ฉบับที่ ๑๒ พฤษภาคม - สิงหาคม ๒๕๕๒
ที่ปรึกษา
ISSN : 1905-40-607 วัตถุประสงค
๑. เพือ่ เผยแพรงานดานวัฒนธรรมในจังหวัดเชียงใหม ๒. เพื่อเปนสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู กิจกรรมและดําเนินงานดานวัฒนธรรม ระหวางองคกรและเอกชน ๓. เพื่อสงเสริมและสนับสนุนองคกรทองถิ่นที่ ดําเนินงานดานวัฒนธรรมใหกวางขวางยิ่งขึ้น ๔. เพื่ออนุรักษมรดกทางวัฒนธรรม จังหวัดเชียงใหม
สํานักงาน
สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม ศูนยราชการจังหวัดเชียงใหม อ.เมือง จ.เชียงใหม ๕๐๓๐๐ โทรศัพท/โทรสาร. ๐๕๓-๑๑๒๕๙๕, ๐๕๓-๑๑๒๕๙๖
เรื่องในฉบับ
อูจากั๋นกอน ................................................................. ๑ คณะบรรณาธิการ พิธีกรรมการบูรณะเจดีย ............................................. ๒ ศรีเลา เกษพรหม เลาขานประสบการณเรื่อง “ผีเผต” ............................. ๘ รศ.พิเศษ ถาวร เสารศรีจันทร ธงฉัพพรรณรังสี ....................................................... ๑๔ พระนคร ปรังฤทธิ์ บุคคลวัฒนธรรม (พระราชเขมากร) ............................๑๘ ภัทรา จันทราทิตย ตุง เครื่องสักการะทางพระพุทธศาสนา ในนครเชียงตุง ...........................................................๒๑ ผศ.จินตนา มัธยมบุรุษ ของกิ๋นบานเฮา (แกงผักขี้ขวง) ....................................๒๖ ผศ.จินตนา มัธยมบุรุษ, ปานรดา อุนจันทร ขาววัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม .............................. ๒๘ ปานรดา อุนจันทร คาวรําลึกครบรอบชาตกาล ๖๐๐ ป พระเจาติโลกราช ..................................................... ๓๑ ศิริงพงศ วงศไชย
ดร.เจาดวงเดือน ณ เชียงใหมม นายอินสม ปญญาโสภา ดร.บุญคิด วัชรศาสตร นางวันเพ็ญ ณ เชียงใหม
บรรณาธิการ
ผศ.จินตนา มัธยมบุรุษ รศ.พิเศษถาวร เสารศรีจันทร
บรรณาธิการบริหาร
นายไพฑูรย รัตนเลิศลบ นางเจียมจิตต บุญสม
กองบรรณาธิการ
นายศรีเลา เกษพรหม นายจรีย สุนทรสิงห นางภัทรา จันทราทิตย นางปานรดา อุนจันทร
การเงิน
นางศิริวรรณ สุขศิริ นายประจัญ สมนาวรรณ
จากปก : ตุงจาดรอด เปนตุงทีป่ ก หรือเขียนรูปตางๆ
ในการเสวยพระชาติของพระโพธิสตั ว จํานวน ๑๓๖ ชาติ กอนที่จะมาตรัสรูเปนพระพุทธเจา เชื่อกันวาหาก ทานตุ ง นี้ แ ล ว จะรอดพ น โรคาพยาธิ อุ บั ติ เ หตุ ภยันตรายทั้งปวง
พิมพที่ : หจก. กลุมธุรกิจแม็กซ (MaxxPRINTING ) ๑๔ ถ.ศิริมังคลาจารย ซ.สายน้ําผึ้ง ต.สุเทพ อ.เมือง จ.เชียงใหม ๕๐๒๐๐ TM
โทร. ๐๘๖-๖๕๔๗๓๗๖, ๐๕๓-๒๒๑๐๙๗ moradoklanna@gmail.com http://moradoklanna.com
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
อูจ้ า๋ กั๋นกอ ่ น วารสารวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม ฉบับตอนรับ ปขาล สวัสดีปใ หม ๒๕๕๓ ขอสงความสุขในชวงปใหม ใหสมาชิกทุกทาน รวมถึงทานผูอ า นทีใ่ หเกียรติเขามา ในห อ งข า วสารของพวกเรา ขอท า นให มี ค วามสุ ข ความเจริญ ปราศจากโรคภัยไขเจ็บ มีสุขภาพกายใจที่ ดี ตลอดป..และตลอดไปเนอ.. สําหรับฉบับตอนรับปขาล เปนฉบับแรกแหงป (ฉบับที่ ๑๓) พวกเรายังมีความตั้งใจที่จะนําเสนอ เรือ่ งราวทีน่ า สนใจกลับมาคราวนี้ เนือ้ หาสาระทีน่ าํ มา เสนอ ยังนาสนใจ นาติดตาม จากบรรดาทานผูเขียน หลายทาน ที่ไดนําเสนอประสบการณ เรื่องเลาที่นา ประทับใจมาฝากใหทานไดติดตามอยางเรื่องเลาขาน ประสบการณผีเผต (ผีเปรต) ลองติดตามดู นอกจากนี้ ยังมีอาหารพืน้ เมือง ชือ่ อาจฟงแลวไมนา ฟงซักเทาไหร แตนา ลิม้ ลองดู…วาทําไมถึงมาเปนอาหารพืน้ บานของ ชาวเหนือเรา สําหรับความรู วิชาการในเรื่องตํานาน พระพุทธศาสนาในลานนา ยังมีมาฝากมิใหลืมเลือน ที่ลืมเสียมิไดเห็นจะเปนบุคคลทางวัฒนธรรมฉบับนี้ จะขอกลาวถึง ทานเจาอาวาสวัดเจ็ดยอด พระอารามหลวง ตํานานแหงประวัติศาสตรลานนา พระราชเขมากร รองเจาคณะจังหวัดเชียงใหม เปนองคอปุ ถัมภกศาสนา ที่ ไ ด อุ ทิ ศ เวลาให กั บ งานพุ ท ธศาสนามายาวนานอี วนานอี ก ทานหนึ่ง อแนะจาก วารสารวัฒนธรรม ยินดีรับฟงขอเสนอแนะจาก ทุกทาน หากทานมีขอคิดเห็นอยากไดรับทราบขอมูล ขาวสารทางวัฒนธรรมในเรือ่ งใด ความคิดเห็ห็นของทาน จะเปนประโยชนยิ่งในการนําเสนอสาระ เพื่อหมูเฮา ตอไป สวัสดีเจา สวัสดีครับ ปะกั๋นฉบับหนนา บรรณาธิการ กองบรรณาธิ ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
๑
พิธีกรรมการบูรณะเจดีย์
ศรีเลา เกษพรหม
สถาบันวิจัยสังคม มหาวิทยาลัยเชียงใหม
องคเจดียท เี่ กาหรือหักโคนลง เมือ่ จะมีการบูรณะ ก็ตอ งกระทําตามพิธกี รรมทีถ่ กู ตอง ถาไมทาํ ใหถกู ตอง คนโบราณเชื่อถือวาองคพระธาตุที่อยูใตฐานของเจดีย และแกวแสงสิ่งที่เปนมงคลตางๆ ในองคเจดียจะหนี หายไปอยูท อี่ นื่ ถือวาเม็ดพระธาตุเปนวัตถุทมี่ ชี วี ติ จิตใจ ถาทําองคเจดียใหเปนสถานที่นาอยู สะอาดและไดรับ การดูแลรักษา พระธาตุก็จะประดิษฐานอยูและแสดง ปาฏิหาริยใ หปรากฏ เกิดความชุม เย็นรุง เรืองในบริเวณ นั้นๆ พระธาตุองคอื่นๆ ที่อยูใกลเคียงกันก็จะไปมา เที่ยวหากัน แตถาไมมีใครดูแลรักษา สักการะบูชา พระธาตุก็จะหนีไป ดังนั้นการที่จะบูรณะองคเจดีย อันเปนที่ประดิษฐานองคพระธาตุตองทําดวยความ เคารพบู ช า และถู ก ต อ งตามโบราณพิ ธี ที่ ทํ า สื บ ต อ กันมา
๒
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
ตั้งหอเสื้อวัด
กอนจะถึงวันกระทําพิธีใหตั้งหอเสื้อวัด ๑ หลัง สรางดวยไมแกน มุงแปนเกล็ด ไวเปนกัมมะถักกับวัด กับพระธาตุเจา แลวจึงทําพิธบี อกกลาวผีเสือ้ วัดในตอน บาย กอนวันทําพิธบี รู ณะพระธาตุ ๑ วัน เครือ่ งบูชาหอ เสื้อวัดมี เขา อาหาร เขาตม เขาหนม สมสูกลูกหวาน หมากพลู กล ว ยอ อ ย และยั ง มี แ กงส ม แกงหวาน ชอเทียน ขาวตอกดอกไม เมือ่ ยกตัง้ บนหอแลว อาจารย วัดกลาวคําบูชา วา โภนโต เทวาเทวคณาทังหลายมวลหมู ทังเสื้อ บานอยูรักษา ขอจุงไขพระโสตาวิมานปราสาทราธนา สโมธาน บัดนีช้ มุ นุมการมารอดไคว ผูข า ทังหลายชุใหญ นอยญิงชาย มาเล็งหันยังพระธาตุเจาอันชินหลุคร่าํ ชรา ลง จิ่งไดพรอมกันวาจักปฏิสังขารณะเพื่อค้ําชูวรพุทธ ศาสนาใหอยูหมั้นคุงตราบเถิง ๕,๐๐๐ พระวรรษา จิ่ง มีสนั ทานุสนั ทบละเสียยังฮีตบรดี มลางเทเสียยังประเวณี อันมีมาแตภายหลังเมือ่ กอน เชนพอหมอนเดิมมา ก็พา
กันตกแตงดาเครือ่ งขียาบูชาทังหลายมวลฝูงนีบ้ ห อื้ เศษ หลอ ขอเสื้อบานอันอยูรักษาในสถานที่นี้จุงรับเอายัง เครื่องขียาปูชาฝูงนี้ เซิ่งผูขาทังหลายมีตนวา เขาน้ํา โภชนะอาหารเขาตมเขาหนมแกงสมแกงหวาน สมสูก ลูกหวาน หมากพลูพราวตาลกลอยออยชอนอยและ เทียนไฟ เขาตอกดอกไมมวลฝูงนี้เซิ่งผูขาทังหลาย เมื่อ รั บ เอาแล ว ขอจุ ง มาสั ง พิ ภั ค รั ก ษายั ง บ า นช อ งกั บ ทั ง วรพุทธศาสนาและผูข า ทังหลายชุผใู หญนอ งชายญิง ทัง ชางมาวัวควาย เปดไกหมูหมา และขอมาชวยค้าํ ในการ สรางกอและปฏิสงั ขารณะองคพระธาตุเจาเจดีย อยาหือ้ ผูขาทังหลายเปนกังวลอนทรายทังหลาย ขอหื้อภัยยะ ทังหลายจุงหื้อหลีกเวนฟกหนีไกล ฝูงหมูมารทังหลาย อยาไดมาสุนเทีย่ งแทดหี ลี ผูข า ทังหลายก็ขอถวายสักการะ บูชาครบเครื่องชุเยื่องนี้นานา อธิคตา ทีฆายุกา สัพพะ ทาวัสส วราหกา อิจฉสสมิชันตุ ปริโยสาน สมตา (กลาว ๓ รอบ)
ตั้งหอพระอุปคุต
อีกประการหนึ่งที่ตองตั้งขึ้นคือใหสรางหอพระ อุปคุต ใหมาชวยรักษาในการสรางหรือบูรณะองคเจดีย เพือ่ ไมใหมเี หตุเพทภัย หรือมีมารมารบกวน เชือ่ กันวา พระพุ ท ธเจ า ได สั่ ง ให พ ระอุ ป คุ ต ช ว ยดู แ ลพระพุ ท ธ ศาสนา และพระอุปคุตก็เปนผูที่หมูมารเกรงกลัว เมื่อ สรางหออุปคุตในบริเวณที่ใกลกับสถานที่จะสรางหรือ บูรณะแลว ปูเสือ่ และอาสนะไว ใหจดั เครือ่ งสักการะบูชา และเครื่ อ งอั ฐ บริ ข ารตั้ ง ไว ใ นหอนั้ น ประกอบด ว ย
ขันขาวตอกดอกไม เทียน ๘ คู ขันหมาก โคนโทน้ํา ผา เครื่องหลวง คือ ๑ ไตร บาตร ไมเทา วีพัด ขันใสมูล มันลูกไมอันดีอันงาม ใหผูที่เปนประธานในการสราง หรือบูรณะ ตลอดถึงชางผูทํา มีความปลอดภัยจาก อันตรายทั้งปวง ในตอนเย็นของวันกอนทําพิธีบูรณะ ในบางทองถิ่นจะจัดขบวนแหไปอาราธนาพระอุปคุต โดยมีอาจารยวัดเปนประธาน พรอมดวยศรัทธาผูเฒา ผูแ ก คนหนุม คนสาว มีขนั ขาวตอกดอกไมลาํ เทียน และ ฆองกลองพากันไปที่แมน้ําใหญเพื่อไปอาราธนาเอา พระมหาอุปคุต ที่เชื่อกันวาทานชอบอยูในน้ํา เมื่อไป ถึงอาจารยทเี่ ปนประธานกลาวคําโวหารวา "ขาพเจาพา กันมาเพื่อขออาราธนาพระมหาอุปคุต เพื่อไปชวย ปกปองภัยมาร ในงานครั้งนี้ ขอพระมหาอุปคุตจงชวย ดวยเถิด" แลวใหผชู ายคนใดคนหนึง่ ลงดําไปในน้าํ แลว หยิบเอากอนกรวดหรือกอนหินหรือสิง่ ใดสิง่ หนึง่ ขึน้ มา ซึง่ สมมุตวิ า เปนพระมหาอุปคุต เมือ่ งมขึน้ มาแลวนําวาง ไวในขันดอก ไมแลวจึงแหไปที่วัด แลวยกขันที่ใสกอน กรวดตัง้ ไวในหอ บางทองถิน่ ก็ไมไดกระทําอยางนี้ เมือ่ ตั้งเครื่องอัฐบริขารบนหอแลว ก็จะกลาวคําอัญเชิญ พระอุปคุตกันที่หนาหออุปคุตนั่นเอง โดยอาจารยวัด จะคําอาราธนาวา สังโฆวิสุทโธ วรทักขิเณยโย สันตินทริโย สัพพ มลปหิโน คุณหิเนเกหิ สมิทธิปต โต อนาสโว ตังปนนมา มามิ สังฆติโย ชโนโลหมยังปาลโย ชีวโิ ต วรทักขิณสาคร มัชเฌ อุปคุตโต ถิโตนเมโย อุปคุตโตมหาเถโร อันวา พระมหาอุปคุตเถรเจาตนไดอรหันตัง อันเปนอรหันตา ตนประเสริ ฐ ทั ก ขิ ณ สาครมั ช เฌถิ โ ต อั น ตั้ ง อยู ใ น ทามกลางพืน้ น้าํ มหาสมุทร กัมโตโลหปราสาทมยัง ใน ปราสาทอันแลวดวยทองแดง ติโยชนุพเพโธ อันสูงได ๓ โยชน วิชโิ ตจ ตราบอันเถิงนิพพาน โสอุปคุตโต อันวา พระมหาอุปคุตเจาตนเปนอรหันตาตนประเสริฐนั้น นเมมวานมามิ ผูขาก็ไหวดวยอันครบยําแยงกาลบัดนี้ แล ขาแดพระมหาอุปคุตเจาตนประเสริฐ ตนมีคุณ ล้ํ า เลิ ศ อรหั น ตเจ า ย อ มมี อิ ท ธิ ฤ ทธี อั น องอาจ อั น พระพุทธเจาหากทํานายไวหื้อรักษาศาสนา ๕,๐๐๐ พระวรรษา เพื่อบหื้อเปนอนทรายแกนรานรฝูงมัก ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
๓
บําเพ็ญบุญกิริยา อันยิ่งดวยอิทธิฤทธีแหงเจากู เทียน ยอมผจญยังมาร ปกขะมารหื้อขาดกลับหาย บัดนี้ผูขา ทังหลายอันพระคณะสังฆ ปุตตุชนทังหลายมวลหมูอัน ตั้งอยูรักษาในโขงชมพูทวีปนี้ หากเปนจารีตประเวณี อันพระสากยมุนโี คดมบรมศาสดา หากตัง้ ศาสนาไววา หื้อคนทังหลายไดกระทําบุญตามเจตนาแหงตนชุบาน ชุเมือง เพื่อหื้อรุงเรืองในศาสนากูพระตถาคต ตราบ เสี้ยง ๕,๐๐๐ พระวรรษา วาสันนี้แทดีหลี ในกาลบัดนี้ ผูข า มวลหมูอ นั ตัง้ อยูร กั ษายังพุทธศาสนา ก็มบี พุ พภาค เจตนาหยัง่ เชือ่ เลือ่ มใสในกุศลนาบุญเสีย้ งชุผชู คุ นชุนอ ย ใหญญิงชายแทดีหลี โอกาสปนนสมก มูลศรัทธาอัน บังเกิดมูลเจนาแตเหงา หมายมีมหาอารามาธิปติเจาตน ชื่อ (ชื่อเจาอาวาส) อันตั้งปฏิบัติบําเพ็ญบุญในศาสนา อารามวัด (ชื่อวัด) ที่นี่เปนประธาน ก็บังเกิดดวยบุพพ ภาคเจตนาศรัทธามักใครปฏิสงั ขารณะองคพระธาตุเจา เจดีย ก็จิ่งไดรําพึงคิดถึงพระอรหันตเจาตนวิเศษ อันมี บุญญาธิคุณ สีลาทิคุณ บริสุทธิ์ ตนชื่อวาอุปคุต ตนมี ฤทธิ์องคอาจ ก็จิ่งจักไดตั้งมณฑปปราสาท ปูไวยัง อาสนา อันประดับประดาเรืองรอด หื้อเปนที่ยั้งจอด อาศัย ผูขาทังหลายก็ตั้งไว มีทังเครื่องสมณบริขาร คือ วาผา ๓ ผืน กับบาตร มีทังน้ําตนและขันหมาก ไมเทา เหล็ก หากเปนของสมควร เปนที่นิยมใจเจตน เพื่อ อัญเชิญพระอรหันตเจาตนวิเศษมาเมตตาแทดีหลี ทีนี้ ผูขาทังหลายก็ไดพรอมกันขงขวาย ตกแตงนอมนํามา ยังบุปผาราชาดวงดอกขาวตอกพรอมลําเทียน มาจําเนียร พ่ําเพ็งเต็มขัน เพื่อจักมาขอโอกาสราธนานิมันตนายัง พระอรหันตเจาตนวิเศษ อันทรงสมณเพศอันบริสุทธิ์ ตนชือ่ อุปคุตตนประเสริฐ ขอเจากูจงุ เกิดดวยมหากรุณา เอ็นดูขณ ุ ณายังพุทธศาสนา และผูข า ทังหลาย อันมีพระ คณะสังฆะ และมนุสสคณะทังมวล ขอเจากูจุงรับเอายัง นิมนั ตนายังคาถาแหงผูข า ทังหลาย แลวจุง เสด็จยาตรา มาอําภักรักษายังผูขาทังหลาย เพื่อขอหื้อพนเสียยัง อุบาทวกังวลอนทรายนานา อันจักมาบังเกิดหื้อเดือด เนื้อรอนใจ ขอจุงหื้อรํางับกลับหายไปชุเยื่อง ชุประการ แทดีหลี ขอเจากูตนประเสริฐจุงจักมาหามเสียยังมาร ปกขมาร อันจักผาสูนกลัว้ เกลา คือวามากระทําหือ้ แดด ๔
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
รอน ลมราย ไฟราย สัตวราย อันจักมาบังเกิดหื้อสะดุง ตกใจเจ็บไขหนาวก็ดี กระทําหือ้ พราจับมีดบาด มีววิ าท ผิดเถียงกัน บุบตีดวยโกรธะมานะดั่งอั้นก็ดี ไฟไตลาม ก็ดี เหตุทงั หลายฝุงนีย้ อ มเกิดมีดว ยมาร ปกขมาร หาก แตงหือ้ เปนเสีย้ ง และขอเจากูตนวิเศษจุง จักมาหามเสีย ยังภัยยเหตุการณทังหลายฝูงนี้ หื้อรํางับกลับหายไป เสี้ยง ชุประการแดเทอะ มะยังภันเต อิมานิมธุบุปผาราชา นิมันตนานะ กะถะอุปคุตเถรัง ยามะอะนุกัปปะ อุทายะ ปฏิคคันหา ตุ โ น อุ ป คุ โ ตมหาเถโร สั ม พุ ท เธนะ วิ ย ะกะเตมา มารัญจะ มารัพพะรัญจะ ทัมมิสเต อนาคะเต อุปคุตตัง มะหิทธิยัง อุปทวัง ชาตัง วิทธัง สัตถังอุปคุตตัง ตินา เมนะ พุทโธหิ พุทธเตเชนะ อันตรายัง อเสสโต ธัมโมหิ ธัมมเตเชนะ อันตรายัง อเสสโต สังโฆหะ สังฆเตเชนะ อันตรายัง อะเสสโต// บทคาถานี้วา ๓ ครั้ง
ตั้งหอบูชาพญาอโศก
จัดเตรียมเครื่องบูชาพญาอโศกราช ดวยพญา อโศกราชไดเลื่อมใสในพระพุทธศาสนายิ่งนัก ไดสราง เจดียท ปี่ ระดิษฐานพระธาตุถงึ ๘๔,๐๐๐ องค ในตํานาน พระธาตุ ต า งๆ จึ ง กล า วถึ ง พญาอโศกที่ ติ ด ตาม พระพุทธองคจาริกไปในสถานทีต่ า งๆ ดังนัน้ เมือ่ กระทํา ปฏิ สั ง ขารณะเจดี ย ก็ ใ ห ตั้ ง หอ จั ด เครื่ อ งบู ช าไว เ พื่ อ เปนการบูชาคุณพญาอโศก
ตั้งหอบูชาทาวทั้ง ๔
ตั้งหอบูชาบอกทาวทั้ง ๔ ใหตั้งคางหรือหอ เพื่อ ตั้งเครื่องบูชาแกทาวทั้ง ๔ หรือจตุโลกบาล เพื่อใหงาน ทีท่ าํ มีความราบรืน่ และสําเร็จดวยสวัสดี กอนถึงวันทีจ่ ะ ทําพิธีที่เกี่ยวกับองคพระธาตุ ในตอนเชาผูเฒาผูแกจะ พากันมาแตงเครื่องบูชาทาวทั้ง ๔ ที่วัด เครื่อบูชาทาว ทั้ง ๔ มี เขาสุก อาหาร ลูกสม ลูกหวาน หมากเหมี้ยง บุหรี่ กลวยออย เขาหนมเขาตม เขาตอกดอกไม ชอขาว บางตํารามีชอ หลายสี แตละกระทงมีสขี องชอไมเหมือน กัน ของบูชาแตละอยางตองใชอยางละ ๒๔ ชิน้ ใสสาํ รับละ ๔ มีกระทงหนึง่ ทีบ่ ชู าพระอินทรยงั ตองมีฉตั รขาวปกไว ๑ อันดวย ปกเทียนทุกกระทง ๑ เลม ทุกกระทงมีควัก น้ําหยาดดวย ในตอนเย็นอาจารยวัดมาถึงศรัทธาคน ใดคนหนึ่งจะประเคนขันดอกหรือขันตั้งใหกับอาจารย จ า ก นั้ น อ า จ า ร ย จ ะ ตั้ ง เ ค รื่ อ ง บู ช า ท า ว ทั้ ง ๔ ทีไ่ ดแตงดาใสสะทวงบาง ใสกระทงใบตองบางมีจาํ นวน ๖ สํารับ ยกกระทงทีม่ ฉี ตั รตัง้ แทนทีอ่ ยูต รงกลางขางบน สุดเปนเครื่องบูชาพระอินทร ยก ๔ กระทงตั้งแทนที่มี ตามทิศทัง้ ๔ เพือ่ บูชาทาวประจําทิศ อีกกระทงหนึง่ ตัง้ ไวขางลางเพื่อบูชานางธรณี แลวอาจารยจะนั่งหันหนา ไปทางทิศตะวันออก แลวกลาวคําชุมนุมเทวดาคือ สัคเคกาเมฯ ๓ รอบ แลววา //สุณันตุโภนโตเทวสังขาโย ดูราเทวดาเจาชุตน คือวาพญาธตรฐตนรักษาอยูห นวันออกก็ดี พญาวิฬรู ห ตนรักษาหนใตกด็ ี พญาวิรปู ก ข ตนอยูร กั ษาทิศกล้าํ วัน ตกก็ดี พญากุเวรตนอยูรักษากล้ําหนเหนือก็ดี พญา อินทาเจาฟาตนเปนเจาเปนใหญแกเทวดาใน ๒ สวรรค ชัน้ ฟามีทา วทัง ๔ เปนตนเปนประธาน ภายต่าํ ใตมพี ญา วรุณและนางธรณีเปนที่สุด บัดนี้ผูขาทังหลายก็ไดพ่ํา เพ็งหอบยับมาจําศีลกินทานมีมากเทาใดก็ดี ผูขาทัง หลายก็ขอถวายสวนบุญเตื่อมแถมสมภารเจาทังหลาย ตนประเสริฐ จุงจักมาอนุโมทนายินดีเซิ่งผูขาทังหลาย แลวขอเจากูทงั หลายชุตน จุง จักมาพิภคั รักษาพอแมลกู เตา หลานเหลน ทาสีทาสา ชางมา ขาคน วัวควาย เปด ไกหมูหมา ของเลี้ยงของดูแหงผูขาทังหลายแลวขอ ประกอบสรรพสวัสดี อยาหื้อไดไหมไดไขไดหนาว ขอ
หื้อยินดีซะราบหื้อพนจากภัยยาทังมวลแลวขอหื้อภัย อันตรายทังหลาย ขอหื้อหลีกฟกเวนจากเขตบานแดน เมืองแหงผูข า ทังหลาย แลวขอหือ้ ผูข า ทังหลาย ประกอบ ไปดวยเขาของเงินคําชางมาขาคนวัวควาย แกวแหวน ขาวเปลือก ขาวสาร ทาสีทาสา พร่ําพรอมบรมวล ตาม คํามักคําปรารถนา ชุเยือ่ งชุประการนัน้ เทีย่ งแทดหี ลี // จากนั้นจึงไหวไปทางทิศตะวันออกกลาววา /ปุริมัสมิง ทวิสาภาเค กาเยมังรักขันตุ อหังวันทามิสัพพะทา ยัน ตัง สันตังปทังอภิสวาหาย ๓ ครั้ง/ แลวไหวไปทางทิศ ใตวา ทักขิณมัสมิง ทวิสาภาเค กาเยมังรักขันตุ อหัง วันทามิสัพพทา ยันตังสันตังปทังอภิสวาหาย ๓ ครั้ง/ แลวไหวไปทางทิศตะวันตกวา ปจฉิมมัสมิง ทวิสาภาเค กาเยมังรักขันตุ อหังวันทามิสพั พะทา ยันตังสันตังปทัง อภิสวาหาย ๓ ครั้ง/ แลวไหวไปทางทิศเหนือวา อุตร มัสมิง ทวิสาภาเค กาเยมังรักขันตุ อหังวันทามิสัพพะ ทา ยันตังสันตังปทังอภิสวาหาย ๓ ครั้ง/ แลวแหงน หนาขึน้ ขางบนกลาววา อุปริมสั มิง ทวิสวาภาเค กาเยมัง รักขันตุ อหังวันทามิสัพพะทา มิสัพพะทา ยันตังสันตัง ปทังอภิสวาหาย สรรพอันตรายาวินาสันตุ ๓ ครั้ง/ ทุก ครั้ ง ที่ ก ล า วคํ า โอกาสแต ล ะทิ ศ จบก็ ใ ห ห ยิ บ เอาควั ก น้ําหยาดในกระทงหยาดลงไปที่แผนดินทุกครั้งดวย
ขอขมาพระธาตุ มาพระธาต
พิธีขอขมาพระธาตุ การบูรณะองคเจดีย ก็ตองมี การขึ้นไปเหยียบอยูขางบนของหมูชางทั้งหลาย ดังนั้น จึงตองมีพิธีขอขมาองคพระธาตุกอน ใหแตงดาขันเขา ตอกดอกไม ธูปเทียน เครื่องหอมมีจวนจันทนเปนตน แลวยกไปตัง้ ไวทสี่ มควร ในบริเวณทีใ่ กลกบั องคเจดียท ี่ ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
๕
จะบูรณะ ใหทุกคนนั่งประนมมือแลวใหอาจารยกลาว สิง่ หนึง่ ทีต่ อ งใสไวบนยอดของเจดียค อื ฉัตร เพือ่ กัน้ แดด กัน้ ฝนใหกบั องคพระธาตุทอี่ ยูข า งในเจดีย ฉัตรนัน้ สวน คํายอคุณดังนี้ มากสรางขึ้นดวยแผนทองเหลืองหรือทองแดง เปน //บัดนีผ้ ขู า ทังหลายทัง้ ภายในและภายนอก ภาย ๕ ชั้นบาง ๗ ชั้น บาง ๙ ชั้นบาง ประกอบดวยใบฉัตร บนภายลุม ผูขาทังหลายก็ไดนอมนํามายังบรมอามิส แกนฉัตร ปูมฉัตร หลอดฉัตร และจิกฉัตร แลวลงรักปด ปูชา แลวลวดขอขมายังสารีรกิ ธาตุแหงพระสัพพัญูมนุ ี ดวยทองคํา การประกอบพิธียกฉัตรเจดียขึ้นเสียบไวที่ยอด เจาอันตัง้ อยูเ หนือแผนพระสุธาชมพูทวีป และลังกาทวีป อั น เป น ที่ ตั้ ง แห ง ศาสนา ผู ข า ทั ง หลายขอขมาทั้ ง ของเจดีย ตองมีการตัง้ ขัน คือขันครูใหแกพระสงฆผเู ปน สารีริกธาต และอรหันตธาตุ คือโกญทัญญหมูขีณา ประธาน หรือ ใหแกชา งผูจ ดั พิธี มีเบีย้ ๑๐,๐๐๐ หมาก อุบาลีเจาหมูส าวํ โมคคัลลาน กัจจายนะ องคเถรเจาหมู ๑๐,๐๐๐ ขาวเปลือก ๑๐,๐๐๐ ขาวสาร ๑,๐๐๐ หมาก ทรงธรรม ทัง้ ธาตุองคคาํ สารีบตุ รเจารุง เรืองงาม ภควัม ๘ ขด ๘ กอม สวยพลู สวยดอก เทียนเลมบาทคือเทียน ปติองคเจาบเสาเปรียบยิง่ คํา ผูข า ขอขมา บบรณากรรม ใหญ ๒ คู เทียนเล็ก ๘ คู ผาขาวรํา ผาแดงรํา เงินทอง กับพระธาตุเจาชุองคๆ บัดนีส้ ถูปพระธาตุเจาชราลงคร่าํ ตามสมควร แลวใหแตงรูปเทวบุตรก็ดี รูปนกหงสก็ดี เฒาหยวาดพังเพ หินทรายเทยะแตกอาลวดเสียศรี ผูกกับเชือก โดยแยกชักขึ้นเปนชิ้นๆ ใหดูเหมือนกับวา บัดนี้ผูขาทังหลายมีใจไฝมักใครสรางกอปกแปลง ยัง เทวบุตร หรือ นกหงสนําฉัตรขึ้น คันถึงยามดีใหพระ สถูปพระธาตุเจาหื้อสมควร จิ่งปกเตือนชักชวนฝูงแก ภิกษุ ๔ รูป ที่มีช่อื อันเปนมงคลอยู ๔ มุมของฉัตรที่ผูก เฒาหมูต านาย พากันขงขวายตกแตงนอมนํามายังดวง ไวแลว สวดคาถาพัน พรอมกันทั้ง ๔ รูป สวดวา นะโม บุปผาดอกไมขาวตอกพรอมเสี้ยงลําเทียน มาจําเนียร ๓ รอบ พุทโธอุปปนโนโลเก ธัมโมอุปปนโนโลเก สังโฆ ตัง้ ไวกลางคลองสองหนาแหงพระธาตุเจาชุองคอวล ขอ อุปปนโนโลเก พุทธะคุณัง ธัมมะคุณัง สังฆะคุณัง แลว พระพุทธาควรขุณโณตโปรดอโหสินตั ถิวปิ ากแกผขู า ทัง วา นะโมพุทธายะ นะโมธัมมายะ นะโมสังฆายะ นะโม หลาย ทังภายในและภายนอก ชุตนชุองคชผุ ชู คุ น ชุใหญ พุทธัสสะ นะโมธัมมัสสะ นะโมสังฆัสสะ พุทโธปะรายะ น อ ยชายญิ ง เที่ ย งแท ดี ห ลี ผู ข า ทั ง หลายได ก ระทํ า โน ธัมโมปะรายะโน สังโฆปะรายะโน พุทโธเมนาโถ วุฑฒาปจจายนะฉันนี้แลว ขอหื้อสมดังแกวหัทธยา ธัมโมเมนาโถ สังโฆเมนาโถ พุทธังสะระณังคัจฉามิ ผูขาทังหลายทังภายในและภายนอกอันมักไฝสรางพ่ํา จนถึง ตะติยัมปสังฆังสะระณังคัจฉามิ อิติปโสภะคะวา เพ็งบุญ คือปฏิสังขารณะกอสรางหางแปลงยังพระชิน สวากขาโต สุปฏิปนโน บทไหนใหวา ๓ ครั้ง แลววา ธาตุเจาอันหลุคร่ําเฒาถึงชรา แลวโหยดพวัะพั้งพัง สัพเพพุทธาพะลัปปตตา สัพเพธัมมาพะลัปปตตา สัพ ตกดิน ผูข า ทังหลายจักสรางแปลงธาตุพระมุนหี อ้ื แหนน เพสังฆาพะลัปปตตา ภวะตุสัพแลวจึงใหยกฉัตรใบแรก หนาหมั้นแกนวาฉันนั้นแทดีหลี โดยดั่งบาลีวา สาธุม และ หลอดฉัตรขึ้นกอน แลวชักขึ้นเปนลําดับไปจนถึง ยัมภันเต อิมานิ สุคันธาทกสุบุปผาราจา ปูชิตัง กาย จิกฉัตร ในระหวางที่ชักชิ้นสวนของฉัตรขึ้นไปนั้น พระ กัมมัง วจีกัมมัง มโนกัมมัง อตีตโทสังวา อนาคตโทสัง สงฆทั้งหลายนอกเหนือจาก ๔ รูป ที่นิมนตมาทําพิธี ปจจุปปนนะมิโทสัง ขมันตุโน// ก็ พ ากั น สวดมนต มั ง คละไปไจ ๆ เมื่ อ ยกและติ ด ตั้ ง เมื่อไดมีการบอกกลาวขอขมาตอองคพระธาตุ เรียบรอยแลว ใหเอาน้ําขมิ้นสมปอย กลิ่นคุจวนจันทน แลว จึงจะลงมือบูรณะปฏิสังขรณองคเจดียใหสมบูรณ สระสรงแตยอดของเจดียลงมาใหบริสุทธิ์ แลวเอาฝาย ตอไป เชื่อกันวาในระหวางที่มีการบูรณะองคเจดียนั้น ลวงคือสายสิญจน และเชือกคาเขียวเวียนรอบบริเวณ องคพระธาตุจะออกจากองคเจดียไปอยูที่อื่นชั่วคราว รานชางของเจดีย หรือ เวียนทีก่ าํ แพงรอบเจดีย แลวเอาหมอ เมื่ อ สร า งเจดี ย ใ หม หรื อ บู ร ณะเสร็ จ เรี ย บร อ ยแล ว ขาวหรือไหขาว ๔ ลูกใสน้ําใหเต็มทุกลูก ผูกปากดวย ๖
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
ในทองและผาขาว เอาตั้งไว ๔ มุมของฐานเจดีย จุด เทียนใหญ และ ประทีปใหญ ตามมุมที่มีไหขาวตั้งไว แลวจึงกลาวคําโอกาสราธนาองคพระธาตุกลับเขาสถิตย สําราญประดิษฐานในองคเจดีย โดยกลาวคําอาราธนา วาดังตอไปนี้ // บัดนี้ผูขาทังหลายขอนิมันตนายังองคพระ สารีริกธาตุเจาอันตั้งอยูเหนือหนาแผนพสุธาในยุตต โลกธาตุ ผูขาขออังคลาสชุองคๆ ธาตุทังมวลมี ๑๒ ตื้อ ละไวหอ้ื โปรดโลกโลกา บัดนีผ้ ขู า ทังหลายก็มบี ปุ ผาราจา ขาวตอกดอกไม เทียนไหวนบนอมนิมนต ปเกทันตา ทังดูกดามมีดยังบลีดอยูสันดี ขอนิมนตมาสถิตยตั้งอยู ในเจดียแหงผูขาหากแตงทําทาน ผูขาขอยอมือสานใส เกลาเขาไหวชวุ นั มุคคมัตตา มัชฌิมา ตัณฑุลา องคธาตุ ขาวบเสาเพทหางพอก ตัณฑุลาขาวสารหัก ทรงวิตกั เพท ยังองค ผูขาขอนิมนตจุงมาตั้งอยูภายใน ขอหื้อเปนที่ ไหวที่นมัสการ รับเอาทานแหงนราปฏิสังขารณะ ผูขา ทังหลายชักชวนกันแตงตัง้ ปกกอสรางแตงทําดี ยังสถูป พระมุนีองคธาตุเจา ผูขาขออัญเชิญเขามาอยูภายใน ติถนั ตุ ขอตัง้ อยูเ หิงนาน ๕,๐๐๐ พระวรรษากาล ตราบ เมีย้ นสถูปแกวสองเมืองอินทรพรหมมนุษยสนิ้ คนและ ผีเทพไทหื้อเขาไดมาไหวและพนจากโอฆะวัฏฏสงสาร หื้อเขาทังหลายไดถึงเนรพานเมืองมิ่ง ดับจากทุกขยิ่ง สําราญสาวาด แหงพระธาตุเจาและธาตุอรหันต ตัณฑุลา ธาตุขาว หื้อบานเมืองชุมเย็นมั่งมูลทุนเทาดวยเขาน้ํา ปจจัย ของอัญเชิญยังธาตุอรหันตองคใดๆ แสนหมู ธาตุ เจาใหญนอยคูริงราม พันธุผักกาดและเม็ดขาวสารหัก สังขยาจัดอานเลา ๑๒ ตื้อ พระไวหื้อโปรดโลกโลกา ผูขาขออัญเชิญเสด็จเขามาตั้งอยูในเจดียเจากูคําขา ใน ทองเภตราสําเภาใหญ เปนเรือสําเภาไตขา มโอฆสงสาร ผูข า นมัสการขอราธามาชุองคนอ ยใหญ ขอพระมหาธาตุ เจาไฝขุณณา มุทุตาสัตวโลก ขอหื้อผูขาทังหลายชุตน ชุคนไดพน จากโลกสงสารเทีย่ งแทดหี ลีแดเทอะ //กลาว ๓ ครัง้ แลวจึงเอาขันดอกไมประเคนทีฐ่ านขององคเจดีย เมื่อกระทําดังนี้แลวก็เชื่อวา องคพระธาตุจะกลับเขามา ประดิษฐานอยูใ นองคเจดียเ หมือนเดิมครัน้ ถึงตอนเย็น
ใหพระสงฆสวดมังคละ สวดเบิก อีกครั้งหนึ่ง เพื่อ เปนการอบรมสมโภช ตลอดทัง้ คืนอาราธนาและนําพระ อุปคุตกลับที่เดิม เมื่อเสร็จการบูรณะองคเจดียแลว ในกรณีที่ไป แหเอาพระมหาอุปคุตจากแมน้ํามาอยูในหอ เพื่อชวย ขจัดภัยมารตั้งแตเมื่อเริ่มลงมือกอแลว ดังนั้นเมื่อเสร็จ แลวก็ตองจัดขบวนแห เพื่ออาราธนานําเอาพระอุปคุต ไปสงไวที่เดิมอีกครั้งหนึ่ง โดยการนําขันดอกไมธูป เทียนไปที่หอ อาจารยวัดจะกลาวตามโวหารวา "บัดนี้ การงานก็ไดสําเร็จลงดวยดี ไมมีเหตุการอันใดเกิดขึ้น ทัง้ นีก้ เ็ ปนเพราะเตชะบารมีของมหาอุปคุตชวยคุม ครอง ปองกัน บัดนีข้ า พเจาทังหลายขออาราธนากลับไปอยูท ี่ เดิ ม " แล ว จึ ง หยิ บ เอาก อ นกรวดในหอมาใส ใ นขั น ดอกไม แลวจึงพากันแหไปที่แมน้ํา เมื่อไปถึงก็โยนหิน กอนนั้นลงไปที่กลางแมน้ํา จึงเปนอันวาเสร็จพิธี
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
๗
เลาขานประสบการณ า่ ขานประสบการณเรื เ์ รื่อง “ผีเผต”
รองศาสตราจารยพิเศษถาวร เสารศรีจันทร นายกสมาคมสหธรรมเชียงใหม กรรมการสภา มจร. วิทยาเขตเชียงใหม กรรมการบริหารสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม กรรมการพุทธสมาคมจังหวัดเชียงใหม
ผูอานที่ไมใชคนลานนา หรือเปนคนลานนายุค ปจจุบัน อาจจะสงสัยคําวา “ผีเผต” มันคืออะไร กอน จะเลาประสบการณคนเผชิญกับผีเผต ตองมาทําความ เขาใจกับคําวา “ผีเผต” กันกอน ถาไมอยางนั้น อาจ จะเขาใจคําวา “ผีเผต” ผิดเพี้ยนไป “ผีเผต” เปนคําศัพทภาษาลานนาที่ใชกันมา นานแลว แมปจจุบันก็ยังพูดกันอยู หากจะวิเคราะหคํา ศัพทเพือ่ ใหเขาใจ สามารถแยกคํานีอ้ อกเปน ๒ คํา คือ คําวา “ผี” กับคําวา “เผต” พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๒๕ ใหความหมายของคําวา “ผี” ไววา ผีคอื สิง่ ทีม่ นุษยเชือ่ วาเปนสภาพลึกลับ มองไมเห็นตัว แตอาจปรากฏ เหมือนมีตัวตน อาจใหคุณ หรือโทษได มีทั้งดีและราย เชน ผีปูยา ตายาย ผีเรือน ผีหา เรียกคนที่ตายไปแลว วา “ผี” คําวา “ผี” สวนมากมักจะใชไปในทางที่เลว ไมดี เชน คนผี คนหนาผี ผีเขาผีออก ซึ่งหมายถึงเดี๋ยว ดีเดี๋ยวราย ไมคงที่เปนตน สวนคําวา “เผต” ตรงกับคําภาษาไทยกลาง คือ เปรต นั่นเอง ซึ่งคําวาเผต หรือเปรต เปนที่เขาใจกันดี ในทางพระพุทธศาสนาวา เปนสัตวพวกหนึ่งเกิดใน อบายภู มิ คื อ แดนทุ ก ข หมายถึ ง ผี เ ลวจํ า พวกหนึ่ ง ๘
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
มีหลายชนิด ชนิดหนึ่งตามที่เลากันวา มีรูปรางสูงโยง เยงเทาตนตาล มีผมยาวหย็อกหย็อย คอยาว ผอมโซ มีปากเทารูเข็ม มีมือเทาใบตาล กินแตเลือด และน้ํา หนองเปนอาหาร มักรองเสียงดังวีด้ ๆ ในตอนกลางคืน คําวาเปรต ยังเปนคําเชิงดา หรือปรามาสคนทีอ่ ดอยาก ผอมโซ เทีย่ วรบกวนขอเขากิน หรือเมือ่ มีใครไดโชคลาภ ก็เขามาขอแบงปน เสมือนการขอแบงสวนบุญ ในพจนานุกรมพุทธศาสตร ฉบับประมวลศัพท ของพระราชมุนี (ประยุทธ ปยุตฺโต) ไดใหความหมาย ของคําวาเปรตไว ๒ อยาง คือ ๑. หมายถึงผูละโลกไปแลว, คนที่ตายไปแลว ๒. หมายถึงสัตวพวกหนึง่ ซึง่ เกิดอยูใ นอบายภูมิ ชั้นที่เรียกวา “ปตติวิสัย หรือเปตติวิสัย” ไดรับความ ทุกขทรมาน เพราะไมมีอาหารจะกิน แมมีกินก็กินไม ได หรือกินไดก็กินไดโดยยาก แตในพจนานุกรมภาษาถิ่นภาคเหนือ ฉบับ สถาบันราชภัฏเชียงใหม ๒๕๓๙ ใหความหมายของคํา วา “เผต” คือ เปรต เปนอมนุษยที่มีรูปรางผอม และ อดอยากอยูเ สมอ ทัง้ นีใ้ นวรรณกรรมลานนายังมีความ หมายวาเปนอมนุษยที่ใหภัยแกมนุษยอีกดวย
เมื่อกลาวถึงเรื่องเปรตไมกี่ปมานี้นี่เอง มีคนคิด เอาเรื่องเปรต มาหากินโดยนําเสนอ ใหเปนขาวทาง สื่อมวลชนวา ไดพบเห็นเปรตเปนตัวเปนตนกันจริงๆ หากใครอยากเห็นตองไปทําพิธีกรรม ถวายเครื่องเซน สังเวยในปา ซึง่ เปนดินแดนทีพ่ วกเขาอางวา มีพวกเปรต อาศัยอยู ในระยะแรกเมือ่ ขาวปรากฏในสือ่ มวลชนเปน เรื่องฮือฮากันใหญ มีคนไปดูกันจํานวนไมนอย เรื่อง กําลังจะโดงดังตามแผนที่คณะผูจัดฉากเตรียมไว แตก็ มี ค นจํ า นวนหนึ่ ง เคลื อ บแคลงสงสั ย ถึ ง กั บ มี ก ารท า พิสูจนไปดูเปรตตัวจริงในปาที่พวกเขาอางวาเปนที่อยู ของเหลาเปรตทั้งหลาย เมื่อมีการพิสูจนดวยวิธีกลโกง อันแนบเนียนของคณะผูจ ดั ฉาก ทําใหคนผูม ศี รัทธาจริต คือมีความเชือ่ งาย บางคนยอมเชือ่ วาเปนเรือ่ งจริง และ ยิ่งกวานั้นยังมีพระสงฆบางรูปออกมาใหสัมภาษณ สนับสนุนวา เปรตมีจริง อางวาสมัยพุทธกาลก็มีเปรต มารองขอสวนบุญ จากพระเจาปเสนทิโกศล ทําใหผูมี ศรัทธาจริตหลงเชือ่ มากเขาไปอีกวา เปรตปรากฏตัวให คนเห็นนั้นเปนเรื่องจริง อะไรก็ตามถาเปนความจริงก็คือความจริงเปน อมตธรรม ในทีส่ ดุ ความจริงก็ปรากฏ เรือ่ งทีเ่ กิดขึน้ เปน เรื่องเท็จ เปนการโกหก สรางเรื่องเท็จใหดูประหนึ่งวา เปนเรือ่ งจริง เปนการแหกตาคนดู และเมือ่ มีการจับกล โกงไดพวกเขาก็รับสารภาพวา สภาพที่ปรากฏใหเห็น นั้น ไมใชเปรตตัวจริงเปนเพียงกลวิธีที่สรางขึ้น เจา หนาทีต่ าํ รวจจึงตัง้ ขอกลาวหาพวกเขาวาเปนการตมตุน หลอกลวงประชาชน และผลก็ตอบสนองทันตาเห็น พวก เขาไดกลับกลายจากคนธรรมดาๆ เปนเปรตตัวจริงจน ได เจาหนาทีบ่ า นเมืองใหพวกเขาเหลานัน้ ไปเปนเปรต อยูใ นแดนอบายภูมิ คือ ติดคุกฐานหลอกลวงประชาชน แตผเี ผตทีผ่ เู ขียนจะเลาประสบการณตอ ไปนีเ้ ปน ผีเผตลานนา เพราะเหตุการณทเี่ กิดขึน้ เกิดขึน้ ในวัดใน ดิ น แดนล า นนา เป น ประสบการณ ที่ ผู เขี ย นอยู ใ น เหตุการณนั้นจริงๆ ผีเผตที่ปรากฏตัวใหเห็นนั้น เปน ผีเผตตัวจริงอีกแบบหนึง่ จะเปนอยางไรเท็จจริงหรือไม โปรดติดตามอานตอไปซิครับ...
สมัยที่ผูเขียนเปนเด็ก เมื่อเรียนจบชั้นประถม ศึกษาปที่ ๔ แลว ก็อยากจะเรียนตอในชั้นสูงๆ แตไม สามารถจะเรียนได เพราะทัง้ อําเภอไมมโี รงเรียนมัธยม แมแตแหงเดียว ทางเลือกแหงแรกและแหงสุดทาย สําหรับลูกผูช ายผูใ ฝฝน การเรียน ก็คอื การไปสมัครเปน เด็กวัด ที่ภาษาลานนาเรียกวา “ขะยม” ลูกหลานใคร ยุคนั้นหากไดเปนศิษยวัด ดูจะเปนที่นิยมชมชอบของ บิดามารดา ญาติพี่นอง และบุคคลทั่วไป ผูเขียนและ พรรคพวกทีเ่ รียนจบชันประถมศึกษาปที่ ๔ รุน เดียวกัน ๑๐ คน พากันไปสมัครเปนศิษยวัดเมื่อหลวงพอทาน เจาอาวาสรับไว พวกเราจึงรูสึกภาคภูมิใจเปนลนพน เสมือนหนึ่งเขาไปอยูในโรงเรียนกินนอน แตละคนตื่น เตนที่จะไดจากบานที่เคยกินอยูหลับนอนกับพอแม เขาไปอยูในโลกที่มีสิ่งแวดลอมกวางขึ้นกวาเดิม จะมี เพือ่ นกิน เพือ่ นนอนทีแ่ ตกตางจากบาน มีความเปนตัว ของตัวเองมากยิง่ ขึน้ ผูป กครองคนใหมของพวกเรา คือ พระภิกษุสงฆ ทานเปนทั้งผูดูแล และครูสอน พวกเรา จะถูกสอนใหนอนเปนเวลา ตื่นเปนเวลา กินเปนเวลา และแตละคนมีหนาทีร่ บั ผิดชอบเปนเรือ่ งๆ ไป ทีส่ าํ คัญ พระสงฆทา นยังสอนธรรมฝกมารยาทปลูกฝงคุณธรรม จริยธรรมแกลกู ศิษยอยางทัว่ ถึงกัน รูส กึ เสียดายทีเ่ พือ่ นๆ จํานวนหนึ่งโดยเฉพาะสุภาพสตรีที่ไมมีโอกาสเขาไป สัมผัสกับความเปนอยูที่ถือวา เปนสถาบันการศึกษา ที่ดีที่สุดของสังคมชนบทยุคนั้น
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
๙
วัดทีผ่ เู ขียนและพรรคพวกไปอาศัยเปน “ขะยม” เปนวัดประจําหมูบาน ตั้งอยูหางจากหมูบานประมาณ ๔ กิโลเมตร รอบๆ วัดเปนปาธรรมชาติ บรรยากาศ รมรื่น มีตนไมขนาดใหญอายุรวม ๑๐๐ ปหลายตน ซึ่ง เป น ที่ อ ยู อ าศั ย หลั บ นอนของสั ต ว น านาชนิ ด เช น กระรอก และนกกาเปนตน กลางคืนจะมีคา งคาว และ นกเคาแมวรองบินวนเวียนไปมา เพื่อหาเหยื่อ หางจากวัดไปดานเหนือประมาณ ๕๐๐ เมตร เปนปาชาใชทั้งฝงและเผาศพ ปาชาสมัยนั้นเปนปาชา จริงๆ หากไมมีคนตายจะไมเห็นคนเขาไปในปาชา เหมือนปจจุบัน เพราะเปนปาที่รก มีหญาและตนไม นานาชนิดปกคลุมหนาทึบ มองเขาไปแลวนาสะพรึง กลัว แถมยังเปนที่อาศัยของสัตวราย เชน งู เสือ และ หมาปา พูดถึงสภาพทั่วไปของวัด เปนวัดประเภทอรัญ วาสี คื อ วั ด อยู ใ นป า ห า งจากหมู บ า นประมาณ ๔ กิโลเมตร ถึงเวลาพลบค่ํา ๑๘ นาิกาคือ ๖โมงเย็น จะไมมีใครเขาออก พระภิกษุสงฆและเด็กวัดก็จะอยู ภายในวัด โดยเฉพาะเวลากลางคืนขางแรมภายใน บริเวณวัดจะมืดสนิท เพราะขณะนั้นยังไมมีไฟฟาใช เหมือนปจจุบัน หากจะอานหนังสือ หรือทํากิจกรรม ทางศาสนา เชน ไหวพระสวดมนต ตองอาศัยแสงสวาง จากเทียน หรือโคมน้าํ มันกาด หากเปนกลางคืนขางขึน้ เดือนหงายพวกขะยม คือ ศิษยวัดทั้งหลาย อาศัยแสง สวางจากดวงจันทรเลนกีฬาออกกําลังกาย สนุกสนาน กันบางภายในกําแพงวัดตามประสาเด็ก ๆ ชนบท แต บางครั้งพวกเราก็หลอกกันเอง ตะโกนขึ้นดังๆ วา “ผีๆ” เสมือนหนึ่งเสียงนั้นเปนเสียงสัญญาณภัย ตาง วิ่งหนีขึ้นบนกุฏิกันอุตลุด สิ่งที่ขะยมตองทําพรอมกันทุกคืนกอนเขานอน หลังจากทําวัตรสวดมนต ก็คอื ไปหองน้าํ หองสวมพรอม กัน เหตุที่ตองไปพรอมกัน เพราะหองสวมของวัดสมัย นั้นจะถูกสรางไวนอกกําแพงวัดเพราะถือวาภายใน กําแพงวัดเปนศาสนสถานเรียกวา “ขวงแกวตังสาม” หมายความวา เปนบริเวณของพระรัตนตรัย คือบริเวณ พระพุทธ บริเวณพระธรรม และบริเวณพระสงฆ ๑๐
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
สาเหตุสาํ คัญทีต่ อ งไปหองน้าํ หองสวมพรอมกัน ในเวลากลางคืนก็มาจากรุน พีเ่ ลาตอๆ กันมาวา วัดนีม้ ี คนเห็ น ผี เ ผตบ อ ยๆ มั น มั ก จะปรากฏตั ว ให เ ห็ น ใน วันพระกลางคืน จะมีรปู รางลักษณะตางๆ เชน บางครัง้ เห็นแตตัวไมมีหัว บางครั้งก็เห็นรูปรางเหมือนคน แต ลําคอเล็กยาวเหมือนคอหาน มักจะเดินไปเดินมาขาง วิหาร ทําใหเด็กวัด แมแตสามเณร ไมกลาลงกุฎไิ ปไหน เวลากลางคืน หากมีความจําเปนตองไป ก็จะชวนกันไป เปนหมูเปนคณะ อินทรเหลา เพือ่ นทีแ่ สนซนสมัยเปนนักเรียนชัน้ ป.๔ มาสมัครเปนสมาชิกขะยมวัดหลังเพื่อน ขณะเปน นักเรียนเขาไดรับคําชมจากเพื่อนๆ ในหองเรียน และ ครู ว า เป น นั ก วิ ท ยาศาสตร น อ ยเพราะเขาสอบได คะแนนดีเพียงวิชาเดียว คือ วิทยาศาสตร เรื่องการ ทาทายการพิสูจนยกใหเขา จนไดฉายาจากครูใหญวา “จอมแกนแกว” เขาเกงกลามุทะลุดุดันไปเสียทุกอยาง พูดถึงผีพูดถึงเผตเขาไมเคยกลัว เขาคนเดียวเทานั้นที่ ประกาศศักดาตอหนาเพื่อนๆ และพระเณรวา เขา พรอมทีจ่ ะเผชิญหนากับผีเผตไดทกุ ๆ ที่ ทุกแหงหน ทุก เวลา เวลาสัปเหรอเอาน้าํ มะพราวลางหนาศพในปาชา กอนจะนําศพขึน้ บนเชิงตะกอน และเปดโอกาสใหญาติ ผูตายเขาไปดูหนาศพครั้งสุดทาย อินทรเหลาเด็กคน เดียวที่จะปะปนไปกับผูใหญ เพื่อดูหนาศพกับญาติคน ตาย และมักจะทําอยางนี้ทุกครั้งไป
วันหนึ่งในวงสนทนาพูดคุยกันระหวางคนเฒา คนแกที่มาถือศีลนอนวัดในวันพระ พูดคุยกันถึงผีเผต ที่มักจะมาปรากฏตัวใหเห็นบอยๆ มีรูปรางตางๆ กัน อินทรเหลานั่งฟงการสนทนา ณ ที่นั่นดวย เกิดความ สงสัยวาไอผีเผตที่พูดกันนั้นมีจริงหรือไม คิดจะพิสูจน ใหเห็นดวยตัวเขาจริงๆ เขาเปนคนอยากรูอ ยากเห็นอยูแ ลว จึงนําเรือ่ งผี เผตไปปรึกษากับเพือ่ นดวยกันวา หากจะทําการพิสจู น วาผีเผตมีจริงหรือไม จะทําอยางไร คํามูลเพื่อนขะยม ดวยกันออกความเห็นวา “หลวงพอเคยเลาใหพวกเราฟงวา หากอยาก เห็นผีเผตจริง ๆ ตองเปนคืนเดือนเพ็ญ หรือเดือนดับ ๑๔ หรือ ๑๕ ค่ํา หลังเที่ยงคืนแลว” “ทําอยางไร” อินทรเหลาถามดวยความสนใจทันที “ตองมีของคาวไปใหมันกิน” “หมายความวา เราตองเอาอาหารคาวไปให ผีเผตกิน” “ใชแลว เพราะพวกผีเผตมันจะกินแตอาหาร ประเภทของคาว เชน เลือดสด หรืออาหารของกินที่มี กลิ่นคาว” “งัน้ แหนม ก็มกี ลิน่ คาวเหมือนกัน มันคงกินนะ” “เออ ! คงกิน” คํามูลตอบพรอมพะยักหนา อิ น ทร เ หลาถึ ง แม จ ะมี ค วามรู พื้ น ฐานแค ชั้ น ประถมศึกษาปท่ี ๔ แตเขาเปนคนใฝรใู ฝเห็นกระตือรือรน ที่จะไดรูไดเห็นไดศึกษาเรื่องตางๆ ดวยตัวเองเสมอ เรือ่ งใดก็ตามเพียงแคคนเขาเลา อินทรเหลาไมยอมเชือ่ งายๆ ยิ่งเรื่องใด เปนเรื่องลี้ลับเขาก็อยากจะพิสูจนให เห็นจริงเห็นจังกันไปเลย เมือ่ เขาทราบขอมูลจากคํามูล วาผีเผตชอบกินของคาว เขาจึงวาแผนทีจ่ ะพิสจู นวา เจา ผีเผตทีแ่ ตละคนกลัวกันนักกลัวกันหนานัน้ มีจริงหรือไม อีก ๗ วันตอมาเปนวันเพ็ญเดือน ๑๒ (เดือน ๑๒ เปง) เปนเดือนที่ชาวบานลานนาเชื่อกันวาเปนวันที่ ยมบาลไดปลอยบรรดาผีเผตทั้งหลายใหออกมารอรับ สวนบุญของกินของทาน จากญาติพนี่ อ งทีท่ าํ บุญอุทศิ ให ตั้งแต ๖ โมงเชาของวันนั้น ศรัทธาสาธุชนชาว พุทธลนหลามบนกุฎขิ องหลวงพอ เปลีย่ นกันเขาเปลีย่ น
กันออก แตละคนมีสาํ รับกับขาวบรรจุอาหารคาวหวาน ไปถวายเพื่ออุทิศใหญาติของตนที่ลวงลับไปแลว หลวง พอดูจะเหน็ดเหนือ่ ยเอาการตองใหพรกลาวอนุโมทนา แกเจาภาพผูถวายไทยทานคนแลวคนเลา บางคนทํา สํารับกับขาวมาถวายถึง ๕ สํารับ และขอหลวงพอให พรแยกกันถึง ๕ ครั้ง และการใหพรแตละครั้งก็ขอให หลวงพอเอยถึงชื่อผูตายที่อุทิศสวนกุศลใหดวย ถาไม ทําอยางนัน้ เกรงวาญาติของตนจะไมไดรบั ไทยทานนัน้ วันนัน้ บรรดาศิษยวดั คือ ขะยมตองทํางานหนัก ชวยกันเก็บอาหารกับขาวตลอดถึงขาวของตางๆ ที่คน นํามาถวายแยกไวเปนสัดเปนสวนเพื่อถวายหลวงพอ และพระสงฆสามเณรไดใชขบฉันตอไป คืนวันเพ็ญเดือน ๑๒ ตามปกติจะเปนคืนปลอด โปร ง สดใส ท อ งฟ า เป ด กว า งปราศจากเมฆหมอก มีแสงจันทรแทนแสงไฟฟาสวางแจมใส แตคืนวันนั้น กลับมืดครึ้มผิดปกติ มีลมโบกพัดโชยมาเบาๆ พาเอา ความเย็นมากระทบตัวเรารูสึกเย็นเปนระยะๆ อินทรเหลาเตรียมแหนม ๒ หอ แกะใหเหลือแต เนือ้ หมูดา นใน มีกลิน่ โชยออกมาเตะจมูกนารับประทาน เขาผูกแหนมไวกบั ปลายไมกวาดกานมะพราวทีใ่ ชกวาด ลานวัด คํามูลเพื่อนสนิทของเขาไปพบเขาโดยบังเอิญ จึงถามวา “เหลา แกทําอะไร” “กู เตรียมอาหารไปใหผีเผตกิน” “แกจะบาหรือเปลา” คํามูลพูดพรอมกับหัวเราะ “ไมบา หลังเทีย่ งคืนรูแ น” อินทรเหลาตอบดวย ความมั่นใจ ๒๒ นาิกาทุกคนเขานอนตามปกติ ไมมีใครรู วาอินทรเหลาจะทําอะไร นอกจากคํามูลเทานั้น พอ เที่ยงคืนอินทรเหลาก็ตื่นขึ้นมาถือไมกวาดที่ผูกดวย แหนมลากไปตามกําแพงวัด คิดวาหากผีเผตมีจริงเมื่อ ไดกลิ่นคาวของแหนมแลว คงจะออกมากิน จะไดเห็น ผี เ ผตตั ว จริ ง กั น ตอนนี้ แ หละ เขาเดิ น ไปเดิ น มาใน บรรยากาศที่เงียบสงบ ตั้งแตเที่ยงคืนถึงตี ๒ ก็ไมมี ผีเผตแมแตตัวเดียวโผลใหเห็นหนา จึงตัดสินใจเก็บ ไมกวาดไวแลวเขานอน ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
๑๑
นิสัยของอินทรเหลาเปนคนขี้โอ ชอบพูดคุยอยู แลว พอตื่นขึ้นตอนเชา เจอใครตอใครก็เลาใหฟง วา เขาไดทําอะไรไปเมื่อคืนที่ผานมา พูดดวยความมั่นใจ วา ไอผีเผตที่เลาลือกันนั้น ไมใชเรื่องจริง เปนเพียง นิยายที่พูดตอๆ กันมาเทานั้น คํามูลเพือ่ นสนิทคนเดิมคานขึน้ ทันที “แกไปผิด ที่ ผีเผตไมไดอยูรอบกําแพงวัดหรอก มันอาศัยอยูดาน หลังวิหาร หรือขางอุโบสถตางหาก แกแนจริง แกตอง ไปพิสูจนใหม” อินทรเหลาก็คืออินทรเหลา เขาบาบิ่นไมทิ้ง ความตั้ ง ใจ อยากจะพิ สู จ น ใ ห เ ห็ น แดงเห็ น ดํ า ให ประจั ก ษ แจ ง ด ว ยตาของเขาว า ผี เ ผตที่ เ ล า ลื อ กั น นั้ น มีจริงหรือไม เขาใชแผนเดิม อุปกรณลอ ผีเผต คือ ไมกวาดกาน มะพราวอันเดิม แตเปลี่ยนแหนมใหม และไปขอเลือด หมูสดๆ จากยายคําปนทีต่ ลาดในหมูบ า นมาลาดลงบน แหนม เพื่อใหมีกลิ่นคาวมากขึ้น เวลาเที่ยงคืนของวัน ตอมา เสียงหมาปาหอนรองเสียงยาวโหยหวนดังมาจาก ปาชา นาสะพรึงกลัวมาก อินทรเหลายืนนิ่งฟงเสียง หมาปาอยูพักหนึ่ง เมื่อรวบรวมสติได เขาไดลากไม กวาดเบาๆ เดินรอบวิหาร ซึง่ เปนเวลาทีป่ ลอดคน และ เงียบสงัด แสงจันทรสาดสองลงพื้นดินสลัวๆ เห็นเงา ตนไมเปนหยอมๆ เสียงหมาปาเหาหอนดังขึ้นมาอีก ระรอกหนึ่ง เขายืนเหลียวหลังแลหนาอยูพักหนึ่ง และ ๑๒
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
แลวเริม่ ลากไมกวาดทีผ่ กู ดวยแหนมเดินรอบวิหาร เดิน รอบที่ ๑ ผานไป พอถึงรอบที่ ๒ เขารูสึกตกใจ เมื่อเจา ตูบวิง่ คาบอาหารผานหนาไปหาลูกมันยังใตถนุ กุฏิ เขา ตองหยุดยืนนิง่ ตัง้ สติใหม เมือ่ ไดสติจงึ รีบเดินตอไปเปน รอบที่ ๓ ขณะที่ลากไมกวาดมาถึงดานหลังวิหาร ซึ่งมี ตนดอกเข็มขนาดใหญสูงทวมหัวคนอยู ๒-๓ ตน ขณะ นั้นไมกวาดที่เขากําลังลากอยูก็ถูกดึงใหหยุดนิ่งอยูกับ ที่ เขาหันไปมองภาพทีป่ รากฏคลายกับหมาสีดาํ มีหนา ขาวโพลง ใบหูยาว ดวงตากลม มือ ๒ ขางกําปลาย ไมกวาดของอินทรเหลาไวแนน เขาสะดุงตกใจสุดขีด ขนลุกขนพลองทั่วทั้งตัว รองสุดเสียง “ชวยดวย ชวย ดวย ชวยดวย” แลวเขาก็ลม ลงทัง้ ยืน นอนนิง่ สิน้ สติอยู ตรงนั้น เจาตูบสะดุง ตกใจเชนเดียวกัน ทิง้ ลูกนอยของมัน วิง่ ออกมาจากใตกฏุ ิ ทัง้ เหาและหอนดังไปทัว่ บริเวณวัด ในบรรยากาศทีเ่ งียบสงัด บรรดาขะยมและพระเณรตืน่ ตระหนกตกใจไปตาม ๆ กัน หลวงพอตะโกนจากหอง นอนของทาน “เสียงใคร เสียงใครรอง ไปชวยดูกัน หนอย” ขะยม และพระเณรมีไฟฉายบาง เทียนไขบาง พา กันวิ่งกรูกันไปตามเสียง เห็นอินทรเหลานอนแนนิ่ง เหมือนคนไรสติ จึงพากันอุมมายังกุฏิ เดือดรอนถึง หลวงพอจําวัดอยูด ๆี ตองลุกมาเสกคาถารดน้าํ มนตกนั กลางคืน ดูจาระหวั่นไปหมด รุงขึ้นขาวก็กระจายไปทั่วหมูบาน “ผีเผตหลอก อินทรเหลา ผีเผตแยงอาหารกินจากอินทรเหลา ผีเผต ปรากฏตัวใหอินทรเหลาเห็น” คําพูดปากตอปาก จากคนหนึง่ ไปยังอีกคนหนึง่ จากบานหนึ่งไปยังอีกบานหนึ่ง พบกันเสวนากัน ทีไร ก็พูดถึงผีเผตอยูร่ําไป หากเปนปจจุบันคงเปนขาวใน สื่อมวลชนเลาขานตอ ๆ กันไดหลายวันทีเดียว จากเหตุการณคนื วันนัน้ ทําใหชาวบานมาทําบุญ อุทิศใหญาติผูตายไปแลวมากยิ่งขึ้นอยางผิดปกติ ใน อดี ต ที่ ผ า นมาจะทํ า บุ ญ อุ ทิ ศ กุ ศ ลให ค นตายที่ เรี ย ก วา“ตานขันขาว”เฉพาะวันศีล วันพระเทานั้นแตหลัง จากขาวเรื่องผีเผตมีคนมาตานขันขาวกันทุกวัน เพราะ
ชาวบานมีความเชื่อวา ผีเผตที่มาแยงอาหารจากอินทร เหลาคืนวันนั้น อาจจะเปนญาติของตนที่ตายไปแลว ทําใหคนที่ไมเคยทําบุญ ไมเคยเขาวัด หันมาเขาวัด ทําบุญกันมากขึ้น จนเกิดเปนวัฒนธรรมเรื่องการตาน ขันขาวของชาวบานไป เวลาผานไปหลายเดือน คํามูลไดมาเปดเผย ความจริงกับผูเขียนวา เจาผีเผตที่มาดึงไมกวาดจาก อินทรเหลาคืนวันนั้นไมใชผีเผตหรอก เขาชวนผูเขียน และเพื่อนๆ ไปยังโรงครัว ซึ่งตั้งอยูนอกกําแพงวัด เพื่อ ตองการเปดเผยความลับที่เขารวมกับเณรคําปนไดทํา ไว แลวเขาก็ดึงเอาหนากากที่ซุกซอนไวในโรงครัว เปน หนากากที่ทําดวยกระดาษแข็งตกแตงใหเปนเสมือน หนึ่งหนาผี ใบหนาทาดวยปูนขาว มีตาเปนรูโบทั้ง ๒ ขาง หูยาวคลายหูกระตาย เขาเลาใหฟง วารวมกันกับ เณรคําปน หมั่นไสอินทรเหลาจึงอยากจะทดสอบดูวา เขาเกงจริงหรือไม เขาและเณรคําปนจึงพรอมกันหา ผาดํามาคลุมตัว สวมหนากากไปแอบอยูที่ตนดอกเข็ม หลังวิหาร พออินทรเหลาลากไมกวาดเดินมาจึงหมอบ คลานยื่นมือไปดึงปลายไมกวาด เมื่ออินทรเหลาเห็น แกก็ตกใจกลัวรองลั่นสุดเสียง คํามูลและเณรคําปนก็ ตกใจเชนเดียวกัน จึงไดพากันวิ่งหนีเอาตัวรอด คํามูล บอกวาไมกลาบอกใคร เพิ่งมาเปดเผยความจริงวันนี้ แตเพื่อนๆ หลายคนไมเชื่อคํามูล กลับเขาใจวาคํามูล เปนคนโกหก ยังเชื่ออยูวาอินทรเหลาไดเผชิญกับผีเผต จริงๆ นาเสียดายที่อินทรเหลาผูกลาหาญ ผูชอบทา พิสจู น เสียชีวติ ไปแลว ไมไดเสียชีวติ เพราะหัวใจวายอัน เนื่องมาจากผีเผตแตเสียชีวิตเพราะโรคมะเร็งตางหาก ขณะนีว้ ญ ิ ญาณของเขาอาจจะไดพบกับผีเผตตัวจริงแลว ก็ไดหรือเขาไปสมัครเปนสมาชิกชมรมผีเผตเรียบรอย แลวก็ได เรือ่ งผีเผด หรือเปรต จะมีจริงหรือไมอยางไร ใน ทัศนะของผูเ ขียนคงสรุปฟนธงลงไปเลยไมได ยกใหเปน เรือ่ งศรัทธาความเชือ่ หรือไมเชือ่ ของแตละบุคคลไป แต ศรัทธาความเชื่อควรจะมีพื้นฐานมาจากเหตุผลที่เปน ขอเท็จจริง สามารถพิสจู นไดดว ยหลักฐานอางอิงทีเ่ ปน
ที่ยอมรับของคนทั่วไป แตอยางไรก็ตามเรื่องเกี่ยวกับ ผีเผด ถือเปนกุสโลบายใหคนละเวนความชั่ว ประพฤติ ความดีตามหลักของพระพุทธศาสนาไดอีกทางหนึ่ง เหมือนกัน
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
๑๓
การประดับธงฉัพพรรณรังสีในงานบุญประเพณีทางพุทธศาสนาเมืองเชียงตุง
ธงฉัพพรรณรังสี
พระนคร ปรังฤทธิ์
เจาหนาที่โครง ครงการศูนยศึกษาพระพุทธศาสนาประเทศเพื่อนบาน สํานักวิชาการ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม
ธงฉัพพรรณรังสี ชาวเชียงตุง ประเทศพมา เรียกวา ธงสาสนา หรือ ธงอราม ถือเปนธงสัญลักษณ ทางพุทธศาสนาที่ชาวพุทธในเมืองเชียงตุงนิยมนํามา ประดั บ ตามอาคารสถานที่ โดยเฉพาะในงานบุ ญ ประเพณีและวันสําคัญทางพุทธศาสนา เชน งานขึน้ ธาตุเจดีย (ประเพณีอบรมสมโภชพระธาตุ) งานตัง้ ธรรมเวสสันตระ งานเขากํา (ปริวาสกรรม) งานเปกขตบุ วชพระ (บรรพชา อุปสมบท) งานทานกฐิน วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันมาฆบูชา เปนตน สถานที่ท่ีนิยมประดับธงฉัพพรรณรังสี ไดแก บริเวณวัดหรือศาสนสถานทางพุทธศาสนา เชน กําแพง หลังคาวิหาร หนาแทนแกว (แทนพระประธาน) เปนตน บางแหงก็นําธงฉัพพรรณรังสีขนาดพอเหมาะมาติดกับ เสนดายใหเรียงรายเปนสายยาวใชประดับรอบพระเจดีย ศาลา และวิหาร บางแหงก็มดั ติดกับไมประดับอาคาร บานเรือนและสถานที่ตางๆ แมการเดินทางไปทําบุญ ตามสถานทีต่ า งๆ ของกลุม คณะศรัทธาแตละวัด ก็มกั จะประดับธงฉัพพรรณรังสีดานหนารถยนตดวย เพื่อ ๑๔
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
บอกใหรวู า คณะศรัทธากลุม นีก้ าํ ลังเดินทางไปแสวงบุญ และแสดงออกถึงความศรัทธาและประกาศเกียรติคุณ ของพระพุทธศาสนาผานสือ่ สัญลักษณน้ี แมชาวเชียงตุง จะสามารถประดับธงฉัพพรรณรังสีไดทุกโอกาส แตก็ คํานึงถึงความเหมาะสมดวยเชนกัน กลาวคือไมประดับ ในสถานทีท่ ต่ี าํ่ ทีผ่ คู นอาจเดินขามเหยียบย่าํ ไปมาได เมืองเชียงตุง เริ่มใชธงฉัพพรรณรังสีหลัง พ.ศ. ๒๔๙๓ โดยไดรบั แนวคิดการออกแบบธงมาจากประเทศ ศรีลงั กา เนือ่ งจากประเทศพมาในฐานะประเทศสมาชิก ขององคการพุทธศาสนิกสัมพันธแหงโลก (พ.ส.ล.) ยอมรับมติการประชุมขององคการแลวนํามาจัดทําธง ฉัพพรรณรังสีประจําประเทศพมา ตามประวัติ องคการ พุทธศาสนิกสัมพันธแหงโลก (พ.ส.ล.) ซึง่ เปนองคการ ทางพุทธศาสนาระหวางประเทศ ไดประกาศใหธงฉัพพรรณ รังสีเปนธงสัญลักษณของพระพุทธศาสนานานาชาติ เมือ่ ป พ.ศ. ๒๔๙๓ (ค.ศ. ๑๙๕๐) ตามขอเสนอของประเทศ ศรีลงั กา ในสมัยการประชุมองคการพุทธศาสนิกสัมพันธ แหงโลกครั้งแรก ณ เมืองโคลัมโบ มติท่ีประชุมอัน
ประกอบดวยตัวแทนพุทธศาสนิกชนของแตละชาติ ประมาณ ๒๘ ชาติ ยอมรับขอเสนอนั้น แตใหเพิ่ม ธรรมจักรเปนสัญลักษณของพระพุทธศาสนาระหวาง ชาติดว ย ดังมติทป่ี ระชุมดังนี้ ๑ “ธรรมจักรมี ๘ กํา (๘ ซี่ลอ) อันหมายถึง อริยมรรคมีองค ๘ ไดรบั การรับรองใหเปนสัญลักษณ แหงพระพุทธศาสนาระหวางชาติ และธงทางพระพุทธ ศาสนา ๖ สีซง่ึ ใชอยูใ นประเทศลังกาขณะนี้ ไดรบั ใหใช เปนธงแหงพระพุทธศาสนาระหวางชาติ” ประเทศศรี ลั ง กาถื อ เป น ประเทศแรกที่ ใช ธ ง ฉัพพรรณรังสี เนื่องจากธงนี้ไดรับการออกแบบโดย พันเอก เฮนรี่ สตีล ออลคอตต (Henry Steele Olcott) พุทธศาสนิกชนชาวเมริกัน ผูท่มี ีบทบาทสําคัญตอการ ฟน ฟูพระพุทธศาสนาประเทศศรีลงั กา เชน การริเริม่ กอ ตัง้ โรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย การเรียกรองให อังกฤษซึง่ ปกครองศรีลงั กาขณะนัน้ ใหยกเลิกกฎหมายที่ ไมเปนธรรมตอชาวพุทธที่โปรตุเกสและฮอลันดาทําไว เปนตน การออกแบบธงฉัพพรรณรังสีนไ้ี ดรบั แนวคิดมา จากพุทธประวัติท่ีกลาวถึงพระพุทธเจาทรงเปลง พระ ฉัพพรรณรังสีออกจากพระวรกายหลังจากตรัสรูแลว ดังความตอนหนึง่ ในปฐมสมโพธิกถากลาววา ๒ “ในลําดับนัน้ พระฉัพพรรณรังสีกโ็ อภาสแผออก จากพระสรีรกายา อันวานิลประภาก็เขียวสดเสมอดวยสี แหงดอกอัญชัน มิฉะนัน้ ดุจพืน้ แหงเมฆดลแลดอกนิลบุ ล แลปกแหงแมลงภู ผุดออกจากอังคาพยพในที่อันเขียว แลนไปจับเอาราวปา และพระรัศมีทเ่ี หลืองนัน้ มีครุวนา ดุจสีหรดารทองแลดอกกรรณิการแลกาญจนปฏอันแผ ไว พระรัศมีออกจากพระสรีระประเทศในที่อันเหลือง แลวแลนไปสูท ศิ านุทศิ ตางๆ
พระรัศมีท่ีแดงก็แดงอยางพาลทิพากรแลแกว ประพาฬ แลกมุทปทุมกุสมุ ชาติ โอภาสออกจากพระสรีร อินทรียใ นทีอ่ นั แดงแลวแลนฉวัดเฉวียนไปในประเทศที่ ทัง้ ปวง พระรัศมีทข่ี าวก็ขาวดุจดวงรัชนิกร แลแกวมณี แล สีสงั ข แลแผนเงิน แลดวงพกาพรึกพุง ออกจากพระสรีระ ประเทศในทีอ่ นั ขาวแลว แลนไปในทิศโดยรอบ พระรัศมีหงสบาทก็พลิ าสเลหป ระดุจสีดอกเซง แล ดอกชบา แลดอกหงอนไกออกจากพระกรัชกายรุง เรือง จํารัส พระรัศมีประภัสสรประภาครุวนาดุจสีแกวผลึกแล แกวไพฑูรยเลื่อมประพราย ออกจากพระบวรกายแลว แลนไปในทศทิศวิจิตรรุจีโอฬารและพระฉัพพรรณรังสี ทัง้ ๖ ประการ แผไพศาลแวดลอมไปโดยรอบพระสกล กายยินทรียก าํ หนดที่ ๑๒ ศอก โดยประมาณ อันวาศศิ สุรยิ ประภาแลดาราก็วกิ ลวิการอันแสงเศราสีดจุ หิง่ หอย เหือดสิน้ สูญ มิไดจาํ รูญไพโรจนโชติชชั วาล” นอกจากนั้น หลังจากตรัสรูแลว อุปกาชีวกได พบพระพุทธเจาในระหวางทางเมืองราชคฤหยงั ไดสมั ผัส พระรั ศ มี ท่ี เ ปล ง ประกายออกจากพระวรกายของ พระพุทธเจาจนเกิดความปตยิ ง่ิ นัก ดังความตอนหนึง่ ใน ปฐมสมโพธิกถากลาววา กลาววา ๓ “ฝายอุปกาชีวกเดินมาโดยทุราคมวิถีทางไกล หวางคยาประเทศ เขตเมืองราชคฤหกบั มหาโพธิตอ กัน แลเห็นไพสณฑสถานอันโอฬารไพโรจนพรรณราย ดวย ขายพระฉัพพิธพรรณรังสีโสณวิลาส ปรากฏโดยทิวาศนา การ ทั้งพสุธาแลอากาศโอภาสดวยพระรัศมี มีพรรณ แหงละหกอยาง ทัว่ ทัง้ ทิศลางและทิศบน มาสัมผัสกาย ตน ประหลาดมหัศจรรย ไมเคยไดพบเห็นเปนเชนนีม้ า แตกอน ถาจะเปนเพลิง ไฉนกายอาตมาจึงไมรอน กระวนกระวาย ถาจะเปนน้าํ ไฉนกายอาตมาจะไมชมุ
๓ ปฐมสมโพธิกถา ฉบับสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมสมเด็จ ๑ สุชพ ี ปุญญานุภาพ. ประวัตศิ าสตรศาสนา. หนา ๒๐๕ ๒ ปฐมสมโพธิกถา ฉบับสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมสมเด็จ พระปรมานุชิตชิโนรส. ธัมมจักกปริวรรต ปริจเฉทที่ ๑๓ .
พระปรมานุชติ ชิโนรส. โพธิสพั พัญูปริวรรต ปริจเฉทที่ ๑๑ . หนา ๒๑๙ หนา ๑๙๐
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
๑๕
ชืน้ เย็น นีจ่ ะเปนสิง่ อันใดยิง่ สงสัยสนเทหจ ติ จึงเพงพิศ ไปขางโนนขางนี้ ก็เห็นองคพระผูท รงสวัสดิโสภาคยเสด็จ บทจรมา รุงเรืองดวยพระสิริฉัพพิธมหาทวัตติงสบุรุษ ลั ก ษณะแลพระพยามประภาโอภาสเบื้อ งบน พระ อุตมังคศิโรตม ก็ชว งโชติดว ยพระเกตุมาลาครุวนาดุจทอง ทัง้ แทง ประดับดวยฉัพพรรณรังสีแสงไพโรจนจาํ รัส ทรง สบงจีวรลวนมีพรรณอันแดงดุจแสงพระอาทิตย อันอุทยั เหนือยอดยุคนธรบรรพต ดูดวงพระพักตรกผ็ อ งใสสุกสด เสมอดวงดอกโกมุทบริสทุ ธิส์ ริ วิ ลิ าศ จึงดําริวา ดังอาตมะ ปริวติ ก บุคคลผูน จ้ี ะเปนมนุษยหรือ จึงมีจวี รอันทรงงาม ยิง่ นัก หรือจะเปนเทพยดา ถาเปนเทพยดา ก็จะไมทรง ภูษามีพรรณอันแดงโอภาส จะไมทรงบาตรอยางนี้ นีก่ ็ มีจวี รประดับพระกายา นีจ่ ะมิใชเทพยดา ชะรอยจะเปน มนุษยโดยแท แตมีรูปสิริโสภาคยิ่งคิดก็ย่งิ มากไปดวย ปตปิ ราโมทยยนิ ดี มีโลมชาติสยดสยองทัว่ สกลกายา” ดังนัน้ ธงฉัพพรรณรังสีจงึ ประกอบดวยลักษณะสี ตามทีป่ รากฏในพุทธประวัตดิ งั กลาวจํานวน ๖ สี ๔ ไดแก สีเขียว เหมือนดอกอัญชัน (นีละ) สีเหลือง เหมือนหรดาล (ปตะ) สีแดง เหมือนตะวันออน (โรหิตะ) สีขาว เหมือนแผนเงิน (โอทาตะ) สีหงสบาท เหมือนดอกเซงหรือหงอนไก (มัญเชฏฐะ) สีเลือ่ มพราย เหมือนแกวผลึก (ประภัสสร ไดแกสที ง้ั ๕ ผสมกัน) เมือ่ แตละประเทศทีน่ บั ถือพุทธศาสนา โดยเฉพาะ กลุม ประเทศในภูมภิ าคลุม แมนาํ้ โขง ไดแก พมา จีน ลาว เวียดนาม และเขมร ยอมรับมติองคการพุทธศาสนิก สัมพันธแหงโลกแลว ตางก็กลับมาประดิษฐธงฉัพพรรณ รังสีท่ีไดรับแบบบอยางจากประเทศศรีลังกามาใชใน ประเทศของตน กลาวคือ ตัวธงทําดวยแผนผาลักษณะ สีเ่ หลีย่ มผืนผาประกอบดวยแถบสี ๖ แถบ จัดวางเรียง ลําดับจํานวน ๒ แนว คือ
๑. แนวตั้ง แถบสีแนวตั้งขนาดเทากันจํานวน ๕ สี เรียงตามลําดับ ไดแก สีนาํ้ เงิน สีเหลือง สีแดง สีขาว และสีชมพูออ นหรือสีสม ๒. แนวขวาง แถบสีทง้ั ๕ เรียงกันในแนวขวาง ตอนทายของแผนผา ถือเปนชองสีท่ี ๖ คือสีประภัสสร แตเนือ่ งจากปญหาการกําหนดลักษณะสีจากศัพทภาษา บาลีไมตรงกัน จึงทําใหบางประเทศกําหนดลักษณะสี บางสีแตกตางกันดวย เชน นีละ บางแหงใชสนี าํ้ เงิน บาง แหงใชสเี ขียว และบางแหงใชสฟี า สวนสีหงสบาท บาง แหงใชสสี ม (แสด) บางแหงใชสชี มพูออ น บางแหงใช สีมว ง เปนตน สวนแถบสีท่ี ๖ คือ ประภัสสร (สีเลือ่ ม พรายเหมือนแกวผลึก) ตางก็ไมอาจกําหนดลักษณะสี ออกมาใหชดั เจนไดเหมือนกัน แตละประเทศจึงใชแถบ สีทง้ั ๕ มาเรียงใหเปนแนวนอนแทน เพือ่ แสดงใหเห็น วา สีประภัสสร คือการนําสีทง้ั ๕ ชนิดมาผสมกัน สวน เมืองเชียงตุง ประเทศพมา กําหนดลักษณะสีธงฉัพพรรณ รังสีเรียงตามลําดับคือ สีนาํ้ เงิน เหลือง แดง ขาว และ ชมพูออ น สวนประเทศไทย นับเปนประเทศเดียวที่ใชธง ธรรมจักรเปนธงสัญลักษณทางพุทธศาสนาแทนธง ฉัพพรรณรังสีท่ีใชในนานาชาติ โดยเริ่มใชอยางเปน ทางการเมือ่ พ.ศ. ๒๕๐๑ ภายหลังการสมโภช ๒๕ พุทธ ศตวรรษ การนําพระฉัพพรรณรังสีมาเปนธงสัญลักษณทาง พุทธศาสนา ยอมแสดงใหเห็นถึงแนวคิดที่ตองการทํา สิ่งที่เปนนามธรรมใหเปนรูปธรรม เพื่อสื่อใหเขาใจถึง หลักธรรมหรือคุณลักษณะทีส่ าํ คัญทางพุทธศาสนา ทัง้ นี้ จะเห็นไดวา ธงฉัพพรรณรังสีทาํ หนาทีส่ อ่ื ใหเห็นถึงพระ รัศมีท่ีเปลงออกมาจากพระวรกายขององคสมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจาและสื่อความหมายที่สําคัญในแตละ แถบสีดงั นี้ นีละ สื่อ ถึ ง พระมหากรุ ณ าธิ คุณ ขององค สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา ปตะ สือ่ ถึงทางสายกลาง ไมหยอนยานและ ๔ พระราชวรมุนี (ประยุทธ ปยุตโต) พจนานุกรมพุทธศาสน ไมเครงครัดเกินไป ฉบับประมวลศัพท. หนา ๕๓ โรหิตะ สือ่ ถึงความเปนสิรมิ งคลแกชวี ติ
๑๖
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
โอทาตะ สือ่ ถึงพระบริสทุ ธิคณ ุ ขององคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจาและวิมตุ ติ (ความหลุดพน) มัญเชฏฐะ สือ่ ถึงพระปญญาธิคณ ุ ขององคสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจา ประภัสสร สือ่ ถึงสัจธรรมทรงทีส่ ง่ั สอน ความหมายดังกลาวนี้ แสดงถึงการถวายเกียรติคณ ุ ตอพระพุทธเจาทีท่ รงประทานปญญาจักษุ (ดวงตาแหง ปญญา) แกมวลมนุษยใหสอ งแสงแหงพระธรรมสวางไสวในทิศทัง้ ๖ เพือ่ กําจัดอํานาจแหงกิเลสทัง้ หลายมีอวิชชา ตัณหา เปนตน ทําใหมนุษยหลุดพนจากกองทุกข ประสบสุขเกษมศานตอยางแทจริง จากการทีช่ าวพุทธในเมืองเชียงตุงใชธงฉัพพรรณรังสีเปนธงสัญลักษณทางพุทธศาสนา ยอมแสดงถึงบทบาท หนาทีส่ าํ คัญในฐานะสัญลักษณทางศาสนจักร ถือเปนสิง่ แสดงถึงความเคารพศรัทธาและเทิดทูนพระพุทธศาสนา อีกทั้งยังเปนสิ่งเตือนใจเหลาชาวพุทธเมืองเชียงตุงใหยึดมั่นและดํารงตนอยูในพระธรรมคําสอนขององคสมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจา ในขณะที่ฝายบานเมืองก็ใชธงประจําชาติของประเทศพมาเปนสัญลักษณหรือสิ่งแทน อาณาจักรเพื่อแสดงถึงความเปนเอกภาพของคนในชาติ กอใหเกิดความรักความสามัคคี ความเปนน้ําหนึ่งใจ เดียวกัน
บรรณานุกรม
ปฐมสมโพธิกถา ฉบับสมเด็จพระมหาสมณเจา กรมสมเด็จพระปรมานุชติ ชิโนรส พิมพครัง้ ที่ ๓ . กรุงเทพฯ : โรงพิมพการศาสนา. ๒๕๒๓. พระราชวรมุนี (ประยุทธ ปยุตโต) พจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศัพท พิมพครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ : มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๒๘. สุชพี ปุญญานุภาพ. ประวัตศิ าสตรศาสนา พิมพครัง้ ที่ ๘ .กรุงเทพฯ : มหามกุฏราชวิทยาลัย. ๒๕๔๐.
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
๑๗
บุคคลวัฒนธรรม พระราชเขมากร (สอาด ขนฺติโก)
รองเจาคณะจั ้าคณะจังหวัดเชียงใหม่ เจ้าอาวาสวั าอาวาสวัดเจ็ดยอด พระอารามหลวง ภัทรา จันทราทิตย
ในปพุทธศักราช ๒๕๕๒ ที่ผานมาเปนปที่ครบ รอบ ๖๐๐ ปชาตกาลพระเจาติโลกราช การจัดกิจกรรม เพื่ อ เฉลิ ม ฉลองในวาระดั ง กล า ว พระราชเขมากร (สอาด ขนฺตโิ ก) รองเจาคณะจังหวัดเชียงใหม เจาอาวาส วัดเจ็ดยอด พระอารามหลวง เปนผูมีสวนสนับสนุน การจัดกิจกรรมฉลองชาตกาล ๖๐๐ ปพระเจาติโลกราช ทําใหพระราชกรณียกิจ พระเกียรติคณ ุ ของพระองคทา น กลั บ มาปรากฏให ช าวล า นนาได ร ว มกั น รํ า ลึ ก ใน พระมหากรุณาธิคุณของพระองคทานอีกครั้งหนึ่ง พระราชเขมากร (สอาด ขนฺตโิ ก) เกิดวันจันทรที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๕ ปมะเมีย ภูมิลําเนาเดิม บานทุงแดง ตําบลโหลงขอด อําเภอพราว จังหวัด เชียงใหม ชีวิตในวัยเยาวของทานเริ่มตนจากการเปน ขะโยม(เด็กวัด) จนบรรพาเปนสามเณร “เมือ่ ป ๒๔๙๘ เรียนจบประถม ๔ แลว ป ๒๔๙๙ ทานอธิการศรีวรรณ เจาอาวาสวัดทุง แดง ตําบลโหลงขอด มาขออาตมาจากโยมพอ (นายอาย ธนะสาร) ที่บาน อยากไดขะโยมไปอยูว ดั สักคน ทีว่ ดั ไมมี ขะโยม อาตมา ชื่อวาเด็กชายอาย ลองถามเจาตัวกอน พอบอกวา ตุห ลวงจะเอาไปอยูว ดั ก็แลวแตความสมัครใจ เมือ่ เปน ๑๘
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
ขะโยมอยูวัด นอกจากเรียนนักธรรมแลว เรียนภาษา พื้นเมือง สวดมนต ทําวัตร ตุเจาเปนคนสอน พระใหญ เณรใหญสอนเณร พี่สอนนองชวยเจาอาวาส ที่วัดทุง แดง มีเณร ๗-๘ ตน ขะโยม มี ๔-๕ คน ทุกคนเรียน หนังสือ บางคนไมจบประถมก็มี ความจริงแลวอาตมา อยูประถม ๒ สวดมนตเปน ตั้งแตอะระหัง สัมมา สัมพุทโธ อิตปิ โ ส เปนตนไป เพราะคุณยายไมรภู าษาไทย เด็กชายอายเคยสอนคุณยายทําวัตร สวดมนต คุณยาย จําไดหมด คุณยายเขาวัด จําศีล กินเพลมาแลวตั้งแต หลายป เมื่ออาตมาเขาไปอยูในวัดก็ไดเรียนบาง ทอง บาง แตกม็ คี วามรูเ ดิมจากการสอนคุณยาย ตลอดระยะ เวลาเขาพรรษา พระอธิการศรีวรรณ ธมฺมสีโล เจา อาวาสวัดทุง แดงจะเดินเทาไปประมาณ ๒ กิโลเมตรไป สอนนักธรรมที่วัดสันนาเม็ง อายเปนขะโยมเดินไปกับ ทานทุกวัน ก็เลยใหเรียนนักธรรมไปดวย ปลายป ๒๔๙๙ ได บ วชเป น สามเณรจํ า พรรษาที่ วั ด ทุ ง แดง ๒ พรรษา แลวยายมาอยูวัดพันตอง ในขณะนัน้ พระโพธิรงั ษีเปนเจาอาวาสวัดพันตอง เจ า คุ ณ โพธิ์ ป ระกาศนโยบาย วั ด พั น ตองรั บ ภิ ก ษุ สามเณร เฉพาะอําเภอพราวที่เดียว เพราตองการจะ ฟนฟูการศึกษาของคณะสงฆอําเภอพราว ป พ.ศ. ๒๕๐๓ ทานจึงยายมาจําวัดทีว่ ดั พันตอง ซึง่ เปนโรงเรียน พระปริยัติธรรม พ.ศ.๒๕๐๕ สอบนักธรรมชั้นเอกได เจาคุณโพธิก์ ใ็ หสอนบาลี “ผมยังสอบไมได เด็กจะเชือ่ ถือ ไดอยางไร ไมเปนไร ขาจะชวยดูแล สอนเปนเหมือน สอนตั๋ว ขาจะชวย” ป ๒๕๐๗ เจาคุณโพธิ์ใหเปนเลขา เจาคณะอําเภอ ทําหนาที่อยูชวงหนึ่ง พ.ศ.๒๕๑๖ ไดรบั พระราชทานตัง้ สมณศักดิเ์ ปน พระครูสัญญาบัตร รองเจาคณะอําเภอชั้นโท ที่พระครู ประสิทธิ์พุทธศาสน, ป พ.ศ. ๒๕๓๔ ศรัทธา คณะสงฆ มาขอจากเจาคุณโพธิ์ ใหไปจําพรรษารักษาการเจา อาวาสวัดกลางเวียง อําเภอพราว และดํารงตําแหนง เจ า คณะอํ า เภอพร า ว และได รั บ พระราชทานตั้ ง สมณศักดิ์ เปนพระราชาคณะ ชั้นสามัญ ที่พระวิมล ญาณมุนี จําพรรษาอยูอําเภอพราวเกือบ ๑๐ ป ตั้งแต ป พ.ศ.๒๕๓๔ – ๒๕๔๔
ป พ.ศ. ๒๕๔๔ เจาอาวาสวัดเชตุพนวางลง เจาคณะจังหวัดสั่งใหรักษาการเจาอาวาสวัดเชตุพน หนึ่งพรรษา ป พ.ศ. ๒๕๔๕ หลวงพอเจาคุณโพธิรงั ษี (บุญศรี พุทธฺ ิ าโณ) เจาอาวาสวัดพันตอง มรณภาพ จึงไดรบั การ แตงตัง้ เปนผูร กั ษาการเจาอาวาสวัดพันตอง และป พ.ศ. ๒๕๔๕ นี้เอง ไดรับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เปน พระราชาคณะชั้นราชที่ “พระราชเขมากร” ในป พ.ศ. ๒๕๔๗ ไดรับแตงตั้งใหรักษาการเจา อาวาสวัดเจ็ดยอด พระราชเขมากร ไดเริม่ ฟน ฟูการเรียน การสอนพระปริยัติธรรม ทั้งแผนกธรรม - บาลี และ โรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย สําหรับนักเรียน โรงเรียนวัดเจ็ดยอด และในปพ.ศ. ๒๕๕๐ มีการจัดงานเฉลิมฉลอง วัดเจ็ดยอดมีอายุครบ ๕๕๐ ป นอกจากนัน้ ไดเปดสอนทีอ่ าํ เภอสันทราย อําเภอ แมแตงและอําเภอแมริมอีกดวย สรางอาคารเรียน พระปริยัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา มหาราช ๒ ชัน้ ขนาด ๙ หองเรียน ภายในวัดเจ็ดยอด ใชสาํ หรับ เปนสถานศึกษา พระปริยัติธรรม ทั้งแผนกนักธรรม ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
๑๙
และบาลี เปนสถานศึกษาระดับปริญญาตรีพทุ ธศาสตร บั ณ ฑิ ต วิ ช าเอกภาษาบาลี ของมหาวิ ท ยาลั ย มหา จุฬาลงกรณ ราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม และในป พุทธศักราช ๒๕๕๒ เปนวาระครบรอบ ๖๐๐ ปชาตกาล พระเจาติโลกราช วัดเจ็ดยอดพระอารามหลวงไดรวม กับสวนราชการ สถานศึกษา องคกรตางๆทั้งภาครัฐ และเอกชน จัดกิจกรรมเพือ่ เฉลิมฉลองครบรอบ ๖๐๐ ปี ชาตกาลพระเจาติโลกราช อาทิ - เมื่อวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๒ ไดจัดการ อุปสมบทอุทกุกเขปสีมา เฉลิมฉลอง๖๐๐ ป ชาตกาล พระเจ า ติ โ ลกราช ณ ท า หน า วั ด ศรี โขง อ.เมื อ ง จ.เชียงใหม - เมื่อวันจันทร ที่ ๒๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๕๒ จัดพิธีเททองหลอพระรูปพระเจาติโลกราช - รวมกับมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราช วิทยาลัย ดําเนินงานโครงการฟนฮอยพญาติโลกราช ประกอบดวยกิจกรรม การสัมมนาทางวิชาการ เรื่อง “อุทกุกเขปสีมา: สารัตถะเพื่อสรางการเรียนรูรวม สมัย”เมือ่ วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๕๒ การสัมมนาทาง วิชาการ เรื่องยุทธพิชย (สงครามฉบับลานนา) เมื่อวัน ที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๒ การสัมมนาทางวิชาการ เรือ่ ง “บันทึกพระพุทธศาสนา: การสังคายนาพระไตรปฏก” เมือ่ วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๒ จัดการประกวดเรียงความ เรือ่ ง “พญาติโลกราช: มหาราชแหงลานา” และการจัด กิจกรรมคายยุวชนตามรอยพญาติโลกราช ณ วัดเจ็ด ยอดและวัดปาแดงมหาวิหาร พระราชเขมากร ได จั ด กิ จ กรรมต า งๆ เพื่ อ เปนการประกาศพระเกียรติคุณของพระเจาติโลกราช แลว ทานยังไดทําการกอสรางและบูรณปฏิสังขรณ ศาสนาวั ต ถุ ใ นพระอาราม เพื่ อ เป น การถวายเป น พระราชกุศลแดพระองคทานอีกดวย
๒๐
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
ตุ·Øง§
เครือ ่ งสักการะทางพระพุทธศาสนาในนครเชียงตุง ผศ.จินตนา มัธยมบุรุษ
กรรมการบริหารสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม
ความนํา การเก็บขอมูลเกี่ยวกับเครื่องสักการะทางพุทธ ศาสนาของนครเชียงตุงนั้น ไดเดินทางไปหลายครั้ง พบความแตกตางในวิถีความคิด ความเชื่อ รูปแบบ ลักษณะเดนของตุงแตละประเภทที่นํามาจัดทําของแต ละเอิ่งบาน หรือเขตที่ตั้งบานของแตละชนเผาที่อยูใน นครเชียงตุง และเมื่อนํามาวิเคราะหเปรียบเทียบเรื่อง ตุงในลานนาก็พบความแตกตางเชนเดียวกัน แตก็มี ความเหมือนหรือคลายกันอยูมากมาย จนอาจกลาว ไดวาการเลื่อนไหลทางวัฒนธรรมเปนสิ่งที่มีมาอยาง ตอเนื่องจากอดีตจวบจนปจจุบัน ในระหวางวันที่ ๒๖ – ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๒ คณะผูดําเนินการโครงการการจัดเก็บขอมูลเกี่ยวกับ เครื่องสักการะทางพระพุทธศาสนา๑ ในนครเชียงตุง ไดเดินทางไปนครเชียงตุง นครแหง ๓ จอม ๙ หนอง
๑๒ ประตู๒ โดยวางเปาหมายหลักในการเก็บขอมูลเกีย่ ว กับ “ตุง” โดยเฉพาะ ทั้งนี้อาศัยความเชื่อพื้นฐานที่จะ ใช “ตุง” ถวายเปนพุทธบูชา เปนสัญลักษณของการ กําหนดเขตพิธีกรรม รวมทั้งเปนองครวมของสารัตถะ ของเรือ่ งราวทีจ่ ะบงบอกถึงความสําคัญและคุณคา และ ทีส่ ดุ ก็คอื เพือ่ อานิสงสสาํ หรับตนเองและญาติผลู ว งลับที่ อาจติดของอยูใ นอบายดวยก็เกาะชายตุงนําจิตวิญญาณ สูสรวงสวรรคตามกรอบคิดและเชื่อในวิถีทางนั้นๆ นครเชียงตุงเปนเมืองหนึ่งในรัฐฉาน (๑ ใน รัฐ) ประเทศสหภาพพมา เชียงตุงตั้งอยูที่ละติจูด ๒๐ องศา ๓๐ ลิปดาเหนือ และลองจิจูดที่ ๙๘ องศา ๓๐ ลิปดา ตะวันออก ตั้งอยูสูงกวาระดับน้ําทะเล ๒,๗๐๐ ฟุต ๒ นคร ๓ จอม ไดแก จอมมน จอมทอง (คํา) จอมรัก ๙ หนอง
ไดแก หนองตุง หนองแกว หนองงาย หนองยาง หนองทาชาง หนองไค หนองพวง หนองแคะ หนองผา ๑๒ ประตู ไดแก ประตู ๑ แนวคิดที่จะจัดทําสิ่งที่จะนําไปเปนเครื่องสักการะพระพุทธ เชียงลาน ประตูปา แดง ประตูบอ ออย ประตูหนองเหล็ก ประตู พระธรรม และพระสงฆ เครือ่ งสักการะดังกลาวจะจัดเปนศิลป มาน ประตูงามฟา ประตูหนองผา ประตูยางคํา ๗ เชียง ไดแก วัตถุ จัดเปนรูปแบบทีน่ าํ มาใชอยางตอเนือ่ งในพิธกี รรมทางพุทธ เชียงลาน เชียงงาม เชียงจันทร เชียงยืน เชียงเหล็ก เชียงอินทร เชียงขุม ศาสนา ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
๒๑
บนที่ราบลุมแมน้ํา อยูระหวางหุบเขาเปนแองเมือง มีเนือ้ ที่ ๑๒,๔๐๐ ไมล๓ เชียงตุงจะแบงเขตการปกครอง ออกเปน ๕ เขต ๑๘ เอิ่งเมิง๔ ชาวเชียงตุงมีหลากหลาย ชาติพนั ธุ โกปกะ ๕ ไดเลาใหฟง ถึงกลุม ชาติพนั ธุท เี่ ชียงตุง วามีมากถึง ๒๒ กลุม แตมีกลุมใหญที่มีจํานวนมาก และเปนที่ยอมรับของคนทั่วไปในทุกดาน โดยเฉพาะ สังคมวัฒนธรรม ซึ่งมักจะมีเอกลักษณของตน แม ในปจจุบันการผสมกลมกลืนทางวัฒนธรรมของกลุม ชาติพันธุอยูตลอดเวลา แมวา “โกปกะ”จะบงบอก วาแตละกลุมชาติพันธุในเชียงตุง จะมีสัญลักษณหลัก ของตนเองและบอกไดถึงวารูปแบบใดเปนของกลุม ชาติพันธุใด กลุมชาติพันธุใหญในเชียงตุงจะมี ๖ กลุม คือ ไทขืน (ไทยเขิน) ไทโหลง (ไทยใหญ) ไทเหนอ (ไทยเหนือ) ไทลื้อ (ไทยลื้อ) ไทหลอย (ลัวะ) และพมา ซึง่ จะมีวดั ของแตละกลุม ชาติพนั ธุเ ปนศูนยกลางในการ ทําพิธีกรรมตางๆ ในเขตเวียง จะมีวัดของชาวไทขืน จํานวน ๓๓ วัด ไทโหลง ๑๐ วัด พมา ๑ วัด นอกนั้นจะ อยูบริเวณของเอิ่งเมิงทั้ง ๒๐ เอิ่ง ชาวเชียงตุงทั้ง ๕ เขต ๒๐ เอิ่ง จะมีรูปแบบพิธีกรรมทองถิ่นที่แตกตางกันไป รวมทั้งเครื่องอุปโภค บริโภค ตลอดจนภาชนะที่นํามา ใชใสก็ยอมจะแตกตางกันตามสภาพวิถีเชียงตุง ซึ่งจะ แตกตางกันตามระดับความเปนอยู โดยมีเศรษฐกิจและ วัฒนธรรมเปนตัวขีดคั่น โดยเฉพาะการสืบคนขอมูล เกีย่ วกับเครือ่ งสักการะ ทําใหมองเห็นความเปนเชียงตุง อยางชัดเจน ซึ่งไดมีการผสานความคิดของแตละกลุม ชาติพันธุในเรื่องพิธีกรรม ความเชื่อ เครื่องสักการะ มีหลากหลายรูปแบบ ทั้งเครื่องสักการะพระพุทธเจา พระธรรมเจา และพระสังฆเจา ในบทความนีจ้ ะนําเสนอ เรือ่ งตุงทีจ่ ะมีจดุ เนนทีจ่ ะนําถวายเปนพุทธบูชา โดยเชือ่ เสมอวาวิถีของคนมักจะมีเรื่องกรรมมาเปนตัวเชื่อมที่ จะมีผลผลิตสําหรับเปนเครื่องบูชาตามความเชื่อของ ตน เพื่อใหพนจากทุกขโศกโรคภัยที่มาแผวพานเสมอ
ตุงเขม : วิหารวัดยางกวง เชียงตุง
ดังนั้น “ตุง” หรือ “ทุง” หมายถึง ธง หรือธง ตะขาบ ธงทีห่ อ ยยาวลงมาทีร่ อยตอมีไมคนั่ ปลายไมทงั้ ๒ ดาน จะติดเครื่องประดับเล็กๆ มองคลายตะขาบ มี หลายประเภทตามความตองการทีจ่ ะนําไปใชเปนเครือ่ ง บูชาทั้งในงานมงคลและอวมงคล๖ ซึ่งจะมีชื่อเรียกตาม วัสดุที่นํามาใช เชน ทุงกะดาต หมายถึง ธงที่ทําดวย กระดาษ ทุงผา หมายถึง ธงทีท่ าํ จากผา ทุงแปน หมาย ถึง ธงทีท่ าํ ดวยไมกระดานเปนแผนยาว ทุงบอก หมาย ถึง ธงทีม่ โี ครงไมไผขดอยูใ นภายใน ทําใหมองเห็นเปน รูปคลายกระบอก บางครั้งก็เรียกวา ทุงงวงชาง๗ ในนครเชียงตุง จะมีทุง (ตุง) ไมมากเทาลานนา จากการสอบถามจากโกปกะและชางทําตุงจําหนาย ไดเลาถึงทุง (ตุง) วาชาวไทขืนนิยมทําตุงดวยกระดาษ หรือผาสีพนื้ และตัดลวดลายประดับตามประเภทของตุง สวนชาวไทลื้อจะนิยมการทอทุง (ทอตุง) เปนลวดลาย ตามประเภทของทุง (ตุง) สวนชาวไทเหนอ บานปาแดง จะทําทุง (ตุง) ดวยการตีแผนเงินเปนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ขนาด ๔ X ๔ นิ้ว แลวตอกลายตามแนวคิดจากเรื่อง ราวทีจ่ ะปรากฏในพิธกี รรม และชาวไทโหลงนิยมทอทุง (ทอตุง) แตลวดลายไมมากนัก สวนไทหลอย (ลัวะ) จะ ๓ พระมหาสุภาพ จันตะกอง, ความสัมพันธทางพระพุทธศาสนา มีการทอทุง (ตุง) คลายของชาวไทลื้อ
ระหวางเชียงใหม – เชียงตุง พ.ศ. ๒๔๙๑ – ปจจุบนั , วิทยานิพนธ ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิจยั และการพัฒนาทองถิน่ (ลาน นาคดี) สถาบันราชภัฏเชียงใหม, ๒๕๔๔. ๔ ดูรายละเอียดในหนังสือวิถไี ทยเขินและประเพณี ๑๒ เดือน ของไทยเขิน ๕ โกปกะ หมายถึง คณะกรรมการของสํานักพุทธศาสนานคร เชียงตุง รัฐฉาน ประเทศพมา ไดเขาพบในวันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๒
๒๒
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
๖ อุดม รุง เรืองศรี, พจนานุกรมลานนา – ไทย ฉบับแมฟา หลวง,
เชียงใหม : โรงพิมพมง่ิ เมือง, ๒๕๓๔. ๗ อรุณรัตน วิเชียรเขียว และคณะ, พจนานุกรมศัพทลา นนา เฉพาะคําทีป่ รากฏในใบลาน, เชียงใหม : สุรวิ งศบคุ เซ็นเตอร, ๒๕๓๙.
แนวคิดเกี่ยวกับการทําทุง (ตุง)
จากการสัมภาษณ นางเกี๋ยงคํา๘ บานปาแดง นครเชียงตุง ซึ่งยังคงทําตุงจําหนายอยู การทําตุงของ นางเกี๋ยงคําจะนําผากวาง ๘ – ๑๐ นิ้ว ยาวไมกําหนด แนนอนแลวแตประเภทของตุง แลวนําผาแพรมาปก เปนลวดลายตามสัญลักษณของเรื่องราวที่ปรากฏ เชน ตุง ๑๖ จาด หมายถึง การปกตุงพระเจา ๑๖ ชาติ ซึ่ง เปนการเสวยชาติของพระพุทธเจาจะมีสัญลักษณไว แนนอน โดยเริ่มตั้งแตรูปมา นกยูง นกเขียว (นกแกว) สีหการะ นกการะเวก นกกาแก นกเอี้ยงหูทอง ควาย หงส ชาง วอก (ลิง) กินรี หมู วัว ไก นางธรณี หรือตุง พระเจา ๕ พระองค ก็จะมีสญ ั ลักษณเปนรูปไก นาค (งู) ควาย ผูห ญิง ผูช าย หรือตุงประจําวันเกิด จะมีสญ ั ลักษณ ดังนี้ วันอาทิตยเปนรูปรุง (ครุฑ) วันจันทรเปนรูปเสือ วันอังคารเปนรูปราชสีห วันพุธเปนรูปชาง วันพฤหัส เปนรูปหนู วันศุกรเปนรูปหนูขาว วันเสารเปนรูปนาค อยางไรก็ดจี ะมีตงุ ทีช่ าวเชียงตุงใหความสนใจ และดูเหมือน จะเปนสัญลักษณท่ีมักนิยมนําไปถวายเปนพุทธบูชา คือ ตุงเวสสันตระ เปนตุงประกอบพิธีเทศนเวสสันตระ เรียกอีกอยางหนึ่งวา จอยเวสสันตระ ชาวเชียงตุงนิยม เทศนธรรมเวสสันตระปละหลายครั้ง แลวแตชุมชน แตละแหง คือ ชวงเดือนมกราคม – กุมภาพันธ เดือน มิถุนายน – กรกฎาคม และเดือนสิงหาคม – กันยายน ดังนัน้ ตุงเวสสันตระจึงทําดวยเงิน แผนเงินแตละแผนจะ มีสญ ั ลักษณเปนรูปชาง มา ผาสาด (ปราสาท) ราชกกุฏ ภัณฑ เรือนเงิน (ยุง ขาว) เรือนคํา อัฏฐบริขาร บันไดเงิน บันไดทอง (สุวรรณญานารา) แพ ตุงคํา จอ (จะตัดเงิน เปนจอ และทําตุงรูปคนทําดวยทองคํา ซึง่ การทําตุงเวส สันตระดวยเงินดังกลาวนี้ บานเชียงขุม ซึง่ เปนชาวไทลือ้ ก็นยิ มทําดวยเชนกัน แตสญ ั ลักษณบางแผนจะแตกตาง กันออกไป แตความหมายจะเปนลักษณะเดียวกัน กลาว คือ พระสวาทิหนุม ๙ วัดเชียงขุม ไดมอบตุงเวสสันตระให ไวเปนที่ระลึกและอธิบายความหมายไวดังนี้
ตุงเวสสันตระ
มีรูปกวาง
จะมีความหมายถึงการปนเงิน ปนคํา คือ ความเอื้อเฟอ รูปขึ้นใด(บันได) หมายถึง แกว (พลอย) เงิน คํา เปนการขึ้นสูนิพพาน รูปเรือ หมายถึงมีนา้ํ มีเรือเปนพาหนะ พาดวงวิญญาณสูสวรรค รูปวัว ควาย ชาง มา หมายถึง บูชาพระเวสสันดร เปนการขอขมา รูปเยเงิน เยคํา หมายถึง ที่ใสของเพื่อเก็บ รักษาสิ่งของที่มีอยู รูปกลองขาว หมายถึง ความอุดมสมบูรณ รูปดอยเงิน ดอยคํา หมายถึง ขาวของเงินทอง รูปพระจันทร พระอาทิตย หมายถึง สติปญญา รับรู ในสรรพสิง่ ทีม่ กี ารเปลีย่ นแปลง รูปฆอง / กลอง หมายถึง ความสนุกสนาน รูปเขาสิเนรุ หมายถึง ศูนยกลางของจักรวาล โดยมีปลาอานันตะ ปกปกรักษา ตุงเงิน หมายถึง ใหพน จากนรกสูส คุ ติ นัยยะแหงความหมายที่ปรากฏบนตุงแผนเงิน ทําใหเขาใจในสัจธรรมแหงชีวติ ทีจ่ ะวนเวียนเปลีย่ นไป ตามกาลเวลา นอกจากนี้ยังมีตุงตัวเปง (ตุงประจําปเกิด) ซึ่ง ๘ นางเกีย๋ งคํา อายุ ๕๓ ป บานปาแดง เชียงตุง เปนชาวไตเห นอ ไดรบั การถายทอดการทําตุงจากแม คือ นางมุง อายุ ๘๗ ป ชาวไทลื้อบานเชียงขุมนิยมถักทอ โดยเริ่มตั้งแต หนู (ปชวด) วัว (ฉลู) เสือ (ขาล) กระตาย (เถาะ) นาค เดิมมีอาชีพเปนชางคํา เริม่ ทําตุงตัง้ แตอายุ ๒๒ ป ๙ สัมภาษณพระสวาทิหนุม เจาอาวาสวัดเชียงขุม (๒๘ ธันวาคม (มะโรง) งู (มะเส็ง) มา (มะเมีย) แพะ (มะแม) ลิง (วอก)
๒๕๕๒)
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
๒๓
ตุงจาดรอด : บานเขียวขุม เชียงตุง
๑. นกกางเขน ๑๖ พระชาติ หมายถึงเมืองจามปา ๒. หงส ๙ พระชาติ หมายถึงเมืองพาราณสี ๓. กาแก ๖ พระชาติ หมายถึงเมืองราชาคหะ ๔. แขกเตา ๓ พระชาติ หมายถึงเมืองเวสาลี ๕. การะปด ๕ พระชาติ หมายถึงเมืองพาราณสี ๖. กินรี ๔ พระชาติ หมายถึงเมืองปาฏลีบตุ ร ๗. จามรี ๑๕ พระชาติ หมายถึงเมืองมิถิลา ๘. ลิง ๑๐ พระชาติ หมายถึงเมืองลังกะสะ ๙. ชาง ๑๑ พระชาติ หมายถึงเมืองเจตรุก ๑๐. วัว ๑๔ พระชาติ หมายถึงเมืองตักกะสิลา ๑๑. มา ๑ พระชาติ หมายถึงเมืองสารี ๑๒. ควาย ๘ พระชาติ หมายถึงเมืองกาลิงกราช ๑๓. ราชสีห ๒ พระชาติ หมายถึงเมืองวิปุราช ๑๔. เสือ ๗ พระชาติ หมายถึงเมืองโกสัมพี ๑๕. ไก ๑๒ พระชาติ หมายถึงเมืองโกลันยา ๑๖. หมู ๑๓ พระชาติ ตุ ง ที่ ช าวเชี ย งตุ ง ได ทํ า ขึ้ น ถวายเป น พุ ท ธบู ช า อีกประเภทหนึ่ง คือ ตุงกระดาง ซึ่งไทโหลงนิยมทํา ถวายเปนพุทธบูชา มักจะทําดวยไม แผนสังกะสี และ แกะลวดลายรูปพรรณพฤกษา รูปดอกไม หรือรูปนก กระรอก ประดับดวยกระจกสี ทาสีทองหรือสีออนทับ ลวดลายที่แกะสลัก คุณคาและความหมายของตุงแตละประเภทนั้น ลวนแลวแตแนวคิดของแตละกลุม ชาติพนั ธุ ซึง่ ตองการ ถวายเปนพุทธบูชาเปนการขอขมาที่ไดลวงล้ําก้ําเกิน และที่สุดคือเพื่อตนเองในการใหพนจากโรคาพยาธิ และเพือ่ ตอบสนองความตองการในการทีส่ สู รวงสวรรค ในภายภาคหนา รวมทั้งบรรพบุรุษที่อาจจะของติด ในภพภูมิที่ไมพึงปรารถนาสูสุคติที่ตองการ อยางไร ก็ดี เปาหมายของการผลิตตุงแตละประเภทขึ้นอยูกับ จุดมุงหมายในการนําไปใชทั้งในพิธีกรรมทั่วไปและ พิธีกรรมเฉพาะ ซึ่งจะมีรูปแบบที่แตกตางกันในแตละ กลุมชาติพันธุกลุมใหญในเชียงตุงนั่นเอง
ไก (ระกา) หมา (จอ) ชาง (กุน) และที่สําคัญที่นิยม นํามาถวายเปนพุทธบูชา เพื่อระลึกถึงการเสวยพระ ชาติของพระพุทธเจากอนเปนพระโพธิสัตว และความ หมายอีกนัยหนึง่ เพือ่ อุทศิ ใหกบั ผูล ว งลับดับขันธไปแลว ซึ่งชาวเชียงตุงเรียกวา ตุงจาดรอด มี ๑๓๖ พระชาติ ตุงจาดรอดเปนตุงที่มีความหมายใหรอดพนจากโรคา พยาธิและสรางสมบารมี ความยาวมาก มีถึง ๑๖ คั่น ผูใหขอมูล ๑. นางเกี๋ยงคํา อายุ ๕๓ ป บานปาแดง เชียง และในแตละพระชาติจะมีความหมายถึงเมืองตางๆ ที่ปรากฏในพระชาตินั้น ๆ ทําดวยกระดาษสากวาง ตุง เปนชาวไตเหนอ ไดรับการถายทอดการทําตุงจาก ๑๐ – ๑๒ เซนติเมตร ยาวแตละคั่นประมาณ ๑๐ แมคือ นางมุง อายุ ๘๗ ป เดิมมีอาชีพเปนชางคํา เริ่ม เซนติเมตร เปนรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส แตละคั่นจะปรากฏ ทําตุงตั้งแตอายุ ๒๒ ป ๒. พระสวาทิหนุม เจาอาวาสวัดเชียงขุม เมื่อวัน เปนรูปตางๆ ดังนี้ ที่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ ๒๔ ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
บรรณานุกรม พระมหาสุภาพ จันตะกอง. ความสัมพันธทางพระพุทธศาสนาระหวางเชียงใหม – เชียงตุง พ.ศ. ๒๔๙๑ – ปจจุบนั . วิทยานิพนธศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิจยั และการพัฒนาทองถิน่ (ลานนาคดี) สถาบันราชภัฏ เชียงใหม, ๒๕๔๔. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม. ประเพณีไทยเขิน. เชียงใหม : มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม, ๒๕๔๙. มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย วิทยาเขตเชียงใหม. วิถีไทยเขิน. เชียงใหม : ดาวคอมพิวกราฟก, ๒๕๕๐. อรุณรัตน วิเชียรเขียว และคณะ. พจนานุกรมศัพทลานนาเฉพาะคําที่ปรากฏในใบลาน. เชียงใหม : สุริวงศบุคเซ็นเตอร, ๒๕๓๙. อุดม รุงเรืองศรี. พจนานุกรมลานนา – ไทย ฉบับแมฟาหลวง. เชียงใหม : โรงพิมพมิ่งเมือง, ๒๕๓๔.
ตุงจาดรอด : บานปาแดง
ตุง ๑๒ ราศี บานลื้อ เมืองมา
ตุงพําตาน : บานพาย นครเชียงตุง
ตุงจาดรอด : บานปาแดง
ตุงบานเชียงขุม วัดเชียงขุม เชียงตุง
ผูถายภาพ : นายปุระวิชญ วันตา ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
๒๕
ของกิ๋นบา้ นเฮาแกงผักขี้ขวง (ขี้ก๋วง) ผักขี้ขวง หรือบางแหงเรียก ผักขี้กวง หรือผักสะเดาหิน เปนไมลมลุกชื่อ Glinus Oppositifolius A. DC ในวงค Aizoaceae กินได ใชทํายาได จะออกในฤดูหนาวประมาณเดือนพฤศจิกายน – มกราคม จะขึ้นตาม ธรรมชาติบริเวณชายน้ําใกลทุงนา แกงผักขี้ขวง เปนอาหารพื้นบานที่ออกรสขมนิดๆ นิยมแกงกินรอนๆ โดยมีแคบหมู น้ําพริกน้ําผัก พริกออนยาง ถั่วเนาแข็บยาง เปนเครื่องเคียง
เครื่องปรุง
๑. ผักขี้ขวง ลางใหสะอาด ใสกระชอนใหสะเด็ดน้ํา ๒. พริกแหง ๓ – ๕ เม็ด ๓. เกลือ ½ ชอนชา ๔. หอมแดง ๓ – ๔ หัว ๕. ขา ๕ – ๖ แวนบาง ๆ ๖. ไขไก ๒ ฟอง ๗. ปลายาง หรือปลาชอนแหง ๘. ปลารา ปลากระดี่สับใหละเอียด ๒ ชอนชา ๙. มะเขือเทศลูกเล็ก ๕ - ๗ ลูก ๑๐. ผักชีลางน้ําใหสะอาด หั่นละเอียด
๒๖
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
วิธีทํา ๑.
๒. ๓.
โขลกขา พริกแหง เกลือ ปลารา หอมแดง ให ละเอียด นําเอาปลายาง หรือปลาชอนแหงแกะ เอากางออกตมลงในน้ําเดือด นําขอ ๑ มาโขลกรวมกับเครื่องปรุง แลวนําไป ตมในน้ําตมปลาอีกครั้งหนึ่ง เอาผักขี้ขวงคลุกกับไขไกใหเขากัน แลวลงหมอ ทีใ่ สเครือ่ งปรุงตามขอ ๒ ผามะเขือเทศลงในหมอ คนให เข า กั น ชิ ม รสไม ใ ห เ ค็ ม มาก โรยผั ก ชี ตักรับประทานไดเลย
ผูใหขอมูลแกงผักขี้ขวง (ผักขี้กวง)
ผักขี้กวง
เครื่องปรุง : แกงผักขี้กวง
แกงผักขี้กวง
ผูใหขอมูลและสาธิตวิธีทํา นางไหล โนรินทร อายุ ๘๐ ป บานรองเข็ม ตําบลรองกวาง แพร ผูเรียบเรียง ผศ.จินตนา มัธยมบุรุษ นางปานรดา อุนจันทร
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
๒๗
กระทรวงวัฒนธรรมโดย สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม ไดจัดงานเทศกาลศิลปวัฒนธรรม เชิงสรางสรรคคระดับจังหวัด Creative Province “ซะปะของดี ตามวิถีเจียงใหม” จัดขึ้นระหวาง วันที่ ๒๘ พ.ย. ๕๒ ณ วัดศรีสุพรรณ และวันที่ ๒๙ พ.ย. ๕๒ ณ ขวงประตูทาแพ อ.เมือง จ.เชียงใหม กิจกรรมอาทิเชน ศิลปะการแสดงโขน การแสดงฟอนพื้นเมือง การเสวนา การจัดนิทรรศการผลงานของ ศิลปนแหงชาติและศิลปนรวมสมัย การจําหนายผลิตภัณฑทางวัฒนธรรม ไดรับความสนใจจากผูเขารวม งานกวา ๓๐,๐๐๐ คน
เมือ่ วันที่ ๔ ธันวาคม ๒๕๕๒ ไดมพี ธิ เี ปดศูนยวฒ ั นธรรมอําเภอดอยเตา โดย สส. สุรพล เกียรติไชยากร และทานปลัดพงษพรี ะ ชูชนื่ นายอําเภอดอยเตา ไดใหเกียรติเปนประธานในการเปดศูนยวฒ ั นธรรมอําเภอ ดอยเตา และพิธเี ปดงานมหกรรมของดีดอยเตา โดยทานนายกองคการบริหารสวนจังหวัดเชียงใหมไดกลาว เปดงาน ณ โรงเรียนดอยเตาวิทยาคม ซึง่ เปนการสงเสริมกิจกรรมในศูนยวฒ ั นธรรมไทยสายใยชุมชน อําเภอ ดอยเตา แหลงเรียนรูทางวัฒนธรรม คณะมนุษยศาสตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม ไดจดั งานแสดง ละครแสง เสียง อิงประวัติศาสตรเรื่อง “พระเจาติโลกราช” โดย ไดรับการสนับสนุนงบประมาณ การจัดงานครั้งนี้ จากกระทรวง วั ฒ นธรรม และสภาวั ฒ นธรรมจั ง หวั ด เชี ย งใหม ในการนี้ เจาดวงเดือน ณ เชียงใหม ประธานสภาวัฒนธรรมไดใหเกียรติ เขาชมการแสดงในวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๒
๒๘
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
สํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม ดําเนิน การจัดโครงการสงทายปเกาวิถีไทย พ.ศ.๒๕๕๒ ตอ นรับปใ หมวถิ พี ทุ ธ พ.ศ. ๒๕๕๓ ในวั ใ นที่ี ๓๑ ธ.ค. ๕๒ ในชวงตัง้ แตเวลา ๒๒.๐๐ น. โดยสวดมนตพรอมกันที่ จังหวัดเชียงใหม และเจริญภาวนา ไหวพระสวดมนต เจริ ญ พระพุ ท ธมนต ลั่ น ฆ อ งชั ย ต อ นรั บ ป ใ หม ๑ ม.ค. ๕๓ ณ วัดพระสิงหวรมหาวิหาร และวัดทุก วัดในจังหวัดเชียงใหม มีประชาชน ศาสนิกชนชาว พุทธ พาครอบครัวเขาวัดรวมกิจกรรมทีจ่ ดั ขึน้ จํานวน มาก ไดรับเกียรติจาก วัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม นายไพฑูรย รัตนเลิศลบ เปนประธานในพิธี
วัดศรีสุพรรณในพระอุปถัมภ พระเจาหลานเธอ พระองคเจา ทีปง กรรัศมีโชติ รวมกับเทศบาลนครเชียงใหม สํานักงานวัฒนธรรม จังหวัดเชียงใหม และหนวยงาน องคกร ศรัทธาประชาชนในทองถิน่ ไดรว มกันจัดมงคลพิธเี ทศนมหาชาติเวสสันดรชาดกลานนาสืบชาตา ประจําปเกิด ในงานศรีสพุ รรณาราม รับขวัญปใหม เฉลิมพระเกียรติ ราชวงคจักรี ๒๕๕๓ ระหวางวันที่ ๓๐-๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๒ – ๓ มกราคม ๒๕๕๓ ณ วัดศรีสุพรรณ ถนนวัวลาย อําเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
๒๙
* จังหวัดเชียงใหม โดยความรวม กับเครือขายวัฒนธรรมในพื้นที่ รวมกัน จัดงาน โครงการพุทธธรรมนําสุข วันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๓ ณ พระบรมราชา นุสาวรียสามกษัตริย โดยจะมีการสวด อุปปาตะสันติ (มหาสันติงหลวง) เพื่อให เกิดความเปนสิริมงคลเนื่องในโอกาสขึ้น ปใหม รวมทั้งจัดใหมีการเจริญพระพุทธ มนตในพื้นที่อําเภอตางๆ พรอมกันทั่ว จังหวัดเชียงใหม
* สภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม โดย ดร.เจาดวงเดือน ณ เชียงใหม และขาราชการสํานักงาน วัฒนธรรมจังหวัด รวมงานบําเพ็ญกุศลงานพระราชทานเพลิงศพพระพุทธพจนวราภรณ (จันทร กุสลมหาเถร) เมื่อวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๔๔๓ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ วัดเจดียหลวงวรวิหาร อําเภอเมืองเชียงใหม เมื่อวันที่ ๑๓ – ๑๔ ม.ค. ๕๓ กระทรวงวัฒนธรรม ไดจัดประชุมเชิงปฏิบัติการการมีสวนรวมของที่ ปรึกษาผูตรวจราชการภาคประชาชน ในการตรวจราชการของกระทรวงวัฒนธรรม ประจําปงบประมาณ ๒๕๕๓ โดยมี นางวันเพ็ญ ณ เชียงใหม เปนผูแ ทนประธานสภาวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม เขารวมประชุมดวย มีผูรวมประชุมทั้งสิ้น ๔๕๐ คน จากทุกจังหวัด ณ โรงแรมโบทานิค เชียงใหม รีสอรท อําเภอแมริม จังหวัด เชียงใหม ไดรับเกียรติจาก ดร.ปรีชา กันธิยะ หน.ผูตรวจราชการกระทรวงวัฒนธรรม ดร.เจาดวงเดือน ณ เชียงใหม ไดใหเกียรติเปนคณะกรรมการการตัดสินการประกวดมารยาทไทยและ การสมาคม ในการจัดงานการแขงขันทักษะวิชาชีพโรงเรียนอาชีวศึกษากลุมเอกชนภาคเหนือ ในวันศุกรที่ ๒๒ มกราคม ๒๕๕๓ ณ โรงเรียนลําปางพาณิชยการและเทคโนโลยี จังหวัดลําปาง ทั้งนี้ไดมีนางวันเพ็ญ ณ เชียงใหม รองประธานฯ และนักวิชาการวัฒนธรรมสํานักงานวัฒนธรรมจังหวัดเชียงใหม รวมเปน คณะกรรมการในการตั คณะกรรมการในการ ดสินในครั้งนี้ดวย
๓๐
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
คาวรํ า่ วรําลึกครบรอบชาตกาล า๋ ล ๖๐๐ ปี๋
พระเจาติ า้ ติโลกราช
ยอหัตถา วันตากราบนบ สิ่งที่เคารพ ทั่วภพทั้งสาม นบนอมเทพไธ ทั่วในสยาม ทุกนิคมคาม อารามทั่วหอง จะขอเลาขาน ตํานานถูกตอง เลาเปนทํานอง คาวจอย วาระดิถี ครบปหกรอย พระองคยอดสรอย ราชา “หนึง่ เกาหาสอง” นัน้ สําคัญนักหนา มหาราชลานนา ประสูตมิ าเมือ่ อัน้ เปนราชบุตร เกงสุดเสี้ยงหั้น ขององคราชัน ทานไธ “พญาสามฝง แกน” หนักแนนแตไซร ชือ่ “ลก” ทีไ่ หว เลยนา อันดับที่หก คนถกอูจา ถึงพระปรีชา ปญญารอบดาน บขัดบเคือง การเมืองการบาน มีความเชี่ยวชาญ บนอย ขุนนางติดตาม “นายสามเด็กยอย” หนุนทาว“ลก”หนอย ราชา หื้อปกครองรัฐ เปนกษัตรา แทนราชบิดา ครองลานนาปกปอง “องคที่สิบ”นา ไพรฟาทั่วหอง อยูในปกครอง แตเลา พระนามนัน้ นา ลือชาอดเอา “พระญาติโลกราช”เจา ลือนาม ได“หมืน่ สามลาน” ขุนหาญติดตาม ออกทําสงคราม ปราบปรามทัว่ บาน ราชวงศมังราย ขยายทุกดาน เพราะความเชี่ยวชาญ ทานไธ ศึกที่หาวหาญ รบนานแตไซร รบกับเมืองใต พารา “พระบรมไตรโลกราช” นัน้ สําคัญนักหนา กรุงศรีอยุธยา รบราตอตาน ไดสิบแปดป บมีกลั๋วหยาน รบอยูเมินนาน สุดฤทธิ์ เลยอูจากั๋น ผูกพันเปนมิตร เลิกคิดตอสู โดยดี “พระบรมไตรโลกราช”นั้น ประกาศหยุดตี๋ ทรงผนวชทันที “วัดจุฬามณี” แมนหมั้น ก็เลยหันมา พัฒนาหลายขั้น จัดงานสําคัญ คึกคัก
“วัดมหาโพธาราม” งดงามยิง่ นัก ประจักษแนแจง แตนา พระทรงสรางไว ยิ่งใหญนักหนา ทําสังคายนา ในวัดวาหมดสิ้น สวนประธานสงฆ มั่นคงบปลิ้น ชื่อ“ธรรมทิน” ปาวรอง ในยุคนั้นนา พุทธศาสนาแซซอง ดังไปทั่วหอง ลานนา เมินนานไกลลบิ “เจ็ดสิบแปด” พรรษา ทานก็ไคลคลา จากลาไปจอย สวรรคาลัย นาย,ไพรเศราสรอย เหมือนแสงไฟมอย หมดเจื๊อ นับจากนั้นมา ราชาเอื้อเฟอ ชวยกั๋นกอเกื้อ ปกครอง มาถึงปนี้ เปนปหาสอง ทุกฝายปรองดอง ฉลองใหญกวาง คณะสงฆจังหวัด รวมจัดรวมสราง หลายฝายหลายทาง ชวยก๊ํา ครบหกรอยป พอดีแถมซ้ํา ชวยกั๋นทุกก้ํา ทุกปาย วัดเจ็ดยอดนัน้ รวมกัน๋ หลวงหลาย เจาขุนมูลนาย ทุกฝายรวมเขา จัดกั๋นสุดป พิธีแบบเบา พี่นองหมูเฮา ทั่วทิศ นอมรําลึกคุณ ทําบุญอุทิศ นอมจิตนอมเกลา บูชา กลอนวาตา ขอลาเทาอี้ เทานี้ลวดวางลง กอนแหลนายเฮย ศิริงพงศ วงศไชย รองประธานสภาวัฒนธรรม อําเภอสันกําแพง
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓
๓๑
๓๒
ฉบับที่ ๑๓ มกราคม - เมษายน ๒๕๕๓