การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาแหงชาติครั้งที่ 29 ณ มหาวิทยาลัยแมฟาหลวง ระหวางวันที่ 24-25 ตุลาคม 2556
การพัฒนาการรูวิทยาศาสตร เรื่องพันธุกรรม ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 โดยใชการจัดการเรียนรูโดยใชประเด็นทางสังคมทีเ่ กี่ยวเนื่องกับวิทยาศาสตร The Development of Grade 9 Students’ Scientific Literacy in the Topic of Heredity Using Socio-scientific Issues
กฤติยาณี เจริญลอย1* ศศิเทพ ปติพรเทพิน2 และ พรรณภา ศักดิ์สูง3 1
สาขาวิชาวิทยาศาสตรศึกษา ภาควิชาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร 50 ถ.พหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900
2
สาขาวิชาวิทยาศาสตรศึกษา ภาควิชาการศึกษา คณะศึกษาศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร 50 ถ.พหลโยธิน เขตจตุจักร กรุงเทพฯ 10900 3
ภาควิชาสัตววิทยา คณะวิทยาศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร50 ถ.พหลโยธิน เขตจตุจกั ร กรุงเทพฯ 10900
*ผูนําเสนอผลงาน E-mail: mahnoi_tem@hotmail.com
บทคัดยอ การวิ จั ย นี้ มี วั ต ถุ ป ระสงค เ พื่ อ พั ฒ นาการรู วิ ท ยาศาสตร เรื่ อ งพั น ธุ ก รรม ของนั ก เรี ย นชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 3 จํานวน 17 คน โดยการจัดการเรียนรูโดยใชประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวเนื่องกับวิทยาศาสตร ในภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2555 ของโรงเรียนมัธยมศึกษาแหงหนึ่งในเขตกรุงเทพฯ เครื่องมือที่ใชในการวิจัย ไดแก แผนการจัดการเรียนรูโดยใชประเด็นทาง สังคมที่เกี่ยวเนื่องกับวิทยาศาสตร แบบวัดการรูวิทยาศาสตร อนุทินของนักเรียน บันทึกการสัมภาษณอยางไมเปนทางการ และวีดีทัศนบันทึกการสอน ผูวิจัยวิเคราะหขอมูลเชิงปริมาณจากการหาคาความถี่เพื่อหารอยละ วิเคราะหขอมูลเชิงคุณภาพ จากการวิเคราะหเนื้อหาเพื่อจัดกลุมคําตอบ ผลการวิจัย พบวาหลังการจัดการเรียนรู นักเรียนพัฒนาการรูวิทยาศาสตร ทั้ง 2 ดาน คือ 1) นักเรียนมีความเขาใจแนวคิดวิทยาศาสตรอยางสมบูร ณเพิ่มขึ้น ในทุกแนวคิด ไดแก ลักษณะทางพันธุกรรม โครโมโซม ดีเอ็นเอ และยีน กระบวนการถายทอดลักษณะทางพันธุกรรม โรคทางพันธุกรรม พันธุวิศวกรรม และการโคลน นิ่ง เปนรอยละ 47.06, 41.18, 70.59, 47.06 และ 70.59 ตามลําดับ 2) นักเรียนสวนใหญมีสวนรวมในประเด็นที่เกี่ยวของกับ พันธุกรรม เพิ่มขึ้นเปนรอยละ 70.59 โดยเฉพาะในระดับครอบครัว และชุมชน
Abstract
The purpose of this research was to develop 17 Grade 9 students’ scientific literacy of in the topic of heredity using socio-scientific issues in second semester of 2012 academic year from the secondary school in Bangkok. The research instruments were used in this study such as lesson plans, scientific literacy test, student journal, informal interviews and video. The researcher analyzed quantitative data with finding frequency and percentage. For analyzing qualitative data, content analysis was used. The results were that most students increased their scientific literacy after learning with socio-scientific issues in two aspects: 1) students increased their sound understanding about the meaning of heredity, chromosome DNA and gene, process of inheritance, genetic disorder, genetic engineering, and cloning which were 47.06% , 41.18%, 70.59%, 47.06% and 70.59% respectively 2) most students increasingly took action in issues about the heredity which were 70.59 % especially at the family and community level. คําสําคัญ: พันธุกรรม การรูวิทยาศาสตร การจัดการเรียนรูโดยใชประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวเนื่องกับวิทยาศาสตร SS 710
การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาแหงชาติครั้งที่ 29 ณ มหาวิทยาลัยแมฟาหลวง ระหวางวันที่ 24-25 ตุลาคม 2556
บทนํา วิทยาศาสตรมีบทบาทสําคัญยิ่งในสังคมโลกปจจุบัน และอนาคต เพราะวิทยาศาสตรเกี่ยวของกับชีวิตของทุกคน ทั้ ง ในการดํ า รงชี วิ ต ประจํ า วั น และการประกอบอาชี พ ตลอดจนผลผลิตเครื่องมือเครื่องใชตาง ๆ ในชีวิตและใน การทํางาน ลวนแตเปนการนําความรูทางวิทยาศาสตรมา ผสมผสานกั บความคิด สร างสรรคแ ละศาสตร อื่น ๆ เพื่ อ สรางสิ่งอํานวยความสะดวกหรือเทคโนโลยีใหกับมนุษย ซึ่งหากความรูท างวิท ยาศาสตร มีการพัฒนามากเทา ใด ก็ ย อ มส ง ผลต อ การพั ฒ นาเทคโนโลยี ม ากขึ้ น ตามไปด ว ย ดั ง นั้ น การศึ ก ษาค น คว า หาความรู ท างวิ ท ยาศาสตร ใ น ปจจุบันจึงเพิ่มขึ้นอยางไมหยุดหยอน อีกทั้งวิทยาศาสตรยัง ทําใหคนได พัฒนาวิธีคิด ทั้งความคิดเปนเหตุ เปนผล คิ ด สรางสรรค คิดวิเคราะห และความคิดอยางมีวิจารณญาณ ทํ า ให เกิ ด ทั ก ษ ะที่ สํ าคั ญ ในการค น คว า หาค วาม รู มีความสามารถในการแกปญหาอยางเปนระบบ สามารถ ตัดสินใจโดยใชขอมูลที่หลากหลายและประจักษพยานที่ ตรวจสอบได อาจถือไดวาวิทยาศาสตรเปนวัฒนธรรมของ โลกสมั ย ใหม ซึ่ ง เป น สั ง คมแห ง การเรี ย นรู (Knowledge based society ) จึงมีความจําเปนอยางยิ่งที่ทุกคนตองไดรับ การพัฒนาใหเปนผูรูวิทยาศาสตร [1] การรูวิทยาศาสตรจึงมีความสําคัญ อยางยิ่งในปจจุบัน เพราะมนุ ษ ย มี ค วามเกี่ ย วข อ งกั บ วิ ท ยาศาสตร แ ละ เทคโนโลยี และผลผลิตของวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี กลายเปนสวนหนึ่งในชีวิตประจําวัน [2] การรูวิทยาศาสตร เปนรากฐานสําคัญของความกาวหนาทางเศรษฐกิจ [3] การ กําหนดนโยบายของรัฐ ความตระหนักและมีสวนรวมใน ประเด็ น ทางวิ ท ยาศาสตร เช น ประเด็ น เกี่ ย วกั บ สุ ข ภาพ พลั ง งาน แหล งทรั พ ยากรธรรมชาติ อาหาร สิ่ ง แวดล อ ม และอื่น ๆ [4] การรู วิ ท ยาศาสตร (Scientific literacy) จึ ง เป น เปาหมายสําคัญของการจัดการเรียนรูวิทยาศาสตร กลาวคือ ผูเรียนจะตองมีความรูความเขาใจทฤษฎีและแนวคิดพื้นฐาน ทางวิทยาศาสตร โดยสามารถนําความรูวิทยาศาสตรไปใช ในชี วิ ต จริ ง มี ค วามสนใจและเห็น คุ ณ ค า ของวิ ธี ก ารทาง วิทยาศาสตรที่ทําใหเกิดความเขาใจโลก [5] สถาบันสงเสริม
การสอนวิทยาศาสตร [6] ไดกําหนดเปาหมายการจัดการ เรียนรูวิทยาศาสตรไว คือ เพื่อใหเขาใจหลักการ ทฤษฎีที่ เปนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร เขาใจขอบเขต ธรรมชาติ และ ข อ จํ า กั ด ของวิ ท ยาศาสตร มี ทั ก ษะสํ า คั ญ ในการศึ ก ษา คนควาและคิดค นทางวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี พัฒนา กระบวนการคิด จินตนาการ ความสามารถในการแกปญหา ทักษะในการสื่อสาร ทักษะการใชเทคโนโลยีสารสนเทศ แ ล ะ ค วาม ส าม า ร ถ ใ น การ ตั ด สิ น ใ จ ต ร ะ ห นั กถึ ง ความสัมพันธระหวางวิทยาศาสตร เทคโนโลยี มวลมนุษย และสภาพแวดลอมในเชิงที่มีอิทธิ พลและผลกระทบซึ่งกัน และกัน สามารถนําความรูความเขาใจในเรื่องวิทยาศาสตร และเทคโนโลยีไปใชให เกิดประโยชนตอสั งคมและการ ดํารงชีวิต มีเหตุผล ใจกวาง รับฟงความคิดเห็นของผูอื่น ใช วิธีทางวิทยาศาสตรในการแกปญหา สนใจ และใฝรูในเรื่อง วิ ท ยาศาสตร แ ละเทคโนโลยี เพื่ อ ให ก ารจั ด การเรี ย นรู วิทยาศาสตรบรรลุเปาหมาย ครูผูสอนจึงตองจัดการเรียนรู เพื่อใหผูเรียนคนพบความรูดวยตนเองมากที่สุด กลาวคือ การใหผูเรียนเปนศูนยกลาง โดยใชรูปแบบการสอน วิธีการ สอน และเทคนิคที่หลากหลาย [7] เนนการเชื่อมโยงกับชีวิต สภาพแวดลอม ภูมิปญญาทองถิ่น และการลงมือปฏิบัติดวย ตนเอง [6] อย า งไรก็ ต ามการจั ด การเรี ย นรู วิ ท ยาศาสตร ใ น ปจ จุบั นพบวา ครู ผูส อนสว นใหญยั ง คงใช การสอนแบบ บรรยาย โดยมุ ง การสอนเนื้ อ หาซึ่ ง ส ง เสริ ม การท อ งจํ า มากกวาการคิดวิเคราะหเสาะแสวงหาความรูดวยตนเอง ทํา ใหผูเรี ยนขาดทักษะการคิ ด ขาดความเข าใจอยางแทจริ ง และเกิดความเบื่อหนายตอการเรียน ซึ่งสงผลกระทบตอการ นําความรูทางวิทยาศาสตรไปสังเคราะหหรือบูรณาการ เพื่อ ใชประโยชนในชีวิตประจําวัน อีกทั้งกระบวนการจัดการ เรี ย นรู ยั ง มี รู ป แบบและเนื้ อ หาไม ดึ ง ดู ด ความสนใจของ ผูเรียนและขาดความตอเนื่องระหวางเนื้อหา เครื่องมือวัดผล การเรียนรูขาดมาตรฐาน กลาวคือมักจะใชแบบทดสอบที่ เนนความจํามากกวากระบวนการทางวิทยาศาสตร สวนการ วัดผลดานเจตคติทางวิทยาศาสตรมีเพียงสวนนอยเทานั้น หรือแทบจะไมมีเลย การประเมินผลจึงเปนการพิจารณาจาก ผลการสอบเพียงอยางเดียว มิไดพิจารณาจากผลการเรียนรู SS 711
การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาแหงชาติครั้งที่ 29 ณ มหาวิทยาลัยแมฟาหลวง ระหวางวันที่ 24-25 ตุลาคม 2556
ทั้งหมดของผูเรียนในกระบวนการเรียนรู [8] นอกจากนี้การ จั ด การเรี ย นรู ส ว นใหญ ยั ง ให ค วามสํ า คั ญ กั บ ผลสั ม ฤทธิ์ ทางการเรียนวิทยาศาสตรมากกวาการเรียนรูวิทยาศาสตร อยางแทจริง [9] และมีเปาหมายเพียงเพื่อนําความรูไปใช สอบแข ง ขั น เพื่ อ ศึ ก ษาต อ ในระดั บ อุ ด มศึ ก ษาเท า นั้ น นั ก เรี ย นบางส ว นคิ ด ว า วิ ช าวิ ท ยาศาสตร เ ป น วิ ช าที่ ย าก สลับซับซอน ตองเรียนเสริมหรือเรียนเพิ่มเติมตามสถาบัน กวดวิชาตาง ๆ จึงจะสามารถทําขอสอบแขงขันได ทําให เวลาอ า นหนั ง สื อ หรื อ ทํ า ความเข า ใจเนื้ อ หาสาระและ ธรรมชาติวิชานั้น ๆ นอยลง [10] การจัดการเรียนรูขางตน จึงไมสามารถทําให นักเรียนบรรลุเปาหมายของการสอน วิ ท ยาศาสตร แ ละไม ส ามารถส ง เสริ ม ให นั ก เรี ย นเป น ผู รู วิทยาศาสตรอยางแทจริง อย า งไรก็ ต าม จากประสบการณ ก ารสอนของ ผู วิ จั ย พบว า นั ก เรี ย นส ว นใหญ มี แ นวคิ ด วิ ท ยาศาสตร คลาดเคลื่ อ นได แ ก ลั ก ษณะทางพั น ธุ ก รรม ยี น ดี เ อ็ น เอ โครโมโซม โรคพัน ธุกรรม สอดคล องกั บงานวิจัย ทั้งใน และตางประเทศ พบวานักเรียน ครูชีววิทยา และประชาชน ทั่วไป แมกระทั่งอาจารยมหาวิทยาลัย [11]; [12]; [13]; [14] ; [15] ยั งมีแนวคิดเรื่องพันธุกรรมคลาดเคลื่อน ไดแ ก ลั ก ษณะทางพั น ธุ ก รรม ยี น ดี เ อ็ น เอ โครโมโซม โรค พันธุกรรม และการประยุกตใชความรูทางพันธุกรรม [16] นอกจากนี้นักเรียนยังขาดการมีสวนรวมในประเด็น ที่ เกี่ ย วข อ งกั บ พั น ธุ ก รรม ทั้ ง ที่ เ นื้ อ หาบางส ว นมี ค วาม เกี่ ย วข อ งกั บ ประเด็ น ทางสั ง คมที่ เ ป น ที่ ถ กเถี ย งกั น ใน ปจจุบัน เชน การโคลนนิ่ง (Cloning) เซลลตนกําเนิด (Stem cell) และสิ่ ง มี ชี วิ ต ดั ด แปลงพั น ธุ ก รรมหรื อ จี เ อ็ ม โอ (Genetically Modified Organism) ซึ่งสงผลตอการตระหนัก ถึงความสําคัญของวิทยาศาสตรตอการดํารงชีวิตประจําวัน ของนั ก เรี ย น [17] ถึ ง แม เ นื้ อ หาจะมี ค วามเกี่ ย วข อ งและ สําคัญตอการดําเนินชีวิตประจําวันของผูเรียนในดานตาง ๆ เชน การกินดีอยูดีและการยืดอายุ หรือการชะลอความแก ของมนุ ษ ย เช น การผลิ ตวั ค ซี นใหม ๆ ดว ยกรรมวิธี ท าง พันธุวิศวกรรม การสรางพันธุพืชหรือสัตวที่ตานทานเชื้อ โรค การเปลี่ยนยีนใหแกผูที่มียีนผิดปกติ (gene therapy) การค น พบยี น ที่ ทํ า ให เ กิ ด โรคร า ยต า ง ๆ การค น พบยี น
ควบคุมความแกของเซลล [18] จากลักษณะดังกลาวขางตน สะทอนใหเห็นวานักเรียนไมมีลักษณะของผูรูวิทยาศาสตร จากการศึกษาเอกสารและงานวิจัยพบวา การจัดการ เรียนรูโดยใชประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวเนื่องกับวิทยาศาสตร (Socio-scientific issue) สามารถสงเสริมการรูวิทยาศาสตร [19]; [20]; [21] และการมีสวนรวมในประเด็นที่เกี่ยวของ กับวิทยาศาสตรได [22]; [23] ทั้งนี้เพราะการจัดการเรียนรู โดยใชประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวเนื่องกับวิทยาศาสตรเปน การนํ า ประเด็ น ที่ ถ กเถี ย งกั น ในสั ง คม เนื่ อ งจากความ แตกตางดานความคิดเกี่ยวกับความถูกตองเหมาะสมของ แนวคิดกระบวนการและเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร [24] มาใชในการจัดการเรียนรูเพื่อใหการเรียนวิทยาศาสตรเปน การเรียนรูอยางมีความหมายและสอดคลองกับชีวิตจริงของ ผูเรียน [25] นอกจากนี้ยังเปนวิธีการจัดการเรี ยนรูที่เรา ความสนใจของนั ก เรี ย น[26] ที่ ส ามารถนํ า ไปสู ก ารรู วิ ท ยาศาสตร เพราะผู เ รี ย นได เ รี ย นรู วิ ท ยาศาสตร จ าก สถานการณที่ มีอยู จริ ง ซึ่ งจะสงเสริม ให นักเรียนเกิด การ เรียนรูอยางตอเนื่องตลอดชีวิต [27] ดังนั้น ผูวิจัยในฐานะที่เปนครูผูสอนวิชาวิทยาศาสตร จึงสนใจที่จะพัฒนาการรูวิทยาศาสตร เรื่องพันธุกรรม ของ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 โดยใชการจัดการเรียนรู โดยใชประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวเนื่องกับวิทยาศาสตร เพื่อ พัฒนาการรูวิทยาศาสตรทั้งดานแนวคิดและการมีสวนรวม ในประเด็นที่เกี่ยวของกับพันธุกรรม ระเบียบวิธีการศึกษาวิจัย 1. รูปแบบการวิจัย งานวิ จั ย นี้ ใ ช รู ป แบบการวิ จั ย ปฏิ บั ติ ก ารในชั้ น เรียน (Classroom Action Research) ที่มีการเก็บขอมูลทั้ง เชิงปริมาณและเชิงคุณภาพ เพื่อทําความเขาใจเกี่ยวกับ การ พัฒนาการรูวิทยาศาสตร เรื่องพันธุกรรม ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปที่ 3 ผูวิจัยไดดําเนินการตามหลักการและขั้นตอนของ การวิจัยเชิงปฏิบัติการตามกรอบแนวคิดของ Kemmis และ McTaggart [28] ซึ่งมีขั้นตอน ดังนี้
SS 712
การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาแหงชาติครั้งที่ 29 ณ มหาวิทยาลัยแมฟาหลวง ระหวางวันที่ 24-25 ตุลาคม 2556
1) ขั้นวางแผน (Plan) 1.1) สํารวจและวิเคราะหสภาพปญหาที่พบในการ จั ด การเรี ย นรู เรื่ อ งพั น ธุ ก รรม ของนั ก เรี ย นระดั บ ชั้ น มัธยมศึกษาปที่ 3 ซึ่งพบวานักเรียนสวนใหญมีลักษณะของ ผู ไ ม รู วิ ท ยาศาสตร คื อ นั ก เรี ย นมี แ นวคิ ด วิ ท ยาศาสตร คลาดเคลื่อนและไมมีสวนรวมในประเด็นที่เกี่ยวของกับ พันธุกรรม 1.2) วิ เ คราะห ตั ว ชี้ วั ด หลั ก สู ต รแกนกลาง การศึ ก ษาขั้ น พื้ น ฐาน พุ ท ธศั ก ราช 2551 กลุ ม สาระการ เรียนรูวิทยาศาสตร หนวยการเรียนรูเรื่องพันธุกรรม ของ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 1.3) ศึ ก ษาเอกสารและงานวิ จั ย ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ แนวคิ ดวิท ยาศาสตร เรื่ อง พันธุก รรม การรูวิท ยาศาสตร ประเด็ น ทางสั ง คมที่ เ กี่ ย วเนื่ อ งกั บ วิ ท ยาศาสตร แ ละการ จั ด การเรี ย นรู โ ดยใช ป ระเด็ น ทางสั ง คมที่ เ กี่ ย วเนื่ อ งกั บ วิทยาศาสตรที่ชวยพัฒนาการรูวิทยาศาสตร 1.4) สรางเครื่องมือเพื่อใชในการจัดการเรียนรู คือ แผนการจั ด การเรี ย นรู เรื่ อ งพั น ธุ ก รรม ของนั ก เรี ย น ระดั บ ชั้ น มั ธ ยมศึ ก ษาป ที่ 3 โดยใช ป ระเด็ น ทางสั ง คมที่ เกี่ยวเนื่องกับวิทยาศาสตร จํานวน 7 แผน 18 ชั่วโมง 1.5) สรางเครื่องมือเพื่อเก็บรวบรวมขอมูล ไดแก แบบวั ด การรู วิ ท ยาศาสตร เรื่ อ งพั น ธุ ก รรม อนุ ทิ น ของ นักเรียนและแบบบันทึกการสัมภาษณอยางไมเปนทางการ 2) ขั้นปฏิบัติ (Act) ผูวิจัยจัดการเรียนรูตามแผนการจัดการเรียนรู เรื่อง พั น ธุ ก รรม โดยใช ป ระเด็ น ทางสั ง คมที่ เ กี่ ย วเนื่ อ งกั บ วิทยาศาสตร จํานวน 7 แผน 18 คาบ (คาบละ 50 นาที) โดย ระหวางการจัดการเรียนรูผูวิจัยไดบันทึกวีดีทัศนการสอน เพื่อสังเกตการสอนของตนเอง ปฏิสัมพันธระหวางผูวิจัยกับ นักเรียน ปฏิสัมพันธระหวางนักเรียน และพฤติกรรมการ เรียนรูของนักเรียนใหครอบคลุมยิ่งขึ้น 3) ขั้นสังเกต (Observe) ผูวิจัยสังเกตการจัดการเรียนรู ของตนเองจากวีดี ทัศน เมื่อจัดการเรียนรูโดยใชประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวเนื่อง กับวิทยาศาสตรเสร็จสิ้นในแตละแผนการจัดการเรียนรู 4) ขั้นสะทอนการปฏิบัติ (Reflect)
ผู วิ จั ย เขี ย นสะท อ นผลการปฏิ บั ติ ก ารสอนของ ตนเองลงในบันทึกหลังการสอน ในประเด็นผลการสอน ปญหาและอุปสรรค วิธีแกไข/ขอเสนอแนะ จากนั้นนําสิ่งที่ ไดเรียนรูไปใชเพื่อปรับปรุงแผนการจัดการเรียนรูอื่นๆ ของ ผูวิจัยตอไป 2. กลุมที่ศึกษา กลุมที่ศึกษาในงานวิจัยนี้ คือ นักเรียนระดับชั้น มัธยมศึกษาปที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปการศึกษา 2555 โรงเรียน มัธยมศึกษาแหงหนึ่งในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งเปนหองเรียนที่ ผูวจิ ัยรับผิดชอบจัดการเรียนรูวิชาวิทยาศาสตร จํานวน 1 หอง ซึ่งมีนักเรียนจํานวนทั้งหมด 17 คน เปนนักเรียนชาย จํานวน 9 คน และนักเรียนหญิง จํานวน 8 คน โดยนักเรียน สวนใหญมีแนวคิดวิทยาศาสตรคลาดเคลื่อนและขาดการมี สวนรวมในประเด็นที่เกี่ยวของกับพันธุกรรม ซึ่งเปน ลักษณะของผูไมรูวทิ ยาศาสตร 3. เครื่องมือที่ใชในการวิจัย เครื่องมือที่ใชในการจัดการเรียนรู ไดแก แผนการ จัดการเรียนรู เรื่องพันธุกรรม โดยใชการจัดการเรียนรูโดย ใชประเด็นทางสังคมทีเ่ กี่ยวเนื่องกับวิทยาศาสตร จํานวน 8 แผน ใชเวลาในการจัดการเรียนรู 18 คาบ (คาบละ 50 นาที) โดยมีขั้นตอนการจัดการเรียนรู ดังนี้ 1) ขั้นเราความสนใจ คือ การนําประเด็นทาง สังคมที่เกี่ยวเนื่องกับวิทยาศาสตร มาใชจัดการเรียนรูในขัน้ นําเขาสูบทเรียนหรือขัน้ สอน เพือ่ เราความสนใจของ นักเรียน จนนําไปสูการกําหนดประเด็นคําถามหรือขอ สงสัยตาง ๆ 2) ขั้นตั้งคําถาม คือ นักเรียนตั้งคําถามที่ตนเอง สงสัยจากประเด็นทางสังคมทีเ่ กี่ยวเนื่องกับวิทยาศาสตร 3) ขั้นวางแผนและดําเนินการคนหาตอบ คือ การ วางแผนและสืบคนขอมูลจากแหลงเรียนรูตาง ๆ หรือการ ทําการทดลองเพื่อคนหาคําตอบ 4) ขั้นอภิปราย คือ การนําขอมูลทีไ่ ดจากการ สืบคนหรือการทดลองมาอภิปราย เพื่อนําไปสูการตอบ คําถามที่ตนเองสงสัย 5) ขั้นสรุป คือ ผูเรียนรวมกันสรุปแนวคิดที่ได จากกระบวนการเรียนรู SS 713
การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาแหงชาติครั้งที่ 29 ณ มหาวิทยาลัยแมฟาหลวง ระหวางวันที่ 24-25 ตุลาคม 2556
เครื่องมือที่ใชเก็บรวบรวมขอมูลวิจัย เ ค รื่ อ ง มื อ ที่ ใ ช เ ก็ บ ร ว บ ร ว ม ข อ มู ล วิ จั ย ประกอบดวย 1) แบบวัดการรูวิทยาศาสตร เรื่องพันธุกรรม แบบ คําถามปลายเปด (Open – ended questions) ซึ่งผูวิจัยสราง ขึ้ น เอง โดยแบ ง เป น 2 ตอน ตามกรอบของการรู วิทยาศาสตร คือ ตอนที่ 1 ดานแนวคิดวิทยาศาสตร จํานวน 7 ข อ และตอนที่ 2 ด า นการมี ส ว นร ว มในประเด็ น ที่ เกี่ยวของกับพันธุกรรม จํานวน 1 ขอ 2) อนุ ทิ น ของนั ก เรี ย น ผู วิ จั ย ใช อ นุ ทิ น ของ นักเรียนเพื่อเก็บขอมู ลการรูวิทยาศาสตร โดยใหนักเรียน บันทึกสิ่งที่นักเรียนไดเรียนรู วิธีการที่ทําใหนักเรียนเกิดการ เรียนรู การนําความรูไปใชประโยชน ปญหาหรือขอสงสัย โดยผูวิจัยใหนักเรียนเขียนอนุทินทุกครั้งหลังจากผูวิจัยจัด กิจการเรียนรูเสร็จสิ้นในแตแผน 3) แบบบันทึกการสัมภาษณอยางไมเปนทางการ เพื่ อ นํ า มาวิ เ คราะห ก ารรู วิ ท ยาศาสตร ข องนั ก เรี ย น โดย ผูวิจัย จะสั มภาษณนัก เรียนเพิ่ม เติมในประเด็น ที่นัก เรีย น ตอบคําถามไมชัดเจนในแบบวัดการรูวิทยาศาสตร 4. การเก็บรวมรวมขอมูลและวิเคราะหขอมูล ผู วิ จั ย เก็ บ รวบรวมข อ มู ล จากแบบ วั ด การรู วิทยาศาสตรกอนการจัดการเรียนรู จากนั้น จึงจัดการเรียนรู ตามแผนการจั ด การเรี ย นรู โ ดยใช ป ระเด็ น ทางสั ง คมที่ เกี่ยวเนื่องกับวิทยาศาสตร ระหวางจัดการเรียนรู ผูวิจัยได บันทึกวีดีทัศนการสอน เพื่อสังเกตการสอนและพฤติกรรม ของนักเรียน เมื่อเสร็จสิ้นการจัดการเรียนรู ในแตละแผนฯ ผูวิจัยใหนัก เรียนเขียนอนุทินเพื่อ สรุป สิ่งที่ได เรียนรูและ ผูวิจัยเขียนบันทึกหลังการสอนในประเด็น ปญหา อุปสรรค และแนวทางแกไข เพื่อใชปรับปรุงการจัดการเรียนรูใน แผนการจั ด การเรี ย นรู ถั ด ไป เมื่ อ จั ด การเรี ย นรู ค รบทั้ ง 7 แผน (ดังตารางที่ 1)
ตารางที่ 1 แผนการจัดการเรียนรู เรื่องพันธุ กรรม โดยใช ประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวเนื่องกับวิทยาศาสตร ลําดับ ที่ 1 2 3 4 5 6 7
ชื่อแผนการจัดการเรียนรู ลักษณะทางพันธุกรรม โครโมโซม ดีเอ็นเอและยีน กระบวนการถายทอดลักษณะทาง พันธุกรรม ความผิดปกติทางพันธุกรรม พันธุวิศวกรรม การโคลนนิ่ง รวม
จํานวน (คาบ) 2 2 3 3 3 3 2 18
ผูวิจัยใหนักเรียนทําแบบวัดการรูวิทยาศาสตรซึ่ง เป น ฉบั บ เดี ย วกั บ ก อ นการจั ด การเรี ย นรู แ ละสั ม ภาษณ นักเรียนเพิ่มเติมในประเด็นที่นักเรียนตอบในแบบวัดไม ชัดเจน ผูวิจัยวิเคราะหขอมูลดานแนวคิดวิทยาศาสตร จาก การอานแบบวัดการรูวิทยาศาสตร อนุทินของนักเรียนและ บั น ทึ ก การสั ม ภาษณ อ ย า งไม เ ป น ทางการ เพื่ อ จั ด กลุ ม คําตอบตามแนวคิดของ Abraham และคณะ [29] ออกเปน 5 กลุม ไดแก 1) ความเขา ใจอยางสมบูรณ (SU) หมายถึ ง คําตอบที่มี ความสอดคลอ งกั บแนวคิด วิท ยาศาสตรอ ยา ง ถูกตองและสมบูรณ 2) ความเขาใจบางสวน (PU) หมายถึง คําตอบที่มีความสอดคลองกับ แนวคิดวิทยาศาสตรถูกตอง แตยังไมสมบูรณ 3) ความเขาใจบางสวนและมีแนวความคิด ที่ผิดพลาด (PU/SM) หมายถึง คําตอบที่มีสอดคลองกับ แนวคิ ดวิท ยาศาสตรบางสว นและมีบ างส วนที่ ผิดไปจาก แนวคิดวิทยาศาสตร 4) แนวคิดผิดพลาด (SM) หมายถึง คําตอบที่ไมถูกตองตามแนวคิดวิทยาศาสตร 5) ไมเขาใจ (NU) หมายถึง ไมตอบคําถาม การตอบแบบทวนคําถาม การตอบไมตรงประเด็น จากนั้นผูวิจัยนับจํานวนนักเรียน ในแตละประเภทแนวคิด หาคารอยละของจํานวนนักเรียน ในแตละประเภทแนวคิด และผูวิจัยวิเคราะหขอมูลดานการ มีสวนรวมในประเด็นที่เกี่ยวของกับพันธุกรรม โดยผูวิจัย SS 714
การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาแหงชาติครั้งที่ 29 ณ มหาวิทยาลัยแมฟาหลวง ระหวางวันที่ 24-25 ตุลาคม 2556
อ า นเพื่ อ วิ เ คราะห คํ า ตอบของนั ก เรี ย นทั้ ง ก อ นและหลั ง จัดการเรียนรู แลวจัดกลุมคําตอบ นับจํานวนนักเรียนในแต ละกลุมคําตอบ หาคารอยละ ผลการศึกษาวิจัยและการอภิปรายผล ผูวิจัยวิเคราะหขอมูลจากแบบวัดการรูวิทยาศาสตร
เรื่องพันธุกรรมทั้งกอนและหลังการจัดการเรียนรูโดยใช ประเด็นทางสังคมทีเ่ กี่ยวเนื่องกับวิทยาศาสตร ดัง ผลการวิจัยตอไปนี้ 1. ดานแนวคิดวิทยาศาสตร เรื่องพันธุกรรม ดังตารางที่ 2
ตารางที่ 2 แนวคิด เรื่องพันธุกรรม ของนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 กอนและหลังการจัดการเรียนรูโดยใชประเด็นทาง สังคมที่เกี่ยวเนื่องกับวิทยาศาสตร แนวคิด 1. ลักษณะทางพันธุกรรม 2. โครโมโซม ดีเอ็นเอ และ ยีน 3. กระบวนการถายทอด ลักษณะทางพันธุกรรม 4. โรคทางพันธุกรรม 5. พันธุวิศวกรรม 6. การโคลนนิ่ง
SU กอน -
หลัง 8 (47.06) 8 (47.06) 7 (41.18) 12 (70.59) 8 (47.06) 12 (70.59)
PU
PU/SM
กอน 7 (41.18)
หลัง 3 (17.65)
กอน 6 (35.29)
-
-
-
-
3 (17.65)
-
6 (35.29)
1 (5.88)
2 (11.76)
2 (11.76)
2 (11.76) 3 (17.65)
2 (11.76)
หลัง 6 (35.29) 5 (29.41) 4 (23.53) 4 (23.53) 5 (29.41) 2 (11.76)
SM กอน 1 (5.88) 2 (11.76)
NU หลัง 1 (5.88)
1 (5.88)
-
4 (23.53)
-
-
-
4 (23.53)
-
กอน 3 (17.65) 15 (88.24) 16 (94.12) 5 (29.41) 17 (100.00) 9 (52.94)
หลัง 3 (17.65) 3 (17.65) 2 (11.76) -
หมายเหตุ SU = Sound understanding, PU = Partial understanding, PU/SM = Partial understanding with a specific misconception, SM = Specific misconception, NU = No understand แนวคิดที่ 1 ความหมายลักษณะทางพันธุกรรม หลั ง การจั ด การเรี ย นรู พบว า นั ก เรี ย นส ว นใหญ (รอยละ47.06) มีแนวคิดวิทยาศาสตรเพิ่มขึ้น โดยระบุวา “ลักษณะที่ถายทอดจากรุนหนึ่งไปอีกรุน เชน หนังตาสอง ชั้น สีผิว สีนัยนตา และไมใชลักษณะทางพันธุกรรม เชน นิสัย รอยแผลเปน ฐานะร่ํารวย” (นร.03) นักเรียนมีความ เขาใจบางสวน (PU) (รอยละ17.65) โดยเขาใจวา “ลักษณะ ที่ถายทอดจากรุนสูรุน เชน สีผม สีนัยนตา ความสูง ” (นร. 07) นักเรียนที่มีความเขาใจบางสวนและมีแนวความคิดที่ ผิดพลาด (PU/SM) ทั้งกอนและหลังจัดการเรียนรูมีจํานวน เทากัน (รอยละ35.29) โดยเขาใจวา “ลักษณะที่ถายทอดจาก รุนหนึ่งไปยังอีกรุนหนึ่ง เชน สีผิว การมีติ่งหู หนังตาชั้น
เดี ย ว และที่ ไ ม ใ ช ลั ก ษณะทางพั น ธุ ก รรม เช น น้ํ า หนั ก สวนสูง สีผมที่เกิดจากการทําสี” (นร.04) ซึ่งการยกตัวอยาง น้ําหนักและสวนสูงวาไมใชลักษณะทางพันธุกรรมนั้นเปน แนวคิ ด ที่ ผิ ด พลาด นอกจากนี้ ยั ง พบว า ไม มี นั ก เรี ย นที่ มี แนวคิดที่ผิดพลาด (SM) และไมเขาใจ (NU) แนวคิดที่ 2 โครโมโซม ยีน ดีเอ็นเอ และยีน หลังการจัดการเรียนรู พบวานักเรียนบางสวน (รอยละ 47.06) มีความเขาใจอยางสมบูรณ (SU) เพิ่มขึ้น ดังตัวอยาง คําตอบ “ยีนจะอยูบนสายดีเอ็นเอ เมื่อสายดีเอ็นเอพันรอบ กอนโปรตีนจะเปนสายโครมาทินและเมื่อสายโครมาทินขด ตัวสั้นลงจะมองเห็นเปนโครโมโซม” (นร.02) ซึ่งไมพบ นักเรียนที่มีความเขาใจบางสวน (PU) นักเรียนบางสวน SS 715
การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาแหงชาติครั้งที่ 29 ณ มหาวิทยาลัยแมฟาหลวง ระหวางวันที่ 24-25 ตุลาคม 2556
(รอยละ 29.41) มีความเขาใจบางสวนและมีแนวความคิดที่ ผิ ด พลาด (PU/SM) ตั ว อย า งคํ า ตอบ “ยี น คื อ สิ่ ง ที่ กั้ น ระหวางสายดีเอ็น เอสองสาย และยีนอยูบนสายดีเอ็นเอ” (นร.12) ซึ่งคําตอบยีนอยูบนสายดีเอ็นเอ เปนแนวความคิดที่ ถู ก ต อ ง ส ว นยี น คื อ สิ่ ง ที่ กั้ น ระหว า งสายดี เ อ็ น เอเป น แนวความคิ ด ที่ ผิ ด พลาด นอกจากนี้ ยั ง พบว า นั ก เรี ย นมี แนวคิ ด ผิ ด พลาด (SM) จํ า นวน 1 คน (ร อ ยละ 5.88) ดั ง ตั ว อย า งคํ า ตอบ “สายดี เ อ็ น เอพั น รอบก อ นโปรตี น เรียกวา ยีน” (นร.14) นักเรียนไมเขาใจ (NU) จํานวน 3 คน (รอยละ 17.65) สอดคลองกับ Lewis และ Kattmann [30] ที่ พบว า นั ก เรี ย นไม ส ามารถอธิ บ ายถึ ง ความสั ม พั น ธ และ จําแนกความแตกตางของยีน ดีเอ็นเอ และโครโมโซมได จึง ทํ า ให นั ก เรี ย นยั ง มี ค วามเข า ใจที่ สั บ สนเกี่ ย วกั บ แนวคิ ด ดังกลาว แนวคิด ที่ 3 เรื่ อ ง กระบวนการการถ ายทอดลั กษณะทาง พันธุกรรม หลังการจัดการเรียนรู พบวานักเรียนสวนใหญมีความ เขาใจอยางสมบูรณ (SU) จํานวน 7 คน (รอยละ 41.18) ดัง ตัวอยางคําตอบ “ดอกสีฟาเปนลักษณะเดน เพราะพบในทุก รุน แตดอกสีขาวเปนลักษณะดอย เพราะไมพบในรุนพอแม แตพบในรุนลู ก ลัก ษณะดั งกลา วถายทอดไปยังรุ นลูกได โดยการรวมตัวกันของยีนหลังจากการปฏิสนธิ ” (นร.02) นักเรียนมีความเขาใจบางสวน (PU) จํานวน 3 คน (รอยละ 17.65) ดังตัวอยางคําตอบ “ลักษณะเดนที่ถายทอดมายังรุน ลูก คือ ดอกสีฟา และลักษณะดอยจะพบในรุนลูก คือ ดอกสี ขาว” (นร.03) ซึ่ ง นั ก เรี ย นระบุ เ พี ย งว าลั ก ษณะใดเป น ลักษณะเดน – ดอย แตไมไดบอกวิธีการพิจารณาและบอก เหตุผลวาลักษณะดังกลาวถายทอดมายังรุนลูกไดอยางไร นั ก เรี ย นมี ค วามเข า ใจบางส ว นและมี แ นวความ คิ ด ที่ ผิดพลาด (PU/SM) จํานวน 4 คน (รอยละ 23.53) ดังตัวอยาง คําตอบ “ดอกสีฟาเปนลักษณะเดน ดอกสีขาวเปนลักษณะ ดอย ลักษณะเดนพบทุกรุนแตลักษณะด อยพบเพียงบางรุน โดยลักษณะเดน:ดอย เปน 3:1 เสมอ” (นร.09) ซึ่งนักเรียน สามารถระบุลักษณะเดน – ดอย และบอกวิธีการพิจารณาได ถูกตอง แตการระบุวาอัตราสวนของลั กษณะเดน:ลักษณะ ดอย เปน 3:1 เสมอ เปนแนวคิดที่ผิดพลาด นอกจากนี้ไมพบ
นักเรียนที่มีแนวคิดผิดพลาด และนักเรียนที่ไมเขาใจ (NU เหลือเพียง 3 คน (รอยละ 17.65) แนวคิดที่ 4 โรคทางพันธุกรรม หลังการจัดการเรียนรู พบวานักเรียนสวนใหญมีความ เขาใจอยางสมบูรณ (SU) จํานวน 12 คน (รอยละ70.59) ดัง ตัวอยางคําตอบ “โรคที่เกิดจากความผิดปกติของยีนหรือ โครโมโซม แตโรคทั่วๆ ไป เชน โรคเอดสเกิดจากเชื้อไวรัส จึงไมสามารถถายทอดจากรุนสูรุนได โรคทางพั นธุกรรม เชน ตาบอดสี เด็กดักแด โรคเบาหวาน” (นร.03) นักเรียนมี ความเขาใจบางสวน (PU) จํานวน 1 คน (รอยละ 5.88) ดัง ตัวอยางคําตอบ “โรคทางพันธุกรรมเปนโรคที่ถายทอดจาก พอแมมาสูลูก ไมสามารถถายทอดสูคนอื่น ๆ ที่ไมเกี่ยวของ กันทางสายเลือดได ” (นร.01) ซึ่งนักเรียนสามารถระบุ แนวคิดไดถูกตอง แตไมไดยกตัวอยางประกอบ นักเรียนมี ความเขาใจบางส วนและมีแ นวคิดที่ ผิด พลาดเพียง 4 คน (รอยละ 23.53) ดังตัวอยางคําตอบ “โรคทางพันธุกรรมคือ โรคที่ ถ า ยทอดผ า นยี น เช น โรคเอดส อหิ ว าต กระเพาะ ปสสาวะอักเสบ” (นร.05) โดยนักเรียนสามารถบอกแนวคิด ไดถู กตอ งแต ยกตัวอย างแนวคิด ไมถู กตอ ง นอกจากนี้ยั ง พบว า หลั ง จากจั ด การเรี ย นรู ไ ม มี นั ก เรี ย นที่ มี แ นวคิ ด ผิดพลาด (SM) และไมเขาใจ (NU) เลย แนวคิดที่ 5 เรื่อง พันธุวิศวกรรม กอนการจัดการเรียนรูนักเรียนทั้งหมดไมเขาใจ (NU) จํ า นวน 17 คน (ร อ ยละ 100.00) หลั ง การจั ด การเรี ย นรู นักเรียนสวนใหญมีความเขาใจสมบูรณเพิ่มขึ้น จํานวน 8 คน (รอยละ 47.06) ดังตัวอยางคําตอบ “การตัดตอยีนของ สิ่งมีชีวิตที่มีลักษณะที่เราสนใจไปใสในสิ่งมีชีวิตอีกชนิด หนึ่ง เพื่อใหไดสิ่งมีชีวิตที่เราตองการ เชน ปลาเรืองแสง ตนไมทนโรค แมวเรืองแสง” (นร.10) นอกจากนี้ยังพบวา นักเรียนมีความเขาใจบางสวน (PU) จํานวน 2 คน (รอยละ 11.76) ดั งตั วอย างคําตอบ “การดั ดแปลงพัน ธุกรรมของ สิ่งมีชีวิต” (นร.06) นักเรียนมีความเขาใจบางสวนและมี แนวคิดที่ผิดพลาด (PU/SM) จํานวน 5 คน (รอยละ 29.41) ดังตัวอยางคําตอบ “การดัดแปลงพันธุกรรมของสิ่ งมีชีวิต โดยการตัดตอยีน เชน แมวเรืองแสง แตงโมสี่เหลี่ยม ขาว วิตามินเอ สูง” (นร.07) ซึ่งนักเรียนสามารถบอกแนวคิด SS 716
การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาแหงชาติครั้งที่ 29 ณ มหาวิทยาลัยแมฟาหลวง ระหวางวันที่ 24-25 ตุลาคม 2556
เกี่ยวกับพันธุวิศวกรรมไดถูกตอง แตยกตัวอยาง “แตงโม สี่เหลี่ยม” เปนแนวคิดที่ผิดพลาด ไมมีนักเรียนที่มีแนวคิด ผิดพลาด (SM) และมีนักเรียนที่ไมเขาใจ (NU) เหลือเพียง 2 คน (ร อ ยละ 11.76) ซึ่ ง สอดคล อ งกั บ งานวิ จั ย ของ ทั ศ นี ย า รั ต นฤๅทั ย [31] ที่ พ บว า นั ก เรี ย นมั ธ ยมศึ ก ษา ส ว น ม ากไม มี แ น วคิ ด วิ ท ย าศาสต ร ห รื อ มี แ น วคิ ด คลาดเคลื่อน คือไมสามารถอธิบายใหความหมายของพันธุ วิศวกรรมไดอยางถูกตอง แนวคิดที่ 6 การโคลนนิ่ง หลังการจัดการเรียนรู พบวานักเรียนสวนใหญ จํานวน 12 (รอยละ 70.59) มีความเขาใจอยางสมบูรณ (SU) ดังตัวอยางคําตอบ “การสรางสิ่งมีชีวิตใหมีลักษณะ เหมือนกับสิ่งมีชีวิตตนแบบ โดยไมผานการปฏิสนธิ เชน แกะดอลลี่ การตอนกิ่ง” (นร.02) ความเขาใจบางสวน (PU) จํานวน 3 คน (รอยละ 17.65) ดังตัวอยางคําตอบ “การทําให
สิ่งมีชีวิตเหมือนกับสิ่งมีชีวิตตอนแบบ” (นร.01) นอกจากนี้ พบวานักเรียนมีความเขาใจบางสวนและมีแนวคิดที่ ผิดพลาด (PU/SM) จํานวน 2 คน (รอยละ 11.76) ดังตัวอยาง คําตอบ “การสรางสิ่งมีชีวิตตัวใหมที่มีลักษณะทาง พันธุกรรมเหมือนเดิม โดยการนําดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวิตชนิด หนึ่งไปใสในดีเอ็นเอของสิ่งมีชีวติ อีกชนิดหนึง่ ” (นร.07) และไมพบนักเรียนมีแนวคิดผิดพลาด (SM) และไมเขาใจ (NU) 2. ดานการมีสวนรวมในประเด็นที่เกี่ยวของกับ พันธุกรรม ผูวิจัยไดนําเสนอการมีสวนรวมในประเด็นที่ เกี่ยวของกับพันธุกรรมของนักเรียนทั้งกอนและหลังการ จัดการเรียนรูโ ดยใชประเด็นทางสังคมที่เกี่ยวเนื่องกับ วิทยาศาสตร เรื่อง พันธุกรรม โดยสรุปการมีสวนรวม ดัง ตารางที่ 3
ตารางที่ 3 การมีสวนรวมของนักเรียนในประเด็นที่เกี่ยวของกับพันธุกรรม กอนและหลังการจัดการจัดการเรียนรูโดยใช ประเด็นทางสังคมทีเ่ กี่ยวเนื่องกับวิทยาศาสตร ประเด็น การมีสวนรวมในประเด็นทีเ่ กี่ยวของกับพันธุกรรม จากตารางที่ 3 พบวากอนการจัดการเรียนรูนักเรียน เกือบทั้งหมด จํานวน 16คน (รอยละ 94.12) ไมมีสวนรวม ในประเด็นที่เกี่ยวของกับพันธุกรรม มีเพียงนักเรียน จํานวน 1 คน (รอยละ 5.88) ที่มีสวนรวมในประเด็นที่เกี่ยวของกับ พันธุก รรม ดังตั วอย างคํ าตอบ “บอกนอ งใหรู วาลั กษณะ ใดบางเปนลักษณะทางพันธุกรรม” (นร.16) หลังการจัดการเรียนรูพบวา นักเรียนสวนใหญมี รวมในประเด็นที่เกี่ยวของกับพันธุกรรมมี จํานวน 12 คน (รอยละ 70.59) โดยนักเรียนสวนใหญ จํานวน 7 คน (รอย ละ 58.33) มีสวนรวมในระดับครอบครัว ดังตัวอยางคําตอบ “ใหความรูนองสาววาพันธุกรรมไดรับการถายทอดมาจาก บรรพบุ รุ ษ และหากพ อ แม เ ป น โรคพั น ธุ ก รรมคนใน ครอบครัวก็มีโอกาสเปนโรคดวย” (นร.01) รองลงมาคือ
การมีสวนรวม กอน 1 (5.88)
หลัง 12 (70.59)
การมีสวนรวมในระดับชุมชุน จํานวน 5 คน (รอยละ 41.67) ดังตัวอยางคําตอบ “ใหความรูกับเพื่อนบานวาหาก ตองการปลูกตนไมที่มีลักษณะเหมือนเดิมตองปกชําหรือ ตอนกิ่ง เพราะไมตองอาศัยการปฏิสนธิและหากเปนโรค ทางพันธุกรรมตองปรึกษาแพทยกอนตั้งครรภ ” (นร.04) และนักเรียนจํานวน 5 คน (รอยละ 29.41) ที่ไมมีสวนรวม ในประเด็นที่เกี่ยวของกับลักษณะทางพันธุกรรม อยางไรก็ตามไมพบนักเรียนที่มีสวนรวมในระดับ สังคม เนื่องจากการมีสวนรวมในระดับดังกลาว นักเรียน ตองเขาไปมีสวนรวมกับประชาชนในฐานะพลเมืองของ สังคมซึ่งเปนระดับการมีสวนรวมที่คอนขางกวางและไกล ตัว เมื่อเทียบกับระดับครอบครัว และชุมชน ซึ่งเปนระดับที่ ใกลตัวและคุนเคย สามารถพบเห็นไดในชีวิตประจําวันของ SS 717
การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาแหงชาติครั้งที่ 29 ณ มหาวิทยาลัยแมฟาหลวง ระหวางวันที่ 24-25 ตุลาคม 2556
นักเรียน อีกทั้งขอจํากัดของเวลาและมีสถานการณคอนขาง นอยที่เปดโอกาสใหนักเรียนเขาไปมีสวนรวมในประเด็นที่ เกี่ยวของกับพันธุกรรม สรุปผลการศึกษาวิจัย การวิ จั ย นี้ เ พื่ อ พั ฒ นาการรู วิ ท ยาศาสตร เรื่ อ ง พันธุกรรม ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที่ 3 โดยการ จั ด การเรี ย นรู โ ดยใช ป ระเด็ น ทางสั ง คมที่ เ กี่ ย วเนื่ อ งกั บ วิทยาศาสตร 1) ดานแนวคิดวิทยาศาสตร พบวากอนการจัดการเรียนรูโดยใชประเด็นทาง สังคมที่ เกี่ ยวเนื่อ งกั บวิ ทยาศาสตรไ มมี นักเรีย นที่ มีค วาม เขาใจอยางสมบูรณ (SU) และแนวคิดที่นักเรียนสวนใหญ ไมเขาใจ (NU) หลังการจัดการเรียนรูโดยใชประเด็นทาง สังคมที่เกี่ยวเนื่องกับวิทยาศาสตร พบวานักเรียนสวนใหญ มีความเขาใจอยางสมบูรณ (SU) เพิ่มขึ้นในทุกแนวคิด คือ ลั ก ษณะทางพั น ธุ ก รรม โครโมโซม ดี เ อ็ น เอ และยี น กระบวนการถ า ยทอดลั ก ษณะทางพั น ธุ ก รรม โรคทาง พันธุกรรม พันธุวิศวกรรม และการโคลนนิ่ง คิดเปนรอยละ 47.06, 47.006, 41.18, 70.59, 47.06 และ 70.59 ตามลําดับ 2) ดานการมีสวนรวมในประเด็นที่เกี่ยวของกับพันธุกรรม พบว าก อนการจั ดการเรี ย นรู นั กเรี ยนส วนใหญ ร อ ยละ 94.12 ไม มี ส ว นร ว มในประเด็ น ที่ เ กี่ ย วข อ งกั บ พันธุกรรม หลังการจัดการเรียนรูนักเรียนสวนใหญ มีสวน รวมในประเด็นที่เกี่ยวของกับพันธุกรรม รอยละ 70.59 เอกสารอางอิง [1] กรมวิชาการ. 2546. คูมือการจัดการเรียนรู กลุมสาระ การเรียนรูวิทยาศาสตร. กรุงเทพฯ : โรงพิมพคุรุสภา ลาดพราว. [2] Tasakorn, P. & Pongtabodee, S. 2005. Research report: Science and technology curriculum for primary,secondary, and ternary education in Thailand. Bangkok : The Secretarial of the Senate. [3] Lewis, J. D. 1982. Technology, enterprise and American economic growth. Science, 215(4537), 1204–1211.
[4] Shen, B. S. P. 1975. Scientific literacy and the public understanding of science. Retrieved March 13, 2012, from http://l624.brianwinterman.com/shen.pdf [5] Programme for International Student Assessment. 2006. SCIENCTIFIC LITERACY FRAMEWORK. Retrieved May 13, 2011, from pisa.nutn.edu.tw/download/sample_papers/Sci_Frame work-en.pdf [6] สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี. 2545. การจัดการเรียนรูกลุมวิทยาศาสตร หลักสูตร การศึกษาขั้นพื้นฐาน. กรุงเทพฯ : กระทรวงศึกษาธิการ. [7] ทิศนา แขมมณี. 2544. รูปแบบการเรียนการสอน ทางเลือกที่หลากหลาย. กรุงเทพฯ : สํานักพิมพแหง จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. [8] สํานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. 2547. การวิจัย เกี่ยวกับการปฏิรูปการเรียนรู. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ การศาสนา. [9] Dahsah, C. and Faikhamta, C. 2008. Science education in Thailand: Science curriculum reform intransition. Retrieved May 21, 2012, from https://www.sensepublishers.com [10] Yuenyong, C. 2008. Scientific Literacy and Thailand Science Education. Retrieved January 1, 2012, from http://ora.kku.ac.th/RES_KKU/ ATTACHMENTS_JOURNAL_PUBLICATION/803 1.pdf [11] จิตตินันท สาตะนิมิ. 2550. การสํารวจแนวคิดเกี่ยวกับ พันธุศาสตรของนักเรียนเตรียมทหาร. วิทยานิพนธ ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาการสอนวิทยาศาสตร. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ. [12] Kindfield, A. C. H. 1994. Understanding a Basic Biological Process: Expert and Novice Model of Meiosis. Journal of Science Education, 78(3), 255-283. SS 718
การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาแหงชาติครั้งที่ 29 ณ มหาวิทยาลัยแมฟาหลวง ระหวางวันที่ 24-25 ตุลาคม 2556
[13] Yip, D. 1998. Identification of Misconceptions in Novice Biology Teachers and Remedial Strategies for Improving Biology Learning. International Journal of Research in Science Education, 20, 461-477. [14] Smith L. A. and J. M. Williams. 2007. It’s the X and Y Thing: Cross – sectional and Longitudinal Changes in Children’s Understanding of Genes. Journal of Research in Science Education, 37, 407-422. [15] Shaw A. and J. A. Hurst. 2008. What is this Genetic, Anyway? Understandings of Genetics, Illness Causality and Inheritance Among British Pakistani Users of Genetic Service. Journal of Genetic Counseling, 17, 373-383. [16] Saka, A. et al. 2006. A Cross-Age Study of the Understanding of Three Genetic Concept: How Do They Image the Gene, DNA and chromosome?. Journal of Science Education and Technology, 15, 192-202. [17] Duncan, R.G. & Tseng, K.A. 2010. Designing project-based instruction to foster generative and mechanistic understandings in genetics. Science Education, 95(1), 21-56. [18] มณฑา พรหมบุญ. 2538. ชีววิทยากับพันธุศาสตร. วารสารวิทยาศาสตร มศว, 11(1), 61-65. [19] Zeidler, D. L., & Keefer, M. 2003. The role of moral reasoning and the status of socioscientific issues in science education. Netherlands : Kluwer Academic Publishers. [20] Zeidler, D. L. 2009. Socioscientific Issue : Theory and Pratice. Journal of Elementary Science Education, 21(2), 49-58.
[21] Sadler, T.D. (2011). Socio-scientific issues in the classroom: Teaching, learning, and research. Netherlands : Springer Press. [22] Ratcliffe, Mary & Marcus. 2003. Science Education for Citizenship: Teaching SocioScientific Issues. Berkshire : McGrawHill Education. [23] Sadler, Troy D. 2009. Situated Learning in Science Education: Socio-Scientific Issues as Contexts for Practice. Studies in Science Education, 45(1), 1–42. [24] Sadler, T. D. 2002. Socioscientific Issue Research and Its Relevance for Science Education. Retrieved March 12, 2012, from www.eric.ed.gov [25] Sadler, T.D. & D.L. Zeidler. 2003. Weighing in on genetic engineering and morality: Students reveal their ideas, expectations, and reservations. Retrieved March 3, 2012, from www.eric.ed.gov [26] Osborne, J., S. Simon & S. Collins. 2003. Attitudes towards science: review of the literature and its implication. International Journal of Science Education, 25(9), 1049-1079. [27] Lewis, S. E. 2003. Issue-Based Teaching in Science Education. Retrieved March 3, 2012, www.actionbioscience.org. [28] Kemmis, S. & R. McTaggart. 1998. The Action Research Planner. Victoria: Deakin University Press. [29] Abraham, MR. et al. 1994. A cross-age study of understanding of five chemistry concepts. Journal of Research in Science Teaching, 31(2), 147-165.
SS 719
การประชุมวิชาการเสนอผลงานวิจัยระดับบัณฑิตศึกษาแหงชาติครั้งที่ 29 ณ มหาวิทยาลัยแมฟาหลวง ระหวางวันที่ 24-25 ตุลาคม 2556
[30] Lewis, J. & U. Kattmann. 2004. Traits, genes, particles and information: re-visitingstudents’ understandings of genetics. International Journal of Science Education, 26(2), 195-206. [31] ทัศนียา รัตนฤๅทัย. 2549. แนวคิดพันธุศาสตรของ นักเรียนดอยโอกาสชวงชั้นที่ 4 ของประเทศไทย. วารสารเกษตรศาสตร(สังคม), 27(2), 234-245.
SS 720