สรรพ์สารล้านนา 2553 วัดน้ำลัด

Page 1




สรรพสารลานนา :

ตํานานพระธาตุ ๕ หลัง ตํานานเมืองเชียงมวน คติชนชาว นานและปกขทืน (ปฏิทิน) ลานนา ปกดยี จุลศักราช ๑๓๗๒

ผูเรียบเรียง

พระพนัส ทิพฺพเมธี ยุทธพร นาคสุข

ภาพหนาปก

วริศรา บุญซื่อ (ถายภาพ)

พิมพครั้งที่ ๑ กุมภาพันธ ๒๕๕๓ จํานวน ๕๐๐ เลม จัดพิมพโดย

โครงการจัดพิมพพปฏิทินและผลงานปริวรรต เอกสารล เอกสารลานนา ส านนา ต.นาปปง ออ.ภู วัดดนนน้​้ําลัด ต.นาป .ภูเพียง จ.นาน

ขอขอบพระคุณ พระศรีธีรพงศ

เจาอาวาสวัดพญาภู พระอารามหลวง อ.เมืองนาน

พระมหาณรงคศกั ดิ์ สุวณฺณกิตตฺ ิ เจาอาวาสวัดพญาวัด อ.เมืองนาน

พระอนุรักษ จนฺทวิสุทฺธิญาโณ เจาอารามบานกอดสรรค อ.ภูเพียง

พระอุดร ชินวํโส

วัดศรีพันตน อ.เมืองนาน

นายแพทยบุญยงค วงศรักมิตร ประธานมูลนิธิพระครูพุทธมนตโชติคุณ

วาที่รอยตรีสมเดช อภิชยกุล ผูท รงคุณวุฒทิ างวัฒนธรรม

อาจารยเดช ปนแกว

ประธานสภาวัฒนธรรม อ.ภูเพียง

คุณวุฒิชัย โลหะโชติ

ศูนยประส ระสานงานประชาคม โรงพยาบาลนาน

อาจารยทักษิณา ธรรมสถิตย อา วิทยาลัยเทคนิคนาน

อาจารยสิทธิศักดิ์ ธงเงิน

ร.ร.สามัคคีวทิ ยาคาร (เทศบาลบานพระเนตร)

คุณวริศรา บุญซื่อ

สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดนาน

คุณประทวน สอนศิริ รานบิ๊กเจ อ.เมืองนาน

คุณศิริ แซแต

รานศิรเิ ซนเตอร กทม.

คุณนงนุช กุศล

ผลิตสิ่งพิมพ

บานน้าํ ลัด

คุณบุษราภรณ ศรีธิยศ บานน้าํ ลัด

คุณลภาภัทร ปงยศ บานน้ําลัด

พิมพ

หจก. กลุมธุรกิจแม็กซ (MaxxPRINTINGTM - แม็กซปริน้ ติง้ ) ๑๔ ซ.สายน้ําผึ้ง ถ.ศิริมังคลาจารย ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม ๕๐๒๐๐ Hotline : ๐๘๖ ๖๕๔๗๓๗๖, ๐๕๓ ๒๒๑๐๙๗ Website : http://moradoklanna.com

คุณนัฐวัฒน ธงเงิน บานน้าํ ลัด

คุณพิชยา กรมทนา บานน้ําลัด

คุณศุภลักษณ ภุมรินทร บานน้ําลัด

คุณนัฐพร ตาตะคํา บานน้าํ ลัด


คํานํา ในป ๒๕๕๓ นี้ ทางวัดน้าํ ลัดไดจดั พิมพหนังสือ “สรรพสารลานนา : ตํานานพระธาตุ ๕ หลัง ตํานานเมืองเชียงมวน คติชนชาวนาน และปกขทืน (ปฏิทิน) ลานนา ปกดยี จุลศักราช ๑๓๗๒” เหมือนที่เคยไดเผยแพร มาแลวสองปที่ผานมา เนื้อหาของหนังสือเลมนี้ประกอบไปดวย ๑. ตํานานพระธาตุ ๕ หลัง เปนตํานานที่อธิบายเหตุ และความเปนมาของพระธาตุและวัดสําคัญในเมืองนาน เชน พระธาตุ แชแหง พระธาตุเขานอย พระธาตุวดั สวนตาล พระธาตุวดั พญาภู พระธาตุ วัดกูคํา วัดไผเหลือง ฯลฯ ซึ่งถาหากคัดกรองเอาขอมูลไปใช ก็จะชวย เสริมในการศึกษาประวัติศาสตรของเมืองนานไดอีกทางหนึ่ง ตํานานนี้ อาตมภาพได ป ริ ว รรตจากคั ม ภี ร ใ บลานของวั ด น้ํ า ลั ด อายุ ๑๒๙ ป เมื่อครั้งยังเปนสามเณร และเคยจัดพิมพไปแลวครั้งหนึ่งในหนังสือของ วั ด พระธาตุ แช แ ห ง บั ด นี้ ห นั ง สื อ ชุ ด ดั ง กล า วได จํ า หน า ยหมดแล ว อาตมภาพจึงไดนํากลับมาพิมพเผยแพรอีกครั้งหนึ่ง ๒. ตํานานเมืองเชียงมวน เปนตํานานเกี่ยวกับกําเนิด ของพระเจดียท ดี่ อนควาง (ออกเสียงวา ดอนกวาง) อ.เชียงมวน จ.พะเยา ซึ่งในตํานานไมไดระบุชื่อพระธาตุเอาไว อาตมภาพไดกราบเรียนถาม พระครูศรีวรพินิจ ผูอํานวยการวิทยาลัยสงฆพะเยา ทานสันนิษฐานวา อาจจะเปนพระธาตุภูปอ ต.บานมาง อ.เชียงมวน เพราะเปนพระธาตุ เกาแกและตั้งอยูบนดอย ในอดีต อ.เชียงมวน เคยเปนอําเภอหนึ่ง ของจังหวัดนาน จึงถือไดวามีความสัมพันธกับเมืองนานอยางใกลชิด อาจารย ยุ ท ธพร นาคสุ ข จึ ง ได ป ริ ว รรตจากเอกสารไมโครฟ ล ม ของ สถาบันวิจยั สังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม หมายเลข 82 108 01L 010-011 ตนฉบับเปนของวัดแชพลาง ต.ทานาว อ.ภูเพียง มีอายุ ๑๕๕ ปมาแลว ตํานานนี้เทาที่สํารวจดูยังไมมีการพิมพเผยแพรที่ใดมากอนเลย ๓. คติชนชาวนาน เปนเนื้อหาเกี่ยวกับคติชนวิทยาของ คนเมืองนานในอดีต เปนภูมปิ ญ  ญาและความเชือ่ ของคนโบราณทีไ่ ดเลา


ไดสอนสืบตอๆ กันมา เปนเนื้อหาที่อานงาย ไมหนักสมองจนเกินไป ในเนื้อหาสวนนี้ไดมาจากการลงภาคสนามของอาตมภาพกับอาจารย ยุทธพร สวนหนึ่งไดรับความเมตตาเอื้อเฟอขอมูลจากผูรูหลายทาน เชน พระครูโอภาสนันทสาร เจาอาวาสวัดสวางอรุณ เจาคณะตําบลน้ําแกน อ.ภูเพียง อาจารยเดช ปนแกว ประธานสภาวัฒนธรรม อําเภอภูเพียง แมอุยศรีคํา วงศชัย ผูอาวุโสของบานน้ําลัด และยังมีขอมูลเพิ่มเติม จากพอทอง แกวนา บานดูพงษ อ.สันติสุข พอเจริญ กันลานันท บาน หลับมืนพรวนเหนือ ต.จอมจันทร อ.เวียงสา พออุยไชยวงศ จันทรบูรณ บานนาเคียน ต.จอมจันทร อ.เวียงสา จ.นาน ดังที่ไดระบุไวในเลมแลว อาตมาจึงขอขอบพระคุณทุกทานมา ณ ที่นี้ ๔. ปกขทืน (ปฏิทนิ ) ลานนา ปกดยี จุลศักราช ๑๓๗๒ ในปนี้อาจารยยุทธพร ก็ไดเมตตาคํานวณใหเหมือนทุกป เพื่อใหศาสตร แหงปกขทืนหรือปฏิทินลานนาอยูคูกับเมืองนานและลานนาตลอดไป เนื่องดวยในวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ ที่ผานมา ทานพระครู พิศาลนันทคุณ อดีตเจาอาวาสวัดน้ําลัด อดีตเจาคณะตําบลกิตติมศักดิ์ ไดถึงแกมรณภาพลงอยางกะทันหันดวยโรคประจําตัวของทาน ยังความ เศราโศกเสียใจแกคณะศิษยานุศษิ ยและคณะศรัทธาวัดน้าํ ลัดเปนอยางยิง่ กอนหนาการมรณภาพเพียง ๙ วัน ทานไดเปนประธานฝายสงฆในการ จัดสรางพระพุทธรูปทันใจจนเสร็จสิน้ อยางเรียบรอย พระพุทธรูปทันใจเปน พระพุทธรูปทีต่ อ งสรางใหเสร็จภายในวันเดียว ชาวบานน้าํ ลัดเรียกกันวา “พระเจายี่เปงทันใจ” มรดกธรรมชิ้นสุดทายที่ตองสืบสานปณิธาน ของท า นพระครู ฯ ที่ ยั ง ค า งอยู ก็ คื อ การสร า งวิ ห ารเพื่ อ ใช เ ป น ที่ ประดิ ษ ฐานพระพุ ท ธรู ป ทั น ใจองค ดั ง กล า ว ดั ง นั้ น รายได ส ว นหนึ่ ง จากการจัดพิมพหนังสือเลมนี้จะนําไปสมทบการกอสรางวิหารพระเจา ยี่เปงทันใจดวย ขอเจริญพร พระพนัส ทิพฺพเมธี ๑๘ ก.พ. ๕๓


สารบัญ คํานํา ........... ...................................................................................... ๓ ตํานานพระธาตุ ๕ หลัง ........................................................................๖ ตํานานเมืองเชียงมวน ....................................................................... ๒๐ คติชนชาวนาน ..................................................................................๒๖ โวหารรักหรือคําอูบาวอูสาวของคนสมัยกอน .............................๒๗ คราวใชดอนไชยปาเกลือ...........................................................๓๔ ปริศนาคําทาย .........................................................................๓๖ ปริศนาที่เกี่ยวกับธรรมชาติ ............................................๓๖ ปริศนาที่เกี่ยวกับขาวของเครื่องใช ..................................๓๗ ปริศนาประเภทเลนคํา .................................................. ๓๘ คําทํานายบานเมืองอันจักมาภายหนา.......................................๓๙ อาการของคนเมาตามปริมาณเหลาที่กิน ...................................๔๑ ศัพทานุกรม .............................................................................๔๒ ปกขทืน (ปฏิทิน) ลานนา ปกดยี จุลศักราช ๑๓๗๒...............................๔๗ หนังสือปใหมลานนา จุลศักราช ๑๓๗๒ ....................................๔๙ ตารางปกขทืน (ปฏิทิน) ลานนา .................................................๕๒


ตํานานพระธาตุ ๕ หลัง (พระธาตุแชแหง พระธาตุเขานอย พระธาตุวด ั สวนตาล พระธาตุวด ั พญาภู และพระธาตุวด ั กูค าํ )


ตํานานพระธาตุ ๕ หลัง นโม ตสฺสตฺถุ ภควา อันวาพระพุทธเจา เสโฐ ตนประเสริฐ เทวมนุสสฺ านํ แกคนและเทวดาทังหลาย อคฺคปุคคฺ โล อสฺสโม หาผูจ กั เสมอ บได อิธ โลกํ ในโลกอันนี้ ภควา อันวา พระพุทธเจาก็เสด็จไปรอดยังดอย ที่ ๑ อันมีทิศหนวันตกแจงใตเวียงนานที่นั้น ยามนั้นยังมีพระญาตน ๑ ชื่อวาพระญามัลละราชกินเมืองที่นั้น พระพุทธเจาขึ้นไปสูดอยที่นั้น นั่งอยูอิงเคลาไมหมากคับทอง๑ ตน ๑ ยังมี ๒ เถาผัวเมียฟนไรอยูท นี่ นั้ ก็มแี ล โส ชิณณ ฺ โก อันวาชายเถาผูเ ปนผัว ก็ออกมาจากไรทนี่ นั้ ก็ไปหันพระพุทธเจานัง่ อยูเ คลาไมหมากคับทองทีน่ นั้ มันก็ตกใจกลัวมากนักจิ่งคลั่งหก๒เขาไปในไรที่นั้น กลาวเซิ่งเมียมันวา “ภริยา เอยฺยกา ดูรายา ๒ รา เที่ยงวาจักตายชะแล ยังมียักษ ตัว ๑ อยูใ ตเคลาไมหมากคับทองนอกไรเราหัน้ นา จุง ไปเก็บเอาหมากเตา หมากแตง โพดสาลีไปจางมันเสียเทอะ” ขา๓ทัง ๒ ก็พากันเก็บเอาหมากเตา หมากแตง ขาวโพดสาลี ใสซาออกจากไรไป มันจากับเมียมันวา “ยาจุงไปกอนเทอะ จักไปตามหลัง” มันก็แบกหอกไปตามหลังเมียมันก็มีแล มันคระนิงใจ๔วาคันมัน กําแขนเมียกูจกั กิน กูจกั แทงชะแล วาอัน้ แลวมันก็แบกหอกทวยตามหลัง เมียมัน ไปลับลี๕้ อยูครุมไม๖ที่ ๑ ก็มีแล โส ภริโย อันวาเมียผูนั้น ก็เอาซาหมากเตา หมากแตง โพดสาลี ไปตั้งไวสองหนาพระพุทธเจาหั้นแล ภควา อันวาพระพุทธเจาตนทรง ๑ มะพลับ ๒ วิ่งอยางตื่นกลัวไรสติ (หก หมายถึง วิ่ง) ๓ เขาทั้งสอง ๔ คิด, คํานึง ๕ หลบซอน ๖ พุมไม


พระมหากรุณาก็เอามือขวาลูบหัวไดเกสา ๒ เสน ยื่นหื้อมหาอานันทะ มหาอานันทะก็รับเอาดวยแจงผาสังฆา แลวจิ่งจาดวยยาเถาผูนั้นวา “ดูรา อุบาสิกา ของอันใดยังมีในถุงหั้นชา” ยาเถาวา “ตนปูนทองแดงยังมีในถุงขาหนี้แล” พระมหาอานันทะกลาว “ผิแลมีดั่งอั้น ทานจุงเอาตนปูนอันนั้นออกมาเทอะ” ยาเถาผูน้ันก็เอาตนปูนออกมาหื้อมหาอานันทะเถรเจาหั้นแล พระมหาอานันทเถรเจาก็รับเอาแลว เจาก็อธิษฐานธาตุเจาเขาอยูในตน ปูนทองแดงที่นั้น แลวก็ยื่นหื้อยาเถาแกผูนั้น แลวพระพุทธเจาก็พาเอา มหาอานันทะเถรเจากับทังเจาโสณเถระ แลเจาอุตตรเถระ แลพระญาอินทร แลพระญาอโศกลงจากดอยที่นั้นก็มีแล โส เอยฺยิโก สวนวาชายเถาผูนั้นก็ถามเมียมันวา “มันเอาสังหื้อชา” เมียมันวา “มันหลกเอาผมหื้อ ๒ เสนแล” ผัวมันวา “มันจักจุกนิ รา๗ชะแล บึดนึง่ ๘มันจักคืน๙มากินเราชะแล เราเอา ผมมันไปฝงไวยังเคลาไมหมากคับทองที่มันนั่งหั้นเทอะ” ขาทัง ๒ ก็เอาตนปูนใสเกสาธาตุเจาไปฝงทีพ ่ ระเจา๑๐นัง่ หัน้ แลว ก็พากันหนีไปสูบ า นขาหัน้ แล จักอยูไ รกบ็ ไ ด เหตุวา กลัวผียกั ษมากินก็มแี ล ตั้งแตวันนั้นขาทัง ๒ ก็บมาใกลไรตราบหญาแลไมขึ้นถวมของปลูกเสี้ยง ก็มีแล ๗ เราทั้งสอง ๘ สักครูหนึ่ง ๙ กลับ ๑๐ พระพุทธเจา


อคฺควา อาคโตนทิยา ในกาลนั้น พระพุทธเจาก็ไปรอดแมน้ํา อัน ๑ ปรารภเพือ่ วาจักอาบหัน้ แล ตทา รฺโญ ในกาละนัน้ พระญามัลละ ธิปติ อันเปนเจาเมืองทีน่ นั้ ก็พาเอานางเทวีมาเพือ่ จักอาบน้าํ ทีน่ นั้ หัน้ แล ราชาทิสวฺ า พระญาก็หนั ยังพระเจาลงอาบน้าํ ทีน่ นั้ มันก็ตกใจกลัวมากนัก มันคระนิงใจวารอยวาพระญาอินทร พระญาพรหม เทวบุตรชะแล มันจิง่ ถามพระเจาวา “โกวโฐ กึนาโม ทานมีชื่อรือชา?๑๑” ภควา อันวาพระพุทธเจาจิ่งกลาวเซิ่งพระญาวา “อหํ นาโม ตถาคโต เรานี้ไดชื่อวาเปนตถาคต เปนพระเจา ในโลกนี้แล” พระญาไดยินวา เปนพระพุทธเจาก็มีใจยินดีจิ่งเอาผาขาววานึ่ง อันมันจักนุง อาบน้าํ นัน้ ยืน่ หือ้ พระพุทธเจาหัน้ แล พระพุทธเจาก็รบั เอาผา ผืนนัน้ ดวยพระมหากรุณา ก็นงุ อาบน้าํ แลวถายผาอันตรวาสก๑๒ ผาอาบน้าํ ผืนนั้นหื้อมหาอานันทะหั้นแล มหาอานันทะก็บิดผาขาวผืนนั้นไปตากไว ทีน่ ง่ึ หัน้ แล สวนตนพระองคเจาก็ยนื อยูใ กลเคลาไมเดือ่ เกลีย้ งตน ๑ มหา อานันทะก็เอาจัมมขัณฑ๑๓เจือ๑๔ทีใ่ กลเคลาไมหน้ั แล พระพุทธเจาก็นง่ั อยูพ น้ื เคลาไมเดือ่ เกลีย้ งตนนัน้ ในกาลนัน้ พระญากับทังนางเทวีกพ็ ากัน อาบน้าํ แลวก็ออกมาจากน้าํ ทีน่ น้ั มาหันพระเจานัง่ อยูท น่ี น้ั จํานางเทวีไป เอาอาสนา๑๕มาหือ้ พระเจานัง่ นางผูน น้ั ก็นานไปนานมาพระญาจิง่ เคียด แกนางเทวีวา แมญิงสังวามาเหลือพอชาย พระญาจิ่งหกไปเอาอาสนา มาหือ้ พระเจานัง่ ก็มแี ล พระญาก็ถามพระมหาอานันทะวา “พระเจาฉันสังชา” มหาอานนทกลาวเซิ่งพระญาวา ๑๑ ทานมีชื่อวาอยางไร ๑๒ ผาสบง, ผานุงของพระภิกษุ ๑๓ แผนหนังสําหรับใชปูลาด ๑๔ ปูลาด ๑๕ เครื่องปูรองนั่งของพระสงฆ, ที่นั่ง


“ชาติวา นักบวชนีค้ นั วาฉันขาวแลว ยอมฉันแตหมากสมอสิง่ เดียวแล” พระญาก็หกไปสูปราสาทแหงตนไปเซาะหมากเสมอดิบก็บได จิ่งไดแตหมากสมอแหง ๗หนวย เอาใสไตรคํา๑๖แลวเอาหมากสมอแหง ๗ หนวยนั้นแชในไตรคําอยูหั้นแล ภควา อันวาพระพุทธเจาจิง่ จากับดวยพระมหาอานันทะเถรเจาวา “ดูราอานันทะควรลาจักไปเทอะ” มหาอานนทก็ไปกูผาอาบผืนนั้นก็กลายเปนคําไป สวนวารัศมี คํานั้นสองปาไผที่ ๑ เหลืองงามไปทั่วปาไผที่นั้นก็มีแล มหาอานันทะหัน สังกา๑๗จิง่ ขอธาตุเซิง่ พระเจาหันแลพระเจาจิง่ เอามือลูบหัว ไดเกสาเสน ๑ ยื่นหื้อมหาอานันทะจิ่งเอาบอกไมซางคํา๑๘รับเอาแล พระญาอินทา ก็ปลงอุโมงคลงลึก ๗๐ วาเอาธาตุเจาใสสะเพลาคํา๑๙ ลงไวพระญาอินทา กอเจติยะสูง ๗ ศอกเอาผาอาบคําผืนนั้นเจือในสะเพลาคําหั้น แลพระก็ เสด็จไปหันมอนนอยที่ฝายน้ําวันออก พระเจาก็ไปนั่งอยูใกลเคาไมโพธิ์ ตน ๑ ในกาละยามนั้นพระญาก็เอาหมากสมอแหงแชไตรคํามาบหัน พระเจาในที่นั้นก็ถามคนทั้งหลายวา “สูบหันพระเจาคา?” ยังมีจาหญามาผู ๑ ไหวพระญาวา “หันขามน้ําไปพุนแล” พระญาก็หกทวยพระเจาไปหันจาหญาชางผู ๑ จาหญาชางวา “หันอยูมอนนอยที่นั้นเหลืองงามนักจักวาเปนสังก็บรูแล” พระญาก็แลนไปตามกําลังแหงตนก็ไปทันพระยังเคาไมโพธิท์ นี่ นั้ พระญาก็นอมยังหมากสมอแหง ๗ ลูกกับทังไตรคํามีน้ําหนักพันปลาย ๕ บาทนั้น ทานแกพระเจาหั้นแล ๑๖ ถาดทองคํา ๑๗ สงสัย ๑๘ กระบอกไมไผซางคําซึ่งเปนไมไผที่มีสีเหลืองสลับดวยลายสีเขียว ๑๙ สําเภาทอง

๑๐


ภควา อันวาพระพุทธเจาก็ทรงพระมหากรุณารับเอายังไตรคําแล หมากสมอแหงเซิ่งพระญาก็มีแล อานนฺโท ยาจติ ภควโต ในกาละนั้นพระมหาอานันทะก็ไหว พระพุทธเจาวา “ภนฺเต ภควา ขาแดพระพุทธเจา ในฐานะนี้ ก็ควรตั้งศาสนาแหง นึ่งแล” พระเจาก็เอามือลูบหัวไดเกศาเสน ๑ ยืน่ หือ้ มหาอานันทะเถรเจา ก็รับเอาดวยบอกไมรวก พระญาอินทรก็เนรมิตกระอูบคํา๒๐ใหญ ๙ กํา รับเอาธาตุเจาแลวปลงอุโมงคลงลึก ๗๕ วา แลวพระอินทรเนรมิตปราสาท คําสูง ๗ ศอกตางเหนือสะเพลาคํา แลวนิมนตธาตุเจาเขาสูปราสาท ซอนดวยไตรคําอันพระญามัลละทานนั้น พระญาอินทรซ้ําเนรมิตฆอง คําหนวย ๑ ใหญ ๓ วาปุริสสะ ระฆังคํา ๑ หนวยใหญ ๒ วาปุริสสะ ซ้าํ เนรมิตสวาคําใหญ ๑๙ กําเพือ่ บูชาธาตุแล ถมดวยดินละอิฐคําใสยนต คํา ๑๒ แหงเพือ่ กลัวเปนสาธารณแกธาตุเจาพายหนา๒๑ พระเจาสัง่ ไววา “คันกูตถาคตนิพพานไปแลว หื้อเอาธาตุขอมือซายมาไวกับธาตุ เกศาคูนี้เทอะ พระญาเอาหมากสมอแชแหงมาทานแกกูในที่นี้ พายหนา จักไดชอื่ วา “แชแหง” ชะแล ทีท่ า นเอาผาอาบไปตากลวดกลายเปนคําไป พายหนาจักไดชื่อวา “กูคํา” ชะแล รัศมีผาอาบสองไปไปนั้นพายหนา จักไดชอื่ วา “ไผเหลือง” ชะแล เมืองทีน่ พี้ ายหนาจักไดชอื่ วา “เมืองนาน” ชะแล เหตุพระญาไดใชนางเทวีไปเอาอาสนานานไปนานมา พระญา ซ้ําเอาหมากสมอแหงมาทานแกกูตถาคตะขัดไตรคําซวยหมากสมอก็หา เมื่อแลวบไดเหตุนั้น พายหนาจะไดชื่อวา “เมืองนาน” ชะแล” คันพระเจาทํานายแลวก็เสด็จไป อนกมฺเมน ดวยอั้นลําดับที่นี้ จะกลาวไปยัง ๒ เถาอันไดรับธาตุพระเจาใสตนปูนทองแดงนั้นกอนแล ๒๐ ผอบทองคํา ๒๑ ภายหนา

๑๑


สวนขาทั้ง ๒ เถานั้นคันจุติตายก็ไดไปเกิดเปนรุกขเทวดารักษายังธาตุเจา ยังเคลาไมหมากคับทองที่นั้น คันจุติตายก็ไดไปเกิดชั้นฟาเลิศพายบน คันตายจากชัน้ ฟาก็ไดลงมาเกิดเปนรุกขเทวดาอยูร กั ษายังธาตุเจายังเคลา ไมหมากคับทองที่นั้น เวียนตายเวียนเกิดอยูไจๆ ทาวพระญาอยูเสวย เมืองนานทีน่ นั้ สืบๆ มาหลายเชนนักตราบศาสนาขอนไป๒ พัน ๓ สิบตัว ปเมืองเม็ด ศักราชไดรอย ๙ ตัวขาทั้ง ๒ อันเปนรุกขเทวดารักษาธาตุเจา อันอยูภูเขาไมหมากคับทองที่นั้น ก็เปนจุติจากภูเขาที่นั้น สวนวาเทว บุตรตนนั้นก็ไดไปเอาปฎิสนธิในทองนางเทวีแหงพระญาเจาเมืองที่นั้น ทรงคัพภะไดสิบเดือนประสูติออกมา พระญาตนเองพอก็เอาหมอโหรา ๘ คนทวายยังราชกุมารลูกตนวา “ลูกเราพระองคนี้ลุกที่ใดมาเกิดชา ยังจะมีบุญบชา สูจุงทวายดู” หมอโหราก็ทวายตามคัมภีรโหราจิ่งไหวพระญาวา “ขาแดเจาเหนือหัวสวนวาราชกุมารผูน ี้ ลุกภูเขามาเกิดจักไดสราง วัดวาพุทธศาสนาจักกานกุงรุงเรือง๒๒พายหนาชะแล” ตทาในกาลนั้นพระญาก็มีใจชมชื่นยินดีกับดวยลูกแหงตนเลือก เอาแมนมได ๖๔ คนเลีย้ งราชกุมารผูน นั้ ก็มแี ลตราบตอเทาอายุได ๑๖ ป ก็มีเตชะฤทธีอนุภาวะมากนัก พระญาตนพอก็วางเมืองหื้อลูกตนเสวย เมืองหดดวยน้าํ มุทธากองแกว กระทํานามภิเษกชือ่ วา “พระญาพู” ก็มแี ล นางราชเทวีผชู อื่ วา วิมารา โส ภริยา สวนวานางราชเทวีธดิ าอันเปน เทวบุตรอันอยูยังภูเขา คันจุตินางก็ไดไปเอาปฏิสนธิในทองเมียนาย บานสวนตาลที่นั้น มีรูปโฉมอันงามเปนดังนางเทวดาอยูชั้นฟาก็มีแล โส คามช โก สวนนายบานผูนั้นก็รักษายังลูกญิงแหงตน บหื้อ ออกบานสักเทื่อก็มีแล นางผูนั้นมีอายุได ๑๕ ป ก็ลือชาปรากฏไปรอดหู พระญาเจาเมืองที่นั้นก็ใชลูกบาวแหงตน ๔ คนไปบอกหื้อนายบานวา “เมือ่ เชาวันพรูกหือ้ นายบานหางชางทีน่ งั่ มา เราจักไปเลียบเวียง” ๒๒ เจริญรุงเรือง

๑๒


เขารับเอาอาชญาแลวก็พากันไปสูบ า นสวนตาลทีน่ นั้ เขาก็ไปหัน ลูกสาวนายบานงามนักลวดหาสติบไดลวดลืมคําอันพระญาหากใชเสีย จนค่าํ ก็มแี ล เถิงยามค่าํ มืดจวนตาจิง่ พากันคึดรอดคําพระญาใช จิง่ บอกหือ้ นายบานวาเมือ่ เชาวันพรูกหือ้ นายบานหางชางทีน่ ง่ั ๒๓มาพระญาเจาไป เลียบเวียง คันบอกแลวเขาก็พากันมาทังค่าํ ทังมืด คันมารอดพระญาแลว พระญาก็เคียดแกเขา ถอดดาบออกมาวา “จักฟนหัวเสียใชสูไปแตเชาเถิงค่ําแลวมา” เขาจิ่งไหวสาวา “ขออภัยโทษกับพระบาทเจาเหนือหัวกอน ผูขาก็ไปตามอาชญา เจาเหนือหัวแทแล เทาวาผูขาพระบาทเจาไปหันใสนางผูนั้นงามนักลวด ลืมสติเสีย ค่ําแลวจิ่งคึดรูอาชญาเจาเหนือหัวแล” พระญาก็ลวดเอาดาบวางไว ตัณหาวูไ หมคาทรวง๒๔ คึดรอดดวง ดอกไมคดิ ใครไดบห ลับบนอนแลนา คันเถิงวิภาตายะรุง แจงมาแลว นายบาน ก็หา งชางทีน่ งั่ ประดับประดาดีเอามาถวายแกพระญาก็มแี ล พระญาก็ลวด บกินขาวน้ําโภชนาเทาคึดใจหานางอยูไจๆ เปนดั่งจักไดบัดเดียวนั้นแท ดีหลี พระญาก็ขึ้นสูหัตถีกุญชรํ๒๕ตัวประเสริฐบังเกิดโสมนัสก็เสด็จไปสู เคหานายบาน ไสชางเขาชิดชานเรือน พระญาก็เรียกรองหานายบานวา “เอาน้ํามากินเทอะ” นายบานก็ฟง มโนมนา26หาเอาสลุงไดแลวใสนา้ํ ไปถวาย พระญา ก็บเอาวา “สูจุงหื้อลูกสาวทานมาเทอะ” นายบานก็หอื้ ลูกสาวมันเอาน้าํ ไปถวายพระญาหัน้ แล พระญาหัน นางผูน นั้ ก็ถกู เนือ้ เพิงใจมากนัก พระญาก็ชกั เอาแขนนางขึน้ ขีช่ า งรวมกัน ๒๓ จัดเตรียมชางพระที่นั่ง ๒๔ อัดอั้นอยูในอก ๒๕ ชางทรง ๒๖ กุลีกุจอ

๑๓


เขาสูเ วียงแกวราชธานี ตัง้ ไวหอื้ เปนนางราชเทวีทตุ โิ ยถวน ๒ ก็มวี นั นัน้ แล โส ราชา อันวาพระญาตนนัน้ ก็มใี จชมชืน่ ยินดีจดั หานางทัง้ หลายได รอยนางหือ้ เปนนางใชทง้ั นายอันเปนตนพอนัน้ หือ้ เปนใหญในบานสวนตาล ที่นั้น ประทานหื้อชาง ๕๐ มา ๕๐ ก็มีแล พระญาก็มีใจชมชื่นยินดีกับ ดวยนางมากนัก สา สวนวานางผูนั้นชื่อวานางแกวเลิศแลวปทุมมาก็มีแล สตฺตเม ทิวเส วุฏเฐ รฺโญ สา สวนวานางนาฏแกวปทุมมา ไดมาเปนนางพระญา ได ๗ วัน เทวตา รกฺขนฺติ รกฺขํ ติณฺฑิกานิ มหาชินธาตุํ หมฺมิยํ ปพฺพตํ สวนวาเทวดาอันรักษาธาตุเจาดอยที่นั้นก็มาโจทนาเซิ่งกันไปมาวา “โภ ดูราเจาทั้งหลายกาลปางนี้ ก็เปนกาลอันควรหื้อพระธาตุเจา รุงเรืองปางนี้แลกา?” จิ่งปรากฏหื้อนางหันนิมิตวา พระธาตุเจาอันมีในดอยที่ใกลเคา หมากคับทองหัน้ ปางเมือ่ เปนยาเถาแก ๒ คนผัวเมียฟนไรอยูท นี่ นั้ พระเจา เอาธาตุหื้อขาทัง ๒ ฝงไวใกลเคาหมากคับทองทังวันออกนั้น พระญา ตนนี้ก็เปนผัวนางปางนั้นแลวนางจุงสรางแปงเสียเทอะ แมนนางหากได สรางแทแล เทวดาก็มาสําแดงหือ้ นางหันนิมติ ก็มแี ล วิภาตายะ คันรุง แจง แลวนางก็ไหวพระญาตามนิมิตก็มีแล พระญาก็จากับดวยนางวา “ผิแลมีดั่งอั้น กินงายแลว ราจักไปขุดเหยี้ยมผอ๒๗ดู” คันกินขาวแลว พระญาก็พาเอานางไปสูด อยทีน่ นั้ พระญาก็ขดุ ลง ก็จวบ๒๘ใสตน ปูนทองแดงแทแล ธาตุเจาก็กระทําปาฏิหาริยร งุ เรืองสองแจง อันวาตนแลใบแหงตนหมากคับทองนัน้ เหลืองไปเปนดัง่ ติดคํานัน้ แล พระญา แลนางปทุมมาก็มีใจชมชื่นยินดีมากนัก ก็พากันสาธุการพระชินธาตุเจา ที่ติดที่เทาหาแหง๒๙ก็มีแล ในกาลยามนั้นแผนดินก็ไหวฟาก็รวนรอง สนั่นกองทั่วจักรวาล หาฝนชลธาราอันใหญก็ตกลงมามากนัก ในกาลนั้น ๒๗ เยี่ยม, ดู ๒๘ พบ ๒๙ การกราบดวยเบญจางคประดิษฐ

๑๔


นางแกวนาฏปทุมมาก็ขอพรเซิ่งพระญา “พระองคเจาขอสรางธาตุกอเปนเจดีย ขอพระบุญมีเปนเจา จุงอนุญาตหื้อขานาฏปทุมมาแดเทอะ” ในกาลนั้นพระญาก็กลาววา “แกวนาฏนอยพี่ จุงสรางตามใจเทอะนางเหย” คันกลาวแลวก็พานางแกวราชกัญญาปทักษิณธาตุเจา ๓ รอบแลว ก็พานางแกวคืนเมือง เมือรอดปราสาทนิเวสน พระญาก็มอี าชญาหือ้ เสนา อามาตย ปาวคนทั้งหลายมาพรอมเทของจาง ซื้อกอแรกสรางพระเจดีย ได ๗ วันก็แลว นางแกวปทุมมาซ้ําขอพรเซิ่งพระญาวา “ขาแด พระบาทเจาเหนือหัว ผูขาขอสรางเจดียที่บานสวนตาลที่ ขาเกิด จักนิมนตเอาธาตุเจาองค ๑ อันอยูใ นตนปูนเมตตาประดิษฐานตัง้ ไวหื้อเปนที่ไหวแลบูชา” ยามนัน้ พระญาก็อนุญาต นางก็สรางธาตุเจดียท บี่ า นสวนตาล ๗ วันก็แลว นางแกวก็ไปนิมนตธาตุเจาก็ทรงพระมหากรุณา เสด็จออกจาก ตนปูนองค ๑ กระทําปาฏิหาริยรุงเรืองในอากาศเขาไปตั้งอยูเหนือหัว นางแกวนาฏนอยปทุมมา นางก็เอาขันคํารับเอาแลวตีโกศแกวคําดีใหญ ๕ กํา รับเอาแลว นางแกวอธิษฐานขอนิมนตธาตุเจาไปสําราญเมตตา ยามนั้นพระญาอินทรก็ปลงอุโมงคลงลึก ๕๐ วา เนรมิตสะเพลาคําใสไว นางแกนไทมใี จชมชืน่ ยินดีกต็ กแตงของทานฉลองเดือน ๕ เพ็ง ฉลองธาตุ อันอยูในดอยเดือน ๘ เพ็ง ก็มีแล ตทา มหากฺญา อิสฺสโร อโหสิ ตทา ในกาลนั้นนางนาฏเทวีเมีย เคาก็รา่ํ พึงในใจวา นางเมียนอยเพิน่ มาเปนเทวีได ๗ วัน ก็ยงั ไดสรางธาตุ ทึง ๒ หลัง พั่นตนกู๓๐ไดอยูมานานแลว ก็บไดสรางสังสักอัน นางจิ่งไป ขอพรกับพระญา พระญาก็อนุญาตแลวนางก็จา งซือ้ ดินละอิด๓๑ปูนทราย ๓๐ สวนตัวเรา ๓๑ อิฐ, กอนอิฐ

๑๕


แรกกอสรางธาตุเจดีย คันวากอขึ้นไปสูงเพียงหัว ก็โปด๓๒ไดรอยทีพันที ลวดละเสียจิ่งไดชื่อวา “เขาหลวง” ตามนิมิตเมียหลวง สรางเขานอยนั้น ตามนิมิตเมียนอยสรางไดชื่อวา “เขานอย” แล รฺโญ สธึ ราชกฺเญ สํสาเร สคฺเค มนุสฺเส ปุณฺณ ปุณฺณํ สตฺตเห นคเร สวนวาพระญาแลนางนาฏนอยปทุมมา ก็ตายเกิดตายเกิดถาย กําเนิดไปมาบึดหนึ่งไปเกิดชั้นฟา บึดหนึ่งลงมาเกิดเมืองคนเปนพระญา ไจๆ จักไดเปนเจาแผนดินเมืองนานที่นี้ ๗ เทื่อ แลวจักนิพพานไปชะแล ปางเมื่อไดเปนพระญาพูนั้นมีอายุได ๙๙ ป หอ๓๓แลแมนตา ตอมาตีบานเมืองใหญนอยทังหลายชูเมืองยังแตเมืองนานเมืองเดียว พระญาก็รอ นเนือ้ เดือดใจมากนัก พระญาก็อธิษฐานหาเจาตนบุญมาโปรด ผายผูขาอยาหื้อบานเมืองผูขาเปนสาธารณแดเทอะ ตทา ในกาลนั้น มหาเถรชีมานตน ๑ ทานไดรูตํานานธาตุเจา อันตั้งอยูในเมืองนานนี้ เถรเจาก็มาไหวแชแหง เขานอย สวนตาล กูคํา พระญารูจิ่งใชไปไหวเถรเจานิมนตมาสูโรงหลวงแลวก็ไหวเถรเจาวา “ภนฺเต ขาไหวพระผูเปนเจา บัดนี้หอแลแมนตาตอมาตีเมือง ทั้งหลายคือวา เมืองเชียงแสน เชียงราย เชียงของ พยาว เมืองใหญ เมืองนอยทัง้ หลายก็มากแล ขอเจากูจงุ เปนทีพ่ งึ่ แกขา สันใดบานเมืองตูขา บแตกมางหมั้นคุง๓๔ ก็ขอพระเปนเจาโปรดผายผูแดเทอะ” เมื่อนั้นเถระเจาจิ่งกลาววา “ดูรามหาราช คันยังใครหอื้ บานเมืองมหาราชกานกุง รุง เรืองบหอื้ เปนสาธารณแกขาศึกศัตรูดั่งอั้น หื้อมหาราชไดสรางพระพุทธรูปใหญ ตน ๑ นอนขวางเมืองที่ธาตุเจาแชแหง แลวหื้อสรางธาตุแถมหลัง ๑ พาย วันออกเวียงเทอะ” พระญาพูก็กอสรางพระพุทธรูปแลเจดียตามคําเถรเจาชูประการ ๓๒ พังทลาย ๓๓ ชาชาติจีนหอ ๓๔ มั่งคง

๑๖


แลวเถรเจาวา “ภนฺเต ขาแดพระเปนเจา ผูข า ก็สรางพระพุทธรูปแลเจดียต ามคํา พระเปนเจาแลว ในเจติยะนั้นจักเอาธาตุไหนมาใสชา” เถรเจาวา “บยาก หื้อมหาราชไดแปงเทียนเงิน ๘ คูเทียนคํา ๘ คู นิมนต ธาตุเจาหากจักมาเมตตาชะแล” พระญาก็กระทําตามตามคําเถรเจาชูป ระการ ในกาลนัน้ ธาตุพระ โคตมเจาก็เสด็จมาทังอากาศ ๔ พระองคตงั้ อยูเ หนือขันคํากระทําสุวรรณ รังสีทั่วเวียงทังมวล พระญาก็มีใจชมชื่นยินดี ก็ตีกระอูบคําใหญ ๗ กําใส ธาตุเจา ก็อธิษฐานเจาก็เขาอยูในเจติยะหลังนั้นก็มีแล ที่นั้นหอแลแมนตาตอก็มาตั้งทัพอยูหลายแมน้ํานานพายวัน ออกเวียงเพื่อจักมาตีเมืองนานที่นั้น ดวยเตชะธาตุแลพระพุทธรูปลวด บังเกิดเปนลมใหญตที พั หอแลแมนตาตอ ฟาก็ผา ก็ผา มากนักเขาตกใจกลัว ก็ลวดพากันหนีทังคืนบหลอ๓๕สักคนก็มีแล พระญาพูก็ขับคนขนเครื่อง ศาสตราอาวุธ มา ลา เขาไวในเวียงได ๓ วันจิ่งเสี้ยงแล แตนั้นพายหนา บานเมืองที่นั้นลวดหาภัยยะขาศึกบไดแล พระญาพูตนมีบุญมากจักได เสวยเมืองนานที่นี้ ๗ เทื่อจักไดศาสนาในเมืองที่นี้จักกานกุงรุงเรืองพาย หนาชะแล พระตนนั้ น เกิ ด มาชาติ ใ ดมี อ ายุ ยื น ชู ช าติ แ ล พระญาตนนั้ น หุม๓๖เครือ่ งศาสตราอาวุธ เหตุใดพระญาตนนัน้ หุมเครือ่ งศาสตราวุธนัน้ ชา เหตุวา พระญาตนนัน้ ไดแบกหอกทวยเมียไป วาพระพุทธเจาเปนยักษกลัว กินเมีย พระญาตนนั้นเกิดมาชาติใดหุมชาง เหตุใดพระญาหุมชางนั้นชา เหตุวาพระญาตนนั้นไดชักแขนนางปทุมมาขึ้นบนหลังชางไดชมชื่นยินดี กับดวยนางนั้นแล ๓๕ ไมเหลือ ๓๖ ชอบ, นิยม

๑๗


เถรเจาบอกพระญาคันใครหื้อบานเมืองกานกุงรุงเรืองดั่งอั้น จุง สรางทีถ่ ปนนา ๖ แหงนีเ้ ทอะ บานเมืองหากจักกานกุง รุง เรืองมากชะแล พายหนาเมืองนานทีน่ จี้ กั เปนเมืองใหญมหานคราราชธานีกลาวยังตํานาน เมืองนานก็แลวเทานี้กอนแล เถรเจาบอกไวหื้อเปนไมใตสองโลกโลกาวา จักสราง(ที่)เขานอยหื้อบูชาเทวบุตรตนชื่อวา “รัตนรังสี” ดวย เครือ่ ง ๘ คือวา ขาวตม ขาวหนม ขาวสูนน้าํ เผิง้ น้าํ ออย หมาก พลู ลูกไม หัวมัน ๘ ชอเขียว ขาวเขียว จักสรางที่สวนตาลหื้อบูชาเทวบุตรตนชื่อวา “มธุรส” ดวย น้ําหวาน ๕ ประการ แลเชื้อแล ๕ ขาวเขียว แลดอกไมเขียว คันจักสรางทีว่ ดั พระญาพูหอื้ ไดบชู าเทวบุตรตนชือ่ วา “อภิตา” ดวยขาวน้ําโภชนะ หมาก พราว ตาล ขาวตอกดอกไม แลขาวใสน้ําออย แลหอกดาบ ฉัตรเกิ้ง เครื่อง ๘ คันจักสราง(ที่)กูคําหื้อบูชาเทวบุตรตนชื่อวา “กัมพล” บูชา ดอกไมแดง ๘ ขาวแดง ชอแดง ๘ คันจักสราง(ที่)แชแหงหื้อบูชาเทวบุตรตนชื่อวา “หลิโต” บูชา ดวย ขาวแชน้ําออย พราว ตาล ฉัตรเกิ้ง พัดคาว จาวมร เครื่อง ๘ คั น จั ก สร า งพระนอน(ที่ ) แช แ ห ง หื้ อ บู ช าเทวดาด ว ยข า วต ม ขาวหนม กลวย ออย ของหวาน เครือ่ ง ๙ หือ้ ขึน้ ทาวทัง ๔ ก็มที กุ แหงแล ปริ ปุ ณ ณะแล ว ยามเที่ ย งสะเมี ย งกิ น ข า วทอน ๓๗คํ า เดี ย วแล ที่ไหวเหย อรหนฺตา มคฺคญาณํ ทินฺนํ นิพฺพาน ปจฺจโย โหนตุเม นิจฺจํ ธุวํ ธุวํ ดวยเตชะขาไดเขียนธรรมตํานานเมืองนานผูกนี้ ขาขอเอาสุข ๓ ประการ มีนิพพานเจาเปนยอดเทอะ ดวยเตชะนาบุญอันนี้ขาเกิดมาในภาวะชาติ อันใดก็ขอหื้อสมดั่งคํามัก คําปรารถนาชูอันเทอะ ทิ ปุ อ ป อิ ขอหื้อได ๓๗ จวนจะถึงเวลาอาหารกลางวัน

๑๘


บุญทั้งบิดา มารดาชูคนเทอะ จุลศักราชได ๑๒๔๘ ตัว ปจอสนํา กัมโพชคามตามขอมพิสยั ในวัสสา ภัททะ๓๘ อุตุฤดูเดือน ๑๒ ปกาบเส็ด๓๙ เสด็จแลววัน ๕ ไทกัดเหมา แกขา แลนายเหย จะไปใครหวั รายเชนเทอะ บชะนาญ๔๐หลายแล ศรีวชิ ยั ภิกขุลิขิตแลนายเหย พิจารณาแยงนาวเอาพรองเทอะ บเคยชะนาญแล อกฺขริ แรกสรางแตงใจจงเปนที่คนประสงครับรูแล

๓๘ เดือน ๑๐ ภาคกลาง ตรงกับเดือน ๑๒ ลานนา ๓๙ ที่ถูกจะตองเปน “ปรวายเส็ด” ๔๐ ชํานาญ

๑๙


ตํานานเมืองเชียงมวน

อําเภอเชียงมวนเดิมมีฐานะเปนตําบลเชียงมวนอยูใ นเขตการปกครองของอําเภอ บานมวง จังหวัดนาน ตอมาป พ.ศ.๒๔๙๖ ไดโอนเขตการปกครองไปขึ้นอยูกับจังหวัด เชียงรายมีฐานะเปนกิ่งอําเภอขึ้นการปกครองอยูกับอําเภอปง และไดมีพระราชกฤษฎีกา ยกฐานะเปนอําเภอเชียงมวน เมื่อ ๒๙ เม.ย. พ.ศ.๒๕๑๗ ตอมาเมื่อวันที่ ๒๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๒๐ อําเภอพะเยาไดรับการยกฐานะขึ้นเปนจังหวัดพะเยา ทางราชการจึงไดโอน อําเภอเชียงมวนใหอยูในเขตการปกครองของจังหวัดพะเยา

๒๐


ตํานานเมืองเชียงมวน จักกลาวตํานานชินธาตุมุนีราชถปนา๔๑อันพระมหาเถรเจาทั้ง ๔ จําพวกก็เอาจุไวในดอยกองหินเมืองเจางัว่ ไทวาเมืองเชียงมวนกอนแล ยังมีดอยลูก ๑ ชื่อวาดอยกองหิน ยังมีหวยอัน ๑ ชื่อวาหวย ทรายขาว (ซายขาว) อันมีไกลดอยกองหิน ๕๐๐ วา มีวนั ออกดอยกองหิน นั้นแล ดอยกองหินนั้นอวายหัวไปสูดอยเชียงวู หางดอยอวายไปหน ใตแล น้ําหวยอัน ๑ มีหนวันออกดอยนั้นไหลไปหนใตแล ดอยอันนั้น เมื่อพระเจายังธรมาน๔๒วันนั้นมหาเถรเจาตน ๑ ชื่ออุปนันทปุสสเถร มาอยูจําสงัดยังอันนั้น ก็หากเปนที่อยูชาวเจา๔๓แตเมื่อพระเจานิพพาน ไปได ๑๐๐ ป วันนั้นยังมีอรหันตาเจา ๔ ตนเอาธาตุเจามาอยูจําสงัด ในดอยที่นั้นได ๕๐ วัสสาก็รูอายุแหงตนจักเสี้ยง จิ่งจากับดวยพระญา เจางั่วหื้อหาแกวมาแปงโขศ๔๔ใสธาตุพระเจาไดแลว พระญาก็ขุดขุมลง.. (ตัวอักษรไมชดั )..ทีน่ นั้ เลิก๔๕ ็ ๗ วา แลวก็เอาธาตุพระพุทธเจาลงไวในขุม หั้นแลว เอาหินทรายมาถมเต็มดีแลว ถัดนั้นพระญาก็หื้อบกคันธะคือ๔๖ ๔ เหลมสูง ๔ วา ถัดนั้นพระญาก็หื้อแปงดอกบัวคําใหญเทาแมพาด๔๗ ไวปูชาธาตุพระพุทธเจาแล ถัดนั้นอรหันตาเจาก็อธิษฐานวาดังนี้ “พระพุทธเจาก็นพิ พานไป ไวศาสนา ๕๐๐๐ วัสสา พนไปสองพัน ปลายป ๑ ปาปธรรมจักเกิดมีมากนัก ทีอ่ นั นีก้ จ็ กั เปนลามก๔๘เสียมากชะแล เมื่อนั้นจุงหื้อเจาไดกระทําฤทธีปาฏิหาริยหื้อรุงเรือง หื้อเสียบาปแกคน ๔๑ จัดตั้ง, จัดสราง ๔๒ ยังดํารงชีวิตอยู ๔๓ ภิกษุ, สามเณร ๔๔ โกศ ภาชนะบรรจุอัฐิมีฝาครอบ ๔๕ ลึก ๔๖ ไมทราบความหมาย อาจจะคัดลอกผิด ถอดตามตัวเขียนลานนาไดเปน คนฺธคื ๔๗ มาตราวัดระยะเทากับนิ้วหัวแมมือพาดตามยาว ๔๘ สกปรก, ชั่วชา

๒๑


ทัง้ หลาย อยาหือ้ ทีน่ เี้ ปนลามก จุง หือ้ นักปราชญเจาตนบริสทุ ธิม์ าจําระ๔๙ ที่นี้หื้อเปนที่ไหวปูชาแกคนแลเทวดาทั้งหลายเทอะ” วาอั้น วันนั้นแลแตนั้นไปบนานเทาใดอรหันตาเจาก็นิพพานไปในดอย ที่นั้นทั้ง ๔ ตนแล พระญาก็สงสการมหาเถรเจาทั้งหลาย แลวก็เอาธาตุ อรหันตาเจาใสไหเงินลูก ๑ แลวใสอางทองลูก ๑ ไปฝงไวในปริเขตที่เผา มหาเถรเจาทั้งหลายอันมีวันออกชวยใต๕๐ที่ไวธาตุพระเจาชั่วธนู๕๑ ๑ แล เมื่อพระญาเจางั่วก็กระทําสงสการปูชาทุกเมื่อบขาดสายแล ถัดนั้นพระญามีลูก ๔ คน ผู ๑ ชื่อทิสะ ผู ๑ ชื่อ ปุสสะ ผู ๑ ชื่อ คันธะ ผู ๑ ชื่อ กัญญาแล ราชเทวีตนแมชื่อสุภาวดี กัญญาแลทาว พระญาทัง้ หลายฝูงนีก้ เ็ ทียรยอมอยูอ ปุ ฏ ฐากธาตุพระพุทธเจาชูค นแล ถัดนัน้ พระญาก็ไวขา ๔ คนหื้ออยูอุปฏฐากรักษาธาตุเจาทุกเมื่อแล พระญาก็ กดหมาย๕๒เขตแดนทีน่ นั้ ไวหอื้ เปนทีอ่ ยูช าวเจาชูท งั้ มวลแล ถัดนัน้ พระญา ก็หื้อกองหินไวเหนือปากขุมธาตุอรหันตาเจาภายหางดอยหนใตธาตุ พระพุทธเจาชัว่ ธนู ๑ แล แตนนั้ ไปจิง่ ไดชอื่ วา “ดอยกองหิน” มาแล ทีธ่ าตุ พระพุทธเจาอยูน นั้ มีทา่ํ กลางดอยอันนัน้ กองหินไวเปนดังรูปโก๕๓นัน้ แล แตนั้นไปพระญาก็กระทําบุญมวนเพราะสนุกนักทุกเมื่อ แลก็ ปรากฏถึงพระญาอินทรก็ลงมากระทําบุญปูชากับดวยพระญาทุกเมื่อ และพระญาอินทรร่ําเพิงวา ภายหนากลัวเปนสาธารณ54จิ่งไวเทวดา ตน ๑ ชื่อ สุปฏิฐิตจิ่งจักสั่งเทวดาวา “หื้ อ ท า นอยู รั ก ษาธาตุ พ ระพุ ท ธเจ า ที่ นี้ กั บ ด ว ยอารั ก ษ รั ก ษา บานเมืองที่นี้อยาหื้อลามกแกศาสนาพระเจา จุงสุขเกษมแกคนฝูงดีที่ ศรัทธามาไหวนบครบยําปูชามหาธาตุเจาที่นี้ ทานจุงหื้อสวัสดีแกผูนั้น ๔๙ ชําระ ๕๐ ตะวันออกเฉียงใต ๕๑ ความยาว ๑ ชวงคันธนู ประมาณ ๒.๕ เมตร ๕๒ กําหนดไวเพื่อใหจําได ๕๓ สิ่งที่ปรากฏเห็น ๕๔ ไมมีเจาของ

๒๒


ทุกเมื่อเทอะ” วาอั้น คันวาคฤหัสถนักบวชญิงชายทั้งหลายจักมาไหวปูชาธาตุเจาที่นี้ หื้อปูชาเทวดาตนอยูรักษาวัดดวยคันธมาลา๕๕ ขาวตมขาวหนมหวาน อันประณีต แลวหื้อวาอักขระตั้งนี้ ๓ ที ๗ ที วาดังนี้หื้อสมฤทธีแกผูมา ไหวปูชาเทอะ “สุปฏิฐติ า เทวตา สมสฺส ยสฺส สวสฺสติ เทว มนุสสานํ ปูชา สกฺการํ จตฺตนฺตุ สพฺพ สฺตรู วินา สนฺตุ สวาหาย” คันวาปูชาเทวดาแลวสวาดคาถาอันนี้ แลวไหวปชู าธาตุเจาก็ยอ ม สมฤทธีแกผูนั้นทุกเมื่อวันนั้นแล จากับดวยตํานานธาตุเจาอันตั้งอยูดอย กองหิน เชียงมวน ก็แลวเทานี้แล ตํานานพระธาตุเจาอันตัง้ อยูใ นเมืองเจางัว่ ไทวาเมืองเชียงมวนนัน้ อันมีวันตกดอยเชียงวูที่นั้นยังมีฐานะที่ ๑ ชื่อวายางมน ยางงามก็วา ดอนควางก็วา อันอยูด อนควางนัน้ เล็งดูบา นเมืองหนวันตกนัน้ กวางขวางนัก มีประมาณโยชนะ๕๖ ๑ แล ในดอนควางที่นั้นมีไมควาง๕๗ตน ๑ ใหญ ๕ ออม สูงซาววาแล ดอนนั้นลวดปรากฏวา “ดอนควาง” เพื่ออั้นแล ยางมนนัน้ ทางหนเหนือมีแมนา้ํ อัน ๑ ไหลไปหนวันตกไปหัน้ พันวา ๑ หน ใตมีหวยอัน ๑ ชื่อ “หวยบอสม” ไปหั้น ๕๐๐ วาแล เมื่อพระพุทธเจายังธรมาน วันนั้นยังมีอรหันตาเจาตน ๑ ชื่อวา อุปาธิตสั สเถร ยอมมาจําสงัดอัพโภกสิณ๕๘ในดอนควางทีน่ นั้ แล เมือ่ นัน้ พระญาตน ๑ ชื่อปญโญวราช กินเมือง (เชียง) มวนแล พระญาก็รักษา มหาเถรเจากับลูกสิกข ๕๐๐ ตนแล ฐานะที่นั้นยอมเปนที่อยูจําสงัดแหง ชาวเจาทั้งหลายเสี้ยงแล ๕๕ ดอกไมหอม ๕๖ มาตราวัดระยะทาง ประมาณ ๒๐ กิโลเมตร ๕๗ ตนเต็งรังซึ่งมียางเปนน้ํามันใชคลุกกับเศษไมทําเปนไต ๕๘ นาจะหมายถึง “อัพโภกาสิกังคธุดงค” หนึ่งใน ๑๓ ขอปฏิบัติของการถือธุดงควัตร

“อัพโภกาสิกธุดงค” คือ ถือการอยูในที่แจงเปนวัตร

๒๓


เมื่ อ พระพุ ท ธเจ า เข า สู นิ พ พานแล ว ได ร อ ยซาวป วั น นั้ น ยั ง มี มหาเถรเจา ๔ ตน ยอมเปนอรหันตาเจาชูตน ตน ๑ พุทธวิลาส ตน ๑ ธรรมวิลาส ตน ๑ สังฆวิลาส ตน ๑ ชื่อปญญาวิลาสแล มหาเถรเจาทั้ง ๔ ตน เอาธาตุแหงพระพุทธเจาอันพระญาหาแกวมาแปงโขศใสธาตุ พระเจ า ว า อั้ น พระญาก็ ห าได แ ก ว ป พ ภา ๕๙รั ต นลู ก ใหญ เ ท า หมาก นาวกาน๖๐ควรคารอยคํา มาแปงโขศใสธาตุพระพุทธเจาแลวก็ซา้ํ หนักพัน ๑ แลวใสอโุ มงคหนิ กอน ๑ ใหญเทาเม็ดขาวอึดติดตันดีแลว พระญาก็หอื้ ขุดขุมเลิก็ ๓ วา เอาอุโมงคหินอัน ๑ ใสธาตุเจาลงจุไวในขุมถมดีแลวดวย หินแลทรายเต็มแลวกระทําหื้อเปนเจติยะทรายขาวภายบนสูงวา ๑ พระญาก็หื้อเพื่อนแปงดอกบัวคํา ๔ ดอกไวปูชาชินธาตุเจา แลวหื้อแปง ศาลากวมไวหั้นแลว เมื่อนั้นอรหันตาเจาก็ตั้งคําอธิษฐานไววาดังนี้ “พระพุทธเจานิพพานไปแลวยังไวศาสนา ๕ พันปแลเมื่อศาสนา พนไปได ๒ พันปลายรอยซาวปมเี มือ่ ใด ปาปธรรมก็จกั เกิดมีมากนัก เมือ่ นัน้ เจาจุง กระทําอิทธิฤทธีปาฏิหาริยห อื้ ปรากฏแกคนทัง้ หลาย หือ้ เขาเสีย บาปเขา แลวจุง หือ้ บันดาลใจหลิง่ นอมเขาในกูแ กวศาลาแลวหือ้ บังเกิดขาว ของสัมปตติ๖๑แกเขา แลวจุง หือ้ นักปราชญเจาตนบริสทุ ธิม์ าจําระทีน่ หี้ อื้ เปนที่ไหวแลปูชาแกคนแลเทวดาทั้งหลายเทอะ” วาอั้น ถัดนั้นเจาก็อธิษฐานวาสันนี้เลา อันวาพระเจติยะเรานี้จุงหื้อ ตั้งหมั้นตอเทาเสี้ยงศาสนาอยาหื้อเปนลามกเสียเทอะ อรหันตาเจา อธิษฐานสันนี้หั้นแล ถัดนั้นพระญาปญโญวราชก็ไหวขา ๔คนหื้อรักษา ธาตุเจาหั้นแล พระญาก็กระทําบุญบขาดสายแล พระญาอินทรเจาก็ลง มาไหวปูชาทุกเมื่อแล รําเพิงไปภายหนากลัวเปนสาธารณแกเจาจิ่งไหว เทวดาตน ๑ อยูรักษาชื่อสุรัมมาปรมัยยะสุรเทวดาอยูรักษาธาตุเจาที่นี้ ตอเทาเสี้ยง ๕ พันปเทอะ ๕๙ เปนรัตนชาติอยางหนึ่งมีหลายสี ๖๐ กากะทิง-ชื่อพรรณไมยืนตนชนิดหนึ่ง ใบและผลคลายสารภี ๖๑ สมบัติ

๒๔


คันวาคฤหัสถนกั บวชญิงชายทัง้ หลายจักมาไหวแลปูชาธาตุเจาทีน่ ้ี จุงปูชาเทวดาดวยคันธมาลา คันโธทกะ๖๒อันประณีต แลจุงไหวสวาด คาถาอันนี้ก็จักสมฤทธีสวัสดีชูอันแล “มหาสุรมฺม ปรเมยฺย ปวรํ ปวเร สุรกิตฺติ สวาหะ” ดังนี้ ๓ ที ๗ ทีเทอะ ยังมีพญานาคตน ๑ ชื่อโชวนสุรภิกขา อยูทองดอยเชียงวูที่นั้นก็ยอมมารักษาพระธาตุทุกเมื่อแล พระญาอินทา แลพญานาคมาไหวใผบรแู ล ผูม ปี ระญาหากรูม สี ทั ทคันธรัสสปญญานัน้ แล จาดวยตํานานพระธาตุเจาอันตั้งอยูดอนควาง เมืองเชียงมวน ก็แลวเทานี้กอนแล เสด็ จ แล ว ยามกลองงายแก ข า แล ศั ก ราชได ๑๒๑๗ ตั ว ๖๓ ปดับเปา๖๔ เดือน ๙ หูรา๖๕ แรม ๗ ค่ํา พร่ําวาไดวัน ๑ แกขาแล ขาจัก สอชื่อไววาอินทวิชัย แตมปางเมื่อเปนอธิการวัดบานมาง๖๖ วันนั้นแล ตัวก็ไมเสมอกันแล ขออยาไปวาขารายเนอ ตัวตึ้งไมงามแลนายเหย

พระธาตุภูปอ ต.บานมาง อ.เชียงมวน จ.พะเยา ๖๒ น้ําหอม, น้ําอบน้ําปรุง ๖๓ จุลศักราช ๑๒๑๗ ตรงกับพุทธศักราช ๒๓๙๘ ๖๔ ที่ถูกนาจะเปนปดับเหมา ๖๕ ตรงกับเดือน ๘ ภาคกลาง หรือตรงกับเดือน ๑๐ ลานนา ๖๖ วัดบานมาง ต.บานมาง อ.เชียงมวน จ.พะเยา

๒๕


คติชนชาวนาน ๒๖


โวหารรักหรือคําอูบาวอูสาวของคนสมัยกอน ในสมัยกอนเมื่อเด็กหญิงมีอายุ ๑๕ ปขึ้นไป ก็จะถือวาเปนสาว แลว บิดามารดาก็จะอนุญาตให “อยูนอก” คือ จะอนุญาตใหพูดคุยกับ ชายหนุมหรือ “บาว” ไดในชวงเวลาหลังอาหารมื้อค่ํา โดยผูหญิงก็จะ ทํางานบานเล็กๆ นอยๆ ไปดวย เชน ปนฝาย ผาหมาก เย็บปกถักรอย ฯลฯ ในแตละค่ําคืนก็อาจจะมีหนุมหลายคนเขามาสนทนาดวย และเปน มารยาทวา “ถาอายเพิ่นมา อายก็จะฅาย” หมายความวา หากมีหนุม รายใหมจะเขามาสนทนากับฝายหญิงบาง หนุมที่มากอนก็จะเปดทางให และชายหนุมผูนั้นก็อาจจะไปสนทนากับสาวบานอื่นอีก ทั้งนี้เพื่อใหตาง ฝายไดมโี อกาสดูใจเพศตรงขามหลายๆ คน จะไดมนั่ ใจวาใครทีม่ อี ปุ นิสยั ไปกับตนได เมือ่ เปนดังนี้ กวาทีท่ งั้ สองฝายจะตกลงเปนคูร กั กัน หรือเปน “ตัวพอ ตัวแม” ของกันและกัน จึงตองใชเวลาเปนอันมาก เมือ่ ยังไมสนิท สนมกันเทาทีค่ วร ทัง้ สองฝายก็ยอ มมีความกระดากอายทีจ่ ะถามเรือ่ งสวน ตัวของกันและกันตรงๆ จึงมีการใช “โวหารรัก” หรือ “คําอูบาวอูสาว” ในการโตตอบกัน ตอไปนี้เปนตัวอยางคําอูบาวอูสาวที่คนเมืองนานใช เกี้ยวพาราสีกันในสมัยกอน ระหวางทางที่หนุมจะมาถึงบานสาวก็อาจจะชอยหรือจอยมา ตามทาง ตัวอยางเชน บวกอยูยังแภะควายอยูยังตม เขาวาชางสารกับแมนกไส ใครปลูกสลิดติดตนน้ําแน เขาวานกเคา หยังมาจับปลาย

หาเมียซักคนก็หลางจะได นองวาอันใดจะแพ มาหวันกอดเกี้ยวปลายใบ คําฟูอ น่ี ายเหมือนมัดไขหอ ย๖๗

๖๗ สํานวนของพอทอง แกวนา บานดูพงษ อ.สันติสุข จ.นาน

๒๗


เมื่อมาถึงบานสาว กอนที่จะขึ้นเรือน หนุมก็จะทักทายสาวและ ขออนุญาตขึ้นบนเรือน ตัวอยางเชน หนุม อี่นายนาฏนอง พี่มาแอวหา จักเคิก กอชาขึ้นไปนั่งอู (อี่นายนาฏนอง ปมาแอวหา จักเกิ้กกอจา ขึ้นไปนั่งอู) สาว

ขึ้นมาแอวเทอะ บเคิกทางใผ อยูตีนขั้นได เคิกทางหมาหนอย (ขึ้นมาแอวเตอะ บเกิ้กตางไผ อยูตีนขั้นได เกิ้กตางหมาหนอย)

หนุม คึดยากแททัก จักขึ้นไปหา กลัวพี่เพิ่นมา ปะใสไลเถ (กึ๊ดญากแตตั๊ก จักขึ้นไปหา กั๋วปเปนมา ปะใสไลเถ) สาว

ขึ้นมาเพรเทอะ บมีใผหมาย คองไหนก็ดาย หมายไหนก็จอย (ขึ้นมาเพเตอะ บมีไผหมาย กองไหนก็ดาย หมายไหนก็จอย)

หนุม คันนองวาแท พี่ก็เชื่อใจ กลัวจุขึ้นไป ย่ําใสหมอขาว (กั้นนองวาแต ปก็เจื้อใจ กั๋วจุขึ้นไป ญ่ําใสหมอเขา) สาว

ขึ้นมาเพรเทอะ นั่งเมอะอิงกัน ใผหันชางมัน ของเราหลางได (ขึ้นมาเพเตอะ นั่งเมอะอิงกั๋น ใผหันจางมัน ของเฮาหลางได)

อยางไรก็ตามในการเกีย้ วพาราสีกนั มิไดหมายความวาหนุม สาว จะตองใชโวหารเชนนี้โดยตลอดในการพูดคุยกัน สวนใหญก็ใชการพูดคุย กันธรรมดา แตอาจจะมีการแทรกโวหารรักเปนระยะๆ และบางครั้งอาจ มีคาํ ถามทดสอบปฏิภาณ ซึง่ อีกฝายหนึง่ จําเปนจะตองรูน ยั ยะของคําถาม มาบาง จึงจะตอบไดถูกตอง ยกตัวอยางเชน

๒๘


สาว

พี่มาตะกี้ พี่ปะชาง พี่เวนทางใด (เมื่ อ กี้ ต อนที่ พี่ ม า พี่ เจอช า ง ขวางทางอยู พี่เลี่ยงมาทางไหน)

ถาหนุมตอบวา

เวนทางหัว

เวนทางหาง

หมายความวา ตอนนี้ฝายชายไดเปน “ผัว” ของคนอื่นไปแลว คือมีภรรยา แลวนั่นเอง จะสังเกตจากคํารหัสที่มี เสียงคลายกัน คือ หัว - ผัว หมายความวา คูร กั ของฝายชาย “ขาง” หรือ หวง ฝายชายมาก จะสังเกตจากคํา รหัสที่มีเสียงคลายกัน คือ หาง – ขาง

ถาตอบอยาง ๒ แบบขางตนนี้ ฝายหญิงก็ยอ มจะไมสานสัมพันธ ดวย เพราะรูแ ลววาฝายชายมีภรรยาหรือมีคนรักอยูแ ลว ดังนัน้ ถาจะตอบ ใหถูกใจฝายหญิงจะตองตอบวา “เวนทางกลาง” ซึ่งอาจตีความไดวา ฝายชายยังไมมเี จาของ คือ เปนของสวนกลาง ทีพ่ รอมจะใหผทู เี่ ห็นคุณคา หรือความสําคัญเลือกไปเปนคูครองได๖๘ เมื่อไถถามกันเบื้องตนแลว หนุมก็จะขึ้นไปบนเรือนและสาวก็ เชิญใหนั่ง หนุม ขอนั่งสักหนอย อยูสักบึดใจ คันนั่งเมินไป กลัวไลออกบาน (ขอนั่งสักหนอย อยูสักบึดใจ กั้นนั่งเมินไป กั๋วไลออกบาน) สาว

นั่งเทอะ นั่งเทอะ คอยนั่งทัดตง ฟากจะไหลลงตงจะไหลขอน (นั่งเตอะ นั่งเตอะ กอยนั่งตั๊ดตง ฟากจะไหลลงตงจะไหลขอน) ๖๘ ถายทอดโดยแมอุยศรีคํา วงศชัย บานน้ําลัด ต.นาปง อ.ภูเพียง จ.นาน

๒๙


เมื่อหนุมนั่งลงแลวก็พูดตอ หนุม สลิดสะลัก ขึ้นตนตองเตย พี่ทึงใครเคย อี่นองบานหนี้ (สลิดสะลัก ขึ้นตนตองเตย ปตึ้งใคเกย อี่นองบานหนี้) สาว

สลิดสะลัก เชิญเทอะพี่เหย นองก็ใครเคย กับตัวพี่เจา (สลิดสะลัก เจิญเตอะปเหย นองก็ใคเกย กับตั๋วปเจา)

จากนั้นหนุมก็จะชื่นชมความงามของสาว หนุม งามแทงามทัก งามนักงามหนา เหมือนเทวดา ลงมาหลอเบา (งามแตงามตั๊ก งามนักงามหนา เหมือนเตวะดา ลงมาหลอเบา) สาว

คันนองงามแท ใผบหางเหิน หลางไดเทาเมิน บเคิ้นจนเถา (กั้นนองงามแต ไผบหางเหิน หลางไดเตาเมิน บเคิ้นจนเถา)

หนุม งามแทงามทัก งามนักงามหลาย พี่พอลืมลาย เจียรจาฟูอู (งามแตงามตั๊ก งามนักงามหลาย ปปอลืมลาย เจี๋ยรจาฟูอู) ผอพอขนตา คําชายพอหลู ขนคิงชายเยือกยาว (ผอปอขนตา คําจายปอหลู ขนคิงจาย เญือกญาว) คันเปนมะตาล มะลาน มะพราว ขอเกาะกิ่งกานทอวัน (กั้นเปนหมะตาล หมะลาน หมะปาว ขอเกาะกิ่งกานตอวัน) พี่จักปลูกไว บหื้อใผหัน จักกอดินคัน คดดินขึ้นปอ (ป จั ก ปลู ก ไว บ หื้ อ ไผหั น จั ก ก อ ดิ น คั น คดดิ น ขึ้ น ป อ )

๓๐


สาว

คําปากวาแท ใจในบตาม มาอูเอางามน้ําใสซวยหนา (กําปากวาแต ใจในบตาม มาอูเอางามน้ําใสซวยหนา) บถามาจุ ตัวญิงมอนขา บใชคนงามรางแคว (บถามาจุ ตั๋วญิงมอนขา บใจคนงามฮางแคว) ผอรางของนอง เหมือนอึ่งถูกแรว บสมพี่อายคนงาม (ผอฮางของนอง เหมียนอึ่งถูกแฮว บสมปอายคนงาม) ทองก็เภอ ขี้ปุมก็หลาม เซาะหาทางงาม วันค่ําบได (ตองก็เพอ ขี้ปุมก็หลาม เซาะหาตางงาม วันค่ําบได)

บาว

งามเลิศล้ํา เจาแวนเงาใส ใครตายเปนไร ไปติดแจงผา (มมุ ผา) (งามเลิศล้ํา เจาแวนเงาใส ใคตายเปนไฮ ไปติดแจงผา) ใครตายเปนหวี เปนแปงทาหนา เปนน้ํามันทาลูบนอง (ใคตา ยเปนหวี เปนแปงตาหนา เปนน้ํามันตาลูบนอง) ใครตายเปนปอ เปนบวงบาศคลอง ไปผูกเจายามนอน (ใคตายเปนปอ เปนบวงบาศกอง ไปผูกเจาญามนอน) เดิก็มามะมอย ไปไตเสื้อหมอน เดิก็มาออนซอน จักไตขบแกม (เดิก็มามะมอย ไปไตเสี้ยหมอน เดิก็มาออนซอน จักไตขบแกม)

สาวไมเชื่อวาหนุมพูดความจริง หนุมก็แกตัวพรอมกับกลาวคําสาบาน สาว

บถามาอู มาฟูหื้อหลง เหมือนกับแมวโพรง จุกินไกหนอย (บถามาอู มาฟูหื้อหลง เหมียนกับแมวโพรง จุกิ๋นไกหนอย)

สาว

พี่มีแลว ชางแอวลัวหลอ สังมาทําคอหื้อสาวตางบาน (ปมีแลว จางแอวลัวหลอ สังมาทําคอหื้อสาวตางบาน)

๓๑


หนุม มีที่ไหนจักไขบอกขา จักกําคอมาเดี่ยวนี้ มีที่ไหนจักไขบอกชี้ เอา ผูนั่งหนี้เปนแดน (มีตไี้ หนจักไขบอกขา จักก๋าํ คอมาเดีย่ วนี้ มีตไี้ หนจักไขบอกจี๊ เอา ผูนั่งหนี้เปนแดน) หนุม คันพี่จุญิง หื้อฝออกทอง ตุมพิษออกออมลําคอ (กั้นปจุญิง หื้อฝออกตอง ตุมปดออกออมลําคอ) ขี้เสี้ยนดอกหมาก ขี้ขากดอกปอ ขี้หิดขี้คอ หมออยาบได (ขี้เสี้ยนดอกหมาก ขี้ขากดอกปอ ขี้หิดขี้กอ หมออยาบได) เมื่อดึกมากแลว หนุมก็จะอําลาสาวกลับบาน โดยจะชอย (จอย) ลงเรือนของสาวไป ยกตัวอยางเชน พี่ขอหื้อนองนายมอนเพื่อนจา หื้อนองหาหมอผูดีเกงกลา เครื่องโภชนังตามหมอเรียกรอง หื้อหมอเรียงรองปดเคราะหทวยหน ก็หมดใสสีวาดีชูดาน อยูสวัสดีอยาไดเดือดรอน พอแมพี่นองอยาไดยากจน หื้อดูทางกินพิงใบนุงอยอง หื้อพลันไดแฝงนั่งแอมคูเลา ขอขมายกเนอคําแสนสี เชิญคบเพื่อนฝูงฝายนางนองเหนา

๓๒

โปรดกรุณานําขวัญสงขา เรียกขวัญชายมาสงพรอม ชิ้นดิบบตมเผาลน กับสะทวงลมหือ้ หายออกบาน ขอปนพรชัยเพิ่มนอง ฝายนองชูผูนายคน อยาไดเววนเคราะหรา ยมาตอง หื้ออยูทีฆาเที่ยงเทา ไดผัวหนุมเหนาคนมี โปรดความยินดีมาถึงรอดเจา อานใจความฟงนั่งคิด


พี่นองอาวอาวงศาญาติมิตร พี่ขอเลิกยกลานายหายสูญ

หลับมืน๖๙แควนหองทรายมูน ปางหลังวันลูนหมดหวังเทาอี๗๐ ้

เอื้อเฟอขอมูลคําอูบาวอูสาวโดย สภาวัฒนธรรมอําเภอภูเพียง

อาจารยเดช ปนแกว ประธาน

นอกจากโวหารรักทีส่ อ่ื กันดวยคําพูดแลว สิง่ ทีค่ นในสมัยกอนใชสอ่ื กันอีกทางหนึง่ ก็คอื การสือ่ สารดวยลายลักษณหรือเรียกกันวา “คราวใช” ซึ่งเปรียบไดกับเพลงยาวของภาคกลาง ตอไปจะขอเสนอคราวใชดอน ไชยปาเกลือ คราวนี้แตงโดยนายพุฒิมา ชอบธรรม คนบานดอนไชย (ใต) อ.เวียงสา ในสมัยกอนพื้นที่ของบานดอนไชยมีตนมะเกลือขึ้นอยูเปน จํานวนมาก ผูคนจึงเรียกชื่อหมูบานอีกชื่อหนึ่งวา “ดอนไชยปาเกลือ” ออกเสียงตามคนทองถิ่นวา “ดอนไจปาเกี๋ย” บางทีเรียกเพี้ยนไปวา “ดอนไจปาเจี๋ย” นายพุฒิมาเปนศิลปนตาบอด หาเลี้ยงชีพโดยการแตง คราวแตงซอ ซึง่ ในสมัยกอนหนุม หรือสาวจะใชคราวในการเกีย้ วพาราสีกนั คราวบทนีน้ ายพุฒมิ าแตงใหพอ นอยทัน คนบานขึง่ อ.เวียงสา เพือ่ นํามา สงใหกับแมอุยวันดี น้ําลัด บานน้ําลัด อ.ภูเพียง เมื่อหลายสิบปมาแลว

๖๙ บานหลับมืนพรวน ต.จอมจันทร อ.เวียงสา จ.นาน ๗๐ ถายทอดโดยพอเจริญ กันลานันท บานหลับมืนพรวนเหนือ ต.จอมจันทร อ.เวียงสา จ.นาน

๓๓


คราวใชดอนไชยปาเกลือ แสนวิตกหัวอกคลั่งคัด แสนที่อาลัยหัวใจมอนขา สองสามวันไหนบไดหันหนา หัวใจแหงชายเหมือนไมกระทุง ทั้งขาวและน้ําลางคาบลืมกิน ยอนอยูไกลกันตางคนตางบาน กนพูดเสียงขงในดงเทศทอง อยื้ออยุกก็รองบนเคามะผาง ที่ฟนบหักที่รักบได ฝูงไกก็ขันเดือดนันซะแซว ยกมือเบื้องซายขึ้นฟายน้ําตา เทาคึดถึงหาญิงงามเหมือนแตม ผอแสงดาววี ซิดซีดาวชาง เทวาอยูฟาลงมาสังหรณ นองคนสองใจหมายจักหื้อหยุง หื้อบาวบานเดียวทีผ่ ูสวกราย พี่ไปริคาแผนผาเปนผืน รักสาวคนเดียวเพิน่ เทียวลวงปลน เปนวิบากสัง ชานายนองรัก

๓๔

เหมือนเอาผายัดเสียบที่หัวใจ หัวอกชายดาแตกฟุง เปรียบเหมือนดั่งบาเมาวิน กลัวบไดญิงมาแฝงรวมขาง บไดเทียวไชปากพอง รองตามไขวขวางหนทาง มาร่ําไรครางตาดีใครไห ทุกขใจคําชายบแลว บเห็นคูแกวภาดา ยกมือเบื้องขวาขึ้นมาเทาแกม แมแสงเดือนมนฟาคาง ลับเหลี่ยมเขาแกวคันธร ควันไฟสะออนใผหอบกมุ เกิดมีภัยยาเรื่องราย มาบังเบียดขากลางคืน ยังบชมทืนหื้อเจกสํากน เอาตัวญิงไปรวมรัก มาบังเกิดใหตัวชาย


น้ําลัดปนี้ทํานาน้ําฝาย จะหวังเอานายมาไวปลูกขาว เปนวิบากสัง ชานายนองเหนา สังมาบังเอิญอยางนี้ ที่รักเหลือใจรักซั้นรักซี้ ลักกลัวบไดมามือ ขะพวงดอกไมเคยไดหยุบถือ พอยจักหลูดมือพี่ไปเสียจอย ตัวนองวันดีลักมีคูหอย ตัวบานเดียวญิงชาดนัก เขาชางผกคอยชางควางชางซัด หื้อตัวแหงขาเมือมรณ ขอใหนองรักเจากาบไกสร ขอหื้อเจามอนเก็บศพซากขา หลอนบุญและกรรมจุง นําขวางหนา เขาเกิดทําลายพี่ไท ก็บใชใผเนอนายนองไท หากเปนบาวบานเดียวนาย คูรักแหงนองจักฆาพี่ตาย ยอนนั้นและนายพี่ขอสั่งเจา ขอสั่งทางฝูงปตาสองเถา ที่ขาไดมาปากทัก ขอยอดสายใจทองใบแผนพับ อยูสุขเที่ยงหมั้นทีฆา อายุวรรณะพละสุขา เพียธิโรคาอยามาเกิดใกล ยามเคราะหเจ็บเปนรอนเย็นหนาวไข ขอใหไคลคลาจากนอง เจ็บแขงเจ็บขาคัดอกเสียบทอง อยามาถูกตองตัวญิง ในบัดเดี่ยวนี้พี่บอกความจริง หมดความคระนิงเนอนายนองหลา สัมภาษณ :

แมอุยศรีคํา วงศชัย อายุ ๗๗ ป บานน้ําลัด ต.นาปง อ.ภูเพียง จ.นาน

๓๕


ปริศนาคําทาย ปริศนาคําทาย หรือที่คนลานนาเรียกวา “เปสสนาคําทวาย” เปนอีกสิง่ หนึง่ ทีส่ ะทอนใหเห็นความคิดและความรูส กึ ของคนในสังคมได เปนอยางดี โดยมากมักสะทอนถึงความผูกพันอยูกับธรรมชาติ ขาวของ เครือ่ งใชในชีวติ ประจําวัน นอกจากนีป้ ริศนาคําทายยังชวยสงเสริมความ คิดและจินตนาการของเด็กๆ อีกดวย ปริศนาที่เกี่ยวกับธรรมชาติ ถาม

ตอบ

ตุมๆ กลางนา พญากลางดง ทงคง (ตงกง) ปลายดอย ตีฝอยลองน้ํา

(แปนตีขาว-กระดานตีขาว) (เสือ) (หวาย) (กุง)

ถาม แมงซอนตีนกับแมงซอนหําขบกันตายพื้นเคาซอน ดอก แมงซอนเขี้ยวออกมาขบ อะหยังเอาะ? (แมงซอนตี๋นกับแมงซอน หําขบกั๋นตายปนเกาซอนดอก แมงซอนเขี้ยวออกมาขบอะหยังเอาะ) ตอบ แมงซอนตีน (งู) แมงซอนหํา (ชาง) เคาซอนดอก (เคาสะหรี หรือ ตนโพธิ์) แมงซอนเขี้ยว (หนอน)

๓๖


ถาม สองตีนจก หกตีนจั้ง อยูในถ้ํา กลางหลังเปาป อะหยัง เอาะ? (สองตี๋นจก หกตี๋นจั้ง อยูในถ้ํา กางหลังเปาป หยังเอาะ) ตอบ จี้กุง (จิ้งหรีด) ปริศนาที่เกี่ยวกับขาวของเครื่องใช ถาม

ตอบ

จั๊กกะจูมีหูทางปาก จั๊กกะจากมีปากทางหลัง

(หูบุง - หูกระบุง) (เลาขาว – ยุง เพื่อปองกันคน มาขโมยขาวคนโบราณจึงทํา ประตูยุงไวขางหลัง) (เตารีด) (เกิบ, แข็บ - รองเทา)

จั๊กกะจั๋งมีดังทางทอง สองพี่นองเอาทองลากดิน

ถาม ไปใครหัวขิกๆ มาน้ําตายอยซุมซู ตอบ แห เพราะก อ นใช ง านแหยั ง แห ง ทํ า ให ส ร อ ยแหหรื อ ลูกแหที่ทําจากตะกั่วกระทบกันเสียงดังแตหลังจากใชงานแลว แหก็เปยก ประหนึ่งวามันกําลังรองไห ถาม ไปเต็มไรนา มาเทาแอ็บขาว ตอบ แห เพราะตอนใชงานคนจับปลาก็จะหวานแหจนเต็มทอง น้ํา พอใชเสร็จก็จะรวบแหเหลือนิดเดียว

๓๗


ปริศนาประเภทเลนคํา สัพพะวาปาก (วาดวยปากทั้งหลาย) ปากออนๆ ปากขาวๆ ปากเขาแทงเขาชี (จี) ปากเขาอวดเขาชม ปากอาจารย ปากคํามีฤทธิ์ ปากสัปดน ปากสับกกสับกาก ปากผะแหลงๆ ปากเผ็ดๆ ปากชางชก (จก) ปากชาๆ ปากเปนน้ําหมึก ปากบอูบจา ปากหลัวะปากหลวม ปากสะเอาะสะออน ปากถูกๆ ผิดๆ ปากมนๆ ปากจนๆ ปากเขาหยุบเขากํา ปากสอหลอ ปากชางคาบหนูไป

๓๘

คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ

ปากแมรางนางสาว (สีชมพู) ปากแมชี ปากบุงปากซาหวด (กระบุง, หวดนึ่งขาว) ปากมวนจาหวาน (ไพเราะ) ปากพิษ (มัคนายก, วาจาสิทธิ์) ปากคน ปากโกหก ปากแรง (เสียงดังกุกๆ กักๆ) ปากเจ็บ (เสียงดังแวดๆ, ปากราย) ปากครก ปากมา (โขก, เคาะลง) ปากปก (ฝด, ไมคลอง) ปากกา ปากประตูบาน (ไมพูดไมจา) ปากบอน ปากดัดจริต (จีบปากจีบคออยางสาววัยรุน ) ปากมีโทษ ปากน้ําตน (คนโท) ปากดัง (รองปาวๆ) ปากหมอ (จับ) ปากไซ (ลักษณะคลายกรวย) ปากหมาปากแมว


ปากเพียงแอว ปากจองๆ ปากอมหมาก ปากขี้เหลา ปากบึนๆ ปากบมีรู ปากหมอยๆ ปากสี่แยก ปากมียาง ปากแมญิง ปากคักๆ (กั๊กๆ) ปากเพิน่ ชางรองชางสวด ปากคนเถา ปากขี้จุขี้ดา ปากดังๆ ปากแนๆ สัมภาษณ :

คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ คือ

ปากของ (เทากับเอว, อยูที่เอว) ปากชับ (จั๊บ) (ชํานาญ) ปากคนเถา (คนเฒา) ปากหมึน (อาการชา) ปากหมู ปากหอย ปากแขก (ปากที่มีหนวดเครารุงรัง) ปากทาง ปากปลิง ปากนัก ปากคนบเต็มบาท (พูดติดอาง) ปากทุเจา (พระสงฆ) ปากยอยปากดุ (จูจี้ขี้บน) ปากบแทลกู หลานชัง (โกหก, พูดไมมคี วามจริง) ปากบมายามแท (ถึงเวลาแลวไมกลาจริง) ปากคนฉลาด

พระครูโอภาสนันทสาร เจาอาวาสวัดสวางอรุณ เจาคณะตําบลน้ําแกน อ.ภูเพียง จ.นาน

คําทํานายบานเมืองอันจักมาภายหนา วัดจะหมอง มองจะหาง วังจะเปนหาด นักปราชญบมีคลองธรรม ลูกบฟงคําพอแม

(ครกกระเดื่องตําขาวจะถูกทอดทิ้ง) (วังน้าํ ลึกจะตืน้ เปนเนินทรายเนินกรวด)

๓๙


หนทางจะเลี่ยน (ถนนหนทางจะราบเรียบ) โรงเรียนจะดี คนบมี จะไดกินขาว (คนยากไรจะไดกินขาว) คนเถาจะใสเขี้ยวซาว (คนแกคนเฒาจะใสฟนปลอมครบเต็มทั้งปาก) แมรางนางสาวจะนุงเตี่ยว (พวกผูหญิงจะพากันนุงกางเกง) ปาเรี่ยวจะมวนเหมือนปอย (ปาชาจะเปนทีส่ นุกสนานเหมือนมีงานรืน่ เริง) พูดอยจะลาน (ภูเขาจะหัวโลน) คนขี้ครานจะไดกินดี คนบดีจะไดนอนสาด (คนไมดจี ะไดนอนเสือ่ -มีทอ่ี ยูห ลับนอนดี) ตูบกาดจะเต็มบานเต็มเมือง (รานรวง) น้ําเหมืองจะขามน้ําแม (จะมีลําเหมืองทอดขามผานแมน้ํา) งัวควายจะบแพร คนเถาคนแกจะบแอวหากัน (เที่ยว) ขาวจะหนีนา ปูปลาจะหนีน้ํา จะเอาน้ําตกเปนที่แอวซุม (ชุมนุม) คนจะชุมนุมเปนกลุมเปนกอน บานเมืองจะเดือดรอน ละออนจะสอนบฟงคํา (ไมเชื่อฟง) คนใจดําจะเต็มประเทศ มีบานจะบมีคนอยู อูจะบมีคนนอน น้ําจะบมีคนตัก ผักบมีคนเก็บ ผมยังหัวจะจางเพิ่นตัดเพิ่นเกา (คนอื่น) ขาวยังเลาจะจางเพิ่นตํา (ยุงฉาง) คนจะมีหูทิพยตาทิพย รอยคนจะเหมือนรอยงู คนจะซานบนดินหนึ่งศอก (เหาะ)

๔๐


น้ําบอจะออกบนเรือน เครือเขาจะเลือนบนอากาศ (เถาวัลยจะเลื้อยขึ้นไปบนอากาศ) จะมีคนผูใจบาปหยาบกลา คนมีศีลมีธรรมจะไปอยูปาและถ้ํา ไปถึงจวบหาพันวัสสา ไฟบรรลัยกัลปจะมางกัปป พระอริยเมตไตรยจะลงมาเกิด หนาอกกวางสามวา คิ้วตากวางสามศอก สัมภาษณ :

พระครูโอภาสนันทสาร เจาอาวาสวัดสวางอรุณ เจาคณะตําบลน้ําแกน อ.ภูเพียง จ.นาน

อาการของคนเมาตามปริมาณเหลาที่กิน สอง สาม สี่ หา หก เจ็ด แปด เกา สิบ สิบเอ็ด สัมภาษณ :

กินเขาไปหนึ่งแพง เมาลองแลงวาจา แพงหูหนาปานกาบไม แพงเซาะไซหากินอาหาร แพงจักโหงนหงานดวยคําปาก แพงบรูเพื่อนเปนใผ แพงรองพอเมียเปนเสี่ยว แพงแกผาเตี่ยวลงเรือน แพงเมาหัวเชือนเขาบาน แพงหมาแมเถาเลียปาก แพงเปนขี้รากสองคลอง แพงหามขึ้นคลองลองคลอง ยองตองๆ พออุยไชยวงศ จันทรบูรณ บานนาเคียน ต.จอมจันทร อ.เวียงสา จ.นาน

๔๑


ศัพทานุกรม

๔๒

อธิบายศัพท

ความหมาย

บวก แภะ หลางจะ แพ สลิด ตนน้ําแน หวัน นกเคา หยังมา คําฟู แอว เคิก กอชา อู เทอะ ขั้นได หมาหนอย คึดยาก ปะ ไลเถ เพร คองไหนก็ดาย จอย คัน จุ

ปลัก ปาละเมาะ คงจะ ชนะ ดอกขจร เทียบเสียงกับคําวา “จิต” ตนรางจืด พัน นกฮูก เหตุใด คําพูด เที่ยว เกะกะ หรือเปลา?, พูด เถิด บันได หมานอย คิดหนัก พบ ขับไลไสสง ที่นี่ รอแลวรอเลา ชวด ถาหาก หลอก, โกหก


อธิบายศัพท

ความหมาย

เมอะอิง หัน ของเราหลางได สักหนอย บึดใจ เมิน ทัด ไหลขอน สะลัก ใครเคย เคิ้นจนเถา ลืมลาย เจียรจา หลู ขนคิงชายเยือกยาว ทอวัน

พิง เห็น เราคงจะไดครองคูกัน สักหนอย ชั่วครู นาน ตรง ไหลไปกองรวมกัน ตนยอบาน เทียบเสียงกับคําวา “รัก” อยากคุนเคย ขึ้นคาน ลืมเรื่องราว เจรจา ลู พี่ขนลุกไปหมด รับแสงตะวัน แสดงนัยวา อยากคบกันอยาง เปดเผย ขุดดินขึน้ เปนคัน แสดงนัยวา กันชายอืน่ เห็น คําพูด ลาง รูปรางสะโอดสะอง โต พุงหลาม ความดึกเริ่มคืบคลาน ปลอกหมอน กัด แมวคราว

คดดินขึ้นปอ คําปาก ซวย รางแคว เภอ ขี้ปุมก็หลาม เดิก็มามะมอย เสื้อหมอน ขบ แมวโพรง

๔๓


๔๔

อธิบายศัพท

ความหมาย

แอวลัวหลอ ทําคอ ขี้เสี้ยน ขี้ขาก ขี้หิดขี้กอ อยา เพื่อนจา หมอ ชิ้นดิบ สะทวง ชูดาน ตอง ดูทาง พิงใบนุงอยอง แอมคูเลา คนมี เทาอี้ คลั่งคัด ดาแตกฟุง เมาวิน ลางคาบ ยอนอยูไกลกัน เทียวไช กนพูดเสียงขง อยื้ออยุก เคามะผาง คําชาย

เที่ยวเถลไถล หลอกลวง เกลื้อน กลาก หิดไทกอ รักษา, เยียวยา คูสนทนา หมอทําขวัญ เนื้อดิบ สะตวง - กระทงกาบกลวย ทุกดาน กระทบ สะดวกสบาย นุงหมประดับกาย เคียงขางคูรัก คนรวย เพียงเทานี้ คับแคน จวนจะแตกสลาย คลั่งไคลไหลหลง บางคาบ เพราะอยูหางไกลกัน ไปเยี่ยมเยียน นกกระปูดที่มีเสียงดังกังวาน นกชนิดหนึ่ง ตนมะปราง ตัวพี่ชาย


อธิบายศัพท

ความหมาย

เดือดนัน ฟายน้ําตา ดาววี ซิดซี หอบกุม หมายจักหื้อหยุง ผูสวกราย ยังบชมทืนหื้อเจกสํากน สังชา ลักกลัวบไดมามือ หยุบถือ หลูดมือ คูหอย ชาดนัก ชางผกคอยชางควางชางซัด เมือมรณ เจามอน เพียธิโรคา ไคลคลา คัดอกเสียบทอง คระนิง อะหยังเอาะ จก จั้ง ดัง แพง (ออกเสียงวา แปง) ลองแลง

สงเสียงดัง ปาดน้ําตา ดาวลูกไก ประชิด หอไมมิด หวังทําใหยุง คนอันธพาล ยังไมทันไดทุนคืนก็ถูกเจกหักหลัง อันใด เกรงจะไมไดครอบครองตัวนอง หยิบจับ หลุดมือ คนรัก มากมาย คอยดักทํารายโดยการขวางปา ถึงแกความตาย ตัวนอง โรคาพยาธิ ผานไป แนนหนาอกและเสียดทอง คํานึง อะไรเอย ขุด เกาะ, ยึดเกาะ จมูก จอก ไมเปนเรื่องเปนราว, ไมเปนชิ้นเปนอัน

๔๕


๔๖

อธิบายศัพท

ความหมาย

หูหนา โหงนหงาน เสี่ยว ผาเตี่ยว หัวเชือน ขี้รากสองคลอง (ออกเสียงวา ขี้ฮากสองกอง) ขึ้นคลองลองคลอง (ออกเสียงวา ขึน้ กองลองกอง) ยองตองๆ

อาการชาที่ใบหู กาวราวดวยคําพูด, เสียงดังโหวกเหวก เพื่อนเกลอ ผานุง, กางเกง หัวทิ่ม ทั้งอุจจาระรวงและอาเจียน ขึ้นๆ ลองๆ, ไปๆ มาๆ ตามถนน ในที่นี้หมายถึง อาการของคนเมาที่ขาหอย แกวงไปมา เมื่อมีคนหิ้วปกทั้งสองขาง


ปกขทืน (ปฏิทิน) ลานนา ปกดยี จุลศักราช ๑๓๗๒ ๔๗



หนังสือปใหมลานนา จุลศักราช ๑๓๗๒ พุทธศักราช ๒๕๕๓ - ๒๕๕๔ ปกดยี (ปขาลโทศก) หรคุณวันสังกรานตลอง หรคุณวันเนา หรคุณวันพระญาวัน มาสเกณฑ ๑๖๙๗๐ กัมมัชพล ๔๒๓ ดิถี ๒ อธิกมาส ปกติวาร

๕๐๑๑๓๔ ๕๐๑๑๓๕ ๕๐๑๑๓๖ อวมาน ๖๗๔ อุจจพล ๒๗๘๗ วาร ๖ ปกติสุรทิน

มังคลวุฒิกาลานุกาละ สังกรมสวัสติศิริศุภมัสตุ จุลศักราชได ๑๓๗๑ ตัว ฉลูฉนํากัมโพชพิสัย ในคิมหันตอุตุ วิสาขมาส ศุกรปกษ เอกรัสมี วุธวารไถง ไทภาษาวาปกัดเปา เดือน ๘ ออก ๑ ค่ํา พร่ําวาได วันพุธ ที่ ๑๔ เมษายน วันไทกาบสะงา ติถี ๐ นาทีติถี ๒๑ ตัว พระจันทร จรณยุตติโยดโสดเสด็จเขาเทียวเทียมนักขัตตฤกษตัวถวน ๒๗ ชื่อเรวดี คือวาดาวปลาตะเพียน เทวตาปรากฏในเมษเตโชราศี นาทีฤกษ ๒๒ ตัว เสีย้ งยามรุง เขาสูย ามตูดเชา ปลาย ๓ ลูกมหานาที ปลาย ๑ บาทน้าํ ปลาย ๗ พิชชา ปลาย ๒ ปราณ ๑๐ อักขระ คือวาได ๐๗ นาิกา ๒๑ นาที ๐๐ วินาที อันนี้ตามกัมพีรสุริยาตราแล ยามนั้น รวิสังกรมะ คือ พระสุริยาทรงวัตถาภรณอันดํา เครื่อง ประดับมีวรรณะสีดงั่ แกวอินทนิล สุบกระโจม ตางขระจอนหู ประดับดวย

๔๙


แกวอินทนิล เนรมิตมีมือ ๔ เบื้อง สองเบื้องลุมแปนไว มือขวาเบื้องบน ถือปน มือซายเบือ้ งบนถือน้าํ ตนแกว นัง่ พับพะแนงเชิงเหนือหลังนกยูงดํา อวายหนาลุกหนปุพพะสูหนทักขิณะ เสด็จยายจากมีนประเทศสูเมษราศี ทางโคณวิถีเขาใกลเขาพระสุเมรุราช ขณะยามนั้ น ยั ง มี น างเทวดาตนนึ่ ง ชื่ อ สุ ริ น ทะ ทรงพาหุ รั ด ทัดดอกดูม าอยูถ า ดารับเอาขุนสังกรานตไป ปนฝี้ นบสมู หี ลาย จักแพสมณ พราหมณแลทาวพระญา งัวควายมักเปนรา จักเข็ญใจ แพสตั วสตี่ นี ชะแล เหตุตามคาถาวา “พุทโฺ ธภาโน จ สงฺกรมปลฺลํ เกนปฏิคโห สมณพราหมโณ นาม มหฺทโท ภวิสเร” ดั่งนี้แล ควรสืบชาตาบานเมือง ปูชาเคราะหบาน เคราะหเมืองตามอุปเทศเทอะ ในวันสังกรานตไปนั้น จุงหื้อครูบาอาจารย เจานาย ทาวพระญา เสนาอามาตยขาราชการ ไพรราษฎรทังมวลเอากันไปสูโปกขรณี แมน้ํา เคาไม จอมปลวกใหญ หนทางไควสี่เสนสุมกัน อวายหนาไปสูทิศะหนใต อาบองคสรงเกศเกลาเกศี ปนี้สรีอยูที่ปาก หื้อเอาน้ําอบน้ําหอมเช็ดปาก เสีย กาลกิณีอยูที่ดัง จังไรอยูที่หลัง หื้อเอาน้ําเขาหมิ้นสมปอยเช็ดขวาง เสีย กลาวคาถาวา “อมสิริมา มหาสิริมา เตชะ ยสฺส ลาภา อายุ วณฺณา ภวนฺตุเม” ลอยจังไรเสียในที่ทังหลายฝูงนั้น แลวมานุงทรงเสื้อผาผืนใหม ทัดดอกดูอันเปนพระญาดอก หากจักมีอายุยืนยาวไปชะแล เดือน ๘ ขึ้น ๒ ค่ํา พร่ําวาไดวันพรหัสที่ ๑๕ เมษายน วันไท ดับเม็ด เปนวันปูติ คือวันเนา ปนเี้ นาวันนึง่ ในวันเนานัน้ บควรจักกระทํา มังคลกรรมสักอัน อยาหื้อคนทังหลายมีใจขุนมัวกวนเกลาดวยบาป เปนตนวา ปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร อยาผิดของรอง เถียงกัน หื้อมีสามัคคะฉันทาพรอมเพรียงกัน ชําระหอเรือนบานชอง กวาดทรายดายหญา ขวงวัดวาอาราม ขวงไมสรี เจดียพระธาตุ ขนทราย ใสวัด จักมีผลานิสงสกวางขวางมากนักชะแล

๕๐


เดือน ๘ ขึน้ ๓ ค่าํ พร่าํ วาไดวนั ศุกร ที่ ๑๖ เมษายน วันไทรวายสัน ติถี ๒ นาทีตถิ ี ๑๙ พระจันทรจรณยุตติเขาเทียวเทียมนักขัตตฤกษตวั ถวน ๒ ชือ่ ภรณี คือดาวกอนเสา เทวตาปรากฏในวิสพั ภ (พฤษภ) ปถวีราศี นาที ฤกษ ๑๗ ตัว เสีย้ งยามแตรรุง สูย ามรุง ปลาย ๑ ลูกมหานาที ปลาย ๑ บาท น้ํา ๑๔ พิชชา๕ ปราณ ๑๐ อักขระ คือวาไดเวลา ๑๑ นาิกา ๑๘ นาที ๓๖ วินาที ยามนั้นศักราชจิ่งขึ้นแถมตัวนึ่ง จิ่งเปน ๑๓๗๒ ตัว ปกดยีแล ปนี้ไดเศษ ๔ ชื่ออาสันนวัสสะ ปนี้งัวแมรักษาป นกจอกรักษา เดือน กระตายรักษาปา นาครักษาน้ํา อินทสรเทวบุตรรักษาอากาศ ทกรักขะรักษาแผนดิน นักปราชญเปนใหญแกคนทังหลาย กระตายเปน ใหญแกสัตว ๔ ตีน เปดเปนใหญแกสัตว ๒ ตีน ไมหนามเล็บแมวเปน ใหญแกไมจิง ไมพางเปนใหญแกไมกลวง หญาคมบางเปนใหญแกหญา ทังหลาย ดอกดูเ ปนพระญาแกดอกไม โอชารสดินบมหี ลาย ขาวจักลีบนัก ลางคนจักอยากขาว ชาวเมืองจักมีพยาธิสะนอย คนเกิดมาปนี้มีสัมปตติ ชาง มา มักชางดีสตี เี ปา จักมีบญ ุ ประญา ปรากฏอายุ ๘๐ ปเปนเขตชะแล ขวัญขาวอยูไมขอย หื้อเอาไมขอยมาแปงเปนคันขาวแรก ไมหา เปนพระญาแกไมกลวงไมตันทังมวล ผีเสื้ออยูไมหมากกวิด ผีเสื้ออยูไม อันใดอยาไดฟกฟนตัดปล้ํายังไมอันนั้น คันจักกระทํามังคลกรรมเยื่องใด หื้อไดปูชาผีเสื้ออยูไมนั้นเสียกอนแลวกระทํา จักสมฤทธีชะแล นาคราชขึ้นน้ํา ๕ ตัว บันดาลหื้อฝนตก ๕๐๐ หา ชื่อ ชีวาธิปติ จัดเปนตางได ๕ ตาง แลตางกวางได ๖๐ โยชนะ ลึก ๓๐ โยชนะ จักตกใน เขาสัตตปริภัณฑ ๒๔๗ หา ตกในปาหิมพานต ๑๖๑ หา ตกในมนุสสโลก เขตเมืองคน ๙๒ หา เทวดาวางเครื่องประดับหนปุพพะ ปาปเคราะหตกหนพายัพ ปาปลัคนาตกหนอาคไนย ในทิศทัง ๓ นี้ กระทํามังคลกรรมและอาบน้ํา ดําหัวชําระตัวตน อยาอวายหนาไปตอง บดี

๕๑


อตีตวรพุทธศาสนาคลาลวงแลวได ๒๕๕๒ พระวัสสา ปลาย ๑๑ เดือน ปลาย ๑๗ วัน นับแตวันพระญาวันคืนหลัง อนาคตวรพุทธ ศาสนาบนับยัง ๒๔๔๗ พระวัสสา ปลาย ๑๒ วัน นับตั้งแตวันปากป ไปภายหนา ตามชินกาลมาลินีสังเกตเหตุเอาบวกสมกันเต็ม ๕๐๐๐ พระวัสสาบเศษ เหตุตามฎีกาชินกาลมาลินีมหาพิลางคสัมมิหรสีเจา หากวิสัชชนาแปลงสืบๆ มานั้นแล ปริโยสาน สมตฺตา ฯลฯ สุริยคติ

จันทรคติ เดือน ขึ้น (เหนือ) (ค่าํ ) วันที่

พ.ศ.

น ฟาตีแสง วันเสีย วันไท เกาวักอง (เศษ) ประจําเดือน

๑๖ มีนาคม

๒๕๕๓ อังคาร

ดับเปา

ยีเพียง

เสาร-พฤหัสบดี

๑๔ เมษายน

๒๕๕๓

พุธ

กาบสะงา รับได

ศุกร-พุธ

๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓

ศุกร

กาบใจ เกากอง

อาทิตย-จันทร

๑๐

๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๓

เสาร

กาใส

รับตาย

อังคาร

๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓ จันทร

กาใค

เกากอง

อังคาร

กาใส

๑๐/๑๐ ๑

๕๒

เดือน

วันเม็ง

๑๑

๑๑ สิงหาคม

๒๕๕๓

ขว้ําได

เสาร-พฤหัสบดี

๑๒

๙ กันยายน ๒๕๕๓ พฤหัสบดี เตาเส็ด รองพืน

ศุกร-พุธ

เกียง

๙ ตุลาคม

ไสเจา

อาทิตย-จันทร

ยี่

๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ อาทิตย รวงเรา พืนดอก

อังคาร

๗ ธันวาคม

๒๕๕๓ อังคาร รวงเหมา ไสเสีย

เสาร-พฤหัสบดี

๕ มกราคม

๒๕๕๔

พุธ

กดสัน

พืนดาย

ศุกร-พุธ

๔ กุมภาพันธ ๒๕๕๔

ศุกร

กดยี

ทายพาว

อาทิตย-จันทร

๕ มีนาคม

๒๕๕๔

เสาร

กัดเม็ด

สุพัก

อังคาร

๔ เมษายน

๒๕๕๔ จันทร

กัดเปา

ยีเพียง

เสาร-พฤหัสบดี

๒๕๕๓

พุธ เสาร

เตาสี


e ´ Á jµ ( ¨¼Á° « ) .«. ÒÔØÒ – e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«. ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÔ ­»¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ

Á º° Á¤¬µ¥

´ ¦ ·

ª´ Á¤È

¹Ê /¦¤ Á º° ( Éε) (Á® º°) ¦¤ Ó Ø ¡§®´­ ¸ Ô Ø «» ¦r Õ Ø Á­µ¦r Ö Ø °µ · ¥r × Ø ´ ¦r Ø Ø °´ µ¦ Ù Ø ¡» Ú Ø ¡§®´­ ¸ ÒÑ Ø «» ¦r ÒÒ Ø Á­µ¦r ÒÓ Ø °µ · ¥r ÒÔ Ø ´ ¦r ÒÕ Ø °´ µ¦ ¹Ê Ò Ù ¡» Ó Ù ¡§®´­ ¸ Ô Ù «» ¦r Õ Ù Á­µ¦r Ö Ù °µ · ¥r × Ù ´ ¦r Ø Ù °´ µ¦ Ù Ù ¡» Ú Ù ¡§®´­ ¸ ÒÑ Ù «» ¦r ÒÒ Ù Á­µ¦r ÒÓ Ù °µ · ¥r ÒÔ Ù ´ ¦r ÒÕ Ù °´ µ¦ ÒÖ Ù ¡» ¦¤ Ò Ù ¡§®´­ ¸ Ó Ù «» ¦r

ª´ Å

ª´ Á oµ °

¦oª Ä­o Á nµ­³ oµ nµÁ¤È µ ­´ ´ Á¦oµ ¦ªµ¥Á­È Á¤º° Ä o Á d Ä o ´ Á jµ ¥¸ ¦oª Á®¤oµ Á nµ­¸ nµÄ­o µ ­³ oµ ´ Á¤È ¦ªµ¥­´ Á¤º° Á¦oµ Á d Á­È ´ Ä o Ä o ¦oª Á jµ Á nµ¥¸ nµÁ®¤oµ µ ­¸ ´ Ä­o ¦ªµ¥­³ oµ Á¤º° Á¤È Á d ­´ ´ Á¦oµ Á­È

¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥

ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Â­n ®¤° Á«¬

3

3

3 3 3 3

Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ñ Ö × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ

ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·­­Ã ¨³ª´ ®¥»

¨· µ · ¸

ª´ ´ ¦¸

ª´ ­´ ¦µ r¨n° ª´ Á nµ ª´ ¡¦³ µª´ ª´ µ e/¨· µ · ¸

๕๓


e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÔ ­»¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ ÔÒ

๕๔

´ ¦ ·

ª´ Á¤È

¹Ê /¦¤ Á º° ( Éε) (Á® º°) ¡§¬£µ ¤ ¦¤ Ô Ù Á­µ¦r Õ Ù °µ · ¥r Ö Ù ´ ¦r × Ù °´ µ¦ Ø Ù ¡» Ù Ù ¡§®´­ ¸ Ú Ù «» ¦r ÒÑ Ù Á­µ¦r ÒÒ Ù °µ · ¥r ÒÓ Ù ´ ¦r ÒÔ Ù °´ µ¦ ÒÕ Ù ¡» ÒÖ Ù ¡§®´­ ¸ ¹Ê Ò Ú «» ¦r Ó Ú Á­µ¦r Ô Ú °µ · ¥r Õ Ú ´ ¦r Ö Ú °´ µ¦ × Ú ¡» Ø Ú ¡§®´­ ¸ Ù Ú «» ¦r Ú Ú Á­µ¦r ÒÑ Ú °µ · ¥r ÒÒ Ú ´ ¦r ÒÓ Ú °´ µ¦ ÒÔ Ú ¡» ÒÕ Ú ¡§®´­ ¸ ÒÖ Ú «» ¦r ¦¤ Ò Ú Á­µ¦r Ó Ú °µ · ¥r Ô Ú ´ ¦r

ª´ Å

Á º°

¦oª Ä o Á nµÄ o nµÁ jµ µ ¥¸ ´ Á®¤oµ ¦ªµ¥­¸ Á¤º° Ä­o Á d ­³ oµ ´ Á¤È ­´ ¦oª Á¦oµ Á nµÁ­È nµÄ o µ Ä o ´ Á jµ ¦ªµ¥¥¸ Á¤º° Á®¤oµ Á d ­¸ ´ Ä­o ­³ oµ ¦oª Á¤È Á nµ­´ nµÁ¦oµ µ Á­È ´ Ä o ¦ªµ¥Ä o Á¤º° Á jµ Á d ¥¸ ´ Á®¤oµ ­¸ ¦oª Ä­o

ª´ ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Â­n Á«¬ Á oµ ° ®¤° oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o

3

3

3

3 3

Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö

ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·­­Ã ¨³ª´ ®¥»

£´ ¦µ · ¸/ª´ ´ ¦¤ ¨

Å ¥µ · ¸ ª´ ¡º ¤ ¨/ » µ · ¸ ´ µ · ¸/°¤¦·­­Ã

¨· µ · ¸

ª´ ª·­µ ¼ µ

°¤¦·­­Ã


e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÔ ­»¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ

Á º° ¤· » µ¥

´ ¦ ·

ª´ Á¤È

¹Ê /¦¤ Á º° ( Éε) (Á® º°) ¦¤ Õ Ú °´ µ¦ Ö Ú ¡» × Ú ¡§®´­ ¸ Ø Ú «» ¦r Ù Ú Á­µ¦r Ú Ú °µ · ¥r ÒÑ Ú ´ ¦r ÒÒ Ú °´ µ¦ ÒÓ Ú ¡» ÒÔ Ú ¡§®´­ ¸ ÒÕ Ú «» ¦r ¹Ê Ò ÒÑ Á­µ¦r Ó ÒÑ °µ · ¥r Ô ÒÑ ´ ¦r Õ ÒÑ °´ µ¦ Ö ÒÑ ¡» × ÒÑ ¡§®´­ ¸ Ø ÒÑ «» ¦r Ù ÒÑ Á­µ¦r Ú ÒÑ °µ · ¥r ÒÑ ÒÑ ´ ¦r ÒÒ ÒÑ °´ µ¦ ÒÓ ÒÑ ¡» ÒÔ ÒÑ ¡§®´­ ¸ ÒÕ ÒÑ «» ¦r ÒÖ ÒÑ Á­µ¦r ¦¤ Ò ÒÑ °µ · ¥r Ó ÒÑ ´ ¦r Ô ÒÑ °´ µ¦ Õ ÒÑ ¡»

ª´ Å

ª´ Á oµ °

Á nµ­³ oµ nµÁ¤È µ ­´ ´ Á¦oµ ¦ªµ¥Á­È Á¤º° Ä o Á d Ä o ´ Á jµ ¥¸ ¦oª Á®¤oµ Á nµ­¸ nµÄ­o µ ­³ oµ ´ Á¤È ¦ªµ¥­´ Á¤º° Á¦oµ Á d Á­È ´ Ä o Ä o ¦oª Á jµ Á nµ¥¸ nµÁ®¤oµ µ ­¸ ´ Ä­o ¦ªµ¥­³ oµ Á¤º° Á¤È Á d ­´ ´ Á¦oµ Á­È ¦oª Ä o

¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ °

ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Â­n ®¤° Á«¬

3

3

3 3 3 3

3

Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò ×

ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·­­Ã ¨³ª´ ®¥»

°¤¦·­­Ã

Å ¥µ · ¸

๕๕


e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÔ ­»¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ ÔÒ

๕๖

Á º° ¦ µ ¤

´ ¦ · ¹Ê /¦¤ ( Éε) ¦¤ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ ¹Ê Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Â¦¤ Ò Ó Ô Õ Ö

ª´ Á¤È

ª´ Å

¡§®´­ ¸ «» ¦r Á­µ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´­ ¸ «» ¦r Á­µ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´­ ¸ «» ¦r Á­µ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´­ ¸ «» ¦r Á­µ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´­ ¸ «» ¦r Á­µ¦r

Á nµÄ o nµÁ jµ µ ¥¸ ´ Á®¤oµ ¦ªµ¥­¸ Á¤º° Ä­o Á d ­³ oµ ´ Á¤È ­´ ¦oª Á¦oµ Á nµÁ­È nµÄ o µ Ä o ´ Á jµ ¦ªµ¥¥¸ Á¤º° Á®¤oµ Á d ­¸ ´ Ä­o ­³ oµ ¦oª Á¤È Á nµ­´ nµÁ¦oµ µ Á­È ´ Ä o ¦ªµ¥Ä o Á¤º° Á jµ Á d ¥¸ ´ Á®¤oµ ­¸ ¦oª Ä­o Á nµ­³ oµ

Á º°

ª´ ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Â­n Á«¬ Á oµ ° ®¤°

(Á® º°)

ÒÑ ÒÑ ÒÑ ÒÑ ÒÑ ÒÑ ÒÑ ÒÑ ÒÑ ÒÑ ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ ÒÑ/ÒÑ

¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo

3

3

3 3

3

3

3 3 3 3

3

Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø

ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·­­Ã ¨³ª´ ®¥» » µ · ¸ ´ µ · ¸ °¤¦·­­Ã

¨· µ · ¸

°¤¦·­­Ã

°¤¦·­­Ã

ª´ °µ­µ¯® ¼ µ ª´ Á oµ¡¦¦¬µ £´ ¦µ · ¸/°¤¦·­­Ã

°¤¦·­­Ã


e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÔ ­»¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ ÔÒ

Á º° ­· ®µ ¤

´ ¦ · ¹Ê /¦¤ ( Éε) ¦¤ × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ ¹Ê Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Â¦¤ Ò Ó Ô Õ Ö ×

ª´ Á¤È

ª´ Å

Á º°

ª´ Á oµ °

ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Â­n ®¤° Á«¬

(Á® º°) ÒÑ/ÒÑ °µ · ¥r

nµÁ¤È ÒÑ/ÒÑ ´ ¦r µ ­´ ÒÑ/ÒÑ °´ µ¦ ´ Á¦oµ ÒÑ/ÒÑ ¡» ¦ªµ¥Á­È ÒÑ/ÒÑ ¡§®´­ ¸ Á¤º° Ä o ÒÑ/ÒÑ «» ¦r Á d Ä o ÒÑ/ÒÑ Á­µ¦r ´ Á jµ ÒÑ/ÒÑ °µ · ¥r ¥¸ ÒÑ/ÒÑ ´ ¦r ¦oª Á®¤oµ ÒÑ/ÒÑ °´ µ¦ Á nµ­¸ ÒÒ ¡» nµÄ­o ÒÒ ¡§®´­ ¸ µ ­³ oµ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ ÒÒ

«» ¦r Á­µ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´­ ¸ «» ¦r Á­µ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´­ ¸ «» ¦r Á­µ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦

´ Á¤È ¦ªµ¥­´ Á¤º° Á¦oµ Á d Á­È ´ Ä o Ä o ¦oª Á jµ Á nµ¥¸ nµÁ®¤oµ µ ­¸ ´ Ä­o ¦ªµ¥­³ oµ Á¤º° Á¤È Á d ­´ ´ Á¦oµ Á­È ¦oª Ä o Á nµÄ o nµÁ jµ

Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥

3

3

3 3

Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù

ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·­­Ã ¨³ª´ ®¥»

Å ¥µ · ¸ » µ · ¸ ´ µ · ¸

ª´ Á ¨·¤¡¦³ ¤¡¦¦¬µ ­¤Á È ¡¦³ µ Á oµ²

¨· µ · ¸

๕๗


e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÔ ­»¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ

๕๘

Á º° ´ ¥µ¥

´ ¦ ·

ª´ Á¤È

¹Ê /¦¤ Á º° ( Éε) (Á® º°) ¦¤ Ø ÒÒ ¡» Ù ÒÒ ¡§®´­ ¸ Ú ÒÒ «» ¦r ÒÑ ÒÒ Á­µ¦r ÒÒ ÒÒ °µ · ¥r ÒÓ ÒÒ ´ ¦r ÒÔ ÒÒ °´ µ¦ ÒÕ ÒÒ ¡» ¹Ê Ò ÒÓ ¡§®´­ ¸ Ó ÒÓ «» ¦r Ô ÒÓ Á­µ¦r Õ ÒÓ °µ · ¥r Ö ÒÓ ´ ¦r × ÒÓ °´ µ¦ Ø ÒÓ ¡» Ù ÒÓ ¡§®´­ ¸ Ú ÒÓ «» ¦r ÒÑ ÒÓ Á­µ¦r ÒÒ ÒÓ °µ · ¥r ÒÓ ÒÓ ´ ¦r ÒÔ ÒÓ °´ µ¦ ÒÕ ÒÓ ¡» ÒÖ ÒÓ ¡§®´­ ¸ ¦¤ Ò ÒÓ «» ¦r Ó ÒÓ Á­µ¦r Ô ÒÓ °µ · ¥r Õ ÒÓ ´ ¦r Ö ÒÓ °´ µ¦ × ÒÓ ¡» Ø ÒÓ ¡§®´­ ¸

ª´ Å

µ ¥¸ ´ Á®¤oµ ¦ªµ¥­¸ Á¤º° Ä­o Á d ­³ oµ ´ Á¤È ­´ ¦oª Á¦oµ Á nµÁ­È nµÄ o µ Ä o ´ Á jµ ¦ªµ¥¥¸ Á¤º° Á®¤oµ Á d ­¸ ´ Ä­o ­³ oµ ¦oª Á¤È Á nµ­´ nµÁ¦oµ µ Á­È ´ Ä o ¦ªµ¥Ä o Á¤º° Á jµ Á d ¥¸ ´ Á®¤oµ ­¸ ¦oª Ä­o Á nµ­³ oµ nµÁ¤È

ª´ ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Â­n Á«¬ Á oµ ° ®¤° ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª

3

3

3 3 3 3

3

3

Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ

ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·­­Ã ¨³ª´ ®¥» £´ ¦µ · ¸

Å ¥µ · ¸

£´ ¦µ · ¸

Å ¥µ · ¸ » µ · ¸ ´ µ · ¸/°¤¦·­­Ã


e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÔ ­»¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ ÔÒ

Á º° »¨µ ¤

´ ¦ · ¹Ê /¦¤ ( Éε) ¦¤ Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ ¹Ê Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Â¦¤ Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù

ª´ Á¤È

ª´ Å

ª´ Á oµ °

ÒÓ ÒÓ ÒÓ ÒÓ ÒÓ ÒÓ ÒÓ ÒÓ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥

«» ¦r Á­µ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´­ ¸ «» ¦r Á­µ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´­ ¸ «» ¦r Á­µ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´­ ¸ «» ¦r Á­µ¦r

µ ­´ ´ Á¦oµ ¦ªµ¥Á­È Á¤º° Ä o Á d Ä o ´ Á jµ ¥¸ ¦oª Á®¤oµ Á nµ­¸ nµÄ­o µ ­³ oµ ´ Á¤È ¦ªµ¥­´ Á¤º° Á¦oµ Á d Á­È ´ Ä o Ä o ¦oª Á jµ Á nµ¥¸ nµÁ®¤oµ µ ­¸ ´ Ä­o ¦ªµ¥­³ oµ

¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª

Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥

°µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´­ ¸ «» ¦r Á­µ¦r °µ · ¥r

Á¤º° Á¤È Á d ­´ ´ Á¦oµ Á­È ¦oª Ä o Á nµÄ o nµÁ jµ µ ¥¸

¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥

Á º°

ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Â­n ®¤° Á«¬

(Á® º°)

3

3 3

Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò

ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·­­Ã ¨³ª´ ®¥» ¨· µ · ¸

°¤¦·­­Ã

£´ ¦µ · ¸

ª´ d¥¤®µ¦µ / ª´ ªµ¦ µ°° ¡¦¦¬µ

Á ¥ª´ d¥¤®µ¦µ

Å ¥µ · ¸ » µ · ¸ ´ µ · ¸ °¤¦·­­Ã

๕๙


e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÔ ­»¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ

๖๐

Á º°

´ ¦ ·

¹Ê /¦¤ ( Éε) ¡§« · µ¥ ¦¤ Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ¹Ê Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Â¦¤ Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú

ª´ Á¤È

ª´ Å

ª´ Á oµ °

´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´­ ¸ «» ¦r Á­µ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´­ ¸ «» ¦r Á­µ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´­ ¸ «» ¦r Á­µ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´­ ¸ «» ¦r Á­µ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦

´ Á®¤oµ ¦ªµ¥­¸ Á¤º° Ä­o Á d ­³ oµ ´ Á¤È ­´ ¦oª Á¦oµ Á nµÁ­È nµÄ o µ Ä o ´ Á jµ ¦ªµ¥¥¸ Á¤º° Á®¤oµ Á d ­¸ ´ Ä­o ­³ oµ ¦oª Á¤È Á nµ­´ nµÁ¦oµ µ Á­È ´ Ä o ¦ªµ¥Ä o Á¤º° Á jµ Á d ¥¸ ´ Á®¤oµ ­¸ ¦oª Ä­o Á nµ­³ oµ nµÁ¤È µ ­´

ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º

Á º°

ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Â­n ®¤° Á«¬

(Á® º°)

Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ Á ¸¥ ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É ¥¸É

3

3

3 3 3 3

3

3

× Ó Ø Ô Ù Õ Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó

ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·­­Ã ¨³ª´ ®¥»

¨· µ · ¸

Å ¥µ · ¸ » µ · ¸ ´ µ · ¸ °¤¦·­­Ã

¨· µ · ¸ ª´ ¨°¥ ¦³

°¤¦·­­Ã

°¤¦·­­Ã


e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÔ ­»¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ ÔÒ

Á º° ´ ªµ ¤

´ ¦ ·

ª´ Á¤È

ª´ Å

¹Ê /¦¤ Á º° ( Éε) (Á® º°) ¦¤ ÒÑ ¥¸É ¡» ÒÒ ¥¸É ¡§®´­ ¸ ÒÓ ¥¸É «» ¦r ÒÔ ¥¸É Á­µ¦r ÒÕ ¥¸É °µ · ¥r

ª´ Á oµ °

´ Á¦oµ ¦ªµ¥Á­È Á¤º° Ä o Á d Ä o ´ Á jµ

¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥

ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Â­n ®¤° Á«¬ 3

3 3

Ø Ô Ù Õ Ñ

ÒÖ

¥¸É

´ ¦r

¥¸

ªÊεŠo

Ö

¹Ê Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Â¦¤ Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ

Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô Ô

°´ µ¦ ¡» ¡§®´­ ¸ «» ¦r Á­µ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´­ ¸ «» ¦r Á­µ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´­ ¸ «» ¦r Á­µ¦r °µ · ¥r ´ ¦r °´ µ¦ ¡» ¡§®´­ ¸ «» ¦r

¦oª Á®¤oµ Á nµ­¸ nµÄ­o µ ­³ oµ ´ Á¤È ¦ªµ¥­´ Á¤º° Á¦oµ Á d Á­È ´ Ä o Ä o ¦oª Á jµ Á nµ¥¸ nµÁ®¤oµ µ ­¸ ´ Ä­o ¦ªµ¥­³ oµ Á¤º° Á¤È Á d ­´ ´ Á¦oµ Á­È ¦oª Ä o Á nµÄ o nµÁ jµ µ ¥¸ ´ Á®¤oµ

Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥

Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô

ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·­­Ã ¨³ª´ ®¥»

ª´ Á ¨·¤¡¦³ ¤¡¦¦¬µ ¡¦³ µ ­¤Á È ¡¦³Á oµ°¥¼n®´ª Á ¥ª´ Á ¨·¤¡¦³ ¤¡¦¦¬µ ¡¦³ µ ­¤Á È ¡¦³Á oµ°¥¼n®´ª

£´ ¦µ · ¸/°¤¦·­­Ã

ª´ ¦´ ¦¦¤ ¼

Å ¥µ · ¸ » µ · ¸ ´ µ · ¸

¨· µ · ¸

ª´ ­·Ê e

๖๑


e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÕ ­»¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ ÔÒ

๖๒

Á º° ¤ ¦µ ¤

´ ¦ ·

ª´ Á¤È

¹Ê /¦¤ Á º° ( Éε) (Á® º°) ¦¤ ÒÒ Ô Á­µ¦r ÒÓ Ô °µ · ¥r ÒÔ Ô ´ ¦r ÒÕ Ô °´ µ¦ ¹Ê Ò Õ ¡» Ó Õ ¡§®´­ ¸ Ô Õ «» ¦r Õ Õ Á­µ¦r Ö Õ °µ · ¥r × Õ ´ ¦r Ø Õ °´ µ¦ Ù Õ ¡» Ú Õ ¡§®´­ ¸ ÒÑ Õ «» ¦r ÒÒ Õ Á­µ¦r ÒÓ Õ °µ · ¥r ÒÔ Õ ´ ¦r ÒÕ Õ °´ µ¦ ÒÖ Õ ¡» ¦¤ Ò Õ ¡§®´­ ¸ Ó Õ «» ¦r Ô Õ Á­µ¦r Õ Õ °µ · ¥r Ö Õ ´ ¦r × Õ °´ µ¦ Ø Õ ¡» Ù Õ ¡§®´­ ¸ Ú Õ «» ¦r ÒÑ Õ Á­µ¦r ÒÒ Õ °µ · ¥r ÒÓ Õ ´ ¦r

ª´ Å

ª´ Á oµ °

¦ªµ¥­¸ Á¤º° Ä­o Á d ­³ oµ ´ Á¤È ­´ ¦oª Á¦oµ Á nµÁ­È nµÄ o µ Ä o ´ Á jµ ¦ªµ¥¥¸ Á¤º° Á®¤oµ Á d ­¸ ´ Ä­o ­³ oµ ¦oª Á¤È Á nµ­´ nµÁ¦oµ µ Á­È ´ Ä o ¦ªµ¥Ä o Á¤º° Á jµ Á d ¥¸ ´ Á®¤oµ ­¸ ¦oª Ä­o Á nµ­³ oµ nµÁ¤È µ ­´ ´ Á¦oµ ¦ªµ¥Á­È

oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o

ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Â­n ®¤° Á«¬

3

3

3 3 3 3

3

3

3

Ù Õ Ñ Ö Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ

ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·­­Ã ¨³ª´ ®¥» ª´ ¹Ê eÄ®¤n

¨· µ · ¸


e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÕ ­»¦·¥ · ª´ ¸É

Á º°

Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ

»¤£µ¡´ r

´ ¦ ·

ª´ Á¤È

¹Ê /¦¤ Á º° ( Éε) (Á® º°) ¦¤ ÒÔ Õ °´ µ¦ ÒÕ Õ ¡» ÒÖ Õ ¡§®´­ ¸ ¹Ê Ò Ö «» ¦r Ó Ö Á­µ¦r Ô Ö °µ · ¥r Õ Ö ´ ¦r Ö Ö °´ µ¦ × Ö ¡» Ø Ö ¡§®´­ ¸ Ù Ö «» ¦r Ú Ö Á­µ¦r ÒÑ Ö °µ · ¥r ÒÒ Ö ´ ¦r ÒÓ Ö °´ µ¦ ÒÔ Ö ¡» ÒÕ Ö ¡§®´­ ¸ ÒÖ Ö «» ¦r ¦¤ Ò Ö Á­µ¦r Ó Ö °µ · ¥r Ô Ö ´ ¦r Õ Ö °´ µ¦ Ö Ö ¡» × Ö ¡§®´­ ¸ Ø Ö «» ¦r Ù Ö Á­µ¦r Ú Ö °µ · ¥r ÒÑ Ö ´ ¦r

ª´ Å

ª´ Á oµ °

Á¤º° Ä o Á d Ä o ´ Á jµ ¥¸ ¦oª Á®¤oµ Á nµ­¸ nµÄ­o µ ­³ oµ ´ Á¤È ¦ªµ¥­´ Á¤º° Á¦oµ Á d Á­È ´ Ä o Ä o ¦oª Á jµ Á nµ¥¸ nµÁ®¤oµ µ ­¸ ´ Ä­o ¦ªµ¥­³ oµ Á¤º° Á¤È Á d ­´ ´ Á¦oµ Á­È ¦oª Ä o Á nµÄ o nµÁ jµ µ ¥¸

¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª

ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Â­n ®¤° Á«¬ 3 3

Ö Ò × Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ

ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·­­Ã ¨³ª´ ®¥» Å ¥µ · ¸ » µ · ¸ ´ µ · ¸/°¤¦·­­Ã

¨· µ · ¸

ª´ ¤µ ¼ µ

°¤¦·­­Ã

๖๓


e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ ¡.«. ÓÖÖÕ ­»¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ ÔÒ

๖๔

Á º° ¤¸ µ ¤

´ ¦ ·

ª´ Á¤È

¹Ê /¦¤ Á º° ( Éε) (Á® º°) ¦¤ ÒÒ Ö °´ µ¦ ÒÓ Ö ¡» ÒÔ Ö ¡§®´­ ¸ ÒÕ Ö «» ¦r ¹Ê Ò × Á­µ¦r Ó × °µ · ¥r Ô × ´ ¦r Õ × °´ µ¦ Ö × ¡» × × ¡§®´­ ¸ Ø × «» ¦r Ù × Á­µ¦r Ú × °µ · ¥r ÒÑ × ´ ¦r ÒÒ × °´ µ¦ ÒÓ × ¡» ÒÔ × ¡§®´­ ¸ ÒÕ × «» ¦r ÒÖ × Á­µ¦r ¦¤ Ò × °µ · ¥r Ó × ´ ¦r Ô × °´ µ¦ Õ × ¡» Ö × ¡§®´­ ¸ × × «» ¦r Ø × Á­µ¦r Ù × °µ · ¥r Ú × ´ ¦r ÒÑ × °´ µ¦ ÒÒ × ¡» ÒÓ × ¡§®´­ ¸

ª´ Å

´ Á®¤oµ ¦ªµ¥­¸ Á¤º° Ä­o Á d ­³ oµ ´ Á¤È ­´ ¦oª Á¦oµ Á nµÁ­È nµÄ o µ Ä o ´ Á jµ ¦ªµ¥¥¸ Á¤º° Á®¤oµ Á d ­¸ ´ Ä­o ­³ oµ ¦oª Á¤È Á nµ­´ nµÁ¦oµ µ Á­È ´ Ä o ¦ªµ¥Ä o Á¤º° Á jµ Á d ¥¸ ´ Á®¤oµ ­¸ ¦oª Ä­o Á nµ­³ oµ nµÁ¤È µ ­´ ´ Á¦oµ

ª´ ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Â­n Á«¬ Á oµ ° ®¤° ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥ ªÊεŠo Å­Á oµ Å­Á­¸¥ oµ¥¡oµª ¥¸Á¡¸¥ Á oµ ° ¦° ¡º ¡º ° ¡º µ¥ ­»¡´ ¦´ Å o ¦´ µ¥

3

3

3 3 3 3

3

3

3

Ñ Ö Ò × × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò

ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·­­Ã ¨³ª´ ®¥» £´ ¦µ · ¸

°¤¦·­­Ã

£´ ¦µ · ¸

Å ¥µ · ¸ » µ · ¸ ´ µ · ¸ °¤¦·­­Ã


e ¥¸ ( µ¨Ã « ) .«.ÒÔØÓ – e¦oª Á®¤oµ (Á µ³ ¦¸« ) .«. ÒÔØÔ ¡.«. ÓÖÖÕ ­»¦·¥ · ª´ ¸É Ò Ó Ô Õ Ö × Ø Ù Ú ÒÑ ÒÒ ÒÓ ÒÔ ÒÕ ÒÖ Ò× ÒØ ÒÙ ÒÚ ÓÑ ÓÒ ÓÓ ÓÔ ÓÕ ÓÖ Ó× ÓØ ÓÙ ÓÚ ÔÑ

Á º° Á¤¬µ¥

´ ¦ ·

ª´ Á¤È

ª´ Å

ª´ Á oµ °

¹Ê /¦¤ Á º° ( Éε) (Á® º°) ¦¤ ÒÔ × «» ¦r ¦ªµ¥Á­È ªÊεŠo ÒÕ × Á­µ¦r Á¤º° Ä o Å­Á oµ ÒÖ × °µ · ¥r Á d Ä o Å­Á­¸¥ ¹Ê Ò Ø ´ ¦r ´ Á jµ ¥¸Á¡¸¥ Ó Ø °´ µ¦ ¥¸ Á oµ ° Ô Ø ¡» ¦oª Á®¤oµ ¦° ¡º Õ Ø ¡§®´­ ¸ Á nµ­¸ ¡º ° Ö Ø «» ¦r nµÄ­o ¡º µ¥ × Ø Á­µ¦r µ ­³ oµ ­»¡´ Ø Ø °µ · ¥r ´ Á¤È ¦´ Å o Ù Ø ´ ¦r ¦ªµ¥­´ ¦´ µ¥ Ú Ø °´ µ¦ Á¤º° Á¦oµ ªÊεŠo ÒÑ Ø ¡» Á d Á­È Å­Á oµ ÒÒ Ø ¡§®´­ ¸ ´ Ä o Å­Á­¸¥ ÒÓ Ø «» ¦r Ä o oµ¥¡oµª ÒÔ Ø Á­µ¦r ¦oª Á jµ ¥¸Á¡¸¥ ÒÕ Ø °µ · ¥r Á nµ¥¸ Á oµ ° ÒÖ Ø ´ ¦r nµÁ®¤oµ ¦° ¡º ¦¤ Ò Ø °´ µ¦ µ ­¸ ¡º ° Ó Ø ¡» ´ Ä­o ¡º µ¥ Ô Ø ¡§®´­ ¸ ¦ªµ¥­³ oµ ­»¡´ Õ Ø «» ¦r Á¤º° Á¤È ¦´ Å o Ö Ø Á­µ¦r Á d ­´ ¦´ µ¥ × Ø °µ · ¥r ´ Á¦oµ ªÊεŠo Ø Ø ´ ¦r Á­È Å­Á oµ Ù Ø °´ µ¦ ¦oª Ä o Å­Á­¸¥ Ú Ø ¡» Á nµÄ o oµ¥¡oµª ÒÑ Ø ¡§®´­ ¸ nµÁ jµ ¥¸Á¡¸¥ ÒÒ Ø «» ¦r µ ¥¸ Á oµ ° ÒÓ Ø Á­µ¦r ´ Á®¤oµ ¦° ¡º

ª´ ®´ªÁ¦¸¥ ¢jµ ¸Â­n ®¤° Á«¬ 3 3

× Ó Ø Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Õ Ñ Ö Ò × Ó Ø Ô Ù Õ Ñ Ö Ò × Ó

ª´ · ¸ ´ ®oµÂ¨³ ª´ °¤¦·­­Ã ¨³ª´ ®¥» ¨· µ · ¸

ª´ ´ ¦¸ °¤¦·­­Ã

°¤¦·­­Ã ª´ ­´ ¦µ r¨n° ª´ Á nµ ª´ ¡¦³ µª´ ª´ µ e

£´ ¦µ · ¸/°¤¦·­­Ã

°¤¦·­­Ã

Å ¥µ · ¸ » µ · ¸ ´ µ · ¸

๖๕


คําอธิบายการใชปกขทืน (ปฏิทิน) ลานนา ๑. วันเสียประจําเดือน ชาวลานนาเชื่อวาในแตละเดือนจะมีวันเสีย ประจําเดือน หากวันใดตรงกับวันเสียประจําเดือน จะไมประกอบพิธีการ มงคลใดๆ ความเชือ่ เกีย่ วกับวันเสียประจําเดือนนี้ บางทองถิน่ จะใหความ สําคัญเปนพิเศษ แตอยางไรก็ตาม การหาวันประกอบพิธกี ารอันเปนมงคล ก็ยังมีการหาวันหรือฤกษยามอื่นประกอบดวย เกียง ยี่ สาม สี่

หา หก เจ็ด แปด

เกา สิบ สิบเอ็ด สิบสอง

เสีย เสีย เสีย เสีย

อาทิตย กับ จันทร อังคารวันเดียว เสาร กับ ผัด/พรหัส (พฤหัสบดี) ศุกร กับ พุธ

๒. วันไทและคําทํานายวันไท ความเชื่อเกี่ยวกับวันหนไทมีดังนี้ วันกาบใจ

ไมควรแตงงาน แตการขึ้นบานใหม บรรพชาอุปสมบท และพิธีมงคลอื่นๆ ดี วันดับเปา ไมควรออกจากบานไปคาขายตางถิ่น จะถูกโจรฆาตาย วันรวายยี อยาเลี้ยงสุราแกเจานาย ขุนนางผูใหญ จะทําใหเกิด เรื่องราวและหนี้สิน วันเมืองเหมา ไมควรทําสวน ถางหญา ตัดตนไม ไมควรยกทัพไปรบ จะถูกศัตรูฆาตาย วันเปกสี อย า เริ่ ม ทอผ า ผ า ผื น นั้ น ใครนุ ง แล ว จะเป น อั น ตราย การสูขอหรือหมั้นหมายสาวดี วันกัดใส อยาซื้อมีด หอก ดาบ จะฆาตนเอง อยาหวานกลา วันกดสะงา อยาไปคาขายตางถิ่น จะไดรับอันตราย

๖๖


วันรวงเม็ด วันเตาสัน

อยาไปลาสัตว ทําหนาไม ธนู อยาเดินทางเขาปาจะหลงทาง ทําคอกสัตวเลี้ยงจะแพรพันธุดี ผูกมิตรวันนี้จะใหคุณ แกตนในวันขางหนา วันกาเรา ทํ า พิ ธี สู ข วั ญ เรี ย กขวั ญ จะหายจากพยาธิ โรคภั ย ทําตาขายจับปลา ดี วันกาบเส็ด อยาเอาไหมมาคาดฝกดาบ จะฉิบหาย สรางหูกทอผา เจาของจะอายุสั้น วันดับใค อยาตัดผม โกนหนวด จะเกิดความเจ็บไข อยาตัดเสือ้ ผา จะเสื่อมอิทธิฤทธี วันรวายใจ อยาขี่มาเดินเมือง ผีจะทําใหปวยหนัก วันเมืองเปา อยาหุมกลอง อยาทําผาปูที่นอน ฟูก หมอน จะเปน อันตราย วันเปกยี อยาทําเสื่อสาด เครื่องลาดปูนั่ง จะทําใหตายโหง วันกัดเหมา หาไม ม าทํ า เรื อ นดี อยู แ ล ว เจริ ญ รุ ง เรื อ ง ไปค า ขาย จะร่ํารวย วันกดสี หาไมมาทําเรือนจะทําเรือน จะอยูดีมีสุขตลอดชีวิต วันรวงใส อยาทําเชือกลามสัตวๆ จะตาย วันเตาสะงา ไมควรขี่มา หรือเดินทางไปเที่ยวตางเมือง วันกาเม็ด อยาซื้อหรือทํามีด หอก ดาบ จะฆาตัวเองตาย วันกาบสัน อยาตัดเสื้อผา แตทําคอกสัตว ดี วันดับเรา ตัดผม สาวจะรักชอบ วันรวายเส็ด ปลูกหมาก มะพราว ตาล จะไมไดผล วันเมืองใค ยกทัพไปรบศึกจะชนะ ไปสูขอสาวดี วันเปกใจ เรียนคาถาอาคม สักน้ําหมึก ดี วันกัดเปา อยาหุม กลอง อยาแขงขัน พนัน ทาประลอง หรือทะเลาะ วิวาท จะฉิบหาย

๖๗


วันกดยี วันรวงเหมา วันเตาสี วันกาใส

ไปคาขาย จะไดสัตว ๔ เทา ไมควรตัดไมมาทําเรือน อยาสรางวิหาร หอโรง ทีอ่ ยูอ าศัย ไมควรแตงงาน จะหยาราง ปลูกพืชผัก ดี แตงงานดี จะมีทรัพยมาก หากไปงานเลี้ยงจะทะเลาะ วิวาท ขัดแยงกัน วันกาบสะงา ไมควรแตงงาน ชีวิตคูจะไมยั่งยืน สรางยุงฉาง ดี วันดับเม็ด ไมควรแตงงาน ชีวติ คูจ ะไมยง่ั ยืน ไปคาขายจะถูกฆาตาย วันรวายสัน อยาตัดเสื้อผา ตัดตนไมมาทํารั้วหรือกอกําแพง ดี วันเมืองเรา ไปงานเลี้ยงจะถูกคนอื่นสบประมาทใหขายหนา วันเปกเส็ด อยาไปรบ จะถูกฆาตาย วันกัดใค ทําธนู หนาไม จะพบกับความอับโชค ยิงสัตวไมถูก วันกดใจ ไปคาขายจะไดเสื้อผาเงินทอง วันรวงเปา ปลูกพืช วัวควายจะมารบกวน วันเตายี ปลูกมะพราว หมาก ตาล ดีมาก วันกาเหมา อยาใหของแกผูอื่น จะเสียมากกวาได วันกาบสี ผสมหาง(ชาด) สีที่ไดจะแดง ดี วันดับใส เกิดลูกวันนี้ จะเลี้ยงไมโต ตายตั้งแตเด็ก วันรวายสะงา ตัดไมทําครก สาก ทําโรงเรือนเก็บของ ดี วันเมืองเม็ด ทําแห จะจับปลาไดมาก วันเปกสัน อยาตัดเสือ้ ผา นุง แลวจะเกิดความเดือดรอน อยาใหสรุ า แกเจานาย จะเดือดรอน วันกัดเรา ขึงตาขายดักนก ทําถุงใสเงิน ดี วันกดเส็ด ไมควรแตงงาน จะเสียทรัพย สมบัติจะฉิบหาย อยาทํา เชือกลามวัวควายจะตาย วันรวงใค ไมควรแตงงาน จะรางหมาย เลี้ยงแขกจะทะเลาะวิวาท วันเตาใจ ทําคอกสัตวเลี้ยงจะแพรพันธุ ดีมาก

๖๘


วันกาเปา

แตงงานดี มีหลักฐานมั่นคง และจะรักกันมั่นคง ไมควร นําเรือลงน้ํา เรือมักจะลม วันกาบยี แตงงานดีจะรักกันมั่นคง ไมควรลงน้ํา เขาปาจะมีภัย วันดับเหมา แตงงานดี จะรักกันมัน่ คง มีทรัพยมาก ตัดเย็บเสือ้ ผาใหม จะมีคนรักมาก วันรวายสี ไมควรแตงงาน พอแมจะอายุไมยืน ทําฟูก ที่นอน ดี วันเมืองใส ไมควรแตงงาน พอแมจะอายุไมยืน อยาออกรบทัพ จับศึกจะไดรับบาดเจ็บ วันเปกสะงา ไมควรแตงงาน จะรางหมาย อยาขี่มาเดินทาง จะเกิด อันตราย วันกัดเม็ด ไมควรแตงงาน จะหยาราง ซื้อสัตวมาเลี้ยง ดีมาก วันกดสัน แตงงานดี จะมีทรัพยมาก อยาตัดเสื้อผา สูขอสาวดี พอแมฝายหญิงจะเมตตา วันรวงเรา แตงงานดี จะรักกันมั่นคง ทําผาหม ผานวม คนในเรือน จะตาย วันเตาเส็ด ไมควรแตงงาน จะอยูดวยกันไมนาน อยาทําเตาไฟ ผีเรือนไมพอใจ จะใหโทษ วันกาใค ไมควรแตงงาน หรือซื้อสัตวมาเลี้ยง สัตวจะอายุไมยืน ๓. วันเกากอง ความเชื่อเกี่ยวกับวันเกากองตามนี้ คนลานนาใชดูสําหรับการ ฌาปนกิจศพ (เสียศพ) เปนสําคัญ กลาวคือ ถาหากตรงกับวันเกากอง ไมควรฌาปนกิจศพเปนอันขาด เพราะเชื่อวาจะทําใหคนในครอบครัว ของผูตายหรือคนในชุมชนนั้นเสียชีวิตตามเปนจํานวนมาก ดังมีเรื่อง เลาวาหญิงโสเภณีคนหนึง่ มีผวั หัวลานถึง ๗ คนและแตละคนก็มรี ปู พรรณ สัณฐานเหมือนกันมาก วันหนึ่งนางนําเห็ดพิษมาทําอาหารใหผัวกิน

๖๙


แตบังเอิญนางไมไดกิน จึงทําใหผัวของตายหมดทั้ง ๗ คน นางจึงไดจาง สัปเหรอใหเอาศพไปเผา สัปเหรอไมรูวาผัวตายทั้ง ๗ คน ประกอบกับ นางไมอยากเสียคาเผาศพถึง ๗ ครัง้ จึงออกอุบายวาใหสปั เหรอเผาศพผัว ของนางอยางรอบคอบ มิฉะนั้นผัวของนางอาจฟนขึ้นมาไดอีก เมื่อ สัปเหรอเผาศพแลวก็ไปขอรับเงินตามสัญญา แตนางกลับลากศพผัว อีกคนหนึง่ มาแลวเอาขีเ้ ถาทาตามตัวและบอกวาผัวนางยังฟน ได สัปเหรอ แปลกใจแตก็นําศพผัวคนที่ ๒ ของนางไปเผาอีก นางก็ทําซ้ําๆ อยูเชนนี้ ความหงุดหงิดที่สัปเหรอตองเผาศพครั้งแลวครั้งเลาก็เพิ่มขึ้นตามลําดับ จนศพที่ ๗ สัปเหรอจึงบอกวาจะเอาไปหัน่ เปนทอนๆ แลวเผาอีกและตน จะเฝาดูใหแนใจอีกดวย ขณะทีศ่ พจวนไหมหมดแลวนัน้ บังเอิญมีชายเผา ถานหาบถานมาถึงที่นั่น ชายเผาถานก็บังเอิญหัวลานและมีรูปรางคลาย สามีทงั้ เจ็ดของนางอีกดวย สัปเหรอเห็นเขาก็นกึ วาศพฟน ขึน้ มาอีกจึงโมโห และโดดเขาชกตอยชายเผาถานคนนั้น จนทั้งคูพลาดตกเขาในกองฟอน ที่เผาศพอยูตายดวยกันทั้งสองคน นับวาในวันนั้นมีคนตายรวมเกาคน จึงเรียกวันนั้นวา “วันเกากอง” และในวันนั้นเปนวันไทที่ชื่อลงทายดวย “ยี” หรือ “วันยี” อีกดวยโบราณลานนาจึงหามเผาถานเพราะเกรงวา จะมีเคราะหดงั ชายเผาถานคนนัน้ จึงผูกเปนคําคลองจองวา “วันเกากอง บดีเผาผี วันยีบดีเผาถาน” คําทํานายวันเกากอง มีดังนี้ วันเกากอง วันรองพืน วันพืนดอก

๗๐

ทํากิจกรรมอันใดสมปรารถนา แตหามเผาผี (ฌาปนกิจศพ) จะนําความเดือดรอนมาสูเ จาบาน เหมาะสําหรับปลูกพืชสวน พืชไร ไมควรออกบาน ไปคาขายจะขาดทุน ทํารัว้ บาน รัว้ สวนดี ปองกัน ภัยไดดีมาก ไมควรนําภรรยามาอยูบาน ทําเตาหลอมเงิน หลอมทองดี


วันพืนดาย วันสูพกั วันรับได วันรับตาย วันขว้ําได วันไสเจา วันไสเสีย วันทายปาว วันยีเพียง

ทําการใดๆ ก็ดีทุกอยาง ไมควรขุดดิน ทําไรนา ทําสวนไมไดผล แตสราง เขื่อน ฝาย อางเก็บน้ํา คาขายทางน้ําดี ไมควรออกบานไปคาขายตางเมือง ไมควรปลูก บานใหม เหมาะสําหรับปรุงยารักษาโรค เริ่มรักษาผูปวย ไมควรออกศึกสงครามหรือสูคดีจะไดรับความ ปราชัย ไมควรไปคาขาย เมียมักมีชู ควรทําความสะอาด ในบานในเรือน ทําบันไดใหม ทําอะไรเกีย่ วกับเจานาย ผูใ หญ เชน เชิญมาเปน ประธานไมดีจะเกิดโทษ เอาภรรยาเขาบานได เอาแมรางแมมายดีวันนี้จะสุขสบาย ไมควรปรุงยา แตเหมาะสําหรับสงภัย ถอนบานเรือน ไมควรตีเหล็ก ตีดาบ จะเปนภัยแกตนเอง ไมควรทําการศึกจะไดรบั ความปราชัย แตเหมาะ สําหรับทํานาทําไร เลีย้ งวัว ควาย ซือ้ ของมาใหมดี

๔. วันหัวเรียงหมอน วันหัวเรียงหมอนคนลานนาใชสําหรับดูพิธีมงคลสมรส หรือคูรัก จะอยูกินกันฉันสามีภรรยาเปนสําคัญ โดยใหดูคูกับวันฟาตีแสง โบราณ กลาววา หากสองวันนีต้ รงกันแลวก็จะเปนวันดียงิ่ สําหรับการประกอบพิธี ดังกลาว แตหากพบวาคําทํานายวันไทหามวาไมควรประกอบพิธแี ตงงาน ก็ขึ้นอยูกับความสะดวกและสบายใจของเจาภาพวาจะตัดสินใจอยางไร วันหัวเรียงหมอนจะตรงกับวันขึ้น ๒, ๗, ๑๐, ๑๑, ๑๒, ๑๓ ค่ํา และแรม ๔, ๗, ๑๐, ๑๓, ๑๔ ค่ําของแตละเดือน แตมักไมนิยมแตงงานในเดือนคี่

๗๑


๕. วันอมริสสโชค วันอมริสสโชค คือวันทีม่ โี ชคใหญ ใชดสู าํ หรับการลงทุนทํากิจการ ตางๆ การเสี่ยงโชค การแสวงโชค หรือติดตอผูใหญ ถาหากตรงกับวัน อมริสสโชค จะทําใหกจิ การหรือสิง่ ทีท่ าํ ในวันนัน้ ประสบผลสําเร็จ ถาเดือนใด มีวันขึ้น – แรม ตรงกับวันเม็ง ดังตอไปนี้ จะถือวาเปนวันอมริสสโชค ขึ้น – แรม ๘ ค่ํา ขึ้น – แรม ๓ ค่ํา ขึ้น – แรม ๙ ค่ํา ขึ้น – แรม ๒ ค่ํา ขึน้ – แรม ๔ ค่าํ ขึ้น – แรม ๑ ค่ํา ขึ้น – แรม ๕ ค่ํา

ตรงกับ ตรงกับ ตรงกับ ตรงกับ ตรงกับ ตรงกับ ตรงกับ

วันอาทิตย วันจันทร วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร วันเสาร

๖. วันติถีทั้งหา ความเชือ่ ในเรือ่ งวันติถที งั้ หานัน้ เชือ่ วาวันทัง้ ๕ วัน ไดแก นันทาติถ,ี ภัทราติถี, ไชยาติถี, ลิตตาติถี และปุณณาติถี เปนวันที่ดียิ่งกวาวันใดๆ แมวันไมดีอื่นๆ มาตรงกับวันเหลานี้ยอมทําใหกลายเปนวันดีทั้งสิ้น วิธีการหาวันติถีทั้งหามีดังนี้ ขึ้น – แรม ๑ ค่ํา, ๖ ค่ํา, ๑๑ ค่ําตรงกับ วันศุกร ชื่อ นันทาติถี ขึ้น – แรม ๒ ค่ํา, ๗ ค่ํา, ๑๒ ค่ําตรงกับ วันพุธ ชื่อ ภัทราติถี ขึ้น – แรม ๓ ค่ํา, ๘ ค่ํา, ๑๓ ค่ําตรงกับ วันอังคาร ชื่อ ไชยาติถี ขึ้น – แรม ๔ ค่ํา, ๙ ค่ํา, ๑๔ ค่ําตรงกับ วันเสาร ชื่อ ลิตตาติถี ขึน้ – แรม ๕ ค่าํ , ๑๐ ค่าํ , ๑๕ ค่าํ ตรงกับ วันพฤหัสบดี ชือ่ ปุณณาติถี

๗๒


ความเชือ่ เรือ่ งวันติถที งั้ หานี้ เปนขอควรปฏิบตั ิ ไมใชขอ หาม จึงใช สําหรับดูประกอบวันอื่นๆ ถาสอดคลอง หรือตรงวันดีวันอื่นๆ ก็จะเปน มงคลยิ่งขึ้น แตละวันมีคําอธิบาย ดังนี้ วันนันทาติถี ควรสรางบานเรือน วิหาร ศาลา ขุดสระน้ํา กอหรือหลอพระพุทธรูป กอเจดีย ออกเดินทางไปคาขาย ยกยอพระมหาเถร สังฆราชานายก พระสวามี ตั้งอุปราช ราชาภิเษกพระมหากษัตริย ตัดชอ และตุงไชยดีมาก วันภัทราติถี ควรสงศุภสาสนการทูต สงตัวบาวสาว กินแขก แตงงาน ดําหัว ลางหรือทําความสะอาดเครือ่ งประดับ ยายทีอ่ ยู แกะสลัก เขียนภาพ ตัดไมมาทําบานเรือน เขาอยูบานใหม อยูเมืองใหม ตั้งชื่อยศ นามศักดิ์ ดีมาก วันไชยาติถี ควรเริ่มสรางอาวุธ ยกทัพ เจรจาความเมือง เลี้ยงหมูทแกลวพลหาญ เรียนศิลปศาสตรวิชาคุณ ศิลปะตางๆ กอสราง เมืองใหม ทําความสะอาดอาวุธ ทํารั้วดีมาก วันลิตตาติถี เหมาะสําหรับทํานา ทําสวน ทําไร ปลูกตนไม สรางถนนหนทาง ทําแกวแหวนมิ่งมงคล ตัดเสื้อผาใหม ทําขวัญ สูขวัญ ตัดผม ทาน้ํามัน น้ําหอม เขาเฝาเจานาย วันปุณณาติถี เหมาะสําหรับนําขาวใหมใสยุงฉาง ทําถุงหรือ กระเปาใสเงิน ไถขาทาสหญิงชาย หรือนําคนใชมาอยูบาน พระสงฆ เริ่ ม เรี ย นพระธรรมคั ม ภี ร ต า งๆ การสร า งเวี ย งวั ง เพิ่ ม นาม ยศถา บรรดาศักดิ์ แตงตั้งเสนาอามาตย ขาราชการ กอกําแพงเมือง เริ่มเรียน เวทยมนตคาถาตางๆ ดี

๗๓


๗. วันฟาตีแสง วันฟาตีแสง หรือวันฟาตีแสงเศษ หรือวันฟาตีแฉง ความหมาย ของวั น นี้ นั ย ว า เป น วั น ที่ “ฟ า ” (สวรรค ) ตี “แส ง หรื อ แฉ ง ” ซึ่ ง หมายถึงฉาบขนาดเล็ก อนุมานไดวาวา “ฟา” อยูในอารมณรื่นเริง ชืน่ ชม ยินดี อีกกระแสหนึง่ เห็นวาเดิมควรเปนคําวา “ฟาตีแ่ สง” อันหมายถึง ฟาฉายแสง หรือ เบิกมานฟามากกวา วันฟาตีแสงเปนวันทีค่ นลานนาเชือ่ วาเปนวันทีส่ าํ คัญกวาวันอืน่ ใด หรือเรียกวา “เปนวันครบวันทัง้ หลาย” ใช สําหรับดูวนั สําหรับทําพิธมี งคลสมรส การสรางบานใหม ทําบุญขึน้ บานใหม เปดรานคา สํานักงาน และโรงทําพิธีทุกชนิด หากคํานวณหาวันฟาตีแสง ทํานายวาดี ก็จะชนะภัยและอัปมงคลทัง้ ปวง ในทางกลับกันหากเศษการ คํานวณทํานายวาไมดีแลวก็พึงงดประกอบพิธีมงคลนั้นเสีย วันฟาตีแสงนี้ ใชดวู นั สําหรับการทําพิธมี งคลสมรส การสรางบาน ใหม การทําบุญขึน้ บานใหม เปดรานคา สํานักงาน และโรงทําพิธที กุ ชนิด วันนีเ้ ชือ่ วาเปนวันครบวันทัง้ หลาย กลาวคือ แมวนั อืน่ เชน วันเม็ง วันไท วันเกากอง ฯลฯ จะเปนวันไมดีก็ตาม หากวันฟาตีแสงดีแลว ก็จะชนะภัย ชนะอัปมงคลทั้งปวง แตในทางตรงกันขาม หากวันฟาตีแสงไมดีแลว วันอื่นๆ แมจะดีปานใดก็ตาม พึงงดเวนงานมงคลนั้นเสีย การคํานวณวันฟาตีแสง เอาจุลศักราชปที่ตองการทราบตั้ง หารดวย ๑๐๘ แลวเอาเลข ทีเ่ ปนเศษตัง้ บวกดวยเกณฑเดือน บวกดวยติถวี นั ทีต่ อ งการทราบ คูณดวย ๕ ลบดวย ๗ แลวหารดวย ๙ เศษการหารที่ไดคือวันฟาตีแสง คําทํานายวันฟาตีแสง เศษ ๐, ๑, ๘ ไมดี แม เ ป น พระญาอิ น ทราธิ ร าชขึ้ น ทรง ปราสาทก็จักวินาศฉิบหาย อยาทําพิธีหรือกิจกรรมใด ถาทําไปไมถึงป ก็จักตาย หรือฉิบหาย หรือถูกไลหนี

๗๔


เศษ ๓, ๗ ไมดี ไฟจักไหม หรือจักประสบอุบตั เิ หตุ เปน อันตรายแกทา วพระญา (ผูใ หญในบานเมือง) ผีเสือ้ บาน เสือ้ เมือง หรือ มิฉะนัน้ ตนจักตาย หรือจักเสียทรัพยสนิ เสียขาวของเงินทอง เศษ ๒, ๔, ๕, ๖ ดี จะประสบผลสําเร็จทุกประการ แมน ทุกขยากเข็ญใจก็จกั ไดดี อยูด มี สี ขุ พรัง่ พรอมดวยยศ สมบัติ ขาวของเงินทอง

๗๕


ปจล ุ ศักราช ๑๓๗๒ (วันที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๕๓- ๑๕ เมษายน ๒๕๕๔) วันอังคาร วันพฤหัสบดี วันจันทร วันเสาร

๗๖

เปนวัน เปนวัน เปนวัน เปนวัน

ธงไชย อธิบดี อุบาทว โลกาวินาศ




Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.