ฺBest Practice น.ส.วชรพร เพิ่มพูล ครู ร.ร.ดิศกุล

Page 1

วิธีปฏิบัติส่คู วามเป็นเลิศ ( Best Practices )

กิจกรรมแนะแนว : ชุดกิจกรรมส่งเสริมความรู้และสร้าง ภูมิค้มุ กันยาเสพติด

นางสาววชรพร เพิ่มพูล โรงเรียนดิศกุล สานักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต ๑

สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน


Best Practice 1. ชื่อผลงาน Best Practice กิจกรรมแนะแนว : ชุดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความรู้และภูมิคมุ้ กันยาเสพติด ด้าน ( )วิชาการ ( )บริหารจัดการศึกษา ( /) นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน 2. ข้อมูลทัว่ ไปของผูพ้ ฒ ั นา Best Practice 2.1 ชื่อผูพ้ ัฒนา Best Practice นางสาววชรพร เพิ่มพูล 2.2 โรงเรียนดิศกุล ต. หนองตากยา อ.ท่าม่วง จ. กาญจนบุรี สานักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 โทรศัพท์ 08-43195-8005 e-mail : jo.awying@hotmail.com 3. เป้าหมาย / วัตถุประสงค์ของการพัฒนา Best Practice ชุดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความรูแ้ ละสร้างภูมคิ ุ้มกันยาเสพติด ของนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 6 มี เป้าหมายและวัตถุประสงค์ดังนี้ 3.1 เพื่อศึกษาและเปรียบเทียบความรูข้ องนักเรียน ก่อน-หลังการใช้ชุดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความรู้และ ภูมคิ ุ้มกันยาเสพติด 3.2 เพื่อศึกษาภูมคิ ุ้มกันภัยยาเสพติดของนักเรียนหลังการใช้ชุดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความรู้และภูมคิ ุ้มกัน ยาเสพติด 3.3 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มตี ่อการใช้ชุดกิจกรรมส่งเสริมความรูแ้ ละภูมคิ ุ้มกันยาเสพติด 4. ระยะเวลาในการพัฒนา Best Practice ระยะเวลาที่เริ่มการพัฒนา คือเดือนมิถุนายน – เดือนสิงหาคม ปีการศึกษา 2557 ระยะเวลาที่พัฒนากับผูเ้ รียน ระหว่างวันที่ 3 มิถุนายน -5 สิงหาคม 2557 ใช้เวลา 10 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 1 วัน คือวันอังคาร วันละ 1 ชั่วโมง 5. ความเชือ่ มโยง/สัมพันธ์ระหว่าง BP กับเป้าหมาย/จุดเน้นของ สพป./สพฐ./สถานศึกษา จุดเน้นของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพืน้ ฐานได้กาหนดให้มกี ารเสริมสร้างทักษะชีวติ ผูเ้ รียน โดยกาหนดให้พัฒนาภูมคิ ุ้มกันให้แก่เด็กในเรื่อง การตระหนักรู้และเห็นคุณค่าในตนเองและผูอ้ ื่น การคิด วิเคราะห์ตัดสินใจและแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ การจัดการกับอารมณ์และความเครียด การสร้าง สัมพันธภาพที่ดกี ับผูอ้ ื่น และให้แต่ละชั้นปีจัดการเรียนการสอนและกิจกรรมพัฒนาผูเ้ รียนเพื่อเสริมสร้าง ทักษะชีวติ โดยเน้นผู้เรียนให้เกิดพฤติกรรมตามจุดเน้น ตามที่สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานมีนโยบายให้สานักงานเขตพืน้ ที่การศึกษาเร่งดาเนินการ กากับติดตามการดาเนินงานกิจกรรมแนะแนวของโรงเรียนให้เป็นไปตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ


โดยเน้นให้สถานศึกษาจัดกิจกรรมแนะแนวอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โรงเรียนดิศกุล จึงตะหนักใน ความสาคัญจึงมุ่งเน้นให้มกี ารจัดบริหารงานกิจกรรมแนะแนวอย่างจริงจัง จัดกิจกรรมแนะแนวในการ พัฒนาผูเ้ รียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 คลอบคลุมการแนะแนว การศึกษา อาชีพ และทักษะการใช้ชีวติ ดังนัน้ การจัดกิจกรรมแนะแนวของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จึงมุง่ เน้นทักษะการใช้ชีวิต รู้เท่าทัน และสามารถควบคุมตนเองได้ รู้จักปฏิเสธในสิ่งที่ควรปฏิเสธ เช่นเพื่อนชักชวนให้ลองยาเสพติด เป็นต้น 6. แนวคิด หลักการ ทฤษฎีทนี่ ามาใช้ในการพัฒนา BP กิจกรรมแนะแนว เป็นกระบวนการทางการศึกษาที่ช่วยให้ บุคคลรู้จัก และเข้าใจตนเองและสิ่งแวดล้อม สามารถนาตนเองได้ แก้ปัญหาได้ดว้ ยตนเอง และพัฒนาตนเองได้ตามศักยภาพ ปฏิบัติตนให้เป็นสมาชิกที่ดี ของสังคม ฉะนั้นจึงกล่าวได้ว่าการแนะแนวไม่ใช่การแนะนา และการแนะแนวเป็นการช่วยเหลือให้เขา สามารถช่วยตนเองได้ เป้าหมายการแนะแนว 1. เพื่อป้องกันปัญหา ( Prevention ) นั้นคือการแนะแนวมุ่งป้องกันไม่ให้นักเรียนเกิดปัญหาหรือความ ยุ่งยากในการดาเนินชีวิตของตนเพราะปัญหาและความยุ่งยากต่างๆ นัน้ สามารถป้องกันได้และการปล่อย ให้นักเรียนเกินปัญหาขึน้ มาแล้วค่อยตามแก่ไขช่วยเหลือภายหลังนัน้ ทาได้ยากและต้องใช้เวลานาน ในบาง กรณีอาจจะแก้ไขไม่ได้อกี ด้วย 2. เพื่อแก้ไขปัญหา ( Curation ) นั้นคือ การแนะแนวมุ่งจะให้ความช่วยเหลือนักเรียนในการแก้ไขปัญหา ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตน เพราะถ้าปล่อยให้นักเรียนประสบปัญหาโดยไม่ให้ความช่วยเหลือแล้ว นักเรียน ย่อมจะไม่สามารถดารงตนอยู่ในสังคมอย่างปรกติสุขได้ และในบางครัง้ อาจจะมีการปรับตัวที่ผิดๆ ทาให้ เกิดปัญหาเพิ่มมากยิ่งขึ้น 3. เพื่อส่งเสริมพัฒนา ( Development ) นั่นคือการแนะแนวมุ่งจะให้การส่งเสริมนักเรียนทุกคนให้เกิดความ เจริญงอกงามมีพัฒนาการในด้านต่างๆ อย่างสมบูรณ์ เพื่อให้นักเรียนแต่ละคนจะได้รับการส่งเสริมและ แสดงความสามารถในด้านต่างๆ ของตนออกมาอย่างเต็มที่ โดยไม่มสี ิ่งใดมาเป็นอุปสรรคขัดขวางความ เจริญก้าวหน้าและพัฒนาการของนักเรียน ปัจจุบันมีผตู้ ิดยาเสพติดเป็นจานวนมากโดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนจะติดยาเสพติดมากกว่ากลุ่มอื่น และที่ น่าเป็นห่วงกาลังแพร่ระบาดสู่เด็กนักเรียน สาเหตุอาจเป็นเพราะเพื่อนชักชวนให้ลองเสพ อยากรู้ อยากลอง ถูกล่อลวง และสาเหตุอีกประการคือการขาดความอบอุ่นในครอบครัว ปัญหาพ่อแม่หย่าร้างกัน ผู้ใหญ่ไม่ได้ สนใจดูแล เด็กเกิดความว้าเหว่ไม่รู้จะปรึกษาใคร เลยหันไปหายาเสพติด ผูพ้ ัฒนาจึงได้จัดกิจกรรมแนะแนวโดยใช้ชุดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความรูแ้ ละภูมิคมุ้ กันยาเสพติดสาหรับ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งพบว่า นักเรียนส่วนใหญ่ขาดความรูแ้ ละภูมิคมุ้ กันเรื่องการป้องกันภัยยา


เสพติด อนึ่งทางโรงเรียนดิศกุล ได้เล็งเห็นความสาคัญของการให้ความรูค้ วามเข้าใจเกี่ยวกับพิษภัยยาเสพ ติด และเป็นสถานศึกษาสีขาวจึงตระหนักในเรื่องนี้ จากความสาคัญและเหตุผลดังกล่าว ทาให้ผพู้ ัฒนาสนใจที่จะส่งเสริมความรู้และภูมิคมุ้ กันภัยยาเสพติดของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนดิศกุลโดยใช้เงื่อนไขการเรียนรู้ บูรณาการหลักสูตร D.A.R.E จัดชุด กิจกรรมเพื่อส่งเสริมความรู้และภูมิคมุ้ กันยาเสพติด มาช่วยให้นักเรียนมีความรูค้ วามเข้าใจ ตลอดจน สามารถสร้างภูมิคุ้มกันในตนเองและครอบครัวมากยิ่งขึ้น โดยเน้นให้นักเรียนได้มีสว่ นร่วมในการเรียนรู้ สามารถปรับตัวเข้ากับการเรียนการสอน ในยุคปฏิรูปการศึกษา รู้จักคิด วิเคราะห์ แก้ปัญหาต่างๆ ได้ด้วย ตนเอง อยู่ร่วมกับผูอ้ ื่นได้อย่างมีความสุข เป็นคนเก่ง คนดี ดาเนินชีวิตตามแบบอย่างที่ดี ตลอดจนสามารถ เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้ในเรื่องพิษภัยยาเสพติดให้แก่ครอบครัวและสังคมต่อไป หลักสูตร D.A.R.E. เป็นหลักสูตรการสร้างภูมคิ ุ้มกันต้านยาเสพติดในสถานศึกษาสาหรับนักเรียนชัน้ ประถมศึกษาปีที่ 5 และปีที่ 6 D.A.R.E. หมายถึง Drug = ยาเสพติด Abuse = การใช้ในทางที่ผดิ Resistance = การต่อต้าน Education = การศึกษา เป็นหลักสูตรที่มงุ่ มั่นพัฒนาผูเ้ รียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และปีที่ 6 ให้มคี วามรูค้ วามสามารถและ ทักษะชีวติ ตลอดจนคุณลักษณะที่จะช่วยส่งเสริมภูมคิ ุ้มกันและป้องกันปัญหายาเสพติด มีการดาเนิน ชีวติ สามารถปรับตัวต่อสภาพแวดล้อมทางสังคมที่เปลี่ยนแปลง โดยมีกระบวนการคิดและการตัดสินใจเหมาะสมสามารถดาเนินชีวติ อยู่ในสังคมได้อย่างปลอดภัยและมี ความสุข แนวคิดทฤษฎีของโรเบิรต์ กาเย่ (Robert Gange') ได้นาเอาแนวแนวความคิด 9 ประการ มาใช้ประกอบการเรียนการสอน โดยยึดหลักการนาเสนอ เนือ้ หาและจัดกิจกรรมการเรียนรู้จากการมีปฏิสัมพันธ์ หลักการสอนทั้ง 9 ประการได้แก่ 1. เร่งเร้า กระตุน้ และดึงดูดความสนใจ (Gain Attention) ของผู้เรียน เป็นการช่วยให้ผู้เรียนสามารถรับ สิ่งเร้า หรือสิ่งที่จะเรียนรู้ได้ดี 2. บอกวัตถุประสงค์ (Specify Objective) ของบทเรียนให้ผู้เรียนทราบ เป็นการช่วยให้ผเู้ รียนได้รับรู้ ความคาดหวัง 3. ทบทวนความรูเ้ ดิม (Activate Prior Knowledge) หรือการกระตุ้นให้ระลึกถึงความรูเ้ ดิม เป็นการ ช่วยให้ผเู้ รียนดึงข้อมูลเดิมที่อยู่ในหน่วยความจาระยะยาวให้มาอยู่ในหน่วยความจาเพื่อการใช้งาน (working memory) ซึ่งจะช่วยให้ผเู้ รียนเกิดความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรูเ้ ดิม 4. นาเสนอเนื้อหาใหม่ หรือสิ่งเร้าใหม่ (Present New Information) ผูส้ อนควรจะจัดสิ่งเร้าให้ผเู้ รียนเห็น ลักษณะสาคัญของสิ่งเร้านั้นอย่างชัดเจน เพื่อความสะดวกในการเลือกรับรู้ของผู้เรียน


5. ชีแ้ นะแนวทางการเรียนรู้ (Guide Learning) หรือการจัดระบบข้อมูลให้มีความหมาย เพื่อช่วยให้ ผูเ้ รียนสามารถทาความเข้าใจกับสาระที่เรียนได้ง่ายและเร็วขึ้น 6. กระตุน้ การตอบสนองบทเรียน (Elicit Response) หรือกระตุน้ ให้ผเู้ รียนแสดงความสามารถ เพื่อให้ ผูเ้ รียนมีโอกาสตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือสาระที่เรียน ซึง่ จะช่วยให้ทราบถึงการเรียนรูท้ ี่เกิดขึน้ ในตัว ผูเ้ รียน 7. ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Provide Feedback) เป็นการให้การเสริมแรงแก่ผเู้ รียน และข้อมูลที่เป็น ประโยชน์กับผูเ้ รียน 8. การประเมินผลการแสดงออก (Assess Performance) ของผู้เรียน เพื่อช่วยให้ผเู้ รียนทราบว่าตนเอง สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้มากน้อยเพียงใด 9. สรุปและนาไปใช้ (Review and Transfer) เป็นการส่งเสริมความคงทนและการถ่ายโอนการเรียนรู้ โดยการให้โอกาสผูเ้ รียนได้มีการฝึกฝนอย่างพอเพียง และในสถานการณ์ที่หลากหลาย เพื่อช่วยให้ ผูเ้ รียนเกิดความเข้าใจที่ลกึ ซึง้ ขึ้น และสามารถถ่ายโอนการเรียนรูไ้ ปสู่สถานการณ์อ่นื ๆ ได้ โดยในแต่ประการจะมีรายละเอียด ดังนี้ เร่งเร้าความสนใจ (Gain Attention) ก่อนที่จะเริ่มการนาเสนอเนื้อหาบทเรียน ควรมีการจูงใจ และเร่งเร้าความสนใจให้ผเู้ รียนอยากเรียน ดังนัน้ บทเรียนคอมพิวเตอร์ จึงควรเริ่มด้วยการใช้ภาพ แสง สี เสียง หรือใช้ส่อื ประกอบกันหลายๆ อย่าง โดยสื่อที่สร้างขึ้นมานั้นต้องเกี่ยวข้องกับเนือ้ หาและ น่าสนใจ ซึ่งจะมีผลโดยตรงต่อความสนใจของผูเ้ รียน นอกจากเร่งเร้าความสนใจแล้ว ยังเป็นการเตรียม ความพร้อมให้ผเู้ รียนพร้อมที่จะศึกษาเนือ้ หาต่อไปในตัวอีกด้วย บอกวัตถุประสงค์ (Specify Objective) วัตถุประสงค์ของบทเรียน นับว่าเป็นส่วนสาคัญยิ่งต่อ กระบวนการเรียนรู้ ที่ผู้เรียนจะได้ทราบถึงความคาดหวังของบทเรียนจากผูเ้ รียน นอกจากผูเ้ รียนจะ ทราบถึงพฤติกรรมขั้นสุดท้ายของตนเองหลังจบบทเรียนแล้ว จะยังเป็นการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าถึง ประเด็นสาคัญของเนื้อหา รวมทั้งเค้าโครงของเนื้อหาอีกด้วย การที่ผู้เรียนทราบถึงขอบเขตของเนือ้ หา อย่างคร่าวๆจะช่วยให้ผเู้ รียนสามารถผสมผสานแนวความคิดในรายละเอียดหรือส่วนย่อยของเนือ้ หาให้ สอดคล้องและสัมพันธ์กับเนือ้ หา ในส่วนใหญ่ได้ ซึ่งมีผลทาให้การเรียนรูม้ ีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น นอกจากจะมีผลดังกล่าวแล้ว ผลการวิจัย ยังพบด้วยว่า ผู้เรียนที่ทราบวัตถุประสงค์ของการเรียนก่อนเรียนบทเรียน จะสามารถจาและเข้าใจในเนื้อหา ได้ดีข้นึ อีกด้วย ทบทวนความรูเ้ ดิม (Activate Prior Knowledge) การทบทวนความรูเ้ ดิมก่อนที่จะนาเสนอ ความรูใ้ หม่แก่ผู้เรียน มีความจาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาวิธีการประเมิน ความรูท้ ี่จาเป็นสาหรับบทเรียน ใหม่ เพื่อไม่ให้ผู้เรียนเกิดปัญหาในการเรียนรู้ วิธีปฏิบัติโดยทั่วไปสาหรับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนก็ คือ การทดสอบก่อนบทเรียน (Pre-test) ซึ่งเป็นการประเมินความรูข้ องผู้เรียน เพื่อทบทวนเนือ้ หาเดิมที่ เคยศึกษาผ่านมาแล้ว และเพื่อเตรียมความพร้อมในการรับเนื้อหาใหม่ นอกจากจะเป็นการตรวจวัด


ความรูพ้ ืน้ ฐานแล้ว บทเรียนบางเรื่องอาจใช้ผลจากการทดสอบก่อนบทเรียนมาเป็นเกณฑ์จัดระดับ ความสามารถของผู้เรียน เพื่อจัดบทเรียนให้ตอบสนองต่อระดับความสามารถของผูเ้ รียน เพื่อจัด บทเรียนให้ตอบสนองต่อระดับความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียนแต่ละคน แต่อย่างไรก็ตาม ในขั้นการ ทบทวนความรูเ้ ดิมนี้ไม่จาเป็นต้องเป็นการทดสอบเสมอไป หากเป็นบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนที่ สร้างขึ้นเป็นชุดบทเรียนที่เรียนต่อเนื่องกันไปตามลาดับ การทบทวนความรูเ้ ดิม อาจอยู่ในรูปแบบของ การกระตุน้ ให้ผเู้ รียนคิดย้อนหลังถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้มาก่อนหน้านีก้ ็ได้ การกระตุ้นดังกล่าวอาจแสดงด้วย คาพูด คาเขียน ภาพ หรือผสมผสานกันแล้วแต่ความเหมาะสม ปริมาณมากน้อยเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับ เนือ้ หา ตัวอย่างเช่น การนาเสนอเนื้อหาเรื่องการต่อตัวต้านทานแบบผสม ถ้าผูเ้ รียนไม่สามารถเข้าใจ วิธีการหาความต้านทานรวม กรณีนคี้ วรจะมีวธิ ีการวัดความรูเ้ ดิมของผู้เรียนก่อนว่ามีความเข้าใจเพียง พอที่จะคานวณหาค่าต่างๆ ในแบบผสมหรือไม่ ซึ่งจาเป็นต้องมีการทดสอบก่อน ถ้าพบว่าผูเ้ รียนไม่ เข้าใจวิธีการคานวณ บทเรียนต้องชี้แนะให้ผเู้ รียนกลับไปศึกษาเรื่องการต่อตัวต้านทานแบบอนุกรมและ แบบขนานก่อน หรืออาจนาเสนอบทเรียนย่อยเพิ่มเติมเรื่องดังกล่าว เพื่อเป็นการทบทวนก่อนก็ได้ นาเสนอเนื้อหาใหม่ (Present New Information) หลักสาคัญในการนาเสนอเนือ้ หาของบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอนก็คือ ควรนาเสนอภาพที่เกี่ยวข้องกับเนือ้ หา ประกอบกับคาอธิบายสั้นๆ ง่าย แต่ ได้ใจความ การใช้ภาพประกอบ จะทาให้ผเู้ รียนเข้าใจเนื้อหาง่ายขึ้น และมีความคงทนในการจาได้ดกี ว่า การใช้คาอธิบายเพียงอย่างเดียว โดยหลักการที่ว่า ภาพจะช่วยอธิบายสิ่งที่เป็นนามธรรมให้ง่ายต่อการ รับรู้ แม้ในเนือ้ หาบางช่วงจะมีความยากในการที่จะคิดสร้างภาพประกอบ แต่ก็ควรพิจารณาวิธีการ ต่างๆ ที่จะนาเสนอด้วยภาพให้ได้ แม้จะมีจานวนน้อย แต่ก็ยังดีกว่าคาอธิบายเพียงคาเดียว อย่างไรก็ ตามการใช้ภาพประกอบเนื้อหาอาจไม่ได้ผลเท่าที่ควร หากภาพเหล่านั้นมีรายละเอียดมากเกินไป ใช้ เวลามากไปในการ ปรากฏบนจอภาพ ไม่เกี่ยวข้องกับเนือ้ หา ซับซ้อน เข้าใจยาก และไม่เหมาะสมในเรื่องเทคนิคการ ออกแบบ เช่น ขาดความสมดุล องค์ประกอบภาพไม่ดี เป็นต้น ชีแ้ นะแนวทางการเรียนรู้ (Guide Learning) ตามหลักการและเงื่อนไขการเรียนรู้ (Condition of Learning) ผูเ้ รียนจะจาเนือ้ หาได้ดี หากมีการจัดระบบการเสนอเนื้อหาที่ดแี ละสัมพันธ์กับประสบการณ์ เดิมหรือความรูเ้ ดิมของผู้เรียน บางทฤษฎีกล่าวไว้ว่า การเรียนรูท้ ี่กระจ่างชัด (Meaningful Learning) นั้น ทางเดียวที่จะเกิดขึ้นได้ก็คือการที่ผเู้ รียนวิเคราะห์และตีความในเนื้อหาใหม่ลงบนพืน้ ฐานของความรู้ และประสบการณ์เดิม รวมกันเกิดเป็นองค์ความรู้ใหม่ ดังนัน้ หน้าที่ของผู้ออกแบบคอมพิวเตอร์ช่วย สอนในขั้นนีก้ ็คือ พยายามค้นหาเทคนิคในการที่จะกระตุ้นให้ผเู้ รียนนาความรูเ้ ดิมมาใช้ในการศึกษา ความรูใ้ หม่ นอกจากนั้น ยังจะต้องพยายามหาวิถีทางที่จะทาให้การศึกษาความรูใ้ หม่ของผูเ้ รียนนั้นมี ความกระจ่างชัดเท่าที่จะทาได้ เป็นต้นว่า การใช้เทคนิคต่างๆ เข้าช่วย ได้แก่ เทคนิคการให้ตัวอย่าง (Example) และตัวอย่างที่ไม่ใช่ตัวอย่าง (Non-example) อาจจะช่วยทาให้ผู้เรียนแยกแยะความแตกต่าง และเข้าใจมโนคติของเนื้อหาต่างๆ ได้ชัดเจนขึน้ ผูอ้ อกแบบบทเรียนคอมพิวเตอร์มัลติมเี ดียอาจใช้วธิ ีการ


ค้นพบ (Guided Discovery) ซึ่งหมายถึง การพยายามให้ผเู้ รียนคิดหาเหตุผล ค้นคว้า และวิเคราะห์หา คาตอบด้วยตนเอง โดยบทเรียนจะค่อยๆ ชีแ้ นะจากจุดกว้างๆ และแคบลงๆ จนผู้เรียนหาคาตอบได้เอง นอกจากนั้น การใช้คาอธิบายกระตุ้นให้ผเู้ รียนได้คิด ก็เป็นเทคนิคอีกประการหนึ่งที่สามารถนาไปใช้ใน การชีแ้ นวทางการเรียนรู้ได้ สรุปแล้วในขั้นตอนนี้ผอู้ อกแบบจะต้องยึดหลักการจัดการเรียนรู้ จากสิ่งที่มี ประสบการณ์เดิมไปสู่เนื้อหาใหม่ จากสิ่งที่ยากไปสู่สิ่งที่งา่ ยกว่า ตามลาดับขั้น กระตุน้ การตอบสนองบทเรียน (Elicit Response) นักการศึกษากล่าวว่า การเรียนรู้จะมี ประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใดนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับระดับและขั้นตอนของการประมวลผลข้อมูล หาก ผูเ้ รียนได้มโี อกาสร่วมคิด ร่วมกิจกรรมในส่วนที่เกี่ยวกับเนือ้ หา และร่วมตอบคาถาม จะส่งผลให้มี ความจาดีกว่าผูเ้ รียนที่ใช้วิธีอ่านหรือคัดลอกข้อความจากผู้อ่นื เพียงอย่างเดียว บทเรียนคอมพิวเตอร์ มี ข้อได้เปรียบกว่าโสตทัศนูปการอื่นๆ เช่น วิดีทัศน์ ภาพยนตร์ สไลด์ เทปเสียง เป็นต้น ซึ่งสื่อการเรียน การสอนเหล่านีจ้ ัดเป็นแบบปฏิสัมพันธ์ไม่ได้ (Non-interactive Media) แตกต่างจากการเรียนด้วย บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ผู้เรียนสามารถมีกิจกรรมร่วมในบทเรียนได้หลายลักษณะ ไม่วา่ จะเป็น การตอบคาถาม แสดงความคิดเห็น เลือกกิจกรรม และปฏิสัมพันธ์กับบทเรียน กิจกรรมเหล่านีเ้ องที่ไม่ ทาให้ผู้เรียนรู้สึกเบื่อหน่าย เมื่อมีสว่ นร่วม ก็มีสว่ นคิดนาหรือติดตามบทเรียน ย่อมมีส่วนผูกประสานให้ ความจาดีข้ึน ให้ข้อมูลย้อนกลับ (Provide Feedback) ผลจากการวิจัยพบว่า บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนจะ กระตุน้ ความสนใจจากผู้เรียนได้มากขึ้น ถ้าบทเรียนนั้นท้าทาย โดยการบอกเป้าหมายที่ชัดเจน และแจ้ง ให้ผู้เรียนทราบว่าขณะนั้นผู้เรียนอยู่ที่ส่วนใด ห่างจากเป้าหมายเท่าใด การให้ข้อมูลย้อนกลับดังกล่าว ถ้านาเสนอด้วยภาพจะช่วยเร่งเร้าความสนใจได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะถ้าภาพนั้นเกี่ยวกับเนือ้ หาที่เรียน อย่างไรก็ตาม การให้ขอ้ มูลย้อนกลับด้วยภาพ หรือกราฟฟิกอาจมีผลเสียอยู่บ้างตรงที่ผู้เรียนอาจ ต้องการดูผล ว่าหากทาผิด แล้วจะเกิดอะไรขึ้น ตัวอย่างเช่น บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนแบบเกม การสอนแบบแขวนคอสาหรับการสอนคาศัพท์ภาษาอังกฤษ ผู้เรียนอาจตอบโดยการกดแป้นพิมพ์ไป เรื่อยๆ โดยไม่สนใจเนื้อหา เนื่องจากต้องการดูผลจากการแขวนคอ วิธีหลีกเลี่ยงก็คือ เปลี่ยนจากการ นาเสนอภาพ ในทางบวก เช่น ภาพเล่นเรือเข้าหาฝั่ง ภาพขับยานสู่ดวงจันทร์ ภาพหนูเดินไปกินเนยแข็ง เป็นต้น ซึ่งจะไปถึงจุดหมายได้ด้วยการตอบถูกเท่านั้น หากตอบผิดจะไม่เกิดอะไรขึ้น อย่างไรก็ตามถ้า เป็นบทเรียนที่ใช้กับกลุ่มเป้าหมายระดับสูงหรือ เนือ้ หาที่มคี วามยาก การให้ขอ้ มูลย้อนกลับด้วยคาเขียน หรือกราฟจะเหมาะสมกว่า ทดสอบความรูใ้ หม่ (Assess Performance) การทดสอบความรูใ้ หม่หลังจากศึกษาบทเรียน คอมพิวเตอร์ช่วยสอน เรียกว่า การทดสอบหลังบทเรียน (Post-test) เป็นการเปิดโอกาสให้ผเู้ รียนได้ ทดสอบความรูข้ องตนเอง นอกจากนีจ้ ะยังเป็นการวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนว่าผ่านเกณฑ์ที่กาหนด หรือไม่ เพื่อที่จะไปศึกษาในบทเรียนต่อไปหรือต้องกลับไปศึกษาเนือ้ หาใหม่ การทดสอบหลังบทเรียนจึง มีความจาเป็นสาหรับบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนทุกประเภท นอกจากจะเป็นการประเมินผลการ


เรียนรู้แล้ว การทดสอบยังมีผลต่อความคงทนในการจดจาเนือ้ หาของผู้เรียนด้วย แบบทดสอบจึงควร ถามแบบเรียงลาดับตามวัตถุประสงค์ของบทเรียน ถ้าบทเรียนมีหลายหัวเรื่องย่อย อาจแยก แบบทดสอบออกเป็นส่วนๆ ตามเนือ้ หา โดยมีแบบทดสอบรวมหลังบทเรียนอีกชุดหนึ่งก็ได้ ทั้งนีข้ นึ้ อยู่ กับว่าผูอ้ อกแบบบทเรียนต้องการแบบใด สรุปและนาไปใช้ (Review and Transfer) การสรุปและนาไปใช้ จัดว่าเป็นส่วนสาคัญในขั้นตอน สุดท้ายที่บทเรียนจะต้องสรุปมโนคติของเนื้อหาเฉพาะประเด็นสาคัญๆ รวมทั้งข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อ เปิดโอกาสให้ผเู้ รียนได้มโี อกาสทบทวนความรูข้ องตนเองหลังจากศึกษาเนื้อหาผ่านมาแล้ว ใน ขณะเดียวกัน บทเรียนต้องชี้แนะเนือ้ หาที่เกี่ยวข้องหรือให้ข้อมูลอ้างอิงเพิ่มเติม เพื่อแนะแนวทางให้ ผูเ้ รียนได้ศกึ ษาต่อในบทเรียนถัดไป หรือนาไปประยุกต์ใช้กับงานอื่นต่อไป


ขั้นตอนการดาเนิ นงานที่มีการปฏิบตั ิที่เป็ นเลิศในระบบการเรี ยนรู ้ ศึกษาและวิเคราะห์ปัญหายา เสพติด วิเคราะห์ผเู้ รี ยน

ปรับพื้นฐาน/

วางแผน/ออกแบบ (ใช่) การจัดกิจกรรม

จัดกลุ่มผูเ้ รี ยน

จัดทานวัตกรรมเพื่อสร้ างภูมิคุม้ กัน

ดาเนินการจัดกิจกรรมการเรี ยนรู้

ประเมินผลการเรี ยนรู้

ผ่านเกณฑ์ (ผ่าน)

หรื อไม่

พัฒนาการจัดกิจกรรมการเรี ยนรู้

สรุ ป /รายงานผลระบบการเรี ยนรู้

(ไม่ผา่ น)

แก้ไขปรับปรุ ง/ วิจยั ปฏิบตั ิการ


7.

กระบวนการพัฒนา BP 7.1 กลุ่มเป้าหมายในการนา BP ไปใช้ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนดิศกุล อาเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี สังกัดสานักงานเขตพืน้ ที่ การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 จานวน 24 คน ใช้วธิ ีการเลือกแบบเจาะจง 7.2ขั้นตอนการพัฒนา BP ผู้พัฒนาได้ดาเนินการพัฒนาเป็นชดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมความรู้และภูมิคมุ้ กันยาเสพติดโดยดาเนินการดังนี้ - ประเมินความต้องการนวัตกรรม (need analysis) โดยประเมินสภาพปัญหาเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่าง ชัดเจนเพื่อค้นหาความบกพร่อง ความไม่สมบรูณข์ องสิง่ ทีม่ ีอยู่ และก่อให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติ รวมทัง้ ปัจจัยอุปสรรคที่อาจมีผลขัดขวางการพัฒนาคุณภาพบริการจากการใช้นวัตกรรม -กาหนดประเด็นหรือหัวข้อทีต่ ้องการพัฒนานวัตกรรม ให้มีความเฉพาะเจาะจง ไม่ศึกษาหลายเรื่อง ในเวลาเดียวกัน โดยนวัตกรรมที่จะพัฒนาอาจเป็น กลวิธี เทคนิค โปรแกรม วัสดุ/อุปกรณ์ การปรับเปลี่ยน สภาพแวดล้อม - ทบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบโดยตรวจสอบว่ามีกี่วิธีที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาให้ดีข้นึ การ ประเมินคุณภาพข้อมูลเชิงประจักษ์ทาโดยสืบค้นวรรณกรรมที่สนับสนุนความเข้าใจเกีย่ วกับการออกแบบ นวัตกรรม -สังเคราะห์ข้อความรู้ที่ได้จากวรรณกรรมที่มีคุณภาพเมื่อนามาบูรณาการวางแผนและการออกแบบ นวัตกรรม -. กาหนดรายละเอียดของวิธกี ารใช้นวัตกรรม -.ดาเนินการศึกษานวัตกรรมในหน่วยงานหรือองค์กรเป้าหมาย ตามแผนที่วางไว้ - ประเมินประสิทธิภาพของนวัตกรรม ทั้งในด้านกระบวนการ รูปแบบและผลลัพธ์ -.บันทึกโดยสรุปผลพร้อมแหล่งอ้างอิงที่ใช้ในการสร้างนวัตกรรมและการอภิปรายผลลัพธ์ของ นวัตกรรม 7.3 การตรวจสอบคุณภาพ BP วิธีการตรวจสอบคุณภาพ BP โดยใช้เครื่องมือดังต่อไปนี้ เมื่อผู้พัฒนาได้ดาเนินการสร้างชุดกิจกรรมเสริมสร้างภูมิคมุ้ กันยาเสพติดสาหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทั้งหมด 5 กิจกรรมได้นาผลงานมาตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหาเพื่อหาค่าดัชนีความสอดคล้อง IOC ตาม หลักวิชาการ ซึ่งได้ค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 0.87 และดาเนินการแก้ไขความถูกต้องของเนือ้ หาดังนี้ ปรับจุดประสงค์การเรียนรูใ้ ห้เป็นเชิงพฤติกรรมปรับสื่อการเรียนรูใ้ ห้นา่ สนใจเพื่อกระตุน้ ให้ผู้เรียนเกิดการ เรียนรู้ 7.4 แนวทางการนา BP ไปใช้ประโยชน์ - ใช้เป็นนวัตกรรมกิจกรรมแนะแนวในการสร้างภูมิคุ้มกันปัญหายาเสพติดของโรงเรียนดิศกุล -. ใช้เป็นนวัตกรรม เผยแพร่ให้กับโรงเรียน คณะครู ชุมชนและผู้สนใจในการพัฒนาผู้เรียน/พัฒนา ตนเอง/พัฒนาสถานศึกษา


8. ผลสาเร็จทีเ่ กิดขึน้ จากการพัฒนา BP 8.1 ผลสาเร็จเชิงปริมาณ

นักเรียนกลุม่ เป้าหมาย ร้อยละ 85 มีความรูแ้ ละมีภูมิคมุ้ กันยาเสพติด 8.2 ผลสาเร็จเชิงคุณภาพ นักเรียนกลุม่ เป้าหมายมีความรูค้ วามเข้าใจสามารถสร้างภูมิคุ้มกันปัญหายาเสพติดได้ 8.3 ความพึงพอใจของผู้เกี่ยวข้องต่อ BP นักเรียนร้อยละ 90 มีความพึงพอใจในระดับมากที่สดุ และเสนอแนะให้จัดทานวัตกรรมในกลุ่มสาระ การเรียนรูต้ ่างๆ รวมทัง้ เพื่อแรงเสริมบวกโดยอ้างอิงจากความชื่นชอบของนักเรียนด้วย 9.

กระบวนการตรวจสอบซ้าเพือ่ พัฒนาปรับปรุง BP ให้เกิดผลดีอย่างต่อเนือ่ ง 9.1 วิธีการตรวจสอบซ้า BP ตรวจสอบปัญหาเพื่อหาสาเหตุข้อพกพร่องแต่ละขั้นตอนแล้วนานวัตกรรมมาปรับปรุงแก้ไข แล้วนากลับมา ใช้ซ้า 9.2 ผลการตรวจสอบซ้าเพื่อการพัฒนาและปรับปรุง BP นักเรียนสามารถนาชุดกิจกรรมที่ดาเนินการพัฒนาตัวเองไปใช้ในสร้างภูมิคุ้มกันปัญหายาเสพติดต่อตนเอง เพื่อน สถานศึกษา และชุมชนต่อไป 10.

การประชาสัมพันธ์ผลสาเร็จของ BP และการเผยแพร่ขยายผลในวงกว้าง 10.1 การเผยแพร่ผลงานโดยการนาวิธีขน ั้ ตอนและสื่อนวัตกรรมที่ผลิตขึน้ ไปใช้ให้ความรู้ในการจัด แสดงนิทรรศการผลงานครูและนักเรียน โรงเรียนดิศกุล 10.2 แผ่นพับ 10.3 เว็บไซด์ของโรงเรียน


เอกสารอ้างอิง


ตัวอย่างชุดกิจกรรมแนะแนว: เพื่อส่งเสริมความรู้และสร้างภูมิค้มุ กันยาเสพติด


ชุดกิจกรรมแนะแนว : เพื่อส่งเสริมความรู้และสร้างภูมิคุ้มกันยาเสพติด เรื่อง ตาสว่าง

นางสาววชรพร เพิ่มพูล โรงเรียนดิศกุล สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต ๑

สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ


ตัวอย่างแบบประเมินความพึงพอใจ เพื่อส่งเสริมความรู้และสร้างภูมิค้มุ กันยาเสพติด


แบบประเมินความพึงพอใจ การใช้นวัตกรรมเพือ่ ส่งเสริมความรูแ้ ละสร้างภูมคิ มุ้ กันยาเสพติด

คาชีแ้ จง ให้ใส่เครื่องหมาย √ลงในกรอบที่กาหนด ตามความคิดเห็นของท่านทีม่ ีตอ่ การใช้นวัตกรรม

ตอนที่ 1 ข้อมูลเกี่ยวกับผูต้ อบแบบสอบถาม เพศ

 ชาย  หญิง

บทบาท  ครู ผคู้ วบคุม  ผูป้ กครอง  นักเรี ยน ตอนที่ 2 การประเมินความพึงพอใจของนวัตกรรม รายการประเมิน 1 2 3 4 5 6

มากที่สุด (5)

มาก (4)

ปานกลาง (3)

น้อย (2)

น้อยที่สุด (1)

ความน่าสนใจของเนือ้ หา ประโยชน์ท่ไี ด้รับ ความถูกต้องของเนือ้ หา วิธีการนามาเสนอ ระยะเวลาเหมาะสมกับเนื้อหา ระดับความยากง่ายเหมาะสมกับผูเ้ รียน

ตอนที่ 3 ปัญหาอุปสรรค และข้อเสนอแนะอื่นๆ 2.1 ปัญหาอุปสรรค ..................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... 2.2 ข้อเสนอแนะอื่นๆ ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................................................................................... .

ขอขอบคุณ


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.