ผลการปฏิบัติงานที่เป็นเลิศ (Best Practice) ครูภาษาไทยยอดเยีย่ ม ด้านวิชาการ “สื่อสร้างสรรค์...สานฝันสู่การเรียนรู้”
นางนารี ปิ่นปี ตาแหน่ง ครูคศ.1 โรงเรียนดิศกุล สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรี เขต 1 สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ
Best Practice 1. ชื่อผลงาน BP สื่อสร้างสรรค์สานฝันสู่การเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรูภ้ าษาไทย ด้าน ( / )วิชาการ ( ) บริหารจัดการศึกษา ( ) นวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน 2. ข้อมูลทั่วไปของผู้พัฒนา BP 2.1 ชื่อผู้พัฒนา BP นางนารี ปิ่นปี ตาแหน่ง ครูคศ.1 2.2 โรงเรียนดิศกุล เครือข่ายพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาหนองตากยา ๒.๓ โทรศัพท์ 087-0100530 e-mail nareepinpee@gmail.com 3. เป้าหมาย/วัตถุประสงค์ของการพัฒนา BP ๓.๑ เพื่อสร้างเจตคติที่ดตี ่อการเรียนวิชาภาษาไทย ๓.๒ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนกระบวนการจัดการเรียนการสอนเรียนวิชาภาษาไทยโดยนักเรียนมี ส่วนร่วม ๓.๓ เพื่อสร้างแรงจูงใจในการจัดการเรียนการสอน ๓.๔เพื่อส่งเสริม พัฒนาและแก้ปัญหานักเรียน ให้มปี ระสบการณ์และศักยภาพเพิ่มขึ้น 4. ระยะเวลาในการพัฒนา BP (ระบุเริ่มต้นการพัฒนา และระยะเวลาที่ใช้ในการพัฒนา BP) ปีการศึกษา 2556 ถึง ปีการศึกษา 2557 5. ความเชื่อมโยง/สัมพันธ์ระหว่าง BP กับเป้าหมาย/จุดเน้น ของ สพป./สพฐ./สถานศึกษา กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศจุดเน้นการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน เส้นทางสู่ความสาเร็จ การปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สอง (พ.ศ.2552-2561) ที่มุ่งเน้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน 4 ใหม่ ได้แก่ การพัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่ ครูยุคใหม่ สถานศึกษาและแหล่งเรียนรู้ใหม่ และระบบ บริหารจัดการใหม่ ที่มุ่งหวังพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนเก่ง คนดี และมีความสุข เป็นคุณภาพของเด็กไทย ในอนาคต เป็นผู้ที่มคี วามสามารถ คิดเป็น ทาเป็น แก้ปัญหาเป็น ก้าวไกลสู่สากล และมีความเป็น พลเมืองที่สมบูรณ์ จุดเน้นการพัฒนาผู้เรียน คือ คุณภาพในตัวผูเ้ รียนที่มีความครอบคลุมในด้านความสามารถ และทักษะ ตลอดจนคุณลักษณะที่จะช่วยเสริมให้ผู้เรียนมีคุณภาพบรรลุตามเปูาหมายของหลักสูตร ซึ่งกาหนดไว้ ดังนี้ 1. ความสามารถและทักษะของผู้เรียน - ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 1 – 3 มีความสามารถอ่านออก เขียนได้ คิดเลขเป็ น มี ทักษะ การคิดขัน้ พืน้ ฐาน ทักษะชีวติ และทักษะการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ตามช่วงวัย
- ชั้นประถมศึกษาปีท่ี 4 – 6 มีความสามารถอ่านคล่อง เขียนคล่อง คิดเลขคล่อง มีทักษะการคิดขัน้ พืน้ ฐาน ทักษะชีวติ และทักษะการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ตามช่วงวัย 2. คุณลักษณะ มุ่งเน้นให้ผู้เรียนทุกระดับชั้นมี ความเป็นพลเมือง รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซื่อสัตย์สุจริต มีวินัย ใฝุเรียนรู้ อยู่อย่างพอเพียง มุ่งมั่นในการทางาน รักความเป็นไทย และมีจิต สาธารณะ ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่กาหนดไว้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และมีคุณลักษณะที่ต้องเน้นเป็นการเฉพาะในแต่ละช่วงวัยและพัฒนาต่อเนื่องใน ทุกช่วงชั้น ดังนี้ - ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 – 3 เน้นความใฝุดี - ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 ใฝุเรียนรู้ สพฐ. ได้ ก าหนดยุ ท ธศาสตร์ ใ นการขั บ เคลื่ อ นหลั ก สู ต ร การจั ด การเรี ย นรู้ ก ารวั ด และ ประเมินผล โดยมีจุด เน้นการพั ฒนาผู้เรีย นเป็นเครื่องมือในการขับ เคลื่อนผ่านยุ ท ธศาสตร์ 4 ยุทธศาสตร์ ดังนี้ - ยุทธศาสตร์ท่ี 1 เพิ่มขีดความสามารในการเรียนรู้ - ยุทธศาสตร์ท่ี 2 กระตุน้ เร่งรัด การนาจุดเน้นสูก่ ารปฏิบัติ - ยุทธศาสตร์ท่ี 3 สร้างความพร้อมให้ครู บุคลากรทางการศึกษา ผูป้ กครอง ชุมชน - ยุทธศาสตร์ท่ี 4 สร้างความเข้มแข็งการกากับ ติดตามการพัฒนาผูเ้ รียน เป้าหมายการพัฒนาคุณภาพตามจุดเน้น นักเรียนทุกคนมีความสามารถ ทักษะ และคุณลักษณะตามจุดเน้นแต่ละช่วงวัย การพัฒนาผูเ้ รียนให้บรรลุตามเปูาหมายตามจุดเน้นคุณภาพผูเ้ รียน ครูผสู้ อนจึงต้องแสวงหา วิธีการเพื่อพัฒนาผูเ้ รียน ซึ่ง Best Practice เป็นสิ่งที่จะช่วยให้กระบวนการจัดการเรียนการสอนเกิด ประสิทธิภาพ และส่งผลให้ผเู้ รียนมีคุณภาพอย่างแท้จริง 4. แนวคิด หลักการ ทฤษฎีที่นามาใช้ในการพัฒนา BP ความหมายของสื่อการสอนเพื่อการเรียนรู้ นักวิชาการในวงการเทคโนโลยีทางการศึกษา โสตทัศนศึกษา และวงการการศึกษา ได้ให้คา จากัดความของ “สื่อการสอน” ไว้อย่างหลากหลาย เช่น ชอร์ส กล่า วว่า เครื่อ งมือที่ช่วยสื่ อความหมายจัดขึ้นโดยครูและนั ก เรีย น เพื่อส่งเสริ ม การเรียนรู้ เครื่องมือการสอนทุกชนิดจัดเป็นสื่อการสอน เช่น หนังสือในห้องสมุด โสตทัศนวัสดุต่าง ๆ เช่น โทรทัศน์ วิทยุ สไลด์ ฟิล์มสตริป รูปภาพ แผนที่ ของจริง และทรัพยากรจากแหล่งชุมชน บราวน์ และคณะ กล่าวว่า จาพวกอุปกรณ์ทั้งหลายที่สามารถช่วยเสนอความรูใ้ ห้แก่ผู้เรียนจน เกิดผลการเรียนที่ดี ทั้งนี้รวมถึง กิจกรรมต่าง ๆ ที่ไม่เฉพาะแต่สิ่งที่เป็นวัตถุหรือเครื่องมือเท่านั้น เช่น การศึก ษานอกสถานที่ การแสดง บทบาทนาฏการ การสาธิต การทดลอง ตลอดจนการ
สัมภาษณ์และการสารวจเป็นต้ oเปรื่อง กุมุท กล่าวว่า สื่อการสอน หมายถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ใช้เป็น เครื่องมือหรือช่องทางสาหรับทาให้การสอนของครูถึงผู้เรียนและทาให้ผู้เรียนเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ หรือจุดมุง่ หมายที่ครูวางไว้ได้เป็นอย่างดี ชัยยงค์ พรหมวงศ์ ให้ความหมาย สื่อการสอนว่า วัสดุอุปกรณ์และวิธีการประกอบการสอน เพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการสื่อความหมายที่ผู้สอนประสงค์จะส่ง หรือถ่ายทอดไปยังผู้เรียนได้อย่างมี ประสิ ท ธิ ภ าพนอกจากนี้ ยั ง มี ค าอื่ น ๆ ที่ มี ค วามหมายใกล้ เ คี ย งกั บ สื่ อ การสอน เป็ น ต้ น ว่ า สื่อการเรียน หมายถึง เครื่องมือ ตลอดจนเทคนิคต่าง ๆ ที่จะมาสนับสนุนการเรียนการสอน เร้าความสนใจผู้เรียนรู้ให้เกิดการเรียนรู้ เกิดความเข้าใจดีขนึ้ อย่างรวดเร็ว สื่อการศึกษา คือ ระบบการนาวัสดุ และวิธีการมาเป็นตัวกลางในการให้การศึกษาความรู้แก่ ผูเ้ รียนโดยทั่วไป โสตทัศนูปกรณ์ หมายถึง วัสดุทั้งหลายที่นามาใช้ในห้องเรียน หรือนามาประกอบการสอน ใดๆ ก็ตาม เพื่อช่วยให้การเขียน การพูด การอภิปรายนั้นเข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งขึน้ คุณค่าของสื่อเพื่อการเรียนรู้ สื่อหรือตัวกลางในการถ่ายทอดความรูร้ ะหว่างผู้สอนกับผู้เรียน มีคุณค่าต่อการเรียนการสอน ทั้งกับผูส้ อนและผูเ้ รียนเป็นอย่างมาก กล่าวคือ - ในส่วนของผู้สอน สื่อ ช่วยให้บรรยากาศในการสอน น่าสนใจยิ่งขึ้น ช่วยแบ่งเบาภาระของ ครู ในการเตรียมเนือ้ หาเพราะอาจให้นักเรียนศึกษาได้จากสื่อ และยังช่วยให้ผู้สอนคิดค้นเทคนิคใหม่ๆ ที่ช่วยในการเรียนรูใ้ ห้นา่ สนใจยิ่งขึ้น - ในส่วนของผู้เรียน สื่อช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนที่ยุ่งยากซับซ้อนได้ง่ายขึ้นในเวลาอันสั้น เกิดความคิดรวบยอดได้ถูกต้อง สามารถมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนได้สะดวกช่วยให้ผู้เรียนศึกษา ค้นคว้าด้วยตนเอง กระตุน้ ความสนใจในการเรียนและสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียนได้ ดี ความสาคัญของสื่อการสอนเพื่อการเรียนรู้ ไชยยศ เรืองสุวรรณ กล่าวว่า ปัญหาอย่างหนึ่งในการสอนก็คือ แนวทางการตัดสินใจจัด ดาเนินการให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมขึ้นตามจุดมุ่งหมาย ซึ่งการสอนโดยทั่วไป ครูมักมี บทบาทในการจัดประสบการณ์ตา่ ง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านเนือ้ หาสาระ หรือทักษะและมีบทบาทในการจัด ประสบการณ์เพื่อการเรียนการสอน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับตัวผู้เรียนแต่ละคนด้วยว่า ผู้เรียนมีความต้องการ อย่างไร ดังนั้นการจัดการเรียนการสอนในรูปแบบนี้ การจัดสภาพแวดล้อมที่ดีเพื่อการเรียนการสอน จึงมีความสาคัญมาก ทั้งนี้เพื่อสร้างบรรยากาศและแรงจูงใจผู้เรียนให้เกิดความอยากเรียนรู้และเพื่อ เป็นแหล่งศึกษาค้นคว้าหาความรู้ของผู้เรียนได้ตามจุดมุ่งหมาย สภาพแวดล้อมเพื่อการเรียนรู้ทั้งมวล ที่จัดขึน้ มาเพื่อการเรียนการสอนนัน้ ก็คือ การเรียนการสอนนั่นเอง
เอ็ดการ์ เดล ได้กล่าวสรุปถึงความสาคัญของสื่อการสอน ดังนี้ 1. สื่อการสอน ช่วยสร้างรากฐานที่เป็นรูปธรรมขึ้นในความคิดของผู้เรียน การฟังเพียงอย่าง เดียวนั้น ผู้เรียนจะต้องใช้จินตนาการเข้าช่วยด้วย เพื่อให้สิ่งที่เป็นนามธรรมเกิดเป็นรูปธรรมขึ้นใน ความคิด แต่สาหรับสิ่งที่ยุ่งยากซับซ้อน ผูเ้ รียนย่อมไม่มีความสามารถจะทาได้ การใช้อุปกรณ์เข้าช่วย จะทาให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและสร้างรูปธรรมขึน้ ในใจได้ 2. สื่อการสอน ช่วยเร้าความสนใจของผู้เรียน เพราะผู้เรียนสามารถใช้ประสาทสัมผัสได้ด้วย ตา หู และการเคลื่อนไหวจับต้องได้แทนการฟังหรือดูเพียงอย่างเดียว 3. เป็นรากฐานในการพัฒนาการเรียนรู้และช่วยความทรงจาอย่างถาวร ผู้เรียนจะสามารถ นาประสบการณ์เดิมไปสัมพันธ์กับประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้ เมื่อมีพ้ืนฐานประสบการณ์เดิมที่ดอี ยู่แล้ว 4. ช่วยให้ผู้เรียนได้มีพัฒนาการทางความคิด ซึ่งต่อเนื่องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทาให้เห็น ความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสิ่งต่าง ๆ เช่น เวลา สถานที่ วัฏจักรของสิ่งมีชีวติ 5. ช่วยเพิ่มทักษะในการอ่านและเสริมสร้างความเข้าใจในความหมายของคาใหม่ ๆ ให้มาก ขึ้น ผู้เรียนที่อ่านหนังสือช้าก็จะสามารถอ่านได้ทันพวกที่อ่านเร็วได้ เพราะได้ยินเสียงและได้เห็น ภาพประกอบกัน เปรื่อง กุมุท ให้ความสาคัญของสื่อการสอน ดังนี้ 1. ช่วยให้คุณภาพการเรียนรู้ดขี นึ้ เพราะมีความจริงจังและมีความหมายชัดเจนต่อผูเ้ รียน 2. ช่วยให้นักเรียนรูไ้ ด้ในปริมาณมากขึ้นในเวลาที่กาหนดไว้จานวนหนึ่ง 3. ช่วยให้ผเู้ รียนสนใจและมีสว่ นร่วมอย่างแข็งขันในกระบวนการเรียนการสอน 4. ช่วยให้ผเู้ รียนจา ประทับความรูส้ ึก และทาอะไรเป็นเร็วขึ้นและดีข้ึน 5. ช่วยส่งเสริมการคิดและการแก้ปัญหาในขบวนการเรียนรู้ของนักเรียน 6. ช่วยให้สามารถเรียนรูใ้ นสิ่งที่เรียนได้ลาบากโดยการช่วยแก้ปัญหา หรือข้อจากัดต่าง ๆ ได้ ดังนี้ - ทาสิ่งที่ซับซ้อนให้งา่ ยขึ้น - ทานามธรรมให้มรี ูปธรรมขึ้น - ทาสิ่งที่เคลื่อนไหวเร็วให้ดูชา้ ลง - ทาสิ่งที่ใหญ่มากให้ย่อยขนาดลง - ทาสิ่งที่เล็กมากให้ขยายขนาดขึ้น - นาอดีตมาศึกษาได้ - นาสิ่งที่อยู่ไกลหรือลีล้ ับมาศึกษาได้ 7. ช่วยให้นักเรียนเรียนสาเร็จง่ายขึ้นและสอบได้มากขึ้น เมื่อทราบความสาคัญของสื่อการ สอนดังกล่าวข้างต้นแล้ว สิ่งที่ควรพิจารณาอีกประการก็คือ ประเภท หรือชนิดของสื่อการสอน ดังจะ กล่าวต่อไปดังนี้
ประเภทของสื่อการสอน เอ็ดการ์ เดล จาแนกประสบการณ์ทางการศึกษา เรียงลาดับจากประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรม ไปสู่ประสบการณ์ที่เป็นนามธรรม โดยยึดหลักว่า คนเราสามารถเข้าใจสิ่งที่เป็นรูปธรรมได้ดีและเร็ว กว่าสิ่งที่เป็นนามธรรมซึ่งเรียกว่า "กรวยแห่งประสบการณ์" (Cone of Experiences) ซึ่งมีทั้งหมด 11 ขั้น ดังนี้ 1. ประสบการณ์ตรง เป็นประสบการณ์ขั้นที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดโดยการให้ผู้เรียน ได้รับ ประสบการณ์ โดยตรงจากของจริง สถานการณ์จริง หรือด้วยการกระทาของตนเอง เช่น การจับ ต้องและการเห็นเป็นต้น 2. ประสบการณ์รอง เป็นการเรียนรู้โดยให้ผู้เรียนเรียนจากสิ่งที่ใกล้เคียงความเป็นจริง ซึ่งอาจเป็นของจาลองหรือการจาลองก็ได้ 3. ประสบการณ์นาฏกรรมหรือการแสดง เป็นการแสดงบทบาทสมมติหรือการแสดง ละคร เพื่อเป็นการจัดประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียนในเรื่องที่มีข้อจากัดด้วยยุคสมัย เวลา และสถานที่ เช่นเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์หรือเรื่องราวที่เป็นนามธรรมเป็นต้น 4. การสาธิต เป็นการแสดงหรือกระทาประกอบคาอธิบายเพื่อให้เป็นลาดับขั้นตอนของ การกระทานั้น 5. การศึกษานอกสถานที่ เป็นการให้ผู้เรียนได้รับและเรียนรู้ประสบการณ์ต่าง ๆ ภายนอกสถานที่เรียน อาจเป็นการเยี่ยมชมสถานที่ต่าง ๆ การสัมภาษณ์บุคคลต่าง ๆ เป็นต้น 6. นิทรรศการ เป็นการจัดแสดงสิ่งของต่า ง ๆ การจัดปูายนิเทศ ฯลฯ เพื่อให้ สารประโยชน์ และความรู้แก่ผู้ชม เป็นการให้ประสบการณ์แก่ ผู้ชมโดยการนาประสบการณ์หลาย อย่างผสมผสานกัน มากที่สุด 7. โทรทัศน์ โดยใช้ทั้งโทรทัศน์การศึกษาและโทรทัศน์การสอนเพื่อให้ข้อมูลความรู้ แก่ ผู้เรียนหรือผู้ชมที่อยู่ในห้องเรียนหรืออยู่ทางบ้านและใช้ส่ งได้ทั้งในระบบวงจรเปิดและวงจรปิ ด การสอนอาจจะเป็นการสอนสดหรือบันทึกลงวีดิทัศน์ก็ได้ 8. ภาพยนตร์ เป็น ภาพที่บัน ทึก เรื่อ งราวเหตุก ารณ์ล งบนฟิล์ม เพื่อ ให้ผู้เ รีย นได้รับ ประสบการณ์ทั้งภาพและเสียง โดยใช้ประสาทตาและหู 9. การบันทึกเสียง วิทยุ ภาพนิ่ง การบันทึกเสียงอาจเป็นทั้งในรูปแผ่นเสียงหรือเทป บันทึกเสียง วิทยุเป็นสื่อที่ให้เฉพาะเสียง ส่วนภาพนิ่งอาจเป็นรูปภาพ สไลด์ โดยเป็นภาพวาด ภาพ ล้อ หรือภาพเสมือนจริง ก็ไ ด้ข้อ มูล ที่อยู่ใ นสื่อขั้นนี้จ ะให้ป ระสบการณ์แก่ผู้เ รีย นที่ถึง แม้จ ะอ่า น หนังสือไม่ออก แต่ก็สามารถจะเข้าใจเนื้อหาเรื่องราวที่สอนได้ เนื่องจากเป็นการนับ หรือดูภาพ เท่านั้น ไม่จาเป็นต้องอ่าน
10. ทัศนสัญลักษณ์ เช่น แผนที่ แผนภูมิ แผนสถิติ หรือเครื่องหมายต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ เป็นสัญลักษณ์แทนความเป็นจริงของสิ่งต่างๆหรือข้อมูลที่ต้องการให้เรียนรู้ 11. วจนสัญลักษณ์ เป็นประสบการณ์ขั้นที่เป็นนามธรรมมากที่สุด ได้แก่ ตัวหนังสือใน ภาษาเขียนและเสียงของคาพูดในภาษาพูด การใช้ก รอบประสบการณ์ของเดลจะเริ่มต้นด้วยการให้ผู้เรีย นมีส่วนร่วมอยู่ใ นเหตุก ารณ์ หรือการกระทาจริง เพื่อให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ตรงเกิดขึ้นก่อน แล้วจึงเรียนรู้โดยการเฝูาสังเกต ในเหตุก ารณ์ที่เ กิด ขึ้น ซึ่งเป็น ขั้นต่อไปของการได้รับ ประสบการณ์รอง ต่อจากนั้นจึงเป็นการ เรีย นรู้ด้ว ยการรับ ประสบการณ์โ ดยผ่า นสื่อ ต่า ง ๆ และท้า ยที่สุด เป็น การให้ผู้เ รีย นเรีย นจาก สัญลักษณ์ซึ่งเป็นเสมือนตัวแทนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น นักจิตวิทยาท่านหนึ่ง คือ เจโรม บรุนเนอร์ (Jerome Bruner) ได้ออกแบบโครงสร้างของ กิจกรรมการสอน ไว้รูป แบบหนึ่ง โดยประกอบด้วยมโนทัศน์ด้านการกระทาโดยตรง (Enactive) การเรียนรู้ด้ว ยภาพ (Iconic) และ การเรียนรู้ด้วยนามธรรม (Abstract) เมื่อเปรียบเทียบกรวย ประสบการณ์ของเดลกับลักษณะสาคัญ 3 ประการ ของการเรียนรู้ของบรุนเนอร์แล้ว จะเห็นได้ว่า มีลัก ษณะที่ใ กล้เ คีย งและเป็นคู่ขนานกัน เมื่อพิจารณาจากกรวย -ประสบการณ์ของการเรีย นรู้ ของบรุนเนอร์แล้ว จากฐานของกรวยขึ้นไป 6 ขั้นตอน จะเป็นการที่ผู้เ รีย นเรีย นโดยการได้รับ ประสบการณ์ด้วยตนเองจากการกระทา การมีส่วนร่วมในรูปแบบต่างๆ ของประสบการณ์ที่เป็น จริงและ การสังเกตจากของจริงหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งเปรียบเทียบได้กับการเรียนรู้ด้วย การกระทา ในขั้นตอนที่ 7-9 เป็นการที่ผู้เ รีย นสังเกตเหตุก ารณ์หรือรับ ประสบการณ์จากการ ถ่ายทอดโดยสื่อประเภทภาพและเสียง เช่น จากโทรทัศน์และวิทยุ เป็นต้ น เสมือนเป็นการเรียนรู้ ด้ว ยภาพ และใน 2 ขั้น ตอนสุด ท้า ย เป็นขั้น ตอนของการที่ ผู้เ รีย น ได้รับ ประสบการณ์จ าก สัญลักษณ์ในรูปแบบของตัวอักษร เครื่องหมายหรือ คาพูด ซึ่งมีลักษณะเป็นนามธรรมมากที่สุด
รูปแสดงกรวยประสบการณ์ของเอ็ดการ์เดล และเปรียบเทียบกับลักษณะสาคัญในการเรียนรู้ของบรุนเนอร์
อย่างไรก็ตามการแบ่งขั้นตอนของกรวยประสบการณ์มิใช่เป็นการแบ่งตามลาดับความยาก ง่าย แต่เป็น การแบ่งลาดับขั้นความแตกต่างของประสบการณ์ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกัน ตัวอย่างเช่น ในรายการโทรทัศน์เ พื่อ การสอน ซึ่ง เป็น ขั้นตอนของการจัด ประสบการณ์ภาพและเสีย งให้แ ก่ ผู้เ รีย น รายการโทรทัศน์ที่จัด ขึ้นนี้ป ระกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ หลายอย่าง เช่น วจนสัญ ลัก ษณ์ ทัศนสัญลักษณ์ ประสบการณ์รอง การสาธิต ฯลฯ อยู่ในรายการนั้นด้วย ดังนี้เป็นต้น จากกรวยประสบการณ์นี้ เดลได้จาแนกสื่อการสอนออกเป็น 3 ประเภท คือ ๑. สื่อประเภทวัสดุ (Software) หมายถึง สื่อที่เก็บความรู้อยู่ในตัวเอง ซึ่งจาแนกย่อย ได้เป็น 2 ลักษณะ คือ 1.1 วัส ดุป ระเภทที่ส ามารถถ่ายทอดความรู้ไ ด้ด้ว ยตัว เอง โดยไม่จาเป็น ต้องอาศัย อุปกรณ์อื่นช่วย เช่น แผนที่ ลูกโลก รูปภาพ หุ่นจาลอง ฯลฯ 1.2 วัสดุประเภทที่ไม่สามารถถ่ายทอดความรู้ได้ด้วยตัวเอง จาเป็นต้องอาศัยอุปกรณ์ อื่นช่วย เช่น แผ่นซีดี ฟิล์มภาพยนตร์ สไลด์ ฯลฯ 2. สื่อ ประเภทอุปกรณ์ (Hardware) หมายถึง สิ่งที่เป็นตัวกลางหรือตัวผ่าน ทาให้ ข้อมูลหรือความรู้ที่บันทึกในวัส ดุส ามารถถ่ายทอดออกมาให้เ ห็นหรือได้ยิน เช่น เครื่องฉายแผ่น โปร่งใส เครื่องฉายสไลด์ เครื่องฉายภาพยนตร์ เครื่องเล่นซีดี เป็นต้น 3. สื่อประเภทเทคนิคและวิธีการ (Techniques and Methods) หมายถึง สื่อที่มี ลัก ษณะเป็นแนวความคิด หรื อรูป แบบขั้นตอนในการเรีย นการสอน โดยสามารถนาสื่อวัสดุและ อุปกรณ์มาใช้ช่วยในการสอนได้ เช่น เกมและการจาลอง การสอนแบบจุลภาค การสาธิต เป็นต้น อีลี (Ely) อีลีได้จาแนกสื่อการสอนตามทรัพยากรการเรียนรู้ (Learning Resources) เป็น 5 รูปแบบ โดยแบ่งได้เป็นสื่อที่ออกแบบขึ้นเพื่อจุดมุ่งหมายทางการศึกษา (by design) และสื่อที่มีอยู่ ทั่วไปแล้วนามาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน (by utilization) ได้แก่ 1. คน (People) ในทางการศึกษาโดยตรงนั้น หมายความถึง บุคลากรที่อยู่ในระบบของ โรงเรียน ได้แก่ ครู ผู้บริหาร ผู้แนะแนวการศึกษา ผู้ช่ วยสอน หรือผู้ที่อานวยความสะดวกด้านต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ส่วน “ คน ” ตามความหมายของการประยุกต์ใช้นั้น ได้แก่ คนที่ ทางานหรือ มีค วามชานาญงานในแต่ล ะสาขาซึ่ง มีอ ยู่ใ นวงสัง คมทั่ว ไป คนเหล่า นี้นับ เป็น “ ผู้เชี่ยวชาญ ” ซึ่งถึงแม้จะมิใช่นักการศึกษา แต่ก็สามารถจะช่วยอานวย ความสะดวกหรือเชิญมา เป็น วิท ยากร เพื่อ เสริมการเรีย นรู้ไ ด้ใ นการให้ค วามรู้แ ต่ละด้า น อาทิเ ช่น ศิล ปิน นัก การเมือ ง นักธุรกิจ ช่างซ่อมรถยนต์ เหล่านี้เป็นต้น
2. วัสดุ (Materials) วัสดุในการศึก ษาโดยตรงจะเป็นประเภทที่บ รรจุเ นื้อหาบทเรีย น โดยรูป แบบของวัส ดุมิใ ช่สิ่งสาคัญ ที่จะต้องคานึงถึง เช่น หนังสือ สไลด์ แผนที่ แผ่น ซีดี เป็นต้น หรือสื่อต่าง ๆ ที่เป็นทรัพยากรในโรงเรียนและได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยอานวยความสะดวก ในการเรียน การสอน ส่วนวัสดุที่นามาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนนั้นจะมีลักษณะเช่นเดียวกับ วัสดุที่ใช้ในการศึกษาดังกล่าวข้างต้น เพียงแต่ว่าเนื้อหาที่บ รรจุอยู่ในวัสดุนั้นส่วนมากจะอยู่ในรูป ของการให้ความบันเทิง เช่น เกมคอมพิวเตอร์ หรือภาพยนตร์สารคดีชีวิตสัตว์ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้ มักถูกมองไปในรูปของความบันเทิง แต่ก็สามารถให้ความรู้ได้เช่นกัน 3. อาคารสถานที่ (Settings) หมายถึง ตัวตึก ที่ว่าง สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ซึ่งมีผลเกี่ยวข้อง กับ ทรัพ ยากร รูป แบบอื่น ๆ ที่อ อกแบบมาเพื่อ การเรีย นการสอนโดยส่ว นรวม เช่น ห้อ งสมุด หอประชุม สนามเด็กเล่น เป็นต้น ส่วนสถานที่ต่าง ๆ ในชุมชนก็สามารถประยุกต์ใช้เป็นทรัพยากร สื่อการเรียนได้เช่นกัน เช่น โรงงาน ตลาด สถานที่ทางประวัติศาสตร์ พิพิธภัณฑ์ เป็นต้น 4. เครื่องมือและอุปกรณ์ (Tools and Equipment) เป็นทรัพยากรทางการเรียนรู้ เพื่อ ช่วย ในการผลิตหรือใช้ร่ว มกับทรั พยากรอื่น ส่วนมากมักเป็นเครื่องมือด้านโสตทัศนูปกรณ์หรือ เครื่องมือต่าง ๆ เช่น เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องคอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่ตะปู ไขควง เหล่านี้เป็นต้น 5. กิจกรรม (Activity) โดยทั่วไปแล้วกิจกรรมที่กล่าวถึงมักเป็นการดาเนินงานที่จัดขึ้น เพื่อกระทาร่วมกับ ทรัพ ยากรอื่น ๆ หรือเป็นเทคนิควิธีการพิเ ศษเพื่อการเรียนการสอน เช่น การ สอน แบบโปรแกรม เกม และการจ าลอง การจัด ทัศ นศึก ษา ฯลฯ กิจ กรรมเหล่า นี ้ม ัก มี วัตถุประสงค์เฉพาะ ที่ตั้งขึ้น มีการใช้วั สดุการเรียนเฉพาะแต่ละวิชา หรือมีวิธีการพิเศษในการเรียน การสอน ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง(Constructivism) เป็นทฤษฏีที่ให้ความสาคัญกับกระบวนการและวิธีการของบุคคลในการสร้า งความรู้ความ เข้ า ใจจากประสบการณ์ ร วมทั้ งโครงสร้ า งทางปั ญ ญาและความเชื่ อ ที่ ใ ช้ ใ นการแปลความหมาย เหตุการณ์และสิ่งต่างๆ เป็นกระบวนการที่ผู้เรียนจะต้องจัดกระทากับข้อมูล นอกจากกระบวนการ เรียนรู้จะเป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์ภายในสมองแล้ว ยังเป็นกระบวนการทางสังคมด้วย การสร้าง ความรูจ้ งึ เป็นกระบวนการทั้งด้านสติปัญญาและสังคมควบคู่กันไป หลักการจัดการเรียนการสอนตาม ทฤษฏีนี้จะมุ่งเน้นไปที่กระบวนการสร้างความรู้( process of knowledge construction) เปูาหมายของ การสอนจะเปลี่ย นจากการถ่ ายทอดให้ผู้ เ รีย นได้รั บ สาระความรู้ที่แ น่นอนตายตั ว ไปสู่ก ารสาธิ ต กระบวนการแปลและสร้างความหมายที่หลากหลาย ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้จัดกระท ากั บข้อมูลหรือ ประสบการณ์ต่างๆ และจะต้องสร้างความหมายให้กับสิ่งนั้นด้วยตนเอง โดยการให้ผู้เรียนอยู่ในบริบท จริง ในการจัดการเรียนการสอนครูจะต้องพยายามสร้างบรรยากาศทางสังคมจริยธรรมให้เกิดขึ้น
ผู้เรียนได้มีบทบาทในการเรียนรู้อย่างเต็มที่โดยผู้เรียนจะนาตนเองและควบคุมตนเองในการเรียนรู้ บทบาทของครูจะเป็นผู้ให้ความร่วมมือ อานวยความสะดวกและช่วยเหลือผู้เรียนในการเรียนรู้ การ ประเมินผลการเรียนรู้ตามทฤษฏีนีม้ ีลักษณะที่ยืดหยุ่นกันไปในแต่ละบุคคล การประเมินควรใช้วิธีการที่ หลากหลาย การวัดผลจะต้องใช้กิจกรรมหรืองานในบริบทจริงด้วย ซึ่งในกรณีที่จาเป็นต้องจาลองของ จริงมาก็สามารถทาได้ แต่เกณฑ์ที่ใช้ควรเป็นเกณฑ์ที่ใช้ในโลกความจริงด้วย ทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง(Constructivism) วีก็อทสกี้ เป็นนักจิตวิทยาชาวรัส เซียทฤษฎีเชาว์ปัญญาของ วีก็อทสกี้ เน้นความสาคัญของ วัฒนธรรม สังคม และการเรียนรูท้ ี่มตี ่อพัฒนาการเชาว์ปัญญา วีก็อทสกี้ แบ่งระดับเชาว์ปัญญาออกเป็น 2 ขั้น คือ 1. เชาว์ปัญญาขัน้ เบือ้ งต้น คือเชาว์ปัญญามูลฐานตามธรรมชาติโดยไม่ต้องเรียนรู้ 2. เชาว์ปัญญาขัน้ สูง คือเชาว์ปัญญาที่เกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับผูใ้ หญ่ที่ให้การอบรมเลี้ยง ดูถ่ายทอดวัฒนธรรมให้โดยใช้ภาษา วีก็อทสกีไ้ ด้แบ่งพัฒนาการทางภาษาเป็น 3 ขั้น คือ - ภาษที่ใช้ในการปฏิสัมพันธ์กับผูอ้ ื่น เรียกว่า ภาษาสังคม - ภาษาที่พูดกันตนเอง 3 – 7 ขวบ - ภาษาที่พูดในใจเฉพาะตน 7 ขวบขึน้ ไป สรุปได้ว่า การเรียนรู้ตามทฤษฎีการสร้างความรู้เป็นกระบวนการในการ Acting on ไม่ใช่ Taking in(ประมวลทฤษฎีการเรียนรู้ที่เป็นสากลและการประยุกต์สู่การสอน)ทฤษฎีการสร้างความรู้ ด้วยตนเอง (Constructivism) ก. ทฤษฎีการเรียนรู้ วีก็อทสกี้ (Vygotsky) เป็นนักจิตวิทยาชาวรัสเซียที่ได้ศึก ษาวิจัยเกี่ยวกับ พัฒนาการทางเชาว์ ปัญ ญาในสมัย เดียวกับ เพีย เจต์ (Piaget) ทฤษฎีพัฒนาการทางเชาว์ ปัญ ญา ของเพียเจต์และวีก็อทสกีเ้ ป็นรากฐานที่สาคัญของทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructivism) เพียเจต์เชื่อว่า (Piaget, 1972: 1 - 12) คนทุกคนจะมีการพัฒนาเชาว์ปัญญาไปตามลาดับขั้น จาก การปฏิสัมพันธ์และประสบการณ์กับสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ และประสบการณ์ที่เกี่ยวกับการคิดเชิง ตรรกะและคณิตศาสตร์ รวมทั้งการถ่ายทอดความรู้ท างสังคม ส่วนวีก็ อทสกี้ ให้ความสาคัญ กั บ วัฒนธรรมและสังคมมาก มนุษย์ได้รั บอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมตั้งแต่แรกเกิด ซึ่งนอกจากสิ่งแวดล้อม ทางธรรมชาติแล้วก็ยังมีสิ่งแวดล้อมทางสังคมวางก็คือวัฒนธรรมที่แต่ละสังคมสร้างขึน้ ข. การประยุกต์ใช้ทฤษฎีในการเรียนการสอน การนาทฤษฎีการสร้างความรู้ไปใช้ในการเรียน การสอน สามารถทาได้หลายประการ ดังนี้ 1. ตามทฤษฎีการสร้างความรู้ ผลของการเรียนรู้จะมุ่งเน้นไปที่กระบวนการสร้างความรู้ และการตระหนักรู้ในกระบวนการนั้นเปูาหมายการเรียนรู้จะต้องมาจากการปฏิบัติงานจริง ผู้เรียน จะต้องฝึกฝนการสร้างความรู้ดว้ ยตนเอง
2. เปู า หมายของการสอนจะเปลี่ย นจากการถ่า ยทอดให้ ผู้เ รี ย นได้รั บ สาระความรู้ ที่ แน่นอนตายตัว ไปสู่การสาธิตกระบวนการแปลและสร้างความหมายที่หลากหลาย การเรียนรู้ทักษะ ต่างๆจะต้องให้มปี ระสิทธิภาพถึงขั้นทาได้และแก้ปัญหาจริงได้ 3. ในการเรียนการสอน ผูเ้ รียนจะเป็นผู้มีบทบาทในการเรียนรู้อย่างตื่นตัว ผู้เรียนจะต้อง เป็นผู้จัดกระทากับข้อมูลหรือประสบการณ์ต่างๆและจะต้องสร้างความหมายให้กับสิ่งนั้นด้วยตนเอง โดยการให้ผู้เรียนอยู่ในบริบทจริง 4. ในการจัดการเรียนการสอนครูจะต้องพยายามสร้างบรรยากาศทางสังคม จริยธรรม ให้เกิดขึ้น กล่าวคือ ผู้เรียนจะต้องมีโอกาสเรียนรู้ในบรรยากาศที่เอื้ อต่อการปฎิสัมพันธ์ทางสังคม จะ ช่วยให้การเรียนรูข้ องผู้เรียนกว้างขึ้น และหลากหลายขึน้ 5. ในการเรียนการสอน ผูเ้ รียนมีบทบาทในการเรียนรู้อย่างเต็มที่ โดยผู้เรียนจะนาตนเอง และควบคุมตนเองในการเรียนรู้ 6. ในการเรียนการสอนแบบสร้างความรู้ ครูจะมีบทบาทแตกต่างไปจากเดิม คือจากการ เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้และควบคุมการเรียนรู้ เปลี่ยนไปเป็นการให้ความร่วมมือ อานวยความสะดวก และช่วยเหลือผู้เรียนในการเรียนรู้ คือการเรียนการสอนจะต้องเปลี่ยนจาก “การให้ความรู้” ไปเป็น “การให้ผเู้ รียนสร้างความรู้” 7. ในด้านการประเมินผลการเรียนการสอน เนื่องจากการเรียนรู้ตามทฤษฎีการสร้าง ความรูด้ ้วยตนเองนี้ ขึ้นกับความสนใจและการสร้างความหมายที่แตกต่างกันของบุคคล ผลการเรียนรู้ ที่เกิดขึน้ จึงมีลักษณะหลากหลาย สรุป ทฤษฎีการสร้างความรู้ดว้ ยตนเอง เป็นการฝึกการเรียนรู้ให้ความสาคัญกับกระบวนการ และวิธีการในการสร้างความรู้ ความเข้าใจจากประสบการณ์ การเรียนการสอนเน้นให้ผู้เรียนสร้าง ความรูด้ ้วยตนเอง เพื่อให้ได้รับรู้ถึงประสบการณ์จริงให้มีปฏิสัมพันธ์ที่เป็นจริงและสอดคล้องกับความ สนใจของผู้เรียน สมองเป็นเครื่องมือที่สาคัญในการแปลความหมายของเหตุการณ์หรือสิ่งต่างๆได้เป็น อย่างดี การนาทฤษฎีการสร้างความรู้ไปใช้ในการเรียนการสอน สามารถทาได้หลายประการดังนี้ 1. การสร้างความรู้ ผลของการเรียนรู้จะมุ่งเน้นไปที่กระบวนการสร้างความรู้ (process of knowledge construction) และการตระหนักรู้ในกระบวนการนั้น (reflexive awareness of that process) เปูาหมายการเรียนรู้จะต้องมาจากการปฏิบัติงานจริง (authentic tasks) ครูจะต้องเป็นตัวอย่างและ ฝึกฝนกระบวนการเรียนรู้ให้ผเู้ รียนเห็น ผูเ้ รียนจะต้องฝึกฝนการสร้างความรูด้ ้วยตนเอง 2. เปูาหมายของการสอน จะเปลี่ยนจากการถ่ายทอดให้ผู้เรียนได้รับสาระความรู้ที่แน่นอน ตายตัว ไปสู่การสาธิตกระบวนการแปลและสร้างความหมายที่หลากหลาย การเรียนรู้ทักษะต่าง ๆ จะต้องให้มปี ระสิทธิภาพถึงขั้นทาได้และแก้ปัญหาจริงได้
3. การเรียนการสอน ผู้เรียนมีบทบาทในการเรียนรู้อย่ างเต็มที่ (Devries, 1992: 1 - 2) ผูเ้ รียนจะต้องเป็นผู้จัดกระทากับข้อมูลหรือประสบการณ์ต่าง ๆ และจะต้องสร้างความหมายให้กับสิ่ง นั้นด้วยตนเอง โดยการให้ผู้เรียนอยู่ในบริบทจริง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าผูเ้ รียนจะต้องออกไปยังสถานที่ จริงเสมอไป แต่อาจจัดเป็นกิจกรรมที่เ ป็นกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อ วัสดุ อุปกรณ์ สิ่งของหรือข้อมูลต่าง ๆ ที่เป็นของจริงและมีความสอดคล้องกับความสนใจของผู้เรียน โดย ผู้เรียนสามารถจัดกระทา ศึกษา สารวจ วิเคราะห์ ทดลอง ลองผิดลองถูกกับสิ่งนั้น ๆ จนเกิดเป็น ความเข้าใจขึ้น ดังนั้นความเข้าใจเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากกระบวนการคิดการจัดกระทากับข้อมูล มิใช่ เกิดขึ้นได้งา่ ย ๆ จากการได้รับข้อมูลหรือมีขอ้ มูลเพียงเท่านั้น 4. การจัดการเรียนการสอน ครูจะต้องพยายามสร้างบรรยากาศทางสังคม จริยธรรม ให้ เกิดขึ้น กล่าวคือ ผูเ้ รียนจะต้องมีโอกาสเรียนรู้ในบรรยากาศที่เอื้อต่อการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ซึ่งทาง สังคมถือว่าเป็นปัจจัยสาคัญของการสร้างความรู้เพราะลาพังกิจกรรมและวัสดุอุปกรณ์ทั้งหลายที่ครู จัดให้หรือผูเ้ รียนแสวงหามาเพื่อการเรียนรู้ไม่เป็นการเพียงพอ ปฏิสัมพันธ์ทางสังคม การร่วมมือ และ การแลกเปลี่ยนความรู้ ความคิดและประสบการณ์ระหว่างผู้เรียนกับผู้เรียน และบุคคลอื่น ๆ จะช่วย ให้การเรียนรูข้ องผู้เรียนกว้างขึ้นซับซ้อนขึ้นและหลากหลายขึ้น การใช้สื่อการสอน 1. ใช้สื่อการสอนในขั้นนาเข้าสู่บทเรียน ทั้งนี้เพื่อเร้าผู้เรียนให้เกิดความสนใจ และเปลี่ยน พฤติกรรมในเบือ้ งต้น โดยปรับตนเองให้พร้อมที่จะเรียนรู้บทเรียนใหม่ ซึ่งอาจกระทาได้โดยการรื้อฟื้น ความรู้เดิม (assimilation) หรือขยายความรู้เดิม (accommodation) เพื่อนามาใช้ให้ประสานกันกับ ความรูใ้ หม่ ซึ่งจะเรียนในขั้นต่อไป 2. ใช้สื่อการสอนในขั้นประกอบการสอนหรือขั้นดาเนินกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อช่วย ให้ความกระจ่างในเนือ้ หาที่เรียนหรือทาให้ผู้เรียน เรียนรู้ได้ง่ายขึ้นและเข้าใจข้อเท็จจริงในเนื้อหาอย่าง แท้จริงในรูปของการเกิด Concept เข้าใจหลักการสาคัญ และมีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปใน แนวทางที่ดขี ึน้ ตามจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมที่ได้กาหนดไว้ 3. ใช้ส่อื การสอนเพื่อขยายขอบเขตความรู้ของผูเ้ รียนให้ก้าวหน้าและเจริญงอกงามทั้งในด้าน ความกว้างและความลึกของภูมิปัญญา ซึ่งเป็นผลของการเรียนอย่างแท้จริง ใช้ส่อื การสอนเพื่อย่อสรุป เนือ้ หาสาคัญของบทเรียนเกิดเป็น Concept ในเนื้อหาแต่ละเรื่อง 4. ใช้สื่อการสอนเพื่อส่งเสริมผู้เรียนให้มีการฝึกและพัฒนาตนเองให้รู้จักขั้นตอนและมี ความคิดสร้างสรรค์ (Control and Creativity)
หลักในการใช้สื่อ ในการพิจารณาเลือกใช้ส่อื การสอนแต่ละครั้งครูควรพิจารณาถึงความเหมาะสมของสื่อการ สอนแต่ละชนิด ดังนี้ 1. ความเหมาะสม สื่อที่จะใช้นั้นเหมาะสมกับเนือ้ หาและวัตถุประสงค์ของการสอนหรือไม่ 2. ความถูกต้อง สื่อที่จะใช้ช่วยให้นักเรียนได้ข้อสรุปที่ถูกต้องหรือไม่ 3. ความเข้าใจ สื่อที่จะใช้นั้นควรช่วยให้นักเรียนรู้จักคิดอย่างมี เหตุผลและให้ข้อมูลที่ถูกต้อง แก่นักเรียน 4. ประสบการณ์ที่ได้รับ สื่อที่ใช้นั้นช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ให้แก่นักเรียน 5. เหมาะสมกับวัย ระดับความยากง่ายของเนื้อหาที่บรรจุอยู่ในสื่อชนิดนั้น ๆ เหมาะสมกับ ระดับความสามารถ ความสนใจ และความต้องการของนักเรียนหรือไม่ 6. เทีย่ งตรงในเนือ้ หา สื่อนัน้ ช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้เนื้อหาที่ถูกต้องหรือไม่ 7. ใช้การได้ดี สื่อที่นามาใช้ควรทาให้เกิดประสิทธิภาพในการเรียนรูไ้ ด้ดี 8. คุ้มค่ากับราคา ผลที่ได้จะคุ้มค่ากับเวลา เงิน และการจัดเตรียมสื่อนัน้ หรือไม่ 9. ตรงกับความต้องการ สื่อนัน้ ช่วยให้นักเรียนร่วมกิจกรรมตามที่ครูต้องการหรือไม่ ๑๐. ช่วยเวลาความสนใจ สื่อนัน้ ช่วยกระตุ้นให้นักเรียนสนใจในช่วงเวลานานพอสมควรหรือ ๗. กระบวนการพัฒนา BP ๗.๑ กลุ่มเป้าหมายในการนา BP ไปใช้ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนดิศกุล จานวน 46 คน และนักเรียนที่สนใจใคร่ เรียนรู้ ๗.๒ ขั้นตอนการพัฒนา BP ขั้นเตรียมการ - ศึกษาหลักสูตร - แผนการจัดการเรียนรู้
ขั้นวางแผน - ชีแ้ จงนักเรียน ให้รายละเอียด ทาความเข้าใจ
ขั้นพัฒนา/ปรับปรุง - แก้ไข ปรับปรุง พัฒนา
ขั้นดาเนินการ - ร่วมออกแบบสื่อให้สอดคล้อง กับกิจกรรม และนาไปใช้
ขั้นตรวจสอบประเมิน - ตรวจสอบผลงาน -ประเมินผล
๗.๓ การตรวจสอบคุณภาพ BP ๑. ตรวจสอบโดยการใช้แบบประเมินผลความพึงพอใจชิ้นงานของสื่อและการนาไปใช้ใน การจัดการเรียนการสอน ซึ่งมีตัวนักเรียน เพื่อน ครู และผูป้ กครองร่วมกันประเมิน ๒. ตรวจสอบโดยสั ง เกตพฤติ ก รรม ความกระตื อ รื อ ร้ น การตอบสนองต่ อ การจั ด กิจกรรม ๓. ตรวจสอบจากการใช้แบบทดสอบก่อน-หลังการจัดการเรียนการสอน ๗.๔ แนวทางการนา BP ไปใช้ประโยชน์ ๑. นาไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยเน้นให้นักเรียนมีส่วนร่วม ๒. สามารถนาผลงานไปแสดงนิทรรศการวิชาการของโรงเรียน ๓. สามารถนาไปเป็นสื่อเพื่อส่งเสริมกระบวนทางภาษาไทยและส่งเสริมการอ่านได้ 8. ผลสาเร็จที่เกิดขึ้นจากการพัฒนา BP ๘.๑ ผลสาเร็จเชิงปริมาณ ๑. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนดิศกุล จานวน 46 คน สามารถสร้าง และใช้ สื่อในการจัดการเรียนการสอน ๒. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนดิศกุล มีผลการทดสอบทางการศึกษา ระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) เพิ่มขึ้น ปีการศึกษา 2556 ร้อยละ 25.81 ปีการศึกษา 2557 ร้อยละ 55.56 ๘.๒ ผลสาเร็จเชิงคุณภาพ ๑. นักเรียนมีโอกาสได้สร้างสรรค์สื่อด้วยตนเองที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดการเรียนการ สอน ๒. นักเรียนเกิดประสบการณ์และมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาสาระที่ได้เรียนรู้ร่วมกับ การใช้สื่อ ๓. นักเรียนเกิดความภาคภูมใิ จและประทับใจในผลงานของตนเอง ๘.๓ ความพึงพอใจของผู้เกี่ยวข้องต่อ BP ๑. ร้อยละ 85 ของนักเรียนกลุ่มเปูาหมายเกิดความพึงพอใจในการผลิตสื่อและการนา สื่อไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ๒. ร้อยละ 85 ของผู้ปกครองเกิดความพอใจต่อการผลิตสื่อและการเรียนรู้ของนักเรียน ๘.๔ ปัจจัยความสาเร็จของการพัฒนา BP/ประสบการณ์เรียนรู้จากการนา BP ไปใช้ ๑. ปัจจัยภายนอก ได้แก่ (1) ผู้ป กครอง ให้ก ารสนับ สนุนส่งเสริมให้นัก เรีย นได้ผลิตสื่อและนาสื่อ ไปใช้ ก าร เรียนรู้ดว้ ยตนเอง ทาให้โรงเรียนมีการดาเนินการได้อย่างเป็นรูปธรรม
๒. ปัจจัยภายใน ได้แก่ (1) ผู้บริหาร ให้ความสาคัญในการกระตุ้น กากับติดตาม และสนับสนุนให้ครูได้ แสดงพลังและศักยภาพอย่างเต็มที่ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ตลอดจนการส่งเสริมในเรื่องขวัญ และกาลังใจอย่างสม่าเสมอ (2) คณะครูและบุคลากรทางการศึกษา ช่วยแนะนา สนับสนุน และให้คาชี้แนะเพื่อจะ ได้นาไปปรับปรุงแก้ให้ดีข้ึน (3) ครูผู้สอน มีความตระหนักและเน้นความสาคัญ ในการวิเคราะห์ผู้เรียนและนาผล การวิ เ คราะห์ มาก าหนดแนวทางการจั ด การเรี ย นการสอนให้ สอดคล้อ งกั บ ความต้อ งการ และ ธรรมชาติของผู้เรียน ส่งเสริมการผลิตและการใช้สื่อให้แก่นักเรียนเพื่อสร้างเสริมการจัดการเรียนการ สอนอย่างต่อเนื่อง (4) ผู้เ รีย นมีค วามสนใจและเป็นผู้ใฝุรู้ใ ฝุเ รีย นและตระหนัก ในบทบาทหน้าที่ท าให้ ประสบความสาเร็จและเกิดประสิทธิภาพ 9. กระบวนการตรวจสอบซ้าเพื่อพัฒนาปรับปรุง BP ให้เกิดผลดีอย่างต่อเนื่อง 9.1 การตรวจสอบซ้า BP ตรวจสอบความถูกต้องของสื่อ การเรียนรู้ที่ผลิตเพื่อช่วยส่งเสริมการจัดกิจกรรมการเรียน การสอน หากเกิ ด ข้ อ ผิ ด พลาดท าการแก้ ไ ข ปรั บ ปรุ ง เพิ่ ม เติ ม ให้ ส ามารถใช้ ง านได้ และเกิ ด ประสิทธิภาพกับผูเ้ รียนอย่างคุ้มค่า 9.2 การตรวจสอบซ้าเพื่อพัฒนาปรับปรุง BP ให้เกิดผลดีอย่างต่อเนื่อง ใช้ส่อื การเรียนรูท้ ี่ผลิตขึ้นในกระบวนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะทาง ภาษาไทยให้ดีข้ึนและทาการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง 10. การประชาสัมพันธ์ผลสาเร็จของ BP และการเผยแพร่ขยายผลในวงกว้าง (ระบุ วัน เดือน ปี) และรูปแบบ/วิธีการประชาสัมพันธ์ เผยแพร่และขยายผล) - ได้นาสื่อการเรียนรู้ไปจัด นิท รรศการแสดงผลงานด้านวิชาการและเศรษฐกิจพอเพีย ง ปีการศึกษา 2556 - ใช้เป็นแบบเสริมทักษะกับนักเรียนที่สนใจ - ใช้เป็นสื่อในกิจกรรมการเรียนการสอน - ใช้เป็นตัวอย่างในการสร้างสื่อการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาในระดับชั้นต่อไป
ลงชื่อ
นารี ปิ่นปี เจ้าของผลงาน (นางนารี ปิ่นปี) ตาแหน่ง ครูคศ.1 โรงเรียนดิศกุล
ตัวอย่าง การผลิตสื่อส่งเสริมกิจกรรมการเรียนการสอน “นิทานกล่อง”
สื่อชุดการสอนสานวนไทย “ดอกไม้สานวน ไทย”
สื่อชุดการผันอักษร “การผันอักษรด้วยมือเรา”
สื่อชุดการสอน “คาไวพจน์”
สื่อชุดการสอน “คาขวัญจังหวัด”
สื่อชุดการสอน “ดอกไม้ในวรรณคดี”
สื่อชุดการสอน “นิทานทามือ”
ภาพกิจกรรม
นักเรียนร่วมแต่งกายตัวละครในวรรณคดี เนื่องในวันสุนทรภู่
การเปิดพจนานุกรม และการเล่านิทาน
กิจกรรมติว O-NET
กิจกรรมทาหนังสือเล่มเล็ก
จัดนิทรรศการแสดงผลงานด้านวิชาการและเศรษฐกิจพอเพียง ปีการศึกษา 2556