ปุจฉา-วิสัชนา เดือน มี.ค. 61 (not for MAC, iPhone, iPad)

Page 1


นําไหลนิง ผู้ถาม : กราบค่ ะหลวงตา ชอบคลิปวีดีโอเรือง “ใจคือ ความว่ างเปล่ า เป็ นหนึงเดียวกับธรรมชาติ” มากค่ ะ อาการของใจเป็ นเพียงเหมือนสายนําทีไหลไป ไม่ มี ผู้ยึดถือ เพียงแค่ เราคอยสังเกตเห็นเราทีเป็ นส่ วนเกิน ของธรรมชาติ เมือปรากฏขึนก็เป็ นเพียงสายนําทีไหล ไป ใจก็ว่างเปล่ าจากความมีตัวตนเจ้ าค่ ะ เห็นนําไหลนิง เห็นนําไหลนิง อันนีมังคะทีเป็ น สิงทีครู บาอาจารย์ และหลวงตาสอนสัง เห็นสิงทีไหลไป ใจไม่ ยดึ ถือ ใจเข้ าใจใจของตนเองว่ าไม่ ใช่ ตัวไม่ ใช่ ตน

หลวงตา : สาธุ สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


พระพุทธเจ้ าพูดได้ ผู้ถาม : หนูกล่ าวคําอธิษฐานก่ อนฟั งและอ่ านธรรม แล้ วและใจไม่ น้อมเพราะมีความสงสัยว่ า จะเอาธรรม อันบริสุทธิออกจากธาตุอันบริสุทธิของพระพุทธเจ้ า ทําอย่ างไรเจ้ าค่ ะ

หลวงตา : ให้ สงบใจอยู่ต่อหน้ ารู ปพระพุทธเจ้ า เหมือนคุยถามตอบกับพระพุทธเจ้ า ถามซํา ๆ ในใจ เดียวรู้แจ้ งทีใจ พระพุทธเจ้ าพูดได้ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


สําคัญทีปล่ อยวางตัวเรา ผู้ถาม : ขอน้ อมกราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ ขอ โอกาสหลวงตาส่ งการบ้ านเจ้ าค่ ะ ลูกได้ ฟังธรรมหลวงตา จดจ่ อ หลงคิด รู้ได้ ทัน เร็วขึน ยิงเวลา นังสมาธิ จะหลงรู้ เกือบทันที จิตมันจะ เหนือย แต่ ไม่ ดักความคิด คิดแลัวก็ร้ ู ก็ถามว่ าใครเป็ นคนรู้ ตัวเราเป็ นคนรู้ เราอยู่ ทีไหน หาก็ไม่ มี ใจเป็ นผู้หา ใจก็ไม่ มี ก็ตวั เราว่ าจะเอา อะไร ไม่ มีอะไรให้ เอาค่ ะหลวงตา การภาวนาเดินตอนเย็น ชัวโมงครึ ง ตืน ขึนมานังอีกตอนตี นังประมาณ นาทีเจ้ าค่ ะ ขอความเมตตาจากหลวงตาชึสภาวธรรมให้ ลกู เจ้ าค่ ะ ขอน้ อมกราบหลวงตาเจ้ าค่ ะ


หลวงตา : เพียรเช่ นนันให้ ต่อเนือง อาการใดหรือสิง ทีรู้ แล้ ว เห็นแล้ วในปั จจุบนั ขณะ และทียังไม่ ร้ ู ไม่ เห็น ไม่ ได้ ไม่ เป็ น ก็ให้ ปล่ อยวางไปในขณะปั จจุบัน ปล่ อยวางตัวเราผู้ดู ผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้เข้ าใจ ผู้ปล่ อยวาง เป็ นสําคัญ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ไม่ มีตัวตนคงที แม้ น้อยหนึง นิดหนึง ปรมาณูหนึง ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ ะ และกราบ ขอบพระคุณหลวงตา ทีเมตตาสังสอนให้ ปล่ อยวาง สังขารเพราะมันเป็ นของหนัก ตอนนีโยมก็ได้ ปฏิบัติตามและพิจารณาว่ าทุก อย่ างมันไม่ เทียง ทุกอย่ างคือธรรมชาติ ชึงเป็ นไปตาม เหตุปัจจัย โยมก็น้อมเอาธรรมชาติมาพิจารณาแทน มรณสติอย่ างนีได้ ไหมคะ หลวงตา ช่ วยชีแนะด้ วยเจ้ าค่ ะ แล้ วเวลาโยม นังสมาธิ ก็ไม่ เห็นอะไรมันมืดไปหมดเจ้ าค่ ะ


หลวงตา : ให้ น้อมพิจารณาว่ าสังขาร ร่ างกาย จิตใจ ต้ องแก่ เจ็บ ตาย เน่ าเปื อยผุพังไปหมดสิน ไม่ มีตัวตนที คงทีอยู่เลยแม้ น้อยหนึง นิดหนึง ปรมาณูหนึง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ธรรมะจากไมยราพ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ เมือเช้ านีดูต้นไม้ ทบ้ี าน เกิดนึกถึงต้ นไมยราพขึนมา แล้ วก็เกิดปิ งแวบขึนมาว่ า ไมยราพไม่ มีอวิชชานีหว่ า … ผมก็เลยเขียนบทความนีออกจากใจครั บ หลวงตาเมตตาช่ วยแนะนําด้ วยครับ **ธรรมะจากไมยราพ** ไมยราพเมือโดนสัมผัส มันจะหุบใบทุกครัง หลังจากไม่ สัมผัสสักระยะหนึง ใบก็บานเหมือนเดิม ทุกครังทีสัมผัสมันก็จะเป็ นเช่ นนี ทุกครั งไป ไม่ เคยมีครั งไหนทีสัมผัสแล้ วจะไม่ หุบ มันไม่ เคยบอกกับตัวมันเองว่ าสัมผัสแล้ วครั งนีจะไม่ หบุ


มันไม่ เคยให้ ค่ากับการบานหรือหุบ สัมผัสมัน มันก็หบุ ไม่ สัมผัสมันก็บาน อย่ างซือ ๆ ตรงไปตรงมา ทีเป็ นเช่ นนีเพราะมันไม่ มีอวิชชา มีตัวตนไปยึดมันถือ มัน ไปให้ ค่ากับการบานหุบ โดนสัมผัสก็หุบ ไม่ โดน สัมผัสก็บาน อย่ างตรงไปตรงมาเช่ นเดียวกับสังขาร มีอะไรมากระทบผ่ านทางอายตนะทัง ก็ต้อง เกิดการทํางานของขันธ์ (วิญญาณขันธ์ ทํางานร่ วมกับ เจตสิก) ทุกครังอย่ างตรงไปตรงมา แต่ ปุถุชนซึงมี อวิชชาอยู่ จึงมีตัวตนผู้ยึดถือ ให้ ค่า ชอบสังขารหน้ า บวก ผลักไสสังขารหน้ าลบ ไม่ ได้ รับรู้ สังขารทีเกิดขึน อย่ างตรงไปตรงมา ตามเหตุปัจจัยทีมากระทบอย่ าง ไมยราพ เราจึงไม่ เป็ นหนึงเดียวกับไมยราพหรือพืช พันธุ์อืน ๆ หรื อธรรมชาติได้


แต่ เมือปุถุชนมีปัญญาเข้ าใจสัจธรรมความจริง ตามธรรมชาติว่ารูปนามก้ อนนีมันมีแค่ ธาตุดิน นํา ลม ไฟ และธาตุร้ ูเช่ นเดียวกับไมยราพทีมีแค่ ธาตุนีไม่ มี ตัวตนผู้ยดึ ถือให้ ค่า แล้ วปล่ อยวางตัวแปลกปลอมคือ อวิชชาทีสร้ างตัวตนผู้ยึดมันถือมัน หรือปล่ อยวาง อุปาทานขันธ์ ทงั ไม่ หลงยึดว่ าขันธ์ ทงั นีเป็ นเรา เป็ นตัวตนของเรา ก็จะเหลือแค่ ธรรมชาติทเป็ ี นความมี (สังขาร) ทํางานอย่ างอิสระตรงไปตรงมาท่ ามกลางธรรมชาติ แห่ งความไม่ มี (วิสังขาร) อย่ างแท้ จริง


เมือสินอายุขัย ก็จะคืนสู่ธรรมชาติ ไปรวมกับ ธาตุธรรมชาติทงั ธาตุ ดังเดิม ไม่ เหลือตัวอวิชชาทีจะ นําไปสู่การเวียนว่ ายตายเกิดอีกต่ อไป เช่ นเดียวกับ ไมยราพ เมือมันตายแล้ ว ธาตุทงั ธาตุ ก็กลับไปรวม กับธาตุทงั ธาตุ ในธรรมชาติต่อไป ไมยราพต้ นเดิมที ตายไป ก็ไม่ ได้ ไปเกิดไมยราพต้ นใหม่ หรือไปเกิดเป็ นพืช พันธุ์ชนิดอืนหรือสัตว์ ชนิดอืนเพราะมันไม่ มีอวิชชาทีจะ ทําให้ มันไปเวียนว่ ายตายเกิดอีก ก็กลับคืนสู่ธรรมชาติ ซึงเป็ นเจ้ าของทุกสรรพสิงทีเกิดขึนมาในจักรวาลนี อย่ างแท้ จริง

หลวงตา : สาธุ สาธุ สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ไม่ ตัวตนของผู้ยดึ ถือ ไม่ มีผ้ เู อา ไม่ มีผ้ ไู ด้ ไม่ มีผ้ เู ป็ น ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้ าค่ ะหลวงตา ตอนนีก็เป็ น เดือนมีนาคมแล้ ว วันที กรกฎาคม นี ลูกจะมา เมืองไทย กราบขอโอกาสมากราบหลวงตา ตาม สถานทีทีหลวงตาไปเผยแผ่ ธรรมเจ้ าค่ ะ มีเวลาอยู่ทนี​ี ประมาณ วันเจ้ าค่ ะ ลูกจะขอใช้ เวลาและโอกาสนีให้ เป็ นประโยชน์ ตนประโยชน์ ท่าน น้ อมนําพระธรรมคํา สอนทีหลวงตากล่ าวสอน ชีแนะและตักเตือนในธรรม ให้ เป็ นธรรมอันละเอียดยิง ๆ ขึนไปเจ้ าค่ ะหลวงตา 🙇🙇🙇


ตอนนีจะอยู่ทไหนก็ ี แล้ วแต่ แต่ ไม่ ได้ ห่างไกล พระธรรม ฟั ง ฟั ง พิจารณา เห็นชัดแจ้ งขึน จนทําให้ การอยู่ใช้ ชีวติ ขันธ์ ห้านี ง่ ายขึนมาก ๆ เจ้ าค่ ะ มันเรี ยบง่ ายจริง ๆ จนไม่ ร้ ูจะพูดจะกล่ าวออกมา อย่ างไรดี เพราะออกมาเป็ นคําพูดนันมันก็ไม่ ใช่ ว่าจะ บริสุทธิ เพราะมันไม่ มีอาการใด ๆ แทรกแซงเข้ าไปได้ เลย พอมีอาการแทรกปุ๊ บ ก็ร้ ูทนั ทีว่าอันนีของปลอม


ความคิด ถ้ าจําเป็ นต้ องคิดในการงานก็คิดไป รู้ ว่ าคิด คิดเสร็จวาง ไม่ มีค้างเลย การพูดจา จะพูดอะไร ก็ร้ ู ว่าพูดอยู่ พูดจบวางเลย ไม่ มีอะไร ถ้ าเป็ นเมือก่ อน จะพูดว่ า เข้ ามาไม่ ถึงใจ แต่ ตอนนีเข้ าใจว่ าแม้ แต่ ใจก็ไม่ มี ไม่ มีรูปร่ าง ไม่ มีทอยู ี ่ ไม่ อาศัยอะไร แล้ วอะไรจะมาอาศัยหล่ ะ ใน เมือมันไม่ มอี ะไรเลยเจ้ าค่ ะหลวงตา ขอความเมตตาจากหลวงตาโปรดชีแนะลูก ด้ วยเจ้ าค่ ะ


หลวงตา : ไม่ ตัวตนของผู้ยึดถือ ไม่ มีผ้ ูเอา ไม่ มีผ้ ูได้ ไม่ มีผ้ ูเป็ น ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ปั ญญา เป็ นสังขารทีช่ วยให้ สนหลง ิ ผู้ถาม : ขอเรียนถามหลวงตาว่ า เราจะใช้ อะไรแยก ความคิดทีเป็ นสังขาร กับความคิดทีเป็ นธรรมทีเป็ น ปั ญญาคะ เขาจะมาต่ างกันอย่ างไรเจ้ าคะ ต้ องสังเกต อย่ างไรจึงจะรู้เจ้ าคะ

หลวงตา : “สังขาร” ทัว ๆ ไปไม่ ได้ ทาํ ให้ สนหลงสิ ิ นยึด พ้ นทุกข์ เหมือน “ปั ญญา” ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


พิจารณาความจริงซํา ๆ อย่ างต่ อเนืองไม่ ขาดสาย ผู้ถาม : พิจารณาสังขารไม่ เทียงอย่ างต่ อเนือง อยู่ วัน เช้ านีก็เดินจงกรมพิจารณาต่ อจากกายตาย เน่ า อืด นําเหลืองไหล ร่ างแตกออก เละ เน่ า หนอนขึน จนยุบ ลงเหลือโครงกระดูก แล้ วก็ถูกไฟเผา เหลือแต่ เถ้ าเป็ น ฝุ่ นผงลอยหายไปในอากาศ พิจารณาอยู่อย่ างนีมา วันเจ้ าค่ ะ วันนีขณะพิจารณา มองเห็นต้ นไม้ ใหญ่ ใบงาม ออกดอก ก็เข้ าใจ อ๋ อ จาก เถ้ ากระดูก ไปเป็ นต้ นไม้ ใบไม้ ดอกไม้ สายลม แสงแดด เป็ นธรรมชาติ เช่ นนีเอง เพิงเข้ าใจจริ ง ๆ เจ้ าค่ ะ


เป็ นหนึงเดียวกับธรรมชาติ เป็ นความว่ างเปล่ า เป็ นเช่ นนีเอง แต่ หลังจาก วันแล้ ว พอน้ อมว่ า ตัวเองตาย เน่ า จิต มันทํางานรวดเดียว ก็เป็ นอากาศไปเลยเจ้ าค่ ะ รบกวนหลวงตาชีแนะด้ วยเจ้ าค่ ะ


หลวงตา : ให้ น้อมพิจารณาซํา ๆๆ .... อย่ างต่ อเนือง ไม่ ขาดสาย ว่ าสังขาร ร่ างกาย จิตใจ ต้ องแก่ เจ็บ ตาย เน่ าเปื อยผุพังไปหมดสิน ไม่ มีตัวตนทีคงทีอยู่เลยแม้ น้ อยหนึง นิดหนึง ปรมาณูหนึง จนรู้สึกถึงใจ ปล่ อยวางความหลงยึดมันถือมันว่ า เรามีตัวตน หรือ มีตัวตนของเรา ไปทีละน้ อย... ทีละน้ อย ๆๆๆๆๆ จนปล่ อยวางความหลงยึดถือหมดสิน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


พิจารณาความจริงต่ อเนืองไม่ ขาดสาย จนปล่ อยวางความหลงยึดถือหมดสิน ผู้ถาม : วันนีมารับศพเด็กทีเคยดูแลเป็ นเพือนพ่ อแม่ เห็นศพเด็กเปลียนสภาพ มีนําไหลออกจากจมูก สุดท้ ายก็ถูกห่ อไว้ ในผ้ า แล้ วถูกเขาหิวออกไปจากห้ อง ดับจิต มันรั บรู้ และเห็นเหมือนเห็นตัวเอง รู้ชัดว่ า วันนึงร่ างกายเราก็ต้องถูกห่ อแบบนัน


แต่ แปลกทีทําไมจิตมันไม่ หอื ไม่ อือ ไม่ กระดิก กระเดีย กับสิงทีเห็นร่ างกายมันต้ องตายเลย ไม่ มีเลย สักนิดทีจะทุกข์ เข้ าถึงใจ มันแค่ เห็นและรับรู้ ในสิงทีเกิดตรงหน้ าเฉย ๆ เหมือนมันยอมรับโดยสินเชิงแล้ ว ว่ าวันนึงต้ องทิง ร่ างกายไป โดนเขาหิวไปแบบนันนันเอง แต่ แปลกทีทําไมเห็นเรื องน่ ากระแทกขนาดนี แล้ วตอนนันก็ไม่ ได้ ปรุงแต่ งเอาอะไรมาบังธรรม แต่ ทําไมมันไม่ กระแทกใจเลย พอจะคิดพิจารณาน้ อมให้ มัน มากระแทก มันก็ทาํ ไม่ ได้ แล้ ว งงกับมันจริง ๆ เจ้ าค่ ะ


หลวงตา : ให้ น้อมพิจารณาซํา ๆๆ .... อย่ างต่ อเนือง ไม่ ขาดสาย ว่ าสังขาร ร่ างกาย จิตใจ ต้ องแก่ เจ็บ ตาย เน่ าเปื อยผุพังไปหมดสิน ไม่ มีตัวตนทีคงทีอยู่เลย แม้ น้อยหนึง นิดหนึง ปรมาณูหนึง จนรู้สึกถึงใจ


ปล่ อยวางความหลงยึดมันถือมันว่ าเรามีตัวตน หรื อ มีตัวตนของเรา ไปทีละน้ อย... ทีละน้ อย ๆๆๆๆๆ จนปล่ อยวางความหลงยึดถือหมดสิน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


พิจารณาความจริ ง อย่ างต่ อเนืองไม่ ขาดสาย ผู้ถาม : ตัวตนหายเวลาฟั งธรรมหลวงตา แต่ พอมาอยู่ กับโลก ผัสสะกระทบ แม้ จะตังรู้ ทใจ ี ส่ วนใหญ่ จะไม่ ทนั ทีจะจบลงทีใจ มีบ้างครั งทีจบ เนืองจากมันไม่ มีเรา ต้ องโยนิโสไม่ ขาดสายแบบทีหลวงตาสอน ว่ ามันไม่ มี เรา ทุกอย่ างเป็ นมายาแล้ วปล่ อยวาง หน้ าทีทําดีทสุี ด จะเกิดอะไรก็วาง วางไป เพราะเราไม่ มี เดียวมันก็หาย ตัวไป ดูพ่อแม่ เรา ทําอะไรตังมากมาย ตายแล้ วกลับ บ้ านมาไม่ มีแม่ บ้ านมันก็ยังอยู่ของมัน ทุกอย่ างเป็ น มายา ไม่ มีใครเขาสนใจเราหรอก ชีวติ นีน้ อยนัก ทุก อย่ างมายา ธรรมะหลวงตาเป็ นของจริ ง ศิษย์ ขอกราบ หลวงตาถนอมธาตุขันธ์ นะคะ


ปั ญหาของศิษย์ คือยังต้ องอาศัย เสียงของ หลวงตาเป็ นวิหารธรรม ทําอย่ างไรจึงจะหายใจได้ เองคะ

หลวงตา : ให้ น้อมพิจารณาซํา ๆๆ .... อย่ างต่ อเนือง ไม่ ขาดสาย ว่ าสังขาร ร่ างกาย จิตใจ ต้ องแก่ เจ็บ ตาย เน่ าเปื อยผุพังไปหมดสิน ไม่ มีตัวตนทีคงทีอยู่เลยแม้ น้ อยหนึง นิดหนึง ปรมาณูหนึง จนรู้สึกถึงใจ ปล่ อยวางความหลงยึดมันถือมัน ว่ าเรามีตัวตน หรือ มีตัวตนของเรา ไปทีละน้ อย... ทีละ น้ อย ๆๆๆๆๆ จนปล่ อยวางความหลงยึดถือหมดสิน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


น้ อมอธิษฐาน จนกว่ าจะสินยึดหมดใจ ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะ วันก่ อนทีจะมากราบหลวง ตาก็กราบพระพุทธรูปและอธิษฐานบวชใจก่ อนเริม ปฏิบัติก็ร้องไห้ ออกมาเองโดยไม่ ร้ ูตัว เหมือนจิตรู้ว่าเรา ไม่ มี แบบนีควรอธิษฐานทุกวันเพือจะได้ ปล่ อยวาง ขันธ์ ได้ ง่ายใช่ ไหมคะ ฟั ง “พึงรู้ธรรมด้ วยใจตน” บ่ อยมาก ๆ ค่ ะ ฟั งแล้ ว เข้ าใจค่ ะ และมายําในความคิดเดิมทีน้ อมมาเสมอ ๆ ว่ า เราไม่ มีอะไรมาตังแต่ เกิด


หลวงตา : สาธุ น้ อมอธิษฐานจนกว่ าจะสินยึดหมดใจ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ใจ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ ส่ งการบ้ านเจ้ าค่ ะ ใจอยู่ทไหน ี ใจมีอยู่แต่ ไม่ มีรูปพรรณสัณฐาน เป็ นความว่ าง เปล่ าในตัวเรา ใจคงจะอยู่ในทุกอณูของร่ างกายตังแต่ หวั ถึง เท้ าเพราะในร่ างกายเซลล์ ต่าง ๆ ทีสามารถเคลือนทีได้ เคลือนไหวได้ เพราะมันต้ องมีความว่ างอยู่ ถ้ าไม่ มี ความว่ างก็คงจะเคลือนทีไม่ ได้ เหมือนทีหลวงตาสอน เสมอ


เมือรู้ สกึ เจ็บทีเท้ าเราก็ร้ ู หัวแตกเราก็ร้ ู เจ็บจีด ทีหัวใจเราก็ร้ ู เพราะมีความว่ างอยู่ในทุกอณูของ ร่ างกายอย่ างนีใจก็คงเป็ นความว่ างนัน เพราะเป็ นความว่ างอยู่ในทุกอณูนันเอง เมือ เราตาย ความว่ างต่ าง ๆ ก็ออกมาจากร่ างกาย เหมือน ทีหลวงตาเคยบอกว่ าวิญญาณออกจากร่ าง รู ปร่ างจะเป็ นอย่ างไรก็ได้ เพราะมันเป็ นความว่ าง อาจจะเป็ นก้ อนเป็ นดวง หรื ออะไรก็แล้ วแต่ มันเป็ นความว่ าง


ถ้ าความว่ างนันไม่ มีอวิชชาปน ก็จะกลายไป เป็ นความว่ างเดียวกับธรรมชาติจักรวาล แต่ ถ้าความว่ างนันยังมีอวิชชาปนอยู่ ยังมี เครื องหมายให้ ยึดถือ ยังต้ องพึงพาสิงใด มันเลยไม่ มี อิสระในตัวเอง เลยไปเป็ นหนึงเดียวกับธรรมชาติไม่ ได้ เมือใดทีความว่ างนันไม่ มีตัวเรา เป็ นอิสระใน ตัวเอง เมือนันจึงจะไปรวมเป็ นหนึงเดียวกับธรรมชาติ ได้ ธรรมจากทีฟั งหลวงตาเมือวานนีเจ้ าค่ ะ กราบเท้ าหลวงตาด้ วยความเคารพอย่ างสูงสุดเจ้ าค่ ะ


หลวงตา : สาธุ ถึงใจ ถึงใจ ถึงใจ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


น้ อมเอาพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ เข้ ามาเป็ นหนึงเดียวกับใจ ก็จะสินสงสัยเอง

ผู้ถาม : ขอเรียนถามแบบเซ่ อ ๆ เลยเจ้ าค่ ะ หลวงตาคะ ทีหลวงตาให้ น้อมพิจารณาซําๆ นัน คําว่ าพิจารณาในทีนีคือ "คิด" ใช่ ไหมเจ้ าคะ คิดไม่ ขาดสายจนจิตยอมรับใช่ หรือไม่ เจ้ าคะ


หลวงตา : ให้ อธิษฐานจิตเป็ นแฟนพันธุ์แท้ น้ อมเอาพระพุทธ พระธรรม พระอริ ยสงฆ์ เข้ ามาเป็ นหนึงเดียวกับใจ ก็จะสินสงสัยเอง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


รู้ทเป็ ี น "พุทธะ" ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ ทีว่ า รู้ .. ทีไม่ มตี ัวเราเป็ นผู้ร้ ู คือ รู้ทเป็ ี นความ ไม่ มีอะไร รู้ ตัวเองว่ า เป็ นความไม่ มีอะไร ไม่ เป็ นอะไร คือ รู้ทเป็ ี น "พุทธะ" ขอโอกาสกราบเรี ยนถามหลวงตาครับ หมายถึง เมือรู้ อาการของใจทีปรากฏ หรื อ สังขารที ปรากฏแล้ ว รู้อยู่แก่ ใจหรือรู้ตัวเองในขณะนันว่ า ไม่ ได้ มีอะไร ไม่ เป็ นอะไร กับอาการของใจทีปรากฏ หรื อ สังขารทีปรากฏ นัน จึงเป็ นความว่ าง “ความว่ าง” นี คือ ว่ างจากการมีส่วนร่ วมกับอาการของใจ ว่ างจากการ เป็ นอะไรกับอาการของใจ คือรู้แล้ วไม่ ยึดถือ รู้ ซือ ๆ ใช่ ไหมครับหลวงตา กราบขอบพระคุณหลวงตาครับ


หลวงตา : “รู้” นัน รู้ว่า “รู้” ไม่ มีตัวตน ไม่ มีอะไร และ รู้ ว่าทีมีอะไรปรากฏ ไม่ ใช่ ร้ ูทเป็ ี นความไม่ มี ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ความคิดหรืออารมณ์ เกิดที “ใจ” ดับไปที “ใจ” ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับผมขอส่ งการบ้ าน ครั บ ขณะผมนังภาวนาเงียบ ๆ ผมรู้ว่าก็ได้ ยินเสียงเข็ม นาฬิกามันเคลือน ลมพัด สัมผัสกายเราก็ร้ ู โดยผู้ร้ ู มันก็ รู้ ของมันเองก็สังเกตเห็นวิญญาณทัง ทีไปรู้ สงต่ ิ าง ๆ มันเกิดดับของมันเอง ... อย่ างนีผมเห็นถูกต้ องไหมครับ สภาวะแบบนี รบกวนหลวงตาชีแนะด้ วยครั บ


หลวงตา : จงสังเกตให้ เห็นทีเกิดดับของความคิดหรือ อารมณ์ ทุกปั จจุบันขณะ ว่ ามันเกิดทีไหนและดับไปที ไหน ก็จะพบว่ ามันเกิดที “ใจ” ดับไปที “ใจ” แต่ ไม่ เคยมี ใครพบตัวใจ และไม่ มีใครพบทีตังของใจ และใจไม่ ปรากฏอาการเกิดดับ มันจึงเหมือนกับเป็ นความว่ าง ของธรรมชาติหรือจักรวาล พบใจ พบธรรม ถึงใจ ถึงพระนิพพาน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ใจไม่ ปรากฏอาการเกิดดับ แต่ เป็ นทีเกิดดับของความคิดหรืออารมณ์ ผู้ถาม : หลวงตาขา การทีเรารู้ในตัวเองว่ าไม่ มีตัวตนได้ ตลอดเวลา โดยทีไม่ ได้ พยายามวางเพราะการวางเกิดขึนเอง ถือเป็ นการปฏิบัติธรรมหรือไม่ คะ


หลวงตา : จงสังเกตให้ เห็นทีเกิดดับของความคิดหรือ อารมณ์ ทุกปั จจุบันขณะ ว่ ามันเกิดทีไหนและดับไปที ไหน ก็จะพบว่ ามันเกิดที “ใจ” ดับไปที “ใจ” แต่ ไม่ เคยมี ใครพบตัวใจ และไม่ มีใครพบทีตังของใจ และใจไม่ ปรากฏอาการเกิดดับ มันจึงเหมือนกับเป็ นความว่ าง ของธรรมชาติหรือจักรวาล พบใจ พบธรรม ถึงใจ ถึงพระนิพพาน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


สักแต่ ว่ารู้ คือ ปล่ อยวาง ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ ะ มีอยู่คืนหนึงโยมตืนขึนมาประมาณตี สังขารก็ปรุ ง แต่ งไปเรื อย พอรู้ สึกตัวปกติก็จะพยายามคิดเข้ าหาผู้ร้ ู แต่ คืนนัน ข้ างในก็เห็นคําว่ าผู้ร้ ูขนมาเองคะ ึ โดยมิได้ พยายามอย่ างไรคะ ไม่ ทราบว่ าภาวะอย่ างนีถูกต้ อง หรื อเปล่ าคะ กราบนมัสการเรียนถามค่ ะ


หลวงตา : ไม่ ว่าจะมีสภาวะอย่ างใดทุกขณะจิต ปั จจุบัน ให้ สักแต่ ว่ารู้ตะพึดตะพือ เรี ยกว่ าปล่ อยวางทุกปั จจุบันขณะ ไม่ ตดิ ใจโหยหาสภาวะใด จะเท่ ากับยึดถือ รู้ แล้ ว เห็นแล้ ว ขณะรู้ ขณะเห็นทุกปั จจุบันขณะ และทีอยากรู้ อยากเห็น อยากได้ อยากเป็ น อยากบรรลุในอนาคต ก็วางไปทังหมดในปั จจุบัน วางทังอารมณ์ ทถูี กรู้ และผู้ร้ ู คือ ไม่ มีใครยึดถือผู้ร้ ู ว่าเป็ นเรา หรือ เราเป็ นผู้ร้ ู ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


คนจริง เพียรจริง ย่ อมรู้จริง เห็นจริง เป็ นธรรมจริ ง ผู้ถาม : กราบเรียนส่ งการบ้ านหลวงตาค่ ะ หลังจากทีได้ สภาวะผู้ร้ ูออกมาเป็ นผู้ดู โยมพิจารณา แล้ วเห็นว่ า การมีจิตตังมันเป็ นเหตุ จึงตัดสินใจไปปลีก วิเวกภาวนาแบบกัดติดจดจ่ อติดกันหลายวัน วันหนึงขณะนังภาวนาโดยอธิษฐานจิตไม่ ขยับ ร่ างกาย เมือจิตสงบเวทนาดับ เห็นสภาวะผู้ร้ ู ผู้เข้ าใจ ว่ า ตัวเราไม่ มีอยู่จริงตังแต่ แรก และเห็นต่ อว่ าผู้เข้ าใจนี มันก็ยังพูดไม่ หยุด ทําความเข้ าใจต่ อไม่ หยุด ก็เข้ าใจ ต่ อว่ า นีสังขาร


หลวงตาบอกว่ าของจริงพูดไม่ ได้ ของพูดได้ ไม่ ใช่ ของจริง เรายังยึดสังขารไว้ นี สุดท้ ายมันยอมวาง เพราะมันเห็นแต่ ทุกข์ ๆๆ จนจิตมันเข้ าใจว่ า มีแต่ ทุกข์ ทีเกิดขึน มีแต่ ทุกข์ ทตัี งอยู่ มีแต่ ทุกข์ ทดัี บไป รู้ สึกเหมือนเรากระโดดออกจากเรือทีเราใช้ ข้ ามฟาก แต่ เราก็ไม่ ได้ จมนํา นังภาวนาต่ ออีกนาน หลายชัวโมง รู้ แค่ ฟ้าก็อยู่ของฟ้ า นกก็อยู่ของนก บางครั งจิตเกิดสงสัยทบทวนว่ าสภาวะทีเกิดคืออะไร จิตก็ตอบตัวเองว่ า ไม่ ว่าจะคืออะไร ทุกอย่ างคือสมมุติ ทังสิน มีแต่ สมมุติ ๆๆ แล้ วมันก็วางไปเองค่ ะ


ตลอดเวลา วันทีตัดขาดจากโลกภายนอก โยมเห็นจิตตัวเองปล่ อยวางได้ หลายสิงหลายอย่ าง ชัดเจน คําสอนของหลวงตาผุดขึนมาอย่ างต่ อเนือง โดยเฉพาะคําสอนโดน ๆ ทีโยมคอยเซฟเก็บไว้ ฟัง หลาย ๆ รอบ กระทังคําตอบของหลวงตาทีสอนในครั ง ทีไปส่ งการบ้ านครั งแรกก็กลับขึนมาสอนจิตในขณะ ภาวนาโดยตลอด สุดท้ ายสัญญาก็กลายมาเป็ นปั ญญา รู้ สึก ซาบซึงในความเมตตาของหลวงตาทีมีต่อศิษย์ ทุกคน มาก ๆ ค่ ะ ขอน้ อมกราบขอบพระคุณหลวงตาทีเมตตา ชีแนะ แม้ จะได้ พบหลวงตาไม่ ถึง เดือน การภาวนา ของโยมเรียกว่ าพลิกฝ่ ามือเลยค่ ะ


ขอให้ บุญกุศลทีได้ จากการปลีกวิเวกภาวนาใน ครั งนีช่ วยดํารงธาตุขันธ์ หลวงตาให้ แข็งแรง มีกาํ ลังใน การโปรดลูกศิษย์ ทุก ๆ คนต่ อไปอีกนาน ๆ ค่ ะ

หลวงตา : สาธุ คนจริ ง เพียรจริง ย่ อมรู้จริง เห็นจริง เป็ นธรรมจริง (ธรรมแท้ ) เป็ นของจริง นิงเป็ นใบ้ ของคิดได้ หรือ ปรุ งแต่ งได้ ของไม่ จริ ง (สมมติ) ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


เพียรวางให้ หมด ทังความคิดหรืออารมณ์ ทถูี กรู้ และ “ผู้ร้ ู ” ผู้ถาม : คืนความว่ างให้ แก่ ความว่ างไป แต่ กย็ ังเห็น สังขารทีพยายามปรุงเข้ าไปพยายามคลอเคลียความ ว่ างนัน แล้ วปล่ อยมันไปทุกขณะเจ้ าค่ ะ โดยรู้ว่ามันคือ สังขารเจ้ าค่ ะ แต่ ตอนทีพิจารณาทวนเข้ ามาภายใน ลูกไม่ ได้ อยู่คนเดียวมีคุณแม่ นังอยู่ข้าง ๆ มาเรี ยกคุยเรี ยกถาม เลยจบการพิจารณาตอนนันไปเจ้ าค่ ะ


หลวงตา : เพียรวางให้ หมด ทังความคิด หรือ อารมณ์ ทถูี กรู้ และ “ผู้ร้ ู” รวมทัง สติ สมาธิ ปั ญญา ซึงเป็ นสังขารปรุงแต่ ง โดยเห็นว่ า เป็ นเพียงเครืองอาศัย ใช้ เป็ นเรื อข้ ามฟากเท่ านัน


ไม่ หลงยึดถือ ว่ า เราเป็ นผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้เข้ าใจ ผู้มีความสงบ ผู้ว่างเปล่ า ผู้ร้ ูแจ้ ง หรือ ผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้เข้ าใจ ผู้มีความสงบ ผู้ว่างเปล่ า ผู้ร้ ูแจ้ ง ผู้เพียรพยายาม ว่ าเป็ นเรา หรือ เป็ นตัวเรา แล้ วเข้ าถึงความเป็ นหนึงเดียวกับธรรมชาติ


เงียบ สงบ สงัด ว่ างเปล่ า ไร้ ตัวตน ไร้ การปรุ งแต่ งใด ๆ ไม่ มีความคิดหรือความรู้สกึ ว่ าเป็ นเรา เป็ นตัวเรา หรื อ เป็ นของของเราปนอยู่แม้ แต่ น้อยหนึง นิดหนึง หรื อสัก ปรมาณูหนึงก็ไม่ มี มันเป็ นธรรมชาติทบริ ี สุทธิจริง ๆ

ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


นิพพานก็ไม่ มี มีแต่ ปล่ อยวาง ผู้ถาม : มันคือกระจกทีแตกออก รวมกับจักรวาลใช่ ไหมคะ เหมือนโลกธาตุดับค่ ะหลวงตา โยมทราบแต่ สงที ิ พระพุทธเจ้ าสอนทีเป็ นแก่ น คือปล่ อยวางค่ ะ นิพพานก็ไม่ มี มีแต่ ปล่ อยวาง


หลวงตา : สาธุ ถูกต้ องแล้ ว มันรวมกับจักรวาล โลกธาตุดับสนิท ไม่ มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


เพียรปล่ อยวางอารมณ์ ทถูี กรู้ และตัวเราผู้ร้ ู ผู้ถาม : ขอน้ อมกราบนมัสการหลวงตาครับ ขอ อนุญาตนําส่ งการบ้ านครับ ตอนนีทีพยายามปฏิบัติอยู่คือมีการบริ กรรม พุทโธ ช่ วงแรกพบว่ ามีทงคํ ั าบริ กรรม (ถูกรู้) และมีผ้ ู บริกรรม (ผู้ร้ ู —> ตอนแรก ๆ บางทีตดิ ว่ าเป็ นตัวเรา) แต่ เมือได้ ฟังธรรมะจากหลวงตา พบว่ าผู้ร้ ูกเ็ กิดดับ ดังนันจึงไม่ ใช่ ตัวเราครับ ขอความกรุณาถามจากหลวงตาว่ าจะปฏิบัติ อย่ างไรต่ อไปครับ หรือทําแบบเดิมก็ดีอยู่แล้ วครั บ ขอบพระคุณหลวงตามาก ๆ นะครั บ


หลวงตา : เพียรให้ มากอย่ างต่ อเนืองด้ วยความปล่ อย วางหมดทังอารมณ์ ทถูี กรู้ และตัวเราผู้ร้ ูทกุ ปั จจุบันขณะ แล้ วจะสินสงสัยเอง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


นอกจากธาตุร้ ู (ใจ) แล้ ว ไม่ มีอะไรเลยทีไม่ เป็ นสังขาร ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ ะ เมือเช้ าพิจารณา คําสอนทีว่ าให้ เป็ นใจเสียเอง อยู่ ๆ ก็มีคาํ ว่ า ใจเป็ นอนัตตาผุดขึนมาค่ ะ แล้ วเป็ นก้ อนตัวตนขึนมา ทันทีว่าแล้ วเราจะไปอยู่ตรงไหน อึดอัดอยู่พักหนึงก็ บอกว่ าต้ องไม่ ใช่ แบบนี แต่ เพราะทีจริ งเราไม่ มี ไม่ มี ตัวตน แต่ กย็ ังไม่ แจ้ งแก่ ใจค่ ะ หลวงตาสังสอนด้ วยค่ ะ


หลวงตา : ทุกอย่ างในจักรวาลนี นอกจากธาตุร้ ู (ใจ) แล้ ว ไม่ มีอะไรเลยทีไม่ เป็ นสังขาร สินผู้ยึดถือ สินผู้เสวยทังสังขารและธาตุร้ ู ก็สนตั ิ วตน สินกิเลส (อวิชชา ตัณหา อุปาทาน) หรื อความทุกข์ มีอยู่ แต่ ผ้ ูทุกข์ ไม่ มี พ้ นทุกข์ (นิพพาน) ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ไม่ มีผ้ เู อา ผู้จะได้ ผู้จะเป็ น เพราะเห็นว่ าเรา ตัวตนของเราไม่ มี ผู้ถาม : นมัสการหลวงตาครับ ถ้ ามีสภาวะอะไรเกิดขึน คิดแค่ ว่า มันเป็ นสังขารมันไม่ ใช่ เรา แค่ นีพอไหมครั บ หรื อต้ องพิจารณาต่ ออะไรอีกหรือเปล่ าครั บ


หลวงตา : ไม่ มีผ้ ูเอา ผู้จะได้ ผู้จะเป็ น เพราะเห็นว่ าเรา ตัวตนของเราไม่ มี มีแต่ ธรรมชาติ หรื อ สิงหนึงสิงใด (สังขาร) ทีเกิดขึนหรื อปรุ งแต่ งขึนมา ย่ อมดับไปหมดสิน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


หมันอธิษฐานและปฏิบัติ ผู้ถาม : หลวงตาเจ้ าคะ ถ้ าเกิดเวทนาทางกายเป็ น ประจํา เช่ น อาการปวดศีรษะ หากีหมอวิเคราะห์ อย่ างไร ทานยาอะไรก็ไม่ หายขาด จนตอนนีอาการปวดศีรษะเป็ น ส่ วนหนึงในชีวติ ทุกวัน ยอมรับว่ าทุกข์ และอยากหาย พยายามพิจารณา ทําใจให้ ยอมรับจะอยู่ร่วมกันไปกับการปวด แต่ ยังทํา ไม่ ได้ เจ้ าค่ ะ ก็เกิดอารมณ์ หงุดหงิดขึนมาก็ร้ ู เป็ นวังวน แบบนีตลอดเจ้ าค่ ะ บางทีกเ็ กิดสัญญาคิดขึนมาได้ ว่าเราเคยแกล้ ง สัตว์ ไว้ เมือตอนเด็ก ๆ ก็เสียใจ มันเป็ นกฎแห่ งกรรม ด้ วยใช่ ไหมเจ้ าคะ


ช่ วงนีสํานึกผิดบ่ อยมากเจ้ าค่ ะหลวงตา มัน เศร้ าในอกุศลกรรมทีเคยทํา โดยเฉพาะการรังแกสัตว์ เพราะตอนเด็ก ๆ อยู่บ้านสวน คนดูแลก็พาเล่ นซุกซน ไป ไม่ ได้ โทษคนดูแลนะเจ้ าคะ ถ้ าตอนนันจิตเราถูกฝึ ก มาแล้ วเราคงไม่ เล่ นพิเรนทร์ ๆ แบบนัน เราคงห้ าม ตัวเองได้ กําลังทําใจให้ ไม่ เกิดหลุมดํา แต่ ยังไม่ ได้ เจ้ าค่ ะ

หลวงตา : หมันอธิษฐานตามแผ่ นในอัลบัม และ ปฏิบัติเป็ นแฟนพันธุ์แท้ แล้ วจะดีเอง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ธรรมชาติ เขาเป็ นของเขาอย่ างนันเอง ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาทีเคารพอย่ างสูงค่ ะ ฟั งธรรมจากหลวงตาในยูทปู ทํางานบ้ านไปด้ วย น้ อมพิจารณาตาม ใจมันน้ อมเข้ าไปเห็นธรรมชาติเดิม ของใจ เหมือนผืนแผ่ นดินอันว่ างและกว้ างใหญ่ และ บนพืนทีว่ างและกว้ างใหญ่ นัน ก็เป็ นต้ นกําเนิดของ สรรพสิงต่ าง ๆ มากมาย ทังสิงทีสวยงามทีสุด และสิงที ไม่ พงึ ปรารถนา ก็เคลือนไหวอยู่บนผืนแผ่ นดินอันกว้ าง ใหญ่ ผืนนี ทังทีผืนแผ่ นดินเป็ นทีรองรั บของทุกสรรพสิง แต่ มันไม่ เคยเลือกปฏิบัติ ไม่ เคยอยากได้ หรือผลักไสใด ๆ เลย ทุกสิงจึงเคลือนไหวอย่ างเป็ นอิสระและเป็ นไปตาม ธรรมชาติบนพืนทีว่ างนี ผิดพลาดประการใด โปรดชีแนะด้ วยค่ ะ กราบสาธุค่ะ


หลวงตา : สาธุ เป็ นเช่ นนัน ธรรมชาติ เขาเป็ นของเขาอย่ างนันเอง ไม่ ได้ เป็ นของใคร ไม่ มีเรา ตัวเรา ของเรา ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


หากทิงการพิจารณา จะปลงปล่ อยวางยากขึนเรื อย ๆ ผู้ถาม : หลวงตาเจ้ าคะ เวลาน้ อมเห็นความรู้ สึกทุก อย่ าง รวมถึงความรู้สึกเป็ นเรา ว่ า มันเป็ นสิงทีสุดท้ าย ต้ องดับไปดับไป สินไปสินไป วันหนึงเราต้ องทิงทุก ความรู้ สกึ ทิงทุกความ “เป็ นเรา” ไว้ บนโลกยามตาย แตกดับ น้ อมไปน้ อมไป ใจมันสลด มันกระเทือนเจ้ าค่ ะ


เหมือนมันสังเวชกับความไม่ เทียงของทุกสิงทุก อย่ าง รู้ สึกได้ ว่ ามีความรู้สึกเหมือนมีบางอย่ างจะดัน ออกมาจากข้ างใน แต่ มันยังไม่ ออกมา เหมือนเวลาจุด ไฟแช็ค แล้ วจุดจะติด ๆ แต่ ไม่ ติด เพราะมันน้ อม พิจารณาได้ ไม่ ต่อเนือง พอพิจารณา ๆ ไป เวลามีความรู้สึกกระเทือน รู้ สึกแปลก ๆ เกิดขึน มันออกจากการพิจารณามาอยู่ที ความรู้ สกึ แปลก ๆ ดัน ๆ นันแทน มันไม่ ปล่ อยให้ ตัวมันเองพิจารณาจนขาดไป ไม่ ยอมปล่ อยให้ มันสุดเจ้ าค่ ะ


แต่ หลังจากพิจารณาทีใจมันสลดสังเวช ใจมัน วางไป วางไป วางไป พอออกจากการพิจารณาอีกที มันรั บรู้ โลกภายนอกเหมือนเห็นโลกภายนอกราบเรี ยบ ไปหมด ทุกอย่ างเงียบสงัดมาก ไม่ มีความหมายต่ อใจ ในขณะนัน เป็ นอยู่นาน


หลวงตา : ระวังกิเลสมันหลอกเอา หลอกให้ หลงไป สนใจอาการแปลก ๆ อัศจรรย์ ต่าง ๆ แล้ วทิงงานทีพิจารณาอสุภกรรมฐาน และมรณานุสติ ขณะปั จจุบันนันไปเสีย มันจะเสียหายมาก เพราะจะพิจารณาปลง ปล่ อยวางได้ ยากขึนเรื อย ๆ เพราะจิตกับกิเลสมันฟื น ตัวขึนมาเสียแล้ วในระหว่ างทิงงานทีกําลังพิจารณาไป

ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


พิจารณาการดับ การทิง การสลัดคืน อย่ างต่ อเนืองไม่ ขาดสาย ผู้ถาม : ถึงจุดหนึงการรู้จติ เห็นจิตสําหรับหนู มันถึง ทางตันใช่ ไหมเจ้ าคะ คือ มันรู้สึกว่ าการรู้อะไรในจิต พิจารณาสังขารวิสังขารอะไรข้ างใน แม้ จะมีปัญญารู้ เห็นกระบวนการอะไรแบบเมือก่ อน มันไม่ กระเทือน เลย เหมือนเห็นไปงัน ๆ เจ้ าค่ ะ แต่ ตรงทีกระเทือน คือการพิจารณาการดับ การทิง ทุกสิงและน้ อมให้ เห็นความดับ จิตมันจะ คล้ ายหดรัดเข้ ามา สลด และวางไป


ถึงจิงจะถามหลวงตา หลวงตาจะให้ คาํ ตอบ แต่ หนูกบ็ ังคับก็ทาํ อะไรมันไม่ ได้ อยู่ดี ตอนนีใจมันเหมือนถูกดูด ให้ เข้ าสู่การน้ อม พิจารณาตลอดทีมันว่ างจากหน้ าทีการงานเจ้ าค่ ะ ขอแค่ ตอนนันมันไม่ ได้ หลงเผลอ มันก็จะน้ อมของมัน เอง ทําอะไรไม่ ได้


หนูควรเอาสังขารมาใช้ เพือพิจารณาปลง ปล่ อยวางต่ อไป หรื อควรจะปล่ อยทุกอย่ างดําเนินไปตาม ธรรมชาติ ไม่ ต้องเอาสังขารมาพิจารณาอะไร รอเมือเวลามาถึงมันจะวางมันก็วางไปเองเจ้ าคะ?


หลวงตา : สาธุ สาธุ จิตมันเจอนิสัยวาสนาเก่ าแล้ ว น้ อมพิจารณาการดับ การทิง การสลัดคืนอย่ างต่ อเนืองไม่ ขาดสาย โดยไม่ สนใจผลทีเกิดขึนเลย ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


สติและปั ญญา ผู้ถาม : หลวงตาเจ้ าคะ การเจริญสติด้วยการรู้กาย รู้ ตัวทัวพร้ อม ทําให้ ร้ ูสึกทังร่ างกาย หนัก ๆ ตึง ๆ รู้ สึกตัวแบบนีเป็ นการยึดกายไหมเจ้ าคะ


หลวงตา : “สติ” คือ รู้เท่ าทันขณะส่ งจิตออกนอกไป ตามความคิด หรื ออารมณ์ “ปั ญญา” เห็นในปั จจุบันขณะว่ า สิงใดสิงหนึงมีความเกิดขึน สิงทังหมดนันย่ อมดับไปเป็ นธรรมดา และเห็นสิงเกิดดับ เกิดดับในความไม่ เกิดดับ สิงใดเกิดดับ สิงนันเป็ นทุกข์ สิงใดไม่ เกิดดับ สิงนันพ้ นจากทุกข์ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ไม่ มีอะไรแม้ แต่ สักน้ อยหนึง นิดหนึง หรื อปรมาณูหนึง

ทีเป็ นเรา เป็ นตัวเรา หรื อเป็ นของของเรา ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตา เมือเช้ าตอนขับรถมา มันเห็นความอยากโผล่ มาเป็ นระยะ มันเนียนมาก เหมือนทีหลวงตาบอกว่ า ถ้ าไม่ สังเกตมันก็โดนมัน หลอก พอจะเข้ าไปกระทําอะไรกับมัน ก็ยงจุ ิ กแน่ น หน้ าอก เลยเห็นโทษภัยของการมีตัวตนเข้ าไปวุ่นวาย เห็นมันปรุ งแต่ งมาตลอดทาง มันก็มีความพยายามจะช่ วยตัวเราซ้ อนขึนมา อีก พยายามอยากให้ มันสินตัวเราทีจะไปเอาอะไร ไป เป็ นอะไร แล้ วมันก็สะเทือนใจขึนมาว่ า ตัวเรามีทไหน ี ไปทําเพือให้ ได้ อะไร มันก็เลยยอม


แต่ ตลอดทางทีขับรถมา มันปรุงไม่ หยุดเลยค่ ะ เลยเข้ าใจว่ า ไม่ ว่ามันจะมีอะไรก็ต้องปล่ อยวาง ทิงมัน ไปขณะจิตนัน ความจริงก็คือความจริง ไม่ สามารถ สร้ างของไม่ จริงมาเป็ นของจริงได้ มันก็ร้ ูได้ ของมันอยู่ แล้ ว ไม่ เห็นต้ องไปคอยทําอะไร ไปตังสติ เพราะสิง เหล่ านีเขาเป็ นธรรมชาติของเขาอยู่แล้ ว ไปสร้ างไปปรุ ง แต่ งมันจะเป็ นของจริงอย่ างไร พอมันสงบ ว่ าง ธรรม บอกว่ าให้ เพิกถอนทุกอย่ าง เราไม่ มี จนถึงบ้ านเปิ ดฟั งไฟล์ เพียรไปจนกว่ าจะถึงใจ (พบธรรม) อาการมันเหมือน ๆ กันเลยค่ ะ ตอนนีก็ น้ อมเห็นความไม่ เทียง ความไม่ มีตัวตนของ "ตัวเรา" และทุก ๆ สภาวะทังสังขารและวิสังขารค่ ะ มันจะปรุ ง จะผลุบจะโผล่ มากีครั ง ๆ ก็ช่างมัน


หลวงตา : มันยังเป็ น “อวิชชา” อยู่ มันไม่ ได้ ปล่ อยวางขันธ์ ห้า ทีประกอบไปด้ วย ธาตุดิน ธาตุนํา ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศ ธาตุร้ ู ซึงเป็ นธาตุตามธรรมชาติ ให้ แก่ ธรรมชาติของเขาไป เสียทังหมด


ยังมีความแอบแฝงหลงยึดถืออยู่ในใจ อย่ างใด อย่ างหนึงดังนี คือ ร่ างกายและจิตใจ ซึงเป็ นขันธ์ ห้านี เป็ นเรา ตัวเรา ของ ของเรา หรือ มีตัวเราอยู่ในขันธ์ เพราะหลงยึดถือจิตใจ ว่ าเป็ นเรา ตัวเรา หรือ ของของเรา หรือ หลงยึดถือใจ ซึงเป็ นธาตุร้ ู ตามธรรมชาติ ว่ าเป็ นเรา เป็ นตัวเรา หรือ เป็ นของเรา


ดังนัน แม้ ผ้ ูปฏิบัตธิ รรมจะพยายามปล่ อยวาง หรื อไม่ ยึดถือร่ างกายจิตใจหรื อขันธ์ ห้า แต่ ก็ยังหลงว่ า เมือสามารถปล่ อยวางได้ หมดแล้ ว “ตัวเราจะสงบ มีแต่ ความสุข ว่ างเปล่ า ไร้ ตัวตน ตัวเราจะบรรลุพระ นิพพาน ตัวเราจะกลายเป็ นความว่ างหนึงเดียวกับ ธรรมชาติ ตัวเราจะไม่ กลับมาเกิดอีกต่ อไป” ซึงมันมีแต่ เรา ตัวเรา..ๆๆๆๆ อยู่ในความคิด ในความรู้ สึก มันจึงมีแต่ ความพยายามเพือช่ วยตัวเรา ให้ ได้ ให้ ถึง ให้ เป็ น ให้ บรรลุ ให้ สาํ เร็จ.... มันจึงไม่ สนิ “อวิชชา”


ซึงความจริงตามธรรมชาติ ไม่ มีอะไรแม้ แต่ สักน้ อย หนึง นิดหนึง หรือปรมาณูหนึง ทีเป็ นเรา เป็ นตัวเรา หรื อเป็ นของของเราอยู่เลย ตัวเราทังตัวทังร่ างกาย และจิตใจ หรื อขันธ์ ห้า รู ป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็ นของยืม ธรรมชาติเขามาใช้ ทงหมด ั เพือทําความเข้ าใจจนเกิด ปั ญญารู้ แจ้ งโพล่ งขึนมาแก่ ใจว่ า ความจริ งแล้ ว เรา ตัวเรา หรือ ของของเราไม่ มีอยู่เลย เป็ นเพียงธาตุดิน ธาตุนาํ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุ อากาศ และธาตุร้ ู มารวมตัวกันด้ วยความไม่ ร้ ู หรื อหลง เข้ าใจผิด หรือ ความโง่ (อวิชชา) มานาน จึงก่ อเกิดเป็ น ร่ างในภพภูมิต่าง ๆ ตามกรรม


ส่ วนใหญ่ กเ็ กิดเป็ น สัตว์ เดรั จฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์ นรก ซึงเป็ นทุคติภพ ทังนีเพราะสรรพ สัตว์ ทงหลายจะคิ ั ด พูด กระทําไปตามใจกิเลส เช่ น หมกมุ่นในกามตัณหา เป็ นเหตุให้ ไปเกิด เป็ นสัตว์ เดรั จฉาน หรือ กระทํากรรมชัวทีเป็ นความ โลภ อาฆาตแค้ นพยาบาท ก็เป็ นเหตุให้ ไปเกิดเป็ น เปรต อสุรกาย หรือกระทําบาปกรรมชัว ก็เป็ นเหตุไป ตกนรก เป็ นต้ น


น้ อยคนนักทีจะเอาชนะใจตนเองได้ สามารถที จะละบาปไม่ ผิดศีลห้ า คิดดี พูดดี ทําดี ทีเป็ นบุญเป็ น กุศลเป็ นบารมี


จนในทีสุดสินอวิชชา คือ สินหลงผิดว่ ามีเรา ตัวเรา หรือของของเรา สลัดคืนทุกอย่ าง คืนแก่ ธรรมชาติของเขาไปเสียทังหมดทังสิน ไม่ เหลืออะไร เลย ไม่ มีความรู้ สึกว่ ามีเรา ตัวเรา หรือ ของของเรา เหลืออยู่แม้ แต่ เพียงน้ อยหนึง นิดหนึง หรือสักปรมาณู หนึง ก็จะสินหลงผิดมีความพยายามทีจะกระทํา อย่ างใด ๆ เพือผลประโยชน์ ทจะตกได้ ี แก่ ตัวเรา อีกต่ อไป เพราะไม่ มีเรา ตัวเรา หรื อของของเรา


ไม่ มีแม้ แต่ จติ หรือใจของเรา ไม่ มีแม้ แต่ น้อยหนึง นิดหนึง สักปรมาณูหนึง ไม่ มีตัวเรากลายไปเป็ นความไม่ มี ไม่ มีตัวเราเป็ นความไม่ มี ความไม่ มี ไม่ มีเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา ไม่ มีเรา ตัวเรา หรือตัวตนของเราอยู่ในความไม่ มี มันไม่ มี .. ไม่ มี .. ไม่ มี .... ไม่ มีอะไรเลย ... จริ ง ๆๆ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


เพราะไม่ เข้ าใจสัจธรรมจึงหลงยึดถือ ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้ าค่ ะองค์ หลวงตา วันนีขณะทีกําลังพิมพ์ ข้อธรรมเพือเผยแพร่ ธรรมะไปสู่เพือน ๆ อยู่ ๆ มันก็ร้องไห้ อย่ างหนักทุกตัวอักษรที พิมพ์ ไป เหมือนจิตมันไม่ เอา มันรู้สึกว่ าไม่ เอาแล้ ว ๆ ความรู้ ทงหมดไม่ ั เอาแล้ ว ไม่ เอาแล้ ว โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ มรรคผลนิพพาน ไม่ เอาแล้ ว ๆๆ ขอแค่ ความจริงเท่ านัน สัจจะความจริงที พระพุทธเจ้ าตรั สรู้เท่ านัน ขอเพียงสัจจะความจริง เท่ านัน มือก็พมิ พ์ ไป นําตาก็ไหลไป ก็ปล่ อยเขาร้ องไป จนเขาพอของเขาเองเจ้ าค่ ะ กราบองค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ


หลวงตา : สัจธรรมความจริง ก็คือ “ไม่ มีเรา ตัวเรา หรื อของของเรา” มาตังแต่ เดิม เป็ นเพราะความหลงผิดหรือเข้ าใจผิด ซึงเป็ น “อวิชชา” ว่ า มีเรา ตัวเรา ของของเรา หรื อ เป็ นเรา เป็ นตัวเรา หรื อเป็ นของเรา มาตังแต่ แรก จึงมีความหลงยึดถือ ร่ างกายและจิตใจทีเป็ นรูปร่ างในภพภูมิต่าง ๆ ทุกชาติ มาว่ าเป็ นเรา ตัวเรา หรือตัวตนของเรา


แม้ แต่ ในชาตินีมาปฏิบัตธิ รรม ก็ไม่ ได้ ปล่ อยวาง หรื อไม่ สนหลงว่ ิ ามีเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา แต่ กลับหลงจะเอาตัวเรา ไปเอา ไปเป็ นความว่ าง ไปเป็ นความไม่ มี ไปเอา ไปได้ ไปสําเร็จ ไปบรรลุ ไปเป็ นพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์


ผู้ถาม : เจ้ าค่ ะ จะไม่ ประมาท จะเพียรด้ วยสติ สมาธิ ปั ญญา เห็นตามความเป็ นจริงตามธรรมชาติ ปล่ อย วางความรู้ สึกว่ ามีตัวเราทุกขณะปั จจุบัน มันก็ร้ ู ว่า "เพียรทีจะเอา กับเพียรให้ เห็นว่ าไม่ มี ตัวเรา" เหมือนหันหลังชนกัน มันเดินไปคนละด้ านจริ ง ๆ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ความโกรธ เป็ นปรากฏการณ์ ตามธรรมชาติ ผู้ถาม : กราบหลวงตาค่ ะ ส่ งการบ้ านค่ ะเช้ านีปอก ผลไม้ อยู่ หูได้ ยนิ เสียงคนพูดส่ อเสียดให้ ... เห็นความ โกรธทีเกิดขึน ... รั บรู้ ได้ ว่ากายร้ อนขึนมา ... ปั ญญามันบอกว่ าเป็ นสังขาร ... แต่ ทแปลกคื ี อใจมัน ไม่ ได้ โกรธไปด้ วย ... เห็นแต่ ความโกรธเกิด ... อาการ ทางกายเกิดแล้ วก็ดับไป ... ถามย้ อนกลับมาทีผู้ร้ ูว่าใครโกรธ ... ก็ในเมือ ไม่ มีตัวมีตน จะมีใครโกรธ


หลวงตา : “ความโกรธ เป็ นปรากฏการณ์ ตาม ธรรมชาติ” เหมือนฟ้ าแลบ ฟ้ าร้ อง ฟ้ าผ่ า หากไม่ หลงยึดถือเอามาเป็ นของเรา ก็ไม่ เป็ นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน กลายเป็ นไฟลามทุ่ง แม้ หลงไปพยายามดับเขา ก็มีตัวเราเข้ าไปยึดถือ

ผู้ถาม : สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ความหลงว่ ามีตัวเราเห็นแสงสว่ างทางพ้ นทุกข์ ทีปลายอุโมงค์ นันเป็ นกิเลส ผู้ถาม : หลังจากกลับมาจากทีโดนหลวงตาอัดอย่ าง หนักเมือวาน มันเหมือนคนว่ างงานไปเจ้ าค่ ะ ไม่ ร้ ู จะทําอะไร ไม่ มีอะไรให้ ทาํ ไม่ ร้ ู จะพิจารณาหรือจะปล่ อยวางอะไรดี ของานให้ ทาํ หน่ อยได้ ไหมเจ้ าคะ มันแปลก ๆ มันไม่ ชินเลย จะไปทํางาน งานในจิตอะไรมันก็ไม่ ยอมทํา ไม่ กระดิก อยู่ว่างเกินไปเจ้ าค่ ะ


หลวงตา : ...... ว่ างงานทางใจ เหมือนคนปลดเกษียณ แล้ วจะไปหางานทําให้ เป็ น ทุกข์ ทาํ ไม คงเห็นมีแต่ ธรรมชาติของสังขาร เขาเกิดเอง ดับเอง ในความไม่ มีอะไร ไม่ มีใคร


ผู้ถาม : มันเหมือนยังทํางานไม่ ทนั รู้เรืองเลยเจ้ าค่ ะ ยังไม่ ร้ ู เลยว่ า พิจารณาเกิดดับไปจนสุดทางแล้ วมันจะ เป็ นอย่ างไร จะมีอะไรเกิดขึนบ้ าง เส้ นทางเดิน มันต่ างกันไหมกับการปล่ อยวางสังขารหมดแบบนี ปล. หลวงตาอย่ าอัดหนักนะเจ้ าคะ แค่ อยากรู้ จริ ง ๆ มันนิมิตเห็นตัวเอง อีกไม่ กก้ี าวจะถึงยอดเขา อยู่แล้ ว แต่ มันลังเลใจนึงอยากจะเดินย้ อนกลับ อยาก เดินไปทางอ้ อมเพราะมันกลัว มันกลัวว่ าถ้ าไปจนถึง ยอดเขาแล้ ว มันจะไม่ ได้ เดินทาง ไม่ เห็นเส้ นทางอีก ทางนึงแล้ วเจ้ าค่ ะ


หลวงตา : การพยายามอยากรู้ อยากเห็น อยาก เข้ าใจ เราเห็นแสงสว่ างทางพ้ นทุกข์ ทปลายอุ ี โมงค์ แล้ วหลงว่ า มีตัวเราต้ องการความเข้ าใจอีกนิดเดียว ก็จะถึงยอดเขาคือบรรลุพระนิพพาน อย่ างนีเป็ นความหลง เป็ นกิเลส คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ต้ องเห็น ต้ องรู้เท่ าทันกิเลส อย่ าปล่ อยให้ กิเลสหลอก ว่ ามีตัวเราจะได้ จะเป็ น จะบรรลุอะไร


ผู้ถาม : เจ้ าค่ ะ หลวงตา มันไม่ ไปรู้ อะไรแล้ วเจ้ าค่ ะ หลวงตา มันรู้อยู่แก่ ใจแล้ ว ว่ าทุกสิงทีเกิดขึนเป็ นเพียงสังขาร ถึงใจแล้ ว ว่ ามีแต่ สังขารเท่ านันทีปรากฏ จึงหมดงานทีต้ อง รู้ ละปล่ อยวางสังขารแล้ วจริง ๆ


เพราะรู้ อยู่แก่ ใจ ว่ าทุกสิงเป็ นสังขาร จึงปล่ อยให้ มัน เกิดเองดับเอง และใช้ สังขารทุกอย่ างได้ อย่ างอิสระ โดยไม่ ต้องไปคอยรู้ ไม่ ต้องกลัวหลง เพราะมันไม่ มีวันหลงอีกแล้ ว เพราะรู้แก่ ใจจริ ง ๆ เจ้ าค่ ะ มันไม่ ไปหานิพพานแล้ วด้ วย เพราะมันรู้ว่าทุก สิงทีปรากฏในใจเป็ นสังขาร มีแต่ สังขารเท่ านัน นิพพานไม่ มีเจ้ าค่ ะ แล้ วก็ไม่ มีใครเป็ นอะไร เพราะคนทีคิดว่ าตัวเองเป็ นอะไร นันก็สังขาร ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ภาวนาเพือจะให้ ได้ อะไร ... เป็ นกิเลส ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ ะ ขอความเมตตาหลวงตากรุ ณาสอนวิธีการ ภาวนาให้ ด้วยค่ ะ แบบเริมนับหนึงใหม่ ยังไม่ ได้ ปฏิบัติ อะไรมาเลยค่ ะ ตอนนีเริมงง ๆ สับสนกับตัวเอง เลยจะ ขอเริมภาวนาแบบเด็กเพิงหัดทีไม่ เคยรู้ อะไรเลยค่ ะ กราบขอบพระคุณค่ ะ


หลวงตา : จะภาวนาไปเอาอะไร จะให้ ได้ อะไร จะให้ เป็ นอะไร มันเป็ นกิเลส (อวิชชา ตัณหา อุปาทาน)...ทังน้ าน !!! เพียงแค่ ดับความอยากหรื อความปรารถนาเสียเท่ านัน ความทุกข์ ก็ไม่ มี หรือ ความทุกข์ มีอยู่ แต่ “ใจ” เป็ น ธรรมชาติทไม่ ี มีตัวตน ไม่ อาจคิด หรื อปรุ งแต่ ง จึงไม่ อาจทุกข์ หรือ สุข ได้ โยมหาทางภาวนามาก็มากหลายสํานักแล้ ว แต่ ก็ยงทุ ิ กข์ แค่ หยุดอยาก... และหยุดอยากพ้ นทุกข์ เสียด้ วย โยมยังไม่ เคยหยุดเลย ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ถึงใจ เป็ นใจ เป็ นธรรม ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ เมือก่ อนเวลาฟั งไฟล์ เสียงธรรมแล้ วมันโดนใจจนนําตา มันไหลสลดสังเวชกับความหลงความยึดถือ แต่ ตอนนีพอมันโดนใจมันกําลังจะร้ อง แต่ มันกลับเหมือนมันร้ องไม่ ออก ลูกไม่ ได้ ไปทําหยุด แต่ มันหยุดกึกของมันเอง พยายามจะมีตัวเราเข้ าไป ปรุงไปร้ องยังไง มันก็ทาํ ไม่ ได้ เจ้ าค่ ะองค์ หลวงตา มัน ร้ องไห้ ไม่ ออกเหมือนเดิมแล้ วเจ้ าค่ ะองค์ หลวงตา มันเหมือนรถกําลังจะออกตัวแล้ วล้ อกําลังจะ หมุน แล้ วมันหยุดหมุนไปซะดือ ๆ หยุดสนิทแบบ ไม่ ค่อย ๆ หยุดเจ้ าค่ ะ


หลวงตา : หยุดสนิทโดยปราศจากความปรุ งแต่ งใด ๆ จึงเป็ นธรรมแท้ ถึงใจ เป็ นใจ เป็ นธรรม ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ถ้ าประมาทว่ ารู้ แล้ ว เห็นแล้ ว บรรลุธรรมแล้ ว

อาจถูกหลอกได้ ผู้ถาม : โยมขอรายงานว่ าโยมสินความสงสัยแล้ ว โยมมีสภาวธรรมทีใสสว่ าง ลมหายใจไม่ มี หลับตา ไม่ นานลมหาย กายไม่ มี แสงนวลคล้ ายแสงจันทร์ เดือนเพ็ญ เป็ นแบบนีอยู่นานเป็ นชัวโมง และมีสภาวธรรมทีเห็นกายของตนเองเน่ า เปื อยเสือมแห้ งเหียวแข็งกระด้ าง เหม็นทังเลือด เหงือ ไคล ขีตา นํามูก นําลาย กลินปาก ทุกส่ วนของร่ างกาย เน่ าเหม็น วนเวียนแบบนีประมาณ ชัวโมง ย่ อยสลาย เน่ าเปื อยไปสู่สภาพเดิม ดินนําลมไฟ เห็นสรรพสัตว์ ทังหลายก็เช่ นกัน


กราบขอบพระคุณและ สาธุ สาธุ สาธุที พระพุทธเจ้ า, หลวงตาและพ่ อแม่ อาจารย์ ได้ ให้ ธรรมะ แก่ โยมตลอดมาค่ ะ กราบนมัสการค่ ะ ขอคําแนะนํา ด้ วยค่ ะ เห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา หลายรอบค่ ะ

หลวงตา : ให้ เห็นอย่ างนันอย่ างต่ อเนืองไม่ ขาดสาย อย่ าประมาทว่ ารู้แล้ ว เห็นแล้ ว เป็ นแล้ ว บรรลุธรรม แล้ ว อาจถูกหลอกได้ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ไม่ มีผ้ ยู ดึ ถือ ก็ไม่ มีผ้ ทู ุกข์ ผู้ถาม : มันยังหาคําตอบไม่ ได้ เลยเจ้ าค่ ะ ว่ ามันจะ ปฏิบัติอย่ างไร จะอยู่อย่ างไรเจ้ าค่ ะ ทําไมมันไม่ มีอะไรทีเป็ นทีตังให้ ตัวมันอยู่ได้ สัก อย่ างเลย และไม่ ร้ ู ด้วยว่ าตัวมันคือตัวไหน เหมือนตัว เรา แต่ เหมือนไม่ ใช่ ตัวเรา เหมือนมันมองหาอะไรสัก อย่ างเพือยึดมันไว้ แต่ หายังไม่ เจอ เหมือนทรมานข้ างในแต่ กไ็ ม่ ใช่ ตัวเราทรมานเจ้ า ค่ ะ ทีสังขารมันหงุดหงิดอยู่ตอนนี คือเหมือนมันรู้ แต่ ไม่ ร้ ู เรื องอะไรทีจะถ่ ายทอดออกมาเป็ นภาษา ออกมาเป็ น ฉาก ๆ เหมือนทุกที แบบว่ า มันเป็ นอะไรของมันวะ แบบนีน่ ะเจ้ าค่ ะ แต่ กท็ าํ อะไรไม่ ได้ อยู่ดี


หลวงตา : ไอ้ ทมัี นเป็ นทังหมดนัน มันไม่ ใช่ เราเป็ น มันสังขารปรุ งแต่ งทังนัน เรา ตัวเรา หรือ ของเราไม่ มี แล้ วทําไมจึงพยายามหาทีอยู่ให้ ตัวเรา หรื อให้ จิตใจของเราเล่ า มันเป็ นอย่ างไรก็ปล่ อยให้ มันเป็ นอย่ างนัน ไม่ มีผ้ ูยึดถือ ก็ไม่ มีผ้ ทู ุกข์ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ไม่ มีผ้ ูรองรั บ ผู้เสวย หรื อ ผู้ยึดถือ ต่ อสิงทีมากระทบในปั จจุบันขณะ ผู้ทุกข์ ก็ไม่ มี ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะหลวงตา หนูตดิ ตามเป็ น แฟนพันธุ์แท้ ของหลวงตาทางยูทปู และทางไลน์ ไม่ เคย พบหลวงตามาก่ อน หนูขอส่ งการบ้ านเจ้ าค่ ะ เมือไม่ กีวันก่ อนขณะทีหนูกาํ ลังเดินจงกรมอยู่ หูกไ็ ปได้ ยนิ เสียงหนึงเกิดขึน ในขณะฉับพลันนันหนูก็ เห็นการทํางานวิญญาณขันธ์ ขนมา ึ ว่ ามีตัวไปได้ ยิน แล้ วปรุ งว่ าเสียงอะไร แล้ วก็มีอีกตัวมารับรู้การ ประมวลผลนันทันที และในขณะเดียวกันนันก็มีเสียง หลวงตาขึนมาว่ ารั บรู้แล้ วก็ผ่านไป ไม่ อะไรกับมัน


ตอนนันก็ไม่ คดิ อะไรเจ้ าค่ ะ ก็เดินต่ อไป แต่ มา วันนีมานังพิจารณากลับก็แจ้ งแก่ ใจขึนมาว่ าถ้ าเรารับรู้ ทางอายตนะอืน ๆ โดยเฉพาะทางใจแบบนัน เมือมี ทุกข์ ใจเราก็จะไม่ ทุกข์ ไปด้ วย มันก็จะแค่ ร้ ูว่าทุกข์ เดียวมันก็ผ่านไป กราบในความเมตตาของหลวงตาค่ ะ


หลวงตา : ถ้ าแค่ รับรู้ทางอายตนะ ทุกปั จจุบันขณะ ไม่ ไปอะไรกับมัน ก็เท่ ากับ ไม่ มี “อวิชชา” คือ ไม่ มี ตัวตน ไม่ มีเรา ไม่ มีตัวเรา ไม่ มีของของเรา ไปมีตัณหา ต่ อสิงทีกระทบในปั จจุบันขณะนัน ๆ ก็จะไม่ มีอุปาทาน


สรุ ปแล้ ว ทุกปั จจุบันขณะทีมีการกระทบกันของ อายตนะภายในกับภายนอก ถ้ าไม่ ไปอะไรกับอารมณ์ หรื อสิงทีมากระทบ ก็จะไม่ มีผ้ ูรองรับ ผู้เสวย หรื อ ผู้ยดึ ถือต่ อสิงทีมากระทบในปั จจุบนั ขณะนัน หรื อไม่ มีกิเลสต่ อสิงนัน ผู้ทุกข์ กจ็ ะไม่ มี ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ปล่ อยเพือจะเอาความไม่ ยึด นันคือธงทีหมายไว้ ในใจ ผู้ถาม : จริง ๆ แล้ ว มันไม่ มีอะไร ต้ องอะไรเลย ไม่ มี ไม่ มีจริ ง ๆ เจ้ าค่ ะ ไม่ ต้องทํา ไม่ ต้องปล่ อย ไม่ ต้องรู้ ทุกสิงไม่ มีค่าต่ อใจ มันก็จบลงทีนี เดียวนีเลย จึงรู้ว่า โลกนี ไม่ มีของคู่ ทุกสิงเป็ นหนึงเดียวกัน หลังจากตืนมา ร่ างกายอ่ อนเพลียมันงง ๆ ด้ วยฤทธิยาแก้ แพ้ ทีกินไปเมือวาน มันไม่ สามารถตัง สติได้ อีกแล้ วเจ้ าค่ ะ ฝื น 'รู้ ' ไว้ ไม่ ไหวอีกแล้ ว ก็ต้อง ปล่ อยมันไปหมด มันก็คิดมัง ลงความคิดมัง มา รู้ สึกตัวมัง จึงสังเกตว่ า มันไม่ ต้อง 'รู้ ' มันก็ร้ ู นีหว่ า และ รู้ นีเบากว่ า ไม่ มีนําหนักและเป็ นหนึงเดียวกับธรรมชาติ


จึงเพิงได้ ร้ ู ว่ าทีผ่ านมามันยังยึดถือ 'รู้ ' มันยึด 'สติ' เอาไว้ อยู่ พอปล่ อยหมดถึงรู้ ว่ ามันยึด แต่ จะปล่ อยหมด หรือ จะปล่ อยไม่ หมด หรื อจะอะไร ๆ มันก็ไม่ อะไร ๆ ถูกไหมเจ้ าคะ เพราะมันเป็ นขันธ์ ถ้ าปล่ อยของยึด แต่ จะเอาของไม่ ยึด นันก็คือ ทีหมาย การเดินทางมันจะไม่ มีวันจบสิน

หลวงตา : สาธุ มันเป็ นเช่ นนันเอง ปุจฉาวิสชั นาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ให้ ถึง “ใจ” เป็ น "ใจ" ทุกขณะปั จจุบัน

ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ ผมไปฟั งหลวงตา เมือวันที ทีผ่ านมา ทีบ้ านบางบอน เป็ นครั งแรก และ ได้ มีโอกาสถามคําถามหลวงตา หลังจากฟั งเสร็จ ออกมา ตังแต่ วันนันถึงวันนี มีเหตุการณ์ กระทบกระทัง เดิม ๆ ทีเมือก่ อนผมจะไปยึดมาเป็ นโทสะ แต่ หลังจาก วันที นีมา เหตุการณ์ ต่าง ๆ ทีมากระทบนีไม่ เป็ นผล ให้ มีอารมณ์ ร่วม บางครั งมีความรู้ คล้ ายว่ าจะมีอารมณ์ และมันก็วางทันทีครับ


จึงมากราบขอบพระคุณหลวงตา ทีหลังจากฟั ง เทศน์ วนั นัน ผมกลายเป็ นคนใหม่ คนทีมีสติค้ มุ ครอง อายตนะทัง ได้ ตอนนีจิตใจสบายมากครับ ไม่ มี ความเบือ ความทุกข์ กับหงุดหงิด กับเรืองใด ๆ แม้ ไม่ ได้ ใช้ คาํ ภาวนาหรือสมถะข่ มไว้ การ "สักแต่ ว่ารู้" ในความรู้สึกของผม คือการ ทีเรารู้ ทุกอย่ างเลย รู้ว่าสิงนีบันดาลให้ เกิดความสุข สิง นีดี ประณีต สิงนีหยาบ ทําให้ เกิดทุกข์ แต่ จติ ใจเราไม่ เข้ าไปทําให้ เกิดความพอใจ หรือไม่ พอใจในมัน


เมือปราศจากความไม่ พอใจ ความพอใจ ตัณหาก็จะสามารถสินสุดได้ หากตัณหาสินสุดลง เมือไร อุปาทาน ภพ ชาติ ก็คงขาดลงเมือนัน หากทีผมเข้ าใจในระดับจิตปั จจุบันนี มี ความคลาดเคลือนอย่ างไร ขอหลวงตาโปรดชีแนะ กราบขอบพระคุณหลวงตาอย่ างสูงครับ เมือจิตใจของผมเปลียนจากหลังเท้ าเป็ นหน้ า มือ จากโทสะทุกเรื อง กลายเป็ น เมือมีสงกระทบอย่ ิ าง เดิมแต่ ใจผมไม่ ไปยึดเข้ ามาให้ ข่ ุนมัวแล้ ว ทําให้ บางครั งในจิตรู้ สึกว่ า สังสารวัฏของผมมีปลายทางแล้ ว การปฏิบัตผิ มมาตรงแล้ ว


หลวงตา : ถูกแล้ ว ปล่ อยวางสังขาร ทุกปั จจุบันขณะ ให้ ถึง “ใจ” เป็ น "ใจ" ทีเป็ น วิสังขาร ปล่ อยให้ สังขาร คือ ความรู้ สึก นึก คิด อารมณ์ เขาเคลือนไหวเกิดดับ โดยอิสระ แต่ “ใจ” ไม่ มี ไม่ เคลือนไหว ไม่ มีตัวตน ไม่ อาจแสดงอาการหรื อเคลือนไหวใด ๆ ได้ มันเป็ น เหมือนความว่ างของธรรมชาติหรือจักรวาล

ผู้ถาม : หลังจากทีฟั งธรรมหลวงตาวันนัน ให้ ความรู้ สกึ เหมือนในพุทธกาล ทีเหล่ าสาวกฟั งธรรมจบ บรรลุเลย อย่ างนันเลยครั บ

หลวงตา : สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ใครจะเป็ นอย่ างไร ใจนิพพานเป็ นพอ ผู้ถาม : กราบหลวงตาเจ้ าค่ ะ ขออนุญาตถามเจ้ าค่ ะ ขอความเมตตาด้ วยเจ้ าค่ ะ พระทีปฏิบัติจนบรรลุธรรม เป็ นพระอรหันต์ แล้ ว ยังมีความอยากทีจะสร้ างธรรม สถานทียิงใหญ่ อลังการ อีกหลาย ๆ ทีได้ อยู่หรื อเจ้ าคะ ? โยมติดสงสัยอยู่ตรงนีเจ้ าค่ ะ ขออโหสิกรรมขอขมาด้ วยเจ้ าค่ ะ โยมทราบดี คําถามแบบนีต้ องโดนดุ แต่ โยมติดอยู่ในใจมาก ๆ เลยเจ้ าค่ ะ


หลวงตา : เอาความพ้ นทุกข์ ปล่ อยวางทีใจ ไม่ ใช่ ติดทีตัวบุคคล ใครจะเป็ นอย่ างไร ใจนิพพานเป็ นพอ อย่ าไปรั ก ไปชัง ชืนชอบ หรื อ ตําหนิตเิ ตียนคนใดหรือสิงใด ดูทใจ ี ละทีใจ ปล่ อยวาง ๆๆๆ .... ทุกปั จจุบันขณะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ทุกปั จจุบันขณะ ไม่ ยึดถือ ก็ไม่ มีตวั ตน ผู้ถาม : หลวงตา ทําไมสิงทีเคยบีบคันใจให้ มันทุกข์ มันเข้ าไม่ ถึงใจแล้ วเจ้ าคะ เหมือนทุกอย่ างมันอยู่รอบ นอก กระทบแต่ เหมือนไม่ มีตัวดัน ๆ ออกไปให้ เป็ นตัวเป็ นตนให้ มันทุกข์ นีไม่ ได้ ปฏิบัตอิ ะไร ไม่ ได้ ทาํ อะไรทังสินนะ เจ้ าคะ สาบานได้ ลืมเรื องปฏิบัติไปเลย ไม่ สิ มันเห็นความคิด เห็นการกระทํา การ เข้ าใจธรรม ปรุงแต่ งธรรม เป็ นการปรุ งแต่ งตาม ธรรมชาติไปแล้ ว มันธรรมดาเหมือนการปรุ งแต่ งทาง โลกเลยเจ้ าค่ ะ มันเหมือนกัน


จริง ๆ ทุกสิงทีเป็ น มันไม่ ได้ ร้ ูสึกว่ ามีตัวเราไป ทุกข์ เดือดร้ อนกับสภาวะอะไร แค่ ร้ ู สึกแปลก ๆ เจ้ าค่ ะ มีอารมณ์ แต่ เหมือนไร้ อารมณ์ ลองคิดปรุ งแต่ งกีที ๆ มันก็ยังไม่ มีอารมณ์ จริง ๆ ทีมันผุดออกมาจากใจขึนมา เลยเจ้ าค่ ะ จะว่ าติดอารมณ์ ฌาน แต่ ก็ไม่ ได้ ไปทําอะไร เลยนะเจ้ าคะ จะไปตกร่ องฌานได้ อย่ างไร

หลวงตา : ทุกปั จจุบันขณะ ไม่ ยึดถือ ไม่ ดีรัก ชัวชัง เกลียดทุกข์ รักสุข จิต วิญญาณ หรือ ใจ ก็ไม่ มีตัวตน

ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


สินตัวเราแอบแฝง ดินรน ค้ นหา พยายาม กระทําอะไรเพือตัวเรา ผู้ถาม : หลวงตาเจ้ าคะ บีขอส่ งการบ้ านเจ้ าค่ ะ หลวง ตาให้ ไปดูว่ายังมีตัวเราทีจะไปถึงทีสุด มันมีอยู่จริง ๆ มันมาเรือย ๆ มาแบบเนียนๆ เห็นว่ าเป็ นสังขาร บางครั งก็จับได้ บางครั งก็บอกมันว่ าเราเห็นแล้ วนะ อย่ ามาหลอกเราเลย บางครังก็ตกร่ องไปกับมัน จนเมือสักครู่ ฟั งไฟล์ ทหลวงตาให้ ี ลองถามตัวเองจริ ง ๆ ว่ าทีมาเพียรปฏิบัติ ๆ มายาวนาน เพืออะไร … มัน ร้ องไห้ เลยเจ้ าค่ ะ เพราะคําตอบมันบอกว่ า อยากพ้ น ทุกข์ ... อยากพ้ นทุกข์ ให้ ใคร … ให้ ตัวเราพ้ นทุกข์ แล้ วก็หลงพยายามให้ เราวางความอยากนีเสียทีเถอะ …


วางความอยากความปรารถนานีซะ … วางความ ปรารถนาทีจะพบความสุขทีทุกข์ ไม่ มี … จะได้ พ้นทุกข์ มันหลงบ้ าไม่ จบเจ้ าค่ ะ มันเลยลองถามตัวเองใหม่ … แล้ วเพียรปฏิบัติธรรม เหนือยยากนีเพืออะไร … ถามใจตัวเองสิ ได้ คาํ ตอบว่ า ให้ ร้ ูความจริง รู้ความจริงเพืออะไร … มันไม่ มีคาํ ตอบเจ้ าค่ ะ ลูกขอคําแนะนําจากหลวงตาเจ้ า ค่ ะ _/\_/\_/\_

หลวงตา : ถามมันอย่ างนันนันแหละ จนกว่ าจะสินตัว เราแอบแฝงดินรน ค้ นหา พยายาม กระทําอะไรเพือ ตัวเรา หรือ มีตัวเรารอรับผลประโยชน์ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ไม่ มีจติ มีใจเข้ าไปอะไรกับสังขาร ผู้ถาม : น้ อมกราบนมัสการหลวงตาด้ วยความเคารพยิง เจ้ าค่ ะ หนูไม่ ได้ เข้ ามาส่ งการบ้ านมาสักพักใหญ่ แล้ วเจ้ า ค่ ะ หลุดไปอยู่กับภารกิจทางโลกเยอะไปเจ้ าค่ ะ แต่ กฟ ็ ัง ธรรมหลวงตาอยู่เรือย ๆ ค่ ะ แต่ ไม่ ถึงขันกัดติดจดจ่ อเจ้ า ค่ ะ เมือวานเห็นจิต ทีมันมีความทะยานอยากมาก ทีจะได้ ผลการปฏิบัติ รู้ สึกใจมันร้ อนรุ่มขึนมาให้ เห็นชัด มากค่ ะ แต่ ก็เห็นว่ ามันเป็ นสังขารปรุ งแต่ ง ตอนเดินจงกรม จิตก็ฟ้ งุ ซ่ านคิดเรืองนู้นนี มากมายค่ ะ แต่ ก็เห็นมันเป็ นสังขาร พอเริมสงบขณะเดินจิตคิดขึนมาว่ า โลกคือสังขาร คน สัตว์ สงของทุ ิ กอย่ างก็เป็ นความปรุงแต่ งทังสิน ยึดถือ อะไรไม่ ได้ ค่ะ จิตมันวางไปเองค่ ะ


รู้ สึกจิตเบาสบายค่ ะ พอมาฟั งไฟล์ เสียงหลวงตาเรือง สังขาร รู้ สึกถึงใจเจ้ าค่ ะ หนูเข้ าใจถูกต้ องหรื อเปล่ าเจ้ าคะ ขอเมตตา ชีแนะเจ้ าค่ ะ กราบนมัสการมาด้ วยความเคารพอย่ างสูง เจ้ าค่ ะ

หลวงตา : รู้เท่ าทันสังขารและไม่ มีจติ มีใจเข้ าไปอะไร กับสังขารทุกปั จจุบันขณะ รู้ เท่ าทันนะ ไม่ ไปอะไรกับอะไรนะ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ดูทใจเรา ี อย่ าเอาเขามาวิพากษ์ วจิ ารณ์ ผู้ถาม : หนูกราบนมัสการค่ ะหลวงตาหนูขอถามหลวง ตาค่ ะว่ าบุคคลทีเป็ นโยมแต่ มีจิตทีเป็ นพระแล้ วจะไม่ กินของเซ่ นไหว้ คนตาย จะเป็ นมานะถือตัวถือตน จะทําให้ ไม่ ละพ้ นจากโลกโลกียะหรือไม่ คะหลวงตา


หลวงตา : อยู่ทไม่ ี มีจติ ปรุ งแต่ งไปอะไรกับอะไร มันเป็ นเรื องเหตุผลอันสมควรของแต่ ละบุคคล ดูทใจเรา ี อย่ าเอาเขามาเปรียบเทียบ วิพากษ์ วจิ ารณ์ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ใจ ย่ อมรู้ใจ ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้ าค่ ะ ส่ งการบ้ านเจ้ าค่ ะ ทีนักปฏิบัติมกั พูดว่ าเห็นสังขารและวิสังขารนัน จริ ง ๆ แล้ ววิสังขารมันไม่ มีให้ เห็น มันเป็ นแค่ ความรู้ สึก เป็ น อารมณ์ ของผู้ปฏิบัติทคิี ดว่ าตัวเองเห็นวิสังขาร ความจริ งคือวิสังขารมันคือความไม่ มีอะไรแล้ ว จะไปเห็นมันได้ อย่ างไร ?? ใช่ ไหมเจ้ าคะหลวงตา วิสังขารนันเป็ นธรรมชาติทมี​ี อยู่จริง ทีเกิดขึน อัตโนมัติ เหมือนกับเหรียญบาทเมือเราเห็นด้ านหนึง เราก็จะไม่ เห็นอีกด้ านหนึง แต่ อีกด้ านหนึงนันมีอยู่จริง วิสังขารนันเห็นไม่ ได้ เพราะมันเป็ นความไม่ มีอะไร เมือไม่ มีอะไรแล้ ว จะมีใครไปเห็นความไม่ มีได้ อย่ างไร


อย่ างทีหลวงตาสอนว่ า แม้ น้อยหนึง นิดหนึง ปรมาณูหนึง ก็สังขารหมด วางแค่ นิดหนึง เสียววินาที หนึงก็เป็ นแล้ วใช่ ไหมเจ้ าค่ ะ กราบเท้ าหลวงตาด้ วยความเคารพอย่ างสูงสุดเจ้ าค่ ะ

หลวงตา : สาธุ เช่ นนันนันแหละ ใจ ย่ อมรู้ ใจ เพราะใจ นันแหละเป็ นวิสังขาร จะเอาอายตนะใดไปรู้เขาไม่ ได้ สินผู้เสวยสังขารและวิสังขาร ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


สินผู้เสวยสังขารและวิสังขารก็เป็ นใจ ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ ะ หลังจากได้ ระบายทุกอย่ าง ทีค้ างคาในอกให้ หลวงตาฟั งพร้ อมกับญาติธรรมในคํา วันที แล้ ว จิตใจเปลียนแปลงไปอย่ างเห็นได้ ชัด รู้ สึกว่ าอะไรบางอย่ างหายไป เช่ น ใจหยุดดินรนหาโน่ นหานี เคยรั กสวยรั ก งามก็หมดไปด้ วย ใครว่ าอะไรมาก็แค่ เห็นว่ าไม่ ชอบ แล้ วก็หายไป กลับมาปกติร้ ูแค่ ร้ ู และชีวติ หายไปไม่ อยากได้ อะไรเลย ร้ อนก็อยู่ได้ เนือตัวเหนอะหนะก็ไม่ หงุดหงิดอะไรก็ได้ เหมือนไม่ มีอะไรเลย ชีวติ หมดสิน ทุกสิงอย่ าง ไม่ เหลืออะไรเลย ปล่ อยไปตามชะตา... พอ......พอแล้ ว ละครชีวติ จบแล้ วค่ ะหลวงตา


หลวงตา : สาธุ เช่ นนันนันแหละ ใจ ย่ อมรู้ ใจ เพราะใจ นันแหละเป็ นวิสังขาร จะเอาอายตนะใดไปรู้เขาไม่ ได้ สินผู้เสวยสังขารและวิสังขาร ก็เป็ นใจเอง และ ใจนันแหละย่ อมรู้ใจ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


เพราะอวิชชา ผู้ถาม : หลวงตาเจ้ าค่ ะ หนูฟังไฟล์ เส้ นผมบังภูเขา สุดท้ ายเราหายตัวไปเหมือนทีเรานอน หายไปไหน ก็ไม่ ร้ ู รึเปล่ าเจ้ าคะ ไม่ มีความรู้สกึ นึกคิด หากตืนมาแล้ วยัง หายใจอยู่ยังมีตัวอยู่ ก็ดาํ รงสังขารนันไป สังขารก็ ทํางานไป ใจทําหน้ าทีรู้ เฉย ๆ ไม่ มีตัว แต่ บันทึกข้ อมูล แต่ หากตืนมาแล้ วไม่ มีแล้ ว คือ กลับสู่ธรรมชาติเดิม ไม่ มีอะไรเหลือเลย หนูเข้ าใจถูกต้ องไหมเจ้ าคะ


หลวงตา : ความจริงตัวตนของเราหรือตัวจิตใจของ เราก็ไม่ มีมาตังแต่ แรกแล้ ว แต่ เพราะอวิชชา คือ ความไม่ ร้ ูตามความเป็ นจริงว่ า ขันธ์ หรื อสิงทีมีชีวติ ต่ าง ๆ ในแต่ ละภพชาติ เกิดจาก การรวมตัวกันของธาตุดนิ ธาตุนํา ธาตุลม ธาตุไฟ และ วิญญาณธาตุหรื อธาตุร้ ูตามธรรมชาติ เพราะความไม่ ร้ ู คือ อวิชชา จึงหลงยึดถือเอาขันธ์ ในแต่ ละภพชาติ ซึง เกิดจากการผสมปรุงแต่ งของธาตุต่าง ๆ ดังกล่ าว ว่ า เป็ นเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา หรื อ ของของเราทุกชาติ ไป


เมือขณะธาตุแตกขันธ์ ดับ ยังไม่ สนความหลงยึ ิ ดถือว่ า มีเรา มีตัวเรา มีตัวตนของเรา หรื อของของเราอยู่ในใจ ดังนัน ขณะดับจิตสุดท้ ายก็ยังคงหลงยึดถือว่ าเรามี ตัวตน หรื อ มีตัวตนของเรา ความมีตัวตนยังไม่ ดับจึง ต้ องไปรั บผลกรรม สร้ างตัวตนเสวยผลกรรมในภพชาติ นันต่ อ ๆ ไปอีก เช่ น ไปเกิดเป็ นสัตว์ เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์ นรก เทวดา มนุษย์ ทมี​ี รูปร่ างเปลียนไป ตามผลของกรรม


ขณะจิตใดในปั จจุบันขณะ สินหลงยึดถือว่ า มีเรา มีตัวตนของเรา หรือไม่ ร้ ู สึกว่ ามีตัวเรา ของของเราอยู่ในใจอีกเลย คงมีแต่ ใจหรือจิตเดิมแท้ แท้ ซึงเป็ นธาตุร้ ู ตามธรรมชาติ ไม่ มตี ัวตน ไม่ มีรูปร่ าง ไม่ มีรูปพรรณสัณฐานใด ไม่ มีการไป ไม่ มีการมา ไม่ มีการหยุดอยู่ ไม่ มีอดีต ไม่ มีปัจจุบัน ไม่ มีอนาคต ไม่ อาจคิดหรือปรุงแต่ งได้ ไม่ มีการเกิด ไม่ มีการดับ ไม่ มีการตาย มันไม่ ได้ มีอยู่หรือไม่ มีอยู่ เมือสินอวิชชาแล้ ว ครั นธาตุแตกขันธ์ ดับ จิต วิญญาณ ใจ หรือธาตุร้ ู ก็ไม่ เหลือตัวตน ดับหายไปเหมือนดังเปลวไฟทีสินเชือ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ความเข้ าใจเกียวกับสังขาร ผู้ร้ ู และความว่ างเปล่ า ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้ าค่ ะองค์ หลวงตา ก่ อนหน้ านี มันเกิดคําถามขึนกับใจว่ าเมือเป็ นใจแล้ วทําไมจึงไม่ นิพพาน ... ? ก่ อนหน้ านีปล่ อยวางสังขารทีเคลือนไหวได้ ปรากฏได้ และเป็ นใจทีไม่ สังขาร แต่ ...... มันลืมไปเจ้ าค่ ะ มันมีไอ้ ใบ้ ตัวหนึงทีไม่ ทุกข์ อะไร แต่ ความไม่ ทุกข์ ของมัน ปรากฏเป็ นความผ่ องใสให้ ถูกรู้ ได้ มันลืมตัวมันเองจริง ๆ ว่ ามันเป็ นสังขาร แล้ วก็ ลืมว่ ามีบางสิงมารู้และเห็นไอ้ ใบ้ มันเช่ นกัน


คําตอบจึงรู้ว่า เพราะมันไม่ ร้ ูรอบกองของ สังขารนีเองเจ้ าค่ ะ มันยังไม่ รอบ มันจึงยังจบไม่ ลง ไม่ ยึดสังขารโลก แต่ ยึดสังขารธรรม มันมีประโยคทีองค์ หลวงตาสอนในไฟล์ เสียงที ทําให้ ไอ้ ใบ้ มันสะเทือนเจ้ าค่ ะ คือประโยคนีเจ้ าค่ ะ "ธรรมย่ อมเป็ นธรรม ก็คือ เป็ นธรรมชาติ โดยสมบูรณ์ ของเขาเอง เป็ นธรรมชาติทบริ ี สุทธิสมบูรณ์ ของเขาเอง ไม่ มีใครไปแสดงตู่เอาเป็ นเจ้ าของ...ให้ แปดเปื อน มลทิน" ประโยคนีเหมือนสอนใจตัวเองให้ ย้อนกลับมา นึกได้ เจ้ าค่ ะ มีสงใดเห็ ิ นผิดจากความจริง ขอเมตตา องค์ หลวงตาชีแนะด้ วยเจ้ าค่ ะ กราบองค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ


หลวงตา : การปฏิบัตธิ รรมก็เพือให้ จติ ได้ เรี ยนรู้ความ จริงอย่ างต่ อเนืองไม่ ขาดสายว่ า ขันธ์ ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็ น เพียงสังขาร หรือ สิงปรุงแต่ ง ขึนมาจาก ธาตุดนิ ธาตุ นํา ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุร้ ู ซึงธาตุดินก็เริมต้ นมาจากสเปิ ร์ มของพ่ อ ส่ วนไข่ ของ แม่ เป็ นธาตุนาํ แล้ วแม่ ก็กนิ ธาตุดนิ คือซากพืชซากสัตว์ ซึงเป็ นของตายแล้ ว ซึงต้ องเป็ นของจะต้ องเน่ า แม้ กนิ เข้ าไปในท้ องก็ยังต้ องเน่ า ถ่ ายอุจจาระ ออกมาจึงเน่ า เหม็นมาก กินธาตุนาํ ธาตุลม ธาตุไฟเติมเข้ าไป ตลอดเวลา ขันธ์ ห้าจึงไม่ ใช่ ตัวตนของเราจริง ๆ


ต้ องหมันน้ อมพิจารณาให้ ต่อเนืองไม่ ขาดสาย ใจก็จะ ค่ อย ๆ เชือตามความเป็ นจริ งทีน้ อมพิจารณา แล้ วใจ เขาก็ค่อย ๆ ปล่ อยวางของเขาเอง ต้ องน้ อมถึงสัจธรรมความจริงเช่ นนี จนกว่ าใจจะเชือ ในความจริง หรือ สินหลง (อวิชชา) จนหมดใจ ไม่ ยึดถือทังร่ างกาย (รูป) และนาม คือ เวทนา สัญญา สังขาร ซึงเป็ นธรรมารมณ์ หรืออารมณ์ ทถูี กรู้ และ วิญญาณ คือ ผู้ร้ ู จะเห็นได้ ว่าต้ องปล่ อยวางแม้ “ผู้ร้ ู” มิฉะนันปล่ อยวางไม่ หมดทังห้ าขันธ์ จึงจะสินหลงมีตัวตนของผู้เสวยหรือผู้ยดึ มันถือมัน หรื อมีเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา หรือ ของของเรา คือ สิน “อวิชชา” นันเอง


เมือสินอวิชชา ก็สนตั ิ ณหา อุปาทาน ซึงเป็ น กิเลส อัน เป็ นปั จจัยให้ เกิดภพ ชาติ ชรา มรณะ และทุกข์ โศก เศร้ า เสียใจ คับแค้ นใจ เมือสินเหตุหรือปั จจัยทีทําให้ เกิดภพ ชาติ ชรามรณะ และความทุกข์ หรือ เหตุปัจจัยดับหมด เรี ยกว่ า สิน เชือทีจะเป็ นเหตุเกิด ผลทังหมดก็ดับพร้ อม หรื อเหตุเกิด ผลเกิด เหตุดับ ผลดับ หรื อ เพราะสิงนีมี สิงนีจึงมี สิงนีไม่ มี สิงนีจึงไม่ มี (ปฏิจจสมุปบาท)


ดังนัน เมือสินเชือทีจะเป็ นเหตุให้ จิตหรือวิญญาณมีตัวตนไป เกิดให้ เป็ นทุกข์ แล้ ว ครั น สินอายุขยั ธาตุแตกขันธ์ ดับ จิตหรือวิญญาณก็ ดับไปเหมือนไฟทีสินเชือ ข้ อควรสังวร ; การปฏิบัติธรรมก็เพือให้ เกิดปั ญญารู้แจ้ งหรือตรั สรู้ ขึนมาว่ า ตัวตนจริง ๆ ของเราไม่ มี มีแต่ เกิดดับ เป็ นสิงสมมติ หรือเป็ นมายา หลอกลวงให้ ล่ ุมหลง เมือน้ อมพิจารณาเห็นความจริง จนปล่ อยวางความหลงยึดมันถือมันว่ าเป็ นเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา ก็จะสินตัวตนของเราไปยึดมันถือ มันมาเป็ นของของเรา


ดังนัน ถ้ าปฏิบัติธรรม แต่ มีเราหรื อตัวเราจะไปเอา ไปได้ ไปเป็ นอะไร หรือ มีเรา ตัวเราเสพความว่ าง โล่ ง โปร่ ง เบา สบาย จะผิดทางของพระพุทธเจ้ า เพียรวางให้ หมด ทังความคิดหรือ อารมณ์ ทถูี กรู้ และ “ผู้ร้ ู ” รวมทังสติ สมาธิ ปั ญญา ซึงเป็ นสังขารปรุ งแต่ ง โดยเห็นว่ าเป็ นเพียงเครืองอาศัยใช้ เป็ นเรือข้ ามฟาก เท่ านัน ไม่ หลงยึดถือ ว่ า เราเป็ นผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้เข้ าใจ ผู้มีความสงบ ผู้ว่างเปล่ า ผู้ร้ ู แจ้ ง หรือ ผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้เข้ าใจ ผู้มีความสงบ ผู้ว่างเปล่ า ผู้ร้ ูแจ้ ง ผู้เพียรพยายามว่ าเป็ นเรา หรื อ เป็ น ตัวเรา


ผู้ถาม : คืนความว่ างให้ แก่ ความว่ างไป แต่ กย็ ังเห็นสังขารทีพยายามปรุงเข้ าไปพยายาม คลอเคลียความว่ างนัน แล้ วปล่ อยมันไปทุกขณะเจ้ าค่ ะ โดยรู้ว่ามันคือสังขารเจ้ าค่ ะ

หลวงตา : เข้ าถึงความเป็ นหนึงเดียวกับธรรมชาติ เงียบ สงบ สงัด ว่ างเปล่ า ไร้ ตัวตน ไร้ การปรุ งแต่ งใด ๆ ไม่ มีความคิดหรือความรู้สกึ ว่ าเป็ นเรา เป็ นตัวเรา หรื อ เป็ นของของเราปนอยู่แม้ แต่ น้อยหนึง นิดหนึง หรือสัก ปรมาณูหนึงก็ไม่ มี มันเป็ นธรรมชาติทบริ ี สุทธิจริง ๆ


ผู้ถาม : มันคือกระจกทีแตกออกรวมกับจักรวาล ใช่ ไหมคะ เหมือนโลกธาตุดับค่ ะหลวงตา โยมทราบแต่ สงที ิ พระพุทธเจ้ าสอนทีเป็ นแก่ นคือ ปล่ อยวางค่ ะ นิพพานก็ไม่ มี มีแต่ ปล่ อยวาง


หลวงตา : สาธุ ถูกต้ องแล้ ว มันรวมกับจักรวาล โลกธาตุดับสนิท ไม่ มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ไม่ มีสมมติ ไม่ มีวิมุติ ไม่ มีอวิชชา ไม่ มีวิชชา มันคือธรรมชาติทบริ ี สุทธิจริ ง ๆ ...เพราะ ไร้ มลทินจากการทีมีผ้ ูไปตู่เอาธรรมชาติมาเป็ นของเรา ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


เป็ นมวยวัด โดนกิเลสต่ อยบ่ อย ๆ จะได้ เก่ ง ผู้ถาม : วันนีไปสนทนาธรรม กับคนทีเคยปฏิบัติ ด้ วยกันมาก่ อน โดนเขาชีสภาวะหน่ อยเดียว มันมี ตัวตน มีความอยาก ความยึดถือนิพพานและการ ภาวนาขึนมาอีก มันยึดเหลือเกินเจ้ าค่ ะ เอามาอยู่ในใจตลอด มีตัวเราทีปฏิบัตวิ นไปวนมา ทุกข์ มาก สลัดไม่ ออก เลย กลับไปมวยวัด จนหมดแรง จะให้ มันสินยึดถือให้ ได้ จะไม่ เอาแบบนี ... โอย ... ทุกข์ หลายเจ้ าค่ ะ


จนสุด ๆ แล้ ว มันก็น้อมพิจารณาไปเอง ว่ ามัน จะอยาก จะยึด จะสินอยาก จะสินยึด จะมีปัญญา จะ อะไร ๆ สุดท้ ายทุกสิงทีมันอยาก มันยึด มันเห็น มัน หลง มันรู้ มันต้ องดับหมด ไม่ มีอะไรเหลือ ไม่ ว่ามันจะมีความรู้สึกว่ าตัวเองเป็ นอะไร รู้ ธรรมเห็นธรรมแค่ ไหน มันจะรู้ธรรมจริงธรรมปลอม สุดท้ ายมันต้ องดับ ต้ องสินไปทังหมด จิตมันค่ อย ๆ สงบ รวมลง และปล่ อยสิงทียึดออกจากใจ


มันจึงเห็นว่ า ทีแท้ แล้ ว มันก็ไม่ มีใครได้ อะไร หรื อเป็ นอะไร แค่ เห็นความจริง ในทุกขณะปั จจุบัน เท่ านันเอง แล้ วการเห็นความจริง ก็ไม่ ต้องทําอะไรใช่ ไหมเจ้ าคะ แค่ ลืมตาตืน ขณะใดทีมันไม่ ได้ ปรุ งแต่ งว่ าตัวเราได้ ตัวเรามี ตัวเราเป็ นอะไร ขณะนัน ความจริ งของสังขาร ว่ ามัน เป็ นแค่ สังขารไม่ มีตัวเราอยู่ มันแค่ ของเกิดดับ ตังอยู่ ไม่ ได้ มันก็ปรากฏตรงหน้ าอยู่แล้ วเจ้ าค่ ะ


หลวงตา : เป็ นมวยวัด โดนกิเลสต่ อย ๆ หนักบ่ อย ๆ จะได้ เก่ ง … เก่ ง ๆๆๆ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


เพราะไม่ มีเราแต่ แรกแล้ ว

ผู้ถาม : มันต้ องมีกิเลสใช่ ไหมคะ มันถึงจะละวางไปได้ เราก็หมันดู หมันรู้ มันไปเรือย ๆ ค่ ะ ขอน้ อมกราบหลวงตาด้ วยความเคารพอย่ างสูงค่ ะ


หลวงตา : เพราะมีเราจะวาง มันเลยไม่ วาง เพราะมีเราจะสินกิเลส กิเลสมันเลยไม่ สนิ เพราะมีเราจะเป็ น มันเลยไม่ เป็ นธรรมชาติ เพราะมีเราจะสินตัวเรา มันจึงไม่ สนตั ิ วเรา ไม่ มีเราทีจะมี จะเป็ น จะได้ จะถึง จะบรรลุ...จะหายไป เพราะมันไม่ มี แต่ แรกแล้ ว ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


เพราะธรรมชาติเขาเป็ นเช่ นนันเอง ผู้ถาม : หลวงตาเจ้ าคะ แจ้ งแก่ ใจตามความเป็ นจริง แล้ วค่ ะ ปรากฏตามทีหลวงตาสังสอนตักเตือนเจ้ าค่ ะ เห็นแล้ วค่ ะ มีแต่ ธรรมชาติ ว่ างจากสิงเดียว คือ ตัวมันเอง ไม่ มีใครเป็ นสิงใดในจิตหนึง กราบเท้ าเจ้ าค่ ะ กราบ กราบ กราบ


หลวงตา : มีแต่ ธรรมชาติแท้ ๆ เท่ านันที “บริสุทธิ” เพราะไม่ มีผ้ ูต่ เู อาธรรมชาติมาเป็ นของของเรา “ว่ างเปล่ า” เพราะไม่ มีตัวตน ไม่ มีเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา ของของเรา มาแต่ แรก “สงบ สงัด เงียบ” เพราะไม่ อาจคิด หรื อปรุ งแต่ งได้ โดย ธรรมชาติของเขาเอง ไม่ มีใครบังอาจทําให้ เขา ไร้ ตัวตน เงียบ สงบ สงัด ว่ างเปล่ า เพราะเขาเป็ นธรรมชาติทเป็ ี นเช่ นนันเอง ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


น้ อมเห็นความจริงให้ ถงึ ใจ จนสินตัวตนของผู้ยดึ มันถือมัน ผู้ถาม : กราบเท้ าหลวงตาทีเคารพเป็ นอย่ างสูง โยม เคยไปกราบหลวงตาทีหมู่บ้านลัดดารมย์ ไปกับลูกสาวที เป็ นใบ้ หลวงตาเมตตาโยมและลูก ไม่ มีประมาณหา ค่ าไม่ ได้ หลวงตาแนะนําให้ โยมอยู่กับรู้และใช้ สติปัญญากํากับและใช้ ขันธ์ ห้าจนกว่ าจะแตกดับเพือ ประโยชน์ ตนและประโยชน์ ท่าน ลูกได้ น้อมนํามา ปฏิบัติและติดตามหลวงตาอย่ างต่ อเนืองไม่ ค่อยได้ ส่ง การบ้ านแต่ เป็ นแฟนพันธุ์แท้ มาตลอดค่ ะ


มีธรรมมาสอนทีใจบ่ อยครังจากธรรมชาติ และเมือคืนเป็ นองค์ หลวงตามาสอนเองตอนตีห้าหลัง รู้ สึกตัว ตืนนอนแล้ วแต่ ยังไม่ ลุกจากทีนอน เลยนอน สมาธิต่อก็เป็ นครึ งหลับครึงตืนเจ้ าค่ ะ เป็ นหลวงตามา สอนเองให้ เห็นระหว่ างธรรมแท้ และธรรมปลอมเจ้ าค่ ะ


จากนันจิตก็น้อมเข้ าไปพิจารณา ก็เห็นความ แตกต่ างทีเหมือนฝาแฝด แต่ มีความแตกต่ างอยู่ในนัน คือของจริงนิงเป็ นใบ้ ของทีเคลือนไหวได้ เป็ นของ ปลอม คือมีความเคลือนไหวเกิดดับอยู่ในความว่ างที ไม่ เกิดไม่ ดบั นันเจ้ าค่ ะ จิตมันรู้ได้ ด้วยตัวของมันเอง ว่ าทุกสิงเกิดดับอยู่ในความไม่ เกิดดับนันเจ้ าค่ ะ กราบหลวงตาเมตตาชีแนะเจ้ าค่ ะ


หลวงตา : ธรรมปรากฏให้ เห็นและรู้แจ้ งถึงใจ ให้ น้อมเห็นความจริงให้ ถึงใจ ลงแก่ ใจ จนสินตัวตนของผู้ยดึ มันถือมัน ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


แค่ ใจยอมรับความจริง ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงตาเจ้ าค่ ะ วันนีนําตาไหลหลังจากรู้ความจริงว่ าจะไปรู้ อะไร เห็นอะไรเท่ าไหร่ มันก็ไม่ มีวันพ้ นทุกข์ เพราะมัน รู้ ตัวเองแล้ ว ว่ ามันไปรู้อะไร ตัวมันก็ยดึ สิงนัน เป็ นสไปเดอร์ แมนปล่ อยใยไปทัว รู้อะไรก็มี เยือใยไปรั ดไว้ มีปัญญาอะไร แจ้ งอะไร ก็มีเยือใยไป รั ดไว้ ต่ อให้ พยายามตัดใยทีเคยรัดไว้ จนหมดสิน แต่ เหลือ “ตัวรู้ ” “ตัวเข้ าใจ” อยู่ มันจะไปชักใยเยือใย สิง เหล่ านันใหม่


รู้ โลก เยือใยโลก รู้ ธรรม เยือใยธรรม เห็นจิตเข้ าใจจิต ก็ยึดถือเยือใยจิตนันเอง ไม่ ว่าจะรู้ จะเข้ าใจอะไร ก็คือลงไปเล่ นกับกองสังขาร มันสลดสังเวช เมือเห็นชัดในความจริง ว่ า "ตัวเราไม่ มีวนั พ้ นทุกข์ " "ตัวเราไม่ มีทางพ้ นทุกข์ " "หาทางพ้ นทุกข์ ไม่ ได้ แล้ ว... มันไม่ มี"


เมือมันผ่ านความเสียใจ เพราะต้ องยอมรับความจริง ว่ า ทีผ่ านมามันหลอกตัวเองอยู่ ว่ าตัวเองรู้ ตัวเองเป็ น อะไร ตัวเองเห็นธรรม ตัวเองมีปัญญา ทีแท้ มันหลอก ตัวเอง ไม่ ได้ มองความจริง ว่ ามันไม่ อาจพ้ นกองทุกข์ ได้ มันยังเต็มไปด้ วยความยึด เมือมันเห็นความจริง ตาสว่ างขึนมา มันสลด สลด สลด และยอมวาง วางทุกอย่ างทียึดถือไว้ จะทํา ให้ ตวั เองพ้ นทุกข์


เมือความปล่ อยวางเข้ าถึงใจ จึงรู้ว่ามันไม่ ได้ มีตัวเรา ต้ องไปเห็นอะไร ไปรู้อะไร ก็แค่ ใจ...ยอมรั บความ จริง... ยอมทีจะวางสิงทีตัวเองหลอกตัวเอง ยอมปล่ อย สิงทีตัวเองปรารถนาจะพ้ นทุกข์ ... เท่ านันเลยเจ้ าค่ ะ

หลวงตา : สาธุ สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


เหตุเพราะเอาตัวเราไปรู้ เลยแช่ ผู้ถาม : กราบขอโอกาสครับหลวงตา ช่ วงนี จะมีอาการป่ วยวิงเวียน เป็ นอาการบ้ าน หมุนอยู่บ่อย ๆ แต่ ไม่ หนักเหมือนอดีตทีเคยเป็ นจนลุก ขึนจากเตียงไม่ ได้ ปฏิบัติแช่ อยู่ในอารมณ์ สักอย่ างอยู่หรื อเปล่ า ครั บหลวงตา


หลวงตา: ทีเป็ นเช่ นนี เพราะเอาตัวเราไปดู รู้ เห็น สังเกต หรื อ ปล่ อยวางจิตหรื ออาการของจิต ทีถูก; จะต้ องปล่ อยวาง หรือ สินผู้รองรั บ หรือสินผู้เสวย หรือ สินผู้ยึดถือผู้ดู ผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้สังเกต ผู้ปล่ อยวาง ทุกปั จจุบันขณะ


เมือ”เอาตัวเรา”ไปเป็ นผู้ดู ผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้สงั เกต ผู้ปล่ อย วางจิตหรืออาการของจิต “โดยไม่ ปล่ อยวางตัวเรา” จะมีข้อเสียหาย คือ จะมีตัวเราหลงไปยึดถือ ความว่ าง โล่ ง โปร่ ง เบา สบาย ในขณะทีอาการของจิตทีไม่ ชอบใจซึงเป็ นทุกขเวทนาดับไป โดยไม่ ได้ สนตั ิ วเราผู้เสวย หรือผู้ยึดถือ


จะมีตัวเราซึงเป็ น ผู้ดู ผู้ร้ ู ผู้เห็น ผู้สังเกต ผู้ปล่ อยวาง เป็ นผู้เสพอาการ ว่ าง โล่ ง โปร่ ง เบา สบาย หรื อหมายเอาช่ องว่ างระหว่ างความดับไปของจิตหรื อ วิญญาณก่ อนหน้ านัน กับจิตหรือวิญญาณใหม่ ทเกิ ี ดขึน ว่ าเป็ นความว่ าง แล้ วยึดถือความว่ างนัน หรื อ ใครเป็ นผู้ร้ ู ผู้.......... คนนันก็เป็ นผู้เสพ ผู้เสวย ผู้ยดึ ถือเสียเอง


ความจริง; ไม่ ว่าจิตจะเกิดหรือจิตจะดับ ก็คงเป็ นสังขารปรุ งแต่ ง เปรี ยบเหมือนขณะทีกายสังขาร หรื อวาจาสังขาร เคลือนที แล้ วหยุด หรื อ ดับ แล้ วเคลือนทีใหม่ นัน ก็คงเป็ นสังขาร ไม่ ใช่ ขณะทีสังขารกาย สังขารวาจา สังขารจิตหยุดหรื อดับ จะเป็ นความว่ างซึงเป็ นวิสังขาร เพราะสังขาร ย่ อมเป็ นสังขารอยู่วันยังคํา ไม่ อาจกลายเป็ นวิสังขาร หรือ อสังขตธาตุได้


ในทางกลับกัน วิสังขารหรื ออสังขตธาตุ ก็เป็ นวิสังขารหรือ อสังขตธาตุอยู่รําไป ไม่ อาจจะกลายเป็ นสังขารเกิดดับได้ เพราะวิสังขารหรืออสังขตธาตุ ไม่ มีตัวตน ไม่ มีรูปร่ าง ไม่ มีรูปพรรณสัณฐานใด ไม่ อาจคิด หรือปรุ งแต่ ง เกิดดับได้ เพราะวิสังขารหรืออสังขตธาตุ เป็ นธรรมชาติทไม่ ี มีอะไรปรากฏเลย จึงไม่ เกิด ไม่ ดับ ไม่ อาจถูกทําลายได้ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


เห็นความจริงจากใจ อย่ างต่ อเนืองไม่ ขาดสาย ผู้ถาม : หลวงตาเจ้ าคะ ส่ งการบ้ านเจ้ าค่ ะ ขณะจิตใด ทีไม่ ได้ มีตัวเราไปหลงปรุงแต่ ง ขณะนัน มันจะรั บรู้ ทุกอย่ างทีเกิดในใจเจ้ าของตามความเป็ นจริง แค่ ร้ ู... และยอมรับ มันเหมือนจะรู้และเข้ าใจ ใจตัวเองอย่ างลึกซึง ว่ าจิตนียังเหลือความปรารถนาใดในใจ สิงใดวางไป แล้ ว และสิงใดยังไม่ วาง ความยึดถือทีจะนําไปสู่ภพ ชาติเหลือแค่ ไหน มันหยังรู้ ได้ หมดขึนมาในใจ ยิงกว่ ามี คนผ่ าใจออกมาตีแผ่ ทุกซอกทุกมุมของใจเจ้ าของให้ เจ้ าของเห็นเจ้ าค่ ะ


และมันรู้ ใจของคนอืนด้ วย ไม่ ได้ ร้ ู จติ เป็ นมวล สภาวะเหมือนตาเห็นรูป เหมือนตอนเคยเห็นจิตแมว นะเจ้ าคะ มันเหมือนไม่ ได้ เห็นสภาวะจิตแต่ มันรู้ขนมา ึ ว่ าใจของเขายังหลงยึดถือ มันรู้ขนมาในจิ ึ ตนันเอง เมือมันมองออกไปข้ างนอกรถ ในขณะทีตัวเรา ไม่ ได้ ไปปรุ งแต่ งเรื องโลกเรืองธรรมอะไร มันก็เห็นคน เดินไปเดินมาบนถนนฟุตบาทเต็มไปด้ วยความหลง มี แต่ ความยึดถือ ไม่ มีแม้ สกั คนเดียว ทีไม่ ได้ เป็ นแบบนี ใจมันสลด นําตารืนขึนมาอีกว่ า คนเรามันแค่ นีหรือ เกิดมาก็ด้วยความหลง ดํารงชีวติ ด้ วยความหลงตัวตน ทังชีวติ ไม่ ร้ ู เลยว่ าตัวเองทําอะไร จะไปไหนต่ อ ไม่ ร้ ู เลย ว่ าตัวเองนันอยู่ในกองทุกข์ เจ้ าค่ ะ


ใจมันสลดสังเวชในความหลงยึดถือนีจริง ๆ มันน้ อมหาใจเองว่ า ยังจะหลงจะหลอกตัวเองอยู่หรื อ เปล่ า

หลวงตา : สาธุ อย่ าทิงความรู้ ความเห็น ความเข้ าใจ เห็นจริ งจากใจอย่ างต่ อเนืองไม่ ขาดสาย จนกว่ าเป็ น ธรรมทีสินยึดมันถือมันจริงทีใจ เพียงแค่ ขณะจิตเดียวก็ เกินพอ

ผู้ถาม : แต่ ถ้าขณะจิตใดทีตัวเราหลงไปปรุ งแต่ ง มัน จะเรี ยนรู้ ความจริงของธรรมฝ่ ายปรุงแต่ งเจ้ าค่ ะ ว่ าอะไรเข้ ามากระทบมันจะปล่ อยใยไปยึดถือ


ถ้ าไม่ มีสติ มันจะยิงปรุงแต่ ง ใจรับรู้เรืองทีปรุ ง มันก็กระทบซํา ๆ กระทบหนึงครั ง ไม่ ร้ ู เท่ าทันก็ปล่ อย ใยหนึงสาย กระทบครั งใดก็ปล่ อยใยครั งแล้ วครั งเล่ า ทําให้ เยือใยยิงแน่ น ยึดมันพัวพัน ปรุงเรืองโลกยึดโลก ปรุ งเรื องธรรมยึดธรรม ยิงรู้ ตัวช้ า มารู้อีกที ความยึดถือ ยิงหนาแน่ นมากไป แล้ ว แต่ ถ้ามีสติขนมาว่ ึ าตัวเองหลงและมีปัญญา เห็นความยึดถือเห็นต้ นจิตในใจเจ้ าของ วงจรอุบาทว์ นีจะขาดออกในขณะจิตนันเองเจ้ าค่ ะ

หลวงตา : สาธุ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


หลงเอาตัวเราเป็ นผู้ร้ ู ผู้ถาม : น้ อมกราบรําลึกในพระเมตตาคุณของ หลวงตาเจ้ าค่ ะ หนูเพิงอดอาหารมาสองวันเจ้ าค่ ะ ปรากฏว่ า วันทีสาม คือวันทีได้ กินอะไรหน่ อย กลับจิตรวมมีสมาธิ ปั ญญากับสติจดจ่ อกันตรงใจ แน่ วแน่ มากเลยเจ้ าค่ ะ ก็ จะเป็ นอยู่อย่ างนีทังวันเจ้ าค่ ะ คือหนูจะเห็นภาพภายใน กายเป็ นเถ้ ากระดูกแตกขาว ๆ ข้ างใน แล้ วหนูก็สลาย มันเป็ นเถ้ าเมือกายสลาย ก็สลายจิตต่ อ จิตที ประกอบด้ วยขันธ์ ทมี​ี ผ้ ูร้ ูกส็ ลายตาม ทุกอย่ างแตกดับสลายหมด จิตก็รําพึงขึนมา อย่ างนี นิจฉาโต ปรินิพพุตโต ดับสนิทไม่ มีส่วนเหลือ


เมือมีสภาวะใดก็ตามเกิดขึนในใจ สติปัญญาก็ตามจับ ทันที สลายทุกอย่ าง แล้ วจิตก็รําพึงขึนมาอีก นิจฉาโต ปรินิพพุตโต ดับสนิทไม่ มีส่วนเหลือ ไม่ มีอะไรเลย ไม่ มีอะไรจริ ง ๆ มันก็จะวนอย่ างนีเจ้ าค่ ะ มีตัวสังขารขึน สติปัญญาก็ตอบรับกันอย่ างนีอย่ าง ต่ อเนืองไปเรือย ๆ หนูกพ ็ จิ ารณายําไปตรงผู้ร้ ู อีกเจ้ าค่ ะ ว่ ามันไม่ มีตัวตนจริง ๆ เห็นจริงว่ าไม่ มีจริง สติปัญญาก็ วนอยู่กับการพิจารณาอย่ างนีเจ้ าค่ ะ

หลวงตา : ยังหลงเอาตัวเราเป็ นผู้ร้ ู ให้ เห็นว่ าผู้ร้ ู นันเองเป็ นผู้คิด ผู้ค้นหา ผู้ดนรน ิ ผู้สงสัย พร้ อมกับปล่ อยวางผู้ร้ ู หรือ ไม่ ยึดถือว่ าผู้ร้ ูเป็ นเรา เป็ นตัวเรา เป็ นตัวตนของเรา ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


เงียบถึงใจ ... จริง ๆ ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์ หลวงตาเจ้ าค่ ะ ขออนุญาต ส่ งการบ้ านนะเจ้ าคะ มีธรรมขึนมาว่ า “ไม่ มีผ้ ูร้ ู ” เกิดปี ติขนลุก แล้ ว ทุกอย่ างก็ผ่านไป มีครั งหนึงแค่ ตรึกคําว่ า “หยุดกิริยา จิต คือ อะไร” ในทันใดนันก็เหมือนเข้ าใจขึนมาว่ าไม่ มี ตัวจิตตัวใจทีเป็ นเหตุให้ เกิดความยินดียินร้ าย แล้ วก็ ผ่ านไป มีขณะหนึงทีนึกถึงคําพูดหลวงตาทีสอนว่ า “ให้ สังเกตดูตัวทีมันคอยบอกว่ าอะไรเป็ นอะไร (ตัวสังขาร)” อยู่ ๆ ก็ปรากฏเหมือนตัวเรานันแหละ เหมือนอ้ าแขน รั บทุกสิงจากทวารต่ าง ๆ แล้ วเตรี ยมแยกแยะว่ าอะไร เป็ นอะไร แล้ วในใจก็พูดว่ า “ตัวแมงมุม” แล้ วทุกอย่ างก็ ผ่ านไป ฯลฯ


ด้ วยความรู้ความเข้ าใจตอนนี จึงปล่ อยทุก อย่ างให้ เค้ าทํางานเอง เกิดความรู้ความเข้ าใจก็ต้อง เป็ นไปเอง เหมือนธรรมทีขึนมาสอนไม่ มคี วามหมาย ต่ อใจเจ้ าค่ ะ และมีบางช่ วงทีหลงไปผสมโรงกับสังขาร รู้ เท่ าทันก็ช่างหัวมันเพราะมันหลงของมัน ตอนนีจึงดู เหมือนคนทัว ๆ ไปทีไม่ ได้ ปฏิบัติธรรมเลยเจ้ าค่ ะ แต่ จะว่ า “หลงโลก” มันก็ไม่ เหมือนแต่ ก่อนเจ้ าค่ ะ


ทีผ่ านมาหนูไม่ ได้ ส่งการบ้ านหลวงตานานมาก ๆ ด้ วยเห็นว่ าทุกสิงทุกอย่ างเค้ าต้ องดําเนินของเค้ าไป เอง แต่ เมือวานและวันนีทีหลวงตาเมตตาส่ งคลิปมา มี บางประโยคทีกระทบใจเจ้ าค่ ะ แล้ วมันก็ผ่านไป ถึง ตอนนีมันเลยกลายเป็ นว่ า จิตมันจะหลง มันจะรู้ มันจะ เป็ นอะไรก็เรืองมัน สรุ ปคือมันจะพ้ นทุกข์ ไม่ พ้นทุกข์ ก็ เรื องมันเจ้ าค่ ะ มันเหมือนคนไม่ ภาวนาเลยเจ้ าค่ ะ กราบส่ งการบ้ านและขอความเมตตาองค์ หลวง ตาชีแนะด้ วยเจ้ าค่ ะ


อีกสาเหตุหนึงทีไม่ ได้ ส่งการบ้ านนะเจ้ าคะ คือ เมือมีความสงสัยขึนมา ก็ช่างหัวมันเจ้ าค่ ะ จึงกลายเป็ นว่ าไม่ มีอะไรจะกราบเรี ยนถามองค์ หลวงตา เลยเจ้ าค่ ะ

หลวงตา : ในทีสุด ไม่ มใี ครรู้ ไม่ มีใครเห็น ไม่ มีใครได้ ไม่ มีใครเป็ น มันสงบจากความปรุ งแต่ งใด ๆ ทังสิน ไม่ มีทงสมมติ ั และวิมุติ ไม่ มีปริ ยัติ ไม่ มีปฏิบัติ ไม่ มีอวิชชา ไม่ มีวิชชา ไม่ มสี ัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา มันเงียบถึงใจ ... จริง ๆ ... เพียงแค่ ขณะจิตเดียว เหมือนสายฟ้ าฟาดลงกลางใจ จนไม่ ร้ ูว่าจะพูดอย่ างไร ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


เอาตัวเราไปปล่ อยวาง เท่ ากับเดินทางทุกข์ กับสมุทยั ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงตาครับ … ผมกลับไปฟั งไฟล์ เสียงทีส่ งการบ้ านหลวงตาซํา ๆๆ เพือดูข้อผิดพลาดของ ผม หลวงตาจี ๆๆๆ … จนมีคาํ พูดหนึงทีหลวงตา พูดว่ า แล้ วเราจะไปมี ไปเป็ นอะไร ... เออ แล้ วเราจะ ไปมี ไปเป็ นอะไร (มันจึกมาในใจตอนฟั งครับ) สติตังดู อยู่ทจิี ต ละอยู่ทให้ ี ร้ ูตัวเรามีความอยากแล้ วปล่ อย วางตัวเรา ไม่ ใช่ เอาตัวเราไปปล่ อยวาง ... ถ้ าเอาตัวเรา ไปปล่ อยวางเท่ ากับเราเดินทางทุกข์ กับสมุทัย … ผลคือ เป็ นทุกข์ ...


จุดบอดของผมคือ เราไม่ ร้ ูว่าตอนนันเราเดิน ผิดจนหลวงตามาแก้ ให้ ...... สิงทีผมจะต้ องทําให้ มันถูก เส้ นทางคือ คอยสังเกตเงียบ ๆ ด้ วยปั ญญาขันสูงสุดว่ า สิงทีดูทจิี ต ละทีจิตนัน เรายังพยายามทําเพือตัวเรา ... ไหม และถ้ าเราพยายามทําเพือเราก็ให้ ร้ ู ว่าเราพยายาม แล้ วปล่ อยวางตัวเราทีพยายามนันทุกขณะจิตไปไม่ ดดู ไม่ ผลัก ... ดูมันซือ ๆ แบบนีถูกไหมครั บหลวงตา อยากให้ หลวงตาชีแนะครั บ จะได้ เดินถูกทางครั บ

หลวงตา : บอกว่ าธรรมชาติของธาตุร้ ู เขา “รู้ ซือ ซือ” เขาไม่ มีการกระทําเพือตัวเรา เพราะตัวเราไม่ มี ไม่ มี ตัวตนของเรา แต่ ทาํ ไมยังถาม เพือตัวเราจะได้ ไม่ ผิด ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


มีความพยายามเพือตัวเรา เป็ นอวิชชา ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาด้ วยใจเคารพนอบ น้ อมเจ้ าค่ ะ ขอโอกาสกราบเรี ยนถามหลวงตาเจ้ าค่ ะ สืบเนืองจากครั งทีแล้ วทีได้ ไปกราบหลวงตาทีบ้ านบาง บอน แล้ วหลวงตาบอกว่ าขณะทีคุยกับหลวงตา ยังแอบ กระทําอะไรอยู่ในใจ และได้ ตอบหลวงตาไปว่ าเค้ าทํา ของเค้ าเอง หลวงตาบอกว่ าเป็ นอวิชชาทีไม่ ร้ ู ตัวเองว่ าแอบ ทําอะไรอยู่ในใจ จริง ๆ ตอนนันก็ร้ ู สกึ ตัวอยู่นะเจ้ าคะ ว่ ามันมีอะไรหนัก ๆ ทึบ ๆ อยู่ในใจนิดนึง แต่ ก็หยุด เค้ าไม่ ได้ เพราะถ้ าพยายามไปหยุดเค้ าก็มีเราไป พยายามอีก ก็เลยได้ แต่ ร้ ูสกึ ว่ ามีการกระทําอะไร บางอย่ างอยู่ในใจ แต่ ตอนนันยังไม่ ร้ ู สาเหตุของอาการ นันเท่ านัน


แบบนีเราควรรู้ ลึกไปถึงต้ นเหตุททํี าให้ เกิด อาการกระทํา หรือแค่ เห็นว่ าอาการทึบ ๆ หนัก ๆ ใน ใจก็เป็ นแค่ สังขารปรุงแต่ งเท่ านันเจ้ าคะ กราบ กราบ กราบแทบเท้ าหลวงตา พ่ อแม่ ครู อาจารย์ ทเมตตาสั ี งสอนเจ้ าค่ ะ

หลวงตา : ตัวเราไม่ มี ไม่ มีตัวตนของเรามาตังแต่ แรก แต่ ทาํ ไมยังมีความพยายาม เพือตัวเรา เมือตัวตนของเราไม่ มี ดังนัน อาการเขาจะเป็ น อย่ างไร ก็ไม่ ใช่ ตัวเราเป็ น ทุกอาการ หากไม่ หลงคิดปรุ งแต่ งเอามาเป็ น ตัวตนของเรา เขาก็เป็ นเพียงปรากฏการณ์ ตามธรรมชาติ เหมือนฟ้ าแลบ ฟ้ าร้ อง ฟ้ าผ่ า ไม่ ได้ เป็ น “อวิชชา” ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


นิพพาน ผู้ถาม : หลวงตาครับ พอดีว่ามีเพือนกัลยาณมิตรท่ าน หนึง ท่ านติดในเรื องรูป คือ ผมเคยชวนท่ านไปเรียน ธรรมกับครู บาอาจารย์ ท่านหนึง แต่ ท่านอยู่ในเพศ ฆราวาส กัลยาณมิตรท่ านนี ท่ านติดว่ า อรหันต์ จะต้ อง บวชเป็ นพระภิกษุเท่ านัน มิเช่ นนันธาตุกายจะเเตก ภายในไม่ เกิน วัน ซึงตรงนีผมก็บอกว่ ามันเป็ นความ เชือ ความเข้ าใจทีผิด ก็บอกเขาไปว่ ามันสําเร็จทีจิต ไม่ ใช่ เสือผ้ าทีใส่ หรือการโกนผม ธรรมะเป็ นของกลาง ใครเข้ าใจแทงทะลุก็เป็ นอรหันต์ ได้ แม้ นแต่ คนทีไม่ ได้ เป็ นพุทธศาสนิกชน (เช่ น osho เป็ นต้ น) และก็ ยกตัวอย่ างแม่ จันดี น้ องสาวหลวงตามหาบัวให้ เขาเห็น แต่ เขาก็ยังค้ านอยู่


ผมเพียงอยากจะขอการสาธยายธรรมในเรื อง นีของหลวงตา เป็ นข้ อมูลเพือนําไปบอกกล่ าว ให้ ความ กระจ่ างในเรื องนีกับหลาย ๆ ท่ านครับ เพราะเขาก็ ปรามาสในธรรมของครูบาอาจารย์ ทเขาไปฟั ี ง เรื องนีก็ เป็ นเรื องอันตรายสําหรับตัวเขา ถ้ าเขายังติดใน รู ปลักษณ์ ภายนอกอยู่ ตัวผมเองไม่ ติดใจในอะไรครับ การได้ ฟังธรรม จากหลวงตาทีชัดเจนก็เป็ นสิงทีประเสริ ฐสุดแล้ วครั บ ด้ วยความนับถือครับ

หลวงตา : การทีจะบรรลุนิพพาน คือ สินความหลง ยึดมันถือมันว่ ามีเราตัวเรา ตัวตนของเรา หรื อ ของของ เรา นันยากทีสุดในโลกแล้ ว เพราะมันสวนกระแสโลก ว่ าจะต้ องได้ ดี มี เป็ น


การทีกลัวว่ าจะบรรลุนิพพาน เดียวจะตายเพราะเป็ น ฆราวาสนัน ก็แสดงถึงความมีตัวตน มันบรรลุนิพพาน ไม่ ได้ หรอก เพราะนิพพาน คือ มันสินหลงว่ ามีตัวตน ฆราวาสถ้ าถือศีลห้ าบริสุทธิ และสินหลงยึดมันถือมัน ว่ ามีเรา ตัวเรา ตัวตนของเรา หรื อของของเรา ก็บรรลุ นิพพานได้ ถึงตอนนัน ความกลัวตายไม่ มีแล้ ว


อย่ าไปเชือใคร หรือ หลงยึดถือทีตัวบุคคลว่ าบรรลุ นิพพาน เป็ นพระอรหันต์ แล้ ว มันจะหลง ใครจะเป็ น พระอรหันต์ หรื อไม่ ก็ไม่ ได้ ทาํ ให้ เราเป็ นพระอรหันต์ ให้ เร่ งเพียรปฏิบัติให้ เห็นตามความเป็ นจริงว่ า สังขาร กาย และ สังขารจิต เป็ นของไม่ เทียง เป็ นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ มีตัวตนของเราทีเป็ นแก่ นสารสาระ ทีเป็ นก้ อน เป็ นแก่ นทีเทียงแท้ ไม่ เป็ นอนิจจังไม่ มีเลย


ผู้ถาม : สาธุครับ ดังนันเรืองธาตุขันธ์ แตก ถ้ าไม่ บวช เป็ นเรื องเข้ าใจผิด ถูกต้ องไหมครับหลวงตา

หลวงตา : ในความเห็นจากประสบการณ์ ของหลวงตา เห็นว่ าถ้ าฆราวาส ไม่ อยู่ในฐานะทีเหมาะสม จะคาเป็ น พระอรหันต์ อยู่ไม่ ได้ ธรรมเขาจะบังคับให้ คืนตัวมามี กิเลสก่ อน แล้ วเพียรปฏิบัติปล่ อยวาง จนกว่ าจะอยู่ใน ฐานะทีเหมาะสม เช่ น บวชถือศีลแปด ไม่ มีครอบครั ว หรือ มีครอบครัว ต้ องสละออกบวช ถือศีลแปด จะนุ่งขาวห่ มขาว ห่ ม เหลือง หรือ เสือสีขาวผ้ าถุงสีดาํ ก็ได้


แต่ ต้องอยู่ด้วยกายวิเวก วาจาวิเวก จิตวิเวก จึงจะเกิด อุปธิวิเวก(สินยึดมันถือมัน สินกิเลส พ้ นทุกข์ นิพพาน) ในทีสุดจะไม่ มีฆราวาสคนใด บรรลุนิพพาน แล้ วคา ความเป็ นอรหันต์ อยู่ได้ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


ใครจะเป็ นอย่ างไร ปล่ อยวางที “ใจ” ให้ พ้นทุกข์ เป็ นพอ ผู้ถาม : พอดีเห็นในกรุ๊ปทีหลวงตาเพิงโพสต์ เกียวกับ ฆราวาสบรรลุอรหันต์ แล้ วในกรณีเช่ นพระบิดาของ พระพุทธเจ้ าหรือพระพาหิยะทีท่ านบรรลุอรหันต์ และ ลานิพพานเลย หรือ ถูกแม่ วัวขวิดจนตายแล้ วนิพพาน เลย ในกรณีนีควรจะแก้ ว่าอย่ างไรดีครั บ และขอต่ อหนึงคําถามครับ ฆราวาสทีไม่ ได้ มฌ ี านเป็ น บาททีบรรลุธรรม ในชันต้ น ๆ โสดาบัน สกิทาคามี เมือเขาบรรลุ แน่ นอนว่ าชีวติ ความคิด พฤติกรรมเขา เปลียนไป


แต่ เขาจะมีญาณรู้ไหมครับ ว่ าโอ้ หนอ เราบรรลุ โสดาบันแล้ ว เราเหลือเพียงกีชาติจะบรรลุอรหันต์ อบายภูมิของเราสินแล้ ว หรื อสามารถไม่ ร้ ูว่าตัวเอง เป็ นอะไร แต่ แค่ ทุกอย่ าง ความคิด พฤติกรรม เปลียนไปก็เพียงพอ . แต่ ถ้าบรรลุอรหันต์ เมือใด ก็จะมีญาณบอกเองว่ า ชาติสนแล้ ิ ว พรหมจรรย์ จบแล้ ว กิจทีต้ องทําไม่ มีอีก แล้ ว ใช่ ไหมครับ


หลวงตา : พระบิดาของพระพุทธเจ้ าจวนจะสวรรคตแล้ ว ด้ วยพระบารมีของพระพุทธเจ้ า ทําให้ พระบิดาฟั งธรรม จบจนบรรลุพระนิพพาน จึงถึงแก่ อนุปาทิเสสนิพพานไป ส่ วนพาหิยะทีบรรลุพระนิพพานแล้ วแต่ มีกรรมมาตัด รอน ทําให้ ถูกวัวบ้ าขวิดตาย


ถ้ าบรรลุโสดาบันหรื อพระนิพพาน แม้ ไม่ มีญาณหยังรู้ แต่ โลกธาตุจะปรากฏเหตุอัศจรรย์ หวันไหวมาจากข้ าง ในจนตกตะลึง เจ้ าตัวจะรับรู้ได้ ด้วยตนเอง โดยเฉพาะขณะจิตทีบรรลุนิพพาน จะมีเหตุหลายอย่ าง บังเกิดขึนในธรรมชาติ จนเทพเทวดาทุกชัน ยังร่ วม อนุโมทนา สาธุการ ดังปรากฏพ่ อแม่ ครูอาจารย์ ที เคารพนับถือได้ บอกกล่ าวไว้


การบรรลุเป็ นพระอริยบุคคลหรือพระอริยสงฆ์ นัน ไม่ ใช่ เรืองเล็กน้ อย มันทําให้ หลุดพ้ นจากการเวียนว่ าย ตายเกิด เหมือนกับหลุดพ้ นจากแรงดึงดูดของสามแดน โลกธาตุ โลกธาตุจึงเกิดอัศจรรย์ หวันไหว ดังนัน จะมา ใช้ ความคิด ความรู้ สึกกันเอาเองไม่ ได้ เป็ นอันขาด


ทีสําคัญอย่ าหลงเชือใครง่ าย ๆ แต่ ก็อย่ าดูถูกตําหนิ ติเตียนผู้ใด มันไม่ เกิดประโยชน์ อันใด จะเข้ าทํานอง เนือไม่ ได้ กิน หนังไม่ ได้ รองนัง แต่ เอากระดูกมาแขวนคอ ใครเขาจะเป็ นอย่ างไร ปล่ อยวางที “ใจ” ให้ พ้นทุกข์ เป็ นพอ ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


หากถอนอธิษฐานไม่ ขาด ความรู้ความเห็นจะเป็ นเพียงสัญญา ผู้ถาม : กราบนมัสการครับผม ผมเห็นรูปนีแล้ ว สะท้ อนใจจุกอกตืนตัน ผมเคยฝั นว่ าตัวผมโดนฟ้ าผ่ า เปรี ยง ผมคิดว่ าตัวเองตาย แต่ หลังจากสินเสียงก็เห็น ตัวเองเป็ นพระพุทธรูปขยับตัวได้ แล้ วตกใจตืนครั บผม การปฏิบัตขิ องผมต้ องปรับปรุ งอะไรอีกไหมครั บผม กราบขอคําแนะนํา ขอบพระคุณครับผม


หลวงตา : น่ าจะได้ เคยอธิษฐานจิต เป็ นพุทธภูมไิ ว้ ทําให้ ไม่ สนเยื ิ อใยภพชาติ ให้ อธิษฐานถอนให้ ขาด มิฉะนันความรู้ ความเห็นจะเป็ นแค่ สัญญา ไม่ ได้ ปล่ อย วางจริงทีใจ

ผู้ถาม : ครั บผม เคยอธิษฐาน ครังแล้ ว คงต้ อง หลาย ๆ ครั งครับผม ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมือวันที

มีนาคม


Turn static files into dynamic content formats.

Create a flipbook
Issuu converts static files into: digital portfolios, online yearbooks, online catalogs, digital photo albums and more. Sign up and create your flipbook.