รําลึกพระคุณแม
โชคดีที่สุดในโลกที่เกิดเปนลูกแม จารุณี คงศิริวัฒนา ตัง้ แตเกิดมาจนถึงทุกวันนี้ ความรูส กึ ตอพระคุณแมของลูกคนนี้ คงยากทีจ่ ะอธิบายออกมาเปนคําพูด เพราะมันมากมายจริงๆ แมจารุณีเปนผูหญิงสูชีวิต เปน Single Mom เปนคนขยัน อดทน มัธยัสถ ใจดี ใจบุญ มีเมตตา และรักสวยรักงาม ตัวอยาง ของความสูช วี ติ อาทิเชน แมเกิดและโตทีอ่ าํ เภอนางรอง จังหวัด บุรรี มั ย แตพอแตงงานกับเตีย่ (นายสันต คงศิรวิ ฒ ั นา) ก็ตดั สินใจมา ปกหลักทํางานที่เชียงใหม ไกลจากพอแมพี่นองทางภาคอีสาน ซึ่งสวนใหญยังคงปกหลักอยูที่เดิมหรือไมก็อยูจังหวัดใกลเคียง มี แ ม ค นเดี ย วที่ ม าอยู ไ กลที่ สุ ด ในบรรดาพี่ น อ ง ครั้ น พอเตี่ ย เสียชีวิต แมก็ยังสูอดทนสงเสียลูกๆ จนจบการศึกษาระดับ ปริญญาตรี 2 คน ปริญญาโท 3 คน ถึงขนาดทีว่ า ครัง้ หนึง่ กิจการ เสริมสวยที่แมทําเริ่มไมดี แมจึงตัดสินใจไปเรียนตัดผมดวยบัต ตาเลี่ยนหาความรูเพิ่มเติมที่กรุงเทพฯ คนเดียว ทั้งๆ ที่ขณะนั้น อายุ 40 กวาๆ แลว หรือแมกระทัง่ ชวงบัน้ ปลายของชีวติ ทีไ่ มได ทําเสริมสวยแลว แมก็ยังหารายไดพิเศษเพิ่มจากการวิ่งที่ดิน จนถึงขนาดลูกๆ เคยพูดเลนกับแมวา แมรจู กั ทุกซอกทุกมุมของ เชียงใหมมากกวาใครๆ หรือปฏิกิริยาแรกที่หมอวินิจฉัยบอกวา แมเปนมะเร็งระยะสุดทาย แมก็รูสึกเฉยๆ มีแคบนเล็กนอยวา ถารูกอนหนานี้นานๆ จะไดรักษาใหหาย เพื่อจะไดอยูกับลูกๆ นานกวานี้ ใหกินยาสมุนไพร ยาแผนปจจุบันกี่ขนานก็ไมเคยบน
เพราะแมมีความหวังมีกําลังใจที่จะอยูกับลูกๆ ใหนานที่สุด ทัง้ หมดขางบนนี้ สําหรับคนอืน่ อาจจะมองวาเปนเรือ่ งธรรมดา ใครๆ เขาก็ปฏิบตั กิ นั แตสาํ หรับตัวลูกแลว สิง่ ทีแ่ มทาํ มาทัง้ หมด ตลอดชีวติ ถือเปนโชคดีทส่ี ดุ ในโลกทีไ่ ดเกิดมาเปนลูกของแม สุดทายนี้ ดังคําทีพ่ ระพุทธเจาสอนพุทธศาสนิกชนใหรวู า เกิด แก เจ็บ ตาย เปนเรื่องปกติ ดังนั้นแมวาแมจารุณีจะไมไดอยูกับ ลูกๆ แลว แตลูกคนนี้มีความเชื่อวาคงมีสักวันที่เราแมลูกจะได พบเจอกันอีกแนนอนในอนาคต หลับใหสบายนะแม ตี๋ชัย
รําลึกพระคุณแม “พระคุณแม” แทจริงยิง่ ใหญไพศาลเกินกวาทีจ่ ะเขาใจดวย คําพูดหรือคําอธิบายดวยตัวหนังสือใดๆ หากแตเขาใจไดดวย จิตผูรูที่มีอยูในตัวตนของเราทานทั้งหลาย การฝกจิตใหเปยม ดวยสติความระลึกไดจึงเปนหนทางที่จะเขาใจถึงพระคุณแม อยางแทจริง การจัดพิมพหนังสือ “ทุกข....ไมตองบนอดทน เอา” มี วั ต ถุ ป ระสงค ห ลั ก เพื่ อ เผยแพร สั จ ธรรมคํ า สอนของ หลวงปูสิม พุทธาจาโร อริยสงฆแหงสํานักสงฆถ้ําผาปลอง อ.เชียงดาว จังหวัดเชียงใหม ทั้งนี้เพื่อเปนการตอบแทนคุณ และรําลึกถึงแมผูใหชีวิตและการดํารงอยูตามสายธารแหงธรรม ของลูกทุกคน การปฏิบัติตนทามกลางสายธารแหงธรรมเพื่อ นําตนไปสูความประเสริฐไมวาจะดวยหนทางใดจึงนับเปนการ ทดแทนพระคุณแมเชนกัน การรําลึกพระคุณแมควรเจริญให เกิดขึ้นในทุกขณะจิต ทุกลมหายใจเขาออก มิใชรําลึกไดเมื่อ ทานจากไปแลว หนังสือเลมนี้จึงไมไดมีจุดมุงหมายในการจัด พิมพเพื่อเปนอนุสรณในยามที่ทานจากไปเพราะยามนั้นทาน จะไมมีโอกาสไดรับรูในเจตนาอันเปนกุศลนี้ ทุกคนลวนมีความ ตายติ ด ตั ว มาตั้ ง แต เ กิ ด หากฝ ก จิ ต ให ดี จ ะรู ค วามจริ ง ว า เรา ตายอยูทุกเวลา ตายทีละนอย นับถอยหลังเพื่อละทิ้งสังขาร จากโลกนี้ ไ ปอยู ทุ ก เวลา ให แ ม ไ ด รั บ รู ใ นขณะที่ ยั ง มี ชี วิ ต อยู วาทานเปนแรงบันดาลใจในการจัดพิมพหนังสือเพื่อใหธรรม เปนทานดีกวาจัดพิมพเปนอนุสรณเมื่อทานจากโลกนี้ไปแลว ผูจัดพิมพไดกราบขออนุญาตจากพระอาจารยเมธา สุเมโธ ในการจัดพิมพและไดรับเมตตาจากทานใหนําจัดพิมพเผยแพร
ได “ทุกข....ไมตองบนอดทนเอา” จัดพิมพครัง้ แรกเมือ่ ป พ.ศ. 2537 ผูจ ดั พิมพเห็นวาเปนมรดกธรรมทีล่ กึ ซึง้ ทวาเขาใจงายและ ชวนติดตามยิง่ จึงจัดพิมพขน้ึ ใหมเพือ่ เปนอานิสงสแกแมและผูน าํ ธรรมคําสอนของหลวงปูไ ปประพฤติปฏิบตั ใิ หเจริญจิตยิง่ ขึน้ ตอไป พฤษภาคม 2552
ประวัติแมจารุณี คุณแมจารุณี คงศิรวิ ฒ ั นา เกิดเมือ่ วันอังคารที่ 20 กุมภาพันธ 2482 ที่บานตําบลนางรอง อําเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย บิดา มารดาชือ่ นายเชีย่ ว นางนกแกว ชุณหะวิเชียร มีพนี่ อ งทัง้ หมด 5 คน เปนหญิง 4 คน ชาย 1 คน คุณแมเปนลูกคนที่ 4 ของครอบครัว สมรสกับนายสันต คงศิริวัฒนา มีบุตรธิดารวมทั้งหมด 5 คน คนที่ 1 นางสาวประภัสสร คงศิริวัฒนา วุฒิการศึกษา ปริญญาโทบัญชีมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม อาจารย ประจําแผนกบัญชี วิทยาลัยเทคนิคลําพูน คนที่ 2 นางดรรชนี คงศิริวัฒนา วุฒิการศึกษาปริญญา โทวิศวกรรมศาสรมหาบัณฑิต สาขาสิ่งแวดลอม จุฬาลงกรณ มหาวิทยาลัย ผูอํานวยการโครงการ บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอน จิเนียริ่ง แอนด แมเนจเมนท จํากัด คนที่ 3 นางศิริพร รักษวรรณวงศ วุฒิการศึกษาปริญญาตรี ศิลปศาสตรบณ ั ฑิต (นิเทศศาสตร) วิทยาลัยครูเชียงใหม ประกอบ ธุรกิจสวนตัว
คนที่ 4 นายศิริชัย คงศิริวัฒนา วุฒิการศึกษาปริญญาตรี บัญชีบัณฑิต มหาวิทยาลัยเชียงใหม ผูจัดการฝายโปรแกรมมิ่ง บมจ. เมเจอรซีนีเพล็กซ กรุป คนที่ 5 นายวัชรชัย คงศิริวัฒนา วุฒิการศึกษาปริญญาโท วิทยาศาสตรมหาบัณฑิตเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัย เทคโนโลยีพระจอมเกลาพระนครเหนือ อาจารยประจําภาควิชา เทคโนโลยีสารสนเทศ คณะเทคโนโลยีและการจัดการอุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลาพระนครเหนือ
รูจักแมจารุณีของเรา คุณแมประกอบอาชีพเปดรานเสริมสวย เปนคนใจบุญ ขยัน ขันแข็ง อดทน ไมเคยหยุดนิง่ แทบจะเรียกไดวา 365 วันไมเคยมี วันหยุด ทุกนาทีของชีวิตเปนนาทีที่มีคา นอกจากการที่แมสนุก กับการทํางานและการสรางรายไดเพื่อครอบครัวแลว ในขณะ เดียวกันยังมอบ ความหวงใย ความรักและความอบอุน ใหแกลกู ทุก คนอยูเ สมอ ไมวา ลูกคนใดประสบอุปสรรค ปญหา แมเปนคนแรก ทีเ่ ขามารวมเผชิญปญหา ชวยเหลือ ใหกาํ ลังใจ เพือ่ ฝาฟนปญหา นัน้ ใหลลุ ว งไปได ชวงเวลาสวนใหญของชีวติ ทีผ่ า นมา แมเปนผูม ี สุขภาพแข็งแรงมาโดยตลอด แมเปนผูดูแลสุขภาพของตนเอง อยางดี พบแพทยและตรวจสุขภาพสม่าํ เสมอ จนกระทัง่ เมือ่ เดือน กันยายน 2551 ไดประสบอุบตั เิ หตุแขนซายหัก หลังจากนัน้ คุณแม เริม่ มีอาการไอแหงบอยๆ จึงไดไปพบแพทย ผลการตรวจอาการ วินิจฉัยอยางละเอียด พบวาแมเปนมะเร็งที่ขั้วปอดขวาระยะ สุดทาย ทําใหครอบครัวตกใจกับผลการตรวจที่ขัดแยงกับการ
ดูแลสุขภาพที่ผานมา ราวกับวาพระเจาทานปดซอนอาการที่แท จริงและเปดเผยใหเราไดรับทราบในวันนั้น แตแมก็มีจิตใจที่เขม แข็งยอมรับกับสิง่ ทีเ่ กิดขึน้ พรอมกับการแผเมตตา การสวดมนต ตอจากนั้นโรครายไดลุกลามเขาสูกระดูกกนกบและลามมาที่เขา ขางซาย อยางไรก็ตามแมก็ยังมีความเขมแข็งเชนเดิม เพียงแต ความเจ็ บ ปวดที่ ข าข า งซ า ยนั้ น เริ่ ม ทํ า ให ยื น และเดิ น ไม ไ ด ถึงกระนั้นแมก็ยังตอสูกับความเจ็บปวด และยังสอนลูกใหรักกัน ชวยเหลือซึ่งกันและกัน ใหลูกมีเมตตา เอื้อเฟอเผื่อแผแกผูอื่น ชวยเหลือผูด อ ยกวา ไมเอาเปรียบผูอ นื่ อยางเชนทีเ่ ราเห็นตัวอยาง ทีแ่ มปฏิบตั ติ ง้ั แตเล็กจนโต จนกระทัง่ ในทีส่ ดุ แมตอ งทนทุกขเวทนา กับความเจ็บปวด จนถึงวาระสุดทายของชีวิต สุดทายนี้ ดังคําสอนของพระพุทธเจาตอพุทธศาสนิกชน ใหตระหนักถึงการ เกิด แก เจ็บ และตาย เปนเรื่องปกติ ดังนั้น แมวาแมจะไมไดอยูกับลูกๆ แลว แตลูกทุกคนเชื่อวาคงมีสักวัน ที่เราแมลูกจะไดพบเจอกันอีกแนนอนในอนาคต จากลูกทุกคน หลี หลิน แมว ตี๋ชัย ตี๋บอย
กิจกรรมเชงเมงของครอบครัว
หลี แม ตี๋ชัย บอย แมว เชงเมงหนากูเตี่ย
หลิน แม หลี แมว
พวกเราไหวกูเตี่ย ที่วัดผาขาว
แมสอนใหไหวเจาที่
ตี๋ชัยเชียรแมสูสู บอยเอาใจชวย
เจหลีพาแมไหวพระทําบุญ
พระบอยขอบวชใหแมชื่นใจ
ตรุษจีนแมสอนลูกใหตองทําตามธรรมเนียมจีน
รวมยินดีที่ลูกแมวแตงงาน
ตัดผมใหลูก ตั้งแตเล็กจนโต
แมไปกรุงเทพฯ รักษาแบบแพทยแผนไทย ฟูฟูมาสงอามากลับเชียงใหมที่ดอนเมือง
ทุกข...
ไมตองบน อดทนเอา
มรดกธรรม
หลวงปูสิม พุทธาจาโร สํานักสงฆถําผาปลอง อําเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม
คํานํา “ทุ ก ข . ...ไม ต อ งบ น อดทนเอา” เป น คํ า สอนของหลวงปู ที่ ผู จั ด ทํ า ได นํ า มาตั้ ง เป น ชื่ อ หนั ง สื อ เล ม นี้ คํ า สอนและหลั ก ปฏิ บั ติ ที่ ป รากฎเป น ตั ว อั ก ษรทั้ ง หมด ผู จั ด ทํ า ได ตั ด ตอน เรียบเรียงมาจากเทปธรรมเทศนาของหลวงปูและจากหนังสือ พุทธาจาโรลิขิต ซึ่งเปนหนังสือรวบรวมธรรมคําสอนที่หลวงปู ทานไดบันทึกไวดวยลายมือทานเอง แม ว า หลวงปู ท า นจะได ล ว งลั บ ไปแล ว ก็ ต าม แต สิ่ ง ที่เหลือไวนั้นนับวาเปนสิ่งที่ทรงคุณคายิ่ง ไดแก มรดกธรรม อั น ประเสริ ฐ เปรี ย บดั ง แสงประที ป ส อ งนํ า ทางไปสู ค วาม หลุ ด พ น แห ง สมมติ โ ลกทั้ ง หลาย จึ ง ควรที่ ส าธุ ช นทุ ก ท า น จะได น อ มนํ า ไปประพฤติ ปฏิ บั ติ ดํ า เนิ น ไปตามแนวทาง ที่ ห ลวงปู ท า นได มี เ มตตาจุ ด ประที ป ธรรมส อ งนํ า ทางไว ใ ห “แสงสว า งแห ง ดวงประที ป ธรรมที่ ส อ งกลางใจเราท า น ทั้งหลายนี้ ยอมเปนไปเพื่อความเจริญรุงเรืองแหงชีวิตที่ แทจริง” ผูจัดทํา
ประวัติยอหลวงปู หลวงปูเปนบุตรของนายสาน และนางสิงหคํา วงศเข็มมา เกิดวันศุกรที่ 26 พฤศจิกายน 2452 เวลา 21.00 น. ที่บานบัว ตํ า บลสว า ง อํ า เภอพรรณานิ ค ม จั ง หวั ด สกลนคร มี พี่ น อ ง ร ว มบิ ด ามารดารวม 10 คน บรรพบุ รุ ษ ของชาวบ า นบั ว เปนชาวภูไทอพยพมาจากเมืองบก เมืองวัง ประเทศลาว สกุล วงศ เ ข็ ม มาของหลวงปู เ ป น สกุ ล เก า แก ส กุ ล หนึ่ ง ของบ า นบั ว หลวงปูไดบรรพชาเปนสามเณร เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2469 ณ อุโบสถวัดศรีรัตนาราม บานบัว โดยมีพระอาจารย สี ท อง สอนวงศ ษ า เป น พระอุ ป ช ฌาย ต อ มาเมื่ อ กองทั พ ธรรมของหลวงปู มั่ น ภู ริ ทั ต โต ได เ ดิ น ทางมาเผยแพร ธ รรม ปฏิ บั ติ ที่ วั ด ศรี ส งคราม ตํ า บลสามผง อํ า เภอศรี ส งคราม จังหวัดนครพนม หลวงปูจึงไดมีโอกาสเขาฟงธรรมจากทาน พระอาจารย ใ หญ จนบั ง เกิ ด ความเลื่ อ มใส ตั ด สิ น ใจถวาย ตั ว เป น ศิ ษ ย แ ละได ข อญั ต ติ ใ หม เ ป น ธรรมยุ ติ ก นิ ก ายโดยมี หลวงปูม นั่ เปนประธาน และมีทา นเจาคุณธรรมเจดีย (จูม พันธุโล) เปนพระอุปชฌาย ณ วัดปาบานสามผง อําเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม เมื่อหลวงปูอายุครบบวชจึงไดเขาพิธีอุปสมบท ณ วัดศรี จันทราวาส ตําบลพระลับ อําเภอเมือง จังหวัดขอนแกน ในวันที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2472 โดยมีทานเจาคุณพระเทพสิทธาจารย (จั น ทร เขมิ โ ย) เป น พระอุ ป ช ฌาย และมี พ ระอาจารย สิ ง ห ขั น ตยาคโม เป น พระกรรมวาจาจารย พระปลั ด ดวงจั น ทร หลวงปูสิม พุทธาจาโร
15
เปนพระอนุสาวนาจารย ไดฉายาวา “พุทธาจาโร” หลวงปู ไ ด รั บพระราชทานสมณศักดิ์ที่ “พระครู สั น ติ ว ร ญาณ” เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2502 จนกระทั่งในป พ.ศ. 2503 หลวงปูไดธุดงคตามปาเขาเขาสูเขตดอยเชียงดาว และไดพบ ถ้ําผาปลองในปนี้เอง กระทั่งในป 2510 หลวงปูไดเริ่มพัฒนา ถ้าํ ผาปลอง เปนทีพ่ าํ นักสงฆ หลวงปูไ ดรบั พระราชทานสมณศักดิ์ ที่ “พระญาณสิทธาจารย” เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2535 และ ไดมรณภาพ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2535 รวมสิริอายุ 82 ป 9 เดือน 19 วัน อายุพรรษา 63 พรรษา
16
ทุกข...ไมตองบน อดทนเอา
แสงประทีป
ผูเขาถึงอริยะสัจธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจา ไดแกผูไม ยึดในขันธ เชนผูเห็นทุกขในทุกข เห็นธรรมในธรรม ตามความ เปนจริง พระธรรมแสงประทีปนั้นแจงเสมอ เปนของกลาง ผูใด จะยึดเอามาเปนเจาของครอบครองไมได
แกจากใจ
“การละ” ไม มี ก ารกั ง วล ไม รุ ง รั ง ใจ ว า งใจ เบาใจ ไม ห นั ก ใจ แกะออกจากใจ แก อ อกจากใจ ไม นํ า มามั ด ใจ เปาะไหน ปมไหน ปุ ม ไหน เป า ไหน มั น ยั ง ส ง ใจออกไป เกาะอยู ก็ จ งพยายามแก อ อก อย า ไปหลงเชื่ อ ใจดวงนั้ น ที่จะชักนําจูงเราไปสูความไมเที่ยง เปนทุกข เปนอนัตตา
กอนกรรมฐาน
พระธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ หากหลงก็จะมัว ไปตามหาอยู ใ นโลก จึ ง ย อ ลงมาใกล ๆ กรรมฐานก อ นกาย กองกระดู ก ตน เรี ย กว า “พิ จ ารณาตน” ขุ ด ค น อยู ใ นก อ น กรรมฐานที่ มี อ ยู ใ นกายนี้ หากค น พบ เรี ย กว า “สั จ ธรรม” เห็ น ทุ ก ข ค น หาสาเหตุ ข องความทุ ก ข ดั บ ทุ ก ข ละกิ เ ลส ปลอยวาง “พระธรรมแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธก็ไดแกพระนิพพาน”
หลวงปูสิม พุทธาจาโร
17
แบก
ผูใดแบกขันธ ผูนั้นแบกความโง ผูใดยึดในขันธ ผูนั้นยึดเอาความทุกข ผูที่ยังแบกเอาทั้งความโงและความฉลาด ผูนั้นยิ่งหนัก
เมตตาตน
เมตตาตน สงสารตน อยานําตนสูทางที่เสื่อม อยาประพฤติ ตนไปในทางที่เสื่อม คําวาเสื่อมคือจิตใจไหลลงสู ทิฏฐิ อวิชชา ลามก ตกต่ํา ดํามืด
ดูอื่นนอกตน
หากเขาใจรู “ไมยึด” หากยึดตัวอวิชชาก็ไมรู ไดแกความไม แจงแหงตนของตน เหตุวาตนของตนไมพิจารณาตน มัวไปดูอื่น นอกตน นําสายตาออกไปเที่ยวดูนอกใจ ตนก็ออกติดตาม ขาด การสังวร ไมสาํ รวมตน จึงตกอยูใ นความมืด เรือนอวิชชา ตัณหา มืดเมา
บาป-บุญ
เกิ ด จากจิ ต เป น บาปจึ ง ทํ า บาป เกิ ด จากจิ ต เป น บุ ญ จึงทําบุญ บาป-บุญ ดีชั่ว หยาบหรือละเอียด ปราณีต หรือ เลวทราม ตนนั้นแลเปนผูรู ผูรับผลของกรรมที่ตนทํามา
18
ทุกข...ไมตองบน อดทนเอา
ไมเปนอะไร
คําวา “ตนตั้งอยูตรงไหน” ไดแก ผูไมหลงตน ผูไมสําคัญ ว า เป น นั่ น เปนนี่ ไมมีการยึดในอุปาทาน หากยั ง แสดงตน อวดวาเปนคนเฉย ๆ ไมโง ไมฉลาด ก็คอื ผูแ สดงทิฎฐิในตน ธรรม ทีส่ าํ คัญตนเอาวา ตนรู ตนเห็น ธรรมอุปาทาน ธรรมโมหะ ธรรม สําคัญตนวาเปนผูเห็นธรรมเรียกวา “ธรรมอวิชชา”
ทางหลุดพน
พระสัมมาปญญาไดแกปญญาอันบริสุทธิ์ จะหลุดพนไปได ก็ดว ยปญญามิใชพน ดวยทรัพย จะกาวถึงองคอริยมรรค อริยผล ได ก็เนื่องมาจากการละกิเลส ทุกสิ่งเปนเพียงสมมติ เพียงอาศัย เปนอาการอยางนั้น อาการอยางนี้ เปนเพียงอาการของธรรม นอมนํามาประพฤติตนใหบริสุทธิ์ หลุดพน หางไกลกิเลส
ธรรมปฏิบัติ
ธรรมขั้นปฏิบัติ ขัดใจ ชําระจิต ใหบริสุทธิ์ผองใส ไดแกผูมี ความพยายามละ ราคะ โทสะ โมหะ ใหเบาบาง หมดไป สิ้นไป ละ แลว เบา ปลอย แลว บาง วาง แลว ไมหนัก
หลวงปูสิม พุทธาจาโร
19
สําคัญที่ใจ
ใจนั้นแลตัวสําคัญจะจูงเราไปตกนรกก็ใจนั้นแล จะทําความ ชั่วก็ใจนั้นแล ใหรักษาใจตน อยาปลอยไปตามใจชอบหรือไม ชอบ อยาเชื่อความหลง ไมหลงตามใจตน มีขันติ อดทน ยับยั้ง ไมเอนเอียงไปกับสิ่งธรรมดาใดๆ ทุกอารมณ ดวยความบริสุทธิ์ โดยทุกประการ
สุขที่แท
กายจะเบาได ก็ เ นื่ อ งมาจากใจละกิ เ ลส วาจาจะเบาได ก็เนื่องมาจากใจละกิเลส จิตจะเบาบางได ก็เนื่องมาจากใจ ละกิ เ ลส จะอยู ต รงไหนสถานใดก็ เ ป น สุ ข จะมาก็ เ ป น สุ ข ยืน เดิน นั่ง นอน ก็บริสุทธิ์ เปนสุขที่ไมมีทุกขเจือปน
เห็นอยางไร
“เห็นทุกขในทุกข” เห็นอยางไร “เห็นทุกขในทุกข” “ทุกข” เกิดจากอะไร อะไรกอใหเกิดทุกข “สมุทัย” สาเหตุแหงทุกข ใหคนหาสาเหตุ “นิโรธ” คือการดับทุกข หยั่งรูญาณทัสนัง “มรรค” ทางแหงอริยผล หมายถึง ชําระจิต “จิตที่ชําระดีแลว สูทางแหงวิมุติ”
20
ทุกข...ไมตองบน อดทนเอา
ขามทุกข พนสุข
ผู ป ฏิ บั ติ โ ดยมากมั ก ติ ด สุ ข คื อ ได ญ าณแล ว มั ก ติ ด อยู ในญาณ ไม มี ค วามพยายามข า ม ก็ เ นื่ อ งมาจากความหลง มาจากอุปาทาน ยึดในสิ่งที่เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เมื่อติด ก็หลง เมื่อหลงก็ติด เรียกวา โมหะ คือ ความหลงเขาครอบงํา อวิชชาเขาปดบัง จึงมองไมเห็นแสงสวาง คือ ดวงธรรม
ใครจะชวย
จิตมืดก็มองไมเห็นจิตตน จิตเบา จิตหลง จิตชั่ว จิตไหล ลงสูแองน้ําเนาที่สกปรกไปดวยยางราคิน แลวจะไปรองเรียก หาพระอรหันตใหลงไปชวยฉุด ชวยดึง จะไดมาแตไหน ก็พระ อรหันตปนผูไกลจากกิเลส บริสุทธิ์ หลุดพนจากมลทินเครื่อง เศร า หมองแล ว พระอรหั น ต ที่ ไ หนจะมาฉุ ด ช ว ยคนที่ มี จิ ต รั่วไหล หลงไปในที่ต่ํา
เห็นธรรม
หากยั ง สํ า คั ญ ว า ตนเห็ น ธรรมแล ว ก็ คื อ ผู ยึ ด เอากิ เ ลส ผูอยูกับกิเลส ยึดเอากิเลสก็ไดตัวกิเลสนั่นแหละเขาไปปกครอง ใจ จึ ง เข า ไม ถึ ง พระธรรม จะให เ ข า ถึ ง พระธรรมได อ ย า งไร “พระธรรมไม เขาใกลกิเลส” หากไมละกิ เ ลสแล ว พระธรรม ไม เ ข า ใกล เหตุ ว า พระธรรมของพระสั ม มาสั ม พุ ท ธเจ า อยู หางไกลจากกิเลสเครื่องเศราหมอง
หลวงปูสิม พุทธาจาโร
21
หนา - หยาบ – อับ
“กิเลสหนา ปญญาหยาบ” ทําใหเศราหมอง ไมผองใส เนือ่ งมาจากการปลอยใจตนใหชวั่ ไหลลงสูก ระแสต่าํ เปนหนทาง ที่นําไปสูทุคติ “กิเลสหนา ปญญาอับ” เนื่องมาจากจิตหนา จิตแนน จิตเหนียวไปดวยยางกิเลส
รากเหงา
ละ ราคะ โทสะ โมหะ ไมหวั่นไหวไปตามอารมณที่ผาน เขามากระทบ มีสติรูทันกับเหตุการณ เกิดตรงไหน ดับตรงนั้น กิเลสเกิดที่ใจ ก็ดับที่ใจ ไมปลอยใจออกไปกังวลกับสิ่งที่เปน อารมณที่ไรสาระ หากละราคะอันเปนเหตุเบื้องตนไดแลวไม ยากเลย ละรากเหงาของกิเลสไดแลว กิง่ กาน สาขามันก็ตายสิน้
เหมือนแตไมเหมือน
คนจน คนมี คนดี คนชั่ว คนมียศถาบรรดาศักดิ์ คนไมมี ยศถาบรรดาศักดิ์ คนสูง ต่ํา ดํา ขาว เจก มอญ แขก ฝรั่ง อะไร เหล า นี้ ล ว นมี อ ยู ใ นโลก หรื อ จะมี ดี อ ะไรยิ่ ง ไปกว า นี้ คนเรา เกิดมามีดี มีไมดี คนเราตายไป มีดี มีไมดี คนดีก็ตาย คนไมดี ก็ตาย ตายเหมือนกัน แต “ตายไป” ไมเหมือนกัน
22
ทุกข...ไมตองบน อดทนเอา
ละใจ
สมาธิจะตั้งมั่น ก็เนื่องมาจากความบริสุทธิ์ดวยศีล ศีลเปน บาทเบื้องตนของสมาธิ สมาธิจะตั้งมั่น ไมหวั่นไหว ก็เนื่องมา จากการละกิเลส ปลอยวาง เพื่อความบริสุทธิ์อยูเนืองๆ “ไมยึด ไมหลง” สังวรศีล มิใชเปนเพียงปรารถนาเอาแตปาก หากใจ เปนผูละกิเลส ไมยึด ไมหลง ปลอยวาง
ทุนเกา
ทีเ่ กิดมาร่าํ รวย มัง่ มีในชาติปจ จุบนั นี้ ก็เนือ่ งมาจาก “นาบุญ” ที่ทํามาแตกาลกอนชาติอดีตตามมาใหผลคือ “บุญ” เมื่อเราเชื่อ มัน่ วาบุญมีจริง เราเกิดมาแลวในปจจุบนั นี้ คือลมหายใจอยูเ วลา นี้ อยามานอนกิน “ทุนเกา” อยาอยูม ดื ใหมองแสวงหาแสงสวาง คือ “ศีลธรรม” ไมเปนผูประมาทในชีวิตที่เกิดมา
เนื้อนาดี
จงทําแตความดีทกุ ลมหายใจเขา-ออก หากยังเวียนวายตาย เกิดอยูในภพในชาติ ก็จะเปนผูมีทุน คือ “นาบุญ” เปนเนื้อหนอ นาดี ไมมานั่งกินทุนเกาที่เราทํามาแลว หมั่นประกอบกระทํา “เนือ้ นาดี” คือ ทําบุญ ใหทาน รักษาศีล ภาวนา เกิดมาอีก “ทุน” นั้น ตามสนองเปนคนหูดี ตาดี มีสติ ปญญา
หลวงปูสิม พุทธาจาโร
23
ดับสนิท
ไมวาสิ่งใดในรูป เวทนา สัญญาตางๆ ดับใหสนิท สังขาร วิญญาณก็ดับไมเหลือเชื้ออีก อดีต อนาคต ปจจุบัน ก็ดับไป ไมสงเสริมเชื้อไฟเหลานี้อีก ไดแก ไมยอนใจกลับไปคํานึงถึง ไมถอยหลังกลับมาที่เกา
รูอยูคือหยุดดู
ดวยเหตุแหงอวิชชาปกปดใจ จึงมีไมแจง มีแตความหลง ความไมปลอยวาง คือ ตัวทิฏฐิภายในใจตนที่ยึดในอุปาทาน ไมทําตนใหแจง จึงตกอยูในความฝนแหงเงามืด คือ หลงโลก หลงทาง งมงาย
รั้วแกว กําแพงเพชร
“สติ” คือ ความระลึกอยูกับ “ผูรู” ไมหลง “สัมปชัญญะ” คือผูกํากับการควบคุมสติ จิตไมเลินเลอออกนอกกรรมฐาน “สติกับจิต จิตกับสติสัมปชัญญะ” เปนรั้วแกว กําแพงเพชร
หลงโลก
เมื่อตนไมประพฤติตามพระธรรมคําสอนของพระพุทธเจา ก็ยังหลงวาโลกยังจะมีสิ่งที่ดียิ่งอีก ใจลังเล ใจสงสัย ยังเดิน วนเวียนแหวกวายอยูในเมืองที่ไมพอแหงกงเกวียนของกงกรรม หากตนหลงลังเล สงสัยอยู ยากนักที่จะเขาใจในพระธรรม
24
ทุกข...ไมตองบน อดทนเอา
ไมละ
เหตุที่ผูปฏิบัติไมละราคะ ตัวสําคัญในโลก จึงทําใหเกิด โทสะโมหะ เกิดทิฏฐิมานะ ถือตน ถือตัว ถือเรา ถือเขา วามีจริง มีจังในโลกตางๆ แหงความหลงอันมึนเมาแหงจิตใจ ผูละราคะ คือผูละทิฏฐิ ผูละทิฏฐิ คือผูละอวิชชา ไดแก ความไมหลง
ไหวพระ
“ไหวพระ” มิใชสงใจออกไปหาพระที่ตั้งอยูในโบสถวิหาร หรือพระสถูปเจดีย ไหวมสี ติ สวดมีสติ บูชามีสติในตนอยูเ นืองๆ เสมอๆ “ไหว ต รง น อ มให ต รง สวดให ต รง” ก็ ห มายถึ ง สติ มี ส ติ รู อ ยู ใ นตน ไม ป ล อ ยใจให เ พลิ ด เพลิ น ไป ไม ส ง ใจออก ไปหาพระพุทธรูปภายโบสถ นอกโบสถที่ไหน ก็พระพุทธรูป ทานจะลุกขึ้นมาชวยละกิเลสใหเราไดอยางไร ก็ทุกรูปนิ่งสงบ ไมมีทุกขเดือดรอนแตประการใด “ผูไมละกิเลสตางหากเปน ผูเดือดรอนวุนวาย”
สายกลาง
ปฏิบัติสายกลางไมถอยหลัง ดําเนินตามองคอริยมรรค 8 มีสมาธิตั้งมั่น ไมหวั่นไหวไปตามอารมณที่ชอบ หรือไมชอบ ไมยินดียินราย ตั้งจิตใหตรง ดํารงสติใหมั่น อุเบกขาเปนกลาง วางเที่ยงปฏิปทาธรรมสายกลาง สํารวมตน สังวรอินทรีย
หลวงปูสิม พุทธาจาโร
25
เปนของทุกคน
ชาติ ชรา พยาธิ มรณะ ทุกข สมบัติเหลานี้เปนของมนุษย ทุกคน ทุกรูป ทุกนาม ไมเลือกวา คนชั่ว คนดี คนมี คนจน มีอยูประจําตนทุกรูป ทุกนาม หนทางที่พระพุทธองคคนพบ ที่ จ ะข า มออกจากวั ฏ ฏะทุ ก แห ง นี้ มี อ ยู ใ นอริ ย ะสั จ ธรรมทั้ ง 4 ประการ ไดแก “ทุกข สมุทัย นิโรธ มรรค”
สิ่งเดียวกัน
ทุ ก ข อ ยู ต รงไหน ผู ใ ดเป น ผู เ ห็ น ทุ ก ข เมื่ อ ติ ด อยู ใ นสุ ข ไม พ น ทุ ก ข ไปยึ ด เอาสุ ข เวทนา ทุ ก ข เ วทนาก็ ต ามติ ด ไม มี หางกันได แยกกันไมออกเพราะเหตุเนื่องมาจากของไมเที่ยง เปนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เวทนา ทุกขๆ สุขๆ เหลานี้มัน เป น ของคู กั น มาด ว ยกั น หากวางสุ ข ไม ไ ด ทุ ก ข ก็ ว างไม ไ ด หากเราติ ด สุ ข ก็ คื อ ติ ด ทุ ก ข นั้ น เอง หากเราหลงสุ ข ก็ คื อ หลงทุกขนั้นเอง
ตะแกรงรอนทอง
ประตู นิ พ พานเปรี ย บเหมื อ นตะแกรงร อ นทองคํ า ผู ที่ มี กิ เ ลสเครื่ อ งเศร า หมอง หมกดองอยู เปรี ย บเหมื อ น โค กระบือ ตนไหนรอดพนชองตะแกรงไปได ตนนั้นก็เรียกวาเขา ประตูนิพพานได หมายถึงละกิเลสภายในสันดานตนเบาบาง หมดสิ้ น ไป ผู ที่ ห ลุ ด พ น จากกิ เ ลสเป น ผู รู แ จ ง เห็ น ตามความ เปนจริง 26
ทุกข...ไมตองบน อดทนเอา
โลกภายใน
“โลกภายใน” หมายถึงตน คําวาตนก็ไดแก กาย วาจา ใจ ของตน เรี ย กว า ตนที่ ม าเกิ ด แก เจ็ บ ตาย เปลี่ ย นแปลง แปรปรวน ยักยาย ผันแปร อยูทุกกระบวนการ ทุกลมหายใจเขา หายใจออก เกิดขึน้ ตัง้ อยู ก็เสือ่ มไปเปนธรรมดา ทุกกาล ทุกเวลา
ไหวศีล
“ไหวถึงศีล” แลวหรือยัง ศีลอยูกับใคร หากครู-อาจารย เปนผูมีศีล ทานก็เปนผูรักษาศีลของทานเอง มิใชผูอื่นมารักษา ให หากตนไม มี ศี ล จะไปไหว ข อศี ล เอากั บ ใคร รั บ มาแล ว ก็ ใหตนอยูในศีล ไมประพฤติผิดศีล ครู-อาจารยทานไมไดติดตาม มาชวยรักษาให ศีลมิไดอยูก บั หลวงพอ หลวงตาโนน อยูท ผี่ รู กั ษา ตนอยูในศีล ตนไมผิดศีล เรียกวา “ผูทรงศีล”
ยุติธรรม
“บาปกรรม” ยุติธรรมตอผูประพฤติตน จน มี ดี ชั่ว ขึ้นอยู กั บ ผู ทํ า กรรมมา หากหนี ก รรมชั่ ว ได คนเราเกิ ด มาดี ทั้ ง นั้ น ไมมีใบ บา บอด หนวก เสียจริตผิดมนุษยธรรมดา กรรมเปน เผาพันธุจะเลือกที่เกิดได ก็สุดอยูที่กรรมตามสติปญญา
หลวงปูสิม พุทธาจาโร
27
พึ่งตน
พึ่ ง กั น ภายนอก เรื่ อ งที่ อ ยู อ าศั ย อาหารคาวหวาน เครื่ อ งนุ ง ห ม ยารั ก ษาโรค พยาธิ เหล า นี้ พอช ว ยกั น ได เรื่องภายนอกธรรมดา ๆ สวนการที่จิตจะบริสุทธิ์นี้ “อัตตาหิ อัตตโน นาโถ” ตนนั้นแลเปนที่พึ่งของตน หากเราไมปฏิบัติ ละกิเลส พระอรหันตที่ไหนเลาจะมาชวยใหเราพนทุกขได
วางสุข ทุกขวาง
จะมายึดอาแตสุข ที่ไหนเลาจะได “ไมมี” หากมีสุขเล็กๆ นอยๆ ก็มที กุ ขประจํา ทีเ่ ห็นกันวา สุขๆ นัน้ แทจริงก็ทกุ ขบรรเทา ลงตางหาก เราจะวางทุกขอยางเดียวจะมีมาแตไหน ผูปฏิบัติ จะรู ไ ด ก็ เ นื่ อ งจากมี ส ติ พิ จ ารณาเห็ น ธรรมในธรรม เห็ น ทุ ก ข ในทุกข เราจะบังคับใหมีแตสุข “เปนไปไมได” ทุกขก็จะตองตาม มาดวยกัน เมื่อเราวางสุขไดแลว ทุกขก็วางได
เหนือดี
อย า ให ใ จอิ จ ฉาริ ษ ยาผู อื่ น จงรั ก ษาใจตน อย า มี ค วาม อาฆาตพยาบาท จองเวรกับผูใดทั้งสิ้น ผูที่ไมอยากใหผูอื่นไดดี อะไรๆ ก็ จ ะให ต นนั้ น แหละดี ก ว า ผู อื่ น บุ ค คลอื่ น “แล ว มั น จะไปดีเหนือเขาไดตรงไหน”
28
ทุกข...ไมตองบน อดทนเอา
ขันติคืออํานาจ
“ผูมีขันติ มีอํานาจในตน” คําวา อํานาจในตน มิใชอวดตน วาเปนผูมีอํานาจ ในเมื่อตนยังอวดตน แสดงตนดวยอํานาจ ปาเถื่อนกับผูอื่น มิใช “ธัมมะขันติ” จะเรียกวา ผูมีขันติไมได
เบียดเบียน
เบียดเบียนผูอื่นก็คือเบียดเบียนตนเอง ขมผูอื่นก็ขมตน นั้นแล อิจฉาผูอื่น ก็อิจฉาตนนั้นแหละ เหยียบย่ําผูอื่นก็คือ เหยียบย่ําตัวเอง เหยียดหยามผูอื่นก็คือเหยียดหยามตัวเอง ทําลายผูอื่นก็คือทําลายตนเอง “หาทางเจริญไดยาก”
ของเที่ยง
“ของเที่ยง” ก็คือความตาย ไมมีผูใดจะเหลือคางซึ่งแผนดิน เกิดมาแลวยอมจะตองตายทุกคน จะหนีความเกิด แก เจ็บ ตาย ไปไมพน ขอนี้เปนของเที่ยงคือความตายแนนอน
มาตางกัน
คนเราเกิดมาไมเหมือนกัน “มามืด อยูมืด ไปมืด มาสวาง อยูสวาง ไปสวาง” คําวา “มามืด” ก็เขาเกิดมาในโลก ทั้งที่ โลกมนุษยมี “แสงสวาง” เขาก็มองไมเห็น “แสง” เชนทางจะไป วัดก็มี หากวา “มามืด” เลยไปไมได ความมืดมันปกปดจิตใจ ไมใหหันหนาหาศีลหาธรรม หลวงปูสิม พุทธาจาโร
29
หนีไมพน
กรรมไม ดี ขึ้ น อยู กั บ ผู ทํ า มา จงมี ส ติ ใ ช ป ญ ญาพิ จ ารณา ตนอยูเสมอ อยาประมาท วัน เดือน ป ไมคอยใคร ลวงเลย ไปทุกลมหายใจเขา-ออก เกิดมาก็มีกรรม หนีกรรมไมพน ทุกคน ควรพิจารณาดูดี ๆ มีอยูในตน กรรมสูง กรรมต่ํา กรรมดี กรรมไมดี ก็ตนนั้นแลจะรูเห็นกอนผูอื่น
คาถาวิเศษ
อด อัต ลด ละ
“อด อัต ลด ละ” = อดทน = อัตตาหิ อัตตโน นาโถ = ลดทิฏฐิ = ละกิเลส
กิจที่พึงกระทํา
กิจทีพ่ งึ กระทําคือเปนผูม สี ติ เปนผูไ มประมาท คือไมอยูด ว ย ความประมาท มีสติอยูเนืองๆ เสมอๆ ทุกลมหายใจเขา หายใจ ออก หาอุบายที่จะทําใหจิตสงบจากกิเลสเพื่อความบริสุทธิ์ มิใช เราจะทําเอาความบริสุทธิ์ เราทําเพื่อบริสุทธิ์
บาปปดใจ
การแผเมตตาหากผูรับยังมีจิตใจหนาไปดวยบาปก็ไมมา เห็นผล เหตุวาบุญที่แผหาหรือแผไปใหนั้น เขาไมถึงใจที่ยังหนา “บุญไมทะลุถึงใจ” เหตุวาบาปปดใจไว บุญจึงเขาไมถึง 30
ทุกข...ไมตองบน อดทนเอา
รูดวยตนเอง
“มรรคผล” นี้ ไ ม ใ ช สํ า เร็ จ ได ด ว ยการอยาก หากเป น ผู ละกิเลส ปลอยวาง ใหเบาบาง หมดไป สิ้นไป “ปจจัตตัง” ผูปฏิบัติละกิเลสจะรูเอง จําเพาะตน ปญญาอันบริสุทธิ์หยั่งรู หยั่งเห็น เรียกวา “ปญญาญาณ” สําเร็จแลวดวยใจ เกิดจากการ ละกิเลส ปลอยวาง
พระคลองใจ
“พบพระแล ว อย า ทิ้ ง พระ” หากมิ ใ ช พ ระที่ ห อ ยคอเป น พวงๆ หามิได พระสรณะนี้ไดแก พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ไมเสียเที่ยวที่มาเห็นก็คือตนแสวงหาที่พี่งตอไปไมกินทุนเกาที่ ไดมา
ไมมีเมืองพอ
จงพิ จ ารณาธรรมในธรรม เห็ น ธรรมในธรรม เห็ น ทุ ก ข ในทุกข “ทุกขอยูตรงไหน” ผูใดเปนผูเห็นทุกข หากวาทุกขยังไม พอ ทุกขยังไมเบื่อจึงไมคนควาหาเมืองพอ จึงเห็นแตความโลภ ความโกรธ ความหลง เห็นผิดจากครองธรรมของพระสัมมา สัมพุทธเจา
หลวงปูสิม พุทธาจาโร
31
หนัก หนา แนน เหนียว
ผี 1 โลง เรียกวา ขันธ 5 มีอยู 5 ขันธ ก็ทุกขหนักพอตัว อยูแลวเปนภาระที่ “หนักหนาแนนเหนียว” หนัก ไดแก ยึด หนา ไดแก หนากิเลส ตัณหา แนน ไดแก หวง เหนียว ไดแก ละไมได คลายไมออก
ละครชีวิต
ชีวิตเปรียบเหมือนละครโรงใหญ แสดงไปไหนไมรูจักจบ ถึงแมวากายจะไมมีอาการออกแสดง แตหมายถึงใจที่ยังหลงไป ตามอารมณโลก ไมใชใจออกจากกิเสล หากเปนใจออกไปตาม กิเลส หากหลงทางก็เหมือนโคมไฟสองโรงลิเก มิใชดวงประทีป หรือแสงสวาง “จิตที่หลงยอมเอนเอียงไปตามอารมณ”
ออกจากทุกข
ผูเห็นทุกข จึงจะออกจากทุกขได ผูใดละ ผูนั้นแลเห็นสุข ผู ใ ดไม ยึ ด ผู นั้ น แลไม ทุ ก ข ผู ใ ดไม ห ลง ผู นั้ น แลไม ทุ ก ข ทุกขอยูที่ใจ ไมละกิเลส มีสติรูอยู มีปญญาละกิเลส มิใชปญญา หลงไปตามใจชอบหรือไมชอบ
32
ทุกข...ไมตองบน อดทนเอา
“แจง” อยางไร
แจงโดย แจงโดย แจงดวย แจงดวย แจงดวย
เชื่อฟง เคารพในผูออนนอม ความไมเกียจคราน การละกิเลส ความอดทน
บุญเพื่อบุญ
รักษาศีล บริจาคทาน การกุศล ผลบุญเกื้อกูลหนุนนําจิตตน เข า สู ก ระแสแห ง ใบบุ ญ จะได เ ป น ทุ น ติ ด ตน เป น สมบั ติ ข อง คนดี ไมเสียเที่ยวที่ไดมาเกิดเปนมนุษย อยาไปคิดวาทําบุญ แขงขันกับผูใด จงทําบุญเอาบุญ อยาทําบุญเอาหนา ศรัทธา เอาชื่อ อยาหลงไปในทางนั้น “บุญ” ไมไดสําเร็จดวยความ อยากได อยากมี อยากเป น “บุ ญ ” สํ า เร็ จ ได ด ว ยเจตนา เลิก ละ ความชั่ว
หยาบ กลาง ละเอียด
ศีล อยางหยาบ ไดแก ศีลเปลือก คือ ศีล กาย วาจา ใจ มารักษาศีล ภาวนากุศล เรียกวา ศีลอยางหยาบ ศีลอยางกลาง ไดแก จิตตั้งมั่นเปนสมาธิไมหวั่นไหว ศีลอยางละเอียด ไดแก ศีลขั้นละ ปลอยวาง
หลวงปูสิม พุทธาจาโร
33
อด
ลูกพระตถาคต อยามัวคิดวา “อดตาย” การตายนี้ อดก็ตาย ไมอดก็ตาย เราผูป ฏิบตั ติ อ งมีความ “อดทน” เมือ่ มีการ “กลัวอด” แลวก็ “อยาก” เมื่อไมมีการ “กลัวอด” ก็ “ไมอยาก” เรียกวา “แกกลาสามารถ” เขาใหถึงอริยทรัพยภายในไดแลวไมตองกลัว อด
หามา-ไดมา
“หามากั บ ได ม าด ว ยความบริ สุ ท ธิ์ ” การไปหามาก็ เ ป น กิเลสในการหา เมื่อไดมาตามเกิด ตามมี ก็ใชไปตามเกิด ตามมี ไมตองไปเดินหา นั่งหา นอนหา ยืนหา ใดๆ “ละตัณหาก็คือไม ตองไปหา”
ชําระใจ
“ชําระใจ” ไดแกการปฏิบัติขัดจิตใจใหผองใส คือปฏิบัติ ขัดเกลากิเลสตนใหเบาบางหมดไป สิ้นไป ของก็ไมมี ไมของ ก็ไมมี มีไมใช ใชไมมี ละกิเลสที่ใจ เมื่อใจไมละ ก็ปลอยยากนัก วางยากนัก
ตาบอดจูงตาดี
คนตาดีจูงคนตาบอดขามน้ําเขาจูงกันได หากคนตาบอดไป จูงคนตาดีขามน้ํา อันตรายจะถึงคนไหนกอน เพราะเหตุนี้ภาษา โลกเขามักพูดกันวา “อยาเสือกดี ตาไมดีแลวยังเสือกตาบอด สอดรู หลับตาคลํา” ใครจะแนะนําอยางไรก็ชั่งใคร 34
ทุกข...ไมตองบน อดทนเอา
แลวจากดี
ดี ม าก ดี น อ ย ขึ้ น อยู กั บ ผู ส ะสมดี ดี ล ะ ดี ป ล อ ย ดี ว าง “ก็ด”ี ดีไมละ ดีไมปลอย ดีไมวาง “ก็ด”ี ดีคนละแนวทางตางก็หลง วาตนจะไดดี “ดีแลว” คือ “แลวจากดี” ไมกลับมาวนเวียน มาหลง ดี สิน้ ซากจากดีแหงสมบัตโิ ลก พระอรหันตสามารถยกจิตขามโลก ได “ไปก็ดี” หากยกจิตขามโลกไมได “ไปก็ไมดี”
ของดี
ไปหาพระผูม ธี รรม ตัง้ ใจไปคนหาอะไรทีพ่ ระ มีความประสงค สิ่งใด หากไปขอ “ของดี” กับพระก็มีไดแก ศีลธรรม คําสั่งสอน เอาหรือไมเอา “ของดี” หากตนไมนอบนอมรับนํามาประพฤติตน ไปในทางทีด่ จี ะเทีย่ วไปหาพระวันละหลายหน ก็ไมพบพระจะไป นั่งเฝา นอนเฝาพระอยูก็ไมพบพระ
เห็นชอบ
ในเมื่อตนไมเห็นชอบ ไมดําริชอบ ไมปฏิบัติชอบ แลวจะ เอาอะไรมารูแจงแหงกองสังขารธรรม คําวา “รูแจง แทงตลอด” อยางไรจึงจะรอดฝงหวงน้ําแหงโอฆะสงสารอันกันดารแหงนี้ ไดแกตนตองปฏิบตั ติ นใหแจง ในเมือ่ ตนไมทาํ ตนใหแจงอยูต ราบ ใด ตราบนั้นก็ลังเล สงสัย ไมรอดฝง
หลวงปูสิม พุทธาจาโร
35
เวทนา
พิจารณาตนใหดี ที่ไหนจะหนีพนจากสิ่งประจําโลก เกิด แก เจ็บ ตาย มันจะหายไปทางไหน ทุกขประจําสัตวโลก ไดแก “เวทนา ทุกข เวทนาสุข” คนพบแลวหรือยังในสงสารนี้ ผูไมทุกข ไดแกไมยึด ไมวา จะเปนเวทนาใดๆ ทุกข หรือ สุข “ผูละ ไมยึด” ผูไมยึด คือ ผูสิ้นจากเวทนาสองอยาง
เชื่ออยางไร
เชื่อมีเหตุ มีผล เชื่อกันอยางไร เหตุเกิดที่ไหน ดับที่นั่น เชือ่ โดยไมปราศจากเหตุผล ตนเปนทีพ่ งึ่ ของตน นอกจาก ตนจะพิจารณาตนแลวทางอื่นไมมี ผลไหลมาแตเหตุ มีเหตุ มีผล ตนเปนผูมีสติ นอกจาก สติจะมองไมเห็นผล
มารผจญ (ตน)
“มาร” มิ ไ ด อยูที่อื่นโดยทุกประการ “มาร” คํ า นี้ ได แ ก ตนไมละกิเลสในเมื่อตนยังคิดไปวา “มาร” อยูนอกใจตนออกไป เรียกวา จิตเปนโมหะ คือ ความหลง จิตอวิชชา คือ ความไมแจง จิตอุปาทาน คือการยึดเอามาวา สื่งอื่นมาเปนมารตน ที่แทก็ได แกใจไมละกิเลส ใจยึด ใจหลง
36
ทุกข...ไมตองบน อดทนเอา
ตบมือขางเดียว
ผูรักษาตนอยาตบมือสองขาง หมายถึง ปาก ลิ้น วาจา อยาอวดดี ตางก็รักษากาย วาจา ใจตนไว อยาใหกระทบกัน หากผูที่เขาวาเรา หากเราไปวาตอบเขา ผูตอบก็ผิด ผูวาก็ผิด ทางธรรม ไมสรรเสริญกับผูตอบ เปรียบเหมือนตบมือสองขาง มันดัง ตบมือขางเดียวไมดัง หากผูใดยังอยากดังอยูเรียกวา “ปลอยจิต ออกไปชกกัน” เปนผูประพฤติตนไปตามใจชอบ ปฏิบัติตนไปนอกหลักศีลธรรมคําสั่งสอน เอาศาสนาบังหนา
ชั้นไหน
หากผูปฏิบัติมัวเมา หลงชั้นโนน ชั้นนี้ เปนตัวทิฏฐิ อวิชชา ปกป ด โมหะเข า ครอบงํ า เป น ผู ป ฏิ บั ติ เ ลยจากความเป น จริง มองไกล ดูไกล สายตายาวเห็นไกลออกไปทุกชั้นที่ยึด จะมัวไปวัดกันอยูท ชี่ นั้ สําคัญตนวาเปนชัน้ นัน้ ชัน้ นี้ “จะเปนอะไร ชั้นไหนก็ไมเที่ยง”
ตาใจ
วัยของคนตาใส ก็เนื่องมาจากตาไมฟาง วัยของคนตาแจง ก็เนื่องมาจากตาไมมืด วัยของตนตาสวาง เหตุมีมาจากใจ พยายามรักษา อินทรีย อายตนะตน สํารวม ระวัง สังวรศีล
หลวงปูสิม พุทธาจาโร
37
ฝากใจใหคุณ
การละกิ เ ลส ปลอยวาง ไมยึด ไมหลง ใช เ ราจะเอาใจ ของเราไปฝากกับหญิงคนนั้น ชายคนนี้ อยางนี้เขาเรียกวา เอากิ เ ลสไปมอบให กั น หรื อ เอากิ เ ลสไปฝากกั น เอากิ เ ลส ไปโยนใหกับคนนั้น ๆ อยางนี้ มิใชละกิเลสแตอยางใดเลย หาก เปนการปลูกกิเลส ใหมีความกําหนัดยินดีเปนยิ่งขึ้น
กระแสบุญ
ทางแก ไ ขใจตนนั้ น ไม ย ากเลย นํ า จิ ต เข า สู ก ระแสบุ ญ กลับใจตนออกจากทางเสื่อม นําตนเขาสูความเจริญ ละเวน จากบาป กรรมชั่วอันเปนอกุศล อยาพึงกระทํา ควรละเสีย หาก เมตตาตน สงสารตนตองนําตนออกจากทางอบายมุข อยา นําตนไปในทางบาป ใหนําตนขึ้นสูความเจริญตามแนวทาง คําสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจา
ของคูกัน
“โลก” กั บ “ธรรม” เป น ของคู กั น เมื่ อ ผู ยึ ด แต “โลก” ไมมี “ธรรม” ก็ตั้งไวไมได ทําลายกัน แยงชิงกัน โลภอยากได ของกันและกัน หากหมูใด คณะใดตั้งอยูในประเภทนี้ “หาความ เจริญไดยาก” มีแตทางเสื่อม เหมือนไฟไหมตนลนอยูไมรูตน
38
ทุกข...ไมตองบน อดทนเอา
วางจริงๆ
ผู ไ ม ห ลงหมายถึ ง ผู ล ะอุ ป าทาน ได แ ก ใ จ ไม มี อุ ป าทาน “ทุกสิ่งทุกอยางมีแตความวาง แมกระทั่งคําวา วาง ก็ไมมี” หากยังยึดวาตนวาง ก็เปนทิฏฐิของความหลง เรียกวาอารมณ ของผู ข อ งหรื อ ยั ง ข อ งอยู ผู ไ ม ห ลงก็ คื อ ผู มี ส ติ พิ จ ารณาตน จะเปนผูไมหลงก็เนื่องมาจากเปนผูมีศีล ผูปฏิบัติธรรม ชําระ จิตตน ถอดถอนอุปาทาน
พิจารณาตน
ธรรมป จ จุ บั น หมายถึ ง ผู มี ส ติ พิ จ ารณาตนในเวลา ปจจุบัน ทุกลมหายใจเขา หายใจออก เวลานี้มีสติ หากตน มี ส ติ ก็ เ รี ย กว า พิ จ ารณาตน หากตนไม มี ส ติ มิ ใ ช ก ารที่ เ รี ย ก วา พิจารณา เปนอาการของผูขาดการพิจารณาตน บกพรอง ในการปฏิ บั ติ เป น ทางประมาท มิ ใ ช ผู มี ส ติ ผู พิ จ ารณาตน ตองมีสติเสมอทั้งหลับและตื่น ยืน เดิน นั่ง นอนก็มีสติ หลับตา กับสติ ลืมตากับสติ เรียกวา “พิจารณาตน”
สําคัญที่ปจจุบัน
อดีตที่ผานพนมาแลวไมคํานึงถึง มิใชผานมาแตกายหรือ คํ า พู ด หากแต ใ จต า งหาก ผู ถ อดถอนอุ ป าทาน ปล อ ยวาง อนาคตก็ยังมาไมถึง ไมสงใจออกไปกังงวลในเรื่องอนาคตกาล ขางหนา เวลาปจจุบันมีสติพิจารณา ตนเปนผูไมหลง ถอดถอน จิตออกจากอุปาทานไมยนิ ดี ไมยนิ รายตออารมณใดทุกประการ หลวงปูสิม พุทธาจาโร
39
กิเลสเผาใจ
สะสมกิเลสมาดองไว แลวพระธรรมอะไรจะมาอยูใหปฏิบัติ ในเมือ่ ใจของตนยังลุกลนไปดวยไฟกิเลส แลวใจจะแจงดวยธรรม อะไร ก็เหมือนตนเอามือสองขางไปแหวกตาตนหรือตี่ตาตนใส กองไฟ แลวจะเอาธรรมอะไรมาเห็นแสงสวาง มันก็มีแตควันไฟ กับความรอนเผาลูกตาตน
ตัณหาพาไป
อํานาจตัณหานั่นแหละพาไป กินเทาไหรไมหายอยาก นอนมากไมรูตื่น รักคนอื่นยิ่งกวาตัว สิ่งที่นากลัวกลับกลา
ไหวธรรม
“ไหวถึงธรรม” แลวหรือยัง ธรรมอยูไหน หากจะเรียกวาอยู กับพระสัมมาสัมพุทธเจาจะไดอยางไร พระองคตรัสรูเ องโดยชอบ ไดมีพระมหากรุณาวางหลักพระธรรมคําสั่งสอนไว ไมหาบหอบ ไปนิพพานแตประการใดเลยจะเรียกวา “วางไวในโลก” ก็ได
จบแลว
ความเจริญ อยูที่ผูมีจิตใจสูง ผูประเสริฐ คือผูสงบ ผูจบแลวซึ่งพรหมจรรย คือ พระอรหันต 40
ทุกข...ไมตองบน อดทนเอา
ทุกขทั้งนั้น
ทุกขภายนอก ทุกขภายใน ไดแก ตนไปเก็บเอามาสูตน ให คนหาสาเหตุของความทุกขแลวก็ดับทุกข ขันธทั้งหาเปนภาระที่ หนัก “หากยึดเปนทุกข” ใจหาบ ใจคอน ใจแบก ใจหาม ไดแก ใจ ไมละ คือ ใจยึด “เปนทุกข” รูทุกข เห็นทุกข ตนพิจารณาเอง จึง จะพนทุกข ทุกข จน มาร ผูเลิศ ผูชนะ ผูรูแจง
อยูกับ อยูกับ อยูกับ คือ คือ คือ
อยูกับใคร
ผูหลง ผูมีอุปาทาน ผูไมละกิเลส
ใครคือใคร
ผูละ ผูรูแจง ผู ล ะกิ เ ลสได จ ริ ง จึ ง รู แ จ ง เห็ น จริ ง
หวง หวง หวง
มี “หวง” ก็มี “หวง” มี “หวง” ก็มี “หวง” ตราบใดยังหวงไว ไมละ ตราบนั้นก็คงอยูในหวงมหันตภพ เรียกวา หวงผูกคอไวในหวงแหงภพ
หลวงปูสิม พุทธาจาโร
41
นึกวาไมมี
สิ่งใดเปนบาป “ละทิ้ง” สิ่งใดเปนบุญ “รีบทํา” สิ่งที่ไมดีไมตองสนใจ ใหเอาแตสิ่งที่ดี แมแตคําวา “ไมดี” ก็มี “ดี” อยูในนั้น
“พอ” อยูที่ไหน
“มี” แลว ก็ใหปลอยออกไป ละออกไป ละตัณหาทุกสิ่ง ทุกอยาง ไมหามาปดใหตันอีก “พอ” อยูที่ “ละ”
อยาทิ้งวัด
หากผูใหญทิ้งวัดก็เปรียบเหมือนปลอยใหเด็กรุนหลังตา ฟาง ควรพิจารณาไวบา ง มิใชเราจะเมิน เราบูรณะไวไมปลอยให เสื่อมโทรม ก็เหมือนดํารงศาสนาไวไมใหทําลาย หากเราเคารพ บูชา เด็กรุนหลังก็มาปฏิบัติตาม
รังโลก
“ใจเปนรังโลก กายเปนเรือนโรค” ใจเปนโรคเรือ้ รัง คําสัง่ สอน วาใหรกั ษาใจดวยการปฏิบตั ใิ นสมณะธรรม กําจัดรังโลก เรียกวา ชําระจิตตนใหผองใส นอกจากใจตนจะบริสุทธิ์แลว ทางอื่นไมมี รักษาใจ
42
ทุกข...ไมตองบน อดทนเอา
อบายภูมิ
อบายภู มิ ทั้ ง สี่ ได แ ก ภู มิ ข องผู ป ระพฤติ ต นชั่ ว คื อ การ ทําบาป หากจะรอดพนจากภูมิทั้งสี่นี้ได ตนจะตองประพฤติดี ปฏิ บั ติ ดี ทางกาย วาจา ใจ “ป ด ภู มิ ที่ จิ ต ตนได ก อ น” มิ ใ ช จะออกไปป ดอบายภูมิสี่ ภายนอกตนออกไป หากป ด ภู มิ ที่ จิตตนได ก็ปดภูมิทั้งสี่ได
สิ่งที่หมดไป
หายใจเขามาชีวิตก็หมดไป หายใจออกมาชีวิตก็หมดไป เดือน ป ไมไปไหน วันนี้หมดไป วันใหมก็มาแตชีวิตของคนเรา นัน้ หมดไป สิน้ ไป จงทําความรูส กึ อยูภ ายในใจวา “เราตองตาย” ทุกลมหายใจ
ตายเหมือนกัน
“กลัวตาย” จะไมตายหรือ “ไมกลัวตาย” จะไมตายหรือ จิต อยาไดหลงมัวเมา ใหรับรูดูใจอยูตลอดเวลา เกิด-ตาย อยูที่ “ใจไมร”ู เกิดมาแลว อยาเห็นแต “ความเกิด” ใหเห็น “ความตาย” ดวย โลกนี้มีมืด มีแจง คนเราที่เกิดที่ตายนี้ ก็ตองมีที่ไมเกิด ไม ตาย “นิพพานอยูที่จิตหมดกิเลส”
หลวงปูสิม พุทธาจาโร
43
เรื่องของใจ
ใจหยุด ใจอยู ใจรูภายใน ไมใชรูภายนอก เมื่อใจสงบแลว อะไรๆ ก็สงบหมด เมื่อใจสบายแลว อะไรๆ ก็สบายหมด “ใจเสีย” อะไรๆ ก็เสียหมด “ใจดี” อะไรๆ ก็ดีหมด
มีแตปจจุบัน
คนเราเกิดมาก็เกิดในปจจุบัน แกก็ในปจจุบัน เจ็บไขไดปวย ก็ในปจจุบัน ตายก็ในปจจุบัน ความจริงมีอยูในปจจุบัน จิตดวง ผูรูก็มีอยูในปจจุบัน ชีวิตคนเราก็มีอยูในปจจุบัน ไมไดมีอยูใน อดีต อนาคต “มรรคผล นิพพาน ก็มีอยูในปจจุบัน”
สมมติ
ทุกสิ่งในโลกเปนโลกสมมติ มนุษยสมมติขึ้นมาทั้งสิ้น “สมมติโลก” ไมมีวันหมดสิ้น “วิมุติ” หลุดพน คือการพนจากสมมติโลกทั้งหลาย เมื่อไมรูเทา “สมมติ” ก็ไมรู “วิมุติ” หลุดพน
อยูที่ “รู”
ถาจิตยังคิดวาเปนสุข มันก็เปนทุกขอยูอยางนี้แหละ เอาจิตสอนจิต หนามปกเอาหนามบงจึงจะออกได จิตนี้ไมตองไปหา ถา “หา” แลวมันเปนตัณหาจึงหาไมพบ จิตอยูที่ “รู” 44
ทุกข...ไมตองบน อดทนเอา
ที่พึ่งอันสําคัญ
เวลาเรายังมีชีวิตลมหายใจอยูนี่เหมือนกับวาจะพึ่งคนโนน ไดพึ่งคนนี้ได เมื่อเวลาความตายมาถึง “เราตองพึ่งตนเอง” พึ่งภาวนา นี่แหละ พุทโธในใจ รวมจิต รวมใจ เขามาภายใน นี้แหละเปนที่พึ่งอันสําคัญ
ปญญาหลง
ผูเห็นแสงสวางคือผูเห็นธรรม ความทุกขนั้นไมไดอยูกับ ผูจนทรัพย หากอยูกับผูอับปญญา จะมีทรัพยนับเรือนลาน ยังเปนคนพาล สันดานหยาบ ไหลลงสูอเวจีนรกหมกไหมใตถุน เทวทัต เนื่องโดย “ทิฏฐิหนา ปญญาหลง” หลง เขลา เจริญ ตรัสรู
ผูเห็นจริง
อยูกับ อยูกับ อยูกับ แจงกับ
ผูเมา ผูเพลิน ผูสงบ ผูเห็นตามความเปนจริง
ไมเสื่อม
ศาสนาไมมีทางเสื่อม คนตางหากทําตนใหเสื่อม พระธรรม ไมตาย คนละบาปตางหากรูจักพระธรรม พระธรรมไมตาย คน ไมละบาปตางหากตายจากศีลธรรม “พระธรรมไมเขาใกลกิเลส” ตางคนก็ตางเกิด ตางคนก็ตางตาย “นิพพานมิไดพวงกันไปเชน เรือหาง” หลวงปูสิม พุทธาจาโร
45
อายุที่แท
ลมหายใจเข า -ออก นี่ แ หละ คื อ ชี วิ ต ของแต ล ะบุ ค คล อายุจริงๆ อยูที่ลมหายใจเขา-ออก อายุที่นับกันอยูก็คือสิ่งที่ ลวงหายไป อายุที่แทเหลืออยูแคลมใจหาย เขา-ออก ปลอย ออกมาแลวสูดเขาไปไมไดก็ “ตาย” สูดเขาไปแลวปลอยออกมา ไมไดก็ “ตาย”
ผีที่ไมตาย
ความตายนั้นแกไมได พระพุทธเจาจึงใหแกใจตัวเองให สงบนิ่งอยูภายใน ผีที่ตายแลวไมสรางความเดือดรอนอะไร แตผีที่ยังไมตาย ยังลืมตา หลับตา ฟงเสียงได นี่แหละสําคัญนัก ใหเอาผีตัวนี้มาพิจารณา ภาวนาใหได
จิตเดิม
จิตเดิมใสเหมือนพระจันทร ปราศจากเมฆหมอกปกคลุม หากอาศัยกิเลสพอกพูน ตนของตนจึงแลไมเห็นจิตเดิม มีแตกเิ ลส พันหา ตัณหารอยแปด หลั่งไหลเขามาปกปด จิตดวงเดิมจึงคน ไมเห็น หยั่งไมถึงจิตตน
46
ทุกข...ไมตองบน อดทนเอา
มนุษยที่แท
มนุษยพุทธคุณ หรือมนุษยพุทธธรรม คือ ผูสดุงตอบาป แปลวา กลัวบาป ไมทาํ บาป ดวยกาย ดวยวาจา ดวยใจ เปนผูไ ม ประพฤติตนไปในทางที่ชั่วหรือกรรมอันเปนบาปอกุศล เรียกวา ผูสดุงตอบาป เปนผูละอายตอบาป มีมะโนอันสะอาดปราศจาก ความชั่ว
ดูตน
คํ า ว า “พิ จ ารณาตน” คํ า นี้ บางท า นก็ อ าจจะสงสั ย ว า “เราก็ดูตนของตนเสมอก็มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไมผิดอะไร กับผูอื่น” นี้เปนเพียงการ “ดูตน” ไมมีสติ ขาดการพิจารณา ตาย แลวมาเกิดอีก กี่ภพ กี่ชาติ ก็มาดูตนวามีตา มีหู มีจมูก มีลิ้น มีกาย มีใจ เชนเดิม
หลวงปูสิม พุทธาจาโร
47
48
ทุกข...ไมตองบน อดทนเอา