โยคะสารัตถะ 06_2012

Page 1

¨จ´ดËหÁมÒาÂย¢ข ‹ÒาÇว âโÂย¤คÐะÊสÒาÃรÑัµต¶ถÐะ

ÊสÒาÃรÑัµต¶ถÐะ ÁมÔิ¶ถØุ¹นÒาÂย¹น 2555

• ‘Åล´ด âโÅลÀภ Ãร้Íอ¹น’ ¹นÔิÂยÒาÁมãใËหÁม่¢ขÍอ§ง¡กÒาÃรàเ´ดÔิ¹น·ท∙Òา§ง • ÊสÁมÑั¤คÃร´ด่Çว¹น ¤คÍอÃร์Êส¤คÃรÙูâโÂย¤คÐะàเ¾พ×ื่Íอ¡กÒาÃร¾พÑั²ฒ¹นÒา¨จÔิµต • âโÂย¤คÐะ ·ท∙ÓำÃร้ÒาÂยÃร่Òา§ง¡กÒาÂย¤คØุ³ณäไ´ด้ÍอÂย่Òา§งäไÃร

àเÃร×ื่Íอ§งàเ´ด ‹¹น ¨จÒา¡ก

New York Times www.thaiyogainstitute.com [1]


¨จ´ดËหÁมÒาÂย¢ข ‹ÒาÇว âโÂย¤คÐะÊสÒาÃรÑัµต¶ถÐะ ÇวÔิ¶ถÕีªชÕีÇวÔิµตàเ¾พ×ื่ÍอÊสØุ¢ขÀภÒาÇวÐะ

มีข้อความมาถึงเราทางเวบ และขอนำมาฝากทุกๆ คน ทั้งคนอ่าน คนเขียน ตลอดจนทีมทำงาน

·ท∙Õี่»ปÃรÖึ¡กÉษÒา áแ¡ก ŒÇว ÇวÔิ±ฑÙูÃรÂย àเ¸ธÕีÂยÃร ¸ธÕีÃรàเ´ดªช ÍอØุ·ท∙ÑัÂยÇวÔิ·ท∙ÂยÒาÃรÑัµต¹น  ¹น¾พ.Âย§งÂยØุ·ท∙¸ธ Çว§งÈศ ÀภÔิÃรÁมÂย ÈศÒา¹นµตÔิ์ ¹น¾พ.ÊสÁมÈศÑั¡ก´ดÔิ์ ªชØุ³ณËหÃรÑัÈศÁมÔิ์

¡กÃรÃรÁม¡กÒาÃร ¡กÇวÕี ¤ค§งÀภÑั¡ก´ดÕี¾พ§งÉษ , ¨จÕีÃรÐะ¾พÃร »ปÃรÐะâโÂยªช¹น ÇวÔิºบÙูÅลÂย , ¹นÑั¹น·ท∙¡กÒา àเ¨จÃรÔิ­Þญ¸ธÃรÃรÁม, ÃรÑั°ฐ¸ธ¹นÑั¹น·ท∙  ¾พÔิÃรÔิÂยÐะ¡กØุÅลªชÑัÂย, ÇวÃรÃร³ณÇวÔิÀภÒา ÁมÒาÅลÑัÂย¹นÇวÅล, ÊสÁม´ดØุÅลÂย  ËหÁมÑั่¹นàเ¾พÕีÂยÃร¡กÒาÃร

ÊสÓำ¹นÑั¡ก§งÒา¹น ¾พÃร·ท∙Ôิ¾พÂย  ÍอÖึ§ง¤คàเ´ดªชÒา, ÇวÑัÅลÅลÀภÒา ³ณÐะ¹นÇวÅล, ÊสØุ¨จÔิµต¯ฏÒา ÇวÔิàเªชÕีÂยÃร

¡กÍอ§งºบÃรÃร³ณÒา¸ธÔิ¡กÒาÃร ¨จÔิÃรÇวÃรÃร³ณ µตÑั้§ง¨จÔิµตàเÁม¸ธÕี, ªช¹นÒา¾พÃร àเËหÅล×ืÍอ§งÃรÐะ¦ฆÑั§ง, ³ณÑัµต°ฐÔิÂยÒา »ป ÂยÁมËหÑั¹นµต , ³ณÑั¯ฏ°ฐ ÇวÃร´ดÕี ÈศÔิÃรÔิ¡กØุÅลÀภÑั·ท∙ÃรÈศÃรÕี, ¸ธ¹นÇวÑัªชÃร  àเ¡กµต¹น ÇวÔิÁมØุµต, ¸ธÕีÃรÔิ¹น·ท∙Ãร  ÍอØุªชªชÔิ¹น, ¾พÃร¨จÑั¹น·ท∙Ãร  ¨จÑั¹น·ท∙¹นäไ¾พÃรÇวÑั¹น, ÇวÔิÊสÒา¢ขÒา äไ¼ผ ‹§งÒาÁม, ÇวÕีÃรÐะ¾พ§งÉษ  äไ¡กÃรÇวÔิ·ท∙Âย , ÈศÑั¹นÊส¹นÕีÂย  ¹นÔิÃรÒาÁมÔิÉษ

“¢ขÍอºบ¤คØุ³ณÁมÒา¡ก¤ค ‹Ðะ ·ท∙Óำ Emagazine äไ´ด Œ¹น ‹ÒาÍอ ‹Òา¹นÁมÒา¡ก¤ค ‹Ðะ àเ¹น×ื้ÍอËหÒา¡ก็Íอ ‹Òา¹นÊส¹นØุ¡กÁมÕี»ปÃรÐะâโÂยªช¹น ´ดÕี¤ค ‹Ðะ” Ëห¹น ‹ÍอÂย (¾พÑั²ฒ¹น¨จÃรÔิ¹น·ท∙Ãร )

2]


CONTENTS 04 : workshop update คอร์สครูโยคะเพื่อการพัฒนาจิต รุ่น 12

04 06 : Åล´ด âโÅลÀภ Ãร ŒÍอ¹น ¡กÑัºบ âโÂย¤คÐะ ¾พÒาàเ¾พÅลÔิ¹น : การเดินทางที่ผสานความลงตัวของโยคะ

06

และวิถีชีวิต 08 : »ป¯ฏÔิ·ท∙Ôิ¹น¡กÔิ¨จ¡กÃรÃรÁม 10 : ¡กÒาÂยáแÅลÐะãใ¨จãใ¹นÍอÔิ¹นàเ´ดÕีÂย ขึ้นเขาคิชกูฏ กรุงราชคฤห์ âโ´ดÂย..¤คÃรÙูËห¹นÙู ªชÁมªช×ื่¹น ÊสÔิ·ท∙¸ธÔิàเÇวªช

10

12 : ªชÇว¹น¤คÔิ´ด 14 : àเ¡ก็ºบÁมÒา½ฝÒา¡ก 15 : ¾พÃรÐะäไµตÃร»ป ®ฎ¡กáแ¡ก ‹¹น¸ธÃรÃรÁม 16 : µตÓำÃรÒาâโÂย¤คÐะ´ดÑั้§งàเ´ดÔิÁม 17 : ºบÑั¹น·ท∙Öึ¡ก·ท∙ ‹ÒาÈศ¾พ 18 : ¨จÒา¡ก»ป¡ก âโÂย¤คÐะ ..ÊสÒาÁมÒาÃร¶ถ·ท∙ÓำÃร ŒÒาÂยÃร ‹Òา§ง¡กÒาÂย¤คØุ³ณäไ´ด ŒÍอÂย ‹Òา§งäไÃร 23 : Family Yoga Camp

3]

18


áแÅลÐะÀภÒา¤คÇวÔิªชÒา»ปÃรÑัªช­ÞญÒาáแÅลÐะÈศÒาÊส¹นÒา ¤ค³ณÐะÁม¹นØุÉษÂยÈศÒาÊสµตÃร  ÁมÈศÇว

¤คÍอÃร์Êส

ÍอºบÃรÁม¤คÃรÙูâโÂย¤คÐะ

àเ¾พ×ื่ Íอ¡กÒาÃร¾พÑั²ฒ¹นÒา¨จÔิµต µตÒาÁมµตÓำÃรÒา´ดÑัé้§งàเ´ดÔิÁม ËหÅลÑั¡กÊสÙูµตÃร 220 ¢ขÑัè่ÇวâโÁม§ง (ÃรØุè่¹น12) âโ´ดÂย ¤คÃรÙูÎฮÔิâโÃรªชÔิ ÎฮÔิàเ´ดâโ¡กÐะ ÍอÒาäไÍอ¤คÒาµตÐะ * áแÅลÐะ·ท∙ÕีÁม¤คÃรÙูÊส¶ถÒาºบÑั¹นâโÂย¤คÐะÇวÔิªชÒา¡กÒาÃร ãใ¹นÊส ‹Çว¹น¢ขÍอ§ง¤คÃรÙู­ÞญÕี่»ปØุ †¹น ºบÃรÃรÂยÒาÂยàเ»ป š¹นÀภÒาÉษÒาÍอÑั§ง¡กÄฤÉษ ¾พÃร ŒÍอÁมÅล ‹ÒาÁมáแ»ปÅลàเ»ป š¹นäไ·ท∙Âย

ÊสÁมÑั¤คÃร

ÃรÑัºบ¨จÓำ¹นÇว¹น¨จÓำ¡กÑั´ด 30 ¤ค¹น

´ด ‹Çว¹น

ªช ‹Çว§งàเÇวÅลÒาÍอºบÃรÁม : ÇวÑั¹น·ท∙Õี่ 4 ¡กÃร¡ก®ฎÒา¤คÁม ¶ถÖึ§ง 13 µตØุÅลÒา¤คÁม 2555 àเÃรÕีÂย¹นàเÂย็¹นÇวÑั¹น¨จÑั¹น·ท∙Ãร  ¾พØุ¸ธ áแÅลÐะ ¾พÄฤËหÑัÊส / ÇวÑั¹นàเÊสÒาÃร àเµต็ÁมÇวÑั¹น áแÅลÐะ ºบÒา§งÍอÑั§ง¤คÒาÃร àเÂย็¹น ·ท∙Õี่¤ค³ณÐะÁม¹นØุÉษÂยÈศÒาÊสµตÃร  ÁมÈศÇว »ปÃรÐะÊสÒา¹นÁมÔิµตÃร àเ¹น×ื้ÍอËหÒา ½ฝ ƒ¡ก»ป¯ฏÔิºบÑัµตÔิ·ท∙ÓำÍอÒาÊส¹นÐะ¾พ×ื้¹น°ฐÒา¹น »ปÃรÒา³ณÒาÂยÒาÁมÐะ ÁมØุ·ท∙ÃรÒา ¾พÑั¹น¸ธÐะ ¡กÔิÃรÔิÂยÒา µตÒาÁมµตÓำÃรÒา´ดÑั้§งàเ´ดÔิÁม áแÅลÐะ àเÃรÕีÂย¹นÃรÙู Œ·ท∙ÑัÈศ¹นÐะªชÕีÇวÔิµต¼ผ ‹Òา¹น¡กÔิ¨จ¡กÃรÃรÁม àเÃรÕีÂย¹นÀภÒา¤ค·ท∙ÄฤÉษ®ฎÕี µตÓำÃรÒาâโÂย¤คÐะ´ดÑั้§งàเ´ดÔิÁม, »ปÃรÑัªช­ÞญÒาÍอÔิ¹นàเ´ดÕีÂย,

¤ค ‹ÒาÅล§ง·ท∙ÐะàเºบÕีÂย¹น 35,000 ºบÒา·ท∙

»ปÃรÐะÇวÑัµตÔิÈศÒาÊสµตÃร ÍอÔิ¹นàเ´ดÕีÂย áแÅลÐะ ÊสÃรÕีÃรÐะÇวÔิ·ท∙ÂยÒา¢ขÍอ§งàเ·ท∙¤ค¹นÔิ¤คâโÂย¤คÐะ âโ´ดÂยÁมÕี¤ค ‹ÒาÂยÇวÔิ¶ถÕีâโÂย¤คÐะ 1 ¤คÃรÑั้§ง, ¤ค ‹ÒาÂย¡กÔิÃรÔิÂยÒา 1 ¤คÃรÑั้§ง ¼ผÙู ŒàเÃรÕีÂย¹นµต ŒÍอ§ง ½ฝ ƒ¡ก¹นÓำÊสÍอ¹น»ป¯ฏÔิºบÑัµตÔิ, ¹นÓำàเÊส¹นÍอ§งÒา¹นÇวÔิ¨จÑัÂย, Êส ‹§ง¡กÒาÃรºบ ŒÒา¹น, ÊสÍอºบ

ÊสÍอºบ¶ถÒาÁมÃรÒาÂยÅลÐะàเÍอÕีÂย´ดàเ¾พÔิ่ÁมàเµตÔิÁม ฀ 02-732 2016,081-401-7744

áแÅลÐะÁมÕีàเÇวÅลÒาàเ¢ข ŒÒาàเÃรÕีÂย¹นäไÁม ‹µต ‹Óำ¡กÇว ‹ÒาÃร ŒÍอÂยÅลÐะ 80 ¼ผÙู Œ¼ผ ‹Òา¹น¡กÒาÃรÍอºบÃรÁม ¨จÐะäไ´ด ŒÃรÑัºบ»ปÃรÐะ¡กÒาÈศ¹นÕีÂยºบÑัµตÃร¨จÒา¡กÊส¶ถÒาºบÑั¹นâโÂย¤คÐะÇวÔิªชÒา¡กÒาÃร ÁมÙูÅล¹นÔิ¸ธÔิËหÁมÍอªชÒาÇวºบ ŒÒา¹น

âโÍอ¹นàเ§งÔิ¹น¤ค ‹ÒาÅล§ง·ท∙ÐะàเºบÕีÂย¹น ฀ ฀

¸ธ.äไ·ท∙Âย¾พÒา³ณÔิªชÂย  ÊสÒา¢ขÒาàเ´ดÍอÐะÁมÍอÅลÅล  3 ÃรÒาÁม¤คÓำáแËห§ง ªช×ื่ÍอºบÑั­ÞญªชÕี ÁมÙูÅล¹นÔิ¸ธÔิËหÁมÍอªชÒาÇวºบ ŒÒา¹น (Êส¶ถÒาºบÑั¹นâโÂย¤คÐะÇวÔิªชÒา¡กÒาÃร)

àเÅล¢ข·ท∙Õี่ 173-2-32949-1 ฀ ÍอÍอÁม·ท∙ÃรÑั¾พÂย  4]


ÃรÒาÂยÅลÐะàเÍอÕีÂย´ด¡กÒาÃรàเÃรÕีÂย¹น 4 ก.ค

ปฐมนิเทศ.

6 7 8 ก.ค. ค่ายเปิด 9 ก.ค. – 22 ก.ย. เรียนจันทร์ พุธ พฤหัสบดี 17.30–20.00 น (และวันอังคาร 17, 31 ก.ค. 14 ส.ค.) 17.30–20.00 น วันเสาร์ 8.00 -16.00 น.

17 18 19 ส.ค.

ค่ายกิริยา

24 ก.ย. – 6 ต.ค.

ฝึกสอน / นำเสนองานวิจัย

ความประทับใจจากผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรครูโยคะ 8 – 13 ต.ค.

สอบ

“ËหÅลÒา¡กËหÅลÒาÂย¤คÇวÒาÁม»ปÃรÐะ·ท∙Ñัºบãใ¨จ

¨จÒา¡ก..¼ผÙู Œ¼ผ ‹Òา¹น¡กÒาÃรÍอºบÃรÁมËหÅลÑั¡กÊสÙูµตÃร¤คÃรÙูâโÂย¤คÐะ âโÂย¤คÐะ àเ»ปÅลÕี่Âย¹น ªชÕีÇวÔิµต ¨จÒา¡ก·ท∙Õี่àเ¤คÂย¤คÔิ´ดÇว ‹Òา µตÑัÇวàเÍอ§ง·ท∙ÓำÍอÐะäไÃรÍอÂย ‹Òา§งÍอ×ื่¹นäไÁม ‹àเ»ป š¹น ¹นÍอ¡ก¨จÒา¡กÊสÔิ่§ง·ท∙Õี่àเÃรÕีÂย¹น¨จºบÁมÒา ¹นÖึ¡กÇว ‹Òา¨จÐะµต ŒÍอ§งÇวÔิ่§ง µตÒาÁมàเ·ท∙¤คâโ¹นâโÅลÂยÕี¨จ¹นàเ¡กÉษÕีÂย³ณ ºบÒา§ง¤คÃรÑั้§งäไ´ด Œáแµต ‹¹นÑั่§งºบ ‹¹น¡กÑัºบàเ¾พ×ื่Íอ¹น æๆ Çว ‹Òา àเÃรÒา¨จÐะ·ท∙ÓำÍอÂย ‹Òา§งÍอ×ื่¹นàเ»ป š¹นäไËหÁมàเ¹นÕี่Âย? áแÅล ŒÇว¡ก็¹นÑั่§งÁมÍอ§งËห¹น ŒÒาÊส ‹ÒาÂยËหÑัÇวãใÊส ‹¡กÑั¹นäไ»ปÁมÒา ¨จ¹นàเÁม×ื่Íอäไ´ด ŒÁมÒาàเÃรÕีÂย¹นâโÂย¤คÐะ ªช ‹ÇวÂย½ฝ ƒ¡ก½ฝ¹นáแÅลÐะ·ท∙ÓำãใËห Œ¨จÔิµตãใ¨จàเÃรÒาàเ¢ข ŒÁมáแ¢ข็§ง ÁมÒา¡ก¢ขÖึ้¹น ¹นÔิ่§ง¢ขÖึ้¹น Êส§งºบ¢ขÖึ้¹น »ป ˜­Þญ­ÞญÒาªช ‹ÇวÂยãใ¹น¡กÒาÃร¤ค Œ¹น¾พºบÈศÑั¡กÂยÀภÒา¾พ¢ขÍอ§งµต¹นàเÍอ§งÍอÕี¡กËหÅลÒาÂยÍอÂย ‹Òา§ง·ท∙Õี่ÁมÕีÍอÂยÙู ‹ áแµต ‹ äไÁม ‹àเ¤คÂยäไ´ด Œ¹นÓำÍอÍอ¡กÁมÒาãใªช Œ ¨จ¹น¶ถÖึ§งÇวÑั¹น¹นÕี้µต ŒÍอ§งºบÍอ¡กÇว ‹Òา “¢ขÍอºบ¤คØุ³ณâโÂย¤คÐะ ·ท∙Õี่ªช ‹ÇวÂยàเ»ปÅลÕี่Âย¹นªชÕีÇวÔิµตãใËห Œ¤ค Œ¹น¾พºบ¤คØุ³ณ¤ค ‹Òาãใ¹นµตÑัÇวàเÍอ§ง áแÅลÐะãใªช ŒÁมÑั¹น·ท∙Óำ»ปÃรÐะâโÂยªช¹น àเ¾พ×ื่Íอ µต¹นàเÍอ§งáแÅลÐะ¼ผÙู ŒÍอ×ื่¹นäไ´ด Œ¡กÇว ŒÒา§ง¢ขÇวÒา§งÁมÒา¡ก¢ขÖึ้¹น” ครูอ๊อด ผู้เขียน โยคะ ธรรมะ สมดุล ชีวิต อบรมครูโยคะ รุ่น 6

àเÁม×ื่ÍอáแÃร¡ก¤คÔิ´ด¨จÐะàเÃรÕีÂย¹นËหÇวÑั§งàเ¾พÕีÂย§ง...¦ฆ ‹Òา...àเÇวÅลÒา áแµต ‹àเÁม×ื่Íอäไ´ด ŒàเÃรÕีÂย¹นáแÅลÐะ¨จºบÁมÒา...¨จÖึ§ง¾พºบÇว ‹Òาàเ»ป š¹น¡กÒาÃรãใªช ŒàเÇวÅลÒา·ท∙Õี่ÁมÕี¤ค ‹ÒาÂยÔิ่§ง ครูบุ๋ม พญ.ทิพวัลย์ เรืองฤทธิ์ อบรมครูโยคะ รุ่น 11

·ท∙Øุ¡ก¤คÃรÑั้§ง·ท∙Õี่©ฉÑั¹น¨จºบ¡กÒาÃรáแÅล¡กàเ»ปÅลÕี่Âย¹นàเÃรÕีÂย¹นÃรÙู Œ¡กÑัºบ¼ผÙู ŒàเÃรÕีÂย¹น «ซÖึ่§งÊส ‹Çว¹นãใËห­Þญ ‹àเ»ป š¹นªชÒาÇวµต ‹Òา§งªชÒาµตÔิ ©ฉÑั¹น¨จÐะàเËห็¹นÊสÕีËห¹น ŒÒาáแÅลÐะáแÇวÇวµตÒา·ท∙Õี่ºบ ‹§งºบÍอ¡กÇว ‹Òา “Wow! Amazing and thank you so much to bring me peace” áแÅลÐะ¨จÐะÁมÕี¤คÓำ¶ถÒาÁมµต ‹Íอ·ท∙ ŒÒาÂยàเÊสÁมÍอÇว ‹Òา “àเ¸ธÍอàเÃรÕีÂย¹นâโÂย¤คÐะÁมÒา¨จÒา¡ก ·ท∙Õี่äไËห¹น ÁมÑั¹นªช ‹Òา§งáแµต¡กµต ‹Òา§ง¨จÒา¡ก·ท∙Õี่©ฉÑั¹นàเÃรÕีÂย¹นÁมÒา ¹นÕี่áแËหÅลÐะ ¤ค×ืÍอ ÊสÔิ่§ง·ท∙Õี่©ฉÑั¹น¡กÓำÅลÑั§งÁมÍอ§งËหÒาÍอÂยÙู ‹ ¢ขÍอºบ¤คØุ³ณ àเ¸ธÍอÁมÒา¡ก æๆ” ครูนุ่ม นักบำบัด อบรมครูโยคะ รุ่น 10

5]


Åล´ด âโÅลÀภ Ãร้Íอ¹น

¡กÑั ºบ.. ¡กÅลØุè่Áม âโÂย¤คÐะ¾พÒาàเ¾พÅลÔิ¹น ¾พºบ¡กÑั¹นãใËห Œäไ´ด Œ ·ท∙Õี่ ºบ ŒÒา¹น´ดÒาËหÅลÒา ÍอÑัÁม¾พÇวÒา

เสาร์ 30 มิ.ย. อาทิตย์ 1 กค

¢ขÍอàเªชÔิ­ÞญªชÇว¹น·ท∙ ‹Òา¹น¼ผÙู ŒÊส¹นãใ¨จ¡กÒาÃรàเ´ดÔิ¹น·ท∙Òา§งÍอÂย ‹Òา§งÁมÕี¤คØุ³ณ¤ค ‹Òา

¤ค ‹Òาãใªช Œ¨จ ‹ÒาÂย 2,900 ºบÒา·ท∙ µต ‹Íอ·ท∙ ‹Òา¹น

ท่องเที่ยวไปบนเส้นทางแห่งธรรมชาติ เคียงข้างด้วยวิถีแห่งโยคะ เพื่อฟื้นฟูพลังกาย คืนพลังใจ ให้พร้อมสำหรับการเดินสู่เป้าหมายในชีวิต จะมาเดี่ยว มาเป็นคู่ หรือมาเป็นกลุ่ม ร่วมผสมผสานการท่องเที่ยวภายนอก เข้ากับการท่องเที่ยวภายใน การเดินทางที่ไม่ใช่เป็นเพียงแค่การพักผ่อน แต่ซ่อนความหมายสำหรับก้าวต่อไปในอนาคต สัมผัสชีวิตธรรมชาติริมสายน้ำ โอบล้อมด้วยไมตรีจิตมิตรภาพ สอดประสานกับการฝึกกายประสานใจแบบโยคะดั้งเดิมจากอินเดีย ควบคู่ไปกับการฝึกปราณายามะลมปราณเพื่อพลังชีวิต

ãใËห Œ¡กÒาÃรàเ´ดÔิ¹น·ท∙Òา§งãใ¹นÇวÑั¹นËหÂยØุ´ด¾พÑั¡ก¼ผ ‹Íอ¹น¢ขÍอ§ง¤คØุ³ณ ¡กÃรØุ ‹¹นàเµต็Áมäไ»ป´ด ŒÇวÂย¾พÅลÑั§ง¡กÒาÂย áแÅลÐะ¾พÅลÑั§งªชÕีÇวÔิµต·ท∙Õี่§ง´ด§งÒาÁม áแ»ปÃรàเ»ปÅลÕี่Âย¹นàเ»ป š¹นÇวÑั¹น·ท∙Õี่ÍอÂยÙู ‹ãใ¹น¤คÇวÒาÁม·ท∙Ãร§ง¨จÓำ...µตÅลÍอ´ดäไ»ป

“ áแÅล ŒÇว¡กÒาÃรàเ´ดÔิ¹น·ท∙Òา§ง¨จÐะäไÁม ‹ ãใªช ‹áแ¤ค ‹¡กÒาÃรàเ´ดÔิ¹น·ท∙Òา§งÍอÕี¡กµต ‹Íอäไ»ป ” Êส¹นãใ¨จÊสÁมÑั¤คÃรäไ´ด Œ·ท∙Õี่ e-mail address : Yoga.paplearn@gmail.com âโ·ท∙Ãร. ¤คÃรÙูâโ¨จ Ž 081 420 4111 ¤คÃรÙูÍอ Íอ´ด 084 6439245 ¤คÃรÙู¹นÑั¹น 089 4567807 ¤คÃรÙูÃรÑั°ฐ 080 5938987 ¤คÃรÙูËหÁมÙู 086 3070283 6]


Åล´ด âโÅลÀภ Ãร้Íอ¹น ÃรÒาÂยÅลÐะàเÍอÕีÂย´ด¡กÔิ¨จ¡กÃรÃรÁม กำหนดการพาเพลิน เสาร์ 30 มิย 2555 12.00 น ลงทะเบียน ณ บ้านดาหลา รับประทานอาหาร 13.30 กิจกรรมสัมพันธ์ ทำความรู้จักกับ โยคะ ลดโลภ ร้อน เปิดประตูใจสู่บ้านภายในแห่ง โยคะ 16.30 ชมพิพิธภัณฑ์วัดภุมรินทร์และ อุทยานการศึกษา ณ วัดภุมรินทร์กุฏีทอง พักผ่อนตลาดน้ำอัมพวายามเย็น รับประทานอาหารที่ตลาดน้ำฯ ตามอัธยาศัย 19.30 โยคะก่อนนิทรา ปราณายามะ (ลมหายใจพลังแห่งชีวิต) ตราฏกะ (เปิดม่านแห่งดวงตา สู่ก้นบึ้งของหัวใจ) เทคนิคการผ่อนคลายอย่างลึก 21.00 พักผ่อนตามอัธยาศัย อาทิตย์ 1 กค 2555 06.00 น ใส่บาตรยามเช้า 07.00 น โยคะรับอรุณ ล้างจมูกแบบโยคี 09.00 น รับประทานอาหารเช้า 10.00 น กิจกรรม "ศิลปะแห่งการเดินทางภายนอกสู่ภายใน" สมดุลแห่งปราณ "ลมหายใจแห่งสายน้ำสู่ชีวิต" 12.00 น รับประทานอาหารกลางวัน 13.00 น สรุปกิจกรรม 15.00 น เตรียมเดินทางกลับ

*ถ้ามีผู้ร่วมไม่ถึงจำนวน 15 คน ทางผู้จัดขอยกเลิกและคืนเงินเต็มจำนวน สำหรับผู้ที่สมัครแล้วไม่สามารถไปได้ แจ้งล่วงหน้า 1 สัปดาห์คืนค่าสมัครให้เต็มจำนวน หลังจากนั้นคืน 50 %*

7]


s e i t i v i t Ac ¡กÔิ¨จ¡กÃรÃรÁม´ดÕีæๆ

ÁมÔิ¶ถØุ¹นÒาÂย¹น

24

âโÂย¤คÐะÍอÒาÊส¹นÐะ¢ขÑั้¹น¾พ×ื้¹น°ฐÒา¹นàเ¾พ×ื่Íอ¤คÇวÒาÁมÊสØุ¢ข ÊสÓำËหÃรÑัºบ¼ผÙู้àเÃรÔิ่Áมµต้¹น

จัดวันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน เวลา 9.00 – 15.00 น. ที่ชั้น 6 ห้อง 262 คณะมนุษยศาสตร์ มศว ประสานมิตร ค่าลงทะเบียน 650 บาท

06

âโÂย¤คÐะãใ¹นÊสÇว¹น¸ธÃรÃรÁม ³ณ ËหÍอ¨จ´ดËหÁมÒาÂยàเËหµตØุ¾พØุ·ท∙¸ธ·ท∙ÒาÊส พุธที่ 6 มิ.ย. 17.00 – 18.30 น. : วรรณี สืบพงษ์ศิริ (ครูวรรณ) หัวข้อ โยคะสมดุล พุธที่ 20 มิ.ย. 17.00 – 18.30 น. : ทิพวัลย์ เรืองฤทธิ์ (ครูบุ๋ม) และ วัลย์ลดา อัศวศิริเลิศ (ครูเอ๋) เสาร์ที่ 23 มิ.ย. 14.00 – 16.00 น. : ชุติมา อรุณมาศ (ครูกล้วย)

ไม่เสียค่าใช้จ่าย

8]

20

23


“¸ธÃรÃรÁมÐะºบÓำºบÑั´ด¤คÇวÒาÁม»ป †ÇวÂยäไ´ด Œ¨จÃรÔิ§งËหÃร×ืÍอ?” ครั้งที่1 โดยเครือข่ายชีวิตสิกขา www.lifebhavana.net

17

ÇวÑั¹นÍอÒา·ท∙ÔิµตÂย ·ท∙Õี่ 17 ÁมÔิ¶ถØุ¹นÒาÂย¹น 2555 àเÇวÅลÒา 09.00-17.00 ¹น. ณ สโมสรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) ถ. วิภาวดีรังสิต 08.30-09.00 น. ลงทะเบียน 09.00-11.30 น. ฝึกเจริญสติตามแนวทางหลวงพ่อเทียน/ วิถีแห่งบัวบาน-ธรรมะบำบัดความป่วย โดย พระอธิการครรชิต อกิญจโน 11.30-12.00 น. เทคนิคการหายใจเพื่อความผ่อนคลาย 12.00-13.00 น. รับประทานอาหารมังสวิรัติ 13.00-14.30 น. ธรรมานุสติเพื่อความไม่ประมาทในชีวิต โดย ครูดล เครือข่ายชีวิตสิกขา 14.30-17.00 น. กัลยาณมิตรธรรมเพื่อการเยียวยาความ ป่วย โดย คุณเกื้อจิตต์ แขรัมย์ โรงพยาบาลบุรีรัมย์ และพลังกลุ่มกัลยาณมิตร การอบรมครั้งนี้เป็นธรรมทานไม่มีค่าใช้จ่าย เหมาะสำหรับผู้ป่วย, ผู้ดูแลผู้ป่วยและผู้สนใจทั่วไป ห้องอบรมเป็นห้องปรับอากาศ กรุณาเตรียมผ้าพันคอหรือผ้าคลุม แต่งกายตามปกติไม่จำเป็นต้องเป็นชุดขาว วิธีการลงทะเบียนกรุณาส่งชื่อ-นามสกุล และ E-mail address ไปที่ wilai@bangkokinsurance.com สอบถามรายละเอียดได้ที่....ครูดล 087-678-1669, คุณวิภา 081-299-0543, คุณวิไล 081-643-8088

2 ªชÕีè่¡ก§ง àเ¾พ×ื่Íอ¤คÇวÒาÁมàเ¢ข ŒÒาãใ¨จµต¹นàเÍอ§ง (Qi-gong for selfunderstanding) ÇวÑั¹นàเÊสÒาÃร ·ท∙Õี่ 2 ÁมÔิ¶ถØุ¹นÒาÂย¹น 2555

ณ ลานพระรูป 2 รัชกาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย การทำความเข้าใจ ร่างกาย และจิตใจ ผ่านการฝึกชี่กง บนความรู้ พื้นฐานการแพทย์แผนจีน ไม่เสียค่า จ่ายใดๆ แต่ขอความสมัครใจ และเปิด รับมุมมองความคิดบนโลกกว้าง ติดต่อ : ขนมปัง (Mr.Pang) 080 248 9444 ลงทะเบียนยืนยันการเข้าร่วม กิจกรรมที่ harmonyhealer@hotmail.com ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.facebook.com/ events/410381425669056//events/ 410381425669056/

20

¡กÔิ¨จ¡กÃรÃรÁม¨จÔิµตÊสÔิ¡ก¢ขÒา

ÇวÑั¹น¾พØุ¸ธ·ท∙Õี่ 20 ÁมÔิ¶ถØุ¹นÒาÂย¹น 2555 àเÇวÅลÒา 17.30 – 20.00 ¹น.

ณ สำนักงาน สถาบัน รามคำแหง 36/1 เนื้อหา: ร่วมศึกษา ทำความเข้าใจ แลกเปลี่ยนประสบการณ์การพัฒนาจิต ที่เกิด ขึ้นกับเราในชีวิตประจำวัน เช่น เมื่อมีความ ทุกข์เกิดขึ้น เราเป็นอย่างไร เห็นอะไรบ้าง มี วิธีจัดการกับมันอย่างไร ใช้ได้ผลไหม ฯลฯ รูปแบบ ล้อมวงคุย แลกเปลี่ยนเรียน รู้ร่วมกัน เป้าหมาย การแลกเปลี่ยนจะช่วย ปรับทัศนะของเรา มองได้รอบด้านมากขึ้น ตลอดจนช่วยให้มองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น กับเรา ตามความเป็นจริง เอื้อต่อการเดินบนเส้นทาง สู่การบรร ลุธรรม นำสนทนาโดย กวี คงภักดีพงษ์ ไม่มีค่าใช้จ่าย

9]

10

¡กÔิ¨จ¡กÃรÃรÁม¢ขÍอ§ง àเ¤คÃร×ืÍอ¢ข ‹ÒาÂย

¤คÍอÃร ÊสÅล ŒÒา§ง¾พÔิÉษ¤คÃรÑั้§ง·ท∙Õี่ 3 ³ณ ¡กÃรÕี¹นäไÅล¿ฟ ŠÏฯ ¿ฟ µตàเ¹นÊส ในวันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน 2555 เวลา 06.30-17.00 น. (ควรทานอาหารเช้ารองท้องมาด้วย) ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ผู้สนใจโทร 02 899 7377, 02 899 7310 โปรดสมัครก่อน 3 มิย นี้ (รับเฉพาะผู้ที่ยังไม่เคยเข้าคอร์สนี้) หรือที่เวบไซท์ http:// www.greenlifefitness.net


¤คÃรÙูËห¹นÙู

INDIA TRIP àเÃร×ื ่ Íอ §ง ¤คÃรÙู ªช Áมªช×ื ่ ¹น ÊสÔิ ·ท∙ ¸ธÔิ àเ Çวªช

“¢ขÖึ é้ ¹น àเ¢ขÒา¤คÔิ ªช ¡กÙู ¯ฏ ”..àเÁม×ืÍอ§งÃรÒาªช¤คÄฤËห 

©ฉÑั ¹นÃรÕีºบÍอÍอ¡กàเ´ดÔิ¹น·ท∙Òา§ง¨จÒา¡ก·ท∙Õีè่¾พ¡กáแµต ‹ Ñั àเªช ŒÒา หลังทานอาหารเช้าเรียบร้อย คนขับรถบอกว่าจากเมืองคยาไปยัง เมืองราช คฤห์ ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ไม่อย่างนั้นเราจะกลับ มาคยาค่ำเกินไป เพราะเรามีหลายกิจกรรมที่ต้องทำใน ราชคฤห์... รถวิ่งตามถนน 2 เลนส์ในเมืองไปเรื่อยๆ เราจะเห็นทั้งรถ คน วัวเดิน และวิ่งปะปนกันไปอย่างลงตัว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการบีบแตรบอกขอ ทาง ขอแซง ขอทักทาย ถ้าใครไม่บีบแตรถือว่าไม่มีวัฒนธรรม จึงมี คำว่า “HORN PLEASE” ติดไว้ท้ายรถเสมอ เราอาจจะช่วยคนขับรถ บีบแตรโดยการร้องเสียงแหลมปรี๊ดอย่างไม่มีสติ ถ้าวัวพระเจ้าจะ ข้ า มถนนในขณะที ่ ร ถวิ ่ ง มาอย่ า งเร็ ว แต่ ก ็ ล งตั ว อี ก นั ่ น แหละ ธรรมชาติจัดสรร คนขับสามารถหลบวัวได้อย่างสวยงาม เพราะถ้า ชน วัวเขาคงโชคร้ายตลอดชีวิต แต่ถ้าวัวชนคนเขาถือว่าโชคดี จริง หรือ ?!

[10]


ออกนอกเมืองมาได้ระยะหนึ่งรถวิ่งข้ามแม่น้ำ Falgu หรือแม่น้ำเนรัญชรา ในฤดูหนาวอากาศแห้ง แล้งตั้งแต่เดือน พ.ย.ไปเรื่อยจนฤดูร้อน น้ำในแม่น้ำ เนรั ญ ชราจะแห้ ง เหลื อ แต่ พ ื ้ น ดิ น แตกระแหงคน สามารถเดินข้ามฝั่งไปถึงกันได้ ระหว่างทางเราจะ เห็นทุ่งนาเป็นส่วนใหญ่สลับกับโรงงานเผาอิฐ บ้าน เรือนของชาวนาจะสร้างแบบเรียบง่ายคือบ้านดิน แต่ทุกบ้านจะต้องมีขี้วัวแปะไว้ตามผนังนอกบ้าน ฉันคิดว่าคงเป็นการตากขี้วัวให้แห้งแทนการตากบน พื้น เพราะพื้นที่มีน้อยนิด กลิ่นขี้วัวคงจะอบอวลไป ทั่ว เมื่อแห้งแล้วเขาจะนำมาทำเป็นเชื้อฟืนสำหรับ หุงต้มอาหารและอื่นๆ คำว่า “ขี้” หลายๆ คนแม้แต่ ฉันคงรังเกียจ แต่สำหรับคนอินเดีย คำว่า “ขี้” กลับ มีค่ายิ่ง ถ้าอยู่อินเดีย แล้วไม่ยอม “ขี้” นี่ซิจะลำบาก เพราะฉะนั้นจงอย่ารังเกียจ “ขี้” เลยนะ เขาคิชกูฏ ณ เมืองราชคฤห์ ฉันและสหาย ธรรมรวมแล้ว 4 ชีวิต ตั้งใจแล้วว่าจะทดสอบกำลังขาและกำลังของปอดว่ายังฟิตอยู่หรือไม่ จึงเดินขึ้นเขาแทนการนั่งกระเช้าไฟฟ้า แต่ก่อนจะ เริ่มเดินต้องอุ่นเครื่องร่างกายเสียหน่อย โยคะอาสนะอีกแล้ว ! ฉันแนะนำสหายธรรมอบอุ่นร่างกายด้วยการทำท่าภูเขายืน และวาดแขนขึ้น เหนือศีรษะ (อุรธวะหัสตะสะนะหรือท่าภูเขาเหยียดแขนขึ้น) เพื่อสร้างความสมดุลให้กับร่างกายไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก ทำให้ปอดแข็ง แรง พร้อมทั้งกำหนดลมหายใจเข้า-ออกลึกๆ ยาวสดชื่นและมั่นคงทีเดียว แต่ควรจะกลับทางกันสักนิด ด้วยการยืนเปิดเท้าประมาณ 1 ฟุตครึ่ง มือสองข้างประคองสะโพกไว้ด้านหลัง สูดหายใจเข้าลึกๆ แอ่นอก เอนลำตัวเล็กน้อย แหงนหน้ามองฟ้า หายใจออกกลับคืนท่าตรง ท่านี้ขอ เรียกว่าท่าอูฐแบบยืน (ท่าโยคะประยุกต์) ท่านี้ช่วยป้องกัน และแก้อาการเมื่อยล้าบริเวณหลังและเอวขณะเดินขึ้นเขาได้ดีทีเดียว เราควรทำสัก 2-3 ครั้งก็พอ ขณะเดินขึ้นเขาเราใช้วิธีเดินภาวนาไปด้วยโดยไม่พูดเลย พอรู้สึกเหนื่อยก็หยุดพัก พร้อมทั้งหายใจแบบเป่าเทียนคือ หายใจเข้า ทางช่องจมูกหายใจออกโดยการเป่าลมออกทางปาก ยาวกว่าลมหายใจเข้า เพียงไม่กี่รอบของลมหายใจ ได้แรงโดยฉับพลัน เพราะอากาศบน เขาถึงแม้จะเบาแต่ก็โปร่ง มีลมพัดเย็น เพราะมีต้นไม้หนาแน่น ขอบคุณ อินเดียที่ไม่ทำลายธรรมชาติในส่วนนี้ เดินต่อไปอีกสักหน่อย ถึงถ้ำ สุกรขาตาพอดี ถ้ำนี้เป็นสถานที่ที่พระบรมศาสดาทรงประทับแสดง เทศนา “เวทนาปริคคหสูตร” ให้แก่ทีฆนขปริพาชกฟัง ขณะนั้นพระสา รีบุตรได้ถวายงานพัดอยู่ เกิดความเข้าใจในคำเทศนา จิตเกิดการ หลุดพ้นบรรลุอรหันต์ ส่วนทีฆนขปริพาชกได้ดวงตาเห็นธรรมสำเร็จ พระโสดาบันในบัดดล ฉันก็ได้แต่ภาวนาเหมือนกันว่าจิตฉันจะหลุด พ้นได้ไหมหนอในชาตินี้... นะโม พุทธายะ... ศิษย์ขอกราบแทบเท้า พระผู้มีพระภาคเจ้า... พวกเราได้ร่วมสวดมนต์และนั่งสมาธิ ณ หน้า ถ้ำสุกรขาตาชั่วครู่ใหญ่ ความรู้สึกปีติเกิดขึ้นในใจ รำลึกถึงบุญคุณ ของภพของชาติว่าได้เกิดมาอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร และได้สติ ระลึกรู้ถึงการปฏิบัติธรรม สนใจในธรรมตั้งแต่ชีวิตที่ยังไม่สายเกินไป เราเดินต่อกันอีกนิด ขึ้นบันไดอีก 2-3 ขั้น ก็ถึงยอดเขาคิ ชกูฏ เป็นสถานที่ที่เรียกว่า “คันธกุฏิ” เป็นสถานที่พระบรมศาสดาทรง ประทับนานหลายพรรษา ตั้งแต่พรรษาที่ 3 5 7 และพรรษาสุดท้าย ก่อนเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน ต้องสะดุดใจกับคณะคนไต้หวันที่นับถือ พุทธ กำลังทำพิธีสักการะตั้งโต๊ะบูชา มีข้าวปลาอาหารผลไม้น้ำดื่ม ครบครันตามธรรมเนียม เมื่อทำบุญเสร็จสิ้น พวกเขาจะแจกของเหล่า นี้ให้เป็นทานกับคนอินเดียที่อยู่ในละแวกนั้นรวมทั้งพวกเรา พลอยได้ รับ อนิสงฆ์ครั้งนี้ด้วย... ขออนุโมทนา สาธุ กราบนมัสการ ณ พระ คันธกุฏิ สักพักควรแก่เวลาต้องเดินลงเขาเสียแล้ว เพราะต้องกลับไป พักกันที่เมืองคยา เพื่อปฏิบัติธรรมกันต่อไป

11!

[]


âโ¨จ Ž

ªชÇว¹น¤คÔิ´ด

“¡กÔิ ¹น ¢ขé้ Òา Çว¡กÑั ¹นÁมÑั é้ Âย ” ประโยคนี้พาให้นึกถึงโฆษณา บัตรเครดิตธนาคารหนึ่ง ที่มี โดม ปกรณ์ ลัม เป็นพรีเซ็นเตอร์ ถามด้วยเสียงนุ่ม ๆ ว่า “กินข้า วกันมั๊ย?” ฟังแล้วอยากจะกรี๊ด แล้วหวังว่าจะได้กินข้าวกับพี่โดม (เฮ้ย! ตื่น) เราทั้งได้ยิน และ ได้พูดประโยคนี้กันอยู่เป็นประจำ กิน ข้าวก็กินทุกวัน รู้ว่าข้าวมีประโยชน์ แต่เราเคยใส่ใจกับคำว่า “ข้าว” กันแค่ไหน? แล้วถ้าเราได้กินข้าวกับคนที่ปลูกข้าวให้เรากิน แทนที่ จะเป็นพี่โดมล่ะจะเป็นยังไง? เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ได้ไปร่วมกิจกรรม พบปะเครือข่าย คนกินข้าวของทีวีบูรพา พิธีกรเริ่มเปิดงานแนะนำว่างานนี้เป็นงาน ของเครือข่ายคนกินข้าว จับใจความได้ว่าคนที่มางานนี้ มีทั้งผู้ที่เป็น ชาวนา และ ผู้บริโภค “ข้าวคุณธรรม” ในแต่ละปีก็จะมีจัดกิจกรรมให้ ทั้งชาวนา และ กลุ่มสมาชิกผู้บริโภค ได้พบปะกัน อย่างเช่นปีที่แล้ว ก็มีพาสมาชิกไปกินนอนอยู่กับชาวนา และ ได้หัดทำนาด้วย ภายใน งานมีการให้ความรู้เกี่ยวกับข้าว เลี้ยงอาหารกลางวันโดยใช้ข้าว และ ผลิตผลของทางกลุ่มเอง ทั้งแตงโมไร้สารพิษ และ ถั่วเขียวไร้สารพิษ ต้มน้ำตาลเคี่ยวเอง ข้าวของเค้าหอม นุ่ม มีบอกด้วยว่าข้าวสีอะไร มี คุณสมบัติอะไรบ้าง ถือว่ากินข้าวเป็นยา

[12]


ทางกลุ่มมีการทำวิจัยเกี่ยวกับข้าว และ มีความรู้ทั้งในเรื่องของการตลาด เศรษฐกิจทั้งในระดับประเทศ และ ระดับโลก ไม่น่าเชื่อเลย ว่าท่านเหล่านี้เป็นชาวนา เพราะชาวนาในสายตาคนทั่วไป มักจะเป็นคนต่างจังหวัด ที่ไม่มีความรู้ และ ตกเป็นเบี้ยล่างให้แก่นายทุน แต่ ชาวนากลุ่มนี้ มีโรงสีเอง การผลิตข้าวของเค้าตั้งต้นกันตั้งแต่ตัวชาวนาผู้ปลูกข้าวเลย ชาวนาจะต้องไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ไม่เล่นการพนัน ไม่ ซื้อหวย ไม่มีกิ๊ก สรุปแล้วจะต้องมีศีลห้าเป็นพื้นฐาน ฟังถึงตรงนี้แล้วรู้สึกว่าชาวนาของเราเท่มาก ถ้าเรารู้ว่าคนที่ปลูกข้าวให้เราเป็นคนดี มีศีล ห้า ข้าวที่เรากินนั้นก็ดูจะมีคุณค่ามากขึ้นไปอีก ส่วนการปลูกข้าวก็ปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีแบบเกษตรอินทรีย์ คัดข้าวด้วยมือทีละเม็ดเสร็จแล้ว ก็จะแพ๊คใส่ถุงสูญญากาศภายใน 7 วัน ทำให้ข้าวปลอดจากมอดโดยไม่ต้องรมยา ผู้บริโภคก็ได้กินข้าวแบบไร้สารพิษ สิ่งที่น่าภูมิใจก็คือ ชาวนากลุ่มนี้ปลูกข้าวโดยนึกถึงผู้บริโภค และ แผ่นดินที่เกิดมา ส่งผลให้กลุ่มข้าวคุณค่าชาวนาคุณธรรมได้รับ รางวัล รองชนะเลิศ อันดับ 2 ประเภทกลุ่มเกษตรทฤษฎีใหม่ การประกวดผลงานตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ครั้งที่ 2 จากสมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี และ สมเด็จพระเทพฯ ได้พระราชทานพันธุ์ข้าวให้แก่ทางกลุ่ม ซึ่งปรกติแล้วพันธุ์ข้าวจะต้องเก็บไว้ในห้อง เย็น ที่มีเครื่องปรับอากาศ แต่ทางกลุ่มก็ปลูกบ้านดิน เพื่อใช้เป็นที่เก็บพันธุ์ข้าว ช่วยลดโลกร้อนกันได้อีกด้วย และ สมเด็จพระเทพฯ ก็มีพระ มหากรุณาธิคุณ เสด็จมาเยี่ยมชมยุ้งข้าว ได้ลองเสวยข้าวดูแล้วตรัสว่า “ข้าวนี้มีรส” หันไปตรัสกับหมอประจำพระองค์ “เห็นมั๊ย เค้ากินอาหาร เป็นยา” เท่าที่ฟังมาทั้งหมดนี้ ก็รู้สึกว่าเราไม่ใช่แค่กินข้าว เบื้องหลังข้าวที่เรากินนั้น มาด้วยหยาดเหงื่อ แรงงาน และ ความตั้งใจของชาวนา กลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ที่ส่งเสริมความเป็นอยู่พอเพียงพึ่งพาตนเอง และ ผลักดันให้ข้าวไทยไปสู่ระดับโลกอย่างภาคภูมิใจ ซึ่งก็ต้องมีผู้บริโภค ที่ช่วยผลักดันอีกทางหนึ่งถ้าหากว่ามีกำลังซื้อ เพราะราคาจะแพงกว่าท้องตลาดทั่วไปอยู่ซักหน่อย แต่ได้สนับสนุนระบบดี ๆ ซื้อได้จากร้าน ขายของเพื่อสุขภาพ และ ร้านยากรุงเทพตามในลิงค์ข้างล่าง หรือ สมัครสมาชิกคิดค่าส่ง 50 บาท พร้อมกับรับส่วนลดหากสมัครสมาชิกแบบ 3 เดือนขึ้นไป ถ้ามีผู้บริโภคมากขึ้น ราคาก็น่าจะถูกลง เมื่อที่มาของข้าวมีคุณค่าขนาดนี้ต่อไปนี้คำว่า “กินข้าวกันมั๊ย?” ก็คงจะมีความหมายยิ่ง ขึ้น หารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ข้าวได้จากเว็บไซต์ http://www.tvburabha.com/tvb/rice/ta3.html

13!

[]


àเ¡กç็ºบÁมÒา½ฝÒา¡ก àเ§งÔิ¹นàเ»ป š¹น¢ขÍอ§ง¤คØุ³ณ¡ก็¨จÃรÔิ§ง áแµต ‹·ท∙ÃรÑั¾พÂยÒา¡กÃรàเ»ป š¹น¢ขÍอ§งÊส ‹Çว¹นÃรÇวÁม

เยอรมันเป็นประเทศ ซึ่งพัฒนาอุตสาหกรรมไป ไกลแล้ว ประเทศนี้เป็นผู้ผลิตสินค้าชั้นนำอย่างเช่น เบนซ์ บีเอ็มดับเบิลยู ซีเมนส์ เป็นต้น ปั๊มพ์ที่ใช้ในเตาปฏิกรณ์ นิวเคลียร์ก็ผลิตขึ้นในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งของประเทศนี้ ในประเทศซึ่งมีการพัฒนาไปไกลเช่นนี้ คนส่วน ใหญ่คงคิดว่า ประชาชนชาวเยอรมันคงใช้ชีวิตที่หรูหรา ฟุ่มเฟือย อย่างน้อย นั่นเป็นความรู้สึกของผมก่อนเดินทาง ไปศึกษาดูงานที่นั่น เมื่อผมเดินทางถึงฮัมบรูก เพื่อนร่วมชาติซึ่ง ทำงานอยู่ที่นั่นจัดให้มีการเลี้ยงต้อนรับผมที่ภัตตาคาร ขณะที่เราเดินเข้าไปในภัตตาคาร เราพบว่าโต๊ะจำนวน มากว่างอยู่ มีโต๊ะหนึ่งมีหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังนั่งกินอาหาร กันอยู่ บนโต๊ะของทั้งคู่มีอาหารอยู่เพียงสองจานและเบียร์ อีกสองกระป๋อง ผมคิดสงสัยอยู่ในใจว่าอาหารมื้อง่ายๆ อย่างนี้จะทำให้เกิดบรรยา กาศโรแมนติคขึ้นได้อย่างไร และสาวน้อยคนนี้จะเลิกคบกับไอ้หนุ่มขี้เหนียวคนนั้นหรือ ไม่ นอกจากนั้น มีหญิงสูงอายุอีกสองสามคนนั่งอยู่ อีกโต๊ะหนึ่ง ที่สังเกตเห็นคือ ทุกคนจะกินอาหารจนหมด สิ้น ไม่มีเศษเหลืออยู่บนจานให้เห็น พวกเราไม่ได้ให้ความ สนใจกับผู้คนเหล่านั้นมากนัก เพราะเรากำลังนั่งรออาหาร หลายจานที่ได้สั่งไปแล้วด้วยความหิวโหย อาหารเสิ ร ์ ฟ ออกได้ ร วดเร็ ว ดี คงเป็ น เพราะ ภัตตาคารมีแขกน้อย เราใช้เวลาในการกินอาหารเย็นมื้อ นั้นไม่นาน เพราะเรายังมีกิจกรรมอื่นรออยู่ ขณะที่เราลุก ออกจากโต๊ะ ยังมีอาหารเหลือคาจานอยู่อีกราวหนึ่งในสาม ขณะที่เดินออกจากภัตาคาร เราได้ยินเสียงใคร ร้องทักให้หยุด เราหันมอง เห็นเป็นหญิงสูงอายุกลุ่มนั้น กำลังพูดกับเจ้าของภัตาคารด้วยภาษาเยอรมัน เมื่อเขา

! []!

14

เริ่มพูดกับเราเป็นภาษาอังกฤษ เราจึงเข้าใจที่เขาไม่พอใจ การกินทิ้งกินขว้างของพวกเรา เราออกอาการหงุดหงิดทันทีที่เขาเข้ามายุ่มย่าม เกินกว่าเหตุ พวกเราจ่ายค่าอาหารแล้ว มันไม่ใช่กงการ อะไรของพวกคุณสักหน่อย เพื่อนของเราคนหนึ่งชื่อ กุย (Gui) ตอกหน้าหญิงสูงอายุเหล่านั้น หญิงเหล่านั้นโกรธ กริ้วเป็นฟืนเป็นไฟขึ้นมาทันที หนึ่งในนั้นหยิบมือถือขึ้นมา ต่อสายถึงใครบางคน ไม่นานช้า ชายในชุดเครื่องแบบเจ้า หน้ า ที ่ อ งค์ ก รสวั ส ดิ ก ารสั ง คม (Social Security organization) ก็มาปรากฎกาย ภายหลังจากฟังความจนรู้ เรื่องว่าอะไรขึ้น เขาก็สั่งปรับพวกเราเป็นเงิน 50 มาร์ค พวกเราทุกคนต่างเงียบกริบ เพื่อนซึ่งพักอยู่ใน เมืองนี้หยิบเงิน 50 มาร์คส่งให้ไปพร้อมกล่าวขอโทษขอ โพยซ้ำๆ เจ้าหน้าที่ผู้นั้นกล่าวกับเรา ด้วยน้ำเสียงที่เข้ม งวดว่า "สั่งอาหารเท่าที่พวกคุณจะกินได้หมด เงินทองเป็น ของคุณก็จริง แต่ทรัพยากรเป็นสมบัติส่วนรวม มีคนอีก จำนวนมากในโลกนี ้ ท ี ่ อ ดอยากหิ ว โหย พวกคุ ณ ไม่ ม ี เหตุผล ที่จะใช้ทรัพยากรอย่างทิ้งๆ ขว้างๆ" สีหน้าพวกเราเปลี่ยนเป็นสีแดง เราเห็นด้วยกับ คำพูดของเขาหมดหัวใจ ทัศนคติของผู้คนในประเทศ ร่ำรวยแห่งนี้ทำเอาพวกเราอับอายขายขี้หน้า เราต้อง ทบทวนพิจารณาตัวเองกันจริงๆ จังๆ ในประเด็นนี้ พวกเรามาจากประเทศด้อยพัฒนา เราสั่งอาหาร มามากมาย และจงใจให้เหลือในยามจัดเลี้ยงผู้อื่น บท เรียนนี้สอนเราให้คิดอย่างจริงจังเพื่อที่จะปรับเปลี่ยนนิสัย ไม่ดีเหล่านี้เสีย เพื่อนผู้จ่ายค่าปรับถ่ายสำเนาใบเสร็จค่าปรับ แล้วมอบให้กับพวกเราทุกคน พวกเราทุกคนรับเก็บไว้โดย ดุษฎี และนำแปะไว้ข้างฝา เพื่อเตือนใจตลอดไปว่า เราจะ ไม่ทำตัวเป็น 'คางคกขึ้นวอ' อีกอย่างเด็ดขาด


http://www.84000.org/tipitaka/

¾พÃรÐะäไµตÃร»ป ®ฎ¡ก áแ¡ก ‹¹น¸ธÃรÃรÁม

พระไตรปิฏก เล่มที่ ๑๗ พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค

ó๓. ËหÅลÔิ·ท∙·ท∙Ôิ¡กÒา¹นÔิÊสÙูµตÃร·ท∙Õีè่ ñ๑ Çว ‹Òา´ด ŒÇวÂยÅลÑั¡กÉษ³ณÐะÁมØุ¹นÕี [๒๒] ดูกรคฤหบดี ก็มุนีเป็นผู้ทำถ้อยคำแก่งแย่งกับชนอื่นอย่างไร? ดูกรคฤหบดี มุนีบางคนในโลกนี้ ย่อมเป็นผู้ทำถ้อยคำเห็นปานนี้ ว่า ท่านไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ เรารู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ ไฉนท่านจักรู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ได้ ท่านเป็นผู้ปฏิบัติผิด เราเป็นผู้ปฏิบัติชอบ คำที่ควร กล่าวก่อน ท่านกล่าวทีหลัง คำที่ควรกล่าวทีหลัง ท่านกล่าวก่อน คำของเรามีประโยชน์ คำของท่านไม่มีประโยชน์ ข้อที่ท่านเคยประพฤติมา ผิดเสียแล้ว เรายกวาทะแก่ท่านแล้ว ท่านจงประพฤติเพื่อปลดเปลื้องวาทะเสีย ท่านเป็นผู้อันเราข่มได้แล้ว หรือจงปลดเปลื้องเสียเองถ้าท่าน สามารถ. ดูกรคฤหบดี มุนีเป็นผู้ทำถ้อยคำแก่งแย่งกับชนอื่น อย่างนี้แล. [๒๓] ดูกรคฤหบดี ก็มุนีไม่เป็นผู้ทำคำแก่งแย่งกับชนอื่นอย่างไร? ดูกรคฤหบดีภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้ไม่ทำถ้อยคำเห็น ปานนี้ว่า ท่านย่อมไม่รู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ เรารู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ ไฉนท่านจักรู้ทั่วถึงธรรมวินัยนี้ได้ ท่านเป็นผู้ปฏิบัติผิด เราเป็นผู้ปฏิบัติชอบ คำที่ควรกล่าวก่อน ท่านกล่าวทีหลัง คำที่ควรกล่าวทีหลัง ท่านกล่าวก่อน คำของเรามีประโยชน์ คำของท่านไม่มีประโยชน์ ข้อที่ท่านเคยปฏิบัติ มาผิดเสียแล้ว เรายกวาทะแก่ท่านแล้ว ท่านจงประพฤติเพื่อปลดเปลื้องวาทะเสีย ท่านเป็นผู้อันเราข่มได้แล้ว หรือจงปลดเปลื้องเสียเอง ถ้าท่าน สามารถ. ดูกรคฤหบดี มุนีไม่เป็นผู้ทำถ้อยคำแก่งแย่งกับชนอื่น อย่างนี้แล.

15!

[]


âโ´ดÂย ÇวÕีÃรÐะ¾พ§งÉษ  äไ¡กÃรÇวÔิ·ท∙Âย  áแÅลÐะ¨จÔิÃรÇวÃรÃร³ณ µตÑั้§ง¨จÔิµตàเÁม¸ธÕี áแ»ปÅลáแÅลÐะàเÃรÕีÂยºบàเÃรÕีÂย§ง

¤คÇวÒาÁมàเ¢ข ŒÒาãใ¨จ¼ผÔิ´ด¢ขÍอ§ง¨จÔิµตµตÐะ ·ท∙Õีè่ÁมÕีµต ‹Íอ»ปØุÃรØุÉษÐะ

µตÓำÃรÒาâโÂย¤คÐะ

´ดÑัé้§งàเ´ดÔิÁม

เนื้อความตอนที่แล้ว ๒:๑๙ สรุปว่า เมื่ออยู่ในสภาวะ สมดุล(ประกฤติกับปุรุษะแยกจากกัน) คุณะทั้งสามไม่แสดงตัวออกมา มีความเป็นหนึ่งเดียวไร้ซึ่งรูปลักษณ์ จึงเรียกสภาวะนี้ว่า “อลิงคะ” ต่อ มาเมื ่ อ เกิ ด สั ง โยคะหรื อ การรวมตั ว กั น ของปุ ร ุ ษ ะและประกฤติ วิวัฒนาการของประกฤติจึงเริ่มต้นขึ้น คุณะทั้งสามได้แสดงตัวออกมา อย่างเด่นชัด ในขั้นนี้คือ มหัต หรือ พุทธิ เป็นความสามารถในการ แยกแยะ โดยมีรูปลักษณ์ปรากฏเรียกว่า “ลิงคะ-มาตระ” ขั้นต่อมามี การแยกรายละเอี ย ดที ่ ช ั ด เจนมากขึ ้ น คื อ อหั ง การะ ก่ อ ให้ เ กิ ด บุคลิกลักษณะเฉพาะ ซึ่งแพร่กระจายอยู่ในทุกสิ่งที่เป็นประ กฤติ ได้แก่ตันมาตระทั้งห้า ขั้นนี้ยังไม่มีลักษณะเฉพาะที่ประสาทสัมผัส สามารถรับรู้ได้ ธาตุเหล่านี้ไม่ได้ถูกแบ่งแยกและทำให้มีลักษณะ เฉพาะอย่างชัดเจนมากนัก จึงเรียกว่า “อวิเศษะ” ส่วนธาตุทั้ง ๑๖ อัน ได้แก่ มหาภูตะ ๕ ชญาเนนทรีย์ ๕ กรรเมนทรีย์ ๕ และมนัส(ใจ) มี ลักษณะที่แยกกันอย่างชัดเจน จึงถูกจัดกลุ่มอยู่ใน “วิเศษะ” หรือสิ่งที่มี ลักษณะเฉพาะที่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัส ประโยคที่ ๒:๒๐ “ทรัษฏา ทฤศิมาตระห์ ศุทโธ ปิ ปรัตย ยานุปัศยะห์” แปลว่า ทรัษฏา(ปุรุษะ)หรือผู้รู้ซึ่งมีศักยภาพในการรู้ เฉยๆ เท่านั้น(โดยไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ใดๆ) และแม้จะรู้ด้วยความ บริสุทธิ์ดังกล่าว แต่การรู้นั้นก็ยังต้องผ่านการทำงานของจิตตะ ตามที่ได้เคยอธิบายไว้ในประโยค ๑:๓ คำว่า ทรัษฏา (ผู้รู้ ผู้ เห็ น )ซึ ่ ง ปกติ ใ ช้ แ ทนปุ ร ุ ษ ะนั ้ น ไม่ ถ ู ก ต้ อ งนั ก แต่ ท ี ่ ใ ช้ แ ทนกั น นั ้ น เนื่องจากความเข้าใจผิดของจิตตะที่มีต่อปุรุษะ เมื่อทฤศยะ(สิ่งที่ถูก เห็น ประกฤติหรือวัตถุ)ปรากฏอยู่ต่อหน้าปุรุษะ ปุรุษะ “เห็น” ทฤศยะ แต่ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เกิดขึ้นอย่างสิ้นเชิง ราวกับว่ามัน “ไม่ได้กำลัง เห็น” นั่นหมายความว่าการมองเห็นทฤศยะนั้นไม่ได้ก่อให้เกิดผลกระ ทบใดๆ ต่อมันเลย พูดอีกอย่างหนึ่งคือทฤศยะเพียงแค่ถูกเห็น หรือ ปรากฏอยู่ตรงหน้าปุรุษะซึ่งกลายเป็นผู้รู้แบบวางเฉย (passive perceiver) และมันถูกเรียกว่าทรัษฏาก็ด้วยเหตุผลนี้ และประโยคนี้ ก็ได้กล่าวไว้ว่า เขา(ปุรุษะ) เป็นเพียงผู้ดูผู้สังเกต หรือ ทฤศิ-มาตระ ในการเห็นหรือการเฝ้าสังเกต(สากษิตวะ)นี้ปุรุษะไม่ได้เกิดการรับข้อ มูลใดๆ (สักแต่ว่าเห็น แต่ไม่ได้แยกแยะว่าเห็นอะไร) เราเองก็เคยได้ รับประสบการณ์ของ “การเห็นโดยไม่ถูกเห็น” หรือ “สักแต่ว่าเห็น” หลายต่อหลายครั้ง แม้แต่ในชีวิตตามปกติของพวกเรา เมื่อมีบางคน หรือบางสิ่งผ่านหน้าเราไป เนื่องจากตาเราเปิดอยู่สิ่งที่ผ่านไปก็จะต้อง ถูกเห็นอย่างแน่นอน แต่หากใจของเรากำลังจดจ่ออย่างเข้มข้นกับบาง สิ่งอยู่ มันก็จะไม่รับรู้คนหรือสิ่งที่ผ่านไปนั้นว่าเป็นใครหรือเป็นอะไร ดังนั้นเราจึงไม่ได้ตระหนักรับรู้มัน เมื่อมีคนมาถามเราถึงคนหรือสิ่งที่ ! []!

เพิ่ง ผ่านไปเราก็ จะบอกว่ า ไม่ ไ ด้ เ ห็ น / ไม่ได้สังเกต เป็นที่ชัดเจนว่าคนหรือสิ่งนั้นไม่ได้มีผลกระทบอะไรกับเรา จิตของเรา ไม่มีความคิดหรือความรู้สึกต่อคนหรือสิ่งนั้น ทรัษฏาหรือปุรุษะย่อม เห็นทฤศยะหรือประกฤติในลักษณะนี้ ในความจริงแล้วการรับรู้เกิดขึ้น โดยจิต(จิตตะ)ด้วยความช่วยเหลือของอินทรีย์ต่างๆ1 แต่เนื่องด้วย ความเข้าใจผิดอันเกิดจากสังโยคะ2 เราถูกทำให้เชื่อว่าปุรุษะกำลังรับรู้ และจำได้หมายรู้ประกฤติ (คือรับรู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไรและมันไม่ใช่อย่าง อื่น) ความเข้าใจผิดนี้เป็นความเข้าใจผิดของจิตตะ (จิตตะเป็นตัวจริงที่ รับรู้และแยกแยะสิ่งต่างๆ) ที่มีต่อปุรุษะซึ่งเป็นเพียงผู้รู้เฉยๆ หรือทฤศิ มาตระ ซึ่งไม่เพียงแต่ทฤศยะ(ประกฤติ)เท่านั้นที่ปุรุษะรับรู้เฉยๆ แม้แต่จิตตะที่เป็นผู้รับรู้ตัวจริง และการทำงานของจิตตะก็ถูกรับรู้โดย ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เช่นกัน เมื่อวัตถุหรือปรากฏการณ์อย่างหนึ่ง มาปรากฏอยู่ตรงหน้า อวัยวะเพื่อการรับรู้ ได้แก่ ตา หรือ หู เป็นต้น ทันทีที่พลังงานในการก ระตุ้นเร้าเช่น คลื่นแสงหรือเสียง จากวัตถุมาถึง และกระตุ้นอวัยวะเพื่อ การรับรู้คือตาหรือหูตามลำดับ อวัยวะเพื่อการรับรู้จะรับรู้วัตถุใน ลักษณะเฉพาะของมัน จาก นั้นการรับรู้วัตถุของอวัยวะต่างๆ เหล่านี้ จะถูกรับรู้โดยมนัส(ใจ)และจิตตะ และขั้นต่อไปจะถูกรับรู้โดยปุรุษะ ดัง แสดงเป็นลูกโซ่ต่อไปนี้ วัตถุ -> อวัยวะเพื่อการรับรู้ -> สมอง -> มนัส(ใจ) -> จิตตะ -> ปุรุษะ(ทรัษฏา) ในเรื่องนี้มันอาจจะเกิดขึ้นในแบบที่ เมื่อพลังงานกระตุ้นเร้า จากวัตถุมาถึงอวัยวะเพื่อการรับรู้ และวัตถุก็ถูกรับรู้โดยอวัยวะนั้นแล้ว แต่มันอาจจะยังไม่ถูกรับรู้โดยมนัส(ใจ) หรือจิตตะ หรือปุรุษะ แสดงว่า ลูกโซ่นี้ขาดช่วงไปและปฏิกิริยาหรือผลกระทบในระดับมนัส(ใจ)-จิตตะ ไม่เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น หากเรากำลังนั่งอยู่ในห้องที่ค่อนข้างมืด และมี งูหรือแมงป่องอยู่ใกล้ๆ เรา เราอาจจะเห็นมันเป็นเพียงวัตถุบางอย่าง ที่คลุมเครือ แต่ไม่ได้รับรู้มันอย่างชัดเจนว่าจริงๆ มันคืออะไรกันแน่ ดังนั้นจึงไม่มีความกลัวเกิดขึ้นในใจของเรา ตรงกันข้ามหากใจเรารับรู้ วัตถุนั้นว่าเป็นงูหรือแมงป่อง ความกลัวและปฏิกิริยาลูกโซ่อื่นๆ เช่น เหงื่อออก ฯลฯ ก็จะเริ่มเกิดขึ้นในโครงข่ายทางกาย-ใจ-จิตตะของเรา ตัวอย่างนี้เป็นเรื่องของใจ-จิตตะ ซึ่งปกติแล้วทำงานรับรู้และแยกแยะ สิ่งที่รับรู้ไปพร้อมๆ กัน แต่ในกรณีของทรัษฏา-ปุรุษะ การรับรู้นั้นเป็น เพียงการรับรู้เฉยๆ โดยไม่มีปฏิกิริยาลูกโซ่ต่อไปอีก ซึ่งก็คือความ

16


ไว้ในประโยคก่อนหน้า (๒:๑๘) แต่ก็ยังไม่เป็นที่ชัดเจนมากนักว่า ทำไมปตัญชลีจึงนำเสนอการจัดแบ่งประเภทนี้ในตอนนี้ สำหรับคำ ตอบนี้อรรถกถาจารย์บางท่าน (เช่น ไอ.เอส.ไตมนิ ,“Science of Yoga”, Theosophical Society, Adyar, India) ได้พยายามเชื่อมโยง ความสัมพันธ์ระหว่างขั้นต่างๆ ของวิวัฒนาการประกฤติกับขั้นต่างๆ ของสมาธิ (Samadhi)3 และสมาปัตติ4 (ของปตัญชลี) ไตมนิได้ยืนยัน ความสัมพันธ์ดังกล่าวเพราะว่าการกล่าวถึงขั้นอลิงคะว่าเป็นขั้นสูงสุด ของความละเอียดของวัตถุที่สามารถเลือกมาใช้ในกระบวนการทำ สมาธิของสมาปัตติซึ่งได้เคยกล่าวไว้ในประโยคที่ ๑:๔๕ และการ เปรียบเทียบคู่ขนานกันในพื้นที่ย่อยต่างๆ ของสัมปรัชญาตะ5ใน ขอบเขตของกระบวนการสมาธิของสมาปัตติและสพีชะสมาธิ (จาก แนวคิดปตัญชลี) และโกศะหรือกายละเอียดที่มาจากแนวคิดเวทานตะ และพาหนะละเอียดที่สอดคล้องกันซึ่งมาจากแนวคิดเทววิทยาที่เขามี ศรัทธามาก แต่การเปรียบเทียบความสัมพันธ์คู่ขนานที่ชัดเจนระหว่าง ขั้นต่างๆ ของวิวัฒนาการของประกฤติ โกศะของเวทานตะ และ พาหนะของเทววิทยาในด้านหนึ่ง และขั้นต่างๆ ในสมาปัตติและสพีชะ สมาธิในอีกด้านหนึ่งดังกล่าว ดูเหมือนจะไม่สมเหตุสมผล ปตัญชลีดู เหมือนจะไม่ยอมรับแนวคิดของเวทานตะ (เพราะว่าเทววิทยาเพิ่งมี ขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้เอง ดังนั้นแนวคิดนี้จึงไม่เป็นที่รู้จักสำหรับปตัญชลี) อย่างไรก็ตาม มีความสัมพันธ์ทั่วไปอันหนึ่งในขั้นต่างๆ ของ วิวัฒนาการของประกฤติและขั้นต่างๆ ของพื้นที่ภายในซึ่งการเดินทาง ของจิตเกิดขึ้นระหว่างกระบวนการทำสมาธิ ปกติสิ่งที่ใช้ในการทำ สมาธิก็จะมาจากประกฤติ ตามที่เคยกล่าวไว้ในบทสมาธิ(บทแรก) ว่า

ระหว่างการทำสมาธิวัตถุที่เลือกใช้นั้น จะถูกรับรู้ในแง่มุมที่ละเอียดยิ่ง ขึ้นๆ เพราะ ว่าการทำสมาธินั้นก้าวหน้าไปสู่ขั้นที่สูงขึ้นๆ อย่างที่ กล่าวไว้ในประโยค ๑:๔๕ จุดสุดท้ายของความละเอียดของวัตถุนี้คือ อลิงคะ(ไร้รูปลักษณ์) หรือขั้นมูละ-ประกฤติ หรือประธานะ ณ จุดนี้ วัตถุที่ใช้ทำสมาธิจะสลายตัวไปอย่างสมบูรณ์ทั้งด้านแนวคิดและ อารมณ์ของมัน และจิตจะก้าวพ้นประกฤติและเข้าสู่การตระหนักรู้ ความจริง(ของปุรุษะอันบริสุทธิ์) ขณะเดียวกันจิตก็จะสลายตัวไปด้วย และการตระหนักรู้ของปุรุษะอันบริสุทธิ์นี้จะคงเหลืออยู่เพียงลำพัง เนื่องจากการหลุดพ้นขั้นสุดท้ายนี้สามารถบรรลุได้ด้วยการฝึกสมาธิ ดังกล่าว และสิ่งนี้จะเป็นไปได้โดยง่ายถ้าวัตถุที่เลือกมาใช้ทำสมาธิ อย่างน้อยใน ช่วงเริ่มต้นเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ประกฤติ และเป็นสิ่งที่ได้ถูกรับ รู้ได้จริงๆ ในชีวิต และจากนั้นก็กลายเป็นวัตถุสำหรับทำสมาธิ ดังนั้น การเข้าใจธรรมชาติและวิวัฒนาการของประกฤตินี้จึงมีความหมาย อย่างที่กล่าวนี้ ………………………………………………………… เอกสารอ้างอิง : ๑) สุนทร ณ รังษี, (๒๕๓๐). ปรัชญาอินเดีย : ประวัติและลัทธิ. (พิมพ์ ครั้งที่ ๑). กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, น.๒๒๕-๒๒๗. ๒) Karambelkar, P. V. (1986). PATANJALA YOGA SUTRAS Sanskrta Sutras with Transliteration, Translation & Commentary. Lonavla : Kaivalyadhama, p.210-214. ๓) Philosophico Literary Research Department, (1991). Yoga Kosa. Lonavla : Kaivalyadhama.

1 ชญาเนนทรีย์ ๕ คือ อวัยวะเพื่อการรับรู้ทั้ง ๕ ได้แก่ อวัยวะสําหรับการได้ยิน การสัมผัส การเห็น การลิ้มรส และการได้กลิ่น ส่วนกรรเมนท รีย์ ๕ คือ อวัยวะเพื่อการกระทํา ๕ อย่าง ได้แก่ ปาก มือ เท้า ทวารหนัก และอวัยวะสืบพันธุ์ (สุนทร, น.๒๒๕) และมนัส(ใจ) (ผู้แปล)

2 สังโยคะคือ การรวมกันของประกฤติกับปุรุษะ อันเนื่องจากเรายังไม่รู้ความจริงแท้ (ผู้แปล)

ºบÑั ¹น·ท∙Öึ¡ก·ท∙ ‹ÒาÈศ¾พ ณัฐหทัย ริ้วรุจา ¢ข ŒÍอÊส§งÊสÑัÂย วันนี้ฝึกท่าศพประมาณ 10 นาที (8.40 - 8.50) รู้สึกว่าการฝึกในวันนี้ผ่อนคลายได้มากกว่าเมื่อวาน (เฮ เกิดการพัฒนานะจ๊ะ) แต่มี ข้อสังเกตว่า คอเป็นส่วนที่ผ่อนคลายได้ยากที่สุด ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าเป็นเพราะใจเราจดจ่อที่จะผ่อนคลายร่างกายแต่ละส่วนมากเกินไป จน ทำให้เส้นประสาทเกิดความตึงตัวหรือเปล่า เมื่อคิดได้ดังนั้นเลยละความจดจ่อและปล่อยให้การผ่อนคลายเป็นไปตามจังหวะลมหายใจ โดย เฉพาะช่วงลมหายใจออกจะรู้สึกผ่อนคลายได้ลึก และวันนี้รู้สึกว่าช่วงระหว่างที่เรารู้สึกว่ากำลังหลับแต่ยังมีสติ จะรับรู้ถึง ความผ่อนคลายทั่วทั้งร่างกาย ร่างกายจะจมลงกับพื้นอย่างช้าๆ รู้สึกเบาสบายและผ่อนคลาย แต่ก็อย่างว่าแหละ ความสุขมักจะอยู่กับเราไม่ ได้นาน จิตก็เริ่มหลุดลอยไปกับสายลมและแสงแดดอีกแล้ว แย่จัง แต่อย่างไรก็ตามวันนี้ก็ทำได้ดีกว่าเมื่อวาน ก็รู้สึกพอใจแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่า กันใหม่จ้ะ หลังการฝึกก็มีคำถามที่ชวนสงสัยว่า "สติกับการจดจ่อเหมือนกันหรือไม่" และถ้าให้ตอบตามความเข้าใจของตัวเอง "สติคือการรับรู้ ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ แต่การจดจ่อ เหมือนเครื่องสแกน ซึ่งบางครั้งก็ทำไห้เกิดความเกร็งโดยไม่รู้ตัว" ยังมีต่อ 17!

[]


áแ»ปÅลáแÅลÐะàเÃรÕีÂยºบàเÃรÕีÂย§งâโ´ดÂย ÇวÑัÅลÂย Åล´ดÒา ÍอÑัÈศÇวÈศÔิÃรÔิàเÅลÔิÈศ

âโÂย¤คÐะ

¨จÒา¡ก»ป¡ก

ÊสÒาÁมÒาÃร¶ถ·ท∙ÓำÃร ŒÒาÂยÃร ŒÒา§ง¡กÒาÂย¤คØุ³ณäไ´ด ŒÍอÂย ‹Òา§งäไÃร

วันเสาร์อันหนาวเหน็บในช่วงต้นปี 2009 เกล็น แบล็ค ครู โยคะผู้มากประสบการณ์กว่าสี่สิบปี มีลูกศิษย์ที่นับถือเขาหลายคน ไม่ ว่าจะเป็นดาราหรือครูโยคะที่มีชื่อเสียง กำลังสอนโยคะขั้นสูง ณ สัน กาลปาห์โยคะ ในเมืองแมนฮัตตัน จากวิถีความเป็นอยู่ แบล็ค ถือว่า เป็นโยคีระดับคลาสสิก เขาเรียนที่สถาบันโยคะที่ก่อตั้งโดย ท่าน บี เค เอส ไอเยนการ์ ณ เมืองปูเน่ ประเทศอินเดีย ใช้เวลาหลายปีในการ ปลีกวิเวกและฝึกสมาธิ ปัจจุบันเขาอาศัยอยู่ ณ เมือง ไรน์เบ็ค รัฐ นิวยอร์ค และสอนโยคะเป็นประจำที่สถาบันโอเมก้า อาศรมแนวนิว เอจ (New age) บนเนื้อที่สวนและต้นไม้กว่า 500 ไร่ แบล็คเป็นที่รู้จัก ด้วยสไตล์การสอนที่เข้มงวดและติดดิน แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่ผมมาพบ เขา ผมได้รับคำแนะนำให้คุยกับแบล็ค ไม่ใช่เรื่องประโยชน์ของโยคะ แต่หากต้องการทราบถึงอันตรายจากโยคะ นักเรียนส่วนใหญ่มาพบ เขาเพื่อฟื้นฟูร่างกาย หรือบำบัดอาการบาดเจ็บจากโยคะ ผมก็อยู่ใน สถานะเดียวกัน ในช่วงวัยสามสิบ ผมได้รับบาดเจ็บที่หมอนรอง กระดูกบริเวณหลังส่วนล่าง และพบว่าการฝึกโยคะบางท่าร่วมกับการ บริหารหน้าท้อง สามารถบรรเทาความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นได้ ต่อมาในปี 2007 ผมได้ ร ั บ บาดเจ็ บ ที ่ ห ลั ง ขณะฝึ ก ท่ า เหยี ย ดยื ด ด้ า นข้ า ง (extended side angle pose) ซึ่งเป็นท่าอาสนะที่ได้รับการยกย่องว่า ช่วยรักษาโรคหลายๆ อย่างได้ ด้วยเหตุนี้ความเชื่ออันแสนซื่อในอดีต ! []!

ของผมที่ว่า โยคะเป็นวิถีแห่งการฟื้นฟูสุขภาพโดยไม่ก่อให้เกิดอัน ตรายก็ได้มลายหายไป... ณ สันกาลปาห์โยคะ ห้องฝึกมีนักเรียนแน่นขนัด เกือบครึ่ง หนึ่งเป็นครูโยคะ แบล็คเดินไปรอบๆ ห้องพูดคุย และหยอกล้อกับ นักเรียน “นี่คือโยคะหรือ?” เขาถาม ขณะที่พวกเราเหงื่อตก จากท่าที่ ต้องใช้ความทนทานเหนือมนุษย์ “มันจะเป็นโยคะก็ต่อเมื่อคุณกำลัง ใส่ใจอยู่ในท่า” วิธีการสอนของเขาแทบจะไม่มีรูปแบบ เขาสอนพวก เราทำท่าตามตำราดั้งเดิมไม่กี่ท่า ไม่มีท่าจำพวกกลับตัว แต่เน้นให้เรา ค้างในแต่ละท่าเป็นเวลานาน ในระหว่างการเรียน เขาพยายามให้ พวกเราตั้งใจพิจารณาจุดที่เริ่มเกิดความเจ็บปวด “ผมจะสอนให้มัน ยากมากเท่าที่จะทำได้” เขากล่าวกับนักเรียนในห้อง “เป็นคุณต่างหาก ที่ต้องคอยปรับให้มันง่าย ให้มันเหมาะกับตนเอง เขาพานักเรียนเข้า ประเด็นเรื่องข้อควรระวังในการฝึก โดยเล่าเรื่องราวในอดีต สมัยที่อยู่ อินเดีย มีโยคีท่านหนึ่งมาเรียนในสถาบันของท่านไอเยนการ์ ขณะฝึก ท่าบิดกระดูกสันหลัง แบล็คกล่าวว่าเขาแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ที่ เห็นกระดูกซี่โครงสามซี่ของโยคีท่านนั้นหัก เป๊าะ เป๊าะ เป๊าะ หลังชั้นเรียน ผมถามแบล็คเกี่ยวกับวิธีการสอนโยคะของเขา การเน้นให้ค้างอยู่ในท่าอาสนะง่ายๆ เพียงไม่กี่ท่า การไม่สอนท่ากลับ บนลงล่าง เช่น ท่ายืนด้วยศีรษะและท่ายืนด้วยไหล่ เขาตอบคำถาม

18


ของผมด้วยคำตอบแบบที่คุณสามารถคาดเดาได้จากครูโยคะทั่วไปว่า ความตระหนักรู้เป็นสิ่งที่สำคัญกว่าการเข้าสู่ชุดการฝึกท่าอาสนะต่างๆ อย่างเร่งรีบเพียงเพื่อให้คุณสามารถกล่าวได้ว่าคุณทำมันแล้ว แต่แล้ว เขาก็กล่าวบางอย่างที่ค่อนข้างรุนแรง แบล็คมาถึงจุดที่เชื่อว่า “คนส่วน ใหญ่” ควรเลิกฝึกโยคะ เพราะเห็นได้ชัดเจนว่ามันทำให้เกิดการบาด เจ็บได้ แบล็คเล่าว่า ไม่เพียงแต่นักเรียนเท่านั้น แม้ครูโยคะที่มีชื่อ เสียงก็ได้รับบาดเจ็บ เพราะคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีสภาพร่างกายที่ อ่อนแอ หรือมีปัญหาทางร่างกายจนเกิดการบาดเจ็บที่รุนแรงอย่างไม่ อาจหลีกเลี่ยงได้ แทนที่พวกเขาจะฝึกท่าอาสนะทุกๆ ท่า “พวกเขา ควรจะฝึกท่าเฉพาะเจาะจง เพื่อค่อยๆ เพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อ เพื่อค่อยๆ ปรับความสมดุลของอวัยวะภายใน” เขายังกล่าวว่า “โยคะ น่าจะเหมาะกับคนที่มีสภาพร่างกายแข็งแรงเท่านั้น หรือ โยคะ สามารถใช้ในการบำบัดได้ไหม ยังเป็นเรื่องที่มีการโต้แย้งกันอยู่ อย่างไรก็ตาม โยคะไม่ควรนำมาสอนสำหรับชั้นเรียนทั่วๆ ไป” แบล็ ค ดู เ หมื อ นจะป้ อ งกั น อั น ตรายของโยคะ ด้ ว ยความ พยายามอย่างหนักในการศึกษาเรียนรู้ว่า เมื่อไรที่นัก เรียน ”ไม่ควร ทำท่าอาสนะบางท่า เช่นท่ายืนด้วยไหล่ ท่ายืนด้วยศีรษะหรือการลง น้ำหนักที่กระดูกต้นคอ” ถึงแม้ว่าเขาจะได้เรียนกับ ชมวล แท็ทส์ นัก กายภาพบำบัดผู้เป็นตำนานของแมนฮัตตัน ซึ่งได้คิดค้นวิธีการนวด และการจัดท่าทางให้กับนักแสดงและนักเต้น แต่ก็ยอมรับว่าไม่เคยเข้า รับการฝึกอย่างเป็นกิจลักษณะว่า ท่าอาสนะใดจะดีกับนักเรียนและท่า ใดที่อาจทำให้เกิดปัญหา อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เขามีคือ “ประสบ การณ์ อันมากมาย” “การมาที่นิวยอร์ก และสอนโยคะให้กับคนที่มีปัญหาหลาก หลาย โดยการกล่าวว่า ‘เอาล่ะ วันนี้พวกเรามาฝึกชุดของท่าอาสนะดัง ต่อไปนี้’ วิธีการสอนแบบนี้ใช้ไม่ได้ผลที่นี่” จากข้อมูลของแบล็ค มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้ความเสี่ยง จากการฝึกโยคะเพิ่มขึ้น ปัจจัยสำคัญที่สุดคือ การเปลี่ยนแปลงของ กลุ่มผู้ฝึกโยคะ โดยปกติผู้ฝึกโยคะชาวอินเดีย จะนั่งยองๆ หรือนั่งขัด สมาธิในชีวิตประจำวัน และท่าอาสนะต่างๆ ก็สืบเนื่องมาจากท่านั่ง เหล่านี้ ในปัจจุบันคนเมืองที่นั่งบนเก้าอี้ตลอดทั้งวัน เข้าสตูดิโอ สัปดาห์ละสองสามครั้ง มาเหยียดยืดเพื่อบิดร่างกายในท่าอาสนะที่ ยากมาก ทั้งที่พวกเขายังขาดความยืดหยุ่น และมีปัญหาทางร่างกา ยอื่นๆ แม้หลายคนมาฝึกโยคะ เพื่อเป็นทางเลือกที่เบากว่าการเล่น กีฬาที่รุนแรง หรือเพื่อการฟื้นฟูร่างกายจากการบาดเจ็บ แต่เนื่องจาก ผู้ฝึกโยคะมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก กล่าวคือคนอเมริกันที่ฝึกโยคะ เพิ่มขึ้นจาก 4 ล้านคนในปี 2001 เป็นประมาณ 20 ล้านคน ในปี 2011 หมายถึงการมีสตูดิโอจำนวนมาก ที่ครูโยคะทั้งหลายขาดการฝึกอบรม ในระดับลึกที่จำเป็นต่อการตระหนักรู้ว่านักเรียนกำลังจะได้รับบาดเจ็บ “ในปัจจุบัน โรงเรียนโยคะจำนวนมากทำหน้าที่เพียงแค่ลงแส้ผู้ฝึก” แบล็คกล่าว “คุณไม่อยากจะเชื่อหรอกว่าเกิดอะไรขึ้น ครูหลายคน กระโดดขึ้นไปบนตัวนักเรียน ทั้งกดและดึงพร้อมกับกล่าวว่า ตอนนี้ คุณควรจะทำท่านี้ได้แล้ว” มันเป็นอัตตาของพวกเขา เมื่อครูโยคะมาพบเขาเพื่อฟื้นฟูร่างกาย หลังจากที่ทุกข์ ทรมานจากอาการบาดเจ็บ แบล็คบอกพวกเขาว่า “อย่าฝึกโยคะ”

19!

“พวกเขามองหน้าผมราวกับว่าผมบ้าไปแล้ว” เขาเล่าต่อ “และผมรู้ว่า ถ้าพวกเขายังคงฝึกต่อไปพวกเขาจะไม่สามารถทนกับอาการบาดเจ็บ ได้” ผมถามถึงอาการบาดเจ็บร้ายแรงที่สุดที่แบล็คเคยพบ เขาพูดถึง ครูโยคะชื่อดังหลายคนขณะฝึกท่าพื้นฐานอย่างท่าหมาคว่ำ อันเป็นท่า ที่ร่างกายจะอยู่ในรูปตัววีคว่ำลง ซึ่งใช้ความพยายามมากจนทำให้เอ็น ร้อยหวายฉีกขาด “มันคืออัตตา” เขากล่าว “จุดมุ่งหมายทั้งหมดของ การฝึกโยคะคือการลดอัตตา” เขาเล่าว่าเขาเคยเห็น ”สะ โพกที่ค่อน ข้างจะมีปัญหา” ของครูโยคะที่มีชื่อเสียงมากในอเมริกา ครูท่านนั้นไม่ สามารถขยับข้อต่อสะโพกได้ แบล็คบอกกับผมว่า “เบ้าของข้อต่อ สะโพกผิดรูปร่างจนทำให้เธอต้องเปลี่ยนข้อต่อสะโพก” ผมถามว่าเธอ ยังคงสอนอยู่หรือไม่ “โธ่ แน่นอน” แบล็คตอบ “ครูโยคะอีกหลายคนมี ปัญหาที่หลังจนต้องนอนลงเวลาสอน ”ถ้าเป็นผม ผมคงจะอายมาก” ในกลุ่มผู้ที่อุทิศตัวให้กับโยคะ ตั้งแต่คุรุจนถึงผู้ติด ตามที่ถือ ม้วนเสื่อตลอดเวลาได้อธิบายว่า โยคะเป็นเหมือนพลังปาฏิหาริย์แห่ง การเกิดใหม่และการบำบัด พวกเขาสรร เสริญโยคะว่าทำให้เกิดความ สงบ การบำบัดรักษา การเพิ่มพลัง และความแข็งแรง ผลจากโยคะ เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นความจริง กล่าวคือ โยคะสามารถลดความดัน เลือด สร้างสารเคมีที่ช่วยต่อต้านอาการซึมเศร้า กระทั่งปรับปรุง คุณภาพชีวิตด้านเพศสัมพันธ์ แต่ชุนชนโยคะยังคงปิดปากเงียบถึง ความเป็นไปได้ ที่โยคะจะนำไปสู่ความเจ็บปวดที่ซ่อนลึกภาย ใน จา กันนาท จี กูเน่ (Jagannath G. Gune อีกชื่อของท่านสวามีกุวัลย นันท์) ผู้ช่วยฟื้นฟูโยคะในยุคสมัยใหม่ ไม่ได้อ้างอิงประเด็นการบาด เจ็บในวารสารโยคะมิมางสา หรือหนัง สือ “อาสนะ” ที่เขาเขียนในปี ค.ศ.1931 ขณะที่อินทรา เทวี หลีกเลี่ยงประเด็นดังกล่าวในหนังสือ ขายดีปี 1953 เรื่อง หนุ่มสาวตลอดกาล สุขภาพดีตลอดไป (Forever Young, Forever Health) เช่นเดียวกันกับหนังสือของ บี เค เอส ไอเยนการ์ เรื่อง ประทีปส่องโยคะ (Light on Yoga) ที่ได้ รั บ การตี พ ิ ม พ์ ใ นปี 1965 การ ตอกย้ำเรื่อง ความปลอดภั ย ของโยคะยั ง คง ปรากฎอยู่ตาม หนั ง สื อ แนะนำการฝึ ก ของ โยคี ท ่ า นต่ า งๆ เช่ น สวามี ศิวะนันทะ (Swami Sivananda) เค ปัฐพี จอย์ส (K. Pattabhi Jois) และ บิแครม ชอดฮูรี่ (Bikram Choudhury) ฯลฯ ท่านสวามี จิ ตานันทะ (Swami Gitananda) ผู้เดินทาง เผยแพร่ โยคะไปรอบโลกถึง 10 รอบ และ เป็นผู้ก่อ ตั้งอาศรมในหลายๆ ประเทศ ได้ ประกาศว่ า โยคะที ่ แ ท้ จ ริ ง นั ้ น ปลอดภัยเหมือนน้ำนมของมารดา อย่ า งไรก็ ต าม มี ห ลั ก ฐาน ทางการแพทย์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ที่สนับสนุนข้อถกเถียงของแบล็ค ว่า ท่าอาสนะหลายท่า ที่สอนกันทั่วไปมี ความเสี่ยง รายงานชิ ้ น แรก

[]


เกี่ยวกับอาการบาดเจ็บจากการฝึกโยคะ ถูกตีพิมพ์ในวารสารที่ได้รับ การยอมรับ ในระดับโลกหลายฉบับเมื่อหลายสิบปีที่ผ่านมา หนึ่งในนั้น คือ ประสาทวิทยา (Neurology), วารสารทางการแพทย์ของบริติช (The British Medical Journal) และวารสารของสมาคมการแพทย์ อเมริกัน (The Journal of the American Medical Association) ปัญหาที่เกิดขึ้นมีตั้งแต่การบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยจนถึงทุพพลภาพ อย่างถาวร มีกรณีหนึ่งที่นักศึกษาชายฝึกฝนโยคะกว่าหนึ่งปีตัดสินใจ ฝึกหนักขึ้น เขานั่งหลังตรงบนส้นเท้าในท่าคุกเข่าหรือที่รู้จักกันในท่า วัชราสนะเป็นเวลานานหลายๆ ชั่วโมงต่อวัน และสวดภาวนาเพื่อ สันติภาพของโลก เวลาผ่านไปไม่นาน เขาก็ประสบปัญหาในการเดิน การวิ่งและการขึ้นบันได คุณหมอพบว่าปัญหาเกิดจากเส้นประสาทส่วนปลายไซอาติก (sciatic) ไม่ตอบสนองต่อสิ่งเร้า แขนงส่วนปลายไซอาติก ที่เริ่มจาก กระดูกสันหลังส่วนล่างผ่านก้นแล้วยาวลงไปถึงขา การนั่งในท่าวัชรา สนะ ลดจำนวนออกซิเจนที่ไปหล่อเลี้ยงบริเวณที่ต่ำกว่าหัวเข่าลงไป ส่งผลทำให้เส้นประสาทตาย เมื่อนักศึกษาคนนั้นเลิกฝึกท่าวัชราสนะ อาการก็ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว แพทย์บันทึกกรณีต่างๆ ที่คล้ายคลึงกันและ เรียกอาการดังกล่าวว่า โยคะเท้าตก (Yoga foot drop) (Foot drop – อาการเท้าตกเนื่องจากเส้นประสาทควบคุมเสียไป ทำให้ไม่สามารถ กระดกข้อเท้าขึ้นได้) รายงานเกี่ยวกับปัญหาจากโยคะมีตามมาเรื่อยๆ ในปี 1972 ดับบลิว ริทชี่ รัสเซลล์ แพทย์ระบบประสาทวิทยา ที่มีชื่อเสียงจากมหา วิทยาลัยอ็อกฟอร์ด ตีพิมพ์บทความใน วารสารทางการแพทย์ของ บริติช (The British Medical Journal) เพื่ออธิบายว่า ท่าอาสนะบาง ท่าแม้ไม่พบบ่อย อาจทำให้เกิดอาการเส้นเลือดในสมองแตกได้ แม้ว่า ผู้ฝึกจะยังอายุน้อยและมีสุขภาพดี รัสเซลล์พบว่าการกระทบกระเทือน ทางสมองไม่ได้เกิดจากการบาดเจ็บที่ศีรษะโดยตรงเท่านั้น แต่ยังเกิด จากการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หรือการเหยียดยืดคอมากเกินไปได้ เช่ น อาการที ่ ค อยื ด ไปข้ า งหน้ า และกระตุ ก กลั บ อย่ า งรวดเร็ ว (whiplash) หรือการฝึกท่าอาสนะบางท่า โดยปกติคอสามารถยืดไป ข้างหลังได้ 75 องศา ยืดไปข้างหน้าได้ 40 องศา ยืดไปด้านข้างได้ 45 องศา และหมุนคอได้ประมาณ 50 องศา โดยทั่วไปผู้ฝึกโยคะมักจะ เหยียดยืดกระดูกมากกว่านั้น ผู้ฝึกโยคะระดับกลางสามารถหมุนคอได้ ถึง 90 องศา หรือเกือบสองเท่าของการหมุนปกติ การโค้งงอคอมากกว่าปกติ ได้รับการส่งเสริมจากผู้ฝึกที่มี ประสบการณ์มาก ไอเยนการ์ เน้นว่าในท่างู ศีรษะควรโค้งไปข้างหลัง ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และเน้นย้ำว่าในท่ายืนด้วยไหล่ซึ่งคางจะ กดลึกลงไปที่หน้าอก ลำตัวและศีรษะจะตั้งเป็นมุมฉาก “ร่างกายของ คุณควรเป็นเส้นตรงตั้งฉากกับพื้น” เขาอธิบายว่าท่าดังกล่าวจะช่วย กระตุ้นต่อมไทรอยด์ ท่านี้ถือเป็นหนึ่งในพรประเสริฐที่สุดที่มอบให้กับ มนุษยชาติ โดยปราชญ์โบราณ รัสเซลล์เตือนว่า การเคลื่อนไหวศีรษะและคออย่างแรงอาจ ทำให้ หลอดเลือดแดงที่คอได้รับบาดเจ็บ เกิดเส้นเลือดอุดตัน บวม ตีบ และทำลายสมองในที่สุด หลอดเลือดแดงบริเวณฐานกระโหลก ซึ่ง เริ่มจากตำแหน่งที่หลอดเลือดแดงสองเส้นรวมกันเป็นหลอดเลือด ขนาดใหญ่ที่ฐานของสมองเป็นจุดที่ต้องระวังเป็นพิเศษ หลอดเลือด

! []!

แดงนี้หล่อเลี้ยงโครงสร้างหลายส่วน เช่น พอนส์ (pons) ส่วนของก้าน สมองที่ทำหน้าที่ควบคุมการหายใจ, เซรีเบลลัม (the cerebellum / สมองน้อย) ซึ่งประสานการทำงานของกล้ามเนื้อต่างๆ สมองส่วน นอกที่ใกล้กับท้ายทอย (the occipital lobe of the outer brain) ซึ่ง เปลี่ยนกระแสประสาทจากตาเป็นภาพ และสมองส่วนธาลามัส (the thalamus) ซึ่งส่งกระแสข้อมูลไปยังสมองส่วนนอก การไหลเวียนของ เลือดบริเวณฐานกระโหลก (basilar artery) ที่ลดลงเป็นที่รู้กันว่าก่อให้ เกิดภาวะหลอดเลือดในสมองอุดตันแบบต่างๆ แม้ไม่มีผลต่อการใช้ ภาษาหรือการคิดอย่างมีสติ (มีคนกล่าวว่า ส่วนนี้ตั้งอยู่ที่ด้านหน้าของ สมองคอร์เท็กซ์) แต่ก็สามารถทำลายระบบกลไกหลักของร่างกาย อย่างรุนแรงและบางครั้งอาจถึงตายได้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่ทุกข์ทรมาน จากภาวะหลอดเลือดในสมองอุดตัน จะสามารถฟื้นฟูระบบการทำงาน ต่างๆ ได้ แต่ในบางกรณีอาการปวดหัว รู้สึกไม่สมดุล วิงเวียน และ ความลำบากในการเคลื่อนไหวตามปกติจะยังเป็นอยู่อีกหลายปี รัสเซลล์เป็นห่วงว่าเมื่อผู้ฝึกโยคะมีภาวะผิดปกติของหลอด เลือดในสมอง แพทย์อาจไม่ทราบสาเหตุได้ เขาเขียนว่า การที่สมอง ใหญ่ถูกกระทบกระเทือน อาจไม่ปรากฏอาการในทันที บางครั้งอาการ จะเกิดขึ้นในคืนนั้น ด้วยเหตุที่อาการเกิดขึ้นล่าช้าไปหลายชั่วโมง ทำให้แพทย์มองข้ามปัจจัยที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ในปีค.ศ. 1973 หนึ่งปีหลังจากที่งานวิจัยของรัสเซลล์ได้รับ การตีพิมพ์ วิลลิบาล์ด นาเจอร์ Willibald Nagler, ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน การฟื้นฟูกระดูกสันหลัง (spinal rehabilitation) ที่มีชื่อเสียงของ วิทยาลัยการแพทย์แห่งมหาวิทยาลัยคอร์เนลได้ตีพิมพ์งานวิจัยเกี่ยว กับกรณีศึกษา ที่ไม่ปกติของสตรีสุขภาพดีอายุ 28 ปี และมีปัญหา หลอดเลือดตีบตันขณะที่ฝึกอาสนะท่าสะพานโค้ง ซึ่งผู้ฝึกจะต้องนอน หงายราบกับพื้นแล้วจึงยกลำตัวขึ้นเป็นรูปครึ่งวงกลมและทรงตัวด้วย แรงจากแขนและขา การฝึกขั้นกลางผู้ฝึกจะต้องยกลำตัวสูงขึ้นอีก แล้ว วางกลางกระหม่อมบนพื้น ขณะที่หญิงสาวผู้นี้กำลังทรงตัวด้วยแรง จากคอและศีรษะ คอหงายไปทางด้านหลังมากเกินไป เธอมีอาการ ปวดหัวตุ๊บตุ๊บอย่างรุนแรงทันที เธอกลับลุกขึ้นยืนด้วยความลำบาก ครั้นเมื่อมีคนช่วยพยุงให้ลุกขึ้นยืนแล้ว ก็ไม่อาจเดินได้โดยปราศจาก คนช่วยประคอง เธอรีบเดินทางไปโรงพยาบาลและพบว่าบริเวณซีก ขวาของร่างกายไม่มีความรู้สึก แขนและขาด้านซ้ายตอบสนองคำสั่งได้ ช้า ดวงตาเหลือบไปทางซ้ายโดยไม่ตั้งใจ ขณะที่ด้านซ้ายของใบหน้า

20


พบว่ารูม่านตาหดตัว หนังตาบนตกลง หนังตาล่างเลิกขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่ม อาการฮอนเนอร์ (Horner’s syndrome) นาเจอร์ รายงานเพิ่มเติมว่าผู้ ป่วยมีอาการเซไปทางซ้าย แพทย์ผู้ให้การรักษาพบว่า หลอดเลือดแดงด้านซ้าย ซึ่งอยู่ ระหว่างกระดูกต้นคอสองชิ้นแรกตีบมากและหลอดเลือดที่ไปเลี้ยง สมองน้อย (cerebellum) อยู่ผิดตำแหน่ง เทคโนโลยีการถ่ายภาพที่ยัง ไม่พัฒนาในสมัยนั้น ทำให้แพทย์ต้องผ่าตัดเปิดแผลเพื่อวิเคราะห์ อาการบาดเจ็บได้ถูกต้อง ศัลยแพทย์ผู้ผ่าตัดเปิดกระโหลกพบว่า สมองน้อยซีกซ้ายขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงทำให้เนื้อเยื่อสมองตายเป็น จำนวนมาก และบริเวณดัง กล่าวเกิดอาการเลือดออกหลังจากได้รับ บาดเจ็บ (secondary hemorrhages) ผู้ป่วยรับการรักษา เพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพอย่างจริงจัง สองปีต่อมาผู้ป่วยเดินได้โดยใช้อุปกรณ์ช่วยเดิน นาเจอร์ กล่าว อย่างไรก็ตามแขนซ้ายของผู้ป่วยยังคงไม่อยู่กับที่ และตาซ้ายยังมีกลุ่ม อาการฮอนเนอร์ นาเจอร์สรุปว่า การบาดเจ็บที่ไม่พบบ่อยนี้เป็น สัญญาณเตือนถึงอันตรายของการโค้งงอคอมาก เกิน ไป เขาแนะนำให้ระมัดระวังเมื่อแนะนำให้ฝึกท่า อาสนะเหล่านั้นโดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยกลางคน ประสบการณ์ ข องนาเจอร์ มิ ไ ด้ เ ป็ น เพี ย ง เหตุการณ์เดียวที่เกิดขึ้น สองสามปีต่อมา ชายอายุ 25 ปีคน หนึ่ง รีบรุดไปโรงพยาบาลนอร์ทเวสเทิร์น เมโมเรียลในชิคาโก เพื่อแจ้งอาการตามัว การกลืนอาหารลำบาก และไม่อาจควบคุม ร่างกายด้านซ้ายได้ สตีเวน เอช ฮานัส นักเรียนแพทย์ ณ ขณะ นั้น เกิดความสนใจในกรณีนี้ และได้ร่วมกับประธานแผนก ประสาทวิทยา เพื่อค้นหาสาเหตุ (ต่อมาเขาได้ตีพิมพ์ผลการศึกษา ร่วมกับผู้ร่วมงานหลายท่าน) ผู้ป่วยมีสุขภาพแข็งแรง และฝึก โยคะทุกเช้าเป็นเวลาหนึ่งปีครึ่ง กิจวัตรของเขารวมถึง การบิดกระดูกสันหลัง ซึ่งเขาจะหันศีรษะไปทางซ้าย และทางขวาให้ได้มากที่สุด ครั้นแล้วเขาก็จะฝึกท่ายืน ด้วยไหล่ โดยที่คอสัมผัสพื้นโดยตรงและงอมาก ตามที่ ท่านไอเยนการ์แนะนำ และค้างอยู่ในท่ากลับบนลงล่างนี้ ประมาณ 5 นาที ทีมวิจัยระบุในวารสารทางการแพทย์ The Archives of Neurology ว่า “ผู้ป่วยมีรอยฟกช้ำดำเขียวบริเวณคอส่วนล่างเกิดจาก การสัมผัสพื้นแข็งอย่างต่อเนื่องระหว่างที่ฝึกโยคะ” ชึ่งเป็นร่องรอยของ การบาดเจ็บที่คอ การวินิจฉัยโรคระบุว่าหลอดเลือดแดงเวอร์ทิบรัล ทางซ้าย (left vertebral artery) ระหว่างกระดูกคอชิ้นที่ 2 (c2) และ 3 (c3) ถูกปิดกั้น โดยหลอดเลือดบริเวณดังกล่าวเกือบจะตีบตัน หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า เลือดไม่อาจไปเลี้ยงสมองได้ สองเดือนหลังเกิดเหตุ และด้วยการทำกายภาพ บำบัดหลาย ครั้ง ผู้ป่วยสามารถเดินได้ด้วยไม้เท้า อย่างไรก็ตามทีมงานระบุว่าผู้ ป่วย ”ยังคงมีปัญหาการใช้มือซ้ายทำงานที่ซับซ้อน” ฮานัสและทีมวิจัย สรุปว่า สภาพของชายหนุ่มคนนี้แสดงอันตรายชนิดใหม่ พวกเขาเตือน ว่า “คนที่มีสุขภาพดีสามารถทำลายหลอดเลือดแดงเวอร์ทิบรัล โดย การหมุนคอมากเกินกว่าระดับที่ร่างกายจะรับได้ “ พวกเขาย้ำว่า ”โยคะควรจะถูกพิจารณาว่า เป็นปัจจัยที่อาจกระตุ้นให้เกิดการบาด เจ็บได้” ในรายงานนี้ ทีมจากนอร์ทเวสเทิร์นมิได้อ้างอิงเฉพาะกรณี

21!

ของผู้ป่วยหญิงของนาเจอร์ แต่รวมถึงคำเตือนในตอนต้นของรัสเซลล์ ความกั ง วลเกี ่ ย วกั บ ความปลอดภั ย ของโยคะเริ ่ ม แพร่ ก ระจายใน แนวทางการปฏิบัติของแพทย์ กรณีศึกษาเหล่านี้ดูเหมือนจะไม่พบบ่อย แต่การสำรวจโดย คณะกรรมาธิการด้านความปลอดภัยในสินค้าของผู้บริโภค (the Consumer Product Safety Commission) ชี้ให้เห็นว่า จำนวนการ เข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉินของคนไข้ที่เกี่ยวกับโยคะกำลังเพิ่มขึ้น อย่างมาก หลังจากที่เพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยในหลายปีที่ผ่านมา จำนวน การเข้ารับการรักษาเพิ่มขึ้นจาก 13 รายในปี 2000 เป็น 20 รายในปี 2001 และเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่าเป็น 46 รายในปี 2002 การสำรวจนี้ ใช้การสุ่มตัวอย่าง มิใช่รายงานที่ครอบคลุมทั้งหมด เป็นการแสดงถึง แนวโน้มที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งจำนวนการเข้ารับการรักษาที่เพิ่มขึ้นนี้มีนัย สำคัญทางสถิติ ในความเป็นจริง เพียงส่วนหนึ่งของการบาดเจ็บ เท่านั้นที่ไปห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล ขณะที่คนจำนวนมาก ที่มี อาการบาดเจ็บจากโยคะแบบไม่รุนแรง จะไปสถานพยาบาลรายย่อย ซึ่งไม่มีการบันทึกสถิติ เช่น ไปพบแพทย์ตามคลินิก ไปพบนักจัด กระดูก ไคโรแพคเตอร์ และนักบำบัดประเภทต่างๆ ในช่วงนี้ เรื่องราวการบาดเจ็บจากโยคะเริ่มปรากฏขึ้นทางสื่อ เดอะ ไทมส์ (The Times) รายงานถึงผู้เชี่ยวชาญทางสุขภาพที่พบ ว่าความร้อนที่แพร่กระจายไปทั่วของบิแครมโยคะหรือโยคะร้อน เพิ่มความเสี่ยงของการเหยียดยืดมากเกิน ไป ทำให้กล้ามเนื้อ ได้รับบาดเจ็บ และ กระดูกอ่อนฉีกขาด ผู้เชี่ยวชาญท่าน หนึ่งระบุว่า เอ็นที่ยึดระหว่างกระดูกและกระดูกอ่อน บริเวณข้อต่อมีลักษณะเป็นแถบเส้นใย ไม่อาจคืนสู่ สภาพเดิ ม ได้ ภ ายหลั ง การเหยี ย ดยื ด ที ่ ม ากเกิ น ทำให้เกิดความเสี่ยงที่กล้ามเนื้อจะตึงเกินไป กล้าม เนื้อเคล็ด และการเคลื่อนของกระดูกที่ผิดปกติ ในปี 2009 ที ม วิ จ ั ย จากวิ ท ยาลั ย การแพทย์ แ ละ ศัลยแพทย์ของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย แห่งนิวยอร์กซิตี้ ได้ตีพิมพ์รายงานการสำรวจครูโยคะ นักบำบัด และ แพทย์ทั่วโลก คำถามหลักของการสำรวจคือ อาการบาด เจ็บจากโยคะที่รุนแรงที่สุดที่ท่านเคยพบ (พิการ และ/หรือ อาการที่ เกิดเป็นระยะเวลานาน) คืออะไร คำตอบที่ได้คือ การบาดเจ็บส่วน มาก เกิดบริเวณหลังส่วนล่าง (231) ตำแหน่งอื่นๆ ของอาการบาดเจ็บ ที่เกิดขึ้นเรียงลำดับจากมากไปน้อยคือ ไหล่ (219) เข่า (174) และคอ (110) ตามด้วยอาการหลอดเลือดตีบ จากแบบสำรวจ มีเพียงสี่ราย ที่ การก้มและการบิดตัวมากเกินไปของโยคะ ทำให้สมองถูกกระทบ กระเทือนในระดับหนึ่ง จำนวนของกรณีที่เกิดขึ้นแม้ไม่มาก แต่ทำให้ เกิดการยอมรับร่วมกันแล้ว ถึงความเสี่ยงของท่าโยคะอาสนะ โดยใช้ เวลาเกือบสี่สิบปีหลังจากที่รัสเซลล์ตีพิมพ์การเตือนครั้งแรก เมื่อไม่กี่ปีมานี้ กลุ่มปฏิรูปของชุมชนโยคะเริ่มกล่าวถึง ประเด็นการบาดเจ็บที่เกิดจากโยคะ บทความในโยคะเจอร์นัล ปี 2003 คารอล ครูคอฟ ครูโยคะและนักบำบัด ที่ทำงาน ณ ศูนย์การแพทย์ แบบบูรณาการแห่งมหาวิทยาลัยดุ๊กในเมืองนอร์ท แคโรไลน่า ได้ สารภาพถึงปัญหาของเธอ เธอเล่าถึงวันหนึ่งที่มีการถ่ายทำรายการ โทรทัศน์ระดับประเทศ ภายหลังจากที่ถูกเร่งให้ทำท่ามากขึ้นโดยการ

[]


ยกเท้าข้างหนึ่ง จับนิ้วโป้ง แล้วเหยียดขาออกเข้าสู่ท่าเหยียดยืดขาพร้อม จับนิ้วโป้ง (extended-hand-to-big-toe pose) ขณะที่ขาเหยียดยืดออก นั้นเธอรู้สึกถึงความเจ็บปวดเฉียบพลันที่เอ็นใต้หัวเข่า วันรุ่งขึ้นเธอไม่ อาจเดินได้ ครูคอฟ ต้องทำกายภาพบำบัดและใช้เวลาหนึ่งปีในการฟื้น ตัว ก่อนที่เธอจะสามารถเหยียดขาได้อย่างเต็มที่อีกครั้งหนึ่ง บรรณาธิ การของ โยคะเจอร์นัล เคทลิน ควิสการ์ด เล่าถึงการฉีกขาดหนที่สอง ของเอ็นนที่ใช้หมุนข้อมือในระหว่างการฝึกโยคะ “ฉันมีประสบการณ์ว่า โยคะสามารถบำบัดได้อย่างไร” เธอเขียน “แต่ฉันก็มีประสบการณ์ว่า โยคะสามารถทำให้ บ าดเจ็ บ ได้ อ ย่ า งไรด้ ว ย” และฉั น ก็ ไ ด้ ร ั บ ฟั ง ประสบการณ์เดียวกันนี้จากโยคีหลายๆ ท่าน หนึ่งในกลุ่มปฏิรูปที่มีบทบาทคือ โรเจอร์ โคล ครูโยคะสายไอ เยนการ์ ที่จบการศึกษาด้านจิตวิทยาจากมหา วิทยาลัยสแตนฟอร์ดและ มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย ซาน ฟรานซิสโก โคลเขียนบทความ จำนวนมากให้กับ โยคะเจอร์นัล และ บรรยายเรื่องความปลอดภัยของ โยคะ ให้กับวิทยาลัยทางการแพทย์ด้านการกีฬาแห่งอเมริกา ใน บทความหนึ่ง โคลอธิบายถึงการฝึกที่จะลดการพับของคอในท่ายืนด้วย ไหล่โดยการวางไหล่บนผ้าห่มที่พับหลายทบ ปล่อยให้ศีรษะเอียงลาด ข้างผ้าห่ม การดัดแปลงนี้ช่วยลดมุมระหว่างศีรษะและลำตัวจาก 90 องศาเป็นประมาณ 110 องศา โคลกล่าวถึงอันตรายของการฝึกท่ายืน ด้วยไหล่โดยไม่ดัดแปลง คือกล้าม เนื้อตึง เอ็นยึดถูกเหยียดยืดมากเกิน ไปและหมอนรองกระดูกต้นคอได้รับบาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม การดัดแปลงไม่ใช่คำตอบเสมอไป ทิมโมธิ แม็ค คอล แพทย์ผู้เป็นบรรณาธิการด้านการแพทย์ของ โยคะเจอร์นัล กล่าวว่า ท่ายืนด้วยศีรษะนั้นอันตรายเกินกว่าที่จะฝึกในห้องเรียนโยคะทั่วๆ ไป คำเตือนของเขาส่วนหนึ่งมาจากประสบการณ์ส่วนตัว เขาพบว่าการ ทำท่ายืนด้วยศีรษะนำไปสู่โรคเส้นประสาทถูกเบียดกดทับ ที่บริเวณช่อง ทรวงอก thoracic outlet syndrome อันเป็นสภาพที่เกิดขึ้นจากการกด ทับของเส้นประสาทที่ผ่านจากคอไปยังแขน ทำให้เกิดอาการกระตุกที่ มือขวาและอาการชาเป็นครั้งคราว เมื่อแม็คคอลหยุดฝึกท่ายืนด้วยศีรษะ แล้ว อาการดังกล่าวก็หายไป ต่อมาเขาบันทึกว่าท่ากลับบนลงล่าง สามารถนำไปสู่อาการบาดเจ็บอื่นๆ ได้ รวมถึงการอักเสบจากการเสื่อม ของกระดูกต้นคอ และการฉีกขาดของจอประสาทตา (ซึ่งเป็นผลมาจาก ความดันของลูกตาที่เพิ่มขึ้นจากการฝึกท่ากลับบบนลงล่าง) แม็คคอล สรุปว่า “ผลกระทบด้านลบของท่ายืนด้วยศีรษะนั้นอาจเป็นอันตราย อย่างยิ่ง ผ่านไปเกือบหนึ่งปี หลังจากที่ผมพบแบล็คครั้งแรกที่ชั้นเรียน ครูในแมนฮัตตัน ผมก็ได้รับอีเมล์ว่าเขาเข้ารับการผ่าตัดกระดูกสันหลัง “การผ่าตัดประสบความสำเร็จ” เขาเขียน “การฟื้นตัวเป็นไปอย่างช้าๆ และเจ็บปวด โทรศัพท์หาผมถ้าคุณต้องการ” แบล็คกล่าวว่าการบาดเจ็บของเขาเกิดขึ้นเมื่อสี่สิบปีก่อนจาก การยืดตัวไปด้านหลังและการบิดตัวอย่างมาก เขาเริ่มมีอาการกระดูกสัน หลังตีบแคบกดทับเส้นประสาท (Spinal Stenosis) ซึ่งเป็นอาการที่ รุนแรงเนื่องจากช่องกระดูกสันหลังเริ่มแคบลง กดทับเส้นประสาท และ ทำให้เกิดอาการปวดร้าว แบล็ครู้สึกถึงความเจ็บปวดตั้งแต่ยี่สิบปีก่อน เมื่อเขาออกจากท่าคันไถและท่ายืนด้วยไหล่ สองปีก่อนอาการรุนแรง มากขึ้น ศัลย์แพทย์ท่านหนึ่งกล่าวว่าถ้าไม่รับการรักษา เขาจะเดินไม่ได้

! []!

22

ในที่สุด การผ่าตัดใช้เวลาห้าชั่วโมง เชื่อมกระดูกสันหลังส่วนล่างหลาย ข้อเข้าด้วยกัน ในท้ายที่สุดเขาจะดีขึ้นแต่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของ ศัลยแพทย์เพื่อลดการตึงตัวของหลังส่วน ล่าง ความยืดหยุ่นตามข้อกระ ดุกสันหลังของเขาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แบล็ค เป็นผู้ฝึกโยคะที่ระมัดระวังมากที่สุดคนหนึ่งที่ผมรู้จัก ครั้งแรกที่ผมคุยกับเขา เขากล่าวว่าเขาไม่เคยได้รับบาดเจ็บจากการฝึก โยคะ หรือ ทำให้นักเรียนได้รับบาดเจ็บ (เท่าที่เขารู้) เมื่อผมถามว่า อาการบาดเจ็บที่เพิ่งเป็นนี้อาจเป็นมาตั้งแต่กำเนิดหรือเกี่ยวข้องกับวัยที่ เพิ่มขึ้นหรือไม่ เขาตอบว่า ไม่ มันเกิดจากโยคะ “เพื่อที่จะสามารถมอง เห็นได้ว่า โยคะอาสนะที่คุณกำลังฝึกอยู่นี้ ท้ายที่สุด ก็อาจจะเกิดผลร้าย ได้นั้น เป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ซึ่งต้องอาศัยมุมมองที่ต่างออกไปจากที่ เรากล่าวมาข้างต้น” เมื่อไม่นานมานี้แบล็คได้ถ่ายทอดการเรียนรู้ของเขาในการ ประชุมที่สถาบันโอเมก้า ความรู้สึกของเขาที่มีต่อเรื่องดังกล่าวถูกตอกย้ำ ด้วยการผ่าตัดที่ผ่านมา แต่คำเตือนของเขาดูเหมือนจะไม่ได้รับความ สนใจ เขานึกย้อนไปว่าเขาคงพูดแรงเกินไป “สิ่งที่ผมต้องการบอกคือ “อาสนะไม่ใช่ยาครอบจักรวาลหรือรักษาได้ทุกโรค ในความเป็นจริง ถ้า คุณฝึกโยคะด้วยอัตตาหรือความลุ่มหลง คุณจะเผชิญปัญหาในท้ายที่สุด” คนส่วนมากไม่ชอบได้ยินอย่างนี้” บทความนี้ดัดแปลงมาจาก “วิทยาศาสตร์ของโยคะ ความเสี่ยง และรางวัล” “The Science of Yoga: The Risks and Rewards,” โดย วิล เลี่ยม เจ บรอด William J. Broad บรอดเป็นนักเขียนอาวุโสด้าน วิทยาศาสตร์ ที่เดอะไทมส์ บรรณาธิกรณ์โดย เชียล่า กลาเซอร์ Sheila Glaser


sat 23 sun 24

The Little Om : Family Yoga Camp ÊสØุ¢ขÀภÒาÂยãใ¹นÊสÃร ŒÒา§งäไÇว Œáแµต ‹ÇวÑัÂยàเÂยÒาÇว  µตÍอ¹น happy sea, happy me ³ณ ÃรÕีàเ¨จ Œ¹น·ท∙  ªชÒาàเÅล ‹µต  ÃรÕีÊสÍอÃร ·ท∙ Íอ.ªชÐะÍอÓำ ¨จ.àเ¾พªชÃรºบØุÃรÕี สถาบันบูธาราโยคะ ขอเชิญน้องๆ หนูๆ อายุ 5-10 ปี จูงมือคุณ พ่อคุณแม่ผู้ปกครอง มาร่วมสนุกอย่างสร้างสรรค์ กับกิจกรรมโยคะครอบครัว สไตล์บูธารา.. เรียนรู้เครื่องมือและแนวทางสร้าง “ความสุขภายใน” เพื่อการ เติ บ โตทั ้ ง ร่ า งกายและจิ ต ใจของเด็ ก สร้ า งความสั ม พั น ธ์ ใ นครอบครั ว สนุกสนานและผ่อนคลายในบรรยากาศริมชายหาดชะอำ ¤ค ‹ÒาÊสÁมÑั¤คÃร 5,400 ºบÒา·ท∙ ÊสÓำËหÃรÑัºบàเ´ด็¡ก 1 ¤ค¹น áแÅลÐะ¼ผÙู Œ»ป¡ก¤คÃรÍอ§ง 1 ·ท∙ ‹Òา¹น (àเ¾พÔิ่Áม¼ผÙู Œ»ป¡ก¤คÃรÍอ§ง 1 ·ท∙ ‹Òา¹น = 2,700 ºบÒา·ท∙ àเ¾พÔิ่Áมàเ´ด็¡ก 1 ¤ค¹น = 2,300 ºบÒา·ท∙ ÃรÑัºบ¨จÓำ¹นÇว¹น¨จÓำ¡กÑั´ด)

¡กÔิ¨จ¡กÃรÃรÁม โยคะเด็ก : แสนสนุก พัฒนาใจ เสริมสร้าง EQ และ คุณธรรม การอยู่ร่วมกัน โยคะพ่อแม่ : เสริมสร้างสุขภาพกายใจ ฝึกสติ สู่ความสงบสันติ Sea Walk : “สติน้อยๆ ในรอยทราย” เทคนิคการฝึกเจริญสติเบื้องต้นแก่เด็กริมชายหาด Sense Rally : “มหัศจรรย์แดนสัมผัส” เกมส์เสริมสร้างพัฒนาสมองและประสาทสัมผัสสำหรับเด็ก Family Team Building : “เกมส์เชื่อ(ม)ใจ” สร้างการเรียนรู้และสัมพันธภาพในครอบครัว บทเพลงกล่อมใจ นิทานชวนฝัน สมาธิส่งนอน วิทยากรผู้ออกแบบและดูแลกิจกรรม ครูเก๋ รสสุคนธ์ ซันจวน : ครูโยคะผู้เชี่ยวชาญด้านโยคะเด็ก จบหลักสูตร RYT 200, Yogakids และ Radiant Child Yoga จากอเมริกา ปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้งและบริหารสถาบันบูธาราโยคะ และเป็นวิทยากรจิตอาสาสอนโยคะเด็กและพ่อแม่ ในโครงการโรงเรียนพ่อแม่ของเสถียร ธรรมสถาน ครูเล็ก เอกชัย สถาพรธนพัฒน์ : นักโยคะบำบัด จบหลักสูตรครูโยคะจาก Yoga Vidya Gurukul ประเทศอินเดีย ผู้สนใจศึกษาด้านการแพทย์ พื้นบ้าน ดนตรีและศิลปะบำบัด ปัจจุบัน เป็นวิทยากรด้านโยคะบำบัด และการพัฒนาศักยภาพองค์รวม ให้แก่โรงพยาบาล และ หน่วยงาน หลายแห่ง สมัครได้ที่คุณออน 081-875-2343 สอบถามรายละ เอียดเพิ่มเติม ครูเก๋ 085-121-1396 rosukon3@yahoo.com ครูเล็ก 081-869-1816 whitemusic1@gmail.com หรือที่ www.budharas.com

การเดินทาง ขึ้นรถที่บิ๊กซี พระราม 2 (ตรงข้าม เซ็นทรัลพระราม 2) เวลา 7:30 น. วันเสาร์

23!

[]


àเ´ด×ืÍอ¹น ¾พÄฤÉษÀภÒา¤คÁม 2555 มีผู้บริจาคสนับสนุนการทำงานของสถาบันฯ ดังนี้ คุณจิรสุภา ชูบุญ 800 คุณวิไลวรรณ สุพรม (เป้) T11 700 นพ.สมศักดิ์ วสุวิทิตกุล 1,700 คุณสิรินาถ ปั่นเจริญ (หญิง) 17ts55a 150 ผู้เข้าร่วมกิจกรรม จิตวิทยาเพื่อการรู้จักตนเอง TIR รุ่นทบทวน 800 ผู้เข้าร่วมกิจกรรม จิตวิทยาเพื่อการรู้จักตนเอง ซาเทียร์ 1,780 ผู้เข้าร่วมกิจกรรม โยคะในสวนธรรม สวนโมกข์กรุงเทพฯ 220 ÊสÃรØุ»ปÂยÍอ´ดºบÃรÔิ¨จÒา¤ค»ปÃรÐะ¨จÓำàเ´ด×ืÍอ¹น¾พÄฤÉษÀภÒา¤คÁม 2555 ·ท∙Ñั้§งÊสÔิ้¹น 6,150.ºบÒา·ท∙

Ãร่ÇวÁมÊส¹นÑัºบÊส¹นØุ¹น¡กÒาÃร¨จÑั´ด·ท∙Óำ¨จØุÅลÊสÒาÃร âโÂย¤คÐะÊสÒาÃรÑัµต¶ถÐะ äไ´ด้·ท∙Õี่ ºบÑั­ÞญªชÕีÍอÍอÁม·ท∙ÃรÑั¾พÂย์àเÅล¢ข·ท∙Õี่ 173-2-32949-1 ªช×ื่ÍอºบÑั­ÞญªชÕี ÁมÙูÅล¹นÔิ¸ธÔิËหÁมÍอªชÒาÇวºบ้Òา¹น (Êส¶ถÒาºบÑั¹นâโÂย¤คÐะÇวÔิªชÒา¡กÒาÃร) ¸ธ¹นÒา¤คÒาÃรäไ·ท∙Âย¾พÒา³ณÔิªชÂย์ ÊสÒา¢ขÒาàเ´ดÍอÐะÁมÍอÅลÅล์ 3 ÃรÒาÁม¤คÓำáแËห§ง

Êส ‹§งËหÅลÑั¡ก°ฐÒา¹น¡กÒาÃรâโÍอ¹นàเ§งÔิ¹น ÁมÒา·ท∙Õี่.. Êส¶ถÒาºบÑั¹นâโÂย¤คÐะÇวÔิªชÒา¡กÒาÃร ÁมÙูÅล¹นÔิ¸ธÔิËหÁมÍอªชÒาÇวºบ ŒÒา¹น 201 «ซÍอÂยÃรÒาÁม¤คÓำáแËห§ง 36/1 ºบÒา§ง¡กÐะ»ป  ¡ก·ท∙Áม.10240 âโ·ท∙ÃรÈศÑั¾พ·ท∙  02 732 2016-7, 081 401 7744 âโ·ท∙ÃรÊสÒาÃร 02 732 2811 ÍอÕีàเÁมÅล  yogasaratta@yahoo.co.th àเÇว็ºบäไ«ซµต  www.thaiyogainstitute.com

! []!

24


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.