หนังสือ 1984 ของ จอร์ช ออร์เวล กับสังคมไทย โดย ใจ อึ๊งภากรณ์
จอร์ช ออร์เวล เป็นนักเขียนสังคมนิยมอังกฤษ ในปี 1937 เขาอาสาไปรบในประเทศ สเปนเพื่อยับยั้งการยึดอำนาจของ ทหารฟาสซิสต์ภายใต้นายพลฟรังโก ออร์เวลเข้าร่วมในกองทัพ อาสาสมัครของพรรค POUM (พรรคแนวร่วมกรรมาชีพมาร์คซิสต์) พรรคนี้ร่วมกับองค์กรอนาธิปไตย CNT และ FAI ในการปฏิวัติ ลุกฮือของกรรมาชีพและเกษตรกรสเปน แต่ปรากฏว่าพรรค คอมมิวนิสต์สเปน ภายใต้อิทธิพลของ สตาลิน ในรัสเซีย พยายามสลายกระแสปฏิวัติเพื่อเอาใจอังกฤษกับฝรั่งเศส เพราะตะวันตกไม่ต้องการเห็นการปฏิวัติสังคมนิยมเกิดขึ้นในสเปน สตาลินมองว่าถ้าสามารถเอาใจมหาอำนาจตะวันตกได้ รัสเซียจะไม่ถูกโจมตี
อย่างไรก็ตามการเอาใจตะวัน ตกแบบนี้นำไปสู่การเปลี่ยน สงครามปฏิวัติในสเปนไปส ู่สงครามกระแสหลัก และนำไปสู่การทำลาย ความหวังของกรรมาชีพและเกษตรกรในการปลดแอกตนเอง ผลในที่สุดคือความพ่ายแพ้ของฝ่ายซ้ายและฝ่ายประชาธิปไตยใน สเปน
ประสบการณ์ของออร์เวลในสเปนถูกเขียนขึ้นหลังจากที่เขาหนี ออกมาจากประเทศนั้นได้ ในหนังสือสำคัญของเขาชื่อ Homage To Catalonia (แด่คาทาโลเนีย) และเมื่อไม่นานมานี้ Ken Loach อาศัยหนังสือเล่มนี้ในการสร้างหนังชื่อ Land and Freedom ออร์เวลเข้าใจดีเรื่องการหักหลังขบวนการปฏิวัติสากลโดยสตาลิน และพรรคคอมมิวนิสต์ต่างๆ ที่อยู่ภายใต้อิทธิพลของสตาลิน อีกกรณีสำคัญในยุคนั้นนอกจากสเปนคือการหักหลังคอมมิวนิสต์ และกรรมาชีพจีน โดยการสั่งให้เข้าไปร่วมพรรคกับพวก ชาตินิยมก๊กหมินตั๋งซึ่งทำให้เชียงไกเช็คกวาดล้างฆ่าคอมมิวนิสต์ จำนวนมาก สองเหตุการณ์นี้ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก จาก ลีออน ตรอทสกี ผู้ที่พยายามปกป้องแนวมาร์คซิสต์ และแนวบอลเชวิคจากการบิดเบือนของสตาลิน ในหนังสือ Animal Farm (รัฐสัตว์)ออร์เวลประชดระบบ เผด็จการของสตาลิน ที่อ้างว่าเป็นสังคมนิยมแต่กลับสร้างความ เหลื่อมล้ำและการกดขี่อย่างหนักในรัสเซียตัวละครที่เป็นสตาลิน คือหมูชื่อ นโปเลียน และหมูอีกตัวที่ชื่อ สโนบอล์คือตรอทสกี หนังสือ 1984 ซึ่งเขียนในปี 1949 เป็นการวิพากษ์วิจารณ์ ระบบเผด็จการสตาลินอย่างหนัก แต่ผสมระบบนาซีฟาสซิสต์ เข้าไปในรัฐเผด็จการเดียวกัน 1984 เน้นเรื่องกระบวนการ กล่อมเกลาล้างสมอง การตอแหลโกหก และการสร้างนิยายขึ้นมา ครอบงำสังคมโดยเผด็จการ มันเป็นหนังสือที่วิจารณ์ทั้งฝ่ายรัสเซีย และฝ่ายอเมริกาในยุคสงครามเย็น ในหนังสือ 1984 “พี่ใหญ่” ที่คอยจ้องมองประชาชนตลอด มีใบหน้าเหมือน สตาลิน และศัตรูหลักของระบบเผด็จการชื่อ โกล์ดสตีน ซึ่งมีหน้าตาเหมือน ตรอทสกี บ่อยครั้งจะมีการ บรรยายวิธีการที่เผด็จการทำให้อดีตนักปฏิวัติสารภาพว่า ตนเป็น “สายลับของศัตรู”ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับอดีตแกนนำ พรรคบอลเชวิคในคดีการเมืองภายใต้ “ศาลเตี้ย” ของสตาลิน ในยุค 1930
ในการกล่าวถึงสภาพโลกในหนังสือ1984 ออร์เ วลประชดสิ่ง ที่เ กิด ขึ ้ น ในยุ ค สงครามเย็น และภายหลัง โลกในหนังสือของออร์เวลแบ่งเป็นสามมหาอำนาจที่อยู่ในสภาวะ สงครามอย่างต่อเนื่อง คือ Oceania (ศูนย์กลางที่สหรัฐ), Eastasia (ศูนย์กลางที่จีน) และ Eurasia (ศูนย์กลางที่รัสเซีย) ตัวละครเอกในเรื่องจะอาศัยอยู่ที่อังกฤษซึ่งตอนนี้เปลี่ยนชื่อไปเป็น “สนามบิน 1” และเป็นส่วนของอาณาจักร Oceania ของสหรัฐ ในสมัยประธานาธิบดีเรแกน หลังออร์เวลตายไปสามสิบกว่าปี คนอังกฤษที่คัดค้านจักรวรรดินิยมสหรัฐและการที่อังกฤษมีฐานทัพ นิวเคลียร์ของสหรัฐบนเกาะ มักจะพูดว่าอังกฤษกลายเป็นแค่ “สนามบินของสหรัฐ” ไปแล้ว ทั้งสามมหาอำนาจมีลัทธิการเมืองของตนเอง Oceania ใช้ลัทธิ Ingsoc (สังคมนิยมอังกฤษ) Eastasia ใช้ลัทธิ Death-Worship (บูชาความตาย) และ Eurasia ใช้ลัทธิ Neo-Bolshevism (บอลเชวิคใหม่) แต่ทั้งๆ ที่แต่ละฝ่ายอ้างว่าแนวคิดของตนเอง แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับของฝ่ายตรงข้าม ในความเป็นจริงไม่ต่างกัน เลยเพราะล้ ว นแต่เ ป็น เผด็จ การของขุ น ศึ ก ที่ก ดขี่ป ระชาชน ในโลกแห่งความเป็นจริงของสงครามเย็น ฝ่ายสหรัฐอ้างว่าเป็น “โลกเสรี” แต่ในโลกเสรีมีเผด็จการทหารไทย เผด็จการทหาร เกาหลีใต้ และเผด็จการทหารในลาตินอเมริกา ส่ว นเผด็จ การคอมมิว นิส ต์ส ายสตาลิน ในรัซ เสีย และที่อ ื่น ๆ โกหกว่าตนเป็น “ประชาธิปไตยประชาชน”
ในหนังสือ 1984 Oceania Eastasia และ Eurasia ฉวยโอกาสสับเปลี่ยนกันเป็น “แนวร่วม” เพื่อต่อต้านอีกฝ่าย โดยไม่มีเรื่องอดุมการณ์เข้ามาเกี่ยวข้องแต่อย่างใด ทั้งๆ ที่หนังสือทั้งสามเล่มนี้ของออร์เวล เป็นการวิจารณ์ระบบสตาลินอย่างหนัก จากจุดยืนนักสังคมนิยม ปฏิวัติ แต่ฝ่ายขวาทั่วโลก โดยเฉพาะในสงครามเย็น และแม้แต่ฝ่ายขวาในไทย ก็บิดเบือนความหมายให้ตรงข้ามกับ ความจริงอย่างน่าไม่อาย เพื่อเสนอว่าเป็นหนังสือ “ต้านสังคมนิยม” ในหนังสือ Homage To Catalonia (แด่คาทาโลเนีย) ออร์เวลกล่าวถึงเมืองบาซาโลนา ที่ถูกกรรมาชีพยึด เขาสนับสนุน การที่คนงานเป็นใหญ่ในสังคมโดยไม่มีเงื่อนไข ทั้งๆ ที่เขาไม่ สบายใจในฐานะที่ตัวเองเป็นคนชั้นกลาง ในหนังสือ 1984 ตัวเอกเชื่อมั่นว่าชนชั้นกรรมาชีพจะต้องเป็นผู้ปลดแอกตนเองและ สังคมจากเผด็จการ Ingsoc แต่เล่มนี้เขียนภายหลัง Homage To Catalonia และสะท้อนว่าออร์เวลเริ่มหดหู่กับความ เป็นไปได้ว่ากรรมาชีพจะลุกฮือจริง
1984 กับสังคมไทย เผด็จการ Ingsoc ติดตั้ง “โทรทัศน์” ที่คอยป้อนข่าวโฆษณาชวน เชื่อและคอยจ้องมองดูว่าคนในบ้านว่าทำอะไรและคิดอะไร มีหน่วย “ตำรวจความคิด” ที่คอยจับผิดคนที่คิดต่าง มีการส่งเสริมให้ประชาชนไปฟ้องตำรวจเกี่ยวกับพฤติกรรมของคน อื่น ซึ่งคงจะทำให้เราคิดถึงหน่วยงานของรัฐไทย เช่นกระทรวงไอซีที หรือศูนย์ประสานการปราบปรามภายใต้ทหาร ประชาธิปัตย์ และเพื่อไทย ที่คอยสอดส่องประชาชนและลงโทษ ด้วยกฏหมาย 112 ในเผด็จการ Ingsoc ท่านผู้นำหรือ “พี่ใหญ่” เป็นผู้ที่คิดค้นทุกอย่าง เก่งทุกอย่าง จะมีอายุยืนตลอดกาล เขารักและดูแลประชาชน แต่ในขณะเดียวกันก็คอยจ้องมองทุกคน เพื่อไม่ให้ก่อ “อาชญากรรมทางความคิด” ประชาชนต้องทั้งรัก และกลัวเขา ประชาชนในสังคม Oceania แบ่งออกเป็นสองชนชั้นคือ กรรมาชีพ กับ สมาชิกพรรคซึ่งมีบทบาทคล้ายๆ ชนชั้นกลาง สำหรับเผด็จการ Ingsoc แกนนำพรรคไม่สนใจกรรมาชีพ เ พ ร า ะ ค ิด ว ่า โ ง ่แ ล ะ ไ ม ่ม ีค ว า ม ส า ม า ร ถ ใ น ก า ร ล ุ ก ข ึ ้ น ส ู้ แ ต ่ใ น ข ณ ะ เ ด ีย ว ก ัน ม ัก อ ้ า ง ว ่า เ ข า ป ก ค ร อ ง เ พ ื่อ ก ร ร ม า ช ีพ แกนนำพรรคจะให้ความสนใจกับ ชนชั้นกลางผู้เป็นสมาชิกพรรค มากกว่า และจะกล่อมเกลา ให้ทุกคนใช้ “ระบบคิดซ้อน” (Doublethink)
“ระบบคิดซ้อน” คือการที่คนเราจะเชื่ออะไรสักอย่าง อย่างจริงใจเต็มใจ แต่รู้พร้อมๆ กันว่าความเชื่อนั้นเป็นเท็จด้วย เช่นการที่คนชั้นกลางอาจเชื่อว่ามีเทวดา อาจเชื่อด้วยความศรัทธา เต็มเบี่ยม แต่ในขณะเดียวกันรู้ในใจว่าเทวดาไม่มีจริง คือมันเป็นการล้วงเข้าไปในสมองของคนเพื่อไม่ให้มีความคิดเป็น อิสระเอง “ระบบคิดซ้อน” กับการ “พูดซ้อน” (Doublespeak) ไปด้วยกัน และเผด็จการ Ingsoc มีคำขวัญสำคัญคือ “สงครามคือสันติภาพ” “เสรีภาพคือการเป็นทาส” และ “ความโง่เขลาคือพลัง” การพูดซ้อนคงไม่ต่างจากคนที่เคยเรียกร้องให้เสื้อแดง “งด” ใช้ ค วามรุ น แรงในขณะที่ต นเองส่ง ทหารไปไล่ฆ ่า ประชาชน หรือไม่ต่างจากนายพลที่อ้างว่าเขา “ทำรัฐประหารเพื่อปกป้อง ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข” ไม่ต่างจากคนที่ทำ รัฐประหารดังกล่าวเสร็จแล้ว และก็หันมากล่าวหาคนที่คัดค้านรัฐ ประหารว่า “ดึงสถาบันกษัตริย์ลงมาเกี่ยวกับการเมือง” ในระบบพูดซ้อน กระทรวงกลาโหมเรียกว่า “กระทรวงสันติภาพ” กระทรวงที่บิดเบือนประวัติศาสตร์คือ “กระทรวงแห่งความจริง” กระทรวงที่คุมการผลิต ซึงไม่เคยผลิตอะไรเพียงพอสำหรับ ประชาชนเลย มีชื่อว่า “กระทวงแห่งความอุดมสมบูรณ์” และกระทรวงที่จับประชาชนที่คิดต่างมาทรมาณ คือ “กระทรวงแห่ง ความรัก” คนที่สารภาพ “อาชญากรรมทางความคิด” ในคุกของกระทรวงแห่งความรัก ในที่สุดจะได้รับการอภัยโทษปล่อย ตัว นับว่า Oceania คือตอแหลแลนด์ที่แท้จริง! เผด็จการ Ingsoc เข้าใจความสำคัญของประวัติศาสตร์มาก มีห น่ว ยงานของรัฐ ที่ม ีห น้ า ที่เ ปลี่ย นประวัต ิศ าสตร์ใ นหนัง สือ เก่า และสิ่งตีพิมพ์ทุกชนิด อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สอดคล้องกับ “แนว” ของรัฐบาลในขณะนั้น และเมื่อมีการเปลี่ยน “แนว” ก็ต้องปรับประวัติศาสตร์ตามเสมอ ในประเทศไทยอาจไม่ถึงระดับนี้ แต่กระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานอื่นๆ มีบทบาทอันยาวนาน ในการเขียนประวัติศาสตร์ไทยให้สอดคล้องกับผลประโยชน์ของชน ชั้นปกครอง
จริงๆ แล้วระบบเผด็จการ Ingsoc กำลังเปลี่ยนภาษาจากภาษาเดิม ไปเป็น “ภาษาใหม่” โดยที่ศัพท์ต่างๆ ที่อนุญาตให้ใช้ กลายเป็นแค่ศัพท์ที่เชิดชูระบบเผด็จการ หรือเป็นศัพท์ที่ใช้ วิจารณ์ระบบหรือคิดต่างไม่ได้เลย เป้าหมายหลักคือ การทำลายความสามารถของประชาชนที่จะคิด ยิ่งกว่านั้นในภาษาใหม่ ไม่มีคำว่าวิทยาศาสตร์ เพราะวิทยาศาสตร์ถูกยกเลิกไปแล้ว สังคมไม่มีการพัฒนา เพราะชนชั้นปกครอง Oceania กลัวว่าการพัฒนาจะทำให้ กรรมาชีพเริ่มมีความมั่นใจในการตื่นตัวลุกขึ้นสู้ประเด็นนี้ทำให้นึกถึง ประโยคหนึ่งในแถลงการณ์ฉบับที่หนึ่งของคณะราษฏร์ในปี ๒๔๗๕ คือ
เผด็จการ Ingsoc คอยห้ามปรามเพศสัมพันธ์ กรณีย กเว้ น คือ กรณีท ี่ส มรสแล้ ว และมีเ พศสัม พัน ธ์เ พื่อ ผลิต ลูก ก า ร ช อ บ เ ซ ก ซ ์เ ป ็น ส ิ่ง ต ้ อ ง ห ้ า ม โ ด ย เ ฉ พ า ะ ใ น ส ต รี และการสร้างความเก็บกดทางเพศ ตามแนวจารีตนี้ มีวัตถุประสงค์ที่จะนำไปสู่การระเบิดออกมาของความเกลียดชังต่อ ศัตรู และความจงรักภักดีรัก “พี่ใหญ่” รัฐบาลมีการติดป้ายใบหน้า “พี่ใหญ่” ทั่วเมือง และจัด “สิบนาทีแห่งการเกลียดชังศัตรู” ทุกอาทิตย์ ซึ่งเป็นภาคบังคับสำหรับ ประชาชนทุกคนตามสถานทีทำงานต่างๆ
ออร์เวลตายประมาณหนึ่งปีหลังจากที่เขาเขียนหนังสือ 1984 เขาเลยไม่มีโอกาสเห็นการลุกขึ้นสู้ของกรรมาชีพและผู้ถูกกดขี่ทั่ว โลก ซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ การปฏิวัติอียิปต์ และการนัดหยุดงานต่อต้านแนวเสรีนิยมท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจย ุโรป ทำให้ความเชื่อมั่นได้ว่า…..
“ถ้ามีความหวัง... มันอยู่ที่ชนชั้นกรรมาชีพ” If there is hope, it lies with the Proles.