นั่งรถไฟไปหลังคาโลก Train to Tibet

Page 1



แด่ ชีวิตวัยรุ่น ความฝัน และ แรงบันดาลใจ


สกาวเดือน งามศิริอุดม ณฑิรา ว่องไพฑูรย์ สิทธิพร ญาณวรุตม์วงศ์ หนังสือท�ำมือ บันทึกการเดินทาง ความฝัน และสร้างก�ำลังใจ เลขมาตรฐานสากลประจ�ำหนังสือ 978-616-305-938-3 ISBN 978-616-305-938-3 พิมพ์ครั้งที่ 1 : ธันวาคม 2555 288 หน้า ราคา 295 บาท / 59 หยวน


เขียน / วาง สกาวเดือน งามศิริอุดม กราฟิก ณฑิรา ว่องไพฑูรย์ ภาพ สิทธิพร ญาณวรุตม์วงศ์ ติดต่อ facebook.com/gograph gographstore@gmail.com พิมพ์ บริษัท ณ บ้านดิจิตอล จ�ำกัด 368 ซ.รัชดาภิเษก 42 แขวง จันทรเกษม เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 โทร 02 939 0216 โทรสาร 02 939 0327 athomesdigital@gmail.com


ฝันให้ไกล ไปให้ถึง ได้อ่านหนังสือเล่มนี้แล้ว ถ้าจะให้เปรียบเทียบเป็นหนังผม คิดว่า น่าจะเป็นหนังแนว Coming of Age ไม่รู้เหมือนกันครับ ว่าจะมี ค�ำจ�ำกัดความภาษาไทยของแนวหนังแนวนี้หรือเปล่า ผมขอแปล ของผมเองว่ า เป็ น หนังแนว “ผ่าน-พบ-เผชิญแล้วเจริ ญ เติ บ โต” ตัวอย่างที่ชัดเจนของหนังแนวนี้คือเรื่อง Almost Famous (ได้ดูกัน ไหมครับ ถ้ายังผมแนะน�ำเลย) เป็นเรื่องของเจ้าหนูน้อยคนหนึ่งที่จับ พลัดจับผลูต้องหนีแม่ออกจากบ้าน แล้วดั้นด้นเดินทางติดตามวง ดนตรีร็อควงหนึ่งเพื่อเอามาเขียนเป็นบทความลงในนิตยสารโรลลิ่ง สโตนส์ ระหว่างทางก็ต้องไปพบปะ-ปะทะ-เผชิญหน้ากับเรื่องราว ต่างๆ นานามากมาย, แน่นอนครับ-รวมไปถึงเรื่องของหญิงสาวและ ความรัก, จนสุดท้ายเมื่อหนังใกล้จบ ไฟในโรงใกล้เปิดสว่าง เราได้ สบตากับเจ้าหนูคนนั้นอีกครั้ง แล้วก็พลันพบว่า, เขา, ไม่ใช่เด็กผู้ชาย คนเดิมอีกต่อไป เจ้าหนูน้อยได้เติบใหญ่กลายเป็นชายหนุ่มไปแล้ว ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือเปล่า ระหว่างเส้นทางสายนั้นความเดียงสาอ่อนเยาว์ละทิ้งอ�ำลาเขาไปเสียแล้ว นั่งรถไฟไปหลังคาโลก ให้ความรู้สึกเหมือนกันเลยครับ จาก หัวล�ำโพง สู่เวียงจันทน์ ฮานอย หนานหนิง กุ้ยหลิน ปักกิ่ง ลาซา และ เซี่ยงไฮ้ ตัวหนังสือที่ถ่ายทอด สายตาที่มองเห็นโลก และสิ่งส�ำคัญผลึกความคิดซึ่งคงค้างอยู่ในหัวใจ เพื่อจะได้ผลิดอกออกช่อกลายเป็น ความรู้สึกและความทรงจ�ำ ของเธอ เธอ และเขา, ฟ้า ตุ๋ย และอ้นจู, ก็ค่อยค่อยเปลี่ยนแปลงไปทีละเล็กทีละน้อย และในทุกทุกความ เปลี่ยนแปลงนั้น ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือเปล่า เมื่อได้


สบตากับพวกเธอ เธอ และเขา, ทั้งสาม, ที่จุดหมายปลายทางท้าย เล่ม ณ สนามบินผู่ตงนั้น เราก็พลันพบว่า พวกเธอได้กลายเป็นคนละ คนกับตอนเริ่มต้นเดินทางที่สถานีรถไฟหัวล�ำโพงไปเสียแล้ว นี่กระมังความมหัศจรรย์ของการเดินทาง ฝันให้ไกลไปให้ถึง ในวันนี้อาจคล้ายกลายเป็นค�ำพูดที่เกร่อ เชย และดาษดื่น แต่ผมเพิ่งมาคิดออกตอนอ่านหนังสือเล่มนี้เองครับ ว่า คนที่คิดว่าประโยคนี้ เกร่อ เชย และดาษดื่น-นั้น คงยังไม่ได้, และ ไม่เคย, ท�ำตามความฝันของตนเองอย่างแน่นอน ถ้าจะฝันก็ควรฝันให้ไกลเข้าไว้, แต่ที่ส�ำคัญ, ต้องลองไปให้ถึงกันดูครับ ไม่แน่นะ คุณอาจจะต้องแปลกใจที่ได้สบตากับตัวคุณเอง, คนใหม่, ที่จุดหมายปลายทาง-ก็เป็นไปได้ แต่ถ้ายังท�ำไม่ได้ ในอนาคตอันใกล้ ลองอ่านตัวหนังสือของ ฟ้า ตุย๋ และอ้นจู ดูสคิ รับ ผมคิดว่านี่ คือหลักฐานอันเป็นรูปธรรมของค�ำยืนยันแห่งความหมายของประโยค นัน้ ทีท่ งั้ งดงาม รืน่ รมย์ และเบิกบานหัวใจอยูไ่ ม่นอ้ ยเลยทีเดียว ก็หลังคาโลกน่ะ มันปีนขึ้นไปถึงกันง่ายง่ายเสียเมื่อไหร่ล่ะครับ. คมสัน นันทจิต


ค�ำนิยม ผมเองยังไม่เคยนับระยะว่าตัวเองนั้นเคยเดินทางไกลที่สุด แค่ไหน แต่ผมจ�ำการเดินทางไกล ครั้งแรกในชีวิตของผมได้ครับ การ เดินออกจากเส้นทางที่คุ้นชินเป็นครั้งแรก นั่นก็คือการเดินทางไกล ของลูกเสือส�ำรองตอนผมอยู่ชั้นป.3 คุณครูแบ่งให้เราเดินเป็นหมู่ หมู่ ละ10คน อาจจะด้วยสรีระของร่างกายหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ ท�ำให้ ผมจ�ำต้องเป็นหัวหน้าหมู่ ออกเดินน�ำเพื่อนๆ เราทุกคนเตรียมกระติก น�้ำเล็กๆ สะพายไว้พร้อมส�ำหรับหนทางไกลข้างหน้า แต่ที่เรียกว่าเดินทางไกลนั้นความจริงแล้วก็ไม่ได้ไกลอะไร หนักหนาหรอกครับ มันก็เป็นแค่ การเดินออกไปนอกโรงเรียน เลียบ ไปตามฟุตบาธไปเรื่อยๆ รอบบล็อคใหญ่ แล้วก็วนกลับมาที่หน้า โรงเรียนเหมือนเดิม โดยจะมีคุณครูของเรายืนประจ�ำจุดต่างๆ คอย เช็คชื่ออยู่อย่างไม่คลาดสายตา แต่ภารกิจเล็กๆ ครั้งแรกของเรา มัน ช่างน่าตื่นเต้นชะมัด ผมอาจจะจดจ�ำอะไรไม่ได้มากนักในการเดินทางไกลครั้ง แรก แต่ผมจ�ำได้ว่ามันสนุกและมีแต่สิ่งใหม่ที่น่าตื่นตาตื่นใจไปตลอด ทาง เพราะแม้จะเคยเห็นทิวทัศน์ข้างโรงเรียนแล้วเวลานั่งรถผ่าน แต่ การเดินไปด้วยขาของพวกเราเอง ได้เห็นสิ่งต่างๆ ด้วยตาของตัวเอง กับเพื่อน มันสนุกกว่ากันเยอะนี่ครับ ระยะการเดินทางไกลของแต่ละคน อาจไม่เหมือนกัน บางคน นับเป็นกิโลเมตร บางคน นับเป็นชั่วโมง หรือนาที บางคน นับเป็นจ�ำนวนเรื่องราว ที่เก็บในความทรงจ�ำ


ผมสัมผัสได้ถึงพลังของหนุ่มสาวนักผจญภัยหลังจากได้ อ่านหนังสือเล่มนี้ ผมอยากเรียกพวกเธอว่าเป็นนักผจญภัยทีไ่ ร้กระบวนท่า มาแบบซื่อๆ แต่ว่ามีเสน่ห์อย่างประหลาด ผมชอบการตั้งค�ำถามที่มี ต่อสังคมอย่างบริสุทธิ์ใจหลังจากที่พวกเธอได้ออกไปเปิดหูเปิดตา เห็นโลกกว้าง ผมชอบการมองโลกแบบเผื่อใจไว้สองด้าน การยอมรับ ความทุกข์เพื่อให้ความสุขปรากฏตัว การมองเห็นความสนุกในความ ไม่สนุกในบางครั้ง ผมชอบวิธีการได้เป็นส่วนหนึ่งของสถานที่ส�ำคัญที่ พวกเธอได้ไปพบ พวกเธอมีปรัชญาของการไม่ยึดติดกับรูปแบบ เป็นนักผจญภัย ในแบบวัยรุ่นธรรมดาๆ ซึ่งผมเชื่อว่าความธรรมดานี้ จะส่งต่อแรงบันดาลใจให้ใครได้อีกมากมาย มีคนบอกว่าการเดินทางนั้นจะท�ำให้เราได้พูดคุยกับตัวเอง และรู้จักกับตัวเองมากขึ้น ระยะทางไกลเท่าไหร่ อาจไม่มีความหมาย อะไรเลย หากตลอดการเดินทางนั้นเราไม่ได้เรียนรู้อะไรบ้าง บทเรียนส�ำคัญสุดท้ายจากหนทางอันแสนไกล คือการที่เรา ได้รู้สึกว่าเราได้กลับมาถึงบ้านแล้ว การรับรู้ถึงความรู้สึกยินดีจากคน ที่รอคอยเรากลับมานี่ไง ที่ท�ำให้สิ่งที่เราเรียกว่า การเดินทาง นั้นมี ความหมายเหลือเกิน ตรัย ภูมิรัตน


ค�ำนิยม ค�ำโปรยปกที่บอกเล่าถึง วัยรุ่นสามคนนั่งรถไฟจากหัวล�ำโพงไป เวียงจันทน์, ฮานอย ทิเบต , ปักกิ่ง , เซี่ยงไฮ้ ฯลฯ ท�ำให้ผมนึกภาพล่วงหน้าว่า คงจะพูดถึง ไฮไลท์ของแต่ละเมืองแบบเก๋ๆ ตามประสาวัยรุ่นแบ็คแพค ประมาณ มีร้านอาหารร้านไหนเป็นร้านเด็ด, จุดท่องเที่ยวที่เป็นจุดห้ามพลาดคือ ตรงไหน เดินทางอย่างไรที่สะดวกที่สุด ฯลฯ อ่านผ่านไปไม่กี่หน้า ผมก็พบว่า นี่ไมใช่หนังสือท่องเที่ยว ขายความเก๋อย่างที่ผมคาดไว้ในตอนต้น ความสนุกของหนังสือเล่มนี้ไม่ใช่การน�ำเสนอ ‘สถานที่’ แต่ เป็น ‘ประสบการณ์’ ที่ผู้เขียนถ่ายทอด การเดินทางอันน่าตื่นเต้น อัด แน่นไปด้วยความกระตือรือร้น ความหวั่นวิตก ความช่างสังเกต ความ กล้าหาญ ฯลฯ พวกเขาเก็ บ รายละเอี ย ดการเดิ น ทางได้ อ ย่ า งน่ า ทึ่ ง คื อ ไม่ใช่เก็บแค่ภาพที่เห็น แต่เก็บความคิด ความรู้สึกทั้งของตัวเองและ คนรอบข้างระหว่างการเดินทางอันแสนทรหด แล้วกลับมาเล่าได้ คล้ายกับหนังสามมิติ คือท�ำให้ผมในฐานะคนอ่านถูกดึงเข้าไปเหมือน กับอยู่ในประสบการณ์เหล่านั้นด้วย เช่น ลุ้นกับการต้องนั่งรถไฟ hard seat จากกุ้ยหลินไปปักกิ่งที่กินเวลายาวนานถึง 27 ชั่วโมง ได้อารมณ์ เหนื่ อ ยล้ า ระคนประทั บ ใจ ราวกั บ นั่ ง เบี ย ดกั บ ผู ้ โ ดยสารในโบกี้ เดียวกัน หรือเมื่อครั้งต้องย้ายที่พักกะทันหันริมทะเลสาบนัมซั่ว ทั้งที่ พบสวรรค์ใกล้แค่เอื้อม ท�ำให้อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเฮือกใหญ่ไป กับพวกเขา หรือ เมื่อเล่าถึงสนามกีฬารังนก ก็บรรยายให้เห็นภาพ


ก่อนที่จะปิดเรื่องเล่าด้วยค�ำพูดว่า “แม่งโคตรเจ๋ง” ซึ่งนั่นก็เป็นสิ่งที่ผม คิดในใจ ในสิ่งที่พวกเขาเขียน ส�ำนวนการเขียนที่ท�ำให้ เมืองแต่ละเมือง เสมือนมีชีวิต เช่น ความน่ารักอารมณ์ดีของฮานอย, ความหลากหลายที่ชวนหลงใหล ของลาซา ฯลฯ เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่หนังสือเล่มนี้เชื่อมโยงกับเมือง แต่ละเมืองไม่ใช่แค่ความสวยงามของสถานที่ แต่เชื่อมโยงเข้ากับวิถี ชีวิตและวัฒนธรรม แม้บางเมืองที่พวกเขาเดินทางไป จะเป็นเมืองที่ผมเคยไป มาก่อน แต่อ่านจบผมกลับรู้สึกว่า ทั้งปักกิ่งและเซี่ยงไฮ้ของพวกเขา ไม่เหมือนกับที่ตัวเองเคยไป ตัวอักษรของพวกเขาท�ำให้ปักกิ่งและ เซี่ยงไฮ้มีชีวิตกว่า น่าค้นหามากกว่า ส�ำหรับผมแล้ว หนังสือเล่มนี้ จึงไม่ใช่ หนังสือท่องเที่ยว ประเภทอ่านจบแล้วหยิบใส่กระเป๋าเดินทาง เพื่อเป็นไกด์ประจ�ำตัว แต่เป็น หนังสือที่อ่านจบแล้ว กระตุ้นแรงบันดาลใจ ในการออกไป ท่องเที่ยว ออกไปใช้ชีวิต ชวนให้มองโลกในมุมใหม่ๆ มิหน� ำซ�้ำยัง สามารถสูบฉีดโลหิตกระตุ้นอะดรีนาลีน แล้วปลุกความเป็นวัยรุ่นใน ตัวเองให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ขอนับถือผู้กล้าทั้งสามทั้งในแง่การเดินทางและกลับมา ถ่ายทอดได้อย่างสนุกสนาน มีชีวิตชีวา “ผมอยู่ข้างหลังคุณ”


ค�ำนิยม ฉึกฉัก ตึกตัก เป็นค�ำแรกในหนังสือที่กระทบใจผม หลังจากที่เริ่มอ่าน นั่งรถไฟไปหลังคาโลก เรื่องราวของวัยรุ่นตัวเล็กๆ สามคนที่อาจหาญเดินทางจาก หัวล�ำโพง มุ่งหน้าไปยังทิเบตด้วยรถไฟ โดยมีพี่เรย์ แมคโดนัลด์เป็น ไอดอล ฉึกฉัก ฉึกฉัก เมื่อรถไฟของพวกเขาเริ่มออกเดินทาง หัวใจ ของผมขณะที่ได้อ่านก็เริ่มเต้นตึกตัก ตึกตัก ตื่นเต้นไม่แพ้กับน้องๆ ทั้งสาม การเดินทางครั้งนี้อาจเป็นครั้งที่ยาวนานที่สุดในชีวิตของ พวกเขา แต่หนังสือบันทึกการเดินทางเล่มนี้ก็เป็นหนึ่งในหนังสือที่ผม ใช้เวลาในการอ่านน้อยที่สุด ผมอ่านมันรวดเดียวอย่างเมามัน ร่วมตื่น เต้นเวลาที่เขาหาตั๋วรถไฟไม่ได้ ร่วมข�ำไปกับประสบการณ์การนั่ง รถไฟมาราธอนสุดทรหดและลุ้นไปกับทุกเมืองที่พวกเขาทั้งสามได้ไป แวะเวียน ชีวิตวัยรุ่นมันมีพลังและเสน่ห์เหลือเกิน และหนังสือเล่มนี้ก็ เป็นอีกหนึ่งหลักฐานที่พิสูจน์ความจริงข้อนี้ อยากให้ทุกคนได้อ่านกัน ครับ ผมเชื่อว่าพออ่านจบ หลายคนจะรีบโทรหาเพื่อน ถามหาวันหยุด ยาวและเริ่มวางแผนการเดินทางกันเลยทีเดียว

บรรจง ปิสัญธนะกูล




น�ำ. ทุกคนล้วนมีความฝัน, เราสามคนก็เช่นกัน นับตั้งแต่จ�ำความได้ เรามีชีวิตแบบปกติธรรมดามาเกือบยี่สิบปีแล้ว และเราก�ำลังเข้าสู่โลกแห่งความจริง โลกแห่งการท�ำงาน ที่ต้องเก็บ เงิน เลื่อนต�ำแหน่ง ซื้อบ้าน ซื้อรถ แต่งงาน มีลูก เกษียณ และจากไป เรื่องพวกนี้อาจฟังดูไม่สนุกนัก แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะท�ำให้มัน สนุกกว่านี้ไม่ได้หนิ ! เราทุกคนมีสิทธิ์เลือกทางเดินชีวิตของเราเองว่าจะให้มันออกมาเป็น แบบไหน พวกเราวัยรุ่นเพิ่งจะเรียนจบ เป็นคนธรรมดาที่มีความฝัน เหมือนกับทุกคน เราขอใช้โอกาสครั้งนี้ เลือกเส้นทางในแบบของเราเองบ้าง การเดินทางที่ยาวนานที่สุดในช่วงหนึ่งของชีวิต เราก�ำลังจะนั่งรถไฟจากหัวล�ำโพงไปทิเบต บางทีรถไฟขบวนนี้อาจพาเราไปพบอะไรบางอย่างที่คาดไม่ถึง บางทีรถไฟขบวนนี้อาจพาเราไปพบอะไรที่ท�ำให้ผิดหวัง หรือบางทีรถไฟขบวนนี้อาจพาเราไปพบค�ำตอบที่เราค้นหาอยู่ ลองขึ้นรถไฟไปกับเราดูสิ

13




หัวล�ำโพง 19 สิงหาคม 2554 รถไฟออกสองทุ่ม

เย็นวันนั้นฝนตก เราสามคน ฟ้า ตุ๋ย อ้นจู จัดกระเป๋ามาเกิน 10 กิโล พ่อแม่ญาติพี่น้องเพื่อนสนิท มาส่งถึงปลายบันไดโบกี้ เรายิ้ม ถ่ายรูป โบกมือ อ�ำลา หัวล�ำโพงเป็นสถานที่ที่เรารู้จักตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ ได้คุ้นเคยมากนัก คนพลุกพล่านจอแจ ทุกวันมีคนนั่งรถไฟออกไปที่ อื่นเยอะ กลับเข้ามากรุงเทพก็แยะ รถไฟที่บรรจุคนได้ทีละมาก แต่ละ โบกี้จึงอบอวลไปด้วย ความฝัน ความหวัง ความคิดถึง การเริ่มต้น ใหม่ การกลับไปที่เก่า ส่วนเราแบกกระเป๋าเพื่อไปหาค�ำตอบ ค�ำตอบของอะไรที่ยังไม่รู้... ปกติของชีวิตมนุษย์การเริ่มต้นครั้งแรกในชีวิตมันย่อมวิตก เป็นธรรมดา ตอนเราเข้าโรงเรียนวันแรก ท�ำงานวันแรก อะไรที่แรกๆ อะไรที่เราไม่คุ้นเคย มันก็น่าตื่นเต้น ไม่รู้สิ่งที่ก�ำลังจะเกิดในอนาคต เหตุการณ์ในวันนั้นก็เช่นเดียวกัน

“ นี่เป็นการเดินทางที่ยาวนานที่สุดในชีวิตกู เลย ” “ เหมือนกั น ”

รู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ที่เพื่อนร่วมทางตอบว่าเหมือนกัน รู้สึกลงเรือล�ำเดียวกัน (ต้องบอกว่าขึ้นรถไฟขบวนเดียวกันสิ) รู้สึกใหม่เหมือนกัน เดินทาง 16


ครั้งนี้ ไม่รู้จะเกิดอะไรขึ้น มันเป็นการเดินทางที่ยาวนานครั้งแรก ไม่มี พ่อแม่ มีแค่เราสามคน แต่ค�ำว่า เหมือนกัน มันท�ำให้รู้สึกอุ่นใจ เพราะถ้าเราพลาด หรือ ถูกทาง เราก็ได้ขึ้นรถไฟขบวนเดียวกันแล้ว

รถไฟก็ถึงเวลาออกแล้ว

คืนนี้ รถไฟกรุงเทพหนองคายชั้นสองขบวนสองทุ่ม รถไฟ ขบวนปกติที่ออกทุกวัน - แต่วันนี้พิเศษ มันคือการเริ่มต้นการใช้ชีวิต การออกเดินทางที่ยาวนาน ประเทศที่จะไปหน้าตาเป็นยังไง มีหลาย ค�ำถามมากมายในหัว รถไฟค่อยๆ แล่นออกจากหัวล�ำโพง ภาพน้อง สาวและน้องชายที่วิ่งตามจนสุดสถานี เหมือนภาพในการ์ตูนญี่ปุ่น น้องตัวเล็กลงเรื่อยๆ รถไฟวิ่งออกห่างจากชานชาลา ลับตาออกไป ฉึกฉัก ฉึกฉัก และการเดินทางของเราก�ำลังจะเริ่มต้นขึ้น พรุ่งนี้เช้าเราจะถึงหนองคายเพื่อต่อไปเวียงจันทน์ มันจะ เป็นยังไงนะ.. คงต้องไปหาค�ำตอบเหมือนที่บอกไว้ ฉึก ฉัก ตึก ตัก 17


ก�ำลังออกจากหัวล�ำโพง / รถไฟแล่นไปเรื่อย / สัมภาระและภายในรถไฟไทย



รถไฟค่อยๆ ผ่านสถานีในเมือง ออกนอกเมืองไปเรื่อยๆ ผ่าน อยุธยา ผ่านเมืองอื่น จอดบ้างไม่จอดบ้าง เรานั่งคุยกันไปแบบสบายๆ คืนนี้ไม่มีอะไรต้องรีบร้อน เป่ายิ้งฉุบแย่งเตียงบนล่าง หาปลั๊กไฟชาร์ต แบต คิดชื่อรายการที่จะเอาไปอวดเพื่อน นั่งกดมือถือ เบื่อเมื่อไหร่ก็ เอาผ้าห่มมาเตรียมนอน พนักงานเขาก็แปรสภาพที่นั่งให้กลายเป็น เตียง ชั้นล่างดูเหมือนเป็นห้องนั่งเล่น มีหน้าต่างเห็นวิว จะนั่งจะนอน จะกลิ้งจะลุกยังไงก็ได้ ส่วนชั้นบนจะราคาถูกกว่า อาจเพราะมองไม่ เห็นวิวอะไร ที่นอนสภาพคล้ายกับโรงแรมแคปซูล และต้องปีนขึ้นไป ท�ำให้ราคาแปรผันตามวิวที่ได้รับ คืนนั้น เราหลับกันไปตอนไหนไม่รู้ อาจเพราะบรรยากาศใน รถไฟ ไฟสลัว ผ้าม่านสีเขียว เราแยกย้ายกันไปแปรงฟันและนอน ฟ้า และอ้นจูนอนเตียงล่าง ตรงข้ามกัน ส่วนตุ๋ยนอนโรงแรมแคปซูลข้าง บน พรุ่งนี้เช้าเราจะถึงหนองคาย นั่นคือการเริ่มต้นที่แท้จริง เมื่อถึงตอนนั้นยังไม่ช้าไป ที่จะกล่าวอ�ำลาประเทศไทย

20


รถไฟไทย / ง่วนกับสัมภาระ




หนองคาย สิบโมงเช้า

ออกเดิ น ทาง จากบ้ า นมาหั ว ล� ำ โพงฝนก็ ต ก เรามาถึ ง หนองคายตอนสาย ฝนก็โปรยลงมา แต่ไม่หนักมาก พอให้เย็นเปียก เสื้อ เราหอบกระเป๋าออกจากสถานีรถไฟ ไปเจอรถสองแถวที่จอดอยู่ ด้านหน้าสถานีเต็มไปหมด นั่งไปด่านคนละ 30 บาท ง่ายดี จากนั้นก็ กรอกเอกสารให้เรียบร้อย เตรียมตัวออกจากประเทศไทยโดยสมบูรณ์ ตราประทับบนพาสพอร์ตบอกว่า เราออกจากประเทศไทยวันที่ 20 สิงหาคม ส่วนจะกลับมาประทับตราเข้าไทยเมื่อไหร่และที่ไหน ค่อย ว่ากัน เจอกันอีกหนึ่งเดือนให้หลัง วันนี้วันเสาร์ แถวด่านมีคนพอควร ชาวต่างชาติ คนไทย คน ลาว มีพ่อค้าทัวร์เต็มไปหมด เขาก็ชวนเราคุย แต่ด้วยโชคหรือความ ไม่เชื่อฟังพ่อก็ไม่รู้ เขาชวนคุยมา เราก็คุยกลับ พาเที่ยวเวียงจันทน์ 1 วัน คนละ 300 ครับ ลดได้อีกมั๊ย พี่ การมาเวียงจันทน์ครั้งนี้ ได้ไกด์จากเหตุการณ์บังเอิญเมื่อกี้ ที่ไปคุยกับเขา ไกด์ของเราวันนี้ ชื่อพี่แสงอาทิตย์ จะพาเราเที่ยวรอบ เวียงจันทน์และพาเราไปจองรถบัสเพื่อไปฮานอย คิดราคาทั้งหมด คนละ 300 บาททั้งวัน รถตู้ส่วนตัวด้วย พี่แสงอาทิตย์จัดแจงทุกอย่าง ทั้งไปเช่ารถมา ยกกระเป๋าเราขึ้นรถตู้ให้เสร็จสรรพ 24


ที่แรกที่เราจะไปคือ จองตั๋วรถบัสไปฮานอย ลาวยังไม่มีรถไฟเชื่อมไปถึงเวียดนาม เราจึงไม่สามารถนั่ง รถไฟจากลาวไปฮานอยได้ วิธีการเดินทางที่ถูกและทรหดที่สุดคือการ นั่งรถบัส ตามที่วางแผนมาคือ คืนนี้เราจะนอนอยู่บนรถบัสที่จะไป ฮานอย ส่วนวันนี้ตอนกลางวันเราจะเดินเล่นเวียงจันทน์เฉยๆ เพื่อรอ รถบัสออกรอบเย็น เราต้องนั่งรถบัสคันนี้ไปฮานอยใช้เวลาทั้งหมดถึง 24 ชั่วโมง จริงๆ แล้วเวียงจันทน์ฮานอย ไม่ได้ไกลกันขนาดนั้นหรอก แต่รถบัสจะไปถึงด่านชายแดนลาวตอนดึก แล้วจอดรอด่านเปิดใน ตอนเช้า แผนของเราเป็นเช่นนี้ มีตราพาสพอร์ตประทับแล้ว กระเป๋าอยู่บนรถแล้ว กล้อง เปิดเลนส์แล้ว เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย พี่แสงอาทิตย์ก็เหยียบคันเร่งมุ่ง หน้าเข้าสู่ตัวเมือง สถานีรถสายใต้ของเวียงจันทน์ สายใต้ของเวียงจันทน์ย้ายมาจากที่เก่า (ที่ไหนไม่รู้) ที่ใหม่ จึงเป็นศูนย์รวมของรถบัสที่จะไปรอบๆ ลาว จนไปถึงเวียดนาม แค่ กระจกหน้าห้องซื้อตั๋วก็แปะชื่อสถานที่ที่เราไม่รู้จักเต็มไปหมด ที่พอ รู้จักก็เริ่มมีความคิดว่า เออน่าไป ตุ๋ยเดินเข้าไปคุยกับป้าขายตั๋ว จอง ไปฮานอย 3 คน แต่ก่อนที่จะเชื่อใจป้า เราขอป้าดูสภาพรถบัสก่อน จากที่นั่งดูสารคดีพี่เรย์มา รถบัสจะเป็นแบบหวานเย็น ไม่มี แอร์ มีแต่ขี้ฝุ่นและต้องนั่งดมขี้ฝุ่นไป 24 ชั่วโมง ชาวเวียดนามและ ลาวจะแย่งที่นั่งเรา เอาถุงผักมาวางบนที่นั่งเราบ้าง แกล้งเนียนนั่งที่ มั่วบ้าง เราก็เตรียมใจไว้แล้วกับเรื่องแบบนี้ แต่เหมือนเวลาผ่านไปทุก อย่างพัฒนาขึ้น รถบัสสีแดงที่ป้าชี้ เป็นคันใหม่ คันใหญ่ ข้างในเป็น เบาะเตียงสองชั้น เรียงกันสามแถว ดูสะอาดและแอร์เย็น (ทั้งๆ ที่เขา ยังไม่เปิดแอร์) เราเห็นแค่นี้ก็จินตนาการไปไกลแล้วว่า งานนี้รอดแล้วเรา ฮี่ ฮี่ ฮี่ 25


ภายในพระธาตุหลวง / ลานขนส่งตามหารถบัสไปฮานอย


หลังจากได้ตั๋วเรียบร้อย โล่งใจไปแล้ว เราก็กระโดดขึ้นรถตู้มุ่งหน้าชมเมือง พี่แสงอาทิตย์ก็พาไปเที่ยวบรรดาแลนมาร์คของเวียงจันทน์ ไม่พ้น พระธาตุหลวง ประตูชัยฝรั่งเศส หอพระแก้ว ครั้งนี้เวียงจันทน์เจริญขึ้น มีนิติพลคลีนิค ส่วนบิลบอร์ดนาย แบบเกาหลีที่เห็นตามบ้านเราก็มาโผล่ถึงนี่แล้ว !! พี่แสงอาทิตย์บอก ว่า ลาวมีนายกคนใหม่ เขาอยากปรับเปลี่ยนอะไรให้ดีขึ้น เริ่มมีการ ปรับปรุงสถานที่ส�ำคัญ อนุสาวรีย์ ตลาดเช้า เพื่อพัฒนาประเทศให้ เจริญมากขึ้น พี่แสงอาทิตย์พูดไป ปากก็ยิ้มไป ลาวในสายตาฉันดูเป็นประเทศที่มีวิถีชีวิตแบบเอกเขนก คนลาวทุกคนดูใจดี มีชีวิตเรื่อยๆ สบายๆ ไม่เร่งรีบนัก แต่มีความสุข อากาศวันนี้เมฆครึ้มแต่ฝนยังไม่ตก ก�ำลังสบาย ดูเหงาแต่ ไม่เศร้า เรียกว่า เหงาก�ำลังดี หลังจากเที่ยวชมเมืองในวันนั้น กลับมาฉันแทบจ�ำอะไรไม่ ได้มาก ว่าไปไหนมาบ้างในเวียงจันทน์ แต่ความรู้สึก บรรยากาศ และ การรับรู้วันนั้น ยังจ�ำได้ดี เป็นความเหงา และตุ้มๆ ต่อมๆ ในใจ เริ่มต้นจาก พระธาตุหลวง แหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตของที่นี่ ผืนหญ้าสีเขียวตัดกับสีทองของพระธาตุหลวงและก�ำแพงอิฐหน้าทาง เข้า พื้นที่ทรงสี่เหลี่ยมจตุรัสที่มีสนามหญ้าล้อม และตรงกลางเป็นที่ ศักดิ์สิทธิ์ เราเดินรอบจตุรัสซึบซับบรรยากาศรอบๆ เดินได้ซักพักฝนก็ เม็ดอ้วนขึ้นเรื่อยๆ เราก็รีบไหว้รีบวิ่งขึ้นรถแทบไม่ทัน 27


แหล่งท่องเที่ยวปิดหมดตอนกลางวัน จากประวัติศาสตร์ ลาวเคยถูกฝรั่งเศสปกครองทำ�ให้วิถีชีวิตของชาวลาวเปลี่ยนไป มีการ พักกลางวัน กลับบ้านไปกินข้าว และนอนกลางวัน เวลานี้จึงเป็นเวลา พักผ่อนของชาวลาว พี่แสงอาทิตย์จึงใช้โอกาสนี้สวมบทให้เราเป็น ชาวลาว ขับรถพาเราไปกินข้าวบ้าง ไปกินเฝอ เฝอ เป็นอาหารยอดฮิตในแถบนี้ รวมกับแหนมเนือง ฉันเป็น คนไม่กินผัก ตอนแรกคิดว่าเฝอคืออาหารแห่งผัก แต่แท้ที่จริงแล้ว เฝอคือ ก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็ก ผิดคาด ! ร้านเฝอชื่อดัง แฝงตัวอยู่ในซอกหลืบของเวียงจันทน์ ตรง ข้ามพิพิธภัณฑ์ตำ�รวจ ร้านนี้เฉพาะเจาะจงเพราะถ้าเป็นนักท่องเที่ยว เชิงสามัญคงหาร้านนี้ไม่เจอ ไม่ก็มาไม่ถูก ส่วนคนที่มาแล้ว เชื่อเหอะ มาอีกทีก็มาไม่ถูกหรอก เฝอสามชามใหญ่จะกินแกล้มคู่กับผักบนโต๊ะ หรือ ลองกับเครื่องปรุงก็แปลกลิ้นดี หลังจากเฝอเกลี้ยงอย่างรวดเร็ว รถตู้ก็หนักขึ้นทันที เราค่อยๆ เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ เป้าหมายต่อไป คือประตูชัยฝรั่งเศส ยอดฮิต ประตูชัยเป็นดาดฟ้าของเวียงจันทน์ ณ เวลานี้ ฟ้าเริ่มสว่าง ขึ้น แต่แดดไม่จ้าเท่าไหร่ เมืองเวียงจันทน์เป็นสีเขียว มีรถคันเล็กวิ่ง ไปมา ตึกน้อยและคนตัวจิ๋ว ค่อยๆ เคลื่อนตัวเป็นแอนิเมชันไปเรื่อยๆ พวกเรามาอยู่บนดาดฟ้า ยืนเฉยๆ มองไปรอบๆ ทำ�ใจเย็นๆ ชีวิตช้าๆ แค่ลองหยุดไม่ถึง 10 นาที เท่านี้ก็สุขแล้ว 28

ได้แต่มองไปที่เส้นขอบฟ้า ฮานอย...ไกลแค่ไหนกันนะ


ถนนเวียงจันทน์ไม่ค่อยมีรถ / รถบัสไปปากเซ


การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์วัดด�ำเนินไปเรื่อยๆ วัดศรีเมือง วัด ศรีษะเกษ หอพระแก้ว และบรรดาวัดต่างๆ อีกมากมาย บรรยากาศยังคงโรแมนติกมากขึ้นเรื่อยๆ เราเดินเล่น รอบสนามหญ้า พิพิธภัณฑ์รถดับเพลิง เดินข้าม ถนนเวียงจันทน์ (ที่รถน้อยมากเมื่อเทียบกับบ้านเกิดเรา) เวลาใน เวียงจันทน์ของเราช้า ช้าจนเวลาชั่วโมงนึงยาวนาน เราลุ้นให้เวลา เดินเร็วกว่านี้อีกหน่อย เพราะไม่อยากถูกทิ้งนั่งแกร่วที่สถานีรถบัส พี่แสงอาทิตย์ยิ้มอยู่ตลอดเวลา อาจเพราะโครงสร้างกล้าม เนื้อที่หน้าของพี่เขาหรือเป็นคนอารมณ์ดี เขาก็ใจดีต่อเวลาความสุข ให้เรา เขาพาเราไปชมศูนย์ศิลปาชีพเพื่อถ่วงเวลาก่อนเราจะขึ้นรถบัส พี่แสงอาทิตย์ มีลูกเรียนมัธยมอยู่ในเวียงจันทน์ ส่วนบ้าน เขาอยู่ชานเมือง ชีวิตวันเสาร์อาทิตย์ของพี่แสงอาทิตย์คือ ไปดักรอนัก ท่องเที่ยวที่ด่าน (ที่เจอกับเรา) และเป็นอย่างนี้เรื่อยไป ผู้ชายส่วนมากตอนช่วงแรกจะเป็นเด็กเกเรไม่สนใจชีวิต แต่ เมื่อถึงช่วงหนึ่งของชีวิตที่ต้องรับผิดชอบ ผู้ชายกลับมีพลังมากพอ ที่ จะยอมท�ำทุกอย่าง เสียสละทุกสิ่ง เพื่อคนที่รัก เป็นค�ำตอบที่ทุกคนรู้ กันอยู่แล้ว ว่าพี่แสงอาทิตย์ท�ำทุกวันนี้เพื่อใคร การมาลาวครั้งนี้ ถึงจะไม่ได้สนุกมาก ไม่ได้ตื่นเต้นเร้าใจ ไม่ ได้ทรหด ผาดโผน ออกไปทางช้าช้า นิ่งนิ่งแต่เราได้รู้อย่างนึงว่า เรา สามารถมาลาวได้แล้วด้วยตัวเอง เวียงจันทน์เหมือนประเทศที่ ไม่พูดจากับเรา นั่งนิ่งๆ เงียบๆ มองหน้าซึ่งกันและกัน มันท�ำให้เราหลงเสน่ห์เมืองนี้อย่างประหลาด บางครั้งประเทศเงียบๆ อาจจะเชื่อมโยงเรา โดยที่ค�ำพูดท�ำไม่ได้ 30



ลานขนส่งสายใต้ลาว เตรียมออก / บนรถบัส 24 ชั่วโมง


บนรถบัส เราต้องนั่งไป 24 ชั่วโมง ย�้ำอีกที​ี 24 ชั่วโมง แปลว่ารถออก 1 ทุ่มจะถึงฮานอยอีกที ตอน 1 ทุ่มของพรุ่งนี้ เวลาทั้งหมดของคืนนี้เราจึงอยู่บนรถบัส กิน อะไร นอนยังไง ถ้าปวดฉี่ท�ำยังไง อันนี้ ไม่มีค�ำตอบ ผู้โดยสารทั้งหลายทยอยกันมาเซตที่นั่งตั้งแต่ 6 โมงเย็น เรา สามคนอยู่เตียงบนเรียงแถวกันเป็นแนวนอน คนส่วนใหญ่บนรถเป็น คนเวียดนาม ไม่ก็คนลาว มีแต่เราสามคนเท่านั้นที่เป็นคนไทย คนทั้ง รถพูดไทยได้บ้าง (บ้างจริงๆ) ภาษาใบ้จึงเป็นผลมากกว่า คนลาวส่วน ใหญ่จะพูดไทยได้ แต่รถคันนี้เป็นคนลาวน้อยกว่าคนเวียดนาม ดังนั้น บนรถคันนี้ เราเป็นใบ้.. ยิ่งรถใกล้ออกเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้ถึงเหตุผลที่ต้องเลือกเตียงบน มากกว่าเตียงล่าง เพราะด้านบนมีออกซิเจนมากกว่า ส่วนด้านล่าง นอนไปมีทั้งกลิ่นเท้า และคนเดินไปมา ถ้านอนไม่ดีอาจถูกเหยียบหัว เราได้ แต่โชคดีที่เรามาจองก่อน แต่ก็ไม่ได้โชคดีไปหมด สภาพใน รถมีกลิ่นอับ ทั้งกลิ่นเท้า(ที่บอกไป) กลิ่นพลาสติกของที่นั่งที่เหมือน รถเมล์จีนที่เอามาวิ่งในบ้านเรา และกลิ่นผ้าห่มที่ซักแต่ไม่ได้เอาไป ตาก กลิ่นทั้งหลายผสมปนเปกันจนบอกไม่ถูก ตุ๋ยท�ำใจไม่ได้ต้องเอา ที่ปิดปากออกมาใช้ ส่วนอ้นจูดูล�ำบากเพราะที่นั่งและนอนนั้นสั้นเกิน ขาของมัน ส่วนฉันสถานการณ์ล�ำบากใจ ได้แต่มองออกนอกหน้าต่าง ทุกคืนจะมีรถบัสวิ่งออกจากเวียงจันทน์ไปฮานอยเป็นสิบ คัน คนลาวที่อพยพไปท�ำมาหากิน คนเวียดนามที่กลับบ้าน และนัก ท่องเที่ยวที่ดันรู้เส้นทาง หลายคนชนชาติมาลงเอยบนรถบัสสีแดง และแล้วรถก็ออก ทุ่มนึงพอดีเป๊ะ (สมแล้วที่เขาต้องมาเซตที่นั่งก่อน) 33


ถ้าให้ท�ำข้อสอบวิธีฆ่าเวลาได้เร็วที่สุด เราคงตอบกันว่า นอนหลับ - ถูกต้อง, หวังว่า นอนครั้งนี้ ตื่นมาอีกทีเช้าเลย

ท้องฟ้ายังคงมืด ถ้าไม่ใกล้เช้าก็ยังกลางคืนอยู่ นาฬิกาบนข้อมือบอกว่า นี่ยังกลางคืน อย่าหวังที่จะหลับได้ง่ายบนรถคันนี้...

เสียงคนในทีวี ก�ำลังร้องเพลง รายการเกมส์โชว์ตลกสตาร์ คิง คนอื่นๆ ในรถก็กินขนม เสียงคนคุยกัน เสียงทีวี การนอนให้หลับ จึงท�ำได้ยาก ดูเหมือนหลับนานที่สุด แต่จริงๆ คือ 15 นาที ช่างตรงข้ามกับตอนเวลาตื่นมาท�ำงาน นอนแว่บเดียว แต่จริงๆ โคตรนาน ไม่เข้าใจ ระบบเวลาโลกเลย สามทุ่มผ่านไป รถบัสจอดแวะให้กินข้าวมื้อดึก คนที่ลงไป เป็นชายฉกรรจ์ส่วนใหญ่ ผู้หญิงไม่ลงกันเลย ส่วนเรา คนแปลกหน้า ลงไปเดินส�ำรวจดีกว่านอนแช่แข็งในกล่อง ร้านอาหารเป็นเพิงมืดๆ กลางป่า ชายฉกรรจ์กินเหล้าเคล้า ข้าวต้ม ห้องน�้ำมีจิ้งจก หลอดไฟนีออนเต็มไปด้วยแมงเม่า คนเริ่มเมา เราเริ่มกลัว การออกมายืดเส้นยืดสายคราวนี้ดูน่ากลัวมาก เราอยู่ ที่ไหนของโลกก็ไม่รู้ ร้านอาหารเป็นเหมือนจุดไฟเล็กๆ จุดเดียวกลาง ป่าใหญ่ รถบัสหลายคันจอดแวะที่นี่ (น่าจะฮิตมาก) เราเริ่มจดจ�ำ หน้าตาคนนั่งร่วมรถกับเราไว้ก่อน ถ้ารถออกไปแล้วเรายังไม่ได้ขึ้น มันคงไม่ดีแน่ จากคนไม่คุ้นหน้าบนรถ สถานการณ์ตอนนี้เราจ�ำต้องคุ้นหน้ากับคนหน้าไม่คุ้น 34


รถบัสยังวิ่งต่อไปเรื่อยๆ สองข้างทางริมหน้าต่างมืดตึ๊ดตื๋อ แต่ไม่มีใครสนใจ ทุกคนยังคงเพลินกับทีวี ไม่ก็หลับสนิท ส่วนฉัน กังวลใจเพราะไม่รู้เขาจะมาเก็บพาสพอร์ตตอนไหน เมื่อเราถึงชายแดนลาวเวียดนาม ทุกคนบนรถจะต้องปั๊ม พาสพอร์ต ถ้าพาสพอร์ตไม่ผ่าน เราอาจจะถูกโยนทิ้งเอาไว้ที่ด่านนี้ แล้วเป็นยังไงต่อไม่มีใครรู้ แต่ที่รู้ตอนนี้เด็กรถทยอยเก็บพาสพอร์ต ของชาวเวียดนามและลาว ส่วนคนไทยสามคน เขาไม่เก็บ อ่อนประสบการณ์ และ กลัวถูกทิ้งไว้กลางป่า เด็กรถเสนอข้อต่อรองว่า เอามาคนละร้อยแล้วจะเอาพาสพอร์ตไปปั๊มให้ เพราะเขาไม่อยากเสี่ยงกับคนชาติอื่น เราชักไม่แน่ใจ ในท่าที เงินร้อยนึงตอนนี้มีค่าถึงข้าว 3 มื้อ เรารู้ราคาแล้วก็ได้แต่เงียบ ไม่สนใจ คนในรถคนอื่นก็บอกกันว่า จริงๆ ไม่เป็นไร พรุ่งนี้เช้าถึงด่าน ไปปั๊มเองก็ได้

หวังว่าความอ่อนและความกลัวของเรา คงไม่เป็นผลร้ายในพรุ่งนี้เช้านะ

35



ช่วงตีสองตีสาม รถบัสน่าจะใกล้ถึงด่านลาวเวียดนามแล้ว รถเลยจอดพักกลางป่า ดับเครื่อง ปิดแอร์ ปิดประตู ผู้โดยสารทุกคน ท�ำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ (ไม่ กล้ากะเองเพราะยังเข็ดกับตอนนอนไปไม่ถึง 15 นาที) ผู้โดยสารหลาย คนเริ่มหายใจหนักขึ้น เริ่มได้ยินเสียงฟืดฟาดมาแต่ไกล เราได้แต่ หายใจเข้าลึกๆ และหายใจออกน้อยๆ เพราะไม่รู้เมื่อไหร่รถจะออก พอคนขับสตาร์ทเครื่องอีกครั้ง ทั้งรถโล่งใจ หายใจกันคล่องเลย รถบัสแล่นต่อไปในความมืด ประมาณ 6 โมงเช้า ในที่สุดก็ ถึงด่านลาวเวียดนาม ด่านเปิด 7 โมง ปล่อยให้ผู้โดยสารลงไปล้าง หน้าแปรงฟันกลางหุบเขา ส่วนเรายอมจ�ำใจเสียเงินคนละร้อยเพื่อค่า พาสพอร์ตแลกกับความสบายใจ ได้แต่คิดว่า สามร้อยกลางหุบเขาแลกกับชีวิตที่จะได้เดินทางต่อ แหล่ ง น�้ ำ แหล่ ง เดี ย วที่ นี่ คื อ ก๊ อ กน�้ ำ ที่ ขึ้ น มาจากไหนไม่ รู ้ กลางเหว ทุกคนใช้ก๊อกนีผ้ ลัดกันล้างหน้าบ้วนปาก ต่อแถวบ้างไม่ต่อ บ้าง (เรียกว่าใครดีใครได้) หลังจากเสร็จภารกิจยามเช้าที่ไม่ได้อาบ น�้ำตั้งแต่หัวล�ำโพง เราก็เดินเล่นรอด่านเปิด ชมวิวกลางหุบเขาที่คาด ว่าคงยากที่จะได้มาเหยียบอีก เพื่อนใหม่ของเราคือ พี่แตงโม เป็นหญิงสาวชาวเวียดนาม ก�ำลังจะกลับบ้านเกิด ท้องได้หนึ่งเดือน ใส่ชุดเดรสสีแดง ทาปากก็สี แดง ตาโตสวยและผมยาวด�ำ พี่แตงโมเดินทางคนเดียวและพูดภาษา ไทยได้คล่องปรื๋อ เพราะเธอเคยท�ำงานที่ดอนเมือง ไต้หวัน ฮ่องกง มา ก่อน เรานั่งถ่ายรูปด้วยกัน คุยกัน สูดอากาศซักพักด่านก็เปิด ข้อดีของการเป็นคนไทยคือ เวลาเจ้าหน้าที่คืนพาสพอร์ตเรา จะได้ก่อนใคร เพราะหนังสือเล่มสีเลือดหมู ไม่เหมือนชาวบ้านเขา เรา เลยได้ก่อนใครท�ำให้มีเวลาเดินไปด่านข้างหน้าต่อ 37


ถ้าการเดินทาง ระหว่างทางส�ำคัญกว่าจุดหมาย การเดินข้ามพรมแดนจากลาวไปเวียดนาม ระหว่างทางก็ส�ำคัญเช่นกัน

อากาศดีสดชื่นยามเช้า สองข้างทางที่มีแต่ต้นไม้สีเขียวขจี สะพานข้ามแม่น�้ำที่ไหลเอื่อย แสงแดดยังไม่พ้นเขาดี ท้องฟ้าสีสด ฟ้า เป็นฟ้า บรรยากาศการข้ามพรมแดนจึงเป็นเรื่องใหม่ส�ำหรับเรา วิว ใหม่ ท้องฟ้าสีสด ประเทศใหม่ เพื่อนร่วมทางใหม่ และที่ส�ำคัญ จาก ทุกวันที่นั่งดูทีวีตามรอยพี่เรย์ วันนี้เรามาตามรอยได้แล้ว

38

มีก้าวแรก ก็ต้องมีก้าวต่อไป มีผู้บุกเบิก ก็ต้องมีผู้ก้าวตาม แค่เราก้าวเท้า เราก็ก้าวหน้าไปขั้นนึงแล้ว


ท้องฟ้าด่านเวียดนาม / ระหว่างทางออกจากลาว



เกี่ยวกับพวกเรา

เขียน / วาง : ฟ้า : doxdoxchan อาชีพตอนนี้ : กราฟิกดีไซเนอร์ ใช้ชีวิตวัยเด็กแบบเด็กเนิร์ด (ตอนนี้ก็ยังเป็นอยู่) เรียนจบมาแบบงงๆ วันๆ อยู่แต่หน้าคอม เริ่มต้นท�ำงานเพราะพ่อบอกจะซื้อมือถือให้ แล้วอยู่ๆ ก็ลางานมาเที่ยวหนึ่งเดือน ฟ้าเชื่อว่า คนเราอายุเกิน 20 แล้ว ต้องท�ำอะไรเพื่อชีวิตและความฝันบ้าง

กราฟิก : มิ้นตุ๋ย : mintui อาชีพตอนนี้ : ฟรีแลนซ์กราฟิกดีไซเนอร์ เด็กกิจกรรมตั้งแต่เด็ก ท�ำมาทุกอย่างตั้งแต่ประธานนักเรียนยันจัดงานทีสิส รักการท่องเที่ยว เห็นโลก แฟชั่น ดนตรี กีฬา ดีไซน์ มีทักษะการสนทนาและผูกมิตรสูง ถือคติว่า ท�ำงานหนัก แต่เที่ยวหนักกว่า

ถ่ายภาพ : อ้นจู เอ็ม : crazyteddy อาชีพตอนนี้ : เฟอร์นิเจอร์ดีไซเนอร์ รักการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ ที่จริงทริปนี้มันไปมาหมดแล้ว ขาดแค่ทิเบตมันถึงมาด้วยเนี่ย ! เป็นตากล้องประจ�ำทริป บ้าพลังขนาดพกกล้องไปสองตัว เพราะขี้เกียจเปลี่ยนเลนส์ ที่ส�ำคัญแทบไม่มีรูปมัน รักการถ่ายรูปก่อนกิน และหมี Rilakkuma

ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับทุกสิ่ง สามารถติดต่อและติดตามทาง Facebook เพจชื่อ Go!Graph Instragrams ก็เล่น ก็ค้นหาชื่อนามแฝงด้านหลัง สอบถามอะไร อยากรู้อะไร รายละเอียดอย่างไร แจ้งอีเมล์หรือโพสท์ไว้ได้ แล้วมานั่งรถไฟขบวนเดียวกันอีกนะ :)



Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.