การใชเชื้อราศัตรูแมลงในการควบคุมหนอนกระทูห อม (Spodoptera exigua Hub.) Use of Entomopathogenic Fungi in Controlling the Beet Armyworm (Spodoptera exigua Hub.) มณจันทร เมฆธน และ ศศิเทพ ปติพรเทพิน Monchan Maketon and Sasithep Pitiporntapin
บทคัดยอ งานวิจัยนี้ไดศึกษาประสิทธิภาพของเชื้อรา 5 ชนิดในการกําจัดหนอนกระทูหอมระยะไข หนอนวัย 1-2 และ 3 พบวาหลังหยดสวนผสมของสปอรที่มีความเขมขน 1x106สปอร/มล. 1 ครั้งลงบนไขหนอนกระทูหอมและ ตรวจผลการทดลองเปนเวลา 1 สัปดาหในหองปฏิบัติการ พบวาไขที่ไดรับเชื้อรา Paecilomyces lilacinus (CKP012) มีเปอรเซ็นตการฟกเฉลี่ยต่ําที่สุดเทากับ 56.95 ซึ่งแตกตางอยางมีนัยสําคัญยิ่งทางสถิติ (P < 0.01) จากไขที่ รับเชื้อรา Metarhizium anisopliae (CKM-048), P. lilacinus (CKP-032), M. flavoviride (CKM-083), Beauveria bassiana (CKB-048), น้ํากลั่น และกลุมควบคุม ซึ่งมีเปอรเซ็นตการฟกเฉลี่ยเทากับ 94.96, 95.00, 97.62, 98.57, 99.11 และ 99.48 ตามลําดับ ในหนอนวัย1-2 พบวาหนอนที่ไดรับเชื้อรา M. anisopliae (CKM048) และ P. lilacinus (CKP-012) ใหคาเฉลี่ยเปอรเซ็นตการตายของหนอนสูงสุดเทากับ 36.67 และ36.67 รองลงมาคือหนอนที่ไดรับเชื้อรา P. lilacinus (CKP-032), M. flavoviride (CKM-083) B. bassiana (CKB048),กลุมควบคุม และน้ํากลั่น ที่มีคาเฉลี่ยเปอรเซ็นตการตายของหนอน เทากับ 30.00, 16.67, 10.00, 0.00 และ0.00 ตามลําดับ ในหนอนวัย 3 พบวาหนอนที่ไดรับเชื้อรา M. anisopliae (CKM-048) มีคาเฉลี่ยเปอรเซ็นต การตายของหนอนสูงสุด เทากับ 36.67 รองลงมาคือ P. lilacinus (CKP-012), M. flavoviride (CKM-083), P. lilacinus (CKP-032), B. bassiana (CKB-048) น้ํากลั่น, และกลุมควบคุม, ที่มีคาเฉลี่ยเปอรเซ็นตการตายของ หนอน เทากับ 28.33, 20.00, 20.00, 13.33, 8.33, และ 5.00 ตามลําดับ
ABSTRACT
This research was to study the capabilities of five entomopathogenic fungi in controlling beet armyworm, Spodoptera exigua Hub in its egg, the 1st-2nd, and the 3rd instar stages, respectively. Every fungal suspension was prepared at the concentration of 1x106spore/ml. Results from the laboratory showed that after 7 days the application of Paecilomyces lilacinus (CKP-012) had the lowest percent hatch at 56.95 which was highly significant different (P < 0.01) from the application of Matarhizium anisopliae (CKM-048), P. lilacinus (CKP-032), M. flavoviride (CKM-038) and B. bassiana (CKM-048), distilled water and control with the percent hatch were 94.96, 95.00, 97.62, 98.57, 99.11 and 99.48, respectively. For the 1st-2nd instar larvae, application of P. lilacinus (CKP-012) and M. anisopliae (CKM-048) showed the best efficacies with the percent mortality as high as 36.67 and 36.67 followed by P. lilacinus (CKP-032), M. flavoviride (CKM-038), B. bassiana (CKB-048), control, and distilled water with the percent mortalities of 30.00, 16.67, 10.00, 0.00 and 0.00, respectively. The best effective fungus in controlling the 3rd instar larvae was M. anisopliae (CKM-048) with its percent mortalities of 36.67 followed by P. lilacinus (CKP-012), M. flavoviride (CKM-038), P. lilacinus (CKP032), B. bassiana (CKB-048), distilled water, and control, with the percent mortalities of 28.33, 20.00, 20.00, 13.33, 8.33, and 5.00 respectively. Key words :beet armyworm, entomopathogenic fungi, control fscimcm@ku.ac.th, sasithep@hotmail.com,___________________________________________________________________________ ภาควิชาสัตววิทยา คณะวิทยาศาสตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร จตุจักร กทม.10900 Department of Zoology, Faculty of Science, Kasetsart University,Bangkok. 10900.
คํานํา หนอนกระทูหอม (Spodoptera exigua Hub.) แพรระบาดมานานหลายสิบป มักรุนแรงในชวงฤดูรอน ตามแหล ง ปลู ก พื ช เศรษฐกิ จ ของประเทศไทย สามารถทํ า ลายพื ช อาหารกว า งขวางมากกว า 200 ชนิ ด ที่ มี ความสําคัญทางเศรษฐกิจของประเทศไทย เชน พริก, หอมแดง เปนตน (กอบเกียรติ, 2543) การปองการกําจัดหนอนกระทูหอมนี้ใชสารเคมีเปนหลักทําใหหนอนมีความตานทาน จึงตองใชสารเคมี ที่มีอัตราสูงขึ้นและฉีดพนบอยครั้งขึ้น ดังนั้นจึงตองหาวิธีใหมๆที่ใหผลปลอดภัย ประหยัดคาใชจาย มาใชในการ ปองกันกําจัดหนอนชนิดนี้ การใชเชื้อรา Beauveria bassiana ที่พบไดในดินตามธรรมชาติ สามารถทําลายแมลงทั้งระยะตัวออน และตัวเต็มวัย เชน ตั๊กแตน ปลวก มอด มดคันไฟ ดวงเตา แมลงปกแข็งตางๆ และเพลี้ยจักจั่นสีเขียว เปนตน เชื้อ นี้ถูกนํามาใชในการคาเพื่อปองกันและกําจัดแมลงเพราะวาสามารถผลิตไดในเชิงอุตสาหกรรม และพัฒนาให สปอรมีความทนกับแสงอัลตราไวโอเลต อุณหภูมิและความชื้นสูงๆได การเขาทําลายมักจะใชเวลาประมาณ 3-7 วัน (Marh, 1997) นอกจากนี้มีการใชเชื้อรา Metarhizium spp. ซึ่งมีความสามารถเขาทําลายแมลงอาศัยที่กวางจึงมีการ นํามาใชในการควบคุมแมลงในวงศตางๆ เชน Lepidoptera, Isoptera, Orthoptera, Homoptera และ Coleoptera โดย M. anisopliae var. majus และ var. anisopliae ใชในการควบคุมไขของไรแดง (Tetranychus cinnabarinus) (Wei-bing and Ming-Guang, 2004) และกําจัดปลวก(วีรฑีมา, 2546) สวน M. flavoviride มี ประสิทธิภาพในการควบคุมเพลี้ยกระโดดสีน้ําตาล (Maketon et al., 2003) ตั๊กแตน และแมลง cockchafer (Richard, 1998)และมีการใชเชื้อรา Paecilomyces lilacinus ในการเขาทําลายระยะไขและตัวแกของไสเดือน ฝอยรากปม Moloidogyne spp. (สุภกิจ, 2532 ; อนุชา, 2537; คมกฤช, 2539; สุรวิทย, 2541) และเชื้อรานี้ถูก คนพบเปนครั้งแรกวาสามารถใชในการควบคุมและกําจัดหอยเชอรี่ในระยะไขได (Maketon and Domhom, 2003). การวิจัยนี้ศึกษาการใชเชื้อรา B. bassiana (CKB-048), M. anisopliae (CKM-048), M. flavoviride (CKM-083),P.lilacinus (CKP-012) และP. lilacinus (CKP-032) ควบคุมหนอนกระทูหอมในระยะไข ระยะตัว หนอนวัย 1-2 และวัย 3 เพื่อเปนแนวทางในการปองกันกําจัดหนอนกระทูหอมดวยชีววิธีตอไป อุปกรณและวิธีการ 1.การเตรียมเชื้อรา ทําการเพาะเลี้ยงเชื้อราทั้ง 5 ชนิด ในอาหาร Potato Dextrose Agar (PDA) บมเชื้อที่อณ ุ หภูมิหอง เปน ระยะเวลา 14-21 วัน จากนั้นทําการนับสปอรและเจือจางดวยน้ํากลั่นใหไดความเขมขน 1x106สปอร/มล. 2.การเตรียมแมลงทดสอบ 2.1 เลี้ยงหนอนกระทูหอมในกลองพลาสติกที่มีอาหารเทียมจนถึงระยะดักแด แยกดักแดออกแลวนําไป วาง บนผาขาวบางที่มีภาชนะใสน้ําหวานสําหรับตัวเต็มวัย และนําทอกลวงทรงกลมที่ภายในบุดวยกระดาษและมี ปลายดานหนึ่งปดดวยกระดาษชําระสําหรับใหตัวเต็มวัยวางไขมาวางครอบดักแด โดยตัวเต็มวัยจะวางไขหลัง ออกจากดักแด 24 ชั่วโมง เก็บไขที่ไดในกลองพลาสติกที่มีอาหารสําหรับเลี้ยงหนอนรุนตอไป แยกไขและหนอน สวนหนึ่งสําหรับทดลอง โดยวางแผนการทดลองแบบสุมตลอด
2.2 นําไขของหนอนกระทูหอมที่ตรวจนับภายใต กลอง Stereomicroscope มาแยกใสจานแกวทดลอง ขนาดเสนผานศูนยกลาง 5 ซม. โดยให 1 จานมีไขจํานวน 1 กลุม ตรวจนับและบันทึกจํานวนไขแตละกลุม และใส อาหารเทียมลงในจานแกวแตละจาน โดยทําการทดลอง 4 ซ้ํา 7 กรรมวิธีไดแก กรรมวิธีควบคุม (ไมใชสารทดลอง และ น้ํากลั่น) ใชน้ํากลั่น Beauveria bassiana (CKB-048), Metarhizium anisopliae (CKM-048), M. flavoviride (CKM-083), Paecilomyces lilacinus (CKP-012) และ P. lilacinus (CKP-032) 2.3 นําหนอนกระทูหอมระยะ 1-2 มาแยกใสถวยพลาสติกสําหรับทดลองโดยให 1 ขวดมีหนอนจํานวน 3 ตัว และใสอาหารเทียมลงในแตละถวย ทําการทดลอง 10 ซ้ํา โดยมี 7กรรมวิธี เชนเดียวกับระยะไข 2.4 หนอนระยะ 3 จัดการทดลองเชนเดียวกับหนอนวัย 1-2 3. การทดสอบประสิทธิภาพในการกําจัดแมลง 3.1 นําเชื้อราทั้ง 5 สายพันธุความเขมขน 1x106 สปอร/มล. และน้ํากลั่นที่ฆาเชื้อแลวมาหยดใสทุกระยะ ของหนอนกระทูหอมตามที่ไดกลาวมาแลว 3.2 สังเกตและตรวจนับจํานวนไขที่ไมฟกและหนอนกระทูหอมที่ตาย แลวบันทึกผลการทดลองทุกวัน เปนระยะเวลา 1 สัปดาห 3.3 จากนั้นนับเปอรเซ็นตการตายของหนอนกระทูหอมตั้งแตวันแรกที่เริ่มลงเชื้อแลวทําการตรวจสอบ ยืนยันผลการทดลอง โดยนําหนอนกระทูหอมที่ตายไปแชในน้ํายาฆาเชื้อ Sodium hypochlorite (Chlorox) 10% เปนเวลา 5 นาทีเพื่อกําจัดเชื้อราที่อยูภายนอกตัวออก แลวนําไปวางลงบนอาหารเลี้ยงเชื้อ PDA สังเกตลักษณะ การเจริญของโคโลนีที่ปรากฏ 3.4 นําผลที่ไดไปคํานวณดวยวิธีทางสถิติโดยใช One-way ANOVA และวิเคราะหความแตกตางระหวาง กลุมโดยวิธี Duncan’s Multiple Range test
ผล 1. การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเชื้อรากับหนอนกระทูหอมระยะไข ในวันที่ 1 ไขทั้งหมดที่ใชในการทดลองยังไมมีการฟก จะเริ่มฟกในวันที่ 2 ของการทดลอง ผลการฟกของไข กลุมที่ไดรับเชื้อรา Paecilomyces lilacinus (CKP-012) มีเปอรเซ็นตการฟกเฉลี่ยต่ําสุดเทากับ 56.95±16.86 ซึ่ง แตกตางอยางมีนัยสําคัญยิ่งทางสถิติ (P<0.01) จากไขที่รับเชื้อรา Metarhizium anisopliae (CKM-048), P.lilacinus (CKP-032), M. flavoviride (CKM-083), Beauveria bassiana (CKB-048), กลุมน้ํากลั่น และกลุม ควบคุม ซึ่งมีเปอรเซ็นตการฟกเฉลี่ยเทากับ 94.96±3.38, 95.00±5.00,97.62±2.38, 98.57±1.43, 99.11±0.89 และ 99.48±0.52 ตามลําดับ โดยกลุมหลังนี้ไมมีความแตกตางทาง สถิติระหวางกัน (Table 1) ในการตรวจผล การฟกของไขพบวา ในชวงวันที่ 3-7 ไมมกี ารฟกเพิ่มขึ้น 2. การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเชื้อรากับหนอนกระทูหอมระยะหนอนวัย 1-2 ในวันที่ 1- 2 หลังการหยดสารทดลองไมพบการตายของหนอนกระทูหอม ในวันที่ 3 ของการทดลอง พบวาหนอน ที่ไดรับเชื้อรา M. anisopliae (CKM-048) ใหคาเฉลี่ยเปอรเซ็นตการตายของหนอนสูงสุดเทากับ 30.00 ±10.48 แตกตางอยางมีนัยสําคัญยิ่งทางสถิติ (P < 0.01) จากหนอนที่ไดรับเชื้อรา B. bassiana (CKB-048), กลุม ควบคุ ม และกลุ ม น้ํ า กลั่ น ที่ มี ค า เฉลี่ ย เปอร เ ซ็ น ต ก ารตายของหนอน เท า กั บ 3.33±3.33, 0.00, และ0.00 ตามลําดับ แตไมแตกตางอยางมีนัยสําคัญทางสถิติกับกลุมที่ไดรับเชื้อรา P. lilacinus (CKP-032),P.
Table 1 Average hatching percentage of the beet armyworm’ s egg. Average hatching percentage Treatment ± S.E. (day after treated) 1 2 0.00 99.48±0.52 a Distilled water 0.00 99.11±0.89 a B. bassiana (CKB-048) 0.00 97.62±2.38 a P. lilacinus (CKP-032) 0.00 95.00±5.00 a P.lilacinus (CKP-012) 0.00 56.95±16.86 b M. anisopliae (CKM-048) 0.00 94.96±3.38 a M. flavoviride (CKM-083) 0.00 98.57±1.43 a Mean follow by the same alphabet in the same column means highly significant different at 99 % confidence interval. lilacinus (CKP-012) และ M. flavoviride (CKM-083) ที่มีคาเฉลี่ยเปอรเซ็นตการตายของหนอน เทากับ 16.67±7.45, 13.33±7.37 และ10.00±7.12 ตามลําดับ ในวันที่ 4-5 ของการทดลอง พบวาหนอนที่ไดรับเชื้อรา M. anisopliae (CKM-048) และP. lilacinus (CKP-032) ใหคาเฉลี่ยเปอรเซ็นตการตายของหนอนสูงสุด เทากับ 30.00 ±10.48 และ30.00±7.78 และแตกตาง อยางมีนัยสําคัญยิ่งทางสถิติ (P < 0.01) กับกลุมควบคุม และกลุมน้ํากลั่น ซึ่งไมพบการตายของหนอนในการ ทดลองแตไมแตกตางอยางมีนัยสําคัญทางสถิติกับหนอนที่ไดรับเชื้อรา P. lilacinus (CKP-012), M. flavoviride (CKM-083) และ B. bassiana (CKB-048)ที่ มี คา เฉลี่ย เปอร เ ซ็ น ตก ารตายของหนอนเท า กั บ 20.00±7.37,10.00±7.12 และ3.33±3.33 ตามลําดับ ในวันที่ 6-7 ของการทดลอง พบวากลุมที่ไดรับเชื้อรา M. anisopliae (CKM-048) และP. lilacinus (CKP-012) ใหคาเฉลี่ยเปอรเซ็นตการตายของหนอนสูงสุด เทากับ 36.67± 9..23 และ36.67±5.98 แตกตางอยาง มีนัยสําคัญยิ่งทางสถิติ (P < 0.01) กับหนอนที่ไดรับเชื้อรา B. bassiana (CKB-048), กลุมน้ํากลั่น และกลุม ควบคุม ที่มีคาเฉลี่ยเปอรเซ็นตการตายของหนอน เทากับ 10.00±7.12, 0.00 และ 0.00 ตามลําดับ แตไม แตกตางอยางมีนัยสําคัญยิ่งทางสถิติกับหนอนที่ไดรับเชื้อรา P. lilacinus (CKP-032) และM. flavoviride (CKM083) ที่มีคาเฉลี่ยเปอรเซ็นตการตายของหนอน เทากับ 30.00±7.78 และ16.67±7.45 ตามลําดับ (Table 2).
Table 2 Average mortality percentage of the first-second instars beet armyworm’ s larvae. Treatment Control Distrilled water B. bassiana (CKB048) P. lilacinus (CKP032) P.lilacinus (CKP-012) M. anisopliae (CKM048) M. flavoviride (CKM083)
Average mortality percentage ± S.E. (day after treated) 3 4 5 6 a a a 0.00 0.00 0.00 0.00a 0.00a 0.00a 0.00a 0.00a
1 0.00 0.00
2 0.00 0.00
7 0.00a 0.00a
0.00
0.00
3.33±3.33 a
3.33±3.33 ab
3.33±3.33 ab
10.00±7.12 ab
10.00±7.12 ab
0.00 0.00
0.00 0.00
16.67±7.45 ab 13.33±7.37 ab
30.00±7.78 b 20.00±7.37 ab
30.00±7.78 b 20.00±7.37 bc
30.00±7.78 bc 36.67±5.98 c
30.00±7.78 bc 36.67±5.98 c
0.00
0.00
30.00±10.48 b
30.00±10.48b
30.00±10.48b
36.67±9.23 c
36.67±9.23 c
0.00
0.00
10.00±7.12 ab
10.00±7.12 ab
10.00±7.12 ab
16.67±7.45 bc
16.67±7.45 bc
Mean follow by the same alphabet in the same column means highly significant different at 99 % confidence interval.
3. การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเชื้อรากับหนอนกระทูหอมระยะหนอนวัย 3 ในวันที่ 1 และ 2 หลังการหยดสารทดลอง ไมพบการตายของหนอนกระทูหอม ในวันที่ 3 พบคาเฉลี่ย เปอรเซ็นตการตายของหนอนกระทูหอมวัย 3 ไมมีความแตกตางอยางมีนัยสําคัญทางสถิติกับหนอนที่ไดรับเชื้อรา M. anisopliae (CKM-048), P. lilacinus (CKP032), P.lilacinus(CKP-012),M. flavoviride(CKM-083),B. bassiana (CKB-048), กลุมควบคุม และ กลุมน้ํากลั่น คือ 10.00±6.67, 6.67±0.00, 5.00±5.00, 3.33±3.34, 3.33±0.00, 1.67±1.67 และ1 67±1.67 ตามลําดับ ในวันที่ 4 ของการทดลอง พบวาหนอนที่ไดรับเชื้อรา M. anisopliae (CKM-048) มีคาเฉลี่ยเปอรเซ็นต การตายของหนอนสูงสุด เทากับ 21.67±1.67 แตกตางอยางมีนัยสําคัญยิ่งทางสถิติ (P < 0.01) กับกลุมควบคุม และกลุมน้ํากลั่น ที่มีคาเฉลี่ยเปอรเซ็นตการตายของหนอน เทากับ 1.67±1.67 และ1.67±1.67 ตามลําดับ แตไม แตกตางอยางมีนัยสําคัญทางสถิติกับหนอนที่ไดรับเชื้อรา P. lilacinus (CKP-032) ,B.bassiana(CKB-048), P lilacinus (CKP-012) และM.flavoviride (CKM-083) ที่มีคาเฉลี่ยเปอรเซ็นตการตายของหนอน เทากับ 15.00±1.67,11.67±5.00, 11.67±5.00 และ8.33±1.67 ตามลําดับ ในวันที่ 5 ของการทดลอง พบวาหนอนที่ไดรับเชื้อรา M. anisopliae (CKM-048) มีคาเฉลี่ยเปอรเซ็นต การตายของหนอนสูงสุด เทากับ 26.67±0.00 แตกตางอยางมีนัยสําคัญยิ่งทางสถิติ (P < 0.01) กับหนอนที่ไดรับ เชื้อรา M. flavoviride (CKM-083), B. bassiana (CKB-048),กลุมควบคุม, และกลุมน้ํากลั่น ที่มีคาเฉลี่ย เปอรเซ็นตการตายของหนอน เทากับ 13.33±3.34, 11.67±5.00, 5.00±1.67และ5.00±1.67 ตามลําดับ แตไม แตกตางอยางมีนัยสําคัญทางสถิติกับหนอนที่ไดรับเชื้อรา P. lilacinus (CKP-012) และ P.lilacinus (CKP-032) ที่มีคาเฉลี่ยเปอรเซ็นตการตายของหนอน เทากับ 20.00±0.00 และ18.33 ±3.34ตามลําดับ ในวันที่ 6 ของการทดลอง พบวากลุมที่ไดรับเชื้อรา M.anisopliae (CKM-048) มีคาเฉลี่ยเปอรเซ็นต การตายของหนอนสูงสุด เทากับ 31.67±1.67 แตกตางอยางมีนัยสําคัญยิ่งทางสถิติ (P < 0.01) หนอนที่ไดรับเชื้อ
รา B.bassiana (CKB-048), กลุมน้ํากลั่น และกลุมควบคุม ที่มีคาเฉลี่ยเปอรเซ็นตการตายของหนอน เทากับ 13.33±3.34, 8.33±1.67 และ5.00±1.67 ตามลําดับ แตไมแตกตางอยางมีนัยสําคัญทางสถิติกับหนอนที่ไดรับ เชื้อรา M. flavoviride (CKM-083), P.lilacinus (CKP-032) และ P.lilacinus (CKP-012) ที่มีคาเฉลี่ยเปอรเซ็นต การตายของหนอน เทากับ 20.00±6.67, 20.00±3.33 และ26.67±0.00 ตามลําดับ ในวันที่ 7 ของการทดลอง พบวาหนอนที่ไดรับเชื้อรา M. anisopliae (CKM-048) มีคาเฉลี่ยเปอรเซ็นต การตายของหนอนสูงสุด เทากับ 36.67±0.00 แตกตางอยางมีนัยสําคัญยิ่งทางสถิติ (P < 0.01) กับหนอนที่ไดรับ เชื้อราB. bassiana (CKB-048)กลุมน้ํากลั่น, และ กลุมควบคุม ที่มีคาเฉลี่ยเปอรเซ็นตการตายของหนอน เทากับ 13.33±3.34, 8.33±1.67, และ5.00±1.67 ตามลําดับ แตไมแตกตางอยางมีนัยสําคัญทางสถิติกับหนอนที่ไดรับ เชื้อรา P. lilacinus (CKP-012), M. flavoviride(CKM-083) และ P. lilacinus (CKP-032) ที่มีคาเฉลี่ยเปอรเซ็นต การตายของหนอน เท า กั บ 28.33±1.67, 20.00±6.67 และ20.00±3.33 ตามลํ า ดั บ (Table 3) Table 3 Average mortality percentage of the third instar beet armyworm’ s larvae. Average mortality percentage± S.E. (day after treated) 1 2 3 4 5 6 7 ns a a a Control 0 0 1.67±1.67 1.67±1.67 5.00±1.67 5.00±1.67 5.00±1.67 a Distrilled water 0 0 1.67±1.67 ns 1.67±1.67 a 5.00±1.67 a 8.33±1.67 a 8.33±1.67 a B. bassiana (CKB-048) 0 0 3.33±0.00 ns 11.67±5.00 ab 11.67±5.00 ab 13.33±3.34 ab 13.33±3.34 ab P. lilacinus (CKP-032) 0 0 6.67±0.00 ns 15.00±1.67 ab 18.33±1.67 abc 20.00±3.33 abc 20.00±3.33 abc P.lilacinus (CKP-012) 0 0 5.00±5.00 ns 11.67±5.00 ab 20.00±0.00 bc 26.67±0.00 bc 28.33±1.67 bc M. anisopliae (CKM-048) 0 0 10.00±6.67ns 21.67±1.67 b 26.67±0.00 c 31.67±1.67 c 36.67±0.00 c M. flavoviride (CKM-083) 0 0 3.33±3.34 ns 8.33±1.67 ab 13.33±3.34 ab 20.00±6.67 abc 20.00±6.67 abc Mean follow by the same alphabet in the same column means highly significant different at 99 % confidence interval. Treatment
วิจารณ จากการทดลองเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเชื้อราทั้ง 5 ชนิดในการปองกันกําจัดหนอนกระทูหอม ที่ ความเขมขน 1X106 สปอร/มล. ตรวจสอบผลการทดลองเปนเวลา 7 วัน พบวาหนอนกระทูหอมจะเริ่มฟกออกจาก ไขในวันที่ 2 ของการทดลอง ในวันที่ 3-7 ไมพบการฟกเพิ่ม โดยในกลุมควบคุมมีเปอรเซ็นตการฟกเฉลี่ยเทากับ 99.48 ซึ่งสอดคลองกับการทดลองของ วัชระ (2511) พบวาระยะไขโดยเฉลี่ย เทากับ 2 วัน และ เปอรเซ็นตการ ฟกเฉลี่ย เทากับ 98.06 เปอรเซ็นต และพบวาเชื้อรา Paecilomyces lilacinus (CKP-012) มีประสิทธิภาพสูงสุด ในการควบคุมระยะไขโดยมีเปอรเซ็นตการฟกเฉลี่ยต่ําสุดเทากับ 56.95±16.86 สอดคลองกับของ Maketon and Domhom 2003 ซึ่ ง ทดสอบประสิ ท ธิ ภ าพของเชื้ อ ราในการกํ า จั ด ไข ห อยเชอรี่ ก็ พ บว า เชื้ อ รา Paecilomyces lilacinus. มีประสิทธิภาพเหนือกวา Metarhizium spp. โดยมีเปอรเซ็นตไขหอยไมฟกถึง 85.64 การที่เขื้อรามี ประสิทธิภาพในการกําจัดไขหนอนกระทูหอมไดนอยกวาเกิดจากการที่ไขของหอยเชอรี่ไมมีขนปกคลุม ขณะที่ไข ของหนอนกระทูหอมมีขนปกคลุม (วัชระ, 2511) ดังนั้นสปอรของเชื้อราจะถูกดักไวที่ขนดังกลาว และ การที่คา ความผันแปรคอนขางสูงในผลการทดลองกับไขคงเกิดจากการที่ไขของหนอนกระทูหอมมีลักษณะเปนกลุมกอน
ทําใหไขที่อยูดานในไมมีโอกาสสัมผัสกับสปอรของเชื้อรา และสามารถฟกเปนตัว หนีจากการทําลายของเชื้อราไป ได สําหรับหนอนกระทูหอมวัย 1-2 เชื้อรา M. anisopliae (CKM-048) และP. lilacinus (CKP-012) มี ประสิทธิภาพในการเขาทําลายสูงสุด เทากับ 36.67±9.23 และ36.67±5.98 สวนหนอนกระทูหอมวัย 3 เชื้อรา M. anisopliae (CKM-048) มีประสิทธิภาพในการเขาทําลายสูงสุด เทากับ 36.67±0.00.รองลงมาคือ เชื้อรา P. lilacinus (CKP-012) ที่ใหคาเฉลี่ยเปอรเซ็นตการตายของหนอน เทากับ 28.33 ±1.67 โดยหนอนทั้ง 2 ระยะจะ เริ่มตายตั้งแตวันที่ 2 ของการทดลอง และมีเปอรเซ็นตการตายที่เพิ่มขึ้นแตอัตราการตายลดลง สอดคลองกับการ ทดลองของ Krutmuang (1996) พบวา ปลวกที่ไดรับเชื้อรา M. anisopliae จะเริ่มตายตั้งแตวันที่ 2 หลังจาก ไดรับเชื้อราและภายใน 6-7 วัน จะมี conidia สีเขียวขึ้น ในระยะหนอนวัย 3 มีเปอรเซ็นตการตายนอยกวาหนอนวัย 1-2 ในวันที่ 3 หลังการหยดสารทดลอง เนื่องจาก หนอนในวัยสูงขึ้นจะมีความทนทานเพิ่มขึ้นซึ่งอาจเกิดจากการ มีกลไกการปองกันตัวเองจากเชื้อราโดย การลอกคราบ (Maketon et al. 2003)
สรุป จากประสิทธิภาพของเชื้อรา P. lilacinus (CKP-012) ในการกําจัดหนอนกระทูหอมในระยะไขและ หนอนวัย 1-2 และ M. anisopliae (CKM-048) ในการกําจัดหนอนกระทูหอมวัย 1-2 และ 3 แสดงใหเห็นถึง ศักยภาพของเชื้อราทั้ง 2 ชนิดในการผลิตเปนชีวภัณฑที่สามารถใชในการปองกันกําจัดหนอนกระทูหอมตอไป
คํานิยม ขอขอบคุณกลุมงานชีววิธี กรมสงเสริมการเกษตรที่กรุณาอนุเคราะหหนอนกระทูหอม เพื่อใชในการ ทดลอง
เอกสารอางอิง กอบเกียรติ บันสิทธิ์ 2543 ศัตรูพืชผักและการควบคุมแมลงศัตรูพืชผัก, น.66-67 ใน สุปรานี อิ่มพิทักษ, บรรณาธิการ. หลักและวิธีการผลิตผักอนามัย. โรงพิมพชมุ นุมสหกรณการเกษตรแหงประเทศไทย จํากัด, กรุงเทพฯ. คมกฤช เพียภูเขียว. 2539.ประสิทธิภาพของการผสมสายพันธุเชื้อรา Paecilomyces lilacinus ตอการเขาทําลาย ไขไสเดือนฝอยรากปม (MELOIDOGYNE INCOGNITA), วิทยานิพนธปริญญาโท, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ. ณัฐพร วงศศิริขจร 2546. ศักยภาพของเชื้อรา Paecilomyces lilacinus ในการควบคุมและกําจัดหอยเชอรี่ใน ระยะตัวออน 5 วัน (Pomacea canaliculata), ปญหาพิเศษมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ, 42 น. วัชระ ภูรีวิโรจนกุล. 2511 การศึกษาประวัติหนอนกระทูหอมและการปองกันกําจัด. วิทยานิพนธปริญญาโท, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ. วีรฑิมา สวัสดิ์วราหกุล. 2546. การใชเชือ้ ราในการกําจัดปลวก. ปญหาพิเศษ, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ,65น.
สุภกิจ สุขใจมิตร.2532. อิทธิพลของ antagonistic plants และเชื้อรา Paecilomyces lilacinus ตอไสเดือนฝอย รากปม Meloidogyne spp., วิทยานิพนธปริญญาโท, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ. สุรวิทย โวยสิ้น. 2541 ประสิทธิภาพของเชือ้ รา Paecilomyces lilacinus ตางสายพันธุในการเขาทําลายไสเดือน ฝอยรากปม (Meloidogyne incognita), ปญหาพิเศษ, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ, 28 น. อนุชา ธีรวุฒธิ ร. 2537.ประสิทธิภาพของเชือ้ รา Paecilomyces lilacinus ตางสายพันธุในการเขาทําลายไขใส เดือนฝอยรากปม(MELOIDOGYNE INCOGNITA), วิทยานิพนธปริญญาโท, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ. Krutmuang, P., 1996. Laboratory studies on Green Muscardine Fungus, Metarhizium anisopliae for Control of Termites (Isoptera), M.S. thesis, Kasetsart University, Bangkok. Maketon, Monchan, Sudaporn Jaichuen and Supakit Maketon 2003.. Biological Control of Brown Planthopper (Nilaparvata lugens, Stal) on Rice by Metarhizium spp. 20th Pacific Science Congress “Science and Technology for Healthy Environments”. Sym. 3.2 Poster – 12. Maketon, Monchan and Domhom 2003. Efficacy of Paecilomyces lilacinus in Controlling Egg Stage of Golden Apple Snail (Pomacea canaliculata). BioThailand P-ENV-03 P 300. Marh,S. 1997. Know Your Friends: The Entomopathogen Beauveria bassiana. Midwest Biological Control News. Available Source: http://www.entomology.wisc .edu/mben/kyf410.html.May 20, 2004. Richard, A. Humber. 1998. Entomopathogenic Fungal Identification APA/ESA Workshop. Available Source: http://www.ppru.cornell.edu/mycology/insect_mycology.html, July 18, 2004. Sakchoowong, W. 1998. Effects of Entomopathogenic Fungi Beauveria bassiana (Balsamo) Vuillemin and Metarhizium anisopliae (Metchnikoff) Sorokin on Teak Defoliator (Hyblaea puera Cramer) (Lepidoptera : Noctuidae), M.S. thesis, Kasetsart University, Bangkok. Wei-Bing, Shi and Ming-Guang Feng. 2004.Lethal effect of Beauveria bassiana, Metarhizium anisopliae, and Paecilomyces fumosoroseus on the eggs of Tetranychus cinnabarinus (Acari; Tetranychidae) with a description of a mite egg bioassay system, Biological Control 30(2): 165173.
A.
B.
C.
D.
E.
F.
G.
H.
I.
J. K. L. Figures 1 Showing egg and larvae of the beet armyworm (Spodoptera exigua Hub.) infected by entomopathogenic fungi. A. egg infected by B. bassiana (CKB-048) B.-C. larva infected by B. bassiana (CKB-048) D. egg infected by P. lilacinus (CKP-032) E. larval infected by P. lilacinus (CKP-032) F. egg infected by P. lilacinus (CKP-012) G. larval infected by P. lilacinus (CKP-012) H. egg infected by M. anisopliae (CKM-048) I.-J. larval infected by M. anisopliae (CKM-048) K. egg infected by M. flavoviride (CKM-083) L. larval infected by M. flavoviride (CKM-083)