สรรพสารลานนา :
ตํานานพระธาตุ ๕ หลัง ตํานานเมืองเชียงมวน คติชนชาว นานและปกขทืน (ปฏิทิน) ลานนา ปกดยี จุลศักราช ๑๓๗๒
ผูเรียบเรียง
พระพนัส ทิพฺพเมธี ยุทธพร นาคสุข
ภาพหนาปก
วริศรา บุญซื่อ (ถายภาพ)
พิมพครั้งที่ ๑ กุมภาพันธ ๒๕๕๓ จํานวน ๕๐๐ เลม จัดพิมพโดย
โครงการจัดพิมพพปฏิทินและผลงานปริวรรต เอกสารล เอกสารลานนา ส านนา ต.นาปปง ออ.ภู วัดดนนน้้ําลัด ต.นาป .ภูเพียง จ.นาน
ขอขอบพระคุณ พระศรีธีรพงศ
เจาอาวาสวัดพญาภู พระอารามหลวง อ.เมืองนาน
พระมหาณรงคศกั ดิ์ สุวณฺณกิตตฺ ิ เจาอาวาสวัดพญาวัด อ.เมืองนาน
พระอนุรักษ จนฺทวิสุทฺธิญาโณ เจาอารามบานกอดสรรค อ.ภูเพียง
พระอุดร ชินวํโส
วัดศรีพันตน อ.เมืองนาน
นายแพทยบุญยงค วงศรักมิตร ประธานมูลนิธิพระครูพุทธมนตโชติคุณ
วาที่รอยตรีสมเดช อภิชยกุล ผูท รงคุณวุฒทิ างวัฒนธรรม
อาจารยเดช ปนแกว
ประธานสภาวัฒนธรรม อ.ภูเพียง
คุณวุฒิชัย โลหะโชติ
ศูนยประส ระสานงานประชาคม โรงพยาบาลนาน
อาจารยทักษิณา ธรรมสถิตย อา วิทยาลัยเทคนิคนาน
อาจารยสิทธิศักดิ์ ธงเงิน
ร.ร.สามัคคีวทิ ยาคาร (เทศบาลบานพระเนตร)
คุณวริศรา บุญซื่อ
สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดนาน
คุณประทวน สอนศิริ รานบิ๊กเจ อ.เมืองนาน
คุณศิริ แซแต
รานศิรเิ ซนเตอร กทม.
คุณนงนุช กุศล
ผลิตสิ่งพิมพ
บานน้าํ ลัด
คุณบุษราภรณ ศรีธิยศ บานน้าํ ลัด
คุณลภาภัทร ปงยศ บานน้ําลัด
พิมพ
หจก. กลุมธุรกิจแม็กซ (MaxxPRINTINGTM - แม็กซปริน้ ติง้ ) ๑๔ ซ.สายน้ําผึ้ง ถ.ศิริมังคลาจารย ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม ๕๐๒๐๐ Hotline : ๐๘๖ ๖๕๔๗๓๗๖, ๐๕๓ ๒๒๑๐๙๗ Website : http://moradoklanna.com
คุณนัฐวัฒน ธงเงิน บานน้าํ ลัด
คุณพิชยา กรมทนา บานน้ําลัด
คุณศุภลักษณ ภุมรินทร บานน้ําลัด
คุณนัฐพร ตาตะคํา บานน้าํ ลัด
คํานํา ในป ๒๕๕๓ นี้ ทางวัดน้าํ ลัดไดจดั พิมพหนังสือ “สรรพสารลานนา : ตํานานพระธาตุ ๕ หลัง ตํานานเมืองเชียงมวน คติชนชาวนาน และปกขทืน (ปฏิทิน) ลานนา ปกดยี จุลศักราช ๑๓๗๒” เหมือนที่เคยไดเผยแพร มาแลวสองปที่ผานมา เนื้อหาของหนังสือเลมนี้ประกอบไปดวย ๑. ตํานานพระธาตุ ๕ หลัง เปนตํานานที่อธิบายเหตุ และความเปนมาของพระธาตุและวัดสําคัญในเมืองนาน เชน พระธาตุ แชแหง พระธาตุเขานอย พระธาตุวดั สวนตาล พระธาตุวดั พญาภู พระธาตุ วัดกูคํา วัดไผเหลือง ฯลฯ ซึ่งถาหากคัดกรองเอาขอมูลไปใช ก็จะชวย เสริมในการศึกษาประวัติศาสตรของเมืองนานไดอีกทางหนึ่ง ตํานานนี้ อาตมภาพได ป ริ ว รรตจากคั ม ภี ร ใ บลานของวั ด น้ํ า ลั ด อายุ ๑๒๙ ป เมื่อครั้งยังเปนสามเณร และเคยจัดพิมพไปแลวครั้งหนึ่งในหนังสือของ วั ด พระธาตุ แช แ ห ง บั ด นี้ ห นั ง สื อ ชุ ด ดั ง กล า วได จํ า หน า ยหมดแล ว อาตมภาพจึงไดนํากลับมาพิมพเผยแพรอีกครั้งหนึ่ง ๒. ตํานานเมืองเชียงมวน เปนตํานานเกี่ยวกับกําเนิด ของพระเจดียท ดี่ อนควาง (ออกเสียงวา ดอนกวาง) อ.เชียงมวน จ.พะเยา ซึ่งในตํานานไมไดระบุชื่อพระธาตุเอาไว อาตมภาพไดกราบเรียนถาม พระครูศรีวรพินิจ ผูอํานวยการวิทยาลัยสงฆพะเยา ทานสันนิษฐานวา อาจจะเปนพระธาตุภูปอ ต.บานมาง อ.เชียงมวน เพราะเปนพระธาตุ เกาแกและตั้งอยูบนดอย ในอดีต อ.เชียงมวน เคยเปนอําเภอหนึ่ง ของจังหวัดนาน จึงถือไดวามีความสัมพันธกับเมืองนานอยางใกลชิด อาจารย ยุ ท ธพร นาคสุ ข จึ ง ได ป ริ ว รรตจากเอกสารไมโครฟ ล ม ของ สถาบันวิจยั สังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม หมายเลข 82 108 01L 010-011 ตนฉบับเปนของวัดแชพลาง ต.ทานาว อ.ภูเพียง มีอายุ ๑๕๕ ปมาแลว ตํานานนี้เทาที่สํารวจดูยังไมมีการพิมพเผยแพรที่ใดมากอนเลย ๓. คติชนชาวนาน เปนเนื้อหาเกี่ยวกับคติชนวิทยาของ คนเมืองนานในอดีต เปนภูมปิ ญ ญาและความเชือ่ ของคนโบราณทีไ่ ดเลา
๓
ไดสอนสืบตอๆ กันมา เปนเนื้อหาที่อานงาย ไมหนักสมองจนเกินไป ในเนื้อหาสวนนี้ไดมาจากการลงภาคสนามของอาตมภาพกับอาจารย ยุทธพร สวนหนึ่งไดรับความเมตตาเอื้อเฟอขอมูลจากผูรูหลายทาน เชน พระครูโอภาสนันทสาร เจาอาวาสวัดสวางอรุณ เจาคณะตําบลน้ําแกน อ.ภูเพียง อาจารยเดช ปนแกว ประธานสภาวัฒนธรรม อําเภอภูเพียง แมอุยศรีคํา วงศชัย ผูอาวุโสของบานน้ําลัด และยังมีขอมูลเพิ่มเติม จากพอทอง แกวนา บานดูพงษ อ.สันติสุข พอเจริญ กันลานันท บาน หลับมืนพรวนเหนือ ต.จอมจันทร อ.เวียงสา พออุยไชยวงศ จันทรบูรณ บานนาเคียน ต.จอมจันทร อ.เวียงสา จ.นาน ดังที่ไดระบุไวในเลมแลว อาตมาจึงขอขอบพระคุณทุกทานมา ณ ที่นี้ ๔. ปกขทืน (ปฏิทนิ ) ลานนา ปกดยี จุลศักราช ๑๓๗๒ ในปนี้อาจารยยุทธพร ก็ไดเมตตาคํานวณใหเหมือนทุกป เพื่อใหศาสตร แหงปกขทืนหรือปฏิทินลานนาอยูคูกับเมืองนานและลานนาตลอดไป เนื่องดวยในวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ที่ผานมา ทานพระครู พิศาลนันทคุณ อดีตเจาอาวาสวัดน้ําลัด อดีตเจาคณะตําบลกิตติมศักดิ์ ไดถึงแกมรณภาพลงอยางกะทันหันดวยโรคประจําตัวของทาน ยังความ เศราโศกเสียใจแกคณะศิษยานุศษิ ยและคณะศรัทธาวัดน้าํ ลัดเปนอยางยิง่ กอนหนาการมรณภาพเพียง ๙ วัน ทานไดเปนประธานฝายสงฆในการ จัดสรางพระพุทธรูปทันใจจนเสร็จสิน้ อยางเรียบรอย พระพุทธรูปทันใจเปน พระพุทธรูปทีต่ อ งสรางใหเสร็จภายในวันเดียว ชาวบานน้าํ ลัดเรียกกันวา “พระเจายี่เปงทันใจ” มรดกธรรมชิ้นสุดทายที่ตองสืบสานปณิธาน ของท า นพระครู ฯ ที่ ยั ง ค า งอยู ก็ คื อ การสร า งวิ ห ารเพื่ อ ใช เ ป น ที่ ประดิ ษ ฐานพระพุ ท ธรู ป ทั น ใจองค ดั ง กล า ว ดั ง นั้ น รายได ส ว นหนึ่ ง จากการจัดพิมพหนังสือเลมนี้จะนําไปสมทบการกอสรางวิหารพระเจา ยี่เปงทันใจดวย ขอเจริญพร พระพนัส ทิพฺพเมธี ๑๘ ก.พ. ๕๓
๔
สารบัญ คํานํา ........... ...................................................................................... ๓ ตํานานพระธาตุ ๕ หลัง ........................................................................๖ ตํานานเมืองเชียงมวน ....................................................................... ๒๐ คติชนชาวนาน ..................................................................................๒๖ โวหารรักหรือคําอูบาวอูสาวของคนสมัยกอน .............................๒๗ คราวใชดอนไชยปาเกลือ...........................................................๓๔ ปริศนาคําทาย .........................................................................๓๖ ปริศนาที่เกี่ยวกับธรรมชาติ ............................................๓๖ ปริศนาที่เกี่ยวกับขาวของเครื่องใช ..................................๓๗ ปริศนาประเภทเลนคํา .................................................. ๓๘ คําทํานายบานเมืองอันจักมาภายหนา.......................................๓๙ อาการของคนเมาตามปริมาณเหลาที่กิน ...................................๔๑ ศัพทานุกรม .............................................................................๔๒ ปกขทืน (ปฏิทิน) ลานนา ปกดยี จุลศักราช ๑๓๗๒...............................๔๗ หนังสือปใหมลานนา จุลศักราช ๑๓๗๒ ....................................๔๙ ตารางปกขทืน (ปฏิทิน) ลานนา .................................................๕๒
๕
ตํานานพระธาตุ ๕ หลัง (พระธาตุแชแหง พระธาตุเขานอย พระธาตุวด ั สวนตาล พระธาตุวด ั พญาภู และพระธาตุวด ั กูค าํ )
ตํานานพระธาตุ ๕ หลัง นโม ตสฺสตฺถุ ภควา อันวาพระพุทธเจา เสโฐ ตนประเสริฐ เทวมนุสสฺ านํ แกคนและเทวดาทังหลาย อคฺคปุคคฺ โล อสฺสโม หาผูจ กั เสมอ บได อิธ โลกํ ในโลกอันนี้ ภควา อันวา พระพุทธเจาก็เสด็จไปรอดยังดอย ที่ ๑ อันมีทิศหนวันตกแจงใตเวียงนานที่นั้น ยามนั้นยังมีพระญาตน ๑ ชื่อวาพระญามัลละราชกินเมืองที่นั้น พระพุทธเจาขึ้นไปสูดอยที่นั้น นั่งอยูอิงเคลาไมหมากคับทอง๑ ตน ๑ ยังมี ๒ เถาผัวเมียฟนไรอยูท นี่ นั้ ก็มแี ล โส ชิณณ ฺ โก อันวาชายเถาผูเ ปนผัว ก็ออกมาจากไรทนี่ นั้ ก็ไปหันพระพุทธเจานัง่ อยูเ คลาไมหมากคับทองทีน่ นั้ มันก็ตกใจกลัวมากนักจิ่งคลั่งหก๒เขาไปในไรที่นั้น กลาวเซิ่งเมียมันวา “ภริยา เอยฺยกา ดูรายา ๒ รา เที่ยงวาจักตายชะแล ยังมียักษ ตัว ๑ อยูใ ตเคลาไมหมากคับทองนอกไรเราหัน้ นา จุง ไปเก็บเอาหมากเตา หมากแตง โพดสาลีไปจางมันเสียเทอะ” ขา๓ทัง ๒ ก็พากันเก็บเอาหมากเตา หมากแตง ขาวโพดสาลี ใสซาออกจากไรไป มันจากับเมียมันวา “ยาจุงไปกอนเทอะ จักไปตามหลัง” มันก็แบกหอกไปตามหลังเมียมันก็มีแล มันคระนิงใจ๔วาคันมัน กําแขนเมียกูจกั กิน กูจกั แทงชะแล วาอัน้ แลวมันก็แบกหอกทวยตามหลัง เมียมัน ไปลับลี๕้ อยูครุมไม๖ที่ ๑ ก็มีแล โส ภริโย อันวาเมียผูนั้น ก็เอาซาหมากเตา หมากแตง โพดสาลี ไปตั้งไวสองหนาพระพุทธเจาหั้นแล ภควา อันวาพระพุทธเจาตนทรง ๑ มะพลับ ๒ วิ่งอยางตื่นกลัวไรสติ (หก หมายถึง วิ่ง) ๓ เขาทั้งสอง ๔ คิด, คํานึง ๕ หลบซอน ๖ พุมไม
๗
พระมหากรุณาก็เอามือขวาลูบหัวไดเกสา ๒ เสน ยื่นหื้อมหาอานันทะ มหาอานันทะก็รับเอาดวยแจงผาสังฆา แลวจิ่งจาดวยยาเถาผูนั้นวา “ดูรา อุบาสิกา ของอันใดยังมีในถุงหั้นชา” ยาเถาวา “ตนปูนทองแดงยังมีในถุงขาหนี้แล” พระมหาอานันทะกลาว “ผิแลมีดั่งอั้น ทานจุงเอาตนปูนอันนั้นออกมาเทอะ” ยาเถาผูน้ันก็เอาตนปูนออกมาหื้อมหาอานันทะเถรเจาหั้นแล พระมหาอานันทเถรเจาก็รับเอาแลว เจาก็อธิษฐานธาตุเจาเขาอยูในตน ปูนทองแดงที่นั้น แลวก็ยื่นหื้อยาเถาแกผูนั้น แลวพระพุทธเจาก็พาเอา มหาอานันทะเถรเจากับทังเจาโสณเถระ แลเจาอุตตรเถระ แลพระญาอินทร แลพระญาอโศกลงจากดอยที่นั้นก็มีแล โส เอยฺยิโก สวนวาชายเถาผูนั้นก็ถามเมียมันวา “มันเอาสังหื้อชา” เมียมันวา “มันหลกเอาผมหื้อ ๒ เสนแล” ผัวมันวา “มันจักจุกนิ รา๗ชะแล บึดนึง่ ๘มันจักคืน๙มากินเราชะแล เราเอา ผมมันไปฝงไวยังเคลาไมหมากคับทองที่มันนั่งหั้นเทอะ” ขาทัง ๒ ก็เอาตนปูนใสเกสาธาตุเจาไปฝงทีพ ่ ระเจา๑๐นัง่ หัน้ แลว ก็พากันหนีไปสูบ า นขาหัน้ แล จักอยูไ รกบ็ ไ ด เหตุวา กลัวผียกั ษมากินก็มแี ล ตั้งแตวันนั้นขาทัง ๒ ก็บมาใกลไรตราบหญาแลไมขึ้นถวมของปลูกเสี้ยง ก็มีแล ๗ เราทั้งสอง ๘ สักครูหนึ่ง ๙ กลับ ๑๐ พระพุทธเจา
๘
อคฺควา อาคโตนทิยา ในกาลนั้น พระพุทธเจาก็ไปรอดแมน้ํา อัน ๑ ปรารภเพือ่ วาจักอาบหัน้ แล ตทา รฺโญ ในกาละนัน้ พระญามัลละ ธิปติ อันเปนเจาเมืองทีน่ นั้ ก็พาเอานางเทวีมาเพือ่ จักอาบน้าํ ทีน่ นั้ หัน้ แล ราชาทิสวฺ า พระญาก็หนั ยังพระเจาลงอาบน้าํ ทีน่ นั้ มันก็ตกใจกลัวมากนัก มันคระนิงใจวารอยวาพระญาอินทร พระญาพรหม เทวบุตรชะแล มันจิง่ ถามพระเจาวา “โกวโฐ กึนาโม ทานมีชื่อรือชา?๑๑” ภควา อันวาพระพุทธเจาจิ่งกลาวเซิ่งพระญาวา “อหํ นาโม ตถาคโต เรานี้ไดชื่อวาเปนตถาคต เปนพระเจา ในโลกนี้แล” พระญาไดยินวา เปนพระพุทธเจาก็มีใจยินดีจิ่งเอาผาขาววานึ่ง อันมันจักนุง อาบน้าํ นัน้ ยืน่ หือ้ พระพุทธเจาหัน้ แล พระพุทธเจาก็รบั เอาผา ผืนนัน้ ดวยพระมหากรุณา ก็นงุ อาบน้าํ แลวถายผาอันตรวาสก๑๒ ผาอาบน้าํ ผืนนั้นหื้อมหาอานันทะหั้นแล มหาอานันทะก็บิดผาขาวผืนนั้นไปตากไว ทีน่ ง่ึ หัน้ แล สวนตนพระองคเจาก็ยนื อยูใ กลเคลาไมเดือ่ เกลีย้ งตน ๑ มหา อานันทะก็เอาจัมมขัณฑ๑๓เจือ๑๔ทีใ่ กลเคลาไมหน้ั แล พระพุทธเจาก็นง่ั อยูพ น้ื เคลาไมเดือ่ เกลีย้ งตนนัน้ ในกาลนัน้ พระญากับทังนางเทวีกพ็ ากัน อาบน้าํ แลวก็ออกมาจากน้าํ ทีน่ น้ั มาหันพระเจานัง่ อยูท น่ี น้ั จํานางเทวีไป เอาอาสนา๑๕มาหือ้ พระเจานัง่ นางผูน น้ั ก็นานไปนานมาพระญาจิง่ เคียด แกนางเทวีวา แมญิงสังวามาเหลือพอชาย พระญาจิ่งหกไปเอาอาสนา มาหือ้ พระเจานัง่ ก็มแี ล พระญาก็ถามพระมหาอานันทะวา “พระเจาฉันสังชา” มหาอานนทกลาวเซิ่งพระญาวา ๑๑ ทานมีชื่อวาอยางไร ๑๒ ผาสบง, ผานุงของพระภิกษุ ๑๓ แผนหนังสําหรับใชปูลาด ๑๔ ปูลาด ๑๕ เครื่องปูรองนั่งของพระสงฆ, ที่นั่ง
๙
“ชาติวา นักบวชนีค้ นั วาฉันขาวแลว ยอมฉันแตหมากสมอสิง่ เดียวแล” พระญาก็หกไปสูปราสาทแหงตนไปเซาะหมากเสมอดิบก็บได จิ่งไดแตหมากสมอแหง ๗หนวย เอาใสไตรคํา๑๖แลวเอาหมากสมอแหง ๗ หนวยนั้นแชในไตรคําอยูหั้นแล ภควา อันวาพระพุทธเจาจิง่ จากับดวยพระมหาอานันทะเถรเจาวา “ดูราอานันทะควรลาจักไปเทอะ” มหาอานนทก็ไปกูผาอาบผืนนั้นก็กลายเปนคําไป สวนวารัศมี คํานั้นสองปาไผที่ ๑ เหลืองงามไปทั่วปาไผที่นั้นก็มีแล มหาอานันทะหัน สังกา๑๗จิง่ ขอธาตุเซิง่ พระเจาหันแลพระเจาจิง่ เอามือลูบหัว ไดเกสาเสน ๑ ยื่นหื้อมหาอานันทะจิ่งเอาบอกไมซางคํา๑๘รับเอาแล พระญาอินทา ก็ปลงอุโมงคลงลึก ๗๐ วาเอาธาตุเจาใสสะเพลาคํา๑๙ ลงไวพระญาอินทา กอเจติยะสูง ๗ ศอกเอาผาอาบคําผืนนั้นเจือในสะเพลาคําหั้น แลพระก็ เสด็จไปหันมอนนอยที่ฝายน้ําวันออก พระเจาก็ไปนั่งอยูใกลเคาไมโพธิ์ ตน ๑ ในกาละยามนั้นพระญาก็เอาหมากสมอแหงแชไตรคํามาบหัน พระเจาในที่นั้นก็ถามคนทั้งหลายวา “สูบหันพระเจาคา?” ยังมีจาหญามาผู ๑ ไหวพระญาวา “หันขามน้ําไปพุนแล” พระญาก็หกทวยพระเจาไปหันจาหญาชางผู ๑ จาหญาชางวา “หันอยูมอนนอยที่นั้นเหลืองงามนักจักวาเปนสังก็บรูแล” พระญาก็แลนไปตามกําลังแหงตนก็ไปทันพระยังเคาไมโพธิท์ นี่ นั้ พระญาก็นอมยังหมากสมอแหง ๗ ลูกกับทังไตรคํามีน้ําหนักพันปลาย ๕ บาทนั้น ทานแกพระเจาหั้นแล ๑๖ ถาดทองคํา ๑๗ สงสัย ๑๘ กระบอกไมไผซางคําซึ่งเปนไมไผที่มีสีเหลืองสลับดวยลายสีเขียว ๑๙ สําเภาทอง
๑๐
ภควา อันวาพระพุทธเจาก็ทรงพระมหากรุณารับเอายังไตรคําแล หมากสมอแหงเซิ่งพระญาก็มีแล อานนฺโท ยาจติ ภควโต ในกาละนั้นพระมหาอานันทะก็ไหว พระพุทธเจาวา “ภนฺเต ภควา ขาแดพระพุทธเจา ในฐานะนี้ ก็ควรตั้งศาสนาแหง นึ่งแล” พระเจาก็เอามือลูบหัวไดเกศาเสน ๑ ยืน่ หือ้ มหาอานันทะเถรเจา ก็รับเอาดวยบอกไมรวก พระญาอินทรก็เนรมิตกระอูบคํา๒๐ใหญ ๙ กํา รับเอาธาตุเจาแลวปลงอุโมงคลงลึก ๗๕ วา แลวพระอินทรเนรมิตปราสาท คําสูง ๗ ศอกตางเหนือสะเพลาคํา แลวนิมนตธาตุเจาเขาสูปราสาท ซอนดวยไตรคําอันพระญามัลละทานนั้น พระญาอินทรซ้ําเนรมิตฆอง คําหนวย ๑ ใหญ ๓ วาปุริสสะ ระฆังคํา ๑ หนวยใหญ ๒ วาปุริสสะ ซ้าํ เนรมิตสวาคําใหญ ๑๙ กําเพือ่ บูชาธาตุแล ถมดวยดินละอิฐคําใสยนต คํา ๑๒ แหงเพือ่ กลัวเปนสาธารณแกธาตุเจาพายหนา๒๑ พระเจาสัง่ ไววา “คันกูตถาคตนิพพานไปแลว หื้อเอาธาตุขอมือซายมาไวกับธาตุ เกศาคูนี้เทอะ พระญาเอาหมากสมอแชแหงมาทานแกกูในที่นี้ พายหนา จักไดชอื่ วา “แชแหง” ชะแล ทีท่ า นเอาผาอาบไปตากลวดกลายเปนคําไป พายหนาจักไดชื่อวา “กูคํา” ชะแล รัศมีผาอาบสองไปไปนั้นพายหนา จักไดชอื่ วา “ไผเหลือง” ชะแล เมืองทีน่ พี้ ายหนาจักไดชอื่ วา “เมืองนาน” ชะแล เหตุพระญาไดใชนางเทวีไปเอาอาสนานานไปนานมา พระญา ซ้ําเอาหมากสมอแหงมาทานแกกูตถาคตะขัดไตรคําซวยหมากสมอก็หา เมื่อแลวบไดเหตุนั้น พายหนาจะไดชื่อวา “เมืองนาน” ชะแล” คันพระเจาทํานายแลวก็เสด็จไป อนกมฺเมน ดวยอั้นลําดับที่นี้ จะกลาวไปยัง ๒ เถาอันไดรับธาตุพระเจาใสตนปูนทองแดงนั้นกอนแล ๒๐ ผอบทองคํา ๒๑ ภายหนา
๑๑
สวนขาทั้ง ๒ เถานั้นคันจุติตายก็ไดไปเกิดเปนรุกขเทวดารักษายังธาตุเจา ยังเคลาไมหมากคับทองที่นั้น คันจุติตายก็ไดไปเกิดชั้นฟาเลิศพายบน คันตายจากชัน้ ฟาก็ไดลงมาเกิดเปนรุกขเทวดาอยูร กั ษายังธาตุเจายังเคลา ไมหมากคับทองที่นั้น เวียนตายเวียนเกิดอยูไจๆ ทาวพระญาอยูเสวย เมืองนานทีน่ นั้ สืบๆ มาหลายเชนนักตราบศาสนาขอนไป๒ พัน ๓ สิบตัว ปเมืองเม็ด ศักราชไดรอย ๙ ตัวขาทั้ง ๒ อันเปนรุกขเทวดารักษาธาตุเจา อันอยูภูเขาไมหมากคับทองที่นั้น ก็เปนจุติจากภูเขาที่นั้น สวนวาเทว บุตรตนนั้นก็ไดไปเอาปฎิสนธิในทองนางเทวีแหงพระญาเจาเมืองที่นั้น ทรงคัพภะไดสิบเดือนประสูติออกมา พระญาตนเองพอก็เอาหมอโหรา ๘ คนทวายยังราชกุมารลูกตนวา “ลูกเราพระองคนี้ลุกที่ใดมาเกิดชา ยังจะมีบุญบชา สูจุงทวายดู” หมอโหราก็ทวายตามคัมภีรโหราจิ่งไหวพระญาวา “ขาแดเจาเหนือหัวสวนวาราชกุมารผูน ี้ ลุกภูเขามาเกิดจักไดสราง วัดวาพุทธศาสนาจักกานกุงรุงเรือง๒๒พายหนาชะแล” ตทาในกาลนั้นพระญาก็มีใจชมชื่นยินดีกับดวยลูกแหงตนเลือก เอาแมนมได ๖๔ คนเลีย้ งราชกุมารผูน นั้ ก็มแี ลตราบตอเทาอายุได ๑๖ ป ก็มีเตชะฤทธีอนุภาวะมากนัก พระญาตนพอก็วางเมืองหื้อลูกตนเสวย เมืองหดดวยน้าํ มุทธากองแกว กระทํานามภิเษกชือ่ วา “พระญาพู” ก็มแี ล นางราชเทวีผชู อื่ วา วิมารา โส ภริยา สวนวานางราชเทวีธดิ าอันเปน เทวบุตรอันอยูยังภูเขา คันจุตินางก็ไดไปเอาปฏิสนธิในทองเมียนาย บานสวนตาลที่นั้น มีรูปโฉมอันงามเปนดังนางเทวดาอยูชั้นฟาก็มีแล โส คามช โก สวนนายบานผูนั้นก็รักษายังลูกญิงแหงตน บหื้อ ออกบานสักเทื่อก็มีแล นางผูนั้นมีอายุได ๑๕ ป ก็ลือชาปรากฏไปรอดหู พระญาเจาเมืองที่นั้นก็ใชลูกบาวแหงตน ๔ คนไปบอกหื้อนายบานวา “เมือ่ เชาวันพรูกหือ้ นายบานหางชางทีน่ งั่ มา เราจักไปเลียบเวียง” ๒๒ เจริญรุงเรือง
๑๒
เขารับเอาอาชญาแลวก็พากันไปสูบ า นสวนตาลทีน่ นั้ เขาก็ไปหัน ลูกสาวนายบานงามนักลวดหาสติบไดลวดลืมคําอันพระญาหากใชเสีย จนค่าํ ก็มแี ล เถิงยามค่าํ มืดจวนตาจิง่ พากันคึดรอดคําพระญาใช จิง่ บอกหือ้ นายบานวาเมือ่ เชาวันพรูกหือ้ นายบานหางชางทีน่ ง่ั ๒๓มาพระญาเจาไป เลียบเวียง คันบอกแลวเขาก็พากันมาทังค่าํ ทังมืด คันมารอดพระญาแลว พระญาก็เคียดแกเขา ถอดดาบออกมาวา “จักฟนหัวเสียใชสูไปแตเชาเถิงค่ําแลวมา” เขาจิ่งไหวสาวา “ขออภัยโทษกับพระบาทเจาเหนือหัวกอน ผูขาก็ไปตามอาชญา เจาเหนือหัวแทแล เทาวาผูขาพระบาทเจาไปหันใสนางผูนั้นงามนักลวด ลืมสติเสีย ค่ําแลวจิ่งคึดรูอาชญาเจาเหนือหัวแล” พระญาก็ลวดเอาดาบวางไว ตัณหาวูไ หมคาทรวง๒๔ คึดรอดดวง ดอกไมคดิ ใครไดบห ลับบนอนแลนา คันเถิงวิภาตายะรุง แจงมาแลว นายบาน ก็หา งชางทีน่ งั่ ประดับประดาดีเอามาถวายแกพระญาก็มแี ล พระญาก็ลวด บกินขาวน้ําโภชนาเทาคึดใจหานางอยูไจๆ เปนดั่งจักไดบัดเดียวนั้นแท ดีหลี พระญาก็ขึ้นสูหัตถีกุญชรํ๒๕ตัวประเสริฐบังเกิดโสมนัสก็เสด็จไปสู เคหานายบาน ไสชางเขาชิดชานเรือน พระญาก็เรียกรองหานายบานวา “เอาน้ํามากินเทอะ” นายบานก็ฟง มโนมนา26หาเอาสลุงไดแลวใสนา้ํ ไปถวาย พระญา ก็บเอาวา “สูจุงหื้อลูกสาวทานมาเทอะ” นายบานก็หอื้ ลูกสาวมันเอาน้าํ ไปถวายพระญาหัน้ แล พระญาหัน นางผูน นั้ ก็ถกู เนือ้ เพิงใจมากนัก พระญาก็ชกั เอาแขนนางขึน้ ขีช่ า งรวมกัน ๒๓ จัดเตรียมชางพระที่นั่ง ๒๔ อัดอั้นอยูในอก ๒๕ ชางทรง ๒๖ กุลีกุจอ
๑๓
เขาสูเ วียงแกวราชธานี ตัง้ ไวหอื้ เปนนางราชเทวีทตุ โิ ยถวน ๒ ก็มวี นั นัน้ แล โส ราชา อันวาพระญาตนนัน้ ก็มใี จชมชืน่ ยินดีจดั หานางทัง้ หลายได รอยนางหือ้ เปนนางใชทง้ั นายอันเปนตนพอนัน้ หือ้ เปนใหญในบานสวนตาล ที่นั้น ประทานหื้อชาง ๕๐ มา ๕๐ ก็มีแล พระญาก็มีใจชมชื่นยินดีกับ ดวยนางมากนัก สา สวนวานางผูนั้นชื่อวานางแกวเลิศแลวปทุมมาก็มีแล สตฺตเม ทิวเส วุฏเฐ รฺโญ สา สวนวานางนาฏแกวปทุมมา ไดมาเปนนางพระญา ได ๗ วัน เทวตา รกฺขนฺติ รกฺขํ ติณฺฑิกานิ มหาชินธาตุํ หมฺมิยํ ปพฺพตํ สวนวาเทวดาอันรักษาธาตุเจาดอยที่นั้นก็มาโจทนาเซิ่งกันไปมาวา “โภ ดูราเจาทั้งหลายกาลปางนี้ ก็เปนกาลอันควรหื้อพระธาตุเจา รุงเรืองปางนี้แลกา?” จิ่งปรากฏหื้อนางหันนิมิตวา พระธาตุเจาอันมีในดอยที่ใกลเคา หมากคับทองหัน้ ปางเมือ่ เปนยาเถาแก ๒ คนผัวเมียฟนไรอยูท นี่ นั้ พระเจา เอาธาตุหื้อขาทัง ๒ ฝงไวใกลเคาหมากคับทองทังวันออกนั้น พระญา ตนนี้ก็เปนผัวนางปางนั้นแลวนางจุงสรางแปงเสียเทอะ แมนนางหากได สรางแทแล เทวดาก็มาสําแดงหือ้ นางหันนิมติ ก็มแี ล วิภาตายะ คันรุง แจง แลวนางก็ไหวพระญาตามนิมิตก็มีแล พระญาก็จากับดวยนางวา “ผิแลมีดั่งอั้น กินงายแลว ราจักไปขุดเหยี้ยมผอ๒๗ดู” คันกินขาวแลว พระญาก็พาเอานางไปสูด อยทีน่ นั้ พระญาก็ขดุ ลง ก็จวบ๒๘ใสตน ปูนทองแดงแทแล ธาตุเจาก็กระทําปาฏิหาริยร งุ เรืองสองแจง อันวาตนแลใบแหงตนหมากคับทองนัน้ เหลืองไปเปนดัง่ ติดคํานัน้ แล พระญา แลนางปทุมมาก็มีใจชมชื่นยินดีมากนัก ก็พากันสาธุการพระชินธาตุเจา ที่ติดที่เทาหาแหง๒๙ก็มีแล ในกาลยามนั้นแผนดินก็ไหวฟาก็รวนรอง สนั่นกองทั่วจักรวาล หาฝนชลธาราอันใหญก็ตกลงมามากนัก ในกาลนั้น ๒๗ เยี่ยม, ดู ๒๘ พบ ๒๙ การกราบดวยเบญจางคประดิษฐ
๑๔
นางแกวนาฏปทุมมาก็ขอพรเซิ่งพระญา “พระองคเจาขอสรางธาตุกอเปนเจดีย ขอพระบุญมีเปนเจา จุงอนุญาตหื้อขานาฏปทุมมาแดเทอะ” ในกาลนั้นพระญาก็กลาววา “แกวนาฏนอยพี่ จุงสรางตามใจเทอะนางเหย” คันกลาวแลวก็พานางแกวราชกัญญาปทักษิณธาตุเจา ๓ รอบแลว ก็พานางแกวคืนเมือง เมือรอดปราสาทนิเวสน พระญาก็มอี าชญาหือ้ เสนา อามาตย ปาวคนทั้งหลายมาพรอมเทของจาง ซื้อกอแรกสรางพระเจดีย ได ๗ วันก็แลว นางแกวปทุมมาซ้ําขอพรเซิ่งพระญาวา “ขาแด พระบาทเจาเหนือหัว ผูขาขอสรางเจดียที่บานสวนตาลที่ ขาเกิด จักนิมนตเอาธาตุเจาองค ๑ อันอยูใ นตนปูนเมตตาประดิษฐานตัง้ ไวหื้อเปนที่ไหวแลบูชา” ยามนัน้ พระญาก็อนุญาต นางก็สรางธาตุเจดียท บี่ า นสวนตาล ๗ วันก็แลว นางแกวก็ไปนิมนตธาตุเจาก็ทรงพระมหากรุณา เสด็จออกจาก ตนปูนองค ๑ กระทําปาฏิหาริยรุงเรืองในอากาศเขาไปตั้งอยูเหนือหัว นางแกวนาฏนอยปทุมมา นางก็เอาขันคํารับเอาแลวตีโกศแกวคําดีใหญ ๕ กํา รับเอาแลว นางแกวอธิษฐานขอนิมนตธาตุเจาไปสําราญเมตตา ยามนั้นพระญาอินทรก็ปลงอุโมงคลงลึก ๕๐ วา เนรมิตสะเพลาคําใสไว นางแกนไทมใี จชมชืน่ ยินดีกต็ กแตงของทานฉลองเดือน ๕ เพ็ง ฉลองธาตุ อันอยูในดอยเดือน ๘ เพ็ง ก็มีแล ตทา มหากฺญา อิสฺสโร อโหสิ ตทา ในกาลนั้นนางนาฏเทวีเมีย เคาก็รา่ํ พึงในใจวา นางเมียนอยเพิน่ มาเปนเทวีได ๗ วัน ก็ยงั ไดสรางธาตุ ทึง ๒ หลัง พั่นตนกู๓๐ไดอยูมานานแลว ก็บไดสรางสังสักอัน นางจิ่งไป ขอพรกับพระญา พระญาก็อนุญาตแลวนางก็จา งซือ้ ดินละอิด๓๑ปูนทราย ๓๐ สวนตัวเรา ๓๑ อิฐ, กอนอิฐ
๑๕
แรกกอสรางธาตุเจดีย คันวากอขึ้นไปสูงเพียงหัว ก็โปด๓๒ไดรอยทีพันที ลวดละเสียจิ่งไดชื่อวา “เขาหลวง” ตามนิมิตเมียหลวง สรางเขานอยนั้น ตามนิมิตเมียนอยสรางไดชื่อวา “เขานอย” แล รฺโญ สธึ ราชกฺเญ สํสาเร สคฺเค มนุสฺเส ปุณฺณ ปุณฺณํ สตฺตเห นคเร สวนวาพระญาแลนางนาฏนอยปทุมมา ก็ตายเกิดตายเกิดถาย กําเนิดไปมาบึดหนึ่งไปเกิดชั้นฟา บึดหนึ่งลงมาเกิดเมืองคนเปนพระญา ไจๆ จักไดเปนเจาแผนดินเมืองนานที่นี้ ๗ เทื่อ แลวจักนิพพานไปชะแล ปางเมื่อไดเปนพระญาพูนั้นมีอายุได ๙๙ ป หอ๓๓แลแมนตา ตอมาตีบานเมืองใหญนอยทังหลายชูเมืองยังแตเมืองนานเมืองเดียว พระญาก็รอ นเนือ้ เดือดใจมากนัก พระญาก็อธิษฐานหาเจาตนบุญมาโปรด ผายผูขาอยาหื้อบานเมืองผูขาเปนสาธารณแดเทอะ ตทา ในกาลนั้น มหาเถรชีมานตน ๑ ทานไดรูตํานานธาตุเจา อันตั้งอยูในเมืองนานนี้ เถรเจาก็มาไหวแชแหง เขานอย สวนตาล กูคํา พระญารูจิ่งใชไปไหวเถรเจานิมนตมาสูโรงหลวงแลวก็ไหวเถรเจาวา “ภนฺเต ขาไหวพระผูเปนเจา บัดนี้หอแลแมนตาตอมาตีเมือง ทั้งหลายคือวา เมืองเชียงแสน เชียงราย เชียงของ พยาว เมืองใหญ เมืองนอยทัง้ หลายก็มากแล ขอเจากูจงุ เปนทีพ่ งึ่ แกขา สันใดบานเมืองตูขา บแตกมางหมั้นคุง๓๔ ก็ขอพระเปนเจาโปรดผายผูแดเทอะ” เมื่อนั้นเถระเจาจิ่งกลาววา “ดูรามหาราช คันยังใครหอื้ บานเมืองมหาราชกานกุง รุง เรืองบหอื้ เปนสาธารณแกขาศึกศัตรูดั่งอั้น หื้อมหาราชไดสรางพระพุทธรูปใหญ ตน ๑ นอนขวางเมืองที่ธาตุเจาแชแหง แลวหื้อสรางธาตุแถมหลัง ๑ พาย วันออกเวียงเทอะ” พระญาพูก็กอสรางพระพุทธรูปแลเจดียตามคําเถรเจาชูประการ ๓๒ พังทลาย ๓๓ ชาชาติจีนหอ ๓๔ มั่งคง
๑๖
แลวเถรเจาวา “ภนฺเต ขาแดพระเปนเจา ผูข า ก็สรางพระพุทธรูปแลเจดียต ามคํา พระเปนเจาแลว ในเจติยะนั้นจักเอาธาตุไหนมาใสชา” เถรเจาวา “บยาก หื้อมหาราชไดแปงเทียนเงิน ๘ คูเทียนคํา ๘ คู นิมนต ธาตุเจาหากจักมาเมตตาชะแล” พระญาก็กระทําตามตามคําเถรเจาชูป ระการ ในกาลนัน้ ธาตุพระ โคตมเจาก็เสด็จมาทังอากาศ ๔ พระองคตงั้ อยูเ หนือขันคํากระทําสุวรรณ รังสีทั่วเวียงทังมวล พระญาก็มีใจชมชื่นยินดี ก็ตีกระอูบคําใหญ ๗ กําใส ธาตุเจา ก็อธิษฐานเจาก็เขาอยูในเจติยะหลังนั้นก็มีแล ที่นั้นหอแลแมนตาตอก็มาตั้งทัพอยูหลายแมน้ํานานพายวัน ออกเวียงเพื่อจักมาตีเมืองนานที่นั้น ดวยเตชะธาตุแลพระพุทธรูปลวด บังเกิดเปนลมใหญตที พั หอแลแมนตาตอ ฟาก็ผา ก็ผา มากนักเขาตกใจกลัว ก็ลวดพากันหนีทังคืนบหลอ๓๕สักคนก็มีแล พระญาพูก็ขับคนขนเครื่อง ศาสตราอาวุธ มา ลา เขาไวในเวียงได ๓ วันจิ่งเสี้ยงแล แตนั้นพายหนา บานเมืองที่นั้นลวดหาภัยยะขาศึกบไดแล พระญาพูตนมีบุญมากจักได เสวยเมืองนานที่นี้ ๗ เทื่อจักไดศาสนาในเมืองที่นี้จักกานกุงรุงเรืองพาย หนาชะแล พระตนนั้ น เกิ ด มาชาติ ใ ดมี อ ายุ ยื น ชู ช าติ แ ล พระญาตนนั้ น หุม๓๖เครือ่ งศาสตราอาวุธ เหตุใดพระญาตนนัน้ หุมเครือ่ งศาสตราวุธนัน้ ชา เหตุวา พระญาตนนัน้ ไดแบกหอกทวยเมียไป วาพระพุทธเจาเปนยักษกลัว กินเมีย พระญาตนนั้นเกิดมาชาติใดหุมชาง เหตุใดพระญาหุมชางนั้นชา เหตุวาพระญาตนนั้นไดชักแขนนางปทุมมาขึ้นบนหลังชางไดชมชื่นยินดี กับดวยนางนั้นแล ๓๕ ไมเหลือ ๓๖ ชอบ, นิยม
๑๗
เถรเจาบอกพระญาคันใครหื้อบานเมืองกานกุงรุงเรืองดั่งอั้น จุง สรางทีถ่ ปนนา ๖ แหงนีเ้ ทอะ บานเมืองหากจักกานกุง รุง เรืองมากชะแล พายหนาเมืองนานทีน่ จี้ กั เปนเมืองใหญมหานคราราชธานีกลาวยังตํานาน เมืองนานก็แลวเทานี้กอนแล เถรเจาบอกไวหื้อเปนไมใตสองโลกโลกาวา จักสราง(ที่)เขานอยหื้อบูชาเทวบุตรตนชื่อวา “รัตนรังสี” ดวย เครือ่ ง ๘ คือวา ขาวตม ขาวหนม ขาวสูนน้าํ เผิง้ น้าํ ออย หมาก พลู ลูกไม หัวมัน ๘ ชอเขียว ขาวเขียว จักสรางที่สวนตาลหื้อบูชาเทวบุตรตนชื่อวา “มธุรส” ดวย น้ําหวาน ๕ ประการ แลเชื้อแล ๕ ขาวเขียว แลดอกไมเขียว คันจักสรางทีว่ ดั พระญาพูหอื้ ไดบชู าเทวบุตรตนชือ่ วา “อภิตา” ดวยขาวน้ําโภชนะ หมาก พราว ตาล ขาวตอกดอกไม แลขาวใสน้ําออย แลหอกดาบ ฉัตรเกิ้ง เครื่อง ๘ คันจักสราง(ที่)กูคําหื้อบูชาเทวบุตรตนชื่อวา “กัมพล” บูชา ดอกไมแดง ๘ ขาวแดง ชอแดง ๘ คันจักสราง(ที่)แชแหงหื้อบูชาเทวบุตรตนชื่อวา “หลิโต” บูชา ดวย ขาวแชน้ําออย พราว ตาล ฉัตรเกิ้ง พัดคาว จาวมร เครื่อง ๘ คั น จั ก สร า งพระนอน(ที่ ) แช แ ห ง หื้ อ บู ช าเทวดาด ว ยข า วต ม ขาวหนม กลวย ออย ของหวาน เครือ่ ง ๙ หือ้ ขึน้ ทาวทัง ๔ ก็มที กุ แหงแล ปริ ปุ ณ ณะแล ว ยามเที่ ย งสะเมี ย งกิ น ข า วทอน ๓๗คํ า เดี ย วแล ที่ไหวเหย อรหนฺตา มคฺคญาณํ ทินฺนํ นิพฺพาน ปจฺจโย โหนตุเม นิจฺจํ ธุวํ ธุวํ ดวยเตชะขาไดเขียนธรรมตํานานเมืองนานผูกนี้ ขาขอเอาสุข ๓ ประการ มีนิพพานเจาเปนยอดเทอะ ดวยเตชะนาบุญอันนี้ขาเกิดมาในภาวะชาติ อันใดก็ขอหื้อสมดั่งคํามัก คําปรารถนาชูอันเทอะ ทิ ปุ อ ป อิ ขอหื้อได ๓๗ จวนจะถึงเวลาอาหารกลางวัน
๑๘
บุญทั้งบิดา มารดาชูคนเทอะ จุลศักราชได ๑๒๔๘ ตัว ปจอสนํา กัมโพชคามตามขอมพิสยั ในวัสสา ภัททะ๓๘ อุตุฤดูเดือน ๑๒ ปกาบเส็ด๓๙ เสด็จแลววัน ๕ ไทกัดเหมา แกขา แลนายเหย จะไปใครหวั รายเชนเทอะ บชะนาญ๔๐หลายแล ศรีวชิ ยั ภิกขุลิขิตแลนายเหย พิจารณาแยงนาวเอาพรองเทอะ บเคยชะนาญแล อกฺขริ แรกสรางแตงใจจงเปนที่คนประสงครับรูแล
๓๘ เดือน ๑๐ ภาคกลาง ตรงกับเดือน ๑๒ ลานนา ๓๙ ที่ถูกจะตองเปน “ปรวายเส็ด” ๔๐ ชํานาญ
๑๙
ตํานานเมืองเชียงมวน
อําเภอเชียงมวนเดิมมีฐานะเปนตําบลเชียงมวนอยูใ นเขตการปกครองของอําเภอ บานมวง จังหวัดนาน ตอมาป พ.ศ.๒๔๙๖ ไดโอนเขตการปกครองไปขึ้นอยูกับจังหวัด เชียงรายมีฐานะเปนกิ่งอําเภอขึ้นการปกครองอยูกับอําเภอปง และไดมีพระราชกฤษฎีกา ยกฐานะเปนอําเภอเชียงมวน เมื่อ ๒๙ เม.ย. พ.ศ.๒๕๑๗ ตอมาเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๒๐ อําเภอพะเยาไดรับการยกฐานะขึ้นเปนจังหวัดพะเยา ทางราชการจึงไดโอน อําเภอเชียงมวนใหอยูในเขตการปกครองของจังหวัดพะเยา
๒๐
ตํานานเมืองเชียงมวน จักกลาวตํานานชินธาตุมุนีราชถปนา๔๑อันพระมหาเถรเจาทั้ง ๔ จําพวกก็เอาจุไวในดอยกองหินเมืองเจางัว่ ไทวาเมืองเชียงมวนกอนแล ยังมีดอยลูก ๑ ชื่อวาดอยกองหิน ยังมีหวยอัน ๑ ชื่อวาหวย ทรายขาว (ซายขาว) อันมีไกลดอยกองหิน ๕๐๐ วา มีวนั ออกดอยกองหิน นั้นแล ดอยกองหินนั้นอวายหัวไปสูดอยเชียงวู หางดอยอวายไปหน ใตแล น้ําหวยอัน ๑ มีหนวันออกดอยนั้นไหลไปหนใตแล ดอยอันนั้น เมื่อพระเจายังธรมาน๔๒วันนั้นมหาเถรเจาตน ๑ ชื่ออุปนันทปุสสเถร มาอยูจําสงัดยังอันนั้น ก็หากเปนที่อยูชาวเจา๔๓แตเมื่อพระเจานิพพาน ไปได ๑๐๐ ป วันนั้นยังมีอรหันตาเจา ๔ ตนเอาธาตุเจามาอยูจําสงัด ในดอยที่นั้นได ๕๐ วัสสาก็รูอายุแหงตนจักเสี้ยง จิ่งจากับดวยพระญา เจางั่วหื้อหาแกวมาแปงโขศ๔๔ใสธาตุพระเจาไดแลว พระญาก็ขุดขุมลง.. (ตัวอักษรไมชดั )..ทีน่ นั้ เลิก๔๕ ็ ๗ วา แลวก็เอาธาตุพระพุทธเจาลงไวในขุม หั้นแลว เอาหินทรายมาถมเต็มดีแลว ถัดนั้นพระญาก็หื้อบกคันธะคือ๔๖ ๔ เหลมสูง ๔ วา ถัดนั้นพระญาก็หื้อแปงดอกบัวคําใหญเทาแมพาด๔๗ ไวปูชาธาตุพระพุทธเจาแล ถัดนั้นอรหันตาเจาก็อธิษฐานวาดังนี้ “พระพุทธเจาก็นพิ พานไป ไวศาสนา ๕๐๐๐ วัสสา พนไปสองพัน ปลายป ๑ ปาปธรรมจักเกิดมีมากนัก ทีอ่ นั นีก้ จ็ กั เปนลามก๔๘เสียมากชะแล เมื่อนั้นจุงหื้อเจาไดกระทําฤทธีปาฏิหาริยหื้อรุงเรือง หื้อเสียบาปแกคน ๔๑ จัดตั้ง, จัดสราง ๔๒ ยังดํารงชีวิตอยู ๔๓ ภิกษุ, สามเณร ๔๔ โกศ ภาชนะบรรจุอัฐิมีฝาครอบ ๔๕ ลึก ๔๖ ไมทราบความหมาย อาจจะคัดลอกผิด ถอดตามตัวเขียนลานนาไดเปน คนฺธคื ๔๗ มาตราวัดระยะเทากับนิ้วหัวแมมือพาดตามยาว ๔๘ สกปรก, ชั่วชา
๒๑
ทัง้ หลาย อยาหือ้ ทีน่ เี้ ปนลามก จุง หือ้ นักปราชญเจาตนบริสทุ ธิม์ าจําระ๔๙ ที่นี้หื้อเปนที่ไหวปูชาแกคนแลเทวดาทั้งหลายเทอะ” วาอั้น วันนั้นแลแตนั้นไปบนานเทาใดอรหันตาเจาก็นิพพานไปในดอย ที่นั้นทั้ง ๔ ตนแล พระญาก็สงสการมหาเถรเจาทั้งหลาย แลวก็เอาธาตุ อรหันตาเจาใสไหเงินลูก ๑ แลวใสอางทองลูก ๑ ไปฝงไวในปริเขตที่เผา มหาเถรเจาทั้งหลายอันมีวันออกชวยใต๕๐ที่ไวธาตุพระเจาชั่วธนู๕๑ ๑ แล เมื่อพระญาเจางั่วก็กระทําสงสการปูชาทุกเมื่อบขาดสายแล ถัดนั้นพระญามีลูก ๔ คน ผู ๑ ชื่อทิสะ ผู ๑ ชื่อ ปุสสะ ผู ๑ ชื่อ คันธะ ผู ๑ ชื่อ กัญญาแล ราชเทวีตนแมชื่อสุภาวดี กัญญาแลทาว พระญาทัง้ หลายฝูงนีก้ เ็ ทียรยอมอยูอ ปุ ฏ ฐากธาตุพระพุทธเจาชูค นแล ถัดนัน้ พระญาก็ไวขา ๔ คนหื้ออยูอุปฏฐากรักษาธาตุเจาทุกเมื่อแล พระญาก็ กดหมาย๕๒เขตแดนทีน่ นั้ ไวหอื้ เปนทีอ่ ยูช าวเจาชูท งั้ มวลแล ถัดนัน้ พระญา ก็หื้อกองหินไวเหนือปากขุมธาตุอรหันตาเจาภายหางดอยหนใตธาตุ พระพุทธเจาชัว่ ธนู ๑ แล แตนนั้ ไปจิง่ ไดชอื่ วา “ดอยกองหิน” มาแล ทีธ่ าตุ พระพุทธเจาอยูน นั้ มีทา่ํ กลางดอยอันนัน้ กองหินไวเปนดังรูปโก๕๓นัน้ แล แตนั้นไปพระญาก็กระทําบุญมวนเพราะสนุกนักทุกเมื่อ แลก็ ปรากฏถึงพระญาอินทรก็ลงมากระทําบุญปูชากับดวยพระญาทุกเมื่อ และพระญาอินทรร่ําเพิงวา ภายหนากลัวเปนสาธารณ54จิ่งไวเทวดา ตน ๑ ชื่อ สุปฏิฐิตจิ่งจักสั่งเทวดาวา “หื้ อ ท า นอยู รั ก ษาธาตุ พ ระพุ ท ธเจ า ที่ นี้ กั บ ด ว ยอารั ก ษ รั ก ษา บานเมืองที่นี้อยาหื้อลามกแกศาสนาพระเจา จุงสุขเกษมแกคนฝูงดีที่ ศรัทธามาไหวนบครบยําปูชามหาธาตุเจาที่นี้ ทานจุงหื้อสวัสดีแกผูนั้น ๔๙ ชําระ ๕๐ ตะวันออกเฉียงใต ๕๑ ความยาว ๑ ชวงคันธนู ประมาณ ๒.๕ เมตร ๕๒ กําหนดไวเพื่อใหจําได ๕๓ สิ่งที่ปรากฏเห็น ๕๔ ไมมีเจาของ
๒๒
ทุกเมื่อเทอะ” วาอั้น คันวาคฤหัสถนักบวชญิงชายทั้งหลายจักมาไหวปูชาธาตุเจาที่นี้ หื้อปูชาเทวดาตนอยูรักษาวัดดวยคันธมาลา๕๕ ขาวตมขาวหนมหวาน อันประณีต แลวหื้อวาอักขระตั้งนี้ ๓ ที ๗ ที วาดังนี้หื้อสมฤทธีแกผูมา ไหวปูชาเทอะ “สุปฏิฐติ า เทวตา สมสฺส ยสฺส สวสฺสติ เทว มนุสสานํ ปูชา สกฺการํ จตฺตนฺตุ สพฺพ สฺตรู วินา สนฺตุ สวาหาย” คันวาปูชาเทวดาแลวสวาดคาถาอันนี้ แลวไหวปชู าธาตุเจาก็ยอ ม สมฤทธีแกผูนั้นทุกเมื่อวันนั้นแล จากับดวยตํานานธาตุเจาอันตั้งอยูดอย กองหิน เชียงมวน ก็แลวเทานี้แล ตํานานพระธาตุเจาอันตัง้ อยูใ นเมืองเจางัว่ ไทวาเมืองเชียงมวนนัน้ อันมีวันตกดอยเชียงวูที่นั้นยังมีฐานะที่ ๑ ชื่อวายางมน ยางงามก็วา ดอนควางก็วา อันอยูด อนควางนัน้ เล็งดูบา นเมืองหนวันตกนัน้ กวางขวางนัก มีประมาณโยชนะ๕๖ ๑ แล ในดอนควางที่นั้นมีไมควาง๕๗ตน ๑ ใหญ ๕ ออม สูงซาววาแล ดอนนั้นลวดปรากฏวา “ดอนควาง” เพื่ออั้นแล ยางมนนัน้ ทางหนเหนือมีแมนา้ํ อัน ๑ ไหลไปหนวันตกไปหัน้ พันวา ๑ หน ใตมีหวยอัน ๑ ชื่อ “หวยบอสม” ไปหั้น ๕๐๐ วาแล เมื่อพระพุทธเจายังธรมาน วันนั้นยังมีอรหันตาเจาตน ๑ ชื่อวา อุปาธิตสั สเถร ยอมมาจําสงัดอัพโภกสิณ๕๘ในดอนควางทีน่ นั้ แล เมือ่ นัน้ พระญาตน ๑ ชื่อปญโญวราช กินเมือง (เชียง) มวนแล พระญาก็รักษา มหาเถรเจากับลูกสิกข ๕๐๐ ตนแล ฐานะที่นั้นยอมเปนที่อยูจําสงัดแหง ชาวเจาทั้งหลายเสี้ยงแล ๕๕ ดอกไมหอม ๕๖ มาตราวัดระยะทาง ประมาณ ๒๐ กิโลเมตร ๕๗ ตนเต็งรังซึ่งมียางเปนน้ํามันใชคลุกกับเศษไมทําเปนไต ๕๘ นาจะหมายถึง “อัพโภกาสิกังคธุดงค” หนึ่งใน ๑๓ ขอปฏิบัติของการถือธุดงควัตร
“อัพโภกาสิกธุดงค” คือ ถือการอยูในที่แจงเปนวัตร
๒๓
เมื่ อ พระพุ ท ธเจ า เข า สู นิ พ พานแล ว ได ร อ ยซาวป วั น นั้ น ยั ง มี มหาเถรเจา ๔ ตน ยอมเปนอรหันตาเจาชูตน ตน ๑ พุทธวิลาส ตน ๑ ธรรมวิลาส ตน ๑ สังฆวิลาส ตน ๑ ชื่อปญญาวิลาสแล มหาเถรเจาทั้ง ๔ ตน เอาธาตุแหงพระพุทธเจาอันพระญาหาแกวมาแปงโขศใสธาตุ พระเจ า ว า อั้ น พระญาก็ ห าได แ ก ว ป พ ภา ๕๙รั ต นลู ก ใหญ เ ท า หมาก นาวกาน๖๐ควรคารอยคํา มาแปงโขศใสธาตุพระพุทธเจาแลวก็ซา้ํ หนักพัน ๑ แลวใสอโุ มงคหนิ กอน ๑ ใหญเทาเม็ดขาวอึดติดตันดีแลว พระญาก็หอื้ ขุดขุมเลิก็ ๓ วา เอาอุโมงคหินอัน ๑ ใสธาตุเจาลงจุไวในขุมถมดีแลวดวย หินแลทรายเต็มแลวกระทําหื้อเปนเจติยะทรายขาวภายบนสูงวา ๑ พระญาก็หื้อเพื่อนแปงดอกบัวคํา ๔ ดอกไวปูชาชินธาตุเจา แลวหื้อแปง ศาลากวมไวหั้นแลว เมื่อนั้นอรหันตาเจาก็ตั้งคําอธิษฐานไววาดังนี้ “พระพุทธเจานิพพานไปแลวยังไวศาสนา ๕ พันปแลเมื่อศาสนา พนไปได ๒ พันปลายรอยซาวปมเี มือ่ ใด ปาปธรรมก็จกั เกิดมีมากนัก เมือ่ นัน้ เจาจุง กระทําอิทธิฤทธีปาฏิหาริยห อื้ ปรากฏแกคนทัง้ หลาย หือ้ เขาเสีย บาปเขา แลวจุง หือ้ บันดาลใจหลิง่ นอมเขาในกูแ กวศาลาแลวหือ้ บังเกิดขาว ของสัมปตติ๖๑แกเขา แลวจุง หือ้ นักปราชญเจาตนบริสทุ ธิม์ าจําระทีน่ หี้ อื้ เปนที่ไหวแลปูชาแกคนแลเทวดาทั้งหลายเทอะ” วาอั้น ถัดนั้นเจาก็อธิษฐานวาสันนี้เลา อันวาพระเจติยะเรานี้จุงหื้อ ตั้งหมั้นตอเทาเสี้ยงศาสนาอยาหื้อเปนลามกเสียเทอะ อรหันตาเจา อธิษฐานสันนี้หั้นแล ถัดนั้นพระญาปญโญวราชก็ไหวขา ๔คนหื้อรักษา ธาตุเจาหั้นแล พระญาก็กระทําบุญบขาดสายแล พระญาอินทรเจาก็ลง มาไหวปูชาทุกเมื่อแล รําเพิงไปภายหนากลัวเปนสาธารณแกเจาจิ่งไหว เทวดาตน ๑ อยูรักษาชื่อสุรัมมาปรมัยยะสุรเทวดาอยูรักษาธาตุเจาที่นี้ ตอเทาเสี้ยง ๕ พันปเทอะ ๕๙ เปนรัตนชาติอยางหนึ่งมีหลายสี ๖๐ กากะทิง-ชื่อพรรณไมยืนตนชนิดหนึ่ง ใบและผลคลายสารภี ๖๑ สมบัติ
๒๔
คันวาคฤหัสถนกั บวชญิงชายทัง้ หลายจักมาไหวแลปูชาธาตุเจาทีน่ ้ี จุงปูชาเทวดาดวยคันธมาลา คันโธทกะ๖๒อันประณีต แลจุงไหวสวาด คาถาอันนี้ก็จักสมฤทธีสวัสดีชูอันแล “มหาสุรมฺม ปรเมยฺย ปวรํ ปวเร สุรกิตฺติ สวาหะ” ดังนี้ ๓ ที ๗ ทีเทอะ ยังมีพญานาคตน ๑ ชื่อโชวนสุรภิกขา อยูทองดอยเชียงวูที่นั้นก็ยอมมารักษาพระธาตุทุกเมื่อแล พระญาอินทา แลพญานาคมาไหวใผบรแู ล ผูม ปี ระญาหากรูม สี ทั ทคันธรัสสปญญานัน้ แล จาดวยตํานานพระธาตุเจาอันตั้งอยูดอนควาง เมืองเชียงมวน ก็แลวเทานี้กอนแล เสด็ จ แล ว ยามกลองงายแก ข า แล ศั ก ราชได ๑๒๑๗ ตั ว ๖๓ ปดับเปา๖๔ เดือน ๙ หูรา๖๕ แรม ๗ ค่ํา พร่ําวาไดวัน ๑ แกขาแล ขาจัก สอชื่อไววาอินทวิชัย แตมปางเมื่อเปนอธิการวัดบานมาง๖๖ วันนั้นแล ตัวก็ไมเสมอกันแล ขออยาไปวาขารายเนอ ตัวตึ้งไมงามแลนายเหย
พระธาตุภูปอ ต.บานมาง อ.เชียงมวน จ.พะเยา ๖๒ น้ําหอม, น้ําอบน้ําปรุง ๖๓ จุลศักราช ๑๒๑๗ ตรงกับพุทธศักราช ๒๓๙๘ ๖๔ ที่ถูกนาจะเปนปดับเหมา ๖๕ ตรงกับเดือน ๘ ภาคกลาง หรือตรงกับเดือน ๑๐ ลานนา ๖๖ วัดบานมาง ต.บานมาง อ.เชียงมวน จ.พะเยา
๒๕
คติชนชาวนาน ๒๖
โวหารรักหรือคําอูบาวอูสาวของคนสมัยกอน ในสมัยกอนเมื่อเด็กหญิงมีอายุ ๑๕ ปขึ้นไป ก็จะถือวาเปนสาว แลว บิดามารดาก็จะอนุญาตให “อยูนอก” คือ จะอนุญาตใหพูดคุยกับ ชายหนุมหรือ “บาว” ไดในชวงเวลาหลังอาหารมื้อค่ํา โดยผูหญิงก็จะ ทํางานบานเล็กๆ นอยๆ ไปดวย เชน ปนฝาย ผาหมาก เย็บปกถักรอย ฯลฯ ในแตละค่ําคืนก็อาจจะมีหนุมหลายคนเขามาสนทนาดวย และเปน มารยาทวา “ถาอายเพิ่นมา อายก็จะฅาย” หมายความวา หากมีหนุม รายใหมจะเขามาสนทนากับฝายหญิงบาง หนุมที่มากอนก็จะเปดทางให และชายหนุมผูนั้นก็อาจจะไปสนทนากับสาวบานอื่นอีก ทั้งนี้เพื่อใหตาง ฝายไดมโี อกาสดูใจเพศตรงขามหลายๆ คน จะไดมนั่ ใจวาใครทีม่ อี ปุ นิสยั ไปกับตนได เมือ่ เปนดังนี้ กวาทีท่ งั้ สองฝายจะตกลงเปนคูร กั กัน หรือเปน “ตัวพอ ตัวแม” ของกันและกัน จึงตองใชเวลาเปนอันมาก เมือ่ ยังไมสนิท สนมกันเทาทีค่ วร ทัง้ สองฝายก็ยอ มมีความกระดากอายทีจ่ ะถามเรือ่ งสวน ตัวของกันและกันตรงๆ จึงมีการใช “โวหารรัก” หรือ “คําอูบาวอูสาว” ในการโตตอบกัน ตอไปนี้เปนตัวอยางคําอูบาวอูสาวที่คนเมืองนานใช เกี้ยวพาราสีกันในสมัยกอน ระหวางทางที่หนุมจะมาถึงบานสาวก็อาจจะชอยหรือจอยมา ตามทาง ตัวอยางเชน บวกอยูยังแภะควายอยูยังตม เขาวาชางสารกับแมนกไส ใครปลูกสลิดติดตนน้ําแน เขาวานกเคา หยังมาจับปลาย
หาเมียซักคนก็หลางจะได นองวาอันใดจะแพ มาหวันกอดเกี้ยวปลายใบ คําฟูอ น่ี ายเหมือนมัดไขหอ ย๖๗
๖๗ สํานวนของพอทอง แกวนา บานดูพงษ อ.สันติสุข จ.นาน
๒๗
เมื่อมาถึงบานสาว กอนที่จะขึ้นเรือน หนุมก็จะทักทายสาวและ ขออนุญาตขึ้นบนเรือน ตัวอยางเชน หนุม อี่นายนาฏนอง พี่มาแอวหา จักเคิก กอชาขึ้นไปนั่งอู (อี่นายนาฏนอง ปมาแอวหา จักเกิ้กกอจา ขึ้นไปนั่งอู) สาว
ขึ้นมาแอวเทอะ บเคิกทางใผ อยูตีนขั้นได เคิกทางหมาหนอย (ขึ้นมาแอวเตอะ บเกิ้กตางไผ อยูตีนขั้นได เกิ้กตางหมาหนอย)
หนุม คึดยากแททัก จักขึ้นไปหา กลัวพี่เพิ่นมา ปะใสไลเถ (กึ๊ดญากแตตั๊ก จักขึ้นไปหา กั๋วปเปนมา ปะใสไลเถ) สาว
ขึ้นมาเพรเทอะ บมีใผหมาย คองไหนก็ดาย หมายไหนก็จอย (ขึ้นมาเพเตอะ บมีไผหมาย กองไหนก็ดาย หมายไหนก็จอย)
หนุม คันนองวาแท พี่ก็เชื่อใจ กลัวจุขึ้นไป ย่ําใสหมอขาว (กั้นนองวาแต ปก็เจื้อใจ กั๋วจุขึ้นไป ญ่ําใสหมอเขา) สาว
ขึ้นมาเพรเทอะ นั่งเมอะอิงกัน ใผหันชางมัน ของเราหลางได (ขึ้นมาเพเตอะ นั่งเมอะอิงกั๋น ใผหันจางมัน ของเฮาหลางได)
อยางไรก็ตามในการเกีย้ วพาราสีกนั มิไดหมายความวาหนุม สาว จะตองใชโวหารเชนนี้โดยตลอดในการพูดคุยกัน สวนใหญก็ใชการพูดคุย กันธรรมดา แตอาจจะมีการแทรกโวหารรักเปนระยะๆ และบางครั้งอาจ มีคาํ ถามทดสอบปฏิภาณ ซึง่ อีกฝายหนึง่ จําเปนจะตองรูน ยั ยะของคําถาม มาบาง จึงจะตอบไดถูกตอง ยกตัวอยางเชน
๒๘
สาว
พี่มาตะกี้ พี่ปะชาง พี่เวนทางใด (เมื่ อ กี้ ต อนที่ พี่ ม า พี่ เจอช า ง ขวางทางอยู พี่เลี่ยงมาทางไหน)
ถาหนุมตอบวา
เวนทางหัว
เวนทางหาง
หมายความวา ตอนนี้ฝายชายไดเปน “ผัว” ของคนอื่นไปแลว คือมีภรรยา แลวนั่นเอง จะสังเกตจากคํารหัสที่มี เสียงคลายกัน คือ หัว - ผัว หมายความวา คูร กั ของฝายชาย “ขาง” หรือ หวง ฝายชายมาก จะสังเกตจากคํา รหัสที่มีเสียงคลายกัน คือ หาง – ขาง
ถาตอบอยาง ๒ แบบขางตนนี้ ฝายหญิงก็ยอ มจะไมสานสัมพันธ ดวย เพราะรูแ ลววาฝายชายมีภรรยาหรือมีคนรักอยูแ ลว ดังนัน้ ถาจะตอบ ใหถูกใจฝายหญิงจะตองตอบวา “เวนทางกลาง” ซึ่งอาจตีความไดวา ฝายชายยังไมมเี จาของ คือ เปนของสวนกลาง ทีพ่ รอมจะใหผทู เี่ ห็นคุณคา หรือความสําคัญเลือกไปเปนคูครองได๖๘ เมื่อไถถามกันเบื้องตนแลว หนุมก็จะขึ้นไปบนเรือนและสาวก็ เชิญใหนั่ง หนุม ขอนั่งสักหนอย อยูสักบึดใจ คันนั่งเมินไป กลัวไลออกบาน (ขอนั่งสักหนอย อยูสักบึดใจ กั้นนั่งเมินไป กั๋วไลออกบาน) สาว
นั่งเทอะ นั่งเทอะ คอยนั่งทัดตง ฟากจะไหลลงตงจะไหลขอน (นั่งเตอะ นั่งเตอะ กอยนั่งตั๊ดตง ฟากจะไหลลงตงจะไหลขอน) ๖๘ ถายทอดโดยแมอุยศรีคํา วงศชัย บานน้ําลัด ต.นาปง อ.ภูเพียง จ.นาน
๒๙
เมื่อหนุมนั่งลงแลวก็พูดตอ หนุม สลิดสะลัก ขึ้นตนตองเตย พี่ทึงใครเคย อี่นองบานหนี้ (สลิดสะลัก ขึ้นตนตองเตย ปตึ้งใคเกย อี่นองบานหนี้) สาว
สลิดสะลัก เชิญเทอะพี่เหย นองก็ใครเคย กับตัวพี่เจา (สลิดสะลัก เจิญเตอะปเหย นองก็ใคเกย กับตั๋วปเจา)
จากนั้นหนุมก็จะชื่นชมความงามของสาว หนุม งามแทงามทัก งามนักงามหนา เหมือนเทวดา ลงมาหลอเบา (งามแตงามตั๊ก งามนักงามหนา เหมือนเตวะดา ลงมาหลอเบา) สาว
คันนองงามแท ใผบหางเหิน หลางไดเทาเมิน บเคิ้นจนเถา (กั้นนองงามแต ไผบหางเหิน หลางไดเตาเมิน บเคิ้นจนเถา)
หนุม งามแทงามทัก งามนักงามหลาย พี่พอลืมลาย เจียรจาฟูอู (งามแตงามตั๊ก งามนักงามหลาย ปปอลืมลาย เจี๋ยรจาฟูอู) ผอพอขนตา คําชายพอหลู ขนคิงชายเยือกยาว (ผอปอขนตา คําจายปอหลู ขนคิงจาย เญือกญาว) คันเปนมะตาล มะลาน มะพราว ขอเกาะกิ่งกานทอวัน (กั้นเปนหมะตาล หมะลาน หมะปาว ขอเกาะกิ่งกานตอวัน) พี่จักปลูกไว บหื้อใผหัน จักกอดินคัน คดดินขึ้นปอ (ป จั ก ปลู ก ไว บ หื้ อ ไผหั น จั ก ก อ ดิ น คั น คดดิ น ขึ้ น ป อ )
๓๐
สาว
คําปากวาแท ใจในบตาม มาอูเอางามน้ําใสซวยหนา (กําปากวาแต ใจในบตาม มาอูเอางามน้ําใสซวยหนา) บถามาจุ ตัวญิงมอนขา บใชคนงามรางแคว (บถามาจุ ตั๋วญิงมอนขา บใจคนงามฮางแคว) ผอรางของนอง เหมือนอึ่งถูกแรว บสมพี่อายคนงาม (ผอฮางของนอง เหมียนอึ่งถูกแฮว บสมปอายคนงาม) ทองก็เภอ ขี้ปุมก็หลาม เซาะหาทางงาม วันค่ําบได (ตองก็เพอ ขี้ปุมก็หลาม เซาะหาตางงาม วันค่ําบได)
บาว
งามเลิศล้ํา เจาแวนเงาใส ใครตายเปนไร ไปติดแจงผา (มมุ ผา) (งามเลิศล้ํา เจาแวนเงาใส ใคตายเปนไฮ ไปติดแจงผา) ใครตายเปนหวี เปนแปงทาหนา เปนน้ํามันทาลูบนอง (ใคตา ยเปนหวี เปนแปงตาหนา เปนน้ํามันตาลูบนอง) ใครตายเปนปอ เปนบวงบาศคลอง ไปผูกเจายามนอน (ใคตายเปนปอ เปนบวงบาศกอง ไปผูกเจาญามนอน) เดิก็มามะมอย ไปไตเสื้อหมอน เดิก็มาออนซอน จักไตขบแกม (เดิก็มามะมอย ไปไตเสี้ยหมอน เดิก็มาออนซอน จักไตขบแกม)
สาวไมเชื่อวาหนุมพูดความจริง หนุมก็แกตัวพรอมกับกลาวคําสาบาน สาว
บถามาอู มาฟูหื้อหลง เหมือนกับแมวโพรง จุกินไกหนอย (บถามาอู มาฟูหื้อหลง เหมียนกับแมวโพรง จุกิ๋นไกหนอย)
สาว
พี่มีแลว ชางแอวลัวหลอ สังมาทําคอหื้อสาวตางบาน (ปมีแลว จางแอวลัวหลอ สังมาทําคอหื้อสาวตางบาน)
๓๑
หนุม มีที่ไหนจักไขบอกขา จักกําคอมาเดี่ยวนี้ มีที่ไหนจักไขบอกชี้ เอา ผูนั่งหนี้เปนแดน (มีตไี้ หนจักไขบอกขา จักก๋าํ คอมาเดีย่ วนี้ มีตไี้ หนจักไขบอกจี๊ เอา ผูนั่งหนี้เปนแดน) หนุม คันพี่จุญิง หื้อฝออกทอง ตุมพิษออกออมลําคอ (กั้นปจุญิง หื้อฝออกตอง ตุมปดออกออมลําคอ) ขี้เสี้ยนดอกหมาก ขี้ขากดอกปอ ขี้หิดขี้คอ หมออยาบได (ขี้เสี้ยนดอกหมาก ขี้ขากดอกปอ ขี้หิดขี้กอ หมออยาบได) เมื่อดึกมากแลว หนุมก็จะอําลาสาวกลับบาน โดยจะชอย (จอย) ลงเรือนของสาวไป ยกตัวอยางเชน พี่ขอหื้อนองนายมอนเพื่อนจา หื้อนองหาหมอผูดีเกงกลา เครื่องโภชนังตามหมอเรียกรอง หื้อหมอเรียงรองปดเคราะหทวยหน ก็หมดใสสีวาดีชูดาน อยูสวัสดีอยาไดเดือดรอน พอแมพี่นองอยาไดยากจน หื้อดูทางกินพิงใบนุงอยอง หื้อพลันไดแฝงนั่งแอมคูเลา ขอขมายกเนอคําแสนสี เชิญคบเพื่อนฝูงฝายนางนองเหนา
๓๒
โปรดกรุณานําขวัญสงขา เรียกขวัญชายมาสงพรอม ชิ้นดิบบตมเผาลน กับสะทวงลมหือ้ หายออกบาน ขอปนพรชัยเพิ่มนอง ฝายนองชูผูนายคน อยาไดเววนเคราะหรา ยมาตอง หื้ออยูทีฆาเที่ยงเทา ไดผัวหนุมเหนาคนมี โปรดความยินดีมาถึงรอดเจา อานใจความฟงนั่งคิด
พี่นองอาวอาวงศาญาติมิตร พี่ขอเลิกยกลานายหายสูญ
หลับมืน๖๙แควนหองทรายมูน ปางหลังวันลูนหมดหวังเทาอี๗๐ ้
เอื้อเฟอขอมูลคําอูบาวอูสาวโดย สภาวัฒนธรรมอําเภอภูเพียง
อาจารยเดช ปนแกว ประธาน
นอกจากโวหารรักทีส่ อ่ื กันดวยคําพูดแลว สิง่ ทีค่ นในสมัยกอนใชสอ่ื กันอีกทางหนึง่ ก็คอื การสือ่ สารดวยลายลักษณหรือเรียกกันวา “คราวใช” ซึ่งเปรียบไดกับเพลงยาวของภาคกลาง ตอไปจะขอเสนอคราวใชดอน ไชยปาเกลือ คราวนี้แตงโดยนายพุฒิมา ชอบธรรม คนบานดอนไชย (ใต) อ.เวียงสา ในสมัยกอนพื้นที่ของบานดอนไชยมีตนมะเกลือขึ้นอยูเปน จํานวนมาก ผูคนจึงเรียกชื่อหมูบานอีกชื่อหนึ่งวา “ดอนไชยปาเกลือ” ออกเสียงตามคนทองถิ่นวา “ดอนไจปาเกี๋ย” บางทีเรียกเพี้ยนไปวา “ดอนไจปาเจี๋ย” นายพุฒิมาเปนศิลปนตาบอด หาเลี้ยงชีพโดยการแตง คราวแตงซอ ซึง่ ในสมัยกอนหนุม หรือสาวจะใชคราวในการเกีย้ วพาราสีกนั คราวบทนีน้ ายพุฒมิ าแตงใหพอ นอยทัน คนบานขึง่ อ.เวียงสา เพือ่ นํามา สงใหกับแมอุยวันดี น้ําลัด บานน้ําลัด อ.ภูเพียง เมื่อหลายสิบปมาแลว
๖๙ บานหลับมืนพรวน ต.จอมจันทร อ.เวียงสา จ.นาน ๗๐ ถายทอดโดยพอเจริญ กันลานันท บานหลับมืนพรวนเหนือ ต.จอมจันทร อ.เวียงสา จ.นาน
๓๓
คราวใชดอนไชยปาเกลือ แสนวิตกหัวอกคลั่งคัด แสนที่อาลัยหัวใจมอนขา สองสามวันไหนบไดหันหนา หัวใจแหงชายเหมือนไมกระทุง ทั้งขาวและน้ําลางคาบลืมกิน ยอนอยูไกลกันตางคนตางบาน กนพูดเสียงขงในดงเทศทอง อยื้ออยุกก็รองบนเคามะผาง ที่ฟนบหักที่รักบได ฝูงไกก็ขันเดือดนันซะแซว ยกมือเบื้องซายขึ้นฟายน้ําตา เทาคึดถึงหาญิงงามเหมือนแตม ผอแสงดาววี ซิดซีดาวชาง เทวาอยูฟาลงมาสังหรณ นองคนสองใจหมายจักหื้อหยุง หื้อบาวบานเดียวทีผ่ ูสวกราย พี่ไปริคาแผนผาเปนผืน รักสาวคนเดียวเพิน่ เทียวลวงปลน เปนวิบากสัง ชานายนองรัก
๓๔
เหมือนเอาผายัดเสียบที่หัวใจ หัวอกชายดาแตกฟุง เปรียบเหมือนดั่งบาเมาวิน กลัวบไดญิงมาแฝงรวมขาง บไดเทียวไชปากพอง รองตามไขวขวางหนทาง มาร่ําไรครางตาดีใครไห ทุกขใจคําชายบแลว บเห็นคูแกวภาดา ยกมือเบื้องขวาขึ้นมาเทาแกม แมแสงเดือนมนฟาคาง ลับเหลี่ยมเขาแกวคันธร ควันไฟสะออนใผหอบกมุ เกิดมีภัยยาเรื่องราย มาบังเบียดขากลางคืน ยังบชมทืนหื้อเจกสํากน เอาตัวญิงไปรวมรัก มาบังเกิดใหตัวชาย
น้ําลัดปนี้ทํานาน้ําฝาย จะหวังเอานายมาไวปลูกขาว เปนวิบากสัง ชานายนองเหนา สังมาบังเอิญอยางนี้ ที่รักเหลือใจรักซั้นรักซี้ ลักกลัวบไดมามือ ขะพวงดอกไมเคยไดหยุบถือ พอยจักหลูดมือพี่ไปเสียจอย ตัวนองวันดีลักมีคูหอย ตัวบานเดียวญิงชาดนัก เขาชางผกคอยชางควางชางซัด หื้อตัวแหงขาเมือมรณ ขอใหนองรักเจากาบไกสร ขอหื้อเจามอนเก็บศพซากขา หลอนบุญและกรรมจุง นําขวางหนา เขาเกิดทําลายพี่ไท ก็บใชใผเนอนายนองไท หากเปนบาวบานเดียวนาย คูรักแหงนองจักฆาพี่ตาย ยอนนั้นและนายพี่ขอสั่งเจา ขอสั่งทางฝูงปตาสองเถา ที่ขาไดมาปากทัก ขอยอดสายใจทองใบแผนพับ อยูสุขเที่ยงหมั้นทีฆา อายุวรรณะพละสุขา เพียธิโรคาอยามาเกิดใกล ยามเคราะหเจ็บเปนรอนเย็นหนาวไข ขอใหไคลคลาจากนอง เจ็บแขงเจ็บขาคัดอกเสียบทอง อยามาถูกตองตัวญิง ในบัดเดี่ยวนี้พี่บอกความจริง หมดความคระนิงเนอนายนองหลา สัมภาษณ :
แมอุยศรีคํา วงศชัย อายุ ๗๗ ป บานน้ําลัด ต.นาปง อ.ภูเพียง จ.นาน
๓๕
ปริศนาคําทาย ปริศนาคําทาย หรือที่คนลานนาเรียกวา “เปสสนาคําทวาย” เปนอีกสิง่ หนึง่ ทีส่ ะทอนใหเห็นความคิดและความรูส กึ ของคนในสังคมได เปนอยางดี โดยมากมักสะทอนถึงความผูกพันอยูกับธรรมชาติ ขาวของ เครือ่ งใชในชีวติ ประจําวัน นอกจากนีป้ ริศนาคําทายยังชวยสงเสริมความ คิดและจินตนาการของเด็กๆ อีกดวย ปริศนาที่เกี่ยวกับธรรมชาติ ถาม
ตอบ
ตุมๆ กลางนา พญากลางดง ทงคง (ตงกง) ปลายดอย ตีฝอยลองน้ํา
(แปนตีขาว-กระดานตีขาว) (เสือ) (หวาย) (กุง)
ถาม แมงซอนตีนกับแมงซอนหําขบกันตายพื้นเคาซอน ดอก แมงซอนเขี้ยวออกมาขบ อะหยังเอาะ? (แมงซอนตี๋นกับแมงซอน หําขบกั๋นตายปนเกาซอนดอก แมงซอนเขี้ยวออกมาขบอะหยังเอาะ) ตอบ แมงซอนตีน (งู) แมงซอนหํา (ชาง) เคาซอนดอก (เคาสะหรี หรือ ตนโพธิ์) แมงซอนเขี้ยว (หนอน)
๓๖
ถาม สองตีนจก หกตีนจั้ง อยูในถ้ํา กลางหลังเปาป อะหยัง เอาะ? (สองตี๋นจก หกตี๋นจั้ง อยูในถ้ํา กางหลังเปาป หยังเอาะ) ตอบ จี้กุง (จิ้งหรีด) ปริศนาที่เกี่ยวกับขาวของเครื่องใช ถาม
ตอบ
จั๊กกะจูมีหูทางปาก จั๊กกะจากมีปากทางหลัง
(หูบุง - หูกระบุง) (เลาขาว – ยุง เพื่อปองกันคน มาขโมยขาวคนโบราณจึงทํา ประตูยุงไวขางหลัง) (เตารีด) (เกิบ, แข็บ - รองเทา)
จั๊กกะจั๋งมีดังทางทอง สองพี่นองเอาทองลากดิน
ถาม ไปใครหัวขิกๆ มาน้ําตายอยซุมซู ตอบ แห เพราะก อ นใช ง านแหยั ง แห ง ทํ า ให ส ร อ ยแหหรื อ ลูกแหที่ทําจากตะกั่วกระทบกันเสียงดังแตหลังจากใชงานแลว แหก็เปยก ประหนึ่งวามันกําลังรองไห ถาม ไปเต็มไรนา มาเทาแอ็บขาว ตอบ แห เพราะตอนใชงานคนจับปลาก็จะหวานแหจนเต็มทอง น้ํา พอใชเสร็จก็จะรวบแหเหลือนิดเดียว
๓๗
ปริศนาประเภทเลนคํา สัพพะวาปาก (วาดวยปากทั้งหลาย) ปากออนๆ ปากขาวๆ ปากเขาแทงเขาชี (จี) ปากเขาอวดเขาชม ปากอาจารย ปากคํามีฤทธิ์ ปากสัปดน ปากสับกกสับกาก ปากผะแหลงๆ ปากเผ็ดๆ ปากชางชก (จก) ปากชาๆ ปากเปนน้ําหมึก ปากบอูบจา ปากหลัวะปากหลวม ปากสะเอาะสะออน ปากถูกๆ ผิดๆ ปากมนๆ ปากจนๆ ปากเขาหยุบเขากํา ปากสอหลอ ปากชางคาบหนูไป
๓๘
คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ
ปากแมรางนางสาว (สีชมพู) ปากแมชี ปากบุงปากซาหวด (กระบุง, หวดนึ่งขาว) ปากมวนจาหวาน (ไพเราะ) ปากพิษ (มัคนายก, วาจาสิทธิ์) ปากคน ปากโกหก ปากแรง (เสียงดังกุกๆ กักๆ) ปากเจ็บ (เสียงดังแวดๆ, ปากราย) ปากครก ปากมา (โขก, เคาะลง) ปากปก (ฝด, ไมคลอง) ปากกา ปากประตูบาน (ไมพูดไมจา) ปากบอน ปากดัดจริต (จีบปากจีบคออยางสาววัยรุน ) ปากมีโทษ ปากน้ําตน (คนโท) ปากดัง (รองปาวๆ) ปากหมอ (จับ) ปากไซ (ลักษณะคลายกรวย) ปากหมาปากแมว
ปากเพียงแอว ปากจองๆ ปากอมหมาก ปากขี้เหลา ปากบึนๆ ปากบมีรู ปากหมอยๆ ปากสี่แยก ปากมียาง ปากแมญิง ปากคักๆ (กั๊กๆ) ปากเพิน่ ชางรองชางสวด ปากคนเถา ปากขี้จุขี้ดา ปากดังๆ ปากแนๆ สัมภาษณ :
คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ
ปากของ (เทากับเอว, อยูที่เอว) ปากชับ (จั๊บ) (ชํานาญ) ปากคนเถา (คนเฒา) ปากหมึน (อาการชา) ปากหมู ปากหอย ปากแขก (ปากที่มีหนวดเครารุงรัง) ปากทาง ปากปลิง ปากนัก ปากคนบเต็มบาท (พูดติดอาง) ปากทุเจา (พระสงฆ) ปากยอยปากดุ (จูจี้ขี้บน) ปากบแทลกู หลานชัง (โกหก, พูดไมมคี วามจริง) ปากบมายามแท (ถึงเวลาแลวไมกลาจริง) ปากคนฉลาด
พระครูโอภาสนันทสาร เจาอาวาสวัดสวางอรุณ เจาคณะตําบลน้ําแกน อ.ภูเพียง จ.นาน
คําทํานายบานเมืองอันจักมาภายหนา วัดจะหมอง มองจะหาง วังจะเปนหาด นักปราชญบมีคลองธรรม ลูกบฟงคําพอแม
(ครกกระเดื่องตําขาวจะถูกทอดทิ้ง) (วังน้าํ ลึกจะตืน้ เปนเนินทรายเนินกรวด)
๓๙
หนทางจะเลี่ยน (ถนนหนทางจะราบเรียบ) โรงเรียนจะดี คนบมี จะไดกินขาว (คนยากไรจะไดกินขาว) คนเถาจะใสเขี้ยวซาว (คนแกคนเฒาจะใสฟนปลอมครบเต็มทั้งปาก) แมรางนางสาวจะนุงเตี่ยว (พวกผูหญิงจะพากันนุงกางเกง) ปาเรี่ยวจะมวนเหมือนปอย (ปาชาจะเปนทีส่ นุกสนานเหมือนมีงานรืน่ เริง) พูดอยจะลาน (ภูเขาจะหัวโลน) คนขี้ครานจะไดกินดี คนบดีจะไดนอนสาด (คนไมดจี ะไดนอนเสือ่ -มีทอ่ี ยูห ลับนอนดี) ตูบกาดจะเต็มบานเต็มเมือง (รานรวง) น้ําเหมืองจะขามน้ําแม (จะมีลําเหมืองทอดขามผานแมน้ํา) งัวควายจะบแพร คนเถาคนแกจะบแอวหากัน (เที่ยว) ขาวจะหนีนา ปูปลาจะหนีน้ํา จะเอาน้ําตกเปนที่แอวซุม (ชุมนุม) คนจะชุมนุมเปนกลุมเปนกอน บานเมืองจะเดือดรอน ละออนจะสอนบฟงคํา (ไมเชื่อฟง) คนใจดําจะเต็มประเทศ มีบานจะบมีคนอยู อูจะบมีคนนอน น้ําจะบมีคนตัก ผักบมีคนเก็บ ผมยังหัวจะจางเพิ่นตัดเพิ่นเกา (คนอื่น) ขาวยังเลาจะจางเพิ่นตํา (ยุงฉาง) คนจะมีหูทิพยตาทิพย รอยคนจะเหมือนรอยงู คนจะซานบนดินหนึ่งศอก (เหาะ)
๔๐
น้ําบอจะออกบนเรือน เครือเขาจะเลือนบนอากาศ (เถาวัลยจะเลื้อยขึ้นไปบนอากาศ) จะมีคนผูใจบาปหยาบกลา คนมีศีลมีธรรมจะไปอยูปาและถ้ํา ไปถึงจวบหาพันวัสสา ไฟบรรลัยกัลปจะมางกัปป พระอริยเมตไตรยจะลงมาเกิด หนาอกกวางสามวา คิ้วตากวางสามศอก สัมภาษณ :
พระครูโอภาสนันทสาร เจาอาวาสวัดสวางอรุณ เจาคณะตําบลน้ําแกน อ.ภูเพียง จ.นาน
อาการของคนเมาตามปริมาณเหลาที่กิน สอง สาม สี่ หา หก เจ็ด แปด เกา สิบ สิบเอ็ด สัมภาษณ :
กินเขาไปหนึ่งแพง เมาลองแลงวาจา แพงหูหนาปานกาบไม แพงเซาะไซหากินอาหาร แพงจักโหงนหงานดวยคําปาก แพงบรูเพื่อนเปนใผ แพงรองพอเมียเปนเสี่ยว แพงแกผาเตี่ยวลงเรือน แพงเมาหัวเชือนเขาบาน แพงหมาแมเถาเลียปาก แพงเปนขี้รากสองคลอง แพงหามขึ้นคลองลองคลอง ยองตองๆ พออุยไชยวงศ จันทรบูรณ บานนาเคียน ต.จอมจันทร อ.เวียงสา จ.นาน
๔๑
ศัพทานุกรม
๔๒
อธิบายศัพท
ความหมาย
บวก แภะ หลางจะ แพ สลิด ตนน้ําแน หวัน นกเคา หยังมา คําฟู แอว เคิก กอชา อู เทอะ ขั้นได หมาหนอย คึดยาก ปะ ไลเถ เพร คองไหนก็ดาย จอย คัน จุ
ปลัก ปาละเมาะ คงจะ ชนะ ดอกขจร เทียบเสียงกับคําวา “จิต” ตนรางจืด พัน นกฮูก เหตุใด คําพูด เที่ยว เกะกะ หรือเปลา?, พูด เถิด บันได หมานอย คิดหนัก พบ ขับไลไสสง ที่นี่ รอแลวรอเลา ชวด ถาหาก หลอก, โกหก
อธิบายศัพท
ความหมาย
เมอะอิง หัน ของเราหลางได สักหนอย บึดใจ เมิน ทัด ไหลขอน สะลัก ใครเคย เคิ้นจนเถา ลืมลาย เจียรจา หลู ขนคิงชายเยือกยาว ทอวัน
พิง เห็น เราคงจะไดครองคูกัน สักหนอย ชั่วครู นาน ตรง ไหลไปกองรวมกัน ตนยอบาน เทียบเสียงกับคําวา “รัก” อยากคุนเคย ขึ้นคาน ลืมเรื่องราว เจรจา ลู พี่ขนลุกไปหมด รับแสงตะวัน แสดงนัยวา อยากคบกันอยาง เปดเผย ขุดดินขึน้ เปนคัน แสดงนัยวา กันชายอืน่ เห็น คําพูด ลาง รูปรางสะโอดสะอง โต พุงหลาม ความดึกเริ่มคืบคลาน ปลอกหมอน กัด แมวคราว
คดดินขึ้นปอ คําปาก ซวย รางแคว เภอ ขี้ปุมก็หลาม เดิก็มามะมอย เสื้อหมอน ขบ แมวโพรง
๔๓
๔๔
อธิบายศัพท
ความหมาย
แอวลัวหลอ ทําคอ ขี้เสี้ยน ขี้ขาก ขี้หิดขี้กอ อยา เพื่อนจา หมอ ชิ้นดิบ สะทวง ชูดาน ตอง ดูทาง พิงใบนุงอยอง แอมคูเลา คนมี เทาอี้ คลั่งคัด ดาแตกฟุง เมาวิน ลางคาบ ยอนอยูไกลกัน เทียวไช กนพูดเสียงขง อยื้ออยุก เคามะผาง คําชาย
เที่ยวเถลไถล หลอกลวง เกลื้อน กลาก หิดไทกอ รักษา, เยียวยา คูสนทนา หมอทําขวัญ เนื้อดิบ สะตวง - กระทงกาบกลวย ทุกดาน กระทบ สะดวกสบาย นุงหมประดับกาย เคียงขางคูรัก คนรวย เพียงเทานี้ คับแคน จวนจะแตกสลาย คลั่งไคลไหลหลง บางคาบ เพราะอยูหางไกลกัน ไปเยี่ยมเยียน นกกระปูดที่มีเสียงดังกังวาน นกชนิดหนึ่ง ตนมะปราง ตัวพี่ชาย
อธิบายศัพท
ความหมาย
เดือดนัน ฟายน้ําตา ดาววี ซิดซี หอบกุม หมายจักหื้อหยุง ผูสวกราย ยังบชมทืนหื้อเจกสํากน สังชา ลักกลัวบไดมามือ หยุบถือ หลูดมือ คูหอย ชาดนัก ชางผกคอยชางควางชางซัด เมือมรณ เจามอน เพียธิโรคา ไคลคลา คัดอกเสียบทอง คระนิง อะหยังเอาะ จก จั้ง ดัง แพง (ออกเสียงวา แปง) ลองแลง
สงเสียงดัง ปาดน้ําตา ดาวลูกไก ประชิด หอไมมิด หวังทําใหยุง คนอันธพาล ยังไมทันไดทุนคืนก็ถูกเจกหักหลัง อันใด เกรงจะไมไดครอบครองตัวนอง หยิบจับ หลุดมือ คนรัก มากมาย คอยดักทํารายโดยการขวางปา ถึงแกความตาย ตัวนอง โรคาพยาธิ ผานไป แนนหนาอกและเสียดทอง คํานึง อะไรเอย ขุด เกาะ, ยึดเกาะ จมูก จอก ไมเปนเรื่องเปนราว, ไมเปนชิ้นเปนอัน
๔๕
๔๖
อธิบายศัพท
ความหมาย
หูหนา โหงนหงาน เสี่ยว ผาเตี่ยว หัวเชือน ขี้รากสองคลอง (ออกเสียงวา ขี้ฮากสองกอง) ขึ้นคลองลองคลอง (ออกเสียงวา ขึน้ กองลองกอง) ยองตองๆ
อาการชาที่ใบหู กาวราวดวยคําพูด, เสียงดังโหวกเหวก เพื่อนเกลอ ผานุง, กางเกง หัวทิ่ม ทั้งอุจจาระรวงและอาเจียน ขึ้นๆ ลองๆ, ไปๆ มาๆ ตามถนน ในที่นี้หมายถึง อาการของคนเมาที่ขาหอย แกวงไปมา เมื่อมีคนหิ้วปกทั้งสองขาง
ปกขทืน (ปฏิทิน) ลานนา ปกดยี จุลศักราช ๑๓๗๒ ๔๗
หนังสือปใหมลานนา จุลศักราช ๑๓๗๒ พุทธศักราช ๒๕๕๓ - ๒๕๕๔ ปกดยี (ปขาลโทศก) หรคุณวันสังกรานตลอง หรคุณวันเนา หรคุณวันพระญาวัน มาสเกณฑ ๑๖๙๗๐ กัมมัชพล ๔๒๓ ดิถี ๒ อธิกมาส ปกติวาร
๕๐๑๑๓๔ ๕๐๑๑๓๕ ๕๐๑๑๓๖ อวมาน ๖๗๔ อุจจพล ๒๗๘๗ วาร ๖ ปกติสุรทิน
มังคลวุฒิกาลานุกาละ สังกรมสวัสติศิริศุภมัสตุ จุลศักราชได ๑๓๗๑ ตัว ฉลูฉนํากัมโพชพิสัย ในคิมหันตอุตุ วิสาขมาส ศุกรปกษ เอกรัสมี วุธวารไถง ไทภาษาวาปกัดเปา เดือน ๘ ออก ๑ ค่ํา พร่ําวาได วันพุธ ที่ ๑๔ เมษายน วันไทกาบสะงา ติถี ๐ นาทีติถี ๒๑ ตัว พระจันทร จรณยุตติโยดโสดเสด็จเขาเทียวเทียมนักขัตตฤกษตัวถวน ๒๗ ชื่อเรวดี คือวาดาวปลาตะเพียน เทวตาปรากฏในเมษเตโชราศี นาทีฤกษ ๒๒ ตัว เสีย้ งยามรุง เขาสูย ามตูดเชา ปลาย ๓ ลูกมหานาที ปลาย ๑ บาทน้าํ ปลาย ๗ พิชชา ปลาย ๒ ปราณ ๑๐ อักขระ คือวาได ๐๗ นาิกา ๒๑ นาที ๐๐ วินาที อันนี้ตามกัมพีรสุริยาตราแล ยามนั้น รวิสังกรมะ คือ พระสุริยาทรงวัตถาภรณอันดํา เครื่อง ประดับมีวรรณะสีดงั่ แกวอินทนิล สุบกระโจม ตางขระจอนหู ประดับดวย
๔๙
แกวอินทนิล เนรมิตมีมือ ๔ เบื้อง สองเบื้องลุมแปนไว มือขวาเบื้องบน ถือปน มือซายเบือ้ งบนถือน้าํ ตนแกว นัง่ พับพะแนงเชิงเหนือหลังนกยูงดํา อวายหนาลุกหนปุพพะสูหนทักขิณะ เสด็จยายจากมีนประเทศสูเมษราศี ทางโคณวิถีเขาใกลเขาพระสุเมรุราช ขณะยามนั้ น ยั ง มี น างเทวดาตนนึ่ ง ชื่ อ สุ ริ น ทะ ทรงพาหุ รั ด ทัดดอกดูม าอยูถ า ดารับเอาขุนสังกรานตไป ปนฝี้ นบสมู หี ลาย จักแพสมณ พราหมณแลทาวพระญา งัวควายมักเปนรา จักเข็ญใจ แพสตั วสตี่ นี ชะแล เหตุตามคาถาวา “พุทโฺ ธภาโน จ สงฺกรมปลฺลํ เกนปฏิคโห สมณพราหมโณ นาม มหฺทโท ภวิสเร” ดั่งนี้แล ควรสืบชาตาบานเมือง ปูชาเคราะหบาน เคราะหเมืองตามอุปเทศเทอะ ในวันสังกรานตไปนั้น จุงหื้อครูบาอาจารย เจานาย ทาวพระญา เสนาอามาตยขาราชการ ไพรราษฎรทังมวลเอากันไปสูโปกขรณี แมน้ํา เคาไม จอมปลวกใหญ หนทางไควสี่เสนสุมกัน อวายหนาไปสูทิศะหนใต อาบองคสรงเกศเกลาเกศี ปนี้สรีอยูที่ปาก หื้อเอาน้ําอบน้ําหอมเช็ดปาก เสีย กาลกิณีอยูที่ดัง จังไรอยูที่หลัง หื้อเอาน้ําเขาหมิ้นสมปอยเช็ดขวาง เสีย กลาวคาถาวา “อมสิริมา มหาสิริมา เตชะ ยสฺส ลาภา อายุ วณฺณา ภวนฺตุเม” ลอยจังไรเสียในที่ทังหลายฝูงนั้น แลวมานุงทรงเสื้อผาผืนใหม ทัดดอกดูอันเปนพระญาดอก หากจักมีอายุยืนยาวไปชะแล เดือน ๘ ขึ้น ๒ ค่ํา พร่ําวาไดวันพรหัสที่ ๑๕ เมษายน วันไท ดับเม็ด เปนวันปูติ คือวันเนา ปนเี้ นาวันนึง่ ในวันเนานัน้ บควรจักกระทํา มังคลกรรมสักอัน อยาหื้อคนทังหลายมีใจขุนมัวกวนเกลาดวยบาป เปนตนวา ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร อยาผิดของรอง เถียงกัน หื้อมีสามัคคะฉันทาพรอมเพรียงกัน ชําระหอเรือนบานชอง กวาดทรายดายหญา ขวงวัดวาอาราม ขวงไมสรี เจดียพระธาตุ ขนทราย ใสวัด จักมีผลานิสงสกวางขวางมากนักชะแล
๕๐
เดือน ๘ ขึน้ ๓ ค่าํ พร่าํ วาไดวนั ศุกร ที่ ๑๖ เมษายน วันไทรวายสัน ติถี ๒ นาทีตถิ ี ๑๙ พระจันทรจรณยุตติเขาเทียวเทียมนักขัตตฤกษตวั ถวน ๒ ชือ่ ภรณี คือดาวกอนเสา เทวตาปรากฏในวิสพั ภ (พฤษภ) ปถวีราศี นาที ฤกษ ๑๗ ตัว เสีย้ งยามแตรรุง สูย ามรุง ปลาย ๑ ลูกมหานาที ปลาย ๑ บาท น้ํา ๑๔ พิชชา๕ ปราณ ๑๐ อักขระ คือวาไดเวลา ๑๑ นาิกา ๑๘ นาที ๓๖ วินาที ยามนั้นศักราชจิ่งขึ้นแถมตัวนึ่ง จิ่งเปน ๑๓๗๒ ตัว ปกดยีแล ปนี้ไดเศษ ๔ ชื่ออาสันนวัสสะ ปนี้งัวแมรักษาป นกจอกรักษา เดือน กระตายรักษาปา นาครักษาน้ํา อินทสรเทวบุตรรักษาอากาศ ทกรักขะรักษาแผนดิน นักปราชญเปนใหญแกคนทังหลาย กระตายเปน ใหญแกสัตว ๔ ตีน เปดเปนใหญแกสัตว ๒ ตีน ไมหนามเล็บแมวเปน ใหญแกไมจิง ไมพางเปนใหญแกไมกลวง หญาคมบางเปนใหญแกหญา ทังหลาย ดอกดูเ ปนพระญาแกดอกไม โอชารสดินบมหี ลาย ขาวจักลีบนัก ลางคนจักอยากขาว ชาวเมืองจักมีพยาธิสะนอย คนเกิดมาปนี้มีสัมปตติ ชาง มา มักชางดีสตี เี ปา จักมีบญ ุ ประญา ปรากฏอายุ ๘๐ ปเปนเขตชะแล ขวัญขาวอยูไมขอย หื้อเอาไมขอยมาแปงเปนคันขาวแรก ไมหา เปนพระญาแกไมกลวงไมตันทังมวล ผีเสื้ออยูไมหมากกวิด ผีเสื้ออยูไม อันใดอยาไดฟกฟนตัดปล้ํายังไมอันนั้น คันจักกระทํามังคลกรรมเยื่องใด หื้อไดปูชาผีเสื้ออยูไมนั้นเสียกอนแลวกระทํา จักสมฤทธีชะแล นาคราชขึ้นน้ํา ๕ ตัว บันดาลหื้อฝนตก ๕๐๐ หา ชื่อ ชีวาธิปติ จัดเปนตางได ๕ ตาง แลตางกวางได ๖๐ โยชนะ ลึก ๓๐ โยชนะ จักตกใน เขาสัตตปริภัณฑ ๒๔๗ หา ตกในปาหิมพานต ๑๖๑ หา ตกในมนุสสโลก เขตเมืองคน ๙๒ หา เทวดาวางเครื่องประดับหนปุพพะ ปาปเคราะหตกหนพายัพ ปาปลัคนาตกหนอาคไนย ในทิศทัง ๓ นี้ กระทํามังคลกรรมและอาบน้ํา ดําหัวชําระตัวตน อยาอวายหนาไปตอง บดี
๕๑
อตีตวรพุทธศาสนาคลาลวงแลวได ๒๕๕๒ พระวัสสา ปลาย ๑๑ เดือน ปลาย ๑๗ วัน นับแตวันพระญาวันคืนหลัง อนาคตวรพุทธ ศาสนาบนับยัง ๒๔๔๗ พระวัสสา ปลาย ๑๒ วัน นับตั้งแตวันปากป ไปภายหนา ตามชินกาลมาลินีสังเกตเหตุเอาบวกสมกันเต็ม ๕๐๐๐ พระวัสสาบเศษ เหตุตามฎีกาชินกาลมาลินีมหาพิลางคสัมมิหรสีเจา หากวิสัชชนาแปลงสืบๆ มานั้นแล ปริโยสาน สมตฺตา ฯลฯ สุริยคติ
จันทรคติ เดือน ขึ้น (เหนือ) (ค่าํ ) วันที่
พ.ศ.
น ฟาตีแสง วันเสีย วันไท เกาวักอง (เศษ) ประจําเดือน
๗
๑
๑๖ มีนาคม
๒๕๕๓ อังคาร
ดับเปา
ยีเพียง
๑
เสาร-พฤหัสบดี
๘
๑
๑๔ เมษายน
๒๕๕๓
พุธ
กาบสะงา รับได
๐
ศุกร-พุธ
๙
๑
๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓
ศุกร
กาบใจ เกากอง
๑
อาทิตย-จันทร
๑๐
๑
๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๓
เสาร
กาใส
รับตาย
๖
อังคาร
๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓ จันทร
กาใค
เกากอง
๒
อังคาร
กาใส
๑๐/๑๐ ๑
๕๒
เดือน
วันเม็ง
๑๑
๑
๑๑ สิงหาคม
๒๕๕๓
ขว้ําได
๗
เสาร-พฤหัสบดี
๑๒
๑
๙ กันยายน ๒๕๕๓ พฤหัสบดี เตาเส็ด รองพืน
๓
ศุกร-พุธ
เกียง
๑
๙ ตุลาคม
ไสเจา
๘
อาทิตย-จันทร
ยี่
๑
๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ อาทิตย รวงเรา พืนดอก
๔
อังคาร
๓
๑
๗ ธันวาคม
๒๕๕๓ อังคาร รวงเหมา ไสเสีย
๐
เสาร-พฤหัสบดี
๔
๑
๕ มกราคม
๒๕๕๔
พุธ
กดสัน
พืนดาย
๕
ศุกร-พุธ
๕
๑
๔ กุมภาพันธ ๒๕๕๔
ศุกร
กดยี
ทายพาว
๑
อาทิตย-จันทร
๖
๑
๕ มีนาคม
๒๕๕๔
เสาร
กัดเม็ด
สุพัก
๖
อังคาร
๗
๑
๔ เมษายน
๒๕๕๔ จันทร
กัดเปา
ยีเพียง
๒
เสาร-พฤหัสบดี
๒๕๕๓
พุธ เสาร
เตาสี
e ´ Á jµ ( ¨¼Á° « ) .«. ÒÔØÒ – e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«. ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÔ »¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ
Á º° Á¤¬µ¥
´ ¦ ·
ª´ Á¤È
¹Ê /¦¤ Á º° ( Éε) (Á® º°) ¦¤ Ó Ø ¡§®´ ¸ Ô Ø «» ¦r Õ Ø Áµ¦r Ö Ø °µ · ¥r × Ø ´ ¦r Ø Ø °´ µ¦ Ù Ø ¡» Ú Ø ¡§®´ ¸ ÒÑ Ø «» ¦r ÒÒ Ø Áµ¦r ÒÓ Ø °µ · ¥r ÒÔ Ø ´ ¦r ÒÕ Ø °´ µ¦ ¹Ê Ò Ù ¡» Ó Ù ¡§®´ ¸ Ô Ù «» ¦r Õ Ù Áµ¦r Ö Ù °µ · ¥r × Ù ´ ¦r Ø Ù °´ µ¦ Ù Ù ¡» Ú Ù ¡§®´ ¸ ÒÑ Ù «» ¦r ÒÒ Ù Áµ¦r ÒÓ Ù °µ · ¥r ÒÔ Ù ´ ¦r ÒÕ Ù °´ µ¦ ÒÖ Ù ¡» ¦¤ Ò Ù ¡§®´ ¸ Ó Ù «» ¦r
ª´ Å
ª´ Á oµ °
¦oª Äo Á nµ³ oµ nµÁ¤È µ ´ ´ Á¦oµ ¦ªµ¥ÁÈ Á¤º° Ä o Á d Ä o ´ Á jµ ¥¸ ¦oª Á®¤oµ Á nµ¸ nµÄo µ ³ oµ ´ Á¤È ¦ªµ¥´ Á¤º° Á¦oµ Á d ÁÈ ´ Ä o Ä o ¦oª Á jµ Á nµ¥¸ nµÁ®¤oµ µ ¸ ´ Äo ¦ªµ¥³ oµ Á¤º° Á¤È Á d ´ ´ Á¦oµ ÁÈ
¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥
ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Ân ®¤° Á«¬
3
3
3 3 3 3
Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ñ Ö × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ
ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·Ã ¨³ª´ ®¥»
¨· µ · ¸
ª´ ´ ¦¸
ª´ ´ ¦µ r¨n° ª´ Á nµ ª´ ¡¦³ µª´ ª´ µ e/¨· µ · ¸
๕๓
e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÔ »¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ ÔÒ
๕๔
´ ¦ ·
ª´ Á¤È
¹Ê /¦¤ Á º° ( Éε) (Á® º°) ¡§¬£µ ¤ ¦¤ Ô Ù Áµ¦r Õ Ù °µ · ¥r Ö Ù ´ ¦r × Ù °´ µ¦ Ø Ù ¡» Ù Ù ¡§®´ ¸ Ú Ù «» ¦r ÒÑ Ù Áµ¦r ÒÒ Ù °µ · ¥r ÒÓ Ù ´ ¦r ÒÔ Ù °´ µ¦ ÒÕ Ù ¡» ÒÖ Ù ¡§®´ ¸ ¹Ê Ò Ú «» ¦r Ó Ú Áµ¦r Ô Ú °µ · ¥r Õ Ú ´ ¦r Ö Ú °´ µ¦ × Ú ¡» Ø Ú ¡§®´ ¸ Ù Ú «» ¦r Ú Ú Áµ¦r ÒÑ Ú °µ · ¥r ÒÒ Ú ´ ¦r ÒÓ Ú °´ µ¦ ÒÔ Ú ¡» ÒÕ Ú ¡§®´ ¸ ÒÖ Ú «» ¦r ¦¤ Ò Ú Áµ¦r Ó Ú °µ · ¥r Ô Ú ´ ¦r
ª´ Å
Á º°
¦oª Ä o Á nµÄ o nµÁ jµ µ ¥¸ ´ Á®¤oµ ¦ªµ¥¸ Á¤º° Äo Á d ³ oµ ´ Á¤È ´ ¦oª Á¦oµ Á nµÁÈ nµÄ o µ Ä o ´ Á jµ ¦ªµ¥¥¸ Á¤º° Á®¤oµ Á d ¸ ´ Äo ³ oµ ¦oª Á¤È Á nµ´ nµÁ¦oµ µ ÁÈ ´ Ä o ¦ªµ¥Ä o Á¤º° Á jµ Á d ¥¸ ´ Á®¤oµ ¸ ¦oª Äo
ª´ ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Ân Á«¬ Á oµ ° ®¤° oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o
3
3
3
3 3
Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö
ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·Ã ¨³ª´ ®¥»
£´ ¦µ · ¸/ª´ ´ ¦¤ ¨
Å ¥µ · ¸ ª´ ¡º ¤ ¨/ » µ · ¸ ´ µ · ¸/°¤¦·Ã
¨· µ · ¸
ª´ ª·µ ¼ µ
°¤¦·Ã
e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÔ »¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ
Á º° ¤· » µ¥
´ ¦ ·
ª´ Á¤È
¹Ê /¦¤ Á º° ( Éε) (Á® º°) ¦¤ Õ Ú °´ µ¦ Ö Ú ¡» × Ú ¡§®´ ¸ Ø Ú «» ¦r Ù Ú Áµ¦r Ú Ú °µ · ¥r ÒÑ Ú ´ ¦r ÒÒ Ú °´ µ¦ ÒÓ Ú ¡» ÒÔ Ú ¡§®´ ¸ ÒÕ Ú «» ¦r ¹Ê Ò ÒÑ Áµ¦r Ó ÒÑ °µ · ¥r Ô ÒÑ ´ ¦r Õ ÒÑ °´ µ¦ Ö ÒÑ ¡» × ÒÑ ¡§®´ ¸ Ø ÒÑ «» ¦r Ù ÒÑ Áµ¦r Ú ÒÑ °µ · ¥r ÒÑ ÒÑ ´ ¦r ÒÒ ÒÑ °´ µ¦ ÒÓ ÒÑ ¡» ÒÔ ÒÑ ¡§®´ ¸ ÒÕ ÒÑ «» ¦r ÒÖ ÒÑ Áµ¦r ¦¤ Ò ÒÑ °µ · ¥r Ó ÒÑ ´ ¦r Ô ÒÑ °´ µ¦ Õ ÒÑ ¡»
ª´ Å
ª´ Á oµ °
Á nµ³ oµ nµÁ¤È µ ´ ´ Á¦oµ ¦ªµ¥ÁÈ Á¤º° Ä o Á d Ä o ´ Á jµ ¥¸ ¦oª Á®¤oµ Á nµ¸ nµÄo µ ³ oµ ´ Á¤È ¦ªµ¥´ Á¤º° Á¦oµ Á d ÁÈ ´ Ä o Ä o ¦oª Á jµ Á nµ¥¸ nµÁ®¤oµ µ ¸ ´ Äo ¦ªµ¥³ oµ Á¤º° Á¤È Á d ´ ´ Á¦oµ ÁÈ ¦oª Ä o
¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ °
ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Ân ®¤° Á«¬
3
3
3 3 3 3
3
Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò ×
ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·Ã ¨³ª´ ®¥»
°¤¦·Ã
Å ¥µ · ¸
๕๕
e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÔ »¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ ÔÒ
๕๖
Á º° ¦ µ ¤
´ ¦ · ¹Ê /¦¤ ( Éε) ¦¤ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ ¹Ê Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Â¦¤ Ò Ó Ô Õ Ö
ª´ Á¤È
ª´ Å
¡§®´ ¸ «» ¦r Áµ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´ ¸ «» ¦r Áµ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´ ¸ «» ¦r Áµ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´ ¸ «» ¦r Áµ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´ ¸ «» ¦r Áµ¦r
Á nµÄ o nµÁ jµ µ ¥¸ ´ Á®¤oµ ¦ªµ¥¸ Á¤º° Äo Á d ³ oµ ´ Á¤È ´ ¦oª Á¦oµ Á nµÁÈ nµÄ o µ Ä o ´ Á jµ ¦ªµ¥¥¸ Á¤º° Á®¤oµ Á d ¸ ´ Äo ³ oµ ¦oª Á¤È Á nµ´ nµÁ¦oµ µ ÁÈ ´ Ä o ¦ªµ¥Ä o Á¤º° Á jµ Á d ¥¸ ´ Á®¤oµ ¸ ¦oª Äo Á nµ³ oµ
Á º°
ª´ ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Ân Á«¬ Á oµ ° ®¤°
(Á® º°)
ÒÑ ÒÑ ÒÑ ÒÑ ÒÑ ÒÑ ÒÑ ÒÑ ÒÑ ÒÑ ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ
¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo
3
3
3 3
3
3
3 3 3 3
3
Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø
ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·Ã ¨³ª´ ®¥» » µ · ¸ ´ µ · ¸ °¤¦·Ã
¨· µ · ¸
°¤¦·Ã
°¤¦·Ã
ª´ °µµ¯® ¼ µ ª´ Á oµ¡¦¦¬µ £´ ¦µ · ¸/°¤¦·Ã
°¤¦·Ã
e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÔ »¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ ÔÒ
Á º° · ®µ ¤
´ ¦ · ¹Ê /¦¤ ( Éε) ¦¤ × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ ¹Ê Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Â¦¤ Ò Ó Ô Õ Ö ×
ª´ Á¤È
ª´ Å
Á º°
ª´ Á oµ °
ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Ân ®¤° Á«¬
(Á® º°) ÒÑ/ÒÑ °µ · ¥r
nµÁ¤È ÒÑ/ÒÑ ´ ¦r µ ´ ÒÑ/ÒÑ °´ µ¦ ´ Á¦oµ ÒÑ/ÒÑ ¡» ¦ªµ¥ÁÈ ÒÑ/ÒÑ ¡§®´ ¸ Á¤º° Ä o ÒÑ/ÒÑ «» ¦r Á d Ä o ÒÑ/ÒÑ Áµ¦r ´ Á jµ ÒÑ/ÒÑ °µ · ¥r ¥¸ ÒÑ/ÒÑ ´ ¦r ¦oª Á®¤oµ ÒÑ/ÒÑ °´ µ¦ Á nµ¸ ÒÒ ¡» nµÄo ÒÒ ¡§®´ ¸ µ ³ oµ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ
«» ¦r Áµ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´ ¸ «» ¦r Áµ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´ ¸ «» ¦r Áµ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦
´ Á¤È ¦ªµ¥´ Á¤º° Á¦oµ Á d ÁÈ ´ Ä o Ä o ¦oª Á jµ Á nµ¥¸ nµÁ®¤oµ µ ¸ ´ Äo ¦ªµ¥³ oµ Á¤º° Á¤È Á d ´ ´ Á¦oµ ÁÈ ¦oª Ä o Á nµÄ o nµÁ jµ
ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥
3
3
3 3
Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù
ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·Ã ¨³ª´ ®¥»
Å ¥µ · ¸ » µ · ¸ ´ µ · ¸
ª´ Á ¨·¤¡¦³ ¤¡¦¦¬µ ¤Á È ¡¦³ µ Á oµ²
¨· µ · ¸
๕๗
e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÔ »¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ
๕๘
Á º° ´ ¥µ¥
´ ¦ ·
ª´ Á¤È
¹Ê /¦¤ Á º° ( Éε) (Á® º°) ¦¤ Ø ÒÒ ¡» Ù ÒÒ ¡§®´ ¸ Ú ÒÒ «» ¦r ÒÑ ÒÒ Áµ¦r ÒÒ ÒÒ °µ · ¥r ÒÓ ÒÒ ´ ¦r ÒÔ ÒÒ °´ µ¦ ÒÕ ÒÒ ¡» ¹Ê Ò ÒÓ ¡§®´ ¸ Ó ÒÓ «» ¦r Ô ÒÓ Áµ¦r Õ ÒÓ °µ · ¥r Ö ÒÓ ´ ¦r × ÒÓ °´ µ¦ Ø ÒÓ ¡» Ù ÒÓ ¡§®´ ¸ Ú ÒÓ «» ¦r ÒÑ ÒÓ Áµ¦r ÒÒ ÒÓ °µ · ¥r ÒÓ ÒÓ ´ ¦r ÒÔ ÒÓ °´ µ¦ ÒÕ ÒÓ ¡» ÒÖ ÒÓ ¡§®´ ¸ ¦¤ Ò ÒÓ «» ¦r Ó ÒÓ Áµ¦r Ô ÒÓ °µ · ¥r Õ ÒÓ ´ ¦r Ö ÒÓ °´ µ¦ × ÒÓ ¡» Ø ÒÓ ¡§®´ ¸
ª´ Å
µ ¥¸ ´ Á®¤oµ ¦ªµ¥¸ Á¤º° Äo Á d ³ oµ ´ Á¤È ´ ¦oª Á¦oµ Á nµÁÈ nµÄ o µ Ä o ´ Á jµ ¦ªµ¥¥¸ Á¤º° Á®¤oµ Á d ¸ ´ Äo ³ oµ ¦oª Á¤È Á nµ´ nµÁ¦oµ µ ÁÈ ´ Ä o ¦ªµ¥Ä o Á¤º° Á jµ Á d ¥¸ ´ Á®¤oµ ¸ ¦oª Äo Á nµ³ oµ nµÁ¤È
ª´ ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Ân Á«¬ Á oµ ° ®¤° »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª
3
3
3 3 3 3
3
3
Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ
ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·Ã ¨³ª´ ®¥» £´ ¦µ · ¸
Å ¥µ · ¸
£´ ¦µ · ¸
Å ¥µ · ¸ » µ · ¸ ´ µ · ¸/°¤¦·Ã
e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÔ »¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ ÔÒ
Á º° »¨µ ¤
´ ¦ · ¹Ê /¦¤ ( Éε) ¦¤ Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ ¹Ê Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Â¦¤ Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù
ª´ Á¤È
ª´ Å
ª´ Á oµ °
ÒÓ ÒÓ ÒÓ ÒÓ ÒÓ ÒÓ ÒÓ ÒÓ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥
«» ¦r Áµ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´ ¸ «» ¦r Áµ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´ ¸ «» ¦r Áµ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´ ¸ «» ¦r Áµ¦r
µ ´ ´ Á¦oµ ¦ªµ¥ÁÈ Á¤º° Ä o Á d Ä o ´ Á jµ ¥¸ ¦oª Á®¤oµ Á nµ¸ nµÄo µ ³ oµ ´ Á¤È ¦ªµ¥´ Á¤º° Á¦oµ Á d ÁÈ ´ Ä o Ä o ¦oª Á jµ Á nµ¥¸ nµÁ®¤oµ µ ¸ ´ Äo ¦ªµ¥³ oµ
¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª
Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥
°µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´ ¸ «» ¦r Áµ¦r °µ · ¥r
Á¤º° Á¤È Á d ´ ´ Á¦oµ ÁÈ ¦oª Ä o Á nµÄ o nµÁ jµ µ ¥¸
¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥
Á º°
ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Ân ®¤° Á«¬
(Á® º°)
3
3 3
Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò
ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·Ã ¨³ª´ ®¥» ¨· µ · ¸
°¤¦·Ã
£´ ¦µ · ¸
ª´ d¥¤®µ¦µ / ª´ ªµ¦ µ°° ¡¦¦¬µ
Á ¥ª´ d¥¤®µ¦µ
Å ¥µ · ¸ » µ · ¸ ´ µ · ¸ °¤¦·Ã
๕๙
e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÔ »¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ
๖๐
Á º°
´ ¦ ·
¹Ê /¦¤ ( Éε) ¡§« · µ¥ ¦¤ Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ¹Ê Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Â¦¤ Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú
ª´ Á¤È
ª´ Å
ª´ Á oµ °
´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´ ¸ «» ¦r Áµ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´ ¸ «» ¦r Áµ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´ ¸ «» ¦r Áµ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´ ¸ «» ¦r Áµ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦
´ Á®¤oµ ¦ªµ¥¸ Á¤º° Äo Á d ³ oµ ´ Á¤È ´ ¦oª Á¦oµ Á nµÁÈ nµÄ o µ Ä o ´ Á jµ ¦ªµ¥¥¸ Á¤º° Á®¤oµ Á d ¸ ´ Äo ³ oµ ¦oª Á¤È Á nµ´ nµÁ¦oµ µ ÁÈ ´ Ä o ¦ªµ¥Ä o Á¤º° Á jµ Á d ¥¸ ´ Á®¤oµ ¸ ¦oª Äo Á nµ³ oµ nµÁ¤È µ ´
ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º
Á º°
ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Ân ®¤° Á«¬
(Á® º°)
Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É
3
3
3 3 3 3
3
3
× Ó Ø Ô Ù Õ Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó
ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·Ã ¨³ª´ ®¥»
¨· µ · ¸
Å ¥µ · ¸ » µ · ¸ ´ µ · ¸ °¤¦·Ã
¨· µ · ¸ ª´ ¨°¥ ¦³
°¤¦·Ã
°¤¦·Ã
e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÔ »¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ ÔÒ
Á º° ´ ªµ ¤
´ ¦ ·
ª´ Á¤È
ª´ Å
¹Ê /¦¤ Á º° ( Éε) (Á® º°) ¦¤ ÒÑ ¥¸É ¡» ÒÒ ¥¸É ¡§®´ ¸ ÒÓ ¥¸É «» ¦r ÒÔ ¥¸É Áµ¦r ÒÕ ¥¸É °µ · ¥r
ª´ Á oµ °
´ Á¦oµ ¦ªµ¥ÁÈ Á¤º° Ä o Á d Ä o ´ Á jµ
¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥
ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Ân ®¤° Á«¬ 3
3 3
Ø Ô Ù Õ Ñ
ÒÖ
¥¸É
´ ¦r
¥¸
ªÊεŠo
Ö
¹Ê Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Â¦¤ Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ
Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô
°´ µ¦ ¡» ¡§®´ ¸ «» ¦r Áµ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´ ¸ «» ¦r Áµ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´ ¸ «» ¦r Áµ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´ ¸ «» ¦r
¦oª Á®¤oµ Á nµ¸ nµÄo µ ³ oµ ´ Á¤È ¦ªµ¥´ Á¤º° Á¦oµ Á d ÁÈ ´ Ä o Ä o ¦oª Á jµ Á nµ¥¸ nµÁ®¤oµ µ ¸ ´ Äo ¦ªµ¥³ oµ Á¤º° Á¤È Á d ´ ´ Á¦oµ ÁÈ ¦oª Ä o Á nµÄ o nµÁ jµ µ ¥¸ ´ Á®¤oµ
ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥
Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô
ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·Ã ¨³ª´ ®¥»
ª´ Á ¨·¤¡¦³ ¤¡¦¦¬µ ¡¦³ µ ¤Á È ¡¦³Á oµ°¥¼n®´ª Á ¥ª´ Á ¨·¤¡¦³ ¤¡¦¦¬µ ¡¦³ µ ¤Á È ¡¦³Á oµ°¥¼n®´ª
£´ ¦µ · ¸/°¤¦·Ã
ª´ ¦´ ¦¦¤ ¼
Å ¥µ · ¸ » µ · ¸ ´ µ · ¸
¨· µ · ¸
ª´ ·Ê e
๖๑
e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÕ »¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ ÔÒ
๖๒
Á º° ¤ ¦µ ¤
´ ¦ ·
ª´ Á¤È
¹Ê /¦¤ Á º° ( Éε) (Á® º°) ¦¤ ÒÒ Ô Áµ¦r ÒÓ Ô °µ · ¥r ÒÔ Ô ´ ¦r ÒÕ Ô °´ µ¦ ¹Ê Ò Õ ¡» Ó Õ ¡§®´ ¸ Ô Õ «» ¦r Õ Õ Áµ¦r Ö Õ °µ · ¥r × Õ ´ ¦r Ø Õ °´ µ¦ Ù Õ ¡» Ú Õ ¡§®´ ¸ ÒÑ Õ «» ¦r ÒÒ Õ Áµ¦r ÒÓ Õ °µ · ¥r ÒÔ Õ ´ ¦r ÒÕ Õ °´ µ¦ ÒÖ Õ ¡» ¦¤ Ò Õ ¡§®´ ¸ Ó Õ «» ¦r Ô Õ Áµ¦r Õ Õ °µ · ¥r Ö Õ ´ ¦r × Õ °´ µ¦ Ø Õ ¡» Ù Õ ¡§®´ ¸ Ú Õ «» ¦r ÒÑ Õ Áµ¦r ÒÒ Õ °µ · ¥r ÒÓ Õ ´ ¦r
ª´ Å
ª´ Á oµ °
¦ªµ¥¸ Á¤º° Äo Á d ³ oµ ´ Á¤È ´ ¦oª Á¦oµ Á nµÁÈ nµÄ o µ Ä o ´ Á jµ ¦ªµ¥¥¸ Á¤º° Á®¤oµ Á d ¸ ´ Äo ³ oµ ¦oª Á¤È Á nµ´ nµÁ¦oµ µ ÁÈ ´ Ä o ¦ªµ¥Ä o Á¤º° Á jµ Á d ¥¸ ´ Á®¤oµ ¸ ¦oª Äo Á nµ³ oµ nµÁ¤È µ ´ ´ Á¦oµ ¦ªµ¥ÁÈ
oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o
ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Ân ®¤° Á«¬
3
3
3 3 3 3
3
3
3
Ù Õ Ñ Ö Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ
ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·Ã ¨³ª´ ®¥» ª´ ¹Ê eÄ®¤n
¨· µ · ¸
e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÕ »¦·¥ · ª´ ¸É
Á º°
Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ
»¤£µ¡´ r
´ ¦ ·
ª´ Á¤È
¹Ê /¦¤ Á º° ( Éε) (Á® º°) ¦¤ ÒÔ Õ °´ µ¦ ÒÕ Õ ¡» ÒÖ Õ ¡§®´ ¸ ¹Ê Ò Ö «» ¦r Ó Ö Áµ¦r Ô Ö °µ · ¥r Õ Ö ´ ¦r Ö Ö °´ µ¦ × Ö ¡» Ø Ö ¡§®´ ¸ Ù Ö «» ¦r Ú Ö Áµ¦r ÒÑ Ö °µ · ¥r ÒÒ Ö ´ ¦r ÒÓ Ö °´ µ¦ ÒÔ Ö ¡» ÒÕ Ö ¡§®´ ¸ ÒÖ Ö «» ¦r ¦¤ Ò Ö Áµ¦r Ó Ö °µ · ¥r Ô Ö ´ ¦r Õ Ö °´ µ¦ Ö Ö ¡» × Ö ¡§®´ ¸ Ø Ö «» ¦r Ù Ö Áµ¦r Ú Ö °µ · ¥r ÒÑ Ö ´ ¦r
ª´ Å
ª´ Á oµ °
Á¤º° Ä o Á d Ä o ´ Á jµ ¥¸ ¦oª Á®¤oµ Á nµ¸ nµÄo µ ³ oµ ´ Á¤È ¦ªµ¥´ Á¤º° Á¦oµ Á d ÁÈ ´ Ä o Ä o ¦oª Á jµ Á nµ¥¸ nµÁ®¤oµ µ ¸ ´ Äo ¦ªµ¥³ oµ Á¤º° Á¤È Á d ´ ´ Á¦oµ ÁÈ ¦oª Ä o Á nµÄ o nµÁ jµ µ ¥¸
¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª
ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Ân ®¤° Á«¬ 3 3
Ö Ò × Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ
ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·Ã ¨³ª´ ®¥» Å ¥µ · ¸ » µ · ¸ ´ µ · ¸/°¤¦·Ã
¨· µ · ¸
ª´ ¤µ ¼ µ
°¤¦·Ã
๖๓
e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÕ »¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ ÔÒ
๖๔
Á º° ¤¸ µ ¤
´ ¦ ·
ª´ Á¤È
¹Ê /¦¤ Á º° ( Éε) (Á® º°) ¦¤ ÒÒ Ö °´ µ¦ ÒÓ Ö ¡» ÒÔ Ö ¡§®´ ¸ ÒÕ Ö «» ¦r ¹Ê Ò × Áµ¦r Ó × °µ · ¥r Ô × ´ ¦r Õ × °´ µ¦ Ö × ¡» × × ¡§®´ ¸ Ø × «» ¦r Ù × Áµ¦r Ú × °µ · ¥r ÒÑ × ´ ¦r ÒÒ × °´ µ¦ ÒÓ × ¡» ÒÔ × ¡§®´ ¸ ÒÕ × «» ¦r ÒÖ × Áµ¦r ¦¤ Ò × °µ · ¥r Ó × ´ ¦r Ô × °´ µ¦ Õ × ¡» Ö × ¡§®´ ¸ × × «» ¦r Ø × Áµ¦r Ù × °µ · ¥r Ú × ´ ¦r ÒÑ × °´ µ¦ ÒÒ × ¡» ÒÓ × ¡§®´ ¸
ª´ Å
´ Á®¤oµ ¦ªµ¥¸ Á¤º° Äo Á d ³ oµ ´ Á¤È ´ ¦oª Á¦oµ Á nµÁÈ nµÄ o µ Ä o ´ Á jµ ¦ªµ¥¥¸ Á¤º° Á®¤oµ Á d ¸ ´ Äo ³ oµ ¦oª Á¤È Á nµ´ nµÁ¦oµ µ ÁÈ ´ Ä o ¦ªµ¥Ä o Á¤º° Á jµ Á d ¥¸ ´ Á®¤oµ ¸ ¦oª Äo Á nµ³ oµ nµÁ¤È µ ´ ´ Á¦oµ
ª´ ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Ân Á«¬ Á oµ ° ®¤° ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo ÅÁ oµ ÅÁ¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ »¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥
3
3
3 3 3 3
3
3
3
Ñ Ö Ò × × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò
ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·Ã ¨³ª´ ®¥» £´ ¦µ · ¸
°¤¦·Ã
£´ ¦µ · ¸
Å ¥µ · ¸ » µ · ¸ ´ µ · ¸ °¤¦·Ã
e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ – e¦oª Á®¤oµ (Á µ³ ¦¸« ) .«. ÒÔØÔ ¡.«. ÓÖÖÕ »¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ
Á º° Á¤¬µ¥
´ ¦ ·
ª´ Á¤È
ª´ Å
ª´ Á oµ °
¹Ê /¦¤ Á º° ( Éε) (Á® º°) ¦¤ ÒÔ × «» ¦r ¦ªµ¥ÁÈ ªÊεŠo ÒÕ × Áµ¦r Á¤º° Ä o ÅÁ oµ ÒÖ × °µ · ¥r Á d Ä o ÅÁ¸¥ ¹Ê Ò Ø ´ ¦r ´ Á jµ ¥¸Á¡¸¥ Ó Ø °´ µ¦ ¥¸ Á oµ ° Ô Ø ¡» ¦oª Á®¤oµ ¦° ¡º Õ Ø ¡§®´ ¸ Á nµ¸ ¡º ° Ö Ø «» ¦r nµÄo ¡º µ¥ × Ø Áµ¦r µ ³ oµ »¡´ Ø Ø °µ · ¥r ´ Á¤È ¦´ Å o Ù Ø ´ ¦r ¦ªµ¥´ ¦´ µ¥ Ú Ø °´ µ¦ Á¤º° Á¦oµ ªÊεŠo ÒÑ Ø ¡» Á d ÁÈ ÅÁ oµ ÒÒ Ø ¡§®´ ¸ ´ Ä o ÅÁ¸¥ ÒÓ Ø «» ¦r Ä o oµ¥¡oµª ÒÔ Ø Áµ¦r ¦oª Á jµ ¥¸Á¡¸¥ ÒÕ Ø °µ · ¥r Á nµ¥¸ Á oµ ° ÒÖ Ø ´ ¦r nµÁ®¤oµ ¦° ¡º ¦¤ Ò Ø °´ µ¦ µ ¸ ¡º ° Ó Ø ¡» ´ Äo ¡º µ¥ Ô Ø ¡§®´ ¸ ¦ªµ¥³ oµ »¡´ Õ Ø «» ¦r Á¤º° Á¤È ¦´ Å o Ö Ø Áµ¦r Á d ´ ¦´ µ¥ × Ø °µ · ¥r ´ Á¦oµ ªÊεŠo Ø Ø ´ ¦r ÁÈ ÅÁ oµ Ù Ø °´ µ¦ ¦oª Ä o ÅÁ¸¥ Ú Ø ¡» Á nµÄ o oµ¥¡oµª ÒÑ Ø ¡§®´ ¸ nµÁ jµ ¥¸Á¡¸¥ ÒÒ Ø «» ¦r µ ¥¸ Á oµ ° ÒÓ Ø Áµ¦r ´ Á®¤oµ ¦° ¡º
ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Ân ®¤° Á«¬ 3 3
× Ó Ø Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó
ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·Ã ¨³ª´ ®¥» ¨· µ · ¸
ª´ ´ ¦¸ °¤¦·Ã
°¤¦·Ã ª´ ´ ¦µ r¨n° ª´ Á nµ ª´ ¡¦³ µª´ ª´ µ e
£´ ¦µ · ¸/°¤¦·Ã
°¤¦·Ã
Å ¥µ · ¸ » µ · ¸ ´ µ · ¸
๖๕
คําอธิบายการใชปกขทืน (ปฏิทิน) ลานนา ๑. วันเสียประจําเดือน ชาวลานนาเชื่อวาในแตละเดือนจะมีวันเสีย ประจําเดือน หากวันใดตรงกับวันเสียประจําเดือน จะไมประกอบพิธีการ มงคลใดๆ ความเชือ่ เกีย่ วกับวันเสียประจําเดือนนี้ บางทองถิน่ จะใหความ สําคัญเปนพิเศษ แตอยางไรก็ตาม การหาวันประกอบพิธกี ารอันเปนมงคล ก็ยังมีการหาวันหรือฤกษยามอื่นประกอบดวย เกียง ยี่ สาม สี่
หา หก เจ็ด แปด
เกา สิบ สิบเอ็ด สิบสอง
เสีย เสีย เสีย เสีย
อาทิตย กับ จันทร อังคารวันเดียว เสาร กับ ผัด/พรหัส (พฤหัสบดี) ศุกร กับ พุธ
๒. วันไทและคําทํานายวันไท ความเชื่อเกี่ยวกับวันหนไทมีดังนี้ วันกาบใจ
ไมควรแตงงาน แตการขึ้นบานใหม บรรพชาอุปสมบท และพิธีมงคลอื่นๆ ดี วันดับเปา ไมควรออกจากบานไปคาขายตางถิ่น จะถูกโจรฆาตาย วันรวายยี อยาเลี้ยงสุราแกเจานาย ขุนนางผูใหญ จะทําใหเกิด เรื่องราวและหนี้สิน วันเมืองเหมา ไมควรทําสวน ถางหญา ตัดตนไม ไมควรยกทัพไปรบ จะถูกศัตรูฆาตาย วันเปกสี อย า เริ่ ม ทอผ า ผ า ผื น นั้ น ใครนุ ง แล ว จะเป น อั น ตราย การสูขอหรือหมั้นหมายสาวดี วันกัดใส อยาซื้อมีด หอก ดาบ จะฆาตนเอง อยาหวานกลา วันกดสะงา อยาไปคาขายตางถิ่น จะไดรับอันตราย
๖๖
วันรวงเม็ด วันเตาสัน
อยาไปลาสัตว ทําหนาไม ธนู อยาเดินทางเขาปาจะหลงทาง ทําคอกสัตวเลี้ยงจะแพรพันธุดี ผูกมิตรวันนี้จะใหคุณ แกตนในวันขางหนา วันกาเรา ทํ า พิ ธี สู ข วั ญ เรี ย กขวั ญ จะหายจากพยาธิ โรคภั ย ทําตาขายจับปลา ดี วันกาบเส็ด อยาเอาไหมมาคาดฝกดาบ จะฉิบหาย สรางหูกทอผา เจาของจะอายุสั้น วันดับใค อยาตัดผม โกนหนวด จะเกิดความเจ็บไข อยาตัดเสือ้ ผา จะเสื่อมอิทธิฤทธี วันรวายใจ อยาขี่มาเดินเมือง ผีจะทําใหปวยหนัก วันเมืองเปา อยาหุมกลอง อยาทําผาปูที่นอน ฟูก หมอน จะเปน อันตราย วันเปกยี อยาทําเสื่อสาด เครื่องลาดปูนั่ง จะทําใหตายโหง วันกัดเหมา หาไม ม าทํ า เรื อ นดี อยู แ ล ว เจริ ญ รุ ง เรื อ ง ไปค า ขาย จะร่ํารวย วันกดสี หาไมมาทําเรือนจะทําเรือน จะอยูดีมีสุขตลอดชีวิต วันรวงใส อยาทําเชือกลามสัตวๆ จะตาย วันเตาสะงา ไมควรขี่มา หรือเดินทางไปเที่ยวตางเมือง วันกาเม็ด อยาซื้อหรือทํามีด หอก ดาบ จะฆาตัวเองตาย วันกาบสัน อยาตัดเสื้อผา แตทําคอกสัตว ดี วันดับเรา ตัดผม สาวจะรักชอบ วันรวายเส็ด ปลูกหมาก มะพราว ตาล จะไมไดผล วันเมืองใค ยกทัพไปรบศึกจะชนะ ไปสูขอสาวดี วันเปกใจ เรียนคาถาอาคม สักน้ําหมึก ดี วันกัดเปา อยาหุม กลอง อยาแขงขัน พนัน ทาประลอง หรือทะเลาะ วิวาท จะฉิบหาย
๖๗
วันกดยี วันรวงเหมา วันเตาสี วันกาใส
ไปคาขาย จะไดสัตว ๔ เทา ไมควรตัดไมมาทําเรือน อยาสรางวิหาร หอโรง ทีอ่ ยูอ าศัย ไมควรแตงงาน จะหยาราง ปลูกพืชผัก ดี แตงงานดี จะมีทรัพยมาก หากไปงานเลี้ยงจะทะเลาะ วิวาท ขัดแยงกัน วันกาบสะงา ไมควรแตงงาน ชีวิตคูจะไมยั่งยืน สรางยุงฉาง ดี วันดับเม็ด ไมควรแตงงาน ชีวติ คูจ ะไมยง่ั ยืน ไปคาขายจะถูกฆาตาย วันรวายสัน อยาตัดเสื้อผา ตัดตนไมมาทํารั้วหรือกอกําแพง ดี วันเมืองเรา ไปงานเลี้ยงจะถูกคนอื่นสบประมาทใหขายหนา วันเปกเส็ด อยาไปรบ จะถูกฆาตาย วันกัดใค ทําธนู หนาไม จะพบกับความอับโชค ยิงสัตวไมถูก วันกดใจ ไปคาขายจะไดเสื้อผาเงินทอง วันรวงเปา ปลูกพืช วัวควายจะมารบกวน วันเตายี ปลูกมะพราว หมาก ตาล ดีมาก วันกาเหมา อยาใหของแกผูอื่น จะเสียมากกวาได วันกาบสี ผสมหาง(ชาด) สีที่ไดจะแดง ดี วันดับใส เกิดลูกวันนี้ จะเลี้ยงไมโต ตายตั้งแตเด็ก วันรวายสะงา ตัดไมทําครก สาก ทําโรงเรือนเก็บของ ดี วันเมืองเม็ด ทําแห จะจับปลาไดมาก วันเปกสัน อยาตัดเสือ้ ผา นุง แลวจะเกิดความเดือดรอน อยาใหสรุ า แกเจานาย จะเดือดรอน วันกัดเรา ขึงตาขายดักนก ทําถุงใสเงิน ดี วันกดเส็ด ไมควรแตงงาน จะเสียทรัพย สมบัติจะฉิบหาย อยาทํา เชือกลามวัวควายจะตาย วันรวงใค ไมควรแตงงาน จะรางหมาย เลี้ยงแขกจะทะเลาะวิวาท วันเตาใจ ทําคอกสัตวเลี้ยงจะแพรพันธุ ดีมาก
๖๘
วันกาเปา
แตงงานดี มีหลักฐานมั่นคง และจะรักกันมั่นคง ไมควร นําเรือลงน้ํา เรือมักจะลม วันกาบยี แตงงานดีจะรักกันมั่นคง ไมควรลงน้ํา เขาปาจะมีภัย วันดับเหมา แตงงานดี จะรักกันมัน่ คง มีทรัพยมาก ตัดเย็บเสือ้ ผาใหม จะมีคนรักมาก วันรวายสี ไมควรแตงงาน พอแมจะอายุไมยืน ทําฟูก ที่นอน ดี วันเมืองใส ไมควรแตงงาน พอแมจะอายุไมยืน อยาออกรบทัพ จับศึกจะไดรับบาดเจ็บ วันเปกสะงา ไมควรแตงงาน จะรางหมาย อยาขี่มาเดินทาง จะเกิด อันตราย วันกัดเม็ด ไมควรแตงงาน จะหยาราง ซื้อสัตวมาเลี้ยง ดีมาก วันกดสัน แตงงานดี จะมีทรัพยมาก อยาตัดเสื้อผา สูขอสาวดี พอแมฝายหญิงจะเมตตา วันรวงเรา แตงงานดี จะรักกันมั่นคง ทําผาหม ผานวม คนในเรือน จะตาย วันเตาเส็ด ไมควรแตงงาน จะอยูดวยกันไมนาน อยาทําเตาไฟ ผีเรือนไมพอใจ จะใหโทษ วันกาใค ไมควรแตงงาน หรือซื้อสัตวมาเลี้ยง สัตวจะอายุไมยืน ๓. วันเกากอง ความเชื่อเกี่ยวกับวันเกากองตามนี้ คนลานนาใชดูสําหรับการ ฌาปนกิจศพ (เสียศพ) เปนสําคัญ กลาวคือ ถาหากตรงกับวันเกากอง ไมควรฌาปนกิจศพเปนอันขาด เพราะเชื่อวาจะทําใหคนในครอบครัว ของผูตายหรือคนในชุมชนนั้นเสียชีวิตตามเปนจํานวนมาก ดังมีเรื่อง เลาวาหญิงโสเภณีคนหนึง่ มีผวั หัวลานถึง ๗ คนและแตละคนก็มรี ปู พรรณ สัณฐานเหมือนกันมาก วันหนึ่งนางนําเห็ดพิษมาทําอาหารใหผัวกิน
๖๙
แตบังเอิญนางไมไดกิน จึงทําใหผัวของตายหมดทั้ง ๗ คน นางจึงไดจาง สัปเหรอใหเอาศพไปเผา สัปเหรอไมรูวาผัวตายทั้ง ๗ คน ประกอบกับ นางไมอยากเสียคาเผาศพถึง ๗ ครัง้ จึงออกอุบายวาใหสปั เหรอเผาศพผัว ของนางอยางรอบคอบ มิฉะนั้นผัวของนางอาจฟนขึ้นมาไดอีก เมื่อ สัปเหรอเผาศพแลวก็ไปขอรับเงินตามสัญญา แตนางกลับลากศพผัว อีกคนหนึง่ มาแลวเอาขีเ้ ถาทาตามตัวและบอกวาผัวนางยังฟน ได สัปเหรอ แปลกใจแตก็นําศพผัวคนที่ ๒ ของนางไปเผาอีก นางก็ทําซ้ําๆ อยูเชนนี้ ความหงุดหงิดที่สัปเหรอตองเผาศพครั้งแลวครั้งเลาก็เพิ่มขึ้นตามลําดับ จนศพที่ ๗ สัปเหรอจึงบอกวาจะเอาไปหัน่ เปนทอนๆ แลวเผาอีกและตน จะเฝาดูใหแนใจอีกดวย ขณะทีศ่ พจวนไหมหมดแลวนัน้ บังเอิญมีชายเผา ถานหาบถานมาถึงที่นั่น ชายเผาถานก็บังเอิญหัวลานและมีรูปรางคลาย สามีทงั้ เจ็ดของนางอีกดวย สัปเหรอเห็นเขาก็นกึ วาศพฟน ขึน้ มาอีกจึงโมโห และโดดเขาชกตอยชายเผาถานคนนั้น จนทั้งคูพลาดตกเขาในกองฟอน ที่เผาศพอยูตายดวยกันทั้งสองคน นับวาในวันนั้นมีคนตายรวมเกาคน จึงเรียกวันนั้นวา “วันเกากอง” และในวันนั้นเปนวันไทที่ชื่อลงทายดวย “ยี” หรือ “วันยี” อีกดวยโบราณลานนาจึงหามเผาถานเพราะเกรงวา จะมีเคราะหดงั ชายเผาถานคนนัน้ จึงผูกเปนคําคลองจองวา “วันเกากอง บดีเผาผี วันยีบดีเผาถาน” คําทํานายวันเกากอง มีดังนี้ วันเกากอง วันรองพืน วันพืนดอก
๗๐
ทํากิจกรรมอันใดสมปรารถนา แตหามเผาผี (ฌาปนกิจศพ) จะนําความเดือดรอนมาสูเ จาบาน เหมาะสําหรับปลูกพืชสวน พืชไร ไมควรออกบาน ไปคาขายจะขาดทุน ทํารัว้ บาน รัว้ สวนดี ปองกัน ภัยไดดีมาก ไมควรนําภรรยามาอยูบาน ทําเตาหลอมเงิน หลอมทองดี
วันพืนดาย วันสูพกั วันรับได วันรับตาย วันขว้ําได วันไสเจา วันไสเสีย วันทายปาว วันยีเพียง
ทําการใดๆ ก็ดีทุกอยาง ไมควรขุดดิน ทําไรนา ทําสวนไมไดผล แตสราง เขื่อน ฝาย อางเก็บน้ํา คาขายทางน้ําดี ไมควรออกบานไปคาขายตางเมือง ไมควรปลูก บานใหม เหมาะสําหรับปรุงยารักษาโรค เริ่มรักษาผูปวย ไมควรออกศึกสงครามหรือสูคดีจะไดรับความ ปราชัย ไมควรไปคาขาย เมียมักมีชู ควรทําความสะอาด ในบานในเรือน ทําบันไดใหม ทําอะไรเกีย่ วกับเจานาย ผูใ หญ เชน เชิญมาเปน ประธานไมดีจะเกิดโทษ เอาภรรยาเขาบานได เอาแมรางแมมายดีวันนี้จะสุขสบาย ไมควรปรุงยา แตเหมาะสําหรับสงภัย ถอนบานเรือน ไมควรตีเหล็ก ตีดาบ จะเปนภัยแกตนเอง ไมควรทําการศึกจะไดรบั ความปราชัย แตเหมาะ สําหรับทํานาทําไร เลีย้ งวัว ควาย ซือ้ ของมาใหมดี
๔. วันหัวเรียงหมอน วันหัวเรียงหมอนคนลานนาใชสําหรับดูพิธีมงคลสมรส หรือคูรัก จะอยูกินกันฉันสามีภรรยาเปนสําคัญ โดยใหดูคูกับวันฟาตีแสง โบราณ กลาววา หากสองวันนีต้ รงกันแลวก็จะเปนวันดียงิ่ สําหรับการประกอบพิธี ดังกลาว แตหากพบวาคําทํานายวันไทหามวาไมควรประกอบพิธแี ตงงาน ก็ขึ้นอยูกับความสะดวกและสบายใจของเจาภาพวาจะตัดสินใจอยางไร วันหัวเรียงหมอนจะตรงกับวันขึ้น ๒, ๗, ๑๐, ๑๑, ๑๒, ๑๓ ค่ํา และแรม ๔, ๗, ๑๐, ๑๓, ๑๔ ค่ําของแตละเดือน แตมักไมนิยมแตงงานในเดือนคี่
๗๑
๕. วันอมริสสโชค วันอมริสสโชค คือวันทีม่ โี ชคใหญ ใชดสู าํ หรับการลงทุนทํากิจการ ตางๆ การเสี่ยงโชค การแสวงโชค หรือติดตอผูใหญ ถาหากตรงกับวัน อมริสสโชค จะทําใหกจิ การหรือสิง่ ทีท่ าํ ในวันนัน้ ประสบผลสําเร็จ ถาเดือนใด มีวันขึ้น – แรม ตรงกับวันเม็ง ดังตอไปนี้ จะถือวาเปนวันอมริสสโชค ขึ้น – แรม ๘ ค่ํา ขึ้น – แรม ๓ ค่ํา ขึ้น – แรม ๙ ค่ํา ขึ้น – แรม ๒ ค่ํา ขึน้ – แรม ๔ ค่าํ ขึ้น – แรม ๑ ค่ํา ขึ้น – แรม ๕ ค่ํา
ตรงกับ ตรงกับ ตรงกับ ตรงกับ ตรงกับ ตรงกับ ตรงกับ
วันอาทิตย วันจันทร วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร วันเสาร
๖. วันติถีทั้งหา ความเชือ่ ในเรือ่ งวันติถที งั้ หานัน้ เชือ่ วาวันทัง้ ๕ วัน ไดแก นันทาติถ,ี ภัทราติถี, ไชยาติถี, ลิตตาติถี และปุณณาติถี เปนวันที่ดียิ่งกวาวันใดๆ แมวันไมดีอื่นๆ มาตรงกับวันเหลานี้ยอมทําใหกลายเปนวันดีทั้งสิ้น วิธีการหาวันติถีทั้งหามีดังนี้ ขึ้น – แรม ๑ ค่ํา, ๖ ค่ํา, ๑๑ ค่ําตรงกับ วันศุกร ชื่อ นันทาติถี ขึ้น – แรม ๒ ค่ํา, ๗ ค่ํา, ๑๒ ค่ําตรงกับ วันพุธ ชื่อ ภัทราติถี ขึ้น – แรม ๓ ค่ํา, ๘ ค่ํา, ๑๓ ค่ําตรงกับ วันอังคาร ชื่อ ไชยาติถี ขึ้น – แรม ๔ ค่ํา, ๙ ค่ํา, ๑๔ ค่ําตรงกับ วันเสาร ชื่อ ลิตตาติถี ขึน้ – แรม ๕ ค่าํ , ๑๐ ค่าํ , ๑๕ ค่าํ ตรงกับ วันพฤหัสบดี ชือ่ ปุณณาติถี
๗๒
ความเชือ่ เรือ่ งวันติถที งั้ หานี้ เปนขอควรปฏิบตั ิ ไมใชขอ หาม จึงใช สําหรับดูประกอบวันอื่นๆ ถาสอดคลอง หรือตรงวันดีวันอื่นๆ ก็จะเปน มงคลยิ่งขึ้น แตละวันมีคําอธิบาย ดังนี้ วันนันทาติถี ควรสรางบานเรือน วิหาร ศาลา ขุดสระน้ํา กอหรือหลอพระพุทธรูป กอเจดีย ออกเดินทางไปคาขาย ยกยอพระมหาเถร สังฆราชานายก พระสวามี ตั้งอุปราช ราชาภิเษกพระมหากษัตริย ตัดชอ และตุงไชยดีมาก วันภัทราติถี ควรสงศุภสาสนการทูต สงตัวบาวสาว กินแขก แตงงาน ดําหัว ลางหรือทําความสะอาดเครือ่ งประดับ ยายทีอ่ ยู แกะสลัก เขียนภาพ ตัดไมมาทําบานเรือน เขาอยูบานใหม อยูเมืองใหม ตั้งชื่อยศ นามศักดิ์ ดีมาก วันไชยาติถี ควรเริ่มสรางอาวุธ ยกทัพ เจรจาความเมือง เลี้ยงหมูทแกลวพลหาญ เรียนศิลปศาสตรวิชาคุณ ศิลปะตางๆ กอสราง เมืองใหม ทําความสะอาดอาวุธ ทํารั้วดีมาก วันลิตตาติถี เหมาะสําหรับทํานา ทําสวน ทําไร ปลูกตนไม สรางถนนหนทาง ทําแกวแหวนมิ่งมงคล ตัดเสื้อผาใหม ทําขวัญ สูขวัญ ตัดผม ทาน้ํามัน น้ําหอม เขาเฝาเจานาย วันปุณณาติถี เหมาะสําหรับนําขาวใหมใสยุงฉาง ทําถุงหรือ กระเปาใสเงิน ไถขาทาสหญิงชาย หรือนําคนใชมาอยูบาน พระสงฆ เริ่ ม เรี ย นพระธรรมคั ม ภี ร ต า งๆ การสร า งเวี ย งวั ง เพิ่ ม นาม ยศถา บรรดาศักดิ์ แตงตั้งเสนาอามาตย ขาราชการ กอกําแพงเมือง เริ่มเรียน เวทยมนตคาถาตางๆ ดี
๗๓
๗. วันฟาตีแสง วันฟาตีแสง หรือวันฟาตีแสงเศษ หรือวันฟาตีแฉง ความหมาย ของวั น นี้ นั ย ว า เป น วั น ที่ “ฟ า ” (สวรรค ) ตี “แส ง หรื อ แฉ ง ” ซึ่ ง หมายถึงฉาบขนาดเล็ก อนุมานไดวาวา “ฟา” อยูในอารมณรื่นเริง ชืน่ ชม ยินดี อีกกระแสหนึง่ เห็นวาเดิมควรเปนคําวา “ฟาตีแ่ สง” อันหมายถึง ฟาฉายแสง หรือ เบิกมานฟามากกวา วันฟาตีแสงเปนวันทีค่ นลานนาเชือ่ วาเปนวันทีส่ าํ คัญกวาวันอืน่ ใด หรือเรียกวา “เปนวันครบวันทัง้ หลาย” ใช สําหรับดูวนั สําหรับทําพิธมี งคลสมรส การสรางบานใหม ทําบุญขึน้ บานใหม เปดรานคา สํานักงาน และโรงทําพิธีทุกชนิด หากคํานวณหาวันฟาตีแสง ทํานายวาดี ก็จะชนะภัยและอัปมงคลทัง้ ปวง ในทางกลับกันหากเศษการ คํานวณทํานายวาไมดีแลวก็พึงงดประกอบพิธีมงคลนั้นเสีย วันฟาตีแสงนี้ ใชดวู นั สําหรับการทําพิธมี งคลสมรส การสรางบาน ใหม การทําบุญขึน้ บานใหม เปดรานคา สํานักงาน และโรงทําพิธที กุ ชนิด วันนีเ้ ชือ่ วาเปนวันครบวันทัง้ หลาย กลาวคือ แมวนั อืน่ เชน วันเม็ง วันไท วันเกากอง ฯลฯ จะเปนวันไมดีก็ตาม หากวันฟาตีแสงดีแลว ก็จะชนะภัย ชนะอัปมงคลทั้งปวง แตในทางตรงกันขาม หากวันฟาตีแสงไมดีแลว วันอื่นๆ แมจะดีปานใดก็ตาม พึงงดเวนงานมงคลนั้นเสีย การคํานวณวันฟาตีแสง เอาจุลศักราชปที่ตองการทราบตั้ง หารดวย ๑๐๘ แลวเอาเลข ทีเ่ ปนเศษตัง้ บวกดวยเกณฑเดือน บวกดวยติถวี นั ทีต่ อ งการทราบ คูณดวย ๕ ลบดวย ๗ แลวหารดวย ๙ เศษการหารที่ไดคือวันฟาตีแสง คําทํานายวันฟาตีแสง เศษ ๐, ๑, ๘ ไมดี แม เ ป น พระญาอิ น ทราธิ ร าชขึ้ น ทรง ปราสาทก็จักวินาศฉิบหาย อยาทําพิธีหรือกิจกรรมใด ถาทําไปไมถึงป ก็จักตาย หรือฉิบหาย หรือถูกไลหนี
๗๔
เศษ ๓, ๗ ไมดี ไฟจักไหม หรือจักประสบอุบตั เิ หตุ เปน อันตรายแกทา วพระญา (ผูใ หญในบานเมือง) ผีเสือ้ บาน เสือ้ เมือง หรือ มิฉะนัน้ ตนจักตาย หรือจักเสียทรัพยสนิ เสียขาวของเงินทอง เศษ ๒, ๔, ๕, ๖ ดี จะประสบผลสําเร็จทุกประการ แมน ทุกขยากเข็ญใจก็จกั ไดดี อยูด มี สี ขุ พรัง่ พรอมดวยยศ สมบัติ ขาวของเงินทอง
๗๕
ปจล ุ ศักราช ๑๓๗๒ (วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๓- ๑๕ เมษายน ๒๕๕๔) วันอังคาร วันพฤหัสบดี วันจันทร วันเสาร
๗๖
เปนวัน เปนวัน เปนวัน เปนวัน
ธงไชย อธิบดี อุบาทว โลกาวินาศ