากหลาย ไม่ ว่าจะเป็นต้ม ยำ� แกง ทอด ไม่เหมือนกับร้านอาหารตามสั่งทั่วๆไป ที่โดยปกติรายการ อาหารจะเป็นอาหารพื้นๆ
และที่ขาดไม่ได้ก็คงจะเป็นเรื่องราคาร้านนี้ ถือว่าไม่แพงมากนัก สำ�หรับ นักศึกษาถือว่าเป็นราคาสบายกระเป๋า นอกจากนี้ทางร้านยังมีบริการพิเศษ สามารถ โทรมาสั่งอาหารได้ และบริการส่งถึงที่ฟรีไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่ม หากใครกำ�ลังหาร้าน อร่อยอยู่ ร้านใบโมกก็ถือเป็นตัวเลือกหนึ่งที่จะไม่ทำ�ให้คุณผิดหวังอย่างแน่นอน
43
ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่รอทางออกเพื่อคลี่คลายปัญหา สภาพ เศรษฐกิจที่รอการกระตุ้นให้เกิดการขยายตัว การรอคอยจะมีคุณค่าก็ต่อเมื่อเรารอสิ่ง ที่มีค่ามากที่สุด ดังนั้นสิงห์ลงพุงจึงไม่เคยเสียใจเลยที่รอต่อแถวยาวเพื่อซื้อขนมอร่อยสัก อย่างหนึ่ง เพราะนั้นก็เป็นการรอที่คุ้มค่าแล้ว เรื่อง กินไม่ใช่เรื่องใหญ่ เรื่องไม่ได้กินต่างหากที่เป็นเรื่องใหญ่
By alizz
สวัสดีค่ะทุกๆคน กลับมาพบกับหัวใจติดปีกกันอีกเช่น เคย คอลัมน์ที่เราจะไปคุยกับรุ่นพี่ที่จบไปแล้วและถือว่าประสบ ความสำ�เร็จในชีวิต สำ�หรับเล่มนี้เราจะพาทุกคนไปพบกับ
พี่ใหญ่ วรพันธุ์ สุวัณณุสส์ สิงห์แดงรุ่น 33 ซึ่งปัจจุบัน ทำ�งานเป็นผู้อำ�นวยการศูนย์บริการประชาชน ของสำ�นักสอบสวนนิติการ กรมการปกครอง ซึ่งในการคุยกันวันนี้พี่ใหญ่จะพาเราย้อนวันวานไปในสมัยเรียน
รวมทั้งเล่าประสบการณ์ต่างๆให้เราได้ฟังกัน ถ้าพร้อมแล้วก็ไปพบกับพี่ใหญ่กันเลยค่ะ Q: พี่ช่วยแนะนำ�ตัวให้น้องๆรู้จักหน่อยค่ะ
A: พี่เป็นสิงห์แดงรุ่น 33 ครับ รหัส 243109 อยู่โต๊ะแสงจันทร์ พี่เอกการปกครอง แล้วก็ไปโทพัฒนาชุมชนของคณะสังคมสงเคราะห์ คือมันตั้งเป้าไว้ตั้งแต่แรกว่าถ้าฉัน เรียนรัฐศาสตร์มันต้องเอกปกครอง มันถึงจะอยู่ตรงนี้ ที่จริงตอนเรียนมัธยมพี่เรียน สายวิทย์ มุ่งจะเป็นหมอ เข้าวิศวะมากกว่า แต่ก็มีเครือญาติคือคุณตาเป็นผู้ว่าไง พอ ผลออกมาก็ติดรัฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ก็เลยเรียน คือมันได้เพื่อนน่ะ เรียนแล้วสนุก ด้วยไง ก็เลยเลือกทางปกครองแล้วโทพัฒนาชุมชน พอเลือกมาทางนี้แล้วมันก็หนี feel ราชการไม่ได้
44
Q: พี่คิดอย่างไรคะ ที่มีคนบอกว่าสมัยนี้จบรัฐศาสตร์ แล้วจะไม่มีงานทำ�
A: คือรัฐศาสตร์เราเรียนกว้าง เป็นวิชาทฤษฎีมากกว่าที่จะเป็น วิชาชีพ แต่เราต้องรู้จักเรียนเสริม คือถ้าเรามาทางรัฐศาสตร์ ทางราชการ ทางปกครองแล้ว เราจะต้องเรียนกฎหมาย เสริมเพราะทางราชการหรือทางปกครองมันจะต้องมีทั้ง หลักรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์เข้ามาเกี่ยวข้องไม่อย่าง นั้นมันอยู่ไม่ได้หรอก พี่เองก็จบนิติศาสตร์ คือพอ เราจบธรรมศาสตร์ก็ไปต่อโทที่นิด้า แต่เราลง นิติศาสตร์ รามคำ�แหงตั้งแต่เรียนที่ธรรมศาสตร์ แล้ว ก็เรียนควบกัน มันก็เหนื่อยหน่อย Q: คือพี่วางแผนการเรียนของพี่ไว้ ตั้งแต่ต้นเลยใช่มั๊ยคะ
A: คือพี่มองไว้ว่าถ้าเรามุ่งมาสายนี้แล้ว มาทางปกครองแล้ว พี่ใหญ่ วรพันธุ์ สุวัณณุสส์ เราจะต้องเรียนนิติเสริม พี่ก็เรียนตั้งแต่ปีสอง คือพี่คิดว่าตอน นี้เรายังมีไฟอยู่ เราต้องรีบเรียน ถ้าจะให้พี่ไปเรียนปริญญาเอกตอนนี้ก็คงไม่ไหว เพราะ ว่าในเรื่องของภารกิจการงานเองมันก็หนัก Q: แล้วประสบการณ์ในการเรียนของพี่เป็นอย่างไรบ้าง พี่ทำ�กิจกรรม อะไรบ้างคะ
A: ชุมนุมเชียร์ คือเมื่อก่อนจะมีโต๊ะเชียร์ ก็ไม่ได้เป็นการบังคับนะ แต่เป็นการรู้กันของ มวลหมู่สมาชิกรัฐศาสตร์ด้วยกัน คือคณะเราระบบ SOTUS มันแรง เรื่องน้องเคารพ พี่ พี่ก็อารีย์ต่อน้อง เพราะฉะนั้นเวลามีแข่งกีฬาเราก็ไปเชียร์พี่ เชียร์พวก แล้วก็มีเล่น ฟุตบอลของคณะบ้าง บอลชั้นปีน่ะ Q: พี่มีความเห็นอย่างไรในเรื่องของการทำ�กิจกรรมควบคู่ ไปกับการเรียนคะ
A: คือชีวิตในมหาวิทยาลัย ส่วนหนึ่งที่ต้องรับผิดชอบคือเรื่องของการเรียน แต่ไม่ใช่ ว่าการที่คุณเรียนจบเกียรตินิยมแล้วคุณจะเอาตัวรอดในสังคมได้ การทำ�กิจกรรม
45
ระหว่างเรียนจะเป็นการเปิดโลกทัศน์ของคุณให้กว้างขึ้น การอยู่ในสังคมมันต้องมีเพื่อน มีพวก การทำ�กิจกรรมจะทำ�ให้คุณเห็นความคิดของคนอื่น ได้เห็นพฤติกรรมของบุคคล มันจะทำ�ให้เราแตกฉานขึ้น การทำ�กิจกรรมจะทำ�ให้คุณมีประสบการณ์ที่จะออกมาสู้กับ โลกภายนอก คือการเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีเสรีภาพ มันอาจจะทำ�ให้คุณเตลิดเปิดเปิง แต่สิ่งสำ�คัญคือคุณต้องมีความรับผิดชอบ รับผิดชอบต่อพ่อแม่ เขาส่งคุณมาเรียนคุณ ต้องเรียนให้สำ�เร็จ รับผิดชอบต่อคณะ คุณทำ�อะไรให้คณะบ้างล่ะ เขามีเชียร์เคยไปเชียร์ กับเขามั๊ย เขาออกค่ายเคยไปค่ายกับเขามั๊ยล่ะ อย่าถามแต่ว่าคณะให้อะไรเราบ้าง ต้อง ถามว่าเราเคยทำ�อะไรให้คณะบ้างหรือเปล่าล่ะ Q: ตอนนี้พี่ทำ�งานอะไร และมีภารกิจหน้าที่อะไร บ้างคะ
A: ตอนนี้เป็นผอ.ศูนย์บริการประชาชน ของสำ�นักสอบสวน นิติการ กรมการปกครอง เป็นงานที่กระทรวงมหาดไทยรับ โอนกฎหมาย 6 ฉบับจากตำ�รวจ เป็นงานกองทะเบียนเก่าของ ตำ�รวจน่ะ งานก็จะเกี่ยวกับเรื่องอาวุธปืน โรงแรม การพนัน การเรี่ยไร งานค้าของเก่า ของมือสอง รวมทั้งโรงรับจำ�นำ� คือ เมื่อก่อนจะขอปืนก็ไปขอกับตำ�รวจ เดี๋ยวนี้ก็มาขอที่นี่ จะเปิดเต็นท์รถ เปิดร้านมือถือ ร้านเพชร ร้านพลอย โรงแรมก็ขอที่นี่ทั้งหมด แม้กระทั่งสนามม้า สนามมวย การพนัน ทั้งหมดก็ต้องมาขอที่นี่ Q: งานที่พี่ทำ� มันเป็นเป้าหมายที่พี่ตั้งไว้แล้ว หรือเปล่าคะ
A: มันก็ใช่นะ พี่เป็นปลัดมา ถามว่าอยากเป็นมั๊ย มันก็ อยากเป็น แต่คนเราถ้าตั้งเป้าเอาไว้ต่ำ�มากมันก็จะไม่ เกิดการขวนขวาย พี่อาจจะเป็นคนทะเยอทะยาน นะ คุณตั้งเป้าเอาไว้ให้สูงสักนิดนึง แล้วพยายาม ชกให้ถึง ถ้าคุณตั้งเป้าไว้แค่นายอำ�เภอ พอ คุณได้เป็นแล้ว มันก็จะ ไม่ขวนขวาย
46
คุณก็จะเรื่อยเปื่อย รอวันเกษียณ ผมทำ�งานหนักมาก เราต้องทุ่มเทให้กับงาน เพราะ ผมไม่ได้ตั้งเป้าไว้ที่นายอำ�เภอ ผมตั้งไว้ว่าจะเป็นผู้ว่าฯ ผมผ่านการเป็นนายอำ�เภอมา แล้ว ตอนนี้ผมเป็นผอ. ผมก็ต้องขวนขวายต่อไปให้ถึงเป้าหมาย Q: พี่เคยมีเหตุการณ์ที่ต้อง “รอไปก่อน” มั๊ยคะ
A: ก็เป็นธรรมดานะสำ�หรับราชการ คือเราก็อยากก้าวหน้าเร็วนะ แต่บางทีนายก็ บอกว่า คุณอาวุโสยังน้อย ยังอยู่ได้อีกนาน ให้พี่เขาไปก่อนแล้วกัน ผมเจออย่างนี้มา ก็หลายครั้งนะ แต่เราก็ต้องทำ�ผลงานของเราให้มันเห็นชัด พอวันหนึ่งที่เราได้ขึ้นมาคน เขาจะได้ยอมรับ ไม่ใช่ขึ้นมาแล้วคนยี๊กันทั้งเมืองก็ไม่ไหว Q: สุดท้ายนี้พี่มีอะไรที่อยากจะฝากถึงน้องๆบ้างคะ
A: คือคนเรามันไม่มีใครที่จะดีเลิศหรือประเสริฐครบ100%นะ คุณอยู่กับใครก็เก็บ ประสบการณ์มา อะไรที่ดีๆก็เก็บไปทำ� อะไรที่ไม่ดีก็อย่าไปเอาเป็นแบบอย่าง น้องเรียน มหาวิทยาลัย วิชาการก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำ�ให้คุณออกมาสู้โลกได้ แต่วิชาการอย่าง เดียวมันไม่พอ คุณต้องมีสังคม มีเพื่อน ถ้าคุณไม่มีคุณอยู่ไม่ได้หรอก และที่อยากฝาก น้องๆก็คือ ถ้าเรามีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ตัวเอง จุดไหนคุณก็อยู่ได้ และอย่าคิดแต่ ว่าธรรมศาสตร์ให้อะไรคุณบ้าง เราต้องคิดกลับกันว่า เราให้อะไรกับธรรมศาสตร์บ้าง เป็นอย่างไรบ้างคะ ได้คุยกับพี่ที่ถือว่าก้าวหน้าในหน้าที่การงานค่อนข้างเร็ว หวังว่าเพื่อนๆพี่ๆน้องๆชาวสิงห์แดงคงจะได้รับข้อคิดที่ดีๆหลายอย่างที่นำ�ไปปรับใช้ใน การเรียน การทำ�งานและการใช้ชีวิตได้นะคะ แล้วอย่าลืมติดตามหัวใจติดปีกเล่มหน้า ด้วยนะคะ
47
คิ ด ของคนอื่ น ทั้ ง ในอดี ต ถึ ง ปั จ จุ บั น ก็ เป็นวิธีการที่ดีอย่างหนึ่ง ความคิดของ กระฎุมพีหรือพลเมืองสามัญที่ใช้ชีวิตและ เคลื่อนไหวในทางการเมืองในอดีตที่ทรง งทั้งฝรั่งหรือไทย อย่างหมอบลัดเลย์ รอ(อ่านหนังสือ)ไปก่อน พลั หรือ กุหลาบ สายประดิษฐ์ กับความ คิ ด กระฎุ ม พี ใ นเอกสารทางการเมื อ งชิ้ น ก า ร ร อ โ ด ย เ ฉ พ า ะ ที่ เ กี่ ย ว สำ�คัญของกระฎุมพีที่ “ไม่ไพร่” กับหนังสือ มักจะเป็นการรอ ตีพิมพ์ วางแผง รอขนส่ง หรือ รอให้คนเขียน ที่เราชอบเขียนงานออกมาสักชิ้นนั้นเป็น สิ่งปกติของนักอ่านที่ต้องเผชิญอยู่ตลอด แต่ถึงอย่างไร หนังสือก็เป็นสิ่งที่ช่วยฆ่า เวลาในการรอเรื่องต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน เช่น การอ่านหนังสือพิมพ์เพื่อรอรถไฟที่สถานี (เพราะสไตรค์ - -*) หรือรอใช้บริการทาง แพทย์ เช่น ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ ของภาค รัฐ นัยหนึ่งหนังสือก็เป็นสิ่งที่ต้องรอและ บรรเทาการรอคอยที่ยาวนานไปพร้อมกัน ในตัว การรอก็ใช่ว่าจะไร้ค่าเสียทีเดียว เพราะการรอก็เป็นเวลาให้เราคิดทบทวน เรื่องต่าง ๆ หรือทำ�ในสิ่งที่เราไม่ได้ทำ� ดั ง นั้ น การอ่ า นหนั ง สื อก็เป็นการใช้เวลา “คำ � กราบบั ง คมทู ล ความเห็ น จั ด การ ระหว่างการรอที่ดีทางหนึ่ง แน่ล่ะการหา เปลี่ยนแปลงราชการแผ่นดิน ร.ศ.103” หนังสือดี ๆ เพื่อฆ่าเวลารอคอยเม็ดเลือด ของพระองค์เจ้าปฤษฎางค์ และ “เป็น แดงฉบับใหม่นั้นก็เป็นสิ่งที่ดี (สำ�หรับผู้ ไพร่” อย่างฎีกาชาวบ้านร้องทุกข์เรื่องผัก จัดทำ�ไส้แห้ง) มาก ๆ เช่นกัน ^-^ ตบชวา ในหนังสือชื่อ ความคิดการเมือง ถ้ า ก า ร ร อ ค อ ย นั้ น คื อ ก า ร ไพร่กระฎุมพีแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ของ ทบทวนความคิดของเรา การอ่านความ ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ นักประวัติศาสตร์
48
ไทยที่ ไ ด้ รั บ แนวคิ ด การศึ ก ษาแบบทั้ ง รั ฐ ศาสตร์ แ ละแนวคิ ด ประวั ติ ศ าสตร์ อเมริกัน ที่เป็นกรอบสำ�คัญของการ วิเคราะห์ของหนังสือ แม้หนังสือเล่มนี้จะ ใช้ชื่อว่า “ไพร่กระฎุมพี” ที่แปลว่า “คน พลเมืองที่มีเงินพอใช้เลี้ยงชีวิต ไม่เป็นทาส บุคคลใด” แต่ ห นั ง สื อ เล่ ม นี้ ก็ ไ ด้ ร วบรวม ความคิดทางการเมืองของปัญญาชนทั้ง ที่เป็นไพร่กระฎุมพีและกระฎุมพีผู้ยิ่งใหญ่ ทั้งสองฝ่ายที่หลากหลาย เป็นแนวคิดที่ ส่ ง ผลต่ อ ปั ญ ญาชนสาธารณะในปั จ จุ บั น ทั้ ง ความคิ ด เชิ ง วิ พ ากษ์ อ ย่ า งของเที ย น วรรณ และ ก.ศ.ร.กุหลาบ หรือความ คิดเชิงอนุรักษ์ของ สมเด็จฯ กรมพระยา ดำ�รงราชานุภาพ ทั้งแนวคิดเศรษฐกิจ แบบทุนนิยม สิทธิมนุษยชน ความ เป็นระเบียบวินัยในสังคมการเมือง และ แนวคิดมนุษยภาพหรือมนุษยนิยม เป็นต้น แนวความคิดของกระฎุมพีดังกล่าวที่กลาย เป็นกรอบคิดของไทยในปัจจุบัน เป็นผล จากยุคก้าวผ่านของสังคมไทยเดิมมาสู่ยุค สังคมสมัยใหม่ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่สี่และ รัชกาลที่ห้าที่เป็นแนวคิดของเทียนวรรณ ก.ศ.ร.กุหลาบ กรมพระยาดำ�รงฯ จนถึง ยุ ค หลั ง การเปลี่ ย นแปลงการปกครองที่ เป็นแนวคิดของปรีดี พนมยงค์ จนถึง ส.ศิวรักษ์ การพิเคราะห์ความคิดการเมือง ไทยของกระฎุ ม พี ผ่ า นหนั ง สื อ เล่ ม นี้ อ าจ
เป็นการรอที่ดี ก่อนการเริ่มสงครามยก ใหม่ของความคิดการเมืองไทยยุคดิจิตอล (เหอๆๆๆ) การรอคอยสงครามยกใหม่ ใ น การเมื อ งไทยเป็ น การรอที่ ไ ม่ น่ า อภิ ร มย์ สำ�หรับทุก ๆ คน เพราะเป็นการรอที่ดูไม่ น่าจะมีความหวังสักเท่าไหร่ แต่ความหวัง เล็กๆ ในสังคมไทยที่ดูจะต้อง “รอไปก่อน” ก็ยังปรากฏอยู่ในหนังสือ ยังมีความหวัง ของคอลัมนิสต์ฝรั่งหัวใจสยาม ไมเคิล ไรท หรือ ลุงไมค์ ผู้ล่วงลับ ที่มาพร้อม กับแมวเหมียวอีนังโมหิณี หนังสือเล่มนี้ เป็นการรวมข้อเขียนในคอลัมน์ “ฝรั่งมอง ไทย” ใน “มติชนสุดสัปดาห์” ตั้งแต่กลาง ปี 2548 ถึงต้นปี 2550 ซึ่งเป็นช่วง เวลาที่ลุงไมค์เรียกว่า “เข้าขั้นวิกฤตจนน่า สะพรึงกลัว” แม้ว่าบทความในคอลัมน์ หลายบทจะดู “เก่า” เพราะสถานการณ์ ทางการเมืองได้เปลี่ยนแปลงไปมาก แต่ บางบทความก็ ยั ง สดใหม่ แ ละเตื อ นสติ คนไทยได้ดีอยู่อย่าง ทำ�ไมคนเราถึง วางแผนชีวิตผิดพลาด? แต่เอกลักษณ์ ข้อเขียนของลุงไมค์ก็ยังใช้สไตล์ที่ “เจ็บๆ คันๆ” เช่นเคยครบทุกบทความทั้งเรื่องผู้ดี เก่ากับเศรษฐีใหม่ เพศศึกษาสำ�หรับยุวชน จริยธรรมนักการเมือง
49
จนถึงยุคหลังทักษิณ? หลังบุช? ฯลฯ
มนุษยชาติ(ทั้งไทยและอื่น) มีทางดำ�รง อีกต่อไปอย่างล้มลุก มีทุกข์ปนสุขตามเคย ผมขอเพียงว่า ขอทุกคนใช้ปัญญา, จะได้ สุขสนุกสนานมากกว่าความทุกข์ระทม” การรอแม้ ว่ า จะทำ � ให้ เ รารู้ สึ ก กระอักกระอ่วนใจ ไม่ว่าจะน่าเบื่อ ลุ้น ระทึก หรือเซ็งสุดขีด แต่ช่วงเวลาการรอ ก็เป็นช่วงของการทบทวนความคิดหรือทำ� ในสิ่งที่ไม่เคยทำ�มาก่อน แต่เราต้องไม่ลืม ว่า การรอนั้นจะเป็นการรอที่มีหวังหรือ สิ้ น หวั ง นั้ น ก็ เ ป็ น สิ่ ง ที่ เ ราไม่ อ าจจะคาด เดาได้จนกว่าการรอคอยจะสิ้นสุดลง แต่ ผู้เขียนเห็นว่า เวลาที่รอคอยนั้นเราต้อง ทำ � สติ ใ ห้ มั่ น คงและรอรั บ ผลของการรอ คอยอย่างเต็มใจ ภูมิใจ หรือไม่ก็ “ทำ�ใจ” เหมือนที่ลุงไมค์ทิ้งท้ายไว้ว่า “มนุษยชาติมี แม้ ว่ า ทั ศ นะของลุ ง ไมค์ จ ะมี ทางดำ�รงอีกต่อไปอย่างล้มลุก มีทุกข์ปน หลายคนมักบอกทำ�นองว่า “เป็นฝรั่งอย่า สุขตามเคย” สู่รู้อวดดีเรื่องคนไทย” หรือไม่ก็มองโลก ใน “แง่ร้าย” อยู่มากจนไม่น่าจะมีความ หวังนัก แต่ในคำ�นำ�ของหนังสือเล่มนี้ ลุ ง ไมค์ ก็ ไ ด้ ต อบเรื่ อ งมองโลกในแง่ ร้ า ย ไว้น่าสนใจว่า “ทั้งเมืองไทยและโลกต่าง อยู่ ใ นขั้ น วิ ก ฤตเดื อ ดร้ อ นตลอดมาตั้ ง แต่ ต้นคือตั้งแต่อาดัมกับเอวากินลูกแอปเปิล แล้วถูกไล่ออกจากสวนสวรรค์, หรือตั้งแต่ แถนลงมาชิ ม ดิ น /แสงหล่ น เพี ย งดั บ ไต้ เหตุนี้เกิดเมื่อกี่พัน, กี่หมื่นปีมาแล้ว? แต่ แล้วไม่เห็นถึงขั้นประลัยโลกเสียที ดังนั้น
50
ชื่อหนังสือ : ความคิดการเมืองไพร่กระฎุมพี แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เขียนโดย : ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ พิมพ์ครั้งที่ : 1 (กรกฎาคม 2549) โดยสำ�นักพิมพ์มติชน ISBN : 974-323-704-6 รายละเอียดรูปเล่ม : ปกอ่อน ราคา : 220.00 บาท
ชื่อหนังสือ : ไมเคิล ไรท ‘ยังมีความหวัง’ เขียนโดย : ไมเคิล ไรท แถมโดย อินังโมหิณี พิมพ์ครั้งที่ : 1 (สิงหาคม 2551) โดยสำ�นักพิมพ์มติชน ISBN : 978-974-02-0192-2 รายละเอียดรูปเล่ม : ปกอ่อน ราคา : 170.00 บาท
51
ซดชาหมดหลายแก้ว ฟาดขนมปังไปอีก หลายแผ่นก็ยังคิดกันไม่ออกล่ะซี ถ้าอย่างนั้น มาเฉลยกันดีกว่า
เล่มนี้ชาหมดแล้ว แหม่...น่าเสียดายจริงๆ ว่ามั้ย มาจิบชากันใหม่ฉบับหน้าครับ 52
Special Thanks ขอขอบคุณ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของพวกเรา ขอขอบคุณ พี่พร พีเ่ หมียว และพี่ๆเจ้าหน้าที่คณะรัฐศาสตร์ทุกคน ที่คอยอำ�นวยความ สะดวกและให้คำ�แนะนำ�แก่พวกเราเสมอมา ขอขอบคุณ สมาชิกเม็ดเลือดแดงทุกคน ทั้งเลือดเก่าและเลือดใหม่ ที่ร่วมกันเรียนรู้ความ รู้สึกของการ “รอไปก่อน” โดยไม่บ่นมากมายเท่าไหร่ ขอขอบคุณ เวลาของแต่ละคนที่ไม่เคยเดินเท่ากัน ที่ทำ�ให้เรารู้จักคำ�ว่า “รอไปก่อน” ขอขอบคุณ ประเทศไทย ที่มีเรื่องให้เราต้อง “รอไปก่อน” ตลอดเวลา ขอขอบคุณ คุณผู้อ่านทุกๆคนที่ยังคน “รอ” พวกเราอยู่
สามัคคี ประเพณี เป็นพี่น้อง สามัคคี ประเพณี เป็นพี่น้อง สามัคคี ประเพณี เป็นพี่น้อง